บทที่ 4 เรื่องของผักตบชวา
“ อื้ออออ..อ...” แดดแยงตา ใครก็ได้ปิดผ้าม่านให้หนมที
แดดแยงตา
“ ห่า!!!!! กี่โมงแล้ววะเนี่ย ” ผมรีบคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา
เก้าโมงสิบห้าโอ้แม่เจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาา
ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกวะ
ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำด้วยความเร็วแสง เหลือเวลาแค่ 45 นาทีที่ผมจะต้องไปสอบ แล้วคือไม่ได้อยู่หอไงครับ จากบ้านผมไปมหาลัยค่อนข้างไกลพอสมควร ผมไม่รู้ด้วยว่าวันนี้รถจะติดรึเปล่า รถไม่ติดก็ดีไป ถ้ารถติดล่ะก็จบเห่แน่ชีวิตผม
ว่าแต่.....กุญแจรถอยู่ไหน
ผมรีบวิ่งออกมาจากห้องก่อนจะไปที่โรงรถอย่างเร็ว อา กุญแจอยู่ที่รถ ทำไมมันมาอยู่ที่รถวะ แต่ช่างเถอะ ผมไม่มีเวลาจะมาคิดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เหลือเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงให้ผมไปถึงมหาลัย ขอให้ทันเถอะ
รถจ๋าอย่าติดเลยนะ
“ ดีจังที่รถไม่ติด ” นับว่าเป็นโชคดีของผมมากที่รถไม่ติด ผมขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางแล้วครับตอนนี้เหลือเวลาประมาณยี่สิบนาทีก่อนสอบ ผมคิดว่าน่าจะทันแหละ
ค่อยโล่งหน่อย
“ ควันอะไรวะ ” ผมมองควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากฝากระโปรงรถ มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย
พรึ่บบบบ
“ เห้ย ไม่เอานะ อย่าดับสิเพื่อนยาก ” จะมาดับวันที่กูมีสอบไม่ได้นะมึง อย่าทำกับกูแบบนี้
ผมต้องเลี้ยวให้รถเข้าข้างทางก่อนจะเปิดไฟฉุกเฉิน ใครมาทำอะไรรถผมรึเปล่าวะ มันไม่เคยงอแงมาก่อนเลยนะ ไม่เคยดับไปดื้อๆแบบนี้ด้วย ที่แย่ที่สุดคือแม่งเป็นวันที่มีสอบสำคัญด้วยไง
“ บ้าจริงๆเลย ” ผมเปิดกระโปรงรถก่อนจะปัดควันให้จางลง ก่อนจะมองหาต้นเหตุที่ทำให้รถผมดับ
ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย
ผักตบชวาเต็มเลย
ใครมันเล่นเชี่ยไรเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ผมมองเหล่าวัชพืชที่ซุกอยู่ในทุกซอกของเครื่อง คือเอาจริงๆไม่ได้มีแค่ผักตบชวา แม่งมี แหน จอก ตะไคร้อะไรของแม่งก็ไม่รู้ ใครเอามาใส่ไว้วะ จะบอกว่ามันมาอยู่ในนี้เองก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เครื่องดับนั่นน่าจะเป็นเพราะมันไปขัดกับอะไรสักอย่าง ให้ซ่อมตอนนี้ก็ไม่ทัน คิดไปคิดมาคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้มีคนเดียวเท่านั้น
ไอ้สัสขัน
ไอ้สัสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
ถึงว่า กุญแจอยู่ที่รถ
“ ทำไมต้องมาแกล้งกูในวันสอบวะ ”
ผมทรุดตัวลงกับริมฟุตปาธ ผมจะทำยังไงดี สมองมันตันไปหมด ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะไปถึงมหาลัยให้ทันสิบโมงยังไง เพราะแถวนี้ไม่มีรถประจำทาง วินมอเตอร์ไซค์ก็หายากแท็กซี่ก็ไม่ต่างกัน จะให้เพื่อนๆมารับมันก็ไม่ทันอยู่ดี ผมรู้สึกโกรธไอ้ขันจริงๆนะผมว่าครั้งนี้มันทำเกินไป
เกินไปมากจริงๆ
การสอบครั้งนี้ถ้าเป็นการสอบเดี่ยวแล้วถ้าผมพลาดไปไม่ทันจริงๆมันยังไม่เท่าไหร่ แต่การสอบนี่คือการรายงานข่าวโทรทัศน์ซึ่งมันเป็นกลุ่ม แถมผมเป็นโปรดิวเซอร์อีกต่างหาก โอเคมันอาจจะทำหน้าที่แทนกันไปได้แต่ผมก็ทำให้เพื่อนลำบากอยู่ดี มันไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้เลยให้ตายสิ จะโทษไอ้ขันคนเดียวก็ไม่ได้ ผมเองก็ตื่นสาย เลยไม่มีเวลามาเช็คโน่นเช็คนี่เหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ
“ วันนี้แย่ชะมัด ” ผมกอดเข่าอย่างยอมแพ้ ยอมจริงวันนี้ไม่ไหวแล้ว ซวยติดกันมาหลายวันแล้วนะ
โชคจะไม่เข้าข้างผมเลยรึไง
“ รถเสียหรอ ”
เสียงนี้มัน...
