พิมพ์หน้านี้ - LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: chaleeisis ที่ 02-11-2017 21:52:54

หัวข้อ: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-11-2017 21:52:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************


" ชีวิตจริงมันไม่เหมือนกับนิยายแต่นิยายบางเรื่องมันก็สร้างมาจากชีวิตจริง "


--------------------------------------------------------------------------------------------------


Coincidence

 
คุณเชื่อในเรื่องของความบังเอิญไหม
ผมก็ไม่เคยคิดหรอกนะ ว่าที่เราบังเอิญเจอกันวันนั้นมันจะให้เรื่องราวเกิดขึ้นมาจนวันนี้
ตั้งแต่วันที่มันเริ่มเข้ามาในชีวิตของผม....เรื่องราวในนิยายที่ผมเขียนก็เริ่มเปลี่ยนไป


--------------------------------------------------------------------------------------------------


LoveWriteProject : LoveWrite เขียนสื่อรัก
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis (https://twitter.com/Chaleeisis)
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
[/b]
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 1 : 2/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-11-2017 22:00:42
บทที่ 1 เรื่องที่แปลกกว่าปกติ [Rewrite 100%]

ริมฝีปากบางประกบลงกับกลีบปากสีชมพูอย่างแผ่วเบา

แผ่วเบาแล้วอะไรต่อวะ

สอดลิ้นไหมสอดลิ้น

สอดลิ้นทำไมวะ

“โว้ยยยยมันยากจังวะ” ผมโวยวายอย่างหัวเสียที่หน้าโน้ตบุ๊คเพื่อนยาก แค่ฉากจูบทำไมมันถึงแต่งยากแบบนี้วะ นี่ยังไม่คิดว่าจะต้องแต่งฉากที่ได้กัน

โอ้ก๊อดดดด

สมองน้อยๆ จะระเบิด

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหล่ารี้ดที่รักถึงได้อยากอ่าน Nc นักหนา ทั้งๆ ที่ผมคิดว่า เออ นิยายวายใสใสก็มีมากมายถมไป ถ้าเราเรียบเรียงหรือบรรยายเนื้อเรื่องออกมาได้ดีมันก็สนุก ไม่จำเป็นต้องมีฉาก Nc ก็ได้ แต่ด้วยความที่มีเสียงเรียกร้องมาอย่างล้นหลามว่าให้แต่ง Nc ลงให้สักตอน และก็เป็นผมเองที่ทนความออดอ้อนพวกนั้นไม่ได้จึงต้องมานั่งทรมานสมองตัวเองแต่ง Nc ของตอนพิเศษอยู่แบบนี้

ชีวิตขนมช่างน่าสงสาร

ผมชื่อ ‘ขนม’ เคยถามแม่นะครับว่าทำไมถึงตั้งชื่อผมแบบนี้ แม่บอกว่าตอนที่จะมีผมเนี่ย แม่ชอบกินขนมมากไม่ว่าจะเป็นขนมไทยขนมนอก เรียกได้ว่ากินแทนข้าวเลย สรุปแล้วก็คือเพราะชอบขนมมากก็เลยเป็นที่มาของชื่อผมนั่นเอง
แล้วถ้าตอนนั้นแม่ชอบกินตะขบล่ะ

ช่างเถอะ....อย่าไปคิดมัน

ผมเป็นน้องคนเล็กของบ้าน มีพี่สาวสองคนและพี่ชายคนนึง พี่สาวคนโตชื่อเขม เธอสวยมากแถมยังเป็นคนที่ใจดีกับน้องเล็กอย่างผมที่สุด พี่เขมเธอทำงานเป็นนางแบบ ตอนนี้ก็รับงานอยู่ที่ฝรั่งเศสแถมบอกผมไว้ก่อนจะไปด้วยว่าจะซื้อครัวซองกลับมาฝากสามลัง

กะให้น้องกินจนอ้วนตายไรงี้

พี่สาวคนรองของผมชื่อแขครับ เป็นคนเจ้าระเบียบมาก ผมกับพี่แขนี่อยู่ด้วยกันยากเพราะผมไม่มีความเป็นระเบียบในชีวิตเลย ไม่ใช่สิ ความเป็นระเบียบของคนเรามันไม่เหมือนกันต่างหาก เอาเป็นว่าเธอไม่เข้าใจระเบียบของผม ตอนนี้พี่แขช่วยป๊าทำงานอยู่ในบริษัทครับเพราะว่าเจ้าตัวถนัดด้านจัดระเบียบงานและบริหารผู้คน
ส่วนพี่ชายของผมนั้นชื่อไอ้เชี่ยขัน ผมไม่ค่อยเคารพมันเท่าไหร่เพราะมันขี้แกล้ง ตอนนี้มันเรียนอยู่ปี 3 วิศวะฯ โยธา มันหล่อมากแต่ก็เชี่ยมากเหมือนกัน แถมยังชอบกรอกหูผมว่าการแต่งนิยายนั้นมันจะทำให้สมองผมตาย

ดูคำพูดคำจามันสิ

อย่างที่เห็นก็คงจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าผมเป็นนักเขียน ไม่ใช่นักเขียนธรรมดานะครับเป็นนักเขียนนิยายวาย นิยายวายคือนิยายที่เกี่ยวกับรักร่วมเพศแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Yaoi [ยาโอย] เป็นชายรักชาย และ Yuri [ยูริ] เป็นหญิงรักหญิง นิยายวายที่ผมแต่งนั้นเป็นชายรักชาย ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกย์ ผมไม่ชอบผู้หญิงและก็ไม่ชอบผู้ชาย คือเรียกได้ง่ายๆ ว่าไม่รู้สึกชอบเพศไหนเลย ผมไม่เคยมีแฟน
ผมคิดว่าความรักมันเป็นสิ่งที่ดีและก็สวยงามนะแต่ว่าผมก็ไม่คิดจะมีมัน
ช่างเถอะ....ผมไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้ว ที่มาแต่งนิยายนี่ก็แค่อยากระบายสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ มันเป็นการฝึกการเรียบเรียงคำพูดของผมด้วยเพราะผมพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ ที่ผมไม่แต่งชายหญิงเพราะว่าผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคิดอะไรและใช้คำพูดยังไง ผมเป็นผู้ชายผมย่อมรู้ความคิดของผู้ชายดี พอเป็นแบบนั้นก็เลยแต่งเป็นนิยายชายชาย ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เคยมีความรู้สึกรักก็จริงแต่ว่าผมคิดว่าตัวเองเข้าใจมันนะเพราะงั้นผมถึงได้แต่งนิยายรัก ช่วงแรกๆ มันก็ยาก พอนานๆ ไปมันก็เริ่มชิน แล้วก็กลายเป็นหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่ผมต้องทำทุกวันเวลาผมว่าง อย่างหลังอาบน้ำ ก่อนนอน หรือก่อนไปเรียน

ไปเรียน

“ห่า อีก 10 นาที ชิบหายละ” ลืมไปเลยครับว่ามีเรียน ผมรีบปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที ผมเป็นแบบนี้ตลอดเลยเวลาที่ได้แต่งนิยาย มักจะลืมเวลา ลืมแม่งทุกอย่าง

ลืมแบบลืมจริงๆ ด้วยนะ

ผมต้องรีบวิ่งไปให้ทันเช็กชื่อเพราะอาจารย์วิชานี้ก็โหดมาก ขืนผมไปสายอีกเขาต้องให้ผมวิ่งรอบตึกแล้วตะโกนว่า ‘ผมจะไม่มาสาย’ อย่างที่เคยทำแน่ๆ

ชีวิตผมควรอับอายแค่ครั้งเดียวถูกไหม


มหา’ลัย P

“คณาณัฐ”

“แฮ่ก....มาครับ” ผมขานรับทันทีที่เข้ามาในห้อง โชคดีเป็นบ้าที่มาทันเวลา

“คุณเกือบสายแล้วนะนักศึกษา”

ผมขยับแว่นเบาๆ ทีนึงก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่ประจำของตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลัง เหนื่อยชิบ สาบานเลยว่าถ้าต้องมาเรียนคลาสนี้อีกผมต้องตั้งเตือนให้ตัวเองมาก่อนสักครึ่งชั่วโมง เหงื่อเต็มเสื้อเลยแฮะ ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย มันเหมือนตัวเองไม่สะอาด

“เกือบสายแล้วนะมึงอะ ซื้อชีทมารึยัง”

“เออ กูโทรไปหาก็ไม่รับไอ้บ้า”

“มึงจะไปว่ามันทำไมวะ มันก็มาทัน”

“ทำอะไรอยู่วะทำไมมาช้า”

“กินไรมายัง กูซื้อขนมปังมาเผื่อมึงด้วย”

“คร่อก...ก....”

เอิ่ม.....ใจเย็นๆ นะเหล่าสหาย

ผมหยิบสมุดเลคเชอร์กับกระเป๋าปากกาในกระเป๋าออกมาวางไว้บนโต๊ะ ระหว่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาทั้ง 5 คู่ที่จ้องมองมาเพื่อรอคำตอบ

“ยังไม่ได้ซื้อชีท แต่งนิยายอยู่ ยังไม่ได้กิน แล้วทำไมไอ้ภีมต้องนอนน้ำลายยืดแบบนั้นด้วยวะ” ผมมองเพื่อนรักที่ฟุบหลับอยู่โดยที่มีน้ำใสใสไหลออกมาจากมุมปาก ห่าภีมทำอะไรไม่เคยเหมาะกับหน้าตาเลย

“ไอ้ภีม”

“ภีม”

“ภีมมมม”

โครมมมม

“เห้ยเป้!!!” ผมมองร่างไอ้ภีมที่ถูกไอ้เป้ถีบจนร่วงไปนอนกองกับพื้น เดี๋ยวนะเป้แค่ปลุกมันมึงต้องใช้ความรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ โถ่เพื่อนภีมไม่น่าเลย

“มึงเห็นไหมหนมว่ามันไม่ตื่น” ไอ้เป้บอกผมก่อนจะหยิบสมุดที่วางอยู่บนโต๊ะไปกระหน่ำตีไอ้ภีมซ้ำ

“ไอ้เป้เดี๋ยวมันตายไอ้สัส” ผองเพื่อนรีบช่วยกันห้าม แต่ไอ้เป้มันแรงเยอะมาก รั้งแขนรั้งขานี่ไม่สะเทือนเลยนะ

“มันโดนกูด้วยเนี่ยไอ้เป้”

“อื้ออ.อ....กูเจ็บ”

“เจ็บก็ตื่นสิโว้ยยยยยยยยยยย” แหกปากไปอีก มึงแดกโทรโข่งเข้าไปเหรอวะเพื่อนรัก
ผมรั้งเอวไอ้เป้ไว้เพื่อให้มันเลิกตีไอ้ภีม ส่วนเพื่อนอีกสี่คนก็ลากไอ้คนที่หลับอยู่ให้ออกไปจากรัศมีการตีของไอ้เป้ ชีวิตมันต้องขนาดนี้ไหมมึง ห่านี่ก็โหดเหลือเกิน เชี่ยโน่นก็ไม่ยอมตื่น สิ่งที่ผมคิดแม่งต้องเกิดขึ้นแน่ๆ

“นักศึกษา.....พวกคุณทำอะไรกัน”

นั่นไง....


หน้าตึกคณะนิเทศศาสตร์


“ผมจะตั้งใจเรียน...แฮ่ก...”

“ผมจะ....แฮ่ก....ตายแล้ว”

“ผมง่วง”

“ไอ้ภีม!!!”

“ไม่ไหว....โอ๊ย” ผมทรุดตัวลงกับพื้นหน้าตึกของคณะอย่างหมดแรง อาจารย์จะสั่งลงโทษให้วิ่งรอบตึกท่ามกลางแดดร้อนๆ แบบนี้ไม่ได้น่ะ แดดเที่ยงวันนี่มันโหดร้ายกับชีวิตนักศึกษาตัวน้อยๆ อย่างพวกผมเกินไป

“หนมกูยืมตักหน่อย” ไอ้ภีมจะคลานมาหาผมแต่ไอ้เป้ดึงขามันไว้

“ยังไม่สำนึกอีกหรอมึงน่ะ พวกกูต้องมาวิ่งเพราะมึงหลับนะ”

“เพราะมึงปลุกกูต่างหาก ถ้ามึงปล่อยกูหลับนะเป้ เรื่องจบแล้ว”

“เลิกเถียงกันเถอะว่ะ....สัสเอ๊ยโคตรดูไม่จืดเลย” จริงตามที่ไอ้ปั้นพูด แม่งโคตรดูไม่จืด เสื้อนักศึกษาพวกผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ แล้วเดี๋ยวคลาสบ่ายต้องขึ้นไปห้องสตูดิโอเพื่อซ้อมรายงานข่าวอีก

รายงานข่าว

“มึงเขียนสคริปข่าวเสร็จรึยัง” ผมหันไปถามไอ้ไผ่เพราะหน้าที่การเขียนสคริปข่าวเป็นของมัน

“เสร็จแล้วสิ”

“เออดี เอามาให้กูดูด้วย” แค่คิดว่าต้องมีซ้อมรายงานข่าวก็เบื่อแล้ว อยากกลับหอไปนอนแต่งนิยายจัง

“อาจารย์ต้องคาดหวังกับกลุ่มท่านประธานแน่ๆ ” ใช่หมี....กูก็คิดแบบมึง

พวกผมคือกลุ่มท่านประธานครับ

ที่ได้ชื่อว่ากลุ่มท่านประธานก็เพราะว่ามีประธานนักศึกษาของคณะนิเทศศาสตร์อยู่ในกลุ่มนี้นั่นก็คือ ไอ้ปั้น รวมๆ แล้วแก๊งค์ผมมีกัน 7 คน คือ ผม ปั้น ไผ่ เป้ ภีม หมี เผือก โดยที่พวกผมนั้นเป็นเด็กปี 1 ที่ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ทั้งถ่ายรูป ตัดต่อ ทำสื่อบลาๆ ด้วยความที่ทำเป็นทุกอย่างนี่แหละ งานของคณะมันก็เลยตกมาอยู่ที่กลุ่มผมเป็นประจำ แต่ไม่เป็นไรครับเพราะงานแบบนี้ยิ่งทำมากยิ่งส่งผลดีกับตัวเอง ถึงแม้ว่าแม่งจะเหนื่อยชิบหายก็เถอะ พวกรุ่นพี่เขาบอกมาว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่ไอ้ปั้นมันจะเหนื่อยกว่าพวกผมนิดหน่อยเพราะมันเป็นประธาน ต้องรับผิดชอบห่าเหวอะไรอีกเยอะแยะ
ผมว่าเรามารู้จักกลุ่มท่านประธานกันอย่างแจ่มแจ้งดีกว่า

ปั้น ปัญธร เป็นท่านประธานคณะแต่เอาจริงๆ แม่งไม่ได้เต็มใจหรอก ที่ได้ตำแหน่งนี้มาเป็นเพราะการโหวตของเพื่อนๆ ไอ้ปั้นทำงานเก่งนะแถมยังประสานงานระหว่างสาขาได้ดีด้วย ผมอิจฉาความสูงของมันมาก สูงไม่พอแถมหล่ออีก มันนับว่าเป็นหนุ่มที่ฮอตของนิเทศฯ เลยนะครับ ส่วนเรื่องนิสัยก็เจ้าเล่ห์สุดๆ มีวาทะศิลป์เป็นเลิศ พูดโน้มน้าวใจคนอย่างเก่ง

ไผ่ ภูวริศ เป็นคนที่นับได้ว่าพูดจาไม่รู้เรื่องมากที่สุดในกลุ่มแถมยังติดมึนบ่อยๆ ในกลุ่มเนี่ยะจะมีผมกับมันที่พูดอะไรคนจะไม่ค่อยเข้าใจ ผมเคยถามว่ามันกำลังจะไปไหน มันตอบกลับมาว่าหนังเมื่อคืนสนุกดี อะไรของแม่งก็ไม่รู้ เห็นเอ๋อๆ แบบนี้แต่มันเป็นคนที่เขียนพวกสคริปหรือว่าบทความได้ดีนะ ถ้ามีงานพวกนี้เข้ามาก็ไว้ใจให้มันเขียนได้เลย

เป้ วิศรุต สำหรับไอ้โหดนี่ถือว่าเป็นอะไรที่ดูแปลกแยกในกลุ่มของผมเลย ไอ้เป้มันหล่อมากครับ สูง ขาว ขายาวแต่มันหล่อแบบเถื่อนๆ ลุคคล้ายๆ เด็กวิศวะฯ เบ้าหน้าดีส่วนใหญ่ แถมสติปัญญาก็ไปเรียนสายนั้นได้ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงมาเรียนนิเทศฯ นิสัยของมันก็โคตรเถื่อน ถ้าเผลอไปมองหน้านี่อาจจะโดนกระทืบได้

ภีม ภานุกิจ ผู้ที่สามารถนอนได้ทุกที่และตลอดเวลา ไอ้ภีมมันขี้เซามากครับ อย่างเวลาเรียนมันก็จะหลับตลอดบางทีก็สงสัยนะว่าตอนกลางคืนมันทำอะไรทำไมไม่หลับไม่นอน แต่ขนาดหลับในเวลาเรียนบ่อยขนาดนั้น มันยังทำควิซได้คะแนนอยู่ในระดับท็อปเลยนะ นี่ถ้าไอ้ภีมไม่หลับเวลาอาจารย์สอนนะมันคงทำได้คะแนนเต็ม

หมี นราวัฒน์ ไอ้หมีเนี่ยะเปรียบมันได้กับทะเบียนราษฎร์ แม่งรู้จักชาวบ้านเขาไปทั่ว ถามว่าใครเป็นใครนะมันรู้จักหมด มีครั้งนึงไอ้ปั้นเขาแอบปิ๊งเด็กบริหารฯ ไอ้หมีมันก็รู้จัก มันบอกว่ามีคอนเนคชั่นเยอะเวลาทำอะไรได้สะดวก หมีมันหล่อครับแถมยังยิ้มเก่งอัธยาศัยดีอีก โคตรต่างกับผมอะ เพราะรอยยิ้มหวานๆ ของมันนั่นแหละสาวๆ ถึงได้เข้ามาติดกันตรึม

เผือก ภาสกร ชื่อเผือกแต่ไม่ค่อยชอบเผือกเรื่องของใครนะครับ มันเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงพูดยังไม่ค่อยพูดเลย แต่ถ้ามันเมานะมันจะพูดไม่หยุดแล้วก็พูดห่าอะไรของแม่งไม่รู้ อารมณ์ประมาณว่าเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะพูดไว้พูดตอนเมาทีเดียว มันเป็นพวกรักเพื่อนมากคือถ้ามีเรื่องอะไรกับใครมันจะเข้าบวกก่อนเลย

ขนม คณาณัฐ ผมก็เป็นคนนึงที่ดูแปลกแยกออกมาจากกลุ่มนี้ ไม่ใช่ว่าหล่อ เท่ ดูดีอะไรทำนองนั้นนะครับ มันเป็นเพราะว่าผมดูเฉิ่มและเห่ยมาก ใส่แว่นหนาๆ หัวก็ฟู หวีผมครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ หนวดก็ไม่ค่อยได้โกนสภาพโดยรวมคือโทรมสัสๆ ผมสูงไล่เลี่ยกับไอ้ไผ่แต่มันก็ยังเตี้ยกว่าไอ้ห้าคนที่เหลือหลายเซ็นฯ

เออ ผิดเองแหละที่ไม่กินนมน่ะ

แต่ว่าเห็นเห่ยๆ แบบนี้ ผมเรียนเก่งมากเลยนะครับเรียกว่าเป็นที่ 1 ของชั้นปีเลยก็ได้ พิสูจน์จากเกรดของเทอมก่อนที่ฟาด A เรียบ แถมผมเองก็ทำได้ทุกอย่าง แต่การที่ทำได้ทุกอย่างนี่ก็จะทำให้เหนื่อยมากในระดับนึง ผมมั่นใจในเรื่องเรียนกับเรื่องทำงานมากนะว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดี แต่เรื่องพวกสานสัมพันธ์กับคนอื่นผมทำไม่ได้เลย ผมไม่ถนัดในการผูกมิตรกับใคร นี่ถ้าไม่เป้มันไม่ทักผมเมื่อวันปฐมนิเทศนะ ผมก็คงไม่มีเพื่อนมาจนวันนี้แหละครับ
ชีวิตน่าเศร้าอีกแล้ว

​------ 50% บท 1 ------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 1 : 2/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-11-2017 22:03:28
------- ต่อจากบท 1 ------

“เหลืออีก 15 นาทีว่ะ เข้าคลาสป้ะ” ไอ้หมีหันมาถาม แค่อีก 15 นาทีนี่ไปหาข้าวกินไม่ดีกว่าเหรอเพื่อน

“ไม่เข้า กูหิวข้าว ไปเถอะ” ไอ้เป้สรุปให้เสร็จสรรพก่อนจะเดินนำพวกผมไปเลย

ตอนนี้พวกผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะประจำในโรงอาหารของคณะครับ เวลาประมาณเที่ยงแบบนี้คนก็เยอะเป็นธรรมดา แต่ผมไม่ค่อยชอบว่ะเพราะมันจะวุ่นวายและเสียงดัง แต่ตอนนี้คนที่เสียงดังกว่าชาวบ้านก็ไอ้ห่าหมีนี่แหละ

“หิวข้าววววววววววว”

“มึงจะเสียงดังทำไมไอ้สัสหมี หุบปากสัก 5 นาทีได้ไหมห้ะ!!!” เออด่ามันเลยเป้

“ว่ากูไมอะเป้ กูเสียใจนะ” ผมมองไอ้หมีที่มันเบะปากเพราะโดนด่า ไอ้เป้เห็นอย่างนั้นมันก็หยิบค้อนลมออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกระหน่ำตีไอ้หมี

เดี๋ยวนะเป้

มึงพกค้อนลมมาทำไม

แล้วมึงไปเอามาจากไหน

“โอ๊ยไอ้เป้ไอ้เลวร้าย ทำงี้กับหมีคนหล่อได้ไง”

“ตายซะเถอะมึง” และแม่งก็กระหน่ำตีอีก เป้เอ๊ยมึงหัวร้อนเกินไปจริงๆ แหละ

“พวกมึงนี่เล่นกันเป็นเด็กเลยนะ แล้วไอ้เป้มึงเอาค้อนลมมาทำไม” ไอ้ปั้นถาม เออผมก็สงสัยว่ามันเอามาทำไม

“กูเอามาตีหัวคนถาม” ว่าแล้วมันก็ง้างมือ เห้ย อย่าเชียวนะมึงนี่มันท่านประธานเลยนะ

“มึงควรเอาเวลาตีหัวเล่นไปซื้อข้าว”

“......”

“กูพูดถูกไหม” ไอ้เผือกเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันมามองทางพวกผม ในขณะที่ไอ้เผือกพูดทุกอย่างมันควรจะเงียบ เพื่อนๆ ควรจะแยกกันไปซื้อข้าว ทุกคนอาจจะเข้าใจแบบนั้นใช่ไหมครับ

ทุกคนคิดผิด

“พูดงี้มึงก็จะเอาคนอีกหรอไอ้เผือก ห้ะ!!!” เสียงที่คุณก็รู้ว่าใคร

“......”

“เป้มึงโวยวายว่ะ” ไอ้ไผ่ยืนมองไอ้เป้ตาแป๋ว แม่งพูดแบบไม่สะทกสะท้านและไม่กลัวค้อนลมในมือไอ้เป้ด้วย

“มึงมีปัญหากับกูอีกคนหรอไอ้เตี้ย”

ผมมองคนพูดตาค้อน “มันกระทบกู”

“โถ่หนม กูไม่ได้ว่ามึงนะ” มันส่งตาปริบๆ มาให้เหมือนจะสื่อว่ามันพูดจริงๆ

“หึ แยกกันไปซื้อข้าวได้แล้ว เดี๋ยวต้องขึ้นไปซ้อมรายงานข่าวอีก” ผมบอกชาวแก๊งค์ก่อนจะเดินไปซื้อข้าวทันที ไอ้เป้มันก็ยอมวางค้อนแล้วก็เดินตามผมมา ส่วนเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปซื้อข้าว

ไงล่ะ ต้องให้ขนมสั่ง

มันเป็นเรื่องดีนะที่เวลาผมสั่งอะไรพวกมันก็จะทำตาม มันให้ความรู้สึกเหมือนมีอำนาจในระดับนึง โดยเฉพาะไอ้เป้ แม้ว่ามันจะเดือดเลือดพล่านหัวร้อนจากไหนมาแต่มันก็จะหยุดฟังผมเสมอ เวลาสั่งอะไรมันก็มักทำตามถึงจะมีโอดครวญบ้างแต่สุดท้ายมันก็ยอม

แต่ไอ้นิสัยชอบเอาแขนพาดหัวกูนี่มึงเลิกเถอะ

“มึงกินไรวะหนม”

“ข้าวไง เอาแขนออกไปซิกูหนัก”

“หนักไร ไม่หนัก”

“มึงจะไปหนักได้ไงล่ะไอ้ฟาย มันพาดอยู่บนหัวกูเนี่ย”

“มึงขี้โวยวายอะหนม” มึงมีสิทธิ์ว่ากูด้วยเหรอวะ

หืม....

นั่นมันเด็กวิศวะฯ

มาทำอะไรที่นี่

“มึงมองไรวะ” ไอ้เป้มองตามสายตาของผม “เด็กวิศวะฯ หนิ”

ผมมองด้วยความสงสัย “มาทำอะไรที่ตึกนี้วะ”

“ไม่เห็นจะแปลกเลย”

แปลกดิมึง

ตึกวิศวะฯ มันอยู่คนละฟากกับตึกนิเทศฯ เลยนะ

ระหว่างสองตึกนี่เป็นอะไรที่ไกลกันโคตรๆ เรียกได้ว่าอยู่ริมรั้วของแต่ละฝั่งเลยก็ว่าได้ ผมเคยเดินจากตึกนิเทศฯ ไปตึกวิศวะฯ เพื่อเอาขนมโก๋ไปให้ไอ้ขัน มันสั่งว่ายังไงก็ต้องไปหามันที่ตึกเท่านั้น แล้ววันนั้นมันก็คราวซวยของผมที่ไม่ได้เอารถมา ผมไม่ค่อยได้เอารถมามหา’ลัยเพราะว่าจากหอมามอมันใกล้ ไม่รู้จะเอามาทำไมมันเปลืองน้ำมัน เป็นเพราะอย่างนั้นผมก็ต้องเดินไป เรียกได้ว่าเหนื่อยขาล้ามาก จากนั้นแค่ครั้งเดียวผมก็ไม่คิดจะเดินไปอีก ถ้าไปคือต้องขับรถเท่านั้น

“ทำไมพี่ขุนมาอยู่ที่นี่วะ” มึงมาตอนไหนวะหมี ละใครคือขุน

“ขุนอะไรวะ”

“ก็นั่นไง เด็กวิศวะฯ นั่นอะ”

“มึงรู้จักหรอ” ก็ไม่แปลกนะถ้าไอ้หมีจะรู้จัก เพราะมันรู้จักชาวบ้านเขาไปทั่ว

“ใครไม่รู้จักก็แปลกแล้ว เค้าดังพอๆ กับพี่มึงเลยนะหนม” ดังพอๆ กับไอ้ขันงั้นเหรอ

คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หรอกว่าผมเป็นน้องชายมัน มีแค่เพื่อนผมกับเพื่อนมันเท่านั้นแหละที่จะรู้เรื่องนี้ ถึงเราจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็โคตรต่างกันแบบหน้ามือกับหลังตีน อย่างที่ผมเคยบอกไปว่ามันหล่อมาก มองแบบเผินๆ ก็หล่อเลวแบบไอ้เป้นี่แหละ ความดังของมันอาจจะมาจากการเป็นเฮดว้ากของมันด้วย วันที่ผมไปหามันที่คณะก็ไปเจอจังหวะมันว้ากน้องพอดี

แม่งโคตรโหด

ถ้ามันใช้เสียงกับสีหน้าแบบนั้นมาดุผมที่บ้านนะ ผมคงวิ่งหนีไปอยู่ที่ไหนสักที่

พอๆ หยุดเรื่องไอ้ขัน

ผมตั้งใจมองร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักอย่างพิจารณา ร่างสูงนี่ไม่ได้สูงแบบธรรมดานะครับ มันสูงมาก สูงกว่าไอ้เป้ด้วยซ้ำไป ผิวก็ขาวอาจจะดูคล้ำแดดไปบ้างแต่ยังไงก็ขาวอยู่ดี ดวงตาคมๆ นั่นอีก ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะหลงเสน่ห์ได้โดยไม่ยากไหนจะริมฝีปากบางๆ ที่มัน....

“มองขนาดนั้นมึงก็ไปแดกหัวเค้าเลยเถอะ”

“แดกหัวไรวะหมี กูก็แค่มองเพราะว่า....”

“หล่อ”

“ก็หล่อ....ไม่ใช่เว้ย กูก็แค่สงสัยว่าทำไมเด็กวิศวะฯ ถึงมาอยู่ที่นี่”

“นั่นสินะ กูก็อยากรู้จัง” ใช่สิ มึงมันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน

“มึงยังไม่ได้บอกเลยหมีว่ามันเป็นใคร”

“มึงอยากรู้หรอหนม” มันส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม ห่าหมีเดี๋ยวกูให้ไอ้เป้กระทืบให้ซะหรอก

“ก็มึงมาพูดเหมือนกับดักให้พวกกูถามต่อ ใครจะไม่อยากรู้วะไอ้สัสหมี” เออเป้ตบกระโหลกมันเลยมันกวนตีนกู

“มึงนี่รุนแรงจังเลยวะเป้ เออๆ กูบอกก็ได้ แต่บอกที่โต๊ะนะ” และแม่งก็ถือจานข้าวเดินกลับโต๊ะ ลีลาไปอีกมึงเอ๊ย

ผมกับไอ้เป้ถือจานข้าวกลับมานั่งโต๊ะ โต๊ะประจำของพวกเราอยู่ฝั่งทางเข้าของโรงอาหาร ไอ้หมีให้เหตุผลในการเลือกโต๊ะไว้ว่า การที่นั่งที่ทางเข้ามันจะทำให้เราเห็นคนที่จะเดินเข้ามาก่อนใคร ถ้ามีสาวสวยเดินเข้ามาเราก็จะเห็นก่อนและก็สามารถไปขอไลน์เขาได้ก่อน จีบได้ก่อน ก็คือเอาไว้เหล่สาวนั่นแหละง่ายๆ

“ไหนมึงเล่ามาได้แล้ว” ไอ้เป้สั่งไอ้หมีที่กำลังดูดน้ำแดง

“อะแฮ่ม....คือกูก็ไม่ได้รู้จักอะไรมากหรอกนะ อย่างที่บอกว่ามันก็ดังคล้ายๆ พี่ขัน”

“มึงต้องรู้มากกว่านั้นสิ” เออใช่ จริงอย่างที่ไอ้เป้พูด น้ำหน้าอย่างไอ้หมีถ้าบอกว่ารู้จักใครมันก็ต้องรู้จักในเบื้องลึก

“ก็นะ....พี่มันชื่อขุนศึก เรียนวิศวะฯ โยธาปี 2 สาขาเดียวกับพี่มึงนั่นแหละ มีดีกรีเป็นเดือนคณะวิศวะฯ เมื่อปีก่อน ก็อย่างที่มึงเห็นว่าหล่อมาก ด้านการเรียนก็ถือว่าเก่ง เป็นตัวท็อปของวิศวะฯ เลยแหละ”

“กูเจอบ่อยนะที่ร้านเหล้า”

ผมเงยหน้ามองไอ้เผือกทันทีที่มันพูดออกมา “มึงก็รู้จักหรอเผือก”

“ไม่....แค่เห็นบ่อย”

“ก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะเจอแถวร้านเหล้า เพราะกูก็หาตัวเจอได้แถวร้านเหล้าเหมือนกัน ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ”

“มึงจะหัวเราะเสียงดังทำไมวะไอ้เชี่ยหมี” ไอ้เป้หยิบค้อนขึ้นมาตีหัวไอ้หมีอีกละ

“เดี๋ยวสิคะพี่ขุน อย่าเพิ่งไป” ผมหันมองไปตามเสียง

“นั่นคือคนที่พวกมึงเพิ่งพูดถึงใช่ไหม” ไอ้ไผ่มันถาม

เดี๋ยวนะไผ่ ปากแดกอะไรทำไมมันเลอะขนาดนั้นวะ

“ปากมึงเลอะจังวะ” ผมหยิบทิชชู่ในกระเป๋าก่อนจะส่งให้มันเช็ดปาก

“หนมๆ มึงดูดิ” อะไรมึงวะหมี

ผมมองไปยังผู้ชายที่เราเพิ่งจะนินทากันไปหยกๆ ตอนนี้มันกำลังยืนประจันหน้ากับผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิดเธอเป็นตัวเต็งดาวคณะผม

“ผู้หญิงนี่ตัวเต็งดาวคณะเราใช่ป้ะ”

“ใช่ ชื่อแก้มใสไง”

“เมียเก่ามึงอะปั้น”

“มึงอย่าพูดงั้นสิ กูเศร้าใจน่ะ” ไอ้ปั้นบอกพลางเบะปากน้อยๆ แก้มใสนี่เป็นเด็กเก่าไอ้ปั้น เคยคั่วกันมาก่อน ผมก็ไม่ได้รู้มากเพราะว่าไม่ได้อยากจะสนใจ เคยได้ยินจากไอ้ปั้นว่าแก้มใสนิสัยไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไหร่

เอาเป็นว่าผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น

“พี่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”

“แต่แก้มรักพี่นะคะ” แก้มใสพูดทั้งน้ำตา

“เค้าบอกรักกันด้วยอะมึง”

“มึงเงียบๆ ดิ๊ไอ้หมี ถ้าจะเสือกเรื่องชาวบ้านมึงต้องเงียบรู้ไหม” ไอ้เป้มันว่าไอ้หมีครับ

เออหมีเข้าใจไหม

ถ้าจะเสือกเรื่องชาวบ้านต้องเงียบๆ

“บอกรักพี่ เหมือนที่บอกไอ้เกียร์ด้วยน่ะนะ” มันยกยิ้มก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากมองคนตรงหน้า

“เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาว่ะ เกียร์คือใครวะหมี” ทีนี้เป็นไอ้ปั้นครับที่ถามเพราะไอ้เป้มันกำลังเป่าค้อนลมให้พองเหมือนเดิม
โถ่เป้ ทำไมมึงจริงจังกับค้อนลมจังวะ

“เกียร์คือ.....” และไอ้หมีก็พูดให้ไอ้ปั้นฟัง เท่าที่ผมฟังคร่าวๆ ก็คือเกียร์เป็นเด็กสถาปัตย์ฯ ปี 2 แล้วก็อะไรสักอย่างแต่ผมสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่าว่ามันจะเป็นยังไงต่อ

เผื่อจะเอาไปเป็นส่วนประกอบในการเขียนนิยายได้

“พี่ขุนหมายถึงอะไรหรอคะ” แก้มใสสีหน้าเจื่อนไปทันทีเหมือนโดนล่วงรู้เรื่องสำคัญ

“อย่าถามในสิ่งที่ตัวเองก็รู้เลย ที่พี่มาที่นี่ก็เพื่อจะมาเคลียร์ให้มันจบจริงๆ ”

“แก้มเป็นเมียพี่นะ พี่จะทิ้งแก้มหรอ”

“พี่ว่าเราตกลงกันไปแล้วนะว่าสถานะของเราคืออะไรกันแน่” ผมมองสีหน้าของไอ้หล่อนั่นที่แสดงความรำคาญอย่างสุดขีด จากที่ฟังบทสนทนามาก็พอเดาได้ไม่ยากนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมเข้าใจละว่าเด็กวิศวะฯ มาไกลถึงตึกนิเทศฯ ทำไม

“แต่ว่า....” เสียงใสกำลังจะเถียง

“และคำว่าเมีย แก้มคงใช้กับพี่แค่คนเดียวไม่ได้”

“เออนั่นแหละ สิ่งที่กูอยากจะพูด” มึงแค้นใจอะไรวะปั้นทำไมถึงทำหน้าเหี้ยมแบบนั้น

“พี่ไปละเสียเวลาเรียน หวังว่ามันคงจะจบแค่นี้นะ” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินออกไปจากโรงอาหารทันที ทิ้งให้ว่าที่ดาวคณะแสนสวยยืนน้ำตานองอยู่คนเดียวอย่างน่าสงสาร

มันจะน่าสงสารถ้า.....

“ไอ้ขุน กูจะให้พี่น้ำกระทืบมึง” และนางก็เดินไป คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ นะครับ

ผมมองตามหลังเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มนั่นไปจนลิบตา ฟังจากการพูดของมันก็เดานิสัยได้ไม่ยากนะ คงจะเป็นคนที่พูดจาตรงๆ แถมไม่รักษาน้ำใจใครด้วย แต่มันก็น่าจะเหมาะกับแก้มใสแล้วล่ะ

“มองขนาดนี้ก็เดินตามไปเลยไหมหืม”

“เดินตามไรวะหมี เพ้อเจ้อว่ะ” ผมก้มหน้ากินข้าวต่อ และก็ฟังไอ้หมีพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไอ้ปั้นเองก็ระบายความในใจเกี่ยวกับแก้มใสออกมาเต็มที่ ไอ้เป้ก็ด่าไรไอ้หมีไม่รู้ ไอ้ไผ่กับไอ้เผือกก็กินข้าวส่วนไอ้ภีมก็หลับ

เดี๋ยวนะภีม มึงหลับอีกแล้วเหรอ

ผมเขย่าตัวมันเบาๆ “มึงไม่กินข้าวหรอภีม”

“มึงคิดว่ามันจะตื่นหรอ อย่างไอ้ภีมมันต้องเจอกูนี่” ว่าแล้วก็ใช้ค้อนลมกระหน่ำตีหัวไอ้ภีม สักวันไอ้ภีมมันต้องสมองตายเพราะไอ้เป้แน่ๆ

“อื้อออ....ตื่นแล้ว” ไอ้ภีมผงกหัวขึ้นมาพร้อมกับหาววอดๆ พลางขยี้ตาไปด้วย

“มึงกินข้าวยัง”

“กินเสร็จตั้งแต่ตอนที่มึงเริ่มเสือกเรื่องชาวบ้านแล้วหมี”

“โอ๊ยเจ็บบบบ ทำไมเพื่อนภีมว่าเพื่อนหมีแบบนี้ล่ะ” ไอ้หมีมันตัดพ้อพร้อมทำเสียงสะอื้น

“มึงคิดว่าตัวเองน่ารักหรอห้ะ!!!” ค้อนลมเปลี่ยนเป้าหมายจากหัวไอ้ภีมมาเป็นหัวไอ้หมีต่อ ไอ้เป้มันทำหน้าที่ของมันได้ดีจริงๆ

ครืดดดด....ดดด

“ฮัลโหลครับ” ผมกดรับสายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดูว่าใครโทรมา

(เออ หัดพูดจาไพเราะกับกูบ้าง)

เสียงนี้มัน

“มีอะไรไอ้สัสขัน”

(แน่ะ พูดไม่เพราะอีกละ)

“มีปัญหาอะไรห้ะ” เพื่อนๆ หันมองผมกันเป็นทางเดียวเลยครับ ผมเสียงดังเกินไปเหรอ

(โหดจริงนะมึงอะ)

ยังๆ ยังไม่พูดธุระของมึงอีกนะ

“ขัน ถ้ามึงจะโทรมากวนตีนกูล่ะก็ กูจะ.....”

(เย็นนี้มาหากูที่คณะด้วยนะ ป๊าบอกให้ไปนอนที่บ้านบ้าง เค้าคิดถึงมึง)

ถ้าคิดถึง ทำไมป๊าไม่โทรมาบอกผมเอง

“มึงโกหกกูป้ะเนี่ย”

(กูจะโกหกมึงทำหอกไรล่ะ ไม่เชื่อก็โทรไปถามป๊าไป)

“เออกูโทรแน่”

“มึงคุยกับใครวะหนม” ไอ้เป้มันถามผมครับมือมันก็ง่วนอยู่กับค้อนลมของมัน

“คุยกับไอ้สัสขัน”

(เรียกกูแบบนั้นต่อหน้าเพื่อนได้ไงห้ะ)

“มันเรื่องของกู แค่นี้แหละ รำคาญ” กดวางสายแม่ง

เชื่อสิว่ามันจะต้องแหกปากด่าผมลั่นตึกคณะมัน

“มึงพูดกับพี่มึงโหดตลอดเลยเนอะ” ไอ้ไผ่เขาพูดแล้วเขาก็เขี่ยผักในจานเล่น ไผ่ครับถ้ามึงไม่กินมึงก็อย่าเขี่ยของกินเล่นได้ไหม

แม่กูสอนมาว่ามันบาปน่ะ

“อย่าเขี่ยผักเล่นสิ” ไอ้เผือกแย่งช้อนมาจากมือไอ้ไผ่ เออดีมากเผือก มึงนี่เหมือนรู้ใจกูเลยนะ

“แล้วพี่มึงโทรมาว่าไงบ้าง”

“มันบอกให้กูไปหาที่ตึกคณะตอนเย็น มันบอกว่าป๊าให้กลับไปนอนที่บ้านบ้าง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง พี่ขันนี่เท่เนอะ” ไอ้หมีมันเท้าคางมองผม “อยากมีบุญเจอเค้าบ่อยๆ เหมือนมึงจัง”

คนที่เจอมันคือคนมีเวรกรรมต่างหาก

คือว่าไอ้หมีมันปลื้มพี่ชายผมมากครับ มากในระดับเรียกได้ว่าเป็นติ่งไอ้ขันเลยทีเดียว เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับไอ้ขันมันรู้แทบทุกเรื่อง รู้ในเรื่องที่แม้กระทั่งผมที่เป็นน้องชายแท้ๆ ยังไม่รู้ ตอนที่ไอ้หมีมันรู้ว่าผมเป็นน้องไอ้ขัน มันทำหน้าตะลึงได้ตาค้างมากแถมยังมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็พึมพำอยู่อย่างเดียวว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

เออหมี กูผิดเองแหละที่ต่างกับไอ้ขันน่ะ

“มึงเอาไปดิ กูให้” ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจ

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะมึง” มันมองผมตาปริบๆ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าไม่ได้น่าชื่นชมอย่างที่มึงเข้าใจ

โฉดชั่วซะขนาดนั้น

“เออๆ เอาจานไปเก็บแล้วก็ขึ้นไปสตูดิโอได้แล้ว เดี๋ยวต้องซ้อมอีก” ผมบอกเพื่อนๆ ก่อนจะยกจานไปเก็บ วันนี้มีแต่เรื่องอะไรแปลกๆ แฮะ ถึงมันไม่ได้แปลกมากแต่มันก็ไม่ได้ปกติเหมือนทุกวัน

วันนี้ผมแต่งนิยายเพลินจนมาเรียนเกือบสายแถมยังโดนอาจารย์ลงโทษให้วิ่งรอบตึก ต้องซ้อมรายงานข่าวทั้งๆ ที่เนื้อตัวเหนียวเหงื่อแบบนี้อีก และอยู่ดีดีไอ้ขันก็โทรมาหาบอกว่าให้กลับไปนอนที่บ้านเพราะป๊าคิดถึง สำคัญที่สุดก็คงเป็นการตัดความสัมพันธ์ของอดีตเดือนวิศวะฯ กับตัวเต็งดาวนิเทศฯ

เสียงเรียบๆ นั่นเหมือนยังก้องในหูผมอยู่เลย

ไหนจะใบหน้าคมที่มีเสน่ห์นั่นอีก

‘ขุนศึก’

ชื่อก็จะเท่ไปไหนวะ

TBC.
ตอนแรกมันก็จะเปื่อยๆหน่อย สมาชิกค่อนข้างเยอะนะคะสำหรับแก๊งค์ท่านประธาน ไม่คิดว่าจะตัวอักษรเยอะเกินขนาดนี้เลยต้องแบ่งเป็น 2 พาร์ท เราคงจะต้องแบ่งเป็น 2 พาร์ททุกตอนเลยนะคะเพราะแต่ละตอนที่แต่งไว้ค่อนข้างยาวมากเลย ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 2 : 3/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-11-2017 19:32:22
บทที่ 2 ช่อกุหลาบสีขาว [Rewrite 100%]

​“ป๊า แม่ ขันกลับมาแล้ววววววววววว” เดินเข้ารัศมีบ้านปุ๊ปไอ้ขันก็แหกปากดังลั่น มันต้องเป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า

“เสียงดังจังเลยล่ะ” เสียงหวานของแม่ผมดังออกมาจากในครัว กำลังทำกับข้าวอยู่แน่ๆ เลย กลิ่นถึงได้หอมขนาดนี้

“คิดถึงแม่จังเลยครับ” ผมเดินมาหาท่านที่ครัว เป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ ด้วยว่าแม่กำลังทำอาหารอยู่ ว้าวววว แกงเขียวหวานของโปรดผมด้วยนะเนี่ย วันนี้ต้องกินข้าวสักสามจานแล้วล่ะ

แม่ผมน่ะทำอาหารอร่อยมากนะครับ ทำขนมก็อร่อย ป๊าชอบเล่าให้ฟังว่าที่ป๊ามาหลงเสน่ห์แม่ก็เพราะฝีมือการทำอาหารนี่แหละ แต่ว่าลูกสาวลูกชายบ้านนี้ไม่ได้เชื้อฝีมือการทำอาหารของแม่มาเลยสักคน ไอ้ขันมันเคยทำไข่เจียวแต่ครัวก็ไหม้ไปเกือบครึ่ง พี่สาวสองคนของผมก็เคยทำครัวไหม้มาหมดแล้ว ผมเองก็ทำไมโครเวฟระเบิด
จากนั้นแม่ก็เลยสั่งห้ามให้พวกเราทำอาหารโดยเด็ดขาด

แม่คงไม่อยากจะทำครัวใหม่น่ะครับ

“คิดถึงแม่จริงหรอ ไม่เห็นหนมจะอยากกลับมาบ้านเลย” หนมอยากกลับจะตายนะแม่ แต่แบบกว่าจะเลิกเรียนกว่าจะทำงานคณะกว่าจะขับรถกว่ารถจะติด อุปสรรคมันเยอะจริงๆ นะ

“หนมก็อยู่นี่แล้วไงครับ เรื่องที่ผ่านไปแล้วเราอย่าไปพูดถึงมัน” ผมคว้ามือแม่ขึ้นมาจุ๊บเบาๆ ดีนะที่ป๊าไม่อยู่ นี่ถ้าป๊าเห็นผมจุ๊บมือแม่นะ ป๊าต้องเตะผมแน่ๆ

ป๊าหวงแม่มากครับแม้ผมจะเป็นลูกก็ตาม

“ป๊า ไอ้หนมมันจุ๊บมือแม่” ไอ้ขันมันแหกปากลั่น

ผมถลึงตาใส่มัน “ไอ้สัสขัน”

“แม่ ไอ้หนมมันพูดไม่เพราะ”

ฟ้องแม่อีก มึงเป็นเด็กขี้ฟ้องรึไง

“ขี้ฟ้องจังเลยนะ” ผมหันไปตามเสียงหวานๆ ที่คุ้นหู ก็พบกับสาวร่างเพรียวสุดสวยในชุดนอนลายหมี ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดเป็นแกะสองข้างด้วยหนังยางรูปเป็ดสีเหลือง

เชรดดดด โคตรคิ้วท์

“พี่เขม”

“พี่เขมมมมมมมมมมม” ไอ้ขันแหกปากดังลั่นก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดพี่เขมอย่างโหยหา

แม่งแทบจะสิงเข้าไปในร่างอะคิดดู

“กอดแน่นเกินไปแล้ว กูอึดอัด”

“งื้ออออ อย่าพูดงี้สิครับ เค้าคิดถึงพี่นะ ไม่ได้เจอตั้งนานเลยนะ” มันพร่ำเพ้อถึงความคิดถึงที่อัดอั้นอยู่ในใจให้พี่เขมได้ฟัง

พี่เขมทำหน้าเอือมใส่ “เออกูรู้แล้วว่าคิดถึง แต่มึงกอดกูแน่นไปอะขัน ปล่อยกูได้แล้ว” เธอพยายามแกะมือไอ้ขันออก แต่ไอ้ขันมันมือปลาหมึกครับถ้ามันไม่ปล่อยเองก็ไม่มีวันเอามือมันออกได้หรอก

“งื้ออออ ไม่อาวววว ขอเค้าซุกนมหน่อยนะ”

“ไอ้เลวขัน แม่ช่วยเขมด้วย”

“ขัน ปล่อยพี่เค้าได้แล้ว” แม่สั่งแล้วนะมึง ถ้าไม่ทำตามมึงไม่ได้กินข้าวแน่

“งื้ออออ เค้าคิดถึงพี่นี่” เกลียดความออดอ้อนของมึงจริงๆ อะ

“รำคาญโว้ยยยย”

โป๊กกกก

“โอ๊ยยยยเค้าเจ็บนะ พี่เขมทำงี้กับเค้าได้ไง” ไอ้ขันมันลงไปกองกับพื้นอย่างสลดพลางตัดพ้อพี่เขมไม่หยุด อะไรจะขนาดนั้นวะแค่โดนมะเหงกไปทีเดียวถึงกับทรุด

เด็กน้อยจริงๆ เลยนะมึง

“หนมมมม” พี่เขมเดินเข้ามากอดผม เพราะพี่เขมกลับมาบ้านนี่เองป๊าถึงเรียกให้ผมกลับ

“คิดถึงพี่เขมจังครับ อยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีนะแต่รำคาญพวกนายแบบที่เข้ามาจีบไปหน่อย พี่ซื้อครัวซองมาฝากหนมด้วยล่ะ”

“แล้วของเค้าล่ะ” ไอ้ขันมันคลานมากอดขาพี่เขมไว้ก่อนจะเงยหน้ามองแล้วทำตาบ้องแบ๊วมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้

ไม่ได้เข้ากับหน้ามึงเลยว่ะขัน

“ไม่มี” พี่เขมแลบลิ้นใส่ไอ้ขันที่กอดขาตัวเองอยู่ ส่วนผมก็ยืนหัวเราะ ฮ่าๆ ๆ สมน้ำหน้ามึงไอ้ขัน มึงไม่ใช่น้องรักไงของพี่เขมไง วั้ยยยๆ ๆ

แต่ไอ้ขันเป็นน้องรักของพี่แขนะครับ

เห็นบ้าๆ แบบนี้แต่มันก็มีระเบียบในชีวิตมากนะ มันเป็นคนที่มีวินัยและความรับผิดชอบในตัวเองสูง ชีวิตในแต่ละวันมันจะวางแผนไว้ก่อน ผมเคยเห็นสมุดจดตารางเวลาของมัน คือละเอียดยิบมาก เคยได้ยินมาจากพี่แช่มด้วยว่ามันไม่เคยเข้าเรียนสายสักครั้ง แม้แค่วินาทีเดียวก็ไม่เคย เพราะความมีระเบียบนี้ หน้าที่เฮดว้ากก็เลยตกไปเป็นของมัน พี่แขเองก็เจ้าระเบียบเหมือนกันก็เลยไม่แปลกถ้าไอ้ขันจะเป็นน้องรักของพี่แข

อยู่ด้วยกันนี่เข้ากันดีสุดๆ

แถมจิกกัดผมกันแบบสนุกเลยล่ะ

“พี่เขมปล่อยหนมก่อนนะครับ หนมขอไปอาบน้ำก่อน” เหนียวตัวมากครับ อยากอาบน้ำสุดๆ

“โอเค มึงก็ปล่อยกูสักทีสิไอ้ขัน” เธอปล่อยผมออกจากอ้อมกอดก่อนจะไปทุบหัวไอ้ขันเพื่อให้มันปล่อย แต่คิดเหรอว่าไอ้ขันจะยอมปล่อยง่ายๆ

ไม่มีทาง


“สวัสดีห้อง หนมกลับมาแล้ว” ผมปิดประตูก่อนจะโยนกระเป๋าลงไปบนโต๊ะหนังสือ

อา....คิดถึงห้องจังเลย

ผมยืนมองผนังสีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งมันเป็นสีที่ผมชอบ ผมอ้อนขอป๊าให้เปลี่ยนสีผนังให้ตอนผมอยู่ป.2 ป๊าก็ใจดีเปลี่ยนให้ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้องผมก็ล้วนอยู่ในโทนสีเหลือง อยากยกของพวกนี้ไปไว้ที่หอชะมัด ผมทำอะไรกับหอตัวเองมากไม่ค่อยได้ นี่ก็กำลังอ้อนขอให้ป๊าซื้อคอนโดฯ ให้ แต่ป๊าบอกว่าให้ผมรอขึ้นปี 3 ก่อนแล้วก็ต้องแลกกับเกรด A ทุกตัว เกรด A มันไม่ยากหรอกแต่ให้รอนี่สิ ตอนนี้ผมอยู่แค่ปี 1 เอง ต้องรออีกนานเลยนะ

ขนมเศร้าใจ

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาเศร้า มันควรเป็นเวลาที่ผมไปอาบน้ำ คิดได้แบบนั้นผมก็ถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที ซึ่งในห้องน้ำก็จะมีพรรคพวกของผมอยู่นั่นก็คือ....

เป็ดยาง

ไม่ใช่แค่ตัวเดียวนะ ผมมีเป็นสิบตัว

“คิดถึงจังเลยเจ้าเป็ด” ผมหยิบเจ้าเป็ดขึ้นมามองด้วยความคิดถึง เวลาอาบน้ำผมมักจะเอาพวกมันมาลอยอยู่เต็มอ่างไปหมด ผมชอบแช่น้ำในอ่างนะ มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจแถมก็ได้เล่นกับพวกเจ้าเป็ด ทำให้นึกถึงเวลาที่แม่กับพี่เขมชอบอาบน้ำให้เมื่อตอนเป็นเด็ก

แค่คิดก็มีความสุข

ผมเปิดน้ำใส่อ่างพลางจัดแจงใส่แชมพูกับเจ้าเป็ดลงไปด้วย ก่อนที่พาตัวเองตามลงไป ผมแช่น้ำนานมากนะครับบางครั้งก็เป็นชั่วโมง ครั้งนึงไอ้ขันมันพังประตูห้องผมเข้ามาเพราะคิดว่าผมจมน้ำตาย คือกุญแจห้องก็มีจะพังเข้ามาทำไม

“สบายจัง” นี่แหละสวรรค์ของขนม เรียนมาเหนื่อยๆ แถมเหนียวตัวขนาดนั้นไม่มีอะไรจะสุขใจไปเท่าการแช่น้ำแล้วล่ะ วันนี้เป็นวันที่แปลกและผมก็รู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ

ที่เหนื่อยมากกว่าปกตินั้นก็เพราะ....

เมื่อบ่ายพวกผมขึ้นไปซ้อมรายงานข่าวกันที่ห้องสตูดิโอของคณะ เพื่อที่จะสอบในอีก 4 วันข้างหน้า โดยกลุ่มผมก็แบ่งหน้าที่ไปว่าใครทำอะไร ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ไอ้ไผ่เป็นสวิตเชอร์ เราสองคนจะอยู่ในห้องคอนโทรล ส่วนอีกห้าคนจะอยู่ในห้องสตูดิโอที่มีฉากเป็นสีเขียว ไอ้เป้ไอ้เผือกไอ้ภีมมันเป็นตากล้อง ไอ้หมีเป็นผู้ประกาศข่าว และไอ้ปั้นเป็นคนประสานงานระหว่างห้องคอนโทรลกับสตูดิโอ

ทุกอย่างเหมือนจะดีนะครับตอนที่ผมเริ่มซ้อม มันจะดีกว่านี้มากถ้าไอ้ภีมไม่หลับแล้วไอ้เป้ไม่เอาค้อนลมไล่ตี เหตุการณ์ค่อนข้างชุลมุนมาก ได้ซ้อมแบบจริงจังไปแค่ 20 % นอกนั้นคือห้ามไอ้เป้ เห็นจากการซ้อมวันนี้ผมก็หวั่นใจในวันสอบอยู่หน่อยๆ แต่ว่าเห็นอย่างนี้พวกผมก็จริงจังในการสอบมากนะ แถมการสอบครั้งนี้เป็นการสอบปฏิบัติที่สำคัญกับการได้เกรด A มากด้วย

ผมหวังว่าวันนั้นไอ้ภีมจะไม่หลับ

แค่มันไม่หลับเท่านั้นพอ

ครืดดดด....ดดด

ใครมันก็ช่างโทรมาตอนอาบน้ำวะ

ผมหยิบโทรศัพท์มาก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงเป้”

(เออหนมมึงลืมของไว้ที่กูอะ / เป้มึงเอาผ้าเช็ดตัวไปไว้ไหนวะ) เสียงไอ้ภีมนี่นา มันไปทำอะไรที่หอไอ้เป้วะ

“ลืมไรวะ” ผมถามพร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาของมันสองคน

(สมุดเลคเชอร์....มึงจะรื้อตะกร้าผ้าไมวะ / ก็กูหาผ้าไม่เจออะ / รื้อไปจะเจอไหมไอ้ฟายมันตากอยู่ข้างนอก)

มีความด่ากันให้ผมฟังด้วย

“เอองั้นกูค่อยไปเอา มึงอย่าทะเลาะกับไอ้ภีมให้มันมากล่ะ”

(มันกวนตีนกูอะ ไอ้ภีม!!!อย่ามาปล่อยลมค้อนกูไอ้สัส....ตรู๊ดๆ ๆ ๆ )

สายตัดไปเฉยเลย ผมว่าผมเดาเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ไอ้ภีมคงโดนไอ้เป้กระทืบยับ

หลังจากที่นอนแช่น้ำจนหนำใจ ผมก็ขึ้นจากอ่างแล้วก็บอกลาเจ้าพวกเป็ด ไว้ถ้าหนมกลับมาบ้านหนมจะมาแช่น้ำด้วยอีกนะ อา....หิวจัง ผมแช่น้ำนานไปรึเปล่านะ ป่านนี้คนทั้งบ้านคงรอผมไปกินข้าวอยู่แน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบแต่งตัวก่อนจะรีบลงไปกินข้าว

อยากกินแกงเขียวหวานของแม่จัง


“ 4 ทุ่มแล้วหรอเนี่ย” ผมมองนาฬิกาหลังจากที่กลับขึ้นมาบนห้อง แกงเขียวหวานของแม่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับมันจะอร่อยมากกว่านี้ถ้าไอ้ขันมันไม่คอยแกล้งผม

ขนาดกินข้าวแม่งยังไม่เว้นอะคิดดู

บทสนนาระหว่างที่กินข้าวกันก็ไม่พ้นเรื่องที่พี่เขมกลับมาจากฝรั่งเศส เรื่องของธุรกิจที่บ้าน เรื่องบลาๆ ๆ ๆ ผมนี่โดนป๊าบ่นหูชาเลยเพราะไอ้ขันมันฟ้องว่าผมจุ๊บมือแม่ มันใช่เรื่องที่มึงจะต้องฟ้องป้ะวะ อย่าให้ถึงวันของกูนะมึง

มึงไม่มีที่ยืนในสังคมแน่ขัน

แอ๊ดดดด

ผมมองแขกไม่ได้รับเชิญที่เดินเข้ามาในห้อง “มึงเข้ามาทำไมวะ นี่ห้องกูนะ”

“ทำไมอะ บ้านพ่อกู กูจะไปไหนก็ได้” มันเดินมานั่งบนโต๊ะหนังสือผม ใครเขาให้มึงนั่งบนโต๊ะวะ แม่ก็สอนว่าอย่านั่งบนโต๊ะหนังสือเพราะมันเป็นที่ไว้วางตำราเรียน มันบาป

กูฟ้องแม่แน่ หึ

“มึงนี่มัน” ผมมองตาค้อนใส่มันที่ทำหน้าตากวนตีนใส่ผมอยู่

“กูมันหล่อ หล่อมาก หล่อวัวตายควายล้ม” คนห่าไรชมตัวเองวะ

ผมหันหน้าหนีมันเพื่อบ่งบอกว่ารำคาญ “ใครเขาถามมึงวะ กูนี่ไม่ได้อยากรู้เลย”

“หันหนีกูไม”

“........” เงียบครับ ดูซิว่ามันจะทำยังไง

“นี่ๆ หันมาคุยกับกูก่อน” มันจิ้มไหล่ผม จิ้มห่าไรมึงวะ มึงเป็นเด็กรึไง

“.......”

“ไม่หันก็ช่างมึง แต่ถ้าไอ้ขุนมายุ่งกับมึง มึงห้ามไปยุ่งกับมัน” มันเอ่ยบอกผมเสียงเรียบอย่างจริงจัง

เดี๋ยวนะ

ไอ้ขุนงั้นเหรอ

“ขุนไหนของมึง” ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงขุนศึกหรือขุนไหน เพราะว่าในมหา’ลัยมันไม่ได้มีคนชื่อขุนแค่คนเดียว เพื่อความไม่ให้ตัวเองเข้าใจผิดผมจึงต้องถามให้แน่ใจ

“ขุนศึก วิศวะฯ โยธาปี 2 ”

“ทำไมวะ” มันน่าสงสัยนะเพราะอยู่ดีดีไอ้ขันก็มาบอก ไม่ใช่บอกสิเพราะฟังน้ำเสียงมันคือการสั่ง

“กูสั่ง มึงไม่จำเป็นต้องมาถามต่อ”

“กูอยากรู้นี่ อยู่ดีดีมึงก็มาบอกว่าห้ามยุ่งทั้งๆ ที่กูก็ไม่ได้รู้จักไอ้ขุนศึกอะไรนั่นเลยด้วยซ้ำ”

เป็นใครมันจะไม่อยากรู้วะ ผมไม่ได้รู้จักมักจี่ไอ้ขุนด้วย ถึงจะเคยเจอมันแค่ครั้งเดียวก็คือวันนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะพบจะเจอมันอีกเป็นครั้งที่สองด้วย

ตึกก็อยู่ห่างกันขนาดนั้น จะไปเจอได้ไงวะ

“ไม่รู้จักก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าทำตามที่กูพูด นะจ๊ะน้องหนม” มันยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเดินออกไปและก็ทิ้งข้อสงสัยไว้ให้ผมมากมายว่าทำไมๆ ๆ ๆ ต้องห้ามยุ่งกับไอ้ขุน แล้วพอมันยิ่งห้ามผมก็ยิ่งอยากรู้

เรื่องนี้ถ้าไปถามไอ้หมี มันจะรู้ไหม

ต้องลองดูครับเพราะไอ้หมีมันจะรู้เรื่องทุกอย่าง โดยเฉพาะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ขันมันจะต้องรู้แน่นอน แต่ก่อนที่ผมจะถามไอ้หมีนั้นผมมีภารกิจเพื่อชาติที่จะต้องทำก่อนนั่นก็คือ....

แต่งนิยาย

ผมหยิบโน้ตบุ๊คคู่ใจมาเปิดก่อนที่จะเริ่มลงมือแต่งนิยายตอนต่อ ช่วงเวลาใกล้จะนอนนี่แหละครับที่สมองจะแล่นที่สุด แต่ถึงแม้ว่าสมองมันจะแล่นมากแค่ไหนมันก็ยังแล่นไม่มากพอที่ผมจะแต่ง Nc ได้

น่าเศร้าใจจัง

แต่ว่าไม่เป็นไรครับเพราะตอน Nc มันเป็นตอนพิเศษ ตราบใดที่นิยายยังไม่จบผมก็ยังไม่ต้องลง Nc เพราะงั้นก็รอกันไปอีกหน่อยนะเหล่ารี้ดที่รัก ไรท์หนมจะรีบคิดรีบจินตนาการแล้วแต่งให้เหล่ารี้ดที่รักอ่านโดยเร็ววันนะ

เร็ววันซึ่งไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน

แหะๆ


---------- 50% บท 2 ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 2 : 3/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-11-2017 19:34:05
---------- ต่อจากบท 2 ----------
มหา’ลัย P

“หนม เมื่อวานมึงนอนกี่โมงวะ” ไอ้ปั้นถามผมพร้อมกับส่งพล็อตของบทละครสั้นมาให้ ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกคณะเพื่อรอเรียนถ่ายภาพอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

และตอนนี้ผมก็รู้สึกง่วงมาก

เมื่อคืนผมนอนดึกไปหน่อย ก็ไม่หน่อยหรอกครับเกือบตี 3 แน่ะ ที่นอนดึกก็เพราะว่าแต่งนิยายเพลินมาก ผมบอกว่าเวลาใกล้จะนอนนี่แหละที่ทำให้สมองแล่นที่สุด แล่นจนลืมเวลาไปเลยล่ะ ดีว่าวันนี้เรียนช่วงสายไม่ใช่เรียนเช้า ไม่งั้นผมคงยังนอนอยู่บนเตียงแน่ๆ แถมเมื่อเช้ายังจะโดนไอ้ขันแกล้งอีก สังหรณ์ได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันซวยของผม

รู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะครับ

“เกือบตี 3 ”

“นอนดึกจังวะ”

“กูแต่งนิยายอะ ไมมึงถามเยอะจัง มีไรรึเปล่า” ผมมองหน้ามันเหมือนกับว่าจะมีเรื่องสำคัญอยากจะถาม

“เปล่าหรอก....ไม่มีอะไร” ไม่มีแล้วจะอึกอักไมวะ

ผมหรี่ตามองมัน “มึงแน่ใจนะ”

“เออน่า มึงลองอ่าน” เออได้ปั้นได้

กูจะพักเรื่องของมึงไว้ก่อน

ผมอ่านพล็อตบทละครสั้นในมือ ก่อนที่จะจบปี 1 พวกผมจะต้องทำละครสั้นเรื่องนึงส่งเป็นโปรเจ็กต์ ส่วนโจทย์ก็เกี่ยวกับความรักในชีวิตวัยรุ่น มันไม่ยากสำหรับผมเท่าไหร่ในหน้าที่ของการเขียนบทเพราะแต่งนิยายอยู่แล้ว ที่ยากนี่น่าจะเป็นการหาเวลาว่างไปถ่าย หาสถานที่แล้วก็หานักแสดง อาจารย์ไม่ได้กำหนดว่าคนในกลุ่มจะต้องแสดงเท่านั้น พวกผมสามารถไปหานักแสดงจากไหนก็ได้ งานชิ้นนี้จะเริ่มหลังจากผ่านการสอบรายงานข่าว เดี๋ยวผมต้องรีบเขียนบทและก็แบ่งหน้าที่ให้พวกเพื่อนๆ ทำ

แม่งต้องวุ่นวายมากแน่ๆ

“หนมมมม” ไอ้หมีเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอาหน้าใสใสของมันไถไหล่ผม หน้าเปื้อนอะไรแล้วแอบมาเช็ดเสื้อกูป้ะเนี่ย

“อะไรมึง”

“เพื่อนหมีง่วง” ว่าแล้วแม่งก็หาววอดๆ มึงเป็นไอ้ภีมสองเหรอหมีมางงมาง่วง

“เรื่องของมึง”

“ใจร้าย มึงมันใจร้ายอะหนม ใจร้ายสัสๆ เห้ยหนมนั่นผู้มึงอะ” ไอ้หมีชี้ให้ผมมองตาม ผู้อะไรของมึงวะหมี กูงง

“ผู้อะไรวะหมี มึงพูดถึงเรื่องอะไรเนี่ยะ”

“ก็พี่ขุนไง ผู้มึงอะ” ผู้กูพ่อง

“ผู้ห่าไร มันมาเป็นผู้กูตอนไหนไอ้หมีมึงอย่ามาเพ้อเจ้อ” โวยวายเลยครับ เดี๋ยวให้ไอ้เป้มาก่อนมึงตายแน่หมี

“ก็กูเห็นมึงมองเค้าซะเหมือนอยากจะแดกเข้าไป”

“กูเปล่า”

“มาทำอะไรที่ตึกเราวะ แถมดอกไม้ช่อเบ้อเร่อนั่นอีก” ผมมองช่อดอกไม้ในมือมันตามที่ไอ้ปั้นพูด

เออว่ะ

เอาดอกไม้ช่อใหญ่ขนาดนั้นมาให้ใครวะ

“เหมือนมองหาใครอยู่ด้วยนะมึง หรือว่ามันจะเอามาให้แก้มใส” ผมว่าไม่น่าว่ะเพราะเหตุการณ์เมื่อวานมันจบแบบไม่สวย จะว่าเอาดอกไม้มาง้อมันก็ไม่น่าใช่

“ถ้าเอามาให้แก้มใสทำไมถึงเดินมาทางนี้วะ”

ผมมองร่างสูงที่เดินเข้ามาทางที่พวกเรานั่งอยู่พร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ หน้ามันใกล้เข้ามาทำให้ผมเห็นได้ชัดกว่าครั้งที่ได้เห็นครั้งแรก มันหล่อมากจริงๆ ครับ แถมผมมันก็เปลี่ยนจากสีดำไปเป็นสีเทาอ่อนๆ คาดว่าคงไปย้อมมา จากที่เด่นมากอยู่แล้วมันก็เด่นมากขึ้นไปอีก ผมมองตามมันจนมารู้ตัวอีกที ร่างสูงนั่นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะพวกผมแล้ว

หืม....เดี๋ยวนะ

มึงมาหยุดทำไม

ผมได้แต่มองแบบงงๆ มันเองก็มองผมเหมือนกัน โต๊ะที่พวกเรานั่งมีแค่ผมไอ้ปั้นและก็ไอ้หมีส่วนพวกที่เหลือยังไม่มา ในโต๊ะก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยหลังจากที่มันเดินมาหยุดอยู่ตรงนี้ ทุกคนมองด้วยความสงสัยว่ามันเดินมาทำไม และคนที่สงสัยมากที่สุดนั้นก็คงจะเป็นผม เพราะข้างหน้านี่คือคนที่ไอ้ขันสั่งอย่างเด็ดขาดว่าห้ามยุ่ง ในสมองตอนนี้บอกได้เลยว่าสงสัยมากและอยากรู้เรื่องสุดๆ อยากถามมันให้รู้แล้วรู้รอดไปว่ามีอะไร ไปทำอะไรไอ้ขันไว้หรือเปล่าบลาๆ ๆ

อา....ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมีเสน่ห์ชะมัด

เห้ย คิดอะไรของมึงเนี่ยหนม

“.....” ร่างสูงยื่นช่อดอกไม้มาทางผม ยื่นมาทำไมวะ

“อะไร” ผมถามอย่างงงๆ งงจริงครับไม่เข้าใจมากด้วย เอ๊ะ หรือว่ามันจะฝากให้ผมเอาดอกไม้ไปให้ใคร
ถ้าเป็นแบบนั้นจะฝากกูเพื่อ....

“ให้”

“ให้ใคร”

“ให้มึงอะ”

เชี่ยยยย

เกิดมาจนอายุ 19 ปี เพิ่งเคยมีผู้ชายเอาดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ขนาดนี้มาให้ แถมผู้ชายคนนั้นเป็นถึงอดีตเดือนคณะวิศวะฯ เมื่อปีก่อน ผมได้แต่มองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“ให้ทำไม”

“ให้ก็ให้” มันยัดช่อดอกไม้ใส่มือผม “ก็แค่รับไปมันจะยากตรงไหนวะ”

“เห้ยเดี๋ยว” อะไรของมึงเนี่ย

“เก็บไว้ดีดีนะ” มันบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป ผมก็ได้แต่มองช่อกุหลาบขาวในมือและก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะมันเดินไปไกลมากแล้ว รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาเลยเมื่อนึกถึงรอยยิ้มเมื่อกี้

ตึกตัก

ไม่เคยเจอใครยิ้มได้ทำร้ายหัวใจขนาดนี้เลย

“ไอ้หนม!!!”

“ห้ะๆ ” ผมมองไอ้หมีที่เรียกผมเสียงดัง “อะไรวะ”

“เหม่อเลยนะมึง แก้มแดงอีกต่างหาก นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย กูพลาดอะไรไปรึไง” ไอ้หมีมันโวยวายใหญ่ คือไม่ใช่แค่มึงหรอกที่ไม่รู้ กูก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

“กูไม่รู้ว่ะหมี” ผมมองสายตาจ้องจับผิดของไอ้หมี ไม่รู้ก็คือไม่รู้สิโว้ยยยย

“มึงมันร้ายเหมือนกันนะหนม หึๆ ” ขำไรมึงวะปั้น มันไม่ใช่เรื่องน่าขำนะเว้ย

“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

ผมได้แต่บอกแบบนั้น ก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นี่ ขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจ แถมไอ้คนที่เอาดอกไม้มาให้มันก็ไม่ได้พูดไม่ได้บอกอะไรผมเลยด้วยซ้ำ หรือเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับที่ไอ้ขันให้มาบอกผมว่าอย่าไปยุ่งกับมัน

โอ๊ยไม่เข้าใจโว้ย

เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกูวะเนี่ยยยย

[บันทึกพิเศษ : ขุนศึก]

น่ารักเป็นบ้า

เด็กนั่นน่ารักกว่าที่ผมคิดจริงๆ

“ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่ได้ เป็นไรวะ” กูกำลังมีความสุขอยู่ไงเพื่อน

“มันไม่ตอบมึงอะแกง”

“เป็นบ้าไปแล้ว” เออ กูเป็นบ้า

บ้ารักด้วยนะ

“มันเอาดอกไม้ไปให้สาวมา”

“โนวๆ เอาไปให้หนุ่มมาครับ” ผมยิ้มหวานให้กับเหล่าเพื่อนรักอย่างอารมณ์ดี

“เชี่ยขุน!!!” ทำไมพวกมึงต้องอุทานออกมาพร้อมกันและเสียงดังขนาดนั้นด้วยวะ

ขุนไม่เข้าใจ

“มึงเป็นเกย์หรอวะสัสขุน”

“เออจะเข้าสมาคมชายรักชายก็ไม่บอกกู”

“กูไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้แค่อยากเย ไม่ได้คิดเท แถมจะเปย์ให้หมดตัวเลย” ยอมเป็นของพี่ขุนนะทูนหัว พี่จะดูแลเราอย่างดีตั้งแต่เช้าจรดเย็นเลยครับ

ไอ้แกงมันจ้องผมอย่างจับผิด “แต่มึงบอกว่ามึงเอาไปให้ผู้ชาย”

“ช่างกูน่า” จะเอาไปให้ใครก็เรื่องของกู

“เห้ย ไม่ช่างดิ ต้องบอกเพื่อนดิ่ นี่เพื่อนไง”

“เอ๊ะพวกมึงนี่” ผมทำหน้ามุ่ยใส่พวกมัน “อยากรู้ไปสืบเอาเองสิวะ” ว่าแล้วผมก็เดินหนีขึ้นตึกของคณะ เมื่อยขาสัสๆ อะที่เดินไปตึกนิเทศฯ  ครั้งหน้าผมต้องเอารถไปละ เพราะมันไกลมากจริงๆ

แต่ว่านะ

ถึงตึกเรียนพี่อยู่จะไกล แต่หัวใจพี่อยู่กับน้องนะ

ฮิ้ววววววววววว

น้ำเน่าจังวะขุน

ผมชื่อ ขุน เรียกเต็มยศเลยก็ ‘ขุนศึก’ เรียนวิศวะฯ โยธาปี 2 ครับ ผมหล่อ ไม่ได้อยากจะชมตัวเองนะแต่ว่าผมหล่อจริงๆ เป็นเดือนของคณะวิศวะฯ เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้กำลังหลงรักเด็กนิเทศฯ คนนึงอยู่ครับ แต่ว่าผมยังไม่รู้จักชื่อของเขาและก็เป็นผมเองที่ไม่ได้ถาม

แหม ก็มันตื่นเต้นนี่นา

กว่าจะเก๊กได้ขนาดนั้นมันยากนะครับแถมผมก็เป็นผู้ชายน้องเขาก็ผู้ชาย ไหนจะเพื่อนๆ น้องที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นอีก เดาได้เลยว่าตอนนี้น้องเขาคงงงมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดีละปล่อยให้งงต่อไป ถ้างงมากๆ น้องก็จะอยากรู้ พออยากรู้ก็ต้องหาคำตอบ นี่แหละกับดักของผม

เสร็จพี่เถอะคนดี

ครั้งแรกที่เจอก็คือเมื่อวานเลยครับ เห็นว่าเดินมาที่ตึกเหมือนกับว่ามาหาใคร สภาพภายนอกของน้องเขาไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด แต่งตัวก็ดูโทรมๆ มันไม่ได้ดูมีอะไรดึงดูดเลย ที่ผมรู้ว่าเขาเรียนนิเทศฯ ก็เป็นเพราะถือเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินของคณะนิเทศฯ มา เขาใส่แว่นเฉิ่มๆ แถมหัวฟูเหมือนไม่เคยหวีมายังไงยังงั้นแหละ แต่ว่านะผมเห็นตอนที่เขาพยายามปีนขึ้นต้นไม้เพื่อเอาลูกนกที่คาดว่าจะร่วงลงมาไปเก็บไว้ที่เดิม ความรู้สึกในตอนนั้นมันบอกไม่ถูก

รู้สึกว่าชอบในสิ่งที่น้องเขาทำ

โดยที่ผมไม่สนว่าภายนอกเขาเป็นยังไง

เห็นเขาปีนต้นไม้อย่างทุลักทุเลผมก็อยากจะเข้าไปช่วยแต่มีคนเข้ามาช่วยซะก่อนนั่นก็คือพี่แช่ม เขาเป็นเพื่อนของพี่ขันซึ่งเป็นพี่รหัสของผมเอง น้องเขากับพี่แช่มดูสนิทกันผมก็เลยคิดว่าเขาน่าจะรู้จักกัน พี่ขันเองก็อาจจะรู้จักผมก็เลยแอบถ่ายรูปน้องก่อนจะส่งไปให้พี่ขันดูแต่ว่าพี่ขันตอบกลับมาว่าไม่รู้จัก

ไว้ผมจะไปสืบจากพี่แช่มว่าน้องเป็นใคร

หึ ไม่รอดจากมือพี่หรอกพ่อหนุ่ม

ผมซื้อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่เดินเอาไปให้น้องถึงตึกนิเทศฯ ที่แม่งโคตรไกลจากตึกคณะผม และมันเป็นครั้งแรกที่ผมซื้อดอกไม้ให้ใครแบบนี้ ตอนแรกไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะเจอน้องง่ายๆ อาจจะเป็นโชคดีของผมด้วยที่น้องนั่งอยู่หน้าตึกพอดี น้องน่ารักครับ ผมรู้สึกว่าน้องน่ารักจริงๆ ยิ่งวันนี้ที่ได้ไปเห็นใกล้ๆ ใบหน้าหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตานั่นมันไม่ธรรมดาเลย หลายคนอาจจะมองไม่ออกแต่ผมมองออก ผิวขาวใสนั่นช่างน่า....ไม่เอาไม่พูดเอาเป็นว่าน่าพอ ริมฝีปากบางสีแดงอมชมพูที่เอ่ยถามผมว่าให้ดอกไม้กับเขาทำไม

พี่อยากให้พี่ก็ให้ครับ

เหตุผลก็เพราะชอบครับ

พูดเองก็เขิน

“ทำไรวะ”

“หืม....อ๋อรอเรียนอะพี่” ผมมองตามเสียงคนถาม วันนี้พี่ขันโคตรเท่มีการเซ็ตผมเสยขึ้นไปยันโน่น สงสัยไปเข้าประชุมเชียร์ล่ะมั้งถึงได้แต่งเนี้ยบซะขนาดนี้

“เออ ฝากบอกประธานสันทนาการให้มาหากูหน่อย”

“วันนี้เลยหรอพี่”

“เออวันนี้ มึงมาด้วยก็ได้นะ เผื่อกูมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

“เรื่องไรอะพี่”

“ตอนนี้กูยังคิดไม่ออก ไว้มึงมากูอาจจะคิดออก เออตามนี้กูไปละ” ว่าแล้วก็เดินไป พี่ขันนี่มองยังไงก็เท่ว่ะ ยิ่งได้รับหน้าที่เป็นพี่ว้ากยิ่งเท่เข้าไปใหญ่

สักวันผมจะเท่ให้ได้แบบพี่ขัน

“แผนแรกเสร็จ” ผมหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจดความคืบหน้าของแผนการการจีบน้องนิเทศฯ ผมไม่เคยคิดจะจีบใครจริงๆ จังๆ แบบนี้เลยนะ ก็ยังคิดอยู่ว่าตัวเองอาจจะบ้าจริงๆ แบบที่ไอ้แกงบอก แต่ว่าเหมือนมันมีอะไรบางอย่างในใจผมสั่งว่าถ้าจะยุ่งกับน้องเขา ผมต้องจริงจัง ยอมรับเลยว่าที่ผ่านมานั้นผมค่อนข้างเจ้าชู้และก็มีความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดไม่ว่าจะกับใครก็ตาม

แต่คนนี้แหละ ผมจะจริงจัง

ผมจะต้องทำให้น้องเขามาเป็นของผม

และผมต้องทำให้ได้ด้วย

[จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก]







TBC.

#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 3 : 3/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-11-2017 21:04:58
บทที่ 3 ผมจะตั้งใจเรียน [Rewrite 100%]


‘ให้ก็ให้ ก็แค่รับไปมันจะยากตรงไหนวะ’

‘เก็บไว้ดีดีนะ’



“มันทำไมกันวะ” ผ่านไป 3 วันแล้วแท้ๆ แต่ผมยังสลัดคำพูดกับหน้าหล่อๆ ของมันออกไปไม่ได้เลย

เสียงนุ่มๆ นั่นก้องในหูอยู่ตลอดเวลา

หลังจากนั้นเรื่องของผมก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเพราะไอ้หมีแต่ก็ยังดีที่รู้กันอยู่ในนิเทศฯ แต่ผมคิดว่าเพียงไม่นานคนแม่งต้องรู้กันทั้งมหา’ลัย ไอ้หมีให้เหตุผลในการแพร่ข่าวว่า พวกเราเรียนสายข่าว ถ้ามีเรื่องฉาวๆ โลกก็ต้องรู้

เพิ่งรู้เลยนะว่านี่เป็นเรื่องฉาว

ตอนนี้ผมอยู่กันที่หน้าตึกคณะครับที่เดิมกับที่ไอ้ขุนมันเอาดอกไม้มาให้เลย มีไอ้ภีมกำลังนั่งตั้งสติและไอ้ไผ่ที่นั่งเขี่ยใบไม้ที่ร่วงลงมาบนโต๊ะเล่น ส่วนพวกที่เหลือไปซื้ออะไรกินกัน 3 วันมานี้สมองผมตื้อสุดๆ เลย คิดอะไรไม่ค่อยออกเพราะว่ามีเรื่องคาใจอยู่หลายอย่าง มันแย่ตรงที่พรุ่งนี้ผมจะมีสอบรายงานข่าวโทรทัศน์ แล้วถ้าสมองยังไม่แล่นอยู่แบบนี้ผมเกรงว่ามันจะส่งผลต่อการสอบ

พลาดไม่ได้นะ เกรด A จะหายวับไปทันที

“มึงโอเคไหมวะ” เสียงสะลึมสะลืมจากไอ้ภีมดังมาเข้าหูผม

เอาจริงๆ กูควรถามมึงภีม

ไม่ใช่มึงมาถามกู

“กูว่ากูโอเคนะ” เอาจริงๆ มันก็ไม่โอเคหรอก เรื่องอะไรก็ไม่รู้มันกวนใจขนาดนี้ ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ รู้ว่าไม่โอเคไม่งั้นมันจะเป็นห่วงเปล่าๆ

แต่ก็ไม่รู้นะครับว่าพวกมันจะเชื่อไหม

“มึงโกหกอะ”

นั่นไง

“โกหก....มุสาวาทา เวรมณี.....” เดี๋ยวๆ ไผ่มึงจะท่องศีลทำไม จะตอกย้ำกูเหรอ

“กูเปล่า”

“เนี่ย มึงโกหกอีกละ” ทีงี้ล่ะสังเกตกูเก่งจริงๆ นะไอ้ภีม

“กู.....”

“โอเคก็บอกไม่โอเคแล้วมึงจะบอกโอเคทำไมวะ”

ห้ะ

“กูพูดไรวะ”

“เออ!!! มึงพูดอะไรเนี่ย” ไอ้ไผ่ไอ้บ้า ยังมีหน้ามาถามอีกนะ ขนาดตัวมึงยังไม่เข้าใจเลยใครจะไปเข้าใจมึงวะ

ไอ้ภีมแตะไหล่ไอ้ไผ่เบาๆ “ไม่เป็นไรนะไผ่ ใครไม่เข้าใจมึงกูเข้าใจมึงเสมอ”

แหม่ แหลมากกกก

มึงก็ไม่เข้าใจมันหรอกห่าภีม

“เห้ยแตะไหล่ไรกันวะ” ไอ้เป้มันเดินเข้ามาปัดมือไอ้ภีมออก ก่อนจะเข้าไปนั่งกั้นทั้งสองคน ที่ก็โคตรแคบ ตัวมึงก็อย่างใหญ่ ยังจะไปนั่งกั้นอีก

“โวยวายไมวะ” ไอ้หมีถามก่อนจะส่งขนมมาให้ผม

“เออ เหมือนพวกหวงของ” ตามด้วยการแขวะจากท่านประธาน

ไงล่ะมึงเป้

จุกเลยไหม จุก

“พวกมึงมีปัญหากับกูรึไงห้ะ” ไอ้เป้โวยวายใส่ก่อนจะหยิบค้อนลมออกมา คือใจคอมึงจะพกมาทุกวันเลยว่างั้น

“เป้”

“อะไรมึงไอ้เตี้ย” มันกระทบกูนะคำว่าเตี้ยที่มึงเรียกไอ้ไผ่น่ะ

“ทำไมมึงต้องโวยวายเวลาที่เสียงดังไมอะ”

เอาอีกละ

“มึงพูดเชี่ยไรเนี่ยยยย ไปตั้งสติก่อนไหมไอ้สัสเตี้ย” ว่าแล้วไอ้เป้ก็กระหน่ำตีไอ้ไผ่ด้วยค้อนลมของมัน

โถ่เพื่อนไผ่

ผมมองไอ้ไผ่ที่ยกมือป้องหัวตัวเองไว้ บรรดาเพื่อนๆ ก็ฉุดกระชากรั้งไอ้เป้ไว้แต่มันก็ไม่หยุด ไอ้เป้เห็นแบบนั้นก็ไล่ตีเพื่อนทุกคนอย่างเท่าเทียม มึงนี่เถื่อนเสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ เลย

“เป้หยุด” มือหนาชะงักก่อนจะหันตามเสียงของคนที่พูด ผมก็หันเหมือนกันเพราะปกติคนที่สั่งให้ไอ้เป้หยุดจะเป็นผมแต่วันนี้มันกลับเป็นไอ้ภีม

ไอ้ภีมมันกล้าสั่งไอ้เป้ด้วยว่ะ

“มึงกล้าสั่ง....” ยังไม่ทันที่ไอ้เป้จะพูดจบ

“ไม่หยุดมึงนอนนอกห้องมึงจะเอาไง”

หืมมมม

นอนนอกห้องคืออะไร

ผมมองหน้าไอ้เป้ที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอย่างสองจิตสองใจ ตอนแรกผมคิดว่าไอ้เป้มันตีไอ้ภีมยับแน่ แต่ว่าไม่ใช่ว่ะ มือหนาวางค้อนลมก่อนจะนั่งลงข้างไอ้ภีมนิ่งๆ

เห้ยยยย เป็นไปได้

ไอ้หมีมันยกมือ “เพื่อนหมีมีคำถามครับเพื่อนภีม”

“ถามไร”

“นอนนอกห้องนี่คืออะไรครับ” ดีมากเพื่อนหมีเพราะเพื่อนหนมก็อยากรู้เหมือนกัน

ผมสงสัยตั้งแต่ที่ไอ้เป้โทรมาหาผมเมื่อวันก่อนละ แล้วมีเสียงไอ้ภีมอยู่ในห้อง เอาจริงๆ มันก็ไม่แปลกหรอกที่เพื่อนจะไปค้างที่หอน่ะ อีกอย่างอาจเพราะว่าหอไอ้ภีมมันอยู่ไกล เวลามาเรียนสายอาจจะกลัวสายก็เลยต้องมานอนหอไอ้เป้งี้

แต่ถ้างั้นนอนหอผมจะง่ายกว่าป้ะวะ

เพราะหอผมใกล้กว่า

“ก็นอนนอกห้อง”

“คำตอบไม่เคลียร์อะ” เออ ตอบให้มันเคลียร์ซิภีม

“มึงขี้เสือกจังวะหมี”

“ว่าเพื่อนหมีทำไม เพื่อนหมีเสียใจนะ” ไอ้หมีมันทำเป็นเหมือนปาดน้ำตา

“อีก 10 นาที ขึ้นเลยไหม” ไอ้เผือกถาม นั่งตั้งนานมึงเพิ่งพูดเหรอวะ

“ไปดิ่ เลิกคลาสนี้พวกมึงต้องไปหาอาจารย์อมรกับกูด้วย”

“ไปไมวะ”

“โถ่หนม มึงคิดว่าอาจารย์อมรเรียกเราจะมีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องงานของคณะล่ะ” ก็จริงของมึงหมี

ทุกครั้งที่พวกผมโดนอาจารย์อมรเรียกไปพบก็เพื่อจะสั่งงานให้ทำ งานจะเล็กงานจะใหญ่ก็ขึ้นอยู่ที่แกอยากจะสั่ง ผมฟังมาจากพวกประธานรุ่นก่อนว่างานที่หนักที่สุดคืองานทำนิตยสารโปรโมทมหา’ลัย มันถือว่าเป็นงานหิน ไม่ใช่ว่างานอื่นไม่ยากนะครับงานอื่นก็ยาก และงานที่ยากๆ นั้น

พวกผมต้องได้ทำแน่นอน

“ถ้ากูฟังไม่ผิดน่าจะเกี่ยวกับนิตยสารโปรโมทมหา’ลัย”

“เห้ย จริงจัง” ทำไมมึงทำหน้าตะลึงแบบนั้นวะหมี

“จริงจัง ไปได้ละเดี๋ยวก็วิ่งรอบตึกอีกอะ”

เออ วันนี้เราจะวิ่งรอบตึกอีกไม่ได้ ชีวิตหนมควรอับอายแค่สองครั้ง ถูกไหม





“...ผมจะตั้งใจ....เรียน....แฮ่ก”

โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว

“โอ๊ยยยยกูเหนื่อย” ไอ้หมีตะโกนลั่น เออกูก็เหนื่อย

“เพราะมึงสองคนเลยไอ้เป้ไอ้ภีม” ไอ้ปั้นพูดอย่างหัวเสีย

“กูทำไรอะ” ไอ้ภีมมันวิ่งไปหาวไป

วิ่งกลางแดดร้อนขนาดนี้มึงจะหาวอีกเหรอ!!!

“ยังไม่สำนึกอีกนะมึงอะ” ไอ้เป้มันโขกหัวไอ้ภีมไปทีนึง

มึงทั้งคู่นั่นแหละไอ้สัส

“แฮ่ก....ไม่ไหวๆ ” ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง เหงื่อเต็มเสื้ออีกแล้ว เหมือนเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่โดนวิ่งย้อนกลับมาเลยว่ะ

หิวน้ำเป็นบ้า

ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อับอายครั้งที่สามเกิดขึ้น ส่วนสาเหตุมันก็เรื่องเดิมๆ ครับ ไอ้ภีมหลับเหมือนอย่างทุกๆ คลาส พอเห็นมันหลับแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่เลยว่ากลางคืนมันทำอะไร

วันหลังผมต้องชวนไอ้หมีย่องไปดูละ

“ปล่อยให้กูนอนก็จบแล้วไง เพราะมึงอะเป้” ไอ้ภีมมันปาใบไม้ใส่ไอ้เป้ นานๆ จะเห็นไอ้ภีมตอบโต้บ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การปาใบไม้ใส่ก็เถอะ

“เพราะมึงนั่นแหละ” ไอ้เป้มันก็ไม่ยอมแถมยังปาใบไม้กลับไปอีก เฮ้อ พวกมึงนี่นะ

“กูไปห้องน้ำนะ” ไม่ไหวแล้วครับอยากล้างมือกับหน้ามาก

ผมทิ้งชาวแก๊งค์ให้นั่งโวยวายกันอยู่ตรงนั้นก่อนจะพาตัวเองเดินไปห้องน้ำที่อยู่หลังตึกคณะ โอ๊ย หายใจไม่ทันเลยให้ตายสิ เพราะผมไม่ค่อยชอบออกกำลังกายรึเปล่านะมันเลยทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะวิ่งท่ามกลางแดดแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง

ผมถอดแว่นตาก่อนจะวักน้ำมาล้างหน้า “ค่อยยังชั่วหน่อย”

เที่ยงวันแบบนี้แสบตาชะมัด

สายตาผมแพ้แสงผมต้องใส่แว่นกันแสงเวลาออกไปไหนมาไหน ถ้าอยู่ห้องผมจะไม่ค่อยใส่ จะใส่ก็เฉพาะตอนแต่งนิยายเท่านั้น ผมว่าตัวเองโชคดีนะที่ไม่ได้สายตาสั้นทั้งๆ ที่ตัวเองใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมฯ มากขนาดนั้น

เพราะงั้นขอให้มันไม่สั้นแบบนี้ต่อไป

“ผมจะตั้งใจเรียน”

หืม

เสียงใครวะคุ้นๆ

“ใครวะ” ผมหมุนรอบตัวเพื่อหาต้นเสียงว่าเป็นใคร อา....แสบตาชิบ สวมแว่นก่อนครับไม่งั้นผมอาจจะตาบอดตายตรงนี้ก็ได้

“ผมจะตั้งใจเรียน” เจ้าของเสียงเข้มเดินออกมาจากด้านข้างห้องน้ำพลางยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดี ผมได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ มันมาอยู่ที่นี่แล้วอีกแล้ว คนที่เอาช่อดอกกุหลาบสีขาวมาให้ผมเมื่อหลายวันก่อน

ขุนศึก

มึงมาทำไมเนี่ย

แล้วเมื่อกี้มึงล้อกูเหรอห้ะ

“มึงมาทำไม” ผมถามเสียงขุ่น แน่ล่ะเมื่อกี้ผมก็ว่าตัวเองหูไม่ฝาด มันล้อผมที่โดนลงโทษให้วิ่งรอบตึก

“ผ่านมาเฉยๆ ”

ผ่าน!!!

มึงใช้คำว่าผ่านกับสองตึกที่อยู่ห่างกันเป็นกิโลฯ น่ะนะ

“มึงผ่านมาไกลจังนะ” ผมแขวะมัน น่าหมั่นไส้ว่ะไอ้หน้าหล่อๆ ที่ยิ้มบางๆ นั่นน่ะ

เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า

“ผ่านก็คือผ่านดิ่ แล้วที่วิ่งเมื่อกี้อะเหนื่อยมากไหม”

“มึงอยากรู้ มึงก็ลองไปวิ่งสิ” ใครจะไม่เหนื่อยวะไอ้บ้า มึงดูความใหญ่ของตึกกู มึงดูแดดด้วย มึงดูความร้อนของอากาศ แม่งถามอะไรแปลกๆ

“ถ้ากูลองไปวิ่ง นี่ก็ละลายอะดิ” มันชูแก้วโกโก้ในมือให้ผมดู

อึก

อยากกิน

ความอยากกินนี้มันมาจากความเหนื่อยของผมแน่ๆ แต่ไม่ได้ ผมต้องไม่หลุดให้มันได้เห็นว่าผมหิวน้ำ แล้วเซ้นส์ในการซื้อน้ำของมันก็ดีเหลือเกิน ผมชอบกินโกโก้แล้วมันก็ซื้อโกโก้มา

ไอ้บ้านี่

“นั่นก็เรื่องของมึง”

“มึงนี่ ปากคอเราะร้ายเหมือนกันนะ”

“มึงมีปัญหารึไง”

“ถ้ามี แล้วจะยังไงต่อ” มันก้มหน้าลงมาใกล้ ก้มครับใช้คำว่าก้มได้เลย นี่จะสูงไปไหนวะ มองไกลๆ ว่าสูงแล้วนะ ครั้งก่อนมองใกล้หน่อยก็สูงมาก แต่ครั้งนี้แม่งโคตรสูงอะ

“ก็เรื่องของมึง” ผมผลักมันออกก่อนที่หน้าหล่อๆ จะก้มลงมาใกล้ผมไปมากกว่านี้ ยอมรับเลยนะครับว่าช่วงระยะที่หน้ามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นั่นทำให้ใจผมสั่นเล็กน้อย

เน้นว่าเล็กน้อยนะครับ

“อะไรๆ ก็เรื่องของกู....งั้นมึงเอานี่ไป” มันยัดโกโก้ใส่มือผม อะไรของมันวะ คิดจะยัดอะไรก็ยัดง่ายๆ ถ้าวันไหนมึงพกยาบ้ามาแล้วยัดใส่มือกูนี่ กูไม่ซวยเหรอวะไอ้บ้า

“อะไรของมึงเนี่ย” ผมถามมันแบบงงๆ งงเหมือนกับช่อกุหลาบที่มันยัดใส่มือผมนั่นแหละ

“ให้”

“ให้ทำไม”

“เรื่องของกู” มันยักคิ้วใส่ผมอย่างกวนๆ ย้อนคำกูอีก หึ้ยยยย มึงคิดว่ามึงทำแบบนั้นแล้วมันหล่อมากเลยดิ

เอออออ

หล่อมากกกก

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาตะลึงกับความหล่อของมันครับ ผมว่าโกโก้แก้วนี้มันน่าสงสัย มันใส่อะไรไว้รึเปล่า แม่ผมสอนว่าเราไม่ควรรับของจากคนแปลกหน้า และยิ่งเฉพาะของกินเราไม่ควรรับเด็ดขาด

“มึงใส่อะไรลงไปป้ะเนี่ย” ผมจ้องมันไม่วางตา หึ ถ้าจะวางยากูมันไม่ได้ผลหรอกนะพ่อหนุ่ม

“ใส่อะไรวะ...อ๋อ....ใส่ดิ่” นั่นไงกูว่าแล้ว มึงแม่งชั่วจริงๆไอ้ขุน

“งั้นมึงเอาคืนไป”

“กูให้มึงแล้ว”

“กูไม่เอา มึงใส่อะไรลงไปในนี้ก็ไม่รู้” ผมโวยวายใส่ ทำไมมันถึงดูกวนตีนจังวะ รู้สึกหงุดหงิดจริงๆ ที่เห็นหน้าเจ้าเล่ห์ๆ ของมัน อากาศแม่งก็ร้อนมากด้วย ผมก็โคตรเหนื่อย ทำไมต้องมายืนต่อปากต่อคำกับมันด้วยเนี่ย

มันยกยิ้มมองผม “อยากรู้ไหมล่ะว่ากูใส่อะไรลงไป”

“อะไร มึงใส่อะไรลงไป”

“ใส่ใจลงไปครับ”

ฉ่า

นี่มึงงงง

“เป็นอะไรอะ แก้มแดงเชียว”

แก้มแดงงั้นเหรอ

ผมยกมือปิดแก้มทันที ไม่รู้ว่าทำไมไอ้หล่อนี่มีอิทธิพลต่อผมถึงขนาดนี้ หรือเพราะที่ผ่านมาไม่มีใครเคยพูดแบบนี้กับผมวะ ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ

“ร้อน หรือว่า เขิน”

“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูน่ะ” ผมหันหลังเดินหนีมันอย่างไว ไม่ไหวแล้วครับ รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่งั้นผมอาจจะต้องเป็นอะไรสักอย่างตายแน่นอน

“กินให้หมดนะ” เสียงเข้มตะโกนไล่หลังตามมาจนผมต้องหันกลับไปมอง มันไม่ได้เดินตามผมมา เออดีละ อย่าตามกูมานะมึง ตามมากูให้ไอ้เป้กระทืบจริงๆ ด้วย

ผมรีบเดินกลับมาหาชาวแก๊งค์ที่หน้าตึกเรียน มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ววะเนี่ยวันนี้ ตั้งแต่วันที่มันให้ดอกไม้มาผมก็ยังไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ทำไม แล้วก็เป็นผมเองอีกที่ไม่ยอมถามมันไปตรงๆ แน่ล่ะ ใครจะกล้าวะ ดูการโผล่มาของมันแต่ละครั้งสิ จะให้ผมถ่อไปยันตึกวิศวะฯ มันก็ไม่ใช่เรื่อง

มันอาจจะแพ้เกมอะไรสักอย่าง

มันเลยต้องทำตามคำสั่ง

หรือไม่ใช่วะ

คาใจจังโว้ยยยย

“ทำไมมึงไปนานจัง” ไอ้ปั้นถาม กูไม่ได้อยากจะไปนานหรอกนะเพื่อนปั้นแต่ว่ามันมีเหตุสุดวิสัยนิดหน่อย

“มึงไปซื้อน้ำมาหรอ ไมไม่ชวนกูวะ” กูไม่ได้ซื้อไงเพื่อนหมี ไอ้ขุนมันเอามาให้

ผมก้มลงมองโกโก้ซึ่งเป็นของโปรดในมืออย่างลังเล น้ำมีตั้งเยอะทำไมต้องซื้อโกโก้วะ มันตั้งใจเอาให้ผมหรือยังไงกันแน่ ถ้ามันตั้งใจเอามาให้ผมจริงๆ ทำไมถึงเป็นโกโก้ หรือว่ามันรู้ว่าผมชอบ

ตีกันตึ้บเลยในหัวเนี่ย

“มองไรวะ ไม่กินอ๋อ” ไอ้เป้ถามผมที่นั่งมองโกโก้ เอาไงดีวะ แค่กินกับไม่กินทำไมมันเป็นการตัดสินใจที่ยากแบบนี้เนี่ย เพราะมึงคนเดียวเลยนะไอ้ขุน

เพราะมึงคนเดียวเลย



‘ใส่ใจลงไปครับ’



นึกถึงเสียงเข้มๆ กับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของคนพูดมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ไอ้บ้านั่นมันมาทำอะไรกับชีวิตผมกันเนี่ย เออ เอาวะกินก็กิน

อึก....อึก

อืมมมม

อร่อยว่ะ

“กินช้าๆ สิ เดี๋ยวมึงก็สำลักหรอก” ไอ้ปั้นมันปรามผมที่ดูดน้ำเร็วเกิน มันอร่อยนะครับอย่างน้อยมันก็อร่อยกว่าทุกครั้งที่ผมซื้อ

เพราะมันใส่ใจลงไปเหรอ

เพ้อเจ้อน่ะ

“มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรอวะ” ไอ้หมีมันนอนเท้าคางมองตาปริบๆ เดี๋ยวนะหมี มึงนอนกับพื้นเนี่ยนะ

“ก็....ปกตินะ” กลบเกลื่อนไปครับ เดี๋ยวไอ้หมีมันสงสัยเพราะห่านี่มันรู้มาก

“ไม่ปกตินะ มึงกินแล้วมึงแก้มแดงอะ”

“กูร้อนไหมล่ะ”  รู้มากจริงๆ นะมึงอะ จะมีสักกี่เรื่องไหมที่มึงไม่รู้เนี่ย

“เดี๋ยวไปหาอาจารย์อมรเลยละกัน มันเหลืออีก 10 นาที” ไอ้ปั้นบอกพลางมองนาฬิกาบนข้อมือ เออดี รีบไปหาอาจารย์จะได้รีบกลับบ้านไปอาบน้ำและแต่งนิยาย

อา....ชื่นใจจังเป็นเพราะได้กินของที่ชอบแน่ๆ



‘ใส่ใจลงไปครับ’



บ้าว่ะ

เลิกคิดได้ละหนม





“งั้นก็ตกลงตามนั้นนะเด็กๆ ” ครับ ตกลงตามนั้นก็ได้

กระซิกๆ

ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่ห้องของคณะนิเทศศาสตร์ครับ ซึ่งแก๊งค์ท่านประธานถูกอาจารย์อมรเรียกขึ้นมาเพื่อคุยงานคณะ และก็ได้รับงานใหญ่สองงานมาทำด้วย งานแรกคืองานนิตยสารโปรโมทมหา’ลัย งานที่สองคืองานประกวดดาวเดือนมหา’ลัย โดยที่พวกผมมีหน้าที่หลากหลายมากมายต้องทำ ไอ้งานแรกเนี่ยะผมลองอ่านรายละเอียดของการดำเนินงานละ ที่มันดูยุ่งยากน่าจะเป็นการถ่ายรูปและสัมภาษณ์ดาวเดือนของแต่ละคณะของเมื่อปีก่อน

พูดถึงเดือนคณะปีก่อนแล้วนึกถึงใครวะ

ช่างแม่ง

เอาเป็นว่ามันจะเป็นงานที่ค่อนข้างวุ่นวายและต้องรีบทำทุกอย่างให้เสร็จอย่างเร็วเพื่อที่จะรีบรวมเล่ม ก็ประมาณนี้ ส่วนงานที่สองนั้นก็จะต้องจัดเตรียมการประกวดอะไรอีกก็ไม่รู้ แต่ว่าเรื่องนี้ไอ้หมีน่าจะถนัดครับเพราะฉะนั้นงานนี้ผมจะใช้ให้มันทำ

“อาจารย์ครับ งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ” ท่านประธานยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้อาจารย์ หน้ายิ้มแต่ใจมึงกรีดร้องอยู่สินะเพื่อนปั้น

“โชคดีๆ ครูคาดหวังกับผลงานของพวกเธอนะ” จากสีหน้าของอาจารย์มันไม่เชิงคาดหวังนะครับมันเชิงสั่งว่าพวกมึงต้องทำกันให้ได้

ไม่เป็นไรครับ เพื่อคณะพวกผมจะทำให้เต็มที่

พวกผมเดินออกจากห้องคณะมานั่งกันเป็นซากอยู่หน้าตึกจุดประจำที่เดิม นี่ก็ประมาณ 6 โมงแล้ว ในคณะผมคนก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วทำไมผมไม่กลับบ้านวะ ร่างกายต้องการอาบน้ำนอนมาก

“มึงจะกลับหอเลยป้ะ”

“คงงั้นว่ะ พรุ่งนี้สอบ กูต้องกลับไปตั้งสติ” ใช่หมี มึงพูดถูก มึงเป็นผู้ประกาศข่าวมึงควรมีสติให้มาก

“กูก็อยากกลับละ อยากอาบน้ำ”

“จะรีบกลับไปไหนล่ะน้องรัก”

หืมมมม

เสียงนี้มันเหมือน....

“พี่กริม”

“พี่กริมมา....เห้ยไม่” ไอ้หมีมันหันหมุนรอบตัวเหมือนมองหาใครสักคน มึงหาใครวะหมีทำไมต้องร้อนรนขนาดนั้น

“มึงจะมุดโต๊ะทำไมวะหมี” ไอ้เป้มองไอ้หมีที่กอดขามันอยู่ใต้โต๊ะ

“มึงไม่ต้องกลัวหรอกไอ้หมี กูมาคนเดียว”

“ไม่เชื่อพี่หรอก พี่แม่งขี้แกล้ง”

“ก็แล้วแต่นะน้องหมี” พี่กริมบอกก่อนจะนั่งลงข้างผมๆ ทำไมวันนี้มึงหล่อจังเลยวะพี่ แม่งต้องไปเที่ยวต่อแน่ๆ

“มีอะไรป้ะพี่” ผมเอ่ยถามพี่รหัสสุดหล่อของผม

พี่กริมเป็นพี่รหัสของผมแถมยังควบตำแหน่งเดือนของคณะเมื่อปีก่อนอีก เดอะแก๊งค์ของพี่แกก็เป็นคณะประธานของเมื่อปีก่อน พี่กริมแกเป็นคนคอยสอนโน่นนี่นั่นให้พวกผมอยู่ตลอด เสียอย่างเดียวคือขี้แกล้ง กลุ่มแกชอบแกล้งกลุ่มผมตลอดไม่รู้ว่าเป็นห่าไร เป็นหนึ่งกลุ่มในนิเทศฯ ที่ดังมากนะครับเพราะว่าแม่งหล่อไง แต่บางทีก็ทำตัวง้องแง้งเล่นกันเป็นเด็กๆ

“พรุ่งนี้เรียกปี 1 ของทุกสาขาไปที่ลานบลูด้วย”

“ผมมีสอบอะพี่”

“หลังพวกมึงสอบสิวะ ไอ้หมีมึงขึ้นมานั่งบนโต๊ะซินั่งเขี่ยตีนกูอยู่ได้ เดี๋ยวกูเหยียบจมดินให้ไปคุยกับไส้เดือนหรอก”

“ใจร้ายยยย ทำงี้กับหมีตัวน้อยๆ ได้ไง” ไอ้หมีมันเลื่อนขึ้นมานั่งบนโต๊ะตามที่พี่กริมสั่ง

“แล้วไปทำไมอะพี่” ครั้งนี้ไอ้เผือกเป็นคนถาม ผมคิดนะว่าการที่เรียกปี 1 ไปทั้งคณะแบบนี้มันจะต้องมีเรื่องสำคัญแบบสำคัญมากๆ แน่

“กูจะคัดเลือกดาวเดือนคณะเพื่อเป็นตัวแทนส่งประกวดดาวเดือนมหา’ลัย”

“ผมเสนอไอ้เป้”

ทุกคนหันขวับไปตามต้นเสียงที่เอ่ยออกมา โดยเฉพาะไอ้คนที่ถูกเอ่ยชื่อขึ้นมานั้นมันหยิบค้อนลมมากระหน่ำตีไอ้คนพูดทันที

โถ่ภีม โดนอีกแล้ว

“มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยไอ้ภีม” ไอ้เป้มันโวยวายใหญ่เลยครับ แน่ล่ะมันไม่ชอบอะไรที่มันเป็นระเบียบและพิธีการจะให้มันไปเป็นเดือนคณะนี่อาจจะยากมาก

พี่กริมมองไอ้เป้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา “เออ ไอ้เป้ก็น่าสนใจ”

“ไม่เอานะพี่ ไมไม่เอาไอ้หมีไปเป็นล่ะ”

“ไอ้หมีมันปัญญาอ่อน มันเป็นเดือนคณะไม่ได้หรอก” ก็จริงของพี่กริม ไอ้หมีมันปัญญาอ่อน เรื่องแบบนี้มันทำไม่ได้หรอกครับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเหมาะแต่มันก็เป็นไม่ได้แน่ๆ

“ทำไมว่าน้อง” ไอ้หมีทำท่ายกมือมาปาดน้ำตา

“เห้ยเป้มึงอย่าเพิ่งไปคิด ยังไงกูก็ต้องเอามึงไปคัดแข่งกับคนอื่นอีก” พี่กริมบอกมันพร้อมกับยิ้มเหี้ยม

ดูจากรอยยิ้มนี่ผมรู้เลยว่าเดือนคณะปีนี้จะเป็นใคร

“โถ่พี่อย่ายิ้มงั้น ไอ้ภีมเพราะมึงคนเดียวเลย” มันหันไปตีไอ้ภีมต่อ ผมว่ากว่าจะจบปี 4 ไอ้ภีมต้องสมองเสื่อมเพราะได้รับความกระทบกระเทือนบ่อยแน่ๆ

ผมว่าถ้าเป็นไอ้เป้มันก็มีความเหมาะในหลายๆ อย่าง บุคลิกมันดูดีเลยครับ แถมหน้าหล่อเถื่อนนั่นอีก แต่มันจะเสียอย่างเดียวคือมันขี้โวยวายนี่แหละ เอาวะคอยดูพรุ่งนี้ว่าการคัดเลือกมันจะเป็นยังไง อีกอย่างคือวันพรุ่งนี้พวกผมมีสอบสำคัญซะด้วย เรื่องนี้ก็จะพลาดไม่ได้เหมือนกัน ผมมีสอบช่วงสายๆ ประมาณ 10 โมง ดีจังตื่นสายได้

“เออหนม วันนี้มึงนอนไหน” ไอ้หมีถามผม แน่ะ จะมานอนกับกูล่ะซี้

เสียใจด้วยนะเพื่อนหมี

“นอนบ้าน”

ที่จะกลับไปนอนบ้านนั่นก็เพราะว่าขุ่นแม่สุดที่รักได้ทำแกงเขียวหวานครับ เหตุผลง่ายมากก็คืออยากกิน และอีกอย่างก็คือผมอยากจะไปอยู่ในห้องสีเหลืองของผม ผมคิดว่าถ้าตัวเองได้เห็นอะไรสีเหลืองๆ มันจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการสอบในวันพรุ่งนี้แน่นอน

“หูยยยย เสียใจ กูไปนอนไหนได้บ้างวะวันนี้” ไม่มีหอนอนเหรอวะหมี ถึงต้องเร่ร่อนไปหาที่นอนเนี่ย

“หอกูว่าง”

“จริงอะ แล้วมึงจะไปไหนป้ะเผือก”

“กินเหล้า” กินเหล้าอีกละ ไอ้เผือกมันไปกินเหล้าบ่อยมาก แล้วมันก็จะไปคนเดียวบ่อยๆ ไม่คิดจะชวนเพื่อนชวนฝูงไป

แต่เอาจริงๆ ถ้าชวนผมก็คงไม่ไป

ผมดื่มเหล้าได้นะครับแต่เลือกได้ก็จะไม่ค่อยดื่มอะ ถ้าให้กินน้ำอะไรสักอย่างผมขอกินโกโก้ดีกว่า อีกอย่างคือผมไม่ค่อยชอบสถานที่แบบร้านเหล้า ผับ หรือว่าบาร์ เพราะผมคิดว่ามันอึดอัด คนมันเยอะแถมเสียงเพลงดัง ผมไม่ค่อยชอบกลิ่นบุหรี่ด้วย ผมไปได้นะแต่ต้องแบบนานๆ ทีมีเลี้ยงวันเกิดอะไรแบบนี้ถึงจะไป แต่ถ้าชวนไปแบบไร้แก่นสารผมจะไม่ไปเด็ดขาด

“เออ เดี๋ยวกูเฝ้าหอให้” จากนั้นผมก็นั่งฟังบทสนทนาล้านแปดไปเรื่อยๆ มีทั้งเรื่องที่พี่กริมบ่นเรื่องเรียนให้ฟัง เรื่องงานที่จะต้องทำและก็เรื่องอื่นๆ อีกบลาๆ ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

เรื่อยเปื่อยจนมาหยุดถึงเรื่องโกโก้เมื่อเที่ยง

นึกถึงรอยยิ้มของไอ้ขุน สายตาและคำพูดของมันมีความเจ้าชู้แถมยังดูเจ้าเล่ห์ด้วย ทำไมคนอย่างมันถึงได้มายุ่งกับผมกันนะ อยากรู้ว่าไอ้ขุนทำแบบนั้นทำไม เรื่องที่เอาดอกไม้มาให้ เอาโกโก้มาให้ แปลกชะมัด พอผมได้เห็นมันครั้งแรกหลังจากนั้นผมก็เจอมันตลอด ทั้งๆ ที่เทอมก่อนไม่เจอหน้ามันเลยสักครั้ง

เหมือนมันไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ

ลองคิดง่ายๆ ว่าถ้ามีผู้ชายที่หล่อและดังมากแถมยังเป็นอดีตเดือนวิศวะฯ เมื่อปีที่แล้วมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวใครจะไม่รู้สึกแปลก ดูจากลักษณะภายนอกโดยรวมของมันยังไม่รวมนิสัยก็ถือว่ามันดีมากนะครับ ดูเพอร์เฟ็ค มีความคล้ายกับพระเอกนิยายที่ผมแต่งด้วยนะ แต่อย่างว่าเรื่องในนิยายเอามาเทียบกับชีวิตจริงไม่ได้หรอก ดูจากเหตุการณ์ทั้งหมดถ้าคิดแบบนิยายผมคงคิดว่าพระเอกกำลังจีบนายเอกแน่ๆ

เดี๋ยวนะ

จีบงั้นเหรอ

บ้าๆ ๆ บ้าไปแล้วหนม มึงคิดเรื่องอะไรเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้โว้ยยยย

ผมได้แต่สลัดความคิดบ้าๆ ออกจากหัวแต่ดูท่าแล้วมันไม่ยอมออกไปง่ายๆ อา....ผมคิดอะไรของผมนะ อย่างมันจะมาจีบผมทำไมวะ ผมเป็นแค่ไอ้เฉิ่มแท้ๆ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง พอคิดเรื่องนั้นความสงสัยมันก็เข้ามาเต็มหัวอีก ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ผมจะไม่ทนงงอยู่คนเดียวแบบนี้และก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แล้วถ้ามันจีบผมจริงๆ ล่ะ

“หนม....หน้าแดงไมวะ” ผมยกมือปิดหน้าทันทีที่ไอ้หมีพูดจบ

“กูเปล่า” ผมว่าถ้ายังอยู่แบบนี้ต่อไปจะต้องลำบากแน่ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยว่ะ

ไอ้ห่าขุน

ทำไมต้องมาทำให้ใจกูสั่นด้วยวะ

ไม่ชอบเลย











TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 4 : 4/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-11-2017 19:15:37
บทที่ 4 เรื่องของผักตบชวา


“ อื้ออออ..อ...” แดดแยงตา ใครก็ได้ปิดผ้าม่านให้หนมที

แดดแยงตา

“ ห่า!!!!! กี่โมงแล้ววะเนี่ย ” ผมรีบคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา

เก้าโมงสิบห้าโอ้แม่เจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาา

ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกวะ

ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำด้วยความเร็วแสง เหลือเวลาแค่ 45 นาทีที่ผมจะต้องไปสอบ แล้วคือไม่ได้อยู่หอไงครับ จากบ้านผมไปมหาลัยค่อนข้างไกลพอสมควร ผมไม่รู้ด้วยว่าวันนี้รถจะติดรึเปล่า รถไม่ติดก็ดีไป ถ้ารถติดล่ะก็จบเห่แน่ชีวิตผม

ว่าแต่.....กุญแจรถอยู่ไหน

ผมรีบวิ่งออกมาจากห้องก่อนจะไปที่โรงรถอย่างเร็ว อา กุญแจอยู่ที่รถ ทำไมมันมาอยู่ที่รถวะ แต่ช่างเถอะ ผมไม่มีเวลาจะมาคิดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เหลือเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงให้ผมไปถึงมหาลัย ขอให้ทันเถอะ

รถจ๋าอย่าติดเลยนะ





“ ดีจังที่รถไม่ติด ” นับว่าเป็นโชคดีของผมมากที่รถไม่ติด ผมขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางแล้วครับตอนนี้เหลือเวลาประมาณยี่สิบนาทีก่อนสอบ ผมคิดว่าน่าจะทันแหละ

ค่อยโล่งหน่อย

“ ควันอะไรวะ ” ผมมองควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากฝากระโปรงรถ มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

พรึ่บบบบ

“ เห้ย ไม่เอานะ อย่าดับสิเพื่อนยาก ” จะมาดับวันที่กูมีสอบไม่ได้นะมึง อย่าทำกับกูแบบนี้

ผมต้องเลี้ยวให้รถเข้าข้างทางก่อนจะเปิดไฟฉุกเฉิน ใครมาทำอะไรรถผมรึเปล่าวะ มันไม่เคยงอแงมาก่อนเลยนะ ไม่เคยดับไปดื้อๆแบบนี้ด้วย ที่แย่ที่สุดคือแม่งเป็นวันที่มีสอบสำคัญด้วยไง

“ บ้าจริงๆเลย ” ผมเปิดกระโปรงรถก่อนจะปัดควันให้จางลง ก่อนจะมองหาต้นเหตุที่ทำให้รถผมดับ

ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย

ผักตบชวาเต็มเลย

ใครมันเล่นเชี่ยไรเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมมองเหล่าวัชพืชที่ซุกอยู่ในทุกซอกของเครื่อง คือเอาจริงๆไม่ได้มีแค่ผักตบชวา แม่งมี แหน จอก ตะไคร้อะไรของแม่งก็ไม่รู้ ใครเอามาใส่ไว้วะ จะบอกว่ามันมาอยู่ในนี้เองก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เครื่องดับนั่นน่าจะเป็นเพราะมันไปขัดกับอะไรสักอย่าง ให้ซ่อมตอนนี้ก็ไม่ทัน คิดไปคิดมาคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้มีคนเดียวเท่านั้น

ไอ้สัสขัน

ไอ้สัสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

ถึงว่า กุญแจอยู่ที่รถ

“ ทำไมต้องมาแกล้งกูในวันสอบวะ ”

ผมทรุดตัวลงกับริมฟุตปาธ ผมจะทำยังไงดี สมองมันตันไปหมด ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะไปถึงมหาลัยให้ทันสิบโมงยังไง เพราะแถวนี้ไม่มีรถประจำทาง วินมอเตอร์ไซค์ก็หายากแท็กซี่ก็ไม่ต่างกัน จะให้เพื่อนๆมารับมันก็ไม่ทันอยู่ดี ผมรู้สึกโกรธไอ้ขันจริงๆนะผมว่าครั้งนี้มันทำเกินไป

เกินไปมากจริงๆ

การสอบครั้งนี้ถ้าเป็นการสอบเดี่ยวแล้วถ้าผมพลาดไปไม่ทันจริงๆมันยังไม่เท่าไหร่ แต่การสอบนี่คือการรายงานข่าวโทรทัศน์ซึ่งมันเป็นกลุ่ม แถมผมเป็นโปรดิวเซอร์อีกต่างหาก โอเคมันอาจจะทำหน้าที่แทนกันไปได้แต่ผมก็ทำให้เพื่อนลำบากอยู่ดี มันไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้เลยให้ตายสิ จะโทษไอ้ขันคนเดียวก็ไม่ได้ ผมเองก็ตื่นสาย เลยไม่มีเวลามาเช็คโน่นเช็คนี่เหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ

“ วันนี้แย่ชะมัด ” ผมกอดเข่าอย่างยอมแพ้ ยอมจริงวันนี้ไม่ไหวแล้ว ซวยติดกันมาหลายวันแล้วนะ

โชคจะไม่เข้าข้างผมเลยรึไง

“ รถเสียหรอ ”

เสียงนี้มัน...

“ ขุนศึก ” ผมเงยหน้ามองร่างสูงที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ทำไมมันมาอยู่แถวนี้ได้วะ

“ รู้ชื่อกูแล้วหรอ กูว่ากูจะบอกมึงเองสักหน่อย ” ไอ้หล่อมันยิ้มหวานให้ผม มันไม่ใช่เวลาที่มึงจะมายิ้มโอเค้ มึงคนเดียวแหละตอนนี้ที่จะช่วยกูได้

“ มึงจะไปมอรึเปล่า ”

“ ไปสิ แล้วรถเป็นอะไรอ่ะ ”

“ มันเสีย ช่างรถกูก่อนเถอะ มึงรีบไปส่งกูที่มอได้ไหมกูมีสอบตอนสิบโมง มันเป็นสอบที่สำคัญมากเลยอ่ะ ” สำคัญจริงๆนะมึง ชีวิตกูทั้งชีวิตเลยนะ

“ งั้นรีบขึ้นมา อีกสิบนาทีเองเดี๋ยวไม่ทัน ” เย่ มีรถไปมหาลัยแล้ววว ผมรีบขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้ขุน ผมนึกว่าอย่างมันจะขับรถยนต์ไรงี้ แต่ก็ดีนะที่มันขับมอเตอร์ไซค์มันจะสะดวกในการลัดเลาะตามซอย

“ เร็วเลยนะมึง ”

“ ถ้ามึงไม่กอดเอวกูไว้ ก็จับชายเสื้อกูไว้แน่นๆเพราะกูจะขับเร็วมาก ” ไอ้หล่อมันบอกผมก่อนจะรีบออกรถ มือผมก็กำชายเสื้อมันไว้แน่นตามที่มันบอก คิดว่าผมจะกอดเอวมันรึไง ฝันไปเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย

จับแค่ชายเสื้อมันก็พอแล้วครับ





ตึกคณะนิเทศศาสตร์

“ ถึงแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันจอดรถที่หน้าตึกคณะผม เยสเข้เหลือเวลาสามนาที ทันว่ะทัน แน่ล่ะแม่งขับอย่างกับเดอะฟาสแถมยังลัดโน่นออกนี่อย่างชำนาญ

“ ขอบใจนะมึง กูไปสอบก่อนล่ะ ” ต้องรีบครับต้องรีบ เพื่อนฝูงกังวลกันจนตายไปแล้วมั้งเนี่ย

“ เดี๋ยวก่อน ” ผมหันหลังกลับไปหาคนที่แหกปาก ไรมึงวะขุนกูจะรีบไปสอบ

“ อะไรมึง ”

“ ตั้งใจสอบนะ ” ผมมองรอยยิ้มหวานๆที่มันส่งมาให้ มึงนี่เอาอีกแล้วนะไอ้สัส

ทำใจกูสั่นอีกแล้ว

“ เออๆ กูรู้แล้ว ” ผมบอกมันก่อนจะรีบวิ่งขึ้นตึกเพื่อที่จะไปสอบ ถ้าวันนี้ผมไม่เจอมันผมจะทำยังไงนะ ผมคงนั่งคอตกอยู่ข้างรถของผมแน่ๆ

โชคดีจริงๆที่เจอมัน





“ โล่งจังโว้ยยยยยยยยยย ” ไอ้หมีมันแหกปากลั่นหน้าตึกคณะ

เออโล่งจริง

ตอนนี้พวกผมนั่งกันอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกหลังจากสอบเสร็จ มันเป็นการสอบที่ตื่นเต้นมากจริงๆครับเพราะว่ามันจะผิดพลาดไม่ได้ ถ้าผิดคือเสียคะแนน แต่ว่ามันก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญกลุ่มของผมถูกอาจารย์ชมเชยด้วยนะเออ ว่ารายงานข่าวได้ดี อันนี้ต้องให้เครดิตไอ้หมีมันเพราะมันเป็นผู้ประกาศ ลำดับการเล่าข่าวดีบลาๆๆๆๆ จบการสอบนี้พวกผมก็จะมีงานของคณะก็คือถ่ายนิตยสารโปรโมทมหาลัย

เหมือนจะว่างแต่ไม่ว่างเลยแฮะ

“ มึงทำดีมากนะภีมที่ไม่หลับ ” ท่านประธานมันชมไอ้ภีมที่ไม่ได้หลับในตอนสอบ มันดูแปลกตามากครับที่มันไม่แสดงอาการง่วงออกมาสักนิดเดียว

“ เมื่อคืนกูนอนเต็มอิ่ม ” เจ้าตัวบอกพร้อมกับทำหน้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วคืนอื่นๆมึงไม่ได้นอนหรอวะภีม

“ แล้วคืนอื่นมึงไม่นอนไหม ”

อะไรคือไม่นอนไหมวะ

“ ไผ่ มึงพูดอะไรอ่ะ ” ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ นับวันการพูดของมันเริ่มเข้าใจยากแบบยากสัสๆ

“ ไม่รู้ ”

“ ไอ้เตี้ยนี่ ” ไอ้เป้มันหวดไอ้ไผ่ด้วยค้อนลม เห้ยเป้มึงทำแบบนั้นไม่ได้นะไอ้ไผ่มันจะตายเอา แรงหวดมึงนี่ทำมันกระเด็นไปดาวอังคารได้เลยน่ะ

“ เป้ ”

“ อะไรมึง ”

“ มึงเลิกตีไอ้ไผ่สักทีเถอะ ถ้าจะตี ตีไอ้เผือกแทน ” ห่าหมี กูก็นึกว่ามึงจะแมนๆรับแทนไอ้ไผ่ เสือกโบ้ยไปให้ไอ้เผือกอีก

“ เกี่ยวไรกับกู ” ไอ้เผือกมันมองตาขวาง มึงโดนแน่หมี อยู่ดีไม่ว่าดี

“.....เห้ยหนม หิวข้าวว่ะไปกินข้าวกัน ” เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยไอ้บ้านี่ แบบนี้ก็ได้หรอวะ แต่จะว่าไปก็หิวเหมือนกันนะ เพราะผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้ว ถ้าผมยังไม่ได้กินข้าวผมต้องหมดแรงแน่ๆ

“ ปั้น วันนี้เราไปลานบลูกี่โมง ”

“ พี่กริมไลน์มาบอกกูว่านัดเวลาไปลานบลูแบบแน่นอนตอนบ่ายสาม ”

บ่ายสามงั้นหรอ

“ เห้ยหมี ไปตึกวิศวะกันไหม ” ผมเอ่ยปากชวนไอ้หมี ซึ่งผมก็เดาคำตอบได้ไม่ยาก

“ ไปๆๆๆๆกูไป ” มันตอบแบบไม่ต้องคิด มันจะไปส่องไอ้สัสขันแน่ๆเออพูดถึงไอ้ขันผมต้องไปด่ามันด้วยเรื่องรถผม

“ มึงจะไปทำไรที่ตึกวิศวะ ” ไอ้เป้มันถาม จะตอบยังไงดีวะ

ที่ผมจะไปที่ตึกวิศวะเนี่ยก็เพื่อที่จะไปขอบคุณไอ้ขุนที่มันมาส่งผมเมื่อเช้า คือจริงๆก็ขอบคุณไปแล้วล่ะครับเมื่อเช้าแต่แบบมันเร็วมากเกิน ผมเลยกะจะไปขอบคุณมันแบบเป็นทางการ และผมอาจจะถามมันเรื่องดอกไม้และโกโก้ด้วย ไหนๆไปแล้วก็คงจะกินข้าวที่ตึกนั้นเลย แต่ที่สำคัญสุดคือไปด่าไอ้ขัน

“ ไปหาไอ้ขันอ่ะ จะไปเคลียร์เรื่องรถกู ” โทษทีเพื่อนเป้ที่กูบอกมึงทั้งหมดไม่ได้ ไม่งั้นดีไม่ดีแม่งยกไปทั้งกลุ่มมันจะวุ่นวายซะเปล่าๆ

“ ไปยังหนม กูอยากไปแล้ว ” เร่งกูเชียวนะหมี

“ เออๆ เจอกันที่ลานนะมึง ” ผมบอกชาวแก๊งค์ก่อนจะเดินไปที่จอดรถกับไอ้หมี ดูจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ ไม่ควรเดินไปครับควรขับรถไป

ผมจะเจอไอ้ขุนไหมนะ ตึกวิศวะก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าเจอมันผมจะทำยังไงนะ อย่างแรกก็ต้องขอบคุณเรื่องที่มาส่ง แล้วก็ถามเรื่องที่ผมอยากจะรู้ แล้วก็ไปกินข้าว ส่วนเรื่องสุดท้าย...

คือด่าไอ้ขัน

เรื่องนี้ห้ามลืมเด็ดขาด





โรงอาหารตึกวิศวะ

“ อยู่ไหนวะ ” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆโรงอาหารเพื่อหาคนที่ผมอยากเจอ

ผมมาอยู่ในโรงอาหารของตึกวิศวะ ผู้ชายเยอะชิบ สำหรับคณะนี้ผู้หญิงถือว่ามีน้อยมาก ตั้งแต่ที่ผมกับไอ้หมีเดินเข้ามาก็พบกับสายตามากมายที่มองมา แน่ล่ะ มีเด็กนิเทศสองคนมายืนเด๋ออะไรอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ แต่ก็มีไม่น้อยนะครับที่เข้ามาทักทายไอ้หมี เอาจริงๆเรียกได้ว่าตลอดทางที่เดินเข้าอาณาบริเวณของวิศวะเลยล่ะ ห่านี่รู้จักเขาไปทั่วจริงๆ

“ หาใครวะ พี่ขันหรอ ”

“ ก็ใช่....แต่ว่า ”

“ อ้าวหมี มึงมาทำไรที่นี่เนี่ย ” ผมหันไปตามเสียงก็พบกับร่างสูงที่อยู่ในเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้ม สูงไม่พอแถมยังดูดีมาก

“ ดีพี่ชา พอดีหมีพาเพื่อนมา....มาหาข้าวกินน่ะพี่ ” ไอ้หมีตอบร่างสูง ทำไมคณะนี้ไอ้คนที่หล่อมันก็หล่อไปเลยวะ ไอ้คนที่หน้าเห่ยก็เห่ยไปเลย ไม่มีแบบกลางๆบ้างรึไง

“ มึงมาซะไกลเลยนะ แล้วนี่เพื่อนหรอ ”

“ ใช่พี่ มันชื่อขนมอ่ะ หนมนี่พี่ชาเย็น เป็นพี่ที่กูรู้จักอ่ะแดกเหล้าด้วยบ่อยๆ ” สหายในร้านเหล้าของไอ้หมีนี่เอง

“ สวัสดีครับ ” ผมยกมือไหว้พี่เขา แม่ผมสอนตลอดเลยนะครับว่าถ้าเราเพิ่งรู้จักใครและอยากให้มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีให้ยกมือไหว้ก่อน เพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมเป็นนัยๆ

ผมมองพี่ชา ( เรียกตามไอ้หมี ) ที่ยืนอยู่ตรงหน้า พี่เขาสูงกว่าไอ้หมีอีกแฮะ ใบหน้าคมนั่นคงมีสาวๆมาติดไม่น้อยเลยล่ะ จมูกโด่งเป็นสันแถมผิวขาวอย่างกับแดกกลูต้าไปทั้งโรงงานยังไงยังงั้น พี่แม่งขาวกว่าไอ้ขุนอีก

แน่ะ

นึกถึงไอ้ขุนอีกละ

“ ดีๆ มึงนี่ตัวเล็กจังวะ ” เอ่อ....ไม่ได้อยากจะตัวแค่นี้หรอกนะพี่ แต่แบบมันได้แค่นี้จริงๆ ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กอะไรขนาดนั้นป้ะวะ สูงตั้ง 170 เลยนะ

“ ฮ่าๆๆๆ พี่อย่าไปแซวมัน ” ไม่ต้องมาขำเลยไอ้ห่าหมี กูรู้ว่ามึงก็แอบเยาะเย้ยกูในใจเหมือนกัน

“ เอ้อ พวกมึงมากินข้าวไม่ใช่หรอ ไปนั่งที่โต๊ะกูดิ่ วันนี้มีคนเลี้ยงข้าวด้วยนะ ” พี่ชาเอ่ยปากชวน จะดีหรอวะ ยังหาไอ้ขุนไม่เจอเลย

“ ไปดิ่พี่ ชอบมากอ่ะของฟรี ” ไอ้หมีมันทำตาลุกวาว เห็นแก่กินจริงๆนะมึงเนี่ย

“ ตามกูมา ” พี่มันเดินนำไปที่โต๊ะมัน ไอ้หมีมันก็ลากผมให้เดินตามมันไป ไม่ต้องลากก็ได้ไหมกูเดินเองได้หมีเอ้ย

คือขามึงยาวไงกูตามไม่ทันไอ้สัส

“ กูเอาเด็กนิเทศมาฝากสองคน ” ผมมองโต๊ะยาวที่มีหนุ่มหล่อเถื่อนนั่งกันอยู่สี่คน เพื่อนพี่โคตรหน้าตาดี มีฝาแฝดอยู่ในกลุ่มด้วยแฮะ

“ เอามาทั้งทีไม่เอาผู้หญิงมาวะ ” พี่แฝดใส่แว่นพูดขึ้น

“ เออ เอาไอ้หมีมาทำไม ” พี่แฝดอีกคนพูดต่อ

“ เอาไอ้หมีไปทิ้งไป ” พี่หัวแดงพูดขึ้น ไม่เคยเจอเด็กวิศวะที่กล้าย้อมหัวสีสดขนาดนี้เลย สีหัวพี่แกนี่มองไกลจากสามตึกก็น่าจะเห็น

“ ใจร้ายจริงๆเลยนะพวกพี่ ” ไอ้หมีมันตัดพ้อก่อนจะนั่งลงข้างพี่หัวแดง จะว่าไปนี่ไอ้หมีมันไปรู้จักกับพี่ๆที่หน้าตาดีขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ

“ เออพวกมึงนี่เพื่อนไอ้หมี ชื่อ....ชื่อไรวะ ” พี่ชาหันมาถามผม แหม่พี่ไอ้ห่าหมีเพิ่งบอกไปตะกี้เอง ความจำปลาทองป้ะเนี่ยลืมไวจัง

“ ชื่อขนมครับ ”

 “ กูชื่อแกงป่า เรียกแกงก็ได้ ไอ้หน้าแว่นนั่นชื่อข้าวก้อง เรียกไอ้เชี่ยก้องก็ได้ ส่วนไอ้หน้าเหมือนไอ้แว่นนั่นชื่อข้าวหอมเรียกมันว่าไอ้สัสหอมก็ได้ ส่วนไอ้ที่นั่งหน้าบึ้งเหมือนจะแดกโทรศัพท์เข้าไปนั่นชื่อสยาม ”

เป็นการแนะนำชื่อเพื่อนที่เถื่อนมากครับ

“ ไหนใครจะเลี้ยงอ่ะพี่ หมีหิวข้าว ” ไอ้หมีมันเรียกร้องหาข้าวทันที จะว่าไปผมก็หิวมากเลยตอนนี้ ท้องร้องจ๊อกๆแล้ว

“ นั่นไง มันมานั่นละ ” ผมหันตามนิ้วของพี่แกงที่ชี้ไปทางคนที่เดินถือของพะรุงพะรัง มันคือคนที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง

ไอ้ขุน

แล้วทำไมหัวเปียกแบบนั้นวะ

“ เห้ย เกิดไรขึ้นเนี่ย ทำไมน้องมานั่งกับพวกมึง ” มันเดินมาหยุดที่โต๊ะพร้อมกับมองเพื่อนๆมันด้วยสายตาแปลกๆ

“ มึงไปทำอะไรกับหัวมา ”

“ อาจารย์วิชัยเทน้ำลงมาแล้วกูก็เดินไปตรงนั้นพอดีก็เลยเปียกแบบนี้ ว่าแต่น้องมานั่งกับพวกมึงได้ไง ”

“ เจอแถวถังขยะเลยเก็บมา ”

“ ตลกนะมึง หลบๆ ไอ้หมีมึงก็หลบ ” ไอ้ขุนมันวางของก่อนจะเข้ามานั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้หมี ไอ้สัสที่ตั้งว่างมึงจะนั่งแทรกทำซากอะไรวะ

“ มึงจะไปนั่งตรงนั้นทำไมวะ ”

“ ความสุขกู แดกไปดิ่เนี่ยะของกูซื้อมาให้ละ ” ไอ้ขุนมันหยิบขนมปาใส่พี่ชาเย็น ไอ้บ้านี่หนิของกินใครเขาเอามาปาเล่นกัน มันบาปนะ

ผมนั่งมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสภาพที่หัวเปียก ตอนนี้ผมมันเสยลู่ไปข้างหลังจนเห็นหน้าขาวชัดเจน มองใกล้ๆนี่จมูกมันสวยชะมัด โด่งเป็นสันสวยไหนจะคิ้วเข้มๆนั่นอีก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ว่ะ

อยากเอามีดมาโกน

“ กูหล่อสินะ ”

“ เพ้อเจ้อว่ะมึงอ่ะ ”

“ ก็เห็นมองอยู่นั่นแหละ ”

กูมองมึงด้วยความหมั่นไส้เว้ย!!!!

