#Re2love •15
“พี่คิดยังไงถ้าหากต้องรับรู้ว่าตัวเองเกิดจากความผิดพลาดและต้องใช้ชีวิตเพื่อแก้ไขความผิดพลาดของผู้ให้กำเนิดโดยไม่มีทางเลือก แล้วยังต้องรู้สึกตลอดเวลาว่าแม่กำลังแบ่งความรักที่ควรมีให้ผมกับใครคนอื่น”
มันเป็นคำถามที่ตอบยาก
พุฒิเองก็จนปัญญาจะหาคำตอบ เขารู้แต่ว่าตอนนี้ข้างในของกายคงจะย่ำแย่ไม่น้อย พุฒิรู้จักบุศรินทร์เป็นอย่างดี แม้จะเคยเจอเห็นกันเพียงแค่ครั้งเดียวแต่เขากลับจำมันได้ไม่ลืม บุศรินทร์คืออดีตคู่หมั้นของโฬมที่วันหนึ่งเดินเข้ามาบอกให้คนรักเขารับผิดชอบเป็นพ่อให้กับลูกในท้อง
ลูกซึ่งเป็นผลผลิตที่ไม่ได้ตั้งใจของเธอ
เด็กนั่นโตขึ้นมาคือ ‘กาย’ เด็กหนุ่มที่เข้ามาพัวพันกับเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
นั่นหมายความว่าทฤษฏีโลกกลมยังใช้ได้เสมอ
น่าปวดหัวดีแท้!
พุฒินั่งเหม่อลอยเช็ดผมที่สระมาหมาดๆ หลังกลับมาถึงบ้าน ป่านนี้ไม่รู้ว่าโฬมจะไปส่งบุศรินทร์ถึงบ้านรึยัง?
ใช่แล้ว! โฬมไปส่งบุศรินทร์ที่บ้านตามคำขอร้องของเธอ ถึงแม้จะมีพวกเจ้าเก่งยกโขยงไปด้วยแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พุฒิสบายใจได้เลย เขาไม่ได้หึงหวงฝ่ายนั้นเพียงแต่ไม่สบายใจเพราะมองเห็นถึงเค้าลางที่ผิดปกติบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
บุศรินทร์รักโฬม
หล่อนรักปักใจเจ้านั่นมาแต่ไหนแต่ไร เสียแต่ว่าโฬมเฉยชากับอีกฝ่ายเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละเวลาผ่านไปคนเราย่อมเปลี่ยนไป เขาเลยไม่อาจรู้ได้ว่าวันนี้โฬมจะยังรู้สึกเหมือนเดิมกับบุศรินทร์หรือไม่
พุฒิเป็นคนขี้ขลาดและหวั่นไหวได้ง่ายดาย
เขายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนหนักแน่น ก็เพราะความไม่หนักแน่นและขี้ขลาดนี่แหละ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโฬมในครั้งอดีตถึงได้จบลง รู้ทั้งรู้และมีบทเรียนมาก่อนแท้ๆ ทำไมถึงได้ขลาดเขลาอยู่แบบนี้
เบื่อหน่ายตัวเองชะมัด
พุฒินั่งเหม่อลอยคิดอะไรเลื่อยเปื่อยจนไม่ทันสังเกตว่าประตูกระจกที่ระเบียงห้องนอนถูกเลื่อนเปิดออกอย่างแผ่วเบา แล้วใครบางคนก็ค่อยจรดปลายเท้าเข้ามาใกล้
“เฮ้ย”
พุฒิสะดุ้งโหยงตอนที่ใครบางคนทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังแล้วเอื้อมมือมาโอบรัดเอวเขา ดีว่าตอนนี้เจ้าหมูไปดูการ์ตูนที่ห้องคุณพรรณีไม่อย่างนั้นเขาคงทำตัวไม่ถูก
“โฬม”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าขโมยย่องเบาคือใคร
“ครับ”
“มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด”
“พี่เหม่อเองมากกว่า” โฬมบอก “คิดอะไรอยู่งั้นหรือครับ”
“เปล่านี่”
“โกหก”
“พี่เปล่า”
“เวลาพี่ไม่พูดความจริง พี่จะชอบพูดเสียงเบาๆ และสายตาไม่มีโฟกัส”
“แสนรู้ โอ๊ะ”
พุฒิทำหน้ายู่ตอนที่โฬมแกล้งงับหัวไหล่เขาเบาๆ
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่บุศ”
พุฒิหน้าตื่นก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ นึกเก้อเขินที่คนรักคาดเดาถึงสิ่งที่กังวลอยู่ในใจเขาได้
“พี่ไม่ได้คิดเรื่องนั้น”
โฬมขยับมาทรุดตัวตรงข้ามกับคนรัก แล้วยื่นปลายนิ้วเรียวยาวเกลี่ยไปตามใบหน้าอีกฝ่าย
“อย่ากังวลเลยครับ”
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปชนเข้ากับหน้าผากของพุฒิ
“ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“...”