“ ขุนศึก ” ผมเงยหน้ามองร่างสูงที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ทำไมมันมาอยู่แถวนี้ได้วะ
“ รู้ชื่อกูแล้วหรอ กูว่ากูจะบอกมึงเองสักหน่อย ” ไอ้หล่อมันยิ้มหวานให้ผม มันไม่ใช่เวลาที่มึงจะมายิ้มโอเค้ มึงคนเดียวแหละตอนนี้ที่จะช่วยกูได้
“ มึงจะไปมอรึเปล่า ”
“ ไปสิ แล้วรถเป็นอะไรอ่ะ ”
“ มันเสีย ช่างรถกูก่อนเถอะ มึงรีบไปส่งกูที่มอได้ไหมกูมีสอบตอนสิบโมง มันเป็นสอบที่สำคัญมากเลยอ่ะ ” สำคัญจริงๆนะมึง ชีวิตกูทั้งชีวิตเลยนะ
“ งั้นรีบขึ้นมา อีกสิบนาทีเองเดี๋ยวไม่ทัน ” เย่ มีรถไปมหาลัยแล้ววว ผมรีบขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้ขุน ผมนึกว่าอย่างมันจะขับรถยนต์ไรงี้ แต่ก็ดีนะที่มันขับมอเตอร์ไซค์มันจะสะดวกในการลัดเลาะตามซอย
“ เร็วเลยนะมึง ”
“ ถ้ามึงไม่กอดเอวกูไว้ ก็จับชายเสื้อกูไว้แน่นๆเพราะกูจะขับเร็วมาก ” ไอ้หล่อมันบอกผมก่อนจะรีบออกรถ มือผมก็กำชายเสื้อมันไว้แน่นตามที่มันบอก คิดว่าผมจะกอดเอวมันรึไง ฝันไปเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย
จับแค่ชายเสื้อมันก็พอแล้วครับ
ตึกคณะนิเทศศาสตร์
“ ถึงแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันจอดรถที่หน้าตึกคณะผม เยสเข้เหลือเวลาสามนาที ทันว่ะทัน แน่ล่ะแม่งขับอย่างกับเดอะฟาสแถมยังลัดโน่นออกนี่อย่างชำนาญ
“ ขอบใจนะมึง กูไปสอบก่อนล่ะ ” ต้องรีบครับต้องรีบ เพื่อนฝูงกังวลกันจนตายไปแล้วมั้งเนี่ย
“ เดี๋ยวก่อน ” ผมหันหลังกลับไปหาคนที่แหกปาก ไรมึงวะขุนกูจะรีบไปสอบ
“ อะไรมึง ”
“ ตั้งใจสอบนะ ” ผมมองรอยยิ้มหวานๆที่มันส่งมาให้ มึงนี่เอาอีกแล้วนะไอ้สัส
ทำใจกูสั่นอีกแล้ว
“ เออๆ กูรู้แล้ว ” ผมบอกมันก่อนจะรีบวิ่งขึ้นตึกเพื่อที่จะไปสอบ ถ้าวันนี้ผมไม่เจอมันผมจะทำยังไงนะ ผมคงนั่งคอตกอยู่ข้างรถของผมแน่ๆ
โชคดีจริงๆที่เจอมัน
“ โล่งจังโว้ยยยยยยยยยย ” ไอ้หมีมันแหกปากลั่นหน้าตึกคณะ
เออโล่งจริง
ตอนนี้พวกผมนั่งกันอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกหลังจากสอบเสร็จ มันเป็นการสอบที่ตื่นเต้นมากจริงๆครับเพราะว่ามันจะผิดพลาดไม่ได้ ถ้าผิดคือเสียคะแนน แต่ว่ามันก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญกลุ่มของผมถูกอาจารย์ชมเชยด้วยนะเออ ว่ารายงานข่าวได้ดี อันนี้ต้องให้เครดิตไอ้หมีมันเพราะมันเป็นผู้ประกาศ ลำดับการเล่าข่าวดีบลาๆๆๆๆ จบการสอบนี้พวกผมก็จะมีงานของคณะก็คือถ่ายนิตยสารโปรโมทมหาลัย
เหมือนจะว่างแต่ไม่ว่างเลยแฮะ
“ มึงทำดีมากนะภีมที่ไม่หลับ ” ท่านประธานมันชมไอ้ภีมที่ไม่ได้หลับในตอนสอบ มันดูแปลกตามากครับที่มันไม่แสดงอาการง่วงออกมาสักนิดเดียว
“ เมื่อคืนกูนอนเต็มอิ่ม ” เจ้าตัวบอกพร้อมกับทำหน้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วคืนอื่นๆมึงไม่ได้นอนหรอวะภีม
“ แล้วคืนอื่นมึงไม่นอนไหม ”
อะไรคือไม่นอนไหมวะ
“ ไผ่ มึงพูดอะไรอ่ะ ” ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ นับวันการพูดของมันเริ่มเข้าใจยากแบบยากสัสๆ
“ ไม่รู้ ”