“ ทำไมมึงสองคนดูเหมือนรู้จักกันมาก่อนวะ ” พี่แว่นมองอย่างสงสัย

“ จะไม่รู้จักกันได้ไงพี่เมื่อวันก่อนโน้นพี่ขุนยังเอาดอกไม้ไปให้ไอ้หนมอยู่เลย ”

“ เชี่ยหมี!!!!! ” มึงนี่จะทำให้ชีวิตกูไม่สงบรึไง

รู้กันแค่ในนิเทศก็พอแล้วไหมล่ะมึง กูต้องมาเป็นที่รู้จักของที่วิศวะด้วยรึไงวะ แล้วคือทุกอย่างตอนนี้กำลังเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากที่ไอ้หมีพูดออกมา แต่ว่านะเอาจริงๆแล้วไอ้ขุนมันเป็นเพื่อนกับพี่ๆพวกนี้พวกพี่มันก็น่าจะรู้นะว่ามันเอาดอกไม้ไปให้ผม

หรือว่าไม่รู้วะ

“ เชรดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ”

เอ่อ พี่มึงไม่ต้องเสียงดังกันขนาดนั้นก็ได้

คนแม่งมองกันทั้งโรงอาหาร

“ คนนี้เองหรอวะไอ้สัสขุนที่มึงเอาดอกไม้ไปให้ ”

“ กูนึกว่าจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ” เอ่อ พี่แกงครับ ผมผิดอะไร ผมไม่เป็นผู้เป็นคนตรงไหน

“ เรื่องของกูน่า....ว่าแต่มึงชื่ออะไร ” ไอ้ขุนถามผม นี่มึงยังไม่รู้จักชื่อกูอีกหรอ กูยังรู้จักชื่อมึงโดยที่กูไม่ต้องถามมึงเลยไอ้บ้า

“ กูชื่อขนม ”

“ อะไรมึงวะไอ้ขุน จะจีบน้องเค้ามึงยังไม่รู้จักชื่อเค้าเนี่ยนะ ”

ห้ะ

พี่แกงว่าอะไรนะ

“ หุบปากไปมึงอ่ะ ” มันปาหลอดใส่พี่แกง ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับผม

ยิ้มอีกละ

“ ชื่อขนมหรอ ” ผมเลิกคิ้วมองมัน กูก็เพิ่งบอกเมื่อกี้ป้ะมึงจะถามซ้ำทำซากอะไร สมองปลาทองอีกคนหรอไอ้สัส

“ เออ ”

“ ชื่อน่ากินเชียว ”

ฉ่า

น่ากินพ่อง

“ แก้มแดงอีกละ ร้อนหรอ มึงนี่ขี้ร้อนจังเลยนะ ” มันยิ้มอย่างกวนประสาท ไอ้สัสเอ้ยได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง

ผมหยิบขนมที่มันซื้อมาแกะกินแก้อาการเขิน ไม่ใช่เว้ย แก้อาการหิวต่างหาก ที่ผมเป็นแบบนี้อาจจะมาจากความหิวของผมก็ได้ ในระหว่างที่ผมกินขนมปังมันก็หยิบโน่นหยิบนี่มาให้ผม คือแบบมึงอยู่นิ่งๆเป็นไหม นั่งกินนิ่งๆอ่ะ แม่ผมสอนตลอดว่าเวลาเรากินข้าวหรือว่ากินอะไรก็ตามให้นั่งกินนิ่งๆ มันจะได้ไม่หกเลอะเทอะ

“ สอบเป็นไงบ้าง ”

“ ก็โอเคอ่ะ เออ เรื่องเมื่อเช้ากูอยากขอบใจมึงจริงๆ ถ้ามึงไม่ผ่านมากูคงมาสอบไม่ทัน ” รู้สึกขอบคุณมันจริงๆครับ แม่งเป็นเหมือนฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยอ่ะ

“ ถ้าอยากขอบใจกูจริงๆ งั้นให้ไลน์กู ”

ให้เพื่อ

“ มึงจะเอาไปทำไม ”

“ กูไม่เอาไปส่งเกมส์หรอกน่ะ ” ผมมองมันอย่างลังเล ไม่รู้สิครับผมไม่อยากให้ไลน์กับคนที่ผมยังไม่รู้จักดี

แต่มันช่วยมึงไว้นะหนม

“ เอาโทรศัพท์มึงมา ” ผมแบมือขอโทรศัพท์จากมัน มันก็รีบหยิบโทรศัพท์มาวางไว้บนมือผม โทรศัพท์ใส่เคสสีเหลืองเหมือนของผมด้วยว่ะ

เอ้า

มีรหัสล็อคไว้

“ มันล็อค ” ไอ้บ้านี่แทนที่จะปลดล็อคให้ก่อน ทำอย่างกับกูรู้รหัสมึงงั้นแหละ

“ วันเกิดมึง ”

เดี๋ยว....เกี่ยวไรกับวันเกิดกู

“ วันเกิดกูทำไม ”

“ ก็มันเป็นรหัส ” มันกดรหัสสี่ตัวซึ่งเป็นวันเกิดและเดือนเกิดของผมลงบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อปลดล็อค

เหมือนสมองผมยังไม่เข้าใจเรื่องรหัสอยู่

“ ทำไมมึงถึงรู้วันเกิดกูได้อ่ะ ”

มันน่าสงสัยมากจริงๆนะครับ มันไม่รู้จักชื่อผมด้วยซ้ำตอนแรกน่ะ แต่มันดันรู้วันเกิดผมก่อน แถมยังเอามาตั้งเป็นรหัสปลดล็อคโทรศัพท์ตัวเองอีก โทรศัพท์ตัวเองควรใช้วันเกิดตัวเองสิไอ้บ้ามาใช้วันเกิดคนอื่นได้ไง

“ เพราะว่ามึงมีไอ้หมีเป็นเพื่อนไง ”

หึ....ห่าหมีนี่เอง

“ มึงบอกมันหรอหมี ” ผมมองไอ้หมีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ มึงนี่ใครมาถามอะไรมึงบอกหมดเลยรึไงห้ะ

“ ก็พี่เขาถามกูก็เลยบอก ” มันฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ น่าหมั่นไส้สัสๆ ไว้กลับคณะก่อนกูจะให้ไอ้เป้กระทืบมึงให้ยับเลย

“ ถึงมันไม่บอกยังไงกูก็ต้องไปสืบมาจนได้แหละ ” สืบทำไมวะมึงเป็นโคนันรึไง

จะโคนันจะโคขุนจะห่าไรก็ช่างแม่ง

ผมเปิดเข้าไปเพิ่มเพื่อนจากไอดีไลน์ให้มันก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน ไม่ต้องยิ้มหน้าบานขนาดนั้นก็ได้ไอ้สัส ถ้ามึงส่งเกมส์มาให้กูนะกูบล๊อกแน่ พูดถึงคนที่ชอบส่งเกมส์มาให้บ่อยๆ ผมก็รู้สึกคันมือคันเท้าและคันปากขึ้นมาทันที และตั้งแต่ที่เข้าตึกวิศวะมาก็ยังหามันไม่เจอเลย

มันอยู่ไหนของมันวะ

“ มึงมองหาใครหรอ ” ไอ้ขุนมันถามก่อนจะทำเป็นมองไปรอบๆเหมือนที่ผมมอง

“ หาคน ”

นั่นไง

เดินหน้าชั่วมานั่นละ

“ เดี๋ยวกูมานะหมี ” ผมบอกไอ้หมีก่อนจะถือแก้วใส่น้ำเดินไปทางร่างสูงที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร หงุดหงิดมากหงุดหงิดจริงๆ มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่มันทำกับผม

ซ่าาาาา

“ เห้ยยยยยยย ” เสียงโวยดังลั่นโรงอาหาร มันดังมากพอที่จะดึงสายตาให้มองมาที่นี่ แต่ช่างดิ่ ผมไม่สนใจเพราะคนที่ผมสนใจมากที่สุดตอนนี้คือไอ้คนที่ผมเพิ่งสาดน้ำใส่หน้ามันไปตะกี้

ไอ้สัสขันไง

“ ไอ้หนม!!!!!!! ” ไอ้หมีมันรีบวิ่งมาหาผมทันทีเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่ไอ้หมีพวกพี่ๆมันก็ตามกันมาทั้งโต๊ะ

“ น้องหนมทำไรเนี่ย ” พี่แช่มถามอย่างตกใจ ไม่ใช่แค่พี่แช่มหรอกที่ตกใจ สิ่งที่ผมทำใครเห็นใครก็ตกใจ คิดดูว่ามีเด็กนิเทศมาจากไหนก็ไม่รู้เอาน้ำมาสาดใส่หน้าเฮดว้ากผู้ซึ่งเป็นที่เคารพกันอย่างกว้างขวางในบรรดาของรุ่นน้องวิศวะ

ผมอาจจะโดนตามกระทืบก็ได้

ไม่เป็นไรเรื่องนั้นค่อยว่ากัน

“ มึงเป็นอะไร ” ไอ้ขันมันเสยผมที่เปียกขึ้นไปไว้ด้านบนพร้อมกับส่งสายตานิ่งๆมาเพื่อบ่งบอกว่ามันกำลังโกรธ ไม่ใช่แค่มึงที่โกรธว่ะขัน กูก็เหมือนกัน

“ กูต้องถามมึงมากกว่าว่ามึงเป็นไร ” ผมผลักอกมันอย่างแรง เรื่องนี้ถึงหูแม่แน่ ถึงหูพี่เขมด้วย ผมไม่ยอมจริงๆครั้งมันทำเกินไป

“ ไอ้หนมใจเย็นก่อน ” ไอ้หมีมันดึงแขนผมไว้

“ พี่ขันพี่แช่มสวัสดีพี่ มีเรื่องอะไรกันอ่ะ ” ไอ้ขุนมันถามก่อนจะมองผมกับไอ้ขันสลับไปมา

“ เออน้องแว่น มึงเอาน้ำมาสาดใส่พี่ขันทำไมมันเลยสงกรานต์มานานแล้วนะมึง ”

“ เออ เดี๋ยวพี่ขันเค้าก็กระทืบให้หรอกมึงยิ่งตัวเล็กๆอยู่นะ ”

“ อย่าทะเลาะกันเลย ”

พวกพี่ๆมันช่วยกันดึงผมไว้ให้ห่างจากไอ้ขัน แถมยังเอาตัวมาขวางกันไว้อีก พวกพี่มึงเป็นห่วงกูหรือมึงเป็นห่วงรุ่นพี่พวกมึงกันวะ โดยเฉพาะไอ้ขุนที่เสนอหน้าแทบจะไปไกล่เกลี่ยให้

“ ปี 2 มึงหลบไป ” ไอ้ขันมันสั่งเสียงนิ่ง

“ แต่ว่า ”

“ ปี 2 !!!!!!!!! ” ไอ้ขันมันตวาดใส่พวกไอ้ขุนลั่นโรงอาหาร เชี่ยนี่เสียงดังชิบหาย ผมเห็นมีเด็กสะดุ้งกันไปเป็นแถบๆ

“ ครับพี่ ”

“ พวกมึงไม่ฟังที่กูพูดใช่ไหมล่ะ กูยังเป็นรุ่นพี่มึงอยู่ป้ะ ”     

“ พี่ขัน ”

“ ไปวิ่งรอบโรงอาหารสิบรอบ ไป!!!!!!!!!!!! ” มันออกคำสั่งดังลั่น แน่นอนว่ามันสั่งแบบนั้นพวกไอ้ขุนก็ต้องทำตาม

“ ขนม.... ” ไอ้ขุนมันมองผม สีหน้ามันมีความกังวลอย่างชัดเจน มึงจะทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ

ผมมองไอ้ขุนและพวกพี่ๆที่วิ่งกันออกไปก่อนจะหันกลับมามองทางไอ้ห่าขัน มันเองก็มองผมนิ่งๆสายตามันตอนนี้อ่านยากชะมัด แต่ผมคิดว่ามันก็คงจะโกรธเพราะผมมันทำแบบนี้ในที่สาธารณะ แต่ว่านะ คนอย่างมันอ่ะสมควรโดนแล้ว

ชอบแกล้งคนอื่นดีนัก

“ คลัมดาวน์นะหนมนะ ไงก็พี่น้องกันนะ ” ไอ้หมีมันลูบแขนผมเชิงว่าให้ใจเย็น มึงไม่เข้าใจกูหรอกหมี มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เปิดฝากระโปรงรถแล้วเจอผักตบชวาหรอก

มึงไม่รู้หรอกว่ามันเศร้าขนาดไหน T^T

“ มึงเป็นไรไอ้หนม เอาน้ำมาสาดกูไม ”

“ มึงนั่นแหละเอาผักตบชวามาไว้กระโปรงรถกูทำไม ”

“ ผักตบชวาอะไร กูไม่เห็นจะรู้เรื่อง ” มันทำหน้าใสซื่อมองผม ไม่รู้ก็เชี่ยแล้ว ไม่ใช่มึงใครจะทำไอ้สัส

“ มึงโกหก ”

“ กูเปล่านะ ใครเขาจะเอาผักตบชวามาใส่กระโปรงรถคนอื่น บ้าไปแล้ว ”

“ คนบ้าก็มึงไงไอ้บ้า กูฟ้องแม่แน่ มึงไม่รอดหรอก ”

“ หนมมึงใจเย็นๆ ”

“ ใครจะเย็นไหววะหมี มึงเป็นเพื่อนกูนะมึงต้องเข้าข้างกูสิ กูโดนมันแกล้งอ่ะ ”

วันหลังนะถ้ามีเรื่องมาเคลียร์ผมจะเอาไอ้เป้มา เอาไอ้หมีมานี่ไม่ได้เรื่องจริงๆหรือเพราะว่าคู่กรณีเป็นไอ้ขันวะไอ้หมีมันเลยเอาแต่ห้าม ไม่คอยหนุนผมเลย

“ มึงงอแงอ่ะหนม ”

“ งอแงห่าไร กูไม่ได้งอแง ”

“ มึงงอแง ”

“ ไอ้เชี่ยขัน ” แล้วผมก็เข้าไปกระหน่ำตีมันรัวๆ นี่แน่ะๆๆๆๆๆๆไอ้บ้านี่ มึงมันเป็นพี่ที่เลวมาก

“ โอ้ยๆ เจ็บ ไอ้เชี่ยหนม ” ไอ้ขันมันวิ่งหนีผม อย่าหนีนะมึง มึงต้องโดนกูตีจนตาย

“ ไอ้หนมอย่า ”

“ ปล่อยกูหมี ไอ้ขันมันต้องตาย ”

“ ไม่ ไม่ได้พี่ขันจะตายไม่ได้กูไม่ยอม ”

“ ไอ้เชี่ยหมี ” สัสเอ้ยแม่งวิ่งหนีไปโน่นละ เพราะมึงคนเดียวเลยห่าหมี ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างดูคลี่คลายลงเพราะไอ้สัสขันมันวิ่งหนีผมไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแค่พี่แช่มที่อยู่ตรงนี้ และก็มีเด็กวิศวะคนอื่นก็ยังดูไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ ไม่เป็นไรนะน้องหนม ”

“ ไม่เป็นไรก็ได้พี่ แต่ฝากถีบไอ้ขันสักทีนะ หนมหมั่นหน้าแม่งมากจริงๆ ”

“ ได้สิ เดี๋ยวพี่จัดการให้ ”

“ อย่าถีบแรงมากนะพี่เดี๋ยวพี่ขันเจ็บอ่ะ ” ผมมองตาค้อนใส่ไอ้หมีทันทีที่มันพูดจบ นี่ตกลงมึงเป็นพวกกูหรือพวกมันกันห้ะไอ้บ้าหมี

“ สัสหมี มึงกลับคณะกับกูเดี๋ยวนี้เลย ไปก่อนนะครับพี่แช่ม ” พูดเสร็จผมก็ลากไอ้หมีออกมาจากโรงอาหารทันที ตอนนี้ยังรู้สึกหัวร้อนไม่หาย แต่ก็ถือว่าโล่งกว่าเมื่อเช้าหน่อย ถือว่ามาที่นี่แล้วไม่เสียเที่ยว ได้ทั้งขอบคุณไอ้ขุนและก็ด่าไอ้ขัน

เดี๋ยวนะ

เหมือนมีอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ

ตื้อดึง...

ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะเปิดเข้าไปอ่านไลน์ที่ถูกส่งเข้ามา นี่มันไลน์ของคนที่ผมเพิ่งให้ไปนี่

ขุนจึกกก : กลับตึกรึยัง เป็นยังไงบ้างพี่ขันเค้าทำอะไรมึงรึเปล่า

ผมอ่านข้อความที่ไอ้หล่อมันส่งมา ถ้ากูจำไม่ผิดไอ้ขันมันสั่งมึงให้วิ่งรอบโรงอาหารนี่ มึงวิ่งไปพิมพ์ไปหรอวะ

คาหนม : กูไม่เป็นไร กำลังจะกลับตึก

ขุนจึกกก : ค่อยยังชั่วที่เค้าไม่ได้ทำอะไรมึง กูเป็นห่วงมึงชิบ กลัวโดนพี่ขันกระทืบ


เป็นห่วง

มึงจะมาเป็นห่วงกูทำไม

อา....นึกอีกเรื่องออกแล้วล่ะครับ ที่ผมมาที่นี่อีกเหตุผลนึงก็คือตั้งใจจะมาถามไอ้ขุนถึงเรื่องช่อดอกไม้ โกโก้ แล้วก็เรื่องอื่นๆที่ผมอยากรู้อีก มันจะได้หายคาใจผมสักที แต่ดูจากทรงวันนี้คงไม่ได้ถามแล้วล่ะ ช่างมัน

คาหนม : มันไม่กล้าทำไรกูหรอก มึงก็วิ่งดีดีล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วง

ขุนจึกกก : ครับ * สติ้กเกอร์รูปยิ้ม *

หึ....มึงนี่มันจริงๆเลยไอ้ขุน

“ มองโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” ไอ้หมีมันแซวผม แซวไม่พอดึงแก้มกูอีก มือมึงเปื้อนอะไรมาป้ะเนี่ยะเดี๋ยวหน้ากูเป็นสิว

“ ยุ่งว่ะมึงอ่ะ ”

ผมเก็บโทรศัพท์ก่อนจะขึ้นรถ ในหัวตอนนี้ก็ยังมีแต่เรื่องของไอ้ขุน ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนๆคนนึงจะมีผลต่อชีวิตเราในหลายๆอย่าง ถึงมันจะยังไม่ได้มีอิทธิพลมากแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ปกติ

เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปแต่งนิยายท่าจะดีแฮะ

กูเป็นห่วงมึงชิบ

“ อยู่ดีดีอย่ายิ้มสิไอ้หนมกูกลัวนะ ”

ไอ้สัสหมี มึงนี่มัน....




TBC.

คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 5 : 5/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 05-11-2017 20:55:16
บทที่ 5 ชอบก็คือชอบ


“ เย่!!!!!!!!! มีเพื่อนเป็นเดือนต้องฉลองงงงงงงงงงงงง ”

“ ฉลองห่าไรห้ะไอ้หมี หุบปากไปเลยมึงอ่ะ ”

“ เอาน่าดีจะตายไป เนอะ ”

“ พวกมึงไม่ได้เป็นนี่ไอ้สัส ”

“ เห้ยหนมมึงลวกหมูไวไวดิ้ กูจะได้กินไหมล่ะ ” ลวกแดกเองไหมสัสหมี เร่งกูอยู่นั่นแหละ

ตอนนี้พวกผมมานั่งกินสุกี้กันอยู่ที่หอไอ้เผือกครับ หลังจากที่เมื่อบ่ายไปลานบลูเพื่อคัดเดือนคณะ ผมขอบอกเลยว่ามันเป็นการคัดเดือนที่ดุเดือดเลือดพล่านมาก ที่เดือดสุดเห็นจะเป็นไอ้เป้ เพราะมันรู้ตัวเองว่ามันไม่รอดแน่ๆ แล้วพวกพี่กริมก็หาทางต้อนเด็กทั้งคณะให้โหวตเลือกมัน สรุปแล้วก็เป็นไอ้เป้ที่เป็นเดือนนิเทศศาสตร์ปีนี้

เอ้า ปรบมือ

แปะๆๆๆๆ

ส่วนดาวของนิเทศศาสตร์นั้นก็เป็นคนที่พวกผมคิดไว้จริงๆ นั่นก็คือ แก้มใส จากภายนอกเธอดูสวยหวาน แต่นิสัยมันก็อีกเรื่องครับ ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นรึเปล่า

ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่าจะเกิดว่ะ

“ สักทีซิหนม กูหิว ”

“ เอ๊ะมึงนี่ เดี๋ยวกูปาผักใส่หน้าเลยว่ะ ” ไม่พูดเปล่า ผมยกผักกาดขาวทำท่าจะปาใส่ไอ้หมี

“ แน่ะ มึงเคยบอกกูว่าแม่มึงสอนไว้ว่าอย่าเอาของกินมาปาเล่น ”

“ มึงนี่มัน ไอ้เป้จัดการมันดิ้ ”

“ ตายซะไอ้สัสหมี ” ไอ้เป้มันจัดการไอ้หมีตามที่ผมบอก ทำดีมากเพื่อนเป้ เพื่อนหนมให้รางวัลเป็นหมูสองชิ้น

“ เห้ยหมูกู โอ้ยไอ้เป้เลิกตีดิ้กูจะแดกหมู ”

“ ไม่ต้องแดก ” แล้วไอ้เป้ก็ตีไอ้หมีรัวๆ ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้ามึง

นานแล้วเหมือนกันนะที่ผมกับเพื่อนๆไม่ได้นั่งกินอะไรกันแบบนี้ ครั้งล่าสุดก็เทอมก่อน ผมอยากกินนะครับพวกหมูกระทะ ชาบู สุกี้ไรงี้ แต่มันไม่ค่อยจะมีเวลานี่สิ อย่างว่างานของคณะที่พวกผมได้รับมาทำมันเยอะมากและยังติดๆกัน เหมือนจบงานนี้วันนี้พรุ่งนี้ก็เริ่มทำงานต่อไป เป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ

เหนื่อยนะครับแต่ต้องเก็บไว้ในใจ

“ เห้ยเผือกมีทิชชู่ป้ะ ” เพื่อนภีมถามหาทิชชู่ ผมมองหาไปรอบๆห้องเพื่อจะหาทิชชู่ให้ จะว่าไปห้องไอ้เผือกมีความเป็นระเบียบในระดับนึงแฮะ แต่ห้องผมก็ระเบียบนะครับ

ระเบียบในแบบของผมอ่ะ

“ ลิ้นชักหัวเตียง ” ทำไมมึงเอาทิชชู่ไปเก็บไว้ในลิ้นชักวะ

ผมนั่งอยู่ใกล้กับลิ้นชักหัวเตียงมันมากที่สุดจึงอาสาเป็นคนหยิบทิชชู่ให้เพื่อนภีม ดีเหมือนกันจะได้เอาไปเช็ดปากให้ไอ้ไผ่บ้าง นั่นก็จะแดกเลอะเทอะไปไหนก็ไม่รู้

พรึ่บ

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ ไอ้เผือกมึง ” มองเงยหน้ามองมันอย่างตะลึงสุดขีด เพราะสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักมันไม่ได้มีแค่ทิชชู่ครับ มันมี....

ถุงยาง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ถุงยางเต็มไปหมดเป็นสิบๆอัน แถมยังหลายแบบหลายยี่ห้ออีกต่างหาก ผมควานๆของในลิ้นชักก็พบกับขวดสีชมพูใสผมจึงหยิบมันขึ้นมาอ่าน

ไอ้สัสสสสสสสส

เจลหล่อลื่น

มึงมีเจลหล่อลื่นด้วย

“ ก็แค่ถุงยาง ” เจ้าของห้องมันบอกผมก่อนจะคีบหมูแดกต่อ เห้ยมึงมันไม่แค่นะมึงนะ มันเยอะแบบเยอะสัสๆเลยนะเพื่อน

“ หูวววววว ถุงยางเยอะจังวะ มึงไม่ธรรมดานี่หว่าเผือก ” ไอ้หมีมันส่งเสียงแซว

“ กูไม่ได้กระจอกแบบมึงหนิ เต๊าะเค้าไปทั่วแต่ให้เอาก็ไม่เอา ” ผมมองหน้าไอ้หมีที่อึ้งตาค้าง จุกเลยดิ่มึง นานๆทีไอ้เผือกมันจะพูดยาวๆนะหมี มึงอย่ามัวแต่อึ้งสิวะ

“ เอออันนี้น่าลอง ” ไอ้ภีมมันหยิบถุงยางซองสีชมพูออกมา

“ อันนั้นมีกลิ่น ”

“ มึงรู้ได้ไงไผ่ ” ผมมองไอ้ไผ่ที่นั่งแทะแครอทอยู่ หน้าแม่งเลอะไปทั้งหน้า กินท่าไหนของมึงวะ

“ ก็รู้ ”

“ แล้วมึงรู้อะไรอีก ” ท่านประธานถาม อย่างไอ้ไผ่มันจะไปรู้อะไรมากวะปั้นถ้าจะถามน่าจะถามไอ้เผือกงี้

“ ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ทำมาจากยางพาราหรือโพลียูริเทน โดยวิธีใช้คือสวมครอบที่อวัยวะเพศที่แข็งตัว ”

“.....”

“ โดยถุงยางอนามัยของผู้ชายจะนิยมมากกว่าของผู้หญิง ถุงยางอนามัยในประเทศไทยมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งในแต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป มีกลิ่น มีเส้นรอบวง มีปุ่ม มันมีลูกเล่นต่างกันออกไป ในรุ่นที่พิเศษหน่อยก็อาจจะมีสารที่ทำให้หลั่งช้าลงเพื่อที่จะสามารถร่วมรักได้นานมากขึ้น ”

“.....”

“ นอกจากการคุมกำเนิดแล้วถุงยางอนามัยยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเอดส์ หนองใน ซิฟิลิสและโรคอื่นๆ ถุงยางอนามัยจัดว่าเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถึงเราจะเก็บถุงยางไว้ได้นานแต่ถุงยางก็มีวันหมดอายุเหมือนกันซึ่งมันจะระบุอยู่บนซองถุงยางอนามัย ”

“.....”

“ ถุงยางอนามัยแตกยากมากนะแต่จะแตกก็ต่อเมื่อมีลมเข้าไปฉะนั้นตอนสวมใส่ต้องไล่ลมให้หมดก่อน ถุงยางไม่ควรสัมผัสกับของแหลมเพราะมันก็จะทำให้แตกง่ายและที่สำคัญคือห้ามใส่ซ้อนกันเพราะมันจะทำให้ถุงยางแตกง่ายยิ่งขึ้นไปอีก.....เงียบกันไม ”

อย่างเป๊ะ อย่างกับผู้รู้มาเอง

แถมพูดไม่ผิดสักคำ

“ เชี่ยไผ่มึงไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ไงวะ ” ไอ้หมีมองไอ้ไผ่ตาโต ผมเองก็แปลกใจนะเพราะอย่างไอ้ไผ่มันไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้เลย

“ กูรู้เฉยๆ ” เหมือนมันตอบไม่ตรงคำถาม

“ สุดยอดเลยไผ่ เซียนถุงยางเลยนะเนี่ย อ่ะเอาผักบุ้งไปเป็นรางวัล ” ไอ้ภีมมันคีบผักบุ้งให้ไอ้ไผ่ใหญ่ ห่านี่ก็ยอมันเหลือเกิน เดี๋ยวพอมึงยอมันมากๆไอ้เป้ก็หมั่นไส้แล้วก็หาเรื่องด่าไอ้ไผ่อีกอ่ะ

“ ไอ้เชี่ยเตี้ยมึงหลบไปดิ้ นั่งทำตัวเตี้ยอยู่ได้ ”

นั่นไง





“ อากาศดีจัง ”

หลังจากที่พวกผมนั่งโซ้ยสุกี้กันจนหมดเกลี้ยงก็ช่วยกันเก็บกวาดห้องไอ้เผือกให้สะอาดดังเดิม ตอนนี้ผมยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงคนเดียว ส่วนไอ้พวกที่เหลือมันนั่งเล่นไพ่กันอยู่ อา....ชอบจังเลย ลมโกรกเบาๆแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกอยากแต่งนิยายขึ้นมาเลย นี่ถ้าเอาโน้ตบุ๊คมาผมก็คงจะนั่งแต่งนิยายแน่ๆ

นึกถึงนิยาย

ตอนนี้ผมแต่งไปได้เกือบครึ่งเรื่องแล้ว พระเอกกับนายเอกยังไม่ได้รักกันเลย ฮ่าๆ ขนาดยังไม่ทันรักยังมีคนขอ Nc เข้ามาเลย ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน ส่วนในด้านกระแสตอบรับก็ดีครับอาจจะเพราะว่ามันเป็นเรื่องวุ่นๆในชีวิตมหาลัย ส่วนนึงของนิยายมันมาจากชีวิตประจำวันของผม โมเม้นท์ดีดีที่ผมเจอหรือบางเรื่องที่ไม่ดีผมก็ใส่เข้าไปในนิยาย จะยกเว้นก็แต่เรื่องความรักของพระเอกกับนายเอกที่ผมคิดมันขึ้นมาเอง

นิยายของผมกว่าจะรักกันได้นี่ต้องดราม่าน้ำตาแตกไปตามๆกัน

ขึ้นชื่อว่าความรักมันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง จะให้มันราบรื่นไปทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ ผมว่าความรักที่มันมีอุปสรรคนี่แหละมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนสองคนรักกันมากแค่ไหน และพร้อมที่ฟันฝ่าเรื่องร้ายๆไปด้วยกันไหม ง่อววววววววววววววววว คำพูดดูดีไปอีกอ่ะ

“ ทำไรวะ ”

“ เปล่า....มึงจะสูบบุหรี่หรอ ” ผมเอ่ยถามไอ้เผือกที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ

“ อืม....ไม่เหม็นเท่าไหร่หรอกกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ ” มันหยิบบุหรี่สีหวานขึ้นมาก่อนจะจุดสูบ แปลกแฮะ เมื่อไหร่กันนะที่มันเปลี่ยนกลิ่นบุหรี่

ผมมองเพื่อนรักที่พ่นควันสีขาวออกช้าๆ ไอ้เผือกมันกินเหล้าเยอะนะครับอาทิตย์นึงอย่างน้อยคือสี่วันแถมยังสูบบุหรี่จัดมาก แต่มันดูไม่โทรมเลยว่ะ หน้าใสขนาดสิวสักเม็ดยังไม่มี จะว่าไปก็คล้ายๆไอ้ภีม รายนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ค่อยได้นอนแต่ขอบตามันก็ไม่คล้ำ ไอ้พวกนี้มันแอบกินอะไรเข้าไปป้ะวะ ยากันโทรมอะไรแบบนี้

“ หนม ”

“ หืม ”

“ เรื่องดอกไม้มันยังไง ” ดอกไม้ไหนวะ อ๋อออออ ช่อดอกไม้ของไอ้ขุนสินะ

“ กูไม่รู้ว่ะเผือก กูยังไม่ได้ถามมันเลย ” พอไอ้เผือกพูดเรื่องดอกไม้ขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ถามไอ้ขุนว่าอะไรมันเป็นมายังไง

“ กูว่าพี่ขุนสนใจมึง ”

“ เห้ยบ้า มันจะมาสนใจกูทำไม ” ผมเป็นผู้ชายนะอย่างมันควรจะสนใจผู้หญิงน่ารักๆสิไม่ใช่ผม

“ กูไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่ที่กูรู้คือพี่ขุนเจ้าชู้มาก เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเลย ”

จากสายตาท่าทางที่มันแสดงออกมาก็บ่งบอกแหละครับว่ามันเจ้าชู้ไม่ใช่เล่น ผมจำได้ว่าไอ้เผือกเคยพูดไว้ว่ามันเจอไอ้ขุนบ่อยที่ร้านเหล้า มันก็ไม่แปลกนะถ้าไอ้เผือกมันจะรู้นิสัยของไอ้ขุนมากกว่าใคร ส่วนเรื่องเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยจากที่ผมเห็นมันบอกตัดความสัมพันธ์กับแก้มใสมันบ่งบอกอยู่หรอกว่ามันเป็นพวกคบเล่นแน่นอน

“ แต่หลายวันมานี้จากที่กูเห็น พี่เค้าไม่ควงผู้หญิงคนไหนเลย ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้หญิงเข้าหาพี่เค้านะแต่เค้าปฏิเสธหมดทุกคน กูไม่รู้ว่าทำไม ” คนพูดมันหันมองผม

มองกูไม

“ หน้ากูมีอะไรติดหรอ ” ผมยกมือเช็ดหน้าเพราะเพื่อนเผือกแม่งมองหน้าผมอยู่แบบนั้น

“ หึ....มึงนี่ตลกดีว่ะหนม ” มันยกยิ้มก่อนจะเบือนหน้าไปทางเดิม อะไรของมึงวะเผือก

“ ตลกไรวะ ” ผมพึมพำเบาๆไม่ได้หวังให้มันได้ยินหรอกครับ ทำไมอยู่ดีดีมาบอกว่าผมตลก ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

“ หนม....”

“ หืมมมมมม ” ว่าไงเพื่อนเผือก

ผมมองหน้ามันที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่มันก็ไม่พูดออกมาสักที ได้แต่มองหน้าผมอยู่แบบนั้น ตกลงหน้ากูมีอะไรติดอยู่จริงๆสินะ ผมยกมือเช็ดหน้าอีกรอบ คราวนี้สะอาดชัวร์

“ ไม่มีอะไร....เลิกเช็ดหน้าได้แล้ว ” มันจับมือผมลง เอ้าก็มึงจ้องหน้ากูเหมือนมีอะไรติดอยู่หนิไอ้บ้า

“ เห้ยพวกมึงดูหนังผีกัน ” ไอ้หมีมันยื่นหน้าออกมาบอกผมกับไอ้เผือก หนังผีหรอ น่าสนใจนะ

ผมชอบดูหนังผีนะครับแต่ก็จะกลัวมาก จะหลอนไปสามวันเจ็ดวัน ผมจำได้ว่าตอนเป็นเด็กเคยดูหนังผีกับไอ้ขันเรื่องอะไรไม่รู้ครับแต่ว่าตอนนั้นมันน่ากลัวมาก ผมกลัวจนร้องไห้ พอไอ้ขันเห็นผมร้องไห้มันก็ชอบแกล้งผมด้วยเรื่องผีตลอด แม่งไม่มีหรอกที่จะแบบปลอบน้อง

“ เรื่องไร ”

“ เรื่อง สลิปปี้ฮอลโล่ ”

“ มันเป็นเรื่องประมาณไหน ”

“ ให้กูสปอยป้ะ ” ไอ้หมีมันส่งตาปิ๊งๆมาให้ สปอยพ่องถ้าจะสปอยกูก็ไม่ต้องดูแล้วไอ้บ้า

“ มันเป็นเรื่องของผีหัวขาด ”

“ ใช่แล้วไอ้ผีนั่นมันจะอื้ออออ...อ....” ผมมองไอ้หมีที่โดนไอ้เผือกล็อคคอแล้วปิดปากไว้แน่น ฮ่าๆ สมน้ำหน้าไอ้บ้าหมีอยากจะสปอยกูดีนัก

“ อย่าไปสนใจไอ้หมีเลย เข้าไปดูหนังกัน ” ไอ้เผือกมันลากไอ้หมีที่ดิ้นไม่หยุดเข้ามาในห้อง โถ่เพื่อนหมีดิ้นให้ตายมึงก็ดิ้นไม่หลุดหรอก

ตื้อดึ่ง

ใครไลน์มาวะ

ขุนจึกกก : ทำไรอ่ะ

ถามไมวะกูจะทำอะไรก็เรื่องของกูไหม

คาหนม : กูกำลังจะดูหนัง

เนี่ยะ ตอบมันเฉยเลยเนี่ย

“ กูนั่งด้วย ” ผมนั่งลงข้างไอ้หมีซึ่งกำลังแอบปล่อยค้อนลมไอ้เป้อยู่ เดี๋ยวมึงก็ตายหรอกหมี ทำอะไรไม่รักชีวิตเลยนะ

“ ไอ้หมีมันปล่อยลมค้อนมึงอ่ะเป้ ”

“ สัสปั้น ” ไอ้คนปล่อยค้อนลมหันควับมามองท่านประธานทันที

“ สัสหมี ” ผมมองไอ้หมีที่โดนไอ้เป้เอาหมอนมาฟาด เห็นไหมไอ้หมีอยู่ดีไม่ว่าดีมึงอ่ะ

แต่ว่านะเป้

มึงตีมันก็จริงแต่กูนั่งข้างมันไง หมอนมันโดนกูด้วยเนี่ยไอ้สัส

ขุนจึกกก : อ๋อ กูมีอะไรอยากถามมึงอ่ะ

คาหนม : ถามอะไร

ขุนจึกกก : พี่ขันเค้าเป็นอะไรกับมึงหรอ


“ คุยกับใครวะหนม ” ไอ้ภีมมันคลานมานั่งข้างๆผมก่อนจะชะเง้อหน้ามองจอโทรศัพท์ผมใหญ่ ถ้าจะขนาดนี้มึงก็มุดเข้าจอไปเลยก็ได้

คาหนม : มันเป็นพี่ชายกู

ขุนจึกกก : เห้ย จริงอ่ะ


เนี่ย ทำไมเวลาบอกใครว่าเป็นน้องไอ้ขันต้องมีคนบอกประมาณเนี่ยะ เห้ย จริงอ่ะ ใช่หรอ ไม่น่าเชื่อ บลาๆๆๆ มันเป็นเรื่องแปลกขนาดนั้นเลยหรอวะ

คาหนม : เออ กูดูหนังละ

ผมปาโทรศัพท์ลงไปที่เตียงอย่างหงุดหงิด หงุดหงิดอีกละ ทำไมเดี๋ยวนี้ผมถึงนิสัยคล้ายๆผู้หญิงเลยวะ หงุดหงิดง่ายเป็นบ้า อารมณ์เหมือนเมนส์มาอย่างนั้นแหละ

“ เป็นไรหนม ”

“ การที่กูเป็นน้องไอ้ขันมันดูแปลกขนาดนั้นเลยหรอวะหมี ”

“ แปลก ” ตอบไม่คิดเลยนะมึง

“ มันแปลกตรงไหนวะ ”

“ ถ้าเอามึงกับพี่ขันมายืนข้างกันอ่ะกูจะบอกได้เลยแหละว่ามันต่างกันมากขนาดไหน มันต่างเกินที่จะเป็นพี่น้องกันได้ มึงดูพี่มึงแล้วมึงดูมึงดิ่ ”

“ เอาจริงๆนะหนม ถ้ามึงถอดแว่นเห่ยๆของมึงออกอ่ะ น่ารัก ” มึงเรียกแว่นกูแบบนั้นได้ไงไอ้ปั้น มึงเรียกแว่นกูว่าแว่นเห่ยๆได้ไงวะ แล้วที่สำคัญมึงใช้คำว่าน่ารักกับกูเนี่ยนะ

“ กูเห็นด้วยกับไอ้ปั้น ” มึงก็เอากับมันด้วยหรอวะเผือก

“ โนวๆ ถ้ากูถอดแว่นกูต้องแสบตาจนตายแน่ๆ ”

“ มึงก็เว่อร์ไปอ่ะ ” ไม่ได้เว่อร์เว้ยภีม มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอก

“ พอๆเลิกพูดเรื่องกู ดูหนังได้ละ ” แม่งไม่น่าเปิดประเด็นเลยกูเนี่ย เรื่องนี้โทษไอ่ห่าขันได้ไหม โทษได้สิ อะไรที่แย่ๆในชีวิตผมก็เป็นเพราะมันทั้งนั้นอ่ะ หึ้ยยยยย คิดแล้วแค้นใจชะมัด อยากโบกให้หน้าทิ่มสักทีสองที

ไอ้สัสขัน



[ บันทึกพิเศษ : ขัน ]



“ ไอ้เชี่ยยยยยยยยย ”

“ นี่จามหรือด่ากูเนี่ย ” กูเปล่านะแช่ม

“ ไม่ได้ด่ามึง....ไอ้เชี่ยยยยยยยยย ”

“ แต่กูว่ามีคนด่ามึงแล้วแหละ ” เออฉาย กูก็คิดแบบมึง

“ เอออาจจะ....ไอ่เชี่ยยยยยยยยย ”

โอ้ย เยบแหม่

ปอดกูพังหมดแล้วไหมเนี่ย

“ จามขนาดนี้ไปตายไหมมึง ” โถ่เล ทำไมไล่เพื่อนไปตายแบบนี้ล่ะ

“ ใจร้ายว่ะเล ” ผมถูจมูกเบาๆ เป็นหวัดรึเปล่าวะจามขนาดนี้เนี่ย

ผมชื่อ ขัน ครับ เป็นพี่ชายขนม แค่นี้พอละกันผมไม่อยากให้ใครรู้จักผมเยอะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนรู้จักเยอะมากก็ตาม ด้วยความที่เป็นเฮดว้ากของคณะวิศกรรมศาสตร์ชื่อผมแม่งเลยดังกระฉ่อนไปทั่วมหาลัยอย่างช่วยไม่ได้

เกิดเป็นขันนี่ลำบากจริงๆเลย

“ เออ กูได้ข่าวมาว่าวันนี้มึงโดนน้องหนมเอาน้ำมาสาดหรอวะ ” ไอ้เลมันถามผม ข่าวมันดังขนาดนั้นเลยหรอวะ

“ เออ ”

“ มึงไปแกล้งน้องอ่ะดิ่ ”

“ กูเปล่านะ ” ผมไม่ได้ทำอะไรมันสักหน่อย

“ น้องบอกว่ามึงเอาผักตบชวาใส่รถน้อง ” โถ่มึงอย่าไปบอกพวกมันดิ่แช่ม

“ กูไม่ได้ทำนะ ไม่เชื่อกูหรอเพื่อน ”

“ น้ำหน้าอย่างมึงอ่ะไอ้ขัน ” กูอีกแล้วหรอ

เสียใจจัง

เออยอมรับก็ได้ว่าคนที่เอาผักตบชวาไปใส่ในกระโปรงรถของไอ้หนมก็คือผมเอง ก็ไม่อยากให้มันไปสอบทันไง ถ้ามันไปสอบไม่ทันมันจะไม่ได้เกรดเอ พอมันไม่ได้เกรดเอป๊าก็จะไม่ซื้อคอนโดให้ แล้วมันก็จะต้องอยู่ที่บ้าน

มันควรจะเป็นแบบนั้น

แต่วันนี้แม่งเสือกมาทันสอบ ห่า มาทันได้ไงวะผมคำนวณจากเวลาแล้วมันไม่น่ามาทันด้วยเพราะว่าก่อนที่ผมจะเอาผักตบชวาไปใส่รถผมแอบย่องไปปิดนาฬิกาปลุกมัน คือแบบยังไงแม่งก็ต้องสายแน่ๆ แต่วันนี้คงจะเป็นโชคดีของไอ้หนม ไม่เป็นไรคราวหน้าเอาใหม่ ผมไม่ละความพยายามแค่นี้หรอก

“ โถ่ พวกมึงเลิกกดดันกูผ่านสายตาได้มะ ” แรงกดดันรุนแรงมากเหมือนผมไปฆ่าใครมาอย่างงั้นอ่ะ

“ มึงไปแกล้งน้องมันทำไมเล่า ”

“ พวกมึงก็น่าจะรู้เหตุผลนี่หว่า ว่ากูทำไปทำไม ”

“ ก็รู้ เฮ้อ โรคหวงน้องของมึงนี่ไม่มีวันแก้หายจริงๆนะ ”

“ กูไม่ได้หวงน้อง ”

“ มึงหวงน้อง!!!! ” ประสานเสียงกันเลยนะไอ้สัส

เอ้ออออออออออออออออออออออออ

ยอมรับก็ได้ว่าหวง

ผมหวงน้องมาก หวงแบบหวงจริงๆครับเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ขนมตอนเด็กๆน่ารักมาก น่ารักจนเคยโดนคนงานก่อสร้างในหมู่บ้านลักพาตัวไป ผมพยายามจะช่วยน้องแต่ก็โดนกระทืบเกือบตายแน่ะ ดีว่าลุงยามปั่นจักรยานผ่านมาพอดีเลยช่วยพวกผมไว้ได้ เรื่องนี้มันเป็นเหมือนฝันร้ายในชีวิตของผมเลยล่ะ ดีว่าขนมยังเด็กมากเลยจำเรื่องราวไม่ค่อยได้

แต่ก็ดีแล้วผมไม่อยากให้น้องจำเรื่องแบบนั้น

พอจากหลังเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่อยากให้น้องห่างจากผมเลย ขนมเนี่ยยิ่งโตก็ยิ่งน่ารัก น่ารักไม่พอแถมมันยังน่าแกล้งอีกต่างหาก ดีนะว่ามันใส่แว่นปกปิดความน่ารักของมันไว้ ไม่งั้นผมคงต้องบ้าแน่ๆถ้าเห็นใครมาเกาะแกะกับน้องผม

“ พวกมึงไม่เข้าใจกูหรอก ”

“ เข้าใจดิ่ มึงอย่าลืมไปว่าน้องมีไอเทมอย่างแว่นใส่ปกปิดหน้าอยู่นะ ”

“ เออแถมยังหัวฟูๆนั่นอีก คือภายนอกน้องมึงมันไม่ได้ดึงดูดใครอะไรขนาดนั้นอ่ะ ”

“ ขนาดไอ้หนมมันดูเฉิ่มขนาดนั้น ไอ้ห่าขุนยังสนใจเลย ” คิดเรื่องนี้แล้วปวดใจชิบ แล้วยิ่งวันนี้ผมเห็นท่าทีกับสายตาไอ้ขุนที่โรงอาหารผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

ผมสั่งไอ้หนมแล้วแท้ๆว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้ขุน

ไม่เคยจะเชื่อกูหรอก

ตลอดเวลา 19 ปีที่น้องผมโตมาน้องผมไม่มีเคยมีแฟน แน่นอนว่านั่นก็เป็นเพราะผม ผมไม่อยากให้ขนมเสียใจกับสิ่งที่เรียกว่าความรักถ้ามันยังไม่ถึงเวลา ขนมยังไม่พร้อมที่จะเจอเรื่องแบบนั้นหรอก แล้วยิ่งคนที่มาสนใจขนมคือไอ้ห่าขุนอีก

ทำไมต้องเป็นไอ้ขุนวะ

“ กูเพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าไอ้ขุนมันก็สนใจผู้ชาย ” เออฉาย กูก็เพิ่งรู้ตอนที่มันมาถามกูว่ารู้จักไอ้หนมไหมนี่แหละ ถามว่ารู้จักไหมไม่เท่าไหร่เสือกมาบอกว่าชอบ ไอ้ห่าคนมีตั้งเยอะทำไมต้องเป็นน้องกูเนี่ย

“ เออ กูเห็นแต่ควงผู้หญิง ”

“ สำคัญคือไม่ได้ควงใครเป็นตัวเป็นตนไง มันอาจจะเห็นว่าน้องกูแปลกๆมันก็เลยสนใจเลยเบนเข็มอยากมาลองผู้ชายดู โอ้ยตายห่ากูจะทำยังไงดีเนี่ย ”

“ ใจเย็นก่อนมึง กูว่ามันไม่ขนาดนั้นหรอก ” ไม่ขนาดนั้นได้ไงแช่ม มันเป็นน้องรหัสกูอ่ะ กูย่อมรู้ว่านิสัยมันเป็นยังไง

ไอ้ขุนแม่งโคตรเจ้าชู้เลย โคตรของโคตรความเจ้าชู้ เต๊าะสาวเล่นไปทั่วแล้วคนที่มันเข้าไปยุ่งก็มักจะเล่นด้วยกับมันงี้ ไอ้ขุนมันเป็นน้องรหัสของผม มันเป็นรุ่นน้องที่ดีเลยนะแต่เพราะผมไม่ชอบมันอย่างเดียวคือเรื่องความเจ้าชู้ของมัน ผมไม่ชอบคนเจ้าชู้เลยครับ มีใจเดียวก็รักแค่คนเดียวก็พอ เข้าใจอยู่หรอกว่าเซ็กซ์กับความรักมันไม่เกี่ยวกัน

แต่กูไม่ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

“ แล้วมึงจะทำไงล่ะขัน ”

“ ขัดขวางดิ่วะ ” ยังไงก็ต้องขัดขวาง ผมจะไม่ยอมให้ไอ้ขุนมายุ่งกับน้องผมแน่ๆ

“ ถ้าไอ้ขุนมันจริงจังกับน้องหนมล่ะ ”

“ ใช่ ขัดขวางความรักคนอื่นอ่ะมันบาปนะ ”

“ พวกมึงไม่ต้องมาพูดโน้มน้าวใจกูเลย กูคิดจะขวางคือกูจะขวาง ” ไม่มีใครห้ามกูได้ทั้งนั้นแหละโว้ย

“ กูจะคอยดูว่ามึงจะขวางได้จริงรึเปล่า ไอ้ขุนมันไม่ธรรมดามึงก็รู้ ” เออกูรู้ แต่ยังไงกูก็จะไม่ให้มันยุ่งกับน้องกูเด็ดขาด

“ เออน่า กูคือใครให้มันรู้ด้วย ” กูคือขันนะครับ มีอะไรบ้างที่กูทำไม่ได้

“ มึงก็แค่ไอ้พี่บ้าที่หวงน้องนั่นแหละ ”

ไอ้สัสฉายกูได้ยินที่มึงพูดนะ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขัน ]


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 5 : 5/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 05-11-2017 20:56:00
---------- ต่อจากบทที่ 5 ----------


หนังแม่งโคตรน่ากลัว

หลอนติดตาชิบ

ตอนนี้ผมอยู่ที่หอตัวเองแล้วครับไอ้เผือกเป็นคนมาส่ง ความจริงวันนี้ผมชวนไอ้หมีมันมานอนด้วยแต่แม่งไม่ยอมมานอน โคตรใจร้ายอ่ะ มันรู้ว่าผมกลัวจนหลอนแม่งก็เลยแกล้งผม จะนอนที่หอไอ้เผือกก็ไม่ได้เพราะมันออกไปหาเหล้ากิน ไอ้ที่เหลือก็ไม่ต่างมี่ใครว่างให้ผมไปนอนด้วยสักคน

งื้ออออ...อ...แบบนี้ไม่เอานะ

ครื้ดดด..ด.ด.....

เชี่ยๆ ใครโทรมาวะตกใจนะไอ้ห่า ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์บนเตียงมาดูว่าใครโทรมา หน้าจอขึ้นชื่อเป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก ใครวะโทรผิดรึยังไง

“ ฮัลโหลครับ ”

(.............)

“ ฮัลโหลได้ยินไหมครับ ” โทรมาก็ไม่พูด คนบ้ารึเปล่าวะ

(..............)

“ ถ้าไม่พูดอะไรผมจะวางแล้วนะครับ ”

( เดี๋ยวๆ )

เสียงนี้คุ้นๆว่ะ เหมือน.....

“ ไอ้ขุนหรอ ”

( มึงจำเสียงกูได้ด้วยหรอ )

นั่นไงเสียงไอ้ขุนจริงๆด้วย ว่าแต่มันไปเอาเบอร์ผมมาจากไหนวะ

“ มึงโทรมาทำไม แล้วเอาเบอร์กูมาจากไหน ”

( อยากรู้ล่ะซี่ )

“ อย่ามากวนตีนได้ไหมไอ้สัส ” หงุดหงิดจริงๆอารมณ์ยิ่งไม่ปกติอยู่นะเว้ย

( โหดเชียวนะ ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูเอาเบอร์มึงมาได้ไงมึงมาห้องข้างๆดิ่ )

ห้องข้างๆอะไรของแม่งวะ เห้ยอย่าบอกนะว่าไอ้ขุนอยู่ห้องข้างๆห้องผม บ้าละ ผมอยู่มาตั้งเทอมยังไม่เคยเจอแม่งสักครั้ง

“ ห้องข้างๆทำไม ”

( ห้องข้างมึงคือห้องเพื่อนกู ตอนนี้กูอยู่ห้องเพื่อน มาหากูสิ )

“ ทำไมกูต้องไปหามึงอ่ะ ”

( งั้นกูไปหามึงเอง )

“ เห้ยเดี๋ยว เอ้าไอ้สัสวางสายใส่กูเฉย อะไรของมึงเนี่ย ” ทำไมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้วะไอ้บ้า โทรก็โทรมาหากูก่อนแถมยังตัดสายใส่กูอีก

ก๊อกๆๆ

ผมโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงก่อนจะเดินไปเปิดประตู แน่นอนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องก็คือไอ้ขุน

ไอ้ขุนที่ใส่ชุดนอนเป็ด

เป็ดเลยแม่งคือเป็ด

“ มึง....แต่งตัวเชี่ยอะไรของมึง ” ผมมองไอ้หล่อตรงหน้า ขนาดมันใส่ชุดบ้าๆมันยังดูดีเลย

“ ชุดนอนไง แม่กูซื้อมาให้ ถ้าไม่ใส่เดี๋ยวแม่เสียใจ ” มันว่าแล้วก็ยิ้มกว้าง ยิ้มอีกละ หมั่นไส้จริงๆโว้ยยยยยยย

“ ช่างชุดมึง แล้วมึงเอาเบอร์กูมาจากไหน ” มันน่าสงสัยนะผมคิดว่าเบอร์ผมไม่ได้หาได้ง่ายๆจากที่ไหนก็ได้ คนที่รู้เบอร์ผมมีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อนสนิทเท่านั้น

เพื่อนสนิท

“ ไอ้หมีให้มา ”

นั่นไง

ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยหมี

“ ห่าหมี เจอหน้ากูจะงัดให้ ” มันใช่เรื่องไหมที่เอาเบอร์ผมไปให้ไอ้ขุนเนี่ย นี่ไม่ใช่ว่าถ้ามีคนมาขอเบอร์ผมมันก็ให้ทุกครั้งเลยงั้นสิ

“ อย่าไปว่าหมีมันเลย ถึงไอ้หมีไม่บอกกูก็ต้องมาถามมึงอยู่ดี ”

“ มึงคิดว่ากูจะบอกรึไง ”

“ บอกดิ่ เพราะว่ากูหล่อ ”

“ มโนสัสๆ ” ผมเบ้ปากใส่มัน คนบ้าอะไรหลงตัวเองชะมัด ไอ่หล่อมันก็หล่อจริงๆแต่มันน่าหมั่นไส้ชิบ

“ แล้วนี่จะยืนคุยกันตรงนี้หรอ ”

“ ตรงนี้แหละ กูไม่ให้มึงเข้าห้องกูแน่ๆ ”

“ ตรงนี้ยุงกัดอ่ะ ไปห้องพวกกูละกัน ”

“ ใครจะไปวะเดี๋ยวววววว ปล่อยแขนกูนะ ” ผมออกแรงต้านทันทีเมื่อไอ้ขุนมันจับข้อมือผมก่อนจะลาก เน้นว่าลากครับ แรงมึงจะเยอะไปไหนเนี่ยแรงเยอะกว่าไอ้เป้ซะอีก

“ เออน่า ได้ข่าวว่าดูหนังผีมา ไม่กลัวหันหลังมาแล้วเจอคนไม่มีหัวยืนอยู่หรอ ”

ไอ้เชี่ยขุนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

ไอ้เลวววววววววววววววววววววววววววว

“ มึงมันเชี่ยจริงๆเลยนะ มึงรู้ได้ไงว่ากูดูหนัง ”

“ มึงเป็นคนบอกกูเอง ”

“ แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าหนังผี ” มึงชักรู้เรื่องยิบย่อยกูเยอะไปละ

“........”

“ เงียบทำห่าอะไรของมึงวะ ” ผมตีไหล่มันไปสามที ไอ้บ้านี่ คนถามก็ต้องตอบสิวะ

“ เออเอาเป็นว่ารู้น่า เข้าไป ” มันเปิดประตูห้องที่อยู่ถัดไปจากห้องผมก่อนจะดันให้ผมเข้าไปในห้องนั้น ตัวมันพอเข้าห้องมันก็ปิดประตู โคตรเผด็จการเลย มึงจะลากคนอื่นเข้าโน่นออกนี่ตามใจชอบไม่ได้นะไอ้สัสสส

“ อ้าวน้องหนม ” ผมมองตามเสียงก็พบพี่หัวแดงนั่งตัดกระดาษอยู่กับพื้น ไม่ใช่แค่พี่หัวแดง เรียกได้ว่าทั้งแก๊งค์เลยที่อยู่กันที่นี่

“ มึงไปฉุดน้องเค้ามาแบบนี้ไม่ได้นะไอ้ขุน น้องเค้ามีพ่อมีแม่ ”

“ เออ จะทำอะไรก็ไปสู่ขอให้มันเป็นเรื่องเป็นราวซะ ”

พวกพี่นี่แม่ง

“ พวกมึงหุบปากไปเลย นั่งตัดกระดาษไป ” ไอ้ขุนสั่งเพื่อนมันก่อนจะลากผมออกมาที่ระเบียง

“ เห้ยขุนระเบียงเลยหรอวะ ”

“ ไอ้ขุนมันชอบแบบโจ่งแจ้งไง ”

ความคิดโคตรอกุศลสุดๆ

ผมมองไอ้ขุนที่ยืนยิ้มปากบานอยู่ตรงหน้า ไอ้บ้านี่มันบ้ามากจริงๆอยากทำอะไรก็ทำไม่ถามคนอื่นเขาเลย แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของผมที่จะได้ถามมันในเรื่องที่ผมอยากรู้ทุกเรื่อง

“ มองอะไรครับ ”

“ กูมีเรื่องอยากถามมึงหลายเรื่องเลย ”

“ เรื่องอะไรล่ะ ” มันเท้าคางมองหน้าผมอย่างน่ารัก โว้ยยยยยห่านี่ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้วะ

ใจมันสั่นนะไอ้สัส

“ เรื่องอะไรล่ะครับหืม ”

“ ก็เรื่องที่มึงเอาดอกไม้ไปให้กู ”

“ แล้วมีเรื่องอะไรอีก ”

“ เรื่องโกโก้ด้วย ”

“ แล้วมึงคิดว่าที่กูทำไปทั้งหมดนั่นกูทำเพื่ออะไรล่ะ ” ผมมองมันทันทีที่มันพูดจบ ทำไมต้องถามย้อนวะ กูเป็นคนถามมึงอยู่นะไอ้บ้า

แต่ก็อย่างว่าที่มันถามผมกลับ ถ้าให้ผมคิดล่ะก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะโดนเพื่อนสั่งเพราะแพ้เกมอะไรสักอย่าง มันก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะผมเองก็เคยเล่นเกมแบบนี้เหมือนกัน กับอีกเหตุผลนึงที่ผมเคยคิดไว้ ถ้าเป็นอย่างในนิยายผมก็เข้าใจว่ามันกำลัง.....

จีบผม

แต่บ้าน่ะคนอย่างมันเนี่ยนะจะมาจีบผม

ผมไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด

“ กูจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้ากูรู้กูไม่ถามมึงหรอก ”

“ นั่นสินะ....” ยัง ยังจะลีลาไม่ยอมบอกกูอีก

“ มึงจะบอกได้รึยังว่า....”

“ กูชอบมึง ”

ห้ะ

อะ....อะไรนะ

“ มึงว่าไงนะ ” เมื่อกี้ผมหูฝาดไปเองรึเปล่าวะ

“ กูบอกว่ากูชอบมึง ทั้งหมดที่ทำไปนั่นเพราะจะจีบมึง ”

จีบจริงๆด้วยว่ะ

ผมได้แต่ยืนมองคนตรงหน้าอึ้งๆแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่มันพูด เกิดมา 19 ปีไม่เคยมีใครมาบอกชอบผม มันเป็นคนแรกเลยที่พูดแบบนี้ ที่สำคัญมันเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่ดังในมหาลัยของผมมากๆ

โอ้มายก๊อดดดดด

ความจริงหรือความฝันวะเนี่ย

“ ไม่ต้องถามเหตุผล ชอบก็คือชอบว่ะ แล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธกูเลยนะ กูรู้แหละว่ามึงคงไม่เคยชอบใครแล้วยิ่งโดยเฉพาะกับผู้ชายก็ยิ่งแล้วใหญ่ ” ผมมองหน้ามันที่มีความกังวลเล็กน้อย มันเองก็คงประหม่าอยู่พอสมควร ซึ่งมันต่างจากไอ้ขุนผู้ที่ดูมั่นหน้าอยู่ตลอด

มันเองก็คงตื่นเต้นมากเลยสินะที่จะพูดเรื่องนี้ให้ผมฟัง

“ มึงเป็นผู้ชายคนแรกที่กูรู้สึกแบบนี้ด้วย....เป็นไรอ่ะหน้าแดงเชียว ” ผมยกมือปิดหน้าทันทีที่มันพูดจบ เอาอีกแล้วนะหน้ากู จะแดงก็ไม่ปรึกษาเจ้าของหน้าสักคำ อย่าว่าแต่หน้าเลย หัวใจผมก็เหมือนกัน ผมรู้สึกได้ว่ามันเต้นแรงมาก เต้นแรงกว่าปกติอย่างกับจะออกมาข้างนอกยังไงยังงั้น

“ กูเปล่า....กูกลับห้องละ ” ผมหมุนตัวจะรีบเดินกลับห้องแต่ก็ต้องหยุดเพราะไอ้ขุนมันดึงข้อมือผมไว้

“ กูขอโทษนะถ้าสิ่งที่กูบอกมันทำให้มึงตกใจและก็รู้สึกแปลกๆ แต่กูจริงจังกับเรื่องนี้จริงๆ ” น้ำเสียงที่จริงจังนั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง

ใบหน้าหล่อตอนนี้ก็ขึ้นสีที่แก้มจางๆ เขินหรอวะ คนเขินควรเป็นกูไอ้บ้าไม่ใช่มึง ผมจะทำไงดีวะ ตอนนี้ในหัวก็ค่อนข้างที่จะตีกันมั่วไปหมด ผมรู้สาเหตุของการกระทำของมันแล้ว ที่ไอ้ขันสั่งห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับมันก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันชอบผม

โอ้ยยยยปวดหัวโว้ย

“ กู...... ” พูดอะไรดีวะ ปากสั่นใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย

“ กลับห้องเถอะ มันดึกแล้วพรุ่งนี้มึงมีเรียนแต่เช้าหนิ ”

“ เออ บาย ” ผมรีบเดินออกมาจากห้องทันทีหลังจากที่มันปล่อยมือโดยไม่ทันฟังคำที่พวกพี่ๆแซวด้วยซ้ำ

ผมเดินเข้าห้องตัวเองอย่างเร็วก่อนจะกระโจนขึ้นไปนอนแผ่อยู่บนเตียง ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกแปลกๆ แปลกแบบที่ชีวิตไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้ขุนมันบอกว่ามันจีบผม มันจริงจังกับผม แล้วผมควรจะทำยังไง ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่มันมาชอบผู้ชายอย่างผม อา....มันสับสนไปหมดแล้วในตอนนี้

ตื้อดึ่ง

เสียงไลน์ดังอีกแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความสั้นๆของไอ้คนที่เพิ่งจะบอกชอบผมไปหยกๆ

ขุนจึกกก : ฝันหวานครับ *สติ๊กเกอร์รูปหมีนอนกอดกัน*

ไอ้บ้านี่ ฝันหวานอะไรของมัน

ใจสั่นไปหมดแล้วนะโว้ย

คาหนม : เออ ฝันดี

ผมวางโทรศัพท์ไว้ข้างหัวเตียง บ้าจริงๆเลยนะวันนี้น่ะ พรุ่งนี้ผมต้องตื่นไปเรียนเช้าซะด้วย เพราะงั้นต้องรีบนอนล่ะนะ

กูชอบมึง

แต่เรื่องกวนใจขนาดนี้.....ใครมันจะหลับลงวะ




TBC.

คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 5 : 5/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-11-2017 11:15:58
 :L2: :L1: :pig4:

สนุกดีอยากอ่านต่อแล้ววว
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 6 : 6/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-11-2017 19:17:08
บทที่ 6 การหายไป 10 วัน



จากวันนั้นก็ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ

อาทิตย์กว่าๆที่ไอ้ขุนได้หายไปจากชีวิตของผม ไม่มีแม้แต่ข้อความในโทรศัพท์ ไม่มีการโทรหา ไม่มีห่าอะไรเลย อยู่ดีดีก็หายไปดื้อๆ ก่อนมันจะหายไปมันก็ไม่ได้บอกอะไรผมสักคำ พอเป็นแบบนี้ไอ้ที่บอกว่ามันจริงจัง มันจริงจังแบบที่มันพูดจริงรึเปล่านะ

“ คิดอะไรอยู่วะหนม ทำไมหน้าเป็นตูดเลย ” ไอ้หมีมันเอ่ยถามผม หน้ากูเหมือนตูดขนาดนั้นเลยหรอวะหมี

“ เปล่า....เออหมีกูมีอะไรจะถามว่ะ ”

“ ว่ามา ”

“ สมมุตินะ....ถ้ามีคนมาบอกมึงว่าจะจีบมึง ”

“ ใครจีบมึงอ่ะ พี่ขุนหรอ ” ห่าหมีมึงจะขัดทำซากอ้อยไรเนี่ย แล้วทำเป็นรู้ดีเลยนะว่าไอ้ขุนมันจีบกู

“ ไม่ใช่เว้ย กูสมมุติเฉยๆมึงฟังให้จบก่อนดิ่วะ ” ผมโวยใส่มันไป มึงจะพูดแทรกตอนที่คนอื่นเล่าไม่ได้นะหมี แม่กูสอนไว้ตลอดว่าการที่พูดแทรกคนอื่นมันไม่ดี แถมมันจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันด้วย

“ อ่ะมึงพูดต่อ ”

“ เออ ก็พอมีคนบอกว่าจะมาจีบมึง แล้วพูดแบบจริงจังเลยนะ แต่พอจากวันนั้นผ่านไปอาทิตย์กว่าๆคนที่บอกมึงก็หายไปจากชีวิตมึงเลยอ่ะ มึงจะคิดยังไงวะ ” ผมมองหน้าไอ้หมีที่เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาแตะไหล่ผมเบาๆ

มึงแตะไหล่กูทำไมวะ

“ กูก็จะคิดว่า เค้าไปค่ายอบรมพิเศษที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของคณะวิศกรรมศาสตร์ของสาขาโยธาโดยเฉพาะ โดยปีนี้จัดเป็นเวลา 10 วัน ภาษาปากก็ประมาณอาทิตย์กว่าๆ ”

ผมหรี่ตามองไอ้หมีอย่างสงสัยว่ามันรู้เรื่องอะไรแบบนี้ได้ยังไง แล้วสิ่งที่มันพูดคือเหตุผลที่บอกผมโดยตรงว่าทำไมไอ้ขุนถึงหายไป แต่แค่ไปค่ายแม่งจะไม่มีการติดต่ออะไรเลยรึไงวะ

ไม่ใช่ว่าผมอยากให้มันติดต่อผมนะ ผมก็แค่สงสัยเฉยๆ

“ แล้วทำไมถึงติดต่อไม่ได้ ” ผมถามไอ้หมีตามที่ผมสงสัย

“ อาจารย์วิชัยจะยึดโทรศัพท์ของนักศึกษาที่ไปค่ายทุกคนไว้จนถึงวันกลับ แถมค่ายเป็นค่ายที่อยู่ต่างจังหวัดค่อนข้างจะลำบากด้านการสื่อสารอยู่แล้ว มันก็ประมาณนี้แหละนะ ”

“ แล้วทำไมมึงถึงรู้เรื่องนี้ได้วะ ” ผมเข้าใจนะที่ไอ้หมีมันเป็นแหล่งบรรจุข้อมูล แต่ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้ที่มันเป็นเรื่องเฉพาะมันจะรู้ด้วย

“ ก็พี่ขันก็ไปค่ายไงไอ้สัสสสสส มึงไม่สงสัยที่พี่มึงหายตัวไปเลยรึไง ว่าแล้วก็คิดถึงพี่ขันอยากเจอหน้า อยากเห็นชายเสื้อช้อป ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็ยกมือทำเป็นปาดน้ำตา

จะว่าไปก็จริงที่ช่วงนี้ผมไม่เจอไอ้ขันเลยแล้วก็ไม่ได้เอะใจด้วยว่ามันหายไปไหน ฟังจากที่ไอ้หมีเล่าทั้งหมดนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ไอ้ขุนมันหายไปสินะ โล่งใจหน่อยที่มันไปค่ายไม่ได้หายไปไหน

เดี๋ยว

ทำไมความคิดนี้มาอยู่ในหัวผมได้วะ

“ มึงจะส่ายหัวทำไมวะหนม มึงเป็นไรเนี่ยะ ” ไอ้หมีมันมองผมด้วยสายตาแปลกๆ

“ กูไม่ได้เป็นไรทั้งนั้นอ่ะ ” จะว่าไปผมก็สงสัยนะว่าทำไมก่อนที่มันจะไปมันไม่บอกผมวะ คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจว่ะ แต่เห้ย ไม่ได้เป็นไรกันสักหน่อย

จะน้อยใจทำไมวะกู

“ แหนะ เรื่องสมมุติของมึงนี่คือเรื่องของมึงกับพี่ขุนสินะ ” ไอ้หมีมันชี้นิ้วพร้อมกับจ้องจับผิดผม

“ ไม่ใช่ ” ผมบอกปัดมัน

“ มึงมันปากแข็ง ”

“ มึงอยากปากแตกไหมล่ะ ”

“ โหดร้ายว่ะ ” มันเบะปากให้ก่อนจะหยิบใบไม้มาปาใส่ผม ไอ้บ้านี่ เพราะไม่มีไอ้เป้สินะมึงถึงได้กล้าปาใบไม้ใส่กู เดี๋ยวให้มันมาก่อนเถอะหนม มึงไม่รอดแน่

ผมกวาดสายมองไปรอบๆตึก ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบหกโมง ผมกับไอ้หมีนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนที่ประจำ โดยที่พวกเพื่อนๆโดนท่านประธานลากไปช่วยกันแบกของที่ห้องคณะมาเพื่อเตรียมตัวที่จะไปถ่ายนิตยสารโปรโมทมหาลัยในอีกสามวันข้างหน้า ถ่ายตั้งสามวันข้างหน้าทำไมต้องรีบไปขนของวันนี้ก็ไม่รู้

ผมไม่ได้อยากจะบ่นหรอกถ้าพวกมันไม่ได้เอาของไปกองที่ห้องผม

ด้วยความที่หอผมอยู่ใกล้มหาลัยมากที่สุด ของที่จะใช้มันก็ต้องมาอยู่ที่ห้องผม กล้องเอย ไฟเอย ขาตั้งไฟ ขาตั้งกล้องและอีกมากมาย แม่งทำเหมือนห้องผมใหญ่มากอ่ะ

“ หนม ”

“ หืม ”

“ เรื่องนิตยสารโปรโมทมหาลัยอ่ะ ไอ้ปั้นมันบอกว่าจะให้มึงเป็นคนถ่ายรูปนะ ”

“ เออ กูทำได้ทุกอย่างอ่ะ ”

“ ดีแล้ว ” ไอ้หมีมันยิ้มแปลกๆแบบมีเลศนัยให้ผม อะไรของมันวะ

“ รอยยิ้มมึงมันแฝงความชั่วร้ายอยู่ ”

“ มึงคิดไปเองอ่ะ เออเดี๋ยวให้ไอ้ปั้นมันบอกหน้าที่ของมึงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งละกันเนอะ ” มันว่าแล้วก็ยังไม่หยุดยิ้มชั่วๆอีก ผมรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรแปลกๆแน่ ปกติไอ้หมีมันจะไม่ค่อยยิ้มแนวนี้เท่าไหร่

“ เออ ”

หวั่นใจยังไงก็ไม่รู้ว่ะ



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



คิดถึง

อยากเห็นหน้า

ผมนั่งดูรูปคนตัวเล็กในโทรศัพท์ที่ไปแอบถ่ายมาได้ด้วยความคิดถึง ไม่ใช่คิดถึงธรรมดานะ คิดถึงมากครับ ไม่คิดเลยว่าการที่ไม่ได้เจอขนม 10 วันมันจะทำให้จิตใจผมไม่สงบได้ถึงขนาดนี้

ป่านนี้น้องจะเป็นไงบ้างเนี่ย

“ คิดถึงขนาดนั้นทำไมไม่โทรไปหาเลยวะ โทรศัพท์ก็ได้คืนละ ” ผมหันไปมองไอ้แกงที่เอ่ยบอกผม

“ กูอยากเจอตัวเป็นๆมากกว่าว่ะ ได้เห็นทั้งหน้าได้ฟังทั้งเสียง ” ว่าแล้วก็อยากรีบกลับให้ถึงเร็วๆ

ตอนนี้พวกผมอยู่บนรถที่กำลังกลับจากค่ายซึ่งอีกไม่นานก็จะถึงมหาลัยแล้วครับ ผมแม่งลืมคิดเรื่องค่ายไปเลย แถมไม่ได้บอกขนมด้วยว่าจะไปค่ายอบรมตั้ง 10 วัน ขนมเองคงแปลกใจน่าดูที่อยู่ๆผมไปบอกว่าจะจีบแต่ผมกลับหายไปโดยไร้การติดต่อ

ทำไงได้ก็อาจารย์วิชัยยึดโทรศัพท์

ผมคิดว่าขนมอาจจะเกิดการน้อยใจ หรืออะไรเถือกๆนั้นที่ผมหายไปไม่บอก ผมเลยซื้อของฝากกลับมาฝากน้องเพียบเพื่อเป็นการยืนยันว่า เออ ไปค่ายอบรมมาจริงๆไรงี้

หวังว่าน้องจะเชื่อผม

“ มึงนี่อาการหนักนะขุน ” ไอ้หอมมันมองผมแบบเอือมๆ แหมๆ มึงไม่มีความรักหนิมึงไม่เข้าใจกูหรอก

“ เรื่องของกูน่า เออชาวันนี้กูไปนอนหอมึงนะ ”

“ นอนไมวะ บ้านมีก็กลับบ้านดิ่ ” มันพูดพลางปาเปลือกถั่วใส่หัวผม

“ ก็กูจะไปหาขนม แล้วห้องมึงก็อยู่ข้างห้องน้อง ขอกูไปนอนให้ชื่นช่ำหัวใจสักคืนเถอะว่ะ ”

“ โรคจิต ” ไม่ต้องประสานเสียงกันขนาดนั้นก็ได้ไอ้สัส

“ เออว่ากูกันเข้าไป ” ผมหันกลับมามองรูปน้องต่อ คิดถึงจัง ตอนนี้ในหัวผมมันมีแต่ความคิดถึงคนตัวเล็ก คิดถึงมากจนอยากจะจับมาฟัดให้หนำใจ แต่ก็ได้แต่คิดแหละครับผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง ไว้ถ้าจีบน้องติดแล้วเขายอมมาเป็นแฟนของผมก่อนเถอะ

หึ

เสร็จพี่แน่ทูลหัว

“ ไอ้ขุนมันหน้าหื่นมากเลยอ่ะ ”

พวกมึงนี่มัน.....





หอ K2

ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าห้องขนมพร้อมกับของฝากเต็มไม้เต็มมือ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม ผมคิดว่าคนตัวเล็กคงกลับมาแล้วแน่นอน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูเพียงไม่นานมันก็เปิดออก ผมยืนมองคนที่เปิดประตูให้ผมอย่างอึ้งๆ ใบหน้าขาวใสของขนมที่วันนี้ไม่มีแว่นหนาๆปิด ผมฟูๆที่มักจะปิดหน้าก็ถูกมัดขึ้นไปไว้ด้านบน

ตึกตัก

ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ อาจเพราะว่าวันนี้คนตรงหน้าดูน่ารักมากเป็นพิเศษ แม่งเป็นแบบที่ผมคิดจริงๆด้วยว่าภายใต้แว่นตานั่นมันซ่อนของดีไว้ พอเห็นแบบนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกเลยว่าจะปล่อยคนตรงหน้านี้ไปไม่ได้

“ มึง.....” คนตัวเล็กเลิกคิ้วมองผม อารมณ์เหมือนจะถามว่ามึงมาทำไม

“ คิดถึงจัง ” ผมฉีกยิ้มให้น้องเหมือนอย่างที่ทำบ่อยๆ เอาจริงๆผมไม่ใช่พวกชอบยิ้มแบบนี้หรอก แต่เวลาอยู่กับน้องมันทำให้ผมยิ้มออกทุกที

“ คิดถึงอะไรของมึงไอ้บ้า ” ขนมโวยวายใส่ผมใหญ่ ผมมองแก้มใสๆที่ขึ้นสีเล็กน้อยมันก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทำไมทุกการกระทำของน้องมันถึงน่ารักในสายตาของผมไปหมดก็ไม่รู้

“ ก็คิดถึงจริงๆหนิ ไม่ได้เจอมึงตั้ง 10 วัน กูขอเข้าห้องได้ป้ะ ของมันหนักอ่ะ ” ผมยกถุงของมากมายให้คนตัวเล็กดูพร้อมกับทำหน้าให้เห็นใจ แม่งหนักจริงๆแหละ แบกมานี่แขนแทบหัก

“ เออๆเข้ามา ” นึกว่าจะไม่ให้เข้าซะแล้ว

ผมเดินตามขนมเข้ามาในห้องซึ่งตอนนี้มันดูรกมาก มีอุปกรณ์ที่ไว้ถ่ายภาพวางอยู่เกลื่อนพื้นไปหมด ปกติหอพักมันก็ไม่ได้กว้างอะไรอยู่แล้วด้วย และยังมีของเยอะขนาดนี้ น้องไม่รู้สึกอึดอัดบ้างรึไงนะ

“ ห้องรกหน่อยนะ พวกนี้กูต้องเอาไปทำงานคณะอ่ะ ” สงสัยว่าน้องเห็นผมมองอย่างสงสัยก็เลยตอบให้

“ อ๋อ เออนี่ของฝากที่กูไปค่ายมา ” ผมวางถุงขนมไว้บนโต๊ะใกล้ๆก่อนจะหันไปยิ้มให้ตามสเต็ป

“ เยอะขนาดนั้นกะให้กูแดกจนอ้วนตายเลยรึไง ” ปากเล็กนั่นบ่น แต่สายตาดูตื่นเต้นกับขนมที่ซื้อมามาก ชอบล่ะซี้ ทำเป็นปากไม่ตรงกับใจไปได้

“ ถึงมึงอ้วนกูก็ชอบนะ ” ง่อวววววววว จัดไปหนึ่งดอก สังเกตได้ถึงแก้มใสที่ขึ้นสีอีกรอบ

ผมชอบเวลาที่ขนมไม่ใส่แว่นและก็ไม่มีผมลงมาปรกหน้านะ เพราะมันทำให้เห็นหน้าได้ชัด แถมหน้าน้องยังแสดงสีหน้าออกมาได้ชัดเจนว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรยังไง แต่ว่าถ้าให้มีหน้าหวานๆแบบนี้ไปมอคงไม่ไหว คนจะต้องมารุมล้อมน้องเยอะมากแน่ๆ

ใส่แว่นเป็นไอ้เฉิ่มต่อไปน่ะดีละ

“ มึงนี่มัน....มีอะไรอีกรึเปล่า ”

“ กูขอโทษนะที่หายไปไม่ได้บอก กูไปค่ายอบรมของคณะมาน่ะแล้วก็โดนยึดโทรศัพท์ก็เลยติดต่อมึงไม่ได้ แล้วกูก็บ้าที่ลืมบอกมึงไว้ก่อนกูจะไปด้วย ” ผมร่ายเหตุผลในการหายไปให้คนตัวเล็กฟัง

“ ไม่เห็นต้องบอกกูเลย ”

“ ต้องบอกดิ่ กูกลัวว่ามึงจะคิดว่ากูไม่ได้จริงจังอย่างที่กูพูด เพราะมาบอกจะจีบแต่เสือกหายไป ”

คนตรงหน้าเผยยิ้มเล็กน้อยให้เห็นแวบนึง แวบนึงจริงๆก่อนจะกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม เออก็ยังดีที่ยิ้มให้ได้เห็น แต่มันจะดีกว่านี้อ่ะนะถ้ายิ้มนานกว่านี้

“ กูรู้แล้ว ไอ้หมีมันบอก มีอะไรอีกไหมกูจะแต่งนิยาย ”

“ มึงแต่งนิยายด้วยหรอ ”

“ เออ ”

ผมเหลือบมองไปเห็นโน้ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้อยู่ ไม่น่าเชื่อว่าขนมจะแต่งนิยายด้วย เป็นนิยายแนวไหนกันนะ ใจอยากจะถามต่อแต่มองสายตาคนตรงหน้านี่ ผมเก็บไว้ถามวันหลังจะดีกว่า

“ งั้นกูไม่กวนละ ” ผมฉีกยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะหมุนตัวเพื่อที่จะเดินออกจากห้องน้อง

“ เดี๋ยว ” หืม...

ผมหันกลับไปมองตามเสียงช้าๆ " อะไรหรอครับ "

“ ขอบใจสำหรับขนมนะ ” คนพูดแก้มแดงนิดๆ น่ารักว่ะ ทำไมขนมถึงน่ารักได้ขนาดนี้วะ

อยากเอากลับบ้านจริงๆเลย

“ ครับผม....ตั้งใจแต่งนิยายนะ ” ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้องทันที

น่ารักเป็นบ้า ผมเจอคนน่ารักๆมาเยอะแต่ไม่รู้ทำไมขนมถึงดูพิเศษขึ้นมาจากคนอื่น แค่นึกถึงหน้าใสใสกับท่าทางของน้องมันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้แล้ว แถมเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมใจสั่นได้ขนาดนี้ซึ่งมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

ขนมเป็นคนแรกเลย

เป็นอย่างที่ไอ้หอมมันว่า....ผมอาการหนักมากจริงๆแหละ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ไอ้ขุนมันกลับออกไปแล้ว

เหลือเพียงแต่ผมที่รู้สึกแก้มร้อนแปลกๆ

ผมมองขนมที่ไอ้ขุนมันซื้อมาให้ แม่งโคตรเยอะ กี่ชาติจะกินหมดเนี่ย นึกถึงตอนมันอธิบายให้ผมฟังว่ามันหายไปไหนมาก็รู้สึกดีแปลกๆนะ เหมือนมันใส่ใจกับผมแล้วก็จริงจังกับผมจริงๆ

แต่ว่านะมันก็อาจจะเป็นแค่ช่วงแรกๆก็ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาอีกวะ

ผมลุกไปเปิดประตูห้องก็พบกับไอ้หมีกับไอ้ปั้นยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับถุงขนมเต็มมือ

“ ถอยไปสิวะ ” ไอ้ปั้นมันผลักหัวผมให้พ้นทางก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทันที ไอ้ห่านี่ห้องกูนะมึงไม่เกรงใจบ้างรึไงไอ้บ้า

“ มึงรุนแรงจังวะปั้น เดี๋ยวไอ้หนมมันคอหัก ป่ะหนมเข้าห้อง ” ไอ้หมีมันล็อคคอผมก่อนจะลากเข้าห้อง

คอกูจะหักเพราะมึงเนี่ยะไอ้ห่าหมี

“ แค่กก....ไอ้พวกบ้า ” ผมมองพวกมันตาค้อน แต่ไอ้ปั้นกับไอ้หมีก็ไม่ได้สนใจโดยเฉพาะไอ้หมีที่หันไปคุ้ยถุงขนมที่ไอ้ขุนเพิ่งเอามาให้ผม

“ ขนมเยอะเลยว่ะ ใครให้มึงมาวะ ” มีเรื่องอะไรที่มึงไม่อยากรู้ไหมหมี

“ ไอ้หนมมันจะมีใครนอกจากเด็กวิศวะ ”

“ รู้ดีนักนะมึงน่ะ ” ผมหยิบหมอนปาใส่ไอ้ปั้นก่อนจะนั่งลงบนเตียงอย่างเคืองๆ

“ รู้สิ....กูเป็นเพื่อนมึงนะ ” ท่านประธานมันว่าแล้วมันก็ยกยิ้ม น่าหมั่นไส้จริงๆเลยไอ้พวกหน้าหล่อที่แค่กระตุกมุมปากก็ดูดีเนี่ย

“ เออปั้นมึงบอกไอ้หนมดิ่ว่าหน้าที่มันคืออะไร ”

“ อ๋อเออ หนม กูจะให้มึงเป็นคนถ่ายรูปประกอบของนิตยสารมหาลัย ”

“ อ่าแล้วไง....ทีมกูมีใครบ้าง ”

“ มึง ไอ้หมี ไอ้เผือก ” ผมหันมองไอ้หมีทันทีเพราะสกิลการถ่ายรูปมันห่วยแตกมาก ทำไมไอ้ปั้นถึงให้มันมาอยู่ทีมผมวะ เออแต่ก็ยังดีที่มีไอ้เผือก เรื่องการถ่ายรูปเนี่ยไอ้เผือกถือว่าพึ่งพาได้เลยทีเดียว

“ เออแล้วกูต้องถ่ายอะไรบ้าง ”

“ ก็ในเล่มมันจะมีบทสัมภาษณ์ของดาวเดือนปีที่แล้วของแต่ละคณะ มึงก็ต้องไปถ่ายรูปมา ให้โพสต์ท่าดีดีไรเงี้ยะ แล้วก็....” ไอ้ปั้นมันอธิบายให้ผมฟังไปเรื่อยๆ

เท่าที่ผมฟังจากที่ไอ้ปั้นมันพูดการถ่ายภาพที่สำคัญสุดคือถ่ายภาพดาวเดือน โดยที่ผมต้องไปติดต่อดาวเดือนของแต่ละคณะ เรื่องนี้ควรให้ไอ้หมีทำเพราะมันน่าจะรู้จักแม่งทุกคน

พูดถึงดาวเดือนนึกถึงใครวะ

“ มึงตื่นเต้นไหมหนม ” ไอ้หมีมันถามผมพร้อมกับยิ้มกริ่ม แม่งยิ้มแบบนี้อีกละ

“ ตื่นเต้นทำไมวะ ”

“ ก็มึงจะได้ถ่ายรูปดาวเดือนเลยนะ ”

“ แล้วไงวะ ก็แค่ถ่ายรูปดาวเดือน ” ไม่เห็นจะรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด

“ เอ้า มึงจะได้ถ่ายรูปพี่ขุนเลยนะ ไม่รู้สึกไรเลยหรอวะ ” ผมกระพริบตาปริบๆให้ไอ้หมี

ถึงว่านึกถึงใครเวลาพูดถึงดาวเดือน

ไอ้ขุนนี่เอง

“ กูจะไปรู้สึกทำไมวะ ” ผมบอกปัดมัน

“ คนไม่รู้สึกเค้าไม่แก้มแดงเวลาพูดหรอกว่ะ ” ไอ้ปั้นมันดึงแก้มผม โอ้ยยยมันเจ็บนะไอ้สัส

 “ งื้ออ.อ.อ....กูเจ็บนะปล่อยได้แล้ว ” ผมจับมือไอ้ปั้นออกก่อนจะกุมแก้มตัวเอง ตั้งแต่ที่ไอ้ขุนเข้ามาในชีวิตเนี่ยแก้มผมแดงเป็นว่าเล่นเลย

สำคัญคือแดงแบบไม่รู้ตัวเองด้วย

“ มึงน่ารักเนอะหนม ไม่แปลกเลยที่พี่ขุนจะชอบมึง ” ไอ้หมีมันเท้าคางมองผมยิ้มๆ

“ น่ารักบ้าไรล่ะ พวกมึงมันเพ้อเจ้อ ” ผมเดินมานั่งลงที่เดิมเพื่อที่จะแต่งนิยายต่อ ไม่ไหวแล้วไม่รู้จะสู้กับสายตาและคำพูดพวกมันยังไงดี

คิดไปคิดมาพอได้รู้จักกับไอ้ขุน ผมก็มีเหตุที่มีมันเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตบ่อยเหมือนกันว่ะ เดี๋ยวก็ต้องไปถ่ายรูปมันอีกอะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น แล้วดูท่าผมจะต้องเจอมันอีกนาน

ไอ้บ้าขุน


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 6 : 6/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-11-2017 19:19:09
---------- ต่อจากบทที่ 6 ----------


มหาลัย P

“ ทำไมกูต้องมากับมึงวะหมี ”

“ มึงจะให้กูเดินมาเปล่าเปลี่ยวเอการึไงไอ้หนม แอคทีฟหน่อยสิมึงอ่ะนี่เรามาทำงานนะ ”

แอคทีฟห่าไรล่ะ

กูง่วง

ผมมองไอ้หมีอย่างหัวเสียสุดๆ อาจเพราะเพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เมื่อคืนผมแต่งนิยายเพลินไปหน่อยแต่ด้วยความที่วันนี้มันเป็นวันหยุดไงก็เลยกะว่าจะนอนแบบยาวๆ แต่ไอ้ห่าหมีมันคึกอะไรของแม่งไม่รู้ปลุกผมตั้งแต่หกโมงก่อนจะลากมามหาลัยด้วยเหตุผลที่ว่ามาติดต่อดาวเดือนคณะ

มึงจะติดต่อเช้าไปไหน

“ วันนี้เราต้องไป 6 คณะเลยนะหนม มึงอย่าทำท่าเหมือนมึงจะตายสิวะ ” ก็กูกำลังจะตายอ่ะหมี มึงไม่เข้าใจกูหรอก

ตอนนี้ผมกับไอ้หมีมาอยู่ตึกของคณะสถาปัตย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคณะที่ตึกอยู่ห่างไกลจากคณะผม โซนแถวนี้นี่รวมคณะงานดีไว้ทั้งนั้นครับ สถาปัตย์ วิศวะ เกษตร แพทย์ ศิลปกรรม และวิทยาศาสตร์ ไอ้หมีมันเลยจะมาติดต่อ 6 คณะนี้ก่อน ขอบอกว่าไอ้หมีมันดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้มาก ตอนแรกผมนึกว่ามันจะไปที่ตึกวิศวะก่อนแต่ไอ้หมีมันบอกว่าไอ้ขันยังไม่มาเรียน ไว้ไอ้ขันมามันค่อยไปติดต่อ

ดูเหตุผลแม่งดิ่

“ แล้วมึงรู้จักดาวเดือนของสถาปัตย์ด้วยหรอวะ ”

“ กูรู้จักดาวเดือนของทุกคณะ ” มันว่าแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ มันน่าภูมิใจขนาดนั้นเลยหรอวะหมี บางทีผมก็สงสัยนะว่าไอ้หมีมันเอาเวลาตรงไหนไปรู้จักคนได้มากมายขนาดนี้ คือน้อยคนมากที่พูดชื่อไปแล้วไอ้หมีมันจะไม่รู้จัก แต่ก็อาจจะเป็นข้อดีของมัน เวลาติดต่อจะทำงานจะได้สะดวก

“ แล้วดาวเดือนของสถาปัตย์คือใคร ” ผมถามไอ้หมีที่กำลังกวาดสายไปรอบลานดิน มันไม่ได้เป็นดินนะครับมันแค่ชื่อดินเฉยๆ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเรียกชื่อลานกิจกรรมของแต่ละคณะต่างกันไป

อย่างคณะของผมจะเรียกกันว่าลานบลู บลูมันคือสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีประจำคณะผม ตรรกะในการตั้งชื่อลานมันก็มาจากลักษณะเด่นของแต่ละคณะ อย่างวิศวะนั่นก็ลานเกียร์ ผมรู้แค่สามคณะนี่แหละ ชื่อลานของคณะอื่นๆผมไม่รู้นะว่ามันเรียกว่าอะไรบ้าง ใครมันจะไปบ้าจำได้ทุกคณะวะ

เออแต่อาจจะมีก็ได้นะอย่างไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆผมนี่ไง

“ เดือนคือพี่เกียร์ ดาวคือพี่มินนี่ ”

“ คนชื่อเกียร์นี่คุ้นๆ ” เหมือนเคยได้ยินที่ไหนวะ

“ ก็ที่กูเคยเล่า....พี่เกียร์!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” ห่าหมีหูกูจะแตก มึงแดกนกหวีดเข้าไปรึไงวะ

ผมมองไอ้หมีที่วิ่งหน้าตั้งไปหาผู้ชายคนนึงที่มันเรียกเขาว่าพี่เกียร์นั่นแหละ ผมเดินตามมันมาก็เห็นหน้าพี่เกียร์ของไอ้หมีชัดๆ พี่แม่งโคตรหล่อ หล่อแบบเซอร์ๆ มันก็ปกติของเด็กสถาปัตย์ล่ะนะครับ แต่พี่แม่งดูมีเสน่ห์มากเลยว่ะ ตาคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ผิวแทน แถมยังสูงชิบหาย พี่แม่งคือสเป็คผู้หญิงไทยจริงๆ

“ มึงเองหรอหมี มาแรดอะไรที่คณะกูล่ะ ” คำทักทายจากปากพี่มันที่ทักไอ้หมีนี่รุนแรงว่ะ แต่ไอ้บ้าหมีมันก็ยิ้มแฉ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่พี่เขาพูดสักนิด

“ ก็มาหาพี่แหละ เดี๋ยวค่อยไปแรดที่วิศวะต่อ ” อาการดี๊ด๊าของมึงนี่น่าถีบจริงๆอ่ะหมี ถ้าไอ้เป้มาด้วยนี่ไอ้หมีมันคงไปกองกับกับพื้นแล้วอ่ะ

“ มาหากูทำไม แล้วนี่เพื่อนหรอ ” พี่มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองงี้หมายความว่าไงวะพี่

“ ใช่พี่ มันชื่อขนม เป็นเพื่อนหมีเอง ”

“ สวัสดีครับ ” ผมกำลังจะยกมือไหว้ แต่มือหนาของพี่เกียร์ยื่นมาฉกแว่นตาออกไปจากหน้าผมก่อน

เห้ยยยยย จะเอาแว่นกูไปทำไมวะพี่เอ้ยยย

“ นั่นไง กูว่าแล้วว่าแม่งต้องน่ารัก ” สายตาคมไล่มองหน้าผมอย่างพิจารณา มองไม่พอพี่มันเอามือเสยผมที่ปรกหน้าผมขึ้นไปไว้ด้านบนด้วย เดี๋ยวนะ มึงจะมากไปแล้วไอ้พี่เกียร์

“ อะไรของพี่เนี่ย ” ผมปัดมือพี่มันออกก่อนจะแย่งแว่นคืนมาใส่ไว้เหมือนเดิม แสบตาชิบ ขนาดถอดออกแค่แปปเดียว

“ มึงไม่น่าเอาไอ้แว่นเห่ยๆมาปิดความน่ารักของตัวเองไว้เลยนะ กูเห็นกูยังเสียดาย ” พี่มันมองผมไม่วางตา ไอ้พี่นี่แม่งน่ากลัวว่ะ จะแดกหัวกูป้ะเนี่ย

“ แหนะ ชอบไอ้หนมหรอพี่เกียร์ ” ไอ้หมีมันหรี่ตามอง มึงพูดบ้าอะไรของมึงเนี่ยหมี พูดหาเรื่องวุ่นวายใส่ชีวิตกูอีก

“ ก็นะ มันก็น่ารักดี ” ไอ้พี่เกียร์มันยกยิ้มมุมปากนิดๆ

ผมมองพี่มันอย่างหวั่นๆ ทำไมพักหลังมานี้ดูจะมีผู้ชายสนอกสนใจไอ้เฉิ่มแบบผมนักวะ เพราะเห็นผมเป็นของแปลกหรอหรือยังไง ไอ้ขุนก็คนนึงละ ต่อมาจะมีไอ้พี่นี่อีกคนหรอ ไม่เอานะเว้ย

“ หมีว่าพี่ต้องตัดใจแล้วล่ะ เพราะว่าพี่ขุนจีบไอ้หนมอยู่ ” มึงจะบอกทำไมไอ้หมี แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้ขุนจีบกู กูยังไม่ได้บอกใครเรื่องนี้นะเว้ย

“ อ่าว ว้า เสียดาย เห้ยแต่ไม่เป็นไร กูชอบแย่งของชาวบ้านอยู่แล้ว ” ไอ้เชี่ยยยยย ไอ้พี่ห่านี่แม่งโคตรน่ากลัว

“ พี่เกียร์อย่าไปแกล้งไอ้หนมมันดิ่ มันกลัวตัวสั่นแล้วเนี่ย ” ไอ้หมีมันเหลือบมองผมที่ยืนหลบอยู่ที่หลังมัน สั่นบ้าอะไรวะหมี กูไม่ได้สั่นมั้งเถอะ

“ ฮ่าๆๆ ก็น่าแกล้งนี่หว่า ว่าแต่มึงมาหากูทำไม ”

“ ก็มหาลัยมันจะมีนิตยสารโปรโมทมหาลัยน่ะพี่ แล้วก็พี่ต้องไปถ่ายแบบลงอ่ะ พี่มินนี่ด้วยนะ ”

“ แล้วถ่ายวันไหน ”

“ ก็วันศุกร์นี้อ่ะพี่ เริ่ม 10 โมง มาที่ตึกคณะหมีนะ ”

“ อ๋อเออได้ เดี๋ยวกูบอกมินนี่ให้ เลิกสั่นได้แล้วไอ้น้องแว่นกูหยอกเล่น กูไม่แย่งมึงมาจากไอ้ขุนหรอกหน่า ” พี่มันหัวเราะเมื่อเห็นผมมองมันอย่างระแวง

“ แย่งอะไร ผมกับไอ้ขุนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ” ผมเถียงอุบอิบ ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆนี่ ถึงแม้ว่าแม่งบอกว่าจะจีบผมก็เถอะ

แต่มันก็อาจจะจีบผมไม่ติดก็ได้

“ เดี๋ยวก็เป็น ” พี่มันว่าแล้วยิ้มหวาน เบื่อไอ้พวกหน้าหล่อแล้วยิ้มโลกละลายจริงๆเลย เห็นพี่เกียร์ยิ้มก็นึกถึงเวลาไอ้ขุนยิ้มเหมือนกัน สองคนนี้คล้ายกันนะจะต่างกันก็ตรง....

เวลาไอ้ขุนยิ้มผมมักจะใจสั่น

“ พี่ไม่ใช่ผมพี่จะมารู้ได้ไง ”

“ เพราะกูเป็นเพื่อนรักไอ้ขุนไง กูรู้ว่าถ้ามันจะเอามันก็ต้องได้ มึงก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ซะล่ะไอ้น้องแว่น กูไปเรียนละ ไว้เจอกัน ” พี่มันบอกก่อนจะเดินเข้าไปใต้ตึก ทิ้งผมให้ง้องแง้งอยู่กับไอ้หมีสองคน

“ พี่เกียร์เค้าเท่เนอะ ” ผมหันมองไอ้หมีที่มองพี่มันตาปริบๆ

“ แล้วไอ้ขันอ่ะ ”

“ พี่ขันอ่ะคือที่หนึ่ง ไม่มีใครเทียบพี่ขันได้อีกแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ”

“ เออ เรื่องเชี่ยๆก็ที่หนึ่งเลยแหละ ” ผมแหย่ไอ้หมีมัน หมั่นไส้จริงๆติ่งไอ้ขันเนี่ย

“ มึงอย่ามาว่าพี่ขันสิ เดี่ยวกูทุบเลย ” ไม่ว่าเปล่า มันทำเป็นง้างมือเหมือนจะทุบผม ไอ้หมีมันไม่กล้าทำหรอกครับเพราะมันกลัวไอ้เป้จะกระทืบให้

“ ไอ้ปัญญาอ่อน เสร็จของสถาปัตย์ก็ไปวิศวะต่อสิวะ ”

“ ฮันแหนะ อยากไปหาใครที่วิศวะรึเปล่า ” ไอ้หมีมันจ้องผมอย่างจับผิด

“ กูจะรีบกลับไปนอน กูง่วง มึงนั่นแหละไม่อยากรีบไปส่องไอ้ขันรึไง ”

“ อยากมาก งั้นไปเถอะหนม ” แม่งลากผมเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์มันอย่างไว ทีเรื่องไอ้ขันนี่ไวเชียวนะมึง





ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์

“ มึงสอดส่องสายตาหาพี่ขุนเร็ว ”

“ มึงสอดส่องไปสิวะ ”

“ ไม่ได้ เพราะสายตากูสอดส่องพี่ขัน ” ไอ้หมีไอ้เด็กแรด

ผมยกมือปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า เพิ่งจะเก้าโมงเองทำไมอากาศมันร้อนแบบนี้วะเนี่ย โคตรเบื่ออากาศประเทศไทยเลย ผมมองเด็กวิศวะที่เดินกันเป็นหย่อมๆ เอาจริงๆผมคิดว่าเสื้อช้อปมันร้อนนะเวลาใส่น่ะเพราะว่ามันหนา มันดูเท่แหละแต่ยังไงมันก็ร้อน ถ้าเทียบกับเสื้อแจ็คของผมถึงจะเป็นแขนยาวแต่ก็ยังเย็นกว่า

“ มึงมีเบอร์พี่ขุนไม่ใช่หรอไอ้หนม ” เออว่ะ ผมมีเบอร์ไอ้ขุนนี่หว่า

แต่ก่อนที่จะโทรหาไอ้ขุนผมขอทำอะไรสักอย่างก่อน

โป๊กกกกก

“ โอ้ยยยย กูเจ็บนะไอ้หนมมึงจะโขกหัวกูทำไมเนี่ย ” ไอ้หมีมันโอดโอยทันทีที่ผมโขกหัวมัน กูไม่ให้ไอ้เป้กระทืบมึงก็แค่ไหนแล้วไอ้บ้ายังมีน้ำหน้ามาถามอีกว่าโขกทำไม

“ มึงเอาเบอร์กูไปให้ไอ้ขุนทำไมห้ะ ”

“ ก็แหม....พี่ขุนเค้าขอนี่นา ” ก็แหมพ่อง

“ มึงก็เลยให้งั้นสิ ไม่ใช่ว่าใครขอเบอร์กูมึงก็ให้หมดเลยหรอไอ้หมี ”

“ กูเปล่านะ ไอ้เฉิ่มอย่างมึงใครจะขอเบอร์บ่อยๆ ก็แค่พี่ขุนล่ะวะ ”

โป๊กกกกก

“ โอ้ยยยย โขกกูทำไมอีกเนี่ย ” ผมมองไอ้หมีที่ทรุดลงไปกองกับพื้น มึงก็เว่อร์ชิบหายโขกไปสองทีมาทำทรุด

“ มึงมันสมควรโดนแล้ว เสือกว่ากูเฉิ่ม ” ผมล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดโทรออกหาไอ้ขุน

“ ก็มึงเฉิ่มอ่ะ ”

“ มึงนี่มัน....ฮัลโหลมึงอยู่ไหน ” ผมถามไอ้ขุนที่เสียงงัวเงียแปลกๆ ตื่นยังวะเนี่ย ไม่ใช่ให้กูมาเก้อหรอกนะ

( หืม...อยู่ตึกคณะ ดีใจจังมึงโทรมาหากูด้วย )

ดีใจบ้าอะไรของมึงวะ

“ มาหากูที่ลานเกียร์หน่อยดิ่ ”

( เดี๋ยวกูรีบไป )

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ตัดสายไปแล้ว เสียงไอ้ขุนแม่งโคตรง่วงผมนึกว่าเพิ่งตื่นซะอีก จะว่าไปผมก็มีเบอร์มันทำไมผมไม่โทรบอกมันเรื่องงานวะ

เนี่ย คนเรามักจะคิดได้ในเวลาที่มันสายเกินไป

“ พี่ขุนว่าไง ” ไอ้ตัวดีมันเงยหน้าถามผม มึงยังไม่ลุกขึ้นมาอีกหรอ นั่งหามดแดกหรอไอ้สัส

“ เดี๋ยวมันมา....นั่นไง ” ผมมองไปยังไอ้หล่อที่วิ่งหน้าตั้งมาหาผม สภาพของมันวันนี้ก็ไม่ค่อยต่างจากทุกวันเท่าไหร่นอกจากรอยคล้ำๆที่ขอบตา อดนอนมาสินะ มิน่าถึงได้ดูง่วงมากขนาดนั้น

“ แฮ่ก....มาหากูมีอะไรหรอ ” มันปาดเหงื่อที่ใบหน้าขาวก่อนจะเสยผมสีเทาที่ทิ่มหน้าทิ่มตาขึ้นไปด้านบน

แหม่....จะหล่อไปไหนวะพ่อคุณนี่แค่เช็ดเหงื่อนะ

“ มึงจะเคลิ้มอีกนานไหมหนม ” ไอ้หมีมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแถมยังจ้องอย่างจับผิด

“ เอาหน้ามาใกล้ทำไมวะ ขนลุก ” ผมดันหน้าไอ้หมีออก ตกใจนะเว้ยไอ้บ้า

“ ต้องหน้าพี่ขุนสินะมึงถึงไม่ขนลุกน่ะ ”

“ พูดมากน่าไอ้หมี เออไอ้ขุน วันศุกร์นี้มึงต้องไปถ่ายรูปลงนิตยสารโปรโมทมหาลัยในฐานะเดือนวิศวะของปีก่อน เริ่ม 10 โมง ไปตึกคณะกูนะ บอกดาวคณะมึงด้วย ” ผมมองไอ้ขุนที่ทำหน้ามึน อะไรกูพูดเร็วไปหรอ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น

“ แล้วต้องใส่ชุดอะไร ”

“ ก็ชุดนักศึกษาถูกระเบียบ มึงเอาเสื้อช้อปไปด้วยก็ได้ ”

“ ทำหน้าให้หล่อๆเลยนะพี่ขุน ไอ้หนมมันเป็นคนถ่าย ”

“ ห่าหมี ” ผมหยิกเอวไอ้หมีไปทีนึง ปากนี่อยู่ไม่สุขเลยนะมึง

“ มึงเป็นคนถ่ายหรอ ”

“ เออ กูถ่ายเอง ”

“ ดีจัง อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ ” ผมมองไอ้หล่อที่ฉีกยิ้มไปจนจะถึงหูแล้ว มึงจะดีใจอะไรขนาดนั้นวะแค่กูถ่ายรูปมึงเนี่ย

“ เออหนม เดี๋ยวกูไปส่องพี่ขันที่ห้องแปปนะ แล้วก็ไปเจอกันที่ตึกต่อไปเลย โอเคนะตามนี้ ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็วิ่งไปทันที เดี๋ยวนะไอ้หมี มึงจะปล่อยกูไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้นะไอ้บ้า

เห็นไอ้ขันดีกว่ากูตลอดอ่ะไอ้เพื่อนเลว

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมาก็เจอกับหน้าหล่อๆที่พักหลังนี่เห็นโคตรบ่อย อยากลองถามมันเหมือนกันนะว่ายิ้มปากบานขนาดนี้ไม่เมื่อยปากบ้างหรอวะ กูเห็นกูยังรู้สึกเมื่อยแทนเลย

คนบ้าอะไรยิ้มเรี่ยราดชิบหาย

“ ไปเรียนได้แล้วไอ้บ้า ” ไล่ไปเรียนแม่ง ป่านนี้อาจารย์มึงด่าวายวอดแล้วมั้งโดดออกมาหากูเนี่ย

“ แล้วมึงจะไปไหนต่อ ”

“ ไปตึกเกษตรต่อ ” ผมมองหน้าหล่อๆที่เลิกคิ้วขึ้นแล้วทำหน้าบึ้ง สีหน้าประมาณว่ามึงจะไปทำห่าอะไรกันที่นั่น

“ กูไม่ให้ไป ”

“ ยุ่ง ไปเรียนได้แล้ว ” ผมหมุนตัวจะเดินหนีมันแต่มือยาวก็คว้าข้อมือของผมไว้ก่อน

อะไรของมึงวะ

“ กูไม่ให้มึงไปตึกเกษตร ” ผมหันมองไอ้คนที่ทำน้ำเสียงจริงจังใส่ น้ำเสียงจริงจังไม่พอหน้าตาแม่งจริงจังมาก

“ กูต้องไปติดต่องาน ”

“ งั้นกูไปด้วย ”

“ มึงต้องไปเรียน ” เป็นบ้าอะไรของมันวะกับอีแค่จะไปตึกเกษตรทำไมต้องมาห้ามด้วย ไม่ได้จะไปเต๊าะสาวด้วยไอ้สัสไปทำงาน

“ มึงไม่รู้รึไงว่าตึกเกษตรมันน่ากลัวมากแค่ไหน มันมีแต่ไอ้พวกถึกร่างยักษ์ที่แบกต้นไม้เดินไปมา มึงคิดดูว่าเด็กตัวน้อยๆอย่างมึงหลงเข้าไปในนั้นมึงจะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยรึไง ไม่เอาอ่ะ กูไม่ให้มึงไปเด็ดขาด ”

เอิ่ม....

บรรยายซะตึกเกษตรกลายเป็นป่ามรณะไปแล้ว

ผมมองคนตัวสูงที่ทำหน้าจริงจังสุดๆ มือมันก็จับข้อมือผมแน่น มันจะอะไรขนาดนั้นวะไอ้ขุนเอ้ย ตอนเด็กมึงอ่านนิทานมากไปป่ะเนี่ย มันก็อาจจะจริงที่ตึกเกษตรมันดูน่ากลัวเพราะมันทึบๆ ถ้ามาตอนกลางคืนก็คิดได้เลยว่าตึกนี้แม่งมีผีสิงแน่ๆ ต้นไม้ก็เยอะแต่มันก็ดีตรงที่มันจะร่มรื่นมากกว่าตึกอื่นๆ

ไอ้ขุนมันมีความทรงจำอะไรไม่ดีที่ตึกเกษตรรึเปล่าวะ

มันถึงได้ห้ามผมถึงขนาดนี้

“ ทำไมมึงถึงไม่อยากให้กูไป ”

“ ก็....ก็มันอันตรายอ่ะ กูเป็นห่วงมึง ” อย่ามาทำน้ำเสียงอ่อนๆกับคำว่าเป็นห่วงสิวะ มันใจสั่นนะโว้ยยยยยยย

ไอ้บ้านี่มันเอาอีกแล้ว

“ มันอันตรายตรงไหน ”

“ ทุกอย่างแหละ ทั้งต้นไม้ทั้งก้อนหิน บนต้นไม้นี่อาจจะมีงูอนาคอนด้ารอแดกหัวมึงอยู่ก็ได้นะ ตัวมึงยิ่งเล็กๆอยู่ สู้แรงงูรัดไม่ได้หรอก ”

อนาคอนด้าโพ่งงงง

มันจะไปมีได้ไงวะ

“ ฮ่าๆไอ้บ้า มึงคิดได้ไงเนี่ย ” ขำว่ะ ถ้ามันมีอนาคอนด้าในตึกเกษตรจริงเขาก็ต้องให้คนมาจับไปแล้วดิ่ แล้วอนาคอนด้าบ้าอะไรจะมาอยู่ในประเทศไทย มันคงร้อนตายกลายเป็นงูตากแห้งแน่ๆอ่ะ แม่งเป็นการหาข้ออ้างได้เลอะเทอะมาก

ตลกว่ะเรื่องนี้ต้องเอาไปเล่าให้ไอ้หมีฟัง

“ กูชอบรอยยิ้มของมึงนะ กูว่ามันน่ารักดี ”

ตึกตัก

ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ยิ้มบางๆ อะไรของมันวะอยู่ดีดีก็มาชม ตะกี้มันยังทำตัวเลอะเทอะอยู่เลย ไม่คิดเลยนะว่าคำพูดธรรมดาๆจะทำให้ผมใจเต้นแรงได้มากขนาดนี้

ไอ้ขุนนี่มันอันตรายจริงๆ

“ พูดบ้าอะไรของมึง ปล่อยกูได้แล้วกูจะรีบไป ส่วนมึงก็ไปเรียนสักที ”

“ กูห้ามมึงไม่ได้จริงๆสินะ ” ไม่ต้องมาทำหน้าหงอยใส่กูเลยนะ

“ กูไปทำงาน มันงานสำคัญนะ ” ไม่ใช่ว่าอยากไปสักหน่อย ที่มาก็เพราะไอ้หมีลากมา

“ เฮ้อ ”

ถอนหายใจไมวะ

“ เดือนของเกษตรมันหื่นกามมาก ถ้ามันมาแตะเนื้อต้องตัวมึงล่ะก็ บอกไปเลยว่ามึงเป็นของกู ”

เดี๋ยวนะ

“ กูไปเป็นของมึงตอนไหนวะ ” ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง

“ เออน่า เพื่อความปลอดภัยของมึง มึงคงไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับตัวเองใช่ไหมล่ะ ” มันยิ้มหวานพลางขยี้หัวผม ปกติกูไม่ให้ใครขยี้หัวกูนะมึงเป็นใครเนี่ย

“ หัวกูยุ่งหมด ”

“ ปากว่าแต่มึงก็ไม่ได้จับมือกูออกหนิ ” ก็มัน....

ก็มันรู้สึกดีนี่หว่า

“ อย่าลืมที่กูบอกนะ เรียนเสร็จเดี๋ยวกูไลน์หา ” มันลดมือลงจากหัวผมก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินไปเรียน

“ ตั้งใจเรียนนะ ” ไอ้ขุนมันชะงักก่อนจะหันหน้ามายิ้มหวานให้ผม

“ ครับผม ” แล้วมันก็เดินไป

อา....

หน้าโคตรร้อน

ใจโคตรสั่น

ผมยกมือลูบหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ แม่งบอกไม่ถูกเลยว่ะไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง ไม่เคยรู้สึกว่าแพ้ทางใครขนาดนี้เลย หรือเพราะว่าชีวิตผมไม่มีใครเข้ามาวะ ผมชอบนะที่มันรีบวิ่งมาหาผมทั้งๆที่มันก็เรียนอยู่ ผมชอบไอ้เหตุผลบ้าๆที่มันยกมาเพื่อห้ามไม่ให้ผมไปตึกเกษตร ผมชอบเวลามันยิ้มว่ะแม่งโคตรดูมีเสน่ห์

ชอบมือที่ขยี้ผมเมื่อกี้ด้วย เพราะมันโคตรอบอุ่นเลย

มาทำให้ใจกูสั่นได้ขนาดนี้ มึงนี่มันร้ายจริงๆเลยไอ้ขุน









TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังให้กันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 7 : 7/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-11-2017 20:35:10
บทที่ 7 หลง



ผมเดินเข้ามาในบริเวณของตึกเกษตร พบกับต้นไทรต้นใหญ่ก่อนเลยสามต้น ตรงนี้มันร่มรื่นมากอ่ะแถมอากาศก็ไม่ร้อนเหมือนตอนแรกด้วย ตึกเกษตรมันน่ากลัวจริงๆนะแต่ดีว่าที่มันเย็น แถมอากาศนี่ก็บริสุทธิ์อย่างกับอยู่ป่า

ผมเว่อร์ไปป้ะวะ

ช่างแม่งเถอะ

ผมนั่งรอไอ้หมีที่ม้านั่งใต้ต้นไทร ตอนนี้ประมาณสิบโมงกว่าๆแล้วครับ ผมไล่มองเหล่าเด็กเกษตรที่เดินกันให้ว่อน สภาพการแต่งกายมีตั้งแต่ดูดีดูสะอาดไปจนดูเลอะเทอะจนโสโครกเลยก็มี คือถ้ามันจะเปื้อนดินกันขนาดนั้นอ่ะนะ เปื้อนเสื้อผ้ายังไม่เท่าไหร่ บางคนเปื้อนแม่งทั้งหน้า โดนเพื่อนแกล้งหรอวะ

“ ไอ้หนม ” ผมหันมองตามเสียงก็พบกับเพื่อนรักในสภาพที่....

มึงไปตกบ่อโคลนมาหรอวะหมี

“ ทำไมมึงเลอะอย่างนี้วะ ” ตัวไอ้หมีแม่งโคตรเลอะ เลอะโคลนไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ มึงมาช้าอ่ะ กูไปติดต่อดาวเดือนมาละ โดนพี่ดรายซ์แกล้งเลยแม่ง ”

“ พี่ดรายซ์คือใครวะ ”

“ เป็นเดือนเกษตรอ่ะ กูเห็นพี่แกกำลังลงแปลงผักไง แม่งเห็นกูก็จับกูไปคลุกกับโคลนเล่น ” ไอ้หมีมันบ่นยาวเลยครับ แต่สภาพก็น่าบ่นอยู่หรอกนะ

“ ไอ้หมีมึงจะหนีไปไหนห้ะ ” ผมหันมองคนที่วิ่งแหกปากมาแต่ไกล

“ ไอ้หนมช่วยกูด้วย ” ไอ้หมีมันวิ่งมาหลบหลังผม เดี๋ยวหมีตัวมึงเลอะ หมดกันอ่ะเสื้อกูมึงนี่มันจริงๆเลย

“ ไอ้หมีมึง..... ” ร่างสูงของผู้ชายคนนึงวิ่งมาหยุดลงตรงที่หน้าผม ผมมองคนตรงหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนไม่ต่างจากไอ้หมีเท่าไหร่นัก แต่ใบหน้าหล่อๆนั่นมันเด่นทะลุโคลนออกมา นี่สินะพี่ดรายซ์ที่ไอ้หมีพูดถึง

คนที่ไอ้ขุนบอกว่าหื่นกาม

“ น้อง....เป็นเพื่อนไอ้หมีหรอ ” เสียงเรียบเอ่ยถามในขณะที่สายตาก็ไล่มองผมไม่ค่อยต่างที่พี่เกียร์มองผมสักเท่าไหร่ แต่มันดูหื่นกระหายมากกว่านิดนึง แบบแดกกูได้แดกกูไปแล้ว

ขนลุกว่ะ

“ ใช่ครับ ”

“ ชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่อดรายซ์นะครับ ปี 2 เกษตร ” พี่แม่งแนะนำตัวเองเฉยเลยว่ะ ไอ้เรื่องคณะไม่ต้องบอกก็ได้ไหม กูไม่คิดว่ามึงเรียนแพทย์หรอก

“ ชื่อขนมครับ ” ผมโคตรอยากออกไปจากที่นี่เร็วๆแล้วว่ะ สายตาพี่แม่งโคตรน่ากลัว น่ากลัวกว่าพี่เกียร์อีก

“ ชื่อน่ารักจัง มีแฟนยัง พี่โสดนะ ”

เอ่อ.....

กูยังไม่ได้ถามเลย

ผมมองพี่ดรายซ์นิ่งๆ ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี ไอ้หมีนี่ก็เงียบเชียว ใจคอมึงไม่คิดจะช่วยกูเลยรึไงวะ กูกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่แท้ๆ

“ พี่ดรายซ์ม่อเพื่อนหมีทำไม ” ไอ้ตัวดีมันพูดอยู่ข้างหลังผม คือจะช่วยกูแต่ก็เอากูเป็นโล่งี้

“ เงียบไปเลยไอ้หมี....ว่าไงครับคนดี มีแฟนรึยังเอ่ย ”

คนดีก็มาว่ะ

“ เอ่อ.......” ผมดึงชายเสื้อไอ้หมีหวังว่าจะให้มันช่วยตอบให้ ทีตอนพี่เกียร์มึงยังช่วยกูบอกเลยนะไอ้บ้าหมีทีนี้มึงจะมาเงียบทำโพ่งงง

“ ไม่ตอบแบบนี้แปลว่า.....”

“ มีแล้วครับ ” ผมมองหน้าพี่ดรายซ์ที่หุบยิ้มทันทีที่ผมพูดจบ ทำไมรู้สึกว่ามันมีรังสีแปลกๆแผ่ออกมาจากตัวพี่มันวะ

“ ใครหรอครับ ” ไม่ต้องทำเสียงเย็นขนาดนั้นก็ได้ป้ะวะ

“ พี่ดรายซ์โคตรน่ากลัวอ่ะมึง ” กูรู้แล้วไอ้ห่าไม่ต้องมากระซิบ

“ บอกพี่ได้ไหมครับ ” พี่มันว่าก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น คือมึงไม่ต้องยิ้มก็ได้นะพี่ กูกลัวมึงมากอ่ะตอนนี้

“ ก็.....”

“ ก็อะไรครับ ”

“ อะ...ไอ้ขุน ”

“ ห้ะ!!!!!!!!!! ” ผมสะดุ้งกับคำว่าห้ะของพี่มัน สีหน้าเย็นๆตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นผวาสุดๆ เหมือนกลัวอะไรสักอย่าง

พี่มันกลัวไอ้ขุนหรอวะ

“ ใช่พี่ดรายซ์ ไอ้หนมมันเป็นแฟนพี่ขุน ” ไอ้หมีมันยืนยันคำตอบของผมให้ฟังอีกครั้ง คราวนี้หน้าพี่แม่งผวาหนักเลย เป็นอะไรของมันวะ

“ เอ่องั้น....เดี๋ยวพี่ไปเอาผักกาดลงแปลงก่อน ลืมเลย พี่ไปก่อนนะ ” ว่าแล้วพี่แม่งก็วิ่งเข้าไปในตัวตึกทันที ทิ้งผมให้ยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อะไรของแม่งวะ

“ แหนะไอ้หนม มึงเป็นแฟนพี่ขุนแล้วหรอ ” ไอ้หมีมันจับตัวผมให้หันหน้าหามัน มือก็เลอะโคลนจับเสื้อกูไม่พอยังจะมาจับโดนตัวกูอีก

“ เปล่า ”

“ แต่มึงพูดกับพี่ดรายซ์เองนะว่าพี่ขุนเป็นแฟนมึง ”

“ ก็ไอ้ขุนมันบอกให้กูพูดแบบนั้น มันบอกกูว่าเดือนของเกษตรหื่นมากอ่ะถ้ากูอยากรอดไปได้ก็ให้บอกว่ากูเป็นของมัน ”

จากที่ผมดูสายตาพี่ดรายซ์แม่งก็คงหื่นจริงแบบที่ไอ้ขุนพูดนั่นแหละ หน้าพี่มันหล่อนะยอมรับเลยว่าตอนที่มันส่งสายตาเหี้ยมๆมาให้ผมรู้สึกกลัวมันจริงๆ แต่แม่งพีคตรงที่ผมบอกมันว่าผมเป็นแฟนไอ้ขุนแล้วมันทำหน้าผวา โคตรขัดกับหน้าหล่อๆของมันในตอนแรกมากอ่ะ

พี่ดรายซ์กลัวไอ้ขุนขนาดนั้นเลยหรอ

“ อ๋องี้เอง กูก็นึกว่าคบกันซะแล้ว ”

“ มึงจะบ้ารึไง กูจะคบกับมันทำไม เออว่าแต่มึงรู้ไหมทำไมพี่ดรายซ์มันถึงทำหน้าผวาขนาดนั้นอ่ะ ” ผมคิดว่าเรื่องนี้ไอ้หมีอาจจะรู้ก็ได้ ก็ไอ้หมีแม่งรู้ทุกเรื่องอ่ะ

“ พี่ดรายซ์เคยโดนพี่ขุนเอาตุ๊กแกใส่เสื้อน่ะ วันนั้นกูก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย คือเรื่องมันเกิดมาจากพี่ดรายซ์มันไปจีบเพื่อนพี่ขุน พี่แกงนั่นแหละที่หัวแดงๆอ่ะมึงจำได้ป้ะ ”

หูยยยยยพี่ดรายซ์แม่งจีบพี่แกง

พี่แกงแม่งโคตรหล่อเลยนะ สูงก็สูงอาจจะไม่เท่าไอ้ขุนแต่เวลาผมเจอพี่เขาผมก็ต้องเงยหน้าคุยอ่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่ดรายซ์จะชอบแนวหล่อๆ

เอ๊ะ หรือว่าพี่มันได้ทุกแนววะ

“ เออกูจำได้ แล้วไงต่อ ”

“ พี่แกงไม่ได้ชอบพี่ดรายซ์ไงออกจะรำคาญด้วยพี่ขุนก็เลยจัดการพี่ดรายซ์ซะ ตุ๊กแกสามตัวอ่ะมึงกูไม่รู้ว่าพี่ขุนแม่งไปจับมาจากไหนแต่ตัวใหญ่ชิบหาย แล้วจับใส่เสื้อพี่ดรายซ์ทั้งหมดสามตัวอ่ะ พี่ดรายซ์นี่ช็อคจนสลบเพราะมันกลัวตุ๊กแกมาก ไม่มาเรียนเป็นอาทิตย์เลยมึง หลังจากนั้นพี่ดรายซ์ก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกพี่ขุนอีก ”

“ ทำไมพี่แกงถึงไม่ชอบพี่ดรายซ์วะ มันไม่ดีอ๋อ ” ถึงมันจะดูหื่นกามแต่มันก็อาจจะไม่ได้แย่ก็ได้มั้ง

“ พี่ดรายซ์มันก็ดี มันดูหน้าม่อก็จริงแต่ถ้ามันมีแฟนมันก็คงรักแฟนแหละ พี่ดรายซ์มันไม่ได้แย่หรอกแต่เพราะพี่แกงมีแฟนแล้ว ” ผมมองมือไอ้หมีที่มันเอามาปาดกางเกงผม มึงจะเช็ดกูแบบโจ่งแจ้งเกินไปละไอ้สัส

“ มันเลอะไอ้เชี่ยหมี เออว่าแต่แฟนพี่แกงคือใครวะ ”

“ ทำไมวันนี้มึงถามกูเยอะจัง ” ไอ้หมีมันมองผมตาแป๋ว กูอยากรู้กูก็ถามไงมันแปลกตรงไหนวะ

“ เออน่า กูถามมึงก็แค่ตอบ ”

“ แฟนพี่แกงก็พี่เกียร์ไง ”

“ หรอวะ ” ไอ้พี่เกียร์นี่เองหรอ ดูๆไปก็ดูไม่ค่อยไกลตัวเท่าไหร่นะ พี่เกียร์มันบอกว่ามันเป็นเพื่อนรักไอ้ขุน พี่แกงก็เป็นเพื่อนไอ้ขุน พี่เกียร์กับพี่แกงเป็นแฟนกัน

เดี๋ยวๆ คิดเองเริ่มงงเอง

เออช่างแม่งจะอะไรก็ช่างแม่ง

“ เลิกทำหน้างงได้แล้ว กูว่าอีกสามคณะคงต้องเอาไว้ก่อน ไม่ดิ่เดี๋ยวกูให้ไอ้ปั้นมันมาติดต่อแทน ”

“ ไอ้ปั้นมันจะมาหรอ ” ไอ้ห่าปั้นมันไม่ยอมออกไปไหนแน่ๆเพราะวันนี้เป็นวันหยุด

“ มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้ปั้นมันตามจีบเด็กศิลปกรรมอยู่ ”

“ มึงรู้ได้ไง ”

“ กูรู้ละกัน เออเรื่องที่พี่แกงกับพี่เกียร์คบกันมึงไม่ต้องบอกใครนะ พี่เค้าไม่ค่อยอยากให้ใครรู้มาก ”

“ เออกูไม่บอกใครหรอก ” มันไม่ใช่เรื่องของผมด้วยแหละที่จริง ผมแค่อยากรู้ พอรู้ก็จบอยู่แค่นั้นไม่มีการเผยแพร่ต่อใดใดทั้งนั้น

“ งั้นกลับหอกันเถอะว่ะ กูอยากอาบน้ำละ โคลนซึมไปยังกางเกงในกูแล้วมั้งเนี่ย ” มึงนี่มันทุเรศจริงๆไอ้ห่าหมี

ผมเห็นด้วยกับไอ้หมีอย่างมากเรื่องกลับหอเนี่ย ตอนแรกผมก็ว่าผมตัวสะอาดไม่ได้ไปบุกน้ำลุยโคลนมา แต่ตอนนี้แขนกับเสื้อกับกางเกงผมเลอะโคลนที่ไอ้หมีเอามาป้ายเต็มไปหมด ดีนะว่าเป็นชุดไปรเวทถ้าเป็นชุดนักศึกษาไอ้หมีคงได้ตายคาตีนผมก่อนที่จะได้กลับหอแน่ๆ





ครืดดดดด....ด.....

อื้อออออ...อ....ใครโทรมาวะ

ครืดดดดด..ด.ด......

กูจะนอน

ครืดดดดด..ด.....

“ ฮัลโหล ” ผมกดรับโทรศัพท์ทั้งๆที่ตายังหลับอยู่ ใครแม่งบังอาจมารบกวนเวลานอนกูวะ ด่าแม่งยันโคตรดีไหมเนี่ย

( หืม....หลับอยู่หรอ ตื่นได้แล้วนะนี่หกโมงเย็นแล้ว )

เสียงแบบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร ไอ้บ้าขุนนั่นเอง ไหนบอกจะไลน์มาไงทำไมกลายเป็นโทรหากูได้วะ

“ กูจะนอนกูง่วง ”

( เดี๋ยวกลางคืนก็นอนไม่ได้หรอก นี่กูเพิ่งเรียนเสร็จว่าจะชวนมึงไปหาอะไรที่ตลาดนัดกลางคืน )

คำว่าตลาดนัดกลางคืนทำให้ตาผมสว่างขึ้นทันที นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ไปเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาชีวิตไม่ค่อยจะว่าง ผมชอบเดินตลาดนะเพราะของกินเยอะแถมพวกของใช้ก็ราคาถูก

พูดถึงของกินนี่หิวขึ้นมาทันทีเลยว่ะ

หลังจากเมื่อเช้าที่ผมกับไอ้หมีกลับมาจากมหาลัยผมก็อาบน้ำแล้วก็หลับทันที วันทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย มันก็ไม่แปลกล่ะนะที่รู้สึกหิว จะว่าไปผมนี่นอนโคตรนาน ไอ้หมีมันก็คงจะกลับหอมันไปแล้วเพราะตื่นมาผมก็เห็นแค่ผมอยู่คนเดียวในห้อง

( ว่าไง ไปไหมเดี๋ยวกูเข้าไปรับที่หอ )

“ เออไปก็ได้ กูหิวอยู่เหมือนกัน ”

( โอเค ไปล้างหน้าแต่งตัวแล้วลงมารอหน้าหอเลยก็ได้ )

“ เออแค่นี้แหละ ” ผมกดวางสายก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ช่วงนี้ทำไมหน้ามันใสผิดปกติวะ จะว่าพักผ่อนเพียงพอก็ไม่ใช่ แดดก็ตากออกจะบ่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ หน้าใสก็ดีกว่าหน้าหมองๆล่ะนะ

“ ใส่ชุดนี้ก็ได้มั้ง ” ผมมองตัวเองในกระจกที่ใส่เสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นเล็กน้อย ไปแค่ตลาดไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก กลับมาจะได้นอนต่อได้เลย

ผมหยิบกระเป๋าผ้ามาใส่โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ก่อนจะเดินลงมานั่งรอไอ้ขุนอยู่ที่ด้านล่างของหอ ตอนนี้ก็หกโมงเย็นนิดๆ เด็กหอก็พากันกลับมาจากเรียนบ้าง พากันออกไปหาอะไรกินกันบ้าง ขนาดหกโมงแล้วท้องฟ้ายังดูสว่างอยู่เลยแต่ก็ยังดีที่ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่

“ รอนานไหม ” ผมหันตามเสียงของคนที่ถาม ไอ้ขุนมันยังอยู่ในเสื้อช้อปเหมือนเดิม หัวที่ฟูหน่อยๆนั่นอาจจะบ่งบอกได้ว่าแม่งซิ่งมอเตอร์ไซค์จากมอเพื่อรีบมารับผม

“ ไม่นาน ”

“ งั้นไปกันเถอะ กูหิวมากอ่ะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง ” กูไม่ก็ไม่ต่างจากมึงหรอก

ไอ้ขุนมันเดินนำผมมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของมัน ไอ้วันที่มันไปเจอผมอยู่ข้างทางผมรีบมากจนไม่ได้สังเกตว่ารถของมันเป็นสีเหลือง เอาจริงๆตั้งแต่ที่ผมได้เจอและก็รู้จักกับมัน ของที่มันใช้ส่วนมากก็จะเป็นสีเหลือง

มันชอบสีเดียวกับผมหรอวะ

“ ขึ้นมาน้องหนม เดี๋ยวพี่ขุนพาแว้นนะ ”

“ แว้นบ้าอะไรของมึง ” ผมขึ้นซ้อนท้ายมันก่อนจะจับชายเสื้อช้อปมันไว้เหมือนที่เคยทำ

“ จับดีดีล่ะ ” ว่าแล้วมันก็ออกรถเพื่อมุ่งหน้าพาผมไปตลาด

ระหว่างการเดินทางไม่มีใครพูดอะไรออกมานะครับ มีแต่ไอ้บ้าขุนที่มันเบรคแล้วเร่งรถซ้ำๆเพื่อแกล้งผม ผมก็จัดการโขกหัวมันไปทุกครั้งที่มันแกล้ง ขับรถก็ขับให้มันดีดีสิวะ แม่ผมสอนตลอดเลยนะว่าเวลาขับรถให้ตั้งใจขับดีดีเพราะว่าถ้าเราทำเป็นเล่นเนี่ยเราอาจจะเกิดอุบัติเหตุก็ได้

ใช้เวลาไม่นานมากก็มาถึงตลาดนัดกลางคืน เวลาประมาณนี้คนก็จะเยอะเป็นพิเศษ ตอนนี้ผมยืนหน้ามึนอยู่ตรงหน้าตลาดในขณะที่ไอ้ขุนมันเอารถไปจอด รอบๆบริเวณที่สายตาผมมองไปถึงแม่งมีของกินเยอะมาก น่ากินไปหมด

หนมจะกินให้ตัวแตก *-*

“ กินอะไรดีล่ะ ” ไอ้ขุนมันถามผมก่อนจะแย่งกระเป๋าผ้าของผมไปถือ

“ มึงจะเอากระเป๋ากูไปทำไม เอามา ”

“ เดี๋ยวกูถือให้ ”

“ ไม่เอา กูจะถือเอง ” ผมจะแย่งกระเป๋าจากมันแต่มันก็ยกกระเป๋าผมขึ้นสูง ใครมันจะไปหยิบถึงวะไอ้บ้า เห็นสูงกว่าแล้วเอาใหญ่เลยนะมึงน่ะ

“ มึงลองคิดดูนะ ถ้ามึงถือกระเป๋าเอง มันจะทำให้มึงถือของกินได้น้อย มึงจะเอาอย่างนั้นหรอ ”

เออ อันนี้น่าคิด

ผมมองไอ้หล่ออย่างเคืองๆ เออมึงอยากถือมึงก็ถือไป โอ้ยยยนั่นร้านปลาหมึกย่าง ผมดิ่งเข้าร้านขายปลาหมึกย่างทันที ดูสิปลาหมึกกล้วยตัวอย่างใหญ่ น่ากินมาก อย่างนี้ต้องจัด

“ ป้าครับเอาอันนี้ไม้นึง แล้วก็เอาไข่ปลาหมึกอีกสองไม้ ” ผมจัดแจงสั่งปลาหมึก

“ อ่ะนี่เงิน ” ไอ้ขุนส่งแบงค์ห้าร้อยมาให้ ส่งมาให้กูทำไมวะ

“ อะไร ” ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ

“ ก็ค่าปลาหมึกไง ” อ๋อออ คือมันจะเลี้ยงปลาหมึกผมงี้ แหม่ถ้ารู้ว่ามันจะเลี้ยงผมกวาดให้หมดแผงดีกว่า

“ มึงจะเลี้ยงกูหรอ ”

“ อืม วันนี้มึงอยากกินอะไรกูจะซื้อให้ ”

“ จะซื้อให้หมดเลยจริงๆหรอ ”

ผมเอ่ยถามก่อนจะมองไอ้หล่อที่ยิ้มหวานเป็นปกติของมัน มือยื่นไปหยิบแบงค์ห้าร้อยมาจ่ายค่าปลาหมึก เออดีว่ะประหยัดตังค์ผมไปได้ 70 บาท ความจริงผมก็ไม่อยากจะเอาตังค์มันหรอกนะเพราะมันเป็นของกินของผม

แต่ในเมื่อเจ้าตัวมันอยากเลี้ยงผมก็จะไม่ทำให้มันเสียน้ำใจ

ฮ่าๆๆๆๆ

“ ใช่แล้ว ”

“ มึงจะเลี้ยงกูไหวหรอกูกินเยอะนะ ” ผมรับปลาหมึกมาจากคนขายก่อนจะจิ้มเข้าปากชิ้นนึง อื้อออออ.อ....แม่งโคตรอร่อยอ่ะ น้ำจิ้มแม่งอร่อยมาก

“ เลี้ยงไหวดิ่ ต่อให้กูต้องขายไตเพื่อเอามาเลี้ยงมึงกูก็ยอม ”

นั่นไงกู.....โดนไปอีกดอก

แทบจะสำลักปลาหมึก

“ เพ้อเจ้อว่ะมึงอ่ะ ” ผมเดินนำมันไปร้านอื่นๆ ไอ้หล่อมันก็เดินตามแถมยังยิ้มอย่างอารมณ์ดีอีกต่างหาก ผมรู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองเริ่มร้อน เพราะคนมันเยอะหรือว่าเพราะเขินมันก็ไม่รู้

ว่าแต่....ผมจะเขินมันทำไมวะ

ช่างแม่งดูของกินดีกว่า

ผมเดินแวะร้านโน่นร้านนี้ไปเรื่อยแถมยังกินไม่หยุดปาก แบงค์ห้าร้อยของไอ้ขุนที่ให้มาตอนนี้เหลือเป็นเศษยี่สิบกว่าบาท ตอนนี้ก็ประมาณเกือบสองทุ่มได้ เดินนานเหมือนกันนะเนี่ย ไอ้ขุนมันไม่ซื้อของกินเลยครับเอาแต่แย่งของที่ผมซื้อมากิน เป็นบ้าอะไรของแม่งก็ไม่รู้

“ มึงไม่ซื้อกินเองบ้างวะ ” ผมมองมันที่กำลังฉกลูกชิ้นปลาไปต่อหน้าต่อตา

“ กูชอบแย่งมึงกินมากกว่าอ่ะ ”

“ ไอ้เลว ” ผมตีมันไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้ มันก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังแย่งลูกชิ้นไปทั้งถุง เออมึงเอาไปเลยกูไม่กินแล้ว

ไอ้ขุนมันก็จ้วงลูกชิ้นปลาต่อก่อนจะเดินเอาไปทิ้งที่ถังขยะ ตอนนี้ผมรู้สึกอิ่มแล้วครับ แน่ล่ะยัดของกินเข้าไปเยอะขนาดนั้นไม่อิ่มก็บ้าแล้ว พุงป่องแล้วมั้งผมเนี่ย

ผมมองไปยังโซนขายเสื้อผ้าข้างหน้า พอยิ่งมืดคนก็ยิ่งเยอะแฮะตลาดเนี่ย เดินนี่แทบเบียดเสียดสิงร่างกันแล้วอ่ะคิดดู โดยเฉพาะไอ้หล่อที่เดินตามอยู่ข้างๆผม ผมเห็นว่ามีผู้หญิงมากพอควรเลยนะครับที่เดินถูๆไถๆมัน ตัวมันเองก็ไม่ได้สนใจใคร เอาแต่จะคอยแกล้งผมเนี่ยะ

ไม่แกล้งกูมันจะตายไหมห้ะ

“ มึงจะซื้ออะไรอ๋อหนม ”

“ กูว่าจะซื้อเสื้ออ่ะ ” ผมมองหาร้านเสื้อร้านประจำที่เวลามาที่ตลาดนัดนี้ผมจะต้องได้ติดไม้ติดมือกลับไป มันเป็นร้านเสื้อสีพื้นครับ เนื้อผ้าดีแถมราคาไม่แพงมาก

“ อ๋อ ” ไอ้หล่อมันรับคำก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผมไว้

เดี๋ยวๆ....มึงจับมือกูทำไม

ผมหันมองมันทันที มันก็ฉีกยิ้มแฉ่งให้ผม ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก

“ มึงจับมือกูทำไม ” ผมเลิกคิ้วถามมันอย่างสงสัย จะว่าจับมือเพราะคนเยอะแล้วกลัวผมหลงทางหรอ แต่ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องจับมือได้ได้ป้ะวะ อีกอย่างมันดูแปลกๆนะที่ผู้ชายสองคนมาเดินจับมือกัน

“ ก็.....” ก็อะไรของมึงวะไอ้บ้าขุน

“ มึงกลัวกูหลงทางรึไง กูไม่ใช่เด็กๆนะ ”

“ ไม่ได้จับมือมึงเพราะกลัวมึงหลงทางนะ แต่ที่จับมือมึงเพราะกูหลงมึงต่างหาก ” เสียงนุ่มๆกับรอยยิ้มหวานๆทำให้ผมมองหน้ามันค้างอยู่อย่างนั้น

ตึกตัก

อา....ดาเมจประโยคนี้มันแรงมากจริงๆ

รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงมากๆเลยว่ะ

“ อันนี้เขินหรือร้อน หน้านี่แดงก่ำเลย ” มันกระซิบถามข้างหูผม ทำให้ผมยกมือข้างที่ว่างขึ้นจับแก้มตัวเองทันที มันหัวเราะเบาๆที่เห็นท่าทีที่ผมแสดง ที่กูเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงนั่นแหละไอ้บ้า

ยังจะมาถามอีกว่าร้อนหรือเขิน

ก็ต้องเขินสิไอ้สัสอยู่ดีดีมาพูดแบบนั้น

“ อย่าพูดอยู่คนเดียวในใจสิ กูก็อยากรู้นะว่ามึงคิดอะไร ”

“ มะ....ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ กูจะซื้อเสื้อ ” เปลี่ยนเรื่องแม่งจิตใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่านแถมไอ้หล่อข้างๆจะได้ไม่ต้องมาจับผิด

“ โอเคๆ ซื้อเสื้อก็ซื้อเสื้อ ป่ะเดี๋ยวกูนำ ” ว่าแล้วมันก็เดินนำผมโดยที่มือก็ยังจับมือผมไว้ ผมมองหลังกว้างที่อยู่ข้างหน้า มันทำอะไรได้ไม่แคร์สายตาคนรอบข้างเลยนะ ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง

ความอุ่นจากมือของไอ้ขุนมันให้ความรู้สึกแปลกๆว่ะ

รู้สึกว่าไม่อยากปล่อย

เฮ้อ

จะยอมแค่วันนี้ละกัน





หอ K2

“ ถึงแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันดับเครื่องรถที่หน้าหอของผมหลังจากที่เราไปเดินตลาดกันมาร่วมสามชั่วโมง ห่า ไม่เคยเดินตลาดได้นานชิบหายแบบนี้เลย ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าๆแล้ว

“ เออ ขอบใจที่พากูไปหาไรกิน แล้วก็เลี้ยงกู ”

“ ไม่เป็นไร กูเต็มใจมากๆ ”

“ แล้วมึงจะกลับบ้านเลยใช่ไหม ”

“ ก็คงงั้น กูง่วงอ่ะยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ”

“ ก็รีบกลับไปนอนซะ ขับรถดีดี ”

“ ครับ ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวกูไลน์มาบอก ” ถึงก็ถึงดิ่จะไลน์มาบอกทำไมวะ

“ เออ บาย ” ผมบอกมันก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อที่จะเดินขึ้นตึก หูได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แว่วๆ ไอ้ขุนมันคงขับรถออกไปแล้ว

ผมถือของเต็มไม้เต็มมือเดินเข้ามาในห้อง ตอนแรกกะว่าจะซื้อเสื้อแค่สองตัวไปๆมาๆได้เพิ่มมาทั้งรองเท้าทั้งกางเกง สำคัญสุดคือไม่ใช่เงินผมด้วยนะที่ซื้อ เงินไอ้ขุนล้วนๆครับ แม่งเอาเงินมาให้ผมผลาญเกือบสามพัน จะไม่ให้มันจ่ายมันก็ไม่ยอมอีก

“ มึงกลับมาแล้วหรอวะ ” ผมหันมองไอ้หมีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ

มึงมาอยู่ห้องกูได้ไงวะ

“ เออ แล้วมึงมาได้ไงเนี่ยะ ”

“ ก็เดินมา ” ไม่กวนตีนกูนี่จะตายห่ารึไงวะ

“ กูหมายถึงมึงเข้าห้องกูมาได้ยังไง ” ผมก็ว่าตอนผมออกไปผมล็อคไว้นี่หว่า กุญแจสำรองก็อยู่ที่ไอ้ปั้น หรือว่าไอ้หมีมันไปเอากุญแจมาจากปั้น

“ กูปีนมาทางระเบียง ”

ปีนระเบียงเนี่ยนะ!!!!!!!!