“ผมรู้ว่าพี่กลัว”
“พี่เปล่า”
โฬมกดจูบที่ขมับอีกฝ่าย
“ผมอยากให้พี่ถาม...สัญญาได้มั้ยว่าถ้าพี่สงสัยอะไรให้ถามผม อย่าคิดไปเอง”
พุฒิพยักหน้าหงึกๆ เขาซุกใบหน้าไปที่อกของโฬม
“โฬม”
“ครับ”
“ขอโทษที่พี่คิดมาก”
โฬมยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่ให้อภัยหรอกครับ”
“อ้าว!”
“ผมไม่พอใจนะครับที่วันนี้พี่ตามกายออกไป”
พุฒิดันตัวจากอกอีกฝ่าย คนสูงวัยกว่าก้มหน้าแล้วถูมือตัวเองแรงๆ
“พี่ก็แค่...”
“แค่อะไรครับ”
“ก็แค่สงสารเห็นใจน้องมัน”
“ความเห็นใจเป็นบ่อเกิดของความรักนะครับ”
โฬมกอดอกพูดเสียงเรียบ
“ไม่ใช่นะ” พี่พุฒิส่ายหัวจนผมสะบัด “พี่คิดกับกายแค่น้อง”
“งั้นเหรอครับ?”
พุฒิย่นจมูก
“ผมว่ากายไม่ได้คิดกับพี่แค่พี่น้อง”
พุฒิเกาหัวแกรกๆ แล้วมองซ้ายมองขวาเหมือนหาตัวช่วย
“อ่า”
“ผมพูดถูกใช่มั้ยครับ”
พุฒิจนด้วยคำพูด ยิ่งเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของร่างสูงแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วทำใจกล้าขยับเข้าไปใกล้โฬม
“โฬม”
พุฒิคว้ามือชายหนุ่มมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ
“พี่ไม่ได้คิดอะไรกับกายจริงๆ”
“แล้วผมล่ะครับ”
โฬมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเขาต้องผงะถอยหลัง พุฒิเม้มปากแน่นหัวใจเต้นระส่ำ
“ตอบผมหน่อยสิครับ”
“ฮื่อ”
พุฒิตาพร่าไปทันทีที่ริมฝีปากกดจูบที่จมูกเขาอย่างแผ่วเบา
“ผมเป็นอะไรสำหรับพี่ครับ”
“คนระ..อื้อ”
“อีกทีสิครับ”