“ ไอ้เตี้ยนี่ ” ไอ้เป้มันหวดไอ้ไผ่ด้วยค้อนลม เห้ยเป้มึงทำแบบนั้นไม่ได้นะไอ้ไผ่มันจะตายเอา แรงหวดมึงนี่ทำมันกระเด็นไปดาวอังคารได้เลยน่ะ
“ เป้ ”
“ อะไรมึง ”
“ มึงเลิกตีไอ้ไผ่สักทีเถอะ ถ้าจะตี ตีไอ้เผือกแทน ” ห่าหมี กูก็นึกว่ามึงจะแมนๆรับแทนไอ้ไผ่ เสือกโบ้ยไปให้ไอ้เผือกอีก
“ เกี่ยวไรกับกู ” ไอ้เผือกมันมองตาขวาง มึงโดนแน่หมี อยู่ดีไม่ว่าดี
“.....เห้ยหนม หิวข้าวว่ะไปกินข้าวกัน ” เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยไอ้บ้านี่ แบบนี้ก็ได้หรอวะ แต่จะว่าไปก็หิวเหมือนกันนะ เพราะผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้ว ถ้าผมยังไม่ได้กินข้าวผมต้องหมดแรงแน่ๆ
“ ปั้น วันนี้เราไปลานบลูกี่โมง ”
“ พี่กริมไลน์มาบอกกูว่านัดเวลาไปลานบลูแบบแน่นอนตอนบ่ายสาม ”
บ่ายสามงั้นหรอ
“ เห้ยหมี ไปตึกวิศวะกันไหม ” ผมเอ่ยปากชวนไอ้หมี ซึ่งผมก็เดาคำตอบได้ไม่ยาก
“ ไปๆๆๆๆกูไป ” มันตอบแบบไม่ต้องคิด มันจะไปส่องไอ้สัสขันแน่ๆเออพูดถึงไอ้ขันผมต้องไปด่ามันด้วยเรื่องรถผม
“ มึงจะไปทำไรที่ตึกวิศวะ ” ไอ้เป้มันถาม จะตอบยังไงดีวะ
ที่ผมจะไปที่ตึกวิศวะเนี่ยก็เพื่อที่จะไปขอบคุณไอ้ขุนที่มันมาส่งผมเมื่อเช้า คือจริงๆก็ขอบคุณไปแล้วล่ะครับเมื่อเช้าแต่แบบมันเร็วมากเกิน ผมเลยกะจะไปขอบคุณมันแบบเป็นทางการ และผมอาจจะถามมันเรื่องดอกไม้และโกโก้ด้วย ไหนๆไปแล้วก็คงจะกินข้าวที่ตึกนั้นเลย แต่ที่สำคัญสุดคือไปด่าไอ้ขัน
“ ไปหาไอ้ขันอ่ะ จะไปเคลียร์เรื่องรถกู ” โทษทีเพื่อนเป้ที่กูบอกมึงทั้งหมดไม่ได้ ไม่งั้นดีไม่ดีแม่งยกไปทั้งกลุ่มมันจะวุ่นวายซะเปล่าๆ
“ ไปยังหนม กูอยากไปแล้ว ” เร่งกูเชียวนะหมี
“ เออๆ เจอกันที่ลานนะมึง ” ผมบอกชาวแก๊งค์ก่อนจะเดินไปที่จอดรถกับไอ้หมี ดูจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ ไม่ควรเดินไปครับควรขับรถไป
ผมจะเจอไอ้ขุนไหมนะ ตึกวิศวะก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าเจอมันผมจะทำยังไงนะ อย่างแรกก็ต้องขอบคุณเรื่องที่มาส่ง แล้วก็ถามเรื่องที่ผมอยากจะรู้ แล้วก็ไปกินข้าว ส่วนเรื่องสุดท้าย...
คือด่าไอ้ขัน
เรื่องนี้ห้ามลืมเด็ดขาด
โรงอาหารตึกวิศวะ
“ อยู่ไหนวะ ” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆโรงอาหารเพื่อหาคนที่ผมอยากเจอ
ผมมาอยู่ในโรงอาหารของตึกวิศวะ ผู้ชายเยอะชิบ สำหรับคณะนี้ผู้หญิงถือว่ามีน้อยมาก ตั้งแต่ที่ผมกับไอ้หมีเดินเข้ามาก็พบกับสายตามากมายที่มองมา แน่ล่ะ มีเด็กนิเทศสองคนมายืนเด๋ออะไรอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ แต่ก็มีไม่น้อยนะครับที่เข้ามาทักทายไอ้หมี เอาจริงๆเรียกได้ว่าตลอดทางที่เดินเข้าอาณาบริเวณของวิศวะเลยล่ะ ห่านี่รู้จักเขาไปทั่วจริงๆ
“ หาใครวะ พี่ขันหรอ ”
“ ก็ใช่....แต่ว่า ”
“ อ้าวหมี มึงมาทำไรที่นี่เนี่ย ” ผมหันไปตามเสียงก็พบกับร่างสูงที่อยู่ในเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้ม สูงไม่พอแถมยังดูดีมาก
“ ดีพี่ชา พอดีหมีพาเพื่อนมา....มาหาข้าวกินน่ะพี่ ” ไอ้หมีตอบร่างสูง ทำไมคณะนี้ไอ้คนที่หล่อมันก็หล่อไปเลยวะ ไอ้คนที่หน้าเห่ยก็เห่ยไปเลย ไม่มีแบบกลางๆบ้างรึไง