ผมมองเพื่อนรักที่เดินมานั่งเช็ดหัวที่เตียงอย่างอึ้งๆ เอิ่มเพื่อนหมีครับ ห้องกูอยู่ชั้นสามถึงจะไม่ได้สูงมากแต่มันก็สูงนะ ตรงระเบียงมันไม่น่าจะปีนข้ามมาได้ด้วย มึงปีนมาได้ยังไงเนี่ยไอ้บ้า

คนหรือจิ้งจกวะ

“ มึงปีนเข้ามาทางห้องใคร ”

“ ห้องพี่ชาไง ห้องข้างๆมึงเนี่ยะ ว่าแต่มึงไปไหนมาวะ ”

“ กูไปตลาดมา ”

“ ไปกับใคร ” ไม่ถามเปล่าไอ้หมีมันยังส่งสายตาคาดคั้นมาให้ด้วย อยากรู้จริงๆเลยนะเรื่องของกูเนี่ย

“ ไอ้ขุน ”

“ น่อววววววววววว ไม่ทำดาว่ะ ”

“ ไม่ทำดาอะไรของมึง แล้วมึงมาทำไรที่ห้องกูเนี่ย ห้องตัวเองไม่มีอยู่รึไง ” ผมเอาของที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในตู้ ไว้จะใส่ค่อยเอาออกมาซักทีหลัง

“ ช่วงนี้กูฝันร้ายบ่อยๆแล้วมันนอนต่อไม่ได้ว่ะ ถ้ามีคนนอนด้วยกูอาจจะหลับก็ได้ ” ผมมองสีหน้าไอ้หมีที่ดูเศร้าแปลกๆ

ผมว่าความฝันที่ไอ้หมีพูดมันคงจะทำให้มันรู้สึกแย่พอตัวเลย เพราะปกติไอ้หมีไม่ใช่คนที่จะทำหน้าเศร้าแบบนั้น มันจะยิ้มและก็หัวเราะตลอด บางทีมันโกรธมันก็ยังหัวเราะได้ แต่โกรธของไอ้หมีนี่ไม่เคยเป็นการโกรธแบบจริงจังเลยสักครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ามันโกรธใครจริงๆขึ้นมามันจะเป็นยังไง

“ อยากเล่าความฝันให้กูฟังไหม ” ผมนั่งลงข้างเพื่อนหมีก่อนจะยกมือแตะไหล่มัน

“ ไม่ว่ะหนม กูอยากเก็บมันไว้ กูอาจจะเล่าให้มึงฟังในวันนึงแต่คงไม่ใช่วันนี้ว่ะ ”

“ ตามใจมึงแล้วกัน มีอะไรก็เล่าให้กูฟังได้เสมอ ”

“ เออ โหยซึ้งใจว่ะหนม มาจูบปากทีมา ” ไอ้หมีมันยื่นหน้าแล้วทำปากจู๋ใส่ผม ไอ้สัสนี่ตะกี้มึงยังดราม่ากับกูอยู่เลยอารมณ์มึงจะเปลี่ยนไวไปละ

“ ขนลุกไอ้เชี่ยหมี ” ผมผลักหน้ามันออกก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงทันที

“ เออใช่ซี้ กูไม่ใช่พี่ขุนไงทำอะไรก็น่าขนลุกไปหมดแหละ ”

“ มันเกี่ยวอะไรกับไอ้ขุนวะ ” ไอ้หมีนี่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมก็จะโยงเอาเข้าไอ้ขุนตลอด แม่งโคตรจะผลักไสไล่ส่งให้ผมไปได้กับไอ้ขุน

“ กูถามตรงๆนะหนม มึงรู้สึกยังไงกับพี่ขุนวะ ”

รู้สึกยังไงงั้นหรอ

ตั้งแต่ที่ไอ้ขุนมันเข้ามาในชีวิตผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ มันดูไม่ปกติเหมือนกับที่ผ่านมา เวลามันมายุ่งกับผม ผมก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญมันเลย อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มมันก็ได้ มันมีเสน่ห์ครับเวลามองก็ไม่ได้น่าเบื่อ แล้วก็ตั้งแต่ที่รู้จักมันเนี่ยแก้มผมนี่ก็แดงเป็นว่าเล่น แต่ก็คิดว่าที่ผมเป็นแบบนี้มันอาจจะเป็นเพราะชีวิตผมไม่เคยมีใครต้องมาตามจีบ

คนจีบเป็นผู้ชายด้วยนะ

“ แหนะ ตอบไม่ได้ ”

“ กูอาจจะบอกมึงในวันนึงแต่ยังไม่ใช่วันนี้ว่ะ ” กูขอยืมคำพูดหน่อยนะเพื่อนหมี

“ เอาคำกูไปใช้ มึงเอาค่าลิขสิทธิ์มาเลย ”

“ เอาลูกอมไปสองเม็ดไป ” ผมยื่นลูกอมให้มัน แม่งก็รับด้วยนะ

“ กูรู้อ่ะแหละนะหนมกูก็ไม่ได้จะอะไรหรอก พี่ขุนมันก็ดีนะแต่ว่าพี่มันก็เจ้าชู้พอสมควรเลย ”

“ กูรู้แหละ ” เรื่องอย่างนี้ดูออกง่ายจะตาย

แต่หลังจากที่มันบอกจะจีบผม ผมก็ไม่เคยเห็นมันยุ่งวุ่นวายอะไรกับใครเลยนะ แต่ลับหลังมันจะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมจะเจอมันก็เฉพาะเวลาที่มันมาหาเท่านั้น ตึกอยู่ไกลกันชิบหายขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วที่ไอ้เผือกมันเคยบอกผมว่ามันเห็นไอ้ขุนที่ร้านเหล้าบ่อยๆอีก มันก็คงชอบเที่ยวอยู่พอตัว

จะว่าไปผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

“ แต่พักหลังมานี้พี่ขุนไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหนเลยนะ มึงสบายใจได้ ”

“ มันจะมีใครไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับกูเลย ” ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย มันจะไปมีใครจะไปไหนก็เรื่องของมัน แต่ถ้ามันมาบอกว่าจะจีบผมแล้วมันทำแบบนั้น

ผมก็คงจะไม่ยุ่งกับมัน

“ ที่พูดออกมานั่นใช่สิ่งที่มึงคิดหรอ ” รู้ดีนักนะมึงอ่ะไอ้บ้าหมี

“ เรื่องของกูน่า ” ผมหันหนีมันก่อนจะเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อที่จะแต่งนิยาย

อัปเดตนิยายของผมหน่อยครับ ตอนนี้แต่งมาแบบมึนๆ และก็ยังมีการขอ Nc กันมาอย่างถล่มทลาย คือแบบว่าอยากจะสารภาพกับเหล่ารี้ดจากใจว่าไรท์หนมยังไม่สามารถแต่งได้ในตอนนี้ ได้โปรดรอไรท์หนมกันไปก่อน ไม่เกินชาตินี้แน่นอน

“ เออรีบแต่งแล้วรีบลง กูรออ่าน ” ไอ้หมีมันว่าพลางเดินไปหยิบน้ำแดงที่ชงไว้ก่อนจะกลับมานั่งบนเตียงที่เดิม

“ เออ อย่ากวนกูละกันมันจะได้เสร็จไวไว ”

ผมลงมือพิมพ์นิยายทันทีตามที่สมองคิด ต้องรีบแต่งให้จบตอนภายในสองวันครับเพราะผมมีงานใหญ่ที่ต้องทำ ต้องถ่ายดาวเดือนมหาลัยตั้ง 12 คณะ ดาวเดือน 24 คน นี่ยังไม่รู้ว่าจะต้องวุ่นวายมากแค่ไหน เรื่องคิวถ่ายค่อยให้ไอ้หมีมันจัดการ ไหนจะขนของอีก แค่คิดก็ปวดหัว

พอเลิกคิด ผมต้องมีสมาธิ

“ หนม กูทำน้ำแดงหกใส่เตียงมึงอ่ะ ”

ไอ้สัสหมี....

แล้วจะแดกน้ำแดงบนเตียงกูทำม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย





TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนหนม #ขุนศึกขนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 7 : 7/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-11-2017 22:26:35
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 8 : 8/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-11-2017 19:21:21
บทที่ 8 วันแห่งความวุ่นวาย



และแล้วก็มาถึงวันศุกร์

วันศุกร์ที่แสนจะวุ่นวายสำหรับพวกผม

ตอนนี้ผมกับเพื่อนรักอีกสองคนคือไอ้หมีและไอ้เผือกกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์กันอยู่ที่ห้องสตูดิโอเพื่อที่จะถ่ายรูปดาวเดือนครับ ตอนแรกไอ้หมีมันบอกว่าจะไปถ่ายนอกคณะแล้วไปๆมาๆเสือกถ่ายที่ห้องสตูดิโอ ผมรู้เมื่อเช้าก็โวยวายใส่มันใหญ่ ถ้าจะถ่ายที่นี่แล้วจะแบกของพวกนี้ไปกองไว้ห้องผมทำไม ผมสะดุดขาตั้งไฟตั้งกี่รอบมันไม่รู้หรอก

โคตรหงุดหงิด

“ ไฟประมาณนี้โอเคไหมหนม ” ไอ้เผือกถามในขณะที่มันกำลังปรับแสงไฟ

“ ไอ้หมีมึงมายืนดิ้ กูจะดูไฟ ”

“ ได้ครับผม ” ว่าแล้วไอ้ตัวดีก็มายืนโพสท่าอยู่หน้ากล้อง

“ หรี่ไฟหน่อยเผือกสว่างไปว่ะ ” ผมมองผ่านกล้อง

“ ได้ยัง ”

“ เออได้ละ ไอ้หมีมึงลงไปข้างล่างได้แล้วไปป่านนี้คงมากันแล้วล่ะมั้ง เอากระดาษไปเขียนแปะไว้หน้าตึกเลยก็ได้ว่าดาวเดือนที่จะมาถ่ายรูปให้ขึ้นมาห้องสตูดิโอได้เลย ” ผมมองเวลาที่เกือบจะถึงสิบโมงแล้ว ถ้าใครมาก็ถ่ายก่อนเลยจะได้ไม่เสียเวลา

“ ได้ครับผม ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากห้อง หมั่นไส้คำว่าได้ครับผมของมันชิบ ให้ไอ้เผือกกระทืบดีป้ะวะ

ผมนั่งมึนๆอยู่ตรงที่นั่งของตากล้อง ไอ้เผือกก็นั่งหาวอยู่ข้างๆ เมื่อคืนไปเหล้าแดกมาสิมึงดูอิดโรยเชียว ไอ้เผือกนี่มันก็ดีนะครับตรงที่ว่าไม่ว่ามันจะไปเที่ยวหรือไปเมามาหนักมากแค่ไหน มันก็ยังลากสังขารพาตัวเองมาเรียนได้ เวลาทำงานก็ทำได้อย่างเต็มที่

หืม....รอยอะไรวะนั่นน่ะ

“ มึงไปโดนอะไรมาวะเผือก ” ผมเอื้อมมือไปลูบคอขาวของไอ้เผือกที่มีรอยแดงจ้ำๆ เป็นแถบยาวหายเข้าไปในเสื้อ

“ อะไรอ่ะ ” มันเอ่ยถามผมอย่างสงสัย รอยที่ผมเห็นมันน่ากลัวมากนะครับ มันขึ้นเป็นห้อเลือดเหมือนจะแตกยังไงก็ไม่รู้อ่ะ

“ รอยแดงๆเนี่ย ” มึงกำลังป่วยป้ะเนี่ยเพื่อนเผือก อาการรุนแรงจนคอแดงแบบนี้นี่ปล่อยไว้ไม่ได้น่ะ กูกลัวมึงตาย

“ อ๋อ โดนดูดน่ะ ” เจ้าตัวบอกเสียงเรียบ

อ๋อ.....โดนดูด

“ ห้ะ!!!!!!!!โดนดูด ”

“ อืม....ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นวะ ”

“ ใครดูดมึง มึงไปทำอะไรเค้าเค้าถึงดูดมึงอ่ะ แล้วเป็นรอยขนาดนี้มึงจะตายไหม มึงต้องไปหาหมอนะเผือก ” ตายห่า เพื่อนผมกำลังจะตาย

ไม่นะ!!!!!!!!!!!!

“ ใจเย็นๆนะหนม กูไม่ตายเพราะโดนดูดหรอกนะ ”

“ มึงจะไม่ตายจริงๆนะ ”

“ เออ ที่โดนดูดขนาดนี้ก็เพราะคนที่กูไปนอนด้วยเมื่อคืนเค้าเซ็กซ์จัดไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ” มันว่าแล้วมันก็ยิ้มหวานออกมา

หูยยยยยยยยยยย

เรื่องมหัศจรรย์ของโลกเลยนะไอ้เผือกยิ้มน่ะ

ผมนั่งมองหน้าหล่อๆของเพื่อนตัวเองที่ยิ้มหวานอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมานาน ตั้งแต่รู้จักกับมันเพิ่งเห็นมันยิ้มแบบนี้เป็นครั้งที่สาม ตอนนี้สมองผมกำลังประมวลผมในสิ่งที่มันพูดให้ฟังเมื่อกี้ อ๋อ คือมันมีเซ็กซ์แล้วโดนดูดคอ คนมีเซ็กซ์กันนี่ต้องดูดคอกันด้วยหรอ เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย ต้องจดใส่สมองไว้ละเอาไว้ไปเป็นส่วนประกอบในการแต่ง Nc

เคลียร์เรื่องดูดคอละกลับมาที่เรื่องไอ้เผือกยิ้ม

ไอ้เผือกมันเป็นคนที่ยิ้มยากมาก ยิ้มยากมากกว่าผม ตั้งแต่รู้จักกับมันมาตั้งแต่เปิดเทอมเทอมก่อน อย่างที่บอกผมเห็นมันยิ้มนี่คือครั้งที่สาม ความสงสัยเริ่มครอบงำจิตใจใครกันวะที่ทำให้ไอ้เผือกยิ้มออกมาแบบนี้ได้ เรื่องนี้ถามไอ้หมีคงไม่ได้เพราะมันคงไม่รู้ เรื่องที่เกี่ยวกับไอ้เผือกไอ้หมีมันจะรู้น้อยมาก ไอ้หมีมันเคยเล่าให้ผมฟังว่าตัวมันยังไม่เคยเห็นไอ้เผือกยิ้มเลย เคยเห็นแบบแสยะยิ้ม

พอเห็นแบบนั้นมันก็โดนไอ้เผือกไล่เตะ

“ คนที่มึงพูดถึงนี่คงเป็นคนที่พิเศษมากเลยสินะ ทำมึงยิ้มออกขนาดนี้ ” แซวมันหน่อยครับ เผื่อมันจะหลุดอะไรออกมาบ้าง

“ ก็คงเหมือนมึงที่มักจะหน้าแดงเวลาที่พูดถึงพี่ขุนน่ะ ”

เอ่อ.....

ทำไมเป็นกูที่โดนตอกกลับล่ะเพื่อน

ผมหมดคำพูดกับไอ้เผือกทันที พูดไม่ออกเลยเรื่องนี้ พอๆเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายตัวผมเองผมจะไม่ยุ่งกับเรื่องของไอ้เผือก เดี๋ยวค่อยให้ไอ้หมีมันไปสืบเอา ไอ้หมีมันหน่วยกล้าตายแถมยังทนมือทนตีน ยังไงมันก็ต้องสืบมาได้อย่างแน่นอนว่าคนที่ไอ้เผือกพูดถึงนั้นคือใคร

หึ....มึงไม่รอดแน่เพื่อนเผือก

“ วางแผนอะไรอยู่รึไง เดี๋ยวจะโดน ” อย่ามาทำเป็นรู้ได้ไหมวะ มันเป็นความลับของกูนะ

“ กูเปล่าสักหน่อย ไอ้หมีมันไปนานจังเลยวะ ” ตั้งแต่ที่ไอ้หมีมันลงไปข้างล่างนี่ก็เกือบยี่สิบนาทีแล้วครับ ไม่ใช่ว่ามัวไปเถลไถลที่ไหนแล้วไม่ยอมพาขึ้นมาหรอกนะ

“ อย่าทะเลาะกันสิครับพี่ๆ ” เสียงคุ้นหูแว่วมาแต่ไกล ไอ้หมีเองครับไม่ใช่ใคร แล้วใครทะเลาะกันวะ

ผมได้ยินแบบนั้นจึงลุกเดินออกมาดูที่หน้าห้อง ก็พบกับนักศึกษาชายหญิงหน้าตาดีมากราวๆ 10 กว่าคนยืนออกันอยู่ นี่คงเป็นดาวเดือนสินะ สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือไอ้หมีที่กำลังห้ามผู้หญิงสองคนที่กำลังมีปากเสียงกันอยู่ มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

“ หลบไปเลยหมี พี่จะตบมัน ” พี่ปากแดงนี่เอาเรื่องว่ะมีจะตบด้วย

“ ก็เข้ามาสิ คิดว่ากูกลัวมึงหรอ ” พี่ปากส้มก็ไม่ยอมแพ้

“ ไม่ได้นะครับพี่หมวยพี่ต่าย คลัมดาวน์นะคลัมดาวน์อย่ามีเรื่องกัน ” ผมมองไอ้หมีที่พยายามห้ามพี่ดาวคณะทั้งสองคน ไอ้พวกผู้ชายที่ยืนกันอยู่ใกล้ๆก็ยืนดูกันมันส์เลยนะไม่คิดจะช่วยห้ามหน่อยรึไงวะ ไอ้ห่าหมีมันตายห่าพอดีน่ะ

“ เกิดอะไรขึ้นทำไมเสียงดังจัง ” ผมมองไปด้านหลังที่มีคนเพิ่งเดินเข้ามาก็เห็นว่าเป็นไอ้ขุนกับพี่เกียร์ วันนี้ไอ้ขุนมันดูดีกว่าทุกวันอาจเพราะว่ามันต้องมาถ่ายรูป ผมยุ่งๆก็ถูกเซ็ตขึ้นเป็นอย่างดี พี่เกียร์ก็ไม่ค่อยต่างกับมันเท่าไหร่ เดินมาด้วยกันนี่ออร่าความหล่อฟุ้งกระจาย

“ พี่เค้าทะเลาะกันอ่ะพี่ขุนช่วยหมีห้ามหน่อย ” พอไอ้หมีมันขอความช่วยเหลือจากไอ้ขุน เจ้าตัวก็เดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างพี่ปากแดงและพี่ปากส้มทันที

“ ทะเลาะกันทำไม ” มันมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา

“ ก็หมวยบอกต่ายว่าเพราะมันสวยกว่าขุนถึงไปชอบมัน ” พี่ปากแดงพูดพร้อมกับเอามือรั้งแขนไอ้ขุนไว้ มองจากตรงผมยืนก็เห็นว่านมใหญ่ๆนั่นเบียดแขนไอ้หล่อมันเต็มที่

“ ไม่จริงนะคะขุน หมวยไม่ได้พูดอะไรแบบนั้น ” พี่ปากส้มก็ทำเช่นเดียวกันกับพี่ปากแดง นมใหญ่ๆเบียดแขนทั้งสองข้างเลยนะมึง ไม่คิดจะเอาออกสักหน่อยหรอวะ

ไม่ชอบใจเลย

“ น่ารำคาญ ” ไอ้ขุนมันเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะดึงแขนออกมาจากการเกาะของพี่ทั้งสอง เออ มึงควรจะทำอย่างนั้นตั้งนานละไอ้บ้า

“ ขุน / ขุน ”

ผมมองพี่สองคนที่ทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงทันทีที่ไอ้ขุนมันบอกว่ามันรำคาญ ฟังจากการสนทนาเมื่อกี้ก็คงบอกได้ว่าสองคนนี้คือกิ๊กเก่าไอ้ขุนอย่างแน่นอน ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงสองคนมาทะเลาะกันเรื่องผู้ชายต่อหน้าต่อตาแบบนี้เลยนะ แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นผู้ชายที่ตามจีบผมด้วย

ฮ็อตจริงๆเลยนะมึง

“ วันนี้เรามาที่นี่เพื่อทำงานให้มหาลัย อย่ามาทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ หรือว่าถ้าจะมีเรื่องกันก็รอให้งานเสร็จก่อนก็ไม่มีใครห้ามหรอกนะ ” คนพูดว่าด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ดาวเดือนคณะอื่นยืนมองกันอยู่เงียบๆ รวมถึงพี่ดรายซ์ เอ้ามันมาตอนไหนวะน่ะ ทำไมผมเพิ่งเห็น

“ คำพูดคำจาดีว่ะ น่ายกย่อง ”

ผมมองคนที่เดินมาด้านหลัง ร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษา ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซ็ตไว้รับกับใบหน้าตี๋ ผิวขาวใสที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องดูแลตัวเองดีมาก โดยรวมๆสรุปแล้วคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นหล่อมากครับ หล่อแบบตี๋ๆ คาดว่าคงเป็นเดือนของคณะไหนสักคณะแน่นอน

“ ถ้ากูน่ายกย่องก็กราบตีนกูซะสิ ” ทันทีที่ไอ้ขุนมันพูดจบ ไอ้พี่หน้าตี๋มันก็กำหมัดแน่นแล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที มันไม่ถูกกันหรอวะถึงได้พูดแบบนั้น

“ หึ....ปากเก่งนักนะมึงน่ะ ”

“ ไม่ได้เก่งแต่ปากนะ ใช้ปากก็เก่ง ” ไอ้ขุนมันยกยิ้มมุมปาก ทำไมประโยคสวนของมึงทำไมมันแปลกๆวะไอ้ขุน

รึผมคิดว่ามันแปลกคนเดียว

“ ไอ้สัสขุน!!!!!! ” ไอ้พี่ตี๋มันตรงเข้ามากระชากคอเสื้อไอ้ขุนทันที ดูจากสีหน้าก็บ่งบอกถึงความโมโหมาก

“ มึงจะทำไมห้ะไอ้น้ำ ”

ผมชักจะหงุดหงิดกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า ตอนแรกก็ห้ามผู้หญิงอยู่หรอกแล้วทำไมตอนนี้ผู้ชายต้องมามีเรื่องกันต่อวะ ไอ้หมีก็ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ผมคิดว่าตัวไอ้หมีมันก็อยากจะเข้าไปห้ามแต่เพราะคนที่กำลังมีเรื่องคือไอ้ขุน มันเลยอาจจะไม่กล้า ผมควรจะทำยังไงดีวะ แม่งโคตรเสียเวลางานเลยตอนนี้

“ กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้สัสขุน ”

“ มาดิ่ไอ้สัส ”

“ หยุด!!!!!!!!!!!!!!!! ”

หมัดที่ง้างไว้ของไอ้ขุนกับไอ้พี่หน้าตี๋ค้างกลางอากาศทันทีที่ผมแหกปากลั่นออกไป สายตาทุกคู่หันมามองทางผมกันเป็นจุดเดียว มองห่าไรกันวะกูหงุดหงิดแล้วนะมึง ไอ้ขุนนี่น่าหงุดหงิดสุด มันห้ามไม่ให้ผู้หญิงทะเลาะกันแต่ตัวเองเสือกมามีเรื่องซะเอง

“ น้องแว่น ” พี่เกียร์มองมาทางผมอย่างอึ้งๆ อึ้งอะไรของมึงวะพี่

“ เด็กนี่เป็นใครน่ะ ” พี่ปากแดงมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำไม มองกูแบบนั้นมีปัญหารึไง ฟีลตอนนี้นี่บวกได้หมดไม่เกี่ยงหญิงชายนะกูบอกเลย

“ เป็นตากล้องที่จะถ่ายงานวันนี้ รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้วอ่ะ มันเสียเวลาขนาดไหนแล้ว ยังจะมามีเรื่องกันอีก ” ผมพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง มีหลายคนเลยที่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแต่ช่างแม่ง ผมพูดจริงๆนี่หว่า โตๆกันแล้วเรื่องแบบนี้มันต้องคิดได้ดิ่

“ ไอ้หนม ” ไอ้หมีมันดึงแขนผมเบาๆประมาณว่าให้ผมใจเย็นๆ

“ เห้ยน้อง....ปากดีมาจากไหนวะเนี่ย เป็นแค่ตากล้องแถมยังเป็นแค่ปี 1 อย่าห้าวให้มากได้ไหม ”

“ หุบปากไปเลย มันเป็นงานของมหาลัยนะพวกไม่มีความรับผิดชอบยังจะมีสิทธิ์พูดอีกหรอ ”

“ ไอ้เด็กเชี่ยนี่ ” โมโหสิมึง กูก็โมโหเหมือนกัน ทำไมกูต้องมาหัวร้อนด้วยเรื่องห่าอะไรแบบนี้ด้วย

“ ใจเย็นก่อนครับพี่กอล์ฟ ” ไอ้หมีมันเข้ามาคั่นระหว่างกลางผมกับพี่มันทันที

“ เพื่อนมึงหรอไอ้หมี ปากดีเกินไปแล้วนะ ปีนเกลียวด้วยไอ้สัส ”

“ น่ารำคาญว่ะ ที่พูดมันจริงรึเปล่าก็ลองคิดเอาเป็นเด็กปี 2 ไม่ใช่หรอ เรื่องแค่นี้คงจะคิดเอาได้นะ ” ผมเดินผ่านทุกสายตามาหยุดตรงไอ้ขุนกับไอ้พี่หน้าตี๋ก่อนจะจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน

“ หนม ”

“ ถ้าจะมีเรื่องกันก็รอให้งานเสร็จก่อนก็ไม่มีใครห้ามหรอกนะ....มึงลืมคำพูดตัวเองรึไง ” ผมเอ่ยบอกกับไอ้ขุนอย่างจริงจัง ใบหน้าคมนั่นถึงกับอ่อนลงทันที เออดีมึงต้องยอมกูเข้าใจไหม ให้มันรู้เรื่องซะบ้าง

“ นี่มึง ”

“ มีปัญหาอะไร ถ้าไม่พร้อมจะถ่ายก็กลับไปเลยไป ไม่เอาลงนิตยสารมหาลัยก็ได้ เคลียร์กับอธิการเองละกัน จะเอายังไง ” ผมยืนมองไอ้พี่หน้าตี๋อย่างเอาเรื่อง เอาดิ่กูฟ้องอธิการแน่ กูจะฟ้องแม่งให้หมดเลยอธิการสนิทกับพ่อกูด้วย ห้าวหาญชาญชัยกันดีนักไอ้พวกบ้า

“ ไว้จบงานก่อนก็ได้ มึงเจอกูแน่ ” ไอ้พี่หน้าตี๋มันพูดก่อนจะเดินชนไหล่ผมแล้วก็เข้าไปในห้องสตูดิโอทันที ไอ้ห่านี่วอนซะแล้ว เดี๋ยวกูให้ไอ้เป้ตามกระทืบเลยว่ะ

“ เอ่อ....งั้นก็เข้าห้องกันเถอะพี่ๆ ได้รีบถ่ายๆไง ” ไอ้หมีมันบอกกับดาวเดือนคนอื่นก่อนจะเดินนำเข้าห้องสตูดิโอไป

“ กูเข้าไปก่อนนะขุน ” พี่เกียร์มันบอกไอ้ขุนก่อนจะเดินตามเข้าไปอีกคน ตอนนี้เหลือเพียงผมกับไอ้ขุนยืนอยู่ข้างนอกห้องอยู่สองคน

“ หนมกู....”

“ กูโกรธมึง มึงรู้ตัวใช่ไหม ” โกรธจริงครับ โกรธที่มันห้ามคนอื่นแต่มันเสือกทำเอง จะว่าไปมันก็เป็นต้นเหตุให้ดาวสองคณะทะเลาะกัน

“ รู้ ” เสียงอ่อนๆของมันไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนหายโกรธง่ายๆหรอกนะ

“ กูไม่ชอบคนที่ทำให้งานของส่วนรวมเสีย กูไม่รู้หรอกว่าไปโกรธเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนแต่งานคืองาน มึงทะเลาะกันสองคนก็จริงแต่มันส่งผลเสียถึงขนาดไหนมึงเห็นรึเปล่า จบงานก็เตรียมคำพูดดีดีไว้บอกกูด้วยละกัน ” ผมบอกกับมันก่อนจะเดินเข้ามาในห้องสตูดิโอทันที ไอ้ขุนมันก็เดินตามมาเงียบๆ

นานแค่ไหนที่ไม่ได้หัวร้อนแบบนี้วะเนี่ย หัวร้อนกว่าตอนที่ไอ้ขันเอาผักตบชวามาใส่รถอีก ผมเข้ามานั่งประจำที่ของตากล้อง ไอ้เผือกมันก็นั่งอยู่ข้างๆ ดูจากหน้าก็รู้ว่ามันหงุดหงิดอยู่ มันคงได้ยินที่พวกผมมีปัญหากันด้านนอกแน่ๆ จบงานนี้ตัวมันอาจจะไปกระทืบไอ้คนที่ว่าผมห้าวก็ได้ มันเป็นพวกรักเพื่อนนี่ครับ ใครมาว่าพวกผมแม่งพร้อมจะซัดทุกคนอ่ะ

“ รันคิวตามนี้เลยนะครับพี่ๆ ” ไอ้หมีมันยืนอธิบายคิวถ่ายให้พวกดาวเดือนฟัง ผมมองไอ้ขุนที่นั่งหงอยอยู่ข้างพี่เกียร์ สมน้ำหน้าไอ้บ้าทำอะไรไม่ค่อยจะคิดหรอกโดนกูโกรธไปเลยมึง

“ มึงโอเคนะหนม ” ไอ้เผือกเอ่ยถามผมอย่างเป็นห่วง

“ กูโอเค หัวร้อนนิดหน่อยแต่ไม่ทำให้งานเสียหรอก ”

“ งั้นก็ดีแล้ว ”

“ พร้อมก็เริ่มเลยครับ กล้องพร้อมแล้ว ” ผมตะโกนบอกทุกคนในห้องสตูดิโอ

เอาล่ะเจ้าขนม....ทำจิตใจให้สงบซะ แม่ผมสอนว่าห้ามเอาอารมณ์ส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานเด็ดขาดเพราะมันจะทำให้งานเราเสียหายได้

แต่ไอ้ผมหมั่นหน้าไอ้พี่ที่บอกว่าผมห้าวจริงๆว่ะ

อยากจะตั๊นหน้าสักที



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



แย่ว่ะ

ผมทำให้คนตัวเล็กโกรธผมซะแล้ว

ผมนั่งมองขนมที่นั่งถ่ายรูปอย่างตั้งอกตั้งใจ คำที่น้องบอกผมมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่มากเลย อยากจะขอโทษตั้งแต่ตอนนั้นที่ก่อเรื่องแต่ดูจากอารมณ์ของน้อง ถึงผมบอกขอโทษไปก็คงจะไม่ยกโทษให้ผมอย่างแน่นอน พอเรื่องมันเป็นแบบนั้นผมก็ทำได้แต่นั่งหงอยอยู่ตรงนี้แหละครับ

พี่ขุนเสียใจนะน้องหนม

“ เอาหน่ามึง เดี๋ยวก็ค่อยอธิบายให้น้องมันฟัง ” ไอ้เกียร์มันแตะไหล่ปลอบใจผมเบาๆ ไอ้อธิบายมันก็ต้องอธิบายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ในใจมันห่อเหี่ยวอ่ะ

วันนี้ผมได้มีโอกาสมาให้ขนมถ่ายรูปแท้ๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานก็เถอะ แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีอ่ะ ผมแม่งแย่ที่ทำตัวบัดซบให้น้องเห็นซะได้ ไม่น่าเลยไอ้ขุนเอ้ย ทำตัวดีมาตลอดแท้ๆ แต่อย่างว่านะถึงน้องไม่รู้วันนี้สักวันน้องก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ

เรื่องที่ผมกับไอ้น้ำไม่ถูกกัน

ผมกับไอ้น้ำมีปัญหากันมาตั้งแต่ปี 1 เรื่องที่เป็นปัญหาก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิงแม่งโคตรไร้สาระชิบ แฟนไอ้น้ำบอกเลิกมันเพราะว่าชอบผม เธอตามผมอยู่ช่วงนึงเลยนะแต่ผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยเลย พอไม่เล่นด้วย เธอก็ไปบอกไอ้น้ำว่าโดนผมข่มขืน ไอ้น้ำมันก็พาเพื่อนมากระทืบผมโดยที่ไม่ฟังอะไรสักคำ เชื่อแต่คำโกหกของผู้หญิงคนนั้น

ช่างแม่งปล่อยให้มันโง่ต่อไป

ผมก็เลยมีปัญหากันมานับจากนั้น ทุกครั้งที่มันหาเรื่องผมก็ปากไวสวนกลับไปตลอด ชาตินี้คงไม่มีวันญาติดีกับมันได้แน่นอนเลย หวังว่าถ้าผมเล่าเรื่องนี้ให้คนตัวเล็กฟังเขาจะเข้าใจผมนะ แล้วก็คงจะต้องเล่าเรื่องของหมวยกับต่ายที่ทะเลาะกันอีก ผมเคยคั่วอยู่ช่วงนึงทั้งสองคนเลยแต่มันก็นานมามากแล้วตั้งแต่สมัยปี 1 โน่น

ตั้งแต่เจอขนมผมก็ไม่คิดจะยุ่งกับใครอีก

“ คิวมึงที่เท่าไหร่วะขุน ”

“ สุดท้ายเลยว่ะ กูขอไอ้หมีเองแหละ ” อยากอยู่มองน้องทำงานนานๆครับไม่ใช่อะไร สีหน้าคนตัวเล็กตอนนี้มุ่งมั่นและตั้งใจสุดๆ

น่ารักจังเลยครับ

แอบถ่ายรูปๆ

“ มึงนี่แสดงหน้าตาโรคจิตออกมาได้อย่างชัดเจนเลยนะ ” ไอ้เกียร์มันแขวะผม แหม เวลามึงอยู่กับไอ้แกงมึงก็แสดงหน้าโรคจิตไม่ต่างจากกูหรอก

ไอ้เกียร์กับไอ้แกงมันเป็นแฟนกันครับ เป็นมานานแล้วด้วยแต่ไม่ค่อยมีใครรู้เพราะพวกมันไม่คิดจะบอกใคร ไอ้เกียร์มันเคยมีปัญหากับไอ้ดรายซ์ที่เป็นเดือนเกษตร เพราะว่าไอ้ดรายซ์มันตามจีบไอ้แกง แม่งเคยเกือบจะต่อยกัน ผมเองก็ไม่ค่อยชอบไอ้ดรายซ์เพราะว่ามันหน้าม่อพร่ำเพรื่อ แถมมันยังดูปัญญาอ่อนขัดหูขัดตา

ผมก็เลยคิดแผนการณ์ขั้นเด็ดขาดขึ้นมาแผนนึง

ผมรู้มาจากเพื่อนคณะเกษตรว่าไอ้ดรายซ์มันกลัวตุ๊กแกมาก ผมเลยจัดการไปจับตุ๊กแกที่บ้านป้ามาสามตัว วันนั้นผมนัดกันไปกินเหล้าที่ร้านประจำก็เจอไอ้ดรายซ์มาจีบไอ้แกงเหมือนเดิม ผมก็เลยได้โอกาสเอาตุ๊กแกไปปล่อยใส่ในเสื้อไอ้ดรายซ์ มันกรี๊ดลั่นร้านเลยครับ มันช็อคมากก่อนจะสลบไป พวกผมนี่ก็ตกใจไม่คิดว่ามันจะกลัวขนาดนั้น

พอจบเรื่องวันนั้นมันก็ไม่กล้ามายุ่งกับพวกผมอีก

“ เออขุน น้องแว่นนี่น่ารักเนอะตอนไม่ใส่แว่นอ่ะ ” ผมหันขวับมองไอ้เกียร์ทันทีที่มันพูด มึงไปเห็นหน้าน้องมันตอนไม่ใส่แว่นได้ยังไงไอ้เกียร์ หน้านั้นกูต้องเห็นได้แค่คนเดียวสิ

“ มึงรู้ได้ยังไงห้ะ ”

“ ก็ตอนที่น้องไปหากูที่คณะน่ะ กูคิดว่ามันต้องน่ารักกูเลยดึงแว่นน้องมันออก หน้าที่อยู่ใต้แว่นนั่นน่ารักจริงๆ สายตากูเวลามองคนนี่ยังแม่นเหมือนเดิม ” ไอ้เกียร์มันยิ้มอย่างภูมิใจ ไม่ต้องมาภูมิใจเลยไอ้สัส แว่นมันอยู่บนหน้าน้องดีดีเสือกไปดึงออก ถ้าคนอื่นเห็นแล้วมาตามจีบกูจะทำยังไง

“ มึงมันเลว กูฟ้องไอ้แกงแน่ ”

“ อย่าฟ้อง ” ไอ้เกียร์มันทำแก้มป่อง คิดว่าน่ารักหรอไอ้สัส กูฟ้องแน่มึงไม่รอดหรอก

“ คนนี้ห้ามยุ่ง กูหวง ”

“ จริงจัง ” มันเลิกคิ้วมองผม

“ จริงจัง ” ผมพูดอย่างจริงจังเพื่อที่จะบอกมันว่าผมไม่ได้คิดจะเล่นๆกับขนม ถ้าผมไม่จริงจังกับน้องผมจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นทำไม เที่ยวก็น้อยลง แถมยังทำอะไรเลี่ยนๆที่ตัวเองไม่เคยทำอีก

จริงจังสุดใจเลยกับคนเนี้ยะ

“ กูจะเอาใจช่วย มีอะไรก็บอกกูละกัน ”

“ เออ ขอบใจว่ะ  ”

“ คิวต่อไปพี่เกียร์ครับ ” เสียงไอ้หมีเรียกไอ้เกียร์ไปถ่ายต่อ

ผมมองเหล่าดาวเดือนที่ทยอยกันถ่ายรูปเสร็จกันไปเกินครึ่ง ก็ถือว่าเร็วเหมือนกันนะหรือว่าเป็นเพราะขนมถ่าย ผมฟังเรื่องของขนมทั้งหมดมาจากไอ้หมี ไอ้หมีมันก็เล่าให้ฟังหมดอย่างไม่ปิดบังมันจึงทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กนั่นเป็นคนยังไง ขนมเป็นคนเรียนเก่งแถมทำงานก็เก่ง เป็นที่หนึ่งของชั้นปี จะมีเรื่องที่น้องไม่เก่งก็คือเรื่องสานสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

แต่ก็ดีแล้ว น่ารักๆแบบนั้นอย่ารู้จักใครเยอะเลย

ผมฟังเรื่องของขนมมาเยอะนะครับพอมาเจอกับนิสัยหลายๆอย่างของน้องจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากที่ไอ้หมีพูดไว้เลย ทั้งเรื่องนิสัยทั่วๆไป เรื่องนิสัยการทำงานก็ได้เห็นในวันนี้แหละว่าเป็นคนที่ใส่ใจและจริงจังในงานที่ทำ ในเรื่องครอบครัวน้องผมก็รู้ว่าน้องเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่สาวสองคน และพี่ชายอยู่คนนึง

โลกโคตรกลมที่พี่ชายของขนมคือพี่ขัน พี่รหัสของผมเอง

ไอ้หมีเล่าให้ฟังว่าพี่ขันหวงน้องมาก ตัวขนมเองคงจะไม่รู้ว่าพี่ชายหวงขนาดไหน ผมรู้มาว่าพี่ขันชอบแกล้งขนม ก็เห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วครั้งนึงล่ะนะเรื่องผักตบชวาน่ะ ผมก็สงสัยนะว่าทำไมพี่ขันถึงทำเรื่องแบบนั้น เดี๋ยวจะต้องถามขนมละผมรู้สึกสงสัยกับการกระทำของพี่ขันจริงๆ

จะมีพี่สักกี่คนที่เอาผักตบชวาใส่รถของน้องในวันสอบ

พี่ขันรู้ว่าผมชอบขนมเพราะผมเป็นคนบอกเขาเอง พี่ขันแสดงออกมาค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าไม่อยากให้ผมยุ่งกับน้อง เขาถึงได้บอกตอนที่ผมไปถามเขาว่ารู้จักขนมไหม เขาก็ตอบทันทีว่าไม่รู้จักทั้งๆที่นั่นเป็นน้องชายแท้ๆของเขา พี่ขันเป็นพี่รหัสที่ดีและผมก็ยกเขาเป็นไอดอลของผม เขาเป็นคนที่เท่มากเลยนะครับ แต่พี่ขันไม่ชอบคนที่เจ้าชู้ แล้วผมก็ดันเป็นคนเจ้าชู้ ความเจ้าชู้ของผมมันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าคนที่ผมยุ่งไม่ใช่น้องเขา

เหมือนเจออุปสรรคใหญ่มากๆเลยว่ะ

“ พี่ขุนคิวพี่แล้วครับ ” และแล้วก็ถึงคิวผมที่เป็นคิวสุดท้ายแล้ว จากตอนที่เริ่มถ่ายจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายโมงครึ่ง

ถ้าชวนขนมไปกินข้าวหลังจบงานน้องจะไปกับผมไหมนะ

พอเลิกคิดก่อน

ผมรีบเดินเข้ามาในฉากหน้ากล้อง ขนมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทำหน้าจริงจังเหมือนเดิม ผมจะต้องตั้งใจให้เหมือนกับน้อง งานจะได้เสร็จไวไว ผมจะได้คุยกับน้องสักที

“ โพสท่าที่มึงคิดว่ามึงดูดีอ่ะ ” เอาจริงๆก็ดูดีแม้ว่าจะยืนปกติน่ะนะ ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ ก็คนมันดูดีจริงๆ

ผมก็เริ่มโพสท่าให้น้องถ่ายไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนท่าโพสของผมยังทำให้ตากล้องตัวเล็กไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ นี่ผมก็ว่าผมตั้งใจแล้วนะ หรือว่าผมยังตั้งใจไม่พอ รูปถึงออกมาไม่ดี

“ กูว่ารูปนี้ก็ดีนะหนม ” ไอ้เผือกเพื่อนขนมที่ผมเจอบ่อยๆที่ร้านเหล้าพูดบอกกับคนตัวเล็ก แม่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชิบหาย กูยังไม่มีโอกาสได้ยื่นเข้าไปใกล้ขนาดนั้นเลย

“ ยัง....ยังดีไม่พอ ” พอผมได้ยินแบบนั้นผมก็โพสท่าเพื่อให้น้องถ่ายใหม่ ขนมก็รัวชัตเตอร์ถี่ๆ

“ ซ้ายยกขึ้นหน่อย ” ซ้ายนี่แขนซ้ายป้ะวะ ผมคิดได้แบบนั้นก็ยกแขนซ้ายให้สูงขึ้นตามที่น้องบอก

“ กูบอกว่าซ้าย ” คนพูดไม่ได้ละสายตาจากเลนส์กล้องขึ้นมามอง ผมก็ยกซ้ายป้ะวะผมยกผิดตรงไหน

“ นี่ก็ซ้ายนะ ” ผมเอ่ยบอกคนตัวเล็ก พี่ขุนยกสูงไม่พอหรอครับหรือยังไง

“ ซ้ายของกู ”

เอ่อ....จ่ะ

มึงก็บอกว่าข้างขวาสิวะ!!!!!!!!!!!!

ไม่ได้ๆไอ้ขุน ใจเย็นไว้

“ มึงนี่กวนตีนเหมือนกันเนอะหนม ” ไอ้หมีมันมองขนม เออกวนตีนจริงๆ กวนตีนในฐานะที่กูสวนกลับไม่ได้ด้วย

“ เงียบไปเลยไอ้หมี ” ขนมเอ็ดไอ้หมี ผมก็ยกแขนขวาขึ้นตามที่น้องสั่งให้ยก สั่งมาเลยครับคนดีสั่งอะไรก็จะทำให้ พี่ยอมแล้วครับยอมแล้วทุกอย่าง

พี่ยอมแล้ววววววววววววววว



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 8 : 8/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-11-2017 19:22:31
---------- ต่อจากบท 8 ----------



การถ่ายรูปดาวเดือนมหาลัยของผมก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ หลังจากที่ผมเอาคืนไอ้ขุนด้วยการที่มันโพสท่าไปเรื่อยเปื่อยเกือบครึ่งชั่วโมง หมั่นไส้นี่ครับ นี่ถือว่าผมลงโทษมันเล็กๆน้อยๆนะ ผมใช้เวลาในการถ่ายรูปมันนานมากกว่าคนอื่น อันที่จริงมันใช้ได้ตั้งแต่รูปแรกแล้วล่ะ

แต่บอกแล้วว่าหมั่นไส้

ตอนนี้ผมนั่งเก็บอุปกรณ์กันอยู่โดยที่มีไอ้ขุนนั่งมองอยู่ห่างๆ สงสัยมันจะรออธิบายเรื่องวุ่นวายให้ผมฟัง ส่วนพี่เกียร์ที่มาพร้อมกับไอ้ขุนนั้นคงไปกินข้าวล่ะมั้ง แน่ล่ะนี่มันเกือบบ่ายสองแล้ว ผมเองก็หิวข้าวเพราะยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า นี่ถ้าผมยังกินข้าวไม่ตรงเวลาโรคกระเพาะต้องถามหาผมแน่ๆ

“ เดี๋ยวกูเอาไฟล์รูปไปให้พวกไอ้ปั้นเลยละกันนะ ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะเก็บเอสดีการ์ดใส่กระเป๋าของมัน

“ อย่าให้หายนะ ” ผมกำชับมัน งานนี้ต้องรอบคอบครับเพราะเป็นงานใหญ่ เอาจริงๆไม่ว่าจะงานอะไรเราก็ต้องรอบคอบอยู่แล้ว

“ ไม่หายแน่นอน เจอกันตอนเย็นละกันนะมึง ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็เดินออกไปทันที

“ กูกลับหอไปนอนก่อนนะ กูง่วงอ่ะ ” เสียงเรียบของไอ้เผือกเอ่ยบอกผม ดูท่าก็คงจะง่วงเต็มที่อ่ะนะ

“ เออ ค่อยมาหากูที่หอตอนเย็น ”

“ แล้วเจอกัน ” แล้วไอ้เผือกก็เดินจากไปอีกคน ตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้ขุนสองคนในห้องสตูดิโอ

“ ไปกินข้าวกัน ” ผมมองไปทางไอ้ขุนที่ชวนผมไปกินข้าว ก็ดีเหมือนกันเพราะตอนนี้หิวมาก แถมจะได้ให้มันอธิบายเรื่องที่มันทะเลาะกับไอ้พี่หน้าตี๋นั่นด้วย

“ เออ ” ผมเดินเอากล่องใส่กล้องไปเก็บไว้ในตู้ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองออกมา กินอะไรดีวะ อยากกินอะไรเย็นๆด้วย หาข้าวกินก่อนค่อยไปกินไอติมดีกว่า

“ ไปกันเถอะ ”

ผมมองไอ้หล่อที่ยังทำหน้าหงอยอยู่ก่อนจะเดินออกมาจากห้องสตูดิโอ โดยที่มีมันเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง ตลกดีนะที่เห็นไอ้คนที่ทำโหดเมื่อกี้เดินหงอยตามอยู่ด้านหลังแบบนี้น่ะ

ฮ่าๆๆ นี่สินะคือสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ





ร้านไอติมหลังมอ

หลังจากที่ผมกับไอ้ขุนไปกินข้าวด้วยกันมา ผมก็ลากมันมาที่ร้านไอติมทันที ระหว่างที่กินข้าวผมกับไอ้ขุนไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ต่างคนต่างจ้วงข้าวใส่ปากอย่างเต็มที่ แต่ถึงมันจะอธิบายในตอนนั้นผมก็คงจะบอกให้กินข้าวเสร็จก่อนค่อยคุย

และแล้วตอนนี้ก็ถึงเวลานั้น

เวลากินไอติม

“ เอาช็อคโกแลตสองลูกครับ ” ผมสั่งไอติมกับพนักงานที่เคาท์เตอร์ก่อนที่จะเดินมานั่งที่โต๊ะโดยมีไอ้ขุนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ หนม ”

“ อะไร ”

“ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น....กูขอโทษนะ ” ไอ้ขุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ ทำไมถึงมีเรื่องกัน ” ยังครับ ยังไม่ยกโทษ ผมอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาก่อนว่าอะไรมันเป็นยังไง

“ ก็....กูกับไอ้น้ำไม่ถูกกัน ตั้งแต่ปี 1 แล้วล่ะ เรื่องผู้หญิงน่ะ มัน.....” แล้วไอ้ขุนก็เล่าให้ผมฟังไปเรื่อย ผมฟังไปแล้วก็ตักไอติมกินไป ฟังจากที่มันเล่าก็คงไม่แปลกหรอกนะที่จะไม่ถูกกัน อีกฝ่ายก็หน้าโง่ไม่ยอมฟังอะไรเลย นอกจากที่มันเล่าเรื่องมันกับไอ้คนที่ชื่อน้ำมันก็เล่าให้ผมฟังด้วยว่าพี่ปากแดงกับพี่ปากส้มเกี่ยวข้องกันยังไง

มีความหมั่นไส้แปลกๆ

“ เรื่องมันก็เป็นอย่างที่กูเล่าให้ฟังทั้งหมดนั่นแหละ มีอะไรอยากจะรู้อีกไหม ”

“ ก็มี แต่ยังไม่อยากรู้ตอนนี้ ” ผมแย่งเชอร์รี่ในถ้วยไอ้ขุนมากิน มันก็ไม่ได้ว่าอะไร ลองว่ากูสิกูทุบหน้าให้

“ งั้นถ้ามึงอยากรู้อะไรมึงก็ถามกูนะ กูยินดีจะเล่าทุกเรื่องให้มึงฟัง ” ถ้ากูถามว่ามึงช่วยตัวเองครั้งล่าสุดเมื่อไหร่มึงก็คงจะบอกกูสินะ

เห้ย คิดเรื่องอะไรเนี่ยะหนม

“ มึงอย่าลืมคำพูดตัวเองซะล่ะ ”

“ แล้วนี่มึงหายโกรธกูรึยัง ” ไอ้ขุนถาม ผมมองหน้ามันนิ่งๆ เอาจริงๆเรื่องเมื่อเช้ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไรมาก แต่พูดถึงว่าส่งผลเสียไหมมันก็มี แต่ในเมื่อมันอธิบายเหตุผลแถมยังขอโทษผมแล้ว ผมก็พร้อมที่จะอภัยให้มันได้

แม่ผมสอนครับ ว่าเราต้องรู้จักการให้อภัยผู้อื่น

“ เออ อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกล่ะ ถ้ามีอีกกูไม่ให้อภัยมึงแน่ ”

“ ครับผม จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันกลับมายิ้มออกทันทีที่รู้ว่าผมให้อภัยมันแล้ว ปากบานเชียวนะมึง

“ แดกๆไป กูอยากกลับหอไปนอนแล้วกูง่วง ”

“ ง่วงแล้วหรอ ว่าจะชวนไปดูหนังต่อซะหน่อย ” สภาพตากูจะปิดแบบนี้ชวนกูไปดูหนังกูคงหลับสนิทคาโรงอย่างแน่นอนไม่ต้องสืบ

แต่เห็นสีหน้าผิดหวังของมันนี่ก็ดูน่าสงสารอยู่แฮะ

“ มึงอยากจะไปดูหนังจริงๆหรอ ” ผมเอ่ยถามมัน จนกว่าจะถึงเวลานัดกับเพื่อนๆผมก็อีกหลายชั่วโมงอ่ะนะ

“ ก็อยาก....แต่เอาจริงๆกูอยากอยู่กับมึงมากกว่า ”

ไอ้บ้าขุน

เหตุผลของมึงนี่มันจริงๆเลยนะ

ผมมองมันอย่างชั่งใจ เอายังไงดีวะ วันนี้ไอ้ขุนมันก็ทำงานได้ดีเลยนะครับถึงแม้ว่าตอนแรกจะมีปัญหาก็เถอะ ผมควรให้รางวัลมันดีไหม แต่ผมไม่ไปดูหนังแน่ๆเพราะตอนนี้ง่วงมากตาจะปิด ไอ้ขุนมันบอกว่ามันอยากอยู่กับผม

งั้นก็....

“ เช่าหนังไปดูที่หอกูก็ได้ แต่กูจะนอนนะ มึงจะไปรึเปล่า ” ผมมองหน้าไอ้ขุนที่ดี๊ด๊าขึ้นทันที นี่ถ้ามันมีหางเหมือนหมา หางมันคงกระดิกรัวๆอยู่แน่ๆ

“ ไปๆ กูไป กูจะไม่กวนเลยจะอยู่เงียบๆ ” พูดช้าๆก็ได้ มึงจะดีใจอะไรขนาดนั้นวะ

“ เออ ไปจ่ายตังค์จะได้รีบไป ” มื้อนี้ไอ้ขุนก็เลี้ยงผมไปตามระเบียบ แน่ล่ะมันทำผมโกรธนะมันก็ต้องรับผิดชอบสิ

พอไอ้ขุนมันจ่ายเงินเสร็จ ผมกับมันก็เดินออกมานอกร้านก่อนจะขับรถกลับมาที่หอของผมโดยไอ้ขุนมันแวะเช่าหนังมาสองเรื่อง ผมไม่ได้สนใจหนังที่มันเช่ามาหรอกครับเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ดูแน่นอน ผมเปิดเข้ามาในห้องก่อนจะเปิดแอร์ ขอนอนให้ชุ่มปอดเถอะงานเสร็จทั้งที

“ ถอดถุงเท้าก่อนสิหนม ” ไอ้ขุนมันบอกผมหลังจากที่ผมกระโจนลงบนเตียงทันที ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นโว้ย

“ กูจะนอน ” ผมเอาหมอนมาบังหน้าเพื่อหนีจากไอ้หล่อที่พูดอะไรของแม่งก็ไม่รู้งุ้งงิ้งๆ

“ มึงนี่จริงๆเลย ” ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่จับข้อเท้าผม ผมลดหมอนลงก็เห็นเป็นไอ้ขุนที่นั่งอยู่ปลายเตียง มือเรียวของมันค่อยๆถอดถุงเท้าทั้งสองข้างออกให้

ความจริงมึงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ

“ ไอ้ขุนมึง....”

“ ถุงเท้ามันจะทำให้เตียงเลอะรู้ไหม ไม่ต้องห่วงหรอกกูจะแตะตัวมึงก็แค่นี้แหละ กูไม่ทำอะไรตอนมึงหลับหรอกไว้ใจได้ ” มันยิ้มหวานก่อนจะยกเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆเตียงที่ผมนอน เอาจริงๆผมไม่ได้ระแวงอะไรมันเลย ไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำว่ามันจะแอบทำอะไรผมตอนหลับรึเปล่า

นี่ผมไว้ใจมันขนาดนี้เลยหรอวะ

“ สักห้าโมงเดี๋ยวกูปลุกละกัน กูจะไม่เสียงดังมากหรอก ฝันหวานนะ ” มันว่า ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ผมแล้วมันก็เดินไปเปิดหนังที่มันเช่ามาดู

ผมนอนมองมันตาแป๋ว รู้สึกแปลกๆมากในตอนนี้ นอกจากแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครที่ดูแลผมแบบนี้ บางทีมันเป็นเรื่องเล็กน้อยซึ่งมันไม่ต้องทำก็ได้แต่มันก็เลือกที่จะทำ เรื่องที่มันไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันก็ใส่ใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างมันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมเป็นคนสำคัญ

รู้สึกดีนะ

รู้สึกดีจนอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

“ มองทำไมหืม ไหนว่าจะนอนไง ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นผมนอนมองมันอยู่ เออกูกำลังจะนอนไง ใจเย็นได้ไหมล่ะ ขอเวลากูเคลียร์กับตัวเองสักสามนาทีได้ไหม

“ เออ นอนแล้ว ” ผมพลิกหันหนีมาอีกข้างทันที ไอ้บ้านี่ใครอยากจะมองมึงกันวะ

กูก็แค่...

ก็แค่...

ช่างแม่งเถอะ นอนก็นอน









TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 8 : 8/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 09-11-2017 07:37:46
ขอบคุณค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-11-2017 20:43:20
บทที่ 9 ของที่ชอบ


อา....ไม่ไหวแล้ว

ต่อให้เป็นคนเก่งอย่างขนมก็ไม่ไหวแล้ว

“ เห้ยไอ้หนมมึงอย่าเพิ่งตายนะ ” เสียงไอ้หมีแว่วดังเข้ามาในหูผม สมองตอนนี้ไม่สั่งการห่าไรทั้งนั้นอ่ะ มันมีแต่ความมึน ความง่วง ความอ่อนล้า ความอ่อนแอ

อ่อนแอแบบนี้งอแงใส่ใครได้บ้างครับ

“ มึงไหวไหมเนี่ยหนม ไปนอนก่อนไป ” ไอ้ปั้นเอ่ยบอกผมอย่างเป็นห่วง ไม่เป็นไรปั้น เสร็จงานเมื่อไหร่เดี๋ยวกูจะนอนยาวแบบไม่ต้องตื่นเลย

ตอนนี้พวกผมนั่งปิดจ๊อบงานนิตยสารโปรโมทมหาลัยกันอยู่ที่ห้องของไอ้หมีครับ อยู่มาอาทิตย์นึงแล้วด้วย ที่มาทำที่ห้องของไอ้หมีก็เพราะห้องไอ้หมีมันใหญ่ที่สุดและมีพื้นที่มากพอที่จะยัดนักศึกษาผู้น่าสงสารทั้ง 7 คนได้แบบไม่อึดอัด แต่ละคนในห้องตอนนี้มีสภาพอิดโรยใกล้ตายเป็นอย่างมาก พวกผมไม่ได้นอนกันมาประมาณ 3 วัน เพราะต้องทำงานนี้ ทั้งเขียนบทความจัดหน้าแต่งภาพ นี่ขนาดว่าทุกคนช่วยกันทำอย่างเต็มที่เลยนะครับ มันก็ยังไม่เสร็จสักที

เดดไลน์คือวันนี้ก่อน 5 ทุ่ม

แล้วตอนนี้เป็นเวลา 1 ทุ่มครึ่ง

หึ....

ผมเชื่อแล้วเรื่องที่พี่กริมบอกว่างานนี้มันงานโหด เอาจริงๆถ้าพวกผมไม่โดนสั่งกลับมาแก้นะมันก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว บทความเขียนใหม่ตั้งหลายรอบแน่ะ ขนาดให้เซียนๆอย่างไอ้ไผ่เขียนแท้ๆก็ไม่ถูกใจอาจารย์อมร พวกผมเคยทำงานให้คณะมาหลายงานแต่ไม่มีงานไหนหนักเท่างานนี้เลย

โหดร้ายสุดๆ

“ ถ้าเราไม่ต้องไปเรียนแล้วทำอย่างเดียวกูว่าก็น่าจะเสร็จไปแล้วนะ ” จริงอย่างที่ไอ้เป้พูดครับ ลำพังถ้าพวกผมทำงานอยู่ที่ห้องกันอย่างเดียวสภาพพวกผมจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน แต่คือนี่ต้องไปเรียนด้วยไง เรียนเสร็จก็ต้องรีบกลับมาทำงานต่อ พอเช้าถึงเวลาก็ไปเรียนต่อ เป็นแบบนี้มา 3 วัน

นี่ถ้าไม่ใช่เด็กนิเทศนี่ทำไม่ได้นะ

“ ทำไงได้วะ อาจารย์ดันมาเก็บคะแนนควิซย่อยนี่หว่า แม่งจะสอบมิดเทอมมันก็อย่างนี้แหละ ” ไอ้ภีมบอกก่อนจะหาว ปกติไอ้ภีมมันจะเป็นพวกนอนตลอดเวลานะครับ แต่ 3 วันมานี้ผมก็ยังไม่เห็นมันหลับสักครั้ง

ดี ทำดีมากเพื่อนภีม ไว้เรามาหลับไปพร้อมกัน

“ หนมดู ” ไอ้ไผ่มันสะกิดให้ผมดูในจอโน้ตบุ๊คมัน มันกำลังจัดหน้าอยู่ครับ นิตยสารมหาลัยมีประมาณ 30 กว่าหน้า พวกผมก็ต้องแบ่งกันจัด จัดหน้านี่ยากนะครับ มันยากตรงจะจัดยังไงให้มันดูลงตัวและน่าสนใจ

“ ตรงนี้มันชิดขอบไป เอาเข้าไปอีกนิดนึง ” ผมบอกไอ้ไผ่ก่อนจะหันกลับมามองหน้าจอโน้ตบุ๊คตัวเองแล้วก็ทำงานของตัวเองต่อ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แม่งมาละ

ผมลุกไปเปิดประตูห้องก็พบกับไอ้ขุนคนเดิมเพิ่มเติมคือเอาเสบียงมาส่งให้ ผมมองร่างสูงที่ใส่เสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับทุกวัน ในมือถือถุงใส่ข้าวกล่องนับสิบ แถมยังมีกาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังอีกด้วย

“ เอาของกินมาให้ มึงไหวไหมเนี่ย ” มันเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะดึงเสื้อมันให้เข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตู ตัวมันก็เดินเอาของมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว

“ กูซื้อข้าวมาให้แล้วนะ ” ไอ้ขุนมันบอกกับเพื่อนๆผมที่นั่งกองกันอยู่กับพื้น ช่วงที่พวกผมทำงานยุ่งกันก็มีมันนี่แหละที่เป็นคนคอยหาข้าวมาให้กิน ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีมันพวกผมคงเสียเวลาทำงานเพิ่มแน่ๆ

“ ขอบคุณครับ ” ร่างเกือบไร้วิญญาณทั้ง 6 เอ่ยขอบคุณไอ้หล่ออย่างเป็นปกติ ผมกลับมานั่งหน้าโน้ตบุ๊คเหมือนเดิม ไอ้หล่อมันก็มานั่งลงข้างๆเหมือนอย่างที่มันทำทุกวัน

นั่งเงียบๆไม่ถามไม่ยุ่ง

รอผมไล่กลับถึงจะกลับ

จากวันที่ผมถ่ายรูปดาวเดือนคณะก็ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วครับ ผมเริ่มยุ่งกับงานก็ช่วงหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ไอ้ขุนก็เทียวไปเทียวมาโผล่หน้ามาให้ผมเห็นทุกวัน ไปที่ตึกคณะผมบ้างไปที่หอผมบ้าง มีบางวันที่มันติดงานของคณะมันก็ไม่ได้มาหาผม แต่มันก็ไลน์มาบอกไม่ก็โทรมาหาผมตลอดนะ

ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองห่างจากมันเลย

แม้ว่าต่างคนจะต่างยุ่งขนาดไหนก็ตาม

“ หยิบน้ำให้กูหน่อย ” ผมหันมองไอ้หล่อ มันก็รีบหยิบน้ำมาให้ผมทันทีแถมเปิดขวดปักหลอดให้พร้อม

“ อิจฉาจังเลยน้า ” ฟังจากเสียงก็ไม่ต้องสงสัยว่าใคร ไอ้ห่าหมีไง

ตั้งแต่ที่พวกผมย้ายมาสิงห้องไอ้หมีแบบเฉพาะกิจไอ้ขุนมันก็มาหาผมบ่อยๆ มีช่วง 4 วันที่มันมานั่งเฝ้าเงียบๆช่วงแรกๆที่ไอ้ขุนมาพวกแม่งก็แซวผมกันใหญ่เลย ผมนี่ต้องโวยวายแล้วสั่งให้มันทำงาน ไอ้ขุนนี่ก็เข้ากับเพื่อนทุกคนของผมได้อย่างดีเหลือเกิน

น่าหมั่นไส้ชิบ

“ ทำงานไปเลยไอ้หมี ถ้าเสร็จไม่ทันนะมึงตายแน่ ” ผมขู่ไอ้หมี มันแลบลิ้นใส่ผมทีนึงก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

ผมคอยแอบมองไอ้หล่อที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ ผมเคยคิดเหมือนกันนะว่ามันไม่เบื่อบ้างหรอมานั่งอยู่นิ่งๆเงียบๆ ถึงแม้ว่ามันจะเล่นโทรศัพท์บ้างตามประสา แต่ผมว่าบรรยากาศมันดูน่าเบื่อ ทุกคนนั่งทำงานเงียบๆ ไม่ค่อยมีใครพูดคุยกันนะครับเวลาทำงานน่ะเพราะมันต้องใช้สมาธิ จะพูดกันก็ต่อเมื่อปรึกษากันเท่านั้น

แทนที่จะเอาเวลาไปเที่ยวเหมือนที่เคยทำ

แต่ดันมาอยู่กับผม

“ ไอ้ขุน ”

“ หืม ” มันละจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าผม

“ มึงไม่เบื่อบ้างหรอวะ ที่มึงเอาเวลามาขลุกอยู่กับกูแบบนี้ ” ผมเชื่อว่าคำถามของผมมันจะต้องทำให้ไอ้พวกเพื่อนๆรอฟังคำตอบของไอ้ขุนอย่างแน่นอน

“ กูอยู่กับของที่กูชอบ กูจะเบื่อทำไม ” คนพูดไม่ว่าเปล่า มือหนาเลื่อนขึ้นมาขยี้หัวผมแล้วยิ้มหวาน

อา....

ใจสั่นไปตามสเต็ป

หน้าเน่อนี่ไม่ต้องพูดถึง

“ โอ้ยยยยยยยตายแล้วววววว ” เสียงไอ้หมีนำมาก่อนเลยครับ

“ จดๆ ไอ้เป้มึงเอากระดาษมาจดไว้ ” ไอ้ปั้นก็ตามมาอีกคน

“ หน้าไอ้หนมโคตรแดงอ่ะ ถ่ายรูปๆ ” ไอ้ภีมนี่ถึงกับเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปผมไว้ พวกมึงนี่มันจริงๆเลย

“ ไอ้หนมยิ้มด้วยว่ะ พี่ขุนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ” ไอ้เป้มันแซว แน่ล่ะมึงใครมันห้ามไม่ให้ยิ้มได้วะ แค่ประโยคเดียวแต่ดีต่อใจกูชิบหาย

“ พอแล้ว หัวกูยุ่งหมด ” ผมจับมือไอ้คนที่ขยี้หัวผมออกก่อนจะกลับมาทำหน้าแบบเดิม ไม่ได้ๆตอนนี้มีงานสำคัญต้องทำก่อน

“ ครับผม ” ยิ้มอยู่ได้ไอ้บ้านี่

“ พวกมึงอ่ะเลิกแซวกูแล้วทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน ” ผมบอกพวกเพื่อนๆมันก็รับคำกันอย่างยิ้มแย้มก่อนจะพากันทำงานต่อ

ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วนะครับตั้งแต่วันที่ไอ้ขุนบอกว่าจะจีบผม มันก็ทำทุกอย่างให้ผมเห็นจริงๆนะว่ามันจีบ จีบแบบจริงจังด้วย เสมอต้นเสมอปลาย มีอะไรก็อธิบายหมด ทั้งเทคแคร์ทั้งใส่ใจ ผมยอมรับในตอนนี้เลยว่าจิตใจโอนอ่อนให้มันลงกว่าก่อนมาก แต่ผมก็คิดว่าผมยังไม่ได้ชอบมันนะ ก็แค่เปิดใจเท่านั้นแหละ ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะดีแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน แล้วมันจะรอวันที่ผมจะชอบมันได้รึเปล่า

ตอนนี้ผมก็โคตรสับสนตัวเองเลย

การที่ไอ้ขุนมันตามดูแลผมนี่ทำให้ผมมีแนวไอเดียในการแต่งนิยายมากขึ้นเยอะเลยนะครับ มีรี้ดถามหลายคนเลยว่านิยายที่ผมแต่งมันดูอ่อนโยนเหมือนกับคนที่กำลังมีความรักแต่ง

แน่ะ

ความรักอะไรกัน คิดกันไปโน่น

แต่ช่วงนี้ผมพักงานนิยายอยู่เพราะติดงานคณะ เสร็จงานเมื่อไหร่จะรีบไปปั่นลงอย่างไวเลย คำพูดที่ไอ้ขุนใช้บอกกับผม ผมอยากใส่มันลงไปในนิยายจะแย่แล้วแต่ละอันนี่โคตรเลี่ยนแม่งคิดได้ยังไงก็ไม่รู้

กูอยู่กับของที่กูชอบ กูจะเบื่อทำไม

ประโยคนี้ก็ต้องใส่ลงไปเหมือนกัน





ณ ตอนนี้เป็นเวลา 22 : 30 น.

งานเสร็จแล้วครับ

งานเสร็จแล้วครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เย่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

อยากจะตะโกนดังๆแต่ตอนนี้สภาพของแต่ละคนคือนอนตาย หลังจากที่พวกผมจัดหน้าทุกอย่างเสร็จก็ส่งเมลไฟล์งานทั้งหมดไปให้อาจารย์อมรแล้วครับ แก้ไม่ได้แล้วด้วยเพราะต้องส่งพิมพ์พรุ่งนี้ แต่ว่าแก้หลายรอบขนาดนั้นรอบนี้มันก็คงออกมาดีที่สุดแล้วล่ะนะ

หวังว่างั้น

“ นี่พวกมึงจะกลับหอไหม ” ไอ้หมีมันถามในขณะที่ตัวมันคลานขึ้นเตียงพร้อมที่จะนอนอย่างเต็มที่

“ กูอยากกลับนะแต่กูไม่ได้เอารถมา ”

“ กูก็เหมือนกัน อยากกลับไปนอนหอมากกว่าจะได้นอนยาวๆ ”

“ ให้กูไปส่งที่หอไหมล่ะ วันนี้กูเอารถใหญ่มา ” ผมหันมองไอ้ขุนทันทีที่มันพูด ไอ้ขุนมันมีรถยนต์ด้วยหรอวะไม่เคยเห็น ปกติก็ขับแต่มอเตอร์ไซค์

“ ไปพี่ ” ไอ้เป้ตอบรับทันที ไอ้ภีมนี่กำลังจะเข้าสู่นิทราอย่างเต็มที่

“ ไปครับ ” ไอ้ปั้นพูดด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ ไอ้ไผ่ก็หน้ามึนไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไอ้เผือกนี่เก็บอาการดีสุดแต่มันเองก็คงอยากจะกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน

“ งั้นไปกันเลยเถอะ ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะเดินนำพวกผมออกจากห้องมายังรถที่มันจอดอยู่หน้าตึก เป็นโตโยต้าฟอร์จูเนอร์สีขาวครับ จะยัดพวกผมได้หมดรึเปล่าวะเนี่ย

“ ป่ะขึ้น จะได้รีบกลับไปนอนกัน ” ไอ้ขุนมันบอกพวกผมก็รีบขึ้นรถอย่างว่าง่าย โดยที่ผมนั่งอยู่ด้านหน้ากับไอ้ขุน ไอ้พวกที่เหลือก็นั่งอัดกันอยู่ด้านหลัง ไอ้ขุนมันขับรถไปส่งพวกผมไล่หอทีละคนเลยครับ เริ่มจากไอ้ปั้น ไอ้เผือก ไอ้ไผ่ ทุกอย่างมันก็ดูปกติจนมาถึงหอไอ้เป้ ไอ้เป้มันลากไอ้ภีมลงด้วยครับ มันไม่ยอมให้ไอ้ภีมกลับหอตัวเอง ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม จะว่าเกรงใจไม่อยากให้ไอ้ขุนไปส่งต่อก็คงไม่ใช่

เรื่องนี้มันมีเงื่อนงำ

“ คิดอะไรอยู่หืม ” ไอ้ขุนมันถามผมทั้งๆที่มันก็ขับรถอยู่ แอบมองกูสินะถึงได้รู้ว่ากูทำหน้าสงสัยอยู่

“ ก็ไอ้เป้ไอ้ภีมอ่ะดิ่ ”

“ ทำไมอ่ะ ”

“ กูไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เป้ต้องให้ไอ้ภีมนอนค้างที่หอมัน ” มันน่าสงสัยจริงๆนะ ไอ้เป้กับไอ้ภีมนี่ไปนอนด้วยกันโคตรบ่อยอ่ะเท่าที่ผมรู้

“ เพื่อนนอนค้างด้วยกันไม่เห็นจะแปลกเลย ”

“ แปลกดิ่ กูเคยถามไอ้เป้ด้วยนะว่าทำไมชอบให้ไอ้ภีมมานอนที่หอ มันก็บอกกูว่าเพราะว่าหอมันใกล้มอ แต่ถ้าแบบนั้นมานอนที่หอกูมันไม่ดีกว่าหรอ หอกูใกล้กว่าอีก ”

“ ไม่ได้ ห้ามให้มานอน ” ผมหันมองไอ้ขุนทันที อะไรของมันวะ ทำไมต้องห้าม ไม่เห็นเข้าใจ

“ อะไรมึง ”

“ กูหวงอ่ะ ”

“ หวงบ้าอะไรของมึง ขับรถไปเลย ” ผมตีไหล่ไอ้หล่อทีนึง มันก็หัวเราะเบาๆให้ผม ยังจะมาหัวเราะอีกนะไอ้บ้า

เอ๊ะ

กระเป๋าผมหายไปไหน

ผมหันมองเบาะหลังเพื่อหากระเป๋าของตัวเองแต่ก็ว่างเปล่า อย่าบอกนะว่าลืมเอามาจากหอไอ้หมีน่ะ ไม่นะ ในนั้นมันมีกุญแจห้องอยู่นะเว้ย เป็นแบบนี้กูก็เข้าห้องไม่ได้น่ะสิ

“ มึง กูลืมกระเป๋าใส่ของไว้ที่หอไอ้หมีอ่ะ ”

“ อ่าว ละเอาไง ย้อนกลับไปเอาไหม ”

“ ไอ้หมีคงหลับลึกไปแล้วแหละตอนนี้อ่ะ จะขอกุญแจสำรองก็คงไม่ได้เพราะมันดึกแล้ว ” ผมจะทำไงดีวะ โอ้ยเพราะง่วงจัดสินะ สมงสมองนี่เบลอไปหมด ของสำคัญอย่างกุญแจห้องก็ลืมซะได้

“ ให้กูไปส่งบ้านไหม ”

“ ไม่เอาอ่ะ วันนี้วันศุกร์ไอ้ขันมันกลับไปนอนบ้านแน่ๆ กูไม่อยากเจอมัน ถ้ามันรู้ว่ากูกลับไปนอนบ้านนะ ไอ้ความตั้งใจที่จะนอนพักแบบยาวนานของกูจะหายไปทันที ” จริงจังครับ ไอ้ขันแม่งจะต้องมาเคาะห้องผมแต่เช้าแล้วลากผมไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้านแน่นอน ทุกครั้งที่ผมกลับไปนอนบ้านวันหยุดผมมักจะโดนแบบนี้เป็นประจำ

“ งั้นไปนอนบ้านกูละกันงั้นอ่ะ ”

“ มึงไม่ได้อยู่หอหรอ ”

“ อยู่....แต่วันนี้ตั้งใจจะไปนอนที่บ้านอยู่แล้ว แล้ววันนี้หอกูก็พวกไอ้แฝดไปนอนด้วย ”

“ ถ้ากูไปนอนบ้านมึง มันจะรบกวนที่บ้านมึงรึเปล่า ” ต้องถามก่อนครับ เพราะนี่ก็ดึกแล้วถ้าผมโผล่ไปนอนบ้านมันอาจจะสร้างความวุ่นวายให้คนที่บ้านมันก็ได้

“ ไม่รบกวนหรอก เพราะกูอยู่คนเดียว ป้าแม่บ้านเค้าจะมาทำงานอีกทีวันจันทร์น่ะ ” อย่างนี้นี่เอง

“ เออ ไปนอนบ้านมึงก็ได้ ”

พอผมบอกแบบนั้นไอ้ขุนก็ขับรถไปทางที่จะไปบ้านมันทันที มันเป็นทางเดียวกับที่ไปบ้านผมเลยครับ เพียงแต่ว่าบ้านมันไกลกว่า ถึงว่าวันที่รถผมเสียผมถึงเจอมันแถวนั้นพอดี คิดเรื่องนั้นก็รู้สึกบังเอิญจริงๆว่ะ แล้วก็โชคดีจริงๆที่เจอมัน ชีวิตที่ผ่านมาของผมมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่ก็มีมันนี่แหละที่คอยเข้ามาช่วยตลอด

ดีจริงๆเลย

“ กูเปิดรั้วแปปนึง ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะลงจากรถไปเปิดประตูรั้ว ผมมองบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้นระดับกลางๆ มันใหญ่ไปเกินกว่าจะอยู่คนเดียวนะอันที่จริง ผมเพิ่งรู้วันนี้ด้วยว่ามันอยู่คนเดียว นึกว่ามันอยู่กับพ่อแม่ซะอีก

“ แล้วพ่อแม่มึงไปไหนอ่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอ ” ผมถามไอ้ขุนที่ขึ้นรถมาเพื่อจะขับเข้าบ้าน

“ ไม่อ่ะ อยู่บ้านใหญ่ เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังนะ ” มันว่าก่อนจะดับเครื่องยนต์แล้วเดินลงจากรถ ผมก็เดินตามมันลงมา

ไอ้ขุนมันล็อครั้วก่อนจะพาผมเดินเข้ามาในบ้าน ผมรู้สึกปลื้มปริ่มกับบ้านนี้มากครับเพราะว่ามีเฟอร์นิเจอร์และของใช้หลายชิ้นเป็นสีเหลือง พอเห็นแบบนี้ก็คิดได้เลยน่ะนะว่าสีเหลืองต้องเป็นสีที่ไอ้ขุนชอบอย่างแน่นอน แหม่ รสนิยมดีเหมือนกันนะเนี่ย ด้านล่างก็เป็นห้องรับแขก มีโซฟากับโทรทัศน์จอใหญ่ชิบหาย เหมาะกับคนชอบดูหนังนะครับ อีกด้านจะเป็นห้องครัว ไว้พรุ่งนี้ค่อยสำรวจละกัน

“ ห้องนอนอยู่นี่ ” ไอ้ขุนมันเดินนำขึ้นบันไดไป ชั้นสองถูกแบ่งเป็นสองห้อง ผมเดินตามไอ้ขุนเข้ามาในห้องนอน ห้องนอนมันกว้างมากครับ ผนังห้องเป็นสีเหลืองอ่อนสีเดียวกับห้องผม เห็นแล้วรู้สึกดีชะมัด

“ มึงชอบสีเหลืองจริงๆสินะ ” ผมถอดแว่นออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะกระโจนขึ้นเตียงทันที เตียงนิ่มจังเลย ผมหยิบหมอนที่อยู่ข้างๆมากอดไว้แน่น กลิ่นหอมจัง สูดแม่งให้เต็มปอด

“ ชอบที่สุดอ่ะ แล้วเอาหมอนกูไปกอดนี่ คิดอะไรกับกูป้ะเนี่ย ” ไอ้หล่อมันอมยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างผม

“ คิดบ้าอะไรวะ มึงเอาคืนไปเลยไป ” ผมโยนหมอนใส่หน้าไอ้ขุน กูไม่กอดก็ได้ไอ้บ้า เชอะ

“ กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย....ยังอยากรู้เรื่องที่บ้านกูอีกไหม ” มันเอนตัวพิงหัวเตียงไว้ก่อนจะหันถามผม

“ อยาก....เล่ามา ” ผมพลิกตัวหันมองหน้ามัน ไอ้ขุนมันถอดเสื้อช้อปออกก่อนจะวางพาดไว้บนเก้าอี้ใกล้หัวเตียง ตอนนี้ตัวมันเหลือกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีดำที่มันใส่ไปเรียนมา ส่วนผมน่ะหรอ

กางเกงเจเจขาสั้นลายดอกไม้กับเสื้อแขนยาวสีขาว

ไม่คิดจะอาบน้ำด้วยครับ ตามนั้นเลย

“ ก็ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมาพ่อก็ซื้อบ้านหลังนี้ให้กูโดยให้เหตุผลว่า จะได้มีที่ให้เพื่อนมาค้างเวลาทำงานอะไรทำนองนั้น ถ้าจะให้ไปกันที่บ้านใหญ่พ่อกูกลัวว่ามันจะวุ่นวายแล้วก็ไม่สะดวก ถ้าเป็นคอนโดมันก็จะเล็กไป ส่วนหอที่กูเช่าไว้ก็เพราะมันใกล้มอ เอาไว้แวะไปนอนกับเก็บของ ”

ฟังจากที่ไอ้ขุนเล่าก็บ่งบอกได้ว่าบ้านมันต้องรวยในระดับนึง พ่อมันก็ใจดีเหลือเกินซื้อบ้านไว้ให้ลูกชายไว้พาเพื่อนมาค้างเวลาทำงาน แต่ดูจากทรงคงพากันมาแดกเหล้าแน่นอน ผมอยากให้ป๊าผมใจดีแบบพ่อไอ้ขุนบ้างจัง ใจดีแบบซื้อคอนโดให้ผมแบบไม่ต้องรอผมปีสามและได้เกรดเอทุกตัวอะไรแบบนี้

อิจฉาจังโว้ย

“ มึงนี่ดีว่ะ พ่อซื้อบ้านให้ด้วย ของกูนี่ป๊าจะซื้อคอนโดให้ก็ต้องรอปี 3 แถมยังต้องได้เกรดเอครบทุกตัวอีก ”

“ คนเก่งอย่างมึงทำได้อยู่แล้วแหละ ว่าแต่ทำไมอยากไปอยู่คอนโดล่ะ อยู่บ้านไม่ดีหรอ ”

“ กูรำคาญไอ้ขัน มันชอบแกล้งกู ”

“ ทำไมพี่ขันถึงชอบแกล้งมึงอ่ะ ”

“ ไม่รู้แม่ง มันเหงามั้ง กูยังเคียดแค้นมันเรื่องผักตบชวาอยู่เลย ” แค่นึกก็หัวร้อนแปลกๆ รถผมซ่อมเสร็จนานแล้วล่ะครับแต่ผมยังไม่ได้เอามาใช้ ทุกวันนี้ยังหลอนๆเวลาขึ้นรถอยู่เลยว่าจะเจอผักตบชวาอยู่ในกระโปรงรถรึเปล่า

“ เออ กูว่าจะถามหลายครั้งละ พี่ขันเค้าเอาผักตบชวามาใส่รถมึงทำไม ”

“ ก็ไอ้ขันมันคงไม่อยากให้กูไปสอบทันอ่ะ วิชานั้นถ้ากูไปสอบไม่ทันกูก็จะพลาดเอแบบชัวร์ๆ ”

“ กูพอเข้าใจแล้วว่าทำไม....กูเป็นกำลังใจให้มึงได้เอทุกตัวแล้วกันนะ ” ไอ้ขุนมันยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมนอนมองมันนิ่งๆไม่หยุกหยิก ผมชอบจริงๆนั่นแหละเวลาที่มันสัมผัสหัวผมน่ะ ไม่เคยคิดจะจับมือมันออกจริงๆไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน

“ มึงไปอาบน้ำสิ ไม่ง่วงรึไง ” ผมถามมัน มือที่ลูบหัวผมก็ลงมาไล้เบาๆที่แก้ม เอาใหญ่แล้วนะมึงน่ะ มีการลามมายันแก้มกูด้วย เห็นกูไม่ว่าอะไรสินะไอ้สัส

“ เนี่ย รอมึงหลับเดี๋ยวก็ไปอาบน้ำ ”

“ แล้วมึงจะนอนที่ไหน ”

“ มึงให้กูนอนบนเตียงเดียวกับมึงได้ไหมล่ะ ถ้าไม่ได้เดี๋ยวกูนอนพื้นก็ได้ ” ผมมองหน้าไอ้หล่อที่เอ่ยถามผม ถ้าผมบอกว่าให้มันนอนพื้นมันจะนอนไหมวะ ไม่เอาๆอย่าไปแกล้งมัน

“ มึงนอนเตียงก็ได้ ยังไงก็เตียงมึง แค่ห้ามยุ่มย่ามกับกูก็พอ ” ผมไว้ใจมันเรื่องนี้นะครับ ว่ามันจะไม่ทำอะไรผมตอนนอนแน่ๆ แต่ว่ายังไงก็ต้องบอกไว้ก่อนอยู่ดี

“ ไม่ทำอะไรแน่นอนครับ กูยังไม่อยากให้มึงเกลียดกูตอนนี้หรอก ” ผมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของไอ้ขุน เคยสงสัยเหมือนกันนะว่านอกจากผมแล้วมันเคยทำแบบนี้กับใครบ้างรึเปล่า แต่ใจนึงผมก็ไม่อยากถามเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว

อดีตมันก็ควรเป็นแค่อดีต

เออยอมรับก็ได้ว่าไม่อยากได้ยินว่ามันเคยทำแบบนี้กับคนอื่น ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมขอคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มันทำอะไรแบบนี้ให้คนเดียวละกัน มีคนมาจีบทั้งทีก็อยากจะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นในโลกน่ะ

ได้ทีก็เอาหน่อย ฮ่าๆ

“ ไปอาบน้ำซะไป ” ผมไล่มันไปอาบน้ำ ตอนนี้ผมเองก็ง่วงมากตาจะปิดแล้วครับ

“ โอเค งั้นฝันหวานนะครับ ” มันยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ไอ้ขุนนี่ยิ้มได้ตลอดเวลาจริงๆนะ เวลาที่มันยิ้มหวานมากๆก็พาลทำให้ใจผมสั่นได้ง่ายดายเหลือเกิน

บ้าจริงๆเชียว

ผมหยิบหมอนของไอ้ขุนที่ตัวเองปาใส่หน้ามันมากอดไว้ ผมเป็นคนติดหมอนข้างครับ บนเตียงผมนี่มีหมอนข้างไม่ต่ำว่าสามใบ แต่เตียงไอ้บ้าขุนไม่มีหมอนข้างให้ผมกอดเลย เพราะฉะนั้นมันต้องเสียสละหมอนมันมาให้ผมกอดแทน ง่วงมากครับไม่ไหวแล้ว ทุกอย่างรอบกายผมมันดูพร่าๆ ตอนนี้ความล้าและความเหนื่อยของผมมันมาถึงขีดสุดแล้ว

ผมควรนอน

คร่อกกกกกกก

--------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-11-2017 20:44:30
---------- ต่อจากบท 9 ----------



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ป่านนี้คนตัวเล็กของผมคงหลับไปแล้วล่ะ

แน่ล่ะ แม่งผ่านไปเกือบสองชั่วโมง

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่มีผ้าพันรอบเอวไว้ผืนเดียว คนตัวเล็กหลับไปแล้วจริงๆด้วย แถมยังเอาหมอนผมไปกอดไว้ด้วยนะ น่ารักจัง แต่พอน้องเอาไปกอดแบบนั้นคืนนี้ผมจะเอาอะไรหนุนล่ะเนี่ยะ ไม่เป็นไรครับ เพื่อคนตัวเล็กของพี่ พี่ยอมหนุนแขนตัวเองนอนได้

ไงเล่า....แมนไปอีก

ผมแต่งตัวเสร็จก็เดินมานั่งลงที่เตียงก่อนจะมองขนมที่นอนอยู่ข้างๆ สีหน้าอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด 3 วันที่ผ่านมารู้สึกสงสารน้องมาก งานก็ต้องทำแถมยังต้องไปเรียนอีก ดีนะที่ขนมไม่ป่วย ตั้งแต่รู้จักน้อง น้องยังไม่เคยป่วยให้ผมเห็นเลย ผมไม่อยากให้ขนมป่วยหรอกนะครับแต่ก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าเวลาป่วยคนตัวเล็กจะเป็นยังไง

ก็ต้องรอดูกันต่อไป

“ กูดีใจนะที่ได้ใกล้ชิดมึงขนาดนี้น่ะ ” ผมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปขนมไว้ น้องมานอนบนเตียงของผมเลยนะผมจะต้องเก็บภาพไว้เยอะๆ เป็นความทรงจำดีๆครั้งนึงในชีวิต ใบหน้าน้องเวลาหลับนี่ดูละมุนมากครับ ปกติขนมมักจะทำหน้านิ่งอยู่อย่างเดียว ไม่ยิ้ม ไม่ค่อยแสดงอะไรออกมาทางสีหน้าเท่าไหร่ สายตาก็เย็นชา มองเผินๆบางครั้งก็ดูกวนตีน

แต่ผมมองว่าน่ารักหมดล่ะครับ

ผมเอนตัวนอนลงข้างๆขนมก่อนจะทิ้งระยะห่างไว้ ผมเคยคิดอยากจะแอบหอมแก้มน้องตอนหลับด้วยนะครับแต่ว่าก็ต้องเลิกคิดเรื่องนั้นไป ผมไม่อยากบังคับหรือฉวยโอกาสทำเรื่องแบบนั้น ผมอยากให้ถึงวันที่น้องจะเต็มใจให้ผมทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ผมจะใส่ให้เต็มที่เลย

หึ....อดทนไว้ขุนศึก

ผมหันหน้าเข้าหาขนม พอเห็นแก้มใสก็อดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปเกลี่ยเบาๆ แก้มน้องนิ่มมากนะครับแถมยังเนียนมากด้วย บ่งบอกว่าต้องเป็นคนที่ดูแลหน้าตัวเองดีในระดับนึง ถึงแม้ตอนนี้จะดูหมองๆเพราะไม่ได้พักผ่อนเลยก็ตาม แต่เพียงไม่นานหน้าขนมต้องกลับมาใสเหมือนเดิมแน่ๆ

“ อื้มมม...ม....” คนตัวเล็กส่งเสียงเบาๆก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผมที่ลูบแก้มน้องอยู่ไว้ ไม่รู้คนตัวเล็กตั้งใจหรือละเมอกันแน่ ผมว่าน่าจะเป็นอย่างหลังนะ แหม่น้องหนม มาละเมอจับมือพี่ขุนไว้ไม่พอยังจะเอาจะเอาไปแนบแก้มใสนั้นไว้อีก แบบนี้ต้องถ่ายรูปรัวๆครับ น่ารักชะมัด

น้องจับมือผมไว้แบบนี้

คืนนี้ผมคงฝันดีแน่นอนล่ะ





บ่ายสอง

บ่ายสองกับขนมที่ยังไม่ตื่น

ผมยืนมองคนตัวเล็กที่ยังหลับสนิทอยู่บนเตียง แถมดูท่าว่ายังไม่มีทีท่าจะตื่นด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนไม่ได้นอนมา 3 วันเต็มๆ มันก็ไม่แปลกถ้าตอนนี้จะยังไม่ตื่น ผมออกไปซื้อของใช้พวกแปรงสีฟันมาให้น้องเมื่อเช้า แถมซื้อของสดมาอย่างเยอะ รอให้คนตัวเล็กตื่นมาบอกผมนี่แหละว่าอยากจะกินอะไร

วันนี้ผมจะทำให้กินอย่างสุดฝีมือเลย

เห็นผมเป็นอย่างนี้คิดว่าผมทำอาหารไม่เป็นสินะครับ แต่คุณคิดผิดแล้วล่ะ ผมทำอาหารเป็นและอร่อยด้วย ผมค่อนข้างมั่นใจในฝีมือตัวเองนะครับ คุณย่าท่านเป็นคนสอนผมเองตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเองก็สนุกและก็ชอบทำด้วย ผมชอบใบหน้าของคนที่ทานอาหารที่เราทำแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

อยากเห็นขนมยิ้มจัง

“ ตื่นไวไวนะครับ กูรอทำอาหารให้มึงกินอยู่นะ ” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้น้องนอนไปก่อน ส่วนผมในระหว่างที่รอขนมตื่นนั้น ผมก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่นั่นก็คือ....

ล้างบ่อเต่า

ผมเดินมาที่หลังบ้านซึ่งเป็นเหมือนสวนหย่อมเล็กๆ มีต้นมะม่วงอยู่สองต้นใกล้รั้วพอให้เป็นร่มไว้นั่งเล่นกินลมชมวิวได้ ซึ่งใต้ต้นมะม่วงนั้นก็มีบ่อเต่าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กครับ ยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร พื้นเป็นแบบลาดเอียง ลึกประมาณ 1 เมตรครับ ในบ่อนี้ผมเลี้ยงเต่าไว้ 3 ตัวก็คือ เงิน ทอง เพชร

ชื่อเท่ซะไม่มี

“ ว่าไงพวกมึง โตขึ้นบ้างไหมเนี่ย ” ผมมองเจ้าเต่าสามตัวที่แช่น้ำและโผล่หัวขึ้นมามองผมตาแป๋ว น่ารักจริงๆ ผมไม่ได้ซื้อเจ้าพวกนี้มาครับ วันที่ไปเจอพวกมันถ้าจำไม่ผิดสักประมาณช่วงที่ผมอยู่ป.ห้า พ่อกับแม่พาผมไปเยี่ยมคุณย่าที่เชียงใหม่ แล้ววันนั้นระหว่างที่รถของบ้านผมขับไปตามถนนก็พบกับเจ้าเต่าสามตัวที่กำลังคลานข้ามถนนช้าๆ ข้างทางที่พวกมันมุ่งไปคือป่าที่ใกล้ทางลงเขาครับ ซึ่งผมคิดว่าพวกมันต้องไม่รอดแน่ๆถ้าจะไปอยู่กันในป่านั้น ผมเลยขอพ่อพามันกลับมาบ้านด้วย จนตอนนี้เวลาก็ผ่านมา 10 ปีแล้ว

10 ปีที่มันมาเป็นสัตว์เลี้ยงของผม

จากตอนนั้นถึงตอนนี้เจ้าสามตัวนี้ก็ตัวไม่ได้ใหญ่ขึ้นจากเดิมมากเท่าไหร่นะครับ ตอนผมเจอมันมันตัวเท่าฝ่ามือผมเอง ตอนนี้ตัวพวกมันใหญ่ประมาณจานข้าวครับส่วนน้ำหนักก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ไม่ถึงสิบโล ผมแบกมันสามตัวได้สบายๆ ผมไม่รู้นะครับว่ามันเป็นพันธุ์อะไร แต่ตรงข้างแก้มมันออกเป็นสีแดงส้มๆ

เหมือนแก้มขนมเลย

“ ขึ้นมาบนบกก่อนนะ ” ผมอุ้มเจ้าเต่าสามตัวมาไว้ในกะละมังครับเพื่อที่มันจะได้ไม่ซนจนวิ่งไปที่อื่น เห็นว่าเป็นเต่านี่แต่พวกมันคลานเร็วมากนะครับ ถ้าสามตัวคลานพร้อมกันผมก็จับไม่ทันแน่นอน โดยเฉพาะไอ้เพชรนี่ตัวแสบเลย มันคลานเร็วมาก ครั้งก่อนที่ผมล้างบ่อผมเองก็ดันลืมปิดประตูรั้ว แถมไม่ได้จับพวกมันใส่กะละมังด้วยเพราะไม่คิดว่ามันจะคลานหนีกัน

แต่คิดผิดมากครับ

ไอ้แสบเพชรมันคลานออกไปนอกรั้วโน่น ตอนแรกผมก็ไม่ได้เอะใจและก็ล้างบ่อเต่าต่อแต่เพราะว่าวันนั้นผมได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่หน้าบ้าน ผมสงสัยก็เลยเดินไปดูก็เจอไอ้แสบหยุดนิ่งหัวซุกอยู่ในกระดองเพื่อป้องกันตัวเองจากหมาที่กำลังเห่ามันอยู่ นับตั้งแต่นั้นแหละครับเวลาล้างบ่อผมก็ต้องเอาพวกมันมาใส่กะละมังไว้เพื่อกันมันหนี

“ อยู่ในนั้นแหละไม่ต้องยื่นหน้าออกมาเลยไอ้เพชร ” ผมมองไอ้เพชรที่ชูคอมอง มันคงสงสัยว่าผมทำอะไรกับบ้านมัน ผมปล่อยน้ำในบ่อออกก่อนจะเริ่มขัดไปเรื่อยๆ ตะไคร่เยอะเหมือนกันนะเนี่ย เพราะไม่ได้ล้างนานแหงๆ

“ ทำอะไรอ่ะ ” เสียงงัวเงียๆทำให้ผมหันไปทางคนพูด ขนมยืนอยู่ตรงประตูในสภาพที่หัวฟูฟ่อง คอเสื้อแขนยาวของน้องร่นลงมาเกือบถึงไหล่ สวมแว่นอยู่นะครับแต่ตายังปรือๆเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ มองโดยรวมขนมในเวอร์ชั่นนี้ก็ดู....

เอ็กซ์หน่อยๆ

คิดอะไรของผมวะเนี่ย

“ ล้างบ่อเต่า มึงไปล้างหน้าก่อนไป กูซื้อของใช้มาไว้ให้ละอยู่ข้างหัวเตียงอ่ะ ” ผมบอกน้องก่อนจะส่ายหัวเบาๆไล่ความคิดหื่นกามของตัวเองออกไป น้องมันน่ารักนี่หว่ามันก็เผลอคิดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“ อืม....ขอบใจ ” ขนมว่าแล้วก็เดินหาวกลับเข้าไปในบ้าน ไม่ใช่ว่าไปนอนต่อนะนั่นน่ะ แต่ถึงน้องจะไปนอนต่อผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ผมอยากให้น้องได้พักผ่อนเยอะๆอยู่แล้ว

ผมหันมาทำภารกิจตรงหน้าต่อพลางคิดไปว่างานต่อจากนี้จะมีอะไรบ้าง อาทิตย์หน้าผมต้องสอบมิดเทอมเดี๋ยวจะต้องอ่านหนังสือ พอหลังมิดเทอมก็จะมีวันหยุดที่มหาลัยหยุดให้ประมาณ 5 วัน พอเสร็จจากวันหยุดก็เป็นรับน้องใหญ่ของคณะผม มหาลัยผมรับน้องใหญ่ของแต่ละคณะไม่พร้อมกันนะครับ แต่จะอยู่ในช่วงอาทิตย์เดียวกัน มหาลัยผมรับน้องช้ากว่ามหาลัยอื่นมาก ส่วนใหญ่จะรับน้องกันตั้งแต่เทอมที่น้องปี 1 เรียนซัมเมอร์ แต่ที่นี่มารับกันเทอมถัดมา

แต่จับสายรหัสตั้งแต่เทอมซัมเมอร์นะครับ

ไม่รู้ว่าทำไม

ปกติเขาต้องเฉลยสายรหัสตอนรับน้อง บางทีผมก็มึนงงกับระบบของมหาลัยตัวเอง แต่ก็ช่างมัน ถึงจะเฉลยตอนไหนมันก็เป็นน้องรหัสของผมอยู่ดี น้องรหัสผมมันชื่อลันตา ผมนึกว่ามันเป็นผู้หญิงด้วยตอนแรกแต่ไม่ใช่ มันเป็นผู้ชาย ตัวเล็กกว่าขนมอีกแถมหน้ามันยังหวานมากถ้ามันผมยาวหน่อยนะแม่งไม่ต่างจากผู้หญิงเลย แต่ไอ้ลันตามันพยายามทำตัวแมนๆนะครับ ทั้งท่าทางและคำพูด ที่สำคัญแม่งโคตรกวนตีน

รับน้องนี้ผมจะเล่นมันให้หนัก

พอรับน้องเสร็จก็ต่อด้วยประกวดดาวเดือนมหาลัยในอาทิตย์ต่อไป ต้องวุ่นวายแน่ๆ ผมเป็นเดือนของวิศวะเมื่อปีก่อน และก็เป็นรองอันดับหนึ่งของเดือนมหาลัยปีก่อนด้วย แพ้ให้คณะสถาปัตย์ครับ ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลไอ้เกียร์นั่นแหละ แต่ก็ดีแล้วครับที่ไม่ได้เป็นเดือนมหาลัย งานเยอะตายห่า เดี๋ยวพอใกล้ประกวดผมก็ต้องไปคอยดูแลน้องๆ

แค่คิดก็เหนื่อยแล้วว่ะ

“ ไอ้ขุน ” ผมหันตามเสียงเรียกก็พบกับขนมที่เดินมาหาผม น้องคงล้างหน้าแล้วผมที่ปรกหน้าก็ถูกคนตัวเล็กมัดไว้ด้านบนเป็นน้ำพุเล็กๆ น่ารักจังน่าถ่ายรูปเก็บไว้ชะมัด

“ ว่าไงหืม นอนนานเลยนะหิวข้าวรึเปล่า ” ผมเอ่ยถามในขณะที่น้องดูสนใจกับการล้างบ่อของผมมาก

“ นิดหน่อยอ่ะ ” น้องบอกผมก่อนที่จะนั่งยองๆลงข้างกะละมังที่ใส่เจ้าเต่าสามตัวไว้ ไม่นั่งเปล่านะครับมีการจิ้มกระดองเล่นด้วย ไม่กลัวมันจะกัดด้วยนะ

“ อยากกินอะไรบอกกูเลยนะ เดี๋ยวกูทำให้กิน ”

“ มึงทำเป็นหรอ ” เจ้าตัวละสายตาจากเต่ามามองผมแวบนึง แวบนึงจริงๆก่อนจะกลับไปมองเต่าต่อ อิจฉาไอ้สามตัวมันว่ะ น้องมองไม่พอน้องยังจิ้มด้วย ขนาดผมน้องมันยังไม่เคยจิ้มเลย

แล้วทำไมกูถึงมาหึงเต่าวะ บ้าบอสัสๆ

“ ทำเป็นสิ แค่มึงบอกมากูทำได้หมดแหละ ” ผมพูดอย่างมั่นใจ น้องต้องชอบอาหารที่ผมทำแน่นอน

“ แดกได้รึเปล่าเถอะ ”

“ แดกได้สิครับ ถ้าได้กินแล้วจะติดใจ ”

“ ขี้โม้....ไอ้สามตัวนี้มันชื่ออะไรอ่ะ ” ผมหันมองขนมที่อุ้มเจ้าสามตัวมาเรียงกันนอกกะละมัง จะห้ามไม่ให้เอาออกมาก็ไม่ทันแล้ว ดีที่ว่าเจ้าสามตัวมันนอนนิ่งให้ขนมเอาเรียงกันอย่างว่าง่าย ผมไม่เคยเอาพวกมันเรียงได้แบบนั้นเลยทีกับขนมนี่เชื่องเชียวนะพวกมึง

“ ชื่อ เพชร เงิน ทอง ” คนตัวเล็กพยักหน้ารับก่อนจะสนอกสนใจกับเจ้าเต่าสามตัวต่อ สนใจพี่บ้างก็ได้นะน้องหนม พี่ต้องการความสนใจจากน้องหนมนะครับ

“ เออ ให้กูช่วยป้ะล้างบ่ออ่ะ ”

“ ไม่ต้องหรอกจะเสร็จแล้ว ” ผมล้างบ่อด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งก่อนจะเติมน้ำใส่บ่อ ตอนนี้จากบ่อสีเขียวที่ตะไคร่เกาะก็ดูสะอาดขึ้นมาก น้ำใสน่าว่ายเล่นสุดๆ ผมเดินไปอุ้มไอ้เพชรกับไอ้ทองมา ขนมก็อุ้มไอ้เงินตามมาแล้วปล่อยลงบ่อ เจ้าสามตัวว่ายน้ำเล่นกันใหญ่ ชอบสินะมึงบ้านสะอาดละหนิ ขนมก็ดูชอบมากที่เห็นพวกมันว่ายน้ำเล่น

“ น่ารัก ” เสียงใสพึมพำขึ้นมา

“ ใช่....น่ารัก ”

“ เต่าอ่ะนะ ”

“ มึงนั่นแหละ ” ทันทีที่ผมพูดจบขนมก็หันมองผมทันที แก้มใสนั่นขึ้นสีแดงระเรื่ออีกแล้ว น้องคงเขินที่ผมพูดแน่ๆ ขนมจะแก้มแดงเป็นนี้ประจำเลยเวลาผมหยอด เวลาน้องแก้มแดงผมจะถามตลอดเลยว่าร้อนหรือว่าเขิน แต่น้องเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ ถึงจะเขินแทบตายก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด แถมยังพาลเปลี่ยนไปเรื่องอื่นเนียนๆด้วย

“ กูหิวละ ทำกับข้าวดิ่อยากแดกกะเพราไก่ ” เห็นไหมผมบอกแล้วว่าต้องเปลี่ยนเรื่องเนียนๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ มันก็เป็นหนึ่งในความน่ารักของน้อง ผมนี่อดยิ้มไม่ได้จริงๆ

“ งั้นก็เข้าบ้านกัน เดี๋ยวทำกะเพราไก่ให้กิน ” ผมบอกแบบนั้นปุ๊ปเจ้าตัวก็รีบเดินเข้าบ้านก่อนผม คงจะเขินมากแหละครับถ้ามุดดินหนีได้คงมุดไปแล้ว

อา....น่ารักจังเลยโว้ยยยยยยยยย

ผมเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องครัว ส่วนขนมคงไปรอที่ห้องนั่งเล่น เอาล่ะได้เวลาโชว์ฝีมือปลายจวักให้น้องรักน้องหลงละครับ ผมนึกว่าน้องจะอยากกินอะไรที่มันยากมากกว่านี้ หรือเพราะตอนนั้นเขินจัดแล้วไม่ทันคิดเลยพูดผัดกะเพราออกมา งั้นทำอะไรเพิ่มอีกสักหน่อยดีกว่าเผื่อน้องจะชอบ

มีความสุขจังได้มีโอกาสทำกับข้าวให้น้องกินแล้ว

เพื่อน้องหนมคนดี...พี่จะทำให้สุดฝีมือเลยครับ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]











TBC.

#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 09-11-2017 23:08:09
 :L2:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2017 10:18:45
เพื่อน้องหนมคนดี...พี่จะทำให้สุดฝีมือเลยครับ :-[


 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 10 : 10/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 10-11-2017 20:36:01
บทที่ 10 ขอจูบหน่อย



บ่ายของวันเสาร์กับผมที่นั่งเขินมึนๆอยู่บนโซฟา

อา....ไม่รู้จะอธิบายเพิ่มเติมยังไง

ผมได้ยินเสียงดังมาจากในครัวเป็นระยะๆ ไอ้ขุนมันทำอาหารอยู่ครับ แถมหน้ามันก็มั่นใจมากด้วยว่าผมจะชอบอาหารที่มันทำอย่างแน่นอน เอาจริงๆผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้ขุนจะทำอาหารเป็นด้วย เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอชิมอาหารที่มันทำ

ดูซิว่ามันจะออกมาเป็นยังไง

ตื้อดึ่ง

“ เสียงโทรศัพท์ใครวะ ” ผมมองหาเสียงโทรศัพท์ที่ดัง ไม่ใช่โทรศัพท์ผมแน่นอนเพราะมันอยู่ในกระเป๋าที่หอไอ้หมีครับ ผมมองไปรอบๆก็พบกับโทรศัพท์ของไอ้ขุนวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ

ตื้อดึ่ง

ถ้าหยิบมาดูมันจะว่าไหมวะ

ตื้อดึ่ง

“ คงไม่ว่ากูหรอกนะ ” ผมหยิบโทรศัพท์ที่ใส่เคสสีเหลืองขึ้นมาดูแจ้งเตือนที่หน้าจอ ก็พบว่าไลน์แจ้งเตือน 999+ นี่ไม่คิดจะตอบใครเลยหรอวะ ดองไว้ซะขนาดนี้

ผมปลดล็อครหัสด้วยเลขวันเกิดของผมซึ่งไอ้ขุนมันเป็นคนตั้งไว้เอง อย่างแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คือหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตั้งด้วยรูปของผม เป็นรูปที่ผมกำลังหลับอยู่บนเตียงของมัน คงเป็นรูปที่มันถ่ายผมเมื่อคืนแน่ๆ แล้วทำไมผมถึงเอามือมันมาแนบแก้มไว้แบบนั้นวะ ละเมอชัวร์ แต่ละเมอแบบนี้เนี่ยนะ แล้วไอ้ขุนนี่ก็บ้าเอารูปผมมาตั้งหน้าจอเฉยเลย ถ้าเพื่อนมันเห็นจะเป็นยังไงวะเนี่ย

ทำแก้มกูร้อนอีกแล้วไอ้บ้า

ผมส่ายหัวไล่ความร้อนออกไปจากแก้มก่อนจะกดเข้าไปส่องไลน์มันอย่างเงียบๆ ไลน์ผู้หญิงเต็มเลยว่ะ ไล่ดูเรื่อยๆนี่นับไม่ถ้วนเลย แต่ไม่มีการเปิดเข้าอ่านแต่อย่างใดนะครับ บางประโยคที่ผู้หญิงทักมันมาก็สองแง่สองง่ามมาก

วันๆผู้หญิงเข้ามาในชีวิตมันอย่างเยอะ

“ แก้มใสนี่หว่า ” ผมกดเข้าไปดูแชทของแก้มใสที่เพิ่งส่งมาให้ไอ้ขุนทันที

แก้มใส : เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะคะพี่ขุน แก้มคิดถึงพี่ขุนจริงๆ เรื่องพี่เกียร์ พี่เกียร์มาจีบแก้ม แก้มผิดเองที่เผลอใจไปให้พี่เกียร์ แต่ตอนนี้แก้มไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เกียร์แล้วนะคะ

ผมอ่านข้อความนั้นก็รู้สึกหัวร้อนขึ้นมาแปลกๆ จากวันที่ไอ้ขุนมันตัดความสัมพันธ์กับแก้มใสนี่ก็ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้วเห็นจะได้ แถมวันนั้นผมก็ได้ยินกับหูว่านางจะให้คนที่ชื่อ น้ำ มากระทืบไอ้ขุนด้วยซ้ำ ไปๆมาๆนางก็ยังตามขอคืนดีไอ้ขุนอยู่ จะเอายังไงกันแน่วะเนี่ย แล้วเรื่องพี่เกียร์อีก พี่มันก็มีแฟนแล้วไอ้หมีมันก็บอกผมว่าพี่เกียร์กับพี่แกงคบกันมาตั้งนาน พี่เกียร์จะมาตามจีบแก้มใสทำไม ไม่ใช่ว่านางไปอ่อยพี่เกียร์หรอวะ พอเขาไม่เล่นด้วยก็กลับมาหาไอ้ขุนงี้

เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจชะมัด

แก้มใส : แก้มรักพี่ขุนจริงๆนะคะ แก้มไม่ได้ยุ่งกับใครแล้วนะ ใจของแก้มมีแค่พี่ขุนคนเดียวจริงๆ

“ ใจของแก้มมีแค่พี่ขุนคนเดียวจริงๆ อยากจะอ้วกว่ะ ” ทำไมทุกคำพูดของแก้มใสมันดูเสแสร้งสำหรับผมไปหมดเลยวะ หงุดหงิดจริงๆเลยโว้ย ยังๆยังอ่านไม่จบ ใจเย็นไว้หนม ใจเย็น

แก้มใส : กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะคะพี่ขุน แก้มคิดถึงพี่ขุน คิดถึงเวลาที่พี่ขุนกอดแก้ม คิดถึงเวลาที่พี่ขุนจูบ ช่วงเวลาที่แก้มไม่มีพี่ขุนมันทรมานมาก

“ ไม่ไหวแล้วไอ้สัส ” ผมง้างมือหวังจะขว้างโทรศัพท์ให้มันแตกกระจายไปข้างแต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้เพราะมันไม่ใช่โทรศัพท์ของผม โอ้ยหัวร้อนว่ะ หัวร้อนมาก มีกอด มีจูบด้วย หงุดหงิดครับ หงุดหงิดแบบไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมจะต้องหงุดหงิดขนาดนี้ อยากจะตอบไลน์กลับไปว่า กูไม่เอามึงแล้ว แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่ดีผมไม่ได้มีสิทธิ์จะทำอะไรแบบนั้น ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้ขุนมันสักหน่อย

แต่ไม่ชอบใจเลยที่เห็นว่าผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นยังมาวุ่นวายกับไอ้ขุนอยู่

ไม่ชอบใจจริงๆว่ะ

“ ข้าวเสร็จแล้ว ” กลิ่นหอมของกับข้าวโชยมาพร้อมกับคนพูด ผมรีบเอาโทรศัพท์วางไว้ที่เดิมก่อนจะหันมองไอ้ขุนที่กำลังเดินถือถาดใส่กับข้าวมาทางผม มันวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ เบื้องหน้าผมมีผัดกะเพรา ต้มจืดวุ้นเส้น และก็กุ้งชุบแป้งทอด แต่ถ้าจำไม่ผิดผมสั่งมันไปแค่อย่างเดียวนี่หว่า แม่งทำมาให้ตั้งสามอย่าง กลัวผมไม่อิ่มหรือยังไง

“ หน้าตาก็ดูใช้ได้ ” อันที่จริงมันดูน่ากินทุกอย่างเลยนะครับ แต่ถ้าผมบอกว่าน่ากินเดี๋ยวมันจะได้ใจ

“ แค่ใช้ได้เองหรอเนี่ย ไม่เป็นไรเดี๋ยวพอได้ชิมมึงจะติดใจแน่นอน ” ไอ้หล่อมันบอกก่อนจะตักข้าวแล้วส่งให้ผม กลิ่นข้าวหอมมะลิหุงใหม่ๆนี่มันยั่วน้ำลายจริงๆเลย ผมไม่รอช้าครับ ตักกะเพราะพร้อมข้าวใส่ปากทันที

อื้อหืออออ

มันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

อาหารที่มันทำอร่อยแบบที่มันพูดจริงๆด้วย กินแล้วนึกถึงฝีมือแม่เลย น้อยคนนะที่จะทำอาหารออกมาแล้วถูกปาก ผมน่ะ ผมมองหน้าไอ้ขุนที่ยิ้มหวานเหมือนกำลังจะรอคำตอบจากผม อยากให้กูบอกว่าอร่อยสินะ หึ

“ ก็งั้นๆอ่ะ ”

“ งั้นๆแต่ตักใหญ่เลยนะ ” มันอมยิ้มก่อนจะตักต้มจืดใส่จานผม ตัวมันเองก็ตักกินบ้าง พอเห็นว่ามันอาหารอร่อยแบบนี้ผมชักอยากลองกินแกงเขียวหวานฝีมือมันซะแล้ว มันจะทำเป็นไหมวะ

“ ครั้งหน้าทำแกงเขียวหวานให้กินบ้างดิ่ มึงทำเป็นป้ะ ”

“ ทำเป็นดิ่ ไว้กินวันหลังเนอะ ” ผมพยักหน้ารับมันก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ

ตื้อดึ่ง

เสียงไลน์ดังอีกแล้ว ผมคิดว่าต้องเป็นของแก้มใสแน่ๆ เจ้าของโทรศัพท์มันหยิบไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้ารำคาญออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไอ้ขุนมันหันมองผมสลับกับโทรศัพท์มัน เหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง

“ มองกูทำไม ” ผมถามมันก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“ มึง....เปิดไลน์แก้มใสหรอ ”

“ เปล่าหนิ ทำไมอ่ะ ” ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อนครับ เนียนๆแดกข้าวต่อไป

“ ก็แก้มใสส่งมาว่าทำไมกูอ่านแล้วไม่ยอมตอบ ”

“ แล้วมันยังไงอ่ะ ” ผมยังทำหน้ามึนใส่มันต่อ ไม่เอายังไม่อยากยอมรับตอนนี้ ไอ้หล่อมันก็มองผมยิ้มๆประมาณว่ามันรู้ว่าผมกำลังโกหกมันอยู่

อย่ามาทำเป็นรู้สิวะไอ้นี่

“ มันเป็นไปไม่ได้ที่กูจะอ่านแล้วไม่ตอบเพราะกูไม่คิดที่จะเปิดอ่าน....ต้องมีคนอ่านที่ไม่ใช่กูแน่ๆ ”

“ เออ กูอ่านเองแหละ ทำไมจะดุหรอ ห้ามดุกูไม่ให้ดุ ” ผมว่าแบบนั้นแล้วก็ตีหน้าซื่อใส่มันทันที ไม่ได้นะไอ้ขุนห้ามดุกูเด็ดขาด นอกจากป๊ากับแม่กูไม่ให้ใครมาดุกูนะ

“ มึงนี่น่ารักจริงๆเลยน้า น่ารักแบบนี้ใครจะกล้าดุวะ ” ไอ้หล่อมันยิ้มแป้นพลางขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู เห็นกูเป็นหมาหรอขยี้หัวกูจัง ก็ไม่คิดห้ามมันเหมือนเดิมครับเพราะว่าผมชอบ ดีว่ะที่มันไม่โกรธผมที่ไปยุ่งกับโทรศัพท์ของมัน

“ แล้วมึงจะตอบกลับไปยังไงอ่ะ ” ใจผมนะอยากให้มันปฏิเสธแบบจริงๆจังๆไป แต่ไอ้ขุนก็เคยบอกไปแบบจริงจังแล้วป้ะวะ บอกต่อหน้าด้วยซ้ำ แก้มใสก็ยังมาตามตื๊อมันอีก แล้วก็ดูว่าจะไม่หยุดง่ายๆด้วย

“ มึงอยากให้กูตอบยังไงล่ะ ”

“ ก็แล้วแต่มึงสิ อยากจะกลับไปก็แล้วแต่มึง ” ผมเบ้ปากใส่มันทีนึง หมั่นไส้ว่ะ ผมรู้อยู่แหละครับว่าไอ้ขุนไม่มีทางกลับไปหาแก้มใสแน่นอน แต่ขอแขวะหน่อยเถอะ เรื่องแค่นี้ยังต้องมาถามกูอีกว่าควรทำยังไง

ถ้ามึงชอบกู มึงก็ต้องปฏิเสธสิวะ

“ เสียงขุ่นเชียวนะ หึงกูหรอ ” หึงพ่อง

“ เลอะเทอะละมึงอ่ะ กูจะหึงมึงทำไมไอ้บ้า ” ผมหันหนีมันพลางกินข้าวต่อ หึงบ้าอะไร ผมยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันสักหน่อย ยังไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ความหึงมันจะมีได้ไงวะ เอ๊ะ หรือมีได้

เอาละเริ่มสับสนละ

เชี่ยไรเนี่ยะ

“ นึกว่าหึงซะอีก ไหนหันมานี่หน่อย ” ไอ้ขุนมันดึงแก้มผมที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ ไอ้ห่านี่เดี๋ยวกูก็พ่นข้าวใส่หน้าเลยว่ะ ขัดขวางเวลาการกินข้าวกูดีนัก

แชะ

ผมตาโตทันทีที่ได้ยินเสียงแฟลชกล้อง ไอ้คนที่มันถ่ายรูปผมมันก็ลดมือที่ดึงแก้มผมออกมาพิมพ์อะไรบนหน้าจอโทรศัพท์ยุกยิกๆ ก่อนจะยิ้มร่าออกมา

โคตรไม่น่าไว้วางใจ

“ มึงทำอะไรอ่ะ แล้วมึงถ่ายรูปกูทำไม ” ผมโวยวายใส่มันยกใหญ่ ไอ้ขุนมันไม่พูดอะไรก่อนจะยื่นโทรศัพท์มันมาให้ผมดู

ขุนจึกกก : *รูปที่มันดึงแก้มผม*

แก้มใส : อะไรหรอคะ

ขุนจึกกก : เมียพี่เอง พี่รักมาก แก้มเลิกยุ่งกับพี่เถอะ เมียพี่ขี้หึงมาก ไม่ต้องส่งอะไรมาแล้วนะ บาย

ตึกตัก

ไอ้สัสขุนมึงนี่แม่ง

ผมไม่พูดอะไรตอบมันเลยครับ เรียกว่าพูดไม่ออก แม่งเอาผมไปเป็นตัวไล่แก้มใส มีการแอบอ้างว่าเป็นเมียด้วย กูไปเป็นเมียมึงตอนไหนไม่ทราบห้ะไอ้บ้า แถมยังบอกว่ากูขี้หึงอีก กูไม่ได้หึงมึงสักหน่อย โคตรคิดไปเองเลย แต่ที่พีคสุดมันก็ตรง....