“คนรัก”สมองพุฒิมึนเบลอคิดอะไรออกไปชั่วขณะ ท้องไส้เขาปั่นป่วนบิดเกร็งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้แต่เพียงว่าตอนนี้แผ่นหลังตัวเองสัมผัสเข้ากับเตียงนอนโดยที่คนรักเขากำลังโน้มตัวมาคร่อมทับกัน มือหนาปะป่ายไปทั่วร่างกาย ไม่ต่างจากริมฝีปากที่แนบชิดสนิทกันไม่มีช่องว่าง พุฒิทำตาปรือปรอยครางเสียงแผ่วตอนที่คนตัวโตแกล้งแหย่ปลายลิ้นมาไล่ต้อนกัน ยิ่งเขาหลบหนีก็ยิ่งจนมุม สุดท้ายต้องยอมให้โฬมได้หยอกเอินและเกี่ยวกระหวัดลิ้นเขาอย่างเพลิดเพลิน
“อื้อ”
“พี่รู้อะไรมั้ย”
“อะ อะไร”
“ตอนนี้พี่พุฒิโคตรน่ากิน”
ไม่ใช่แค่น่ากิน แต่น่ากัด น่าสัมผัสไปทุกสัดส่วน
“โฬม”
พุฒิดันใบหน้าคมคายที่ก้มลงมาชิมยอดอกเขาอย่างเอาแต่ใจ โฬมเงยหน้าจากความขาวสว่างนั่นอย่างจำใจ ยิ่งเห็นดวงตาคนมีอายุคลอไปด้วยน้ำตา อารมณ์เบื้องต่ำยิ่งลุกโชน
โฬมเกลี่ยปลายนิ้วไปรอบดวงตาอีกฝ่ายแล้วกดจูบที่ดวงตาทั้งสองข้าง
รักเหลือเกิน
“พ่อจ๋า”
“...”
“พ่อจ๋าฮะ”
เสียงเจ้าหมูดังมาแต่ไกลทำให้อารมณ์หวามไหวหยุดชะงัก โฬมยิ้มขำคนขี้ตื่นที่ผวาผุดลุกขึ้นกลัดกระดุมเสื้อผิดๆ ถูกๆ เห็นแบบนั้นเขาเลยสงสารจึงยื่นมือไปหมายจะช่วยกลัดอีกแรง แต่คนขี้เขินกลับทำหน้าตื่นขยับไปไกลตั้งหลายคืบ
พุฒิค้อนให้อีกฝ่ายวงใหญ่ก่อนจะก้มหน้าติดกระดุมเสื้อให้ตัวเองงุดๆ
ตายๆๆ
ตายแน่พุฒิเอ๊ย! ถ้าเสียงของเจ้าหมูไม่ดึงสติเอาไว้ ไม่รู้ป่านนี้เขาจะปล่อยตัวปล่อยใจไปมากขนาดไหน
“เฮ้อ อดกินอีกตามเคย”
โฬมพูดขึ้นลอยๆ ชายหนุ่มยืนติดกระดุมเสื้อตัวเองดูชิวจนน่าหมั่นไส้
“กลับบ้านไปเลย”
พุฒิปาหมอนใส่อีกฝ่าย แต่โฬมดันรับได้อย่างพอดิบพอดีแล้วยักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง
“ว้า พอเสร็จสมแล้วก็ไล่ผมเลยเหรอเนี่ย”
“ไอ้โฬม”
★ ☆★ ☆★ ☆
ตรีนั่งนิ่ง!