“ มึงมาซะไกลเลยนะ แล้วนี่เพื่อนหรอ ”
“ ใช่พี่ มันชื่อขนมอ่ะ หนมนี่พี่ชาเย็น เป็นพี่ที่กูรู้จักอ่ะแดกเหล้าด้วยบ่อยๆ ” สหายในร้านเหล้าของไอ้หมีนี่เอง
“ สวัสดีครับ ” ผมยกมือไหว้พี่เขา แม่ผมสอนตลอดเลยนะครับว่าถ้าเราเพิ่งรู้จักใครและอยากให้มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีให้ยกมือไหว้ก่อน เพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมเป็นนัยๆ
ผมมองพี่ชา ( เรียกตามไอ้หมี ) ที่ยืนอยู่ตรงหน้า พี่เขาสูงกว่าไอ้หมีอีกแฮะ ใบหน้าคมนั่นคงมีสาวๆมาติดไม่น้อยเลยล่ะ จมูกโด่งเป็นสันแถมผิวขาวอย่างกับแดกกลูต้าไปทั้งโรงงานยังไงยังงั้น พี่แม่งขาวกว่าไอ้ขุนอีก
แน่ะ
นึกถึงไอ้ขุนอีกละ
“ ดีๆ มึงนี่ตัวเล็กจังวะ ” เอ่อ....ไม่ได้อยากจะตัวแค่นี้หรอกนะพี่ แต่แบบมันได้แค่นี้จริงๆ ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กอะไรขนาดนั้นป้ะวะ สูงตั้ง 170 เลยนะ
“ ฮ่าๆๆๆ พี่อย่าไปแซวมัน ” ไม่ต้องมาขำเลยไอ้ห่าหมี กูรู้ว่ามึงก็แอบเยาะเย้ยกูในใจเหมือนกัน
“ เอ้อ พวกมึงมากินข้าวไม่ใช่หรอ ไปนั่งที่โต๊ะกูดิ่ วันนี้มีคนเลี้ยงข้าวด้วยนะ ” พี่ชาเอ่ยปากชวน จะดีหรอวะ ยังหาไอ้ขุนไม่เจอเลย
“ ไปดิ่พี่ ชอบมากอ่ะของฟรี ” ไอ้หมีมันทำตาลุกวาว เห็นแก่กินจริงๆนะมึงเนี่ย
“ ตามกูมา ” พี่มันเดินนำไปที่โต๊ะมัน ไอ้หมีมันก็ลากผมให้เดินตามมันไป ไม่ต้องลากก็ได้ไหมกูเดินเองได้หมีเอ้ย
คือขามึงยาวไงกูตามไม่ทันไอ้สัส
“ กูเอาเด็กนิเทศมาฝากสองคน ” ผมมองโต๊ะยาวที่มีหนุ่มหล่อเถื่อนนั่งกันอยู่สี่คน เพื่อนพี่โคตรหน้าตาดี มีฝาแฝดอยู่ในกลุ่มด้วยแฮะ
“ เอามาทั้งทีไม่เอาผู้หญิงมาวะ ” พี่แฝดใส่แว่นพูดขึ้น
“ เออ เอาไอ้หมีมาทำไม ” พี่แฝดอีกคนพูดต่อ
“ เอาไอ้หมีไปทิ้งไป ” พี่หัวแดงพูดขึ้น ไม่เคยเจอเด็กวิศวะที่กล้าย้อมหัวสีสดขนาดนี้เลย สีหัวพี่แกนี่มองไกลจากสามตึกก็น่าจะเห็น
“ ใจร้ายจริงๆเลยนะพวกพี่ ” ไอ้หมีมันตัดพ้อก่อนจะนั่งลงข้างพี่หัวแดง จะว่าไปนี่ไอ้หมีมันไปรู้จักกับพี่ๆที่หน้าตาดีขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ
“ เออพวกมึงนี่เพื่อนไอ้หมี ชื่อ....ชื่อไรวะ ” พี่ชาหันมาถามผม แหม่พี่ไอ้ห่าหมีเพิ่งบอกไปตะกี้เอง ความจำปลาทองป้ะเนี่ยลืมไวจัง
“ ชื่อขนมครับ ”
“ กูชื่อแกงป่า เรียกแกงก็ได้ ไอ้หน้าแว่นนั่นชื่อข้าวก้อง เรียกไอ้เชี่ยก้องก็ได้ ส่วนไอ้หน้าเหมือนไอ้แว่นนั่นชื่อข้าวหอมเรียกมันว่าไอ้สัสหอมก็ได้ ส่วนไอ้ที่นั่งหน้าบึ้งเหมือนจะแดกโทรศัพท์เข้าไปนั่นชื่อสยาม ”
เป็นการแนะนำชื่อเพื่อนที่เถื่อนมากครับ
“ ไหนใครจะเลี้ยงอ่ะพี่ หมีหิวข้าว ” ไอ้หมีมันเรียกร้องหาข้าวทันที จะว่าไปผมก็หิวมากเลยตอนนี้ ท้องร้องจ๊อกๆแล้ว
“ นั่นไง มันมานั่นละ ” ผมหันตามนิ้วของพี่แกงที่ชี้ไปทางคนที่เดินถือของพะรุงพะรัง มันคือคนที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง
ไอ้ขุน
แล้วทำไมหัวเปียกแบบนั้นวะ
“ เห้ย เกิดไรขึ้นเนี่ย ทำไมน้องมานั่งกับพวกมึง ” มันเดินมาหยุดที่โต๊ะพร้อมกับมองเพื่อนๆมันด้วยสายตาแปลกๆ