พี่รักมาก

ผมไม่รู้ว่าที่มันพิมพ์ไปนั้นเพื่อจะให้แก้มใสเลิกยุ่งกับมันหรือว่ามันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า เวลาแค่สองเดือนมันจะรักผมได้ไงวะ ผมไม่ได้ทำอะไรให้มันรู้สึกรักผมได้เลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้นะครับว่าเพราะอะไรที่ทำให้มันพิมพ์แบบนั้นแต่ใครจะเชื่อว่าประโยคสั้นๆนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงได้ขนาดนี้

เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาเลย

“ กูนึกว่ามึงจะด่ากูลั่นบ้านแล้วนะเนี่ย ” ไม่ต้องมาแซวกูเลย กูไม่ด่ามึงมันก็ดีแล้วไหมล่ะ

“ มึงมันบ้า ” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้มันก่อนจะกินข้าวต่อเงียบๆ ตอนนี้ในใจก็หลากหลายความรู้สึกมากครับ ผสมปนเปกันมั่วไปหมด โคตรสับสนตัวเอง เกิดมาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย

มันอะไรกันวะ

“ เอาข้าวอีกไหม ”

“ ไม่อ่ะ กูอิ่มแล้ว ” ผมรวบช้อนไว้กลางจาน อิ่มมากครับ อาหารมื้อนี้อร่อยจริงๆเลย พอมันเห็นผมบอกว่าอิ่มมันก็ยกกับข้าวพร้อมกับจานเดินเข้าไปเก็บในครัว ได้ยินเสียงน้ำผมคงคิดว่ามันคงล้างจานด้วย

ตื้อดึ่ง

ไลน์ดังอีกละ มึงนี่คนของประชาชนหรอวะไอ้ขุน ไลน์หามึงกันจังเลยนะ ผมหยิบโทรศัพท์มันมาดูอีกครั้ง คนที่ไลน์มาครั้งนี้ไม่ใช่แก้มใสครับแต่เป็นเพื่อนหมี ผมกดเข้าไปอ่านทันที ถึงขนาดนี้ไอ้ขุนมันคงไม่ว่าผมแล้วล่ะถ้าผมยุ่งกับโทรศัพท์มัน

หน่องหมี : ไอ้หนมมันอยู่กับพี่ขุนป้ะ มันลืมกระเป๋ามันไว้ที่หอหมีเนี่ยะ ไปหามันที่หอก็ไม่เจอมัน

ขุนจึกกก : เออ

หน่องหมี : แน่ะ เอาเพื่อนหมีไปกกบ้านด้วย มันยังไงเนี่ยพี่ขุน จะทำอะไรก็อย่ารุนแรงนักล่ะ555555

มีการ555555ด้วยนะไอ้สัสหมี มึงนี่โคตรยัดเยียดกูให้ไอ้ขุนจริงๆเลย

ขุนจึกกก : กูขนมเอง สัสหมี *สติ๊กเกอร์หมีไฟลุก*

หน่องหมี : *สติ๊กเกอร์หน้าช็อค* เพื่อนหนมเองหรอ

ขุนจึกกก : เออกูเอง

หน่องหมี : เดี๋ยวนี้มีการเล่นโทรศัพท์กันด้วยว่ะ ความสัมพันธ์พัฒนาไปไกลแล้วสินะ

พัฒนาห่าไรล่ะ เพ้อเจ้อจริงๆไอ้บ้าหมี ไว้เจอก่อนเถอะมึง กูจะยืมค้อนลมไอ้เป้มาไล่ทุบหน้าให้

ขุนจึกกก : เสือกจริงๆเลยนะมึงอ่ะ มึงรู้จักบ้านไอ้ขุนไหม

หน่องหมี : รู้ดิ่ กูเคยไปช่วยพี่ขุนขนของอยู่ มึงอยู่บ้านพี่ขุนเองหรอ

ขุนจึกกก : เออ เอาของกูมาให้กูที่บ้านไอ้ขุนหน่อย

หน่องหมี : มีการเข้าบ้านด้วยว่ะ

ขุนจึกกก : รำคาญ รีบมาเร็วๆ

ผมกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ขุนเดินออกมาจากครัวพอดี มันเดินมานั่งลงข้างผมบนโซฟาก่อนจะเท้าคางมองผมแล้วอมยิ้ม

ยิ้มอะไรของมึงวะ ยิ้มจนจะเป็นคนบ้าแล้วนะไอ้สัส

“ เช็คโทรศัพท์กูหรอหืม ” มันเลิกคิ้วมองผม

“ ไอ้หมีมันไลน์มา กูก็แค่ดูเอง กูให้มันเอากระเป๋ามาให้กู ”

“ อย่างนี้นี่เอง ” เสียงตอบกลับยียวนของมันทำให้ผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ น่าทุบว่ะ

“ ทำไม ถ้ากูเช็คมึงจะมีปัญหารึไง ” ผมหรี่ตามองมัน ไอ้หล่อมันมองผมแล้วอมยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ ไม่มี....ของๆกูก็เหมือนของๆมึง ” เสียงนุ่มเอ่ยให้ฟัง ผมมองมันนิ่งๆก่อนจะดันหน้ามันออก ยื่นมาซะใกล้เชียวไอ้ห่า ลมหายใจนี่จะรดหน้ากูอยู่ละ

“ แหวะ  ” ผมเอนตัวนอนหงายลงบนโซฟา โซฟาอะไรทำไมไม่มีหมอนอิงวะ ไม่มีอะไรให้หนุนหัวเลยเนี่ยะ

“ กินเสร็จอย่าเพิ่งนอนสิ เดี๋ยวก็จุกหรอก แล้วก็อย่าชันขาด้วย ” ไอ้ขุนมันเอ็ดผม ทำไมวะกูจะนอนอ่ะ

“ ก็กูจะนอน แล้วทำไมต้องห้ามให้ชันขาวะ ” ถ้ายืดขาตรงไปมันก็ตกขอบโซฟาน่ะสิ

“ ก็เวลามึงชันขากางเกงเจเจมึงมันเลิกขึ้นมาสูงมากเลยนะ....ถ้ามึงอยากเห็นกูทำหน้าหื่นกามแล้วมองขาอ่อนขาวๆของมึงต่อไปกูก็ยินดี ” มันไม่พูดเปล่าพลางส่งสายตาไปมองขาผมที่ตอนนี้กางเกงเลิกขึ้นมาจนเห็นขาอ่อนขาว ผมรีบลุกขึ้นมานั่งก่อนจะดึงขากางเกงลงไปให้เท่าเดิม สายตาไอ้ขุนเมื่อกี้มันดูร้อนแรงชะมัด ถ้าแดกขาผมได้มันแดกขาผมไปแล้ว

“ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว กูกลับมานั่งแล้วไง ” ผมตีไหล่ไอ้ขุนที่มันยังมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มไม่เลิก

“ ดีแล้ว....นี่ถ้าเป็นคนอื่นมึงเสร็จไปแล้ว ”

“ เสร็จบ้าอะไรของมึงไอ้หื่นเอ้ย ” ผมตีมันรัวๆ ไอ้ขุนมันหัวเราะร่าก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้

“ คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาหื่นกามกันบ้าง ยิ่งโดยเฉพาะกับ......ใครจะไปห้ามใจไหว ” ผมมองมันนิ่งๆ สายตาคมบ่งบอกว่าเจ้าตัวพูดออกมาอย่างที่รู้สึกจริงๆ ผมรู้นะว่าไอ้ขุนมันต้องอดทนมากแค่ไหนเวลาที่มันอยู่กับผม ผมก็ผู้ชายนะไอ้เรื่องแบบนี้มันก็พอจะรู้บ้างอยู่แล้วมันเป็นสัญชาติญาณ

ไอ้ขุนมันไม่เคยล่วงเกินอะไรผมเลยไปมากกว่าการจับมือ มีลูบหัวบ้างลูบแก้มบ้างมันก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไร ตอนที่หลับ ผมก็คิดว่ามันคงไม่เคยแอบทำอะไรผมหรอกแต่ก็อาจจะมีคิดบ้างแหละนะ ผมรู้สึกโอเคมากๆที่มันบอกว่ามันจะไม่ทำอะไรผมเพราะมันยังไม่อยากให้ผมเกลียดมัน นั่นถือว่าเป็นการให้เกียรติผมมาก

ทั้งที่ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ

---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 10 : 10/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 10-11-2017 20:37:46
---------- ต่อจากบท 10 ----------


“ ปล่อยแขนกูได้แล้ว ” หลังจากที่ผมพูดจบไอ้ขุนมันก็ยอมปล่อยมือผมออกแต่โดยดี ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเล่น

“ เมื่อไหร่มึงจะรับแอดเฟซกู ” ไอ้ขุนมันละจากจอขึ้นมาถาม

“ กูไม่ค่อยได้เล่นเฟซอ่ะ นานๆจะเข้าสักที ” ผมเป็นพวกไม่ได้ติดโซเชียลอะไรขนาดนั้นนะครับเพราะรำคาญ และผมก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่งในพื้นที่ส่วนตัวด้วย เพื่อนในเฟซบุ๊กมีแค่ 300 กว่าคนเอง รับเฉพาะที่รู้จักจริงๆเท่านั้น

“ งี้เอง ถ้าเล่นเมื่อไหร่มึงก็รับด้วยละกัน มีหลายอย่างที่กูอยากจะแท้กมึงกูก็ไม่ได้แท้ก ”

“ แท้กอะไรวะ ” ถ้าแท้กการ์ตูนจังไรๆแบบที่ไอ้หมีแท้กมึงไม่ต้องเลยนะ กูไม่อยากเห็น

“ เยอะแยะ เอาเป็นว่ารับเมื่อไหร่เดี๋ยวมึงก็รู้ ” มันว่าก่อนจะสนใจกับโทรศัพท์ต่อ ผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรทำนี่ครับ ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายสามกว่าๆ จะว่าไปนี่ผมได้นัดกับเพื่อนๆผมไว้ด้วยว่าถ้าปิดจ๊อบนิตยสารโปรโมทมหาลัยจะทำหมูกระทะกินกัน ผมหันมองหน้าไอ้ขุนที่กำลังเล่นเกมอยู่ ถ้าผมขอมันทำหมูกระทะกินที่นี่มันจะว่าอะไรผมไหมวะ

“ อยากกินหมูกระทะ ” ผมดึงชายเสื้อไอ้หล่อมัน มันก็ละขึ้นมาจากโทรศัพท์เพื่อมองผม

“ หิวอีกแล้วหรอ ”

“ ไม่ใช่ กูหมายถึงตอนเย็นอ่ะ คือกูนัดกับเพื่อนไว้ว่าถ้าทำนิตยสารเสร็จจะทำหมูกระทะกินกัน ”

“ แล้วคือจะทำที่นี่....กูเข้าใจถูกไหม ”

“ ไม่ได้หรอ ” ผมทำเสียงอ่อนใส่มันเหมือนที่ไอ้หมีมันทำใส่ผมบ่อยๆ

“ ได้สิครับ กูชวนเพื่อนกูมากินด้วยได้ไหมอ่ะ ”

“ ได้ กินกันเยอะๆจะได้สนุกๆ ” จะว่าไปถ้าเพื่อนไอ้ขุนรวมกับเพื่อนผมด้วยก็สิบกว่าคนเลยนะเนี่ย บ้านมันจะแตกไหมวะ แล้วแต่ละคนนี่ก็ตัวจี๊ดทั้งนั้น

“ งั้นมึงก็โทรนัดเพื่อนนะ เดี๋ยวกูจัดการพวกกระทะกับของให้ ” ดีว่ะ ให้มาทำกินที่บ้านไม่พอยังจะเตรียมของให้อีก

ไอ้ขุนนี่ใจดีจริงๆเลย

“ ขอบคุณนะไอ้ขุน ”

“ เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม ” ไม่พูดเปล่า ไอ้ขุนมันยื่นหน้าหล่อๆของมันเข้ามาใกล้ผมจนระยะห่างเหลือไม่ถึงคืบ พอเห็นหน้ามันใกล้ๆขนาดนี้ผมรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยว่ะ

“ อะไร ” อยากจะผลักหน้ามันออกแบบตอนแรกนะแต่สายตาที่มันมองมามันทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทนั่นทำให้รู้สึกว่าขยับไปไหนไม่ได้จริงๆ

“ ขอจูบหน่อย ” เสียงนุ่มๆเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เสียงนะครับแววตาก็บ่งบอกว่าจริงจังเหมือนกัน

“ มึง.....” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ไอ้ขุนมันก็เลื่อนมือมาจับมือผมก่อนจะสอดนิ้วเข้าประสานไว้แล้วค่อยๆยกขึ้นมาจูบเบาๆบนหลังมือ

ไม่ใช่หลังมือผมนะครับ

หลังมือมัน

ผมได้แต่มองไอ้ขุนด้วยความไม่เข้าใจกับการกระทำตรงหน้า โอเคผมเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้จะจูบปาก มันจะจูบที่มือ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือมันจะจูบมือมันทำไมวะ ถ้ามันจะจูบมือมันแล้วมันจะขอผมทำไม งงสิงง ไอ้ขุนมันทำอะไรของมันวะเนี่ย หรือมันกลัวว่าผมจะไม่ชอบ มันเลยจูบที่มือมันแทน

แบบนี้ก็มีหรอวะ

“ มึงทำอะไรของมึงเนี่ยะไอ้บ้า ” การกระทำมันแปลกๆอ่ะ มันดูตลก ผมไม่เข้าใจด้วยว่ามันทำแบบนี้ทำไม ไอ้หล่อมันจับมือผมไว้แน่นก่อนจะวางไว้ใต้คางมันแล้วยิ้มหวาน ยิ้มหวานมองผมโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

อะไรของมึงเนี่ย

“ ไอ้ขุน ” พอเห็นแต่มันยิ้มอยู่อย่างนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมา รู้สึกได้เลยว่าตัวเองคงจะยิ้มกว้างมากๆ ยอมรับเลยครับว่าตอนนี้เขินคนตรงหน้าสุด ตัวมันเองพอเห็นผมยิ้มมันก็ยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่ เหมือนมันทำในสิ่งที่มันตั้งใจสำเร็จ

โอ้ยพอแล้วได้ไหม

กูเขินโว้ยยยยยยยยยยยยย

“ น่ารัก เห็นมึงยิ้มกว้างขนาดนี้ครั้งแรกเลยนะ ” มันพูดพลางเอามือผมไปแนบแก้มมันไว้ ก็จริงที่มันพูดเหมือนกันนะ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ฉีกยิ้มกว้างขนาดนี้ โคตรแพ้ภัยตัวเองเลยที่ยิ้มแบบนี้ให้มันเห็น

“ ก็มึงอ่ะ ” มึงคนเดียวเลยนะไอ้สัส

“ กูทำไมหืม ”

“ มึงทำกูเขินอ่า ปล่อยมือกูเลยนะกูไม่ให้มึงจับแล้ว ” ผมพูดแล้วหัวเราะกับมันเบาๆ โอ้ยเขินวัวตายควายล้มจริงๆ ไม่ไหวแล้ว มีอะไรให้มุดหนีได้ไหมครับ พื้นที่ตรงนี้มันอยู่ยากชิบหาย

“ โอ๋ๆเลิกแกล้งๆ ยอมรับซะทีว่าเขินฮ่าๆๆๆ ” ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะไอ้บ้า

ไอ้หล่อปล่อยมือผมก่อนจะเลื่อนมือมาขยี้หัวผมแทน ผมก็ได้แต่เอามือมาลูบแก้มตัวเองเพื่อไล่ความร้อนกับความเขินออกไป ไอ้ขุนมึงมันร้ายมาก มึงทำกับจิตใจกูแบบนี้ได้ยังไงวะ

ถ้าเขินตายขึ้นมาจะทำยังไง

อ๊อด อ๊อด

หันมองไปทางหน้าบ้านก็พบไอ้หมีที่ยืนเกาะรั้วอยู่ เออมึงทำดีมากเพื่อนหมีที่มาตอนนี้ ไม่งั้นกูต้องเขินจนบ้าตายแน่ๆ ผมรีบหนีไอ้ขุนมาเปิดประตูให้ไอ้หมีทันที นี่ขนาดลูบหน้าไปแล้วนะ หน้าผมยังร้อนผ่าวอยู่เลย ถ้าคิดไม่ผิดแก้มผมต้องแดงมากแน่ๆเลยว่ะ

“ ทำไมมึงแก้มแดงจังวะหนม ” นั่นไง เป็นแบบที่คิดจริงๆด้วย ไอ้หมีเห็นมันยังทักได้ทันทีเลย

“ กูร้อนเฉยๆอ่ะไม่มีอะไร ” ผมบอกปัดมันไป

“ ใช่รึเปล่า ” ไม่ต้องมาจ้องจับผิดเลยไอ้สัส

ผมไม่พูดตอบอะไรก่อนจะลากมันให้เข้ามาในบ้าน ไอ้หมีมันเจอไอ้ขุนที่นั่งอยู่บนโซฟาที่ท่าทางอารมณ์ดีมาก มันก็ยกมือไหว้เป็นปกติก่อนจะนั่งลงเยื้องกันกับไอ้ขุน ผมก็นั่งลงที่เดิมข้างไอ้ขุนมัน สายตากับรอยยิ้มของไอ้หล่อยังถาโถมใส่เข้าผมเรื่อยๆ เออเอาเข้าไปนะมึง เต็มที่เลยไอ้สัส

ถ้ามีหมอนอิงนี่ผมปาใส่มันไปละ

“ อ่ะหนมนี่กระเป๋ามึง แบตมึงจะหมดอ่ะแต่กูชาร์ตมาให้ละ ” ไอ้หมีมันส่งกระเป๋าของผมมาให้ ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่ามีใครโทรหาบ้างรึเปล่า แต่ก็พบอยู่แค่รายชื่อเดียวที่โทรมา

ห่าขัน : 56 missed calls

จะโทรเอาโล่อะไรขนาดนั้นอ่ะ

“ กูไลน์ไปบอกพวกเพื่อนๆกูแล้วนะหนม พวกมันโอเค เดี๋ยวจะซื้อของเข้ามากัน ซื้อเหล้าเบียร์มากินได้ใช่ไหม ” ไอ้หล่อมันเอ่ยถาม

“ อยากกินก็ซื้อมา แต่กูคงไม่กินอ่ะ ” ไม่อยากรับอะไรขมๆเข้าคอจริงๆครับ ยิ่งช่วงร่างกายอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อยแบบนี้ ผมกลัวตัวเองจะไม่สบาย

ผมเป็นคนที่ป่วยยากมากครับ ไม่ว่าจะตากแดดตากฝนมันก็ไม่ทำให้ผมคนนี้ป่วยขึ้นมาได้ แต่ผมจะป่วยได้ก็ต่อเมื่อร่างกายอ่อนเพลียจัดๆ หรือว่าไม่ได้นอนเวลานานๆ แล้วช่วงที่ผมป่วยนี่มันจะเป็นช่วงที่บัดซบสุดๆของชีวิตผม ผมจะรำคาญโลกหนักกว่าปกติ ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเหมือนกันแต่ว่าก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

“ นี่จะทำไรกันอ่ะ ” ไอ้หมีมันถาม

“ จะแดกหมูทะ เออหมีมึงบอกเพื่อนเราด้วยให้มาที่นี่ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน ” ความจริงผมก็ยังไม่อยากอาบน้ำหรอกนะครับแต่ว่าเดี๋ยวมันจะซกมกเกินไป

“ มึงยังไม่อาบน้ำอีกหรอหนม โสโครก ” มีปัญหากับกูรึไงสัสหมี ดะตบคว่ำ

“ เสือก โสโครกก็เรื่องของกู ” ผมเบ้ปากใส่ไอ้หมีมันก่อนจะดึงเสื้อไอ้ขุนเชิงว่าให้มันตามผมมา ไอ้หล่อมันก็ทำหน้างงๆใส่ผม งงอะไรวะ กูให้ตามมาไง

“ จะไปอาบน้ำไม่ใช่หรอ แน่ะ หรือจะให้กูไปอาบด้วย ” ไอ้ขุนมันว่าพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่ม อาบด้วยพ่องอ่ะ

“ มึงจะบ้ารึไง กูจะให้มึงไปเอาเสื้อผ้าให้กู ” ผมบอกมันพร้อมกับส่งสายตาค้อนๆไปให้มันทีนึง

“ แน่ะ ”

“ แน่ะอะไรของมึงไอ้หมี อยากตายรึไงไอ้สัส ” อยู่ดีไม่ว่าดีนะมึง

ผมลากไอ้ขุนขึ้นมาบนห้องนอนทันที ไอ้หล่อมันก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้ามัน ผมเห็นแบบนั้นก็ไปชะเง้อคอมองเสื้อผ้าที่มันมี ไอ้ขุนมันมีเสื้อโทนสีดำ เทา ขาว และน้ำเงินเยอะมากครับ ชอบอะไรเรียบๆสินะ ไม่ค่อยต่างจากผมเท่าไรนัก

“ มีเสื้อแขนยาวปะ กูอยากใส่แขนยาวอ่ะ ” ผมชอบเสื้อแขนยาวมากครับ ผมไม่ค่อยชอบให้อะไรมาสัมผัสผิวแขนโดยตรงเท่าไหร่ เสื้อแขนสั้นผมก็ใส่ได้นะแต่ว่าผมไม่ค่อยเลือกที่จะใส่

“ มีสิ งั้นเอาตัวนี้ละกัน ” ไอ้ขุนมันส่งเสื้อแขนยาวสีเทามาให้ผม ผมรับมากางดู มันค่อนข้างใหญ่กว่าไซส์ที่ผมใส่อยู่พอตัว แน่ล่ะไอ้ขุนมันตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ

“ กางเกงอ่ะ เอาบ๊อกเซอร์มึงก็ได้ ”

“ ไม่ได้ บ๊อกเซอร์มันขาสั้นแถมยังขาบาน กูไม่อยากให้ใครเห็นขามึง กูหวง ”

ผมมองไอ้หล่อที่คุ้ยหาเสื้อผ้าให้ผมก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ไอ้ขุนนี่มันบ้าจริงๆเลย ปกติผมอยู่ที่หอผมก็ใส่บ๊อกเซอร์ไม่ก็กางเกงเจเจขาสั้นอยู่แล้ว เพื่อนๆผมเห็นบ่อยจะตายไป

หวงอะไรไม่เข้าท่า

“ อ่ะเอาตัวนี้ กางเกงเล ใส่เป็นใช่ไหม ” ไอ้ขุนถามผมพลางชูกางเกงเลสีเหลืองในมือให้ผมดู

“ ใส่เป็น ” ผมรับกางกางเลมาแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าห้องน้ำแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกว่าลืมอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

กางเกงใน

ไม่มีกางเกงใน

ผมต้องเปลี่ยน ไม่ได้ครับถึงจะโสโครกยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เด็ดขาด แต่จะให้ใส่ของไอ้ขุนก็ไม่ได้อีกอ่ะ มันเป็นของใช้ส่วนตัวที่ไม่ควรใช้ร่วมกับใคร ผมจะเอายังไงดีวะ จะไม่ใส่ก็ไม่ได้อีก

ทำไมชีวิตต้องมาคิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้วะ

“ อ่ะหนม กางเกงใน ” ผมมองกางเกงในที่ไอ้ขุนส่งมาให้ มันเป็นกางเกงในใหม่ครับเพราะฉลากยังมีแปะไว้

“ กูไม่คิดว่ามึงจะมีของใหม่ด้วยนะเนี่ย ”

“ กูซื้อมาผิดไซส์อ่ะ อันนั้นมันเล็กไป ” มันว่าพลางยิ้มกริ่ม ผมเบ้ปากใส่ จะบอกว่าของมึงใหญ่สินะ หมั่นไส้จริงๆ

ผมเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อที่จะอาบน้ำ ห้องน้ำไอ้ขุนนี่ก็ไม่ต่างจากจากห้องน้ำที่บ้านผม มีเคาท์เตอร์วางของใหญ่ๆ ในห้องน้ำมันไม่มีอย่างเดียวคือเป็ดยาง ว่าแล้วก็คิดถึงเป็ดยางจัง เดี๋ยวก่อนสอบต้องแวะกลับไปนอนบ้านสักวันละจะได้แช่น้ำกับเจ้าพวกเป็ด อ่างแช่ของไอ้ขุนใหญ่นี่กว่าอ่างของผมอีก อารมณ์แบบว่าแช่สองคนได้สบาย

แต่วันนี้ผมจะไม่แช่น้ำหรอกครับ

ผมเลือกที่จะอาบน้ำด้วยฝักบัวเพราะจะได้รีบๆอาบแล้วลงไปข้างล่าง เผื่อเพื่อนผมกับเพื่อนไอ้ขุนมาจะได้เตรียมของเตรียมที่ไว้ทำกัน ของใช้ในห้องน้ำไอ้ขุนนี่มีหลายอันที่ผมใช้เหมือนกับมัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนนะครับว่าเราจะเจอคนที่ใช้อะไรๆเหมือนกับเราได้ขนาดนี้ คนที่ชอบอะไรๆหลายอย่างคล้ายกับเรา

คิดๆดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

เวลาผ่านไปสักประมาณสิบกว่านาที ผมอาบน้ำเสร็จแล้วครับ ตอนนี้กำลังใส่เสื้อผ้า เสื้อไอ้ขุนมันใหญ่กว่าที่ผมคิดอีกว่ะ ชายเสื้อยาวเลยมาอีกประมาณคืบนึงก็จะถึงเข่าผมละ เดี๋ยวผมจะต้องถามมันว่ามันสูงเท่าไหร่ ทำไมใส่เสื้อที่ตัวยาวขนาดนี้ แขนเสื้อนี่ก็ยาวคลุมมือผมมิดเลยต้องพับครับ ไม่งั้นจะใช้มือไม่ได้

ทำไมผมพูดอะไรงงๆวะ

ผมสวมกางเกงเลสีเหลืองก่อนจะมัดเชือกไว้แน่นๆ เสร็จแล้วครับการอาบน้ำแต่งตัวของขนม รู้สึกสะอาดสดใสหัวใจชื่นบานมากตอนนี้ กลิ่นแชมพูที่ไอ้ขุนก็หอมติดอยู่ที่ตัวผม ชอบว่ะกลิ่นมันหอมอ่อนๆผมเปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อนี้ดีไหมนะ ชักติดใจกลิ่นซะแล้วสิ

“ อาบเสร็จแล้วหรอ ” ทันทีที่ผมเดินออกมาจากในห้องน้ำก็เจอไอ้หล่อที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผมนึกว่ามันลงไปข้างล่างซะอีก

“ เออ ทำไมมึงอยู่นี่อ่ะ ” ผมเดินมานั่งเช็ดผมบนเก้าอี้ใกล้เตียง

“ รอมึง ” รอทำไมวะไอ้บ้า กูไม่ได้บอกให้รอสักหน่อย

ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน มือก็พลางเช็ดผมที่เปียกของตัวเองต่อ ผมเริ่มยาวเกินไปแล้วแฮะ เดี๋ยวก่อนสอบค่อยไปตัด ตัดทรงอะไรดีวะ ผมของผมมันหยักศกหน่อยๆ พอมันยาวมากเข้าหัวมันก็จะฟูๆ ผมไม่ค่อยชอบหวีผมครับ ปล่อยมันกะเซิงไปมอมาตั้งแต่ปี 1 ผมไม่ค่อยสนใจกับมันอยู่แล้วแค่มันไม่ทิ่มตาผมก็พอ

“ มึงจะทำอะไร ” ตอนที่ผมคิดอะไรเพลินๆไอ้ขุนมันก็แย่งผ้าเช็ดผมในมือผมไปก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลัง

“ กูเช็ดให้ ” มันว่าแล้วก็เริ่มเช็ดผมให้ผม สัมผัสเบามือจากไอ้หล่อมันให้ความรู้สึกดีแปลกๆว่ะ นอกจากแม่กับพี่เขมแล้วไม่มีใครเคยเช็ดผมให้ผมเลย เพราะว่าผมไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่งกับหัวผมสักเท่าไหร่ กับเพื่อนๆผมก็ไม่ค่อยให้ยุ่งนะครับ ถ้าให้แตะๆลูบๆนิดๆหน่อยๆก็ยอมได้ แต่ให้ขยี้แบบนี้ผมไม่ยอมให้ทำ

จะมีก็แต่ไอ้ขุนนี่แหละที่ผมยอม

ยอมแบบไร้เหตุผลอีกต่างหาก

“ เจ็บไหม ” ไอ้หล่อเอ่ยถาม

“ ไม่ ” จะไปเจ็บได้ยังไงมึงเช็ดถนอมหัวกูซะขนาดนี้ มือไอ้ขุนมันเบามากครับ มากจนผมรู้สึกเคลิ้มเหมือนจะหลับอีกรอบ

“ ง่วงหรอ ”

“ นิดหน่อย แต่กูไม่นอนตอนนี้หรอกเดี๋ยวกลางคืนนอนไม่หลับ ” ผมยกมือปิดปากหาวเบาๆ

“ ดีแล้ว ทนง่วงไปก่อนไว้นอนทีเดียว ชีวิตมึงจะได้กลับสู่การนอนแบบคนปกติได้สักที พักผ่อนน้อยเกินไปกูกลัวมึงจะไม่สบาย ถ้าเป็นแบบนั้นกูเป็นห่วงตายเลย ” ไอ้ขุนมันร่ายยาวให้ผมฟัง น้ำเสียงนุ่มนั่นแสดงออกถึงความเป็นห่วงจริงๆ

ผมเงยหน้ามองมัน มือมันเองก็หยุดชะงัก ผมชอบคิดนะว่าทำไมไอ้ขุนมันถึงเป็นห่วงผมนักหนา แถมยังคอยช่วยเหลือและดูแลผมอยู่ตลอด มันทำหลายๆอย่างให้ผมในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจนบางอย่างผมเริ่มชินกับมัน มันน่ากลัวนะเวลาที่เราคุ้นเคยกับอะไรสักอย่างแล้วถ้าวันนึงมันหายไป ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้ามันมีวันนั้นจริงๆผมจะมีสภาพยังไง ใจผมมันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างเดิม

เป็นเพราะไอ้บ้าที่มองผมอยู่แท้ๆ

ที่ทำให้ขนมคนแกร่งกลายเป็นแบบนี้

“ มองอะไรหืม ”

“ ขอบใจนะที่เป็นห่วง ” ผมยิ้มบางๆให้มัน ไอ้ขุนเองพอเห็นผมยิ้มให้เจ้าตัวก็ยิ้มหวานตอบ มึงไม่ต้องยิ้มกว้างขนาดนั้นก็ได้ป้ะวะ สงสัยมันคงดีใจที่เห็นผมยิ้มให้

“ กูจะอยู่เป็นห่วงมึงไปนานๆ ” นิ้วเรียวของไอ้ขุนจิ้มแก้มผมเบาๆ หึ....อยู่เป็นห่วงไปนานๆงั้นหรอ

“ มึงพูดแล้วนะ ”

“ แน่ะ อยากให้กูอยู่ด้วยไปนานๆล่ะสิ ถึงพูดแบบนี้ ” ไอ้ขุนมันเลิกคิ้วมองผมอย่างเจ้าเล่ห์ ผมหุบยิ้มทันทีก่อนจะหยิกมือมันไปทีนึงอย่างหมั่นไส้ เดี๋ยวนี้มันหาทางต้อนผมด้วยคำพูดอยู่ตลอดเลยให้ตายสิ

“ กูเปล่า เช็ดเร็วๆเดี๋ยวพวกเพื่อนๆกับพี่ๆมันมา ” ผมเร่งมัน เมินคำถามมันไปครับอย่าไปสนใจ ทำหน้ามึนๆเข้าไว้เดี๋ยวทุกผ่านมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี

“ ครับๆ ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เข้ามากูไม่ได้ล็อค ” พอไอ้ขุนพูดจบร่างโปร่งพร้อมเจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มก็เดินเข้ามาทันที พี่แกงเองครับไม่ใช่ใคร เห็นสีผมพี่เขาทีไรแม่งบาดใจผมทุกทีเลยว่ะ พี่แม่งโคตรคูล

“ สวีทกันหรอวะ ” พี่แกงถามก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนเตียง สวีทห่าอะไรล่ะพี่นั่งเช็ดหัวกันอยู่เนี่ยะ

“กูบอกแล้วว่าอย่างเพิ่งขึ้นมาก็ไม่เชื่อ ” ไม่ใช่แค่พี่แกงที่เดินเข้ามาในห้องครับ พี่เกียร์ก็เดินเข้ามาอีกคน

ผมมองพี่เกียร์สลับกับพี่แกง สองคนนี้นี่ดูหล่อมากทั้งคู่เลยนะครับ แถมตัวก็ยังเท่าๆกันอีก สงสัยเหมือนกันนะว่าในเวลาแบบนั้นใครเป็นฝ่ายไหนอะไรยังไง ผมว่ามันดูเหมือนกดกันไม่ลงด้วยซ้ำ

หรือพี่เขาสลับกัน

บ้าน่ะ คิดอะไรของมึงวะเนี่ยหนม

“ ทำไมทำคิ้วขมวดแบบนั้นล่ะไอ้แว่น ” พี่แกงนอนมองผม

“ มึงจะไปยุ่งอะไรกับคิ้วน้องแว่นล่ะ ” ผมยังไม่ทันตอบพี่เกียร์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ไม่ใช่แค่พูดนะครับร่างสูงๆก็เดินไปล้มทับพี่แกงที่นอนอยู่บนเตียง พอเป็นแบบนั้นมันก็เกิดเป็นสงครามย่อมๆของทั้งสองคน

“ พวกมึงอย่าไปฟัดกันบนเตียงกูได้ไหม จะเอากันก็ไปอีกห้องโน่นไป ” เสียงไอ้หล่อเอ่ยอย่ารำคาญ สภาพเตียงตอนนี้คือหมอนกับผ้าห่มกระจายไปคนละทิศล่ะครับ แน่ล่ะพี่เกียร์กับพี่แกงเล่นกลิ้งไปรอบเตียง เล่นอะไรกันเป็นเด็กเลยแฮะ

“ ป่ะเมีย ไอ้ขุนมันเปิดทางให้เราละ ” พี่เกียร์เอ่ยพลางรวบตัวพี่แกงมาไว้ในอ้อมแขน สังเกตหน้าใสๆของพี่แกงขึ้นสีแดงระเรื่อด้วย พอเห็นแบบนี้ผมก็รู้แล้วล่ะว่าใครเป็นฝ่ายไหน

พี่แกงนี่ต้องโดนทะลวงชัวร์

“ พูดบ้าอะไรของมึง ออกไปเลยนะ ” พี่แกงโวยวายใส่ใหญ่เลย มองแบบนี้มันก็ดูน่ารักดีนะคนเป็นแฟนกันเนี่ย มีหยอกมีล้อมีตีกันหน่อยๆด้วย ผมไม่เคยมีแฟนไงครับเลยไม่เคยทำอะไรแบบนี้

“ พอเลยทั้งคู่อ่ะ ไปหยอกล้อเล่นกันไกลๆได้ไหม ขัดหูขัดตา ” ไอ้ขุนมันก็ยังไม่เลิกบ่นครับ สงสัยว่ามันคงไม่อยากให้เตียงมันเละไปกว่านี้มันถึงบ่นไม่หยุด

“ พูดแบบนี้อิจฉาสินะมึงน่ะ ”

“ ไม่มีโอกาสจะได้ทำแบบนี้กับน้องแว่นสักทีไง ก็เลยหงุดหงิดอยู่ ”

ผมเงยหน้ามองไอ้ขุนอีกครั้งทันทีที่พี่สองคนเขาพูดจบ ผมเข้าใจความหมายของที่พี่เกียร์พูดนะครับ หน้าหล่อของมันดูปรี๊ดแตกแปลกๆ หูนี่แดงเถือกเลยครับ มันโกรธหรือว่ายังไงนะ

“ เอออิจฉา อย่าให้ถึงวันของกูนะมึง ลงไปข้างล่างเลยนะไอ้พวกเชี่ย ” ไอ้ขุนโวยวายใส่พี่เกียร์กับพี่แกง สองคนเขาก็หัวเราะลั่นห้องก่อนจะพากันเดินออกไป เหลือแค่ผมกับไอ้ขุนที่อยู่ในห้องกันสองคน

“ มองอะไรวะ หัวร้อนอยู่นะ ไม่ต้องมาทำหน้าแบ๊วใส่เลย ” มันว่าแล้วบีบจมูกผมเบาๆ หน้าแบ๊วพ่องอ่ะ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยไหมกูก็อยู่ของกูปกติ

“ แบ๊วไรวะ แล้วมึงจะหัวร้อนทำไม ”

“ ก็พวกมันแกล้งกูอ่ะ ” ไอ้ขุนมันทำเสียงเหมือนนอยด์นิดๆ เขาแกล้งอะไรมึงวะกูไม่เห็นเขาจะแกล้งมึงตรงไหน

“ กูเห็นพี่เค้าเล่นกันเฉยๆเอง ”

“ งั้นมึงมาเล่นกับกูเฉยๆแบบนั้นได้ไหมล่ะ ” กูจะไปเล่นแบบนั้นกับมึงได้ยังไงวะ

“ กูกับมึงไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ”

“ อยากเป็นไหมล่ะ ”

ผมมองไอ้ขุนมันเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง ความจริงจังของมันทำให้ผมใจสั่นอีกแล้วแถมแก้มก็ยังร้อนขึ้นมาดื้อๆ ผมไม่ได้โง่เกินที่จะไม่รู้ความหมายของสิ่งที่มันพูดนะครับ แต่ว่าจะให้ตอบกลับยังไงวะ ไม่รู้โว้ยยยยยยยย ไม่ตอบอะไรทั้งนั้นแหละ

เพราะงั้นเปลี่ยนเรื่อง

“ หัวแห้งละ กูลงไปข้างล่างนะ ” ผมบอกมันแบบนั้นก่อนจะรีบลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งลงมาด้านล่างทันที ไม่ไหวครับใจสั่นเหลือเกิน ตอนแรกมันก็มีอิทธิพลกับผมพอสมควรนะ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งแล้วใหญ่ มันก็ช่างสรรหาคำมาใช้กับผมเหลือเกิน ยิ่งพอรู้ว่าผมแพ้ทางมันก็ยิ่งเอาใหญ่

ตอนนี้แก้มผมคงแดงน่าดูแน่เลยว่ะ

“ ทำไรมาวะหนมหน้าโคตรแดงเลย ”

เห็นไหม...ผมบอกแล้ว








TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังให้กันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาาาา
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 10 : 10/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 11-11-2017 07:23:09
น่ารักค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 10 : 10/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-11-2017 07:37:52
 :-[ :-[

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 11 : 11/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-11-2017 20:23:03
บทที่ 11 เปิดตี้หมูกระทะ



“ มึงหั่นบางๆสิวะไอ้หมี มึงทำเป็นป้ะเนี่ย ”

“ ทำเป็นสิพี่ เชื่อมือหมีเถอะ ”

“ เชื่อก็เชี่ยแล้ว มึงหั่นเป็นลูกเต๋าแบบนี้มันก็สุกยากสิวะ ”

“ มันก็กินได้เหมือนกันแหละหน่า ”

“ ยังจะเถียงอีก ” สิ้นคำของพี่ชาไอ้หมีมันก็โดนพวกพี่เขารุมสกัม

สมน้ำหน้ามันทำตัววุ่นวายดีนัก

ตอนนี้ผมกับไอ้หมีและพวกพี่ๆกำลังนั่งหั่นผักกับเนื้อสัตว์เพื่อที่จะเตรียมไว้กินหมูกระทะกันอยู่ครับ เพื่อนๆผมยังไม่มาเพราะว่าเพิ่งจะตื่นกัน ตอนนี้ก็ประมาณสี่โมงกว่าๆ ที่รีบเตรียมของก็เพราะว่าไอ้ขุนบอกให้หมักพวกเนื้อไว้ก่อน ยิ่งหมักนานก็ยิ่งอร่อย แต่ตอนนี้ไอ้ขุนไม่ได้อยู่เตรียมของกับพวกผมนะครับ มันออกไปซื้อของทะเลมาเพราะผมบ่นว่าผมอยากกิน

ดีจัง ฮ่าๆๆ

ผมไม่คิดห้ามมันด้วยนะครับเพราะผมอยากกินไง แถมสั่งมันไปอีกต่างหากว่าให้ซื้ออะไรบ้าง รู้สึกว่าตัวเองผลาญเงินไอ้ขุนมันเยอะมากเกินไปแล้ว ไม่ใช่ผมไม่บอกมันว่าจะใช้เงินผมเองนะ ผมบอกมันแล้วแต่มันไม่ยอมผมอ่ะ สุดท้ายแล้วผมก็ต้องตามใจมัน

“ ไอ้น้องหนม กูมีไรอยากจะถามว่ะ ” พี่ชาเดินมานั่งลงข้างๆผมก่อนจะหยิบแครอทไปปอกเปลือก

“ อะไรอ่ะพี่ ”

“ มึงได้กับไอ้ขุนยังวะ ”

“ เห้ยพี่ ถามอะไรเนี่ย ” พี่ชามองหน้าผมนิ่งๆ อารมณ์แบบมึงตกใจทำไม

“ ก็ขึ้นชื่อว่าไอ้ขุนอ่ะ ”

“ ขึ้นชื่อว่าไอ้ขุนแล้วทำไมอ๋อพี่ ”

“ มันจ้องจะเอาใครมันก็จะได้ไม่เกินสามวัน แถมมันยังไม่เคยพาใครมานอนที่บ้านด้วยนอกจากเพื่อนๆอ่ะ มีมึงนี่แหละที่มันพามา ”

ผมฟังจากที่พี่ชาบอกมันก็ให้ความรู้สึกแปลกๆดีว่ะ ปกติแล้วผมไม่ค่อยรู้หรอกนะครับว่าเมื่อก่อนชีวิตไอ้ขุนมันเป็นมายังไง รู้แค่ว่ามันเจ้าชู้แต่ไม่รู้ว่ามันจะเก็บเหยื่อได้ภายในสามวัน

ชักอยากรู้ให้มากกว่านี้แล้วว่ะ

“ ผมอยากรู้เรื่องของไอ้ขุนบ้างอ่ะพี่ชา ผมอยากรู้ว่าจริงๆมันเป็นคนยังไง ” อยากรู้ครับ ผมคิดไว้แล้วแหละว่าจะไปแอบตามดูชีวิตมันลับหลังสักระยะนึง อยากเห็นกับตาว่าเวลามันอยู่ต่อหน้ากับลับหลังผมเนี่ยมันต่างกันมากไหม

“ งั้นกูขอถามมึงก่อน ไอ้ขุนเวลามันอยู่กับมึงอ่ะ มันทำตัวยังไง ” ทำตัวยังไงงั้นหรอ

“ มันดูแลผมดีมากอ่ะพี่ มันเทคแคร์มันใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆมันก็ใส่ใจ มันชอบพูดจาหวานๆเลี่ยนๆ มันให้เกียรติผมมากทั้งๆที่ผมเป็นผู้ชาย ”

“ แล้วมึงรู้สึกยังไง ”

“ มันก็รู้สึกดีอ่ะเพราะชีวิตผมมันไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้มาก่อน บางครั้งก็รู้สึกดีมาก มากจนอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้นะพี่ว่าที่ผมรู้สึกอยู่มันคืออะไร ” สับสนครับ สภาวะสับสนในชีวิต แถมยังมีความย้อนแย้งในตัวเองอีกต่างหาก

“ กูก็พอเข้าใจมึงแหละ ครั้งแรกในชีวิตที่เจออะไรแบบนี้ล่ะนะ ”

“ พี่ชาอย่าไปบอกมันนะ ผมไม่อยากให้มันรู้ว่ามันทำให้ผมเป็นแบบนี้อ่ะ ”

“ กูไม่บอกหรอก แต่เอาจริงๆไอ้ขุนมันก็น่าจะดูมึงออกแหละมันก็แค่ไม่พูด ”

“ เออ มันแค่ไม่พูด ” ผมหันมองพี่ก้องที่เดินมานั่งข้างผมอีกคน

“ ความจริงอ่ะไอ้ขุนมันเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจใครนะ ไอ้ดูแลเทคแคร์ใส่ใจอ่ะมันไม่เคยทำแบบนั้นให้ใครด้วยซ้ำ ไม่มีใครเคยผูกมัดมันไว้ได้ด้วย มึงคิดดูว่าคนที่เจ้าชู้มากๆเปลี่ยนคนควงเป็นว่าเล่น ผู้หญิงไม่ขาดมืออ่ะแต่ตอนนี้มันกลายเป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเลยแม้ว่าจะมีคนเสนอตัวให้มันเยอะมากๆก็ตาม ”

“ ใช่ จากคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน แดกเหล้าแทบทุกวันกลับคิดเลิกเที่ยว กูบอกเลยนะว่าจะชวนมันไปเที่ยวแต่ละวันนี่ยากเย็นชิบหาย แม่งให้เหตุผลว่าถ้ามันไปเที่ยวมันมาหามึงดีกว่า ”

“ ผมทำให้มันเปลี่ยนไปงั้นหรอ ”

“ ไม่หรอก ไอ้ขุนมันเหมือนเดิมแหละแต่ที่มันทำทั้งหมดนั่นน่ะก็เพื่อให้มึงพิเศษกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง ” พี่ชาเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

พิเศษอย่างงั้นหรอ

ผมยิ้มออกมาอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ในใจมันละมุนแปลกๆ ผมรู้สึกดีมากครับกับเรื่องที่พี่ชากับพี่ก้องเล่าให้ฟัง แถมยังเชื่ออย่างสนิทใจโดยที่ไม่คิดว่าพี่เขาจะเล่าเรื่องเข้าข้างเพื่อนตัวเอง ไอ้ขุนมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้เหมือนกันล่ะนะว่าผมเป็นคนพิเศษ หลายๆอย่างที่มันทำให้ผมมันดีมากจริงๆ

“ เพราะเวลามึงแก้มแดงแล้วน่ารักป้ะวะ ไอ้ขุนมันถึงไปไหนไม่รอด ” พี่ก้องว่าพลางเอามือดึงแก้มผมด้วย มันเจ็บนะพี่เอ้ยละมือนั่งแกะผักกาดอยู่ไม่ใช่รึไง มันก็เลอะหน้าผมน่ะเซ่

“ เป็นแค่ไอ้เฉิ่มแต่เอาไอ้ขุนอยู่หมัดเลยนะมึงน่ะ ดีจริงๆว่ะ กูขอให้รักกันนานๆ ”

“ รักอะไรล่ะพี่ ไม่ใช่เว้ย ” ผมโวยวายใส่พี่ชาที่เลิกคิ้วมองผมอย่างกวนๆ อะไรวะทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ

“ ที่พูดมานั่นจะใช่เร้อ ”

“ ผมไปช่วยไอ้หมีหั่นหมูดีกว่า ” ผมรีบลุกไปนั่งข้างไอ้หมีเพื่อหนีพี่ๆมันทันทีครับ พวกพี่ๆมันก็หัวเราะแซวผมใหญ่ เออเอาเข้าไปนะพี่นะ

“ พี่ๆเค้าคุยไรกับมึงวะหนม ” ไอ้หมีมันถามครับ สายตาจับจ้องแบบอยากรู้เรื่องมาก

“ เสือก หั่นหมูไปเลยมึง ” ถามกูมากๆเดี๋ยวกูจะหั่นมึงแทนหมู

“ พูดงี้เพื่อนหมีเสียใจหน่า ” มันว่าก่อนจะยกมือขึ้นทำเป็นปาดน้ำตา ไอ้ท่าปาดน้ำตาของมึงนี่เลิกใช้เถอะว่ะ เห็นแล้วหมั่นไส้ชิบหาย

“ ไอ้สัสขุนมึงจะซื้อเยอะไปไหนเนี่ยะ ” ผมหันตามเสียงบ่นก็พบกับพี่สยามที่ถือถุงของทะเลเดินเข้ามาในบ้าน ซื้อมาอย่างเยอะ จะกินหมดไหมเนี่ย

“ ซื้อมาให้พวกมึงแดกนี่แหละอย่าบ่นให้มากได้ไหมวะ ตังค์ก็ตังค์กูเดี๋ยวก็ตบทิ่มหรอก ” ไอ้หล่อมันเดินตามมาเข้ามาพอมันเห็นผมนั่งหั่นหมูอยู่ข้างไอ้หมีมันก็นั่งลงข้างๆผมทันที

“ ไม่ไปล้างของก่อนหรอพี่ขุน ” ไอ้หมีมันถาม

“ ไม่อ่ะ อยากอยู่กับเพื่อนมึง เห้ยไอ้สยามมึงล้างของด้วย ” ไอ้ขุนมันสั่งพี่สยามก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ผม ไม่ต้องมายิ้มเลยนะมึง

“ มึงไปช่วยพี่สยามล้างเลย ” ผมสั่งมัน

“ อะไรเล่า ไอ้สยามมันล้างได้ ”

“ มันตั้งเยอะ ไปช่วยเดี๋ยวนี้ ”

“ อื้ออ.อ...อ...หนม ” ผมมองหน้าไอ้ขุนที่เบะปากน้อยๆ คิดว่าน่ารักหรอมึง เออน่ารักแต่กูไม่ใจอ่อนให้มึงง่ายๆหรอก

“ มึงจะไม่ไปหรอ ” ผมมองมันด้วยสายตานิ่งๆ

“ ไปก็ได้ ” ไอ้หล่อมันทำเสียงอ่อนใส่ก่อนจะลุกไปช่วยพี่สยามล้างของทะเลที่ซื้อมา

“ มึงนี่ไม่ทำดาเลยหนม ”

“ ไม่ทำดาอะไรวะหมี ”

“ พี่ขุนทำตามที่มึงสั่งด้วย ปกติใครสั่งพี่ขุนได้ที่ไหนล่ะ ” ไอ้หมีว่าพลางส่งสายตาหมั่นไส้มาให้ผมด้วย

“ นั่นเพราะกูเก่งไง ” ผมยักคิ้วให้มันทีนึงก่อนจะหั่นหมูต่อ

จะว่าไปไอ้ขุนนี่มันก็ทำตามทุกอย่างที่ผมสั่งจริงๆนั่นแหละ มีอิดออดบ้างแต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะยอมทำตามคำสั่งไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน แล้วถ้าวันนึงมันไม่ยอมขึ้นมาผมจะทำยังไงนะ ไม่เอาๆอย่าไปคิด อนาคตมันคือสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริงครับ มันไม่มีความแน่นอนและไม่มีความตายตัว ผมว่าผมคิดอยู่แค่ปัจจุบันดีกว่า

ปัจจุบันมันยอมผม นั่นคือสิ่งที่ผมคิดแล้วสบายใจ

เอาแค่นั้นพอ

“ ล้างเสร็จแล้วครับ ” ไอ้หล่อมันกลับมานั่งเสนอหน้าอยู่ที่เดิมทันที

“ มึงล้างไวจัง ” มันล้างไวมากจริงๆครับ ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

“ ก็กูอยากมานั่งกับมึงไงก็เลยรีบล้าง ไอ้หมีมึงไปหั่นผักไปเดี๋ยวกูหั่นหมูเอง ไป้ ” มันไล่ไอ้หมีก่อนจะหยิบหมูที่ไอ้หมีหั่นค้างไว้มาทำแทน ไอ้หมีที่โดนไล่ที่ก็ได้แต่เบ้ปากใส่ผมแล้วก็เดินไปช่วยพวกพี่หอมหั่นผักแทน

“ เออขุนกูมีอะไรจะขอมึงหน่อยอ่ะ ”

“ ว่ามา เพื่อมึงกูทำได้ทุกอย่าง ”

“ หลังจากวันนี้ไปจนวันสอบเสร็จ มึงไม่ต้องมาหากูแล้วก็ไม่ต้องติดต่อมานะ ” มือไอ้ขุนที่หั่นหมูอยู่หยุดชะงักทันทีที่ผมพูดจบ มันเงยหน้ามองผมช้าๆ แววตาหม่นๆนั่นมันน่าสงสารแปลกๆแหะ

“ ทำไมล่ะ ” พอเสียงอ่อนๆนั่นเอ่ยออกมามันยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ เฮ้อ ลำบากใจเหมือนกันนะแต่ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจไว้มันก็จะต้องเป็นเหมือนเดิม

ห้ามใจอ่อนให้มันเด็ดขาด

“ คือกูอยากจะมีเวลาอ่านหนังสืออย่างเต็มที่น่ะ แล้วกูก็มีติวกับเพื่อนๆด้วย ปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ”

“ ขอเจอสักวันก็ไม่ได้หรอ ”

“ ไม่ได้ กูอยากจะมีสมาธิ ที่สำคัญกูก็อยากให้มึงตั้งใจอ่านหนังสือสอบเหมือนกัน กูกำลังพยายามอย่างเต็มที่มึงไม่อยากพยายามให้มากเท่ากับกูหรอ ” ผมมองคนตรงหน้าที่พยักหน้าช้าๆเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แต่มันก็ยังไม่เลิกทำหน้าหงอย เอาจริงๆไม่ได้เจอผมแค่อาทิตย์กว่าๆ เวลามันก็พอๆกับที่มันเคยหายไปครั้งก่อนนั่นแหละ แต่ทำไมมันยังงอแงอยู่ก็ไม่รู้

“ กูเข้าใจแล้ว ในเมื่อมึงตั้งใจกูก็จะตั้งใจเหมือนกัน ” มันว่าด้วยเสียงเอื่อยๆ สงสัยผมต้องใช้ประโยคที่เตรียมไว้แล้วล่ะ ผมเชื่อว่าถ้าผมบอกมันแบบนั้นมันจะต้องกลับมายิ้มได้แน่ๆ

“ ดีแล้ว....เอาจริงๆที่เราห่างกันบ้างกูว่ามันดีออกนะ ”

“ ดียังไง ”

“ ก็ห่างเพื่อให้มีเวลาได้คิดถึงกันไง ” สิ้นเสียงของผมไอ้ขุนมันก็นิ่งไปทันที สังเกตได้ว่าแก้มไอ้หล่อมันมีสีแดงระเรื่อแกมขึ้นมา นี่มันเขินผมป้ะวะ

“ หนมมึง.....” ฮ่าๆตอนนี้หน้ามันแดงลามไปยันหูแล้วครับ ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะได้เห็นมันหน้าแดงจัดขนาดนี้ พอมองแบบนี้มันก็ดูน่ารักแปลกๆเหมือนกันแฮะ

“ มึงร้อน หรือว่า เขิน ” ผมแกล้งแซวมันด้วยคำพูดที่มันชอบแซวผม ถึงทีของกูละไอ้ขุนเอ้ย เคยเล่นกูไว้เยอะดีนัก วันนี้หนมขอสวนครับ ฮ่าๆๆ

“ เขิน เขินมาก ใครจะไปคิดว่าไอ้เฉิ่มอย่างมึงจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาวะ ” มันบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เพราะตัวเองเสียท่าให้ผม แน่ล่ะปกติผมจะต้องเขินมัน มึงรู้สึกแพ้พ่ายแพ้สินะไอ้ขุน

ว่าแต่เมื่อกี้มันเรียกผมว่าไอ้เฉิ่มสินะ

โป๊ก

“ โอ้ย โขกหัวกูทำไมเนี่ย ” ไอ้ขุนมันทำหน้ามุ้ยใส่ผมที่ไปโขกหัวมัน มึงมันสมควรโดนแล้วไอ้บ้า

“ เรียกกูว่าไอ้เฉิ่มดีนัก ” กูรู้แล้วว่าตัวเองเฉิ่มแต่คนอื่นห้ามเรียกโว้ย

“ ปกติใครมายุ่งกับหัวกูนี่กูไล่เตะแล้วนะ ”

“ มึงจะเตะกูรึไง ”

“ ใครจะกล้า ” มันทำเสียงอ่อนก่อนจะหั่นหมูต่อ

ผมนั่งมองไอ้ขุน ตลกดีว่ะเมื่อกี้ยังทำตัวดราม่าอยู่เลย แค่พูดว่าห่างให้คิดถึงหน่อยเดียวก็กลับมาเป็นไอ้บ้าขุนคนเดิมได้ละ แถมยังเขินให้ผมได้เห็นเป็นบุญตาอีกต่างหาก ผมคิดดีแล้วนะครับเรื่องที่จะไม่ให้มันมายุ่งผมจนกว่าจะสอบเสร็จ ผมมีเรื่องที่ตั้งใจจะทำ เรื่องแรกก็คือตั้งใจอ่านหนังสือสอบ ส่วนอีกเรื่องไปตามแอบดูชีวิตมันที่คณะแบบเงียบๆ ผมอยากรู้ครับว่าลับหลังผมมันเป็นยังไง อยากเห็นกับตาตัวเอง แล้วก็อยากจะรู้ด้วยว่ามันจะตั้งใจจริงๆแบบที่มันพูดรึเปล่า

แค่คิดจะไปตามดูก็น่าสนุกแล้ว

“ หนม....กูดีใจนะที่มึงพูดแบบนั้นออกมาน่ะ ” มันเหลือบมองผมแปปนึงแล้วก็หั่นหมูต่อ

“ ก็มันจริงนี่หว่า รีบๆหั่นจะได้หมักไวไว ” มันพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะรีบหั่นตามที่ผมสั่ง

จะว่าไปนี่ถ้าห่างกันผมก็อาจจะคิดถึงมัน ไม่สิ ผมอาจจะนึกถึงมัน แน่ล่ะคนอยู่ด้วยกันบ่อยๆ วันไหนที่ไม่เจอหน้าก็ยังได้คุยกัน แต่นี่ต้องทั้งห้ามเจอทั้งคุย อยากรู้จังว่าไอ้ขุนจะเป็นยังไง ถ้าไม่ได้เจอหรือว่าไม่ได้คุยกับผมเลยมันจะลงแดงตายไปก่อนรึเปล่า

จะเป็นยังไงก็ต้องรอดูสินะ





“ มึงอย่ามาแย่งหมูกูได้ป้ะวะ กูเป็นคนปิ้ง ”

“ กูจะแย่งอ่ะ ”

“ เห้ยพี่แกงอันนั้นมันของหมีหน่า ”

“ มันอยู่ในจานกูแล้วมันต้องเป็นของกูดิ่ ”

“ กุ้งเผาได้แล้วหนม ให้กูแกะให้เลยไหม ”

“ เออแกะเลย ”

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆครับ พวกผมกับเพื่อนๆไอ้ขุนก็นั่งกินหมูกระทะกันอยู่หลังบ้านเยื้องๆกับบ่อเต่า ขอบอกเลยว่าเป็นการกินหมูกระทะที่วุ่นวายมาก เสียงดังชิบหายอีกต่างหากนี่ยังหวั่นใจเลยนะว่าข้างบ้านจะมาด่าไหม แต่คิดไปคิดมาถึงเขาอยากจะมาด่าแต่ก็คงไม่กล้าหรอก

ดูแต่ละคนสิเถื่อนๆทั้งนั้น

“ นี่ครับ ” ไอ้ขุนมันส่งจานใส่กุ้งที่แกะเสร็จแล้วมาให้ผม หูย น่ากินมากๆ มันนี่เยิ้มเลยแถมกลิ่นยังหอมอีกด้วย ไม่ต้องอิจฉานะครับเดี๋ยวผมจะกินเผื่อให้เอง

“ แต๊งกิ้ว ” ผมรับมาก่อนจะลงมือจัดการกับเจ้ากุ้งที่อยู่ตรงหน้า เสร็จหนมเถอะนะกุ้งนะ

“ อยากกินกุ้งบ้างจังน้า ”

“ ถ้ามีคนแกะกุ้งให้กูกินบ้างก็ดีน่ะสิ ”

“ น่าอิจฉาจังเลยว่ะ ”

“ เงียบไปเลยนะพวกมึงอ่ะ ” ผมเอ็ดไอ้เพื่อนๆตัวแสบที่ส่งเสียงแซวกันไม่หยุด ส่วนพวกพี่ๆก็ส่งสายตาล้อเลียนผมกับไอ้ขุนอยู่ไม่ห่าง เต็มที่เลยครับไม่ห้ามหรอก นาทีนี้กุ้งเผาสำคัญสุด

“ ชงเหล้าให้กูดิ้แกง ไอ้น้องแว่นเอาเหล้าไหม ” พี่ชาหันมาถาม

“ ไม่อ่ะพี่ ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ ไม่พร้อมดื่มของมึนเมาครับวันนี้

“ เห้ยเอาหน่อยหน่า ฉลองทั้งที ”

“ ไม่ดีกว่าพี่ ไว้โอกาสหน้า ”

“ น้องไม่แดกก็อย่าเซ้าซี้สิวะ เดี๋ยวกูเตะเลย ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะส่งสายตาเหี้ยมไปให้ โหดจริงๆเลยนะมึงกับเพื่อนกับฝูงเนี่ยะ

“ มีปกป้องกันด้วยว่ะ ”

“ ทำดาอ่ะ คนเราก็ต้องปกป้องคนที่ตัวเองรักสิวะ ”

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ” พอสิ้นเสียงแซวจากพี่เกียร์ก็พากันหัวเราะลั่นโดยไม่สนใจผมที่นั่งหน้าร้อนฉ่าอยู่ตรงนี้เลย ไอ้หล่อที่นั่งอยู่ข้างๆก็หัวเราะไปกับเขาด้วย มึงจะหัวเราะทำไมวะนี่โดนแซวอยู่นะ มึงรู้ตัวไหมเนี่ย

“ พอละพวกมึง แดกๆไป หนมเขินตัวจะแตกแล้ว ” ไอ้ขุนมันเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเหลือบมองผม

“ เขินอะไรวะ เงียบไปเลยนะมึง ” ผมตีไหล่มันไปทึนึงก่อนจะนั่งกินกุ้งต่อ

บทสนาระหว่างที่นั่งกินหมูกระทะกันนี่ก็บันเทิงเอาเรื่องเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องงานกิจกรรม เรื่องชาวบ้าน ในส่วนของเรื่องชาวบ้านนี่ไอ้หมีมันรู้เยอะที่สุด เรื่องความรัก ในเรื่องความรักนี่ก็ไม่พ้นผมกับไอ้ขุนที่โดนแซว นอกจากผมกับไอ้ขุนก็เป็นพี่เกียร์กับพี่แกงแต่สองคนนั้นดูจะไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่ แถมยังจุ๊บปากโชว์อีกต่างหาก ยอมใจพวกพี่แม่งจริงๆ

“ เอาปูไหมหนม ” ไอ้หล่อมันถามพลางแกะปูไปด้วย

“ เอา แล้วมึงไม่กินบ้างหรอ ” ตั้งแต่นั่งกินมานี่ไอ้ขุนกินโน่นนี่ไปไม่เท่าไหร่เองครับ เพราะมันนั่งแกะกุ้งให้ผมอยู่

“ เดี๋ยวกิน แกะให้มึงก่อน ” ผมได้ยินแบบนั้นเลยหยิบกุ้งที่มันแกะให้ผมไปจิ้มน้ำจิ้มแล้วจ่อไปที่ปากมัน ไอ้ขุนก็ละมาจากปูขึ้นมามองกุ้งในมือผมแบบงงๆ

“ อะไรอ่ะ ”

“ แดกสิ ”

“ มึงป้อนกูหรอ ”

“ เออป้อนจะแดกไหม ถ้าไม่แดกกูจะ.... ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบไอ้ขุนมันก็งับกุ้งที่ผมป้อนพร้อมกับยิ้มหวานจนตาหยีเหมือนกับว่ามันกำลังมีความสุขมาก ทำไมมันดู....

น่ารัก

น่ารักก็เชี่ยแล้ว คิดอะไรของมึงเนี่ยหนม

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ” ไอ้หล่อมันบอกก่อนจะทำหน้าที่แกะปูต่อ แน่นอนไอ้เหตุการณ์ที่ผมป้อนกุ้งไอ้ขุนนั่นก็อยู่ในสายตาของคนหลายคน

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ”

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ”

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ”

เออๆ ขอบคุณกันเข้าไปไอ้พวกห่า


---------- 50% ---------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 11 : 11/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-11-2017 20:23:38
---------- ต่อจากบทที่ 11 ----------


อิ่มโคตร

รู้สึกได้ว่ากางเกงที่มัดไว้มันแน่นขึ้นเยอะเลยว่ะ

ผมนั่งอืดอยู่ข้างไอ้หมีในขณะที่ไอ้พวกเพื่อนๆผมอาสาช่วยกันเก็บของเข้าไปล้างในบ้านเพราะตอนที่เตรียมของพวกพี่ๆเป็นคนเตรียมแล้ว นี่ถือว่านั่งกินกันนานเอาเรื่องเลยนะ เกือบ 5 ทุ่มแล้วอ่ะตอนนี้ พีคสุดตรงที่ไอ้ของที่ซื้อมาอย่างเยอะนั่นก็กินกันจนหมดเกลี้ยง เหลือก็แต่เหล้ากับเบียร์นี่แหละที่ยังไม่หมด

“ เห้ยพี่ เหล้าเหลือเยอะเลยอ่ะ หมีว่าเรามาเล่นเกมกันดีกว่า ”

“ เกมอะไรวะ ”

“ หมุนขวดตอบความจริง ใครไม่อยากตอบก็แดกเหล้าซะ 1 ช๊อตเพียวๆ สนใจเปล่า ” ไอ้หมีมันหยิบขวดเปล่าขึ้นมาส่ายเบาๆเชิงถามว่าเล่นไหมๆ

“ สนใจอะไรวะ ” ไอ้เป้ที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับเพื่อนๆถาม

“ หมุนขวดตอบความจริง ”

“ เล่นๆ กูเล่น ” ไอ้ปั้นรีบนั่งลงประจำที่ของมัน เพื่อนๆเห็นแบบนั้นก็พากันนั่งล้อมเป็นวง

ผมนั่งมองเหล่าชายฉกรรจ์ที่นั่งล้อมกันเป็นวงอารมณ์แบบพร้อมเล่นมาก ผมไม่เคยเล่นเกมนี้วงใหญ่เป็นสิบกว่าคนแบบนี้เลย ดูสายตาแต่ละคนนี่พร้อมใส่กันยับมากครับ ไอ้หมีมันก็หยิบเหล้าเทใส่แก้วช๊อตเตรียมพร้อมแล้วเหมือนกัน ความจริงผมก็สองจิตสองใจที่จะเล่นเหมือนกันนะ เพราะถ้าเลือกที่จะไม่ตอบก็จะต้องกินเหล้า

เอาไงดีวะ

“ มึงเล่นไหมหนม ” ไอ้หล่อมันถาม

“ ก็อยากเล่นนะ แต่ไม่อยากกินเหล้าว่ะ ”

“ ไม่อยากกินมึงก็ตอบความจริงดิ่ ” ผมครุ่นคิดที่ไอ้ขุนมันบอก เออ ก็จริงว่ะ ถ้าไม่อยากกินเหล้าก็แค่ตอบไปตามความจริง แต่กลัวคำถามเหมือนกันว่ะ แต่ละคนที่อยู่ในวงนี่ไม่ธรรมดาสักกะคน

เอาวะ ผมคงไม่โชคร้ายโดนถามบ่อยๆหรอก

“ เออกูเล่นก็ได้ ”

“ เล่นกัน 14 คนเลยหรอวะ ”

“ เยอะสัส แต่ก็ดีละกูได้ไม่โดน ”

“ ใครเป็นคนเริ่ม ” พี่แกงถาม

“ กูเริ่มเอง ” พี่สยามหยิบขวดเปล่าไปจากไอ้หมีก่อนจะวางไว้กลางวงแล้วออกแรงหมุน สายตานับสิบจับจ้องขวดที่หมุนติ้วๆ ไอ้หมีนี่ลุ้นมากถึงกับเอามือขึ้นมาปิดหน้าแล้วมองผ่านง่ามนิ้ว อะไรมันจะขนาดนั้นวะเพื่อนหมี

กึก

“ สัสเอ้ย ” เสียงสบถมาจากไอ้หล่อที่นั่งข้างๆผม ปลายขวดมันหยุดที่มันครับ มึงโดนแน่ไอ้ขุน พี่สยามเป็นคนถามด้วย งานนี้รอดยาก

“ อ้าวขุนศึก ” พี่สยามหรี่ตามองไอ้ขุนแบบตัวเองมาเหนือมาก

“ ถามมาเลยอย่าลีลา ”

“ เมื่อไหร่มึงจะมีแฟนวะ ” พอสิ้นเสียงพี่สยามถามทั้งวงก็ตกอยู่ในความเงียบคล้ายๆว่ารอลุ้นกับคำตอบ พี่สยามมันถามแบบนี้ไอ้ขุนมันจะตอบยังไงวะ

“ เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกูอ่ะ ”

ตึกตัก

เอ่อ....ผมมองหน้าไอ้ขุนที่หันมาถามนิ่งๆ พอมันเห็นผมนิ่งมันก็ยิ้มออกมา เดี๋ยวนะ พี่สยามถามมึงแล้วทำไมมึงมาถามกูต่อเนี่ยะ แล้วก็ถามอะไรของมึงวะเนี่ยไอ้บ้า

“ ไอ้ขุนมันร้ายว่ะ ”

“ มึงจะเนียนไปถามน้องแว่นมันทำไมเนี่ย หน้ามันแดงไปหมดแล้วน่ะ ” เสียงแซวแว่วดังเข้ามาทำให้ผมต้องยกมือปิดแก้มตัวเอง นี่แก้มกูแดงอีกแล้วหรอวะเนี่ย

“ ไอ้หนมมันเขินจะตายห่าอยู่แล้วน่ะพี่ เลิกแกล้งมันเถอะ ” กูจะขอบใจมึงมากกว่านี้นะเป้ถ้ามึงไม่พูดไปแล้วหัวเราะไป

“ เห้ยๆไอ้ขุน มึงตอบให้มันดีดีก่อนดิ้ ว่าไงเมื่อไหร่จะมีแฟน ” พี่สยามถามไอ้ขุนอีกรอบ

“ ก็ถ้าหนมมีใจเมื่อไหร่ กูก็น่าจะได้แฟนเมื่อนั้นแหละ ”

สัสเอ้ย

“ ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววว ” ไอ้ขุนมันพูดจบเสียงโห่ก็ตามมา อะไรของพวกมึงกันวะเนี่ย แซวกูได้ก็แซวกูกันใหญ่ อย่าให้ถึงทีกูนะโดนรายตัวแน่

“ พอๆ ตอบเสร็จก็หมุนต่อสิวะ ” ผมสั่งไอ้ขุนพร้อมกับส่งสายตาเหี้ยมไปให้คนรอบวง ใครไม่หยุดแซวกูฟาดด้วยขวดเหล้าจริงอ่ะ

“ โหดจริงๆเลย ” ไอ้ขุนมันว่าพลางกับหมุนขวด ถ้าผมรู้ว่าตัวเองจะโดนแซวหนักมากขนาดนี้ผมขึ้นไปนอนดีกว่า โคตรพลาดเลยที่นั่งเล่นกับพวกแม่ง

กึก

“ ไอ้หมีว่ะไอ้หมี ” ปลายขวดมันหยุดที่ไอ้หมีครับ ไอ้ตัวดีนี่ถึงกับอ้าปากค้าง

“ คนก็ตั้งเยอะทำไมหยุดที่หมีเล่า ” เพื่อนหมีเกิดอาการงอแงนิดหน่อย ทุกคนในวงนี่ดูสะใจมากที่ไอ้หมีมันโดน

“ ใครเป็นคนเปิดซิงมึงวะไอ้หมี ” ไอ้ขุนแม่งถามโคตรตรงเลยว่ะ ตรงจนทุกคนหันมองไอ้หมีทันที

“ ถามไรวะเนี่ยพี่ ” ไอ้หมีมันยิ้มแหยๆแถมยังปนหน้าซีด มันเป็นแบบนี้นี่ดูแปลกตาดีเหมือนกันแฮะ

อย่างที่รู้กันคือไอ้หมีมันรู้จักคนเยอะ มันเฟรนลี่และอัธยาศัยดี มีคนมาชอบมันก็ไม่น้อยเลยนะครับ มันก็คุยกับทุกคนแต่ก็ไม่มีใครที่มันให้มากกว่าสถานะเพื่อนหรือพี่น้อง ผมยังจำที่ไอ้เผือกบอกได้ดีเลยว่าไอ้หมีมันไม่เอาใครทั้งๆที่คนเสนอตัวให้มันก็เยอะแยะ ไอ้หมีมันอาจจะยังไม่เคยก็ได้นะ แต่ถ้าคนไม่เคยมันก็น่าจะตอบได้ทันทีเลยป้ะวะว่าไม่เคย

มันยังไงกันแน่วะเนี่ยไอ้หมี

“ ถามก็ตอบดิ่วะ หรือจะแดก ” ไอ้ภีมมันถือแก้วช๊อตขึ้นมา ไอ้หมีมันถอนหายใจเหมือนกับลำบากใจมากก่อนที่มันจะยื่นมือมารับแก้วไปจากไอ้ภีม

“ แดก ” ว่าแล้วเพื่อนหมีก็ยกซดทีเดียวจนหมด เป็นไปได้ว่ะไอ้หมีไม่ยอมบอก เรื่องนี้ชักไม่ธรรมดาเดี๋ยวผมต้องไปสืบละ

“ โถ่หมี กูก็ลุ้นไปเถอะ ” ไอ้ปั้นมันว่าอย่างเสียดาย

“ ไอ้หมีปากมากกลายเป็นคนมีความลับด้วยว่ะ ” ไอ้เป้ก็ไม่วายแซวอีกคน

“ พอเลยพวกมึง คนเรามันก็ต้องมีความลับกันบ้างสิวะ ” ไอ้หมีมันพูดจบมันก็หมุนขวดพร้อมกับยกยิ้มมุมปากแล้วจ้องหน้าผม จ้องหน้ากูทำไมวะเพื่อนหมีหน้ากูมีอะไรติดรึไง

กึก

ชิบหายละ

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆเสร็จกูเชี่ยหนม ” ไอ้หมีมันหัวเราะอย่างสะใจเมื่อปลายขวดหยุดที่ผม ที่มึงจ้องหน้ากูนี่มันเพราะอย่างนี้สินะไอ้เลว

ไอ้ห่าขวดนี่ก็หยุดเหมือนรู้งาน

“ เอาว่ะๆ ” เอาอะไรของพวกพี่วะ

“ มึงต้องตอบทุกอย่างนะหนม มึงบอกเองว่าไม่อยากกินเหล้า ” เออกูแล้วน่าภีม คำถามยังไม่มาเลยนี่ก็พูดดักซะ

“ ว่ามาไอ้หมี จะถามไรกู ” ผมถามไอ้หมีที่ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย จะถามก็ถามสิวะลีลาชิบหาย

“ มึงรู้สึกยังไงกับพี่ขุนกันแน่ ” พอไอ้หมีมันพูดจบเสียงของทั้งวงก็เฮขึ้นมาเหมือนถูกอกถูกใจกับคำถามมากโดยเฉพาะไอ้ขุนที่มันยื่นมือไปไฮไฟว์ไอ้หมี เดี๋ยวเถอะนะพวกมึง

เอาไงดีล่ะกู

ผมนั่งคิดแบบสองจิตสองใจ เป็นคนพูดเองด้วยว่าจะไม่กินเหล้า ความรู้สึกที่ผมมีต่อไอ้ขุนมันก็ยังสับสนอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าตอบจะตอบยังไงวะ

“ อย่าไปคิดเยอะไอ้น้องหนม ไม่ตอบมึงก็แดกเหล้า ถ้าตอบมึงก็แค่บอกในสิ่งที่มึงคิดเท่านั้นอ่ะ ” พี่ชาบอก สิ่งที่ผมคิดหรอวะ ผมก็บอกพี่เขาไปแล้วนี่หว่าว่าผมคิดยังไง พี่ก้องก็ได้ยินนะตอนที่นั่งหั่นผัก

“ มีคนอยากรอฟังจากปากมึงรู้รึเปล่า ” เหมือนพี่ก้องอ่านความคิดผมออกเลยว่ะ คนที่ว่ารอฟังนี่คือไอ้ขุนสินะ

“ เอาไงจะแดก หรือ ตอบ ” ไอ้หมีมันถามพร้อมกับชูแก้วเหล้า ถามไม่พอมันยังทำหน้าตากวนตีนใส่ผมด้วย ไว้เลิกเล่นก่อนเถอะกูจะไล่เตะมึง

ไอ้ขุนมันมองผมเหมือนกับรอคำตอบเหมือนกัน น่าคิดเหมือนกันนะว่าถ้าผมพูดสิ่งที่ผมคิดออกไป หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น มันจะไปในทิศทางที่ดีหรือแย่ลง จะมีอะไรเปลี่ยนไปรึเปล่า

แต่เอาก็เอาวะ

“ ตอบ ”

“ ไหนว่ามาซิ ”

“ กูรู้สึกดีนะที่มีไอ้ขุนอยู่ในชีวิตอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าวันนึงมันไม่อยู่กูจะเป็นยังไง ส่วนความรู้สึกอื่นๆยังไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูกำลังสับสนอ่ะ แต่บางอย่างกูคิดว่าเราไม่พูดมันไม่ได้หมายความว่าเราไม่รู้สึกนี่หว่า ” ผมเหลือบมองหน้าไอ้ขุนหลังจากที่ตัวเองพูดจบ เจ้าตัวก็อมยิ้มขึ้นมาทันที ไงล่ะมึง คำพูดกูดีต่อใจมึงมากเลยล่ะซี้

เอาใจหน่อยเดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันนาน

“ เห้ยยยยย ไม่ทำดาว่ะ ”

“ ร้ายเหมือนกันนี่หว่าไอ้น้องหนม ”

“ กูว่าถ้าไอ้ขุนมันลอยได้มันลอยละ ” เออๆแซวกันเข้าไป เอาที่สบายใจเลย ผมหมุนขวดเริ่มเกมอีกครั้ง ดูท่าเกมคืนนี้จะยาวนานว่ะ ไม่เป็นไรอย่างน้อยในใจผมตอนนี้ก็รู้สึกโล่งมากที่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกไปถึงมันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ก็เถอะ ไว้ถ้าวันไหนที่ผมมั่นใจผมจะบอกมันอีกครั้ง

 จะบอกมันจากใจเลย



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



เกมขวดนี่มันสุดยอดจริงๆ

ใจโคตรละมุนอ่ะ

ตอนนี้เป็นเวลาโคตรดึกมากๆเลยครับ เกือบตีสองละ แน่นอนว่าเดอะแก๊งค์ทั้งของผมและของน้องก็ได้แยกย้ายพากันกลับไปหมดแล้ว ส่วนคนตัวเล็กยังไม่กลับนะครับยังอยู่กับผมอีกคืนนึง ตอนแรกผมนึกว่าน้องจะกลับไปนอนหอซะแล้ว แต่น้องบอกผมว่าจะให้เวลากับผมเต็มที่พรุ่งนี้อีกวันก่อนที่จะไม่ได้เจอกันสักพัก

น่ารักแถมยังใจดีขนาดนี้ใครจะไม่หลงวะ

“ นั่งยิ้มอะไรของมึง ” ขนมที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถาม

“ กูกำลังมีความสุข ” ผมยิ้มหวานบอกกับน้องที่เดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆผม

“ มีความสุขอะไรวะ ”

“ ความสุขที่มีมึงไง ” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวขนม คนตัวเล็กก็นั่งนิ่งๆให้ผมลูบ ผมไม่รู้นะครับว่าน้องชอบให้ใครยุ่งกับหัวไหม แต่ทุกครั้งที่ผมลูบหรือขยี้หัวน้อง เขาไม่เคยบ่นสักครั้งแถมยังยอมอยู่นิ่งๆให้ผมทำอีกต่างหาก

“ ทำเป็นพูด ”

“ ก็พูดจริงๆหนิ นอนดีกว่าดึกแล้ว ” ผมลดมือลงมาจากหัวน้องก่อนจะจับหมอนกับผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง ขนมก็ล้มตัวลงนอนก่อนจะดึงหมอนของผมไปกอดเอาไว้เหมือนเมื่อคืน

“ กูติดหมอนข้างอ่ะ แต่มึงไม่มี ” น้องรีบชิงบอกก่อน กลัวผมแย่งหมอนคืนแน่ๆ

“ ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ” ผมดึงแก้มน้องเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว ความจริงอยากจะใช้จมูกฟัดมากกว่า แต่อย่างว่าผมยังไม่มีสิทธิ์ทำถึงขนาดไว้

ไว้มีสิทธิ์ก่อนเถอะ หึ

“ กูก็อยากให้มึงเอาไปหนุนนะ แต่กูจะกอดอ่ะ ” อย่ามองตาใสแบบนั้นได้ไหมคนดี พี่ใจบางไปหมดแล้วครับ

“ เปลี่ยนมาเป็นนอนกอดกูแทนไหม กูใช้แทนหมอนข้างได้นะ ” พอผมพูดแบบนั้นแก้มขนมก็ขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันทีพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ น่าฟัดชะมัดเลยโว้ย

“ มึงไม่นิ่มอ่ะ ”

“ แต่กูอุ่นนะ ” หยอดไปหนึ่งดอก แก้มใสนั่นก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก

“ พอเลยมึง กูนอนแล่ว ” ว่าแล้วน้องก็หลับตาหนีผม

“ น่ารักจริงๆเลย....ฝันหวานนะครับ ” ผมลูบหัวน้องเบาๆคล้ายกับกล่อม

“ อืม....ฝันดี ” คนตัวเล็กเอ่ยบอกทั้งที่ยังหลับตาพริ้มอยู่ ผมก็ลูบหัวน้องไปเรื่อยๆจนรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าหลับสนิทไปแล้ว น้องน่ารักจัง ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันไปไกลเกินกว่าชอบแล้วครับ

รัก

ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

สงสัยเหมือนกันนะว่าอะไรที่ทำให้ผมหลงคนตรงหน้าได้มากขนาดนี้ทั้งๆที่น้องไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ น้องอยู่เฉยๆทำตัวซึนกับเขินใส่ผมไปวันๆ เป็นเด็กเฉิ่มๆที่ภายนอกแทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจหรือสะดุดตาเลยด้วยซ้ำ เป็นคนที่ผมยอมและอดทนทำให้ทุกอย่าง

ยอมหมดจริงๆกับคนนี้

ยอมแล้ว



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]





TBC.
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
#LoveWrite #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันน้าาาา
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 11 : 11/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-11-2017 21:48:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 12 : 12/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 12-11-2017 21:12:43
บทที่ 12 ขอกอด



“ อืมมม....ม....”

เสียงใครวะ

มาอมมาอืม กูจะนอน

“ อื้ออ.อ.....”

ยังอีก

“ ใครวะ ” ผมลืมตามองช้าๆก็ต้องตกใจเพราะเห็นใบหน้าหล่ออยู่ห่างไม่ถึงคืบ ทำไมไอ้ขุนมันมานอนอยู่ตรงนี้วะ อ๋อ เมื่อคืนผมบอกมันจะค้างกับมันอีกวันนี่หว่า แล้วทำไมไอ้หล่อถึงได้ขยับเข้ามาใกล้ผมถึงขนาดนี้เนี่ย หน้าแทบจะชนกัน นี่มันทำเนียนแอบเข้ามาใกล้ผมตอนหลับหรอวะ เดี๋ยวไว้มันตื่นผมจะต้องจัดการ

เอ๊ะ แต่ว่า

หมอนที่หนุนหายไปไหนวะ

ผมหงกหัวขึ้นมาเพื่อจะหาหมอนที่ตัวเองใช้หนุนก็พบว่ามันอยู่ด้านหลังของผม อ่าว ตกลงผมเป็นคนขยับเข้ามาหามันเองหรอวะเนี่ย ชิบหายละ ละเมื่อกี้ก็ว่ามันในใจซะใหญ่เลย โถ่หนมเอ้ย

ไอ้ขุนเมื่อกี้กูขอโทษละกัน

“ กูนี่บ๊องจริงๆ ” ผมขยับตัวให้ออกห่างจากมัน ดีนะว่าผมตื่นก่อนมันอ่ะ ถ้ามันตื่นก่อนนี่ชิบหายแน่ แม่งคงเอาโทรศัพท์มาแอบถ่ายรูปผมที่เอาหน้าไปใกล้หน้ามัน แล้วก็นะผมนี่ก็เหลือเกินจริงๆที่นอนฝั่งตัวเองก็ตั้งกว้างเสือกขยับเข้าไปหามันเองอีก โวะ บ้าบอ

“ อื้ออ.อ..อ....”

ผมนอนมองไอ้คนที่มันส่งเสียงออกมาเงียบๆ ทำไมทำคิ้วขมวดแบบนั้นฝันร้ายอยู่รึเปล่านะ พอคิดว่ามันอาจจะฝันร้ายผมก็เลื่อนมือไปกุมแก้มมันก่อนจะใช้ปลายนิ้วโป้งลูบแก้มขาวนั่นเบาๆ แม่ผมเคยสอนนะครับว่าการสัมผัสเบาๆที่ข้างแก้มจะช่วยไล่ฝันร้ายไปได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่แม่บอกผมนั่นมันจริงรึเปล่า แต่ไอ้สิ่งที่ผมทำก็ทำให้คิ้วไอ้ขุนที่ขมวดอยู่คลายลง

สีหน้าดีขึ้นมาแล้ว ดีจัง

“ มึงนี่มันหล่อจริงๆเลยนะ ”

ผมไล่มองใบหน้าหล่ออย่างพิจารณา ปกติตอนมันตื่นกับเวลามันยิ้มหวานผมว่ามันก็มีเสน่ห์มากแล้วนะ ไม่คิดว่าเวลามันหลับก็ดูมีเสน่ห์เหมือนกัน หรือเพราะว่าคนมันมีเสน่ห์อยู่แล้วไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ดูดี แต่มันตอนหลับนี่ดูดีจริงๆว่ะ

เอาวะขอสักหน่อย

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขอตัวเองมา แน่ะ คิดว่าผมจะทำอะไรมันหรอ ผมแค่จะถ่ายรูปเก็บไว้ครับ ไอ้ขุนตอนนอนนี่คงจะไม่ได้เห็นกันง่ายๆแน่ มันแอบถ่ายรูปผมเก็บไว้ตั้งเยอะ ขอเอาคืนหน่อยเถอะว่ะ

แชะ

ห่า!!! ลืมปิดเสียงแฟลช

“ อื้ออ.อ.อ.อ....เสียงไรอ่ะ ” ไอ้หล่อมันงัวเงียพร้อมกับลืมตาขึ้นมามอง ผมก็ได้มองมันนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก จะให้เนียนหลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว พอไอ้ขุนมันเห็นว่าผมมองมันแถมในมือผมก็ถือโทรศัพท์อยู่มันก็ยิ้มหวานออกมา

ยิ้มอะไรของมึงแต่เช้าวะ

“ แอบถ่ายรูปกูหรอ เขินเลยนะเนี่ย ”

“ เขินอะไรของมึง กูไม่ได้ถ่ายรูปมึงสักหน่อย ”

“ หรอครับ ” อย่ามายิ้มนะเว้ยไอ้บ้า

ผมพลิกหันไปอีกฝั่งเพื่อหนีมัน ไม่น่าเลยหนมเอ้ย วันหลังถ้าผมจะแอบถ่ายรูปใครผมจะดูให้ดีก่อน ครั้งหน้ามันจะต้องไม่พลาดแบบนี้แน่ ในขณะที่ผมกำลังโวยวายในใจคนเดียวก็รับรู้ได้ถึงฝ่ามือที่ลูบหัวจากด้านหลังเบาๆ เบื่อตัวเองที่ชอบสัมผัสนี้ว่ะ ผมชอบคิดนะครับถ้าวันนึงไอ้สัมผัสนี้มันหายไปผมจะเป็นยังไง

จะเป็นบ้ารึเปล่า

อาจจะเป็นบ้าก็ได้

“ ตื่นนานรึยัง ”

“ ไม่นาน ”

“ แล้วหิวไหม ”

“ ยังไม่หิว ”

“ งั้นขอนอนต่ออีกแปปนะครับกูมึนหัวอ่ะ เดี๋ยวตื่นมาทำอะไรให้กิน ” พอมันพูดจบไอ้มือที่ลูบหัวผมนั่นก็หยุดนิ่ง ผมพลิกตัวหันกลับมามองมันช้าๆ ไอ้ขุนมันหลับตาลงไปแล้วครับ ตื่นง่ายหลับง่ายเหลือเกินไอ้บ้า

ผมจัดการปิดเสียงแฟลชก่อนจะแอบถ่ายรูปมันต่อ คราวนี้คงไม่พลาดแน่ ฟังจากเสียงหายใจของไอ้คนตรงหน้านี่มันก็คงจะหลับสนิทไปแล้ว ดีจังว่ะจะนอนต่อก็ขอด้วยทั้งๆที่ไม่ต้องขอก็ได้ แถมยังบอกว่าเดี๋ยวจะตื่นมาทำกับข้าวให้กินอีก ในชีวิตคนเราจะเจอคนที่รู้สึกว่าแสนดีแบบนี้ได้สักกี่คนกันเชียว

พอเจอแล้วก็ต้องรักษาไว้อย่างงั้นสินะ

บ้าจริงๆ

เชื่อไหมครับว่านับจากวันที่ผมเจอมันผมก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปเป็นส่วนประกอบในนิยายหลายอย่าง ผมทำให้คาแรคเตอร์ของพระเอกในนิยายของผมค่อยๆเปลี่ยนไปจนเหมือนมัน ผมไม่ได้ตั้งใจนะแต่มันเปลี่ยนไปเอง คนที่สังเกตุได้ว่าเปลี่ยนคือคนอ่าน มันไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่แย่นะครับ มันเปลี่ยนไปในทางที่ดี ดีมากๆ มีไม่น้อยเลยที่หลงเสน่ห์ในนิสัยนั่น

ผมเองก็ชักจะหลง

ก็นะ ใครมันจะไม่หลงได้วะ หล่อก็โคตรหล่อ เทคแคร์ดูแลใส่ใจดีชิบหาย ตามใจก็ตามใจ แถมยังทำตามที่ผมสั่งทุกอย่าง ที่สำคัญทำอาหารอร่อยด้วยนะครับ เนี่ยะผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงชัดๆ ความเพอร์เฟ็คนี้จะหาได้จากที่ไหน

ถ้าไม่ใช่ขุนศึก

“ ตื่นมาทำแกงเขียวหวานให้กูด้วยนะ ”

อยากกินฝีมือมึงจะแย่





“ เมื่อไหร่จะเสร็จอ่ะ กูหิวแล้วนะ ”

“ ใกล้เสร็จแล้วล่ะอีกแปปนึง ”

ผมนั่งมองไอ้หล่อที่ยืนทำแกงเขียวหวานของโปรดให้ผมอยู่ ขอบอกเลยว่ากลิ่นมันหอมหวนชวนน้ำลายสอมาก อยากกินแล้วเนี่ย รู้สึกได้ถึงท้องที่ร้องจ๊อกๆด้วย นี่ขนาดเมื่อคืนกินไปเยอะแล้วนะครับ ไม่คิดว่าตื่นมายังจะหิวอีก

ถ้ากินเยอะขนาดนี้ตัวจะแตกเอาได้นะหนมนะ

“ กูไปรอข้างนอกละกัน ”

ผมบอกไอ้ขุนก่อนจะเดินออกมานั่งรอมันที่ห้องนั่งเล่น เช็คนิยายหน่อยดีกว่าว่ามันมีความเป็นไปยังไงบ้าง วันนี้ผมจะต้องแต่งนิยายตอนต่อด้วยเพราะไม่ได้ลงมาหลายวันแล้ว แต่โน้ตบุ๊คอยู่ที่หอไอ้หมีว่ะ ไอ้ขุนมันมีโน้ตบุ๊ครึเปล่านะไม่งั้นผมจะขอยืมมันแต่งนิยายสักหน่อย

ไหนดูยอดวิวหน่อยซิ

“ เพิ่มขึ้นด้วยแหะ ” ผมมองยอดวิวที่เพิ่มขึ้นมาหลายร้อย หูยยยยยย รู้สึกใจมาและอยากจะรีบแต่งต่อมากครับ ไล่อ่านคอมเม้นต์ก็มีคนขอให้รีบต่อเยอะด้วย ใจมาหนักเลยทีนี้

รอไรท์หนมก่อนนะจะรีบแต่งลงให้

ผมออกจากเว็บนิยายมาเข้าที่แอพสีน้ำเงินที่นานๆจะเข้าสักที เฟซบุ๊กนั่นเองครับ เข้าไปรับแอดไอ้ขุนมันหน่อย จะได้เอาไว้สอดส่องในช่วงเวลาที่มันไม่อยู่ด้วย แจ้งเตือนของผมนี่มาจากไหนเยอะแยะวะ ไม่ใช่แต่แจ้งเตือนนะที่เยอะ จำนวนคนแอดมาก็เยอะผิดปกติ

เกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ

“ มาแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันถือชามข้าวกับถ้วยแกงเขียวหวานเดินมาหาผม

ว้าวววววว น่ากิน

ผมมองแกงเขียวหวานที่ส่งกลิ่นฉุยอยู่ตรงหน้า มันน่ากินมากครับ นึกถึงแกงเขียวหวานที่แม่ทำเลย ไม่รอช้าแล้วครับจังหวะนี้ ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะตักแกงเขียวหวานเข้าปากก่อนเลย

“ โอ้ยยยยร้อนนนนน ” ห่าเอ้ย ปากพองหมดแล้วมั้งเนี่ย

“ เป่าก่อนสิ ไอร้อนขึ้นขนาดนั้นยังจะกินเข้าไปได้ ” ไอ้หล่อมันว่าพลางส่งแก้วน้ำให้ผม

“ อื้ออ.อ.อ.....ก็มันหิวนี่ ลืมด้วยว่ามันร้อนอ่ะ ”

“ มึงนี่มันจริงๆเลย ปากแดงแล้วน่ะ ” มันบอกก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากผมเบาๆ

เอ่อ....มึงไม่ต้องลูบก็ได้ไหม

ใจกูสั่นอีกแล้วเนี่ย

“ ปากมึงนี่นิ่มจัง ”

“ ไอ้สัส ” ผมตีมือมันทันทีที่มันพูดจบ เดี๋ยวเถอะนะมึง ปากนิ่มบ้าอะไรของมึงวะ แม่งไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดเลย ผมเองก็บ้าที่ปล่อยให้มันลูบอยู่ได้

“ ก็มันจริงนี่นา ”

“ แดกข้าวไปเลย ” ผมบอกมันก่อนจะตักแกงเขียวหวานขึ้นมาเป่าก่อนแล้วค่อยกิน

อื้มมม.....

รสชาติเดียวกับที่แม่ทำเป๊ะ

ผมนั่งกินข้าวอย่างตั้งใจและกินอย่างจริงจัง ไอ้หล่อมันก็นั่งกินไปแล้วก็มองผมไป มีอมยิ้มด้วยนะอะไรของมันวะ หน้ามันดูเหมือนมีความสุขที่ผมกินกับข้าวที่มันทำมากอ่ะ แต่ผมยอมรับเลยนะครับว่าอาหารที่มันทำถูกปากผมมาก คือให้กินทุกวันก็กินได้ แถมคงกินเยอะด้วย รสมือมันคล้ายกับแม่ผมเลย ไว้ถ้ามีโอกาสผมพามันไปหาแม่ดีกว่า แม่ผมคงจะชอบ

“ อร่อยไหม ” ไอ้หล่อมันถามก่อนจะตักไก่มาให้ผม

“ อร่อยมาก ทำไมมึงทำอาหารเก่งจัง ”

“ คุณย่ากูเป็นคนสอนน่ะ ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ”

“ ดีเนอะ แม่กูก็เคยสอนเหมือนกันแต่กูดันไปทำไมโครเวฟที่บ้านระเบิดอ่ะ ก็เลยเลิกทำอาหารเลย ”

“ มึงคงไม่เก่งด้านนี้จริงๆล่ะมั้ง ”

“ กูก็ว่างั้นอ่ะ เออ วันหลังอ่ะไปหาแม่กูที่บ้านป้ะ ไปเป็นลูกมือแม่กู ท่านน่าจะชอบมึง ”

“ เอาดิ่ กูจะได้ฝากตัวเป็นลูกเขยเลย ”

เดี๋ยวนะ....กูว่าไม่ใช่ละ

“ ลูกเขยบ้าอะไรของมึง ตลกละตลก ” ผมตีไหล่มันไปทีนึง มึงจะไปเป็นลูกเขยบ้านกูได้ไงวะไอ้สัส เพ้อเจ้อชิบ

“ ไม่ได้ตลกนะนี่เรื่องจริงจัง ” ไม่ต้องมาจริงจังเลยนะมึง แล้วก็ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นด้วย เดี๋ยวกูก็ตบลักยิ้มหลุดเลย

“ ไอ้บ้า ” ผมว่ามันก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ พอๆเราอย่าไปสนใจมันมาก ไอ้ขุนนี่เป็นประเภทแบบว่าถ้าหาเรื่องอะไรบางอย่างมาเปิดทางให้มันสักนิด มันก็จะหาคำพูดมาหยอด มาทำให้ผมใจสั่นได้ตลอด แต่มันก็ดีนะเพราะว่าผมจะได้เอาไปแต่งนิยายต่อ

พูดถึงนิยาย

“ มึงมีคอมป้ะไอ้ขุน หรือโน้ตบุ๊คก็ได้ ”

“ มีโน้ตบุ๊ค มึงจะทำไรอ่ะ ”

“ กูขอยืมแต่งนิยายหน่อยดิ่ ”

“ ได้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเดี๋ยวกูหยิบให้ ” ผมพยักหน้ารับคำมัน เย่ จะได้แต่งนิยายแล้ว

ตอนล่าสุดที่ผมแต่งไปนั่นเป็นเรื่องราวประมาณว่า นายเอกเนี่ยไปเห็นพระเอกกับอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ก็เกิดความเข้าใจผิด แล้วนายเอกก็จะมีอาการนอยด์แดก พระเอกก็ต้องตามง้อ มันก็จะวุ่นวายหน่อยๆ ที่จะแต่งวันนี้ก็น่าจะเป็นฉากง้อนี่แหละครับ คิดเรื่องไว้คร่าวๆแล้วที่เหลือก็ค่อยเติมไปเรื่อยๆ ตามที่สมองจะคิดออกได้ แต่ตอนนี้ผมใจมามากอ่ะ พร้อมจะแต่งนิยายสุดๆ

“ เออหนม นิยายที่มึงแต่งอ่ะ มันคือนิยายอะไรหรอ ”

“ นิยายวายอ่ะ ”

“ นิยายวายมันคืออะไรอ่ะ ”

“ นิยายวายมันมี 2 แบบ คือชายรักชายกับหญิงรักหญิง ที่กูแต่งมันคือชายรักชาย ” ทันทีที่ผมบอกมัน มือที่ถือตักข้าวอยู่นั่นชะงักไปแปปนึง มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเลยหรอวะที่ผมแต่งนิยายแนวนี้

“ มึงหมายถึงนิยายเกย์ใช่ไหม ”

“ เออ จะเรียกแบบนั้นก็ได้อ่ะ ” ผมมองหน้าไอ้หล่อ สายตามันตอนนี้อ่านยากชะมัด ดูไม่ออกเลยนะครับว่ามันคิดอะไรอยู่

“ ทำไมมึงถึงแต่งนิยายแนวนี้อ่ะ มึงชอบผู้ชายหรอ ”

“ เปล่า กูไม่ได้ชอบผู้ชาย คืองี้มึงกูไม่เคยชอบใครมาก่อนไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ” ผมเป็นพวกตายด้านไงครับ นอกจากเพื่อนหรือครอบครัวเลยรักใครหรือชอบใครไม่เป็น

“ อ๋อ....แล้วชอบกูป้ะ ”

“ ถามบ้าอะไรของมึงวะ ” ผมตีไหล่มันอีกทีนึง เอาสิถ้ามึงถามอะไรที่ทำให้กูใจสั่นอีก กูก็จะตีไหล่มึงอยู่อย่างนี้แหละ เอาให้ไหล่หลุดกันไปข้าง

“ เจ็บนะ กูถามจริงๆนี่ไม่เห็นต้องตีแก้เขินเลย ” ไม่ได้เขินโว้ยไอ้บ้า

“ กูเปล่า ” ผมว่าพลางตักข้าวในจานมันมาใส่จานตัวเอง ผมกินของผมหมดแล้วครับแต่มันยังไม่อิ่มอ่ะ

“ กินเยอะนะเนี่ย ”

“ ก็กูหิวอ่ะ เออไอ้ขุนเฟซมึงอันไหนวะ ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเฟซบุ๊กก่อนจะกดเข้าไปที่แอดเฟรนแล้วส่งไปให้ไอ้ขุน มันเองก็รับไปก่อนจะกดอะไรยุกยิกๆไม่รู้

“ อ่ะอันนี้ ” ไหนเอามาดูซิ

KhunSuek Sutanunsawat

นามสกุลคุ้นๆว่ะ

“ คนติดตามมึงเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ” ผมกดรับแอดมันแล้วเลื่อนลงมาดู คนติดตามสองหมื่นห้าโดยประมาณ ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่นะครับสำหรับมันน่ะ

“ กูหล่อไงคนเลยติดตามเยอะ ” เออมึงหล่อ แต่ไอ้อวยตัวเองนี่เลิกเถอะว่ะ กูหมั่นไส้

“ หลงตัวเองสัสๆ เห้ยไอ้ขุนนี่มันรูป.......”

รูปกูหนิ

ผมกดเข้าไปดูรูปที่ไอ้ขุนมันโพสไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นภาพที่ผมนั่งจัดหน้านิตยสารโปรโมทมหาลัยอยู่ โดยที่เป็นการแอบถ่ายจากด้านข้างครับ ทำไมผมไม่เห็นตอนที่มันแอบถ่ายวะ ดูจากชุดที่ผมใส่มันคงจะเป็นวันเดดไลน์ โหยยยละสภาพผมแม่งอย่างกับผีดิบ มึงก็ช่างกล้าเอามาลงเนอะ ไอ้ยอดไลค์หลายพันนี่มายังไง ยอดเม้นต์ก็ไม่ต่างกัน

แล้วดูแคปชั่นมัน

ไม่ต้องชวนกูไปเที่ยว กูมีเด็กต้องเฝ้า

ดูมันสิ พอแคปชั่นมันเป็นแบบนี้ก็เกิดเป็นประเด็นถามกันให้เต็มไปหมดว่าคนในรูปคือใคร ในคอมเม้นต์นี่ร้อนระอุเอาการเลยครับ เป็นคอมเม้นต์ที่มันทั้งดีและไม่ดี ให้หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกมาก โดยเฉพาะพวกคอมเม้นต์ของเพื่อนๆไอ้ขุนนี่บันเทิงสุด

GangPaaa : มีลงรูปด้วยว่ะ หมั่นหน้า

Sayam naja : ไอ้ขุนมันเปิดตัวแล้ววววววว

Gong Rice : เอาว่ะๆ

Khaw H : คนนี้เอาจริงสินะ

Cha Cha : ร้ายนะมึง


ผมนั่งไล่อ่านคอมเม้นต์ไปเรื่อย ถามอะไรกันเยอะแยะเล่า มีคนถามด้วยว่าผมเป็นอะไรกับไอ้ขุน มีเฟซผมไหม ผมมาจากไหนบลาๆๆๆๆ ไอ้ที่คนแอดมาเยอะๆนี่เป็นเพราะอย่างนี้รึเปล่า แต่ว่าเขาจะไปเอาเฟซผมมาจากไหนวะ ผมกับไอ้ขุนไม่ได้เป็นเพื่อนกัน มันไม่ได้แท้กผมด้วยซ้ำ แล้วคนมันแอดมาได้ไง

ดูเหมือนว่าผมจะเจอคำตอบแล้วล่ะครับ

หมีน้อย กลอยใจ : เปิดวาร์ป Kanom Kananut คนนี้เลยครับ

ไอ้สัสหมี!!!!!!!

มึงอีกแล้วหรอ

“ รูปอะไรหรอ ” พอไอ้หล่อมันถามผมก็หันหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองให้มันดู

“ มึงเอาไปลงทำไม ”

“ อยากลง....น่ารักดี ”

“ น่ารักตรงไหนวะ กูไม่เห็นจะน่ารักเลย ”

“ มึงน่ารักในสายตากูเสมอแหละ ”

ตึกตัก

มึงนี่มัน....

ไอ้ขุนมันยิ้มปากบานที่เห็นว่าผมชะงักไป ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองมันนิ่งๆ ไม่เอาไม่ตอบโต้ไม่สวนกลับอะไรทั้งนั้น เพราะผมอาจจะโดนหยอดหนักกว่าเดิม เพราะงั้นผมจะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายต่อหัวใจนี้ โดยการ....

“ กูอิ่มละ กูไปล้างจานก่อนนะ ” ผมลุกเดินเข้ามาในครัวทันทีหลังจากที่พูดจบปล่อยให้ไอ้หล่อมันนั่งยิ้มของมันแบบนั้นแหละ

ตอนนี้ประมาณเที่ยงแล้วครับ สักประมาณค่ำๆผมค่อยให้ไอ้ขุนไปส่งหอ มีเวลาแต่งนิยายหลายชั่วโมงอยู่ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะใช้เวลาในการแต่งนิยายนานมากนะครับเพราะว่าต้องคอยอ่านทำความเข้าใจไปพร้อมๆกัน หลายคนอาจจะคิดว่าการแต่งนิยายก็คงง่ายๆ ไม่ได้ต่างจากการเล่าเรื่องราว แต่สำหรับผมแล้วการแต่งนิยายนั้นยากนะครับ มันยากตรงที่เราจะทำยังให้คนที่อ่านเข้าใจความหมายและเนื้อเรื่องที่เราต้องการจะสื่อ

มันไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้นะครับเอาจริงๆ

ทุกครั้งที่ผมแต่งนิยายเนี่ยะผมต้องมานั่งทำความเข้าใจนิยายตัวเองอีก ถ้าผมอ่านแล้วมันไม่เข้าใจหรือเข้าใจยากมากจนเกินไปก็แก้และเขียนใหม่ ปรับภาษาปรับคำพูด และมันก็จะวนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าสิ่งที่เราเขียนนั้นมันจะออกมาดีที่สุด แต่งนิยายเป็นงานอดิเรกที่เหนื่อยนะครับ

แต่ผมก็มีความสุขกับมันเสมอ

เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเลือกเองไง

“ เสร็จสักที ” ผมวางจานใบลงบนที่คว่ำจานก่อนจะล้างมืออีกครั้ง เอาล่ะต่อจากนี้จะเป็นเวลาแต่งนิยายแล้ว

“ หนม ”

“ หืม ” ผมหันตามเสียงก็เจอไอ้หล่อที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยืนอยู่ด้านหลังไม่พอ มันยังยืนชิดผมมากด้วยมากจนหน้าจะชนอยู่รอมร่อ คือแบบไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้ไหมมึง

“ กูเอาโน้ตบุ๊คลงมาให้แล้วนะ อยู่บนโต๊ะน่ะ ” ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ ประโยคธรรมดาๆนั่นทำไมต้องใช้เสียงนุ่มๆพูดด้วยวะ และก็ใช้สายตาแบบนั้นอีก

ไม่ชอบใจเลย

“ เออขอบใจ แล้วก็ถอยไปได้แล้ว ” ผมพูดพลางหลบสายตาคนตรงหน้า ไม่ไหวครับให้จ้องนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ถึงไอ้ขุนมันจะไม่ใช่เมดูซ่าแต่ถ้าไปจ้องดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นมากๆอาจจะทำให้เรากลายเป็นหินได้นะครับ

หนมจริงจัง

“ ครับผม ” ไอ้หล่อมันก็ถอยออกไปอย่างว่าง่าย

ผมเดินออกจากครัวมาห้องนั่งเล่นอย่างไว ไม่ได้จะหนีใครนะครับคือจะรีบมาแต่งนิยาย โน้ตบุ๊ควางอยู่บนโต๊ะพร้อมแถมเสียบปลั๊กให้เรียบร้อยร้อย เปิดเครื่องไว้ให้แล้วอีกต่างหาก ไอ้ขุนนี่มันรู้งานจริงๆ ดีละจะได้ไม่เสียเวลา

“ เอาล่ะ... ” ผมนั่งลงหน้าโน้ตบุ๊คก่อนที่นั่งตั้งสติแปปนึง ก่อนจะแต่งนิยายเราต้องไล่ความคิดอื่นออกไปจากในหัวให้หมดก่อนครับ จะได้มีสมาธิมากๆ นิยายจะได้ออกมาอ่านแล้วรู้เรื่อง ในขณะที่ผมกำลังตั้งสติไอ้ขุนมันก็เดินออกมาจากครัวแล้วก็มานั่งลงข้างๆ

“ ไว้แต่งเสร็จแล้วเอาให้กูอ่านด้วยนะ ”

“ เออได้ มึงห้ามกวนกูละกัน มันจะได้เสร็จไวไว ”

“ ได้เลยครับ กูจะนั่งอยู่ตรงนี้เงียบๆ ” มันว่าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอะไรของมันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนผมก็เริ่มพิมพ์ในสิ่งที่คิดไว้ในหัวลงในโน้ตบุ๊ค เวลามีไม่มากครับเพราะงั้นต้องเร่งมือหน่อย

ใจกำลังมาด้วย....คนรออ่านเยอะด้วย เพราะงั้น....

รอไรท์หนมแต่งแปปนึงนะครับ


---------- 50% -----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 12 : 12/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 12-11-2017 21:16:03
---------- ต่อจากบท 12 ----------




บ่ายสามครึ่งกับนิยายที่เสร็จไปหนึ่งตอน     

บอกได้เลยว่าปวดไหล่มาก

ต้องการคนนวด 1 อัตรา

“ กลับมาแล้วครับ ” พูดถึงคนนวด คนนวดก็มาพอดี

ไอ้ขุนมันออกไปซื้อขนมมาครับเพราะผมบ่นว่าอยากกิน เวลาแต่งนิยายนี่ร่างกายต้องการอะไรหวานๆมากครับ ของหวานมันจะทำให้เรารู้สึกดีและก็จะทำให้สมองแล่นด้วย ผมแต่งนิยายไป 14 หน้า ลงเว็บเรียบร้อยแล้วด้วย ก็ถือว่าจบภารกิจของวันนี้แล้วล่ะนะ

“ นวดไหล่ให้หน่อยได้ไหม ” ผมบอกไอ้ขุนพลางจับไหล่ตัวเอง

“ ได้สิครับ ” ไอ้หล่อวางถุงขนมก่อนจะย้ายตัวเองมาอยู่ด้านหลังผมแล้วก็ค่อยๆนวดไหล่ให้ผมเบาๆ

“ แรงอีกนิดก็ได้ ”

“ ประมาณนี้ไหม ” สัมผัสได้ถึงแรงบีบที่แรงขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้แรงมากเกินจนผมทนไม่ได้

“ แบบนั้นแหละ ”

อา....ค่อยยังชั่วหน่อย

เอาจริงๆผมมักจะปวดไหล่แบบนี้บ่อยๆ มีบางครั้งที่ปวดหลังด้วยเพราะนั่งใช้คอมนานๆ ปกติถ้าผมล้ามากๆผมก็ต้องบีบๆคลำๆไหล่ตัวเอง แต่พอมีคนมาทำให้แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกสบาย แต่ก็ไม่รู้นะครับว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ไอ้ขุน ผมจะรู้สึกแบบนี้รึเปล่า

แต่คิดว่าไม่นะครับ

“ วันนี้มึงจะกลับหอกี่โมงอ่ะ ”

“ ค่ำๆอ่ะ หรืออยากไปส่งกูแล้วล่ะ ไปตอนนี้ก็ได้นะ ” ผมเหลือบมองมันที่นั่งอยู่ด้านหลัง ไอ้ขุนมันทำหน้ามุ่ยอยู่ครับ ตลกว่ะเวลามันทำหน้าแบบนี้

“ ไม่เอา ไปตอนค่ำ กูอยากอยู่กับมึงนานๆ ”

“ อยู่กับกูทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะนะ ”

“ ก็ตอนนี้กูยังไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมึงนี่ กูก็เลยทำได้แค่นี้ ”

“ ถ้าสมมุติว่าวันนึงมึงมีสิทธิ์ขึ้นมา มึงจะทำอะไร ” มือมันชะงักไปแปปนึงก่อนจะกลับมามาบีบต่อ ชะงักไมวะ

“ กูจะทำหลายอย่างเลย มึงช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ ” มันพูดพลางหัวเราะออกมา

“ ช้ำบ้าอะไรของมึงวะ ” ผมตีขามันด้วยความหมั่นไส้ พูดจาสองแง่สองง่ามชิบหาย

“ เดี๋ยวมึงก็รู้ ” พูดจาแบบมั่นใจมากเลยนะมึงนะ ขอกูดักฝันหน่อยละกัน

“ มันอาจจะไม่มีวันนั้นก็ได้นะ วันที่มึงมีสิทธิ์น่ะ ” ผมพูดพลางยกยิ้มใส่มัน เอาสิขุนมึงจะทำไงต่อ

“ มันต้องมีอยู่แล้ววันนั้นน่ะ” มือที่บีบไหล่นั่นเลื่อนขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ “ จนกว่ามึงจะเป็นของกู กูไม่ยอมแพ้หรอก ”

ตึกตัก

แม่งเอ้ยยย

ผมหันหน้ากลับไปทางเดิมพลางยกมือลูบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเองช้าๆ ไม่น่าไปพูดดักฝันมันเลยว่ะ โดนเลยเนี่ยะผมเนี่ยะ ได้ยินเสียงไอ้หล่อหัวเราะออกมาเบาๆด้วยจากด้านหลังด้วย ชอบใจเลยสิมึง วันนี้ตั้งแต่ตื่นมาก็ทำให้กูใจสั่นไปหลายรอบแล้วนะ ไม่กลัวกูจะหัวใจวายบ้างรึไงวะ

มึงนี่มัน....

“ พอละ เดี๋ยวกูไปหยิบผ้าเช็ดแว่นแปป ” ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องนะครับ ผมรู้สึกว่าแว่นมันมัวจริงๆ

“ ให้กูไปหยิบให้ไหม ”

“ ไม่ต้องอ่ะ มึงแกะขนมรอกูละกัน ” ผมเดินขึ้นมาบนห้องทันทีหลังจากที่พูดจบก่อนจะถอดแว่นตัวเองออก ปกติถ้าเป็นแสงในบ้านธรรมดานี่ผมก็พอทนมองได้นะครับ แต่ถ้ากลางแจ้งนี่ไม่น่ารอด ผมจำได้ว่าวางผ้าเช็ดแว่นไว้ใกล้ๆกล่องที่โต๊ะข้างหัวเตียงแต่ผมหาไม่เจอว่ะ ใครมันเอาไปไหนเนี่ย เปิดลิ้นชักดูไม่มี เจอแต่สมุดสีเหลืองเล่มเล็กๆอยู่ด้านใน

“ สมุดอะไรวะ ” ผมหยิบสมุดขึ้นมาก่อนจะเปิดดูสิ่งที่เขียนไว้ด้านใน

บันทึกแผนการณ์จีบน้องนิเทศ

“ น้องนิเทศงั้นหรอ ” ผมเปิดหน้าต่อไปก็พบกับรูปแอบถ่ายหลายรูป ในรูปนั้นแสดงถึงเด็กนิเทศคนนึงที่กำลังปีนต้นไม้เพื่อจะเอาอะไรสักอย่างขึ้นไปเก็บ

เด็กนิเทศคนนั้นคือผม

ใต้รูปที่มันแปะไว้เขียนข้อความกำกับไว้ด้วยว่า [ พี่ไม่รู้ว่าน้องเป็นใคร แต่พี่ชอบในสิ่งที่น้องทำมาก….น่ารัก ]

ตึกตัก

ผมมองข้อความนั้นอย่างอึ้งๆ ผมจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีครับ มันเป็นวันที่ผมโดนวิ่งรอบตึกเป็นครั้งที่ 2 เป็นวันที่ไอ้ขันโทรมาให้ไปหามันที่ตึกวิศวะ เป็นวันที่ผมเจอลูกนกร่วงลงมาจากรังแล้วผมก็พยายามปีนเพื่อเอามันขึ้นไปเก็บไว้ที่เดิม และเป็นวันที่ผมเจอมันครั้งแรกด้วย

มันเองก็เจอผมครั้งแรกวันนั้นเหมือนกัน

“ บังเอิญหรือพรหมลิขิตวะเนี่ย ” ผมเปิดไปหน้าถัดไปก็พบการเขียนหัวข้อใหญ่ไว้ว่า แผนการณ์จีบน้องนิเทศแบบจริงจังจากนั้นก็มีลิสต์ไล่ลงไปเป็นข้อๆเลยครับ แล้วก็มีการเขียนกำกับไว้หลายอย่าง มีบางอันกาถูกไว้ บางอันก็กาผิด แล้วก็แตกย่อยเต็มไปหมด ลิสต์แรกนี่สะดุดตาผมสุดๆ

- ช่อกุหลาบขาว [ / ] : น้องรับไว้แล้วทำหน้างงมาก ก็ไม่เชิงว่ารับไว้หรอก นี่ยัดใส่มือน้องมันเองแหละ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย ประหม่าสัสๆ

ที่มาของช่อกุหลาบมันเป็นแบบนี้เองสินะ

ผมยังจำวันที่ได้ช่อกุหลาบขาวนั่นได้เลย งงมากจริงๆแบบที่มันเขียนไว้นั่นแหละ มันไม่ได้บอกอะไรผมเลยนี่ครับ บอกแค่ว่าให้ก็แค่รับไว้แล้วยัดใส่มือผมมาเลย ก่อนจะไปก็บอกให้ผมเก็บไว้ดีดี จากวันนั้นจนถึงวันนี้กุหลาบช่อนั้นมันก็ยังอยู่ในตู้ที่หอผม ถึงแม้ว่ามันจะเหี่ยวลงไปแล้วแต่ผมก็ยังเก็บมันเอาไว้

เก็บไว้แบบไม่รู้ว่าทำไม

“ ทำหลายอย่างเลยนะเนี่ยไอ้บ้า ” ผมนั่งลงบนเตียงพลางอมยิ้มกับสิ่งที่ไอ้ขุนเขียนไว้ ไม่คิดว่ามันจะทำอะไรแบบนี้ด้วยนะครับ พอเห็นสมุดเล่มนี้นี่ผมเชื่ออย่างหมดใจเลยว่าที่มันบอกว่าจะจีบผมมันพูดจริงๆแน่นอน

ดูแต่ละอย่างที่มันเขียนสิครับ

- โกโก้ [ / ] : รู้ว่าน้องชอบกินก็เลยซื้อไปให้ แล้วก็ยัดใส่มือน้องเหมือนกับช่อดอกไม้นั่นแหละ หวังว่าน้องจะชอบ

- ถามชื่อด้วยตัวเอง [ / ] : น้องชื่อ ขนม ชื่อน่าแดกสุด5555555

- ขอไลน์ [ / ] : เย่เย่เย่ ได้มีช่องทางติดต่อน้องบ้างแล้ว

.

.

- ขอเบอร์ [ / ] : ไม่ได้ขอมาจากน้องเองอ่ะเสียดายอยู่ แต่ไม่เป็นไรยังไงก็ถือว่าเบอร์น้อง

- บอกชอบ + จีบ  [ / ] : บอกไปแล้วโว้ยยยยย พูดดักแล้วด้วยว่าอย่าเพิ่งปฏิเสธ ทีนี้จะได้จีบแบบทางการได้สักที

.

.

- อธิบายให้น้องฟังเรื่องค่าย [ / ] : น้องเข้าใจ ดีจัง น้องดูท่าจะชอบขนมที่ซื้อไปให้ด้วย

- ลูบหัวน้อง [ / ] : น้องบ่นแต่ก็ยอม + จากนั้นก็ยอมตลอด

- ชวนน้องไปตลาดนัด [ / ] : ดีใจสุด น้องกินเยอะมาก

- จับมือ [ / ] : ถึงแม้ว่าจะเนียนๆจับเองแต่น้องก็ไม่สะบัดออกนะ มือน้องนิ่มมาก


มือน้องนิ่มมาก

โอ้ย ไม่ไหวว่ะยิ่งอ่านยิ่งเขิน

“ มึงนี่ยิบย่อยเลยนะไอ้บ้าขุน ” จากที่ผมนั่งอ่านเมื่อกี้ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนอนอ่านละครับ อ่านไปใจก็ละมุนดีเหมือนกันนะ ผมนี่เป็นไปตามแผนมันหลายอย่างเหมือนกัน อ่านไล่มานี่ยังไม่มีอันไหนที่มันกาผิดเลย

อ๊ะ อันนี้ไงที่มันกาผิด

- ชวนน้องไปดูหนัง [ X ] : น้องไม่ไปเพราะว่าอยากนอน แต่น้องก็ใจดีให้เช่าหนังมาดูที่ห้องได้ หน้าน้องตอนหลับนี่ดีต่อใจมากอ่ะ แอบถ่ายรูปไว้เต็ม

ไว้กูจะแอบถ่ายมึงคืนบ้างคอยดู

ลิสต์นี่ไล่เรียงลงไปเรื่อยเลยยันหน้าถัดไป มีข้อที่ยังไม่ได้กาด้วย ส่วนข้อที่กานั่นข้อสุดท้ายก็คือ ขอจูบครับ ไอ้ขอจูบที่มันจูบบนหลังมือตัวเองนั่นแหละ นึกถึงก็ตลกว่ะ ใครมันจะบ้าทำแบบมันบ้างไม่มีหรอก จากข้อขอจูบมันก็เป็น....

- ขอกอด [  ] :

มันอยากกอดผมว่ะ

“ เอาไงดีล่ะหนม ” ผมควรจะทำให้เป็นไปตามแผนที่มันวางไว้ดีไหมนะ ผมคิดว่าวันนี้ไอ้ขุนมันคงจะขอผมกอดแน่ๆ และยิ่งไม่ได้เจอกันหลายวันอีก มันคงยิ่งอยากจะทำ

ไว้ตัดสินใจอีกทีละกัน

ผมเปิดไปหน้าถัดไปซึ่งมีลิสต์อยู่สองข้อที่เด่นออกมาจากข้ออื่น มันถูกขีดเส้นใต้แล้วยังมีดอกจันอยู่ด้านหน้าของหัวข้อด้วยนะครับ ลิสต์สองอันนั้นก็คือ.....

*- ขอเป็นแฟน [  ]

.

.

*- เซ็กซ์ [  ]


ฉ่า

มี...เซ็กซ์ด้วยว่ะ

ผมปิดสมุดก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเอามาเก็บไว้ในลิ้นชักที่เดิม รู้สึกได้ถึงหน้าที่ร้อนแบบร้อนโคตรๆ คือผมไม่คิดว่าแผนที่มันวางไว้นั้นจะคิดมาไกลจนถึงขั้นเซ็กซ์ด้วยไง แม่งเหนือความคาดหมายชิบ ไอ้ขุนนี่มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ได้ตลอดจริงๆ ยอมรับเลยนะครับว่าไอ้สิ่งที่มันเขียนมาทั้งหมดนั่นดีต่อใจกับผมมาก โคตรเขิน ผมจะต้องไม่ให้มันรู้ว่าผมเจอสมุดมันแล้ว ดูซิว่ามันจะทำตามแผนต่อไปได้จนสำเร็จไหม

แต่ไอ้ข้อเซ็กซ์นี่เอาออกไปได้ไหมวะ

แค่คิดก็......

ก็...

“ ทำอะไรทำไมนานจัง ” ผมสะดุ้งทันทีที่ไอ้หล่อมันเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไม่เคาะก่อนวะ กูตกใจนะเนี่ยไอ้บ้า

“ กู....กูหาผ้าไม่เจออ่ะ มึงเห็นรึเปล่า ”

“ ไม่ได้อยู่บนโต๊ะหรอกหรอ ” มันว่าพลางเดินมาดูให้

“ งั้นช่างมันเหอะ ลงไปกินขนมกัน ”

“ ขนมที่กูซื้อมา หรือขนมนี้ ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะชี้มาทางผมพลางยิ้มกรุ้มกริ่มไปด้วย

“ ขนมที่มึงซื้อมาสิวะไอ้บ้า ” เอาใหญ่แล้วนะมึงเอาใหญ่แล้วววว ผมรีบเดินหนีมันลงมาด้านล่างทันทีเลยครับ โอ้ยวันนี้นี่มันมีแต่อะไรที่อันตรายต่อหัวใจชิบ ความรู้สึกนี่ก็สับสนหนักเข้าไปอีก แม่ครับหนมจะทำยังไงดีเรื่องแบบนี้แม่ไม่ได้สอนหนมไว้ด้วย หนมจะจัดการกับไอ้สิ่งที่มันว้าวุ่นในใจนี้ยังไงดี

“ เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้ขุน ”

เพราะมึงคนเดียวเลย.....





หอK2

หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายป่วนจิตใจที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย ไอ้ขุนก็มาส่งผมที่หอครับ ก่อนมานี่ก็แย่งกันกินขนมจนหมดเกลี้ยง แถมยังแวะไปกินข้าวมากันเรียบร้อยแล้วด้วย คือผมตอนนี้อิ่มและพร้อมนอนมากอ่ะบอกเลย แต่ยังขึ้นห้องไปนอนไม่ได้ครับเพราะมันมีคนที่ทำหน้าหงอยยืนงอแงอยู่ตรงนี้

งอแงหนักด้วย

“ กลับไปได้แล้วไป ”

“ เดี๋ยวสิ ขออีก 5 นาทีไม่ได้หรอ ” มันว่าพลางเบะปากน้อยๆ

“ มึงบอกขอ 5 นาทีมา 2 รอบแล้วนะ ”

“ ก็หลังจากนี้เราจะไม่ได้เจอกันตั้งสองหมื่นนาทีกว่าๆเลยนะ ” มันก็จริงว่ะ

ผมมองหน้าไอ้ขุนที่ดูหงอยมาก แต่ทำไงได้วะเราตกลงกันเรื่องนี้แล้ว และมันก็รับปากแล้วด้วย ผมก็มีเหตุผลของการเว้นระยะห่าง ก็แค่ห่างไม่ได้จะหายไปเลยนี่หว่า หลังสอบเสร็จเดี๋ยวก็เจอกันแล้ว น่าจะเจอกันวันสุดท้ายของการสอบนั่นแหละ เดาได้ล่วงหน้าเลยว่าไอ้ขุนมันจะต้องรีบโผล่หน้ามาให้ผมเห็นแน่นอน

แต่ตอนนี้จะทำยังไงให้มันหายหงอยวะ

อา....คิดออกละ

วิธีนี้เวิร์คแน่

“ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ”

“ ก็คนมันเศร้าอ่ะ กูต้องคิดถึงมึงมากแน่เลย ”

“ เดี๋ยวก็เจอกูน่า....กลับไปได้แล้ว ” ผมเอ่ยปากไล่มันอีกครั้ง

“ ครับ กลับก็ได้ ” เสียงอ่อนๆนั่นเอ่ยอย่างน้อยใจแน่นอนไม่ต้องสืบ มันส่งยิ้มบางๆมาให้ผมก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินไปที่รถ

“ ขุน ”

“ หืมมม ” ทันทีที่มันหันหลังกลับมาทางผม ผมก็เดินเข้าไปกอดมันไว้แน่นโดยเอาหน้าของตัวเองซุกอยู่ที่ไหล่ของมันไว้ มันเองก็ดูตกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมเข้าไปกอด แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่กอดผมกลับ

ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นที่มาจากมันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลย ไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆที่แตะจมูกผมอีก สัมผัสได้ถึงมือที่เลื่อนขึ้นไปลูบหัวผมเบาๆ มันคือสัมผัสที่ผมคุ้นเคยและไม่คิดที่จะปฏิเสธมันสักครั้ง การกอดกับไอ้ขุนนี่มันให้ความรู้สึกต่างจากครอบครัวหรือเพื่อนๆที่ผมเคยกอดจริงๆ

รู้สึกดีจนไม่อยากจะปล่อย

“ ขุน ”

“ ว่าไงครับ ”

“ มึงต้องตั้งใจอ่านหนังสือนะ ”

“ มึงก็เหมือนกัน ”

“ ตั้งใจสอบด้วย ”

“ รู้แล้วครับ มึงก็ตั้งใจสอบนะ ”

“ แล้วก็.....”

“ แล้วก็อะไรหืม ”

“ แล้วก็คิดถึงกูให้มากๆด้วย ”

“ เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ”

ผมคลายกอดออกมามองหน้ามัน ไอ้ขุนก็ยิ้มหวานให้ผม สีหน้านี้บ่งบอกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังมีความสุขมาก แน่ล่ะแผนที่มันวางไว้มันเป็นไปตามนั้นทั้งๆที่มันยังไม่ได้พูดขอผมเลยหนิ แต่ก็ดีละที่มันไม่ทำหน้าหงอยแล้ว แบบนี้ค่อยดูเป็นไอ้บ้าที่คอยเอาแต่หยอดผมหน่อย

“ กลับบ้านได้แล้ว ขับรถดีดีนะ ”

“ ครับ แล้วเจอกัน ” ไอ้หล่อมันบอกผมก่อนจะเดินไปขึ้นรถ

ผมมองฟอร์จูเนอร์สีขาวที่แล่นออกไปช้าๆ วันนี้นี่แม่งสุดจริงๆว่ะ หน้านี่ร้อนสุด ใจนี่เต้นแรงสุด เขินก็เขินสุด ทุกอย่างมันสุดไปหมดเลย ช่วงเวลาที่เราห่างกันผมก็หวังว่ามันจะตั้งใจอ่านหนังสือแบบที่ผมบอกนะ ผมเองก็ต้องตั้งใจมากๆถึงจะเป็นสอบมิดเทอมแต่มันก็สำคัญกับเกรดเหมือนกัน แถมช่วงเวลานี้ผมก็มีภารกิจแอบตามดูชีวิตไอ้ขุนแบบลับๆด้วย

แค่คิดก็น่าสนุกแล้วว่ะ

อยากให้ถึงวันนั้นไวไว













TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ให้กำลังใจกันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 11 : 11/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 12-11-2017 21:17:14
พี่ขันรู้บ้านจะไหม้ไหมเนี้ย 555555555
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 12 : 12/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 12-11-2017 21:56:33
 :-[
 :L2:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 12 : 12/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-11-2017 23:14:41
 :L2: :L1: :pig4:

ขนมน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 13 : 13/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 13-11-2017 20:25:42
บทที่ 13 ตามติดชีวิตขุนศึก




สามวันแล้วครับที่ผมกับไอ้ขุนห่างกัน

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าว่ามันช่างยาวนาน

ตอนนี้ก็ประมาณเกือบเที่ยงแล้วครับ ผมนั่งติวหนังสือกันอยู่หน้าตึกที่เดิมที่ประจำ โดยสามวันมานี้ผมก็พยายามตั้งใจจะอ่านหนังสือนะครับ แต่อ่านไปอ่านมาบางทีมันมีหน้าของใครบางคนแม่งลอยเข้ามาแทรก

หน้าไอ้ขุนไง

บ้าไหมล่ะ

“ ไอ้ห่าหมีกูบอกกี่ครั้งละว่าไม่ใช่ ”

“ โถ่เพื่อนเป้ ก็ทฤษฎีมันเยอะอ่ะ เพื่อนหมีก็ต้องจำสับสนบ้างสิ ”

“ งั้นมึงก็จำแล้วก็ไปสับสนในห้องสอบนะ ” ไอ้เป้มันบอกก่อนจะใช้ค้อนลมตีหัวไอ้หมี มันจะจำไม่ได้เพราะมึงตีมันนี่แหละ

“ เจ็บนะ มึงนี่มันโหดเหี้ยมเกินมนุษย์มนา โอ้ยยยยยยยยยยยยยย ”

ผมนั่งมองไอ้หมีที่โดนไอ้เป้กระหน่ำตีไม่หยุดก็ได้แต่ถอนหายใจ ไอ้เป้นี่ก็จะโหดไปไหนของมันวะ ไอ้หมีเองก็กวนตีนไม่หยุด วันนี้จะติวกันรู้เรื่องไหมเนี่ย วิชาที่ติวตอนนี้คือวิชา MediaLiteracy [ มีเดีย ลิทเทอเรซี่ ] เรียกแบบไทยๆวิชารู้เท่าทันสื่อครับ มันเป็นวิชาที่สำคัญมากๆกับสายวารสารอย่างพวกผม ส่วนตัวผมคิดว่าวิชานี้มันไม่ได้ยากเท่าไหร่นะ แต่มันต้องจำเยอะ มันมีทฤษฎีและก็แนวคิดเยอะมากครับ แต่ผมจำได้หมดแล้ว ในกลุ่มนี่จะมีคนที่มีปัญหากับวิชานี้มากที่สุดก็คงเป็นไอ้หมี เพราะมันจำสลับกันหมด

ทีเรื่องไอ้ขันล่ะจำได้แม่นชิบ

น่าหมั่นไส้

“ พอแล้วเป้ เดี๋ยวหมีมันตาย ” ท่านประธานปราม

“ เออ มานั่งติวใหม่เร็ว ” ไอ้ภีมมันบอกก่อนจะดึงแขนไอ้หมีให้ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

“ เจ็บหัวอ่ะภีม หัวกูแตกแล้วมั้งเนี่ย ”

“ ไม่ต้องมาโอดโอยเลยนะมึง ”

“ ไอ้ใจร้าย ”

“ มึงอยากโดนอีกรอบหรอห้ะ ”

“ พอๆ เลิกกัดกันแล้วก็ติวได้แล้ว เสียเวลาจริงๆเลยพวกมึงเนี่ยะ ” ผมออกปากสั่ง เอาสิ ถ้าไม่หยุดนะกูจะเอาค้อนลมนั่นมาไล่ตีให้สมองฝ่อเลย

“ งื้อ....ก็ได้ ” ไอ้หมีมันเบะปากใส่ผมส่วนไอ้เป้ก็นั่งเงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกมา เออดี จะได้ติวกันแบบจริงๆจังๆสักที

“ ฟังกูนะไอ้หมีคือทฤษฎีมันมีแบบนี้...... ” และผมนั่งอธิบายให้ไอ้หมีฟังไล่เป็นข้อๆ อธิบายแบบสรุปน่ะครับ ผมว่าการติวให้เพื่อนฟังมันถือว่าเป็นการทบทวนที่ดีเลยนะ เพราะเหมือนเราได้เอ่ยและนึกถึงในสิ่งที่เราเรียนมา มันทำให้จดจำได้ง่ายและมันจะส่งผลดีกับการสอบ โดยขณะที่ผมอธิบายทฤษฎีนั้นเพื่อนๆก็ช่วยเสริมอยู่เรื่อยๆ บางทีไอ้หมีมันก็ทำหน้าเข้าใจ บางทีมันก็ทำหน้าไม่เข้าใจ

ตกลงมึงเข้าใจไหมเนี่ยะ

“ พยักหน้านี่มึงเข้าใจรึเปล่า ”

“ เข้าใจนะ เพื่อนหมีเข้าใจ ”

“ อ่ะไหนมึงลองบอกทฤษฎี Stereotype [ สเตอริโอไทป์ ] ให้กูฟังดิ้ ” ไอ้ภีมมันถาม

“ ก็แบบเป็นการชี้เหมารวมไง การมองโดยภาพรวมอ่ะ ”

“ ยังไง ”

“ ก็แบบที่เพื่อนหนมใส่แว่นนี่ไง ”

“ อ่ะ แล้วยังไงต่อ ”

“ ก็ถ้ามองแบบเหมารวม คนที่ใส่แว่นก็จะเป็นคนเฉิ่ม ”

เฉิ่มพ่อง

กูขอสักที

โป๊กกกก

“ โอ้ยยยยยยย เพื่อนหมีเจ็บนะ เพื่อนหนมโขกหัวเพื่อนหมีทำไม ” ไอ้หมีมันยกมือกุมหัวตัวเอง หมั่นไส้นัก น่าโขกอีกสักทีสองที

“ มึงเข้าใจทฤษฎีถูก แต่มึงมองภาพเหมารวมผิด คนที่ใส่แว่นคนเค้าต้องคิดกันว่าเป็นคนสายตาสั้นไม่ใช่คนเฉิ่มไอ้บ้า ” ผมโวยใส่มัน คนใส่แว่นเป็นคนเฉิ่มหน้ามึงดิ่ คนไม่ใส่แว่นแต่เป็นคนเฉิ่มก็มีเยอะไป ไม่รู้เรื่องอะไรซะเลย

“ สมน้ำหน้ามึงไอ้หมี โดนหนมด่าเลย ” ไอ้ปั้นมันซ้ำเติม

“ เออ สมน้ำหน้า ” ไอ้เป้ก็เอากับเขาด้วย

“ พอเลยเลิกด่า ไปต่อเลยเพื่อนภีม ทฤษฎีต่อไปเลย ” ไอ้หมีมันเท้าคางรอฟัง

“ ต่อไปก็ทฤษฎี Agenda Setting [ อาเจนด้า เซ็ตติ้ง ] ”

“ อันนี้ก็แบบเหมือนพาดพิงหรือพูดชักจูงเพื่อให้คนที่ฟังนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง แบบเราไม่ต้องพูดเองโดยตรงอ่ะใช้การพูดชี้นำ ”

“ มึงลองยกตัวอย่างมาซิ ”

ไอ้หมีมันหันมามองหน้าผม “ ก็แบบพวกมึงดูดิ่ สามวันมานี้เพื่อนหนมมันดูหงอยผิดปกติเหมือนกำลังคิดถึงใครสักคนอยู่เลยว่ะ ”

เดี๋ยวนะ.....

ทำไมมึงเอาทฤษฎีมาใช้กับชีวิตกูล่ะ

“ ก็จริงของมึงนะหมี ” จริงอะไรของมึงวะไอ้ปั้น

“ คิดถึงใครอยู่หรอหนม ” ไอ้ภีมมันถามผมพลางอมยิ้ม ไม่ต้องมายิ้มเลยไอ้สัส เดี๋ยวกูจะให้เป้จัดการมึง

“ ใช่เด็กวิศวะรึเปล่า ” เดี๋ยวเถอะไอ้เป้ กูจะให้จัดการไอ้ภีมแท้ๆดันมาแซวกูไปด้วยอีก กูพึ่งใครได้บ้างวะตอนนี้

ผมหันมองไปทางไอ้เผือกที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ที่เริ่มติวกันแล้ว “ เผือก.....” ส่งสายตาปริบๆไปให้มันด้วยครับ ช่วยเพื่อนหนมหน่อยครับ

“ คิดถึงพี่ขุนหรอ ”

ห่าเผือก

ไม่ช่วยแถมยังเอ่ยชื่อออกมาด้วย

มึงนี่มัน

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้เผือกไม่ช่วย วั้ยๆๆๆๆๆๆ ” ผมหันควับไปมองไอ้หมีทันทีพร้อมกับสายตาเหี้ยมไปให้มันด้วย อารมณ์ประมาณว่าถ้ามึงไม่หยุดขำมึงตายแน่

“ กูงอนพวกมึงแล้ว ” หันหนีแม่ง ทำไมพวกมันชอบแซวชอบแกล้งผมนักวะ สนุกกันนักรึไง

แต่เอาจริงๆมันก็มีส่วนที่เป็นความจริงแบบที่ไอ้หมีมันพูดนะครับ ผมเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองแปลกๆไป เหมือนกับว่าสายตาคอยมองหาใครอยู่ตลอด หูก็คอยฟังเสียง มีหลอนเหมือนได้ยินไปเองด้วย ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เป็นแบบนี้อ่ะ

ต้องยอมรับแล้วสินะว่าคิดถึงไอ้ขุนมันจริงๆ

ที่ผมคิดไว้ว่าจะไปแอบตามดูชีวิตมันเงียบๆนั่นผมยังไม่มีเวลาว่างไปครับ แบบว่ามีเรียนทั้งวันแถมบางวันยังมีคลาสเสริม บางวิชาเก็บควิซนอกเวลาก็มี เวลากินข้าวนี่ยังหาได้ยากเลย มีวันนี้แหละที่พอจะว่างติวกัน แต่มันก็ไม่ว่างมากพอที่จะไปตึกวิศวะ และอีกอย่างคือมันก็ค่อนข้างจะยากนะครับสำหรับการไปตามดูแล้วไม่ให้ไอ้ขุนมันรู้เนี่ย ผมอาจจะต้องให้ไอ้หมีช่วยเรื่องแบบนี้ไอ้หมีมันน่าจะถนัดเพราะมันแอบตามดูไอ้ขันอยู่เป็นประจำ

ว่าแล้วอยากเจอหน้าจัง

สักแปปนึงก็ยังดี

“ ฮัลโหลครับอาจารย์.....วันนี้ยกคลาสหรอครับ ” ผมทันไปมองไอ้ปั้นทันทีที่ได้ยินคำว่ายกคลาส นี่ถ้ายกคลาสจริงๆผมก็ว่างเลยนะเพราะวิชาที่จะเรียนนี่เป็นวิชาสุดท้ายของวัน

“ อาจารย์ว่าไงวะ ” หมีมันถามด้วยสีหน้าที่ลุ้นสุดๆ ผมเองก็ลุ้นอยู่ในใจ ขอให้ยกคลาสทีเถอะจะได้มีเวลา

“ บ่ายยกคลาสครับ ”

“ เย่!!!!!!!!! ” ผมสะดุ้งกับการเย่ของหมี ไอ้บ้านี่มึงจะเย่เสียงดังทำไมวะ รู้แล้วว่าดีใจแต่ไม่ต้องเสียงดังก็ได้กูตกใจไอ้สัส

“ เสียงดังไอ้ห่าหมี ” ไอ้เป้มันด่า

“ ก็กูดีใจหนิ มึงคิดดูว่าเราแม่งแทบไม่มีเวลาว่างเลย ”

“ ก็จริงของมึงแหละนะ เดี๋ยวกูจะกลับหอ แล้วนี่พวกมึงจะไปไหนกันต่อ ” ท่านประธานถามครับ ตอบไงดีวะ ถ้าบอกไปว่าไปตึกวิศวะนี่ผมต้องโดนแซวแน่ๆ

“ กูจะไปส่องพี่ขันที่ตึกวิศวะ ” ไอ้หมีพูดพร้อมกับยิ้มแฉ่ง มึงนี่ก็ตรงดีเหลือเกิน

“ กูกลับหอแหละ ” ไอ้ภีมมันบอกพร้อมกับหาวไปด้วย มึงคงอยากจะกลับไปนอนสินะ

“ กูก็เหมือนกัน ” ไอ้เป้มันว่าพลางเก็บค้อนลมใส่กระเป๋า

“ กูจะไปตึกแพทย์ ” คำว่าตึกแพทย์ที่ไอ้เผือกพูดออกมานั่นทำให้เพื่อนๆทุกคนหันไปมองทันที มันไปทำไรที่ตึกแพทย์วะ

“ แน่ะ ไปทำอะไรที่ตึกแพทย์ห้ะ ” ไอ้หมีมันจ้องหน้าไอ้เผือกอย่างคาดคั้น เดี๋ยวมึงก็โดนมันเตะหรอกหมีไปจ้องมัน

“ เรื่องของกู มึงจะเสือกทำไม ”

“ โถ่เพื่อนเผือกพูดงี้เพื่อนหมีเสียใจหน่า ” ไอ้หมีมันยกมือขึ้นทำเป็นปาดน้ำตา

“ แล้วมึงอ่ะหนม จะไปไหน ”

“ กูว่าจะไปหาไอ้ขันหน่อยอ่ะ ”

“ หาพี่ขันหรือหาพี่ขุน ”

“ เออน่า หาใครก็ได้กูโตแล้ว 6 โมงลากสังขารมาติวที่หอกูด้วยห้ามสายห้ามเลทนะตามนี้เลย จะซื้ออะไรมากินก็แล้วแต่พวกมึง ส่วนไอ้หมีมึงมากับกู ” ผมแร็ปใส่พวกมันก่อนจะรีบล็อคคอไอ้หมีแล้วลากออกมาทันที ไม่ได้ครับถ้าอยู่ตรงนั้นจะโดนแซวแบบย่อยยับแน่ๆ

“ เดี๋ยวเพื่อนหนม คลัมดาวน์นะเพื่อนหมีหายใจไม่ออก ”

ผมปล่อยไอ้หมีออกหลังจากที่เดินมาถึงลานจอดรถ “ กูมีเรื่องให้มึงช่วย ”

“ เรื่องอะไรไหนว่ามาซิ ”

“ กูจะไปแอบตามดูชีวิตไอ้ขุน ”

“ มึงจะแอบไม ”

“ มันก็เหมือนที่แอบตามดูไอ้ขันนั่นแหละ ”

“ โนวๆ ไม่เหมือนกันนะครับหนม ”

“ ไม่เหมือนกันยังไงวะ ”

“ ก็พี่ขุนเค้าชอบมึง แต่พี่ขันเค้าเกลียดกู ” ไอ้หมีมันพูดเสียงอ่อน ดวงตาฉายความเศร้าออกมาชัดเจน นี่ผมไปพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปสินะ

“ หมีกูขอโทษ ”

“ มึงจะขอโทษกูทำไมมึงไม่ได้ทำอะไรผิด ”

“ แต่.....” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดไอ้หมีมันก็ยกมือขึ้นมาปิดปากผม ผมก็ได้แต่มองมันนิ่งๆ มันเองก็มองผมนิ่งๆไม่ต่างกัน ไม่ชินกับไอ้หมีที่เป็นแบบนี้เลยว่ะ ไม่ชินเลยจริงๆ

“ ช่างมันเถอะนะหนม กูโอเค ” สายตามึงมันไม่โอเคชัดๆ

ผมค่อยๆจับมือมันที่ปิดปากผมออก ใจก็อยากจะพูดอยากจะถามมันหลายอย่างแต่คิดไปคิดมาคนตรงหน้านี่คงอยากจะเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวแน่ๆ อาจเพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงหรือกังวลกับสิ่งที่มันเจอ ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆไอ้หมีมันก็เป็นคนที่เข้มแข็งและอดทนมาก และไอ้รอยยิ้มนั่นก็คงจะไว้ใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง

“ มึงจะเล่าให้กูฟังสักวันนึงที่ไม่ใช่วันนี้สินะ ”

“ ใช่แล้วหนม สักวันนึง ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะลากให้ผมเดินมาที่รถมัน “ เนี่ยะ มัวแต่ดราม่าเสียเวลาส่องผู้ชิบ ” ไอ้หมีมันบ่นพร้อมกับยัดผมขึ้นรถ ตัวมันก็ตามขึ้นมาอยู่ฝั่งคนขับ

“ ไอ้หมี วันนี้ไอ้ขุนมันมีเรียนไหม ”

“ มี...มึงยังไม่บอกกูเลยนะหนมว่าทำไมต้องไปแอบตามดู ”

“ คือเวลาที่ไอ้ขุนอยู่กับกูมันดีมากอ่ะ กูอยากรู้ว่าชีวิตลับหลังมันเป็นยังไงก็แค่นั้นเอง ”

“ กูเข้าใจละ แต่เราคงไปในสภาพนี้ไม่ได้นะ ”

“ แล้วจะไปสภาพยังไงวะ ”

“ เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง ” ไอ้หมีมันพูดพร้อมกับยิ้มเหี้ยม รู้สึกเสียวสันหลังวาบกับคำว่ากูจัดการเองยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็เอาวะ ถ้ามันจะเนียนๆแอบตามดูไอ้ขุนได้ผมก็ยอม

ป่านนี้มันจะทำอะไรอยู่นะ



---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 13 : 13/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 13-11-2017 20:27:31
---------- ต่อจากบท 13 ----------





โรงอาหารตึกวิศวะกรรมศาสตร์

ตอนนี้ผมกับไอ้หมีมานั่งเนียนๆอยู่ในโรงอาหารตึกวิศวะครับ เวลาเที่ยงกว่าๆแบบนี้คนก็พลุกพล่านพอควร แต่ผมยังไม่เห็นพวกไอ้ขุนมันเดินมาเลยนะสงสัยว่ายังไม่พักล่ะมั้ง ละคือตอนนี้ผมกับไอ้หมีก็ปลอมตัวกันมาโดยการใส่แมซปิดปากใส่หมวกบังหน้าและก็สวมเสื้อช้อปที่ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้หมีมันไปหามาจากไหน

“ มึงว่าแบบนี้จะเวิร์คหรอวะหมี ”

“ เวิร์คดิ่เชื่อเพื่อนหมี ”

“ แล้วถ้าวันนี้พวกไอ้ขุนไม่มานั่งตรงนี้ล่ะ ”

“ มันเป็นโต๊ะประจำ ยังไงพี่ขุนก็ต้องมานั่ง เชื่อกูเถอะหน่า ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะเอาทำเป็นเอาชีทขึ้นมาอ่านบังหน้าบังตา

ผมมองไปรอบๆโรงอาหาร หวั่นเหมือนกันนะครับว่าจะเจอไอ้ขันก่อน กลัวมันจำได้ด้วย ถ้ามันเจอผมมันต้องด่าผมหูชาแน่ๆเรื่องที่มันโทรหาผมแล้วผมไม่รับสายมันเลย และจนวันนี้ผมก็ไม่ได้โทรกลับหามันแต่อย่างใด ไลน์ก็ไม่ได้ตอบแถมไม่เปิดอ่านด้วย ก็นะผมไม่อยากมานั่งไล่ตอบคำถามมันอ่ะว่าผมไปไหนทำอะไรอยู่กับใคร แล้วถ้าบอกว่าอยู่กับไอ้ขุนนี่ผมคงโดนสวดยับแน่ๆ

“ พี่ขุนมาละหนม ” ผมหันไปมองด้านหลังทันทีที่ไอ้หมีพูดจบ

ร่างสูงเดินมาพร้อมกับเพื่อนๆในมือก็ถือหนังสือกับชีทหลายปึก ใบหน้าหล่อที่ผมไม่เจอมาสามวันนั่นดูหมองแปลกๆแถมสีหน้ายังแสดงว่าเจ้าตัวกำลังหงุดหงิดอยู่อย่างเห็นได้ชัด ผมไม่คุ้นกับหน้ามันที่เป็นแบบนี้เลย มันเป็นอะไรกันนะ

“ หันมาไอ้หนมเดี๋ยวพี่เค้ารู้ว่ามึงจ้องเค้าอยู่ ” ผมหันกลับมาทันที่ไอ้หมีมันพูดจบ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงจากโต๊ะด้านหลัง พวกไอ้ขุนคงมานั่งกันแล้วแน่ๆ เอาล่ะครับจากนี้ก็เป็นเวลาแอบฟังของผมละ

“ คอยบอกกูด้วยนะว่ามันทำอะไร ” ผมบอกไอ้หมี มันเองก็พยักหน้ารับ

“ เพิ่งจะ 3 วันเองหรอวะ ” เสียงที่ดังเข้าหูผมนั่นแน่นอนว่าเป็นเสียงไอ้ขุนชัวร์ๆ ที่ได้ยินชัดขนาดนี้คงเป็นเพราะมันนั่งอยู่ด้านหลังผมแน่ๆเลยว่ะ

เลือกที่นั่งเหมือนรู้เลยนะมึง

“ มึงเป็นอะไรวะไอ้ขุน หลายวันมานี้กูว่ามึงแปลกๆนะ ”

“ เออแปลกจริง ดูหงุดหงิดอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ”

“ อ่านหนังสือจนเป็นบ้าหรอวะ ”

“ คิดถึงขนมจนเป็นบ้าต่างหาก ” เสียงขุ่นๆนั่นบ่งบอกถึงความหงุดหงิดจริงๆแหละ ที่มันเป็นแบบนี้นี่เพราะมันคิดถึงผมหรอวะเนี่ย อาการหนักเหมือนกันนะมึง

พอๆกับกูเลย

ผมยอมรับไปแล้วนะครับว่าผมคิดถึงมัน แค่อาการของผมกับของมันแสดงออกมาต่างกันเท่านั้นเอง ผมจะเหม่อลอยและก็เบลอๆ ส่วนมันก็คงจะหงุดหงิดและก็คล้ายๆกับว่าจะรำคาญรอบๆข้างด้วย

“ อ่อนแอจริงนะมึง ” เสียงนี้น่าจะเป็นพี่สยาม

“ เงียบไปเลยนะไอ้สัส ใช่สิ มึงเดินไป 3 โต๊ะมึงก็เจอแฟนมึงแล้วหนิ กูขอให้สมปองไล่มึงไปนอนที่อื่น ” อันนี้คือเสียงไอ้ขุนโวยวาย อยากเห็นหน้ามันตอนนี้ว่าจะเป็นยังไง ลำบากเหมือนกันนะครับที่ฟังได้แต่เสียงเนี่ยะ

“ ปากหมานะมึงไอ้ขุน เดี๋ยวกูก็แช่งไม่ให้ได้กับขนมหรอก ”

“ ไอ้สยาม!!!!! ”

“ เห้ยๆอย่าตีกัน ใจเย็นๆ ” นี่เสียงพี่แกงแน่นอน พี่คงคอยห้ามไอ้ขุนกับพี่สยามอยู่สินะ

“ ตลกอ่ะหนมมึงน่าจะได้เห็น พี่ขุนนี่หน้าอย่างกับยักษ์ ” ไอ้หมีมันกระซิบบอกผมเบาๆ เออโชคดีกับมึงด้วยที่ได้เห็นหน้ายักษ์นั่นแทนกู

“ แล้วไมมึงไม่ไปโทรหาน้องวะขุน ” เสียงเอื่อยๆนี่ต้องเป็นพี่ชาแน่ๆ

“ ก็กูตกลงกับน้องไว้ว่าจะไม่ติดต่อไปจนกว่าจะสอบเสร็จ ”

“ แล้วมึงก็มานั่งหงุดหงิด....กูถามจริงๆเถอะ ทำไมต้องยอมน้องมันขนาดนั้นวะ ”

ผมนั่งตั้งใจฟังในสิ่งที่ไอ้ขุนกำลังจะพูดต่อจากนี้ อยากรู้ครับว่าทำไมมันต้องยอมผมขนาดนี้ เผื่อนั่นจะเป็นคำตอบให้ผมได้เหมือนกันว่าทำไมหลายๆอย่างผมถึงได้ยอมมัน ยอมทั้งๆที่ไม่เคยยอมให้ใคร และก็คิดว่าจะยอมแค่มันคนเดียวด้วย

“ ก็รัก...”