ชายหนุ่มจ้องมองปลายนิ้วของพี่ชายต่างมารดาที่กำลังใช้นิ้วเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด สีหน้าแววตาของโฬมดูยากที่จะคาดเดา ไม่ต่างจากทนายจักรที่นั่งอยู่ข้างกันเลย
“แปลก”
ความเงียบยึดครองพื้นที่อยู่นานถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มของโฬม ตรีทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่โฬมกำลังพูดอยู่ขณะ เกือบสัปดาห์แล้วที่เขาใช้เส้นสายของพี่ชายต่างมารดาเพื่อเข้าไปฝึกงานในบริษัทของบิดา โดยระหว่างนี้เขาได้รับหน้าที่ให้สังเกตความผิดปกติที่อาจจะเกิด เมื่อภรรยาสาวคนใหม่ของบิดาพยายามจะทำเข้ามายุ่งย่ามที่บริษัท
“แปลกอะไรครับพี่โฬม”
“ทุกอย่างมันดูสงบเงียบเกินไป”
ตรีทำหน้าฉงนอีกครั้ง
“นายบอกพี่เองนี่ว่า เร็วๆ บริษัทจะมีการประมูลจัดซื้อครั้งใหญ่ แล้วหนึ่งในบริษัทที่ร่วมประมูลมีความเกี่ยวข้องกับเมียใหม่ของพ่อ”
“ใช่ครับ”
“นั่นแหละที่แปลก เพราะไอ้บริษัทนั่นมันทำตามกติกาทุกอย่าง ไม่มีนอกมีใน ผิดวิสัยจนน่าสงสัย”
ตรีพยักหน้าเห็นด้วย
“ลมมันสงบเกินไป เหมือนจะมีพายุใหญ่”
ทนายจักรพูดเสริม
“มีพายุก็เตรียมอพยพสิครับ”
“คุณโฬมจะไม่เตรียมรับมือสักตั้งเหรอครับ” ทนายเอ่ยเย้า
“ผมเป็นพวกไม่สู้คนครับลุงจักร”
“ใครว่าคุณโฬมไม่สู้คนล่ะครับ”
ทนายวัยเกษียณทำหน้ารู้ทัน “ผมว่าคุณรอเวลาที่จะพับเสื่อแบบม้วนเดียวจบต่างหาก”
โฬมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ลุงจักรอาจจะเดาผิดก็ได้”
ทนายจักรหัวเราะร่วน ส่วนโฬมแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ตรีพิจารณาท่าทางแบบนั้นของพี่ชายแล้วได้แต่ปลงตกเพราะเขาคาดเดาอะไรไม่ออกสักอย่าง
“อย่าทำหน้าเครียดเลยตรี ไปกินข้าวกับพี่ดีกว่า เรื่องปวดสมองพวกนี้ปล่อยให้ลุงจักรเขาจัดการเถอะ”
ทนายสูงวัยได้แต่ส่ายหน้ามองตามหลังสองพี่น้องนั่นไปจนลับตาก่อนจะก้มมองซองเอกสารในมือที่โฬมยื่นให้ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวบอกว่าเป็นตั๋วและที่พักให้เขาไปพักสมอง คนสูงวัยขยับแว่นตาแล้วถึงกับเบิกตาโพลง
ไปพักสมองอะไรกันเล่านั่นมันแหล่งกบดานพยานปากเอกเลยต่างหากล่ะ
ร้ายไม่เบานะคุณโฬม
คนมีอายุหัวเราะเบาๆ
.
.
“ฉันจะไปฮันนีมูน”
โฬมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ท่าทางฟังแบบขอไปทีนั่นทำให้บิดาสูงวัยขัดหูขัดตา
“แกจะแกล้งทำท่าฟังฉันหน่อยไม่ได้รึไง”
“ระวังอย่าสำลักน้ำผึ้งพระจันทร์ตายคาอกเมียสาวแล้วกันนะครับ ขึ้นหน้าหนึ่งว่ามหาเศรษฐีวัยดึกช๊อกตายเพราะสำลกความสุขเห็นทีจะไม่ไหว”
“ไอ้โฬม”
อดุลย์ตบโต๊ะเสียงดังปัง
“แกจะพูดจาถอยหงอกฉันไม่ถึงเมื่อไหร่ ฉันเป็นพ่อแกนะ”
“ครับ อายุขนาดนี้เรียกพี่คงไม่ไหว”
“ไอ้ลูกบ้า”
คนสูงวัยโกรธหน้าดำหน้าแดง เขาสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อควบคุมสติ เพราะรู้ดีว่าต่อปากต่อคำกับมันไปก็โดนมันยียวนกลับอยู่ดี