“ มึงไปทำอะไรกับหัวมา ”
“ อาจารย์วิชัยเทน้ำลงมาแล้วกูก็เดินไปตรงนั้นพอดีก็เลยเปียกแบบนี้ ว่าแต่น้องมานั่งกับพวกมึงได้ไง ”
“ เจอแถวถังขยะเลยเก็บมา ”
“ ตลกนะมึง หลบๆ ไอ้หมีมึงก็หลบ ” ไอ้ขุนมันวางของก่อนจะเข้ามานั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้หมี ไอ้สัสที่ตั้งว่างมึงจะนั่งแทรกทำซากอะไรวะ
“ มึงจะไปนั่งตรงนั้นทำไมวะ ”
“ ความสุขกู แดกไปดิ่เนี่ยะของกูซื้อมาให้ละ ” ไอ้ขุนมันหยิบขนมปาใส่พี่ชาเย็น ไอ้บ้านี่หนิของกินใครเขาเอามาปาเล่นกัน มันบาปนะ
ผมนั่งมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสภาพที่หัวเปียก ตอนนี้ผมมันเสยลู่ไปข้างหลังจนเห็นหน้าขาวชัดเจน มองใกล้ๆนี่จมูกมันสวยชะมัด โด่งเป็นสันสวยไหนจะคิ้วเข้มๆนั่นอีก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ว่ะ
อยากเอามีดมาโกน
“ กูหล่อสินะ ”
“ เพ้อเจ้อว่ะมึงอ่ะ ”
“ ก็เห็นมองอยู่นั่นแหละ ”
กูมองมึงด้วยความหมั่นไส้เว้ย!!!!
“ ทำไมมึงสองคนดูเหมือนรู้จักกันมาก่อนวะ ” พี่แว่นมองอย่างสงสัย
“ จะไม่รู้จักกันได้ไงพี่เมื่อวันก่อนโน้นพี่ขุนยังเอาดอกไม้ไปให้ไอ้หนมอยู่เลย ”
“ เชี่ยหมี!!!!! ” มึงนี่จะทำให้ชีวิตกูไม่สงบรึไง
รู้กันแค่ในนิเทศก็พอแล้วไหมล่ะมึง กูต้องมาเป็นที่รู้จักของที่วิศวะด้วยรึไงวะ แล้วคือทุกอย่างตอนนี้กำลังเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากที่ไอ้หมีพูดออกมา แต่ว่านะเอาจริงๆแล้วไอ้ขุนมันเป็นเพื่อนกับพี่ๆพวกนี้พวกพี่มันก็น่าจะรู้นะว่ามันเอาดอกไม้ไปให้ผม
หรือว่าไม่รู้วะ
“ เชรดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ”
เอ่อ พี่มึงไม่ต้องเสียงดังกันขนาดนั้นก็ได้
คนแม่งมองกันทั้งโรงอาหาร
“ คนนี้เองหรอวะไอ้สัสขุนที่มึงเอาดอกไม้ไปให้ ”
“ กูนึกว่าจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ” เอ่อ พี่แกงครับ ผมผิดอะไร ผมไม่เป็นผู้เป็นคนตรงไหน
“ เรื่องของกูน่า....ว่าแต่มึงชื่ออะไร ” ไอ้ขุนถามผม นี่มึงยังไม่รู้จักชื่อกูอีกหรอ กูยังรู้จักชื่อมึงโดยที่กูไม่ต้องถามมึงเลยไอ้บ้า
“ กูชื่อขนม ”
“ อะไรมึงวะไอ้ขุน จะจีบน้องเค้ามึงยังไม่รู้จักชื่อเค้าเนี่ยนะ ”
ห้ะ
พี่แกงว่าอะไรนะ
“ หุบปากไปมึงอ่ะ ” มันปาหลอดใส่พี่แกง ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับผม
ยิ้มอีกละ
“ ชื่อขนมหรอ ” ผมเลิกคิ้วมองมัน กูก็เพิ่งบอกเมื่อกี้ป้ะมึงจะถามซ้ำทำซากอะไร สมองปลาทองอีกคนหรอไอ้สัส
“ เออ ”
“ ชื่อน่ากินเชียว ”
ฉ่า
น่ากินพ่อง
“ แก้มแดงอีกละ ร้อนหรอ มึงนี่ขี้ร้อนจังเลยนะ ” มันยิ้มอย่างกวนประสาท ไอ้สัสเอ้ยได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง
ผมหยิบขนมที่มันซื้อมาแกะกินแก้อาการเขิน ไม่ใช่เว้ย แก้อาการหิวต่างหาก ที่ผมเป็นแบบนี้อาจจะมาจากความหิวของผมก็ได้ ในระหว่างที่ผมกินขนมปังมันก็หยิบโน่นหยิบนี่มาให้ผม คือแบบมึงอยู่นิ่งๆเป็นไหม นั่งกินนิ่งๆอ่ะ แม่ผมสอนตลอดว่าเวลาเรากินข้าวหรือว่ากินอะไรก็ตามให้นั่งกินนิ่งๆ มันจะได้ไม่หกเลอะเทอะ