ตึกตัก

ระ...รักงั้นหรอ

“ หูมึงแดงมากเลยนะหนม ” พอได้ยินไอ้หมีบอกแบบนั้นผมยกมือข้างนึงจับหูตัวเอง มืออีกข้างยกขึ้นทาบหน้าอกก็สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงมาก หน้านี่ร้อนสุดๆ เมื่อกี้ผมคงไม่ได้หูฝาดแน่ๆ ไอ้ขุนมันบอกว่าที่มันยอมผมทั้งหมดนั่นเพราะว่ามันรักผม งั้นไอ้ที่ผมยอมมันนั่นก็เพราะ....รักมันงั้นหรอ

บ้า มันจะเป็นไปได้ไง

รึเป็นได้วะ

โอ้ยสับสน

“ รักเลยใช่ป้ะ ”

“ เออรัก ไม่รักจะยอมหรอวะ กูเลิกทุกอย่างที่คิดว่าน้องไม่ชอบ กูไม่ได้ฝืนตัวเองด้วยเพราะกูมีความสุขมากที่ได้ทำทุกอย่างนั่นเพื่อน้อง ”

“ แล้วถ้าน้องมันไม่รู้สึกเหมือนกับที่มึงรู้สึกอ่ะ ”

“ อย่างน้อยกูก็พยายามแล้ว พยายามเท่าที่กูจะทำได้ กูก็จะสู้ไปเรื่อยๆจนกว่าน้องจะเป็นคนบอกให้กูหยุดเอง ”

“ มึงนี่พระเอกมากเลยนะ ”

“ ถ้ากูเป็นพระเอก กูก็อยากให้ขนมมาเป็นนางเอกอ่ะ แต่น้องจะมาเป็นนางเอกได้ไงวะน้องไม่ใช่ผู้หญิง โอ้ย กูนี่เลอะเทอะใหญ่แล้ว ” เออ เลอะเทอะจริงๆมึงอ่ะ

ผมนั่งอมยิ้มให้กับสิ่งที่ได้ยินจากปากไอ้หล่อมัน ใจละมุนมากครับแบบว่าเออรู้สึกดีอ่ะ ชอบที่มันบอกว่ามันไม่ได้ฝืนตัวเอง ชอบที่มันบอกว่ามันมีความสุขที่ได้ทำเพื่อผม ชอบที่มันบอกว่ามันจะสู้จนกว่าผมจะเป็นคนบอกให้มันหยุด

ชอบว่ะ ชอบจริงๆ

“ พี่ขุนเค้าเอาชีทมาคลุมหัวตัวเองว่ะ ” ไอ้หมีมันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายรูปไอ้ขุนก่อนจะส่งให้ผมดู ตลกว่ะ ในรูปคือไอ้ขุนที่นั่งฟุบแล้วเอาชีทมากองๆทับหัวตัวเองอยู่ ทำอะไรบ๊องๆแบบนี้ก็ได้สินะมึงน่ะ

“ มึงนี่บ้าจริงๆไอ้ขุน เห้ยขุนเด็กเก่ามึงเดินมานั่นว่ะ ” คำว่าเด็กเก่านี่ทำผมหูผึ่งขึ้นมาทันที เด็กเก่าที่ไหนวะ อยากจะหันไปดูก็หันไปดูไม่ได้

“ ใครมาวะไอ้หมี ”

“ ดาวนิเทศ....เดินตรงดิ่งมาโต๊ะพวกพี่มันเลยนะ ” ดาวนิเทศก็.....แก้มใสน่ะสิ

มาทำไมวะ

“ งานมาแล้วไอ้ขุน ”

“ พวกมึงเงียบๆเลยนะ ปล่อยให้ไอ้ขุนมันจัดการ ” สิ้นเสียงของพี่แกงโต๊ะนั้นก็เข้าสู่ความเงียบทันที ส่วนผมกับไอ้หมีก็รอฟังสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

“ นางเดินมาถึงโต๊ะละมึง ” ผมพยักหน้ารับเบาๆ ในใจนี่อยากหันไปดูมาก อยากรู้ครับว่าแก้มใสจะมาหาไอ้ขุนทำไม จะมาตามง้ออีกหรอวะ

“ พี่ขุน ”

“ มีอะไร ”

“ เรื่องขนมมันหมายความว่ายังไง ” มีชื่อผมเอ่ยออกมาด้วยว่ะ ที่นางมาหาไอ้ขุนนี่เพราะเรื่องผมสินะ

“ พี่ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้แก้มฟัง ”

“ ทำไมล่ะ ที่พี่ทิ้งแก้มไปเป็นเพราะพี่ไปติดขนมหรอ มันเป็นผู้ชายนะ แถมไม่ได้มีอะไรดีเลยด้วยซ้ำ เห่ยก็เห่ยหรือว่าเพราะมันลีลาดี พี่ขุนถึงได้หลงมัน ” แก้มใสโวยวายเสียงดัง ดังในระดับที่คนจะต้องหันมามองกันอย่างแน่นอน ตอนนี้ผมหัวร้อนมากเพราะถูกด่าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับนอกจากนั่งกำมือแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ ไอ้หมีมันเห็นอาการผมมันก็ได้แต่ลูบแขนผมเบาๆเชิงว่าให้ผมใจเย็น

ใจเย็นอยู่นะแต่หัวร้อนมาก

“ พี่ว่าแก้มกลับไปเถอะนะ ” ไอ้ขุนมันเอ่ยเสียงเรียบ ผมคิดว่ามันก็คงจะข่มอารมณ์อยู่เหมือนกัน

“ แก้มไม่กลับ ทำไมล่ะพี่ขุน ที่แก้มพูดมันเป็นความจริงสินะ ขนมมันมีอะไรดีหรอพี่ถึงต้องทิ้งแก้มไปหามันอ่ะ ”

ปึง!!!

ผมสะดุ้งกับเสียงทุบโต๊ะที่ดังขึ้น “ ไอ้ขุนมันทุบโต๊ะหรอ ” ผมถามไอ้หมีมันเบาๆ

“ เออ จากหน้าพี่ขุนนี้คงจะโกรธน่าดูเลยแหละ ” ไอ้หมีมันมองผมสลับกับไอ้ขุนอยู่ด้านหลัง พอเห็นแบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

ร่างสูงยืนประจันหน้ากับแก้มใส ใบหน้าหล่อนั่นแสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน แก้มใสหน้าซีดนิดหน่อยเพราะเห็นว่าไอ้ขุนมันโมโหแต่นางก็ยังทำเป็นใจดีสู้เสือยืนจ้องหน้าไอ้ขุนอยู่อย่างนั้น พวกพี่ๆก็ดูหัวร้อนกันอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะพี่สยามกับพี่แกง ผมเห็นว่าพี่สองคนนั้นโดนดึงเสื้อไว้ด้วย คือถ้าไม่โดนดึงเอาไว้ก็อาจจะลุกไปเอาเรื่องด้วยก็ได้

“ พี่จะทิ้งแก้มได้ยังไงเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ”

“ แก้มเป็นเมียพี่ ”

“ แก้มคิดว่าพี่มีเมียกี่คน แล้วแก้มเองก็ไม่ใช่เมียพี่แค่คนเดียว ”

“ แก้มมีแค่พี่จริงๆนะพี่ขุน ”

“ ตอแหลชิบ ตอนนั้นยังกกไอ้ปั้นอยู่เลย ” ไอ้หมีมันพูดอย่างฉุนๆพร้อมกับเบ้ปากใส่

“ เลิกพูดในสิ่งที่ตัวเองก็รู้ดีเลย ไม่รู้สึกอายบ้างหรอ ”

“ พี่ขุน!!!! ”

“ เราตกลงกันไว้ว่ายังไงอย่าแสร้งทำเป็นจำไม่ได้เลย ” พอไอ้ขุนมันพูดแบบนั้น สีหน้าซีดๆของแก้มใสก็แดงก่ำขึ้นด้วยความโกรธ

“ เป็นเพราะขนมสินะ พี่ขุนถึงได้เป็นแบบนี้ ”

“ เรื่องของเรามันจบก่อนที่พี่จะรู้จักขนมด้วยซ้ำ แก้มจะด่าจะว่าอะไรพี่ก็เชิญ แต่แก้มไม่มีสิทธิ์มาว่าอะไรขนมเพราะเค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ”

“ ปกป้องมันจังเลยนะ ขนมมันดีมากเลยสิ ” แก้มใสตวาดใส่ไอ้ขุนลั่น

“ ใช่....ขนมดีมาก ดีกว่าแก้มเยอะ และพี่จริงจังกับขนมมากด้วย ”

“ แต่มันเป็นผู้ชาย พี่ขุนเป็นเกย์ไปแล้วรึไงถึงได้มาชอบผู้ชายน่ะ แค่คิดก็น่าขยะแขยง ”

“ เป็นเกย์แล้วยังไงวะ ชอบผู้ชายแล้วมันยังไง ” พี่สยามปัดมือที่ดึงเสื้อตัวเองไว้ก่อนจะเดินเข้ามาหาแก้มใสอย่างเอาเรื่อง “ ไม่มีใครบอกว่าผู้ชายต้องรักเฉพาะผู้หญิงหนิ ขยะแขยงนักก็กลับตึกมึงไปเลยไป กลับไป้!!!! ” เสียงพี่สยามตวาดดังลั่นโรงอาหาร พี่เค้าคงเหลืออดมากจริงๆ ไม่ใช่แค่พี่สยามหรอกผมว่าทุกคนก็คงทนไม่ไหวแล้วคือถ้าแก้มใสไม่ใช่ผู้หญิงก็คงโดนรุมกระทืบไปแล้วอ่ะ

“ อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” แก้มใสกรี๊ดใส่พวกพี่มันดังลั่น “ พวกผิดเพศ มันไม่จบแค่นี้หรอก จำไว้เลยนะพี่ขุน พี่กับมันไม่ได้รักกันแบบสงบๆแน่ ” นางเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดแสดงถึงความจริงจังในสิ่งที่พูด

“ ก็ดี....พี่ชอบความตื่นเต้น ” ไอ้หล่อมันยกยิ้ม ส่วนผมก็รู้สึกเป็นห่วงมันยังไงแปลกๆ

“ เราจะได้เห็นดีกัน ” แก้มใสทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนจะเดินสะบัดออกไปทันที

“ เออไปเลยอีวอกกกก อย่าให้กูเจอนะมึง!!! ” พี่สยามตะโกนด่าไล่หลัง พี่นี่แม่งปากจัดชิบ อยากเห็นหน้าแฟนพี่สยามที่ไอ้ขุนมันพูดถึงจริงๆ คนแบบไหนวะถึงจะทนกับปากแบบนี้ได้

“ สัสเอ้ย ประสาทจะแดก ” ไอ้ขุนมันยกมือกุมหัวตัวเอง

พี่ก้องแตะไหล่ไอ้ขุนเบาๆ “ ไงล่ะมึงพ่อนัก-เจ็ดราตรี ปวดหัวเลยสิ ”

“ เออปวดหัว แม่งวุ่นวายชิบ ”

“ กูว่ามีเรื่องวุ่นวายมาอีกว่ะ ” พี่แกงบอกกับไอ้ขุนพร้อมกับส่งสายเชิงให้มันหันไปดูด้านหลัง ผมมองตามไปก็พบกับร่างสูงที่ตัวเองคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี มันคือคนที่ผมไม่อยากเจอและก็หนีหน้ามาหลายวัน

มันคือไอ้ขันครับ ไอ้ขันที่ทำหน้าดุกว่าปกติด้วย

“ หลบเร็วหนม ” ไอ้หมีมันรั้งให้ผมหันกลับมาก่อนกดหัวผมลงกับโต๊ะ “ ทำเป็นฟุบไป ”

ผมฟุบนิ่งๆตามที่ไอ้หมีมันบอก หูก็ต้องรอฟังในสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ไอ้ขันมันมาหาไอ้ขุนทำไมวะหรือว่าเพราะเรื่องเมื่อกี้งั้นหรอ อาจจะใช่ก็ได้ ผมว่าเหตุการณ์เมื่อกี้นี่คงเป็นเรื่องเม้าท์เรื่องใหญ่ของเด็กวิศวะแน่ๆ เพราะเสียงทะเลาะกันมันดังลั่นทั้งโรงอาหาร ใครไม่ได้ยินก็แปลกล่ะนะ

“ พี่ขัน....สวัสดีพี่ ” เสียงไอ้หล่อมันสั่นเล็กน้อยแฮะ จะเป็นอะไรไหมเนี่ย

“ กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง ตามกูมา ” ตามมาอะไรวะ นั่นจะไปไหนกัน

“ ไอ้หนม พี่ขันพาพี่ขุนเดินไปแล้ว ” ผมเงยหน้าขึ้นมาทันทีก่อนจะกวาดสายตาหาไอ้ขุนกับไอ้ขันแต่ก็ไม่เห็น

“ ไหนวะไอ้หมี ”

“ เดินออกโรงอาหารไปแล้ว ตามกูมา ” ไอ้หมีมันลากผมให้เดินเนียนๆออกมาเพื่อไม่ให้พวกพี่ที่ยืนกันอยู่เห็น “ ถ้าอย่างพี่ขันกูว่าน่าจะลากไปคุยที่สวนหย่อม ”

“ มึงรู้ได้ไงวะ ”

“ กูคือเพื่อนหมีไง ” ไอ้หมีมันรีบลากผมเดินมาที่สวนหย่อม เป็นแบบที่มันพูดจริงๆครับ ไอ้ขันมันเดินนำไอ้ขุนมาที่นี่ ทำไมต้องเดินมาไกลถึงสวนหย่อมด้วยวะ

ผมกับไอ้หมีค่อยๆย่องมาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ สองคนนั้นยังยืนประจันหน้ากันนิ่งๆ ยังไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ตอนนี้ความสงสัยนี่เต็มหัวเลยครับว่าไอ้ขันมันจะพูดอะไรกับไอ้ขุน

“ พี่ขันมีอะไรหรอครับ ”

“ กูอยากให้มึงเลิกยุ่งกับขนม ”

“ สัสขัน....อื้ออ.อ...” ยังไม่ทันที่ผมจะออกไปด่าไอ้ขันไอ้หมีมันก็เอามือปิดปากแล้วรั้งผมไว้ก่อน ห้ามกูทำไมวะหมีมึงไม่ได้ยินที่มันพูดรึไง มันกำลังเข้ามายุ่งกับชีวิตส่วนตัวกูอยู่นะ

“ ชู่ววววว ฟังไปก่อนอย่าเพิ่งวู่วาม ” ไอ้หมีมันกระซิบปรามผมเบาๆ

“ ไอ้เอา อ่อยอูอ้ะ ”

“ ถ้ามึงไม่เงียบ กูจะลากมึงกลับตึกคณะทันทีแล้วมึงจะไม่ได้ฟังอะไรเลยนะ มึงจะเอายังไง ” ไอ้หมีเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง พอเห็นแบบนั้นผมก็ได้แต่มองมันนิ่งๆ โถ่ไอ้สัสหมี ทำไมโหมดนี้มึงดูโหดจังวะ

เออ กูยอมก็ได้

พอไอ้หมีมันเห็นผมนิ่งมันก็เลยเอามือที่ปิดปากผมออก ไอ้บ้าหมีนี่เรื่องนี้ถึงหูไอ้เป้แน่ กูจะเอาไปฟ้อง หลังจากที่ผมคาดโทษไอ้หมีในใจเสร็จผมก็หันไปมองทางเดิม ไอ้ขุนมันยังไม่พูดอะไรออกมาเลยครับหลังจากที่ไอ้ขันบอก แต่สีหน้าของไอ้หล่อดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ คล้ายๆลำบากใจยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไอ้ขุนมันเลิกยุ่งกับผมตามที่ไอ้ขันสั่งจริงๆล่ะ

แบบนั้นไม่เอานะ

“ ว่าไงไอ้ขุน มึงจะเลิกยุ่งกับน้องกูได้รึเปล่า ”

“ ไม่ได้ครับ ” ไอ้ขุนมันบอกอย่างจริงจังพร้อมกับสบตากับไอ้ขัน “ เรื่องนี้แค่เรื่องเดียวที่ไม่ได้ ”

“ จิ๊....เอาตรงๆเลยนะ มึงเป็นน้องที่ดีของกูมาตลอด กูโอเคกับมึงทุกอย่างยกเว้นเรื่องการใช้ชีวิตของมึง กูไม่ชอบที่มึงเจ้าชู้และกูก็ไม่ต้องการให้คนแบบนั้นมายุ่งกับน้องของกู ”

“ แต่ตั้งแต่ที่ผมได้เจอขนม ผมก็เลิกทุกอย่างเลยนะพี่ เพื่อพิสูจน์ว่าผมจริงใจกับน้อง และผมก็ไม่ได้ยุ่งกับใครแล้วด้วย ”

“ ถึงมึงบอกว่ามึงเลิกยุ่งกับคนอื่น แล้วคนอื่นเลิกยุ่งกับมึงไหม วันนี้กูต้องมาได้ยินคนอื่นมาว่าน้องกูเสียๆหายๆ มึงคิดว่ากูโอเคหรอ ” น้ำเสียงแบบนั้นบ่งบอกว่าไอ้ขันมันกำลังหงุดหงิด

ผมไม่เข้าใจไอ้ขันเลยครับ ไม่เข้าใจว่ามันจะมาห้ามทำไม โอเคว่ามันอาจจะเป็นห่วงผมก็ได้เลยไม่อยากให้ผมยุ่งกับคนเจ้าชู้อย่างไอ้ขุน แต่เรื่องนั้นคนที่ตัดสินใจเลือกควรเป็นผมป้ะวะ มันเป็นชีวิตของผมอ่ะไม่ใช่ชีวิตมัน และช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาผมคือคนที่อยู่กับไอ้ขุนตลอด ไอ้ขันมันไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าไอ้ขุนมันดีกับผมมากแค่ไหน

ไม่เคยเห็นเลยสักอย่าง

“ ผมขอโทษที่ทำให้ขนมโดนคนอื่นว่า ผมแก้ไขอดีตไม่ได้ก็จริง แต่ต่อจากนี้ผมจะดูแลและปกป้องขนมให้ดีที่สุด ผมจะไม่ให้ใครมาทำอะไรขนมได้ทั้งนั้น ”

“ คือมึงจะไม่เลิกยุ่งกับน้องกูจริงๆสินะ ”

“ ใช่ครับ ผมจริงจังกับขนมจริงๆ ”

“ มึงตามจีบมันมานานเท่าไหร่ละ”

“ เกือบ 3 เดือนแล้วครับ ”

“ โอเคงั้นเรามาเดิมพันกัน ”

“ เดิมพัน....”

“ ถ้าหลังจากช่วงหยุดยาวสอบมิดเทอม มึงทำให้น้องกูไปเป็นแฟนมึงไม่ได้ มึงต้องเลิกยุ่งกับน้องกู ” หลังจากที่ไอ้ขันมันพูดออกมา ผมก็ต้องข่มอารมณ์อย่างหนัก มึงแม่งบงการชีวิตกูสัสๆ ผมคิดว่าไอ้ขันมันรู้ว่ามันห้ามและก็บังคับผมไม่ได้มันเลยไปสั่งไอ้ขุนแทน แม่งใช้ความเกรงใจเป็นเครื่องมือชัดๆ

ไอ้พี่ชั่ว

กูฟ้องแม่แน่มึงไม่รอดหรอก

“ แล้วถ้าผมทำให้ขนมเป็นแฟนผมได้ล่ะ ”

“ กูก็จะยอมให้มึงคบกัน กูจะไม่ขัดขวาง เว้นแต่ว่าถ้ามึงทำให้ขนมเสียใจหรือต้องร้องไห้ กูจะไปกระทืบมึงและเอาน้องกูคืน ”

“ งั้นก็ตกลงครับ ผมรับคำเดิมพันของพี่ ”

“ สัญญาของลูกผู้ชาย ” ไอ้ขันยื่นกำปั้นมา

“ สัญญาครับ ” ไอ้ขุนก็ยื่นกำปั้นมาแตะกำปั้นไอ้ขันเบาๆ

“ เย็นนี้มาประชุมรับน้องด้วย บอกไอ้สยามด้วยละกัน กูไปล่ะ ” ไอ้ขันมันสั่งงานก่อนจะเดินออกไปทันที ไอ้หมีมันก็ชะเง้อคอมองตาม ขนาดนั้นมึงก็ตามมันไปเลยหมี

“ ซี๊ด.ด.ด...ปวดหัวชิบ ” ไอ้หล่อมันทรุดตัวนอนลงกับพื้นหญ้า ผมเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสารมันแปลกๆ เจอแก้มใสมาวีนใส่ไม่พอ ยังจะมาเจอไอ้ขันมาห้ามบ้าห้ามบออะไรไม่รู้ ใจนี่อยากจะเดินไปแตะไหล่แล้วก็บอกว่าสู้ๆจริงๆเลย

แต่ทำไม่ได้ไงได้แต่แอบมองเนี่ยะ

“ หนม ”

“ หืม ”

“ มึงเข้าใจในสิ่งที่เค้าเดิมพันใช่ไหม ”

“ กูเข้าใจ ”

“ เออ แล้วมึงจะเอายังไง ” เอายังไงหรอวะ

ผมรู้สึกสับสนมากนะครับในตอนแรกน่ะ แต่พอมีเรื่องของแก้มใสกับไอ้ขันเข้ามามันก็ช่วยทำให้ผมได้คำตอบกับคำถามที่ตัวเองตั้งไว้ได้หลายอย่าง ตอนที่แก้มใสมาแว้ดๆๆใส่ไอ้ขุนผมก็อยากจะเดินออกไปฉะด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ผมไม่อยากให้นางมายุ่งกับไอ้ขุนอีก ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมันทั้งนั้นอ่ะ แล้วเรื่องไอ้ขันผมก็ไม่พอใจมากที่มันมาบอกให้ไอ้ขุนเลิกยุ่งกับผม ผมมีความสุขผมแฮปปี้มากที่ไอ้ขุนมันเป็นส่วนนึงในชีวิตของผม ถ้าอยู่ดีดีมันจะเลิกยุ่งกับผมเพราะคนอื่นบอกผมก็ไม่โอเคแน่ๆ

มันทำให้ผมติดมันแล้วนี่

มันต้องรับผิดชอบสิ

อีกอย่างคือผมไม่อยากเสียไอ้ขุนไปด้วย ห่างกับมันแค่ 3 วันก็จะบ้าแล้ว ผมคงจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มันอยู่กับผมไปตลอด เรื่องของอนาคตผมไม่รู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ผมขอแค่มีมันอยู่ในชีวิตของผมทุกวันก็พอ

คงถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับความจริงแบบเต็มๆปากแล้วสินะ

“ กูว่า....กูชอบไอ้ขุนว่ะ ”

“ มึงเพิ่งรู้ตัวหรอ ชาวบ้านชาวช่องเค้าดูออกกันหมดละไอ้ห่า ”

“ กูดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอวะ ”

“ เออสิวะหนม มึงไม่เคยยอมให้ใครยุ่มย่ามกับตัวมึงแต่มึงยอมพี่ขุนหมดเลย หอมึงก็ยอมให้เค้าเข้า บ้านเค้ามึงก็ไปค้าง การกระทำมึงอ่ะแสดงออกทุกอย่างว่ามึงชอบ แต่มึงแม่งติดซึนไม่ยอมรับ ” ฟังจากที่ไอ้หมีพูดนี่ก็คงจริงของมัน

เออแต่ช่างแม่งตอนนี้ยอมรับแล้วไงว่าชอบ

ชอบและก็จะไม่ยอมเสียมันไป

“ เออ กูผิดเองแหละ คนมันไม่เคยมีความรักนี่หว่ามันก็ต้องสับสนบ้างป้ะวะ ” ความรักกับผู้ชายด้วยไงมึง แถมเป็นผู้ชายที่หล่อและเพอร์เฟ็คมาก กูนี่ถึงกับสับสนหนัก

“ หราหนมหรา ” ไอ้หมีมันเบ้ปากใส่ผม เดี๋ยวเถอะมึง ผมหันมองไอ้ขุนที่ยังนอนอยู่กับพื้น มือเรียวของมันล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ออกมาคล้ายกับว่าดูอะไรสักอย่างอยู่

“ กูคิดถึงมึงนะหนม เป็นกำลังใจให้กูด้วยนะ ” ไอ้หล่อมันพูดออกมาก่อนจะจุ๊บที่หน้าจอโทรศัพท์เบาๆ ผมรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ ไอ้ที่มันจุ๊บเมื่อกี้แม่งต้องเป็นรูปผมแน่ๆเลยว่ะ

ไอ้บ้านี่ทำให้เขินได้ตลอดจริงๆ

“ กูเป็นกำลังใจให้มึงเสมอแหละไอ้บ๊อง ” ผมรู้ครับว่าพูดไปไอ้ขุนมันก็ไม่ได้ยิน แต่ก็สบายใจนะที่ได้พูดออกไป

“ ให้กำลังใจใบไม้หรอมึง ”

“ ยุ่งจริงๆมึงอ่ะ ” ผมหยิกไอ้หมีทีนึงก่อนจะเหลือบไปเห็นไอ้ขุนมันลุกแล้วก็เดินออกไป คงไปเรียนล่ะมั้ง ตั้งใจเรียนนะไอ้ขุน อยากตะโกนบอกแต่ทำได้แค่บอกในใจจริงๆว่ะ

แต่ไว้วันข้างหน้ากูจะบอกมึงทุกวันเลย

โอ้ยยยยย คิดเองก็เขิน

ความรักนี่ทำให้เรากระเหี้ยนกระหือรือจังวะ

“ ตามไปเรียนกับพี่เค้าเลยไหม ”

“ เรียนอะไรของมึงวะ เพ้อเจ้ออ่ะไอ้หมี ”

“ เออกูมันเพ้อเจ้อ ยังไงกูก็แสดงความยินดีกับมึงด้วยละกันที่ตกลงกับความรู้สึกตัวเองได้ ” ไอ้หมีมันแตะไหล่ผมเบาๆ นี่มึงประชดกูป้ะเนี่ยะ

“ เออไอ้สัส แต่จากนี้กูก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อว่ะหมี ”

“ อย่าไปคิดมาก คนสองคนถ้าชอบกันจะคบกันก็ไม่แปลกนะ ”

“ ถึงมึงพูดแบบนั้นก็เถอะ ”

“ เออน่า....กูมีความคิดดีดีอยู่นะ ”

“ อะไรวะ ”

“ ก็เนี่ยะ มึงลืมไปแล้วหรอว่าเราต้องไปถ่ายหนังสั้น ” เออว่ะ ลืมเรื่องหนังสั้นไปเลย

ผมตกลงกับเพื่อนๆไว้ครับว่าจะไปถ่ายหนังสั้นกันที่บ้านพักริมทะเลของพ่อไอ้เป้ช่วงที่ปิดยาวหลังสอบมิดเทอม ผมเขียนบทหนังเสร็จนานแล้วตั้งแต่ก่อนทำงานนิตยสารโปรโมทมหาลัย องค์ประกอบของหนังสั้นพวกผมเนี่ยพร้อมทุกอย่างแล้วยกเว้นนักแสดงที่ยังไม่ได้หา

นักแสดงงั้นหรอ

“ มึงจะให้ไอ้ขุนเป็นนักแสดงอ๋อ ”

“ ใช่ดิ่ พี่ขุนอ่ะเหมาะกับบทที่มึงเขียนสุดแล้ว และอีกอย่างนะมึงกับพี่เค้าจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน คือถ้าตอนแรกมึงยังไม่รู้ใจตัวเองกูก็วางแผนกับเพื่อนๆไว้แล้วแหละว่าจะทำยังไงให้มึงได้กับพี่ขุน ”

“ โถ่ไอ้เลว มีวางแผนกันลับหลังกูด้วย”

“ กูวางกันไว้หลายแผนมากกูบอกเลย มึงกับพี่ขุนห่างกันอยู่ใช่ป้ะล่ะ งั้นเรื่องนี้กูจะจัดการเอง ”

“ เออ เอางั้นก็ได้ กูขอบใจมึงมากนะไอ้หมี ทุกอย่างเลย ”

“ ไม่เป็นไร กูเป็นกู๊ดเฟรนด์ไง อะไรที่จะทำให้เพื่อนมีความสุขกูทำทุกอย่างอยู่ละ ” ไอ้หมีมันบอกพร้อมกับยิ้มหวานแบบที่มันชอบทำ

ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะเลยครับหลังจากที่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง หลังจากนี้ผมก็ต้องตั้งใจติวและอ่านหนังสือสอบก่อน และก็ต้องอดทนกับความคิดถึงที่มีต่อไอ้ขุนด้วย มันเองก็กำลังอดทนมากอยู่เหมือนกันอาจจะมากกว่าผมด้วยซ้ำเพราะมันมีเรื่องให้ต้องคิดเพิ่ม เอาวะอีกแค่อาทิตย์กว่าๆเอง เรื่องเกรดสำคัญเพราะงั้นต้องพยายาม ส่วนเรื่องหัวใจไว้จัดการหลังสอบเสร็จ

ที่กูชอบมึง

กูจะบอกให้มึงฟังจากใจกูเลย





TBC.
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเน้ออออ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 13 : 13/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-11-2017 22:49:38
 :L1: :L2: :L1:

น้องหมี,,สงสาร
เป็นผู้ช่วยนายเอกที่เก่งเวอร์ แต่ทำไมต้องเศร้า ฮื่ออ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 13 : 13/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 14-11-2017 00:13:44
หรือว่าหมีกับพี่ขันนั้น ไปโดนกันมาแล้ววววววววววววววววว หืมมม
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 14 : 14/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-11-2017 20:08:47
บทที่ 14 เปลี่ยนลุค



“ หนม ”

“ หืม ”

“ กูว่ามึงเลิกใส่แว่นเหอะ ”

“ ทำไมกูต้องเลิกใส่แว่นด้วยวะ ”

“ มึงใส่แว่นแล้วมึงเฉิ่มอ่ะ ”

โป๊กกกก

“ โอ้ยยยย ทำไมชอบทำเพื่อนหมีตลอดเลยล่ะ ”

“ เพราะมึงมันน่าหมั่นไส้ ” อยู่ดีดีไม่ว่าดีจริงๆไอ้บ้าหมี

หลังจากที่เรียนเสร็จเมื่อเที่ยงผมก็กลับมาอ่านหนังสือที่หอตัวเองครับโดยมีไอ้หมีมาขออยู่เพื่ออ่านหนังสือด้วย แต่ตั้งแต่มันมานี่มันยังไม่หยิบหนังสือหรือเอาชีทขึ้นมาอ่านเลยสักนิด มีแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วก็กวนตีนผมเล่นเนี่ยะ เป็นบ้าอะไรของมันไม่รู้ แล้วอยู่ดีดีมันก็มาบอกให้ผมเลิกใส่แว่น ขืนถ้าผมไม่ใส่แว่นไว้นะผมคงแสบตาจนตายอ่ะ

“ เลิกเถอะเชื่อกู ”

“ กูแสบตา ”

“ กูว่าเพราะตามึงมันแห้งนั่นแหละ เดี๋ยวกูหาน้ำตาเทียมมาให้หยอด ”

“ ทำไมกูต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นด้วยวะ ”

“ เพราะว่าหลังจากนี้มึงจะไม่มีแว่นใส่ ”

“ กูจะไม่มีแว่นใส่ได้ไง มึงมันเพ้อเจ้อ ”

“ ไม่มีได้ดิ่เพราะว่ามันจะหัก ” ทันทีที่ไอ้หมีพูดจบ มันก็เลื่อนมือมาดึงแว่นออกไปจากหน้าผมก่อนจะ....

กร๊อบบบบ

ไอ้เชี่ยหมี!!!!!!!!!!!

หักแว่นกูทำม้ายยยยยยยยยยยยย

ผมมองซากแว่นที่อยู่ในมือไอ้หมีอย่างอึ้งๆ มันเป็นแว่นที่ต้องผมสั่งทำพิเศษ แล้วถ้าสั่งทำใหม่ก็ต้องรออีกหลายเดือนแน่ะกว่าจะได้ แว่นอันนี้ผมใส่มาตั้งแต่มัธยมแต่วันนี้มันพังแล้ว พังเพราะไอ้บ้าหมี

วัทเดอะฟัคคคคคคคคคคคคคคคค

“ มึงทำอะไรของมึงห้ะ ” ผมบีบคอไอ้หมีพร้อมกับเขย่าแรงๆ มึงตายไปซะเถอะไม่ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว

“ แค่กก.ก....เพื่อนหมี...หายใจไม่ออก ”

“ มึงมันสมควรตาย ” ตายไปพร้อมแว่นกูนั่นแหละไอ้เลววววว

“ แค่กก.ก....ไอ้หนม ” ไอ้หมีมันจับข้อมือผมที่บีบคอมันอยู่ก่อนจะออกแรงพลิกให้ตัวเองมาอยู่ด้านบนแทน แรงควายชิบหาย ไปเอาแรงแบบนี้มาจากไหนวะ

จากตอนแรกที่ผมบีบคอไอ้หมีอยู่แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไอ้หมีมันคร่อมผมไว้ทั้งตัว มือมันก็กดมือผมไว้แน่น แน่นแบบแน่นเลยอ่ะ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันแรงเยอะมากแบบนี้ หรือผมแรงน้อยเอง มันก็ไม่ใช่ป้ะวะ

แล้วจะคร่อมกูอีกนานไหมไอ้สัส

“ ไอ้เชี่ยหมีกูหนัก มึงลุกออกไปเลย ” ผมดิ้นอย่างแรงแต่ดูเหมือนไม่ค่อยจะสะเทือนไอ้หมีมันเท่าไหร่เลยว่ะ ไอ้เพื่อนตัวดีที่คร่อมผมอยู่มองด้วยสายตาที่เหนือกว่า

“ เวลาไม่ใส่แว่นมึงน่ารักมากเลยนะ ”

“ น่ารักบ้าอะไรของมึง ลุกไป้!!!! ”

“ กูพูดจริงๆหน่า ”

“ กูบอกให้ลุกออกไปไงโว้ยยยยยยย ”

แอ๊ดดดด

ผมหันไปมองที่ประตูทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียง ร่างสูงของเพื่อนภีมยืนทำหน้ามึนอยู่ตรงนั้น ดูจากสภาพมันคงกลับหอไปนอนมาพักนึงก่อนจะตื่นแล้วก็ลากสังขารมาที่นี่ในสภาพที่ใส่กางเกงเจเจขาสั้นสีแดงแปร๊ดกับเสื้อกล้ามสีเขียวนีออนและรองเท้าช้างดาว ผมม้าที่ปรกหน้าอยู่นั่นก็ถูกเสยขึ้นไปโดยมีกิ๊ฟรูปกระต่ายติดไว้เพื่อกันผมร่วงลงมาทิ่มตาด้วยนะ แม่งโคตรฟีลไอ้เจิดหลานลุงแย้มคนสวนที่บ้านผมเลยอ่ะ

แต่งตัวได้สวนทางกับหน้าตาสุดๆ

“ ทำไรอ่ะ จะแดกกันเองหรอ ”

ผมอาศัยจังหวะไอ้หมีเผลอก่อนจะถีบมันอย่างแรงจนมันร่วงเตียงไป “ แดกห่าอะไรล่ะ ละมึงแต่งตัวอะไรมึงวะ ”

“ น้องภูมิบอกว่าเป็นแฟชั่นใหม่ ”

“ น้องมึงหลอกมึงแล้วไอ้หน้าโง่ ” ไอ้หมีมันโผล่หน้าขึ้นมามองไอ้ภีม มองไม่พอแถมแขวะไปอีกต่าง

“ น้องภูมิไม่เคยหลอกกูมึงอย่ามาใส่ร้าย ”

“ น้องหลอกมึง ”

“ ม่ายยยยยยยยย ”

“ โว้ยยยยยพอแล้วไอ้พวกบ้า ” ผมโวยใส่มันทั้งสองคนก่อนจะส่งสายตาเหี้ยมไปให้ไอ้หมี “ เอาค่าทำแว่นมาให้กูด้วย แว่นกูไม่ใช่ถูกๆนะไอ้สัสหมี ”

“ ไม่ให้....แบร่ๆๆๆ ” มันไม่ว่าเปล่านะครับ มันแลบลิ้นใส่ผมด้วย ไม่สำนึกที่หักแว่นกูเลยนะ

“ อ้าว แว่นหักหรอหนม ” ไอ้ภีมมันหยิบเศษแว่นขึ้นมาดู ผมก็พยักหน้ารับมันเบา

พอเห็นซากแว่นในมือเพื่อนภีมก็รู้สึกปวดใจแปลกๆว่ะ นี่จะต้องอยู่แบบทรมานสายตาไปอีกหลายเดือนเลยหรอวะ ผมไม่มีแว่นสำรองด้วยนะมีแค่อันเดียวทั้งชีวิตเนี่ยะ จะไปซื้อแว่นกันแสงแบบทั่วไปมาใช้มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี หลังจากนี้การใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งกับหน้าคอมของผมต้องลำบากมากแน่ๆเลยว่ะ

เพราะไอ้ห่าหมีคนเดียวเลย

“ กูว่าไม่มีแว่นใส่ก็ดีนะ หน้าตาน่ารักๆของมึงจะได้ไม่มีอะไรมาปิดบัง ”

“ น่ารักอะไรของมึงวะภีม แล้วแว่นที่กูใส่นั่นไม่ได้เอาไว้บังหน้านะ เอาไว้กันแสงต่างหาก แสบตาตายห่าแน่กูอ่ะ ”

“ มึงก็เว่อร์ไปอ่ะหนม กูบอกว่าเดี๋ยวหาน้ำตาเทียมมาให้หยอด แล้วมึงอ่ะหัดแดกผักซะบ้างมันจะได้มีวิตามินบำรุงสายตา ”

“ กูก็กินผัก ” แค่ไม่ค่อยชอบกินสีเขียวเท่านั้นแหละว่ะ

“ มึงต้องกินผักสีเขียว กูเห็นมึงชอบเขี่ยออก ” ก็ผักสีเขียวมันเหม็นเขียวอ่ะภีม กูไม่ชอบกลิ่นทำไมกูต้องกินด้วยเล่า

“ ตีมันเลยไอ้ภีม ไอ้หนมมันกำลังเถียงมึงอยู่ในใจ ”

“ รู้ดีนักนะไอ้บ้านี่ ” ผมเอาหมอนปาใส่ไอ้หมี หมั่นไส้จริงๆมีสักเรื่องไหมที่จะไม่รู้น่ะห้ะ

ผมหยิบเศษแว่นในมือเพื่อนภีมมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะถ่ายรูปส่งไปให้แม่ดู แม่อ่านไวมากครับและก็ตอบกลับมาด้วยเลข 5 ที่ยาวมาก แม่จะ 5 ยาวๆใส่หนมทำไมครับ แม่ต้องปลอบใจหนมสิแว่นหนมหักนะ แม่ต้องซื้อให้หนมใหม่ด้วยนะครับ เพราะไม่งั้นหนมคงจะตายจากอาการแสบตาแน่ๆ

“ ฟ้องแม่หรอ ”

“ เออ กูบอกแม่แล้วด้วยว่ามึงเป็นคนทำ แม่ตีมึงแน่ ” ขู่มันเฉยๆครับ แม่ผมไม่ได้บอกหรอก ไอ้หมีมันเป็นที่เอ็นดูของแม่ผมมาก แทบจะเป็นลูกชายอีกคนของบ้าน

“ แม่มึงไม่ตีกูหรอก แม่มึงรักกู ”

“ น่าหมั่นไส้ ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะหันมามองจอโทรศัพท์ต่อ แม่บอกว่าเดี๋ยวจะสั่งทำให้ใหม่ ให้ผมรอไปก่อนและก็ยังบอกให้ผมอดทนกับความลำบากที่ผมจะเจอหลังจากนี้ อย่ามองว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีให้มองว่านี่เป็นการทดสอบนึงของชีวิต ให้ยิ้มรับและก็ก้าวผ่านมันไป

ไงเล่า....คำสอนแม่ผม

ซาบซึ้งกินใจสุดๆ

ผมออกจากไลน์ก่อนจะเข้ามาเล่นเฟซบุ๊ก ช่วงนี้ผมเข้าไปเล่นบ่อยนะครับ ไม่เชิงว่าเล่นหรอกเรียกว่าเข้าไปส่องชาวบ้านบ่อยดีกว่า ชาวบ้านคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้ขุนนั่นแหละครับ หลังจากวันที่แอบไปดูมันที่ตึกนั่นก็เพิ่งผ่านมา 2 วันเอง พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งผมหยุดวันนี้ก็เลยกะว่าจะไปนอนที่บ้าน คิดถึงแม่และแกงเขียวหวานของแม่ครับ ยังคิดอยู่เลยว่าถ้ากลับบ้านไปเจอหน้าไอ้ขันผมจะทำไงดี

ผมต้องโดนมันด่าแน่ๆ

แต่มันก็มีคดีกับอยู่ผมนะเรื่องที่มันไปบอกให้ไอ้ขุนเลิกยุ่งกับผม แต่จะเอาเรื่องนี้ไปด่ามันก็คงจะไม่ได้ไม่งั้นก็เท่ากับว่ามันรู้ว่าผมแอบไปฟังมา แล้วไปๆมาๆแม่งก็คงด่าผมหนักกว่าเดิม จะว่าไปอยากรู้เรื่องของไอ้ขันบ้างละว่ะ เรื่องมันกับไอ้หมีอ่ะมันเป็นยังไงกันแน่ มันไม่ชอบไอ้หมีจริงๆหรอแล้วทำไมถึงไม่ชอบ เรื่องนี้ถามไอ้หมีไม่ได้เพราะมันไม่ยอมบอก ถ้าถามไอ้ขันมันก็อาจจะบอกผมหรือว่าอาจจะไม่บอก

โอ้ย เรื่องของชาวบ้านนี่คิดแล้วปวดหัวจังวะ

เปลี่ยนมาคิดเรื่องของขุนศึกดีกว่า

“ บ่นห่าอะไรเต็มเฟซเลยวะ ” ผมพึมพำเบาๆเพื่อไม่ให้เพื่อนรักทั้งสองได้ยิน เดี๋ยวมันแซวผมอีก ไม่ใช่ว่าเขินนะครับ รำคาญ

ผมเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ไอ้ขุนลงดูไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มห่างกันมันก็พร่ำเพ้อในเฟซมากกว่าปกติ ผมเห็นนะแต่ไม่ได้กดไลค์ มีลงรูปผมด้วย มีบ่นว่าคิดถึง บ่นว่าอยากเจอ อะไรของแม่งก็ไม่รู้ ผมรู้สึกดีนะครับที่มันทำแบบนั้นแต่แบบบางทีมันก็อันตรายต่อใจผมมากเกินไป เวลาที่ผมเห็นโพสต์ว่าคิดถึงของมันทีนึงนี่ผมก็ใจสั่นตลอด เคยอยากจะคอมเม้นต์ด้วยนะว่า เออ กูรู้แล้ว แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้

อดทนไปก่อนนะไอ้ขุนนะ

“ หนม ”

“ อะไร ” ผมละจากจอขึ้นมามองไอ้หมี “ เอาน้ำแดงไปนั่งแดกบนเตียงกูอีกละเดี๋ยวมันก็หกอีก ”

“ ไม่หกหรอกน่า....เออเรื่องหนังสั้นอ่ะ มันจะมีตัวหลักอยู่ 2 ตัวใช่ไหม ”

“ เออแล้วไง ”

“ ก็กูไปคุยกับพี่ขุนมาแล้ว พี่ขุนเค้าก็โอเคแต่ว่าคนที่จะแสดงคู่กับเค้าอ่ะเค้าขอมาว่าให้เป็นมึง ”

ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองทันที “ กูเนี่ยนะ ”

“ เออ มึงนั่นแหละ พี่ขุนบอกว่าถ้าไม่ใช่มึงเค้าก็คงไม่มีใจจะเล่น ” ใจบ้าใจบออะไรของมึงวะไอ้บ้าขุน มึงนี่มันจริงๆเลย เจอหน้าจะบ่นให้หูชา

“ กูว่ามึงเล่นก็ดีนะหนม บทที่มึงเขียนอ่ะยังไงมึงก็เข้าใจดีที่สุดแล้ว แล้วก็นะหนังสั้นเรามันเป็นความรักของชายชายอ่ะ มันหาคนที่จะมาเล่นให้ก็ยาก แล้วอีกอย่างถ้ามึงเห็นคนอื่นมาเล่นคู่กับพี่ขุน มึงจะทนดูได้หรอ ” คำพูดของไอ้ภีมมันทำให้ผมนิ่งไปในทันที

ก็จริงแบบที่มันพูดอ่ะนะ

บทหนังสั้นหัวข้อความรักผมเป็นคนเขียนเองผมย่อมเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครดีอยู่แล้ว และเรื่องนักแสดงมันก็หายากจริงๆนั่นแหละ คนที่มันจะเล่นได้คนที่มันจะเหมาะสมกับบท ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าพวกผมไม่หานะครับ ไอ้หมีมันไปตามหาแล้วแต่มันก็ไม่ถูกใจ ส่วนเรื่องถ้าผมเห็นไอ้ขุนเล่นคู่กับคนอื่นผมจะทนดูได้ไหม

ไม่รู้ว่ะ

แต่ก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเห็นนะ

โมเม้นท์หวานๆนั่นเป็นของผมคนเดียวก็พอ

“ เออ กูเล่นก็ได้ ” เฮ้อ บทก็เขียนยังจะต้องมาเล่นเองอีก ชีวิตหนมนี่มันลำบากยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

“ เยี่ยมมากเพื่อนหนม แล้วมึงรู้ใช่ไหมว่าคาแรคเตอร์นักแสดงเป็นยังไง ” ไอ้หมีมันมองผมพร้อมกับยิ้มกริ่ม ไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้เลยว่ะเหมือนชีวิตจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“ กูจำได้ว่านายเอกเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ” ใช่ภีม กูเขียนไว้แบบนั้น

“ แต่ไอ้หนมมันไม่มีเสน่ห์อะไรเลยไง หน้าตามันน่ารักมากก็จริงแต่มันก็ยังไม่พอว่ะ ”

“ กูไม่ได้น่ารัก ”

“ มึงน่ารัก เอองี้ไงภีม กูว่าจับไอ้หนมมันไปโกนหนวดไปตัดผม ตอนนี้สภาพโดยรวมมันดูซกมกมากอ่ะ ” ผมหันมองไอ้หมีทันทีด้วยสายตาที่จ้องจะแดกหัว ถึงผมกูจะไม่ได้ตัดหนวดกูจะไม่ได้โกนแต่กูไม่ได้ซกมกป้ะวะ

“ ย้อมผมหน่อยก็ดีนะ ”

“ เออ เอาสีทอง ”

“ ทองหน้ามึงอ่ะไอ้หมี เชิญมึงหัวทองไปคนเดียวเถอะไอ้สัส ” ไอ้คนหัวทองก็ทำหน้ามุ่ยใส่ผมทันที ทำไมมีปัญหารึไงห้ะ

“ สีทองไม่เหมาะกับหนมหรอก เดี๋ยวเรื่องนี้กูจัดการเองละกัน ” ว่าแล้วไอ้ภีมมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาใครไม่รู้ครับ

“ โทรหาใครวะ ”

“ โทรหาน้องภูมิ ”

“ หยุดเลยนะมึง ” ไอ้หมีมันแย่งโทรศัพท์มาจากไอ้ภีมทันที เจ้าของโทรศัพท์หน้าเหวอไปนิดนึง มึงจะเหวอทำไมวะ

“ มึงจะเอาโทรศัพท์กูไปทำไม กูต้องปรึกษาน้องภูมิเรื่องลุคใหม่ของไอ้หนมนะ ”

“ เดี๋ยวน้องภูมิของมึงก็เปลี่ยนไอ้หนมให้กลายเป็นคนบ้าเหมือนมึงหรอก ไม่ต้องเลย ” ไอ้หมีมันกดปิดโทรศัพท์ก่อนจะยัดใส่กางเกงยีนส์มันไว้

“ น้องภูมิเป็นแฟชั่นนิสต้าเลยนะ ”

“ นิสต้าก็เชี่ยละ คนบ้าดีดีนี่ล่ะน้องมึงอ่ะ ”

“ อย่ามาว่าน้องภูมิ ” เออสัสเถียงกันเข้าไป

สงสัยสินะครับว่าน้องภูมิเป็นใคร

น้องภูมิเป็นน้องชายสุดที่รักของไอ้ภีมครับ เพิ่งอยู่ม.5เอง ไอ้ภีมมันเคยพาน้องมันมากินหมูกระทะกับพวกผมครั้งนึง ตอนที่เจอนี่ก็คิดนะว่าเออเดี๋ยวนี้เด็กมันโตไวว่ะ น้องไอ้ภีมมันสูงมากครับ สูงเท่าไอ้หมีเลยและดูท่าน้องมันก็น่าจะสูงไปได้มากกว่านี้ด้วย ส่วนหน้าตาไม่ต้องพูดถึง แม่งหล่อแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง เห็นไอ้ภีมก็ว่ามันหล่อแล้วนะครับแต่น้องมันเหมือนคูณสองเข้าไปอีก

น่าอิจฉาพวกเบ้าหน้าดีจริงๆ

“ มึงอ่ะอย่าไปเชื่อน้องมันมาก มันจะแกล้งมึง มึงไม่รู้หรอ ”

“ น้องภูมิไม่เคยแกล้งกู ”

“ หรา....ไม่ค่อยแกล้งเลยเนอะดูให้มึงแต่งตัวสิ ”

ผมเดินเข้ามานั่งแทรกกลางระหว่างไอ้หมีกับไอ้ภีม “ เลิกเถียงกันเถอะว่ะ ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูกันแน่ ” มัวเถียงกันแต่เรื่องน้องภูมิเนี่ยะเสียเวลาชิบ

“ เอางี้หนม เดี๋ยวกูจะพามึงไปตัดผมร้านพี่ที่กูรู้จักแล้วกัน ละก็ไปซื้อน้ำตาเทียมด้วย ” ไอ้หมีมันร่ายให้ผมฟังก่อนจะหันไปมองไป้ภีม “ ส่วนมึงอ่ะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป ”

“ กูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา แล้วทำไมกูต้องเปลี่ยนด้วยวะ ชุดนี้ก็ออกจะดี ” ดีในสายตามึงคนเดียวอ่ะภีม

“ กูไม่อยากเดินกับคนบ้า ไปเอาชุดหนมมาใส่เดี๋ยวกูหาให้ ” ว่าแล้วไอ้หมีมันก็ลากไอ้ภีมไปรื้อตู้เสื้อผ้าผมอย่างเมามันส์ ไม่สนใจเจ้าของเสื้อผ้าอย่างผมเลยด้วย

พวกห่านี่มันจริงๆเลย

ผมทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียงรอไอ้หมีกับไอ้ภีมที่กำลังวุ่นวายกับเสื้อผ้าของผม คิดไปคิดมานี่ต้องเปลี่ยนตัวเองจริงๆหรอวะ ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนตัวเองดิ่ต้องเรียกว่าเปลี่ยนลุค ผมนึกไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง แล้วมันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากที่ผมเปลี่ยนลุคไปแล้ว นี่จะเป็นการเปิดโลกของผมสินะ มันก็น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ถ้าไอ้ขุนมันเห็นผมในลุคใหม่มันจะเป็นยังไง

มันจะชอบไหมนะ

มันต้องชอบสิ....ถึงแม้ว่าผมจะเปลี่ยนลุคแต่ยังไงผมก็เป็นขนมคนเดิม

คนเดิมที่มันชอบไง โอ้ยยยยย เขินว่ะพูดเองเขินเอง

“ นั่นก็เป็นบ้าไรอ่ะดิ้นไปมาบนเตียงอยู่ได้ ”

ไม่สงสัยสักเรื่องก็ไม่ตายหรอกไอ้สัสหมี





ร้าน BANANA BARBER

“ ไงล่ะไอ้หมีกูบอกแล้วว่าหนมเหมาะกับผมสีนี้ ”

“ เออ ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย ”

“ เป็นผู้เป็นคนไรวะ กูแสบตาอ่ะมึง ”

“ อย่าขยี้ตาสิหนม ” ไอ้ภีมมันจับมือผมที่กำลังขยี้ตาตัวเองอยู่

“ กระพริบตาช้าๆไอ้หนม แล้วก็มองตัวเองในกระจกดีดี ” ผมค่อยๆกระพริบตาช้าๆตามที่ไอ้หมีมันบอก ไม่ชอบแสงจ้าๆแบบนี้เลยว่ะ ใครก็ได้ไปปิดไฟทีได้ไหม

“ โอเคไหมหนม ” ผมพยักหน้ารับคำไอ้ภีมเบาๆก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองเงาตัวเองที่อยู่ในกระจก

นี่คือผมจริงๆหรอวะ

ผมหยักศกสีดำที่ยาวปิดหน้าปิดตา ตอนนี้ถูกตัดให้สั้นขึ้นพร้อมกับย้อมให้เป็นสีน้ำตาลทอง หนวดเคราก็โกนออกจนเกลี้ยงเกลาทำให้เห็นหน้าได้ชัดขึ้น ผมไม่คิดเลยว่าแค่เปลี่ยนสีผมกับทรงผมมันจะทำให้เราดูเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ หรือเพราะว่าผมไม่ได้ใส่แว่นด้วยวะมันเลยไม่มีอะไรปิดหน้า จะว่าไปลุคแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะ

เสียอย่างเดียวคือแสบตา

ได้อย่างต้องเสียอย่างสินะ

“ เป็นไง ชอบลุคนี้ไหมเรา ”

ผมหันไปมองตามเสียงของพี่กล้วยที่เดินออกมาจากด้านใน “ ชอบครับ มันดูโอเคขึ้นเยอะเลย ” ผมตอบพร้อมกับยิ้มบางๆให้

พี่กล้วยคือเจ้าของร้านนี้ครับและก็เป็นคนที่จัดการเปลี่ยนลุคให้ผมด้วย พี่เขาหน้าตาดีเกินกว่าจะเป็นช่างตัดผมนะ แถมยังหุ่นดีมากๆด้วย ผมว่าพี่เขาเป็นนายแบบได้สบายเลย ไอ้หมีมันบอกว่าพี่กล้วยเป็นพี่ที่มันรู้จักมาตั้งแต่สมัยมัธยม แถมยังเคยบอกว่าแลกแก้วเหล้าสาบานเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วด้วยแม่งโคตรยิ่งใหญ่อ่ะ น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่าไอ้หมีมันมีพี่ทั้งหมดกี่คน มีเป็นพันซะมั้งผมว่า คนโน้นก็รู้จักคนนี้ก็รู้จัก

“ ดีแล้วล่ะที่เราชอบ พี่ไม่คิดเลยว่าไอ้หมีมันจะมีเพื่อนที่หน้าตาน่ารักขนาดนี้ ”

“ เพราะว่าหมีน่ารักไงพี่กล้วย ก็เลยมีเพื่อนน่ารัก ” ไอ้หมีมันฉีกยิ้มแฉ่ง

“ มึงมันน่ารำคาญไอ้หมี ” พี่กล้วยโขกหัวไอ้หมีก่อนจะยิ้มหวานให้ผม “ ถ้าอยากตัดผมก็มาร้านพี่ได้ตลอดเลยนะ พี่ยินดีต้อนรับเราเสมอ ”

“ ได้เลยครับ ”

“ พอเลยพี่กล้วยเลิกมองไอ้หนมมันได้แล้ว ” ไอ้หมีมันเอามือขึ้นไปปิดตาพี่กล้วย “ รู้นะว่าคิดอะไรอ่ะ ”

“ มึงนี่มันรู้ดีไปทุกเรื่องจริงๆ ” พี่กล้วยเขาเอามือไอ้หมีออกพร้อมกับมองมันนิ่งๆ “ ไม่เหมือนกับไอ้โง่นั่นที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง ”

“ พูดอะไรเนี่ยะ มานี่เลยพี่กล้วย ” ว่าแล้วไอ้หมีมันก็ลากพี่เขาไปหลังร้าน มึงจะลากพี่เขาไปทำไมวะเขาเพิ่งเดินออกมา แล้วไอ้เรื่องเมื่อกี้มันคืออะไรวะ เหมือนพี่กล้วยแขวะใครเลย

“ กูไปจ่ายเงินมาให้แล้วหนม ” ไอ้ภีมมันเดินมายืนหาวอยู่ข้างๆผม ง่วงสินะเพื่อนภีม

ผมยกนาฬิกาที่ข้อมือดูตอนนี้ก็เกือบ 5 โมงแล้วครับ ใช้เวลาทำทั้งหมดนี่นานเหมือนกันว่ะ เดี๋ยวให้ไอ้หมีไปส่งผมที่บ้านเลยดีกว่า ส่วนชีทกับหนังสือผมว่าจะไม่อ่านแล้วล่ะครับ เพราะว่าผมอ่านและก็ทบทวนมันไปเยอะมากๆ ผมควรปล่อยให้สมองตัวเองพักให้เต็มที่ แม่ผมเคยสอนไว้ครับว่าก่อนจะสอบเนี่ยะเราต้องทำให้สมองปลอดโปร่งที่สุดเพื่อที่เวลาสอบจะได้มีสมาธิ

ไอ้หมีมันเดินออกมาหลังจากที่หายไปแปปนึง “ ไปกันหนม ”

“ แล้วพี่กล้วยอ่ะ ” มึงเดินเข้าไปพร้อมพี่กล้วยไม่ใช่หรอแล้วทำไมถึงได้เดินออกมาคนเดียววะ

“ กูปาดคอทิ้งไปแล้ว ไปเหอะ เดี๋ยวตำรวจมา ” ว่าแล้วไอ้หมีมันก็ลากผมกับไอ้ภีมออกมาจากร้านทันที เดี๋ยวนะที่ว่าปาดคอนี่มึงพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ยะ แล้วมึงไปปาดคอเขาทำไมไอ้เชี่ยหมี

ไอ้ฆาตกรรรรรรรร

“ หมีมันล้อเล่นน่ะหนม มึงอย่าไปคิดจริงจังสิ ” ไอ้ภีมมันบอกผม มึงรู้ได้ไงว่ากูคิดอะไรอยู่

“ ไอ้หนมมันบ๊อง เออหนมเดี๋ยวกูพาไปซื้อน้ำตาเทียม เสร็จแล้วกลับหอเลยไหมหรือจะหาไรกินก่อน ”

“ กูว่าจะกลับบ้านอ่ะ พวกมึงไปกินข้าวบ้านกูสิกูบอกแม่ไว้แล้ว ” ผมบอกเพื่อนรักทั้งสอง ไอ้ภีมมันก็พยักหน้ารับมึนๆ อันนี้คือมึงไปใช่ไหม ส่วนไอ้หมีมันก็ทำหน้าลังเลเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ปกติแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ชวนไปกินข้าวที่บ้านนี่ไอหมีมันจะตอบรับแบบทันทีเลยนะครับ แต่ทำไมวันนี้มันดูต้องคิดเยอะแปลกๆ หรือว่าเพราะมันมีธุระอื่น หรือเพราะว่า....

“ มึงลังเลเพราะไอ้ขันหรอ ”

“ ก็....อืม ” เป็นแบบที่ผมจริงๆว่ะ เนี่ยะพอไอ้หมีมันมันมีอาการกระอักกระอ่วนแบบนี้ผมก็ชักจะอยากรู้เรื่องมันกับไอ้ขันเข้าไปอีก ไปตามสืบกับใครได้บ้างวะเนี่ย

“ มึงคิดแค่ว่ามึงไปหาแม่หนมสิหมี อาหารของแม่หนมอร่อยนะ ” ไอ้ภีมมันแตะไหล่ไอ้หมีเบาๆ

“ เออใช่ มึงอย่าไปสนใจหรือลังเลอะไรเลยนะ คิดซะว่าไปหาแม่กู ”

“ เออ เอางั้นก็ได้ ไปซื้อน้ำตาเทียมกันเถอะ ” ไอ้หมีมันยิ้มปากบานให้ก่อนจะเดินนำผมกับไอ้ภีมไป เห็นมันเป็นแบบนี้รู้สึกไม่สบายใจจริงๆเลยว่ะ มันไม่ใช่ไอ้หมีผู้ร่าเริงที่แท้จริง

“ ภีม ”

“ หืม ”

“ มึงรู้ไหมเรื่องไอ้หมีกับไอ้ขันน่ะ ”

“ ในเชิงลึกกูไม่รู้หรอก แต่เท่าที่สังเกตช่วงนี้ไอ้หมีมันเหมือนกับอดทนอะไรอยู่แล้วก็แสดงสีหน้าปวดใจออกมาบ่อยมาก ”

“ กูเป็นห่วงมันยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ”

“ เอาน่ะหนม มันไม่ไหววันไหนเดี๋ยวมันก็พูดออกมา ” ไอ้ภีมมันคล้องคอผมให้รีบเดินตามไอ้หมีให้ทัน ถึงมึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะภีม มันจะมีหรอวะวันที่มันจะพูดออกมาน่ะ

ผมคิดว่าวันที่ไอ้หมีมันจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง สภาพมันในตอนนั้นมันต้องย่ำแย่มากแน่ๆ และต้องเป็นวันที่มันฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหว ผมค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าต้องมีไอ้ขันเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงแต่ถ้าไอ้ขันคือคนทำให้ไอ้หมีมีสภาพแบบนี้ล่ะก็นะผมจะซัดหน้ามันให้ ถึงมันจะเป็นพี่ผมก็เถอะ

ผมไม่ปล่อยไว้เฉยๆแน่


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 14 : 14/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-11-2017 20:10:02
---------- ต่อจากบท 14 ----------




บ้านขนม

ผมเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับไอ้หมีและไอ้ภีม กลิ่นหอมของแกงเขียวหวานลอยเข้าจมูกผมมาในทันที แม่ทำอาหารอยู่ครัวแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลากเพื่อนรักทั้งสองโผล่หน้ามายังครัว

“ แม่ครับ ”

ไอ้หมีไอ้ภีมมันยกมือไหว้แม่ผม “ สวัสดีครับแม่ ”

“ กลับมาแล้วหรอลูก ภีมหมีก็มาด้วยหรอ ” แม่หันมามองแล้วยิ้มหวาน ผมก็เดินเข้าไปเอาหน้าถูไหล่แม่

“ ครับ หอมจังเลย ” ผมสูดกลิ่นแกงเขียวหวานตรงหน้าจนชุ่มปอด โง้ย อยากกินแล้วเนี่ย

“ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว หมีกับภีมอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเดี๋ยวแม่ทำให้ ”

“ หมีอยากกินไก่ทอดกระเทียมครับ ”

“ ส่วนภีมกินได้ทุกอย่างครับแม่ ” ภีมมันยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากหาว ง่วงขนาดนั้นไปนอนรอที่ห้องกูไหม

“ ไปรอกันข้างนอกก่อนก็ได้นะ ป๊าลูกอยู่ในสวนน่ะไปหาเค้าสิบ่นว่าคิดถึงหนมอยู่ ”

“ โอเคครับ งั้นไปกันเถอะมึง ” ผมลากเพื่อนรักทั้งสองมาที่สวนดอกไม้หลังบ้าน ก็พบกับคุณผู้ชายของบ้านที่กำลังนั่งดูดไปป์อย่างสบายใจเฉิบอยู่บนม้านั่ง

เท่ซะไม่มีอ่ะ

“ ป๊าสวัสดีครับ ” ผมกับผองเพื่อนยกมือไหว้กันอย่างพร้อมเพรียง ป๊าก็หันมามองตามเสียง มองอยู่แวบนึงก่อนจะหันไปทางเดิม เดี๋ยวนะ ไม่พูดอะไรกับลูกเลยหรอครับ

“ กูกับไอ้ภีมไปรอที่ศาลานะ มึงก็ง้อป๊าไป ” ไอ้หมีมันกระซิบบอกเบาๆ

“ เดี๋ยวๆ ง้อทำไมวะ ”

“ ป๊าเค้างอนมึง เออตามนี้ ไปภีมกูหาที่นอนให้มึงได้ละ ” ไอ้หมีมันลากไอ้ภีมไปที่ศาลาในสวนทันที ส่วนผมค่อยๆเดินมานั่งลงข้างๆป๊าแบบเนียนๆ ป๊าก็เหลือบมามองผมแต่ก็ยังไม่พูดอะไร นี่งอนผมจริงๆสินะ

“ หนมกลับมาแล้วนะครับ ”

“ จำได้ด้วยหรอว่ามีบ้านน่ะ ” จากน้ำเสียงนี่น่าจะโกรธมากกว่างอนว่ะ

“ จำได้สิครับ แต่ว่าหนมก็ต้องมีโน่นนี่นั่นให้ทำเยอะอ่ะ แถมติดอ่านหนังสือสอบด้วยนะ ”

“ เหนื่อยมากไหม ”

“ ก็เหนื่อย ”

ป๊าหันมามองผมด้วยสายตาจริงจัง “ งั้นเลิกเรียนเอาไหม ”

“ ไม่เอาครับไม่เลิก ” ผมส่ายหน้ารัวๆทันที ถ้าเลิกเรียนไปจะเอาอะไรกินล่ะป๊า

“ เห็นว่าเหนื่อยก็จะให้เลิกซะ ”

“ หนมไม่เลิกเรียนหรอก เหนื่อยก็จริงแต่จะไม่เลิกแน่ๆ ” ผมเอ่ยบอกกับป๊าอย่างจริงจัง ทำไมชอบบอกให้เลิกเรียนจังเลยนะ ไม่เข้าใจเลย

“ ทำเสียงเข้มเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ ” ป๊าหัวเราะลั่นพร้อมกับเลื่อนมือมาขยี้หัวผมจนฟู

“ ป๊าแกล้งหนมอีกแล้วอ่ะ ”

“ ก็หนมมันน่าแกล้ง ”

“ ไม่เห็นจะน่าแกล้งตรงไหนเลย หนมไม่อยู่บ้านเข้าหน่อยป๊าติดนิสัยชอบแกล้งมากจากไอ้ขันหรอครับ ” พูดถึงไอ้ขันตั้งแต่เข้าบ้านมายังไม่เจอมันเลยว่ะ สงสัยอยู่บนห้อง ช่างแม่งจะอยู่ไหนก็ช่างแม่ง

“ ป๊าเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วต่างหาก แล้วแว่นไปไหน ทำไมผมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ ”

“ ก็ไอ้หมีมันทำแว่นของหนมหักน่ะสิ แล้วหนมก็มีงานถ่ายหนังสั้นน่ะครับก็เลยต้องเปลี่ยนลุคนิดหน่อย ”

“ หนมแสดงงั้นหรอ ” ผมพยักหน้ารับคำป๊าเบาๆ ป๊าก็ทำหน้าเหลือเชื่อออกมา มันก็ไม่แปลกล่ะนะ

ปกติผมจะทำงานเป็นเบื้องหลังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่จะมาเป็นนักแสดงนี่ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะต้องทำ และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดีรึเปล่า ไม่ใช่ทางถนัดนี่ครับแต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะพยายามให้เต็มที่เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด

“ ถ้าทำเสร็จแล้วเอามาเปิดให้ป๊าดูหน่อยนะ ”

“ ได้เลยป๊า เรื่องนี้หนมเขียนบทเองด้วยรับรองว่าสนุก ”

“ งั้นหรอ แล้วหนมเล่นบทอะไรล่ะ ”

“ บทงั้นหรอ เล่นเป็นนายเอกครับก็เหมือนนางเอกอ่ะ คือหนังสั้นของหนมมันเป็นแบบชายรักชายอ่ะป๊า ” ผมบอกป๊าไปตามความจริง ผมไม่มีอะไรจะต้องปิดบังคนที่บ้านอยู่แล้วครับ

ครอบครัวของผมเนี่ยะค่อนข้างที่จะคิดแบบสมัยใหม่ ผมจำได้ว่าตอนที่ไอ้ขันมันจบม.6และกำลังจะขึ้นมหาลัย มันก็มาบอกป๊ากับแม่ว่ามันไม่ได้ชอบผู้หญิงและมันก็คิดว่ามันคงจะเป็นเกย์แน่ๆ ตอนนั้นผมก็คิดว่าจะเป็นเรื่องทะเลาะกันใหญ่โตแต่ไม่เลยนะครับ ป๊ากับแม่ยิ้มรับให้ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม่ก็เลยสอนผมไว้ว่าความรักมันก็คือความรัก มันสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และไม่จำเป็นที่ผู้ชายจะต้องคู่กับผู้หญิงเสมอไป ครอบครัวจะไม่โกรธแม้ว่าลูกๆจะรักคนในเพศเดียวกัน

โชคดีนะครับที่ครอบครัวผมเป็นแบบนี้

“ ป๊าชักจะอยากเห็นหน้าพระเอกของหนมแล้วสิ คนแบบไหนกันนะที่จะมาเล่นคู่กับลูกชายป๊า ”

“ มันเป็นคนที่หล่อมากๆเลยนะป๊า แถมทำอาหารเก่งด้วย ไว้มีโอกาสหนมจะพามาหา ” ผมยิ้มแป้นออกมาทันทีที่นึกถึงไอ้คนที่กำลังพูดถึง

“ ยิ้มปากบานผิดหูผิดตาเลยนะ ชอบเค้ารึไง ” ผมหุบยิ้มทันทีก่อนจะมองหน้าป๊านิ่งๆ จะตอบไงดีวะเนี่ย จะบอกไปว่าชอบตรงๆป๊าจะตกใจไหมวะ ถึงจะบอกว่าที่บ้านโอเคกับเรื่องนี้ก็จริง แต่ผมเป็นคนที่ไม่เคยมีความรักอะไรให้กับใครเลยไง คนที่บ้านคงแปลกใจมากๆถ้าผมชอบใครสักคน และคงสงสัยและก็อยากเจอตัวมากด้วยแน่ๆ

เอาไงดี

“ คือหนม.....”

“ ไม่ต้องพูดละ หน้าเรามันบอกป๊าออกหมดทุกอย่าง ” ป๊าบอกก่อนจะหยิกแก้มผม “ แก้มแดงซะขนาดนี้ คงจะชอบคนๆนั้นมากจริงๆนั่นแหละ ”

“ มันแดงมากเลยหรอป๊า ” ผมยกมือปิดหน้าตัวเอง

“ ใช่น่ะสิ....เรื่องมันเป็นมายังไงไหนเล่าให้ป๊าฟังซิ อยากรู้จริงๆเลยว่าใครมันทำให้ลูกชายป๊าตกหลุมรักได้ ”

“ ตกหลุมรักอะไรล่ะป๊า ไม่ใช่สักหน่อย ” ผมบ่นอุบอิบ คนที่ตกหลุมรักมันคือไอ้ขุนต่างหากไม่ใช่ผม

“ หรอ ไหนเล่าให้ป๊าฟังซิ ”

“ ก็....มันเป็นรุ่นน้องไอ้ขันอ่ะ เป็นเดือนคณะเมื่อปีก่อนด้วย มันมาบอกหนมว่ามันชอบแล้วมันก็ตามจีบมาตลอดเกือบ 3 เดือนอ่ะ ”

“ ตามจีบตั้งแต่ที่หนมยังสภาพเหมือนซอมบี้น่ะนะ ”

“ หนมไม่ได้ซอมบี้ซะหน่อยนะป๊า ” เขาาเรียกว่าเซอร์ ไม่ได้เรียกว่าซอมบี้

“ ฮ่าๆๆ งั้นหรอๆ แล้วยังไงต่อหืม ”

“ ก็ช่วงที่ผ่านมาหนมสับสนมากเลยแหละ แต่หนมรู้สึกดีมากเลยนะที่มีมันอยู่ในชีวิตน่ะ ก่อนจะสอบนี่ตกลงกันไว้ว่าจะหยุดติดต่อกันชั่วคราวเพื่อที่จะอ่านหนังสือ หนมก็คิดถึงมันแล้วก็มารู้ตัวเองว่าชอบมันนี่แหละ ” พูดให้ป๊าฟังแบบนี้ก็รู้สึกแก้มร้อนเหมือนกันแฮะ

“ ได้ฟังแบบนี้ป๊าก็ชักอยากจะเจอตัวเร็วๆแล้วสิ รีบพามาบ้านนะ ”

“ ได้ครับ ไว้หนมจะพามาหา ”

“ ป๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ” ผมสะดุ้งกับเสียงแหกปากดังลั่นบ้านนั่น มีแค่คนเดียวเท่านั้นล่ะครับที่โวยวายเก่งที่สุดในบ้าน

ไอ้ขันไง

ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับไอ้ขันที่สวมชุดไปรเวท มันกำลังจะออกไปข้างนอกแน่ๆ เออดีจะออกไปไหนก็ไปเลยไอ้สัส ไอ้ขันมันมองผมที่นั่งข้างๆป๊า สีหน้าของมันบึ้งตึงขึ้นมาทันทีเหมือนจะไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง

“ ไอ้หนม ” มันเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ แว่นมึงไปไหน แล้วทำไมมึงทำผมสีนี้ ไปโกรกกลับเลยนะ ”

“ กูจะทำอะไรก็เรื่องของกู มึงจะยุ่งทำไม ” ยุ่งกับชีวิตกูหลายเรื่องเหลือเกินนะไอ้บ้า

“ ป๊า หนมมันดื้อกับขันอ่ะ ” พอเห็นผมเถียงกลับมันก็ไปฟ้องป๊า ขี้ฟ้องชิบ เดี๋ยวกูจะฟ้องแม่คืน

“ เรื่องนี้ป๊าไม่ยุ่ง พี่น้องคุยกันเองเลย ” ป๊าบอกก่อนจะหยิบไปป์ขึ้นมาสูบแล้วก็มองนกมองไม้ไปเรื่อย วั้ยๆๆสมน่ามึงไอ้ขัน ป๊าไม่เข้าข้าง

“ ป๊าอ่ะ ” ไอ้ขันเบะปากใส่ป๊าก่อนจะหันมองผมอย่างจริงจัง “ ทำไมมึงถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ เพื่อนมึงบอกให้ทำรึไง ” สายตาคมเหลือบมองไปยังเพื่อนรักทั้งสองที่นั่งอยู่ในศาลา

“ ไม่เกี่ยวอะไรกับเพื่อนกูเลย อย่าหาเรื่อง ”

“ แล้วอยู่ดีดีมึงจะเปลี่ยนตัวเองให้ดูดีขึ้นทำไม ถ้าไม่มีคนอื่นมายุยง ”

“ กูต้องทำงาน ”

“ งานอะไร ”

“ มึงจะถามอะไรเยอะแยะวะ ” เริ่มจะหัวร้อนละ มึงอยากรู้อะไรนักหนาเนี่ย เดี๋ยวกูก็ถามเรื่องไอ้หมีกลับเลยว่ะไอ้บ้านี่

“ นี่มึง....”

“ พอๆ ให้คุยกันเองก็เป็นแบบนี้ตลอดเลยสินะ เมื่อขันเรียกป๊าไม่ใช่หรอ มีอะไรล่ะ ” ไอ้ขันมันดูหัวเสียไม่น้อยที่โดนปราม ดีเหมือนกันนะที่ป๊าห้ามเราสองคนไม่งั้นอาจจะตีกันตายได้

“ คือขันจะไปติวหนังสือกับเพื่อนน่ะครับ คงไม่ได้กินข้าวเย็นและก็อาจจะกลับช้า ”

“ อืม ไปเถอะ ขับรถดีดีล่ะ ”

“ ครับป๊า ” มันรับคำป๊าก่อนมองผม “ ไว้เดี๋ยวกูจะกลับมาจัดการมึง น้องเวร ” คาดโทษผมเสร็จแม่งก็เดินไป เออไปเลยนะไอ้พี่บ้า หงุดหงิดชะมัดผมไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านก็เพราะมันนี่แหละ

ผมมองไอ้หมีที่มันชะเง้อคอมองตามไอ้ขันด้วยหน้าตาเศร้าๆ ดีเหมือนกันนะที่ไอ้ขันมันจะไม่อยู่กินข้าวที่บ้าน ไอ้หมีมันจะได้ไม่ต้องแสดงสีหน้าปวดใจออกมา เดี๋ยวถ้าไอ้ขันมันกลับมาแล้วก็ถามผมโน่นนี่นั่นนะผมจะถามมันกลับเรื่องมันกับไอ้หมี ดูซิว่ามันจะตอบไหม ถ้ามันไม่ตอบผมก็จะไม่ตอบมันเหมือนกัน

งานนี้ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน

“ ทะเลาะกันไม่เปลี่ยนเลยนะเรา 2 คน ”

“ ก็ไอ้ขันมันชอบหาเรื่องหนมอ่ะ ชอบแกล้งด้วย ”

“ เห็นแบบนั้นขันเป็นห่วงหนมมากนะ พี่เค้าแค่แสดงออกมาผิดวิธีเท่านั้นแหละ ” ผิดวิธีไปเยอะด้วยป๊า

“ เลิกพูดเรื่องนี้เนอะ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ” ผมเอาหัวพิงไหล่ป๊าเหมือนอย่างที่ผมชอบทำ

เหนื่อยว่ะ ไม่ได้ทำอะไรแท้ๆแต่มันก็รู้สึกเหนื่อย เหนื่อยใจมั้งครับ ผมเบื่อมากเลยนะเวลาที่ต้องมามีปากเสียงกับไอ้ขันน่ะ พี่น้องมันไม่ควรทะเลาะกันเรื่องนั้นผมรู้ แต่เวลาเจอไอ้ขันมันก็อดไม่ได้จริงๆอ่ะ มันเองก็ขยันเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นประเด็นได้ตลอดจริงๆเลยเชียว

อยู่กันแบบสงบๆไม่ได้เลยสินะไอ้ขัน

ไอ้พี่บ้า











TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ให้กำลังใจกันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 14 : 14/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-11-2017 20:18:10
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 15 : 15/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 15-11-2017 20:45:05
บทที่ 15 ระยะห่างที่สิ้นสุด



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



คิดถึง

คิดถึงมาก

คิดถึงเธอแทบใจจะขาดดดดดดดดดดดดดด

“ โอ้ย ไม่ไหวแล้ว ” ผมทิ้งตัวนอนแผ่ลงอยู่ท่ามกลางกองชีท จิตใจไม่สงบมาหลายวันแล้วครับ นี่ยังดีนะที่ยังทำข้อสอบได้น่ะ ถึงแม้ว่าเวลาทำมันจะสาหัสเอาการเลยก็เถอะ เมื่อก่อนผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ แต่ที่เป็นแบบนั้นก็มีสาเหตุเดียวนั่นแหละ

คิดถึงขนม

งื้อออออออออ

ตอนนี้ผมอยู่คอนโดไอ้สยามครับ แต่ไอ้เจ้าของห้องมันออกไปรับเมียมัน ผมก็เลยต้องนอนดราม่าอยู่คนเดียวแบบนี้ เกือบจะสองอาทิตย์แล้วครับที่ผมไม่ได้เจอน้อง ไม่ได้เจอแบบไม่เจอเลยจริงๆ แถมในเฟซบุ๊กน้องก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดเลยอีกต่างหาก มีแต่ผมเนี่ยะที่โพสถึงน้อง หวังนะครับว่าจะให้น้องมาเห็นมาคอมเม้นต์หรือมากดไลค์บ้าง แต่ว่ามันไม่มีเลยอ่ะ

แบบนี้พี่ขุนก็เศร้าสิน้องหนม

กระซิกๆ

พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้วครับ ผมจะเป็นไทและก็จะได้เจอน้อง ไม่รู้ว่าป่านนี้คนตัวเล็กจะเป็นยังไงบ้าง ช่วงที่ไม่เจอนี่ผมรู้สึกเป็นห่วงน้องมากครับ ขนมน่ะเวลาตั้งใจจะทำอะไรก็จะตั้งใจมาก ผมกลัวว่าน้องจะอ่านหนังสือจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ข้าวจะได้กินบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ และอีกอย่างเมื่อช่วงอาทิตย์ก่อนสอบผมมีเรื่องกับแก้มใสไปด้วยผมไม่รู้ว่าเธอจะไปวีนอะไรใส่ขนมรึเปล่า

เป็นห่วงเรื่องนี้สุดๆเลย

ผมไม่เข้าใจแก้มใสเลย ผมกับเธอควรจบกันไปตั้งนานแล้วแต่เธอก็ยังตอแยอยู่ไม่เลิก แค่กับผมมันยังไม่เท่าไหร่แต่นี่เริ่มจะลามไปหาเรื่องขนมด้วย ไม่ชอบใจเลย พอเกิดเรื่องนี้มันก็ทำให้ผมนึกย้อนไปดูตัวเองเมื่อก่อนเหมือนกันนะ ถ้าผมไม่เจ้าชู้เรื่องวุ่นวายมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

โคตรรู้สึกแย่ที่ทำให้ขนมมาโดนว่าทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะไร

และก็ยิ่งรู้สึกแย่หนักเข้าไปใหญ่เมื่อพี่ขันมาสั่งให้ผมเลิกยุ่งกับขนม พี่ขันเป็นคนที่ผมเคารพมาก ส่วนขนมก็เป็นคนที่ผมรักและผมก็พยายามจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อน้อง ตอนตัดสินใจแม่งโคตรลำบากใจชิบหาย ผมไม่อยากหักกับพี่ขันแต่ก็ไม่อยากตัดใจจากขนมเหมือนกัน ผมพูดไว้เองด้วยว่าผมจะหยุดต่อเมื่อน้องบอกให้ผมหยุด จนสุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะไม่เลิกยุ่งกับน้อง

รักขนาดนี้จะให้เลิกยุ่งได้ไง

ไม่มีทาง

เอาจริงๆนึกว่าจะโดนกระทืบแล้วตอนนั้นอ่ะยังดีว่าพี่ขันยังปราณีผมอยู่ แต่การเดิมพันของพี่ขันก็ถือว่าหนักหนาสำหรับผมอยู่เหมือนกัน ผมมีเวลาแค่อาทิตย์เดียวที่จะทำให้ขนมตกลงปลงใจเป็นแฟนผม ผมไม่ค่อยแน่ใจเลยครับว่าตัวเองจะทำให้น้องมาเป็นแฟนผมได้ไหม ผมคิดไว้ว่าจะขอสักวันนึงแต่ไม่คิดว่าจะต้องขอไวขนาดนี้ แล้วถ้าผมขอขนมเป็นแฟนแล้วน้องไม่ตกลง ผมก็ต้องเลิกยุ่งกับน้อง

แค่คิดก็ปวดใจ

 ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของน้องมันยังไงกันแน่ เหมือนมันจะแสดงออกมาชัดแต่มันก็ยังชัดไม่พอ น้องอาจจะชอบผมแต่ผมก็ไม่รู้ว่าน้องจะชอบผมมากพอที่จะยอมคบกับผมรึเปล่า ชีวิตน้องไม่เคยมีใครมาก่อนด้วยมันยิ่งทำให้ผมคิดหนักเข้าไปใหญ่

เฮ้ออออ

“ กูจะทำยังไงดีเนี่ยะหนม ”

แอ๊ดดดดด

ผมนอนมองคู่ผัวเมียที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง ในมือถือของพะรุงพะรังเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นขนมนั่นแหละครับ ไอ้สยามมันชอบมาบ่นว่าเมียมันอ้วนอย่างโน้นอ้วนอย่างนี้ แต่มันก็ก็ซื้อขนมให้สมปองกินตลอด ไม่รู้ว่าแม่งจะมาบ่นเพื่ออะไร น่าหมั่นไส้ชิบหาย

“ มึงไปนอนสุมกับกองชีททำไมวะ ” ไอ้สยามมันถามผมพลางเอาของทั้งหมดไปวางบนโต๊ะ

“ เรื่องของกูหน่า ” ผมเอาชีทขึ้นมาปิดหน้าหนีมัน

“ ปัญญาอ่อนจริง อย่าเพิ่งกินสิสมปอง เอามานี่เลย ”

“ อะไรเล่า นั่นมันขนมกูนะ ”

“ เงินกูทั้งนั้นอ่ะที่ซื้อมา ไม่รู้แหละรอกินหลังกินข้าวเลย ”

“ งื้ออ.อ.อ.อ.....”

“ ไม่ต้องมางื้อเลย อย่าดื้อให้มันมากเดี๋ยวกูก็จัดซะให้หรอก ” ผมแง้มชีทออกมาดูทันทีที่ได้ยินคำว่าจัดซะให้หรอก

เพื่อนรักของผมกับแฟนของมันกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ตรงโต๊ะ สมปองนี่หน้าแดงแปร๊ดเลยว่ะ ตอนแรกผมไม่คิดว่าสองคนนี้จะมาลงเอยกันได้เลยนะเอาจริงๆ สมปองน่ะรำคาญไอ้สยามออกจะตายไป แต่ผมก็ดูออกตั้งแต่แรกละล่ะว่าไอ้สยามมันชอบสมปอง

แน่ล่ะแม่งมองอย่างกับจะแดกน้องมันเข้าไปทั้งตัว

“ ขอกินถุงนึงไม่ได้หรอ ” สมปองดึงเสื้อเพื่อนรักผมพลางกับส่งเสียงอ่อนคล้ายๆว่าจะอ้อน

“ ไม่ได้ ”

“ นะนะนะพี่สยาม ขอกินหน่อยนะ ”

“ ไม่ต้องมาอ้อนเลย ” ไอ้สยามมันดึงแก้มสมปองอย่างหมั่นเขี้ยว “ น่ารักมากๆเดี๋ยวก็โดนกูกินหรอก ”

“ คนลามก ” น้องมันบ่นอุบอิบพลางอมยิ้ม

“ เด็กบ๊องเอ้ย ” ไอ้สยามมันดึงตัวน้องเข้าไปกอดไว้ ส่วนผมก็ได้แต่นอนมองอย่างอิจฉาริษยาอยู่ตรงนี้ อยากทำอะไรแบบนี้กับขนมบ้างอ่ะ

ผมจะมีบุญได้ทำไหม

ผมมองทางสองคนที่กอดกันจนกลมก็ได้แต่ถอนหายใจ พวกมึงนี่ไม่สงสารคนโสดที่อยู่ในโหมดโศกเศร้าบ้างเลยนะ แต่ว่าจะไปว่ามันก็ไม่ได้เพราะผมเสร่อขอมาอาศัยอยู่ที่นี่เอง อยู่ห้องคนเดียวมันเปล่าเปลี่ยวเอกาอ่ะครับไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แถมพรุ่งนี้หลังสอบเสร็จผมก็จะต้องไปชะอำเพื่อไปถ่ายหนังสั้นของขนมด้วย

ขอบอกเลยว่าตื่นเต้นมาก

เมื่ออาทิตย์ก่อนไอ้หมีมันมาหาผมที่คณะเพื่อมาบอกว่าให้ผมไปเป็นพระเอกหนังสั้นให้หน่อย ผมยังไม่ได้ตอบตกลงไปในตอนแรกหรอกนะครับ แต่พอรู้ว่าขนมเป็นคนเขียนบทเท่านั้นแหละผมก็ตอบรับคำในทันที ไอ้หมีมันก็เล่าพล๊อตเรื่องให้ผมฟังคร่าวๆ มันเป็นหนังสั้นหัวข้อความรักที่เกี่ยวกับชายรักชาย ผมได้ยินแบบนั้นจึงยื่นเงื่อนไขให้ว่าถ้าผมเป็นพระเอก คนที่จะมาเล่นคู่กับผมต้องเป็นขนมเท่านั้น

ไม่งั้นคงจะไม่มีใจเล่น

ฮ่าๆๆๆ

ผมว่ามันยากนะครับที่จะแสดงบทของผู้ชายที่รักผู้ชายคนนึง ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่อินด้วยถ้าเป็นคนอื่นมาแสดง แต่ถ้าเป็นขนม ผมคงจะแสดงออกมาได้ธรรมชาติมากแน่ๆ เพราะความรู้สึกที่ผมมีต่อน้องมันเป็นของจริง

“ พอได้แล้ว อายพี่ขุน ” ขนาดนี้ไม่ต้องอายพี่ก็ได้ครับ

“ ไม่ต้องไปอายมันหรอกหน่า ไหนมาหอมแก้มหน่อย ”

“ ไม่เอา ปล่อยนะ ”

“ มาให้กูฟัดซะดีดี ” เออๆ เอาเข้าไปนะพวกมึงนะ เอาให้เต็มที่เลย ถึงวันของกูเมื่อไหร่พวกมึงจะต้องอิจฉาจนตาร้อนผ่าว

ผมมองไอ้สยามที่ไล่ฟัดสุดที่รักของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย มันดูตลกดีนะครับที่ผู้ชายตัวหนาๆสองคนมาหยอกกันแบบนี้ คู่นี้นี่ถือว่าซอฟต์ๆนะ ถ้าเป็นคู่ไอ้เกียร์กับไอ้แกงนี่ฟัดกันนี่ติดอิโรติกตลอด เมื่อก่อนผมก็รู้สึกแปลกๆอยู่หรอกที่เห็นอะไรแบบนั้นแต่ไปๆมาๆมันก็เริ่มจะชินชา ถึงรอบๆข้างผมจะมีแต่สหายชาวสีม่วงแต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะหันมามองหรือว่าชอบผู้ชายนะครับ

จนมาเจอกับขนมนี่แหละ

แอ๊ดดดดด

“ เห้ยๆ จะเอากันก็ไปทำในห้องนอนสิวะ ”

“ เออ เกรงใจไอ้ขุนมันบ้าง ”

“ พวกมึงนี่มันหน้าด้านจริงๆ ”

ผมมองสหายรักทั้งสามที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับด่าเจ้าของห้องไปด้วย ละนี่พวกมึงนัดปาร์ตี้ชุดนอนกันงั้นหรอถึงได้ใส่ชุดนอนมากัน ในห้องนี้มีแค่ผมเท่านั้นเลยครับที่ยังแต่งเต็มยศ ชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะๆแถมเนคไทก็ยังพันคออยู่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ถอดออก เนี่ยะพอนึกถึงแต่เรื่องของขนมผมก็ลืมทุกอย่างเลย

โคตรบ้าเลยว่ะ

“ พวกมึงมากันทำไมวะเนี่ย กูไม่ได้เปิดการ์ดอัญเชิญนะ ” ไอ้สยามมันบ่นอย่างหัวเสีย ส่วนสมปองก็วิ่งหนีเข้าห้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สงสัยจะเขินจัดที่โดนพวกเพื่อนๆผมแซว

“ กูเป็นมอนเตอร์พิเศษ อัญเชิญตัวเองได้ ” ไอ้ชาบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆผม “ แล้วทำไมมึงถึงนอนกองอยู่กับชีทวะขุน ” มันถามผมพร้อมกับเอนตัวลงนอนโดยที่หนุนเอวผมไว้ ทำไมจะต้องมานอนหนุนกูด้วยวะ

“ เออนั่นดิ่ โซฟามีก็ไม่นอน ” ไอ้หอมมันทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา

“ ใช่ โซฟามีก็ไม่นอน ” พูดจบไอ้ก้องมันก็ทิ้งตัวนอนลงทับไอ้หอมอีกที

“ แล้วทำไมพวกมึงถึงมาสุมกันอยู่ที่ห้องกูกันหมดได้วะเนี่ยะไอ้สัสสสสสสส ” เจ้าของห้องแหกปากด่าลั่นเลยครับ สีหน้าที่แสดงออกมานั่นคงจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย แน่ล่ะมีคนมาขัดจังหวะมันฟัดกับแฟนมันนี่นะ เป็นผมก็คงจะหัวร้อนอยู่เหมือนกัน

“ อยู่กันหมดที่ไหนไอ้แกงมันไม่ได้มาด้วยซะหน่อย ”

“ ใช่ นี่ถือว่าไม่ครบองค์ประชุมนะ ”

“ ถูก พูดอีกก็ถูกอีก ”

“ โว้ยยยยยยไอ้พวกเชี่ย ” ไอ้สยามมันมองค้อนใส่ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน “ เดี๋ยวกูเรียกขวัญเมียกูกลับมาก่อน เดี๋ยวจะกลับมาด่าพวกมึงต่อ ไอ้พวกเลว ไอ้สัส ” แล้วมันก็เดินเข้าห้องนอนไปทันที ไม่รู้ว่าจะไปเรียกขวัญหรือไปทำอย่างอื่นกันแน่

ไอ้สยามน่ะมันร้าย

ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาดูรูปขนมเพื่อบรรเทาความคิดถึง พรุ่งนี้ก็จะได้เจอแล้วสงบใจไว้นะไอ้ขุนเอ้ย ยอมรับเลยนะครับว่าช่วงเวลาที่ไม่เจอน้องนี่ผมหงุดหงิดมาก รู้สึกรำคาญและก็ขัดหูขัดตาไปหมดทุกอย่าง

จะรำคาญสุดตอนนี้ก็คือเพื่อนชาเย็นนี่แหละ

“ มึงจะเขี่ยขากูทำไมวะชา ”

“ กูวาดรูปอยู่ ”

“ วาดห่าอะไรล่ะ เอาหัวมึงออกไปเลยกูหนัก ” ผมดันหัวไอ้ชา มันเองก็ยอมลุกขึ้นแต่หันมามองผมด้วยหน้ามึนๆตามสไตล์มัน “ มองกูทำไม ”

“ มึงดูไรอยู่อ่ะ คลิปโป๊หรอ ” คลิปโป๊พ่องอ่ะ มึงนี่ไม่เคยว่างเว้นจากเรื่องพวกนี้เลยสินะ

“ กูดูรูปขนมอยู่ ”

“ ไหนดูมั่ง ”

“ ไม่ให้ดู ” ผมเก็บโทรศัพท์ก่อนจะแลบลิ้นใส่มันไปทีนึง รูปที่ผมไปแอบถ่ายมาได้นั้นน้องจะดูน่ารักมากกว่าตอนปกติ ผมจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นแน่ๆ

เพื่อนก็เพื่อนเถอะ

“ ไอ้ขี้งก รูปที่มึงมีนั่นเป็นรูปน้องเมื่อสมัยก่อนใช่ไหม ”

“ เมื่อสมัยก่อน....มึงหมายความว่าไงวะชา ”

“ ก็ตอนนี้น้องแว่นมันเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ไม่สิ จะเรียกว่าน้องแว่นไม่ได้แล้ว ” ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วก็มองหน้าไอ้คนพูดทันที หมายความว่าไงที่ว่าเรียกน้องแว่นไม่ได้แล้ว

“ ทำไมวะ เกิดอะไรขึ้นกับขนม ”

“ ก็ตอนนี้น้องมันไม่ได้ใส่แว่นแล้ว น้องมันตอนที่ไม่ได้ใส่แว่นนี่น่ารักว่ะ ยิ่งทำผมสีนั้นนะแม่งโคตรดูดี ”

“ ไอ้ชา ” ผมกระชาคอเสื้อเพื่อนรักเข้ามาใกล้ “ มึงหลอกกูป้ะเนี่ย มึงไปเห็นที่ไหนมา ”

“ เดี๋ยวเสื้อกูขาดอ่ะขุน ”

“ ถ้ามึงไม่บอกกูจะฉีกเสื้อมึงให้เป็นเศษผ้าเลย บอกมา ”

“ ก็เห็นที่ร้านไอติมหลังมอไง วันที่กูชวนมึงไปแดกแล้วมึงไม่ยอมไปอ่ะ วันนั้นน้องหนมมันก็มากินไอติมกับเพื่อนๆ กูก็เลยเจอเข้า ไม่แค่กูที่เห็นนะไอ้สยามกับสมปองมันก็เห็น ” พอได้ยินแบบนั้น มือของผมก็ค่อยๆคลายออกจากคอเสื้อของเพื่อนรัก นี่ถ้าเป็นแบบที่มันพูดจริงๆนี่ก็....

ชิบหายละ

ขนมน่ะตอนที่ไม่ใส่แว่นก็ว่าน่ารักแล้วนะครับ แล้วถ้าเปลี่ยนสีผมจริงๆผมก็คิดว่าน้องน่าจะเด่นขึ้นมากแน่ๆเลย ผมคิดว่าน้องจะทำผมสีอะไรก็น่าจะเหมาะเพราะน้องผิวขาว โอ้ย อยากเห็นกับตาตัวเองว่ะ อยากรู้ว่าจะน่ารักขึ้นมากขนาดไหน ถ้าน้องน่ารักขึ้นกว่าเดิมมากๆนี่ผมต้องเป็นบ้าแน่เลย ถ้ามีคนอื่นมาหลงกับความน่ารักของน้องล่ะ ผมไม่ต้องตามไล่กระทืบเรียงตัวเลยหรอวะ

“ ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้นวะขุน มึงไม่ดีใจหรอที่น้องน่ารักขึ้น ”

“ ไม่ดีใจเว้ย แล้วอีกอย่างกูยังไม่เห็นน้องเลย พวกมึงอาจจะโม้กูก็ได้ เห็นกูจะเป็นบ้าไงเลยมาปั่นกู ”

“ กูจะปั่นมึงทำไม กูเห็นอะไรมากูก็แค่บอก ”

“ น้องน่ารักขึ้นเยอะขนาดนั้นเลยหรอวะ ”

“ ก็น่ารักจนมีคนเข้าไปขอเบอร์อ่ะ ”

ห้ะ!!!!

ขอเบอร์!!!!

“ มันเป็นใครห้ะมึง ” ผมแหกปากลั่นออกไปอย่างหัวเสีย กล้ามากเลยนะที่มาขอเบอร์สุดที่รักของผมเนี่ย

“ ใจเย็นๆก่อนนะเพื่อน มันเป็นใครกูไม่รู้หรอก แต่เท่าที่กูดูน้องไม่ได้ให้เบอร์มันไปนะ ” ไอ้ชามันลูบแขนผมเชิงว่าให้ใจเย็น ใครมันจะไปเย็นไหววะ มีใครไม่รู้คิดจะมาเกาะแกะกับขนมเลยนะ พอเป็นแบบนี้ผมจะรีบทำอะไรสักอย่างละ รอช้าไม่ได้เดี๋ยวจะมีคนมายุ่งกับขนมมากกว่านี้อีก

“ มึง กูกลับหอละ ”

“ กลับไปทำไมวะ ”

“ อ่านหนังสือสอบ ”

“ ถามจริง ”

“ เออ ฝากบอกไอ้สยามด้วยละกัน กูไปล่ะ ” ผมลุกเดินออกมาจากห้องทันที ตอนนี้ผมอยากจะคิดอะไรเงียบๆคนเดียว เพราะงั้นกลับไปอยู่สงบๆที่หอตัวเองจะดีกว่า ผมจะทำยังไงดีวะ ปกติผมจะเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างง่ายๆสบายๆไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเยอะแยะแบบนี้ แต่กับเรื่องของขนมนี่มันไม่ใช่เลย อาจเป็นเพราะว่าน้องยังไม่ได้มาเป็นคนของผมด้วยล่ะมั้ง แต่ว่านะอีกไม่นานนี้หรอก

น้องเสร็จผมแน่


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 15 : 15/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 15-11-2017 20:46:23
---------- ต่อจากบท 15 ----------




วันสอบวันสุดท้าย

ผมนั่งเปื่อยอยู่ในห้องสอบจิตใจนี่กระวนกระวายสุดๆ ผมทำข้อสอบเสร็จแล้วครับแต่ถ้าเวลายังไม่หมดก็ไม่สามารถออกจากห้องสอบได้วิชานี้เป็นวิชาสุดท้ายด้วย ตอนนี้ก็บ่ายสามกว่าๆแล้ว ผมไม่รู้น้องจะสอบเสร็จรึยัง เมื่อวานพอผมกลับถึงหอผมก็อ่านหนังสือแล้วก็เก็บของกับเสื้อผ้าเพื่อที่จะเตรียมไปชะอำในเย็นวันนี้ เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่นาทีเดี๋ยวผมก็จะเป็นไทละ

สงบสติอารมณ์ไว้ขุนศึก

“ หมดเวลาค่ะเชิญออกจากห้องสอบได้ ” ทันทีที่ผมได้ยินแบบนั้นก็รีบลุกเดินออกมาด้านนอกห้องสอบทันที ได้ยินเสียงเพื่อนเรียกแว่วๆอยู่นะ แต่ช่างแม่งมีอะไรค่อยโทรหากูกันเอาละกันเพื่อนรัก

หลังจากที่เดินผ่านทางเชื่อมตึกเพื่อจะมาลงบันไดผมก็เห็นมีกลุ่มนักศึกษายืนจับกลุ่มกันทำไมไม่รู้ ใส่ชุดนักศึกษาแบบนั้นคงจะเป็นพวกปี 1 แน่ๆ วันนี้ชั้นปีอื่นใส่เสื้อช้อปมากันครับเพราะต้องไปถ่ายรูปทำบัตรสต๊าฟไว้ใช้ในการรับน้อง เด็กปี 1 พวกนั้นทะเลาะกันหรอวะหรือว่าอะไร สงสัยนะแต่คงไม่ว่างไปดูเพราะตอนนี้ผมจะต้องรีบไปหาขนมให้เร็วที่สุด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนตัวเล็ก ตอนนี้น้องอาจจะยังอยู่ที่ตึกคณะตัวเองก็ได้ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะได้ไปรับน้องเลย

“ ฮัลโหล อยู่ไหนครับ ”

( อยู่ตึกคณะมึงเนี่ยะ )

“ งั้นหรอ แล้วอยู่ตรงไหนของตึกล่ะ ”

( อยู่หน้าตึกเลย รีบมาซิเนี่ย )

“ โอเคๆ เดี๋ยวรีบไป ” ผมวางสายจากน้องก่อนจะรีบวิ่งลงตึกมาอย่างไวผ่านไอ้ตรงที่มีเด็กนักศึกษาจับกลุ่มมาด้วย มองไปรอบๆหน้าตึกก็ไม่เห็นน้องเลยนะครับ

อยู่ตรงไหนวะ

“ อย่าหยิ่งนักเลยหน่า ขอเบอร์แค่นี้เอง ”

“ ก็บอกว่าไม่ให้ไง ” เสียงคุ้นหูนี่มัน....

ผมหันมองไปตามเสียงด้านหลังก็เห็นร่างของใครบางคนยืนประจันหน้ากับกลุ่มนักศึกษากลุ่มนึงอยู่ ร่างบางที่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทอง ในมือนั่นถือแจ็คเก๊ตสีน้ำเงินซึ่งเป็นเสื้อคลุมของเด็กคณะนิเทศศาสตร์ ลักษณะท่าทางรวมถึงรูปร่างแบบนั้น มองจากด้านหลังก็รู้แล้วครับว่าเป็นใคร

“ ขนม ”

คนที่ยืนหันหลังให้ผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆหันมาหา “ มาช้าจังเลยล่ะไอ้ขุน ”

ตึกตัก

เชี่ยยยยย

ผมกระพริบตาปริบๆเพื่อมองคนตรงหน้าอีกครั้ง กระพริบตาไม่พอยกมือขยี้ตาอีกรอบด้วยเอ้า ขนมเป็นไปแบบที่ไอ้ชามันพูดจริงๆครับ ใบหน้าใสนั่นไม่มีแว่นตาปิดอีกต่อไปแล้ว ผมฟูๆของน้องก็ถูกตัดให้ดูเป็นทรง ส่วนไอ้ผมที่ปรกหน้าก็ถูกตัดให้ไม่มาบังหน้าบังตาอีก สีผมที่ย้อมก็ยิ่งทำให้หน้าน้องดูใสกว่าเดิม เมื่อก่อนผมคิดว่าคนตรงหน้าก็น่ารักมากแล้วนะแต่พอมาเจอเวอร์ชั่นนี้มันก็ยิ่งน่ารักไปเป็นเท่าตัวเลยอ่ะ

ไปไหนไม่รอดแล้วว่ะผม

“ เป็นอะไรของมึงเนี่ย ” ผมสะดุ้งทันทีที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บที่แขน เมื่อกี้น้องตีผมหรอวะ

“ ปะ...เปล่า ละนี่เกิดอะไรขึ้น ” ผมมองขนมสลับกับพวกเด็กปี 1 “ มีเรื่องอะไรกัน ”

“ มะ....ไม่มีอะไรครับพี่ขุน ” ไม่มีอะไรทำไมต้องหน้าซีดขนาดนั้นวะ

ผมหันมองขนม “ ไอ้พวกนี้มันทำอะไรมึง ”

“ พวกนี้มันตื๊อจะขอเบอร์กูอ่ะ กูไม่ให้ก็ยังตื๊อไม่เลิก ” ขนมบอกเสียงขุ่น ผมก็หันมามองทางพวกปี 1 อีกครั้งด้วยสายตานิ่งๆ

“ ไหนบอกไม่มีอะไรไง ”

“ พวกผมขอโทษครับพี่ขุน พวกผมไม่รู้ว่าเป็นเด็กพี่ ” พวกเด็กๆบอกเสียงสั่น จะสั่นไปไหนเนี่ยะไอ้สัส

“ รู้แล้วก็ไปได้ละ ” พอผมพูดแบบนั้นไอ้เด็กพวกนั้นก็ยกมือไหว้ก่อนจะรีบพากันวิ่งหนีไป ผมหันมามองทางขนมก่อนจะถอดเสื้อช็อปของตัวเองออกมาคลุมหัวน้องเอาไว้ “ คลุมไว้ซะ ”

“ ทำไมกูต้องคลุมด้วยเนี่ยะ ”

“ กูจะไม่ให้เด็กวิศวะที่ไหนมาเห็นมึงอีกแล้ว กูหวง ” หวงจริงจังด้วย หวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่

“ หวงบ้าหวงบออะไรของมึง ” คนที่อยู่ใต้เสื้อช้อปบ่นอุบอิบ หน้าแดงด้วยนะ น่าฟัดชะมัด

“ ไม่ได้หวงบ้าหวงบอ กูหวงมึงนี่แหละ ไปคุยกันที่รถมีเรื่องจะดุเยอะเลยนะรู้ไหม ” ผมจูงมือน้องเดินออกมาจากหน้าตึก น้องเองก็ว่าง่ายยอมให้ผมจูงมือโดยไม่บ่นสักคำ มาถึงที่จอดรถผมก็ยัดน้องใส่รถตัวเองก่อนจะเดินขึ้นมาประจำที่ฝั่งคนขับ

ขนมหันมองผมโดยที่เสื้อช้อปยังปิดหัวตัวเองอยู่อย่างนั้น “ จะดุจริงๆหรอ ” เสียงอ่อนๆกับดวงตาใสๆนั่นใครสอนให้ทำหืม ไอ้หมีมันสอนใช่ไหม

มันน่ารักนะแต่พี่จะไม่ใจอ่อนให้หรอกครับ

“ ใช่จะดุ ” ผมแกล้งเก๊กเสียงเข้มใส่น้อง “ เรื่องแรกเลยนะ ทำไมไม่ใส่แว่น ”

“ ก็ไอ้หมีมันหักแว่นกูอ่ะ ”

“ แล้วทำไมถึงน่ารักขึ้นหืม ”

“ ไม่ชอบรึไงที่กูน่ารักขึ้น ”

“ ชอบ กูถามมึงอยู่นะอย่ามาเฉไฉสิ ” ผมบีบแก้มขนมด้วยความหมั่นเขี้ยว “ ละทำไมถึงมาตึกวิศวะ รู้ไหมว่าที่นี่มันอันตรายอ่ะ ”

“ อันตรายตรงไหนเมื่อก่อนกูก็มาออกจะบ่อย ”

“ เมื่อก่อนมึงยังเฉิ่มไง แต่ตอนนี้ไอ้ความเฉิ่มนั่นมันหายไปแล้ว รู้ไหมว่าตัวเองฮ็อตขึ้นขนาดไหนอ่ะ ”

“ ไม่รู้หรอก กูไม่ได้สนใจคนอื่นอ่ะ กูสนใจแค่มึงคนเดียว ”

ตึกตัก

ดาเมจนี้มันอะไรวะ

ผมฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยแก้เขิน หน้าร้อนเลยว่ะ สองอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอกันนี่เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย มีใครมาทำอะไรกับคนตัวเล็กของผมรึเปล่า ชอบนะครับที่ขนมพูดอะไรแบบนั้นแต่ความรู้สึกของผมมันก็ยังสัมผัสได้ถึงความแปลกไง

“ เป็นอะไรของมึง ” สัมผัสได้ถึงแรงลูบที่ท้ายทอย “ จะเอาหน้าฟุบพวงมาลัยทำไม ”

ผมไม่ตอบแต่จับมือน้องที่ลูบหัวผมอยู่มาแนบไว้ข้างแก้มแทน อุ่นจังแถมมือยังนิ่มมากอีกต่างหาก สัมผัสนี้คือของจริงสินะ น้องนั่งอยู่ข้างๆผมจริงๆ ผมไม่ได้ละเมอไม่ได้ฝันด้วย ระยะห่างสองอาทิตย์มันจบลงไปแล้วจริงๆว่ะ ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องก่อนจะยิ้มหวาน “ พี่คิดถึงขนมนะ ”

“ มึง....” แก้มใสนั่นขึ้นสีระเรื่อทันที เขินสินะ ไม่รู้ว่าเขินเพราะว่าผมบอกว่าคิดถึงหรือผมเรียกแทนตัวเองว่าพี่ หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองอย่าง

“ เขินหรอ ”

“ เขินสิวะ ” น้องเอามือข้างที่ว่างขึ้นมาลูบแก้มตัวเอง “ ขับรถได้แล้ว ไปที่หอไอ้เป้ก่อน ”

“ ได้เลยครับ ” ผมออกรถตามที่คนตัวเล็กสั่ง

มือของผมกับขนมยังจับกันอยู่แบบนั้น น้องไม่ได้ชักมือออกแต่อย่างใดนะครับ พอเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกดีจัง ผมเหลือบมองคนตัวเล็กเป็นระยะ ขนมเล่นโทรศัพท์อยู่ครับ ดูจากหน้าจอนั่นน่าจะเล่นอินสตาแกรม นี่น้องเล่นไอจีด้วยหรอวะเพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ย เดี๋ยวต้องไปแอบส่องละ

ขนมละจากจอขึ้นมามองผม “ มึงเตรียมของเสร็จแล้วใช่ป้ะ ”

“ เสร็จแล้ว แล้วมึงอ่ะ ”

“ เรียบร้อยละของอยู่ที่รถไอ้หมีอ่ะ ”

“ อ่อ ละนี่คือไปกันทั้งกลุ่มเลยใช่ไหม เอารถใครไปบ้างอ่ะ ”

“ ก็มีรถมึงกับรถไอ้หมี แบ่งกันนั่งไปคันละ 4 คนก็พอแล้วมั้ง เออพวกอุปกรณ์ถ่ายหนังอ่ะกูขอใช้รถมึงขนนะ ”

“ โอเคครับ ” ผมเลี้ยวเข้ามาจอดด้านหน้าหอของเป้ เพื่อนๆของขนมก็นั่งรอกันอยู่ จากสีหน้ามุ่ยๆนั่นถ้าน้องลงไปคงโดนบ่นไม่ใช่น้อยแน่ๆ

“ รออยู่นี่แหละ ” ขนมบอกก่อนจะลงจากรถ

ผมนั่งมองน้องอยู่ในรถ ขนมโดนเพื่อนบ่นจริงๆด้วยครับแต่เจ้าตัวก็ทำเป็นโวยวายใส่แล้วก็สั่งให้เพื่อนๆช่วยกันขนของขึ้นรถ โคตรมีอำนาจเลยว่ะ เท่าที่ผมสังเกตน้องคงจะเป็นศูนย์กลางและเป็นที่รักของเพื่อนๆมาก ทุกคนนี่ดูเป็นห่วงกันไปหมด ไอ้เผือกเคยมาคุยกับผมด้วยนะครับในช่วงที่ผมเพิ่งจีบขนมใหม่ๆ มันมาบอกว่าถ้าผมทำให้ขนมเสียใจล่ะก็มันจะกระทืบผมเอง ผมก็ตอบกลับไปว่าผมจะไม่ทำให้ขนมเสียใจเด็ดขาด

ชนแก้วสัญญาแบบลูกผู้ชายด้วยนะ

ใช้เวลาไม่นานขนมกับบรรดาผองเพื่อนก็ขนของขึ้นรถกันจนเสร็จ โดยที่รถของผมมีไอ้หมีกับไอ้เผือกมานั่งอยู่ด้านหลัง ขนมก็มานั่งหน้าคู่กับผม ตอนนี้ประมาณเกือบ 5 โมงแล้วครับ ผมเคยไปชะอำมากับเพื่อนๆเมื่อปีก่อน จากที่นี่ถึงนั่นก็ใช้เวลาสัก 3 ชั่วโมงกว่าๆ

“ ตามไอ้เป้มันไปเลยอ่ะ ” ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะออกรถขับตามไป

“ เป็นไงพี่ขุน ”

“ เป็นไงอะไรวะไอ้หมี ”

“ ก็เรื่องสอบแล้วก็เรื่องลุคใหม่ของไอ้หนมอ่ะ ”

“ เรื่องสอบก็ไม่เท่าไหร่ ส่วนเรื่องลุคใหม่ของขนมนี่....” ผมเหลือบมองน้อง “ น่ารักมาก ”

“ น่ารักบ้าอะไรวะ ” คนข้างๆพึมพำก่อนจะทำเป็นหันไปมองข้างทางแทน

“ แน่ะ เขินสินะมึงน่ะ ”

“ หุบปากได้แล้วไอ้หมี ” ไอ้เผือกมันมองไอ้หมีนิ่งๆ ไอ้คนที่ถูกมองก็เอามือยกขึ้นปิดปากตัวเองทันที มึงกลัวมันสินะ

ผมยกมือไปขยี้หัวขนมเบาๆ “ หิวไหมครับ ”

“ ไม่อ่ะ ไอ้เป้บอกว่าให้ป้าแม่บ้านเตรียมกับข้าวไว้แล้ว กูจะรอไปกินปูนึ่ง ”

“ ชอบกินจริงๆเลยนะปูกับกุ้งเนี่ย ”

“ ชอบสิ ก็มันอร่อยหนิ ไอ้หมีมึงเอาขนมมาซิ ”

“ นี่ครับเพื่อนหนม ” ไอ้หมีมันส่งขนมมาให้ก่อนจะเอนตัวพิงไอ้เผือกเล่นโทรศัพท์ต่อ

“ ขอบใจ ” น้องรับขนมมาแกะก่อนจะหันมามองผม “ กินไหม ”

“ กินครับ ป้อนหน่อยสิ ”

“ ก็กินเองสิวะ ”

“ จะกินได้ยังไงล่ะขับรถอยู่...ป้อนหน่อยนะ ” ผมทำเสียงอ่อนอ้อนน้อง คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาป้อนผม “ อื้ม...อร่อยจัง ”

“ เว่อร์ละ ”

“ พูดจริงๆนี่นา ” ผมยิ้มหวานให้น้องที่แก้มแดงจางๆ เขินอะไรของเขาวะ นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

การเดินทางไปชะอำในครั้งนี้มันจะต้องเป็นอะไรที่น่าจดจำแน่ๆเลยว่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นการมาทำงานก็เถอะ ผมมีเวลาแค่อาทิตย์เดียวที่จะทำให้น้องตกลงเป็นแฟนของผม แต่เรื่องนั้นคงจะต้องจัดการหลังจากที่ถ่ายหนังสั้นเสร็จเพราะผมคิดว่าขนมจะต้องเอางานมาเป็นหลักแน่นอน จะเป็นยังไงก็คงจะต้องรอลุ้นต่อไปสินะ

“ ไม่ได้อิจฉาเลยโว้ยยยยยยย ”

ไอ้หมีเอ้ย ถึงทะเลเมื่อไหร่กูจะเอามึงไปกลบทราย

หมั่นไส้



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]





บ้านพักริมทะเล ณ ชะอำ

หลังจากที่นั่งรถจนเมื่อยตูดก็มาถึงบ้านพักริมทะเลของพ่อไอ้เป้แล้วครับ พวกผมช่วยกันขนของเข้าไปในบ้านทันที ไอ้เป้บอกว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ จะมีก็แค่ลุงคนสวนกับป้าแม่บ้านที่อยู่ที่เรือนเล็กหลังบ้านคอยดูแลบ้านหลังนี้ให้ ตอนนี้ก็ประมาณสองทุ่มกว่าๆแล้วครับ วิวทิวทัศน์รอบบ้านก็มืดไปหมดเลย มีความวังเวงในระดับนึง

“ ห้องนอนมี 4 ห้อง ใครจะนอนกับใคร กูนอนกับไอ้ภีม ” เจ้าของบ้านถามและก็ชิงพูดก่อนเลย กลัวใครแย่งตอบหรอสัส

“ ทำไมต้องนอนกับไอ้ภีมตลอดเลยวะ ทำไมไม่นอนกับคนอื่นบ้างล่ะ ” ไอ้หมีมันเลิกคิ้วมองไอ้เป้ด้วยความสงสัย

“ เรื่องของกูอีกอ่ะ เดี๋ยวกูจะไล่มึงไปนอนชายหาด ”

“ ง่า....ใจร้ายจังเลยนะไอ้สัส ” ไอ้หมีมันมองค้อนไอ้เป้ไปทีนึง “ งั้นเอางี้ กูนอนกับไอ้เผือก ไอ้ไผ่นอนกับไอ้ปั้น ส่วนมึงไอ้หนมนอนกับพี่ขุนละกัน ” ไอ้หมีมันจัดแจงเสร็จสรรพไม่ถามคนอื่นสักคำ

“ ไม่อยากนอนกับกูหรอ ” ไอ้ขุนมันกระซิบถามผมเบาๆ

“ กูนอนได้ทุกที่แหละ ทำไมถึงถามวะ ”

“ ก็มึงทำหน้าเหมือนไม่อยากนอนกับกูอ่ะ ”

“ คิดมากน่ะมึง ” ผมยกกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะบอกกับเพื่อนๆ “ แยกย้ายเอาของไปเก็บป่ะได้ลงมากินข้าวกัน กูหิวละ ” ผมเดินนำไปที่ห้องของตัวเอง ผมตกลงกับไอ้เป้แล้วล่ะครับว่าจะนอนที่ห้องนี้

ห้องที่เห็นชายทะเลได้ชัดๆไงเล่า

ผมเอาเสื้อผ้ากับของใช้ออกจากกระเป๋ามาเรียงกันให้เป็นระเบียบในตู้ ไอ้ขุนมันก็มานั่งเรียงเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ข้างๆผม เสื้อผ้าของผมกับมันนี่ไม่ได้ต่างกันเลยนะ มีแค่ไซส์เท่านั้นอ่ะที่ไม่เหมือนกัน พูดถึงไซส์ยังนึกถึงกางเกงในที่มันให้ผมมาได้เลยว่ะ ผมยังจำคำพูดที่บอกว่ามันไซส์เล็กไปใส่ไม่ได้อยู่เลย

น่าหมั่นไส้นัก

“ ทำไมบ๊อกเซอร์ขาสั้นจังอ่ะ ” ไอ้หล่อมันหยิบบ๊อกเซอร์ผมไปกางดู

“ มันก็ต้องสั้นอยู่แล้วป้ะ ”

“ มันสั้นเกินนะ ”

“ ใส่อยู่ในห้องไม่เป็นไรหรอก ”

“ หึ ” ผมมองหน้าไอ้คนที่หึใส่ผมเมื่อกี้ หึใส่ทำไมวะ ไอ้หล่อมันก็ทำมึนใส่ผมก่อนจะพับบ๊อกเซอร์ตัวนั้นวางไว้ที่เดิม อะไรของมึงวะไอ้บ้า มึงทำกูงงนะเนี่ย

หลังจากที่พวกผมเก็บของเสร็จก็พากันไปกินข้าวครับ แล้วก็นัดแนะเรื่องการถ่ายทำของซีนวันพรุ่งนี้ ผมมีเวลาไม่เยอะเพราะงั้นต้องรีบหน่อย และถ้าเสร็จไวก็อาจจะได้ไปเที่ยวกันต่อ อยากจะบอกว่ากับข้าวที่ป้าแม่บ้านทำนั้นอร่อยมาก อาหารทะเลที่นี่มันสดมากจริงๆ ผมก็เลยกินเยอะกว่าปกติ ตอนนี้ก็แน่นๆพุงอยู่ไม่ใช่น้อย และตามสเต็ปก็คือเวลาที่เรากินอิ่มๆเนี่ยะ หนังท้องจะตึงและหนังตาเราก็จะหย่อน

เพราะงั้นนอน

“ ลุกขึ้นมาก่อนเลย กินอิ่มๆไปนอนได้ไงเดี๋ยวก็จุกหรอก ” ไอ้หล่อมันบ่นทันทีที่เห็นผมนอนแผ่อยู่บนเตียง คนเรากินอิ่มมันก็ต้องนอนสิวะไอ้ขุน มึงนี่ไม่เข้าใจวิถีชีวิตชาวโลกเลย

“ กูง่วงแล้ว ”

“ ถึงจะง่วงก็ต้องอดทนก่อน ถ้ามึงนอนเลยทันทีมึงอาจจะจุกนะอาหารอาจจะไม่ย่อยด้วย ” ไอ้ขุนเดินมาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นมานั่ง “ มันทรมานนะอาการพวกนั้นอ่ะ กูเป็นห่วงมึงเนี่ยะเข้าใจไหม ”

ผมมองหน้าไอ้ขุนที่แสดงสีหน้าความเป็นห่วงออกมา “ รู้แล้ว ยังไม่นอนก็ได้ ”

“ ดีมากครับ ไปดูดาวกันดีกว่า ” พอมันพูดจบก็ลากผมมาที่ระเบียงทันที อากาศด้านนอกเย็นนิดหน่อยอาจจะเป็นลมทะเลมั้งครับ

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่มีดาวประดับอยู่เต็มไปหมด ข้อดีของต่างจังหวัดก็คือเวลากลางคืนจะมองเห็นดาวได้ชัดนี่แหละนะ ถ้าเป็นในเมืองดาวจะเห็นดาวได้ไม่เยอะเท่านี้นะครับเพราะแสงไฟรบกวนจะเยอะมาก ฟีลตอนนี้นี่เหมือนตัวเองเป็นนายเอกในนิยายเลยว่ะ ตอนล่าสุดที่ผมแต่งที่บ้านไอ้ขุนไปนั้นก็คือฉากที่พระเอกง้อนายเอก พระเอกของผมง้อนายเอกด้วยการพาไปดูท้องฟ้าจำลองครับ ถึงมันจะไม่ใช่ดาวจริงๆแต่มันก็ดาวเหมือนกัน

“ สวยเนอะมึง ”

“ ใช่ ” ผมละสายตามามองไอ้ขุน มันไม่ได้มองท้องฟ้าแต่มันยืนมองหน้าผมอยู่ หน้ากูมีอะไรติดหรอวะ

“ มองหน้ากูทำไม ไม่มองดาวอ่ะ ”

“ ก็มองอยู่ ”

“ นี่หน้ากู ไม่ใช่ดาวสักหน่อย ”

ไอ้ขุนยิ้มบางๆก่อนจะยกมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “ มึงเป็นดาวที่สวยที่สุดของกูแล้ว ”

ตึกตัก

มึงนี่มันจริงๆเลย

ผมมองใบหน้าหล่อที่ยิ้มหวานออกมา พอเห็นแบบนั้นก็อดยิ้มไม่ได้เหมือนกันนะ ตอนนี้ในใจแม่งโคตรละมุนมากอ่ะ นี่ถ้าตัวลอยได้ผมว่าผมคงลอยไปอยู่กับดาวข้างบนนั่นละเอาจริงๆ

เก่งจริงๆเรื่องทำให้เขินเนี่ยะไอ้บ้า

เดี๋ยวผมเอามั่งๆ

“ เออขุน กูว่ากูยังไม่ได้บอกมึงอยู่อย่างนึง ”

“ อะไรอ่ะ ”

“ ก็ช่วงสองอาทิตย์ที่เราห่างกันอ่ะ ”

“ อื้ม ทำไมอ่ะ ”

“ กู.....” ผมยกมือไปเกลี่ยแก้มมันเบาๆเหมือนกับที่มันทำ “ คิดถึงมึงมากเลยว่ะ ”

ร่างสูงตรงหน้ามองผมตาค้าง หน้าหล่อๆนั่นเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ ไงล่ะมึงเขินสิเขิน วันหลังถ้ามันทำผมเขินผมจะต้องทำให้มันเขินกลับละ รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะเลยที่ทำให้คนอย่างไอ้ขุนมันเขินได้ ผมชอบหน้ามันเวลาเขินมากเลยนะมันให้ความรู้สึกดีอ่ะ

ความจริงก็ไม่ได้ชอบแค่หน้าอ่ะนะ

ผมชอบทุกอย่างที่เป็นมันเลยตอนนี้

ชอบมากจริงๆ

“ มึงนี่ร้ายเหมือนกันนะหนม ”

“ กูติดมาจากมึงทั้งแหละ ”

ไอ้บ้าขุน








TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 15 : 15/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-11-2017 22:21:16
 :L1:น้องหนม


 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 16 : 16/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 16-11-2017 20:55:33
บทที่ 16 ใจตรงกัน



“ หนม ”

“ หืม ”

“ เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างวะ ”

“ ยังไงอะไรของมึงวะไอ้หมี ”

“ ได้ป่ามป๊ามกับพี่ขุนยัง ”

“ ป๊ามหน้ามึงอ่ะไอ้สัสหมี ”

“ ด่าเพื่อนหมีทำไม ”

“ เลิกพูดมากละก็แบกของตามมาได้แล้ว ” ทำกูหน้าร้อนแต่เช้าแต่เลยไอ้เพื่อนบ้า

ผมเดินถือบทออกมานอกบ้านโดยมีไอ้หมีถืออุปกรณ์พวกกล้องกับขาตั้งกล้องตามออกมา ตอนนี้ประมาณ 6 โมงครับ ฟ้าก็เริ่มจะสว่าง ความแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาแต่เช้านี่มันทำผมมึนเหมือนกันนะ เท่าที่พวกผมคุยเรื่องบทเมื่อวานนั่น ก็กะว่าจะรีบถ่ายให้เสร็จภายในสองวัน โดยที่เราจะถ่ายกันแบบหฤโหดทั้งวันแบบแค่พักกินข้าวเที่ยง

เอาให้ตายกันไปข้างนึง

ผมกับไอ้หมีเดินมาที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชายทะเล ฉากหลักๆเราจะถ่ายที่นี่ครับ วิวตรงนี้นี่สวยใช้ได้เลยนะ ด้านหน้าเป็นทะเลส่วนด้านหลังก็เป็นต้นสนเรียงกันไปเป็นแนว ไม่มีคนรบกวนด้วยเพราะว่าพื้นที่ส่วนนี้เป็นของพ่อไอ้เป้ทั้งหมด ทุกคนมารอกันอยู่ที่นี่หมดแล้วในสภาพที่ดูง่วงซึมแปลกๆ มีแค่พระเอกของผมที่ดูแฮปปี้กว่าชาวบ้าน

เขินว่ะ

พระเอกของผม

“ นานจังวะ ” ไอ้ปั้นนี่บ่นก่อนชาวบ้านเลย

“ แหม่ให้กูกับไอ้หนมไปขนมากันแค่สองคนยังจะมีหน้ามาบ่น ” ไอ้หมีมันมองค้อนก่อนจะวางอุปกรณ์ทั้งหมดไว้บนเสื่อที่ปูไว้

“ ไอ้เผือกมึงเซ็ตอุปกรณ์เลย เดี๋ยวอีก 20 นาทีเริ่มซีนของต้นไม้นะ ” ไอ้ภีมมันสั่งงานไอ้เผือกก่อนจะหันมาหาไอ้เป้ “ แล้วของที่กูให้มึงเตรียมไว้อ่ะเป้เสร็จรึยัง ”

“ เสร็จหมดแล้ว ความทรงจำ 10 อย่าง ”

“ โอเค...สคริปของกูอ่ะไผ่ ”

“ นี่ ” ไอ้ไผ่มันยื่นสคริปของบทมาให้ไอ้ภีม วันนี้มันดูแอคทีฟมากเลยนะครับไอ้ภีมน่ะ ปกติจะเห็นมันเอาแต่ง่วงหงาวหาวนอน

ไอ้เผือกที่กำลังง่วนอยู่กับการเซ็ตอุปกรณ์หันมาหาไอ้ภีม “ มึงจะใช้กล้องกี่ตัว ”

“ 2 ตัวกล้องกว้างกับกล้องแคบ ส่วนอีกตัวนึงเดี๋ยวให้ไอ้ปั้นไปเก็บอินเซิร์ท ส่วนมึงไอ้หมีไปเซ็ตไวเลสซะ ”

“ ได้เลยครับผม ”

ผมนั่งฟังเพื่อนรักที่แจงหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ ปกติไม่ค่อยเห็นความตั้งใจทำงานแบบนี้เลย แต่ครั้งนี้ทุกคนดูจริงจัง ผมคิดว่าพวกแม่งคงอยากจะรีบๆ ทำและก็พากันไปเที่ยวแน่ๆ ชะอำมันที่เที่ยวเยอะนี่ครับและพวกผมหลังจากนี้พวกผมก็จะไม่มีเวลาแล้วด้วย จะพักผ่อนก็โอกาสนี้แหละเหมาะสุด

“ หนม ”

“ หืม ”

“ บทนี่มึงเขียนเองหรอ ”

“ อืม เป็นไงบ้าง ”

“ มันก็ละมุนดีนะ แต่กูกับมึงเข้าซีนกันไม่กี่ซีนเอง ” ไอ้ขุนมันทำหน้ามุ่ย

“ อย่าทำหน้าแบบนี้สิวะ ” ผมยกมือไปดึงแก้มขาวๆนั่น “ เป็นพระเอกก็ต้องทำหน้าให้มันหล่อๆสิ ”

ไอ้ขุนมันอมยิ้มแล้วเลิกคิ้วมองผม “ เดี๋ยวนี้มึงกล้าทำอะไรแบบนี้ด้วยหรอ ”

“ ทำอะไร ”

“ ก็ดึงแก้มกูเนี่ยะ ”

“ ไม่เห็นจะแปลกเลยหนิ หรือว่ากูจับไม่ได้ ” ผมปล่อยมือออกจากแก้มมันทันทีแต่มือเรียวของไอ้หล่อมันก็ชิงมาจับมือผมไปแนบแก้มไว้อย่างเดิม

“ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย กูชอบซะด้วยซ้ำ อยากจะจับจะคลำก็ทำตามใจเลย กูยอม ”

“ ไอ้บ้า ” ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นเลยนะไอ้สัส

ใจกูสั่นหมดแล้ว

“ นักแสดงตรงนั้นจะหวานอีกนานไหมครับ ทีมงานโดนมดกัดหมดแล้ว ” เสียงแซวจากไอ้หมีดังนำมาก่อนที่ตัวมันจะตามมาด้วย หน้ามันนี่แบบเดินมองบนมาเลยอ่ะ

น่าหมั่นไส้ชิบ

“ เอาไบกอนไหมล่ะไอ้หมี ” ไอ้ขุนถาม

“ เอามาฉีดมดหรอพี่ ”

“ เอามาฉีดมึงนั่นแหละ ” พอไอ้ขุนพูดแบบนั้นไอ้หมีมันก็ทำหน้าบูดทันที ฮ่าๆ สมน้ำหน้า

“ ใจร้ายจริงๆเลย มาให้หมีติดไวเลสให้ก่อนละค่อยสวีทกันนะ ”

ผมอยากจับไอ้หมีกดน้ำชะมัด

คันไม้คันมือ

ขณะที่ไอ้หมีกำลังติดไวเลสให้พวกเราอยู่นั้นผมก็ยกบทขึ้นมาอ่าน เอาจริงๆบทหนังสั้นที่ผมเขียนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนนะครับ พล็อตหนังมันเล่าถึงคำสัญญาของคนสองคนที่เคยให้กันไว้ก่อนที่จะห่างกันไปไกลเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง และบทที่พระเอกกับนายเอกเข้าซีนด้วยกันก็มีแค่นิดเดียวแล้วนอกนั้นก็แยกถ่ายเดี่ยว

ดีละผมจะได้ไม่ต้องเขินไอ้ขุนมันเยอะ

หนังสั้นเรื่องนี้ชื่อว่า distance ครับแปลว่า ระยะห่าง เรื่องราวเล่าถึงความรักของน่านน้ำกับผืนฟ้าครับ ผืนฟ้าเป็นลูกคุณหนูที่เพิ่งจบม.6แล้วก็ตัดสินใจมาเที่ยวทะเลฉลองให้กับชีวิตมัธยมที่จบไป โดยเลือกที่มาทะเลคนเดียวครับ แล้วมันก็เป็นโชคร้ายของผืนฟ้าที่ดันตะคริวกินตอนที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่เลยทำให้ตัวเองจมน้ำ และคนที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์นั้นและเข้าไปช่วยก็คือน่านน้ำครับ นั่นเป็นครั้งแรกที่สองคนนี้เจอกัน

และมันเป็นเหมือนรักแรกพบ

น้ำเน่าเนอะ

ผืนฟ้ามีเวลาอยู่ที่นี่ได้แค่อาทิตย์เดียวก่อนจะกลับไปที่บ้าน ในระยะเวลานั้นน่านน้ำก็อาสาเป็นคนพาผืนฟ้าเที่ยว สองคนนี้เริ่มผูกพันกันในระหว่างนั้นถึงแม้ว่าเวลาจะแค่สั้นๆก็ตาม และวันสุดท้ายที่สองคนอยู่ด้วยกัน น่านน้ำก็พาผืนฟ้ามาใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะบอกว่าตัวเองกำลังจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ จะกลับมาไทยปีละครั้งแต่มันจะไม่ตรงกับช่วงเวลาที่ผืนฟ้ามาเที่ยวที่นี่ ก็คือว่าจะไม่ได้เจอกันนั่นแหละครับ

เศร้าว่ะ

แต่การจะไม่ได้เจอกันนั่นแหละที่จุดเริ่มต้นของสัญญา สองคนนี้เลือกที่จะไม่ทิ้งที่ติดต่อไว้ให้กันนะครับแต่ว่าตกลงกันไว้ว่าในทุกปีถ้าใครคนนึงมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่นี้ ให้ฝังสิ่งของและจดหมายเอาไว้เพื่อเล่าเรื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน ถ้าปีไหนไม่มีสิ่งของฝังทิ้งไว้ก็ให้จำไว้ว่าความรู้สึกของใครคนใดคนนึงเปลี่ยนไป และก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาที่นี่อีก เริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ

เศร้าอีกละ

แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะให้มันจบแซดเอนด์หรอกนะครับ ใครๆก็ชอบเรื่องที่มันจบแบบมีความสุขใช่ไหมล่ะ พอสองคนสัญญากันไว้แบบนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องจากกัน ทุกๆ ปีทั้งน่านน้ำและผืนฟ้าก็เอาของมาฝังไว้ตามสัญญาและก็มักจะนั่งคิดถึงเรื่องราวตอนที่อยู่ด้วยกันที่ใต้ต้นไม้นี้

อันนี้ซึ้งอยู่

พอเวลาผ่านไป 5 ปี น่านน้ำก็กลับมาอยู่ประเทศไทยแบบถาวร แล้วผืนฟ้าก็มาที่นี่และสองคนนี้ก็เจอกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน 5 ปีนั้นสองคนนี้ก็เปลี่ยนไปเยอะแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือความรู้สึกครับ มันยังเหมือนกับตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก และสุดท้ายพอมาเจอกันก็พูดความในใจที่มีทั้งหมดให้กันฟังและก็คบกัน

จบบริบูรณ์

ปรบมือ แปะๆๆๆๆ

“ ไหนลองพูดดิ้หนม ” ไอ้หมีสั่งผมหลังจากที่มันติดไวเลสให้ผมเสร็จ

“ ไอ้สัสหมี ”

“ เออชัดละ อีก 10 นาทีเริ่มถ่ายนะ ทำใจให้ปลอดโปร่งซะ ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะเดินไปหาไอ้ภีม

“ ตื่นเต้นไหมหนม ”

“ ไม่อ่ะ ”

“ กูตื่นเต้นจัง ”

“ ตื่นเต้นทำไมวะ ”

“ ก็ได้แสดงหนังที่มึงเขียนเลยนะ ” คนพูดพลางยิ้มหวาน “ กูจะพยายามให้เต็มที่ หนังของมึงมันจะต้องออกมาดีที่สุด ” มือเรียวยกขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ ผมเองก็คลี่ยิ้มบางๆให้มัน

ผมยืนมองคนตัวสูงนิ่งๆ ดีจังที่มันบอกว่ามันจะพยายาม ฉากของไอ้ขุนมันถ่ายก่อนผมด้วย เดี๋ยวจะต้องมาดูความพยายามของมันครับ ดูซิว่าเดือนวิศวะของปีที่แล้วเนี่ยะจะมีสกิลการแสดงดีมากแค่ไหน ตัวผมเองพอถึงฉากของตัวเองก็ต้องพยายามให้มากเหมือนกันเพราะว่านี่เป็นงานแรกที่ผมมาทำเบื้องหน้า ผมจะไม่ต้องทำให้เพื่อนๆเสียเวลา

แต่ว่าประหม่าเหมือนกันแฮะ

“ พี่ขุนเข้าฉากเลยครับ ” เสียงไอ้หมีแหกปากเรียกดังลั่น ไอ้ขุนจึงเดินไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ตามบทที่เขียนไว้ครับ ส่วนผมก็เดินมาอยู่หลังกล้องกับท่านผู้กำกับภีม

เข้ ตำแหน่งโคตรเท่

“ เอาเลยนะครับ ” ไอ้ภีมส่งสัญญาณให้เหล่าทีมงาน “ กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน ”

ไอ้ไผ่ก็ถือเสลดไปยืนอยู่หน้ากล้อง “ ซีน 1 คัท 1 เทค 1 แอคชั่น ”

การถ่ายเริ่มขึ้นแล้วครับ ตอนนี้ก็ทุกคนก็เข้าสู่ความเงียบ มีแต่เสียงคลื่นทะเลกับนกร้องในยามเช้า เวลาตอนนี้น่าจะ 7 โมงกว่าๆแล้วล่ะครับ แสงจากพระอาทิตย์นี่กำลังสวยเชียวและก็ยังไม่ร้อนมากด้วย ซีนที่ถ่ายตอนนี้เป็นซีนที่พระเอกนั่งมองทะเลนิ่งๆ เดี๋ยวผมก็ต้องเล่นซีนนี้เหมือนกัน ใครอาจจะมองว่าซีนนี้เล่นง่ายๆนะครับ แค่นั่งมองทะเลชิวๆ

แต่มันไม่ง่ายนะบอกเลย

เราจะไม่คิดว่าร่างสูงที่นั่งมองทะเลตอนนี้คือไอ้ขุนครับ เราต้องคิดว่านั่นคือน่านน้ำ น่านน้ำที่กำลังอายุ 19 น่านน้ำที่ไม่ได้เจอผืนฟ้ามา 1 ปี ความคิดถึงที่มันแสดงออกมาทางสีหน้านั้นผมว่ามันยากนะครับ แล้วก็ต้องถ่ายซีนแบบเนี่ยะแต่ช่วงอายุเพิ่มขึ้น ความรู้สึกคิดถึงที่มันเพิ่มขึ้น เดี๋ยวจะต้องเปลี่ยนชุดและก็ทำผมให้มันแตกต่างกันในแต่ละปีด้วย มันก็จะยุ่งยากหน่อยๆ

“ คัทครับ ” หลังจากที่ไอ้ขุนนั่งมองทะเลนิ่งๆไปสักสิบกว่านาทีท่านผู้กำกับก็สั่งคัท “ ต่อไปเป็นซีนเดินเลาะชายหาดนะครับพี่ขุน ”

“ เป็นไงบ้าง ใช้ได้รึเปล่า ” ไอ้หล่อมันถาม

“ ใช้ได้เลยพี่ แม่งดูคิดถึงจริงๆอ่ะ ” ท่านผู้กำกับมีอวยไอ้พระเอกด้วยว่ะ แต่มันก็จริงๆแบบที่ไอ้ภีมพูดนั่นแหละครับ ไอ้ขุนมันแสดงสีหน้าออกมาได้อารมณ์จริงๆ

อารมณ์คิดถึงนะครับอย่าคิดเป็นอย่างอื่น

“ ตอนนั่งคิดถึงใครอยู่อ่ะพี่ ” ไอ้หมีมันจ้องจะเอาคำตอบจากไอ้หล่อครับ มึงนี่ก็เสือกจริงๆเลยนะ

“ ชีวิตกูจะคิดถึงใครนอกจากขนมวะ ”

ฉ่า

แก้มร้อนเลยว่ะ

“ เห้ยไอ้หนมมันแก้มแดง ” ไม่ต้องมาแซวเลยนะไอ้สัสเป้

“ กูร้อนเฉยๆหรอกน่า รีบๆไปถ่ายกันต่อได้ละ ชักช้ากูซัดคว่ำจริงๆด้วย ” ผมขู่พวกมันก่อนจะรีบเดินหนีออกมาจากตรงนั้น ไม่อยากโดนแซวครับเดี๋ยวจะเขินหนักเข้าไปอีก

ผมไม่ชินกับการถูกไอ้ขุนหยอดจริงๆ ยังไงก็ไม่ชินอ่ะ บางทีมันก็ไม่ได้คิดจะหยอดหรอก แต่แค่คำพูดธรรมดาๆของไอ้ขุนมันก็ทำให้ผมเขินและก็ใจเต้นแรงได้แล้วอ่ะ ถ้าสมมุติว่าผมคบกับมันขึ้นมาแล้วก็ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ผมจะทนกับความเขินนี้ได้ไหมนะ ต้องทนได้สิเหมือนกับคำพูดที่ว่า

เราจะทนทุกอย่างได้เพื่อคนที่เรา....