“ผมขอโทษ”
โฬมพูดเสียงเรียบ เขารู้สึกไม่ดีนักหรอกที่ยอกย้อนบุพการี แต่ก็นะระหว่างเขากับบิดาพูดดีกันไม่ถึงสี่ห้าประโยคหรอก สุดท้ายก็ระเบิดอารมณ์ใส่กันอยู่ดี
อย่างว่าแหละนะคนมันขั้วเดียวกัน มันถึงผลักไสให้ไปคนละทิศละทางแบบนี้
“ช่างเถอะ ที่ฉันแกมาวันนี้เพราะเห็นว่าช่วงนี้เจ้าตรีมันมาฝึกงานที่บริษัท น้องมันมีแก่ใจมาช่วยงานแล้วแกล่ะ ไม่คิดจะมาดูแลผลประโยชน์ของตัวเองเลยรึไง”
“ผมไม่ถนัด”
“แต่อนาคตมันคือสิ่งที่แกต้องดูแล”
“ผมคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถพอ”
บิดาสูงวัยหัวเสีย
“ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งที่ฉันสร้างมา ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่สายเลือดฉันเด็ดขาด”
“ผมเคยบอกพ่อแล้วว่าผมไม่เคยสนใจมัน”
“แกไม่มีสิทธิพูดคำนี้โฬม...เพราะแกเป็นลูกของอดุลย์ รัตนธารากุล”
โฬมเบือนหน้านี้ เขาไม่อยากได้ยินว่าบิดายิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่อยากรับรู้ว่ากว่าจะมีวันนี้ วันที่บิดาฝ่าฟันมันมาได้นั้น มันต้องแลกกับอะไรมาบ้าง
โฬมแค่นยิ้ม
ช่วง ‘เวลา’ ในวัยเด็กที่เขาไม่เคยมีร่วมกับบิดา
คำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ถูกกลืนกินไปเพราะคำว่าอำนาจและความยิ่งใหญ่
สุดท้าย ‘แม่’ ผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างพ่อมาตลอด ต้องถูกละเลยและถอดความสำคัญ เพราะบิดาหลงละเมอไปกับสิ่งแปลกใหม่และของนอกกายที่ไร้ราคา เพื่อแลกกับความยิ่งใหญ่
.
.
โฬมเดินหัวเสียออกมาถึงสระว่ายน้ำซึ่งตั้งอยู่ที่มุมสวนอันเงียบสงบ ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กำลังรวบรวมสติหางตาเขาเห็นใครคนหนึ่งในชุดคลุมเดินกรุยกรายตรงมาทางเขา
ดุสิตา...ภรรยาใหม่ของบิดา
เธอยิ้มหวานให้เขาทั้งปากทั้งตา โฬมนิ่วหน้าเมื่อแววตาที่จ้องมองมามันเต็มไปด้วยความเย้ายวนและดูไม่เหมาะสมกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยง โฬมพยายามเข้าใจว่าการที่บิดาแต่งใหม่กับหญิงสาวคราวลูกนั่นเพราะความเหงาและต้องการการเติมเต็ม เขาพยายามคิดอย่างไม่อคติว่ามันคือความสุขของบิดา แต่ให้ตายเถอะ ดุสิตาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะเติมเต็มใครให้สมบูรณ์ได้หรอก ในเมื่อเธอเองยังมีความทะเยอทะยานอยากไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แบบนี้
“สวัสดีค่ะคุณโฬม”
เธอถือวิสาสะมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ เขา
“ครับ”
โฬมผุดลุกขึ้นทันทีจนหญิงสาวชักสีหน้า
“จะรีบไปไหนหรือคะ”
“มีธุระครับ ขอตัวก่อน”
“กลัวเหรอคะ?”
โฬมชะงักปลายเท้า
“ผมต้องกลัวอะไรครับ”
“กลัวการอยู่สองต่อสองกับฉันหรือคะ?
ดุสิตาผุดลุกขึ้นยิ้มยั่ว
“ทำไมผมต้องกลัวครับ” โฬมเลิกคิ้ว “ผมว่าคนที่ต้องกลัวคือคุณมากกว่า”
“คุณพูดอะไร?”