“ สอบเป็นไงบ้าง ”
“ ก็โอเคอ่ะ เออ เรื่องเมื่อเช้ากูอยากขอบใจมึงจริงๆ ถ้ามึงไม่ผ่านมากูคงมาสอบไม่ทัน ” รู้สึกขอบคุณมันจริงๆครับ แม่งเป็นเหมือนฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยอ่ะ
“ ถ้าอยากขอบใจกูจริงๆ งั้นให้ไลน์กู ”
ให้เพื่อ
“ มึงจะเอาไปทำไม ”
“ กูไม่เอาไปส่งเกมส์หรอกน่ะ ” ผมมองมันอย่างลังเล ไม่รู้สิครับผมไม่อยากให้ไลน์กับคนที่ผมยังไม่รู้จักดี
แต่มันช่วยมึงไว้นะหนม
“ เอาโทรศัพท์มึงมา ” ผมแบมือขอโทรศัพท์จากมัน มันก็รีบหยิบโทรศัพท์มาวางไว้บนมือผม โทรศัพท์ใส่เคสสีเหลืองเหมือนของผมด้วยว่ะ
เอ้า
มีรหัสล็อคไว้
“ มันล็อค ” ไอ้บ้านี่แทนที่จะปลดล็อคให้ก่อน ทำอย่างกับกูรู้รหัสมึงงั้นแหละ
“ วันเกิดมึง ”
เดี๋ยว....เกี่ยวไรกับวันเกิดกู
“ วันเกิดกูทำไม ”
“ ก็มันเป็นรหัส ” มันกดรหัสสี่ตัวซึ่งเป็นวันเกิดและเดือนเกิดของผมลงบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อปลดล็อค
เหมือนสมองผมยังไม่เข้าใจเรื่องรหัสอยู่
“ ทำไมมึงถึงรู้วันเกิดกูได้อ่ะ ”
มันน่าสงสัยมากจริงๆนะครับ มันไม่รู้จักชื่อผมด้วยซ้ำตอนแรกน่ะ แต่มันดันรู้วันเกิดผมก่อน แถมยังเอามาตั้งเป็นรหัสปลดล็อคโทรศัพท์ตัวเองอีก โทรศัพท์ตัวเองควรใช้วันเกิดตัวเองสิไอ้บ้ามาใช้วันเกิดคนอื่นได้ไง
“ เพราะว่ามึงมีไอ้หมีเป็นเพื่อนไง ”
หึ....ห่าหมีนี่เอง
“ มึงบอกมันหรอหมี ” ผมมองไอ้หมีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ มึงนี่ใครมาถามอะไรมึงบอกหมดเลยรึไงห้ะ
“ ก็พี่เขาถามกูก็เลยบอก ” มันฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ น่าหมั่นไส้สัสๆ ไว้กลับคณะก่อนกูจะให้ไอ้เป้กระทืบมึงให้ยับเลย
“ ถึงมันไม่บอกยังไงกูก็ต้องไปสืบมาจนได้แหละ ” สืบทำไมวะมึงเป็นโคนันรึไง
จะโคนันจะโคขุนจะห่าไรก็ช่างแม่ง
ผมเปิดเข้าไปเพิ่มเพื่อนจากไอดีไลน์ให้มันก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน ไม่ต้องยิ้มหน้าบานขนาดนั้นก็ได้ไอ้สัส ถ้ามึงส่งเกมส์มาให้กูนะกูบล๊อกแน่ พูดถึงคนที่ชอบส่งเกมส์มาให้บ่อยๆ ผมก็รู้สึกคันมือคันเท้าและคันปากขึ้นมาทันที และตั้งแต่ที่เข้าตึกวิศวะมาก็ยังหามันไม่เจอเลย
มันอยู่ไหนของมันวะ
“ มึงมองหาใครหรอ ” ไอ้ขุนมันถามก่อนจะทำเป็นมองไปรอบๆเหมือนที่ผมมอง
“ หาคน ”
นั่นไง
เดินหน้าชั่วมานั่นละ
“ เดี๋ยวกูมานะหมี ” ผมบอกไอ้หมีก่อนจะถือแก้วใส่น้ำเดินไปทางร่างสูงที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร หงุดหงิดมากหงุดหงิดจริงๆ มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่มันทำกับผม
ซ่าาาาา
“ เห้ยยยยยยย ” เสียงโวยดังลั่นโรงอาหาร มันดังมากพอที่จะดึงสายตาให้มองมาที่นี่ แต่ช่างดิ่ ผมไม่สนใจเพราะคนที่ผมสนใจมากที่สุดตอนนี้คือไอ้คนที่ผมเพิ่งสาดน้ำใส่หน้ามันไปตะกี้
ไอ้สัสขันไง
“ ไอ้หนม!!!!!!! ” ไอ้หมีมันรีบวิ่งมาหาผมทันทีเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่ไอ้หมีพวกพี่ๆมันก็ตามกันมาทั้งโต๊ะ