“ เดี๋ยวไอ้หนม นั่นมันผิดทางแล้ว ”

นี่แหละที่มาของคำว่าความรักทำให้เราหลงทาง

ขอบใจมากเพื่อนหมีที่เตือนสติคนเด๋ออย่างกู เฮ้อ อาการหนักเหมือนกันนะเนี่ยขนม

บ้าชะมัด





“ หิวข้าวโว้ยยยยยยยย ”

“ จะเสียงดังทำไมวะไอ้หมี ”

“ ก็กูหิวข้าวอ่า ”

“ ก็ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยป้ะวะ ”

“ ทำไมมีแต่คนบ่นเพื่อนหมีล่ะ เพื่อนหมีเสียใจนะ ” ไอ้คนที่บอกว่าเสียใจยกมือขึ้นทำเป็นปาดน้ำตา

น่าทุบจริงๆเลยโว้ย

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆแล้วครับ ทีมงานคุณภาพของพวกผมก็ถ่ายเก็บซีนใบ้ไปได้หลายซีนละ เอาจริงๆฉากหลักๆนี่ถ่ายเสร็จไปเกินครึ่งแล้วนะไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้เหมือนกัน ผมว่ามันน่าจะเป็นเพราะความอยากไปเที่ยวของพวกมันแน่ๆถึงรีบทำให้งานมันเสร็จ และถึงงานจะเสร็จไวแต่ก็ไม่ชุ่ยนะครับ ถ้างานชุ่ยพวกผมก็คงจะโดนอาจารย์ตัดคะแนนย่อยยับ

และเอก็จะหายวับ

ผมกับเดอะแก๊งค์เดินกลับมาที่บ้านครับเพื่อกินข้าว เบรกกอง 1 ชั่วโมงก่อนจะเตรียมไปถ่ายกันต่อ ฉากตอนบ่ายคือฉากที่เจอกันครั้งแรกครับ เป็นฉากที่ผมจะต้องจมน้ำด้วย ไอ้พวกทีมงานนี่ส่งสายตาจิกผมเป็นว่าเล่นเลยเพราะมันบอกว่าผมจะได้เล่นน้ำก่อนชาวบ้าน

โคตรเลอะเทอะเลยแต่ละคน

“ กินกุ้งไหมหนม ”

“ กิน ”

“ มานั่งนี่มา ” สิ้นคำไอ้หล่อผมก็เดินลงมานั่งข้างๆมัน มือเรียวก็แกะกุ้งส่งมาให้ผม ส่วนเพื่อนๆ ก็เอาแต่มองผมกับไอ้ขุนแล้วก็ทำปากขมุบขมิบ

“ เป็นบ้าอะไรของพวกมึง ” ผมหยิบซากเปลือกกุ้งปาใส่พวกมัน

“ ไอ้บ้าหนม แม่มึงสอนว่าห้ามเอาของกินมาปาไง ” ไอ้หมีมันโวยวายใส่ผมทันที

“ ของกินหน้ามึงอ่ะ มึงกินเปลือกกุ้งหรอไอ้สัสหมี ”

“ ก็อร่อยนะมันจะกรุบๆ ”

“ กรุบพ่องอ่ะ ” ผมมองค้อนใส่ไอ้หมี ตัวมันก็ทำหน้าเหลอหลาใส่ผม น่าหมั่นหน้าชิบ ไว้งานเสร็จก่อนเถอะไอ้หมีกูจะส่งมึงไปอยู่ก้นทะเล

หลังจากที่ปะทะฝีปากกับไอ้หมีเสร็จผมก็นั่งกินข้าวเงียบๆ ครับโดยมีไอ้หล่อนั่งแกะกุ้งให้ผมกินไปด้วย ดีเนอะมีคนแกะกุ้งประจำตัวด้วยอ่ะ แถมคนแกะกุ้งยังหน้าตาดีมากๆ อีกต่างหาก ปกติกุ้งเนี่ยะผมจะไม่แกะเองนะครับเพราะว่าขี้เกียจ แต่ชอบกินไง ถ้าไปกินกุ้งกับเพื่อนๆ ไอ้เผือกมันจะเป็นคนแกะให้ผม แต่ถ้ากินกุ้งที่บ้านคนที่จะแกะให้ผมคือไอ้ขัน

นี่แหละเรื่องดีหนึ่งเดียวในตัวมัน

“ หนม ”

“ หืม ”

“ อร่อยไหม ”

“ อร่อยมากๆ ” ผมเคี้ยวกุ้งแก้มตุ่ย

“ ถ้าอร่อยไหนลองยิ้มให้ดูดิ้ ”

“ ทำไมต้องยิ้มให้ดูอ่ะ ”

“ อยากเห็น ” ไอ้ขุนมันจ่อกุ้งที่ปากผม “ มึงยิ้มแล้วน่ารักอ่ะกูจะได้ใจมาตอนถ่าย ”

“ ใจมาอะไรของมึงไอ้บ้า ” ผมงับกุ้งที่มันป้อนก่อนจะอมยิ้มมองมัน เจ้าตัวที่เห็นผมอมยิ้มให้มันก็ยิ้มแก้มปริออกมา มึงจะมีความสุขอะไรขนาดนั้นล่ะพ่อหนุ่ม

“ อื้ออ.อ.อ...น่ารัก ” ไอ้หล่อมันยกมือขึ้นมาจิ้มแก้มผมเบาๆ เดี๋ยวนะ มือมึงแกะกุ้งมาไม่ใช่หรอไอ้สัส

ผมหุบยิ้มก่อนจะนั่งกินข้าวต่อ หางตาก็เห็นไอ้หมีมันแอบป้องปากคุยอะไรกับไอ้ปั้นไม่รู้พลางส่งสายตากวนตีนมองมาทางผม ผมกะจะด่ามันละแต่เสียดายเวลากินข้าว ช่วงนี้ไอ้หมีมันดูโอเคขึ้นมากว่าช่วงที่ผ่านมาครับ สีหน้ามันดีขึ้นจนผมรู้สึกได้ มันไม่ค่อยทำหน้าปวดใจละ แต่ผมก็ไม่รู้นะว่ามันแฮปปี้จริงๆรึเปล่า มันอาจจะยังเศร้าเหมือนเดิมแต่แค่เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้มันลึกมากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น

มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ

“ เป็นอะไรรึเปล่า ”

ผมส่ายหน้าตอบคนถาม “ เปล่า ถามทำไม ”

“ ก็สีหน้ามึงดูแปลกๆ ”

“ มึงมองออกด้วยหรอวะขุนว่ากูกำลังรู้สึกอะไร ”

“ ก็พอมองออกนะ สีหน้าเมื่อกี้เหมือนมึงเป็นห่วงหรือกังวลอะไรสักอย่างอยู่ ”

“ ทำไมมึงถึงรู้ได้อ่ะ ” หน้าผมมันแสดงออกมาง่ายขนาดนั้นเลยหรอวะ

“ กูตามจีบมึงมาจะ 3 เดือนเลยนะหนม กูก็ต้องสังเกตและจดจำสิ่งที่เกี่ยวกับตัวมึงสิ ถ้าเรื่องแค่นี้กูยังไม่รู้แม่งก็แย่มากอ่ะจริงๆ ”

ตึกตัก

เอาอีกแล้ว

ไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับว่าทำไมคำพูดธรรมดาๆมันถึงทำให้ใจเราเต้นแรงขนาดนี้ได้

“ อะไรกัน พูดแค่นี้ถึงกับเขินเลยหรอ ” ไม่ต้องมายิ้มเลยนะไอ้สัส

“ กูร้อนต่างหาก รีบๆกินซะจะได้ไปถ่ายกันต่อ ” ผมบอกมันก่อนจะมองทางผองเพื่อน “ พวกมึงก็ด้วย รีบๆกิน ”

“ ทำไมต้องแวะมาแถวนี้วะ ”

มึงอีกแล้วนะไอ้สัสหมี


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 16 : 16/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 16-11-2017 20:57:01
---------- ต่อจากบท 16 ----------


บ่ายสองกว่าๆที่แดดเปรี้ยงมากๆ

แสบตาแค่ไหนถามใจดู

ผมยืนหรี่ตามองทะเลเบื้องหน้า ตอนนี้กำลังจะถ่ายฉากจมน้ำครับ อากาศตอนนี้ร้อนระอุมากๆ ผมนี่แทบจะระเหยไปพร้อมกับน้ำทะเล นอกจากจะแสบตาแล้วผมก็ยังแสบผิวด้วยไอ้ครีมกันแดดที่ทามาก็ไม่น่าจะเอาอยู่อ่ะกับแดดประเทศนี้ แล้วนี่ต้องลงน้ำทะเลอีก รับรองได้เลยว่าไหม้แน่นอน

เตรียมนั่งลอกผิวหนังได้

“ เอาเลยนะครับ ” เสียงท่านผู้กำกับภีมตะโกนสั่งมาแล้วครับ ผมก็เตรียมเล่นตามบท

“ กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน ”

“ ซีน 4 คัท 1 เทค 1 แอคชั่น ”

ทันทีที่ผมได้ยินเสียงคำว่าแอคชั่นผมก็เดินเลาะตามหาด มีเตะน้ำทะเลบ้างก้มหยิบเปลือกหอยมาดูบ้าง ผมค่อยๆเดินลงทะเลพลางเล่นน้ำไปด้วย คลื่นที่กระทบร่างผมนี่แรงเอาเรื่องเลยว่ะ ปกติบ่ายสองคลื่นไม่น่าจะแรงถึงขนาดนี้นะครับ แต่ไม่เป็นไรคลื่นแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ตามบทผมจะต้องเป็นตะคริวผมกะว่าจะไปให้มันลึกกว่านี้หน่อยตอนนี้น้ำยังแค่ระดับเอวของผมเอง

น้ำทะเลนี่เค็มจังวะ

ผมชอบทะเลนะครับชอบมองอ่ะไม่ชอบเล่น ผมไม่ชอบที่น้ำมันเค็มแล้วพอน้ำเค็มๆแบบนี้เข้าตามันก็จะแสบตา ผมเคยโดนคลื่นซัดจนไปเกยบนชายหาดด้วยแหละแบบโคตรหมดสภาพอ่ะ พอหลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำทะเลมาตลอด นี่เป็นเพราะงานหรอกนะผมถึงยอมลงในทะเลอ่ะ

ไม่ใช่งานนี่อย่าหวัง

ตอนนี้ผมเดินลุยคลื่นลงมาจนตอนนี้ระดับน้ำถึงกับช่วงหน้าอกแล้วครับ นี่ก็ลงมาลึกแล้วนะแต่ไอ้คลื่นที่ซัดเข้ามาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลยว่ะ ผมนี่ทำได้แต่กระโดดให้ตัวเองอยู่สูงกว่าคลื่นเพื่อที่จะไม่ให้โดนซัดไป ผมเห็นสัญญาณมือของท่านผู้กำกับยกบอกให้ผมเริ่มแสดงให้ตัวเองกำลังจมน้ำได้

“ อื้ออออ.อ....ขามัน ” ยังไม่ทันที่จะพูดจบผมก็จมลงในน้ำทันทีพร้อมกับอาการปวดรุนแรงที่ขาขวา มันปวดและเกร็งมากจนขยับไม่ได้ อาการนี้มัน...

ตะคริว

ไม่นะ

ผมกลั้นหายใจก่อนจะบีบขาตัวเองเพื่อให้กล้ามเนื้อมันคลายออก แต่มันก็ยากลำบากมากเพราะคลื่นแรงๆที่ซัดอยู่ใต้น้ำ ผมพยายามจะตะเกียกตะกายจะขึ้นไปหายใจแต่ดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่มีแค่มือผมข้างเดียวเท่านั้นที่โผล่ขึ้นไปเหนือน้ำได้ กล้ามเนื้อคลายสักทีสิวะกูจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย

“ อื้ออ..อ.อ....” แรงคลื่นซัดเข้าซ้ำที่ผมจนทำให้อากาศที่กลั้นอยู่โดนปล่อยออกไปทันที ผมกลืนน้ำทะเลลงไปหลายอึก อากาศผมถูกทะเลแย่งชิงไปแล้ว

ขาผมมันขยับไม่ได้ และตัวของผมก็กำลังจะหมดแรง ผมกำลังจะจมน้ำจริงๆ ตามบทที่ผมเขียน ผมมองเห็นแค่เงาพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่ด้านบนลางๆ ในใจก็หวังว่าไอ้ขุนมันจะมาช่วยผมทันเหมือนที่น่านน้ำมาช่วยผืนฟ้าทัน ตอนที่ผืนฟ้าจมน้ำยังมีโอกาสตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ผมไม่มีแม้แต่โอกาสนั้น เชื่อแล้วครับที่เขาบอกว่าคนที่กำลังจะตายมักจะเห็นหน้าคนที่เรารัก ผมเห็นหน้าครอบครัว ผมเห็นหน้าเพื่อน และผมก็เห็นหน้า....

ไอ้ขุน

กูขอโทษนะ



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



“ แค่กก.ก....ขนม ” ผมรั้งร่างบางขึ้นมาก่อนจะรีบพากลับเข้าฝั่ง ไอ้คลื่นเชี่ยนี่ก็จะแรงไปไหนเนี่ยะไอ้สัส

ตอนที่ผมนั่งดูน้องอยู่บนฝั่งก็รู้สึกละว่ามันแปลกๆ น้องจมลงไปในน้ำแต่ดันไม่ได้ตะโกนขอความช่วยเหลือตามบท แต่กลับโผล่มือขึ้นมาแทนแถมยังดูตะเกียกตะกายยังไงก็ไม่รู้ เป็นแบบนั้นแหละผมถึงรู้ว่ามันไม่ใช่การแสดง น้องจมน้ำจริงๆ ผมก็รีบวิ่งลงไปในน้ำทันทีหวังจะช่วยน้อง แต่น้องก็จมหายไปต่อหน้าต่อตาผม

ใจไม่ดีเลยตอนนี้

พวกเพื่อนๆน้องก็รอบนหาดด้วยความเป็นห่วง ผมรีบอุ้มน้องขึ้นมานอนลงบนหาดก่อนจะเอาหูแนบหน้าอกน้อง หัวใจขนมไม่เต้นแล้ว ไม่เอาสิไม่เอาแบบนี้

“ ไม่นะหนม ” ผมปั๊มหัวใจให้น้องทันทีตามแบบที่เคยเรียนมา “ ฟื้นสิหนม ”

“ ไอ้หนม ”

“ หนมครับฟื้นมาหาพี่สิ ” ผมปั๊มหัวใจให้น้องไปเรื่อยๆ แต่คนตรงหน้าผมก็ยังนอนนิ่งไม่ตอบสนอง ผมจึงจับให้หน้าน้องเงยขึ้นก่อนจะบีบจมูกและก้มลงเป่าลมเข้าไปในปาก ตาก็เหลือบมองหน้าอกน้องไปด้วย

ร่างเล็กตรงหน้าผมยังคงไม่ขยับ ผมก็ได้แต่ผายปอดให้น้องอยู่แบบนั้นสลับกับปั๊มหัวใจ มันเป็นความผิดของผมเองที่รู้ตัวช้าไปและก็ไปถึงน้องช้าเกิน ผมสัญญากับตัวเองแล้วแท้ๆว่าจะคอยดูแลน้องให้ดี แต่แค่นี้ผมยังช่วยน้องไว้ไม่ได้ ไม่เอานะแบบนี้น่ะ ผมยังไม่ได้บอกรักน้องเลย พระเจ้าจะเอาน้องไปจากผมไม่ได้

“ หนมครับกลับมาหาพี่สิ ” ผมก้มผายปอดน้องก่อนจะกุมแก้มใสไว้ “ กลับมาหาพี่ก่อนนะครับ พี่ยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญให้เราฟังเลยนะ ” หยดน้ำตาของผมหล่นใส่แก้มใสของน้องเบาๆ ผมไม่พร้อมที่จะเสียน้องไปตอนนี้

ไม่พร้อมจริงๆ

“ กลับมาหาพี่ก่อนขนม ”

พี่รักขนมนะ

“ แค่กก.ก.ก...แค่ก.ก.ก.ก.ก.....” เสียงสำลักน้ำดังออกมาจากร่างเล็กพร้อมกับเสียงโกยหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ดวงตาที่ปิดอยู่ในตอนแรกค่อยๆลืมตามองขึ้นมามองผม

" ขนม "

“ ไอ้ขุน ” ดวงตาใสมีน้ำตาคลอออกมา ร่างเล็กโผกอดผมไว้แน่น “ ไอ้ขุนนนนน....ฮึกก.ก.ก....นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ามึงอีกแล้ว ” เสียงสะอื้นนั่นพึมพำอยู่ข้างหูผม ขอบคุณพระเจ้าครับที่พาน้องกลับมา ขอบคุณที่ยังให้น้องอยู่กับผม

“ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษที่ไปช่วยเราช้า ” ผมลูบหัวปลอบขนมเบาๆ “ ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ ”

“ ฮึกก.ก....ขอบคุณที่ช่วยกูไว้...ฮึกก.ก....ขอบคุณจริงๆไอ้ขุน ”

ผมนั่งปลอบขนมอยู่แบบนั้น น้องคงจะขวัญเสียมากในตอนนี้ เวลาจมน้ำมันน่ากลัวนะครับผมเคยจมน้ำมาก่อน มันทรมานมากความรู้สึกในตอนนั้น ดีจริงๆที่น้องปลอดภัย

ขอบคุณนะครับที่กลับมาหาพี่

พี่จะไม่ยอมเสียเราไปอีกแล้ว



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ผมนั่งมองทะเลนิ่งๆอยู่ที่ระเบียงห้อง นี่ถ้าไอ้ขุนมันช่วยผมไว้ไม่ทันผมก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอกเอาจริงๆ ช่วงเวลาที่จมน้ำนั่นเป็นเหมือนฝันร้ายเลยว่ะ

และมันจะเป็นฝันร้ายไปตลอดชีวิตของผม

ตอนนี้ก็ประมาณสองทุ่มกว่าๆแล้วครับ หลังจากผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายในชีวิต ผมก็ถูกเพื่อนๆพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อนแต่ละคนนี่หน้าซีดมากไอ้ไผ่กับไอ้ภีมนี่น้ำตานองหน้าเลยครับมันกลัวว่าผมจะตาย ผมไปเช็คร่างกายมา ตอนแรกเหล่าเพื่อนรักอยากให้ผมนอนรอดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนแต่ผมก็ขอมันกลับมาที่บ้านดีกว่า

“ ทำไมมานั่งให้ลมโกรกล่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ” ผมหันมองคนพูดที่เดินมานั่งลงข้างๆ มือเรียวนั่นก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวผมไว้

“ ขอบคุณนะ ”

“ ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นเรื่องที่กูต้องทำให้มึงอยู่แล้ว ” คนข้างๆยิ้มหวานให้ผม ดีใจว่ะที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีก

“ กูนึกว่ากูจะตายไปแล้ววันนี้น่ะ ”

“ กูก็นึกว่าจะเสียมึงไปแล้วเหมือนกัน ” ไอ้หล่อมันยกมือลูบหัวผม “ ตอนที่กูเห็นมึงจมลงไปในน้ำกูใจไม่ดีเลย ”

“ แต่มึงก็เป็นคนที่ช่วยกูขึ้นมาได้หนิ....ขอบคุณจริงๆนะ ” ผมคลี่ยิ้มบางๆให้คนตรงหน้า

ดีแค่ไหนที่มีมันอยู่ในชีวิต ดีแค่ไหนที่มีคนๆนี้อยู่ข้างๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมวันนี้มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชีวิตของคนเรามันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ เราอาจจะตายทั้งๆที่เรายังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ เราอาจจะตายทั้งๆที่เรายังไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด

มันน่าเสียดายนะ

ตอนที่ความตายมันใกล้เข้ามาในชีวิตผมนั้นผมรู้สึกเสียใจหลายอย่างเลยนะครับ ที่ยังไม่ได้พูดไม่ได้บอกกับคนที่อยากจะบอกเลย ไหนจะครอบครัว ผมจะต้องตายไปทั้งๆที่ยังทะเลาะกับไอ้ขันอยู่ ไหนจะครัวซองของพี่เขมที่ยังกินไม่หมด พี่แขให้จัดห้องผมก็ยังไม่ได้ทำ แม่บอกว่าปลูกดอกไม้ใหม่ผมก็ยังไม่ได้ไปดู ผมยังไม่ได้พาไอ้ขุนไปเจอพ่อเลย แล้วก็เรื่องวุ่นๆของบรรดาเพื่อนๆ อีกที่ผมยังอยากจะรู้อยากจะเห็น นิยายที่แต่งก็ยังไม่จบด้วย ที่สำคัญสุดคือ....

ยังไม่ได้บอกกับไอ้ขุนเลยว่าผมรู้สึกยังไงกับมัน

ไอ้ขุนมันเป็นหนึ่งในหน้าของคนที่ผมเห็นก่อนที่ผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนี้ยังไงก็มากกว่าชอบจริงๆแหละ ผมว่าผมรักไอ้ขุนครับ รักจริงๆ ผมไม่รู้ว่าอนาคตระหว่างผมกับมันจะเป็นยังไง แต่ผมจะชักช้าลีลาไปอีกไม่ได้แล้ว ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันไหนและก็ไม่รู้ว่ามันจะตายวันไหนเหมือนกัน

ถ้าใจเราตรงกันแล้วก็ไม่ควรเสียเวลารออีก

“ ไอ้ขุน ”

“ ว่าไงครับ ”

“ ขอจับมือหน่อย ” ทันทีที่ผมพูดผมมือเรียวก็เลื่อนมากุมมือผมไว้

“ ทำไมอยู่ดีดีถึงอยากให้จับมือหืม ”

“ ก็วันนี้มันมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น กูก็อยากจะลืมโดยการให้มันมีเรื่องดีดีเข้ามาแทนที่ ”

“ ก็เลยจับมือกูงั้นสิ ” ผมพยักหน้ารับมันเบาๆ เอาล่ะขอกูตั้งสติเรียบเรียงคำพูดก่อน

โอเคพร้อมละ

“ ไอ้ขุน ”

“ ครับ ”

“ กูอยากจะบอกมึงว่าช่วงเวลาที่ผ่านมากูมีความสุขมากที่มีมึงอยู่ข้างๆ ” ผมเอ่ยบอกกับไอ้ขุนที่ตอนนี้แก้มขาวนั่นขึ้นสีเล็กน้อย

“ กูก็มีความสุขเหมือนกันนะ ” ไอ้หล่อมันยิ้มหวานบอกผม อย่าเพิ่งมาทำให้กูเขินสิวะไอ้บ้านี่

เดี๋ยวกูพูดผิด

ผมตั้งสติก่อนจะมองหน้าไอ้ขุน “ กูสบายใจนะที่ได้เจอหน้ามึงทุกวัน ได้เห็นรอยยิ้มของมึงทุกวัน ช่วงระยะเวลาที่เราห่างกันกูก็คิดถึงมึงมากจริงๆนั่นแหละ เราห่างกันแค่แปปเดียวแท้ๆแต่กูก็ไม่ชอบช่วงเวลานั้นเลย มันทำให้กูรู้สึกว่าตัวเองจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง ”

“ ขนม....”

“ กูดีใจที่มึงเข้ามาในชีวิตกู ดีใจที่มึงคอยอยู่ข้างๆ กูเสมอเวลาที่กูทำงานหรือเวลาที่กูมีปัญหา กูอ้อนอะไรก็ให้ ไม่เคยขัดใจ ทุกอย่างนี้มันเป็นอะไรที่ดีมากจริงๆนั่นแหละ ถึงมันจะเป็นคำพูดซ้ำๆกูก็อยากบอกมึงจริงๆว่าขอบคุณ ” ผมยิ้มบางๆให้มัน “ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ”

ใบหน้าหล่ออมยิ้มมองผม ตอนนี้ในใจมันคงจะมีความสุขมากแน่ๆ ใจมันก็อาจจะเต้นแรงเหมือนกับใจของผม

ถึงเวลาแล้วล่ะครับ

“ แล้วก็ความรู้สึกที่มึงเคยบอกกู ” ผมสอดนิ้วเข้าประสานกับนิ้วมันก่อนจะจับไว้แน่น “ ตอนนี้กูก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ”

“ ขนม....” ใบหน้าหล่อมันมองผมด้วยสายตาอึ้งๆ อึ้งอะไรของมึงวะ

ไม่เคยโดนสารภาพรักหรอ

“ กู...พูดไปแล้วนะ ” ผมมองมันก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “ มึงก็พูดออกมาดิ่ ”

“ พูด.... ” อ่าวๆทำงง เดี๋ยวกูตบให้หายงงเลยไอ้สัส

“ เออ พูดดิ่เนี่ยะ ” ผมทำเป็นยื่นหูเข้าไปใกล้ “ กูรอฟังอยู่นะ ”

“ หึๆ....” ไอ้ขุนมันหัวเราะในลำคอเบาๆ “ มึงนี่มันร้ายเหมือนกันนะ ” ร้ายอะไรวะไม่เห็นจะรู้เรื่อง

ผมเหลือบมองไอ้ขุน ตอนนี้มันกำลังอมยิ้มแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เหมือนเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง

“ ขนมครับ ” มือเรียวยกมือผมขึ้นมาจุ๊บบนหลังมือเบาๆ “ เป็นแฟนกันนะ ”

ตึกตัก

นี่แหละสิ่งที่อยากได้ยิน

ผมอมยิ้มให้มันก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ “ เออ เอาดิ่ ”

“ กูรักมึงนะหนม ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น อ้อมกอดนี้มันอุ่นจริงๆเลยว่ะ

“ กูก็....รักมึงเหมือนกัน ” ผมลูบหัวไอ้ขุนที่กอดผมอยู่เบาๆ “ ดูแลกูให้ดีดีด้วยล่ะ ”

“ จะดูแลอย่างดีที่สุดเลยครับ ”

“ สัญญานะ ”

“ สัญญาครับ ”

แล้วจะคอยดูนะครับ

แฟน....





TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นตืเพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาาา
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 16 : 16/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-11-2017 21:31:53
เกือบไปแล้ว

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 17 : 17/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 17-11-2017 19:52:03
บทที่ 17 ข้อตกลงของการเป็นแฟน


“ คัทครับ ”

เฮ้อ โล่ง

เกือบหลุดขำละตะกี้

เพราะไอ้บ้าขุนนี่แหละ

“ เบรกกองครึ่งชั่วโมงนะ นักแสดงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเล่นซีนสุดท้ายเลยนะครับ ” พอสิ้นเสียงสั่งจากท่านผู้กำกับทุกคนก็แยกย้ายกันกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง

แลดูรีบเนอะแต่ละคน

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายสามกว่าๆครับ วันนี้อากาศดีกว่าเมื่อวานเยอะเลยแดดก็ไม่ค่อยแรง แสงนี่สวยเชียว เหมาะกับการถ่ายหนังมาก เราถ่ายกันมาตั้งแต่เช้าแล้วครับจนตอนนี้เหลือแค่ซีนสุดท้ายกับการเก็บอินเซิร์ท ตอนแรกเจ้าพวกเพื่อนๆผมบอกว่าให้ผมพักวันนี้ก่อนเพราะเมื่อวานเจอเรื่องร้ายๆมา แต่ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมโอเคที่ถ่ายต่อทันทีเพื่อที่งานมันจะได้เสร็จไวไวและพวกเราก็จะได้พักทีเดียว

ไงล่ะ สปิริตแรงกล้ามาก

อีกอย่างเมื่อวานน่ะมันไม่ได้มีเรื่องร้ายอย่างเดียวนะครับ มันมีเรื่องดีมากๆเกิดขึ้นด้วยนั่นก็คือเรื่องที่ไอ้ขุนกับผมตกลงคบกัน นึกแล้วก็เขินว่ะ เมื่อคืนนี่จับมือนอนด้วยกันทั้งคืนเลย ก่อนนอนบอกฝันดีแล้วพอตื่นเช้ามาก็บอกอรุณสวัสดิ์แถมไอ้หล่อมันยังจุ๊บมือผมแล้วยิ้มหวานด้วยนะ

ใจจะละลายอ่ะบอกเลย

“ แก้มแดงอีกแล้วเป็นอะไรเนี่ย ” ไอ้คนที่เดินอยู่ข้างๆถามผม “ นึกถึงเรื่องดีดีรึไง ”

“ อย่ามาทำเป็นรู้มาก ”

“ แปลว่าใช่สินะ ”

“ เออใช่ ” ผมเหลือบมองมัน “ แต่ไม่บอกมึงหรอกว่าเรื่องอะไร ”

“ ทำไมงั้นล่ะ ” ไอ้หล่อมันทำหน้ามุ่ย “ บอกหน่อยไม่ได้หรอ ”

“ ไม่ได้ ไปเปลี่ยนเสื้อได้แล้วไป ” ผมรีบยัดเสื้อผ้าใส่มือไอ้หล่อแล้วดันมันเข้าไปเปลี่ยนชุดในเต๊นท์ทันที

“ ไม่เข้ามาด้วยกันหรอ ”

เข้าหน้ามึงอ่ะ

“ ไม่เข้า รีบๆเปลี่ยนเลยนะ ” ผมสั่งมันเสียงขุ่น เปลี่ยนช้ากูเข้าไปทุบจริงๆด้วย

ผมนั่งรอไอ้ขุนอยู่หน้าเต๊นท์เปลี่ยนเสื้อผ้าครับ เมื่อกี้ตอนที่ถ่ายซีนช่วงอดีตมันแกล้งผมด้วย เลวมาก ผมนี่เกือบจะหลุดขำ แม่งมีความนอกบทชิบหายด้วยแต่ว่ายังดีที่พากันแถได้ ท่านผู้กำกับก็คงเห็นว่าเล่นกันแบบไหลลื่นก็เลยไม่สั่งคัทปล่อยให้แถกันอยู่นั่นอ่ะ

เกือบจะตาย

หนังสั้นของพวกผมถ่ายกันจนมาถึงซีนสุดท้ายแล้ว เสร็จนี่ก็ปิดกองละส่งเทปไปตัดต่อได้เลย ซึ่งคนที่ทำหน้าที่ตัดต่อนั่นก็คือไอ้บ้าหมีนั่นเอง คือมันตัดต่อพวกวิดีโอเก่งมากครับเชื่อมือมันได้เลยเรื่องนี้ และเมื่อวานตอนที่อยู่โรงพยาบาลพวกผมคุยเรื่องงานกันแต่ไอ้หมีมันไปเข้าห้องน้ำ เหล่าผองเพื่อนก็ตกลงกันไว้ว่าพอปิดกองปุ๊บจะให้ไอ้หมีตัดต่อปั๊บและพวกที่เหลือก็จะไปเที่ยวกันทันทีโดยทิ้งไอ้หมีให้ทำงานที่บ้านคนเดียว

เป็นความคิดที่โคตรเลว

น่าสงสารเพื่อนหมีเนอะ

ไอ้หมีมันจะต้องงอแงมากแน่ๆอ่ะครับถ้ามันทำงานอยู่คนเดียวโดยที่เพื่อนๆพากันไปเที่ยวจนหมด ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมันแล้วก็คอยดูงานไปเรื่อยๆด้วย เผื่อมีอะไรช่วยมันได้ก็จะได้ช่วยงานจะได้เสร็จไวไวและก็จะได้ไปเที่ยวกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา

ไงล่ะ คนดีไปอีกอ่ะ

หลังจากผ่านไปไม่นานไอ้หล่อก็ออกมาจากเต๊นท์ด้วยชุดใหม่ หน้าหล่อก็ยิ้มแฉ่งมองผม “ เสร็จแล้ว หล่อไหม ”

“ ไม่ ”

“ เดี๋ยวสิ ” ไอ้ขุนมันดึงข้อมือผมไว้ “ ไม่หล่อจริงหรอ ”

“ จริง ”

“ ออกจะหล่อ ”

“ หลงตัวเองจริงๆเลยนะมึงอ่ะ ” น่าหมั่นไส้ชิบ

“ ใช่สิ ” ไอ้หล่อมันเลื่อนมือขึ้นมาลูบแก้มผมเบาๆ “ ก็ตัวเองน่ารักขนาดนี้เค้าจะไม่หลงได้ยังไง ”

ตึกตัก

โอ้ยยไอ้สัสเอ้ยยยย

“ มึงนี่มัน....กูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล่ว ” ผมรีบเดินหนีเข้าไปในเต๊นท์ทันที อยู่ยากละตรงนี้อ่ะ

หน้าโคตรร้อนเลยอ่ะ เขินว่ะเขินชิบหายแล้วเนี่ย ไอ้ขุนนี่มันเก่งเรื่องแบบนี้จริงๆเลยนะ ไม่เคยคิดด้วยว่ามันจะพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนั้นออกมา เค้ากับตัวเองนี่นะ โอ้ยไม่ไหวๆ เลิกคิดเลยนะหนมแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าซะงานรออยู่จะชักช้าไม่ได้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เดินออกมาจากเต๊นท์ทันที

นั่งยิ้มซะหน้าบานเชียวนะมึง

“ เสร็จแล้วหรอครับ ”

“ เสร็จแล้ว ไปสิเดี๋ยวพวกมันรอนาน ” ผมบอกก่อนจะเดินนำไอ้ขุนกลับไปที่กองถ่าย ป่านนี้ไอ้พวกนั้นคงจะรอกันอยู่แล้วล่ะมั้ง

“ หนมครับ ”

“ หืม ”

“ ขอเทคเดียวผ่านเลยนะ ”

“ ถ้ามึงไม่พากูออกนอกบทอีกล่ะก็นะ ” ถ้ามันนอกบทก็อาจจะเสียหลายเทคเพราะคิดสดไม่ทัน

“ รอบนี้ไม่พาออกนอกบทแน่ ” ไอ้หล่อมันบอกพร้อมกับยักคิ้วให้ผม

เออกูจะรอดู

ผมกับไอ้ขุนเดินมาจนถึงกองแล้วครับตอนนี้เหล่าทีมงานก็เตรียมอุปกรณ์กันอย่างเต็มที่ ผมเองก็ต้องเตรียมสติเหมือนกันจะได้ถ่ายผ่านในเทคเดียวเลย ส่วนไอ้ขุนไม่น่าเป็นห่วงเพราะมันจำบทได้แน่ๆแต่เดี๋ยวจะคอยดูครับว่ามันจะพานอกบทไหม ถ้ามันทำอีกคงจะต้องมีบทลงโทษกันบ้าง

โดนแน่มึง

“ ซีนสุดท้ายแล้วนะครับทุกคน ” ท่านผู้กำกับบอกกับเหล่าทีมงาน “ พร้อมแล้วเอาเลยนะ ”

ผมมองไอ้ขุนที่กำลังจะสวมบทเป็นน่านน้ำ ผมเองก็เป็นผืนฟ้า ยากเหมือนกันนะที่ต้องเค้นความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกัน 5 ปีออกมา ผมว่าผืนฟ้าจะต้องคิดถึงน่านน้ำมากแน่ๆเลยว่ะ ขนาดผมไม่เจอไอ้ขุนแค่ 2 อาทิตย์นี่แทบจะเป็นบ้า ละคู่นี้ไม่เจอกันตั้ง 5 ปี

แต่ไม่เป็นไรผืนฟ้า

เดี๋ยวจะได้เจอน่านน้ำแล้วล่ะ

“ กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน ”

ไอ้ไผ่ถือเสลดมาอยู่หน้ากล้อง “ ซีน 5 เทค 1 คัท 1 แอคชั่น ”

ผมค่อยๆเดินเข้าไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ช้าๆ ก่อนจะหันหน้ามองออกทะเล ตอนนี้ก็แค่มองทะเลบิวท์อารมณ์ไปนิ่งๆครับรอให้ไอ้ขุนมันเดินเข้ามาหา คลื่นลมตอนนี้นี่สงบกว่าเมื่อวานเยอะเลยครับ ทะเลนี่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็น่ามองไปหมดแหละ ให้หลายอารมณ์และความรู้สึกดีจริงๆ

เดี๋ยวแต่งนิยายให้มีฉากทะเลดีกว่า

“ ฟ้า ” ผมหันไปตามเสียงก็พบกับไอ้ขุนที่ยืนอยู่ไม่ไกลสักเท่าไหร่ ในมือนั่นถือดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่มาด้วย พอเห็นแบบนี้แล้วนึกถึงวันที่มันเอาดอกไม้ไปให้ผมได้เลยว่ะ

คิดแล้วเขินแปลกๆแฮะ

“ น้ำ ”

“ ใช่ฟ้าจริงๆด้วย ” ร่างสูงค่อยๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ ไม่เจอกัน 5 ปี ฟ้าเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ”

“ น้ำก็เหมือนกัน ”

“ แต่ความรู้สึกของน้ำยังเหมือนเดิมทุกอย่างนะ ” มือเรียวค่อยๆยื่นช่อกุหลาบขาวมาทางผม “ น้ำยังจำได้ทุกอย่างว่าฟ้าชอบอะไรและก็ไม่ชอบอะไร ”

ผมรับช่อกุหลาบขาวมาถือไว้ก่อนจะยิ้มบางๆ “ ขอบคุณนะที่ยังจำได้ ขอบคุณที่น้ำยังเหมือนเดิม ”

“ ฟ้าก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม ”

“ เหมือนเดิมสิ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจฟ้าได้อยู่แล้ว ”

เลี่ยนว่ะ แต่งเองรู้สึกเลี่ยนเอง

“ น้ำมีเรื่องจะอยากเล่าให้ฟ้าฟังหลายอย่างเลยนะ ” ไอ้ขุนมันยกมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “ แต่ว่ามีเรื่องๆนึงที่สำคัญมากๆและน้ำก็ต้องบอกฟ้าก่อนเรื่องอื่น ”

“ เรื่องอะไรหรอ ”

“ น้ำรักฟ้านะ ”

ตึกตัก

ผมยืนมองไอ้หล่อตาค้าง ถึงรู้ว่านี่คือบทก็อดเขินไม่ได้ว่ะ รู้สึกดีใจนะครับที่ผมเป็นเจ้าของไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อที่ยิ้มหวานๆอยู่นั่น เป็นเจ้าของมันในชีวิตจริง

ไม่ใช่แค่ในบทละคร

“ บอกรักแค่นี้อึ้งเลยหรอหืม ”

“ ปะ...เปล่าสักหน่อย ” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ “ ก็อยู่ดีดีน้ำมาบอกรักอ่ะ ฟ้าก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา ”

“ งั้นหรอ ” มือเรียวเอื้อมมาจับมือผมเอาไปกุมไว้ “ ฟ้าครับ ”

“ หืม ”

“ ต่อจากนี้ขอให้น้ำได้ดูแลฟ้าตลอดไปเลยนะครับ ” เสียงนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับยกมือผมขึ้นมาจูบเบาๆบนหลังมือ “ เป็นแฟนกันนะ ”

ตึกตัก

ฉากที่มันขอผมเป็นแฟนกลับมาเลยว่ะ

เขินโว้ยเขิน

“ ว่าไงครับฟ้า ตกลงไหม ”

“ ครับ ฟ้าตกลง ” ผมตอบรับพร้อมกับยิ้มหวาน พอหลังจากนี้กล้องมันก็จะแพลนไปทางอื่นแล้วก็รอฟังเสียงคัทจากท่านผู้กำกับก็จะเป็นอันจบแล้วครับ งานกำลังจะเสร็จแล้วโว้ย

ฟอดดดด

“ รักฟ้านะครับ ” ไอ้หล่อมันยิ้มหวานบอกผมหลังจากที่มันขโมยหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่

ไอ้สัสขุนนนนนน

มึงนอกบทอีกทำไมมมม!!!

“ ฟ้า....ก็รักน้ำครับ ” แถครับแถ ส่วนนี้แม่งไม่ได้อยู่ในบทที่ผมเขียน ไอ้บ้าขุนเอ้ยไว้คัทเมื่อไหร่มึงเจอกูแน่

ผมว่าไอ้ขุนมันต้องตั้งใจที่จะหอมแก้มผมตั้งแต่แรกแล้วแน่ๆ ร้ายกาจชะมัด ผมรู้อยู่หรอกว่าพอเป็นแฟนกันแล้วไอ้เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนเขาทำกันแต่ไม่คิดว่ามันจะมาทำเอาตอนนี้ไง โคตรของโคตรฉวยโอกาสเลยเอาจริงๆ

แบบนี้ต้องลงโทษละ

“ คัทครับ ”

“ เย่ปิดกอง ” เสียงแหกปากของไอ้หมีมันดังเข้ามาทันที คือกูไม่อยากทำให้เศร้านะหมีถึงแม้ว่าจะปิดกองก็จริงแต่มึงจะต้องทำงานต่อคนเดียว

“ เก็บของกลับบ้านเลย ” ท่านผู้กำกับสั่งเหล่าทีมงานครับ ผมมองค้อนใส่ไอ้หล่อก่อนจะเดินสะบัดหนีมันมาทันที

“ เดี๋ยวก่อนสิหนม ” ไม่ต้องมาเดี๋ยวก่อนเลยนะมึง

โดนกูลงโทษแน่ไอ้สัส

“ ขนของกลับบ้านซะ ” ผมสั่งมันด้วยเสียงจริงจัง หน้าหล่อนั่นเหวอไปนิดนึง มันคงจะคิดว่าผมงอนมันแน่ๆ ดีครับให้มันคิดแบบนั้นแหละ

เก็บของกลับบ้านเสร็จก่อนเถอะไอ้ขุน

เจอกูแน่





“ รู้ไหมว่ามึงทำอะไรผิดอ่ะ ”

“ รู้ครับ ”

“ รู้แล้วทำไมถึงทำแบบนั้น ”

“ ก็แค่อยากทำเอง ” ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนๆกับแววตาอ้อนๆเลยนะ

หลังจากที่เราขนของกลับมาที่บ้านเสร็จเรียบร้อยผมก็ลากไอ้ขุนเข้ามาคุยในห้องกันสองคน ไอ้หมีมันก็แยกไปตัดงานอยู่ที่ห้องส่วนไอ้พวกที่เหลือก็คงจะแอบย่องหนีไอ้หมีไปเที่ยว ไม่เป็นไรนะหมีเดี๋ยวกูเคลียร์กับไอ้หล่อมันแปปนึงเดี๋ยวกูจะไปอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง

“ อย่าโกรธเลยนะครับ แค่งอนพอนะ ” มือเรียวยื่นมากอดขาผมไว้ ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเตียงส่วนตัวมันนั่งอยู่กับพื้นครับ ใบหน้าหล่อๆเกยอยู่บนเข่าผมพร้อมกับส่งสายตาปริบๆ

น่าหมั่นไส้จริงๆเลย

“ มึงผิดคำพูดอ่ะ มึงบอกว่าจะไม่นอกบท ”

“ แต่ก็ผ่านในเทคเดียวนะ ”

“ ยังจะมาเถียงอีก ” ผมตีไหล่ไอ้ขุน “ มึงหอมแก้มกูด้วย ”

“ ก็อยากหอม ชอบอ่ะ แก้มนิ่ม ” คนพูดบอกก่อนจะยิ้มหวาน

ผมยกมือขึ้นไปดึงแก้มทั้งสองข้างของมันแรงๆ “ ไม่ต้องมายิ้มเลย โทษฐานที่มึงนอกบทมึงจะต้องทำตามที่กูสั่ง ”

“ ว่ามาเลยครับ กูทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ”

“ งั้นถอยออกไปให้ห่างจากกูเมตรนึงก่อน ” พอผมพูดเสร็จไอ้ขุนมันก็ถอยหลังออกไปให้ห่างจากผมพร้อมกับนั่งมองผมนิ่งๆ

ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ไอ้ขุนมาก่อนจะกดไปที่กล้องเพื่อที่จะอัดวิดีโอ คืองี้ครับก่อนที่จะมาที่นี่ผมไปพนันกับไอ้หมีไว้ว่าถ้าผมถ่ายวิดีโอไอ้ขุนอย่างนึงไม่ว่าอะไรก็ได้แล้วเอาไปลงในเฟซบุ๊กหรือว่าไอจี และถ้ามียอดวิวมากกว่า 2000 วิวภายใน 3 วัน ไอ้หมีมันจะยอมบอกเรื่องที่ผมถามมันหนึ่งเรื่องโดยที่มันจะบอกความจริงทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง ผมว่าผมจะถามมันเรื่องไอ้ขันครับ

หึ เสร็จกูแน่ไอ้หมี

“ มึงจะให้กูทำอะไรอ่ะ ”

“ ทำตามที่สั่งก็พอแล้วก็พูดเพราะๆนะ ” ผมกดบันทึกวิดีโอถ่ายไอ้หล่อที่ทำหน้ามึนอยู่ “ ไหนยิ้มดิ้ ”

ไอ้ขุนมันฉีกยิ้มกว้างทันทีที่ผมสั่ง “ นี่จะให้ทำอะไรเนี่ยะ ”

“ ชื่ออะไรหืม ”

“ ชื่อขุนศึกครับ ”

“ มีแฟนรึยัง ”

“ มีแฟนแล้วครับ ” แม่งยิ้มจนตาหยีเลยอ่ะ แถมแก้มขาวๆนั่นก็ขึ้นสีอีกต่างหากเขินอะไรของมึงวะไอ้บ้า

คนเขินมันควรเป็นกูหนิ

“ รักแฟนมากไหม ”

“ รักมาก ”

“ รักมากแค่ไหนทำมือให้ดูหน่อยดิ้ ”

“ รักมากเท่านี้เลย ” ไอ้ขุนมันวาดแขนออกจนสุดแล้วยิ้มหวานมองผม “ แล้วเรารักพี่ไหม ”

“ ไม่ ” ทันทีที่ผมบอกไม่ หน้าที่ยิ้มๆอยู่นั่นก็จ๋อยไปในทันที

ไอ้ขุนมันขยับเข้ามากอดขาผมไว้เหมือนเดิมก่อนจะเงยหน้ามองผมอย่างอ้อนๆ “ ต้องรักนะ ถึงงอนอยู่ก็ต้องรัก ”

“ ถ้าไม่รักอ่ะ ”

“ ไม่ได้ คนเป็นแฟนกันก็ต้องรักกันสิ อย่างอนเลยนะ ” ไอ้ขุนมันชูนิ้วก้อยมาทางผม “ ดีกันนะครับ ”

ผมอมยิ้มมองมัน “ ต้องใจอ่อนไหม ”

“ ต้องใจอ่อนครับ เพราะว่าพี่รักเรา ” ยอมแพ้กับไอ้รอยยิ้มหวานๆนี่จริงๆว่ะ

ผมยกนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยไอ้ขุน “ ไหนส่งจุ๊บให้กล้องดิ้ ”

“ จุ๊บ ” ไอ้บ้านี่ก็บ้าจี้ทำตามทุกอย่างเลยว่ะ ผมกดหยุดวิดีโอก่อนจะกดเข้าไปที่เฟซบุ๊กชื่อของไอ้ขุนนั่นแหละครับ แล้วก็จัดการอัพโหลดด้วยชื่อต้นคลิปว่า

บทลงโทษของขุนศึก

“ หายโกรธแล้วใช่ไหมครับ ” ผมพยักหน้ารับมันเบาๆก่อนจะมองวิดีโอที่ถูกอัพโหลดเสร็จแล้วอย่างพอใจ เดี๋ยวค่อยมาไล่ดูยอดวิวทีหลัง ผมจัดแจงส่งคลิปเข้าไปในไลน์ตัวเอง เดี๋ยวจะเอาไปโพสไว้ในไอจีครับ

ไอจีผมน่ะคลังแสงชีวิตไอ้ขุนเลย

ดีนะที่มันไม่ได้ฟอลโลว์ผม ไอจีผมตั้งเป็นไพรเวทไว้ตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวว่าชอบไอ้ขุน ผมลงรูปมันอยู่ในไอจีผมเต็มไปหมด จนแบบเพื่อนๆนี่แซวแล้วแซวอีก ผมว่าพอลงคลิปอันนี้แล้วเดี๋ยวจะเปิดเป็นสาธารณะแล้วครับ เป็นแฟนกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดใครอ่ะนะ ตอนนี้ผมกับไอ้ขุนยังไม่ได้ตั้งสถานะคบกันเลยนะครับแต่คิดว่าจะต้องตั้งเพราะว่าผู้หญิงจะได้เลิกมายุ่งกับมันสักที

ผมหึงอ่ะบอกตรงๆจากใจ

“ อ่ะเอาไป ” ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้ไอ้ขุน

“ แอบทำอะไรเนี่ยะ ” ไม่บอกโว้ยยย เดี๋ยวมึงก็เห็นเองแหละ

“ ขุน กูว่าเราน่าจะมีข้อตกลงของการเป็นแฟนกันนะ ” เพื่อที่จะได้ปรับตัวเข้าหากันและอยู่ด้วยกันไปได้นานๆ

“ กูก็ว่าจะพูดเรื่องนี้กับมึงอยู่เหมือนกัน ”

“ อืมงั้นมึงว่ามาก่อนเลย ”

“ กูอยากให้เราพูดกันเพราะๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเพราะเว่อร์แต่ว่าอยากให้เปลี่ยนสรรพนามจากกูมึงอ่ะ เป็นไปได้ก็อยากจะได้ยินมึงเรียกกูว่าพี่ขุนแล้วก็แทนตัวเองว่าหนมนะ ”

ให้พูดเพราะๆนี่

เป็นเชี่ยอะไรที่ยากมาก

ผมนั่งมองไอ้ขุนนิ่งๆ เอาจริงๆไอ้การพูดเพราะมันก็พูดได้แหละแต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพูดกับใครไง ผมใช้คำหยาบกับไอ้หล่อมันมาตลอดให้เปลี่ยนมาพูดดีดีก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม มันชินไปแล้วหนิครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้พูดเพราะกับใครมากซะด้วย ขนาดไอ้ขันที่มันเป็นพี่แท้ๆของผม ผมยังไม่เคยเรียกมันว่าพี่เลย

เอาไงดีเนี่ยะหนม

“ นะครับหนมนะ น้าๆๆๆ ”

โอเคยอม

ยอมแล้วววววว

“ ก็ได้ กูจะ...ไม่สิ หนมจะพยายาม ”

“ ดีมาก ” ไอ้หล่อมันยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ “ พี่ก็จะพูดเพราะๆกับเราเหมือนกัน โอเคไหม ”

“ โอเค ” ผมพยักหน้ารับพี่มันเบาๆ “ เรื่องต่อมาคือเรื่องพวกกอดหอมแก้มจับมืออะไรเถือกๆนั้น ”

“ เรื่องนี้มันทำไมหรอ ”

“ คือเข้าใจว่าเป็นแฟนกันไอ้ที่จะทำเรื่องนี้ก็ไม่แปลก แต่ว่าบางทีก็ต้องดูสถานการณ์รอบข้างด้วยเข้าใจไหม อย่างวันนี้มึงอ่ะ....ไม่ดิ่ พี่อ่ะมาหอมแก้มหนมนอกบท เออละถ้าแบบหนมสติหลุดไปจนเสียเทคเงี้ยะมันก็ต้องเสียเวลาถ่ายใหม่ งานที่จะเสร็จไวมันก็จะช้ากว่าเดิม คือไม่ได้จะห้ามว่าไม่ให้ทำ แต่แค่อยากให้ดูเวลา ”

ทำหน้ามึนๆนี่เข้าใจหรือไม่เข้าใจวะ

“ ครับผม ต่อจากนี้จะระวังนะครับ ” ไอ้หล่อมันยื่นหน้าขึ้นมาใกล้ผม “ ตอนนี้อยู่ในห้องสองคนพี่ก็หอมได้สิ ”

“ ไอ้บ้า ” ผมดันหน้าพี่มันออกห่าง “ คิดแต่เรื่องแบบนี้นะ ”

“ แน่นอน หนมไม่รู้หรอกว่าพี่รอเวลานี้มานานแค่ไหน ” คนพูดส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มกับสายตาแทะโลมมาให้ด้วย

หวั่นใจแปลกๆว่ะ

ดักทางแบบนี้ต้องดักทางไว้

“ เดี๋ยวจะโดนนะ บางอย่างอ่ะต้องได้รับอนุญาติจากหนมก่อนถึงจะทำได้เข้าใจไหม ”

“ พี่รู้นะว่าเราคิดถึงอะไร ” มือเรียวเลื่อนขึ้นมาดึงแก้มผม “ เด็กลามก ”

“ พี่นั่นแหละลามก ” ผมตีไหล่มันไปสองที “ แล้วมีเรื่องอะไรอีก ”

“ เรื่องกางเกงของหนม ”

ผมเลิกคิ้วมองมัน “ กางเกงมันทำไมอ่ะ ”

“ เดี๋ยวพอกลับไปใช่ไหมพี่จะเอากางเกงสั้นๆของหนมไปทิ้งให้หมด ไม่ให้ใส่ ”

ม่ายยยย

เอาไปทิ้งไม่ได้นะ

ผมชอบใส่กางเกงขาสั้นเพราะว่ามันสบาย แล้วผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ไปข้างนอกป้ะวะ ก็ใส่อยู่แหละแต่ไอ้ที่แบบสั้นมากๆนั่นก็อยู่แค่ในหอไง ไม่มีใครได้เห็นอยู่แล้วนอกจากเพื่อนๆ นี่คิดว่าพี่มันจะไปเก็บกางเกงผมทิ้งก็ปวดใจแล้วอ่ะ

ไม่เอานะ

“ ไม่ทิ้งไม่ได้หรอ ”

“ ไม่เอา พี่หวง ขาขาวๆของเราพี่ควรได้เห็นมันแค่คนเดียว ”

“ ถ้าทิ้งหมดเลยแล้วเวลาอยู่ห้องจะใส่อะไร ให้ใส่กางเกงขายาวก็ไม่เอาหรอกนะ ”

“ ก็ไม่ต้องใส่ไง พี่ก็โอเคนะ ” วกกลับเข้ามาเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้วว่ะ

มึงนี่มันร้ายจริงๆเลยนะไอ้บ้าขุน

“ พี่นี่แม่ง....” ผมทำหน้ามุ่ยใส่มัน “ ไม่รู้แหละ กางเกงขาสั้นหนมจะเอาไว้ใส่นอนห้ามทิ้ง ”

“ ใส่สั้นมากๆระวังเราจะไม่ได้นอนนะ ”

“ พอๆเลิกคุยเรื่องนี้ ไว้มีข้อตกลงเพิ่มเติมค่อยบอก ” ไม่ไหวแล้วครับรู้สึกว่าไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรมันก็เข้าไอ้เรื่องแบบนั้นตลอดเลย

โคตรหื่นกาม

ผมว่าหลังจากนี้มันก็จะต้องมีปรับตัวเข้าหากันหลายอย่างนั่นแหละ ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนด้วยก็ไม่รู้ว่ามันต้องทำอะไรยังไงบ้าง เอาเป็นว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามสัญชาตญาณก็แล้วกันนะ และผมไม่รู้ด้วยว่าพี่ขุนมันเคยมีแฟนมาก่อนรึเปล่า ไม่เคยคิดจะถามด้วยครับ เพราะยังไงนั่นก็คือสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว

เพราะงั้นช่างแม่ง

“ ไปหาไอ้หมีกัน เดี๋ยวจะไปคอยดูงานด้วย ”

“ ไปสิ แล้วเพื่อนๆเรานี่ไปเที่ยวกันจริงๆสินะ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ ไว้งานเสร็จแล้วเราค่อยไปเที่ยวพร้อมกันเนอะ ”

“ พี่ยังไงก็ได้ แค่ได้อยู่กับหนมพี่ก็พอใจละ ”

“ ปากหวานจริงๆเลยนะ ” ผมลุกขึ้นก่อนจะดึงให้พี่มันลุกตาม “ ไปเร็ว ”

“ ครับผม ”

ผมเดินออกมาจากห้องตัวเองโดยมีพี่ขุนเกาะไหล่เดินตามมาด้านหลัง ตอนนี้น่าจะสักห้าโมงเย็นได้แล้วล่ะครับ มองด้านนอกผ่านหน้าต่างนี่พระอาทิตย์กำลังสวยเลย แดดอ่อนๆแบบนี้น่าไปเดินเล่นเหมือนกันนะ แต่วันอื่นละกันวันนี้ต้องอยู่เป็นเพื่อนหมีก่อน

เดี๋ยวมันจะเป็นบ้าซะ

ผมเปิดประตูห้องไอ้หมี “ เป็นไงบ้างวะ ”

“ หมั่นไส้ ” มันหันมามองผมพร้อมกับเบ้ปาก “ ไปเป็นแฟนกันตอนไหนห้ะ ”

“ ก็เป็นเมื่อวาน ” ผมบอกก่อนจะเดินมานั่งข้างเพื่อนรักที่นอนทำงานอยู่โดยที่พี่มันก็มานั่งลงข้างๆผม ไอ้หมีมันก็ยังคงจ้องผมอย่างอาฆาตเหมือนเดิม

เป็นเชี่ยไรมึง

“ ทำไมอยู่ดีดีก็ไปคบกันได้เนี่ยะ ”

“ เออน่า คบก็คบสิวะมึงจะถามมากทำไม ” ผมมองจอโน้ตบุ๊คไอ้หมีที่กำลังตัดวิดีโออยู่ ตอนนี้มันจัดเสียงกับภาพให้ตรงกันแล้วครับ ต่อไปก็เหลือแค่ตัดแล้วก็ใส่เพลงใส่เอฟเฟ็ค เอาจริงๆก็เหลือเยอะแหละนะแต่ไม่เป็นไรเพื่อนหมี

กูจะให้กำลังใจมึงอยู่ตรงนี้เอง

“ หนมครับ ” ไอ้หล่อมันละสายตาขึ้นมาจากจอโทรศัพท์ก่อนจะมองผม “ ลงคลิปที่ถ่ายพี่หรอ ”

“ ใช่ ไหนดูหน่อย ” ผมชะเง้อคอไปมองหน้าจอที่ปรากฎยอดวิวอยู่

รับชม 4,856 ครั้ง

ฮ่าๆๆๆเสร็จกูละเชี่ยหมี

“ คนแชร์เต็มเลยเนี่ยะ ”

“ เออคนแชร์เยอะจริง ” ผมมองยอดแชร์คลิปที่เกือบจะสองร้อย มึงนี่คนของประชาชนเหมือนกันนะเนี่ยพี่ ไม่ใช่แค่ยอดแชร์ที่เยอะคอมเม้นต์ก็เยอะชิบหายเหมือนกัน คอมเม้นต์บนสุดนี่คือไอ้คนที่ตัดต่อวิดีโออยู่นั่นเอง

หมีน้อย กลอยใจ : รำคาญ Kanom Kananut

Sayam naja : เรียกแฟนได้เต็มปากนี่คืออะไรห้ะไอ้เด็กเชี่ย มึงๆๆๆๆ Gangpaaa - Gong Rice - Khaw H - Cha Cha เปิดตัวของจริง

ลันตา อาอี้ยา : น้องรอแดกเหล้า555555

GE AR : จากเสือนี่กลายเป็นแมวเลยว่ะ เชื่องเชียว55555555555555555555555555555

อันนี้จากบรรดาผองเพื่อนครับ

เรามาดูจากแฟนคลับบ้าง

แนนนี่ ตุ๊ดซี่ผู้เลอโฉม : มึ้งงงงงงงงง ริชชี่ ตุ๊ดซี่ผู้เลอโฉม พี่ขุนเค้าเป็นจริงๆด้วยเห็นไหม

แป้งจี่ คนงาม : โอ้ยยยยยยยยเหมือนโดนพี่ขุนหักอกเลยอ่ะ T^T

เตยเองไง จะเป็นใครที่ไหนล่ะ : วรั้ยยยยยๆๆๆๆๆเค้าคบกันแล้วววววว คือนี่เคยเห็นอยู่ที่ตึกวิศวะบ่อยนะ คือเชียร์มาก ชอบบบบบบบบบบบ เคมีเข้ากันดีโคตร คือดี ใครคิดไงไม่รู้แต่มันคือดี คบกันนานๆนะคะพี่ขุนนนน *-*

ปลาอะไรเอ่ย เดินได้ : แฟนพี่ขุนคือใครอ่ะอยากเห็นหน้ามากๆ ไปดูที่หน้าเฟซมาก็เห็นหน้าตรงๆไม่ชัดเลย โง้ยยยยอยากเห็นอ่า

พระจันทร์ ยิ้มแฉ่ง : พระอาทิตย์ ตกดิน มึงมาดูพี่ขุน มีความอิฉามากโว้ยยยยยยย คือเข้าใจว่าพี่ขุนแม่งหล่อมากแต่ไม่คิดว่าจะมีมุมน่ารักชิบหายแบบนี้ด้วยอ่ะ โอ้ยยยยยยยยยย รักกันนานๆนะครับพี่ อยากเห็นหน้าแฟนพี่ชัดๆอ่ะอยากรู้ว่าใครมัดใจพี่ไว้ได้ // เลี้ยงสละโสดน้องด้วยนะครับอย่าลืมคำพูด อิอิ

และก็อีกมากมายหลายหลากคอมเม้นต์

อ่านสามเดือนก็ไม่หมดอ่ะจริงๆ

“ แฟนคลับพี่ฮือฮากันใหญ่เลย ”

“ ฮือฮาสิ พี่ว่าคนแอดเราไปเป็นพันละมั้ง ”

“ เว่อร์อ่ะ เค้าจะแอดหนมมาทำไม ”

“ เพราะหนมเป็นแฟนพี่ไง ” พี่มันบอกพร้อมกับยิ้มหวาน ผมก็อดไม่ได้ที่จะดึงแก้มขาวๆนั่น

“ ยิ้มอยู่ได้ ” ผมอมยิ้มมอง “ น่าหมั่นไส้นัก ”

“ เออน่าหมั่นไส้ แหมมมมมม พอเป็นแฟนกันนี่พูดกันไพเราะเสนาะหูเลยนะ ” ไอ้หมีมันมองค้อนใส่ มือมันก็ทำงานไปด้วย

“ ไม่อิจฉาสิหน่องหมี ”

“ ไม่อิจฉาหรอกพี่ ใครมีแฟนก็ไม่อิจฉา ” น้ำเสียงนี่ไม่ค่อยอิจฉาเลยนะมึงนะ

ผมนั่งมองไอ้หมีที่ทำงานต่ออย่างคล่องแคล่ว ไว้งานเสร็จแล้วก็อยู่กับมันสองคนก่อน เดี๋ยวจะถามให้รู้แจ้งแจ่มชัดเลยว่ากับไอ้ขันมันเป็นไงมาไงแน่ มันชอบไอ้ขันมากขนาดไหน ชอบขั้นจริงจังหรือแค่ปลื้มๆ แล้วที่ว่าไอ้ขันเกลียดมันนั่น เกลียดถึงขนาดไหน แล้วทำไมไอ้ขันถึงเกลียด ไม่ๆเรื่องนี้ควรไปถามไอ้ขันไม่ใช่ไอ้หมี ขืนไปถามแบบนั้นเดี๋ยวมันจะไปสะเทือนต่อมแซดไอ้หมีอีก

คนร่าเริงจะกลายเป็นคนซึมเศร้าไปในทันที

“ เออหมีซีนนี้เอาอินเซิร์ทนี้เข้าไปใส่นะ ”

“ ได้ แล้วตรงนี้ใส่เฟดเข้าใช่ไหม ”

“ อื้ม ใส่เสียงเอฟเฟ็ค 2 อ่ะ ” ในขณะที่ผมกำลังคุยกันเรื่องงานไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างก็เลื่อนลงมานอนหนุนตักผมเรียบร้อย

สบายเชียวนะมึง

ไอ้หมีมันจ้องพี่มัน “ หมอนก็มีนะพี่ขุน ”

“ กูจะหนุนตักหนม ”

“ พี่ไม่ถามหนมก่อนอ่ะว่าให้หนุนไหม ”

พี่มันมองผมแล้วยิ้มแฉ่ง “ พี่ขอหนุนหน่อยนะครับ ”

เออยอม

ยอมแล้วววววว

“ ก็ได้ แต่ต้องเงียบๆนะเพราะไอ้หมีมันต้องใช้สมาธิตัดงาน ”

“ ได้เลยครับ พี่จะเงียบๆ ” พี่มันรับคำก่อนจะเล่นโทรศัพท์ไปเงียบๆ ทำดีมากพ่อหนุ่ม ว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิถึงจะน่ารัก

“ ไม่ได้อิจฉาหรอกนะ ” ไอ้หมีมันเบ้ปากใส่ผมอีกครั้ง “ เออแล้วคนอื่นๆอ่ะไปไหนวะ บ้านเงียบๆนะ ”

“ มันไปเที่ยวกัน ”

“ ถามจริง ” มึงจะทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้นวะไอ้บ้าหมี

“ อืม มันวางแผนกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละว่าปิดกองแล้วจะไปเที่ยวกัน ”

“ ไม่เห็นมีใครบอกกูเลย ” คนโดนเพื่อนทิ้งเบะปากอย่างน่าสงสาร “ พวกมันคือคนเลว ”

“ เอาน่ะ คนดีอย่างกูก็อยู่เป็นเพื่อนมึงแล้วนี่ไง ” ผมยกมือแตะไหล่ปลอบใจไอ้หมี “ รีบทำให้เสร็จพรุ่งนี้ไว้ไปเที่ยวพร้อมกัน ”

“ ซึ้งใจมากอ่ะหนม ไหนมาจูบปากทีมา ”

“ ไอ้หมี ” เสียงขุ่นจากคนที่นอนหนุนตักผมอยู่ดังขึ้นมา “ เดี๋ยวกูจะเตะมึง ”

“ โหดมาเชียว ” ไอ้หมีมันยิ้มแห้งๆก่อนจะทำงานต่อ อะไรของพวกมึงกันเนี่ยะไอ้บ้า

ถ้างานนี้เสร็จแล้วพรุ่งนี้พวกเราก็จะไปเที่ยวกัน และหลังจากนั้นก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อไป กลับไปนี่พวกผมจะต้องเจอกิจกรรมรับน้องครับ พวกพี่กริมแม่งต้องหาเรื่องไว้แกล้งพวกผมแน่เลยว่ะ พอหลังจากรับน้องก็ต่อด้วยประกวดดาวเดือนในอาทิตย์ต่อไป งานนี้ต้องเอาใจช่วยเพื่อนเป้ให้มันชิงชัยตำแหน่งเดือนมหาลัยมาให้ได้ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กลุ่มท่านประธานของพวกผม

ก่อนที่จะไปลุยกับกิจกรรม

ขอไปเที่ยวกับแฟนให้หนำใจก่อนละกัน

“ หน้าแดงทำไมไอ้สัสหนม ”

ตามองคอมอยู่แท้ๆยังรู้ว่าหน้ากูแดงได้

ยอมใจมึงจริงๆไอ้เพื่อนรัก









TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้นะคะ เรื่องนี้อยู่โปรเจ็กต์เดียวกับ S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาาาา
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 17 : 17/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-11-2017 21:30:18
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 18 : 18/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 18-11-2017 20:46:17
บทที่ 18 เที่ยวกับแฟน



อื้อ.อ.อ....

อึดอัดอ่ะ

เหมือนโดนอะไรรัด

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสลัวจากโคมไฟที่หัวเตียงทำให้ผมรู้ว่าความอึดอัดที่รู้สึกนั่นมันเป็นเพราะอ้อมกอดจากร่างสูงที่หลับอยู่ข้างๆนั่นเอง ผมเงยหน้ามองใบหน้าหล่อที่อยู่ไม่ไกล ชอบจังที่ได้เห็นพี่มันหลับอยู่ใกล้ๆ พอเป็นแฟนกันพี่มันก็เอาหมอนข้างในห้องไปทิ้งไว้ห้องไอ้หมีแล้วก็บอกให้ผมกอดมันแทน

ร้ายไหมล่ะ

ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้วข้างนอกนั่นยังมืดอยู่เลย ป่านนี้ไอ้หมีมันจะตัดงานเสร็จรึยังก็ไม่รู้ ไอ้พวกเพื่อนๆพอมันกลับมาจากที่ไปเที่ยวก็พากันแยกย้ายเข้าห้องตัวเองทันที ไม่มีใครคิดจะแวะเข้าไปดูเพื่อนหมีผู้น่าสงสารสักคน ไอ้เป้มันบอกว่าที่ไม่เข้าไปดูไอ้หมีเพราะเดี๋ยวจะทำให้มันเสียสมาธิ เดี๋ยวงานจะเสร็จช้า

โคตรข้ออ้างอ่ะเอาจริงๆ

ผมว่าผมแวะไปดูไอ้หมีมันหน่อยดีกว่า

“ พี่ขุน ”

“ อื้ออ.อ....” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากคนขี้เซา “ พี่ง่วง ” อ้อมแขนที่กอดผมอยู่ก็กระชับแน่นขึ้นไปอีก

กูหายใจไม่ออกไงพี่

“ อื้ออ.ออ...พี่กอดหนมแน่นไปแล้วนะ หายใจไม่ออก ” จะตายแล้ว

อ้อมกอดค่อยๆคลายออก “ เรามันน่ากอดอ่ะ ”

“ น่ากอดอะไรเล่า ” ขนาดงัวเงียแทบจะไม่ได้สติยังจะทำให้กูเขินได้อีกนะพี่นะ

“ แล้วเรียกพี่ทำไมครับ ฝันร้ายหรอ ” พี่มันพึมพำเบาๆตาก็กำลังจะปิด

“ คือหนมมันจะไปดูหมีมันหน่อยอ่ะ พี่ก็นอนต่อเถอะเดี๋ยวหนมมา ”

“ ไปนานรึเปล่า ”

“ ไม่นานหรอก ” ผมยกมือลูบหัวพี่มันเบาๆ “ นอนไปก่อนเดี๋ยวกลับมานอนด้วย ”

“ ครับ รีบมานะ ” พี่มันหลับตาลง ผมก็ค่อยๆพาตัวเองออกมาจากเตียงเบาๆ

ผมเดินออกมาจากห้องตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องไอ้หมี นาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังนั่นบอกเวลาประมาณตี 2 กว่าๆ ผมเห็นโน้ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้ หน้าจอแสดงไฟล์วิดีโอที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเรียบร้อย จะว่าไปก็เสร็จไวเหมือนกันนะแต่ก็แน่ล่ะมันนั่งทำไม่หยุดเลยนี่นา

ว่าแต่ไอ้หมีมันไปไหนวะ

“ ไอ้หมี ” หรือว่ามันอยู่ในห้องน้ำ

“ กูอยู่นี่หนม ” เสียงดังออกมาจากริมระเบียงทำให้ผมเดินออกมาดู

ร่างของเพื่อนรักนั่งมองทะเลอยู่นิ่งๆโดยที่ข้างกายมีกระป๋องเบียร์ตั้งอยู่หลายกระป๋อง มันคงมานั่งดื่มหลังจากที่งานเสร็จแน่ๆเลย สีหน้าที่ดูเหนื่อยๆนั่นให้ความรู้สึกแปลกๆอ่ะ เหมือนมันเหนื่อยกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานมากกว่า จะว่าไปสีหน้านี้คล้ายๆกับตอนที่มันอยู่ในช่วงปวดใจจากเรื่องไอ้ขันเลย

ไม่อยากเห็นไอ้หมีทำหน้าแบบนี้เลยว่ะ

“ งานเสร็จทำไมไม่นอนวะ ไม่ง่วงหรอ ”

“ ก็ง่วงแต่ยังไม่อยากนอนว่ะ ” มันส่งเบียร์มาให้ผม “ เอาหน่อยไหม ”

ผมรับกระป๋องเบียร์มาก่อนจะนั่งลงข้างมัน “ ยอดวิวคลิปกูมันมากกว่าสองพันนะไอ้หมี ”

“ เออกูเห็นละมึงแม่งขี้โกงชิบหาย ” มันเบ้ปากใส่ผม

“ กูไม่ได้ขี้โกงสักหน่อย ไม่รู้แหละมึงต้องทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับกู ”

“ เออว่ามา อยากรู้อะไรก็ถามเลย ” มันยกเบียร์ขึ้นกระดก

“ ความสัมพันธ์ของมึงกับไอ้ขันมันยังไงกันแน่ ”

“ แค่กกก..ก...” ไอ้หมีมันยกมือเช็ดปากหลังจากที่ตัวเองสำลักเบียร์ “ ถามไรเนี่ยะหนม ”

“ ก็ถามสิ่งที่กูอยากรู้ไง บอกมาซะว่ามึงกับไอ้ขันเป็นอะไรกันแน่ ” ไม่บอกกูจับมึงทิ้งลงทะเลแน่

ผมนั่งจ้องเพื่อนรักอย่างคาดคั้น วันนี้ต้องรู้ให้ได้แหละหมีว่ามึงกับไอ้ขันมันถึงขั้นไหนแล้ว แล้วที่มันดูเป็นทุกข์นี่เพราะไอ้ขันมันมาทำอะไรกันแน่ ผมจะได้จัดการไอ้ขันมันได้ไง และเผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยไอ้หมีได้ผมจะได้ช่วยมัน

เพื่อนเขาก็มีไว้ทำอะไรแบบนี้เนี่ยแหละ

ซึ้งว่ะ พูดเองซึ้งเอง

“ ก็เป็นแค่คนที่แอบชอบว่ะ ”

“ มึงชอบมันขั้นไหนเนี่ยะ ขั้นแบบจะเป็นแฟนอย่างงี้น่ะนะ ”

ไอ้หมีพยักหน้ารับ “ ก็คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่ว่าพี่ขันเค้าเกลียดกูอ่ะ เพราะว่ากูเป็นคนเจ้าชู้ในสายตาของพี่เค้า ”

“ มึงแค่รู้จักคนเยอะป้ะวะ ทำไมไอ้ขันมันถึงไปคิดว่ามึงเจ้าชู้เนี่ย ”

“ ไม่รู้ว่ะหนม แต่มึงไม่ต้องไปพูดเรื่องอะไรพวกนี้ให้พี่ขันฟังนะ ไม่ต้องไปแก้ตัวไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆแหละ ”

“ ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆมึงจะโอเคหรอหมี ”

“ โอเคสิ เค้าไม่เกลียดกูไปมากกว่านี้มันก็ดีแค่ไหนแล้ว ” มันบอกเสียงอ่อนก่อนจะยกเบียร์ขึ้นกระดกจนหมดกระป๋อง

รู้สึกปวดใจแทนไอ้หมีเลยว่ะ

มันต้องทนเรื่องแบบนี้มานานแค่ไหนวะเนี่ย ผมคิดว่าสิ่งที่มันอดทนเก็บไว้มาตลอดนี่ก็สาหัสต่อจิตใจมากเลยนะ แล้วก็แหม โลกนี้มีคนตั้งเยอะเสือกหน้ามืดมาชอบไอ้ขันได้ ผมรู้ดีว่าไอ้ขันมันไม่ชอบคนเจ้าชู้ อีกอย่างคือผมเคยแอบได้ยินมันคุยกับพี่แช่มครับ เหมือนกับว่าไอ้ขันมันมีคนที่มันรักแต่ต้องจากกันอะไรของแม่งสักอย่าง ตอนนี้มันก็น่าจะยังรักคนๆนั้นแค่คนเดียว เพราะหลายปีมานี้ผมไม่เคยมันมีแฟนสักคน

แม่งไม่สนใจใครเลย

ผมไม่รู้ว่าไอ้หมีมันรู้เรื่องนี้รึเปล่า อาจจะรู้ก็ได้เพราะว่าถ้าเป็นเรื่องของไอ้ขันแล้วไอ้หมีมันรู้แทบทุกอย่าง แต่ถ้ามันรู้ว่าไอ้ขันมันมีคนที่รักแล้วมันก็ควรจะตัดใจนะจริงๆ มันไม่เหมือนกรณีของผมกับพี่ขุนอ่ะ พี่ขุนมันชอบผมแต่ผมไม่มีใครในใจไง ส่วนไอ้หมีมันชอบไอ้ขันแต่ไอ้ขันมันก็มีคนที่มันรักอยู่แล้ว คือต่อให้มันจะทุ่มเทให้แค่ไหนมันก็นะ...

ใครจะไปสู้คนในใจได้วะ

มีแต่แพ้กับแพ้

“ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิวะหนม ” ไอ้หมีมันเลื่อนมือมาดึงแก้มผม “ มึงจะคิดเยอะแทนกูทำไม ”

“ ก็เป็นห่วงมึงนี่หว่า ”

“ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูเป็นคนเก่งมึงไม่รู้หรอ ” เพื่อนรักมันยิ้มหวานให้ผม เออจ้าไอ้คนเก่ง

ทำหน้าปวดใจอีกกูจะตบให้คว่ำ

“ ถ้าไม่ไหวมึงต้องบอกกูนะหมี ”

“ เออได้ ถ้าไม่ไหวแล้วกูจะบอก ไปนอนได้แล้วไปเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเที่ยวกัน ”

“ แล้วมึงอ่ะ ”

“ เดี๋ยวก็นอน ”

“ เอองั้น ฝันดีนะมึง ”

ไอ้หมีมันฉีกยิ้มหวานให้ผม “ ฝันดีหนม ” ปกติถ้าเห็นมันยิ้มแบบนั้นผมคงจะหมั่นไส้ แต่วันนี้จะหยวนให้ก็แล้วกันนะ

ผมเดินออกมาจากห้องไอ้หมีก่อนจะกลับมาที่ห้องของตัวเอง เรื่องไอ้หมีนี่เคลียร์ในระดับนึงแล้วครับ เดี๋ยวจะต้องใจดีสู้เสือไปถามไอ้ขันต่อ อยากรู้ว่าคนที่มันรักเป็นใคร ไม่รู้ว่าแม่งจะบอกไหม ต้องบอกสิมันต้องบอกผมถ้ามันไม่บอกผมก็จะไปให้แม่บังคับมัน ผมจะต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้ง

เสร็จกูแน่เชี่ยขัน

“ อื้ออ.อ....หนม ” เสียงงึมงำดังออกมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง ละเมอหรืออะไรวะน่ะ

ผมค่อยๆคลานขึ้นมาบนเตียง “ หนมมาแล้ว ”

“ กลิ่นเบียร์ ” ดวงตาคมลืมตาขึ้นมองผมปรือๆ “ ดื่มเบียร์มาหรอหืม ”

“ นิดหน่อยอ่ะ พี่เหม็นรึเปล่าเดี๋ยวหนมไปแปรงฟันก่อนก็ได้ ”

มือเรียวของพี่มันคว้าผมเข้าไปกอดทันที “ ไม่เหม็น ไม่ให้ไปไหนแล้ว พี่จะกอด ” พี่มันกดหัวผมให้ซุกที่ซอกคอมัน   

ชอบกลิ่นนี้ชะมัด

มีแฟนตัวหอมนี่เป็นบุญกับชีวิตมากนะครับ

“ พี่นี่ตัวหอมจริงๆเลย ”

“ นอกจากตัวหอมแล้ว พี่ก็ปากหวานด้วยนะ ลองชิมไหม ”

“ ไม่ชิมมม ” ผมตีพี่มันไปทีนึง “ นอนไปเลยนะ ” สะลึมสะลือขนาดนั้นแล้วแท้ๆยังจะคิดเรื่องแบบนี้ได้อีก

“ อื้ออ.อ.อ.....นอนแล้วครับ ” พี่มันกอดผมแน่นขึ้นอีก รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอ พี่มันคงหลับไปแล้วล่ะครับ

ผมเองก็ควรนอนเหมือนกัน ต้องชาร์จพลังไว้ไปเที่ยวครับ ที่ชะอำนี่มีหลายแห่งเลยที่ผมอยากจะไป ที่อยากไปที่สุดนี่คือสวนน้ำครับ อยากจะไปเจอความหวาดเสียว เดี๋ยวจะต้องออมเสียงไว้แหกปากพรุ่งนี้โดยเฉพาะ พอคิดได้แบบนั้นก็หลับซะนะเจ้าขนม

ฟี้....ฟี้....





วันแห่งการผจญภัยมันมาแล้ววววววว

เย่

ผมนั่งมองวิวข้างทางอยู่บนรถครับ วันนี้จะไปเที่ยวกันตามที่ได้คุยกันไว้ ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวกับสองแห่งนั่นก็คือ สวีท ชิพ ฟาร์ม และ ซานโตรินี่ วอร์เตอร์ แฟนตาซี นั่นเองครับผม คือตัวผมน่ะรอไปเล่นน้ำอย่างเดียวเลย แต่เพื่อนหมีเขาอยากจะดูแกะก็เลยแวะมาที่นี่ก่อน ส่วนเพื่อนๆก็ยอมตามใจเพราะว่าถือว่าเป็นรางวัลที่ไอ้หมีมันทำงานเสร็จไวและงานออกมาดี

เอาใจเพื่อนหมีมันหน่อย

“ หนมครับ ”

“ หืม ”

“ พี่อยากกินขนม ”

ผมหยิบถุงขนมออกมาแกะก่อนจะยื่นไปให้พี่มัน “ อ่ะ ”

“ พี่จะหยิบได้ไงล่ะครับพี่ขับรถ ”

“ พี่นี่จริงๆเลยนะ ” ผมหยิบขนมในถุงป้อนพี่มัน เจ้าตัวก็อ้าปากกินแล้วก็ยิ้มหวาน อย่ามามัวแต่ยิ้มสิวะ ขับไปรถน่ะ

ไอ้หมียื่นโผล่หน้ามาจากด้านหลัง “ ความจริงพี่ขุนไม่ได้อยากกินขนมหรอกใช่ม้า ”

“ อย่ามาทำเป็นรู้ดีว่ะไอ้หมี ”

“ รู้อะไรวะ ” ผมถามอย่างสงสัย นี่มึงสองคนพูดเรื่องอะไรกันเนี่ยะ

“ พี่ขุนอ่ะเค้าไม่อยากกินขนมหรอก เค้าอยากอ้อนมึง ”

อ้อนงั้นหรอ

ผมนั่งมองพี่มันนิ่งๆใบหน้าหล่อนั่นมีเหวอไปนิดนึงหลังจากไอ้หมีพูดจบ พี่มันเหลือบมามองผมก่อนจะยิ้มหวานให้ นี่ถ้าไอ้หมีไม่บอกว่ามันอ้อนผมก็ไม่รู้เลยนะ ไอ้เราก็คิดว่าอยากจะกินขนม แหม ที่ไหนได้

ร้ายจริงๆเลย

“ อ้อนทำไม ”

“ ก็แฟนน่ารักหนิ พี่ก็ต้องอยากอ้อนสิครับ ” ไม่ต้องมายิ้มหวานเลยนะ

“ ไม่ได้อิจฉาหรอก ” ไอ้ตัวดีมันเบ้ปากใส่

“ พูดมากว่ะไอ้หมี ” ไอ้เผือกดึงไอ้หมีไปก่อนจะกดหัวมันลงกับตักตัวเอง “ นอนนิ่งๆซะ ” พอไอ้เผือกมันสั่งแบบนั้นไอ้หมีมันก็เงียบกริบนอนนิ่งๆไม่ไหวติงแต่อย่างใด

นี่สิคนมีอำนาจที่แท้ทรู

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมานะครับ ผมก็มองวิวไปเรื่อยมือก็คอยป้อนขนมให้คนขับรถ มีหลายครั้งเลยครับที่มันงับนิ้วผมเข้าไปด้วย พอทำหน้าดุใส่ก็มาทำเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยปลอดภัยเลยว่ะเวลาเห็นรอยยิ้มนั้นอ่ะ

เหมือนจะโดนกินยังไงก็ไม่รู้

ก็คิดไว้อยู่หรอกว่าอาจจะโดนกินในวันใดวันนึง ยังไงซะผมก็คงไม่รอดจากพี่มันแน่ๆ ตั้งแต่ที่มันจีบผมมานี่ก็เกือบสามเดือนแล้ว มันอดทนมาสามเดือนเลยนะครับ ผมว่าถ้าไอ้วันที่ผมโดนกินมาถึงเนี่ยผมจะต้องไม่เหลือซากแน่ๆ ตัวพี่มันเองก็เคยพูดไว้ด้วยว่าถ้ามันมีสิทธิ์ในตัวผมเมื่อไหร่มันจะทำให้ผมช้ำไปทั้งตัว

หวั่นใจชิบ

ในขณะที่นั่งคิดโน่นคิดนี่เพลิน รถก็แล่นเข้าสู่บริเวณตัวฟาร์มแล้วครับ อยากจะบอกว่าทัศนียภาพนี่ดีมาก วิวโคตรสวย ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดมาแบบฟาร์มของเมืองนอกอะไรแบบนี้เลย ผมดูกิจกรรมแนะนำของที่นี่แล้วก็มีน่าสนใจหลายอย่างนะครับ เราสามารถให้อาหารน้องแกะได้ด้วย แล้วก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะมาก ผมนี่คันไม้คันมืออยากจะถ่ายรูปแย่แล้ว และกิจกรรมสุดท้ายที่ผมจะพลาดไม่ได้นั่นก็คือ....

คล้องกุญแจคู่รักครับ

เขาว่ากันว่าถ้าคู่รักมาคล้องกุญแจด้วยกันที่นี่ก็จะครองความรักนิรันดร์ได้ คือผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อขนาดนั้นแต่ว่ามันก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ ก็เลยจะตามทำคนอื่นๆเขา ตอนที่แวะปั๊มผมก็แอบไปซื้อกุญแจมาแล้วเรียบร้อย พี่ขุนมันไม่รู้ด้วยเพราะว่าผมแอบมันไปซื้อมา

เดี๋ยวไว้ไปคล้องกันสองคน

เขินจรุม

“ หนมครับ ใส่หมวกด้วย ” พี่มันยื่นหมวกสีเหลืองของมันมาสวมให้ผม

“ พี่ไม่ใส่หมวกหรอ ”

“ ให้หนมใส่ เดี๋ยวหนมร้อน ”

ไอ้หมีมันโผล่หน้ามาอีกครั้ง “ ไม่ได้อิจฉาหรอกนะ ” มันเบ้ปากใส่ก่อนจะเดินลงจากรถไป

มึงนี่มันไอ้หมีจริงๆ

ผมเดินลงมาจากรถก่อนจะกวาดสายมองวิวโดยรวม เป็นฟาร์มที่สวยจริงๆเลยอ่ะ โชคดีที่วันนี้แดดไม่ได้แรงเท่าไหร่นะครับ อากาศก็กำลังดีแถมมีลมอยู่ตลอดด้วย แสงสวยๆแบบเนี้ยะเหมาะกับการถ่ายรูปที่สุดแล้ว

แชะ

ผมสะดุ้งก่อนจะหันไปมองตามเสียงก็พบว่าตัวเองถูกถ่ายรูปไปแล้ว คนถ่ายก็คือพี่ขุนนั่นแหละ ผมทำหน้าบึ้งใส่มันทันที จะถ่ายก็บอกกก่อนได้ไหมล่ะ ไม่อยากมีรูปหน้าเหวอๆนะไอ้บ้า

“ แอบถ่ายทำไม ”

“ น่ารัก ”

“ ไหนเอามาดู ” ผมยื่นหน้าจะเข้าไปดูรูปแต่พี่มันก็หันหนี “ จะดู ”

“ ไม่ให้ดู ” มันยิ้มหวานใส่ผมก่อนจะเดินหนีไปหาไอ้หมี

เลว

กูไม่ดูก็ได้

พอผมงอแงอยู่คนเดียวในใจเสร็จ บรรดาเพื่อนๆก็พาเดินกันไปเสียค่าเข้าชมก่อนครับ ราคาก็ไม่แพงเลยแค่ 50 บาทต่อคน ผมว่ามันคุ้มเลยนะที่แบบจะได้มาชมวิวสวยๆแบบนี้แล้วก็ได้มาใกล้ชิดกับบรรดาน้องแกะนะครับ ไอ้หมีนี่ดูจะชอบใจเป็นพิเศษ เพราะมันวิ่งเข้าไปด้านในคนแรกเลย

“ หนมครับ ”

“ หืม ” ผมเหลือบมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ ถ่ายรูปกัน ” พี่มันยกโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะเอียงหัวเข้ามาชิดหัวผมแล้วยิ้มหวาน “ ยิ้มสิครับ ”

ผมยกยิ้มบางๆให้กล้องพี่มันก็กดถ่ายไปเรื่อย มึงจะเอากี่รูปวะเนี่ยพี่ นิ้วนี่รัวเชียว ในขณะที่ผมกับพี่ขุนกำลังถ่ายรูปกันอยู่นั้นก็มีเสียงซุบซิบเบาๆดังอยู่ไม่ไกล เจ้าของเสียงซุบซิบพวกนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ บรรดาผองเพื่อนของผมเอง ซุบซิบไม่เท่าไหร่แม่งมองกันอย่างจะแดกเลือดแดกเนื้อ

อะไรของพวกมึง

“ เป็นอะไรวะ ”

“ ป๊าว ” เสียงสูงเชียวนะไอ้ปั้น

“ ไม่มีใครอิจฉามึงทั้งนั้นแหละ ” ที่พูดมาจะใช่หรอวะภีม

“ กูก็ด้วย กูก็ไม่อิจฉาทำไม ” มึงพูดอะไรวะไผ่

“ พูดเชี่ยไรไม่รู้เรื่องเลยไอ้สัส ” ไอ้เป้มันโขกหัวไอ้ไผ่ทีนึง “ ไปกันได้แล้ว ไอ้หมีมันไปแย่งหญ้าแกะแดกแล้วมั้งน่ะ ”

เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับไอ้เป้ครับ

เรารีบไปก่อนที่ไอ้มันจะแย่งหญ้าแกะกินดีกว่า

ผมกับบรรดาชาวแก๊งค์เดินมากันจนถึงด้านในฟาร์มที่เป็นส่วนของคอกแกะ กิจกรรมตรงนี้เขาเรียกกันว่า เด็กเลี้ยงแกะครับ คือเราสามารถเข้าไปในคอกเพื่อให้อาหารแกะได้อย่างใกล้ชิด ใกล้ชิดเหมือนไอ้หมีที่ตอนนี้มันอุ้มลูกแกะแล้วหมุนไปหมุนมา

อะไรจะมีความสุขขนาดนั้นวะ

ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปไอ้หมี รอยยิ้มมันในตอนนี้นี่ให้ฟีลโลกสดใสมากอ่ะ ผมมองเพื่อนๆที่ทยอยกันเดินเข้าไปในคอก นิ้วก็กดถ่ายรูปพวกมันให้อาหารแกะกันไปเรื่อย พี่ขุนมันก็เข้าไปอยู่ในคอกเหมือนกันและก็กำลังโดนแกะรุมทึ้งอยู่ ตัวมันเองก็ทำหน้าเหวออีกละ ไม่รู้จะออกมาจากตรงนั้นยังไงสินะ

ต้องถ่ายความเหวอนี้เก็บไว้

“ น้องครับ ”

ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบผู้ชายหน้าตาดีคนนึง ในมือถือกล้องอยู่ด้วย “ อะไรหรอครับ ”

“ มาเที่ยวหรอครับ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ ใช่ครับ ”

“ อ๋อ....ชอบถ่ายรูปหรอ ” จะถามอะไรเยอะแยะวะเนี่ย

“ ก็ชอบนะ โดยเฉพาะถ่ายรูปคนที่รักนี่ชอบมาก ” ผมยกกล้องถ่ายพี่ขุนอีกครั้ง มองผ่านเลนส์นี่เห็นหน้าตึงๆของพี่มันอยู่นะ มันคงจะเห็นที่มีคนเข้ามาคุยกับผมแน่ๆถึงได้ทำหน้าแบบนั้น

นั่นไงเดินมาละ

“ หนมไม่เข้ามาในคอกกับพี่ล่ะ ” พี่มันถามผมพร้อมกับเหลือบมองผู้ชายข้างๆก่อนจะยื่นมือมาจับมือผม “ เข้าไปกับพี่น้า นะครับ ”

“ ไปก็ได้ ” ผมปีนข้ามคอกเข้ามา พี่ขุนมันก็เลื่อนมือมาโอบไหล่ผมไว้ก่อนจะรีบพาเดินมาจากตรงนั้นทีโดยไม่สนใจไอ้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย

โคตรแสดงความเป็นเจ้าของ

“ พี่หึงนะ ” พี่มันเอ่ยเสียงขุ่น

ผมเงยหน้ามองพี่มัน “ หึงทำไม ”

“ ก็มีคนมายุ่งกับแฟนพี่อ่ะ ”

“ เค้าก็แค่ถามว่าชอบถ่ายรูปไหมเอง ”

“ พี่ดูสายตามันออกนะว่าคิดยังไง ” พี่มันทำหน้ามุ่ย “ แล้วเราอ่ะตอบไปว่ายังไงล่ะที่มันถาม ”

“ ก็บอกไปว่าชอบถ่ายรูป โดยเฉพาะถ่ายรูปคนที่รักนี่ชอบมาก ” ว่าแล้วผมก็หันกล้องใส่พี่มันก่อนจะกดถ่ายรูป

“ หนม ” ใบหน้าขึ้นสีแดงทันที “ บอกรักพี่แบบนี้พี่ก็เขินสิ ”

“ ไม่ชอบรึไง ”

“ ชอบแต่เขิน ” พี่มันยิ้มหวานจนตาหยี เห็นแบบนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้จริงๆเลยว่ะ ช่วงหลังมานี้ผมยิ้มบ่อยขึ้นนะ สาเหตุก็มาเพราะพี่มันนี่แหละ

พี่มันทำให้ผมมีความสุขไง

พอมีความสุขก็จะยิ้มออกมา

“ พี่ไปเป็นแบบให้หนมถ่ายรูปหน่อยไป ” พอผมพูดจบพี่ขุนมันก็ไปยืนให้อาหารแกะ

ผมกดถ่ายรูปพี่มันต่อพร้อมกับถ่ายบรรดาเพื่อนๆไปด้วย หลังจากที่พวกผมอยู่ในคอกแกะกันมาได้พักใหญ่ก็พากันเดินไปถ่ายรูปในโซนอื่นๆกันต่อ แล้วพอพวกเราถ่ายรูปกันหนำใจตอนนี้ก็พากันมาอยู่ที่ร้านขายของที่ระลึกครับ มีของฝากน่ารักๆหลายอย่างเลยผมเลือกซื้อเอาไปฝากคนที่บ้านแล้วเรียบร้อย ตอนนี้ก็จะ 11 โมงแล้วเดี๋ยวเราจะต้องไปสวนน้ำต่อ

แต่ก่อนจะไปผมมีเรื่องต้องทำ

ผมสะกิดร่างสูงที่อยู่ข้างๆ “ พี่ขุน ”

“ ว่าไงครับ ”

“ ไปกับหนมหน่อยสิ ” ผมบอกก่อนจะรีบลากมันออกมาจากร้านขายของที่ระลึกทันที ถ้าชักช้าเดี๋ยวเพื่อนๆจะสงสัยซะก่อน

“ จะไปไหนครับ ”

“ เออน่า ” ผมรีบลากพี่มันเดินมายังโซนที่เขาไว้คล้องกุญแจครับแต่พอมาถึงผมก็ต้องหยุดชะงักกับสิ่งที่เห็น “ ไอ้เป้กับไอ้ภีม ”

ทำอะไรวะ

ผมยืนมองเพื่อนรักทั้งสองคนยืนอยู่หน้าตะแกรงเหล็กรูปหัวใจที่เขาไว้แขวนกุญแจน่ะครับ ที่มือไอ้เป้นั่นถือแม่กุญแจแล้วเขียนอะไรลงไปไม่รู้ก่อนจะมันจะส่งให้ไอ้ภีมเขียนต่อ และหลังจากที่ไอ้ภีมเขียนเสร็จมันก็จัดการเอาแม่กุญแจนั้นไปคล้องบนตะแกรงเหล็ก ทั้งไอ้ภีมและก็ไอ้เป้มันยิ้มให้กัน สีหน้าดูมีความสุขมากด้วยครับ

สองคนนี้นี่มันยังไงวะเนี่ย

“ เป้ภีมนี่เป็นแฟนกันหรอหนม ”

“ ไม่รู้ว่ะ เพิ่งเห็นพร้อมกับพี่นี่แหละ ” ผมมองเพื่อนรักที่พากันเดินไป นี่มันแอบไปได้กันตอนไหนวะเนี่ย เพราะงี้นี่เองไอ้ภีมถึงไปนอนที่หอไอ้เป้บ่อยๆ

มันเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง

“ ไว้ค่อยให้ไอ้หมีไปสืบละกันเนอะ ว่าแต่เราพาพี่มาที่นี่ทำไม ”

“ พามาเพื่อนี่ไง ” ผมลากพี่มันมาหยุดอยู่ตรงหน้าตะแกรงรูปหัวใจ “ เค้าบอกว่า ถ้าคู่รักได้มาคล้องกญแจด้วยกันที่นี่ก็จะรักกันไปน้านนาน ”

“ อย่างนี้นี่เอง...แล้วหนมมีกุญแจรึไง ”

“ มีสิ ” ผมล้วงแม่กุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ หนมแอบไปซื้อตอนแวะปั๊ม ”

“ ถึงว่า...ให้พี่รออยู่บนรถ ”

ผมยิ้มแฉ่งให้พี่มันก่อนจะหยิบปากกาเมจิกมาเขียนชื่อตัวเองลงไปก่อนจะทิ้งข้อความสั้นๆไว้ว่า รัก พอผมเขียนเสร็จก็ยื่นให้พี่มันเขียนบ้าง มือเรียวรับไปยืนดูก่อนจะยิ้มออกมา ผมยื่นหน้าไปมองตอนพี่มันเขียน มันเขียนชื่อมันไว้ข้างๆชื่อผมแล้วก็เขียนประโยคต่อจากคำว่ารักที่ผมเขียนไว้

เหมือนกัน

น่ารักจริงๆเลย

“ มาเดี๋ยวหนมคล้องเอง ” ผมเอาแม่กุญแจมาจากมือพี่มันก่อนจะล็อคไว้กับตะแกรงเหล็ก ไม่เคยคิดเลยว่าเกิดมาจะได้มาทำอะไรแบบนี้

โมเม้นต์นี้เอาไปใส่ไว้ในนิยายท่าจะดี

“ หนม ”

“ หืม.... ”

ฟอดดดดด

สัมผัสที่ข้างแก้มทำให้ผมหันไปมองพี่มันทันที ใบหน้าหล่อยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบแก้มผมเบาๆ “ พี่รักเรานะ ”

ตึกตัก

โอ้ยใจเอ๋ยใจ

“ รักเหมือนกันครับ ”

ว่าจะด่าที่มันหอมแก้มในที่โจ่งแจ้งซะหน่อย

แต่ช่างมันเหอะ


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 18 : 18/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 18-11-2017 20:48:45
---------- ต่อจากบท 18 ----------


ณ เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ขนมและแฟนของเขาและบรรดาเพื่อนๆของเขาก็ได้เดินทางออกมาจาก สวีท ชิพ ฟาร์ม เป็นที่เรียบร้อย และพวกเขาก็ได้เดินทางมาจนถึงสถานที่ผจญภัยที่ต่อไปแล้ว นั่นก็คือ....

ซานโตรินี่ วอเตอร์ แฟนตาซี!!!

โคตรตื่นเต้นอ่ะ

ผมยืนมองเครื่องเล่นในสวนนน้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ ผมอยากจะมาที่นี่ตลอดเลยนะแต่แบบว่ายังไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาเลย รู้สึกปลื้มปริ่มมากๆที่ได้มาเหยียบที่นี่ ผมตั้งใจว่าจะเล่นแม่งทุกอย่างเลยครับ

เครื่องเล่นไหนที่ว่าโหดเจอหนมแน่

“ ดูตื่นเต้นมากเลยนะ ”

“ ตื่นเต้นสิ หนมจะเล่นทุกอย่างเลย ”

“ งั้นเอาของไปเก็บกันจะได้รีบมาเล่นไง ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะถือของเดินมุ่งหน้าไปที่คาบาน่า

พวกผมจัดการซื้อบัตรและก็เช่าคาบาน่า มากันหลายคนไงครับจะเช่าล็อกเกอร์มันก็กระไรอยู่ เพราะงั้นเช่าคาบาน่าเลยละกัน จะได้ยัดของได้เต็มที่หน่อย คาบาน่านี่จะคล้ายๆกับบ้านพักอ่ะครับ นี่กะว่าเล่นจนเหนื่อยก็มาพักพอหายเหนื่อยก็ไปเล่นต่อ เออขอเม้าท์หน่อยว่าตอนที่ไอ้หมีมันเห็นบรรดาพวกเครื่องเล่นเนี้ยะมันหน้าซีดด้วย ไอ้ความร่าเริงแบบตอนที่อยู่ฟาร์มแกะหาบวับไปเลย

ไอ้หมีมันกลัวความสูงและอะไรที่ทำให้หวาดเสียว

มันโดนเพื่อนเล่นยับแน่

“ ตื่นเต้นไหมไอ้หมี ” ไอ้เป้มันคล้องคอไอ้หมีพร้อมกับยิ้มเหี้ยม

“ ไม่ตื่นเต้นหรอกเพราะว่ากูจะไปเล่นสระเด็ก ”

“ สระเด็กเค้าก็มีให้เด็กเล่นสิ ” คำพูดของไอ้ภีมทำให้ไอ้หมีมันเบะปาก

“ เออน่า กูยังเป็นเด็กอยู่เลย ”

ท่านประธานเดินเข้าไปแตะไหล่เพื่อนหมีเชิงปลอบใจ “ มึงไม่รอดหรอกว่ะ ”

“ พวกมึงอย่าพูดจาเหมือนเด็กขี้แกล้งได้ไหมเนี่ย ” ไอ้หมีมันเริ่มงอแง

“ เออพวกมึงอย่าไปพูดเหมือนจะแกล้งมัน ” ผมยกยิ้มมองเพื่อนรัก “ ไว้แกล้งมันเลยทีเดียว ”

“ เชี่ยหนม!!!! ”

ผมเดินหนีเสียงโวยวายจากไอ้หมีเข้ามาในคาบาน่าทันที ดีใจจังจะได้เล่นน้ำแล้ว ผมหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋า นี่ตั้งใจว่าจะใส่กางเกงเจเจขาสั้นสีเหลืองกับเสื้อยืดแขนยาวสีขาวครับ ที่ซานโตรินี่เนี่ยะเขาไม่ให้ใส่เสื้อผ้าที่มีกระดุมหรือซิปนะครับเพราะว่าอาจจะเป็นอันตรายให้กับผู้เล่นและสร้างความเสียหายให้กับเครื่องเล่นได้ ในขณะที่ผมกางเสื้อผ้าดูมือเรียวของพี่ขุนมันก็มาคว้าชุดที่ผมวางไว้ไปทันที

อะไรของมึงวะเนี่ย

“ ไม่ให้ใส่ ”

“ ทำไมไม่ให้ใส่อ่ะ ” ผมมองมันพร้อมกับเบะปากหน่อยๆ ไม่ได้นะพี่ กูตั้งใจมาอย่างดีว่าจะใส่ชุดนั้น มึงอย่ามาห้ามสิ

“ กางเกงมันขาสั้นมากแถมเสื้อก็ยังเป็นสีขาวอีก เปียกน้ำทีนี่ก็เห็นไปถึงไส้ติ่งอ่ะ พี่ไม่ให้ใส่ ”

“ ถ้าไม่ให้ใส่แล้วหนมจะเล่นได้ไงล่ะ นี่เอามาชุดเดียวนะ ”

“ พี่เตรียมมาให้หนมละ ” มันยิ้มหวานก่อนจะหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋ามันส่งมาให้ผม

ผมรับมาก่อนจะกางดู มันเป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงเจเจสีเหลืองขาทรงกระบอกความยาวน่าจะประมาณเข่าครับ คือเสื้อเนี่ยะของผมแต่กางเกงแม่งต้องไปซื้อมาใหม่แน่ๆ ผมมองหน้าพี่มันพร้อมกับทำหน้ามุ่ย ส่วนเจ้าตัวนี่ยิ้มแก้มปริอย่างอารมณ์ดี น่าหมั่นไส้นัก อย่าให้มีคราวของกูนะมึง

จะเอาคืนให้สาสม

หลังจากที่ผมได้ชุดในการใส่เล่นน้ำแล้ว ผมกับเพื่อนๆก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ ตอนนี้แก๊งค์ท่านประธานนี่ครบองค์ประชุมเรียบร้อยและพร้อมมากสำหรับการผจญภัยในซานโตรินี่ เครื่องเล่นแรกที่ผมอยากไปท้าประลองก็คือ กามิกาเซ่ครับ มันเป็นสไลด์เดอร์ที่จะไหลลงมาเป็นแนวดิ่ง แม่งต้องได้ฟีลตกตึกแน่ๆเลยว่ะ

“ เล่นไรก่อน ”

“ กามิกาเซ่ ป่ะไอ้หมีไปกับกู ” ผมจัดการล็อคคอไอ้หมีแล้วลากมันเดินมา แต่มันเองก็ดิ้นสู้ไม่ยอมหยุด “ ไอ้เป้มึงมาลากมันไปดิ้ ”

“ ไม่เอานะไอ้สัสหนม ” ไอ้หมีมันจะวิ่งหนีแต่ไอ้เป้มันก็รั้งเอวมันไว้ “ ไอ้เป้ปล่อยกู ”

“ ไปสนุกกันเถอะหมี ” ไอ้เป้มันบอกก่อนจะลากไอ้หมีไปทันที

โชคดีเพื่อนรัก

“ ขี้แกล้งเหมือนกันนะเนี่ย ”

ผมมองหน้าคนพูดทันที “ ก็มันน่าแกล้งหนิ รีบเดินเร็วหนมอยากเล่น ”

ผมรีบลากพี่มันมาจนถึงสไลด์เดอร์แนวดิ่งสีขาวสะอาดตา ความสูงนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะครับเนี่ย พอเดินขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดก็พบกับไอ้หมีที่นั่งกอดขาไอ้เป้อยู่ ดูจากสภาพนี่คงจะกลัวอยู่ไม่ใช่น้อย หลายคนอาจจะคิดว่า เห้ยเพื่อนกลัวอย่าไปแกล้งเพื่อนสิ ขอบอกเลยนะครับว่าสิ่งที่จะทำนี่ไม่ใช่การแกล้งแต่อย่างใด

มันการบำบัดความกลัว

กลัวอะไรก็ต้องถอนด้วยอันนั้นแหละ

“ มึง....กูอยากลง ” ไอ้หมีมันบอกเสียงสั่น

“ เนี่ยะเดี๋ยวก็ได้ลงละ ”

“ ไม่ๆ กูอยากลงทางบันได ”

“ ลงบันไดมันช้า ไหลลงไปนี่แหละไวดี เห้ยพวกมึงจับมัน ” สิ้นคำพูดไอ้เป้พวกไอ้ภีมไอ้เผือกและก็ไอ้ปั้นก็เข้ามาแงะไอ้หมีออกมาจากขาไอ้เป้ทันที

ไอ้ไผ่มันยืนมองตาแป๋ว

“ ม่ายยยยยยย อย่าทำกับกูแบบนี้ถ้ากูเป็นบ้าไปมึงจะทำยังไง ” แหกปากไปก็ไม่มีใครช่วยมึงหรอกหมีนาทีนี้อ่ะ

“ ปกติมึงก็เป็นบ้าอยู่ละ ” ไอ้เป้มันบอกก่อนจะพาไอ้หมีมาถึงทางลงสไลด์เดอร์ “ เอามือประสานอกไว้แล้วเอาขาไขว้ ”

“ ไอ้พวกเชี่ย!!!!!!! ”

บรรดาเพื่อนๆเอาไอ้หมีวางลง “ ลาก่อยเพื่อนหมี ” พวกมันดันให้ไอ้หมีไหลลงสไลด์เดอร์ไป

“ ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”

“ ฮ่าๆๆๆๆ เสียงดังชิบหาย ” ผมหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงแหกปากดังลั่นของไอ้หมี โอ้ย ตลกว่ะ ไม่เป็นไรเพื่อนหมีนะเดี๋ยวเพื่อนหนมจะตามลงไป

พี่ขุนดึงแก้มผม “ หัวเราะลั่นเลยนะ ”

“ ฮ่าๆๆ ก็มันตลกนี่นา หนมไปเล่นแล่ว ” ผมเดินมาที่ปากทางลงสไลด์เดอร์ก่อนจะนอนราบเอามือประสานอกแล้วเอาขาไขว้ตามที่สต๊าฟบอก ตื่นเต้นว่ะตื่นเต้น

พอสต๊าฟเห็นว่าผมพร้อมแล้วเขาก็ดันผมให้ลื่นลงมา

“ เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ”

เสียวโคตรรรรรรร

เพียงแค่เสี้ยวนาทีผมก็ลื่นลงมาจนถึงถึงด้านล่าง น้ำก็อัดเข้าไปในจมูกผมเต็มๆ “ แค่กก.ก....แค่กก.ก....”

ผมยกมือขึ้นเช็ดหน้าก่อนจะลุกเดินออกมาจากตัวสไลด์เดอร์ เสียววาบอ่ะบอกเลยแม่งแบบเหมือนหัวใจหยุดเต้นเลยอ่ะ แต่มันสนุกดีนะครับผมว่าแม่งเป็นอะไรที่สุดจริงถึงจะสำลักน้ำก็เถอะ ผมเดินมาหาเพื่อนหมีที่นอนแผ่อยู่ไม่ไกล เพื่อนรักนอนหน้าซีดหายใจพะงาบๆ พอมันเห็นผมมันก็พลิกตัวนอนคว่ำกับพื้นทันที

“ กูโป้งพวกมึง ”

“ กูว่ามันออกจะสนุก ” ผมนั่งลงข้างๆไอ้หมี

“ พวกมึงสิสนุก กูเนี่ยะจะตาย ไม่รู้โว้ยโป้งงงง ”

“ ไม่ง้อมึงหรอกนะ ”

“ ข่นใจร้าย ”

หลังจากที่ผมนั่งฝอยกับไอ้หมีไม่นานไอ้พวกที่เหลือก็พากันตามลงมาจนครบ คือแต่ละคนแม่งแบบแหกปากดังลั่นมากอ่ะ ยกเว้นแต่ไอ้ไผ่ที่ลงมาแบบเงียบกริบ คือมึงไม่รู้สึกเสียวหรืออะไรเลยหรอวะทำไมถึงลงมาเงียบจัง

“ ไปเล่นกันต่อเลยไหม ” ไอ้ปั้นมันถาม

“ ไปดิ่ กูอยากเล่นคิงครอปบร้า ”

“ เอาซากกูไปด้วย ” ไอ้คนที่นอนอยู่เอ่ยบอกเสียงเอื่อยๆ ไหวไหมมึง

บรรดาเพื่อนๆมันแบกซากไอ้หมีพากันเดินไปที่เครื่องเล่นต่อไป ส่วนผมเดินมาอยู่ข้างๆพี่ขุน ตอนนี้ผมสีเทาของมันนี่เสยขึ้นไปอยู่ด้านบนหมดละ ใบหน้าขาวๆนี่ออร่าเปล่งประกายชิบ มีผู้หญิงไม่น้อยเลยนะครับที่ชะเง้อคมมองตามพี่มัน เอาจริงๆก็ชะเง้อคอมองตามกันทั้งกลุ่มอ่ะ แน่ล่ะมีบรรดาหนุ่มหล่อมาเล่นน้ำกันเป็นฝูงขนาดนี้ไม่มองก็แปลกละ

“ พี่ขุน ”

“ ว่าไงครับ ”

“ ที่เล่นเมื่อกี้เป็นไง เสียวไหม ”

“ ก็เสียวดีนะ ” พี่มันก้มหน้าลงมาข้างหูผม “ หนมชอบเล่นอะไรเสียวๆแบบนี้หรอ ”

“ ก็ชอบนะ มันก็ตื่นเต้นดีอ่ะ ”

พี่มันยกยิ้ม “ พี่มีเครื่องเล่นแนะนำ ”

“ อะไรอ่ะ ”

“ ขุนศึก ” พี่มันจุ๊บหัวผมเบาๆ “ เสียวถึงใจแน่นอนพี่รับรองได้ ”

ตึกตัก

“ พี่นี่แม่ง.....” ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากด่า พี่มันก็วิ่งหนีผมไปแล้ว ไอ้บ้าเอ้ย เข้าเรื่องแบบนี้ตลอดเลยสิเนี่ย

ผมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองที่โดนมันจุ๊บเมื่อกี้ วันนี้นี่โดนหอมแก้มแถมยังโดนจุ๊บอีก ที่สำคัญคือทำข้างนอกและทำตอนผมเผลออีกต่างหาก ไอ้ที่ตกลงกันไว้นี่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวเลยสินะ

พี่ขุนนี่มันร้ายกาจจริงๆ





คาบาน่า

หลังจากที่พวกผมไปผจญภัยกันมาร่วมสองชั่วโมงก็กลับมาพักก่อนครับ ไม่ไหวแล้วตัวนี่เปื่อยไปหมด เครื่องเล่นหวาดเสียวของที่นี่มันเสียวได้ใจมากจริงๆ แถมยังมีเยอะและก็หลากหลายด้วย คุ้มสุดๆอ่ะที่เล่นไป มีหลายอย่างเลยครับที่ผมยังไม่ได้ไปท้าประลอง เดี๋ยวขอชาร์จพลังก่อนเดี๋ยวจะสู้ด้วยใหม่

“ หนมครับ ” พี่ขุนมันเดินมานั่งข้างผม “ พี่ตั้งตัสคบกันในเฟซบุ๊กนะ ”

“ เอาสิ ” เขาจะได้รู้กันอย่างเป็นทางการสักที

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าไปในเฟซบุ๊ก แจ้งเตือนเยอะชิบ พอไปเปิดดูก็พบว่าเป็นแจ้งเตือนของรูปๆนึงที่พี่ขุนมันแท้กผมมา มันเป็นรูปที่ถ่ายด้วยกันตอนที่รอซื้อบัตรเข้าฟาร์มแกะน่ะครับ โดยหัวรูปขึ้นแคปชั่นไว้ว่า ***“ เที่ยวกับแฟน ”*** แม่งทำผมเขินอีกละ ส่วนยอดไลค์ยอดเม้นต์นี่ก็กระหน่ำอีกตามเคย ผมเห็นแว๊บๆด้วยนะว่ามีคนบอกว่าดีใจที่ได้เห็นหน้าผมชัดๆสักที มีทั้งคนที่ชมว่าผมน่ารักและก็บอกว่าผมหน้าตางั้นๆด้วย

หน้าตางั้นๆแต่ทำให้เดือนวิศวะมาตามจีบได้อ่ะนะ

“ พี่ขอไปแล้วนะครับ ”

“ เห็นละ ” ผมกดเข้าไปที่พี่มันส่งคำขอมาก่อนจะกดตกลง

KhunSuek Sutanunsawat กำลังคบกับ Kanom Kananut

ผมอมยิ้มให้กับหน้าจอที่ปรากฏอยู่ มันมีวันนี้จนได้ว่ะ ยอดไลค์นี่พุ่งขึ้นมาภายในเวลาไม่กี่นาทีเลยครับ มีคนกดแสดงความรู้สึกเยอะเลยครับ ไหนดูคอมเม้นต์หน่อยสิ

Sayam naja : เสือร้ายมันมีเจ้าของแล้วโว้ยยยยยยยยย ยินดีกับมึงด้วยไอ้สัสจะได้เลิกมางอแงที่คอนโดกูสักที

Gong Rice : ปิดตำนานนัก**เจ็ดราตรี555555555555 ตามจีบมาตั้งนานก็คบให้มันนานๆล่ะ

Cha Cha : ก็เพลาๆมือกับน้องมันบ้างละกัน

Gangpaaa : ได้กันๆๆๆๆๆๆ


Khaw H : คนโสดจะหมดกลุ่มแล้วนะไอ้สัส มาเลี้ยงเหล้าพวกกูด้วยไอ้เด็กเชี่ย

GE AR : เห็นไหมกูบอกแล้วไอ้น้องแว่น ถ้าไอ้ขุนมันจะเอามันก็เอาจนได้555555555รักกันนานๆเด้อออ


แต่ละคนที่เหมือนอัดอั้นตันใจกันมานาน

“ ใครมากดโกรธวะ ” ผมได้ยินพี่มันพูดแบบนั้นจึงกดเข้าไปดูคนที่เข้ามากดโกรธ

Khan Kanakit

ไอ้ขันว่ะ

ผมหันหน้ามองพี่มันทันที ตอนนี้พี่มันทำหน้าเหวออยู่ ตอนแรกก็รู้สึกคิดหนักอยู่นะแต่พอเห็นหน้าเหวอๆนี่แบบ เออ ตลกว่ะ หน้าแบบนี้อย่าไปทำให้คนอื่นเห็นนอกจากกูเชียว

ผมยื่นมือไปดึงแก้มพี่มันเพื่อเรียกสติ “ เป็นไร ”

“ พี่ขันกดโกรธอ่ะ ”

“ ช่างมันเถอะ ถ้ามันกดโกรธแล้วพี่จะทำไม ”

“ ก็ไม่ทำไมหรอก ก็แค่แบบตกใจ ”

“ ฟังนะ ”ผมยื่นมือไปกุมมือพี่มันไหม “ ใครจะเป็นยังไงก็ปล่อยไป แค่เรารักกันมันก็พอแล้วไม่ใช่หรอ ”

“ ใช่ครับ ” พี่มันเอียงหัวมาพิงไหล่ผม “ อนาคตไม่ว่าจะเจอกับอะไร ยังไงพี่ก็จะไม่ปล่อยเราไปแน่ๆ ”

“ หนมก็เหมือนกัน ”

ความรักของผมกับพี่มันเพิ่งจะเริ่ม ผมจะไม่ให้ใครมาทำลายมันแน่ๆ ส่วนเรื่องไอ้ขันเอาจริงๆผมไม่เชื่อนะที่มันบอกว่าถ้าพี่ขุนขอผมเป็นแฟนได้มันจะยอมปล่อยใหคบกันดีดี คนอย่างมันอ่ะต้องวางแผนร้ายไว้แน่ๆ อันนี้ต้องรอดูต่อไป เดี๋ยวถ้ากลับไปเมื่อไหร่ผมต้องพาพี่มันไปไหว้ป๊ากับแม่ด้วย เดี๋ยวจะเอาให้ไปเป็นลูกมือช่วยแม่ทำกับข้าว

แค่คิดแค่ตื่นเต้นแล้วว่ะ

ขอให้ป๊ากับแม่ชอบพี่มันด้วยเถอะนะ






TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ให้กำลังกันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม

ปล. สถานที่ท่องเที่ยวที่ยกมาแต่งนั้น หากมีข้อผิดพลาดในเรื่องรายละเอียดบางอย่างต้องขออภัยไว้ ณ ทีนี้ และหากใครมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมก็บอกไรท์ได้เลยนะ จะนำไปปรับแก้ให้มันเรียลที่สุดค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 18 : 18/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-11-2017 21:56:33
 :L2: :L1: :pig4:

น่ารักไปเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 18 : 18/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 19-11-2017 06:50:04
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 19 : 19/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 19-11-2017 21:08:33
บทที่ 19 แฟนเป็นคนเอวดี



ชีวิตของนักเขียนนี่ถึงจะมีวันหยุดก็เหมือนไม่ได้หยุดอ่ะครับ

ปวดใจจัง

ตอนนี้ผมกำลังปั่นนิยายแบบเร่งรีบหลังจากที่ไม่ได้ลงมาอาทิตย์กว่าๆ ก็นะมันไม่ว่างเลยนี่ครับ เหล่ารี้ดที่รักต้องเข้าใจไรท์หนมแน่นอน นี่ก็ผ่านมาได้อาทิตย์นึงแล้วครับหลังจากที่เราไปถ่ายหนังสั้นกันที่ชะอำ ขอบอกเลยว่าช่วงอาทิตย์นี้ผมยุ่งและวุ่นมากเพราะว่ามันใกล้จะเข้าสู่กิจกรรมรับน้อง ตื่นเต้นเหมือนกันนะแล้วก็มีลางสังหรณ์ว่าแก๊งค์ของผมจะโดนพวกพี่ๆเล่นหนักด้วย

โดยเฉพาะไอ้หมีนี่น่าจะหนักกว่าชาวบ้าน

“ เสร็จสักที ” ผมมองจอที่ตอนนี้นิยายตอนต่อของผมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เดี๋ยวจะต้องมาไล่อ่านหาคำผิดเพื่อแก้ครับ ผมว่านิยายที่ใช้คำที่ถูกต้องน่ะเวลาอ่านมันได้อรรถรสมากกว่า

อา....ปวดไหล่ชะมัด

ตอนนี้คนนวดไหล่ยังไม่กลับครับนางมีเรียน ช่วงนี้บ่นอิดออดด้วยว่างานเยอะมาก ควิซก็มีงานคณะก็ต้องทำ นางหอบหนังสือหอบชีทมากองไว้ที่ห้องผมเต็มไปหมด เมื่อคืนนี่ก็นั่งทำรายงานยันเช้า แล้วก็ต้องลากสังขารไปเรียนต่อ ช่วงอาทิตย์นี้ยังนอนไม่ถึง 20 ชั่วโมงเลยมั้ง

น่าสงสารสุดๆอ่ะ

แล้วที่หนักหนาเข้าไปอีกคือนางเป็นทีมสันทนาการของวิศวะ ก็ต้องเป็นคนที่เตรียมกิจกรรมรับน้อง นอกนั้นก็ต้องไปประชุมงานของดาวเดือนด้วยครับ เพราะว่าหลังจากที่รับน้องเนี่ยะอาทิตย์ต่อไปมันจะประกวดดาวเดือนต่อ นางเป็นเดือนวิศวะไงก็เลยต้องไปดูแลน้องเดือนของตัวเอง พวกดาวเดือนคณะของปีนี้นี่ก็ยุ่งๆอยู่ครับ มันเป็นช่วงอบรมและเดี๋ยวมีต้องไปเก็บตัวก่อนประกวดด้วย ที่ผมรู้นี่เพราะว่าไอ้เป้มันมาบ่นให้ฟังครับ ผมก็ได้แต่ตบไหล่มันเบาๆแล้วบอกให้ทำใจนะ

ไงล่ะ นี่แหละกู๊ดเฟรน

“ เรียบร้อย ” ผมกดลงนิยายในเว็บเสร็จแล้วครับ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ พี่ขุนมันคงเลิกแล้วล่ะเพราะว่ามันนี้มีเรียนแค่คลาสยาวคลาสเดียว แต่ไม่รู้ว่าจะมีไปทำงานอื่นต่ออีกรึเปล่า ไม่ได้โทรหรือไลน์มาบอกผมด้วย

ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ

คิดถึงจัง

ผมปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะคลานขึ้นมาบนเตียง ผมว่าผมกำลังจะกลายเป็นคนติดแฟนแน่เลยว่ะ ห่างนิดเดียวก็รู้สึกคิดถึงละ แต่ว่ามันก็อาจจะปกติของคนเป็นแฟนกันก็ได้นะครับ คิดถึงกันก็ไม่น่าจะแปลก อีกอย่างเวลาที่เราอยู่ด้วยกันส่วนมากก็นั่งทำกันแต่งานอ่ะ พี่มันมานอนนี่ทุกคืนเลยนะครับแต่แบบพอเช้าก็แยกกันไปเรียน กลับมาก็ค่ำละ แล้วก็ต้องมาทำงานต่อ บางวันผมหลับไปก่อนพี่มันกลับห้องด้วยซ้ำ แล้วพอตื่นมาก็จะวนเข้าลูปเดิม

อยากจะหลุดพ้นช่วงเวลานี้ไปเร็วๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู พี่ขุนกลับมาแล้วแน่เลย จะว่าไปนี่ก็ถือว่าพี่มันกลับมาไวอยู่นะ ดีจังอยากเจอหน้าจะแย่แล้ว พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบวิ่งมาเปิดประตู

ไม่ใช่แฟนผมว่ะ

“ มึงมาทำอะไรไอ้หมี ”

“ ทำไมเห็นหน้ากูละหุบยิ้มล่ะ เป็นแบบนี้กูเสียใจหน่า ” มันเบะปากก่อนจะยกมือขึ้นทำเป็นปาดน้ำตา

“ กลับไปเล่นหอมึงไป ” ผมบอกมันอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเหมือนเดิม ไอ้หมีมันก็ปิดประตูและเดินตามมาทิ้งตัวนอนลงข้างผม

“ พี่ขุนไปเรียนหรอ ”

“ ใช่....เอาหมอนมันมานี่ ” ผมแย่งหมอนพี่ขุนมาจากไอ้หมีที่หนุนอยู่ “ ห้ามหนุน ”

“ ทำเป็นหวง ” มันเบ้ปากใส่ผม ผมก็เอาหมอนที่แย่งมาตีหน้ามัน “ โอ้ยยยเจ็บนะ ”

“ สมน้ำหน้า ว่าแต่มึงมาทำอะไรที่นี่วะ ”

“ คือกูนอนไง แล้วก็ฝันร้ายอ่ะ ”

“ ฝันร้ายอีกแล้วหรอ ”

“ ใช่ แย่เนอะ ทำร้ายกูตอนนี้กลางคืนไม่พอยังจะทำร้ายกูตอนกลางวันด้วย ”

“ เมื่อไหร่มึงจะเล่าความฝันของมึงให้กูฟังวะ ”

“ สักวันนึงว่ะหนม....ใครโทรมาวะ ” ไอ้หมีมันล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา “ ว่าไงพี่กล้วย ”

ผมนอนมองด้วยความสงสัย อยากรู้เรื่องฝันร้ายของมันมากครับ เรื่องนี้มันคาใจผมมาตั้งนานแล้วด้วย ฝันนี่มันฝันเห็นอะไรน่ากลัวหรอ ฝันว่าตกจากที่สูงอะไรทำนองนี้ป้ะวะ แล้วจากอาการไอ้หมีนี่คือฝันแบบนั้นทีก็สติกระเจิงนอนต่อไม่ได้ แถมยังต้องเร่ร่อนไปหาคนนอนด้วยถึงจะนอนได้ ใช้ชีวิตแบบนี่โคตรทรมานอ่ะเอาจริงๆ

ดีแค่ไหนที่มันไม่เป็นบ้ามากไปกว่านี้

“ ตอนนี้เลยหรอ โอเคก็ได้งั้นเจอกันเด้อ ” ไอ้หมีมันกดวางสายก่อนจะหันมาหาผม “ กูไปหาพี่กล้วยก่อนนะ ”

ผมพยักหน้ารับ “ ถ้ามีไรก็โทรหากูละกัน ”

“ ได้เลย ไปละบับบุยนะ ” มันส่งจุ๊บให้ผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ขนลุกว่ะ

ผมลูบแขนตัวเองเบาๆ ถึงไอ้หมีมันจะเป็นเพื่อนก็เถอะแต่เวลามันทำอะไรแบบนี้ผมก็ขนลุกตลอดเลยว่ะ ไม่ใช่แค่ไอ้หมีนะครับกับเพื่อนคนอื่นผมก็เป็น มีแค่กับพี่ขุนเท่านั้นแหละที่ผมไม่ได้รู้สึกขนลุกอ่ะ แถมยังชอบใจอีกต่างหาก ก็แฟนนี่นะใครจะไม่ชอบล่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมหันมองทางประตูที่มีเสียงเคาะ ไอ้หมีมันย้อนกลับมาเอาอะไรรึเปล่าวะ พักนี้ยิ่งเอ๋อๆอยู่ด้วยนะมันอ่ะ ผมลุกเดินจากเตียงก่อนจะไปเปิดประตูให้ ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ไอ้หมีครับ

แฟนผมเอง

“ อื้อออ..อ....หนม ” พี่ขุนเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะก้มหน้าซุกไหล่ผมไว้ “ พี่จะตายแล้ว ”

“ ไหวไหมเนี่ย ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง จากน้ำเสียงนี่คงจะง่วงมากเลยล่ะครับ “ ไปนอนที่เตียงก่อนไป ” พอผมบอกแบบนั้นร่างสูงก็เดินมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงทันที

สภาพอิดโรยสุดๆ

ผมปิดประตูก่อนจะเดินตามมา พี่ขุนนอนแผ่อย่างคนหมดแรง สงสัยวันนี้จะเจอมาหนักสภาพถึงได้ใกล้ปางตายแบบนี้ ผมนั่งลงข้างๆก่อนจะยกมือไปลูบหัวพี่มันเบาๆ เจ้าตัวค่อยๆเลื่อนหัวขึ้นมาหนุนตักผมไว้ ใบหน้าขาวตอนนี้หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ นี่นับว่าแปลกนะ เมื่อก่อนมันก็เคยเหนื่อยแบบนี้แต่ไม่เห็นมันจะหมองหนักขนาดนี้เลย

“ หนมครับ ”

“ หืม ”

“ พี่ง่วงนอน ”

“ ก็นอนสิ ”

“ นอนไม่ได้เพราะว่าต้องไปสันทนาการน้องตอนบ่ายสาม ” พี่มันเอามือผมไปแนบแก้มตัวเองไว้ “ พี่กลัวว่าถ้าหลับไปแล้วจะไม่ตื่น ”

“ เดี๋ยวหนมปลุกก็ได้นะเอาไหม นอนสักสองชั่วโมงก็ยังดี ”

“ พี่ไม่ตื่นหรอก ” พี่มันอมยิ้มมองผม “ พี่ว่ามีวิธีดีดีที่จะเรียกสติพี่ได้อยู่ ”

“ วิธีอะไรล่ะ ”

“ จูบ ”

ผมมองพี่มันตาปริบๆทันทีที่ได้ยินคำว่าจูบ สีหน้าคนที่นอนอยู่บนตักตอนนี้ก็ค่อนข้างที่จะจริงจังมากเลยนะครับ จริงอยู่ว่าผมอยู่ด้วยกันมาตลอดทั้งอาทิตย์ แต่ว่านอกจากกอดกับหอมแก้มก็ไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่านั้น มีวันนี้นี่แหละที่พี่มันมาพูดถึงเรื่องจูบเนี่ยะ ผมก็รู้อยู่หรอกว่ายังไงมันก็ต้องมีวันที่จูบกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้และตอนนี้

เอาไงดี

“ นะครับ นะ ” พี่มันบอกเสียงอ้อนก่อนเอาจมูกถูบนหลังมือผมเบาๆ “ พี่จะตาสว่างเลยแหละ ”

“ เชื่อได้ป้ะเนี่ย ” ผมหรี่ตามองพี่มัน ไม่ใช่ว่ามาทำเป็นจะตายเพื่อหาเรื่องจูบผมหรอกนะ

“ เชื่อได้สิครับ จูบพี่หน่อยนะ ”

“ เอางั้นก็ได้ แต่พี่ต้องหลับตานะ ห้ามมอง ” ถ้ามันมองผมมีหวังผมคงได้เขินตาย

“ ได้ครับ ” พี่มันหลับตาลง

ผมมองใบหน้าหล่อที่ตอนนี้หลับตารอรับจูบจากผมอยู่ ใจเต้นแรงชิบ ผมค่อยๆก้มหน้าลงไปใกล้พี่มันเรื่อยๆ ก่อนจะแตะริมฝีปากปากนั่นเบาๆ เจ้าตัวเผยยิ้มเล็กน้อยทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ชอบใจสินะ แค่เอาปากแตะกันแค่นี้เองแท้ๆ ทำไมมันถึงให้ความรู้สึกหลายอย่างเลยวะ ที่แน่ๆคือรู้สึกดีมากๆ มันรู้สึกดีจริงๆ ในขณะที่ผมกำลังจะขยับออก มือเรียวของพี่มันก็กดท้ายทอยของผมไว้ก่อนที่ลิ้นร้อนจะแทรกเข้ามาในปาก

เดี๋ยวนะพี่ขุนมึงทำอะไรเนี่ย

ผมพยายามเอารั้งหัวออกแต่ก็สู้แรงจับของพี่มันไม่ได้ พี่มันยังไล่ลิ้นคลอเคลียอยู่ไม่ห่างจากลิ้นผม อื้ออออ....อ....มันให้ความรู้สึกแปลกๆอ่ะ จูบแลกลิ้นมันเป็นแบบนี้เองสินะ เคยอ่านแต่ในนิยาย ไม่รู้เลยว่าของจริงมันจะให้ความรู้ที่แตกต่างกันมากถึงขนาดนี้ ผมตีแขนพี่มันเพื่อเป็นการบอกให้มันพอได้แล้ว ไม่รู้ว่าพี่มันจูบผมนานแค่ไหนแต่ว่าเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้วครับ

จะมาขาดใจตายเพราะถูกจูบไม่ได้นะขนม

“ อืมมม..ม....” พี่มันละจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่ง “ สุดยอดเลย ” ใบหน้าหล่อยิ้มหวานทันที

ผมรีบโกยอากาศเข้าปอดทันทีก่อนจะตีไหล่พี่มันแรงๆ “ สุดยอดหน้าพี่สิ หนมเกือบขาดอากาศตายแล้ว ” ผมจ้องพี่มันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“ อื้ออ.อ.อ...” พี่มันยกมือขึ้นมากุมแก้มผมไว้ “ พี่ขอโทษนะครับมันลืมตัวไปหน่อยอ่ะ ก็อดทนมาตั้งนาน ”

ตึกตัก

ทำหน้าอ้อนๆแบบนั้นกูก็ใจสั่นหมดสิ

“ พี่มันบ้า ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะหันหนี พี่มันลุกขึ้นมานั่งมองผม “ มองอะไรวะ ”

“ ฮื้ออ..อ.อ...น่ารักจังเลย ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะโถมตัวเข้ามากอดผมจนผมเอนล้มลงไป มีแฟนตัวใหญ่กว่านี่ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ เวลาแบบนี้นี่สู้แรงแม่งไม่ได้เลย

“ ปล่อยเลยไม่ต้องมากอด ” ผมทำเสียงขุ่นใส่คนที่เอาคางวางไว้บนอกผม “ ไม่ต้องมายิ้มด้วย ”

พี่ขุนมันทำเป็นมองตาใสใส่ผม “ หนมงอนพี่หรอ ”

“ ยังจะมาถามอีก ”

“ งอนพี่ทำไมอ่ะครับ ” มันทำเสียงอ่อยก่อนจะเอาหน้าไถๆอยู่แถวหน้าอกผม ไอ้บ้านี่ มันจั๊กจี้นะไอ้สัส

“ อื้ออ.อ.อ...อย่า ” ผมจับหัวมันออกจากอกก่อนจะดึงแก้มขาวแรงๆ “ พี่แม่งเจ้าเล่ห์ ”

“ ช่ายยยยยยย พี่เป็นคนเจ้าเล่ห์ กว่าจะทำให้หนมรักพี่ได้นี่ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมไปเยอะ ฮ่าๆๆๆๆ ” นางว่าแล้วนางก็หัวเราะลั่น

น่าหมั่นไส้จริงๆ

ผมอมยิ้มมองพี่ขุนที่สภาพตอนนี้ดูโอเคกว่าตอนแรก อาการง่วงๆหายไปแล้วครับ นี่หายง่วงเพราะจูบจริงๆอ่ะ คนแบบนี้ก็มีในโลกด้วยหรอวะ แต่ผมก็แอบสงสัยอยู่ในใจลึกๆนะว่าไอ้อาการที่มันแสดงนั่นมันเรียลรึเปล่า ยิ่งมาบอกว่าตัวเองเจ้าเล่ห์ด้วย คิดแล้วปวดประสาทชะมัด พอๆเลิกคิด คิดไปก็ไม่ช่วยอะไรแถมยังเอาจูบกลับคืนมาไม่ได้ด้วย หลังจากนี้ผมก็คงทำได้แต่ระวังเนื้อระวังตัว แต่ว่าคนเป็นแฟนกันทำอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกหนิ

รู้สึกสับสนในตัวเองจังวะ

“ ทำไมคิ้วขมวดแบบนั้นล่ะครับ ” พี่มันจิ้มตรงกลางระหว่างคิ้วผม “ คิดอะไรอยู่หรอ ”

“ เปล่าหรอก ” ผมบอกปัดพี่มันไป “ หนักเนี่ยะ ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆนะมานอนทับ ”

“ โอ๋ๆๆๆ ไม่ทับแล้วก็ได้ ” พี่มันลุกออกจากตัวผมก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า “ เห้ยยยย กางเกงตัวนี้มันกลับมาได้ยังไง ” มือเรียวชูกางเกงบ๊อกเซอร์สีเหลืองของผมให้ดูพลางส่งสายตาอำมหิตมาให้ผมด้วย

ผมตีหน้าซื่อใส่ทันที “ ไม่รู้สิ ” ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปครับ พี่มันจะได้ไม่ดุ

“ มันกลับมาเองงี้ ”

“ คงงั้นมั้ง ”

“ งั้นไม่เป็นไรครับ ” พี่มันยิ้มหวานให้ผมก่อนจะหยิบไฟแช็คในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา “ ในเมื่อเอาไปทิ้งแล้วยังกลับมาเองได้ พี่ก็จะเผามันให้มอดซะ ”

“ เห้ยเดี๋ยวพี่ขุน ” ผมรีบวิ่งไปคว้ากางเกงตัวนั้นมาทันที พี่แม่งจิตใจโหดเหี้ยมมากอ่ะ กะอีแค่กางเกงตัวน้อยๆยังจะเผาได้ลงคอ

“ เอามาให้พี่เดี๋ยวนี้ ”

ผมส่ายหน้ารัวๆทันที “ ไม่เอา ”

“ ดื้อกับพี่หรอ....ใครโทรมาวะ ” มือเรียวล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ เดี๋ยวพี่จะมาทุบเรา.....โทรมาทำห่าไรตอนนี้ไอ้สัสหยัม ” พี่มันโวยวายใส่ทันที ขอบคุณพี่สยามนะครับที่ช่วยต่อชีวิตกางเกงน้อง

ผมรีบเอากางเกงไปซ่อนในที่ปลอดภัยทันที ไม่ได้ครับเดี๋ยวพี่มันเอาไปทิ้งอีกรอบ ไม่ดิ่รอบนี้มันบอกว่าจะเผาอ่ะ ผมไม่คิดว่าพี่มันจะเอากางเกงผมไปทิ้งจริงๆแบบที่พูดนะแต่ผมคิดผิดไง พอกลับมาถึงวันแรกก็มาจัดแจงแยกประเภทเสื้อผ้าผมอย่างเมามันส์เลย กางเกงตัวไหนสั้นเกินทิ้ง เสื้อตัวไหนบางไปก็ทิ้งเหมือนกัน เสื้อคอกว้างก็ต้องใส่เฉพาะในห้องเท่านั้น กางเกงยีนส์ขาดตรงขาอ่อนก็ไม่ให้ใส่และอีกบลาๆๆๆๆ

นางห้ามยิ่งกว่าพ่อผมอีกอ่ะ

“ มึงมันเลว ” พี่มันทำหน้าบึ้งเดินเข้ามาในห้อง “ เออกูจะรีบไปแค่นี้ไอ้เชี่ยยย ”

“ พี่สยามมีอะไรหรอ ”

“ มันเลื่อนเวลาสันทนาการให้ไวขึ้นอ่ะสิ ตอนแรกบ่ายนัดบ่ายสามแม่งเลื่อนมาเป็นบ่ายโมง ”

ผมหันมองนาฬิกาทันที “ อีกห้านาทีจะไปทันหรอ ”

“ ไม่ทัน แม่งให้พี่ไปซื้อไม้กลองด้วยเนี่ยะ ”

“ งั้นพี่ก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวมันจะช้ามากกว่านี้ ”

“ ไอ้สยามมันอยากให้เราไปถ่ายรูปงานสันฯวันนี้ให้หน่อย แต่พี่ไม่อยากให้เราไปเลย ”

“ ทำไมอ่ะ ” กลัวผมเหนื่อยรึเปล่านะ อาจจะใช่ วันนี้เป็นหยุดของผมไง ผมควรได้พัก

“ พี่หวงอ่ะ เด็กวิศวะมันร้ายกาจจะตาย แฟนพี่น่ารักขนาดนี้ต้องตกเป็นเป้าสายตาแน่เลย ”

ตึกตัก

แม่งเอ้ยย

ผมนั่งลูบหน้าตัวเบาๆเพื่อไล่ความร้อน ที่ไม่อยากให้ไปเพราะอย่างนี้นี่เอง หลังจากที่พี่มันงอแงอยู่แปปนึงมันก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ก่อนจะส่งมาให้ผม มันเป็นกางเกงยีนส์เข่าขาดสีดำกับเสื้อยืดแขนยาวสีเทา นี่คงจะหมายความว่าให้ผมไปเปลี่ยนชุดสินะ แม่งเลือกเสื้อผ้าให้ผมโดยที่ไม่ดูสภาพอากาศเลย ผมรับเสื้อผ้ามาก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ไม่อยากจะยอมแต่ก็ต้องยอมครับ

แพ้ทางอ่ะต่อต้านไม่เคยจะได้

คือเอาจริงๆการอยู่ด้วยกันนี่ก็ต่างคนต่างยอมนะครับ พี่มันก็ยอมผมในหลายๆเรื่องเหมือนกัน อย่างผมเนี่ยะจะถูกพี่มันห้ามมากๆก็เรื่องการแต่งตัวครับ ส่วนผมจะห้ามมันมากๆก็เรื่องสูบบุหรี่ ช่วงนี้มันสูบบุหรี่หนักมาก มันก็พยายามสูบไม่ให้ผมเห็นนะ แต่แบบบางทีกลิ่นมันติดมาคลุ้งมากเลย ผมไม่ได้จะห้ามว่าไม่ให้สูบเลยหรอกครับแต่ว่าอยากให้เพลาๆลงหน่อย เป็นห่วงมันครับไม่ใช่อะไร

มันจะได้มีชีวิตอยู่กับผมไปนานๆ

“ หนมครับเร็วหน่อยยยย ไอ้หยัมไลน์มาด่าพี่แล้ว ”

“ เออรู้แล้ว ”

“ พูดไม่เพราะ ”

“ รู้แล้วครับ ”

เรื่องนี้ก็ต้องยอม


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 19 : 19/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 19-11-2017 21:11:56
---------- ต่อจากบท 19 ----------


ตึกวิศวะกรรมศาสตร์

ผมถือกล้องเดินตามหลังพี่ขุนอยู่ต้อยๆ ได้ยินเสียงกลองแว่วดังเข้ามาด้วยครับ นี่มาเลทไปเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ เชื่อได้เลยครับว่าพ่อหนุ่มหัวเทาสุดหล่อในเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้มนี่จะต้องตกเป้าสายตาของเด็กเป็นร้อยแน่นอนเมื่อถึงลานเกียร์ ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ นี่รู้ได้ด้วยสัญชาติญาณเลยครับ เนี่ยะลานเกียร์อยู่ตรงหน้า ผมว่านับถอยหลังรอได้เลย

สาม

สอง

หนึ่ง

“ อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ”

นั่นไง

ทันทีที่พี่ขุนมันปรากฏตัวต่อสายตาของชาววิศวะเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นในทันที เห็นไหมผมคิดอะไรไม่เคยผิดเลย ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบด้วยนะครับว่าพาแฟนมาด้วย มีคนบอกว่าผมน่ารักด้วย ควรจะชมว่าหล่อสิไม่ใช่น่ารัก นี่คิดว่าตัวเองหล่อขึ้นนะตั้งแต่เปลี่ยนลุคอ่ะ ทำไมชอบบอกว่าผมน่ารักกันจังเลยวะ

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

ทำไมถึงมาช้าล่ะครับ ” พี่สยามถามพี่ขุนผ่านทางโทรโข่ง บรรดาเพื่อนๆพี่มันนี่ก็ได้แต่มองละก็เบ้ปาก

“ น่าจะรู้อยู่แก่ใจไหมเพื่อนหยัมว่าทำไมเพื่อนขุนถึงมาช้า ” พี่มันเอ่ยเสียงขุ่น

“ น่าอิจฉาว่ะ เขาพกแฟนเขามาด้วย ”

“ วิ้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ” สิ้นเสียงพี่แซวจากพี่ก้องเสียงแซวหนักๆจากพวกปี 1 ก็ดังมา พี่ขุนมันก็ยิ้มหวานให้ ส่วนผมนี่ก็หลบอยู่ด้านหลังพี่มัน

เขินครับ สั้นๆเลย

“ มาช้าแบบนี้ต้องโดนลงโทษนะ ” พี่ชาเอ่ยขึ้นมาอย่างมึนๆก่อนจะหันมองทางพวกปีหนึ่ง “ คนมาช้าต้องถูกทำโทษใช่ไหมน้องๆ ”

“ ช่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” ตอบเป็นเสียงเดียวกันเชียว

รอดยากว่ะพี่ขุน

“ เห้ยยยไม่เอาดิ่ ก็พวกมึงอ่ะเพิ่งบอกกูตอนกี่โมง แล้วไหนจะใช้ให้ไปซื้อไม้กลองอีก ”

ไม่รู้ไม่ชี้ มาช้าก็ต้องโดนทำโทษ ” พี่สยามยักคิ้วให้พี่ขุนพร้อมกับยิ้มอย่างเหนือกว่า “ ไปด้านหน้าเลย

“ พวกมึงนี่มัน สารเลว ” พี่มันด่าก่อนจะหันมาหาผม “ ไปอยู่กับพวกไอ้แกงไป ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินมายืนข้างๆพี่แกง

ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าน้องๆปี 1 ปากก็ยิ้มหวานให้น้องๆนะครับแต่ในใจมันนี่คงจะแบบหัวเสียน่าดู ผมว่านะพวกพี่สยามอ่ะตั้งใจที่จะแกล้งมันตั้งแต่แรกแล้วแน่ๆ อยากรู้อ่ะว่าพี่มันจะโดนลงโทษยังไง อัดวิดีโอไว้ดีกว่า โอกาสแบบนี้ไม่มีให้เห็นง่ายๆครับ

เดี๋ยวเอาไว้แหย่พี่มัน

“ จะสั่งทำโทษอะไร ” พี่มันยืนเท้าเอวมองอย่างเอาเรื่อง ผมเห็นมีรุ่นน้องเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมันกันเต็มเลยครับ คนของสาธารณะที่แท้ทรู

ก็ไม่มีไรมาก ก็คิดว่าจะให้เต้น

“ อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” เสียงกรี๊ดดังมาอีกระลอก เอออยากเห็นพี่มันเต้นเหมือนกันนะว่าจะออกมาเป็นยังไง ผมว่าที่พี่มันจะเต้นในวันนี้มันจะต้องเป็นที่ฮือฮามากแน่ๆเลยว่ะ

“ มึงจะให้กูเต้นอะไร ”

“ กล้วยทับบบบบบ!!!!!! ” เสียงตะโกนคุ้นหูดังออกมาจากแถวจนใครหลายคนต้องหันมอง

เสียงนั้นถ้าผมจำไม่ผิดมันคือเป็นเสียงของลันตาครับ เราเคยกินเหล้าด้วยกันอยู่ครั้งนึง ไอ้หมีมันลากลันตามากินโต๊ะเดียวกับผมไงก็เลยรู้จักกัน ไม่คิดเลยว่าลันตาจะกล้าตะโกนขอเพลงออกมา พี่ขุนมันก็ทำหน้ายักษ์ใส่คนขอเพลงทันที ใบหน้าหวานก็ยิ้มแฉ่งไม่สะทกสะท้าน เด็กวิศวะคนอื่นๆก็ดูเห็นดีเห็นงามกับเพลงกล้วยทับนะครับ ส่งเสียงเชียร์กันใหญ่เลย

งั้นเอากล้วยทับ

“ โหยยยยยอะไรวะ ”

ตั้งท่ากล้วยทับเร็วๆ

“ พวกมึงนี่มัน ” พี่ขุนมันนั่งลงคุกเข่ากับพื้นก่อนจะเอาแขนยันพื้นไว้ด้านหลัง “ เลววววววว ”

กล้วยทับพร้อมมม ” พี่สยามสั่งน้องๆ พี่ชาก็ประจำที่อยู่หน้ากลองเพื่อรอตี

ตื่นเต้นว่ะเห็นแค่ตั้งท่าก็ตื่นเต้นละ

“ พร้อมมมมมม ”

สาม....สี่....กล้วยทับ กล้วยทับ กล้วยทับ

ผมยกมือลูบแก้มทันทีที่เห็นพี่ขุนมันเริ่มโยกเอว มันทั้งตลกและก็ทั้งเขินว่ะ พวกปี 1 นี่ดูชอบใจกันมากเลยนะครับ เสียงกรี๊ดกับเสียงร้องเพลงนี่ปนกันใหญ่ พี่สยามร้องเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นอีกพี่ขุนมันก็ต้องโยกเอวให้เร็วขึ้นตาม

ฮ่าๆๆๆๆตลกอ่ะ

แม่งเป็นการลงโทษที่สุดยอดจริงๆ

ใส่เกลือใส่น้ำตาลนิดหน่อยอร้อย อร่อย กล้วยทับ กล้วยทับ.....กล้วยทับ กล้วยทับ กล้วยทับ

“ แรปหรอไอ้สัส ” คนที่เต้นอยู่ตะโกนด่าไปด้วยแต่เอวก็ยังขยับไม่หยุดเลยนะครับ เห็นแล้วใจบางมากเลยว่ะ

นี่ผมมีแฟนเอวดีขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

กล้วยทับอร้อย อร่อย ใส่เกลือใส่น้ำตาลนิดหน่อยอร้อย อร่อย กล้วยทับ กล้วยทับ.....ปรบมือให้พี่ขุนศึกของเราด้วยครับ ” พี่สยามร้องท่อนสุดท้ายจบก่อนจะบอกให้น้องๆพากันปรบมือ

แปะๆๆๆๆ

ผมนี่ก็ปรบมือแบบแมวน้ำเลยครับ ตื้นตันใจและรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ พี่ขุนมันลุกขึ้นมาก่อนจะเสยผมสีเทาที่ปรกหน้ามันไปทีนึง เชื่อไหมว่ากับอีแค่เสยผมอ่ะเด็กแม่งก็กรี๊ดกันจนลานจะแตก เท่าที่ฟังนี่เสียงกระเทยนะครับเพราะว่าคณะนี้ผู้หญิงมีน้อยไง หลังจากจบการเต้นกล้วยทับของคนหล่อประจำคณะพี่สยามก็เริ่มทำกิจกรรมต่อ ส่วนพี่ขุนมันหันไปยิ้มหวานให้น้องๆก่อนจะเดินมายืนอยู่ข้างๆผม

แบบนี้นี่ต้องแซวสินะครับ

ผมหรี่ตามองพี่มันแล้วอมยิ้ม “ เอวดีจังเลยนะพ่อหนุ่ม ”

“ ถ้าอยู่บนเตียงเอวจะดีได้มากกว่านี้อีกครับ ”

ตึกตัก

ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนแซวเองเลยวะ

“ พี่พูดอะไรเนี่ยะ ”

“ พี่พูดความจริง ” พี่มันก้มลงมากระซิบข้างหูผม “ อยากลองไหมล่ะ ”

ผมส่ายหน้ารัวๆทันที “ ยังไม่อยาก ”

 “ ว้า เสียดายจัง ” พี่มันทำแก้มป่องก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวผม “ อยากให้อยากสักทีอ่ะ พี่อ่ะอยากจนจะเป็นบ้าแล้ว ”

ผมยืนมองพี่มันตาปริบๆ ผมไม่ได้บ้องแบ๊วเกินจะไม่รู้ถึงความหมายของสิ่งที่มันพูดนะครับ ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดีเหมือนกัน ผมรู้สึกแค่นี้ตอนนี้ตัวเองยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องแบบนั้นสักเท่าไหร่ แต่ใจนึงก็สงสารพี่มันนะครับ มันอดทนมาตั้งหลายเดือน บางทีที่ตอนนี้พี่มันดูหม่นหมองมากๆนี่ก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้นะ มันคงถึงลิมิตของตัวเองแล้วแหละ

เอายังไงดีล่ะขนม

เห้ยตรงนั้นอ่ะ อย่ามาหวานกันให้มาก ชาวบ้านชาวช่องเขาอิจฉา

พี่สยามนี่มันจริงๆเลย....