ดุสิตาหน้าเสียเหมือนคนมีชนักติดหลัง
“ผมไม่รู้ว่าคุณมีจุดประสงค์อะไรถึงมาแต่งงานกับพ่อผม” โฬมพูดยิ้มๆ แต่แววตาไม่ยิ้มด้วย “ปกติแล้วผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร แต่ถ้าผมได้ยุ่ง รับรองได้ว่าเรื่องมันจะยุ่งกว่าที่คุณคิด”
ดุสิตาหน้าซีดเผือดลงซ้ำเผลอก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว แววตาของโฬมเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน
น่ากลัว!
เหมือนว่าได้จ้องตาเสือในอะไรประชิด เรียบเฉย เย็นชาและชวนให้ขนลุกโดยไม่ทราบสาเหตุ
“คุณพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง”
“งั้นเหรอครับ ผมจะเชื่อครับว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ”
โฬมยิ้มมุมปากท่าทางสบายๆ ชายหนุ่มโคลงศีรษะให้ก่อนจะเดินผละจากไปพร้อมกับมวลอากาศที่ชวนอึดอัดหายใจไม่ออก นั่นแหละถึงทำให้ดุสิตาหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
★ ☆★ ☆★ ☆
“วันนี้ครูเคทบอกว่า เดือนหน้าที่โรงเรียนจะมีงานกีฬาสีด้วยแหละฮะพ่อจ๋า”
“โอ๊ะ พ่อจ๋าเกือบลืมไป วันก่อนครูเคทให้จดหมายเชิญมานี่เนาะ”
“ช่ายย”
พิกเล็ตยิ้มตาหยีมือหนึ่งถือไอศกรีมโคน อีกมือนั้นบิดาจับจูงให้เดินคู่กันไปติดๆ เมื่อเช้าคุณปู่โตโยต้าโคโรล่ารุ่นก่อนปีสองพันซึ่งหายเข้าอู่ไปอัพเกรดตัวเองมาได้ฤกษ์กลับมาใช้งานได้ตามเดิมแล้ว พุฒิเลยถอยออกมารับลูกที่โรงเรียนและขากลับเขาได้พาเจ้าหมูแวะห้างทำธุระนิดหน่อย
“เช็ดปากหน่อยครับ”
พุฒิยื่นทิชชูไปเช็ดขอบปากให้เจ้าหมูที่เอียงหน้าให้ความร่วมมือ ใบหน้ากลมป้อมขยับตามมือเขาท่าทางน่ามันเขี้ยวยิ่งนัก
“พ่อจ๋า หนูกับไตตั้นอยู่สีฟ้าฮะ น้องเมญ่าจะลงแข่งวิ่งด้วยแหละ หนูก็จะวิ่งด้วยฮะพ่อจ๋า”
เจ้าหมูพูดไปบิดไปท่าทางขวยเขินดูขบขัน
“น้องเมญ่าบอกว่าหนูเก่ง”
“ครับเก่งที่สุดเลย ลูกใครก็ไม่รู้”
“ลูกพ่อจ๋ากับลูกอาโฬม”
“หา?”
“หนูว่าไงนะลูก”
“หนูเป็นลูกพ่อจ๋า เป็นลูกอาโฬมฮะ อาโฬมใจดีบอกว่าให้หนูเป็นลูกด้วย เป็นลูกอาโฬมแล้วจะได้ไปดูวีนัสทุกวันเลยฮะ”
ติดสินบนแบบนี้ก็ได้เหรอเนี่ย...ร้ายกาจนักนะโฬม!