“ น้องหนมทำไรเนี่ย ” พี่แช่มถามอย่างตกใจ ไม่ใช่แค่พี่แช่มหรอกที่ตกใจ สิ่งที่ผมทำใครเห็นใครก็ตกใจ คิดดูว่ามีเด็กนิเทศมาจากไหนก็ไม่รู้เอาน้ำมาสาดใส่หน้าเฮดว้ากผู้ซึ่งเป็นที่เคารพกันอย่างกว้างขวางในบรรดาของรุ่นน้องวิศวะ
ผมอาจจะโดนตามกระทืบก็ได้
ไม่เป็นไรเรื่องนั้นค่อยว่ากัน
“ มึงเป็นอะไร ” ไอ้ขันมันเสยผมที่เปียกขึ้นไปไว้ด้านบนพร้อมกับส่งสายตานิ่งๆมาเพื่อบ่งบอกว่ามันกำลังโกรธ ไม่ใช่แค่มึงที่โกรธว่ะขัน กูก็เหมือนกัน
“ กูต้องถามมึงมากกว่าว่ามึงเป็นไร ” ผมผลักอกมันอย่างแรง เรื่องนี้ถึงหูแม่แน่ ถึงหูพี่เขมด้วย ผมไม่ยอมจริงๆครั้งมันทำเกินไป
“ ไอ้หนมใจเย็นก่อน ” ไอ้หมีมันดึงแขนผมไว้
“ พี่ขันพี่แช่มสวัสดีพี่ มีเรื่องอะไรกันอ่ะ ” ไอ้ขุนมันถามก่อนจะมองผมกับไอ้ขันสลับไปมา
“ เออน้องแว่น มึงเอาน้ำมาสาดใส่พี่ขันทำไมมันเลยสงกรานต์มานานแล้วนะมึง ”
“ เออ เดี๋ยวพี่ขันเค้าก็กระทืบให้หรอกมึงยิ่งตัวเล็กๆอยู่นะ ”
“ อย่าทะเลาะกันเลย ”
พวกพี่ๆมันช่วยกันดึงผมไว้ให้ห่างจากไอ้ขัน แถมยังเอาตัวมาขวางกันไว้อีก พวกพี่มึงเป็นห่วงกูหรือมึงเป็นห่วงรุ่นพี่พวกมึงกันวะ โดยเฉพาะไอ้ขุนที่เสนอหน้าแทบจะไปไกล่เกลี่ยให้
“ ปี 2 มึงหลบไป ” ไอ้ขันมันสั่งเสียงนิ่ง
“ แต่ว่า ”
“ ปี 2 !!!!!!!!! ” ไอ้ขันมันตวาดใส่พวกไอ้ขุนลั่นโรงอาหาร เชี่ยนี่เสียงดังชิบหาย ผมเห็นมีเด็กสะดุ้งกันไปเป็นแถบๆ
“ ครับพี่ ”
“ พวกมึงไม่ฟังที่กูพูดใช่ไหมล่ะ กูยังเป็นรุ่นพี่มึงอยู่ป้ะ ”
“ พี่ขัน ”
“ ไปวิ่งรอบโรงอาหารสิบรอบ ไป!!!!!!!!!!!! ” มันออกคำสั่งดังลั่น แน่นอนว่ามันสั่งแบบนั้นพวกไอ้ขุนก็ต้องทำตาม
“ ขนม.... ” ไอ้ขุนมันมองผม สีหน้ามันมีความกังวลอย่างชัดเจน มึงจะทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ
ผมมองไอ้ขุนและพวกพี่ๆที่วิ่งกันออกไปก่อนจะหันกลับมามองทางไอ้ห่าขัน มันเองก็มองผมนิ่งๆสายตามันตอนนี้อ่านยากชะมัด แต่ผมคิดว่ามันก็คงจะโกรธเพราะผมมันทำแบบนี้ในที่สาธารณะ แต่ว่านะ คนอย่างมันอ่ะสมควรโดนแล้ว
ชอบแกล้งคนอื่นดีนัก
“ คลัมดาวน์นะหนมนะ ไงก็พี่น้องกันนะ ” ไอ้หมีมันลูบแขนผมเชิงว่าให้ใจเย็น มึงไม่เข้าใจกูหรอกหมี มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เปิดฝากระโปรงรถแล้วเจอผักตบชวาหรอก
มึงไม่รู้หรอกว่ามันเศร้าขนาดไหน T^T
“ มึงเป็นไรไอ้หนม เอาน้ำมาสาดกูไม ”
“ มึงนั่นแหละเอาผักตบชวามาไว้กระโปรงรถกูทำไม ”
“ ผักตบชวาอะไร กูไม่เห็นจะรู้เรื่อง ” มันทำหน้าใสซื่อมองผม ไม่รู้ก็เชี่ยแล้ว ไม่ใช่มึงใครจะทำไอ้สัส
“ มึงโกหก ”
“ กูเปล่านะ ใครเขาจะเอาผักตบชวามาใส่กระโปรงรถคนอื่น บ้าไปแล้ว ”
“ คนบ้าก็มึงไงไอ้บ้า กูฟ้องแม่แน่ มึงไม่รอดหรอก ”
“ หนมมึงใจเย็นๆ ”
“ ใครจะเย็นไหววะหมี มึงเป็นเพื่อนกูนะมึงต้องเข้าข้างกูสิ กูโดนมันแกล้งอ่ะ ”
วันหลังนะถ้ามีเรื่องมาเคลียร์ผมจะเอาไอ้เป้มา เอาไอ้หมีมานี่ไม่ได้เรื่องจริงๆหรือเพราะว่าคู่กรณีเป็นไอ้ขันวะไอ้หมีมันเลยเอาแต่ห้าม ไม่คอยหนุนผมเลย
“ มึงงอแงอ่ะหนม ”
“ งอแงห่าไร กูไม่ได้งอแง ”
“ มึงงอแง ”
“ ไอ้เชี่ยขัน ” แล้วผมก็เข้าไปกระหน่ำตีมันรัวๆ นี่แน่ะๆๆๆๆๆๆไอ้บ้านี่ มึงมันเป็นพี่ที่เลวมาก