หอ K2

หลังจากที่จบกิจกรรมสันฯของวิศวะผมก็กลับมาเคลียร์รูปที่ห้องครับ แต่ว่าพี่ขุนมีประชุมต่อ นี่ก็จะสองทุ่มละนางยังไม่กลับมาเลย ได้รู้กำหนดการณ์มาว่าวิศวะจะรับน้องใหญ่วันมะรืนนี้ รับก่อนคณะผมด้วย เดี๋ยววันที่วิศวะรับน้องผมก็ต้องไปตามถ่ายรูปให้อีกพี่สยามเขาขอร้องมาครับ ต้องได้เจอไอ้ขันแน่ๆวันนั้น ตั้งแต่ที่กลับมาจากชะอำผมยังไม่เจอหน้ามันเลย ถ้าเจอนี่คงจะต้องโดนด่าดีไม่ดีโดนทุบด้วย

หวั่นใจจริงๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เข้ามาเลยไม่ได้ล็อค ” สิ้นเสียงตะโกนบอกของผมร่างบางเจ้าของผมสีทองก็เดินเข้ามาในห้อง ไอ้หมีเองครับไม่ใช่ใคร ในมือถือของมาเต็มเลยด้วย

“ พี่กล้วยเขาฝากขนมมาให้มึงอ่ะ ” มันบอกก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ

“ ฝากขอบใจเค้าด้วย ”

“ ได้เบย ” ไอ้หมีมันเดินมานั่งลงข้างๆผม “ ทำไรวะ ”

“ เคลียร์รูปที่ไปถ่ายงานสันฯวันนี้อ่ะ ”

ไอ้หมีมันเบะปากใส่ผม “ ทำไมไม่ชวนกู ”

“ ก็มึงไปหาพี่กล้วย แต่ถึงไปมึงก็ไม่เจอไอ้ขันหรอกมันไม่อยู่ ”

“ อ๋อ งั้นแล้วไป เป็นไงบ้างล่ะงานสันฯของวิศวะสนุกไหม ”

“ ก็ดีนะ พี่ขุนมันไปช้าก็เลยโดนลงโทษให้เต้นกล้วยทับ กูถ่ายคลิปมาด้วย เอวนี่โคตรดีอ่ะ ”

“ ก็ต้องเอวดีดิ่ นั่นนัก*เจ็ดราตรีเลยนะ ว่าแต่มึงเถอะ ” ไอ้หมีมันจับแก้มผมให้หันมามองมัน “ โดนสอยไปแล้วรึยัง ”

“ บ้า โดนสอยอะไรมึง ” ผมปัดมือมันออก “ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นอ่ะ ”

“ โหอะไรวะ กูนึกว่ามึงจะเสร็จพี่ขุนตั้งแต่วันแรกละ พี่แม่งใจเย็นชิบหายถึงว่าช่วงนี้หน้าตาซีดเซียวอย่างกับคนโดนของ ”

ผมนั่งประมวลผลสิ่งที่ไอ้หมีพูดให้ฟัง แปลว่าไอ้ที่ผมคิดว่าที่มันหม่นหมองเพราะไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นมันก็จริงน่ะสิ พอเป็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะเอาไงต่อหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าพี่มันไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นไปเรื่อยๆมันจะโทรมมากกว่านี้อีกหรอวะ คิดแล้วก็สงสารว่ะ ถึงว่าพักหลังมานี่พูดจาสองแง่สองง่ามบ่อยๆ มันทนไม่ไหวแล้วนี่เอง

เอาไงดีหนมเอาไงดี

“ กูว่าพี่ขุนมันทนต่อไปไม่ไหวแล้วว่ะ ”

“ พี่มันทนไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ดูก็รู้ ช่วงนี้บ่นว่าปวดข้อมือป้ะล่ะ ”

ผมพยักหน้ารับ “ มึงรู้ได้ไง ”

“ ก็แหม มีแฟนแต่มีอะไรกับแฟนไม่ได้พี่มันก็ต้องพึ่งมือตัวเองน่ะสิ ”

ฉ่า

งี้นี่เอง

“ อา.....” ผมยกมือลูบหน้าไล่ความร้อนออกไป “ กูควรทำยังไงดีวะหมี ”

“ มึงรักเค้า มึงมีอะไรกับเค้ากูว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะอีกอย่างมึงพี่ขุนเค้าก็รักมึงมากอ่ะเค้าได้มึงไปเค้าก็ไม่ทิ้งมึงหรอก ”

“ ถ้าทำแบบนั้นมันต้องเจ็บมากแน่ๆเลยว่ะ ”

ไอ้หมีมันยกมือขึ้นมาแตะไหล่ผมเบาๆ “ เจ็บมาก ” น้ำเสียงที่จริงจังแบบนั้นมันคืออะไรวะ

“ มึงเคยโดนแล้วหรอ ” ผมทำเป็นเนียนถามมันไปต่อ จากเกมหมุนขวดมันไม่ได้บอกนะครับว่าตัวเองซิงรึเปล่า เพราะงั้นต้อนๆมันไป

“ ถ้าไม่เคยกูจะรู้ได้ยังไงว่ามันเจ็บ ”

“ แล้วใครวะที่ทำให้มึงเจ็บ ”

มันหรี่ตามองผม “ ไม่ต้องมาเนียนถามเลย ”

“ ไหนๆบอกจะหมดอยู่ละ บอกให้หมดเลยไม่ได้หรอวะ ”

“ ไม่ เรื่องของกูคือเรื่องของกู มึงไม่ต้องกังวลเรื่องเจ็บหรอกมันเจ็บแค่ช่วงแรกๆอ่ะ เดี๋ยวมันก็เสียว อีกอย่างมึงทำกับคนที่มึงรักอ่ะยังไงมันก็ดี ” มันเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนลง ดวงตาฉายแววเศร้าๆยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เศร้าแค่ดวงตาสิแต่เป็นทั้งสีหน้าเลย

พอเป็นแบบนี้แล้วอยากรู้เข้าไปใหญ่เลยว่าใคร

“ กูถามอะไรอีกอย่างได้ป้ะหมี ” ผมยกมือแตะไหล่มันบ้าง “ มึงเสียตัวตอนไหนวะ อายุเท่าไหร่ ”

“ กำลังจะขึ้นม.5 อายุประมาณ 16 ”

“ โอเคกูไม่อยากรู้อะไรละ มึงก็ยิ้มดิ่อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้ได้ไหมวะ ” ผมดึงแก้มสองข้างมัน รู้ว่าเศร้าแต่ไม่เอาอย่าทำหน้าแบบนี้เลยว่ะ เพื่อนฝูงใจคอไม่ดีเลย

“ หึ....มึงนี่ตลกจริงๆเลยหนม ” ไอ้มือมันยิ้มบางๆก่อนจะขยี้หัวผม “ อย่าลืมให้พี่ขุนเค้าใส่ถุงยางล่ะ เพราะถ้าสดเนี่ยะมันจะทำความสะอาดยากแล้วเดี๋ยวมึงก็อาจจะไม่สบายได้ เดี๋ยวกูไปบอกพี่ขุนเองดีกว่า ”

“ ไม่เอาๆ เดี๋ยวกูบอกเอง ” ขืนมึงไปบอกแบบนั้นพี่ขุนมันคงรีบกลับมากระโจนใส่แล้วปู้ยี่ปู้ยำกูแน่ๆ

“ กูว่ามึงน่าจะเสียตัวประมาณสัก....หลังรับน้องก็ดีนะ มีเวลาให้มึงทำใจบอกลาพรหมจรรย์หลายวันอยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ”

ขำเชี่ยอะไรจะขนาดนั้นอ่ะ

ผมถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ เอาก็เอาวะ เออเอาก็ได้ ถึงยังไงเรื่องแบบนี้มันก็ต้องเกิดขึ้นสักวันอยู่แล้ว นี่ผมก็แค่เลื่อนให้มันเข้ามาไวขึ้นก็เท่านั้นเอง ผมคิดว่ายังไงพี่ขุนมันก็ต้องอ้อนผมจนใจอ่อนได้อยู่ดีอ่ะ ขนาดจูบวันนี้ยังยอมเลย ถ้าคิดในแง่ดีเรื่องที่จะทำนี่มันอาจจะเป็นประโยชน์กับผมในการแต่งฉาก Nc นะครับ ใช่เราต้องคิดแบบนี้เพื่อความใจมา ผมจะได้ฮึกเหิมและก็ไม่กลัวถ้ามันจะเกิดขึ้น

เป็นกำลังใจให้หนมด้วยนะเหล่ารี้ดที่รัก

“ เอาน่ะเพื่อนรัก ” ไอ้หมีมันหันไปมองนาฬิกา “ เดี๋ยวกูไปละมีนัดว่ะ ”

“ เออ ขับรถดีดีนะมึง ”

“ บุยนะจ๊ะ ” มันยิ้มหวานก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ขุนเดินเข้ามาในห้องพอดี

“ มาไมวะ ” พี่ขุนถามไอ้หมี

“ เอาขนมมาฝากไอ้หนมมันน่ะ ไปละพี่มีนัด ” ไอ้หมีมันรีบวิ่งออกไปทันที ส่วนพี่ขุนก็เดินเข้ามาหาผม

“ กลับช้าจังอ่ะ ” ผมรั้งเอวพี่มันมาใกล้ก่อนจะเงยหน้ามองโดยที่คางตัวเองพิงอยู่กับหน้าท้องแน่นๆ

ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมานี่พี่มันไม่เคยถอดเสื้อให้ผมเห็นเลยนะ แต่รู้เลยว่าใต้เสื้อนี่ต้องแน่นมาก พี่มันก็ไม่เคยเห็นผมถอดเสื้อเหมือนกัน คือเวลาที่เราอาบน้ำเนี่ยะเราจะเอาชุดไปใส่ด้วย มันก็เลยยังไม่มีโอกาสได้เห็นรูปร่างของกันและกัน ตลกว่ะ แม่งเป็นแฟนกันแท้ๆแถมเป็นผู้ชายเหมือนกันอีกต่างหาก

แต่ก็นะ เดี๋ยวหลังรับน้องก็ได้เห็นละ

“ ก็มันเสร็จช้าพี่ก็เลยมาช้า แต่ว่านี่รีบมาสุดๆแล้วนะ ” พี่มาลูบหัวผมเบาๆ “ กินข้าวรึยัง ”

ผมพยักหน้ารับ “ พี่อ่ะกินอะไรมารึยัง ”

“ ยัง แต่ว่าไม่หิวอ่ะพี่ง่วงมากกว่า ” เจ้าตัวว่าพลางหาวไปด้วย

ผมคลายมือออกจากเอวพี่มัน “ งั้นไปอาบน้ำนอนไป พรุ่งนี้พี่ก็เรียนเช้าอีก มะรืนก็รับน้องละ ”

“ โอเคงั้นพี่ไปอาบน้ำก่อน เหนื่อยจริงๆ ” ร่างสูงเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะคลานขึ้นมานอนบนเตียงรอพี่ขุน มือก็คว้าโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลา ผมเปิดเข้าไปในไอจี จนถึงตอนนี้พี่มันก็ยังไม่ได้มาฟอลโลว์ไอจีผมนะครับ ผมก็ลงรูปมันต่อไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่คบกันนี่ก็มีคนแอดเฟซผมมาเยอะมากเลย ยอดฟอลในไอจีก็เหมือนกัน แฟนคลับพ่อขุนศึกเขาทั้งนั้นอ่ะ

โคตรคนของสาธารณะ

มีบ่อยครั้งนะครับที่ผมรู้สึกรำคาญพวกคอมเม้นต์แบบที่บอกว่าผมกับพี่มันไม่เหมาะสมกัน ใจนี่อยากจะเม้นต์ตอบว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเหมาะสม ใครเป็นคนกำหนดมัน ขึ้นชื่อว่าความรักเอาแค่ความรักพอ คนสองคนรักกันจะคบกันก็ไม่แปลก เอาจริงๆผมไม่สนใจคำพูดคนอื่นเลยนะอยากพูดอะไรก็พูด ก็ทำได้แค่พูดอ่ะ ผมนี่ไม่อยากมีปัญหาก็เลยปล่อยผ่าน และก็มีความสุขกับแฟนผมสองคน

นี่แหละวินเนอร์ที่แท้ทรู

หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักพี่มันก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะมานั่งทาครีมทาโลชั่นทาโน่นทานี่แม่งทั้งตัว เจ้าสำอางสุดๆ มีบังคับให้ผมทาโลชั่นด้วยนะ บอกว่าอยากให้ผมตัวนิ่มๆ ผมจะทำไงได้นอกจากตามใจ แต่ถ้าผมอาบน้ำก่อนที่พี่มันจะกลับมาผมจะไม่ทาเลยนะครับเพราะผมขี้เกียจ ไม่แปลกใจเลยไอ้ผิวขาวอย่างกับหยวกของพี่มันได้มายังไง แต่ถึงพี่ขุนจะขาวมากแต่ก็ยังขาวสู้พี่ชาไม่ได้นะ

บอกแล้วรายนั้นน่ะแดกกลูต้าไปทั้งโรงงาน

“ มองอะไรหืม ” พี่มันเหลือบมองผม

“ มองพี่ไง ”

“ มองทำไมล่ะ ” พี่มันลุกมาจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะทิ้งตัวนอนลงข้างๆผม

“ ก็มองเฉยๆ พี่นี่ดูแลตัวเองดีจริงๆเลยนะ ” ผมจับแขนพี่มันมาดมกลิ่นโลชั่น

“ จะได้หล่อๆไง ” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอด “ เวลาที่คนอื่นเห็นพี่เค้าจะได้อิจฉาหนมที่มีแฟนหล่อและแสนดีขนาดนี้ ” พี่มันบอกก่อนจะยิ้มหวาน ความอวยตัวเองนี้มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

“ ขี้โม้ ” ผมเบ้ปากใส่

“ อื้ออ.อ.อ....อย่าเบ้ปาก ” พี่มันเอานิ้วจิ้มแก้มผม “ พี่จูบนะ ”

“ พอเลย ไม่ให้จูบแล้ว ” ผมยกมือปิดปากพี่มัน “ นอนดีกว่า ฝันดีนะ ” ผมหลับตาหนีทันที

“ เรานี่มันจริงๆเลยนะ ” พี่มันฝังจมูกลงบนแก้มผม “ ฝันหวานครับ ”

เสียงนุ่มๆนั่นทำให้รู้สึกดีจริงๆ พี่มันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมก็ซุกหน้าอยู่กับอกพี่มัน อุ่นจริงๆเลย อุ่นไม่พอแถมยังหอมด้วย เกิดเป็นหนมนี่โชคดีจริงๆเลย ผมคงต้องนอนก่อนแล้วครับ เหนื่อยจากงานวันนี้เหมือนกัน อีกอย่างพรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้าด้วยเดี๋ยวจะไม่มีแรงตื่นเพราะงั้น.....

คร่อกกกก...ก...





“ อื้อออ.อ..อ.....” ผมควานหาคนที่นอนอยู่ข้างๆแต่ก็พบกับความว่างเปล่า “ พี่ขุน ”

พี่ขุนหาย

ผมผงกหัวขึ้นมาก่อนจะมองไปรอบๆห้อง เห็นไฟห้องน้ำเปิดอยู่ครับ พี่มันคงไปเข้าห้องน้ำสินะ ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา ตอนนี้ตีสามกว่าๆครับ ยังมีเวลานอนต่อสินะ ในขณะที่ผมกำลังจะหลับตาลงหูก็ได้ยินเสียงพี่ขุนแว่วๆดังออกมาจากห้องน้ำ

เป็นอะไรรึเปล่าวะน่ะ

ผมรีบลุกออกมาจากเตียงก่อนจะเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เสียงที่ได้ยินมันชัดขึ้นกว่าตอนแรก พี่ขุนมันกำลังทำอะไรสักอย่างในนั้น ฉี่หรอ แต่ถ้าฉี่มันจะพึมพำออกมาทำไมวะ ผมเอาหูแนบประตูห้องน้ำเพื่อฟังเสียงให้มันแน่ใจอีกครั้ง

“ อื้มม.ม.....หนม....ซี๊ดด.ด.....”

ตึกตัก

เชี่ยยยยยยย

ผมยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงครางแหบๆนั่น ใจเต้นแรงมากเลยว่ะ พี่ขุนมันไม่ได้เป็นอะไรครับมันก็แค่กำลัง....นั่นแหละ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นแบบนี้ทุกคืนนะ โห รู้สึกว่าตัวเองใจร้ายกับพี่มันหนักเข้าไปใหญ่เลย ก่อนที่พี่มันจะออกมาผมก็รีบย่องกลับมานอนที่เตียงเหมือนเดิม ไอ้ที่ง่วงๆนี่ตาสว่างเลยครับ แม่งโคตรประสบการณ์ใหม่ในชีวิตเลยว่ะ ที่พี่เรียกชื่อผมออกมานั่นก็เพราะนึกถึงผมอยู่สินะ

หน้าร้อนสัสๆเลยอ่ะตอนนี้

ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกมา พี่มันคงจะจัดการตัวเองเสร็จแล้วล่ะครับ ผมรับรู้ได้ถึงแรงยวบของเตียงกับแรงกอดจากด้านหลัง ที่ข้างแก้มก็รู้สึกได้ถึงจมูกที่กดลงมา แหนะ มีมาแอบหอมแก้มตอนกูหลับด้วยนะ

นี่ต้องไม่ใช่ครั้งแรกที่มาแอบทำแน่ๆ

“ พี่รักหนมนะ ” พี่มันกดจมูกลงมาอีกทีนึง “ เป็นของพี่สักทีเถอะครับ ”

อยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆแต่ทำไม่ได้ ตอนนี้ต่อสู้กับตัวเองหนักมากครับ ฟังจากเสียงหายใจที่ดังสม่ำเสมอนั่นพี่มันคงหลับไปแล้วล่ะ เหลือแต่ผมเนี่ยะที่หลับไม่ลง นี่ต้องนอนถ่างตาจนเช้าเลยหรอวะ แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพี่มันต้องอดทนมากขนาดไหนเพื่อผม แต่ว่าผมจะไม่ให้มันทนอีกแล้วครับ

อา....เจอกันหลังรับน้องละกันนะ

จะเตรียมตัวเตรียมใจ....อย่างดีเลย

สู้ๆนะหนม







TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 19 : 19/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-11-2017 23:03:11
 :L2: :pig4:

เขิลลล 55
ปวดข้อไปเฮียขุน :o8:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 20 : 20/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-11-2017 20:26:01
บทที่ 20 มหกรรมการรับน้อง



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



วันรับน้องของคณะวิศวะ

ขอบอกเลยว่าผมง่วงมาก

ตานี่จะปิด

ผมนั่งมึนอยู่ที่ลานเกียร์ คือพวกรุ่นพี่นี่ต้องมาเตรียมตัวกันเช้ามาก เช้าที่ว่าก็ตีสี่ครึ่งไง คือแบบนี่เพิ่งได้นอนเมื่อตอนตีสองเอง อยากจะด่าคนสั่งแต่ก็ทำไม่ได้เพราะว่าคนสั่งคือพี่ขันไง ตั้งแต่ที่ผมคบกับขนมพี่ขันก็ไม่พูดอะไรเลยนะครับ ผมคิดว่าพี่เขาคงจะไม่พอใจอยู่แหละ แต่ว่าผมก็ทำตามที่พนันไว้อ่ะ พี่ขันก็พูดเองว่าจะไม่ขัดขวาง ผมว่าพี่เขาใจมากพอที่จะรักษาคำพูดครับ

นี่เชื่อแบบนั้นจริงๆ

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณตึกที่มืดมิดมีแค่แสงจากไฟข้างทางสลัวๆเท่านั้น มหาลัยจะเปิดไฟให้ตอนตีห้าครับไอ้สยามบอกผมมา พวกบรรดาเพื่อนๆนี่ไปยกของกันอยู่ ส่วนผมก็มีหน้าที่นั่งเฝ้าของ นั่งอยู่คนเดียวด้วยเนี่ยแม่งโคตรวังเวง ตอนแรกผมกะจะไปช่วยพวกมันยกอยู่แหละแต่ไอ้แกงบอกว่าให้ผมอยู่นิ่งๆ ถ้าไปยกของหนักอีกเดี๋ยวข้อมือมันจะระบมเอา

ก็จริงของมันนั่นแหละ

ช่วงนี้ผมใช้ข้อมือหนักมากเลยครับทั้งขวาและซ้าย เนื่องจาก....นั่นแหละ ทุกวันนี้ส่องหน้าตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกสงสารตัวเอง หน้าผมนี่เหมือนคนโดนของเข้าทุกวันๆ ผมของขาดมาสามเดือนกว่าแล้วอ่ะ ตอนนี้นี่มาถึงจุดที่เริ่มทนไม่ไหว ผมต้องไปปู้ยี่ปู้ยำตัวเองทุกคืนเลยครับแล้วเป็นแบบนี้มาตั้งแต่กลับจากชะอำ

โคตรอัดอั้นอ่ะบอกเลย

ผมพยายามที่จะไล่ต้อนขนมให้สมยอมผมสักทีแต่น้องคนดีก็ยังไม่ยอมผมไง นี่ดีแค่ไหนที่ได้จูบ วันที่น้องจูบผมอ่ะผมไม่ได้ตั้งใจจะสอดลิ้นเข้าไปด้วยแต่แบบมันลืมตัวจริงๆ ดีไม่หน้ามืดแง่มน้องไปซะก่อน ปกติผมไม่เคยจะต้องอดทนหรืออดใจรออะไรแบบนี้เลยเพราะเมื่อก่อนมีคนเสนอตัวให้ผมอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผมรักขนมไงและถ้าน้องไม่พร้อมผมก็ต้องรอต่อไป

ใช้มือทำหน้าที่แทน

“ อา....เจ็บปวดจัง ” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆพลางข่มสติ

นอกจากจะหน้าโทรมและหม่นหมองผมยังหงุดหงิดง่ายด้วย ไม่ว่าอะไรก็ดูขัดหูขัดตา สอบก็เยอะงานของคณะก็เยอะ ช่วงก่อนรับน้องนี่นัดสันฯกันแทบทุกวัน ด้วยความที่ผมเป็นเดือนของปีก่อนผมก็ต้องคีพลุคละยิ้มหวานๆไงทั้งที่ในใจนี่ไม่ได้หวานตามรอยยิ้มบนหน้าเลย พวกเพื่อนๆผมมันก็รู้นะครับว่าผมยังไม่ได้แง่มน้อง ไม่มีหรอกที่จะปลอบใจมีแต่ตอกย้ำซ้ำเติม น่าหมั่นไส้จริงๆแต่ละคน ทุกครั้งที่ผมโดนล้อผมก็ได้แต่สาปแช่งมันในใจ

ไอ้สยามนี่ตัวดี

“ เหงาไหมครับเพื่อนรัก ”

ตายยากตายเย็น

“ พูดมาก ทำไมไปกันนานจังวะ ” ผมถามไอ้สยามที่แบกกลองเดินมาทางผม

“ ก็พี่ขันเค้าบอกนัดแนะเรื่องวิ่งเกียร์ไง ” ไอ้สยามมันบอกพลางประกอบกลอง

ผมพยักหน้ารับ “ ละเกียร์อยู่กับใคร พี่ขันหรอ ”

“ ใช่ ดีใจว่ะจะได้แลกเกียร์กับเมียสักที ”

ผมเบ้ปากใส่มัน “ กูอ้วกใส่หน้ามึงได้มะ ”

“ หยี สกตะปก ” ไอ้สยามมันบอกพลางทำหน้าหยี น่าตบให้คว่ำจริงๆเลย

พูดถึงเกียร์นี่ผมก็ยังไม่ได้ให้เกียร์ขนมเลย เกียร์เป็นหัวใจและสัญลักษณ์ของชาววิศวะ เด็กวิศวะทุกคนมีเกียร์เป็นของตัวเองและมักจะมอบให้คนที่เป็นเจ้าของหัวใจ เกียร์ของผมมันห้อยเป็นสร้อยอยู่ที่คอผมตลอดแต่ว่าเดี๋ยวมันจะต้องเปลี่ยนเจ้าของแล้วล่ะครับ ดีเหมือนกันนะถ้ามันไปอยู่ที่คอน้องน่ะเพราะมันคือการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างดีเลย

คนอื่นจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับแฟนผม

“ เออขุน วิ่งเกียร์อ่ะมึงเป็นคนถือธงคณะนำวิ่งนะ ”

“ อ่าวทำไมเป็นกูอ่ะ ”

“ พี่ขันเขาสั่งมาอ่ะดิ่ กูไม่รู้เหมือนกัน ปีนี้เค้าสั่งให้พวกคณะกรรมการนักศึกษาวิ่งนำรุ่นน้องหมดเลย ก็คือพวกเราทั้งแก๊งค์อ่ะ แล้วธงคณะที่เป็นสีเลือดหมูมึงอ่ะต้องถือนำขบวน ส่วนกูกับไอ้ก้องถือธงสีขาวในฐานะของประธานนักศึกษากับประธานสันธนาการ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ ก็คือกูเป็นเซ็นเตอร์ใช่ไหมล่ะ ”

“ ใช่ เพราะมึงเป็นเดือนมั้งไม่ก็เพราะว่ามึงคือเฮดว้ากของรุ่นถัดไป ”

“ อ๋อเออกูเข้าใจละ....แล้วผ้าพันคออ่ะ ”

“ อยู่กับไอ้หอมเดี๋ยวมันเอามาให้ ”

“ เออละนี่กูต้องทำไรอีกนอกจากวิ่งนำขบวน ”

“ ก็......”

ผมนั่งฟังไอ้สยามเงียบๆ ปีนี้นี่ปรับเปลี่ยนพิธีหลายอย่างอยู่เหมือนกันนะ เด็กวิศวะมหาลัยผมจะมีประเพณีวิ่งเกียร์ครับ จะจัดขึ้นทุกปีในงานกิจกรรมรับน้องเพื่อให้รุ่นน้องปี 1 แสดงถึงความอดทนและความสามัคคี โดยที่จะให้วิ่งรอบมหาลัย 2 รอบ มหาลัยผมค่อนข้างที่จะใหญ่มากนะครับวิ่ง 2 รอบนี่ก็ไม่ใช่เล่นอ่ะ แต่ผมก็ผ่านมาละเมื่อปีก่อน มันเหนื่อยจริงครับแต่มันก็รู้สึกภูมิใจมากเลย ความเหนื่อยนั้นแลกมากับความทรงจำดีดีหลายอย่าง

และสำคัญคือวิ่งเพื่อเกียร์

เมื่อผ่านการวิ่งเกียร์เด็กปี 1 ก็จะเข้าสู่ครอบครัววิศวะอย่างสมบูรณ์ และพิธีตอนเย็นก็คือการบายศรีฯน้องๆครับแล้วก็เป็นอันจบพิธีการของวันนี้ ช่วงเช้าเดี๋ยวมันจะมีกิจกรรมสันฯอื่นๆแต่ว่าแก๊งค์ผมจะไม่ได้เป็นคนทำเพราะว่าต้องจัดการเรื่องประเพณีช่วงบ่าย อาจจะมีแวะเวียนไปหาน้องๆก่อน ไอ้สยามมันบอกว่าผมอ่ะควรแบกหน้าหล่อๆไปให้กำลังใจน้องๆ

แม่งไม่ดูสภาพหน้าผมตอนนี้เลย

ครืดด.ด...ครืด.ด.ด....

“ เช้าขนาดนี้ใครโทรมาวะ ” ผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูรายชื่อที่หน้าจอก่อนจะกดรับสาย “ ว่าไงครับตื่นแล้วหรอ ”

สุดที่รักโทรมาครับ

( อื้ออ.ออ....ตื่นแล้ว )

“ งัวเงียขนาดนี้ตื่นแล้วจริงๆหรอ ไม่ใช่ว่าหน้าทิ่มอยู่กับหมอนพี่ ”

( อย่ามาทำเป็นรู้ดี )

“ ฮ่าๆๆๆ....แล้วนี่ทำไมรีบตื่นหืม มีเวลานอนอีกหลายชั่วโมงอยู่นะ ”

( ก็หมอนข้างหนมหาย )

“ ก็หมอนข้างต้องมาทำหน้าที่ไง เอาจริงๆหมอนข้างก็ง่วงมากเหมือนกัน ” ผมบอกน้องก่อนจะมือขึ้นปิดปากหาว ง่วงว่ะเดี๋ยวต้องหากาแฟกินละ ไม่งั้นนั่งๆอยู่ผมอาจจะหลับไปเลยก็ได้

( น่าสงสาร....โอ๋เอ๋นะ )

“ ขออ้อนหน่อย ”

“ แหยะ ขออ้อนหน่อย ” ผมหันไปมองตามเสียงไอ้สยามทันทีก่อนจะหยิบใบไม้ปาใส่มัน นี่แน่ะล้อเลียนกูดีนักนะไอ้บ้า

( มันจะอ้อนได้ยังไงล่ะ....เออพี่หนมว่าหนมมีอะไรจะบอก )

“ อะไรล่ะครับ ”

( ถ้าผ่านช่วงรับน้องไปแล้วอ่ะ....เรา....)

“ เราอะไรหืม ”

( เรามีเซ็กซ์กันไหม )

เซ็กซ์

เซ็กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกซ์

“ นะ...นี่หนมพูดจริงหรอ ” ผมหยิกแขนตัวเองทันที ความเจ็บนี่ก็แปลว่าไม่ได้ฝันน่ะสิ

( หนมพูดจริงๆ ก็หนมเห็นว่าพี่เองก็อดทนมาตั้งนานมากแล้ว พี่ขุนโทรมมากเลยนะช่วงนี้น่ะ หนมอยากเห็นพี่กลับไปหน้าหล่อใสเหมือนเดิมอ่ะ แล้วก็เห็นอยู่ว่าพี่ปวดข้อมือมากหนมก็เลย.....)

ผมนั่งฟังที่คนตัวเล็กอธิบายเหตุผลนิ่งๆ ไม่คิดว่าน้องจะรู้ด้วยว่าผมหม่นหมองเพราะห่างเรื่องบนเตียงมานาน ส่วนเรื่องปวดข้อมือเนี่ยะผมบ่นให้น้องได้ยินเองแหละ เจ้าตัวเองก็เอายามานั่งนวดให้ผมด้วยตอนแรกน้องอาจจะคิดว่าผมปวดข้อมือเพราะไปทำอย่างอื่นมา แต่ฟังจากที่พูดนี่คงจะรู้แล้วแหละครับว่าผมปวดข้อมือเพราะช่วยตัวเองเนี่ยะ

อา....เขินยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

( ก็นั่นแหละ....นี่พี่ฟังหนมอยู่รึเปล่าเนี่ย )

“ ฟังครับ....ฟังอยู่  ”

( เห็นเงียบๆนึกว่าหลับไปซะแล้ว ) ไม่ได้หลับครับแค่กำลังนั่งเขินอยู่

“ พี่กำลังปลื้มปริ่มต่างหากที่จะได้แง่มหนมสักที ” ผมยิ้มจนแก้มปริ “ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีนะครับ ”

( รู้แล้วน่า...พี่เองก็ต้องตั้งใจทำงานของตัวเองวันนี้ด้วยแล้วก็ต้องรอหนมรับน้องเสร็จ )

“ ได้ครับพี่จะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หนมไปนอนต่อไปเดี๋ยวสิบโมงเจอกันที่มอ ”

( ครับ...แค่นี้นะ ) คนตัวเล็กบอกผมก่อนจะกดวางสาย

“ เย่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” ผมแหกปากตะโกนลั่นทันทีที่สายตัดไปแล้ว

“ มึงจะเสียงดังทำไมวะกูตกใจไอ้สัส ” ไอ้สยามมันตีไหล่ผมแรงๆ มึงไม่เข้าใจกูหรอกหยัม มึงไม่เข้าใจหรอกว่าตอนนี้กูมีความสุขมากแค่ไหน

แฟนจะกลายเป็นเมียแล้วเว้ยยย

ผมนั่งลูบหน้าตัวเองเบาๆพลางข่มอารมณ์ รอวันน้องพร้อมมาตั้งนานและมันก็มาถึงแล้วครับ พีคสุดนี่คือน้องเป็นคนชวนเอง ใจผมบางมากเลยอ่ะตอนนี้ แบบอยากกด Skip ข้ามไปหลังรับน้องเลย ผมว่าถ้าขนมมาเจอผมน้องต้องเขินหน้าแดงแน่ๆ แค่คิดถึงแก้มใสๆนั่นก็อยากฟัดจะแย่ละ

อื้มม.ม...อดทนไว้ก่อนขุนศึก

“ เลิกทำหน้าหื่นกามแล้วไปจัดของซะไป้ ”

ไอ้สัสหยัมนี่มัน....





เวลาบ่ายสองนี่แดดประเทศไทยมันก็จะสว่างจ้ามากๆ

วิ่งเกียร์วันนี้หน้าไหม้แน่นอนอ่ะ

ผมยืนอยู่หน้าตึกวิศวะซึ่งเป็นจุดปล่อยตัวน้องๆครับ ตอนนี้กำลังเตรียมการและก็รูปขบวนอยู่ ส่วนพวกปี 1 ก็นั่งเข้าแถวอยู่ที่ลานเกียร์ ผมก็แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผูกผ้าพันคอสีขาว ยอมรับแมนๆเลยว่าร้อนมาก นี่กลัวตัวเองวิ่งๆอยู่แล้วหน้ามืดเป็นลมไปเหมือนกันนะครับ ช่วงนี้ยิ่งขาดแรงกายแรงใจซะด้วย

เพราะงั้นผมต้องหากำลังใจก่อน

“ หนมครับ ” ผมกวักมือเรียกคนตัวเล็กที่ถ่ายรูปไอ้สยามอยู่

“ หืม ” น้องเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า “ มีอะไร ”

“ พี่อยากได้กำลังใจอ่ะ ”

“ สู้ๆนะ ” เอ่ยบอกไม่พอแถมยังชูสองนิ้วด้วย

ผมทำหน้ามุ่ยทันที “ ไม่ใช่กำลังใจแบบนี้สิ ”

“ ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ต้องไว้รวบยอดทำหลังรับน้องทีเดียว โอเคไหม ” พูดแบบนี้ต่อให้ไม่อยากโอเคก็ต้องโอเคสินะ

“ ครับ พี่โอเคก็ได้ ” ผมก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าใส “ ถึงตอนนั้นเราก็ต้องโอเคทุกอย่างนะ ”

คนตัวเล็กแก้มขึ้นสีแดงจางๆพลางดันหน้าผมออก “ รู้แล้วน่า หนมไปถ่ายรูปตรงลานเกียร์ก่อนนะ ”

“ ครับผม ” ผมยิ้มหวานให้ คนตัวเล็กก็เดินแบกกล้องมุ่งหน้าไปยันลานเกียร์

น่ารักจริงๆเลยแฟนผมเนี่ยะ

ตอนที่น้องมาหาผมก็เดินแก้มแดงมาแต่ไกลเลยครับ โคตรน่าจับฟัด นี่ถ้าอยู่ห้องนะขนมเละไปละ ละพอน้องมาหาผมบรรดาเพื่อนๆก็ชอบแซว แซวตลอดแม่งแซวตั้งแต่ตอนจีบยันคบกันละเนี่ย คิดไปคิดมาในแก๊งค์ผมก็เหลือคนโสดแค่ 2 คนนะครับคือไอ้ก้องกับไอ้หอม แต่ไอ้หอมเนี่ยะไม่รู้ว่าพี่แช่มเขาจะยังไงกับมันกันแน่ เหมือนจะชอบแต่ก็ไม่ชอบ แต่ถ้าไม่ชอบจะมาตามหยอดทำไมวะ ตามหยอดมานานละด้วย อีกอย่างคือพี่แช่มนี่ตายยากมากนะครับ....

พูดถึงก็เดินมาโน่น

“ ตั้งแถวเลยอีก 5 นาทีน้องจะมาแล้ว ” พี่แช่มออกคำสั่ง พวกผมก็เดินเข้ามาตั้งแถวตามขบวนทันที

 “ ละพี่ขันอ่ะพี่ ”

“ เดี๋ยวมันเดินนำขบวนน้องๆมา มันจะส่งธงต่อให้มึง ” พี่แช่มบอกก่อนจะหันไปกวาดสายตามองพวกสต๊าฟ “ จัดการพื้นที่เลยน้องจะมาอีก 5 นาทีแล้ว ”

“ ไอ้ขุน ”

ผมหันไปตามเสียงเรียกของไอ้สยาม “ อะไรวะ ”

“ มึงตื่นเต้นป้ะ ”

ผมพยักหน้ารับ “ ห้ามล้มนะมึง ” ผมเอ่ยบอกมันอย่างจริงจัง วิ่งเกียร์เมื่อปีก่อนไอ้สยามมันล้มครับดีว่าผมกับไอ้ชาพยุงกันอยู่ไม่งั้นโดนเหยียบตายไปละ

“ เออน่า เดี๋ยวจะวิ่งแบบเท่ๆเลย ”

ผมหันไปเบ้ปากใส่มันก่อนจะหันกลับมายืนนิ่งๆ เห็นปลายธงสีเลือดหมูโผล่มาแล้วครับ พี่ขันเดินนำขบวนน้องๆมาแล้ว ร่างสูงที่สวมเสื้อว้ากเกอร์นั่นโคตรเท่ นอกจากพี่ขันก็มีจันทร์ฉายกับพี่ทะเลเดินถือธงขาวขนาบข้างมา สังเกตรอบนอกก็เห็นขนมกับบรรดาผองเพื่อนยืนถ่ายรูปกันอยู่ครับ เด็กจากคณะอื่นก็มีไม่น้อยเลยที่มาดูประเพณีวิ่งเกียร์ของวิศวะ พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็ต้องทำให้ดีที่สุดสินะ

เอาวะ....ใจมา

พี่ขันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมก่อนจะส่งธงให้ “ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ”

“ ครับพี่ ” ผมพยักหน้ารับ

พี่ขันกับบรรดาพี่ว้ากขยับไปยืนไพล่หลังอยู่ด้านหน้าขบวน “ ผมขอบอกพวกคุณไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณห้ามทิ้งเพื่อนที่อยู่ข้างๆคุณเด็ดขาด ระยะทางมันอาจจะไกลหน่อยแต่มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณจะจับมือกันแล้วก้าวผ่านมันไปได้ไหม ประเพณีวิ่งเกียร์นั้นคุณจะทำสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณสามัคคีกัน ผมหวังว่าผมจะเห็นพวกคุณวิ่งเข้ามาถึงเส้นชัยด้วยกัน.....ขอให้โชคดี ” หลังจากที่พี่ขันกล่าวเสร็จเสียงปรบมือก็ดังขึ้น

บรรดาแก๊งค์ว้ากเกอร์เดินออกไปจากหน้าขบวน ผมก็ตั้งสติรอสัญญาณพลางเหลือบไปมองขนมที่ถ่ายรูปผมอยู่ คนตัวเล็กยิ้มหวานให้พร้อมกับชูสองนิ้ว น่ารักจัง นี่ใจมาเต็มล้านเลยครับ หลังจากที่ผมได้รับกำลังใจมาเต็มเปี่ยม พี่แช่มก็โบกมือให้สัญญาณ ผมจึงยกธงสะบัดสามครั้งก่อนจะจับตั้งแล้วพาดไว้บนบ่า

“ ข้าพเจ้า นายขุนศึก สุธานันสวัสดิ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบการวิ่งนำขบวนของรุ่นน้องชั้นปีที่ 1 ในประเพณีวิ่งเกียร์ครั้งที่ 21 ”

....ปัง....ปัง....ปัง....

ผมเริ่มออกวิ่งหลังจากที่เสียงยิงปืนดังขึ้น รอบๆข้างก็มีเสียงเชียร์ดังแว่วเข้ามา ฮึกเหิมครับนาทีนี้ต้องฮึกเหิม และก็ต้องมีสติด้วย แดดเปรี้ยงในตอนแรกก็เริ่มอ่อนลงเหมือนฟ้าจะเป็นใจ ดีละน้องๆจะได้ไม่ร้อนมาก ขอให้ประเพณีนี้ผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเถอะนะ สู้เขาขุนศึก

วิ่งเสร็จจะได้มากอดขนม



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ประเพณีวิ่งเกียร์ของวิศวะนี่สุดยอดจริงๆ

ตื่นตาตื่นใจมาก

ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่หอแล้วครับหลังจากงานรับน้องของคณะวิศวะเสร็จสมบูรณ์ นี่ก็นั่งเคลียร์รูปอยู่ วันนี้ถ่ายรูปมากันเยอะโคตรไม่ใช่แค่กล้องผมด้วยนะ มีของไอ้หมี ไอ้เผือกและก็ไอ้ปั้น ถ้าไปดูกล้องไอ้หมีนี่ก็น่าจะมีแต่ไอ้ขันอ่ะ ส่วนกล้องผมส่วนมากก็คงจะมีแต่พี่ขุน

เผลอถ่ายมาซะเยอะเลย

วันนี้ผมรู้สึกว่านางเท่ผิดปกติ นึกถึงตอนที่วิ่งนำขบวนน้องๆนี่เท่จริง ละแบบวิ่งสองรอบมหาลัยอ่ะ ตอนบ่ายสองกว่าๆงี้ ดีนะว่าตอนที่เขาจะวิ่งกันแดดมันอ่อนพอดีมันก็เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ผมดูสภาพเด็กวิศวะแต่ละคนนี่ก็หอบแดกเลยแต่สปิริตเขาแรงกล้ามากนะครับ วิ่งกันจนครบสองรอบแล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีใครล้มหรือว่าบาดเจ็บ พี่ขุนเนี่ยะผมดูแล้วรู้เลยว่านางเหนื่อยมากแต่ว่าก็ต้องอดทนไม่แสดงมันออกมา แถมตอนวิ่งเสร็จก็เสยผมเรียกเสียงกรี๊ดอีกต่างหาก

บางทีนางก็ฮ็อตจนน่าหมั่นไส้

“ หนมค้าบบบบบบ ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นร่างสูงที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนกระต่ายสีชมพู แม่นางซื้อมาให้ครับและไม่ได้มีแค่นี้นะ พี่มันมีสารพัดสัตว์อ่ะ

“ ว่าไง ”

“ พี่ขอกอดหน่อย ”

“ ตอนวิ่งเสร็จพี่ก็กอดหนมไปแล้ว ” ลากผมไปกอดที่ห้องน้ำด้วยนะประเด็น

“ พี่อยากกอดอีก ”

“ ไม่เอาหนมยังไม่ได้อาบน้ำ ”

พี่ขุนเดินมานั่งลงข้างๆผมก่อนจะยื่นหน้ามาดมฟุดฟิดๆ “ ไม่เห็นจะเหม็นเลย ”

“ เอาหน้าออกไปเลย ” ผมดันหน้าพี่มันออกก่อนจะส่งกล้องไปให้ “ เลือกรูปซะ ”

" หนมจะไปไหนอ่ะ "

“ ไปอาบน้ำไง ” พอผมบอกว่าจะไปอาบน้ำพี่ขุนก็ทำหน้ามุ่ยทันที ผมจึงดึงแก้มมันแรงๆ “ อยากกอดไม่ใช่รึไงเล่า ”

ใบหน้าหล่อยิ้มหวานก่อนจะพยักหน้ารัวๆ “ อยากมากครับ รีบอาบนะ ”

“ รู้แล้วน่า ” ผมบอกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ

วันนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ ต้องถือกล้องถ่ายรูปทั้งวันเลย แต่ที่ผมเหนื่อยนี่คงยังไม่ได้ครึ่งของพี่ขุนหรอกครับ รายนั้นต้องตื่นแต่เช้าไปเตรียมงาน บ่ายต้องไปวิ่งเกียร์ ตอนเย็นก็ต้องรอบายศรีฯน้องๆอีก ถ้าผมเป็นรุ่นพี่ปีหน้าผมคงจะต้องเจองานอะไรแบบนี้แหละนะ แต่ของคณะผมเนี่ยะจะไม่มีพิธีการเยอะแบบวิศวะหรอกครับ แค่รับน้องก็คนละระบบละ จะว่าไปรับน้องวันพรุ่งนี้ผมก็ตื่นเต้นเหมือนกัน

หวังว่าพวกพี่กริมจะไม่เล่นผมหนักจนเกินไป

ก็แค่หวัง....


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 20 : 20/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-11-2017 20:28:35
---------- ต่อจากบท 20 ----------



“ โว้ยยยยยยยพี่เตอร์คลัมดาวน์นะคลัมดาวน์ ”

“ หุบปากไปว่ะไอ้บ้าหมี ”

“ ฮ่าๆๆๆๆๆมึงดูหน้าไอ้หมี ”

“ พี่เตอร์!!!!!!!!!!!!!!!! ”

“ อยู่นิ่งๆ ”

หน้าไอ้หมีแม่งโคตรจี้

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆแล้วครับ กิจกรรมรับน้องของคณะนิเทศศาสตร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้เป็นกิจกรรมสันทนาการ ส่วนช่วงบ่ายจะมีประเพณีดาวล้อมด้ายครับ ได้ยินมาแค่ชื่อแต่ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เดี๋ยวต้องรอดูครับ ฟังจากชื่อนี่คงจะเกี่ยวกับด้ายแน่ๆ ประเพณีนี้จะจัดบนหอประชุมใหญ่ของมหาลัยครับ

ทำกันแบบลับๆ

“ พี่เตอร์แม่ง ” ไอ้หมีมันงอแงก่อนจะเดินกลับมานั่งที่แถวโดยที่หน้าขาวโพลน แก้มก็เลอะลิปสติกสีแดงเต็มไปหมด

“ มึงกากอ่ะหมี เนี่ยะเพราะแพ้ไงมึงเลยโดนทำโทษ ” ไอ้เป้มันบ่นก่อนจะโขกหัวไอ้หมี

“ เออใช่ คะแนนเราโดนกลุ่มดาวคณะแซงละน่ะ ” ไอ้ภีมมันก็บ่นตามมา

“ พวกมึงไม่ไปเล่นกันเองล่ะไอ้ชิบหาย ” ไอ้หมีมันเถียงกลับก่อนจะทำหน้าบู้บี้ “ พี่เตอร์แม่งจ้องจะเล่นกูอยู่แล้วแหละ แม่งไม่เคยจะใจดีหรืออ่อนข้อให้กูเลย กูเป็นน้องรหัสแม่งแท้ๆ ไอ้สัส ”

ผมหันมาหามัน “ มึงไม่ด่าให้พี่เตอร์ได้ยินวะหมี ”

“ ด่าให้ได้ยินก็เชี่ยละ หน้ากูแดงไม่พอรึไง ไว้แม่งเผลอก่อนเถอะกูจะถอดล้อจักรยานแล้วเอาไปซ่อน ”

สีหน้านี่เคียดแค้นจริง

ผมหันกลับไปมองบรรดาพี่สันทนาการด้านหน้า ตอนนี้กำลังเล่นเกมเพื่อเก็บคะแนนกันอยู่ครับ คือตอนนี้พวกปี 1 แบ่งกันออกเป็นหลายกลุ่ม และเกมที่จะได้เล่นเก็บคะแนนเนี่ยะมีอยู่ 5 เกมครับ ซึ่งตอนนี้ผ่านไป 3 เกมแล้ว กลุ่มพวกผมเพิ่งจะมาแพ้เกมเมื่อกี้นี่แหละเพราะไอ้หมีเลย เกมที่ไอ้หมีเล่นมันเป็นเกมใบ้คำ ไอ้บ้านี่มันทายไม่ถูกเลยสักคำ

โคตรหน้าโง่

ไม่อยากจะด่าแต่แบบมันคือความจริง

สนุกไหมครับน้องๆ ” เสียงพี่กริมแหกปากดังลั่นผ่านโทรโข่ง “ พร้อมสำหรับเกมต่อไปรึยัง

“ พร้อมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ”

“ เสียงดังดีมาก ก็เกมต่อไปนะจะเป็นเกมเก้าอี้ดนตรี เกมนี้ง่ายมากให้ส่งตัวแทนมากลุ่มละ 5 คน ” หลังจากที่พี่กริมจบพูดเหล่าตัวแทนจากแต่ละกลุ่มก็เดินออกไปอยู่ด้านหน้าเหลือกลุ่มผมเนี่ยะที่คนยังไม่ครบดี

“ เห้ยนั่นน่ะขาดอีกคน ไอ้หนมมึงไป ” ไอ้หมีมันพยายามจะดันผม

“ ไม่เอา ไอ้ไผ่มึงอ่ะไป ”

“ เออให้ไอ้ไผ่ไป ” ไอ้เป้มันก็เห็นดีเห็นงามกับความคิดผม ไอ้หมีมันก็ทำหน้าบูดใส่

“ กูต้องไปหรอ ” ไอ้ไผ่ถามมึนๆก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ เออมึงนั่นแหละออกไป ” ไอ้เป้มันเห็นไอ้ไผ่เอ๋อมันก็เลยยกเท้าขึ้นถีบส่งให้ไอ้ไผ่ไปด้านหน้า เด็กแม่งขำกันทั้งคณะ

เพื่อนไผ่นี่น่าสงสารจริงๆ

เอาล่ะถ้าคนครบแล้ว ก็ไปยืนล้อมเป็นวงได้เลยนะ

ผมนั่งมองไอ้ไผ่ที่เดินมึนๆไปยืนรวมเป็นวงกับเขา ฟีลเหมือนส่งลูกไปโรงเรียนครั้งแรกเลยว่ะ ดูเงอะงะๆ มันคงจะไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดีอ่ะครับผมว่า พอพี่กริมเริ่มเกมเพลงก็เริ่มดัง เหล่าเด็กปีหนึ่งก็พากันโชว์สเต็ปการเต้นกันอย่างเมามันส์ ผมเห็นไอ้ไผ่มันยืนเกาหัวมองคนอื่นเขาแปปนึง พอมันเห็นเขาเต้นมันก็เลยเต้นตาม

เต้นด้วยท่าส่ายตูดดุ๊กดิ๊กๆ

“ ท่าเต้นนี้มันไปเอามาจากไหนวะ ”

“ แม่งตลก มึงเลือกคนได้ดีจริงๆเลยหนม ” ทำดานะเพื่อนปั้น เพื่อนหนมตาเฉียบคมไง

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เต้นเชี่ยอะไรของมึงไอ้เตี้ย ”

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไอ้ไผ่แม่งอย่างจี้ ”

ผมนั่งมองสองผัวเมียนั่งหัวเราะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไอ้เป้กับไอ้ภีมนั่นแหละครับ ผมยังไม่รู้หรอกว่ามันเป็นผัวเมียกันจริงๆรึเปล่าแต่ก็เรียกแบบนั้นไปก่อนละกัน เรื่องที่ฟาร์มแกะผมยังจำได้ดี เดี๋ยวจะหาทางจับผิดทั้งสองคนเร็วๆนี้แหละ พวกแม่งไม่รอดแน่

ปรี๊ดดดดด

หลังเสียงเป่านกหวีดพวกปีหนึ่งที่เต้นกันอยู่เมื่อกี้ก็พาเก้าอี้นั่งกันพัลวัน เพื่อนไผ่นั่งเก้าอี้ไปแล้วเรียบร้อยครับ เก่งมาก ขอให้รอบต่อๆไปได้นั่งแบบนี้ด้วยเถอะ เกมก็ไปต่อเรื่อยๆครับ ผมชะเง้อไปมองใต้ต้นไม้ใหญ่ก็พบกับหนุ่มหล่อหัวเทานั่งแอบถ่ายรูปผมอยู่

แอบถ่ายไปได้เป็นร้อยรูปแล้วมั้งน่ะ

เจ้าตัวคงเห็นว่าผมมองกล้อง ใบหน้าหล่อก็ละขึ้นมายิ้มหวานให้ ความจริงผมบอกว่าไม่ต้องมาก็ได้เพราะว่าเหนื่อยมาจากรับน้องเมื่อวาน แต่นางก็บอกว่าจะมาๆๆ ต้องมาคอยดูว่าผมจะโดนแกล้งอะไรรึเปล่า มีการบอกว่าถ้าโดนพี่กริมแกล้งมากๆเดี๋ยวจะด่าให้ด้วย

โหดไปอีก

“ กูไม่อิจฉามึงหรอก ” ไอ้หมีบอกพร้อมกับเบ้ปากใส่

“ พูดมากว่ะไอ้หมี ” ไอ้เผือกมันยกมือปิดปากไอ้หมีทันที คนโดนปิดปากก็ทำตาโตใส่ก่อนจะยอมอยู่นิ่งๆ สมน้ำหน้ามึงไอ้บ้าหมี

ผมหันไปมองพี่ขุนอีกครั้ง แต่ว่าพี่มันหายไปละครับ แค่แวบเดียวมึงหายไปไหนเนี่ยะ คนรึนินจาวะ สงสัยว่าอาจจะปวดฉี่ก็เลยไปเข้าห้องน้ำ ไม่ก็อาจจะหิวก็เลยไปหาอะไรกิน เมื่อเช้าพี่มันยังไม่ได้กินอะไรเลยด้วย ผมว่าอีกพักนึงเดี๋ยวพี่ก็คงมาแหละ หันมาสนใจเกมด้านหน้าต่อดีกว่า

“ เห้ยมึง รับน้องเสร็จไปกินเหล้ากัน ” ท่านประธานชวนครับ

“ กูไป ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะยิ้มแฉ่ง เรื่องเหล้านี่ไม่เคยพลาดเลยนะมึง

“ เออเอาดิ่ ” เป้มันเหลือบมองผม “ ละมึงอ่ะหนมไปรึเปล่า ”

“ ต้องถามพี่ขุนก่อนว่ะ ”

“ ให้ไปแหละเดี๋ยวกูขอให้ ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “ ถือว่าไปเลี้ยงฉลองที่มึงจะเสียซิงด้วยฮ่าๆๆๆ ”

“ ไอ้บ้าหมี ” ผมตีไหล่ไอ้หมีแรงๆทันที มึงจะพูดทำไมเนี่ยะไอ้สัส

“ แหน่ะ ”

“ ไอ้หนมมันร้ายว่ะ ”

“ ไม่ทำดาๆ ”

พวกมึงนี่มัน.....





ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆ

ร้อนและก็หงุดหงิดชิบ

ผมต่อแถวเพื่อที่กำลังจะเดินขึ้นหอประชุมเพื่อร่วมประเพณีดาวล้อมด้าย อากาศโคตรร้อนเลยครับตอนนี้อยากจะขึ้นไปบนหอประชุมเร็วๆ เชื่อไหมว่าตั้งแต่สิบโมงพี่ขุนมันก็หายไปเลยครับ ช่วงพักผมก็ไม่เจอ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน โทรไปก็ไม่ติด คือไม่รู้ว่าไปเป็นตายร้ายดีตรงไหน ละอยู่ดีดีมันก็หายไปแบบเนี้ย

ถึงจะแค่แปปเดียวแต่ผมก็เป็นห่วงอ่ะ

“ หน้ามุ่ยจังวะมึง ”

ผมหันไปหาไอ้หมี “ ติดต่อพี่ขุนไม่ได้เลยว่ะแล้วหายไปไหนก็ไม่รู้ ”

“ มีธุระด่วนรึเปล่า ” ก็เป็นไปได้ที่ว่าจะมีธุระด่วน....แต่จะไม่บอกก่อนเลยหรอวะ

“ ก็น่าจะบอกก่อนถ้ามีธุระอ่ะ ”

“ ก็มึงรับน้องไง โทรศัพท์พี่ขุนอาจจะแบตหมดก็เลยติดต่อไม่ได้ ”

“ แต่ว่า....”

“ หนม....” หมีมันยกมือขึ้นแตะไหล่ผม “ กูรู้ว่ามึงอาจจะเป็นห่วงพี่ขุน แต่ตอนนี้มึงกำลังทำตัวงี่เง่าอยู่นะ บางอย่างมึงก็ต้องเข้าใจพี่มันบ้าง มันอาจจะไปแอบทำอะไรให้มึงอยู่ก็ได้ อย่าไปคิดเยอะเข้าใจไหม คนที่จะเป็นทุกข์ก็คือมึงเอง ”

ผมยืนฟังที่ไอ้หมีมันพูดนิ่งๆ มันก็จริงนั่นแหละ ผมไม่รู้เลยนะครับว่าตัวเองกำลังงี่เง่า นี่มันไม่ดีเลยว่ะ ผมว่าผมต้องใจเย็นให้มากกว่านี้ ผมเป็นห่วงพี่มันจริงๆนั่นแหละแต่ผมใช้อารมณ์มากเกินไปหน่อย อา....ต้องเอาขนมที่มีเหตุผลมากๆคนเดิมกลับมาละ

ดีนะที่ไอ้หมีมันเตือนสติ

“ กูเข้าใจละหมี ขอบใจมึงนะที่เตือนกูอ่ะ ”

ไอ้หมีมันยิ้มหวาน “ ไม่เป็นไรหรอก เพราะกูเป็นกู๊ดเฟรนไง ”

“ ไปเถอะหนม ถึงแถวเราขึ้นหอประชุมละ ” มันบอกก่อนจะดันให้ผมเดินตามหลังไอ้ปั้นไป

“ มันจะเป็นยังไงเนอะดาวล้อมด้าย ”

“ นั่นดิ่ แล้วนี่กูต้องถือขนมปี๊บขึ้นไปด้วยหรอ ” ไอ้ภีมมันถามพร้อมกับหาวไปด้วย มึงจะมาง่วงตอนนี้ไม่ได้นะไอ้สัส

“ มึงก็ฝากรุ่นพี่ไว้สิวะฝากพี่เตอร์ก็ได้น่ะ ” ไอ้หมีมันคว้าขนมปี๊บมาก่อนจะส่งให้พี่เตอร์ “ ฝากหน่อยนะพี่ ห้ามแดก เอ้ย ห้ามกิน ”

“ กูจะแดกแม่งให้หมดเลยไอ้สัส ” พี่เตอร์มองค้อนไอ้หมี มันก็แลบลิ้นใส่อย่างกวนตีน

อย่าตีกันเพราะขนมปี๊บได้ไหมเนี่ย

ขนมปี๊บนี่ได้มาจากที่ชนะเกมสันฯเมื่อเช้านั่นแหละครับ ผมว่าละว่ารางวัลแม่งต้องเป็นขนมปี๊บ ละกลุ่มนึงแม่งมีกันตั้งกี่สิบคนให้ขนมมาแค่ปี๊บเดียว แค่ไอ้หมีคนเดียวก็ไม่พอแดกละ งบประมาณคณะจะน้อยเกินไปไหมครับ ขอสักสามปี๊บก็ไม่ได้หรอ ไว้ปีผมก่อนเถอะเดี๋ยวจะขูดเลือดขูดเนื้อซื้อแจกน้องเอง คนละปี๊บนึงเลยเอ้า

ไงล่ะหนมสายเปย์

ผมค่อยๆเดินขึ้นบันไดหอประชุม รอบราวบันไดมีเชือกสีน้ำเงินร้อยอยู่ด้วยครับ เห็นแบบนี้แล้วตื่นเต้นว่ะมันจะร้อยไปจนถึงไหนเนี่ย ผมขึ้นมาจนถึงด้านบนก่อนจะเดินเข้ามาในหอประชุม ถึงจะไม่ได้เปิดไฟแต่ที่เห็นอยู่ก็คือรุ่นพี่ปี 2 ที่ยืนโยงเชือกสีน้ำเงินจนเป็นอุโมงค์เพื่อให้น้องๆเดินเข้าไป ด้านหลังโดยรอบมีเทียนโวทีฟสีขาวจุดส่งแสงประปรายเต็มไปหมด

โคตรสวยเลยอ่ะ

ประเพณีดาวล้อมด้ายมันเป็นอย่างนี่เอง

เทียนพวกนั้นคงเปรียบเป็นดาวสินะ เชือกสีน้ำเงินนั่นก็คือด้าย ปลายเชือกจากราวบันไดถูกผูกไว้กับธงสีน้ำเงินประจำคณะ เท่าที่สังเกตเชือกนี่ก็ล้อมรอบที่พวกผมนั่งอยู่ด้วย ในหอประชุมนี่เปิดเพลงคลอให้ซึ้งใจเล่นด้วยครับ ก่อนจะมีวีทีอาร์ฉายขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์เป็นภาพของงานกิจกรรมรับน้องที่เกิดขึ้นวันนี้

“ ฮ่าๆๆๆ มึงดูหน้าไอ้หมี ”

“ มีรูปมึงด้วยหนม ” เออกูเห็นละ รูปตอนกูทำหน้าเบ้ปากด้วยนะ พี่ตากล้องไม่มีรูปดีกว่านี้หรอครับ

“ เห้ยรูปนี้กูหล่อ ” ไอ้หมีมันชี้ให้พวกผมดู หน้ามึงขาววอกขนาดนั้นมันหล่อตรงไหนวะ

“ รูปไอ้เป้เต้นไก่ย่างว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ หน้าอย่างจี้ ”

“ มึงไม่ต้องมาขำเลยไอ้ภีม เดี๋ยวก็โดนกูทุบตายหรอก ”

“ มีกูด้วย ” เพื่อนไผ่เขามองรูปที่เขาเต้นส่ายตูดเขาก็ทำหน้าปลื้มปริ่ม มือบางสะกิดผม “ หนมดู นั่นกูเอง ”

“ กูเห็นแล้ว ”

หลังจากที่วีทีอาร์จบบรรดาคณะกรรมการนักศึกษาก็เดินขึ้นมายืนอยู่บนเวที ในมือก็ถือเทียนโวทีฟสีขาวไว้ พี่กริมก้าวขึ้นมาด้านหน้า บรรยากาศเงียบมากครับตอนนี้ เสียงเพลงในตอนแรกก็ถูกปิดลงไปแล้ว เหล่าเด็กปี 1 กำลังรอฟังสิ่งที่ท่านประธานของปี 2 จะกล่าว

“ ประเพณีดาวล้อมด้าย คือสิ่งที่จะสื่อว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เส้นด้ายถึงแม้ว่ามันจะบางหรือใครอาจจะมองว่ามันขาดง่าย แต่เส้นด้ายหลายๆเส้นมัดรวมกันมันก็แน่นหนามากพอที่จะไม่ถูกทำลายลงง่ายๆ น้องๆก็เป็นเหมือนกับเส้นด้ายเหล่านั้น ” พี่กริมส่งสัญญาณก็มีรุ่นพี่ปีสองทยอยกันเข้ามาผูกเส้นด้ายสีน้ำเงินที่ข้อมือให้เหล่าเด็กปีหนึ่ง

“ ขอบคุณครับ ” ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะมองด้ายสีน้ำเงินที่ผูกอยู่

“ พี่อยากให้น้องๆเป็นเหมือนกับเส้นด้ายที่ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง และอีกนัยนึงเส้นด้ายเปรียบกับสายสัมพันธ์ที่จะเชื่อมโยงกันอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย ส่วนแสงที่ล้อมน้องๆอยู่นี้ ขอให้รู้ไว้ว่ามันคือพวกพี่และคณะอาจารย์ทุกคนที่พร้อมจะคอยช่วยเหลือและประคับประคองน้องๆไปจนถึงความสำเร็จ ” พี่กริมเอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน “ ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวนิเทศศาสตร์ครับ ”

แปะๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั้งหอประชุม ประเพณีมันไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรเยอะนะครับแต่ผมว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่ะ เหมือนแบบเราเป็นครอบครัวกันจริงๆ และองค์ประกอบทุกอย่างคือมันสวยมากครับทั้งอุโมงค์ด้ายหรือเทียนโวทีฟพวกนี้ ความหมายของตัวมันเองก็ดีมากด้วย

มันเป็นประเพณีที่ดีมากจริงๆ

“ ซึ้งว่ะ น้ำตากูจะไหล ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะทำเป็นปาดน้ำตา

“ ไหนร้องดิ้ กูอยากเห็นมึงร้องไห้มานานละ ” ไอ้ปั้นมันเท้าคางมอง

“ คนแกร่งเขาไม่ร้องไห้กันง่ายๆหรอกโว้ย ”

“ อย่าเสียงดังได้ไหมไอ้หมี ” ไอ้เผือกมันเอ่ยเสียงเข้ม ไอ้หมีก็เงียบทันที

“ เป็นไงหนม มึงก็ซึ้งจนน้ำตาจะไหลเหมือนไอ้หมีไหม ” ไอ้ภีมมันถาม

“ ก็ซึ้งนะ กูชอบมากเลยว่ะ ” โมเม้นท์ดีดีแบบนี้ก็น่าเอาไปเขียนประกอบในนิยายเหมือนกันนะ

นิยายของผมเดี๋ยวก็จะมีช่วงรับน้องครับ ผมยังไม่ได้คิดเลยว่าจะให้มีอะไรในนิยายบ้าง แต่ตอนนี้คิดออกละครับว่าควรจะใส่อะไรลงไป อาจจะต้องดัดแปลงนิดหน่อย เดี๋ยวกลับไปค่อยแต่งละกัน อยากเล่าเรื่องประเพณีนี้ให้พี่ขุนฟังจริงๆเลย ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าพี่มันอยู่ที่ไหน

เฮ้อ

ยังไม่ตายใช่ไหมเนี่ยะ





หลังจากที่ประเพณีดาวล้อมด้ายจบลงผมกับเพื่อนๆก็พากันเดินออกมาจากหอประชุม ออกมาช้ากว่าชาวบ้านด้วยครับเพราะว่าผมโดนลากไปผูกข้อไม้ข้อมือตามประสาทายาทแก๊งค์ท่านประธานไง ตอนแรกด้ายที่ข้อมือก็มีเส้นเดียวแหละแต่โดนพวกพี่กริมผูกเพิ่มให้ เพิ่มให้เกือบทั้งแขน

สายใยแน่นแฟ้นสุดๆ

“ หนม ” ผมทันไปตามเสียงเรียกก็พบกับพี่ขุนที่ยืนรออยู่ด้านล่าง

นี่มึงหายไปไหนห้ะ!!!!

“ ไปไหนมาเนี่ยะติดต่อไม่ได้เลย ละนี่มือไปโดนอะไรมา ” ผมจับมือเรียวขึ้นมาดู มีรอยแดงเป็นจ้ำๆเต็มไปหมดเลยครับ พอผมแตะเบาๆเจ้าของมือก็สะดุ้ง

“ โอ้ย เจ็บครับ ”

“ ไปทำอะไรมาหืม ”

“ ก็ไปจุดเทียนข้างบนไง พี่ทำตั้งแต่เรียงยันจุด ยันน้ำตาเทียนลวกมือ ดีกางเกงยีนส์ไม่ไหม้ ”

“ ที่หายไปนี่คือไปเตรียมเทียนบนหอประชุม ”

พี่ขุนหยักหน้าเบาๆ “ ใช่ครับ ” เจ้าตัวยกมือขึ้นกุมแก้มผม “ ขอโทษนะที่ปิดเครื่องอ่ะ และก็ไม่ได้บอกก่อนด้วย ”

“ หนมสิต้องขอโทษ นี่คิดงี่เง่าจะด่าพี่ด้วย ทั้งที่พี่ไปเตรียมเทียนทั้งหมดนั่น ”

“ งั้นก็หายกันเนอะ ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน

ผมอมยิ้มบางๆพลางยกมือเรียวนั่นขึ้นมาเป่าเบาๆ แม่ผมสอนไว้ครับว่าเราจะไล่ความเจ็บได้จากการเป่า ถึงแม้ว่าจะแค่น้อยนิดก็เถอะ ใบหน้าหล่อเห็นผมเป่ามือให้ก็ฉีกยิ้มหนักกว่าเดิม นี่รู้สึกผิดจริงๆเลยนะที่ไปคิดอะไรงี่เง่าน่ะ ถ้าเทียนบนหอประชุมนี่พี่ขุนเตรียมเองทั้งหมดมันก็โคตรเยอะเลยอ่ะ ละทำไมต้องมาเตรียมเทียนด้วยวะ พี่มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคณะเลยแท้ๆ

เพราะอยากทำให้งั้นหรอ

“ จะหวานกันไปถึงไหนครับ ” เสียงไอ้หมีดังเข้ามาก่อนที่ตัวมันจะเดินมาคล้องคอผม “ พี่ขุน หมีมีอะไรจะขอ ”

“ อะไรวะ ”

“ วันนี้ขอยืมตัวไอ้หนมไปกินเหล้าฉลองหน่อยดิ่ ”

พี่มันเลิกคิ้วมอง “ ฉลองไรวะ ”

“ ก็.....” ไอ้หมีมันยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอะไรข้างหูไอ้ขุนไม่รู้ครับ มันน่าสงสัยไหมเนี่ยะ

“ เออได้โอเคกูยอม ” พี่ขุนมันหลุดยิ้มกริ่มออกมาก่อนจะปรับสีหน้านิ่งๆ “ ดูแลแฟนกูให้ดี ห้ามให้ใครมายุ่ง ”

“ ได้เลยครับผม ” ไอ้หมีมันยิ้มแป้นก่อนจะเดินกลับไปยืนกับพวกเพื่อนๆ

ผมจ้องพี่ขุนอย่างจับผิด “ ไอ้หมีมันบอกอะไรพี่อ่ะ ”

“ เอาหูมาสิ ”

“ ได้ ” ผมยื่นหูเข้าไปใกล้ๆ “ ไหนว่ามา ”

“ พี่....รัก....หนม....มาก....มาก....มาก ”

ตึกตัก

อา....โอเค

ไม่อยากรู้แล้วครับ

“ พี่นี่มันร้ายจริงๆนะพี่ขุน ”

คนบ้า....








TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 20 : 20/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-11-2017 23:51:00
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 21 : 21/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-11-2017 20:29:23
บทที่ 21 ครั้งแรก



ขนาดเหล้าหมดไปครึ่งขวดแล้วยังไม่หายตื่นเต้นเลย

ทำไมมันเป็นแบบนี้วะ

ผมนั่งมองน้ำสีอำพันในแก้วพลางคิดอะไรไปเรื่อย ตอนนี้อยู่กันที่ร้านจันทร์เจ้าครับ มันเป็นร้านเหล้าที่อยู่ไม่ไกลจากหอไอ้เผือก ร้านนี้นี่เรียกได้ว่าเป็นร้านประจำของพวกผมเลยก็ได้ถ้าจะมาหาเหล้ากินอ่ะนะ อีกอย่างพี่จันทร์เจ้าที่เป็นเจ้าของร้านเขาก็ใจดีมากเลยครับ ด้วยความที่ไอ้หมีมันสนิทกับพี่เขาพวกผมก็มักจะได้เบียร์มากินฟรีประจำ

สายเปย์ที่แท้ทรู

ตอนนี้ประมาณสามทุ่มแล้วครับ บรรยายกาศในร้านค่อนข้างที่จะคึกคักเลยนะเพราะว่ามันเป็นช่วงรับน้องไง โต๊ะของพวกผมนี่นั่งกันอยู่ใกล้ๆเวทีของร้านครับ ตั้งแต่ที่ผมมานั่งกันนี่ก็มีคนเดินเข้ามาทักไอ้หมีแบบมหาศาล ผมเคยคิดมาตลอดว่ามีแค่แฟนผมเท่านั้นที่เป็นคนของสาธารณะ แต่วันนี้รู้แล้วล่ะครับว่าเพื่อนตัวเองก็เป็นเหมือนกัน แล้วอีกอย่างคือการที่ไอ้หมีรู้จักคนเยอะนี่ทำให้ได้เหล้าฟรีเบียร์ฟรีด้วยครับ

แม่งเต็มโต๊ะเลยเนี่ยะตอนนี้

“ ทำไมมีแต่คนเอาเหล้ากับเบียร์มาให้มึงวะหมี ”

“ ก็กูน่ารักอ่ะ ”

“ ที่บ้านไม่มีกระจกส่องหน้าตัวเองหรอไอ้สัสหมี ” ไอ้เป้มันโวยก่อนจะหยิบเปลือกถั่วปาใส่

“ เพื่อนหมีผิดอะไรอ่ะเพื่อนเป้ ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะเบะปาก

“ ยังจะมีหน้ามาถามอีก ”

“ พอเถอะน่า แดกเหล้ามึงจะมาตีกันทำไมวะ ” ท่านประธานห้ามเพื่อนรักทั้งสอง ไอ้เป้มันปาเปลือกถั่วใส่หัวไอ้หมีอีกทีนึงก่อนจะยอมนั่งนิ่งๆ

“ มึงมันชั่ว ” ไอ้หมีมันบ่นงุบงิบก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ผม “ เพื่อนหนมค้าบ ”

“ อะไรมึง ”

“ มาชนเพื่อฉลองการเปิดซิงของมึงกันหน่อยไหม ”

ผมมองค้อนใส่ไอ้หมีทันที “ มึงนี่มันจริงๆเลยนะ ” เขารู้กันทั่วราชอาณาจักรแล้วมั้งว่ากูจะเสียตัวเนี่ยะ

“ เอาหน่าๆ มาๆพวกมึง ชนให้กับไอ้หนมที่กำลังจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่หน่อย ” ไอ้ตัวดีมันชูแก้วไว้กลางวง บรรดาเพื่อนๆก็ยกแก้วขึ้นมาชนพลางยิ้มกันอย่างชอบใจ

“ มาสิหนม ชนเร็ว ” ไอ้ภีมมันเร่งผม พวกมึงนี่มันจริงๆเลยนะ

กึก

“ แด่เพื่อนหนมที่กำลังจะเสียตัวฮ่าๆๆๆ ” พอไอ้หมีมันเอ่ยแบบนั้นเพื่อนๆก็เฮฮากันใหญ่ เสียงดังจนโต๊ะข้างๆนี่หันมามอง ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องดี๊ด๊ากันขนาดนี้

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

หลังจากที่ผมชนแก้วกับพวกมันเสร็จ ผมก็ยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นซดหมดในรวดเดียว อา....ความขมนี้บาดคอบาดใจดีจริงๆ ผมเป็นคนที่คอแข็งในระดับนึงเลยนะครับ ด้วยความที่ได้เหล้าฟรีมา ไอ้หมีมันเลยยกให้ผมขวดนึงเพื่อเป็นของขวัญแก่การเปิดซิง นี่ก็หมดไปครึ่งขวดแล้วครับไม่มีอาการใดใดแสดงออกมานอกจากปวดฉี่เลยเนี่ยะ ผมเห็นคนอื่นเขามาก็อยากจะได้ฟีลเมาแบบนั้นมั่งอ่ะ

อยากรู้ถึงความรู้สึก

อยากเมาหัวทิ่มแบบชาวบ้านเขาบ้าง

ในกลุ่มผมนี่ผมอยู่ทีมซัพพอร์ตกับไอ้หมีครับ เคยเก็บซากเพื่อนทุกคนกันมาแล้ว ไอ้หมีเนี่ยะก็เป็นคนที่คอแข็งนะครับ แต่ว่าถ้ามีคนเอานมไปกรอกใส่ปากมันคั่นระหว่างกินเหล้าละก็มันจะเมาหัวทิ่มทันที ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น อาจจะเมานมก็ได้มั้ง ผมเคยถามมันมันก็บอกว่ามันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเมาได้ ในกลุ่มเพื่อนที่คออ่อนที่สุดก็คือไอ้ปั้นครับ เจ้าตัวเองก็รู้ดี เวลามันมากินเหล้าเนี่ยะมันจะกินไม่เยอะครับแล้วก็จะเลือกกินโค้กแทน เวลาไอ้ปั้นเมานี่เหมือนไอ้หมีสองเลยอ่ะ

พูดมากน่ารำคาญสุดๆ

“ หนม ”

“ ว่าไง ” ผมหันมองคนเรียก “ มึงง่วงหรอวะภีม ”

“ เปล่า กูหาวเฉยๆ นี่ตอนแรกกูคิดว่ามึงจะเสร็จพี่ขุนไปแล้วนะเนี่ย ”

“ ทำไมมีแต่คนชอบคิดว่ากูเสร็จพี่มันไปแล้ว ”

“ ใครไม่คิดก็แปลก พี่ขุนเค้าไม่ใช่ธรรมดานี่หว่า ” ไอ้ภีมมันบอกก่อนจะส่งเหล้าแก้วใหม่ให้ผม “ กูว่ามึงต้องรับศึกหนักแน่เลย ”

ผมรับแก้วเหล้ามาจากมันก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบเบาๆ “ ผู้ชายกับผู้ชายนี่เจ็บมากเลยหรอวะ ”

“ ก็เจ็บนะ เจ็บทุกครั้งที่เอาเข้าไปอ่ะ แต่ว่าเดี๋ยวมันก็รู้สึกดีว่ะ ”

ผมยกยิ้มทันทีที่มันพูดแบบนั้นออกมา “ มึงเคยโดนหรอวะภีม ”

“ ก็...เอ่อ ” เจ้าตัวทำหน้าเลิกลั่กทันทีที่ผมถามแบบนั้น สีหน้าแม่งโคตรมีพิรุธ ผมว่าการสันนิฐานว่ามันเป็นเมียไอ้เป้เนี่ยะเป็นความจริงแน่นอน ไม่งั้นมันคงไม่ลุกลี้ลุกลนขนาดนี้หรอก

ผมอมยิ้มให้กับอาการร้อนตัวของเพื่อนรัก มันจะรู้ตัวไหมวะว่าตัวเองเก็บอาการไม่เนียนเลย พอผมจับไต๋มันได้แบบนี้ก็ชักอยากจะรู้แล้วครับว่ามันสองคนไปได้กันตอนไหน เชื่อไหมว่าตั้งแต่ที่รู้จักและเป็นเพื่อนกันมาผมเห็นมันสองคนทะเลาะกันประจำ เหมือนไม่ถูกกันด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าไอ้ที่ทะเลาะนี่ทำเพื่อบังหน้า ก็อาจจะใช่ก็ได้นะครับ ขนาดไอ้หมีมันยังยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าเลย เนี่ยะ นึกถึงไอ้หมีอีกละ ช่วงนี้เรื่องของไอ้หมีนี่จะอยู่ในหัวของผมบ่อยมากเลยว่ะ

อาจเพราะผมเป็นห่วงมันมั้ง

ผมยกแก้วเหล้าขึ้นซดพลางมองไอ้หมีที่ยิ้มร่าทักทายคนโน้นทีคนนี้ที ลองคิดๆดูแล้วไอ้หมีเนี่ยะมีคนชอบมันเยอะมากเลยนะครับ แต่ละคนก็ไม่ได้ธรรมดาเลยอย่างพี่จันทร์เจ้าที่เป็นเจ้าของร้านนี้ หรือว่าพี่เตอร์ที่เป็นพี่รหัสมันเองก็ตาม ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกแต่ว่าไอ้หมีมันมาเล่าให้ฟัง ไม่ได้มีแค่ผู้ชายด้วยนะครับคนที่ชอบมันอ่ะ ผู้หญิงก็มี แถมยังมีดีกรีเป็นถึงดาวมหาลัยของรุ่นไอ้ขันอ่ะครับ คือเพื่อนทุกคนตอนนั้นอิจฉาไอ้หมีมันมาก แต่สุดท้ายแล้วมันก็ปฏิเสธความรักเขาไปด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีคนที่มันชอบแล้ว

ไอ้สัสขันไง

“ ไอ้หนม ”

ตายยากตายเย็น

ผมหันไปตามเสียงเรียกอันคุ้นเคย “ อะไรมึง แล้วมาทำไมเนี่ยะร้านอื่นไม่มีแดกหรอ ”

“ กูต้องถามมึงมากกว่าไอ้น้องเวร ” ไอ้ขันมันเดินมาใกล้ผมก่อนจะโขกหัวผมแรงๆ “ กูกับมึงมีเรื่องที่ยังไม่ได้เคลียร์กันหลายเรื่องนะ ”

“ ไม่เคลียร์อะไรทั้งนั้นแหละ ไปไหนก็ไปป่ะ ” ผมโบกมือไล่ไอ้ขัน มึงมาทีนี่โต๊ะกูเงียบกริบเลย ไอ้หมีนี่เงียบสุด

“ มึงนี่มัน....”

“ ไอ้ขันไมไม่ไปโต๊ะวะ ” พี่จันทร์ฉายเดินมาหยุดข้างไอ้ขัน ก่อนจะเหลือบมองไอ้ไผ่ “ อ๋อ น้องหนม ”

“ ปากพูดน้องหนมแต่ตานี่มองไอ้ไผ่ตลอดเลยนะพี่ฉาย ” ไอ้หมีที่เงียบไปส่งเสียงแซวอย่างยียวนขึ้นมา

พี่จันทร์ฉายทำหน้ามุ่ย “ อย่าอเจนด้าสิวะ ”

“ เด็กวิศวะรู้ทฤษฎีของเด็กนิเทศได้ไงอ่ะ ” ไอ้หมีมันหรี่ตามองอย่างจับผิด “ ไปฟังใครสอนมา ”

ผมมองพี่จันทร์ฉายกับไอ้ไผ่สลับกัน มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้หรอวะ ไม่เห็นเคยได้ยินข่าวเลยนะไอ้หมีเองก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยด้วย แต่ดูจากการแซวของไอ้หมีนี่มันต้องไปรู้อะไรมาแน่ๆเลยว่ะ ที่ยังไม่ได้บอกเพื่อนๆนี่อาจจะเพราะว่ายังไม่รู้ถึงเบื้องลึก ไว้เดี๋ยวมันรู้แบบแจ่มแจ้งเดี๋ยวมันก็คงจะมาเล่าให้ฟัง ไอ้ไผ่มันนี่มันร้ายเงียบเหมือนกันนะเนี่ย แอบไปมีซัมติงกับพี่จันทร์ฉายด้วย ทำไมกลุ่มผมมันพัวพันกับเด็กวิศวะนักวะ

คณะก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ใกล้กันแท้ๆ

“ ไปเหอะขัน แถวนี้อยู่ยากว่ะ ” พี่จันทร์ฉายคล้องคอไอ้ขันก่อนจะยิ้มหวานให้พวกผม “ แดกกันให้สนุกนะน้องๆ ” พอพี่เขาพูดแบบนั้นจบเขาก็ลากไอ้ขันกลับไปที่โต๊ะตัวเอง

“ ไอ้เอ๋อ ” ไอ้เป้ยังล็อคคอไอ้ไผ่เข้าไปใกล้ทันที “ มึงเป็นอะไรพี่ฉาย ”

“ เออ ทำไมเค้าถึงมองมึงแบบนั้น ” ไอ้ปั้นมันเท้าคางมองอย่างสงสัย “ อย่างกับจะแดกเข้าไปทั้งตัว ”

“ พูดอะไรกัน ไม่เห็นจะรู้เรื่อง ” ไอ้ไผ่มันทำหน้ามึนใส่ก่อนยกเหล้าขึ้นจะดื่มแต่ติดแขนไอ้เป้ “ จะล็อคคอกูอีกนานไหม กูจะได้เอาหลอดมาปักเหล้าดูดแทน ”

“ แหม ทีนี้พูดไม่ผิดเลยนะมึง ” ไอ้เป้มันเบ้ปากใส่ก่อนจะเอามือออกมาจากคอไอ้ไผ่

“ แล้วพี่ขุนอ่ะหนม ” ไอ้เผือกมันถามก่อนจะส่งเหล้าแก้วใหม่มาให้ผม

“ ก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนๆมันนั่นแหละ ”

ตอนแรกผมก็ถามพี่ขุนว่าจะมากินด้วยกันไหม พี่มันบอกว่าให้ผมมากินกับเพื่อนๆผม ส่วนมันก็จะไปกินกับเพื่อนๆมัน ร้านประจำของแก๊งค์นั้นมันคือร้านนั่งชิวอ่ะครับ พวกผมก็เคยไปมานะร้านนั้นอ่ะ ร้านมันเล็กกว่าร้านนี้ครับอีกอย่างคนแม่งเยอะโคตร  ผมไม่ค่อยชอบที่คนมันเยอะเท่าไหร่เพราะว่ารำคาญ ผมนัดพี่ขุนให้มารับตอนสี่ทุ่ม อีกเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงจะมาแล้วแหละ เชื่อเลยว่าถ้าโผล่หน้ามาในร้านจะต้องเป็นที่ติดตาต้องใจใครหลายๆคนแน่

ชัวร์เลย

ผมนั่งดื่มไปเรื่อยพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หลังจากนี้ก็มีงานใหญ่ที่พวกผมต้องจัดการนั่นก็คือการจัดประกวดดาวเดือนมหาลัย พวกผมแบ่งแยกหน้าที่กันไว้เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวจะต้องแอบไปทำป้ายไฟไว้เชียร์ไอ้เป้ด้วย พอจบจากงานประกวดดาวเดือนก็ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำแล้วนะครับสำหรับเทอมนี้ ส่วนเทอมหน้ามีกีฬาสีที่เป็นกิจกรรมใหญ่ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นผมต้องผ่านการสอบไฟนอลก่อน

ไฟนอลนี่เป็นอะไรที่โหดร้ายสำหรับชีวิตพวกผมมาก

มันเป็นสอบที่จะพลาดไม่ได้ยิ่งกว่าสอบมิดเทอม เพื่อคอนโดที่อยากได้ผมก็จะต้องตั้งใจให้มากๆ พอสอบเสร็จก็จะปิดเทอม มหาลัยผมมันไม่ได้ปิดเทอมนานแบบที่อื่นน่ะครับ มหาลัยอื่นอาจจะปิดหลายเดือนแต่ของผมปิดแค่เดือนเดียว เอาจริงๆช่วงที่ปิดนั่นก็ต้องเริ่มเตรียมกีฬาสีแล้วแหละ เด็กนิเทศนี่มีช่วงให้พักยาวเต็มที่ได้แค่สามวันเท่านั้นแหละครับ

คิดแล้วปวดใจชิบ

เดี๋ยวผมจะต้องรีบปั่นนิยายด้วย ตอนนี้ก็ครึ่งเรื่องแล้วครับ อยากจะปรบมือให้ตัวเองดังๆที่แต่งมาได้ถึงขนาดนี้ กระแสตอบรับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมฝันไว้นะครับว่าถ้าผมแต่งนิยายจนจบได้ผมจะนำไปส่งสำนักพิมพ์ให้เขาพิจารณาเพื่อพิมพ์ออกเล่ม อยากเห็นนิยายตัวเองอยู่ในร้านหนังสือมากครับ พอผมตั้งใจไว้แบบนี้ผมก็จะต้องพยายามทำให้สำเร็จ ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆผมคงจะภูมิใจในตัวเองมาก

เพราะงั้นผมต้องทำให้ได้

“ เป็นไรวะ ตาลอยเชียว ” ไอ้หมีมันสะกิดผม สะกิดไม่พอแถมยังดึงแก้มผมด้วย มือมึงเปื้อนอะไรมาป้ะเนี่ยมาจับแก้มกู

“ ตาลอยอะไรของมึง กูก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ” ผมจับมือมันออกจากหน้าก่อนจะชงเหล้าแก้วใหม่

“ คิดถึงเรื่องที่จะเสียตัวหรอ ”

“ ดูมึงตื่นเต้นที่กูจะเสียตัวมากเลยนะไอ้หมี ”

“ ใช่สิ มึงจะได้เอาที่มึงโดนพี่ขุนปู้ยี่ปู้ยำไปแต่งนิยายสักที กูอยากอ่าน ”

ผมหรี่ตามองมัน “ ขนาดนั้นเลย ”

“ เออสิ กูนี่แฟนคลับตัวยงของไรท์ขนมนะ ” ไอ้หมีมันยิ้มแฉ่งพลางส่งสายตาปิ๊งๆ

“ ทำดีละ จงเป็นแฟนคลับกูต่อไป ”

“ หึ....โน่นหนม แฟนตัวจริงมึงเดินหัวเทามาโน่นละ ”

ผมหันไปมองทางเข้าทันทีที่ไอ้หมีพูดจบ ร่างสูงที่สวมเสื้อยืดแขนยาวสีเหลืองกับกางเกงยีนส์ที่มีรอยขาดรอบเต็มไปหมด เดี๋ยวผมจะแอบเอากางเกงตัวนี้ไปทิ้ง มันจะโชว์ขาอ่อนอะไรขนาดนั้นวะ กว่าพี่ขุนจะเดินมาถึงโต๊ะผมก็มีคนไม่น้อยที่กวักมือเรียกพร้อมกับส่งเหล้าให้ เจ้าตัวก็รับมาซดแล้วก็ยิ้มหวานไปเรื่อย เหมือนมีคนชวนนั่งด้วยนะครับแต่เท่าที่อ่านปากนั่นรู้สึกจะตอบไปว่า....มารับแฟน

ทำดีมากพ่อหนุ่ม

ผมเห็นพี่มันแวะไหว้ที่โต๊ะไอ้ขันด้วย ไอ้ขันนี่ทำหน้าบึ้งใส่เลย ส่วนพี่ขุนมันก็ยิ้มหวานเข้าสู้ ในใจมันอาจจะร้องไห้อยู่ก็ได้ครับ ผมไม่รู้ว่าไอ้ขันมันแอบไปทำอะไรพี่ขุนไว้รึเปล่า พี่ขุนไม่ได้มาเล่าอะไรให้ฟัง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดอยู่นะว่าไอ้ขันมันต้องแอบทำอะไรสักอย่างแน่ๆ คนอย่างแม่งไม่มีทางยอมอะไรง่ายๆอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ตองรอดูกันต่อไป หลังจากที่พี่ขุนแวะอยู่โต๊ะไอ้ขันไม่นานก็เดินยิ้มหวานเข้ามาหาผม

แซวนางสักหน่อย

“ คนของสาธารณะจังนะ แวะแทบทุกโต๊ะ ”

“ แต่ก็บอกทุกโต๊ะเลยนะว่ามารับแฟนอ่ะ ” เจ้าตัวยิ้มหวานให้ผมก่อนจะยกมือมาขยี้หัวผมเบาๆ “ พูดแบบนี้นี่หึงหรอ ”

“ ใครเค้าหึงกัน ” ผมกำลังจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม สายตาก็สังเกตได้ถึงการทำท่าล้อเลียนของไอ้หมีกับไอ้ภีม “ เดี๋ยวเถอะนะพวกมึง ”

“ อูยยยยย น่ากลัวจังเลย ฮ่าๆๆๆๆ ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะหัวเราะร่าออกมา กวนตีนชิบ เอาขวดเบียร์ตีหัวเพื่อนนี่ผิดไหมครับ

“ มึงอย่าไปแซวหนมสิวะหมี ฮ่าๆๆๆๆๆ ” มึงอ่ะตัวดีเลยไอ้บ้าภีม

“ พวกมึงนี่มัน....”

“ เอาหน่าหนมอย่าไปถือสาเพื่อนๆเลย ” พี่ขุนปรามก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหูผม “ พร้อมจะเป็นของพี่รึยังจ๊ะคนดี ”

ตึกตัก

อา....ทำไมขนลุกแปลกๆ

เพราะคำว่า จ๊ะ แน่ๆเลย

ผมเลื่อนหน้าออกมาไกลจากหน้าหล่อก่อนจะมองพี่ขุนตาปริบๆ เอ่อ ที่มันพูดเมื่อกี้ผมก็ใจสั่นอยู่หรอกนะครับ แต่ไอ้อาการขนลุกซู่นี่มันอะไรกันวะ ผมยกมือลูบแขนตัวเองเบาๆ “ หนมขนลุกอ่ะพี่ขุน ”

เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม “ ขนลุกเฉยเลย บอกลาเพื่อนๆได้แล้ว เดี๋ยวต้องไปแวะซื้อของอีก ”

“ งั้นแปป ” ผมหันมามองเพื่อนๆ “ พวกมึง กูไปละนะ ”

“ เออไปเถอะ ” ไม่คิดจะรั้งกูไว้หน่อยหรอปั้น

“ โชคดีนะเพื่อนหนม เพื่อนภีมเป็นกำลังใจให้ ”

“ เพื่อนเป้ก็เหมือนกัน ”

“ บ้ายบาย ” ไอ้ไผ่โบกมือให้ผม ส่วนไอ้เผือกมันไม่พูดอะไรแต่ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้แทน

“ เบามือหน่อยนะพี่ขุน ไอ้หนมมันอ่อนต่อโลก ” ไอ้หมีมันยิ้มปากบานบอกพี่ขุน ตัวอีพี่ก็พยักหน้ารับอย่างยินดี แหม่ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ

 “ พอแล้ว เจอกันที่มอ บาย ” ผมบอกบรรดาชาวแก๊งค์ก่อนจะเดินตามที่ขุนออกมาจากร้าน

ร่างสูงเดินนำมาจนถึงรถฟอร์จูเนอร์สีขาว ผมขึ้นมานั่งบนรถ เจ้าตัวก็ขึ้นตามมาอยู่ในฝั่งของคนขับ ผมตื่นเต้นยังไงไม่รู้อ่ะ คือแบบไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงหรือพูดอะไรกับพี่มันดี มันเขินไปหมดเลยครับตอนนี้ พี่ขุนเองก็ไม่พูดอะไรออกมานะนอกจากอมยิ้มแล้วเหลือบมองผมเป็นพักๆเท่านั้น พอผ่านไปแปปนึงรถก็ขับมาจอดอยู่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต พี่ขุนดับเครื่องก่อนจะลากผมให้เดินเข้าไปด้วยกัน

จูงดีดีก็ได้พ่อหนุ่มจะลากทำไม

“ พี่เดินไวจังอ่ะหนมเดินตามไม่ทัน ”

“ โอ๋ๆ พี่ลืมไปว่าหนมขาสั้นอ่ะ ” ผมตีไหล่พี่มันแรงๆทันที เจ้าตัวก็มองผมตาโต “ ตีพี่ทำไมอ่ะครับ ”

“ ยังจะมาถามอีก แล้วนี่ทำไมมาซื้อของที่นี่อ่ะ ”

“ พี่จะซื้อพวกของสดด้วยอ่ะ เดี๋ยววันนี้เราจะไปค้างที่คอนโดพี่กัน ”

“ พี่มีคอนโดด้วยหรอ ” ผมถามก่อนจะหยิบตะกร้ามาถือไว้ ผมนึกว่าพี่ขุนมันมีบ้านอย่างเดียวนะเนี่ย ที่ไหนได้มีคอนโดอีก บ้านพี่มันคงโคตรรวยจริงๆอ่ะ ไม่งั้นซื้อไม่ได้หรอกทั้งบ้านทั้งคอนโดแบบนี้

“ มีสิ คอนโดพี่สวยมากเลยนะ พี่เคยคิดมาตลอดว่าอยากจะพาแฟนของตัวเองไป ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ แฟนนี่แค่หนมป้ะ ”

“ ใช่สิ หนมเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวที่พี่มีนะครับ ” มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมไว้ “ ไปซื้อกุ้งกันดีกว่า หนมชอบกินนี่นะ ”

ผมเดินอมยิ้มมองแผ่นหลังกว้างอยู่ที่ตรงหน้า ในที่สุดสิ่งที่คาใจผมมาตลอดก็ได้คำตอบแล้วครับ พี่ขุนไม่เคยมีแฟนมาก่อนและแน่นอนว่าไอ้การเทคแคร์ดูแลของนั่นผมได้รับจากพี่มันเป็นคนแรก ปลื้มปริ่ม ปกติก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่แล้วนะครับ พอมารู้แบบนี้รู้สึกพิเศษหนักเข้าไปใหญ่ มันดีเนอะที่เราเป็นแฟนคนแรกของกันและกันอ่ะ และมันก็คงจะดีถ้าเป็นแฟนคนสุดท้ายของกันและกันด้วย

อา....ใจละมุนไปหมดแล้ว

“ มีอะไรที่อยากกินไหม ” พี่ขุนถามหลังจากที่เราเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโซนผักและของสด

“ อยากกินกุ้งลวกจิ้ม อยากกินแกงเขียวหวานด้วย ”

“ งั้นซื้อไปหลายๆอย่างหน่อยละกัน ”

ผมพยักหน้ารับ “ หนมอยากกินปลาทอดกระเทียมด้วยอ่ะ ”

“ เอาปลาอะไรทอดดีหืม ”

“ ปลาที่สีชมพูอ่ะ ”

“ ปลาทับทิมหรอ ”

“ ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรแต่เคยแม่ทำอยู่ ตอนที่ยังไม่ได้ทอดมันก็สีชมพูสวยอยู่หรอก พอทอดแล้วมันก็ไม่ชมพูแล้วแต่มันน่ากินมาก ”

“ ดูตื่นเต้นนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ทอดให้กินละกัน ”

“ โอเคเลย ”

ผมเดินตามพี่ขุนต้อยๆ พี่มันก็เลือกของใส่เต็มตะกร้าไปหมด พอได้ของครบเราก็ย้ายมาโซนขนมขบเคี้ยวครับ ผมก็กวาดขนมที่ตัวเองชอบมาใส่เต็มตะกร้า พี่ขุนเองก็หยิบขนมของตัวเอง ผมก็แอบย่องมาโซนอุปกรณ์ทางการแพทย์ครับ ด้วยความที่วันนี้ผมจะต้องป่ามป๊ามกับพี่ขุน ผมก็จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมหน่อย ไอ้หมีบอกว่าถ้าสวมถุงยางจะเจ็บน้อยลงครับ อีกอย่างคือต้องซื้อเจลหล่อลื่นด้วย สภาพอย่างผมคงไม่มีบุญเป็นผัวพี่มันแน่นอน เพราะงั้นผมควรจะมีไอเทมที่จะทำให้ตัวเองเจ็บน้อยลง

อา....สู้เขานะขนม

ผมกวาดสายตามองหาเจลหล่อลื่น มันมีหลายยี่ห้อแล้วก็หลายแบบมากเลยครับ เอามาสักอันนึงละกันถ้ามันไม่เวิร์ครอบหน้าค่อยเปลี่ยน พอคิดได้แบบนั้นผมก็หยิบเจลขวดสีชมพูที่อยู่ใกล้ที่สุดมา ก่อนจะเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงชั้นถุงยาง ผมไม่รู้ว่าพี่ขุนใส่ถุงยางไซส์ไหนนี่สิ แต่ปกติผู้ชายไทยก็น่าจะอยู่ที่ไซส์ 49 ไม่ก็ 52 นะครับ ถุงยางนี่ก็มีหลายประเภทเหมือนกันแฮะ มีอันที่มีปุ่มด้วยอ่ะ เราจะรู้สึกถึงปุ่มได้หรอถ้าเราโดน

ผมนี่ชักจะคิดอะไรติดเรทเกินไปละ

“ บ้าชะมัด ” ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะหยิบถุงยางไซส์ 52 ขึ้นมาดู

“ ทำอะไรน่ะครับ ”

ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงพี่ขุน “ ตกใจหมดเลย ”

“ พี่หาเราตั้งนาน ” ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังผมก่อนจะชะเง้อมองดูของในมือ “ มาซื้อถุงยางอยู่นี่เอง ”

“ คือหนม.....คือ ”

“ ผิดไซส์นะ พี่ใส่ไม่ได้หรอก ” มือเรียวหยิบถุงยางไซส์ 52 กลับไปวางไว้ที่เดิมก่อนจะหยิบกล่องที่อยู่ข้างๆมายัดใส่มือผมแทน “ พี่ต้องใส่ 54 ”

ผมหันขวับไปมองพี่ขุนทันที “ 54 เลยหรอ ”

“ ใช่ แปลกหรอ ”

“ ก็....ช่างมันเถอะ ไปจ่ายเงินกันดีกว่านะ ” ผมโยนถุงยางใส่ตะกร้าก่อนจะรีบเดินนำมาที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินทันที

นี่ไม่คิดเลยว่าพี่ขุนจะใส่ถุงยางไซส์ใหญ่แบบนั้น ไซส์ 54 นี่ไม่ธรรมดาเลยนะครับ เอาวะตัดสินใจไปแล้วนี่จะมาถอยตอนนี้ก็ไม่ได้ แล้วอีกอย่างยังไงวันนี้มันก็ต้องมาถึงอยู่ดี ผมคิดว่าพี่ขุนเองคงจะไม่ทำให้ผมเจ็บมากจนทนไม่ไหวหรอก คิดในแง่ดีไว้หนม สิ่งที่จะทำวันนี้มันคือการเก็บข้อมูล Nc ที่ดีที่สุดเลยนะ ไปอ่านจากที่ไหนก็ไม่เรียลเท่าด้วย เหล่ารี้ดที่รักเอาใจช่วยไรท์หนมด้วยนะครับ

อื้ออ.อ.อ....ใจสั่นไปหมดแล้วโว้ย


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 21 : 21/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-11-2017 20:30:56
---------- ต่อจากบท 21 ----------




คอนโด L

ผมเดินตามพี่ขุนเข้ามาในคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง แถมยังติดริมแม่น้ำอีกต่างหาก คอนโดนี่ค่อนข้างที่จะอยู่ไกลจากมหาลัยมากเลยนะครับแล้วก็ไกลจากบ้านของพี่ขุนด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงซื้อคอนโดอยู่ไกลถึงขนาดนี้ อีกอย่างผมว่ากลางเมืองอ่ะรถจะชอบติดด้วย แต่ที่นี่มันใกล้กับสถานีรถไฟฟ้านะครับ แต่ว่าพี่ขุนมันก็ขับรถนี่นา สงสัยจังว่าทำไมถึงซื้อคอนโดนี้ ถ้าสงสัยเราต้องถามครับ

“ พี่ขุน ”

“ ครับ ” เจ้าตัวกดลิฟต์ชั้นบนสุดก่อนจะหันมาหาผม “ มีอะไรหืม ”

“ ทำไมถึงซื้อคอนโดนี้อ่ะ มันไกลจากมอเรามากเลยนะ ”

“ คือคอนโดเนี่ยะ มันเป็นของที่บ้านพี่เองอ่ะ ”

“ หมายถึงเป็นเจ้าของเลยอ่ะนะ ”

พี่ขุนพยักหน้ารับก่อนจะจูงมือผมออกมาจากลิฟต์ “ ชั้นบนสุดนี้เป็นของพี่แต่ยังครี่งเดียวนะ พ่อบอกว่าจะยกให้ทั้งหมดต่อเมื่อพาลูกสะใภ้ไปบ้านน่ะ ”

“ งี้นี่เอง แปลว่าชั้นนี้ไม่มีใครอยู่เลยน่ะสิ ”

“ ใช่ มีแค่เราสองคน ” พี่ขุนเปิดประตูห้องที่อยู่สุดทางเดินให้ “ เชิญครับ ”

“ ขอบคุณครับ ”

ผมเดินเข้ามาในห้องช้าๆ ไฟในห้องสว่างก็ขึ้น รอบๆห้องเป็นกระจกไปหมดเลยครับ วิวจากชั้นสูงสุดนี่สวยมาก น่าอิจฉาจริงๆเลยที่ได้เห็นวิวแบบนี้บ่อยๆ ในห้องของพี่ขุนอยู่ในโทนสีเหลืองแบบที่ผมคิดไว้จริงๆด้วยครับ มีตัดด้วยสีเทาเพื่อให้มันดูสมูทขึ้นด้วยนะ แต่งห้องได้ดีจริงๆเลย ผมเดินสำรวจไปรอบๆ พี่ขุนก็เดินเอาของไปเก็บที่เคาท์เตอร์ครัว ผมเห็นประตูใหญ่บานเดียวในห้องผมก็เดินมาเปิดดู

อู้ววว ห้องนอนของพี่ขุนล่ะ

ผมเดินเข้ามาในห้องนอน สิ่งแรกที่สะดุดตาเลยก็คือรูปของผมที่อยู่ในกรอบใหญ่มากแถมไว้บนผนังตรงหัวเตียงเลยต่างหาก มันเป็นรูปตอนที่อยู่ชะอำครับ ไปแอบถ่ายมาตอนไหนก็ไม่รู้น่ะ ผมเดินมาดูใกล้ๆก็เจอโต๊ะข้างหัวเตียงที่เต็มไปด้วยกรอบรูปของผมวางอยู่เต็มไปหมด เห็นแบบนี้นี่เขินว่ะ มีรูปที่ผมกับพี่มันถ่ายด้วยกันที่ฟาร์มแกะด้วยนะ มีโพสอิทแปะไว้ข้างๆอีกต่างหาก

รูปที่ถ่ายด้วยกันครั้งแรก

พี่ขุนนี่จดจำทุกรายละเอียดเล็กๆจริงๆ ขนาดผมยังไม่ใส่ใจอะไรขนาดนี้เลย เออจะว่าไปนี่ก็เป็นรูปที่ถ่ายด้วยกันรูปแรกจริงๆแหละ ปกติจะแอบถ่ายกันซะส่วนใหญ่ เดี๋ยวผมเอารูปที่แอบถ่ายพี่ขุนมาได้ไปทำเป็นอัลบั้มแล้วมาให้เป็นของขวัญที่คบกันได้ 1 เดือน

หวังว่านางจะชอบนะ

“ อยู่นี่เอง ”

ผมสะดุ้งเมื่อพี่ขุนสวมกอดจากด้านหลัง “ พี่นี่....มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะ ”

“ หึ....พร้อมรึยังหืม ” เสียงนุ่มเอ่ยถามอยู่ข้างหู จมูกโด่งกดลงบนแก้มของผมแรงๆ “ ไปอาบน้ำก่อนไป ก่อนไปรับหนมพี่กลับไปอาบที่หอมาละ ”

“ โอเค ” ผมแกะมือที่กอดเอวผมออกก่อนจะหันหน้าเข้าหาพี่ขุน “ แปปนึงนะ ”

“ ครับ ” เจ้าตัวก้มลงมาจุ๊บหน้าผากผมเบาๆก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ “ พี่รอที่เตียงนะ ”

ผมพยักหน้ารับก่อนเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วลงมือชำระร่างกายตัวเองให้สะอาด ใจเต้นแรงมากเลยครับ ผมกดสบู่อาบน้ำของพี่ขุนเอามาชะโลมตัวเองก่อนจะขัดๆถูๆ มันต้องสะอาดทุกซอกทุกมุมครับ ผมเองก็ศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร ว่ามันจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง ตอนที่นั่งอ่านเรื่องพวกนั้นก็รู้สึกแปลกๆอยู่หรอก พอจะมาทำจริงๆนี่ให้ความรู้สึกอีกแบบเลยแฮะ

ตื่นเต้นไปหมด

หลังจากที่ผมใช้เวลาอาบน้ำไปเกือบยี่สิบนาทีผมก็หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำที่ห้อยอยู่มาสวมไว้ เอาน่ะหนมใจมาหน่อย คนรักกันทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกสักหน่อย พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ พี่ขุนที่นั่งรออยู่ปลายเตียงพอเห็นผมเดินออกมาก็ไล่มองผมตั้งแต่หัวจรด ริมฝีปากบางนั่นยกยิ้มทันที มือเรียวตบข้างเตียงเบาๆเชิงให้ผมไปนั่งตรงนั้น

“ อาบนานผิดปกติเลยนะ ”

“ เปล่าสักหน่อย ” ผมเดินมานั่งข้างๆพี่ขุน “ หนม ตื่นเต้นอ่ะพี่ ”

“ พี่ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ”

“ แต่ดูพี่ปกติมากเลยนะ ”

“ ก็ไม่นะ ” พี่ขุนเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าผม “ พี่เองก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน ”

ผมยื่นมือไปกุมมือเรียวคู่นั้นไว้ “ เขินว่ะ มันครั้งแรกของหนมเลยอ่ะ ยังไงก็เพลามือหน่อยละกันนะ ”

“ เรานี่มัน....” พี่ขุนก้มหน้าลงมาใกล้ผม “ น่ารักจริงๆเลยนะ ” ริมฝีปากบางกดจูบลงเบาๆ

ผมเปิดปากเพื่อให้พี่ขุนสอดลิ้นเข้ามาก่อนจะยกมือจับไหล่เจ้าตัวไว้ ลิ้นร้อนๆไล่คว้านวนอย่างละเมียดละไม ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆเลย มันต่างกับตอนที่เราจูบกันครั้งแรก จูบนี้มันทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าต้องการที่จะทะนุถนอมผมมากแค่ไหน พี่ขุนดันให้ผมนอนราบไปกับเตียงก่อนโดยที่ตัวเองก็คร่อมผมไว้ ปากก็แลกจูบกันอยู่อย่างนั้น ผมขยับลิ้นไล่ตามพี่ขุนไปอย่างเงอะงะจนพี่มันหลุดยิ้มออกมาก่อนจะละริมฝีปากออกไป

อะไรเล่าก็จูบไม่เป็นนี่

“ ทำไมพี่ถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ”

“ ก็เราอ่ะ ”

“ หนมยังไม่ทันทำอะไรเลย ”

“ เดี๋ยวพี่จะสอนให้จูบนะ หนมจะต้องขยับลิ้นแบบนี้ ” เจ้าตัวแลบลิ้นออกมาก่อนจะขยับวนคล้ายๆกับเลขแปด

“ แบบนี้ ” ผมแลบลิ้นออกมาขยับตาม “ แล้วยังไงต่อ ”

“ ก็ถ้าจะให้ได้อารมณ์หน่อยก็ควรจะดูดเบาๆ แบบนี้ ” พี่ขุนก้มลงมางับที่ริมฝีปากล่างผมก่อนจะดูดเบาๆแล้วละออกไป “ เข้าใจไหมครับ ไหนลองทำซิ ”

ผมผงกหัวขึ้นไปจุ๊บปากพี่ขุนก่อนจะงับและดูดเบาๆตามที่เจ้าตัวสอน “ เป็นไง ”

“ เก่งมาก ทำแบบนั้นแหละ งั้นพี่ทำต่อเลยนะ ” พี่ขุนก้มลงมาจูบผมอีกครั้งซึ่งผมรอรับจูบนั้นอยู่แล้ว

มือเรียวแหวกเสื้อคลุมอาบน้ำของผมออก ริมฝีปากละออกจากปากผมก่อนจะไล่จูบไปตามที่ซอกคอ จั๊กจี้ยังไงไม่รู้ว่ะ ทุกครั้งที่ปากอุ่นนั่นกดจูบลงมาผมก็ถดคอหนีจนพี่ขุนต้องยกมือมาประคองให้ผมอยู่นิ่งๆ เจ้าตัวค่อยๆจูบก่อนจะงับเบาๆไล่ลงไปจนถึงไหปลาร้า หลังจากนั้นไอ้การจูบเบาๆในตอนแรกก็กลายเป็นการขบเม้มแรงๆ ผมผงกหัวขึ้นมาดูเห็นผิวตัวเองขึ้นเป็นสีแดงจ้ำๆเหมือนกับที่ผมเห็นที่คอไอ้เผือก

การดูดมันเป็นแบบนี้เอง

“ พี่ขุน ”

เจ้าตัวช้อนตาขึ้นมองผม “ พี่ดูดแรงไปหรอครับ ”

“ เปล่า หนมแค่อยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงทำรอยตรงนั้น ”

“ ก็ถ้าพี่ทำรอยไว้ตรงคอคนอื่นก็จะมองเห็นน่ะสิ มันคงจะไม่เหมาะถ้าคนอื่นมาเห็นหนมมีรอยดูดอยู่ที่คอ ” พี่ขุนบอกก่อนจะขบเม้มแรงๆแถวๆน่าอก “ แต่ถ้าใต้ร่มผ้าน่ะ ทั้งตัวแน่นอน ”

ฉ่า

แก้มร้อนไปหมดแล้วโว้ย

“ พี่นี่พูดอะไรก็ไม่รู้ ” ผมยกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเองก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ยอดอก “ พี่ขุนทำอะไรน่ะ ”

“ หนมอยากให้พี่พูดจริงๆหรอ ” ใบหน้าหล่อยกยิ้มให้ผมก่อนจะจูบเบาๆลงบนยอดอกแล้วเลียวนไปรอบๆ

“ อื้ออ.อ.อ.อ....”

ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันวะ

มือของผมจิกไหล่พี่ขุนเบาๆเมื่อพี่มันไล่เลียวนที่รอบยอดอกอยู่อย่างนั้น เลียไม่พอนะครับมีงับแล้วก็ใช้นิ้วลูบวนไปมาด้วย หลังผมนี่อยู่ไม่ติดกับพื้นเตียงเลย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องแอ่นเพื่อรับสัมผัสนั้นด้วย ความรู้สึกนี้เรียกว่าเสียวได้มั้ง อื้อ.อ.อ.อ....มันแปลกอ่ะ เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย เจ้าตัวดูชอบใจมากเลยนะครับที่ทำให้ผมแสดงอาการตอบสนองออกมาแบบนี้ ลิ้นร้อนนี่รัวหนักเข้าไปใหญ่

“ อื้ออ.อ...อะ...พี่ขุน ” หนมจะตายแล้ว

“ อะไรหืม ”

“ ทำไมถึงทำแต่ตรงนี้ล่ะ ” ผมถามพี่มันเสียงอ่อน รู้สึกหน้าร้อนมากครับ ตอนนี้แก้มผมคงแดงมากแน่ๆ

“ ก็หนมดูชอบตรงนี้เป็นพิเศษ ” ปลายนิ้วเรียวไล้วนรอบยอดอกผม “ พี่ก็ไม่คิดว่าหนมจะรู้สึกมากขนาดนี้ ”

“ รู้สึกสิ ” ผมยกมือขึ้นไปหยิกยอดอกพี่ขุนแรงๆ “ พี่รู้สึกไหมล่ะ ”

“ โอ้ยย อันนี้มันเจ็บเนี่ยะ ”

“ มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ ”

“ ไม่คล้ายกันสักหน่อย ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผมก่อนจะเลื่อนมือมาถอดเสื้อของตัวเองออกไป

ตึกตัก

เชี่ยยยยยย

ผมมองคนที่คร่อมตัวเองอยู่อย่างอึ้งๆ หุ่นนี้ได้แต่ใดมาเนี่ยพ่อคุณ กล้ามเนื้อเป็นลอนสวยนั่นจะต้องผ่านการดูแลตัวเองมากอย่างหนักแน่ๆ ผิวพี่มันขาวและก็เนียนมากเลยครับ ผมเลื่อนมือมาลูบกล้ามท้องแน่นเบาๆ แข็งจริงไรจริง ผมชอบหุ่นแบบนี้มากเลยครับมันไม่หนาไปไม่บางไป ผมเคยคิดว่าอยากจะมีหุ่นแบบนี้นะแต่ก็ทำไม่ได้เพราะว่าผมเป็นพวกขี้เกียจออกกำลังกายไง แต่มันก็เป็นโชคดีของผมที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนน่ะนะครับ แถมยังตัวบางๆด้วยซ้ำ ถึงผมจะหุ่นไม่ดีมาก

แต่ว่าแฟนผมหุ่นดีมากนะครับ

น่ากัด

“ มองตาไม่กระพริบเลยนะ ” พี่ขุนก้มหน้าลงมาจนจมูกชนกับจมูกผม “ อยากกัดสักทีสองทีไหมล่ะ ”

“ ใครเค้าอยากจะกัดกัน ”

“ ที่พูดนั่นใช่สิ่งที่คิดหรอ ” สายตาคมยังจับจ้องผมอยู่ไม่ห่าง แต่สัมผัสได้แรงลูบที่เลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ

“ ใช่สิ แล้วทำไมต้องเอาหน้ามาใกล้ขนาดนี้ด้วยเนี่ย ”

“ พี่ก็ต้องอยากใกล้ชิดกับคนที่พี่รักสิครับ ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับยิ้มหวาน

ยอมแล้วครับทูลหัว

ยอมแล้ว

“ หนมเขินมากเลยอ่ะ เหมือนจะตายยังไงก็ไม่รู้ ”

“ ฮ่าๆๆเด็กบ๊อง ” พี่ขุนหัวเราะร่าก่อนจะเลื่อนไปจุ๊บหน้าผากผม “ พี่ไม่ปล่อยให้เราตายง่ายๆหรอก ” เจ้าเอ่ยออกมาก่อนจะจูบปากผมอีกครั้ง

ตอนนี้ผมรู้สึกดีไปหมดเลย ทุกคำพูดทุกการกระทำมันทำให้ผมเขินเหมือนเป็นบ้า ผู้ชายคนนี้นี่มีอิทธิพลกับผมมากจริงๆ รับรองเลยว่าถ้าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปแต่ง Nc เนี่ยะ เหล่ารี้ดของผมคงจะต้องหลงรักมันอย่างหัวปักหัวปำแน่ๆ ในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มอยู่กับจูบที่พี่มันมอบให้ ก็รับรู้แรงลูบๆคลำๆตรงช่วงล่าง เสื้อคลุมอาบน้ำของผมมันหลุดออกไปตั้งแต่ตอนไหนแล้วไม่รู้ ตอนนี้มีแค่ตัวเปล่าๆนอนอยู่ใต้ร่างพี่ขุนเท่านั้น ที่สำคัญคือพี่มันรุกรานไปจนถึงหนมน้อยแล้วครับ

โอ้มายก๊อดดด

นอกจากแม่แล้วไม่มีใครได้แตะเลยนะครับ

พี่ขุนละจูบจากปากมาซุกไซร้อยู่รอบซอกคอผมแทน มือลูบหนมน้อยเบาๆก่อนจะเริ่มขยับขึ้นลงช้าๆ อื้ออ..อ.อ.....ทำไมมันไม่เหมือนเวลาที่ผมช่วยตัวเองเลยวะ ความรู้สึกมันต่างกันมากเลย เพราะว่าโดนคนอื่นทำให้งั้นหรอ หรือว่าเพราะคนทำคือพี่ขุนวะผมก็เลยรู้สึกดีมากกว่าปกติ ยิ่งเวลาที่มือเรียวนั่นสาวขึ้นลงเน้นๆมันยิ่งทำให้รู้สึกดีเข้าไปใหญ่

“ ชอบไหมครับ ”

ผมพยักหน้ารับ “ อื้ออ.อ....มันเสียว ”

“ พี่ดีใจนะที่ทำให้หนมเสียวได้ ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะขยับมือหนักขึ้นอีก

“ อ๊ะ....พี่พูดอะไรก็ไม่รู้...อื้ออ.อ.อ.....”

“ พูดจริงๆนี่นา ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยออกมาเลยนะครับ ” พี่ขุนจุ๊บปากผมก่อนจะเร่งจังหวะมือขึ้นอีก

โอ้ยยย แบบนี้ก็ไม่ไหวสิ

“ ซี๊ดด..ด...จะเสร็จ....อื้ออ.อ...”

“ ก็เสร็จสิครับ ”

“ อ๊ะ....อื้ออ....พี่ขุนนน...อ๊ะ...อ๊า ”

ทำไมเหมือนโลกมันขาวโพลนไปหมดอย่างงี้วะ

ผมผ่อนลมหายใจออกมาหลังจากที่ตัวเองเพิ่งเสร็จ พี่ขุนหอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนจะผละออกไป ผมเห็นน้ำรักสีขาวขุ่นที่เลอะเต็มมือพี่มัน อาจเพราะผมไม่ได้ปลดปล่อยมานานมันก็เลยเยอะมากกว่าปกติ พี่ขุนเอื้อมไปหยิบขวดเจลสีชมพูมาบีบใส่มือ ใบหน้าหล่อๆนั่นขึ้นสีนิดๆก่อนจะจับขาผมให้แยกออกจากกันแล้วเลื่อนมือไปลูบไล้ที่ช่องทางรักด้านหลังเบาๆ ผมจิกผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อถูกสัมผัสที่ส่วนนั้น มันรู้สึกแปลกๆครับ ปลายนิ้วเรียวๆลูบวนอยู่อย่างนั้นก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาด้านในช้าๆ

อื้ออ.อ...เจ็บ

“ หนมเจ็บหรอ ”

“ เจ็บ ” ผมกัดปากตัวเองเบาๆเพื่อข่มความเจ็บ “ พี่ขุนเบามือหน่อยนะ ”

“ พี่จะทำเบาๆนะ ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บปากผม นิ้วเรียวค่อยๆขยับเข้าไปช้าๆ

“ อื้ออ.อ.อ....พี่ขุน ” ผมผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อไม่ให้ตัวเองเกร็ง ใจสู้หน่อยหนม เดี๋ยวต้องเจอของที่ใส่ไซส์ 54 เลยนะ นิ้วแค่นี้เทียบไม่ติดด้วยซ้ำ

แค่คิดก็....

“ ทำไมรัดนิ้วพี่แน่นจังเลยล่ะ ”

“ หนมเปล่านะ ” เรื่องแบบนี้อย่าพูดออกมาสิโว้ย

“ เปล่าอะไรล่ะ ขยับนิ้วแทบไม่ได้ แน่ะ ยังจะรัดแน่นขึ้นอีก ”

ก็กูเขินอ่ะไอ้สัสจะให้กูทำไง

“ ก็พี่ขุนอ่ะ....อ๊ะ...อย่าขยับพรวดพราดสิมันเจ็บ ”

“ โอ๋ๆ พี่จะทำให้หนมเจ็บน้อยที่สุดนะครับ ” พี่ขุนเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะเริ่มขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ

มือผมจิกผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อนิ้วเรียวเริ่มขยับเข้าออก มันเจ็บนะครับแต่มันก็รู้สึกวูบวาบๆที่ท้องน้อยด้วย พี่ขุนหยิบเจลมาบีบใส่เพิ่มก่อนจะเริ่มขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้นแล้วค่อยๆสอดนิ้วเพิ่มเข้ามาเบาๆ ทำแบบนั้นจนนิ้วสอดเข้ามาครบทั้งสามนิ้ว ช่วงล่างนี่ให้ความรู้สึกหลากหลายมากครับ ทั้งเจ็บทั้งเสียวมันปะปนกันไปหมด มันรู้สึกดีทุกครั้งที่ปลายนิ้วมันไปโดนอะไรสักอย่างที่อยู่ด้านใน นี่สินะที่เรียกว่าจุดกระสัน

เคยอ่านแต่นิยาย พอมาเจอกับตัวนี่ยอมเลยเอาจริงๆ

เสียววูบวาบไปหมดแล้ว

“ แค่นี่ก็น่าจะพอไหวแล้วล่ะ ” พี่ขุนบอกก่อนจะถอนนิ้วออกไป รู้สึกโล่งทันทีเลยข้างล่าง

“ หนมก็คิดว่าน่าจะไหว ” ผมเห็นหน้าที่แดงก่ำของพี่ขุนก็อดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นไปกุมไว้ “ ทำไมหน้าแดงอย่างนี้ล่ะ ”

“ พี่เขินอ่ะแล้วก็ประหม่าไปหมดเลย มีความสุขมากเลยนะหนมเพราะพี่รอเวลานี้มาตั้งนาน ”

“ นี่ก็เป็นรางวัลของความอดทนของพี่ไง ” ผมลูบแก้มแดงนั่นเบาๆ “ พอเห็นพี่แก้มแดงจัดแบบนี้ก็น่ารักเหมือนกันนะ ”

“ หนมต่างหากที่น่ารักอ่ะ แถมยังเป็นที่รักของพี่ด้วย ” พี่ขุนเอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน

ผมยกมือจิ้มที่ริมฝีปากนั่นเบาๆ “ ปากหวานจังเลยนะ ”

“ หวานแค่กับแฟนคนเดียวเท่านั้นแหละครับ ” มือเรียวหยิบถุงยางมาคาบไว้ก่อนจะเลื่อนมือลงไปปลดกางเกงยีนส์ตัวเองออก

โอ้ยยยยยเชี่ยยยยย

ผมมองสิ่งที่โผล่ออกมาจากกางเกงอย่างหวั่นๆ ไม่แปลกใจเลยถ้าพี่ขุนจะใส่ถุงยางไซส์ 54 ไอ้ที่สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าผมนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆครับ มันใหญ่มาก ขนาดยังไม่ได้เสียบเข้าไปก็รู้สึกเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาแล้วอ่ะ เอาน่ะหนม มาไกลถึงขนาดนี้ละอย่ามาจิตใจอ่อนแอเพราะเจอของใหญ่หน่อยเลย ผมนอนมองพี่ขุนฉีกซองถุงยางก่อนจะสวมเข้าที่ลูกรักของตัวเอง โอ้ยหวั่นใจมากเลย มือเรียวจับให้ขาผมแยกออกจากกันมากกว่าเดิมก่อนจะประคองลูกรักมาถูวนรอบปากทางเข้าเบาๆ

อื้ออ.อ..อ...เสียวแปลกๆ

“ เบาๆพี่ขุน ”

ใบหน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้ “ พี่จะเบาที่สุดนะครับ ”

“ อื้ออ.อ..อ.....”

“ ซี๊ดด.ด....ผ่อนคลายหน่อยครับ ”

“ โอ้ยยยยยย...อื้ออ.อ....พี่ขุนหนมเจ็บ...อื้ออ.อ....”