“อาโฬมบอกจะให้วีนัสตัวใหญ่ที่บ้านของอาโฬมด้วยฮะ อาโฬมใจดีสุดๆ”
พุฒิย่นจมูกเผลอนึกถึงคนเจ้าเล่ห์นั่นไม่ได้ เจ้าโฬมตัวร้ายคงไปสอนพิกเล็ตให้พูดและคิดแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่แปลกที่เจ้าหมูซึ่งติดโฬมอย่างกะอะไรดีจะว่านอนสอนง่ายขนาดนี้ พุฒิเม้มปากแน่นในอกฟูฟ่องบอกไม่ถูก ที่โฬมรักและเอ็นดูลูกชายเขาขนาดนี้
“อาโฬมบอกว่ารักหนู หนูอยากได้อะไรอาโฬมจะให้หนูทุกอย่างเล้ย”
พิกเล็ตเกาหัวแกรกๆ ตอนที่บิดาทำหน้าค้อนไปค้อนมาเกือบพาเขาเดินชนถังขยะ
“ให้ตายเถอะ จะทำให้เขินไปถึงไหน เจ้าบ้านี่”
พ่อจ๋างึมงำแบบนี้แล้วหน้าแดงเหมือนตอนพิกเล็ตกินเผ็ดเลย เจ้าหมูนึกในใจ
“โอ๊ะ คุณปู่”
พุฒิทำหน้าไม่เข้าใจตอนที่เจ้าหมูกระตุกเขินเขาเบาๆ แล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่หน้าปกนิตยสารหัวใหญ่ซึ่งวางอยู่บนชั้นหนังสือขณะที่กำลังเดินผ่าน
“คุณปู่ฮะ คุณปู่อยู่ในนั้น”
“ใครนะลูก?”
“คุณปู่”
พิกเล็ตชี้ไปที่หน้าปกนิตยสารนั่นอีกครั้ง พุฒิยืนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะพิจารณาภาพผู้สูงวัยในชุดสูทอย่างดี จำได้ว่าเขาไม่เคยรู้สึกคนตรงหน้าด้วยซ้ำ แล้วเจ้าหมูทำไมทำท่าเหมือนรู้จักกันได้ ปกติคุณปู่ในความหมายของพิกเล็ตคือรถโตโยต้าก่อนปีสองพันของคุณพรรณีนี่น่า
‘อดุลย์ รัตนธารากุล’
นั่นมันนามสกุลของโฬม
“คุณปู่ พ่อของอาโฬมฮะ”
พุฒิถึงบางอ้อทันที แม้จะเคยคบกับโฬมมาก่อนสมัยเรียนแต่นั่นมันก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ซ้ำโฬมยังพูดเสมอว่าเขาไม่ค่อยลงรอยกับบิดา จึงไม่แปลกหากเขาจะไม่เคยรู้จักหรือพบเจอ พุฒิพอจะรู้อยู่หรอกว่าโฬมมีพ่อเป็นนักธุรกิจร่ำรวยและฐานะทางบ้านอยู่ในระดับที่เรียกว่าเศรษฐี แต่เจ้าตัวยืนยันมาตลอดว่าธุรกิจนั่นเป็นของบิดา ไม่ใช่ของตนเองดังนั้นเจ้านั่นถึงทำงานงกๆ ทำราวกับว่ามนุษย์เงินเดือนก็ไม่ปาน
คุณปู่ที่ว่านี่ได้ลงปกซ้ำยังสัมภาษณ์คอลัมน์ดังขนาดนั้นบ่งบอกได้เลยว่า ‘คุณปู่’ ของเจ้าหมูคงไม่ธรรมดา
นี่มันเข้าตำรา ‘ดอกฟ้ากับหมาวัด’ ชัดๆ และไอ้ดอกฟ้าที่ว่านั่นไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน แวบหนึ่งที่พุฒิเผลอคิดว่าช่องว่างระหว่างเขากับคนรักมันต่างกันมากจริงๆ
เฮ้อ!
“คุณปู่ใจดีมากฮะพ่อจ๋า บ้านคุณปู่หลังเบ้อเริ่มเลย ของกินก็เยอะมากเลยฮะ”
พิกเล็ตตาเป็นประกายจนเขายิ้มขำ พ่อลูกหนึ่งขยี้ศีรษะลูกชายอย่างมันเขี้ยว จำได้ว่าโฬมเคยเล่าให้ฟังว่าวันที่ไปรับเจ้าหมูได้พาเด็กน้อยแวะไปทำธุระที่บ้านด้วย
คงจะเป็นวันนั้นล่ะมั้งที่พิกเล็ตได้รู้จักกับ ‘คุณปู่’
.