“ โอ้ยๆ เจ็บ ไอ้เชี่ยหนม ” ไอ้ขันมันวิ่งหนีผม อย่าหนีนะมึง มึงต้องโดนกูตีจนตาย
“ ไอ้หนมอย่า ”
“ ปล่อยกูหมี ไอ้ขันมันต้องตาย ”
“ ไม่ ไม่ได้พี่ขันจะตายไม่ได้กูไม่ยอม ”
“ ไอ้เชี่ยหมี ” สัสเอ้ยแม่งวิ่งหนีไปโน่นละ เพราะมึงคนเดียวเลยห่าหมี ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างดูคลี่คลายลงเพราะไอ้สัสขันมันวิ่งหนีผมไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแค่พี่แช่มที่อยู่ตรงนี้ และก็มีเด็กวิศวะคนอื่นก็ยังดูไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ ไม่เป็นไรนะน้องหนม ”
“ ไม่เป็นไรก็ได้พี่ แต่ฝากถีบไอ้ขันสักทีนะ หนมหมั่นหน้าแม่งมากจริงๆ ”
“ ได้สิ เดี๋ยวพี่จัดการให้ ”
“ อย่าถีบแรงมากนะพี่เดี๋ยวพี่ขันเจ็บอ่ะ ” ผมมองตาค้อนใส่ไอ้หมีทันทีที่มันพูดจบ นี่ตกลงมึงเป็นพวกกูหรือพวกมันกันห้ะไอ้บ้าหมี
“ สัสหมี มึงกลับคณะกับกูเดี๋ยวนี้เลย ไปก่อนนะครับพี่แช่ม ” พูดเสร็จผมก็ลากไอ้หมีออกมาจากโรงอาหารทันที ตอนนี้ยังรู้สึกหัวร้อนไม่หาย แต่ก็ถือว่าโล่งกว่าเมื่อเช้าหน่อย ถือว่ามาที่นี่แล้วไม่เสียเที่ยว ได้ทั้งขอบคุณไอ้ขุนและก็ด่าไอ้ขัน
เดี๋ยวนะ
เหมือนมีอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ
ตื้อดึง...
ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะเปิดเข้าไปอ่านไลน์ที่ถูกส่งเข้ามา นี่มันไลน์ของคนที่ผมเพิ่งให้ไปนี่
ขุนจึกกก : กลับตึกรึยัง เป็นยังไงบ้างพี่ขันเค้าทำอะไรมึงรึเปล่าผมอ่านข้อความที่ไอ้หล่อมันส่งมา ถ้ากูจำไม่ผิดไอ้ขันมันสั่งมึงให้วิ่งรอบโรงอาหารนี่ มึงวิ่งไปพิมพ์ไปหรอวะ
คาหนม : กูไม่เป็นไร กำลังจะกลับตึก
ขุนจึกกก : ค่อยยังชั่วที่เค้าไม่ได้ทำอะไรมึง กูเป็นห่วงมึงชิบ กลัวโดนพี่ขันกระทืบเป็นห่วง
มึงจะมาเป็นห่วงกูทำไม
อา....นึกอีกเรื่องออกแล้วล่ะครับ ที่ผมมาที่นี่อีกเหตุผลนึงก็คือตั้งใจจะมาถามไอ้ขุนถึงเรื่องช่อดอกไม้ โกโก้ แล้วก็เรื่องอื่นๆที่ผมอยากรู้อีก มันจะได้หายคาใจผมสักที แต่ดูจากทรงวันนี้คงไม่ได้ถามแล้วล่ะ ช่างมัน
คาหนม : มันไม่กล้าทำไรกูหรอก มึงก็วิ่งดีดีล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วงขุนจึกกก : ครับ * สติ้กเกอร์รูปยิ้ม *หึ....มึงนี่มันจริงๆเลยไอ้ขุน
“ มองโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” ไอ้หมีมันแซวผม แซวไม่พอดึงแก้มกูอีก มือมึงเปื้อนอะไรมาป้ะเนี่ยะเดี๋ยวหน้ากูเป็นสิว
“ ยุ่งว่ะมึงอ่ะ ”
ผมเก็บโทรศัพท์ก่อนจะขึ้นรถ ในหัวตอนนี้ก็ยังมีแต่เรื่องของไอ้ขุน ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนๆคนนึงจะมีผลต่อชีวิตเราในหลายๆอย่าง ถึงมันจะยังไม่ได้มีอิทธิพลมากแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ปกติ
เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปแต่งนิยายท่าจะดีแฮะ
กูเป็นห่วงมึงชิบ
“ อยู่ดีดีอย่ายิ้มสิไอ้หนมกูกลัวนะ ”
ไอ้สัสหมี มึงนี่มัน....
TBC.
คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