.
หลังผละจากร้านหนังสือพุฒิต้องเดินตามแรงจูงของลูกที่เห็นห้องบอลแล้วตาลุกออดอ้อนจนเขาใจอ่อนอนุญาตให้เล่นในที่สุด พุฒิยืนยิ้มมองลูกที่นั่งจุ้มปุ๊กในกองบอลสีหน้าดูร่าเริงสนุกสนาม ชายหนุ่มมองไปรอบๆ แล้วสายตาไปสะดุดที่แผ่นหลังคุ้นเคยในชุดนักศึกษา เจ้านั่นโบกมือลากลุ่มเพื่อนที่เดินแยกไปอีกทาง ก่อนจะเดินเรื่อยเปื่อยมาทางเขา
“กาย”
“พี่พุฒิ”
‘แม่พยายามบังคับให้ผมทำตามคำสั่งคุณตา’
เนื้อความที่บอกเล่าให้เขาฟังเมื่อหลายวันก่อนสว่างวาบขึ้นมาในหัว สีหน้าย่ำแย่ของกายวันนั้นยังติดตาเขาจนถึงวันนี้
ท่าทางเหมือนเด็กหลงทางนั่นทำให้พุฒินึกเห็นใจ
“กำลังจะไปไหน”
“ผมเดินเรื่อยเปื่อยครับพี่ เมื่อกี้เพิ่งแยกกับเพื่อน สอบเสร็จพวกมันชวนมาร้องเกะกับโยนโบว์”
พุฒิทำตาโต
“เหมือนกันเลย สมัยพี่เรียน ตอนสอบเสร็จพวกพี่ก็ยกก๊วนกันมาร้องเกะกับโยนโบว์เหมือนกัน ไม่นึกว่าวัยรุ่นสมัยนี้จะทำแบบเดียวกันเลย”
“มันเป็นแพทเทิร์นชีวิตเด็กมหาลัยน่ะพี่”
กายพูดยิ้มๆ
“แล้วเรากินข้าวเย็นรึยัง”
กายส่ายหน้าแต่ดวงตาพราวระยับ “อย่าบอกนะว่าพี่จะชวนผมกินข้าวน่ะ”
“อื้อ”
“ดีใจชะมัด”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง สีหน้าที่ดูอ่อนล้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ว่าแต่วันนี้พี่มาคนเดียวเหรอ”
“โน่นอีกคน”
พุฒิบุ้ยปากไปที่เจ้าหมูซึ่งได้เพื่อนใหม่ที่ห้องบอลแล้วทั้งคู่กำลังเล่นปาบอลใส่กันอย่างสนุกสนาน
“กินข้าวกันสามคน อารมณ์พ่อ แม่ ลูกเลยนะเนี่ย”
“มากไปเจ้าบ้า!”
พุฒิส่ายหัว
“ผมหล่อนะพี่ หัวก็ดีอีกต่างหาก เป็นพ่อพันธ์ที่ดีเลยล่ะ” กายขยิบตาทีหนึ่ง “ไม่สนใจผมสักหน่อยเหรอ”
“คนอะไรอวยตัวเองได้หน้าตาเฉย”
“ก็ผมหล่อจริงๆ นี่ครับ หรือพี่จะเถียง”
เถียงไม่ออกหรอกก็มันหล่อจริงๆ นี่หว่า พี่ส่ายหัวไปมา
“เจ้าบ้าเอ๊ย”
กายหัวเราะ พุฒิเลยร่วมหัวเราะผสมโรงไปอีกคน ‘อย่างน้อยตอนนี้ก็ยิ้มได้แล้ว’
เด็กเอ๊ยเด็ก!
★ ☆★ ☆★ ☆
ตอนนี้มันก็จะยุ่งๆ หน่อย ฮือ พิกเล็ตไม่ควรโผล่มาตอนพ่อจ๋าจู๋จี๋กับอาโฬมนะลูก
หวีดในทวิตติด #Re2love ด้วยนะคะ