“ พี่รักหนมนะ ”

“ โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” ผมตีไหล่พี่ขุนแรงๆทันที “ พี่รักหนมจริงป้ะเนี่ย ”

“ รักสิครับ แต่ถ้าพี่มัวชักช้าหนมจะเจ็บมากกว่านี้ ” เจ้าตัวก้มลงมาจูบซับน้ำตาให้ผมเบาๆ “ พี่ขอโทษนะครับ เจ็บมากเลยหรอ ”

เจ็บสิโว้ยยยยยยย

เล่นเสียบเข้ามารวดเดียวแบบนั้นใครไม่เจ็บบ้างวะ

ผมนอนผ่อนลมหายใจหนักๆ ช่วงล่างนี่เจ็บมากครับแถมยังรู้สึกอึดอัดมากด้วย ที่อ่านในนิยายกับที่เจอในชีวิตนี่โคตรต่างกันเลย พี่ขุนเห็นผมเจ็บมากก็ได้แต่ไล่จูบประโลมไปรอบซอกคอ มือเรียวก็ลูบไล้รอบเอวเชิงให้ผมผ่อนคลาย ชอบนะครับที่พี่มันทำอะไรแบบนี้ ช่วงล่างยังคงนิ่งอยู่คิดว่าเจ้าตัวคงจะปล่อยให้ผมปรับตัวเองให้พร้อมขึ้นเพื่อรอรับแรงกระแทก

พูดเองก็ปวดใจเองแปลกๆ

“ ถ้าหนมพร้อมแล้วบอกพี่นะ ”

“ แล้วถ้าหนมไม่พร้อมอ่ะ ”

“ อีกสองนาทีเดี๋ยวพี่จะขยับนะครับ ” พี่ขุนเลื่อนขึ้นมาจุ๊บที่ปากผมเบาๆ “ ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว มันรัดแน่นมากเลยอ่ะ อื้อ.อ.อ....อย่าแน่นกว่าเดิมสิครับ พี่เจ็บเหมือนกันนะ ”

อย่าพูดออกมาเซ่

เขินตัวจะแตกตายอยู่แล้วเนี่ย

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองไล่ความร้อน “ พี่ขุนขยับเลยก็ได้ หนมโอเคละ ” ความจริงก็ไม่ได้โอเคเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้ายังชักช้ามากกว่านี้อาจจะล่มปากอ่าวก็ได้

“ งั้นพี่เอาเลยนะ ” ใบหน้าหล่อเลื่อนลงมาจูบผมก่อนจะที่จะเริ่มขยับช่วงล่างช้าๆ

“ อื้ม.ม.ม.....”

ผมยกมือโอบรอบคอพี่ขุนไว้พลางจิกหลังเจ้าตัวเบาๆเพื่อระบายความเจ็บ เอวสอบก็ขยับเข้าออกอย่างเนิบนาบ มือเรียวก็ยกขาผมขึ้นให้ไปเกี่ยวเอวตัวเองไว้ ปากก็ยังคงแลกจูบกับผมอยู่อย่างนั้น ไอ้ความเจ็บนั่นก็เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างเข้ามาร่วมด้วย

นี่สินะที่ไอ้หมีมันบอกว่าเดี๋ยวมันก็ดี

“ ซี๊ดด.ด....พี่ขอเร่งหน่อยนะครับ ”

“ อ๊ะ....อื้ออ.อ....” ผมกัดปากกลั้นเสียงตัวเองเมื่อพี่ขุนเร่งจังหวะขยับขึ้นอีก

“ อา....หนม ”

ตอนนี้ผมรู้สึกเสียวมากครับ ยิ่งพี่ขุนขยับเอวเร็วขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียวขึ้นไปอีก ลืมความเจ็บในตอนแรกไปหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าทำจากข้างหลังมันจะทำให้เสียวได้มากขนาดนี้ อื้ออ.อ.อ...กลั้นเสียงไว้ไม่อยู่แล้วครับ มือเรียวของพี่ขุนเลื่อนมาจับหนมน้อยขยับไปด้วย โอ้ยยยย เสียวทั้งหน้าทั้งหลังแบบนี้ก็ไม่ไหวสิ

“ อ๊ะ....พี่ขุน...อื้ออ....”

“ อื้ม.ม...รู้สึกดีไหมครับ....อะ ” พี่ขุนถามก่อนจะกระแทกเข้ามาเน้นๆ

ผมพยักหน้ารับก่อนจะผงกหัวขึ้นไปจุ๊บปากพี่มัน “ อ๊ะ....ไม่ไหวแล้วพี่ขุน ”

เสียวใจจะขาดแล้วครับ

“ พี่ก็ไม่ไหวแล้ว ” พี่ขุนขยับใส่ผมสุดแรงเมื่อใกล้จะถึง มือก็ขยับขึ้นถี่ยิบ “ งั้นพร้อมกันนะครับ ”

“ อ๊ะ...อื้อ.อ.อ....พี่ขุน ”

“ อื้ออ.อ....”

“ อ๊ะ....พี่ขุน....อ๊ะ....อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา ”

“ อื้มมมมมมมมม...ม....หนม....”

แฮ่ก

ความหายใจไม่ทันนี่มัน...

ผมนอนหอบอยู่ใต้ร่างสูงหลังจากที่เจ้าตัวถอนลูกรักออกไปจากตัวผมแล้ว พี่ขุนเองก็หอบแรงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากที่ขึ้นสีแดงๆนั่นผมอดไม่ได้ที่จะผงกหัวขึ้นไปจุ๊บจริงๆ คนโดนจุ๊บยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนมือมาเกลี่ยแก้มของผมเบาๆ ผมยกมือไปเสยผมที่ปรกหน้าพี่ขุนขึ้นไปให้ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าป่ามป๊ามกันแค่ครั้งเดียวหน้าที่หมองๆก็เริ่มดูดีขึ้นมาหน่อย

เห็นผลไวดีจริงๆ

“ มีความสุขไหมครับ ”

“ ก็สุขอยู่นะ แต่มันเจ็บไปหน่อยอ่ะ ”

“ ครั้งแรกก็แบบนี้แหละ ” พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะจับมือผมขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “ หนมเป็นของพี่เต็มตัวแล้วนะครับ ”

ผมอมยิ้มก่อนจะผงกหัวขึ้นไปหอมแก้มขาว “ พี่ก็เป็นของหนมแล้วเหมือนกันนะ ”

“ พี่มีความสุขจัง คุ้มค่ากับที่ทนรอมาสามเดือน ”

“ ยิ้มหวานเชียวนะ ” ผมดึงแก้มพี่ขุนอย่างหมั่นเขี้ยว “ พรุ่งนี้หนมต้องขยับตัวไม่ได้แน่ๆ ”

“ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ดูแลเอง เรื่องดูแลเราพี่เก่งอยู่ละ ” พี่ขุนถอดถุงยางออกไปก่อนจะหยิบอันใหม่เข้ามาสวม

เดี๋ยวนะ

สวมอันใหม่ทำไม

“ พี่ขุนจะทำอะไรอ่ะ ” ครั้งแรกของกูให้มันจบที่ครั้งเดียวไม่ได้หรอ มันเสียวก็จริงอยู่แต่มันก็จุก เสียด แน่น ด้วยนะ ถ้ากระแทกมันเข้าไปอีกนี่คงไม่ใช่แค่พรุ่งนี้นะที่ขยับไม่ได้

น่าจะขยับไม่ได้ไปอีกสามวัน

“ พี่เป็นคนที่รักษาคำพูดตัวเองครับ ”

ผมหรี่ตามองพี่มันทันที “ คำพูดอะไร ”

“ พี่เคยบอกว่าถ้าพี่มีสิทธิ์เมื่อไหร่ พี่จะทำให้หนมช้ำไปทั้งตัว เพราะงั้น....” พี่ขุนเลื่อนลงมากระซิบข้างหูผมเบาๆ “ หนมนอนนิ่งๆนะครับ ”

ตึกตัก

ถ้าทูลหัวจะบอกเสียงพร่าขนาดนี้หนมจะยอมนอนนิ่งๆก็ได้ครับ

นี่เพราะว่ารักหรอกนะ

“ อ๊ะ....พี่ขุน ”



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ปริ่มมากครับ

ปลื้มปริ่มสุดๆไปเลย

ผมหยิบผ้าชุบน้ำไล่เช็ดทำความสะอาดตัวให้ขนมครับ ผมแง่มน้องจนน้องสลบไป จากเวลาตอนนี้ก็เกือบตีสี่แล้วครับ ผมไม่เคยมีเซ็กซ์นานขนาดนี้เลย นี่ยังคิดอยู่ว่าถ้าน้องไม่สลบไปก่อนผมก็อาจจะต่อไปจนเช้า ก็ใช้จนถุงยางหมดแล้วก็ต้องสดต่ออ่ะ รู้สึกทำบาปกรรมกับน้องมากเลย ถ้าคนตัวเล็กตื่นมาผมต้องโดนดุแน่ๆ เมื่อกี้ตอนที่เดินไปเอาผ้าชุบน้ำมาผมเห็นหน้าตัวเองในกระจกนี่ผ่องมาก ไม่เห็นหน้าตัวเองขาวใสมานาน

ได้แง่มขนมทีนี่หน้าใสยิ่งกว่าฉีดเมโสอีกอ่ะ

สุดยอดจริงๆ

ผมหยิบกางเกงบ๊อกเซอร์มาสวมให้น้อง รอยจูบนี่แดงเถือกไปทั้งตัวเลยว่ะ มันหมั่นเขี้ยวไปหมดเลยครับไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตัวหนมนิ่มด้วยแถมผิวก็ขาวอีก ผมก็ได้ใจงับน้องใหญ่เลย นี่ถ้ามีคนมาเห็นรอยบนตัวขนมนี่คงคิดว่าผมเป็นโรคจิตแน่ๆ ผมเดินเอาผ้าไปตากที่ราวก่อนจะเดินมานอนที่เตียง ผมรั้งน้องเข้ามากอดไว้ก่อนจะลูบหัวเบาๆ น้องก็หลับสนิทเลยครับ คงเพลียมากจริงๆนั่นแหละ

ถ้าไม่เพลียก็คงไม่สลบหรอก

ขนมเป็นของผมแล้ว หลังจากนี้ผมก็ต้องดูแลน้องให้ดีและก็จะไม่ทำให้คนตัวเล็กเสียใจเด็ดขาด ตอนนี้เรื่องที่ผมหวั่นใจที่สุดก็คือเรื่องที่บ้านของผมเอง ผมคิดว่าพ่อผมคงจะไม่ยอมรับเรื่องนี้แน่ๆ เพราะตอนที่พี่ชายผมบอกกับพ่อว่าตัวเองเป็นเกย์ ที่บ้านก็ทะเลาะกันใหญ่โตจนพี่ชายผมต้องย้ายออกมาอยูข้างนอก ถ้าเป็นแบบนี้ผมควรจะเข้าทางแม่มากกว่า แม่ผมจะต้องรู้เรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยให้แม่ไปกล่อมพ่อวันละนิดๆ

เป็นความคิดที่ดี

“ อื้ออ.อ.อ.....พี่ขุน ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นมาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ คนตัวเล็กขยับซุกเข้าหาอกผม “ พี่ขุน ”

ละเมอสินะ

น่ารักจริงๆ

“ พี่อยู่นี่ครับ ” ผมจุ๊บเรือนผมน้องเบาๆ “ ฝันหวานๆนะครับทูลหัวของพี่ ”

ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ดีจริงๆเลยที่มาจนถึงวันนี้ได้น่ะ หลังจากนี้เป็นยังไงเดี๋ยวค่อยว่ากัน ผมมีเรื่องต้องทำหลายอย่างเลย แต่ตอนนี้ผมคงต้องนอนแล้วล่ะครับเพราะตื่นมาต้องทำกับข้าวให้ขนมกินอีก อีกอย่างคือต้องเตรียมหูไว้ฟังน้องบ่นด้วยครับ เจ้าตัวคงอยากบ่นผมหลายเรื่องๆแน่ แต่ไม่เป็นไร....ถ้าขนมบ่นมากๆผมจะจูบปิดปากให้

หึ....

เสร็จพี่แน่








TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 22 : 22/11/2017 ] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 22-11-2017 21:25:05
บทที่ 22 ความหมายของเกียร์



บ่ายสามละครับ

สุดที่รักยังไม่ตื่นเลย

ตอนนี้ผมกำลังทำกับข้าวรอขนมตื่นอยู่ นี่เหลือแค่ลวกกุ้งก็เสร็จแล้ว ผมกะว่าถ้าทำกับข้าวเสร็จคงจะไปปลุกน้อง ผมตื่นตั้งแต่เที่ยงแล้วครับ ออกไปซื้อยาแก้ปวดกับเบาะรองนั่งมาให้คนตัวเล็กด้วย เพราะผมคิดว่าน้องคงจะปวดน่าดู ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนไหวไหมด้วย ผมคิดว่าถ้าขนมไปมอนี่จะต้องโดนเพื่อนแซวแน่ๆ และก็คงจะมาบ่นให้ผมฟังตอนเย็น

เป็นแบบนี้ประจำ

คนตัวเล็กน่ะขี้บ่นพอสมควรเลยนะครับส่วนมากจะเรื่องงาน งานน้องจะเยอะมากเพราะว่าอยู่ในคณะกรรมการนักศึกษาไงซึ่งมันไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่ถึงขนมจะบ่นยังไงเจ้าตัวก็ตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด ผมเห็นงานที่น้องรับผิดชอบหลายๆอย่างมันออกมาเพอร์เฟ็คเลย นี่ยังแค่ปี 1 เองแท้ๆแต่ทำงานได้มากถึงขนาดนั้น คิดได้เลยว่าในชีวิตการทำงานในอนาคตเนี่ยะจะต้องดีมากแน่ๆ

ครืดดด....ครืดดด....

“ ใครโทรมาวะ ” ผมหยิบโทรศัพที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมาดู แม่โทรมาครับ สงสัยจะคิดถึงผม “ ฮัลโหลครับ ”

( ขุนศึกลูกรัก สบายดีไหมหืม )

“ สบายดีครับผม แล้วนี่แม่ทำอะไรอยู่ครับเนี่ย ”

( แม่ก็นั่งคิดถึงขุนอยู่ไง )

ผมอมยิ้มทันทีที่แม่พูดแบบนั้น “ เขินเลยนะครับเนี่ย แล้วพ่อไปไหนล่ะครับ ”

( พ่อเราไปประชุมน่ะสิ ถ้าว่างๆก็แวะกลับมาค้างที่บ้านบ้างนะแม่คิดถึงน่ะ )

“ หลังสอบไฟนอลละกันนะครับ จริงสิ....ขุนมีเรื่องจะบอกแม่ด้วยนะ ”

( เรื่องอะไรคะไหนว่ามาซิ....นี่อย่าบอกนะว่าขุนไปทำผู้หญิงท้องป่องน่ะ แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ป้องกันตลอด เรานี่มันจริงๆเลยนะ )

“ เดี๋ยวสิครับแม่ ขุนยังไม่ได้พูดอะไรเลย ” ผมตักกุ้งใส่จานแล้วปิดเตาแก๊สก่อนจะยืนพิงตรงเคาท์เตอร์ครัวเพื่อคุยกับแม่ต่อ “ อีกอย่าง....ขุนเลิกเจ้าชู้แล้วนะครับ ”

( คนอย่างขุนเนี่ยนะจะเลิกเจ้าชู้ได้ ลูกแม่นี่หัวบันไดบ้านไม่แห้งมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วนะ แม่นี่หวั่นใจกลัวว่าจะเป็นย่าตั้งแต่ยังสาว )

“ ฮ่าๆๆๆ เลิกเจ้าชู้แล้วครับ เพราะว่าขุนมีแฟนแล้ว ” แถมแฟนยังน่ารักมากด้วยนะครับแม่

( มีแฟน....ใครกันที่เอาชนะใจขุนได้ แม่อยากเห็นหน้าซะแล้ว )

“ แฟนขุนเป็นคนน่ารักครับ ทำงานเก่งด้วย น้องเรียนอยู่นิเทศปี 1 น่ะ ” ผมผ่อนลมหายใจเบาๆ “ แต่ว่า....น้องเค้าเป็นผู้ชายนะครับ ”

(.....ผู้ชายงั้นหรอ )

“ ใช่ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะพาน้องไปเจอแม่ แม่จะรู้ว่าทำไมผมถึงรักน้อง ”

( แม่เข้าใจขุนนะเรื่องแบบนี้น่ะ แต่ขุนรู้ใช่ไหมว่าพ่อเค้าเป็นคนยังไง )

“ เข้าใจครับ แม่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพ่อนะครับ ไว้ขุนจะบอกกับพ่อด้วยตัวเอง ”

( ได้ค่ะ....หืมว่าไง.....โอเค เดี๋ยวแม่ค่อยโทรหาขุนนะ )

“ ได้ครับ แค่นี้ครับแม่ ” ผมกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เคาท์เตอร์

ได้บอกแม่แบบนี้ก็สบายใจไปครึ่งนึงอ่ะนะ

คือแม่ของผมท่านรับได้ครับสำหรับเรื่องรักร่วมเพศน่ะ แต่ว่าพ่อนี่ไม่เลย ผมเป็นลูกคนกลางของบ้าน มีพี่ชาย 1 คนและน้องชาย 1 คน พี่ชายผมชื่อขุนพลครับ เรียนอยู่คณะแพทย์ปี 5 ละ ส่วนน้องชายผมชื่อขุนเขา ยังเรียนมัธยมอยู่ปีนี้ก็ม.6 เมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่ม.6 ส่วนพี่พลเขาอยู่ปี 3 เขามาบอกกับพ่อครับว่าเขาเป็นเกย์ พ่อค่อนข้างจะรับไม่ได้ที่เขาเป็นแบบนั้น บรรยากาศในบ้านมันหม่นมากเลยครับช่วงนั้นน่ะ พี่พลก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่คอนโดที่พ่อเคยให้ตัวเองไว้

เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

คือตัวพี่พลเนี่ยะเขาติดบ้านครับ ถึงแม้ว่าบ้านจะอยู่ไกลมหาลัยมากก็ยังเพียรที่จะขับรถไปกลับทุกวัน แต่เพราะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พี่พลก็ต้องย้ายออกไปอยู่คนเดียวข้างนอก คือในบ้านมันไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โตนะครับแต่แบบพ่อเลือกที่จะไม่คุยไม่ตอบพี่พลเลยเวลาเขาถาม ข้าวก็ไม่กินร่วมโต๊ะกัน ผมเคยไปถามพ่อด้วยว่าทำไมถึงทำแบบนั้นเพราะผมมองว่าถึงจะเป็นเกย์แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย พี่พลก็ยังเป็นพี่พลคนเดิม แต่คำถามของผมก็ไม่ได้คำตอบจากพ่อครับ ท่านแค่บอกกับผมว่า อย่าเป็นเหมือนพี่พล

คิดถึงเรื่องนี้นี่หน่วงเหมือนกันนะ

แต่ว่าผมจะต้องหาทางทำให้พ่อยอมรับความรักของผมกับขนมให้ได้ มันอาจจะต้องใช้เวลาหน่อยแต่ไม่เป็นไร ผมอดทนรอได้อยู่ละ ขนมเนี่ยะเป็นคนฝึกให้ผมมีความอดทนมากขึ้น เมื่อก่อนที่ยังไม่เจอน้องผมใจร้อนกว่านี้มากครับ ทำอะไรไม่ค่อยคิดด้วย พอได้มาไล่ตามจีบน้องนั่นแหละ ชีวิตก็ต้องใจเย็นลง ทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ มันดีตรงที่ผมเอาไปปรับใช้กับทุกๆเรื่องในชีวิตไง ช่วงแรกเพื่อนๆนี่ทักเลยว่าผมเปลี่ยนไป

เป็นขุนศึกในวันนี้ได้ก็เพราะขนมนี่แหละ

พูดถึงขนม....

“ ต้องปลุกสินะ ” ผมเดินออกจากครัวก่อนจะเข้าไปในห้องนอน

คนตัวเล็กยังคงหลับอยู่บนเตียง ผมค่อยๆเดินไปนั่งลงข้างๆก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปเกลี่ยแก้มใสเบาๆ ไม่ใช่หน้าผมคนเดียวที่ใสสินะ หน้าน้องเองก็ไม่ต่าง เออผมมีเรื่องนึงที่จะต้องทำก่อนน้องตื่นครับ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะใกล้ๆหัวเตียงก่อนจะหยิบสมุดบันทึกสีเหลืองกับปากกาออกมา สมุดเล่มนี้ผมไว้เขียนความคืบหน้าเกี่ยวกับความรักของผมครับ ในนี้มีตั้งแต่เรื่องที่เจอน้องวันแรกเลยนะ

นึกถึงวันนั้นแล้วก็ตลกเหมือนนะเนี่ยะ

อยู่ดีดีก็หลงรักเด็กเก็บนกซะได้

ผมเปิดไปหน้าเรื่องที่ต้องทำครับ คือผมเขียนไว้เป็นข้อๆว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ข้อล่าสุดก็คือเซ็กซ์ครับ ซึ่งผมได้ทำมันตามที่เขียนไว้เรียบร้อย เดี๋ยวต้องบรรยายด้วยว่าปริ่มใจมาก สมุดเล่มนี้นี่จะให้น้องเห็นไม่ได้เลยนะ เชื่อเลยว่าถ้าขนมมานั่งอ่านสิ่งที่ผมเขียนน้องจะเขินจนบิดไปมาแน่ๆ

เขาเป็นเด็กขี้เขิน

“ เรียบร้อย ” หลังจากที่ผมจดบันทึกเสร็จผมก็เก็บสมุดใส่ลิ้นชักไว้เหมือนเดิมก่อนจะถอดสร้อยที่มีเกียร์คล้องอยู่ออกมาใส่ให้น้องแทน

มันถึงเวลาที่น้องควรจะใส่มันไว้แล้วครับ

อยากรู้จังว่าถ้าน้องตื่นมาเห็นเกียร์ห้อยอยู่ที่คอตัวเองน้องจะทำยังไงต่อ จะแสดงรีแอคชั่นอะไรออกมาให้ผมเห็น ไม่เคยคิดเลยนะครับว่ามันจะมีวันที่ถอดเกียร์แล้วให้คนอื่นใส่แทนแบบนี้น่ะ ตอนที่ได้รับเกียร์มาก็คิดไว้แหละครับว่าจะเก็บไว้ให้คนที่รักและก็อยากจะอยู่ด้วยตลอดไป และคนๆนั้นก็ยังคงหลับไม่ตื่นอยู่ตรงหน้าผมเนี่ยะ

“ ขนมครับ ”

“ อื้ออ.อ.อ....”

“ ตื่นได้แล้วครับ พี่ทำของที่หนมอยากกินไว้เยอะแยะเลยนะ ” ผมลูบหัวน้องเบาๆ

“ อื้มม.ม....” คนตรงหน้าค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆพร้อมกับทำหน้ามุ่ยทันที “ ปวดเอว ” น้องเอ่ยบอกด้วยเสียงที่แหบพร่า แน่ล่ะ เมื่อคืนใช้เสียงไปเยอะมากเลยนี่นะ

ไม่แหบก็แปลกละ

“ ก็เดี๋ยวกินข้าวแล้วก็กินยาไงครับ ”

“ อื้ออ.อ.อ...” มือเรียวยกมือมาเสยผมตัวเองขึ้นก่อนจะขยี้ตามองผม “ กี่โมงแล้วอ่ะ ”

“ บ่ายสามกว่าละครับ หนมนอนนานมากเลยนะ ”

น้องตีผมทีนึงก่อนจะทำหน้าบึ้งใส่ “ เพราะพี่ขุนนั่นแหละ ”

“ เพราะหนมต่างหาก ” ผมยิ้มหวานก่อนจะช้อนตัวน้องอุ้มขึ้นมา “ เดี๋ยวพี่พาไปล้างหน้า ”

“ อย่ามาอุ้มเหมือนหนมเป็นผู้หญิงได้ไหม หนมเดินเองได้น่ะ ” คนตัวเล็กโวยวายใส่ผม

“ แน่ใจหรอว่าจะเดินเองได้  ”

“ แน่ใจสิ ”

ดื้อจริงๆเลยนะ

ผมยอมวางน้องลงตามคำขอ แต่พอขาขนมแตะพื้นแล้วผมปล่อยมือออกคนตัวเล็กก็ลงไปกองกับพื้นทันทีแถมยังแหกปากร้องลั่นอีกต่างหาก ผมยืนมองภาพตรงหน้าพลางอมยิ้ม ขนมกำลังนั่งเบะปากอยู่กับพื้นครับ แต่เจ้าตัวก็พยายามที่จะชันตัวลุกขึ้นมาด้วยตัวเองอยู่ พอเห็นแบบนี้แล้วน่ารักชะมัด

อยากจะฟัดอีกสักรอบ

“ วันนี้จะถึงห้องน้ำไหมครับ ” ผมย่อตัวลงก่อนจะพยุงน้องขึ้นมา “ เราน่ะมันดื้อ ”

“ หนมเปล่า ”

“ ยังจะเถียงพี่อีก ” ผมงับหัวน้องเป็นการลงโทษก่อนจะพาเดินเข้ามาในห้องน้ำ

น้องยืนเท้าเคาท์เตอร์อ่างล้านหน้าแล้วมองผมผ่านกระจก “ พี่ขุนใส่เสื้อผ้าให้หนมหรอ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ พี่เช็ดตัวให้หนมด้วยครับ รับรองว่าสะอาดทุกซอกทุกมุม ” ผมยิ้มหวานก่อนจะส่งแปรงสีฟันให้น้อง

“ แอบทำอะไรตอนหนมหลับป้ะเนี่ย ” คนตัวเล็กจ้องอย่างจับผิดก่อนจะเริ่มแปรงฟัน

“ พี่จะแอบทำไปทำไม ในเมื่อคืนพี่ทำไปจนเต็มอิ่ม ”

“ แค่กก.ก.....แค่กก.ก.....” น้องตีผมทีนึงหลังจากที่ตัวเองสำลักยาสีฟัน “ พูดอะไรก็ไม่รู้ ”

“ ก็มันจริงนี่นา ”

น้องมองค้อนใส่ผมก่อนจะแปรงฟันต่อ ผมก็ได้แต่ยืนมองแล้วก็อมยิ้มอยู่ข้างๆ พอขนมล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเจ้าตัวก็ถอดเสื้อออกก่อนจะทำตาโตมองตัวเองในกระจกอยู่อย่างนั้น มือเรียวยกขึ้นลูบที่เกียร์ที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเองเบาๆ แก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ กำลังเขินอยู่แน่ๆ คนตัวเล็กจับเกียร์ไว้ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา ยิ้มกว้างมากด้วยครับ คงจะมีความสุขอยู่แน่ๆถึงได้ยิ้มกว้างออกมาถึงขนาดนั้น

นี่แหละสิ่งที่ผมอยากเห็น

“ เกียร์ของพี่ขุน ”

“ ตอนนี้มันเป็นของหนมแล้วครับ ”

“ ทำไมถึงให้หนมใส่ไว้ล่ะ ”

“ เกียร์ที่พี่ให้หนมมันก็มีความหมายว่าพี่เป็นของหนม และหนมก็เป็นของพี่ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรารักกันนะ ”

“ ขอบคุณนะครับ ” คนตัวเล็กขยับเข้ามากอดผมไว้ “ ขอบคุณจริงๆ ”

“ พี่รักเรามากเลยนะ ” ผมยกมือลูบหัวน้องเบาๆ

“ หนมก็รักพี่ขุนเหมือนกัน ” เจ้าตัวเงยหน้ามองผมแล้วยิ้มหวาน

ผมก้มลงไปจุ๊บปากขนมเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้น้อง โมเม้นท์นี้มันมีความสุขมากเลยครับ ผมไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะเพราะผมไม่เคยมีแฟนไง พอได้มาทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกันนี่มันทำให้ผมรู้สึกดีมากเลยครับ ขอบคุณตัวเองเหมือนกันนะที่เก็บความรักเอาไว้ตลอดแค่เพราะคิดว่าจะได้ใช้กับคนที่รู้สึกรักจริงๆ

ตอนนี้ก็เจอแล้วครับ

แล้วก็จะดูแลให้ดีด้วย



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



โคตรปวดเอว

ปวดโคตรๆ

ดีนะที่ยังขยับได้

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวรอพี่ขุนยกกับข้าวมาให้ครับ นี่ก็บ่ายสามกว่าละ ผมนอนไปนานมากจริงๆนั่นแหละ ทั้งหมดมันก็เพราะพี่ขุนอ่ะ ผมจำได้ว่าทำจนถุงยางหมดแต่ว่าพี่ขุนไม่ยอมหยุดแล้วแบบอยู่ดีดีก็โลกมืดไปเลย ตื่นมาอีกทีก็เพราะว่าพี่มันไปปลุกผมนั่นแหละ ไม่งั้นผมต้องยังคงนอนตายอยู่บนเตียงแน่นอน

อ่อนล้าอ่อนเพลียสุดๆ

พี่ขุนพยุงผมเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันครับ ตอนแรกนางนี่อุ้มผมเป็นเจ้าหญิงเลย นี่ผมยังคิดเลยนะว่าตัวเองเบาขนาดนั้นเลยหรอวะถึงได้อุ้มตัวลอยได้ แต่คือผมไม่อยากถูกอุ้มไงผมก็เลยบอกว่าเดินเองได้ พี่ขุนก็ยอมปล่อยให้ผมเดินเองนะครับ พอขาถึงพื้นเท่านั้นแหละแม่งทรุดเลย ไอ้ที่ปวดแม่งปวดหนัก พอพี่ขุนเห็นว่าผมลุกเดินเองไม่ได้นางก็พยุงผมเดินเข้าห้องน้ำ นาทีนั้นนี่คิดว่าให้พี่มันอุ้มไปตั้งแต่แรกก็ดีแล้วแท้ๆ

ไม่น่าดื้อเลยผมเนี่ยะ

วันนี้มีสิ่งที่มันให้ผมยิ้มแบบกว้างมากด้วยนะครับ ตอนที่อยู่ในห้องน้ำผมอยากเห็นรอยที่พี่ขุนทำไว้บนตัวก็เลยถอดเสื้อออกแต่ว่าสิ่งที่ผมเห็นก่อนเลยคือสร้อยที่มีเกียร์ห้อยอยู่ และมันก็อยู่ที่คอของผม ผมรู้ความหมายของเกียร์วิศวะครับเพราะเคยถามไอ้ขันเพื่อเก็บข้อมูลมาแต่งนิยาย เด็กวิศวะส่วนมากจะมอบเกียร์ให้กับคนที่ตัวเองรัก ไอ้ขันมันบอกว่าเกียร์เนี่ยะ ถ้าให้ไปแล้วก็คือให้จะไม่มีวันเอากลับคืนอีก เพราะงั้นการที่จะให้เกียร์กับใครสักคน ก็ต้องมั่นใจแล้วว่าคนๆนั้นจะเป็นเจ้าของหัวใจเราไปตลอดทั้งชีวิต

รู้สึกดีจริงๆที่เกียร์นี้กลายมาเป็นของผม

“ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ ”

“ ไม่ชอบรึไงที่หนมยิ้มบ่อยๆ ”

“ ชอบสิครับ ” พี่ขุนยกกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะตักข้าวให้ผม “ แต่ยิ้มให้พี่พอนะ อย่าไปยิ้มให้คนอื่นล่ะ พี่หวง ”

“ หนมจะไปยิ้มให้ใคร อีกอย่างนี่ไม่ใช่คนที่ยิ้มง่ายขนาดนั้นนะ ”

“ ก็ดีแล้วครับ ” พี่ขุนถามก่อนจะนั่งลงตรงข้ามผม “ เบาะเป็นไงนั่งสบายไหม ”

“ ก็สบายดี ” ดีกว่านั่งพื้นแข็งๆแน่นอนอ่ะ “ ขอบคุณนะที่ซื้อให้หนม ”

“ ไม่เป็นไรครับ กินข้าวกันดีกว่าหนมจะได้กินยาแก้ปวดไง ” พี่ขุนบอกก่อนจะตักแกงเขียวหวานมาใส่จานให้ผม

กับข้าวแต่ละอย่างนี่น่ากินชิบ

ผมนั่งมองของกินตรงหน้าอย่างเป็นสุข มีแต่ของที่ผมชอบทั้งเลยครับ กุ้งเอย แกงเขียวหวานเอย วันนี้มีปลาทอดด้วย พี่ขุนทำทุกอย่างที่ผมบอกว่าอยากกิน ดีจริงๆที่แบบอ่อนเพลียหนักๆมาแล้วได้มากินของที่ชอบแบบนี้ ส่วนเรื่องรสชาติเนี่ยแน่ใจได้เลยครับว่ามันจะต้องอร่อยมาก ยังไงหลังไฟนอลผมก็ต้องพาพี่ขุนไปบ้านให้ได้ แม่ต้องชอบใจที่ลูกเขยทำกับข้าวเก่งแน่ๆเลย

อา....ลูกเขย

พูดเองก็เขินเอง

“ เป็นไงอร่อยไหม ”

ผมพยักหน้ารับ “ อร่อยมาก ” ผมบอกก่อนจะตักแกงเขียวหวานให้พี่ขุนบ้าง

“ อร่อยก็กินเยอะ จะได้อ้วนขึ้นบ้าง เวลาพี่จับมันจะได้เต็มไม้เต็มมือหน่อย ”

“ แค่กก..ก...แค่กก.ก....” ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มหลังจากที่สำลักข้าว “ พูดอะไรของพี่เนี่ย ”

“ พูดความจริงหนิ หนมน่ะผอมเกินไปรึเปล่า นี่ถ้าเจอลมแรงๆหน่อยก็ปลิวไปกับลมแล้ว ”

“ เว่อร์ละ ใครมันจะปลิวไปกับลม ”

“ หนมไง ” เจ้าตัวบอกก่อนจะยิ้มหวาน “ แต่ไม่เป็นไร ถ้าหนมปลิวไปเดี๋ยวพี่ไปตามเก็บกลับมาเอง ”

มึงพูดเหมือนกูเป็นว่าวอ่ะพี่ขุน

ไอ้บ้า

ผมทำหน้ามุ่ยใส่คนตรงหน้าก่อนจะกินข้าวต่อ ผมว่าเราควรกินกันแบบเงียบๆครับเพื่อหลีกเลี่ยงการสำลักอีก แม่ผมเคยไว้ครับว่าเวลากินข้าวเนี่ยะอย่ากินไปพูดไปหรือว่าหัวเราะครับเพราะมันจะทำให้เราสำลักได้ ถ้าโชคร้ายสุดๆนี่ข้าวติดคอตายได้เลยนะ คือแบบเป็นการตายที่อนาถมาก เพราะงั้นก็ควรจะนั่งกินข้าวแบบสงบๆ นั่งดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารไป คือวันนี้ผมก็สำลักยาสีฟันไปแล้วไงนี่ไม่คิดว่าจะมาสำลักข้าวด้วย

ทำไมชีวิตน่าสงสารขนาดนี้ล่ะขนม

ผมนั่งกินข้าวไปด้วยพลางมองพี่ขุนไปด้วย หน้าหล่อๆนี่ใสปิ๊งเลย โคตรผ่อง แม่งสูบคอลลาเจนไปจากผมแน่ๆ แต่เท่าที่ผมส่องตัวเองในกระจกก็หน้าใสอยู่นะ เออจะบอกว่ารอยจูบเนี่ยะเต็มตัวไปหมดเลยครับว่าจะบ่นพี่มันตั้งแต่ในห้องน้ำละแต่ว่าเจอเรื่องเบี่ยงความสนใจไปซะก่อน เออผมต้องบ่นเรื่องที่พี่มันทำโดยที่ไม่สวมถุงด้วย แม่งน่าตีชิบ ถ้ารู้ว่าจะทำเยอะขนาดนั้นทำไมไม่หยิบถุงยางมาสองกล่องวะ

กินข้าวเสร็จก่อนเถอะเดี๋ยวจะบ่นให้หูชา

สังเกตผมพี่ขุนนี่ยาวขึ้นเยอะเลยนะครับ ตรงโคนผมก็มีผมสีดำแซมออกมาแล้ว นี่นึกตอนที่เจอพี่มันครั้งแรกที่โรงอาหารได้เลย ตอนนั้นน่ะพี่มันยังผมดำอยู่ แต่พอวันที่เอาดอกกุหลาบมาให้ผมหัวก็กลายเป็นสีเทาแทน มันเหมาะนะครับไม่ใช่ว่าไม่เหมาะ เพราะพี่ขุนมันผิวขาวไงพอย้อมผมสีเทามันก็ยิ่งขับให้หน้าสว่างขึ้นไปอีก อะไรมันดลใจให้มันมาย้อมผมสีเทาวะ

อยากรู้ต้องถาม

“ พี่ขุน ”

“ ว่าไงครับ เอาข้าวอีกไหม ”

“ เอานิดนึงก็ได้ เออพี่หนมมีเรื่องอยากรู้อ่ะ ”

พี่ขุนตักข้าวเพิ่มให้ผม “ เรื่องอะไรหืม ”

“ ทำไมพี่ถึงย้อมผมสีเทาล่ะ ”

“ อ๋อ คือแม่พี่ชอบน่ะพี่ก็เลยย้อมตามใจแม่ ”

“ งี้นี่เอง แต่นี่ผมพี่ก็ยาวขึ้นเยอะเลยนะ จะไปย้อมใหม่ป้ะ ”

“ ก็ว่าจะย้อมกลับดำอ่ะหรือไม่ก็น้ำตาล เดี๋ยวต้องดูก่อน แต่ที่แน่ๆคือต้องตัดผม ” เจ้าตัวเสยผมไปด้านหลัง “ มันทิ่มตา ”

ช่างเป็นท่าเสยผมที่กร้าวใจจริงๆ

“ พี่ขุนตัดสกินเฮดดิ่ หนมอยากเห็น ” ผมบอกก่อนจะตักกุ้งให้

“ พี่มีรูปสมัยมัธยมด้วยนะที่ตัดสกินเฮดอ่ะ เดี๋ยวพี่เปิดให้ดู ”

ผมนั่งกินข้าวไปเรื่อยๆพลางมองพี่ขุนที่กำลังเปิดรูปในโทรศัพท์ ถ้าคนตรงหน้าหัวเกรียนๆมันจะเป็นยังไงวะ ผมไม่เคยตัดสกินเฮดเลยครับ สมัยมัธยมนี่ตัดอันเดอร์คัตมาตลอด พอมหาลัยก็ปล่อยให้ผมมันยาวเผื่อจะได้ดูเซอร์ๆ แต่ตอนที่ผมเริ่มยาวเนี่ยะไอ้ขันมันบอกว่าผมเหมือนพี่เสก โลโซ คือเลวร้ายมากอ่ะ ผมก็เลยพยายามไม่ปล่อยให้มันยาวมากเกินไป คือถ้าผมม้าทิ่มตาเมื่อไหร่ก็ต้องไปตัดละ

“ นี่ไงครับรูปพี่ ”

ผมรับโทรศัพท์มาดู “ โห ขนาดหัวเกรียนนะเนี่ยะ พี่ดัดฟันด้วยหรอ ”

“ ดัดสิ พี่เพิ่งถอดเหล็กออกตอนเข้ามหาลัยอ่ะ ”

“ งี้นี่เอง พี่นี่หล่อมาตั้งแต่สมัยก่อนเลยเนอะ ”

พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะเอื้อมมือมากุมแก้มผมเบาๆ “ ชมแบบนี้พี่เขินนะ ”

“ ก็มันจริงนี่นา หรือว่าเพราะหน้าพี่หล่อวะ ทำผมทรงไหนก็เลยหล่อ ” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้พี่ขุน

“ พี่ก็ไม่รู้สิ พี่ว่าพี่ยังหล่อสู้พี่ชายพี่ไม่ได้นะ ”

ผมเลิกคิ้วมองคนตรงข้ามทันที “ พี่ชายงั้นหรอ พี่ขุนมีพี่ชายด้วยหรอ ”

“ ใช่ พี่มีพี่ชายกับน้องชาย พี่เป็นลูกคนกลางของบ้านน่ะ ”

เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย

ผมพยักหน้ารับรู้ มือก็ตักกุ้งมากิน ผมนึกว่าพี่ขุนเป็นลูกคนเดียวมาตลอดเลยนะครับเพราะแบบดูจากที่พ่อพี่มันซื้อโน่นนี่ให้ นี่ไม่คิดเลยว่าจะมีพี่น้องแถมยังเป็นผู้ชายหมดเลยด้วย บ้านนี้นี่ลูกชาย 3 คนเลยแฮะ การที่บ้านมีลูกชายล้วนนี่ต้องใช้เงินเยอะมากนะครับผมคิดว่า เพราะแบบผู้ชายอ่ะต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอผู้หญิงไง เวลาแต่งงานอะไรแบบเนี้ยะ อ่าวแล้วแบบนี้พี่ขุนกับผมเป็นผู้ชายแล้วใครจะไปสู่ขอใครอ่ะ แต่ถ้าคิดจากเรื่องเมื่อคืน ผมอ่ะเป็นเมียพี่มัน เพราะงั้นมันต้องมาสู่ขอผมสิ

นี่ผมคิดอะไรอยู่วะ

บ้าบอชิบ


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 22 : 22/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 22-11-2017 21:27:11
---------- ต่อจากบท 22 ----------


“ ส่ายหัวทำไมหืมหนม ”

“ ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ” ผมรวบช้อนไว้กลางจาน “ หนมอิ่มแล้ว ”

“ งั้นก็กินยาซะ จะได้หายปวด ” พี่ขุนส่งยาแก้ปวดมาให้ ผมก็รับยามาก่อนจะรีบกลืนลงคอแล้วกระดกน้ำตามลงไปหลายอึก

เกลียดการกินยาสุดๆเลยให้ตายสิ

“ หนมอยากเอาจานไปล้างให้นะแต่แบบหนมปวดเอวมากเลยอ่ะ ”

“ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่ล้างให้เอง เราอยากย้ายไปนั่งที่โซฟาแทนไหม ”

ผมพยักหน้ารับคำ พี่ขุนก็ลุกขึ้นก่อนจะมาประคองผมให้ลุกตาม โอ้ยยย เหมือนเอวจะหักเลยอ่ะ ผมว่าเดี๋ยวผมจะต้องเริ่มออกกำลังกายบ้างแล้วล่ะครับ อย่างน้อยก็ให้แข็งแรงมากกว่านี้หน่อย เผื่อในอนาคตผมจะต้องโดนอะไรแบบนี้อีกร่างกายผมมันจะได้โอเคมากกว่านี้

อย่างน้อยก็จะได้เดินได้ด้วยตัวเอง

พี่ขุนประคองผมมาปล่อยไว้ที่โซฟาก่อนจะเดินไปเก็บจานไปล้างในครัว ผมก็นั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น ความพ่อบ้านนี่มันดีจริงๆเลยนะ โน่นก็ทำได้นี่ก็ทำได้ หล่อก็หล่อ เรียนก็เก่ง ชีวิตนี่จะดีชิบหายไปไหนวะ คิดยังไงก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆนั่นแหละ ผมว่าช่วงที่พี่ขุนต้องไปตามดูแลน้องช่วงประกวดดาวเดือนนี่จะต้องมีคนมาถูกตาต้องใจมันแน่นอน ผมหวังว่าพี่มันคงจะไม่ไปถูกตาต้องใจใครหรอกนะ

ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นนี่ผมจะทำยังไงดีวะ

ผมไม่ได้คิดจะรับมือกับเรื่องแบบนี้เลย แต่ถ้าสมมุติว่าวันนึงพี่ขุนมันไปเจอคนที่ถูกใจมากกว่าผม ผมก็คงจะปล่อยมันไปอยู่ดี ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆผมคงจะเสียใจมาก แค่คิดนี่ก็หน่วงละ พอๆเลิกคิดเลยขนม อนาคตมันไม่มีอยู่จริงอย่าลืมสิ ผมจะต้องไม่เอาเรื่องที่มันไม่แน่นอนมาบั่นทอนตัวเองเล่น แล้วสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือ ดูแลความรักที่มีให้ดีและก็เชื่อใจกันให้มาก

ผมรักพี่ขุนมากครับและก็จะไม่ยอมเสียมันไปแน่ๆ

“ ทำไมหน้าหน้าแบบนั้นล่ะครับ ” พี่ขุนเดินถือถุงขนมมานั่งลงข้างๆผม “ คิดอะไรอยู่หืม ”

“ คิดเรื่องไม่เข้าเรื่องน่ะ ในหัวนี่งี่เง่ามากเลย ”

“ เรื่องที่คิดเนี่ยะ เกี่ยวกับพี่สินะ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ พี่จะเริ่มไปดูแลน้องๆดาวเดือนเมื่อไหร่อ่ะ ”

“ ก็เริ่มพรุ่งนี้เป็นวันแรก ” มือเรียวหยิบขนมขึ้นมาป้อนผม “ หนมจะไปกับพี่ไหม ”

“ ไม่เอาอ่ะ พี่ทำงานหนิ อีกอย่างเรื่องเก็บตัวดาวเดือนมันไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของหนม ”

“ งั้นก็อดทนหน่อยนะครับ แค่อาทิตย์กว่าๆเอง ”

“ พี่ต่างหากที่ต้องอดทน พี่ทำงานนะหนมไม่ได้ทำอะไรเลย ” ผมหยิบขนมป้อนพี่ขุนบ้าง “ หนมนี่เรียนเสร็จก็กลับไปนอนสบายใจเฉิบที่หอได้ ”

“ น่าอิจฉาจังเลยนะ ” พี่ขุนดึงแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยว

“ มือเลอะขนมน่ะ ”

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะยกมือเช็ดหน้าตัวเอง พี่ขุนก็ทำตาใสเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น กวนตีนชิบ พอเห็นแบบนั้นผมก็ตีไหล่เจ้าตัวไปแรงๆ พี่มันก็ทำหน้าเหวอใส่ผม น่าหมั่นไส้จริงๆนี่ถ้าไม่ติดว่าปวดเอวนะมึงยับแน่พี่ขุน เออพูดถึงปวดเอวก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องสะสาง

“ พี่ขุน ”

“ ครับ ”

“ ทำไมถึงทำต่อทั้งๆที่ถุงยางมันหมดห้ะ ” ผมกระชากคอเสื้อพี่มันมาใกล้ “ อยากตายหรอ ”

“ โหดจัง ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปใกล้ “ กลัวแล้วครับ ”

ผมจ้องใบหน้าหล่อ “ ยังจะมาเล่นอีก บอกหนมมาเลยนะ ”

“ ก็พี่อยากทำอ่ะ แต่หนมไม่ต้องห่วงนะครับเพราะว่าพี่ไม่ได้ปล่อยไว้ข้างในน่ะ ”

ฉ่า

แก้มร้อนเฉยเลยว่ะ

“ เอ่อ....ถึงพี่จะพูดแบบนั้นก็เถอะ ถ้ามีแบบนี้เกิดขึ้นอีกหนมจะโกรธพี่มากเลยนะ ”

“ โอเคครับ เดี๋ยววันหลังพี่จะซื้อถุงยางมาสักสิบกล่อง จะได้ใช้ให้หนำใจไปเลย ” เจ้าตัวบอกก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม

เกลียดสีหน้าเจ้าเล่ห์นี่ชะมัด

ตอนนี้กลายเป็นว่าผมมานั่งอยู่บนตักพี่ขุนเรียบร้อยแล้วครับ พี่มันก็โอบไว้แน่นด้วยนะ คือถ้าผมตอนปกติดีนี่คงดิ้นลงไปได้เรียบร้อยละ เพื่อไม่เป็นการทำให้เอวตัวเองระบมไปมากกว่านี้ผมจะยอมนั่งนิ่งๆ นางอยากกอดให้นางกอดไป ผมหยิบขนมขึ้นมากินพลางคิดถึงช่วงเวลาว่างๆที่มีอันน้อยนิด ผมจะต้องเร่งแต่งนิยายให้ได้ 70% ก่อนไฟนอลครับ คือจะต้องแต่งดองไว้หลายตอนหน่อยเพื่อจะได้มีลงให้อ่านในช่วงที่ผมสอบไฟนอล ตอนนี้ก็ได้ข้อมูลเด็ดอย่าง Nc มาเรียบร้อยแล้วด้วย มันจะเป็นประโยชน์กับผมมากสำหรับแต่งตอนพิเศษ

หวังว่าเหล่ารี้ดคงจะชอบ

ผมตั้งใจว่าจะให้นิยายของตัวเองจบก่อนที่จะมีงานกีฬาสีครับ เพราะว่าผมคงจะยุ่งวุ่นวายกับช่วงนั้นมาก อีกอย่างผมกำหนดบทจบไว้ที่ 35 บท ซึ่งบทที่ลงไปล่าสุดนี่ก็บทที่ 21 ครับ มันเลยครึ่งเรื่องมาแล้วถ้าคิดก็ประมาณ 60% พระเอกกับนายเอกในนิยายผมก็คบกันแล้วเรียบร้อย ส่วนบทต่อๆไปผมก็แค่แต่งตามพล็อตที่วางไว้ อาจจะมีปรับบ้างแต่ว่าเดี๋ยวผมต้องดูอีกทีนึง ช่วงที่พี่ขุนมันไปทำงานดาวเดือนนี่แหละในการปั่นนิยายให้เสร็จไวไว ผมอยากให้นิยายจบสักทีจะได้เอาส่งสำนักพิมพ์ให้เขาพิจารณา

อยากเห็นมันกลายเป็นเล่ม

ตื้อดึ่ง

“ เสียงโทรศัพท์พี่ขุนอ่ะ ”

มือเรียวเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะเปิดเข้าไปในไลน์ “ ใครไลน์มาวะ ”

“ เรื่องงานรึเปล่า ” ผมถามก่อนจะชะเง้อมองจอโทรศัพท์ “ ขุนพลคือใครหรอ ”

“ พี่ชายพี่เองน่ะ ”

“ เค้าบอกว่าจะมาหานี่ ”

ปิ๊งป่องงงง

อย่าบอกนะ

“ แปปนึงนะครับ ” พี่ขุนขยับให้ผมลงจากตักก่อนจะเดินไปเปิดประตู

เชี่ยยยยยย

ผมมองร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้องแบบอึ้งๆ พี่ชายพี่ขุนโคตรหล่อเลยอ่ะ ผิวขาวจัดนั่นได้โดนแดดบ้างไหมวะ ดวงตาคมสีดำมีเสน่ห์ที่ไม่ต่างจากพี่ขุนเท่าไหร่นัก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางนั่นอีก เรือนผมสีดำสนิทถูกเซ็ตอย่างเรียบร้อย สองคนนี้เป็นพี่น้องที่หน้าตาคล้ายกันชิบ แต่ว่าพี่ชายของพี่ขุนดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แถมในมือนั่นก็ถือถุงกระดาษกับเสื้อคลุมสีขาวไว้ ถ้าผมมองไม่ผิดนั่นมัน....เสื้อกราวน์ของคณะแพทย์

เรียนหมอเลยหรอ

“ ขนมนี่พี่พล เป็นพี่ชายของพี่ ” พี่ขุนบอกผมก่อนจะหันไปบอกพี่ตัวเอง “ พี่พลนี่ขนม เป็นแฟนขุนเอง ”

ผมยกมือไหว้พี่พลช้าๆ “ สวัสดีครับ ”

“ สวัสดีครับ ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะนั่งลงที่โซฟาใกล้ๆ “ น่ารักเหมือนที่ขุนไปอวดไว้จริงๆด้วย ”

คำพูดของพี่พลทำให้ผมหันมองพี่ขุนทันที “ อวดงั้นหรอ ”

“ ไม่มีอะไรหรอกครับ ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะนั่งลงข้างผม มันต้องมีอะไรแน่ๆ รอยยิ้มมึงมันมีพิรุธมากเลยนะพี่นะ

“ แล้วนี่เรียนอะไรหืม ”

“ เรียนนิเทศครับ ”

“ รู้จักไอ้หมีไหม ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ รู้จักครับ ” นี่มึงไปทำอะไรพี่พลเขาไว้รึเปล่าวะไอ้หมี หรืออย่าบอกนะว่านี่คือหนึ่งในคนที่มึงหักอกน่ะ ถ้าใช่นี่ผมจะด่ามันว่าโง่เลย

“ หนมกับไอ้หมีมันเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ” พี่ขุนบอกก่อนจะหยิบขนมมากินต่อ

“ งี้นี่เอง งั้นพี่ฝากไปบอกไอ้หมีหน่อยว่า หมอเบลล์บ่นว่าคิดถึงมัน ”

“ ได้ครับ ” ผมยิ้มรับคำฝากบางๆ

หมอเบลล์คือใครวะ

ไอ้หมีไม่เคยพูดถึงคนชื่อหมอเบลล์เลยอ่ะ อาจจะเป็นหนึ่งในบรรดาพี่ๆของมัน ไอ้หมีเนี่ยะมีคนรู้จักทุกคณะเลยนะครับ โดยเฉพาะวิศวะเนี่ยะมันจะรู้จักเยอะมาก และทุกชั้นปีจะต้องมีคนรู้จักมันแน่ๆ แต่แบบผมไม่คิดว่าพี่พลที่เป็นพี่ชายพี่ขุนจะรู้จักมันด้วย แล้วจากการที่เขาเรียกมันว่าไอ้หมีเนี่ยะ แปลว่าก็คงจะสนิทกันในระดับนึงเลย

มึงนี่มันร้ายจริงๆไอ้บ้าหมี

“ ว่าแต่พี่พลกำลังจะไปไหนรึเปล่า ”

“ เข้าวอร์ดตอนเย็นน่ะ กะว่าจะไปโกนหนวดซะหน่อย ”

“ หน้าไม่เห็นจะมีหนวด จะไปจีบคนโกนหนวดก็บอกมา ”

“ อย่ามาทำเป็นรู้ดีน่ะ ” เจ้าตัวบอกก่อนจะส่งถุงกระดาษมาให้ “ พี่แวะมานี่ก็เพราะหมอเบลล์ฝากของมาให้ขุน ”

“ ของอะไรอ่ะ ” เจ้าตัวรับมาเปิดดูในถุงก่อนจะทำตาโต “ เห้ยยยยยยย ”

เห้ยอะไรวะ

“ ชอบเลยสิ ”

พี่ขุนพยักหน้ารับรัวๆ “ ชอบ ฝากบอกพี่หมอเบลล์ว่าขอบคุณครับ ”

“ โอเค งั้นพี่ไปก่อนละกัน วันหลังไปกินด้วยกัน ขนมก็ไปด้วยล่ะ ”

“ ครับ ”

“ งั้นพี่ไปละ ” พี่พลบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ส่วนผมก็ได้แต่โบกมือบ๊ายบายจากด้านหลังโดยที่พี่เขาไม่รู้ตัว ความรู้สึกนี้เหมือนได้อิมเมจพระเอกนิยายเรื่องต่อไปเลยอ่ะ ความหล่อนั้นความหมอนั้น

นิยายที่พระเอกเป็นหมอก็กร้าวใจดีนะครับ

ผมหันมองพี่ขุนที่ดูปลื้มปริ่มกับของในถุงมาก เหมือนกับว่ารอคอยวันนี้มานานมากอย่างนั้นแหละ ด้วยความสงสัยว่าข้างในมีอะไรผมก็เลยแย่งถุงมาจากมือพี่ขุนแล้วก็หยิบมันออกมา สิ่งที่อยู่มือทำให้ผมอึ้งไปแปปนึงเหมือนกัน มันคือกางเกงในครับ เป็นกางเกงในแบบจ็อกสแตรป ที่จะไม่มีด้านหลังอ่ะ คือแบบว่าเวลาที่ใส่มันจะปิดแค่ข้างหน้าอ่ะครับ เป็นกางเกงในโชว์ก้นนั่นเอง แล้วแบบในถุงนี้มีตั้ง 3 ตัว สีเหลือง สีแดง สีดำ

นี่พี่ขุนชอบอะไรแบบนี้หรอวะ

ผมหรี่ตามองพี่ขุนทันที “ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพี่มีรสนิยมแบบนี้น่ะ ” ลองจินตนาการถึงตอนที่พี่มันใส่สิ

อา....พูดไม่ออกจริงๆ

“ คือพี่จะซื้อไปเป็นของขวัญวันเกิดให้ไอ้แกงมัน คือไอ้เกียร์มันอยากเห็นเมียมันใส่น่ะ ด้วยความที่พี่รักเพื่อนไงก็เลยฝากพี่หมอเบลล์หาให้หน่อย ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ งี้นี่เอง หนมก็นึกว่าพี่อยากจะใส่อะไรแบบนี้ซะอีก ”

“ พี่ไม่ใส่หรอก แต่ว่าพี่ก็อยากเห็นหนมใส่นะ ” เจ้าตัวหยิบกางเกงในตัวสีเหลืองขึ้นมา “ เพราะงี้ถึงมีตัวสีเหลืองไง ”

“ ม่ายยยยยยยยย หนมไม่ใส่นะ ” ผมส่ายหน้ารัวๆ

“ ว้า เสียดายจัง ” พี่ขุนทำแก้มป่องใส่ผม “ จะไม่ใส่จริงๆหรอ ”

“ เออไม่ใส่ ”

พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผม “ แบบไม่ใส่พี่ก็ชอบนะ ”

“ พี่ขุนนนนน ”

ผมตีไหล่พี่ขุนรัวๆทันที ทำไมชอบพูดจาแบบนี้ออกมาห้ะ ไม่รู้รึไงว่าคนฟังหัวใจจะวายแล้วก็เขินตัวจะแตกน่ะ เจ้าตัวดูชอบใจมากเลยนะครับที่ทำให้ผมเป็นบ้าแบบนี้ได้ มือเรียวของพี่ขุนรวบมือผมไว้ก่อนจะดึงเข้าไปกอด พี่แม่งร้ายกาจชะมัด พอหลังจากที่ได้กันนี่เหมือนสกิลปากจะอัพขึ้นนะ เดี๋ยวผมจะต้องหาทางกำราบละก่อนที่มันจะเหิมเกริมไปมากกว่านี้

ให้หายปวดเอวก่อนเถอะมึง

“ โอ้ยยย ปล่อยเลยไม่ต้องมากอด ”

“ ไม่ปล่อย ”

“ ปล่อย ”

“ ไม่ ” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมหนักๆ “ แก้มหอมจัง ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หอมแก้มผมอีก

“ อย่าหอมนะ ” ผมพยายามที่จะหันหนีแต่ก็โดนจับคางไว้ “ อื้ออ.อ.อ...เจ็บ ”

“ เจ็บก็อยู่นิ่งๆ พี่จะหอมแก้มแฟนพี่เข้าใจไหม ”

ผมทำหน้าจริงจังใส่ “ ไม่ ”

“ ไม่ให้พี่หอมหรอ ”

“ ใช่ ไม่ให้หอม ”

“ งั้นพี่จูบละกัน ” สิ้นคำริมฝีปากบางก็กดลงมาทาบทับที่ปากผม

ตึกตัก

ผมกระพริบตามองคนตรงหน้าช้าๆ ริมฝีปากที่ประกบอยู่นั่นมันให้ความรู้สึกอุ่นๆ มันรู้สึกดีจนอดใจสั่นไม่ได้จริงๆ ผมไม่รู้ว่านี่เป็นจูบที่เท่าไหร่แล้วสำหรับเรา แต่ว่าทุกครั้งที่ได้รับสัมผัสนี้มันก็ทำให้ผมใจเต้นแรงได้เสมอ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะผู้ชายคนนี้มันดีมากจริงๆนั่นแหละ

ใจบางไปหมดแล้ว

พี่ขุนถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง “ พี่รักเรานะครับ ”

จูบเสร็จแล้วบอกรักนี่มันคืออะไรกันวะ

“ อา.....”

“ แก้มแดงจังเลยล่ะหนม ”

ไม่ต้องมาขำเลยนะ

“ เพราะพี่ขุนนั่นแหละ ”

เพราะพี่คนเดียวเลย




TBC.

ใครที่เล่นทวิตก็ไปหวีดกันได้นะคะ สปอยจะลงที่นั่นบ่อยๆ แฮชแท้กนี้เลย #LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ถ้าชอบคอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าา
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 23 : 23/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 23-11-2017 20:51:03
บทที่ 23 แตกหัก



สองวันแล้วแท้ๆ

ทำไมมันยังไม่หายปวดสักทีล่ะ

งอแงมาก

ตอนนี้ผมกำลังเดินขึ้นตึกเรียนครับ เพื่อนๆเนี่ยะขึ้นไปรอผมอยู่บนห้องกันอยู่แล้ว ไม่รู้ว่านึกครึ้มอะไรถึงได้รีบขึ้นกันจัง ปกติพวกมันจะต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึกคณะไง อยากจะบอกเมื่อวานที่มามอนี่โดนแซวแบบมหาศาลเลยครับ เพราะแบบผมเดินขาจะถ่างหน่อยๆ ก็มันปวดอ่ะจะให้ทำไง นี่ดีแค่ไหนที่เดินได้อ่ะ เพื่อนๆแต่ละคนนี่ก็ไม่มีหรอกจะเข้ามาช่วยพยุง แม่งมัวนั่งหัวเราะกัน

น่าบ้องหูชะมัด

คลาสที่กำลังจะเรียนนี้ผมจะต้องเรียนรวมกับอีกสาขานึงครับ แน่นอนว่าการเรียนรวมนี้จะทำให้ผมเจอกับใครบางคนที่ตัวเองไม่ค่อยชอบใจแน่นอน หลายคลาสละครับที่ผมโดนแขวะแบบงงๆ แต่ผมก็ทำเป็นเมินไม่สนใจไป แม่ผมสอนตลอดเลยนะครับว่าใครจะพูดว่าเรายังไงก็ปล่อยเขาไป ตัวเรารู้ตัวดีที่สุดว่าอะไรมันเป็นอะไร ก็ประมาณว่า....

หมาเห่าอย่าเห่าตอบ

มีหลายครั้งนะครับที่ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาได้ยินอะไรที่ไม่เข้าหูน่ะ ผมก็ต้องบอกตัวเองว่าให้ทำใจร่มๆ และก็ตั้งใจเรียนต่อไป อีกอย่างคือผมมีผู้พิทักษ์ประจำกายอยู่ก็คือไอ้หมีครับ ทุกครั้งที่เกิดการแขวะเนี่ยะไอ้หมีมันจะออกโรงแขวะกลับทันที แถมยังทำหน้ายียวนอย่างกวนตีนด้วย แต่ว่าผมว่ามันก็เหมาะกับพวกชอบแขวะพวกนั้นจริงๆนั่นแหละ ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนก็พบกับมือแขวะอันดับหนึ่งที่หันมองมาทางผมพร้อมกับเบ้ปาก

ผู้หญิงที่เป็นดาวคนสวยของนิเทศ

แก้มใสไงครับ

ผมเหลือบมองเธอแวบนึงก่อนจะหันมองไปทางด้านหลังที่เพื่อนๆนั่งกันอยู่ มือเรียวของไอ้หมีมันโบกมือเรียกผมยิกๆเลยครับ ดูเหมือนไอ้เผือกมันยังไม่มาแฮะ หรือว่ามันไปเข้าห้องน้ำวะ ช่างแม่ง ผมเดินช้าๆเพราะยังปวดเอวอยู่ ในขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านโต๊ะของแก้มใสก็มีประโยคนึงดังขึ้นมา

“ ผิดเพศ ” คนพูดเหลือบมองผมด้วยหางตา ผมชะงักไปทันทีที่ได้ยิน กะว่าจะหันมาเบ้ปากใส่แต่ร่างสูงของเพื่อนรักเดินเข้ามาคล้องคอผมซะก่อน

“ มาช้าจังล่ะหนม ” ไอ้เผือกถามผมก่อนจะหันมองแก้มใส “ มึงนี่เป็นผู้หญิงที่สวยแต่หน้าจริงๆนะ ”

“ มึง ” แก้มใสแผดเสียงใส่ก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที “ เสือกอะไรด้วยห้ะ ”

“ กูต้องถามมึงมากกว่าว่าจะเสือกอะไรกับเพื่อนกูนักหนา เป็นถึงดาวคณะแท้ๆแต่ดูทำตัวสิ กูเห็นแขวะอยู่ได้ทุกคลาสน่ะแขวะจัง เป็นอะไรมากไหม หาหมอดีไหมมึงน่ะสมองดูปัญหานะ ”

“ อร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ”

“ เผือกพอแล้ว ” ผมดึงแขนไอ้เผือกเชิงปราม แก้มใสกรี๊ดดังลั่นเลยครับตอนนี้

“ กูอัดอั้นตันใจมานานละ หมั่นหน้า ถ้ากูเป็นผู้หญิงกูตบมึงปากฉีกไปแล้ว ”

“ ไอ้เผือกพอแล้วววววว ”

“ เพื่อนมึงมันดีอะไรนักหนาห้ะ กูเห็นปกป้องกันจังเลย ”

“ ดีกว่ามึงละกัน ” ไอ้เผือกมันยกยิ้ม “ ไม่งั้นพี่ขุนเค้าขอเพื่อนกูเป็นแฟนหรอ ”

“ อร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ”

อูยยย.ย.ย....หูจะแตก

ผมมองสถานการณ์ที่เริ่มบานปลาย ไอ้พวกเพื่อนที่นั่งกันอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงเชียร์เย้วๆ ไม่คิดจะมาช่วยห้ามหน่อยหรอวะ ไอ้เผือกนี่ก็องค์ลงของจริงเลย ปกติไม่ค่อยจะพูดแต่วันนี้นี่ด่าไฟแลบ แถมยังด่าดาวคณะอีกต่างหาก แก้มใสดูโมโหมากเลยนะครับ หน้านี่แดงลามไปยันหูมือก็กำหมัดแน่น ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบลากไอ้เผือกมาที่โซนด้านหลัง อาจารย์ก็เข้าห้องมาพอดี แก้มใสก็ยอมนั่งลงที่เดิม

โคตรวุ่นวายเลย

ผมนั่งลงข้างไอ้หมี บรรดาเพื่อนๆนี่เชิดชูไอ้เผือกกันใหญ่เลย ไอ้เผือกมันด่าแรงมากเลยนะครับเมื่อกี้น่ะ แต่ว่ามันเองก็คงจะหมดความอดทนจริงๆถึงได้ระเบิดออกมาแบบนั้น ผมก็สะใจอยู่นะเมื่อกี้ แต่ผมคิดว่ามันอาจจะไม่จบแค่นี้แน่ๆ คนอย่างแก้มใสไม่น่าจะยอมอะไรง่ายๆ

หวั่นใจเหมือนกันแฮะ

“ คิดอะไรอยู่วะหนม ” ไอ้ปั้นมันถาม

“ กูคิดว่ามันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ”

“ อย่าไปหยองสิวะ ” ไอ้หมีมันยกมือคล้องคอผม “ มึงมีกูกับไอ้เผือกอยู่มึงจะกลัวอะไร ”

“ กูแค่ไม่อยากให้มันวุ่นวายเฉยๆอ่ะ ”

“ มันวุ่นวายมาสักพักนึงละ ” ไอ้ภีมบอกก่อนจะหาว “ กูก็ไม่เข้าใจแก้มใสเหมือนกันว่าจะแขวะอะไรมึงนักหนา ”

“ กูก็ไม่รู้ว่ะ สงสัยอาจจะเพราะพี่ขุนมั้ง แต่ช่างแม่งเถอะ เรียนกันดีกว่า ” ผมบอกก่อนจะหยิบสมุดเลคเชอร์กับปากกาขึ้นมา

ตอนนี้ประมาณบ่ายกว่าๆ วันนี้ผมเลิกตอนบ่ายสามครับ กะว่าจะแวะไปหาพี่ขุนก่อนแล้วค่อยกลับหอ พี่ขุนเริ่มไปดูแลและทำกิจกรรมกับน้องๆดาวเดือนตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ไอ้เป้มันก็ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรม ส่วนไอ้หมีมันเป็นคนรับผิดชอบงานส่วนนี้ การเก็บตัวดาวเดือนนี้ถ้าไม่มีบัตรสต๊าฟนี่เข้าไปดูไม่ได้นะครับ

เพราะงั้นเดี๋ยวผมต้องไปแอบจิ๊กมา

เมื่อวานหลังจากที่ทำกิจกรรมดาวเดือนเสร็จ พี่ขุนกลับมาที่หอด้วยสภาพที่ดูไร้วิญญาณมากครับ บ่นให้ผมฟังใหญ่เลยว่าน้องๆดื้ออย่างโน้นน้องๆดื้ออย่างนี้ ผมก็ทำได้แค่ปลอบใจแล้วบอกให้ทนๆไป เพราะมันเป็นแค่ช่วงเวลาไม่กี่วันเอง เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็ประกวดแล้ว ผมว่าสอบไฟนอลที่ตามมาเนี่ยะน่าเหนื่อยกว่างานประกวดดาวเดือนอีก เดี๋ยวจะต้องรีบปั่นนิยายเก็บไว้และตัวผมก็จะต้องตั้งใจอ่านหนังสือมากๆ

อา....สู้ๆนะขนม





“ ทำไมสมองกูมันเบลอไปหมดแบบนี้วะ ”

“ กูเห็นสมองมึงก็เบลอทุกคาบอ่ะไอ้หมี ”

“ เออ ให้กูเอาค้อนทุบให้ไหมล่ะ ”

“ ไม่ต้องเลยนะไอ้บ้าเป้....โอ้ยยย กูบอกว่าไม่ต้องไง ”

“ เสียงดังไอ้สัสหมี ”

“ ทำไมมีแต่คนว่าหมีเล่า ”

ก็เพราะมึงมันน่าว่าไงไอ้หมี

ผมเก็บของใส่กระเป๋าพลางมองไอ้หมีที่ยืนเบะปาก เรียนเสร็จแล้วครับ และก็กำลังจะไปหาพี่ขุน เมื่อกี้คุยกันเรียบร้อยละ มีผม ไอ้หมี และก็ไอ้เป้ที่จะไปห้องประชุมที่เขาจัดกิจกรรม ส่วนไอ้พวกที่เหลือจะกลับหอไปนอน เมื่อกี้ตอนที่เลิกคลาสผมเห็นสายตาอาฆาตแค้นของแก้มใสมองมาด้วยครับ รู้สึกเสียวสันหลังยังไงแปลกๆ

ลางสังหรณ์ไม่ดีเลย

“ ไปกันหนม ” ไอ้หมีมันคล้องคอผมไว้

“ คล้องได้แต่อย่าทิ้งแรงโถมมาได้ไหมกูหนัก ”

“ กูไม่เห็นจะหนัก ”

“ คนหนักมันคือกูนี่ไงไอ้ฟาย ”

ไอ้เป้มันเอาค้อนลมตีหัวไอ้หมี “ เออเข้าใจไหมไอ้ฟาย ”

“ มันเจ็บนะ ” ไอ้หมีมันโวยวายใส่ “ เดี๋ยวกูจะเอาเข็มมาเจาะค้อนมึงให้พรุนเลย โอ้ยยยยยย ไอ้เชี่ยเป้ ”

“ พูดมาก วันนี้จะถึงประชุมไหมห้ะ มึงเป็นคนรับผิดชอบนะอย่าลืม ”

“ เพราะมึงนั่นแหละไอ้เป้บ้า ”

“ จะยืนเถียงกันอีกนานไหมวะ ” น้ำลายเต็มหัวกูแล้วเนี่ยะไอ้สัส

ผมเอามือไอ้หมีที่คล้องคอผมออกก่อนจะเดินนำพวกมันออกมา เสียเวลาโคตรๆ คือพวกดาวเดือนเขานัดซ้อมโน่นนี่กันตั้งแต่สี่โมงเป็นต้นไปไงครับ นี่ก็บ่ายสามกว่าละ ถ้าผมไปช้าผมก็จะมีเวลาอยู่กับแฟนผมนิดเดียวไง คือกว่าพี่มันจะเลิกก็ดึกด้วย เมื่อวานพี่ขุนถึงหอเกือบสี่ทุ่ม ตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นไปเรียน มีการปลุกผมให้ขึ้นมาหอมแก้มตัวเองด้วยนะ นางบอกว่าถ้าไม่หอมจะไม่มีกำลังใจเรียน

น่าเบ้ปากใส่ชะมัด

ตอนนี้คนในตึกนี่พลุกพล่านพอสมควรเลยนะครับเพราะเป็นช่วงเลิกเรียน ผมและสองสหายเดินมาถึงห้องประชุมของคณะที่เขาใช้เป็นที่จัดกิจกรรมเก็บตัวดาวเดือนละ ไอ้หมีมันหยิบป้ายสต๊าฟออกมาคล้องคอให้ผม ก่อนจะเป็นพาเข้าไปในห้อง พวกดาวเดือนก็ทยอยกันมาบ้างแล้ว ผมกวาดสายตามองหาพี่ขุนก็เห็นว่าเจ้าตัวกำลังนั่งเล่นเป่ายิ้งฉุบตีมือกับพี่เกียร์อยู่ด้านหลังห้อง

เล่นอะไรเป็นเด็กๆเลยว่ะ

“ โอ้ยยยยย มันเจ็บนะ มึงตีเบาๆไม่ได้รึไง ”

“ อย่ามางอแงว่ะขุน ทีมึงตีกูมือแทบแตกกูยังไม่บ่นเลย ”

“ ก็มึงมันพวกชอบความเจ็บปวดหนิ ” พี่ขุนโวยวายใส่พี่เกียร์ก่อนจะเหลือบมาเห็นผม ใบหน้าหล่อก็ยิ้มหวานขึ้นมาทันที “ ขนม ”

ผมเดินเข้ามาใกล้ร่างสูงที่นั่งอยู่ “ หนมแวะมาหาพี่ขุนก่อนกลับหอน่ะ ”

“ ดีใจจังครับ ” พี่ขุนยื่นมือมาให้ผมดู “ ดูสิหนม ไอ้เกียร์มันตีพี่มือแดงไปหมดแล้ว ”

“ ขี้ฟ้องชิบ ” พี่เกียร์เบ้ปากใส่ก่อนจะตีไหล่พี่ขุนแรงๆ

“ โอ้ยยยไอ้สัสนี่ ” เจ้าตัวหันไปผลักพี่เกียร์จนร่วงเก้าอี้ก่อนจะหันมาทางผม “ พี่เจ็บมืออ่ะ ”

“ แล้วพี่จะให้หนมทำยังไง ”

“ เป่าให้หน่อย ”

“ พี่ขุนนี่จริงๆเลยนะ ” ผมลูบบนหลังมือพี่ขุนที่เป็นรอยแดงก่อนจะยกขึ้นมาเป่าเบาๆ “ โอเคไหม ”

“ หายเจ็บแล้วครับ หนมเก่งจัง ” พี่มันบอกก่อนจะยิ้มหวาน

ผมอมยิ้มมองคนตรงหน้า ผมว่าพี่มันไม่ได้เจ็บอะไรมากขนาดนั้นหรอก ที่ทำไปนั่นก็แค่อยากอ้อนผมเท่านั้นแหละ เอาใจนางหน่อยครับ จะได้ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดี ในห้องนี้มีดาวเดือนคณะของปีก่อนมาคอยดูแลน้องตัวเองก็หลายคณะอยู่นะเท่าที่ผมเห็น แต่ว่าไม่มีไอ้พี่หน้าตี๋ที่ไม่ถูกกับพี่ขุนนะครับ ผมว่าดีละ ขืนไอ้พี่นั่นมันมาพี่ขุนกับมันคงได้ซัดกันแน่ๆเลย แล้วไอ้หมีมันก็อาจจะองค์ลงก็ได้นะ

มันจะเป็นยังไงวะ

คือไอ้หมีมันหน้าที่สำคัญในงานนี้มากเลยนะครับ ถ้ามีคนมาก่อเรื่องวุ่นวายมันเองก็คงจะไม่ปล่อยไปเฉยๆ ผมไม่ได้อยากจะให้มีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นนะ แต่ว่าอีกใจก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะจัดการยังไง ตอนนี้ไอ้หมีมันกำลังเตรียมสคริปกับจัดลำโพงอยู่ครับ สีหน้าดูจริงจังกับงานมากเลย ส่วนไอ้เป้ก็นั่งเป่าค้อนลมอยู่ข้างๆ รายนั้นก็ดูจริงจังกับค้อนลมในมือตัวเองมากเหมือนกัน

“ หนมครับ ”

“ หืม ”

“ ถ้าพี่เลิกกิจกรรมแล้ว ไปกินข้าวมันไก่กันไหมครับ ”

“ ก็ได้นะ หนมจะแต่งนิยายรอที่หอละกัน ” ผมส่งกระเป๋าถือให้พี่ขุน “ เดี๋ยวหนมมานะ ”

“ จะไปไหนอ่ะ ”

“ จะไปเข้าห้องน้ำ ปวดฉี่ ”

“ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม ไม่ใช่สิ ” พี่ขุนชะงักไปนิดนึงก่อนจะยิ้มหวานมองผม “ ให้พี่ไปเป็นแฟนไหม ”

“ ไม่ต้องอ่ะ ” มึงนี่นะ มุขหยอดห้าบาทสิบบาทก็ยังจะเล่น

เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม “ งั้นรีบมานะครับ ”

“ รู้แล้วน่ะ ” ผมบอกก่อนจะเดินออกจากห้องประชุม

พวกดาวเดือนทยอยมากันใกล้จะครบแล้วล่ะครับ ผมดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกสิบนาทีก็จะสี่โมงละ เดี๋ยวเข้าห้องน้ำเสร็จผมก็จะไปเอากระเป๋าแล้วก็กลับหอไปแต่งนิยาย มีเวลาหลายชั่วโมงอยู่กว่าพี่ขุนจะเลิกกิจกรรม วันนี้ผมจะต้องฮึดแต่งให้เสร็จบทนึงให้ได้ ยิ่งรีบปั่นเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เหล่ารี้ดจะได้อ่านกันอย่างไม่ทิ้งช่วงมากนัก

ขอกำลังใจเยอะๆด้วยนะครับ

หลังจากที่ผมเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ ผมก็เดินออกมาเพื่อจะกลับไปที่ห้องประชุม อยู่ดีดีก็มีแรงกระชากจากด้านหลังให้ผมหันกลับไป

เพี้ยะ

“ โอ้ยยยยย ” หน้าผมหันไปตามแรงตบทันที ผมยกมือกุมหน้าตัวเองก่อนจะหันมองคนที่ตบหน้าผม “ แก้มใส ”

มือบางเข้ามาจิกหัวผมอย่างแรง “ คนปกป้องเยอะนักหรอมึงน่ะ ”

“ ปล่อยนะ ” ผมจับข้อมือที่จิกหัวผมและพยายามจะดึงมันออก แต่เจ้าของมือก็จิกแรงขึ้น

“ กูรอวันนี้มานานนะมึงรู้ไหม ลากมันมานี่ ” สิ้นคำของแก้มใส เพื่อนของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆก็เข้ามารั้งตัวผมก่อนจะลากเข้ามาในห้องน้ำหญิง ผมพยายามจะต้านแรงแต่ก็สู้ไม่ได้เพราะว่าอาการปวดที่เอวกับสะโพก

“ ปล่อย ทำแบบนี้ทำไมวะ ” จะสะบัดแขนออกแต่ก็โดนพวกเพื่อนๆของเธอจิกไว้แน่นจนเลือดซิบ

มือบางเลื่อนมาบีบแก้มผมแรงๆ “ ยังจะมีน้ำหน้ามาถามอีกหรอห้ะ มึงแย่งพี่ขุนไปจากกู ”

“ กูไม่เคยแย่งใคร ” ผมตอกกลับในทันที “ กูไม่ใช่มึงนะ ”

“ อีหนม!!!!! ” เล็บคมๆจิกลงที่แก้มผม

“ ตบมันเลยแก้ม ”

“ เออ ตบให้หน้าแหกไปเลย ”

“ ก็เอาสิ ” ผมเหยียดยิ้มก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างสมเพช “ ยังไงพี่ขุนเค้าก็ไม่มีทางรักมึงแน่นอน เพราะเค้ารักกู และก็เป็นของกู ”

“ พี่ขุนเป็นของกู!!! ” แก้มใสตวาดลั่นก่อนจะสะบัดมือใส่หน้าผมอย่างแรง

ซี๊ดด..ด...ปากแตกแน่เลยว่ะ

ผมเบี่ยงหน้าหลบมือแก้มใสไปเรื่อย เธอก็พยายามตบผมอยู่แบบนั้น อีสองคนที่ล็อคผมอยู่นี่ก็แรงเยอะชิบหาย ผมพยายามดึงแขนออกแรงๆ เล็บยาวๆของพวกเธอก็ข่วนเต็มแขนผมไปหมด เมื่อมือผมเป็นอิสระผมยกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเองไว้ ไอ้สัสเอ้ยนี่ถ้าไม่ปวดเอวนี่วิ่งหนีไปละ ด้วยความที่ร่างกายผมไม่เอื้ออำนวยผมก็ต้องทำได้แค่ยกแขนกันไว้เพื่อทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด

ใครก็ได้มาช่วยหน่อยโว้ยยยย

ชาไปทั้งแขนแล้ว

“ นี่ทำอะไรกันน่ะ ” เสียงหวานดังแว่วเข้ามา “ หยุดเดี๋ยวนี้นะ ” ร่างบางเข้ามาผลักแก้มใสที่กำลังกระหน่ำตีผมออกไปก่อนจะเอาตัวเองมากั้นกลาง

ผมยกมือจับเอวตัวเองด้วยความปวด มืออีกข้างก็ยันผนังห้องน้ำไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองทรุด ตามแขนผมนี่มีเลือดซิบตรงรอยข่วนเต็มไปหมดเลยว่ะ ผมมองคนที่เข้ามาช่วยหยุดแก้มใส ร่างบางเจ้าของผมลอนสีน้ำตาลสวย ผมคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดีเพราะเธอเป็นแฟนของพี่สาวผม

เจ้าขา

“ มึงมาเสือกอะไรด้วยห้ะ นี่เรื่องของกูกับมัน ”

“ เราจะไม่ยุ่งเลยถ้าคนที่เธอตบไม่ใช่เพื่อนของเรา ” เสียงหวานตอบกลับอย่างจริงจังก่อนจะเหลือบมองผม “ ไม่เป็นอะไรนะขนม ”

“ ปวดเอวมากเลยอ่ะ ”

“ ตอนแรกกูว่าจะตบแค่มัน ตอนนี้กูตบมึงด้วยละกัน ” แก้มใสง้างมือจะตบเจ้าขา แต่เธอรับทันก่อนจะบิดข้อมือแก้มใสแล้วรั้งเข้ามาใกล้ “ โอ้ยยยย อีบ้า กูเจ็บนะปล่อยเดี๋ยวนี้ ”

“ อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นเราหักแขนเพื่อนของเธอแน่ ” เจ้าขาขู่เพื่อนของแก้มใส

“ ปล่อยกูนะอีบ้า ”

“ เธอต้องขอโทษขนมก่อน ”

“ กูไม่ขอโทษ....โอ้ยยยยย ”

“ เธอทำตัวไม่น่ารักเลยนะ ” เจ้าขาผลักแก้มใสอย่างแรงจนไปกระแทกกับขอบอ่างล้างหน้า “ ไปซะ ไม่งั้นเราจะหักแขนเธอจริงๆ ”

“ หึ้ยยย.ย....ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ” แก้มใสตวาดลั่นก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องน้ำพร้อมกับเพื่อนๆของเธอ

ผมค่อยๆทรุดตัวนั่งลงกับพื้นห้องน้ำช้าๆ ไม่น่าปวดเอวเลยจริงๆ ถ้าเป็นผมในตอนปกติผมต้องสู้แรงผู้หญิงพวกนี้ได้แน่ แต่นี่แบบโอ้ยยย..ย....ปวดเอวมากครับตอนนี้ คือขนาดเดินเองยังแบบมีเซเลยอ่ะแล้วโดนตบแบบเนี้ยจะเอาแรงตรงไหนไปสู้วะ อีกอย่างคือแก้มใสเป็นผู้หญิงด้วยไง คือถ้าเป็นผู้ชายผมก็คงฮึดสู้อยู่หรอก เพราะออกแรงต้านตอนโดนดึงเข้ามาในห้องน้ำนี่แหละเอวผมเลยระบม ดีนะที่เจ้าขาเข้ามาช่วยไว้ได้

ไม่งั้นสภาพคงจะเละกว่านี้เยอะ

“ เจ็บมากเลยสินะ ” เสียงหวานเอ่ยถามก่อนจะลูบเบาๆตามรอยข่วน “ เลือดซิบเลยอ่ะ จิตใจพวกนั้นทำด้วยอะไรก็ไม่รู้ ”

“ ขอบใจเจ้าขามาเลยนะที่มาช่วยเราอ่ะ ”

“ ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว ” เธอบอกก่อนจะยิ้มหวานให้ผม “ เมื่อกี้เราเห็นหนมอยู่ในห้องประชุมหนิ มาหาพี่ขุนศึกใช่ไหม ”

“ ใช่ นี่แค่จะแวะมาเข้าห้องน้ำน่ะ แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ”

“ ดีนะที่เรามาเจอน่ะ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มาเจอให้เร็วกว่านี้ ”

ผมยิ้มบางๆให้ “ แค่เจ้าขามาช่วยก็ดีแล้วล่ะ ”

“ ลุกไหวไหมเดี๋ยวเราช่วยพยุงนะ ” ร่างบางค่อยๆประคองผมให้ลุกขึ้นก่อนจะพาเดินมานั่งตรงเก้าอี้หน้าห้องน้ำ “ รอเราก่อนนะเดี๋ยวค่อยกลับไปห้องประชุมพร้อมกัน ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ โอเค ”

เจ้าขาเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมยกแขนตัวเองขึ้นมามอง ถ้าพี่ขุนเห็นสภาพของผมจะเกิดอะไรขึ้นนะ เจ้าตัวคงจะโมโหมากแน่ๆเลยที่ผมโดนแก้มใสตบ จะเลี่ยงไม่เจอพี่ขุนเลยก็ไม่ได้อีก กระเป๋าผมเองก็อยู่ห้องประชุม โทรศัพท์ก็อยู่ในกระเป๋าอีกทีนึง ผมว่ากลัวถ้าพี่ขุนเห็นมันจะระเบิดลงใส่แก้มใส อาจจะเสียงานเสียการเลยก็ได้ สิ่งที่แก้มใสทำกับผมนี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากและก็ผิดกฎมหาลัยร้ายแรงด้วย

ผมควรบอกท่านอธิการบดี

ท่านอธิการบดีของมหาลัยนี้คือคุณลุงสำราญ ท่านเป็นเพื่อนของพ่อผม เรื่องนี้ไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องบอกท่าน ผมไม่ยอมโดนตบฟรีแน่ๆ นี่แจ้งความได้ด้วยนะข้อหาทำร้ายร่างกายอ่ะ ผมมีหลักฐานคือรอยแผลบนตัวและมีเจ้าขาเป็นพยาน ฝ่ายผมก็ไม่ได้มีการตอบโต้ด้วย เรื่องนี้แก้มใสผิดเต็มๆ เธอควรโดนปลดจากตำแหน่งดาวคณะผมด้วย คนแบบนั้นไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้หรอก

คนที่ดีพร้อมมากกว่ามีเยอะแยะเอาจริงๆ

แต่ก่อนอื่นผมควรจะทำยังไงกับตัวเองในตอนนี้ดีวะ ใจผมยังไม่อยากให้พี่ขุนเห็นครับ จะให้วานให้เจ้าขาไปหยิบกระเป๋ามาให้พี่ขุนก็คงต้องถามแน่ๆ พวกเพื่อนๆถ้ารู้เรื่องนี้ก็คงหัวเสียไม่น้อย แต่ที่น่ากลัวสุดคือไอ้ขันครับ ผมจะทำยังไงให้มันไม่เห็นผมในสภาพนี้ได้ จริงอยู่ว่าตึกวิศวะกับตึกนิเทศมันไกลกันมาก ไอ้ขันมันไม่มีทางจะหลงเดินมาได้แน่ๆ แต่ถ้ามันอยากเจอผมแล้วเรียกไปหาล่ะผมจะแถยังไงและอีกอย่าง....

ความบังเอิญมันเกิดขึ้นได้เสมอ

หวั่นใจเรื่องนี้ที่สุดเลย


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 23 : 23/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 23-11-2017 20:52:11
---------- ต่อจากบท 23 ----------



“ ไปกันเถอะหนม ” เจ้าขาเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะค่อยๆพยุงผม

“ ซี๊ดด.ด....” ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องปวดอะไรขนาดนี้วะ ปวดอย่างกับไปออกรบมาแน่ะ

“ น้องหนม ”

เสียงนี้มัน.....

เจ้าขาหันไปมองตามเสียงเรียกด้านหลัง “ อ่าว....พี่แช่มพี่ขัน มาทำอะไรที่นี่คะ ”

ช่วยบอกผมทีว่าเจ้าขาไม่ได้พูดถึงชื่อไอ้ขัน

ชิบหายละหนมเอ้ย

“ พวกพี่แวะมาเรื่องกิจกรรมดาวเดือนนี่แหละ แล้วหนมเป็นอะไรรึเปล่าทำไมต้องพยุงกัน ” พี่แช่มถาม

“ หนม....คือว่าสะดุดแล้วขาพลิกนิดหน่อยน่ะครับ ไม่มีอะไร ”

“ มึงนี่มันเซ่อจริงๆ ” ไอ้ขันมันบอก “ ที่แขนมึงมันรอยอะไร ”

ผมรีบยกมือขึ้นกอดอกทันที “ กูซุ่มซ่ามไปโดนอะไรข่วนไม่รู้ ”

“ งั้นหรอ ” เสียงเรียบเอ่ย ก่อนที่จะมีแรงกระชากให้ผมหันไปด้านหลัง “ นี่มันอะไรเนี่ยะ ”

ผมยืนจับเอวตัวเองมองไอ้ขันนิ่งๆ ที่มันกระชากเมื่อกี้นี่ปวดจี๊ดขึ้นมาเลย จับกูหันดีดีก็ได้ไหมล่ะ ไอ้ขันมันไล่มองผมตั้งแต่หน้าลงไป มือหนาเลื่อนขึ้นมาแตะแผลรอยจิกที่หน้าผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาลูบตามรอยข่วนที่แขน ดวงตาดูสั่นๆแถมสันกรามขบกันแน่นอีกต่างหาก ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ ผมว่ามันกำลังโกรธอยู่แน่ๆ

ชิบหายหนักเลยคราวนี้

“ ใครเป็นคนทำ ”

“ คือ......” ผมอึกอัก ถ้าบอกว่าแก้มใสทำมันต้องคิดว่าเพราะเรื่องของพี่ขุนแน่ๆ เพราะมันเคยเห็นแก้มใสไปโวยวายใส่พี่ขุนเรื่องผมมา

“ กูถามว่าใครทำไงขนม ” ไอ้ขันมันเริ่มเสียงดัง

พี่แช่มดึงแขนปราม “ ใจเย็นก่อนไอ้ขัน ”

“ จะให้กูเย็นได้ไงวะ น้องกูทั้งคน ” ไอ้ขันสะบัดมือออกจากพี่แช่มก่อนจะมองผมด้วยสายตาจริงจัง “ บอกกูมาว่าใครทำมึง ”

“ แก้มใสเป็นคนทำกู ”

“ แก้มใส....ที่เป็นดาวนิเทศงั้นหรอ ” ไอ้ขันมันกำหมัดแน่นก่อนจะเค้นหัวเราะ “ เมียเก่าไอ้ขุนสินะ ”

“ พี่ขุนไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยนะ ”

“ มันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับกู มันบอกว่ามันจะดูแลมึงให้ดีมันจะปกป้องมึง แต่มึงก็มีสภาพแบบนี้จนได้ ”

“ ไอ้ขัน....”

“ กูเคยพูดไว้เองว่ากูจะกระทืบมันเพราะงั้น.....” พอไอ้ขันมันพูดจบมันก็รีบเดินไปห้องประชุม

ผมเห็นแบบนั้นก็จะวิ่งตามแต่ก็ทรุดลงกับพื้นไปซะก่อน พี่แช่มกับเจ้าขาก็เข้ามาประคอง ไอ้ขันมันเข้าไปในห้องประชุมแล้วอ่ะ พอเห็นแบบนั้นพวกผมก็รีบตามเข้ามาทันที ไอ้ขันมันเดินเข้าไปท่ามกลางพวกดาวเดือนที่นั่งกันอยู่ก่อนจะไปหยุดที่ตรงหน้าที่ขุนแล้ว....

พลั่ก

“ เห้ยยยยยยย ”

“ โอ้ย....พี่ขัน ” พี่ขุนเซไปตามแรงต่อยก่อนจะหันมองไอ้ขันอย่างไม่เข้าใจ “ นี่มันอะไรอ่ะพี่ ”

ไอ้ขันกระชากคอเสื้อพี่ขุนเข้ามาใกล้ “ มึงยังจะกล้าถามอีกหรอว่าอะไร เพราะมึง มึงทำให้น้องกูเป็นแบบนั้น ” ไอ้ขันมันตวาดใส่ด้วยความโมโห

“ ไอ้ขันอย่า....”

“ มึงไม่ต้องมายุ่งเลยไอ้หนม ” มันหันขวับมาบอกผมก่อนจะหันมองพี่ขุน “ มึงผิดคำพูดที่ให้ไว้กับกู ”

พลั่ก

ไอ้ขันซัดหน้าพี่ขุนอีก พวกพี่เกียร์ พี่แช่ม ไอ้เป้กับไอ้หมีก็พยายามที่จะไปแยกสองคนนั้นออกจากกัน ในห้องตอนนี้ชุลมุนวุ่นวายมากครับ ไอ้ขันมันประเคนหมัดใส่พี่ขุนไม่ยั้ง ส่วนพี่ขุนก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นกันไม่ได้สวนกลับไป ไอ้ขันมันเห็นว่าพี่ขุนกันส่วนหัวไว้มันก็ต่อยเข้าที่กลางตัวแทน ไอ้พวกที่เข้าไปห้ามนี่สู้แรงไอ้ขันกันไม่ได้สักคนเลยหรอวะ

วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว

“ ไอ้ขันหยุด ”

“ หยุดก่อนพี่ขัน ” ไอ้เป้มันรั้งแขนไอ้ขันไว้แต่ก็โดนสะบัดออก

“ ไอ้ขันหยุดได้แล้ว ” ผมตะโกนบอก

“ เอายังไงดีล่ะขนม มันวุ่นวายไปหมดแล้ว ” เจ้าขาถามก่อนจะเหลือบไปเห็นแก้มใสที่กำลังอัดวิดีโออยู่ “ นี่หยุดนะ ” โทรศัพท์ของแก้มใสถูกเจ้าขาคว้ามาก่อนจะปากับพื้นจนแตกกระจายทันที

“ นี่มึงกล้าดียังไงห้ะ!!!!!!! ”

“ ต้นเหตุมันเพราะเธอแท้ๆ ยังไม่สำนึกแล้วทำตัวแบบนี้อีก ”

“ อีบ้านี่ ” แก้มใสง้างมือจะตบเจ้าขาแต่เจ้าขาชิงตบแก้มใสได้ก่อน แรงตบทำให้แก้มใสล้มลงไปกองกับพื้น “ โอ้ยยยยยย ”

“ เพื่อนๆช่วยจับหน่อยนะ ” เจ้าขาบอกบรรดาดาวเดือนคนอื่น พวกดาวก็มาจับแก้มใสไว้

“ ปล่อยนะ ปล่อยกูนะอีพวกบ้า ”

ไอ้หมีมันมองสถานการณ์วุ่ยวายตรงหน้าอย่างหงุดหงิด ไอ้ขันมันยังไม่หยุดซัดพี่ขุนเลยครับ ใครที่เข้าไปห้ามก็โดนลูกหลงไปตามๆกัน ไอ้เป้นี่ปากแตกอ่ะ โดนศอกไอ้ขันไป ผมว่าผมควรเข้าไปห้ามเพราะอย่างน้อยผมก็เป็นน้องมัน มันคงไม่ทำให้ผมเจ็บตัวแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เลยค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะดึงเสื้อไอ้ขัน

“ พอแล้วไอ้ขัน ” ผมตะโกนห้ามเสียงดัง

“ อย่ามายุ่ง ”

“ กูบอกว่าให้มึงพอไง ” ผมจับแขนมันที่กำลังง้างอยู่ไว้

“ กูบอกว่าอย่ามายุ่ง ” มันบอกก่อนจะสะบัดออกจนผมเซไปกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ

โอ้ยยยยย เอวพังของจริงเลยงานนี้

ไม่น่าหาเรื่องเจ็บตัวเพิ่มเลยหนมเอ้ย

“ ไอ้หนม ” ไอ้หมีมันเห็นผมทรุดลงกับพื้นก็รีบเข้ามาดู “ มึงเจ็บไหม ”

“ กูปวดเอวอ่ะมันกระแทกเมื่อกี้มันก็ยิ่งเจ็บ ”

“ จิ๊....แม่งเอ้ย ” ไอ้หมีมันสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเข้าไปรั้งตัวไอ้ขันออกมาจากพี่ขุนอย่างแรง พวกที่เห็นว่าพี่ขันเสียหลักไปก็รีบดึงพี่ขุนให้ออกห่าง ไอ้หมีมันเดินเข้ามากั้นอยู่ตรงกลาง ไอ้ขันมันไม่ได้สนใจ ตั้งท่าแต่จะใส่พี่ขุนอีกครั้ง

เพี้ยะ

“ นี่มึงกล้า....”

เพี้ยะ

ผมมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ไอ้หมีมันตบไอ้ขันครับ ตบไอ้ขันไปสองที มีเลือดซึมออกมาจากมุมปากไอ้ขัน เจ้าตัวเองก็มองไอ้หมีแบบคาดไม่ถึงเหมือนกัน สถานการณ์ที่ชุลมุนเมื่อกี้ก็ตกอยู่ในความเงียบทันที ไอ้หมีมันมองไอ้ขันนิ่งๆ แววตาเย็นชาแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ มือหนาของไอ้ขันยกขึ้นแตะที่มุมปากตัวเองเบาๆ ต้องแรงเยอะขนาดไหนถึงจะตบให้ปากแตกได้ด้วยหลังมือ

ไอ้หมีไม่ธรรมดาจริงๆ

“ รู้ว่าโมโห รู้ว่าโกรธมาก ” ไอ้หมีเอ่ยเสียงเรียบอย่างจริงจัง “ แต่จะทำอะไรก็คิดถึงฐานะของตัวเองซะบ้าง ”

“ นี่มึง ”

“ ออกไปซะ ”

พี่แช่มรีบเดินเข้าไปดึงแขนไอ้ขัน “ ไปเถอะขัน ”

“ มันไม่จบแค่นี้หรอกนะ ” ไอ้ขันเหลือบมองผมกับพี่ขุน “ ยังไงกูจะทำให้มึงสองคนเลิกกันให้ได้ ” มันเอ่ยอย่างจริงจังก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม

ไอ้หมีมันหันไปมองแก้มใสที่โดนจับอยู่ “ มึงก็ออกไปซะ มึงไม่ใช่ดาวของนิเทศอีกต่อไป ”

“ มึงมีสิทธิ์อะไรมาไล่กูห้ะ ”

“ มึงเลือกเอาว่าจะไปดีดีหรือให้กูโยนออกไป ”

“ อร้ายยยยยยยยยยยยยยยยย ” แก้มใสกรี๊ดลั่นก่อนจะสะบัดจนหลุดจากการจับ “ กูไม่ยอมพวกมึงหรอกนะ มึงเจอกูแน่ ” เธอแผดเสียงใส่ก่อนจะเดินสะบัดออกไปทันที

 ผมค่อยๆคลานเข้ามาหาหาพี่ขุนที่นั่งทรุดอยู่ ใบหน้าหล่อมีรอยช้ำเต็มไปหมดแถมยังปากแตกด้วย มือเรียวของพี่มันยกขึ้นมาลูบเบาๆบนรอยจิกที่แก้มผม ดวงตาคมมีน้ำตาคลอ พอผมเห็นแบบนั้นผมก็ยกมือขึ้นไปเช็ดมันออก ผมไม่อยากให้มันต้องมาเสียน้ำตาให้ผม ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกผิดมากที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพแบบนี้ ไอ้ขันแม่งก็ต่อยไม่ยั้งเลย รอยช้ำบนหน้าพี่มันจะหายทันวันงานประกวดไหมก็ไม่รู้

“ พี่ขอโทษนะหนม ” มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมไว้แน่น

“ มันไม่ใช่ความผิดของพี่หรอก ”

“ พี่ปกป้องหนมไม่ได้ พี่ทำให้หนมต้องเจ็บตัว ”

“ ไม่มีใครปกป้องใครได้ตลอดเวลาหรอกจริงไหม หนมต่างหากที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ ” ผมยกมือขึ้นไปลูบแก้มพี่ขุนเบาๆ “ เพราะงั้นอย่าโทษตัวเองเลย ”

“ แต่ว่า....”

“ ไม่มีแต่....”

ไอ้หมีมันเดินมานั่งลงข้างๆผม “ สภาพไม่ค่อยต่างกันเลยนะตอนนี้น่ะ ”

“ กูขอโทษนะหมีที่ทำให้งานของมึงมันวุ่นวายแบบนี้ ” ผมเอ่ยบอกมันอย่างรู้สึกผิด

“ ช่างแม่งเหอะว่ะ ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องนี้อยู่ละ แล้วมึงจะเอายังไงกับแก้มใสต่อวะหนม ”

“ กูจะบอกอธิการบดี ”

“ ไม่ได้ ” ไอ้หมีมันสวนทันควัน “ มึงอย่าลืมว่าไม่ได้มีแค่แก้มใสที่ตบมึง แต่มันมีพี่ขันที่มาต่อยพี่ขุนด้วย ”

จริงด้วยว่ะ

ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย

ถ้าเรื่องที่แก้มใสตบผมถึงอธิการบดี เรื่องที่ไอ้ขันต่อยพี่ขุนก็คงจะถึงเหมือนกัน แก้มใสอาจจะบอกตอนที่โดนสอบแน่ๆ ห่าขันเอ้ย แม่งไม่น่าใจร้อนเลย กลายเป็นว่าจะเอาเรื่องก็เอาเรื่องไม่ได้ไปละ คือถ้ามีการทะเลาะวิวาทเนี่ยะเขาจะตัดคะแนนวินัย 30 คะแนน ถ้าโดนตัดครบ 40 คะแนนจะโดนพักการเรียนครับ ผมไม่รู้ว่าไอ้ขันมันโดนตัดคะแนนไปบ้างไหม แล้วที่สำคัญคือถึงแม้ว่าการรับน้องจะผ่านไปแต่ตำแหน่งเฮดว้ากก็ค้ำคอมันอยู่ คือถ้ามันโดนเรื่องวินัยก็ลำบากแน่ๆ

ไหนจะป๊ากับแม่อีก

ผมไม่อยากให้พวกท่านรู้เรื่องพวกนี้เลยจริงๆ

“ งั้นเอางี้ไหมหนม เดี๋ยวกูจะบอกคณบดีของนิเทศว่าให้ปลดแก้มใสออกจากตำแหน่งดาวคณะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจัดการเรื่องนี้เอง ส่วนเรื่องพี่ขันกับพี่ขุนขอให้จบแค่นี้นะ ”

“ เอาสิ กูก็ไม่อยากมันบานปลายไปมากกว่านี้แล้ว แต่แก้มใสยังไงก็ต้องปลดนะ เธอไม่เหมาะจะเป็นดาวของคณะเรา ”

“ เออโอเคงั้นตามนี้ ” หมีมันเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผม “ พี่ขันยังอยู่ข้างนอกนะ ออกไปหาหน่อยไหม ”

“ เออเดี๋ยวกูออกไป ” ผมบอกมันก่อนจะหันมามองพี่ขุน “ เดี๋ยวหนมมาแปปนึงนะ พี่เกียร์ช่วยทำแผลให้พี่ขุนหน่อยนะครับ ”

“ หนมจะไปไหนอีก ” มือเรียวจับมือผมไว้แน่น

“ คือไอ้ขันมันรออยู่หน้าห้องน่ะ ”

“ พี่เข้าใจแล้ว ” พี่ขุนยอมปล่อยมือ “ รีบมานะ ”

“ ครับ....ไอ้หมีมึงพยุงกูไปตรงประตูหน่อย ” พอผมพูดจบไอ้หมีมันก็พยุงผมมาตรงประตู

ผมแง้มม่านที่ปิดประตูเพื่อดูไอ้ขัน มันนั่งอยู่กับพี่แช่มครับในมือมีกล่องยาด้วย มันคงไปเอามาจากไหนสักที่ ที่นั่งอยู่นั่นคือจะรอทำแผลให้ผมสินะ ไอ้หมีมันเปิดประตูให้ผมเดินออกไป พอพี่แช่มเขาเห็นผมเดินเดี้ยงมาก็รีบเข้ามาประคองไปนั่งลงข้างๆไอ้ขัน ผมมองหน้ามันนิ่งๆ ก่อนจะยกมือแตะมุมปากมันเบาๆ

“ เจ็บมากไหมวะ ”

“ เจ็บใจมากกว่า ” มันเปิดกล่องยาก่อนจะเริ่มทำแผลให้ผม

“ มึงไม่น่าใจร้อนเลยขัน....โอ้ย....เบาๆสิ ”

“ ถ้าไม่มีคนห้ามนะ มันตายห่าไปละไอ้ขุนน่ะ ”

“ ทำไมมึงต้องไม่ชอบพี่ขุนถึงขนาดนี้ด้วยวะ ”

“ กูไม่ชอบคนเจ้าชู้มึงก็รู้ ”

“ แต่มันก็เลิกเจ้าชู้แล้วนะ เรื่องของแก้มใสน่ะก็เคลียร์กันไปหลายรอบแล้วแต่เธอก็ไม่ยอมจบเอง พี่ขุนไม่รู้เรื่องวันนี้เลยนะ ”

“ มึงพูดแบบนี้มึงอยากให้กูเข้าไปขอโทษมันงั้นสิ ” ไอ้ขันเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย

“ เปล่า ” ผมเอาสำลีชุบน้ำขึ้นไปเช็ดมุมปากมัน “ กูจะขอบคุณมึงต่างหากที่เป็นห่วงกูมากขนาดนี้ ที่กูพูดไปก็แค่อยากมึงฟังไว้ส่วนมึงจะคิดยังไงมันก็เรื่องของมึง ”

ไอ้ขันมันมองผมนิ่งๆ ก่อนจะลงมือทายาทำแผลให้ผมเงียบๆ ถ้าตัดเรื่องที่มันชอบกวนตีนและชอบแกล้งผมออกไปมันก็เป็นพี่ชายที่ดีนะครับ ตอนเด็กๆผมซนมากจนได้แผลประจำก็มีมันนี่แหละที่คอยทำแผลให้ เวลากินข้าวที่บ้านผมไม่ชอบอะไรมันก็จะเอาไปกินแทน ส่วนของที่ผมชอบมันก็จะตักมาให้ กุ้งมันก็เป็นคนแกะให้ผมตลอด ผมรู้ว่ามันเป็นคนที่เป็นห่วงผมมากกว่าใครแค่มันจะแสดงออกมาในวิธีของมันเท่านั้น

“ เสร็จละ ” มันเก็บของใส่กลับกล่องยา “ กูไปล่ะ ”

ผมดึงชายเสื้อช้อปมันไว้ “ เดี๋ยว.....”

“ อะไร ”

“ ขอบคุณ ”

“ หึ....” มันหันมามองก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผม “ มันเป็นเรื่องที่กูต้องทำอยู่แล้วถูกไหม....กูเป็นพี่ชายมึงนะ ” ไอ้ขันมันคลี่ยิ้มบางก่อนจะเดินไปพร้อมพี่แช่ม

“ เหมือนไม่ได้คุยกันดีดีมานานมากเลยว่ะ ”

“ เพิ่งรู้หรอ ”

ผมหันขวับไปตามเสียงก็พบไอ้หมีที่โผล่หน้าออกมาดู “ ไอ้หมี มึงมาก็ดีละเอาซากกูกลับเข้าไปในห้องหน่อย ”

“ ได้เบยครับเพื่อนหนม ” ไอ้หมีมันเข้ามาประคองผม “ เออหนม พี่ขันเค้าเจ็บมากไหมวะ ”

“ มันบอกว่าไม่นะ ว่าแต่มึงนี่ก็ตบแรงเหมือนกันนะ ล่อซะปากแตก ”

“ ถ้ากูไม่ทำแบบนั้นกูก็หยุดเค้าไม่ได้น่ะสิ อยู่ยากแล้วล่ะกูน่ะ ”

ผมนึกถึงตอนที่ไอ้หมีมันตบไอ้ขัน สีหน้ามันนิ่งมากเลยนะครับ เดาไม่ได้เลยว่าคิดอะไรอยู่ มันเย็นชามากๆ คิดๆดูไอ้หมีคงจะหน่วงใจไม่น้อยที่ต้องทำอะไรแบบนั้น มันต้องตบคนที่มันชอบมากเลยนะ ส่วนไอ้ขันก็คงไม่ชอบไอ้หมีหนักเข้าไปใหญ่เลยเพราะไปตบมัน เรื่องของสองคนนี้คิดยังไงก็วุ่นวายใจจริงๆว่ะ

“ โอ้ยยยไอ้สัสหมีเบาๆ ”

“ แฮะๆ ลืมไปว่าเพื่อนเดี้ยง ”

“ ตัวเดี้ยงแต่ปากกูยังด่ามึงได้นะ ” เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยไอ้บ้า

ปวดเอวหนักกว่าเดิมเลยให้ตายสิ











TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 23 : 23/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-11-2017 21:05:07
 :a5:

รุ่นแรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 24 : 25/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-11-2017 20:12:58
บทที่ 24 ความเชื่อใจ



ผ่านไปหลายวันแล้ว

รอยข่วนยังไม่หายเลย

เห็นละหงุดหงิดชิบ

ผมนั่งแต่งนิยายอยู่ที่หอคนเดียว ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม พี่ขุนยังไม่กลับมาเลยครับ จากวันที่ทะเลาะกันนี่ก็ผ่านไปจะอาทิตย์นึงละ อีกสองวันจะเป็นการประกวดดาวเดือน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผมแต่ว่าต้องไปช่วยเตรียมงานแล้วก็เช็คพวกกล้องให้พร้อม ผมว่ามันจะต้องวุ่นวายมากแน่เลยว่ะ

เพลียใจจริงๆ

หลายวันมานี้ผมไม่เจอแก้มใสที่มหาลัยเลยครับ นั่นถือว่าเป็นเรื่องดี ผมไม่รู้ว่าเธอหายไปไหน ช่างแม่งดีกว่า คนแบบนั้นเราอย่าไปคิดถึงเลย ดาวคณะคนใหม่ของผมเธอชื่ออิงฟ้า เป็นหนึ่งในคนที่เรียนเก่งของสาขาผมเลยนะครับ ในตอนแรกเนี่ยะก็มีแก้มใสกับอิงฟ้านี่แหละที่เข้าตาพี่กริม แต่ว่าอิงฟ้าเธอไม่อยากเป็นดาวน่ะครับเพราะว่ากลัวจะเสียเรื่องของการเรียน ถ้าอิงฟ้าไม่กังวลกับเรื่องนี้นะผมว่าดาวคณะก็เธอนี่แหละ

ครืดดด...ด...ด...

“ ใครโทรมาวะ ” ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายโดยยังไม่ได้ดูชื่อ “ ฮัลโหล....”

( คิดถึงจังครับ )

รู้ละครับว่าใครโทรมา

“ คิดถึงเหมือนกัน...แล้วนี่พี่ขุนทำอะไรอยู่ ไม่ซ้อมหรอ ”

( เลิกซ้อมแล้วครับ พี่กำลังแวะซื้อข้าวอยู่แต่มันรอนานอ่ะ )

“ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วน่า เออพี่ขุนซื้อโกโก้เข้ามาให้หนมหน่อยได้ไหม ”

( ได้สิครับ เอาอะไรอีกรึเปล่า )

“ ไม่ล่ะ รีบกลับมานะ ขับรถดีดีด้วย ”

( โอเคครับ แค่นี้นะ )

ผมกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ช่วงหลายวันที่ผ่านมาพี่ขุนดูซึมๆ ไปเลยนะครับ ดูไม่สดใส ไม่ค่อยยิ้มด้วย อาจจะเพราะว่าตัวเองยังคงรู้สึกผิดอยู่มากที่ทำให้ผมเจ็บตัว อาการมันไม่ค่อยโอเคจนผมต้องจับมานั่งคุยกันแบบเป็นทางการเลย กว่าเจ้าตัวจะอาการดีขึ้นมานี่ต้องปลอบใจแล้วปลอบใจอีก นี่ผมกับพี่ขุนนี่นั่งทายาให้กันทุกวันเลย แขนพี่มันเป็นรอยช้ำเยอะมากเลยครับจากที่ไอ้ขันต่อยอ่ะ

แตะทีนี่ร้องโอดโอย

รอยจิกที่หน้าผมก็เริ่มจะหายดีแล้วครับ ไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นไหมเดี๋ยวค่อยหายามาทาเอา หลังจากวันที่มีเรื่องกัน ไอ้ขันมันโผล่มาให้ผมเห็นบ่อยมากเลย คงกลัวที่จะมีคนมาดักตบผมอีกล่ะมั้ง เวลาที่พี่ขุนกับไอ้ขันเจอกันนี่บรรยากาศโคตรมาคุอ่ะ แบบผมนี่ต้องเอาตัวกันไว้เลย ความคนกลางนี้ปวดใจมากเลยนะครับ อีกคนก็แฟนอีกคนก็พี่ ผมจะทำยังไงให้ไอ้ขันมันล้มเลิกความคิดที่จะทำให้ผมเลิกกับพี่ขุนดีวะ

คิดไม่ออกเลยเอาจริงๆ

ความจริงจังในน้ำเสียงที่ไอ้ขันมันพูดน่ะบ่งบอกว่ามันต้องทำแน่ๆ และก็คงจะไม่ยอมรามือง่ายๆ ด้วย แต่ว่าผมจะไม่ยอมให้มันทำสำเร็จหรอกครับ พี่ขุนเองก็คงจะไม่ยอมเลิกกับผมหรอก อีกอย่างผมกับมันก็เพิ่งจะคบกันเอง ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แถมผมก็ตกเป็นเมียมันไปแล้วด้วย มันต้องรับผิดชอบผมไปทั้งชีวิตสิถูกไหม ผมไม่ยอมให้อะไรมาทำให้เราเลิกกันหรอกบอกเลย ผมกับพี่ขุนจะเลิกกันก็ต่อเมื่อเลิกรักกันเท่านั้นแหละ สัญญากันไว้แล้วหนิว่าจะผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน

ผมเชื่อว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้น

“ เสร็จสักที ” ผมมองนิยายอีกบทที่ตัวเองแต่งเสร็จพลางบีบไหล่ตัวเองไปด้วย “ อยากให้คนนวดไหล่กลับมาไวไวจัง ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สงสัยจะมาละมั้งครับ

ตายยากจริงๆ

ผมลุกเดินไปเปิดประตูก็พบผู้ชายหัวเทายืนทำหน้าสะลึมสะลืออยู่ ในมือถือถุงข้าวกับโกโก้ที่ผมสั่งให้ซื้อ ดูจากสภาพนี่คงจะเหนื่อยน่าดู แน่ล่ะมันใกล้วันงานแล้วนี่นะ พี่ขุนก้มมาจุ๊บหัวผมก่อนจะเดินนำเข้ามาในห้อง ผมก็ปิดประตูแล้วเดินตามมา พี่ขุนเดินไปหยิบจานมาเทข้าวใส่ให้ วันนี้มาแปลกเหมือนกันนะครับ ดูเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ปกติพี่ขุนจะต้องเอ่ยทักผมตลอดไง

นี่โดนใครทำอะไรมาป้ะวะ

“ พี่ขุน ”

“......ว่าไงครับ ”

“ เป็นอะไรรึเปล่า ดูเงียบๆ นะ ”

“ พี่แค่เหนื่อยๆ น่ะ ”

“ ไหวไหมเนี่ยะหืม ” ผมเลื่อนมือไปกุมแก้มพี่ขุน “ เหนื่อยมากขนาดนั้นเลยหรอ ”

พี่ขุนเลื่อนมือมากุมมือผมที่ข้างแก้มตัวเองไว้ “ แค่เห็นหน้าหนม พี่ก็ดีขึ้นแล้วครับ ”

“ ให้มันจริงเถอะ ”

“ จริงสิครับ กินข้าวกันดีกว่าเนอะ อ่ะนี่โกโก้ของหนม ” พี่ขุนส่งโกโก้มาให้ผมก่อนจะเริ่มกินข้าว

ผมนั่งมองพี่ขุนเงียบๆ มือก็ตักข้าวขึ้นมากินบ้าง ผมว่าพี่ขุนมันต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่มันไม่ยอมบอกผม เจ้าตัวคงจจะมีเหตุผลที่ไม่บอกแหละครับ อาจจะเรื่องไอ้ขันก็ได้ ผมไม่อยากเห็นพี่มันเป็นแบบนี้เลย จะไปตื๊อถามมันก็คงบอกปัดไป ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยไปถามจากไอ้หมีเอา ผมว่าไอ้หมีอาจจะรู้เรื่องนี้ก็ได้ เพราะว่ามันน่าจะอยู่กับพี่ขุนตลอด

เดี๋ยวต้องลองถามมันดู

ผมกับพี่ขุนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ เงียบผิดปกติจากทุกวันเลย ผมควรจะทำยังไงให้พี่ขุนร่าเริงกว่านี้วะ มันไม่ชินเลยครับที่มันเป็นแบบนี้น่ะ หรือว่ามันกำลังจะป่วยก็เลยดูซึมๆ ก็เป็นไปได้ ผมไม่เคยเห็นพี่ขุนป่วยเลยไง ตอนที่กุมแก้มพี่มันเมื่อกี้ก็รู้สึกเหมือนตัวมันรุมๆ ด้วยนะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมหายาให้มันกินไว้เพื่อดักไข้ดีกว่า มะรืนนี้ก็วันงานละ ถ้าพี่มันป่วยนี่ต้องแย่มากแน่ๆ

“ หนม ”

“ หืม....”

“ พี่รักหนมนะครับ ” เจ้าตัวเอ่ยบอกก่อนจะยิ้มบาง มือเรียวก็เลื่อนมากุมมือผมไว้ “ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้หนมเชื่อในตัวพี่นะ ”

“ พูดแบบนี้นี่แอบไปทำอะไรมารึเปล่าเนี่ยะ ” ผมทำเป็นจ้องอย่างจับผิด “ มีเมียน้อยหรอห้ะ ”

“ ฮ่าๆๆๆๆ มีแค่หนมคนเดียวพี่ก็พอใจแล้วครับ ”

“ จริงนะ ”

“ จริงสิครับ พี่มีเมียน่ารักขนาดนี้อยู่แล้ว ไม่ไปดิ้นรนหาคนอื่นหรอก อีกอย่างถ้าพี่มีนอกใจหนมนะพี่ขันคงจะกระทืบพี่จนตายจริงๆ ”

“ ไม่ต้องถึงมือไอ้ขันหรอก พี่จะตายเพราะหนมก่อนแน่ๆ ”

“ โหดจังเลยนะ ” พี่มันหยิกแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยว ผมก็ทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะจับมือเจ้าตัวออก

ดีจังที่เห็นมันกลับมายิ้มแบบปกติละ

เอาจริงๆ ที่พี่มันบอกรักผมเมื่อกี้ก็งงใจอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะอยู่ดีดีมันก็พูดออกมาเฉยๆ วันนี้อาจจะไปเจออะไรบั่นทอนใจมาจริงๆ แหละ ไม่งั้นคงไม่มาพูดว่าให้เชื่อในตัวมันหรอก คำพูดมันผิดปกติเกินไป ผมน่ะเชื่อใจในตัวพี่ขุนมาตลอดนะครับตั้งแต่ตอนที่มันตามจีบผมแล้ว ความเสมอต้นเสมอปลายของมันนั่นแหละที่ทำให้ผมเชื่อในตัวมันอย่างสนิทใจ พี่ขุนมันไม่เปลี่ยนไปเลยนะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา จะมีเพิ่มมากขึ้นก็ตรง...

หื่นกามกับมักมากนี่แหละ

แต่ก็อย่างว่านะครับ คนมันยอมอดทนมาตลอดตั้งเกือบสามเดือน ช่วงจีบนี่ได้เต็มที่คือแค่จับมือ พอได้เป็นแฟนกันความหื่นก็อัพขึ้น มีกอดบ้างล่ะหอมแก้มบ้างล่ะ แต่พออัพขึ้นเป็นผัวเมียกันนี่เดี๋ยวจูบเดี๋ยวฟัด ผมก็สู้แรงพี่มันไม่ได้เลย ดีว่าหลังจากช่วงมีเรื่องกันเนี่ยะเรื่องพวกนี้ก็เพลาลงไป พี่ขุนคงไม่อยากให้ผมเจ็บตัวเพิ่มมั้งครับ ถ้าหายดีเมื่อไหร่มันก็คงจะมาไล่ฟัดผมเหมือนเดิม ดีไม่ดีอาจจะมากกว่าเดิม

ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรอสินะ

“ พี่ขุน ”

“ ว่าไงครับ ” พี่มันรวบช้อนไว้กลางจานก่อนจะเงยหน้ามองผม “ มีอะไรหรอ ”

“ กินข้าวเสร็จไปเอายามากินด้วยนะ หนมว่าพี่ตัวรุมๆ กลัวว่าจะไม่สบาย ”

“ อื้ออ.อ.อ....ไม่อยากกินเลย ” พี่ขุนบอกก่อนจะเบะปาก

“ ไม่ได้ ” ผมเอ่ยอย่างจริงจัง “ พี่ต้องกินยา ”

“ ขนม....”

“ หนมเป็นห่วงพี่ขุนนะ ถ้าพี่ขุนไม่สบายขึ้นมาแล้วหนมติดไข้พี่ขุนต่อล่ะ พี่ขุนอยากให้หนมป่วยหรอ ”

“ โอเคครับพี่จะกินยา ” พี่มันบอกก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บหน้าผากผม “ ขอโทษที่ดื้อใส่นะครับ ”

“ หึ....ไปเอายามากินได้แล้วไป ”

“ ครับผม ” เจ้าตัวรับคำก่อนจะลุกไปหยิบยากิน

ผมนั่งมองพลางกินข้าวต่อ ดีนะที่พี่ขุนมันยอมกินยาแต่โดยดีน่ะ ถ้ามันไม่ยอมนี่มีจับกรอกปากแน่ เดี๋ยวถ้ากินข้าวเสร็จผมจะต้องนั่งแก้คำผิดของนิยายก่อนและก็ไปอาบน้ำ จบด้วยการนั่งทายาให้พี่ขุน เสร็จทั้งหมดนี่ก็นอนได้ พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าไปเตรียมงานที่มอด้วย ผมอยากจะเห็นการแสดงความสามารถพิเศษของไอ้เป้จริงๆ เห็นมันซุ่มซ้อมอยู่หลายวันละครับ ไอ้เป้น่ะเป็นหนึ่งในตัวเต็งของเดือนมหาลัยปีนี้เลยนะ

เดี๋ยวต้องเอาป้ายไฟไปโบกเชียร์

แต่ก่อนโบกนี่ต้องหายปวดไหล่ก่อน

“ กินยาเสร็จแล้วมานวดไหล่ให้หนมด้วยนะ ”

“ ได้ครับ หอมแก้มพี่เป็นค่านวดให้ด้วยนะ ”

“ โอเคได้ ”

กูจะหอมแม่งสักยี่สิบที....เอาให้แก้มช้ำตายกันไปข้างเลยเอ้า


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 24 : 25/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-11-2017 20:26:39
------------ ต่อจากบท 24 ------------


“ เผือกมึงเซ็ตลำโพงเสร็จยัง ”

“ เรียบร้อยละ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาไล่เช็คหน้างานอีกรอบ ”

“ โอเค ไอ้ภีมมึงไปติดต่อเรื่องรันคิวกับดาวเดือนแล้วรึยัง ”

“ ติดต่อละ ตารางคิวเดี๋ยวกูจะเอาไปพิมพ์ให้เสร็จเย็นนี้น่าจะได้ ”

“ เออเย็นนี้อย่าลืมเอามาให้กูนะ ส่วนมึงไอ้ไผ่สคริปของพิธีกรเสร็จแล้วรึยัง ”

“ เสร็จแล้ว ”

“ เออดีมาก แล้วก็ไอ้ปั้นตารางพิธีการของกูล่ะ ”

“ เสร็จเรียบร้อยอยู่ในแฟ้มงานกู ”

“ โอเคงั้นเดี๋ยวกูไปดูดาวเดือนซ้อมก่อน พวกมึงก็คอยดูงานตรงนี้ไป เดี๋ยวกูอีกสักพักกูจะกลับมาดูอีกทีนึง ฝากด้วยล่ะ ” ไอ้หมีมันสั่งงานเสร็จมันก็เดินไปในตึก

โคตรหัวหมุนอ่ะจริงๆ

ไอ้หมีนี่มันสั่งงานได้คล่องมากเลยนะครับ งานนี้คงจะทางถนัดมันจริงๆ ช่วงที่มันยุ่งเรื่องประกวดดาวเดือนนี่สีหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจนเลยนะครับว่าเหนื่อยมาก แต่ว่ามันก็ตั้งใจทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุดนะ เรามักจะเห็นไอ้หมีมันทำตัวบ้าบอบ่อยๆ ก็จริง แต่เวลาทำงานนี่ก็คนละเรื่องเลยนะครับ มันเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมากเลยนะครับ และงานทุกอย่างที่มันทำก็จะออกมาดีเสมอด้วย

เพื่อนหมีของเรานี่สุดยอดจริงๆ

ตอนนี้ประมาณบ่ายกว่าๆ แล้วครับ อีกสักพักพวกดาวเดือนจะมาซ้อมใหญ่กันที่นี่ พวกผมก็ต้องจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม เมื่อเช้าตอนที่เตรียมของกันนี่วุ่นวายมาก นี่นัดกันตั้งแต่ตีห้าครับ ไม่รู้แม่งจะรีบไปไหน คนนัดก็คือไอ้หมีนั่นแหละ มันจะนัดสักเจ็ดโมงก็ไม่ได้ กว่าผมจะลากสังขารตัวเองมามอได้นี่โคตรลำบากยากเย็น พี่ขุนมันก็มามอกับผมด้วยนะครับมาช่วยเตรียมอุปกรณ์เหมือนกัน พอช่วยผมเสร็จก็ไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

เหนื่อยกว่าผมก็พี่ขุนนี่แหละ

เมื่อเช้านี้พี่ขุนดูอาการดีกว่าเมื่อวานเยอะเลยครับ ไม่เป็นไข้ ไม่ซึม ดีแล้วแหละที่มันโอเคดีน่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะได้พักกินข้าวรึยัง ตั้งแต่โดนไอ้ขันซัดไปพี่ขุนก็กินข้าวน้อยลงไปเยอะเลยครับ ไม่รู้ว่าเจ็บปากกินไม่ถนัดหรือยังไง แต่ผมดูแล้วรู้เลยว่ามันผอมลง เวลากอดนี่ยิ่งรู้สึกเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวพอผ่านช่วงนี้ไปจะต้องพาไปขุนให้ตัวเท่าเดิมสักหน่อย

เวลากอดจะได้อุ่นๆ

“ อมยิ้มอะไรหนม ”

ผมหุบยิ้มทันทีที่ไอ้ภีมถาม “ ไม่มีไร ”

“ ใช่รึเปล่า ” มันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“ ใช่สิวะ เออภีม มึงว่าไอ้เป้จะชนะป้ะ ”

“ ไม่รู้สิ แต่มันก็ดูตั้งใจดีนะ ”

“ ใช่ ” ไอ้ปั้นเดินมาคล้องคอไอ้ภีม “ เหมือนกับว่ากำลังตั้งใจทำเพื่อใครสักคนอยู่เลย ” ท่านประธานเอ่ยออกมาก่อนยิ้มหวานให้

ไอ้ไผ่มองไอ้ปั้นตาแป๋ว “ อเจนด้าหรอปั้น ”

“ รู้มากนะมึงอ่ะ ” ไอ้ภีมมันดีดหน้าผากไอ้ไผ่ก่อนจะงับแขนไอ้ปั้นที่คล้องคอมันอยู่แรงๆ “ มึงก็รู้มากเหมือนกัน ”

“ เขารู้กันจะทั่วบ้านทั่วเมืองละ ”

“ น่าหมั่นไส้จริงๆไอ้พวกรู้มาก ” ไอ้ภีมมันเบ้ปากใส่ก่อนจะเดินไปไหนของแม่งไม่รู้

ไม่ใช่ไปหลับตรงไหนนะน่ะ

ผมมองเหล่าเพื่อนๆ อย่างสงสัย สิ่งที่พวกมันพูดนั่นคือตั้งใจจะแซะไอ้ภีมแน่นอนอ่ะ ว่าแต่พวกมันรู้เรื่องของไอ้เป้ไอ้ภีมด้วยหรอ ผมนึกว่ามีผมคนเดียวนะที่รู้อ่ะ แล้วนี่มันไปรู้กันตอนไหนวะ รู้แล้วไม่คิดจะบอกกูบ้างเลยหรอวะไอ้พวกบ้า เออ อาจเพราะว่าพวกมันยังไม่ค่อยมั่นใจในความสัมพันธ์ของสองคนนี้ก็ได้นะถึงยังไม่บอกผม โอ้ยช่างแม่งเหอะ จะเอาเรื่องของคนอื่นมาคิดให้ตัวเองปวดหัวทำไมวะเนี่ยะหนม

บ้าบอชะมัด

ตื้อดึ่ง

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงหลังจากที่ได้ยินเสียงไลน์ดัง ข้อความที่แสดงอยู่ที่หน้าจอมันทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆ

ขุนจึกกก : คิดถึงจังเลยครับ *สติ๊กเกอร์รูปหมีนั่งกอดเข่า*

คาหนม : คิดถึงมากเลยไหม

ขุนจึกกก : คิดถึงมากๆ เลยครับ อยากกอด อยากหอม อยากจูบ อยาก....

ไอ้....นี่มีเลศนัยนะเนี่ย ร้ายกาจนักนะขุนศึก

คาหนม : ไอ้อยาก....นี่คืออะไร

ขุนจึกกก : อยากให้พูดให้ฟังใกล้ๆ ไหมล่ะ

คาหนม : มาสิ

อ่อยมันสักหน่อยครับ หัวใจจะได้กระชุ่มกระชวย ปกติผมจะไม่ค่อยเล่นแบบนี้กับพี่ขุนมันเท่าไหร่หรอกนะครับ เพราะว่าถ้าเล่นอะไรแบบนี้แล้วพี่ขุนมันเอาจริงแน่ๆ และคนที่จะแย่ก็คือผม

ขุนจึกกก : เดี๋ยวจะโดนนะยั่วพี่น่ะ

คาหนม : ไม่ได้ยั่วซะหน่อย

ขุนจึกกก : หึ....

คาหนม : *สติ๊กเกอร์แลบลิ้น*


เจ้าตัวอ่านแล้วครับแต่ไม่ได้ตอบอะไร ผมว่าพี่มันอาจจะแอบไลน์มาแน่ๆ เพราะถ้ามันพักมันคงจะโทรหาผมแล้ว เดี๋ยวต้องดุสักหน่อยละล่ะที่แอบเล่นไลน์ทั้งๆ ที่ยังทำกิจกรรมอยู่ ถึงแม้ว่าไลน์มันจะเป็นการไลน์มาเพื่อบอกว่าคิดถึงผมก็เถอะ แต่เรื่องนี้ก็ยกเว้นไม่ได้

กลับไปหอต้องทุบ



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



“ ฮัดเช้ย...ฮัดเช้ยยยยยย ”

“ จามอะไรขนาดนั้นวะขุน ” ไอ้เกียร์มันหันมามอง

“ ไม่รู้ว่ะ ฮัดเช้ยยยย....โอ่ยจมูกกู ” ผมยกมือขึ้นถูจมูกเบาๆ นี่จะเป็นหวัดหรอวะเนี่ย

“ มึงจะป่วยป้ะเนี่ย ”

“ ไม่รู้ว่ะ แต่เมื่อวานกูก็กินยาไปแล้วนะ ”

“ เมื่อวานกับวันนี้มันไม่เหมือนกันนะมึง ไปหายาแก้แพ้กินไป ”

“ ไม่เอาเดี๋ยวหลับ กูไม่ได้เป็นไรน่ะเชื่อกูสิ ”

“ มึงนี่มันดื้อจริงๆเลยนะ ” มันบอกก่อนจะตีผมแรงๆ ทำไมมึงชอบใช้ความรุนแรงกับกูจังเลยวะเกียร์

ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง งานซ้อมน้องๆ ดาวเดือนนี่หนักหนาเหมือนกันนะ เมื่อปีก่อนพวกผมคือคนที่ต้องเตรียมแสดงไง ไม่ได้คิดว่างานของพี่ๆ มันจะหนักขนาดนี้ งานประกวดรุ่นผมนี่โคตรป่วนอ่ะ ดีนะที่รุ่นนี้ไม่ค่อยดื้อสักเท่าไหร่

ลองดื้อดิ่

โบกหัวทิ่มเลยอ่ะ

เมื่อหลายวันก่อนที่ผมมีเรื่องกับพี่ขันน่ะมันทำให้ผมเฟลแดกเลยครับ รู้สึกผิดมากด้วยที่ทำให้ขนมเจ็บตัว ผิดคำพูดที่ว่าจะปกป้องน้องอีกต่างหาก ผมไม่กล้าสู้หน้าพี่ขันเลยสักนิด จากที่พี่ขันบอกว่าจะทำให้ผมกับขนมเลิกกันให้ได้นั่นเขาเอาจริงแน่ครับ เมื่อวานตอนที่ผมลงจากตึกผมไปได้ยินพี่ขันคุยกับพี่ฉายและพี่เฌอโดยความบังเอิญ เรื่องที่คุยกันก็ทำให้ผมปวดใจมากเลย

เพราะเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับผมและขนม

พี่ขันถามพี่ฉายกับพี่เฌอว่าจะทำยังไงให้ผมเลิกกับขนมดี ผมจุกมากเลยครับตอนที่ได้ยินน่ะ ถึงขั้นปรึกษาเพื่อนด้วยนี่ก็คงจะทำตามที่พูดจริงๆ แต่เท่าที่ฟังพี่ฉายกับพี่เฌอไม่เห็นด้วยนะครับ แถมยังเทศน์พี่ขันแบบยาวมากๆ จนเจ้าตัวโวยวายใส่แล้วก็บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้คนเดียว ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึงเลยนะครับที่พี่เฌอกับพี่ฉายไม่เห็นด้วยน่ะ ชอบคำพูดของพี่เฌอมากครับ พี่เขาพูดว่าที่ผมกับขนมเจอมันก็แค่อุปสรรคเล็กน้อยของความรัก ถ้าคนมันรักกันจริงเดี๋ยวมันก็จับมือผ่านไปด้วยกันได้ คนที่เป็นครอบครัวก็ควรจะคอยช่วยประคับประคองไม่ใช่มาขัดขวางแบบนี้

คำพูดพี่เฌอนี่โคตรเฉียบ

ผมไม่คิดว่าคนที่อกหักซ้ำซากแบบพี่เฌอจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้เลยนะครับ และตอนที่เขาบอกพี่ขันน่ะน้ำเสียงจริงจังมากด้วย ค่อนข้างผิดไปจากลุคตัวเองเลย พี่เฌอเป็นคนที่เท่นะครับถ้านั่งนิ่งๆ อ่ะ ห้ามให้ขยับเด็ดขาด เพราะถ้าขยับเมื่อไหร่จะดูเงอะงะขึ้นมาทันที แล้วก็ชอบชนโน่นชนนี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เหมือนมองไม่เห็นรอบข้างอ่ะ แต่ว่าพี่เขาเป็นคนที่มีทัศนคติมองโลกต่างจากคนอื่นมากเลยนะครับ และก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีของบรรดาน้องๆ ด้วย

เดี๋ยวผมอาจจะต้องไปปรึกษาเขา

ผมไม่รู้ว่าพี่ขันจะทำให้ผมกับขนมเลิกกันยังไง เขาจะใช้วิธีไหนจัดการ ตอนนี้หวั่นใจไปหมดเลยครับ แต่ว่าผมจะไม่ยอมให้พี่ขันทำสำเร็จหรอก ผมรักขนมมากเลยนะและจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด ตัวน้องเองก็คงคิดแบบผมเหมือนกัน ขนมน่ะคอยให้กำลังใจผมตลอด เรื่องวุ่นวายที่เข้ามาก็บอกซ้ำๆ ว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม น้องนี่ดูผมออกทะลุปรุโปร่งเลย เมื่อวานก็ถามว่าผมเป็นอะไร ด้วยความที่ผมไม่อยากให้น้องต้องมีปัญหากับพี่ขันก็เลยก็ต้องบอกปัดไปว่าแค่เหนื่อย พอเจ้าตัวเห็นแบบนั้นก็ปลอบใจผมด้วยนะ

น่ารักแบบเนี้ยะ จะไม่ให้รักได้ไง

“ น้องๆ ครับ เดี๋ยวเราไปซ้อมกันที่เวทีนะ พี่จะซ้อมแค่รอบเดียวแล้วก็จะปล่อยให้ได้กลับไปพักเพราะงั้นตั้งใจให้มากๆ โอเคไหม ”

“ โอเคครับ / ค่ะ ”

“ โอเคงั้นเราย้ายสถานที่กันได้เลย ไอ้หมีมึงจัดการด้วย ” ไอ้เกียร์หันไปสั่งไอ้หมีก่อนจะหันมองผม “ เราก็ไปกันเถอะเพื่อนรัก ”

“ เออเดี๋ยวกูถือกระติกน้ำไป มึงถือขนม ”

“ เออได้ ” มันส่งกระติกน้ำมาให้ผมก่อนจะถือขนม “ ไปกัน ”

“ มึงเดินนำสิ ไวไวด้วยกูหนัก ”

“ แค่นี้มาทำหนัก มึงนี่มันเว่อร์จริงๆ ” มันหันมาเบ้ปากใส่ผม

ผมจ้องมันอย่างหมั่นไส้ “ มึงเคยเดินอยู่ดีดีแล้วตัวเปียกไหมไอ้สัส ”

“ ทำมาเป็นโหด ”

“ กวนตีน ” พอผมด่ามันก็หัวเราะลั่นออกมา

มึงบ้าป้ะเนี่ยะ

ผมแบกกระติกน้ำเดินตามหลังไอ้เกียร์ต้อยๆ หมั่นไส้อยากจะเอาน้ำสาดใส่มันเหมือนกันนะครับ กวนตีนได้กวนตีนดีจริงๆ มันกวนตีนผมตั้งแต่มัธยมยันตอนนี้เลยอ่ะ ดูทรงแล้วก็คงจะกวนตีนต่อไปยันลูกบวช ไม่ได้สิ ทั้งผมทั้งมันคงจะไม่มีลูกอ่ะนะ จะว่าไปไอ้เกียร์กับไอ้แกงนี่ก็คบกันมาปีแล้วนะ นึกถึงตอนที่มันจีบกันก็ตลกว่ะ ไอ้เกียร์แม่งโคตรเสร่อเลย ไอ้แกงเองก็เกลียดขี้หน้าไอ้เกียร์มาก แต่สุดท้ายก็ได้กัน

อะไรของพวกแม่งไม่รู้

พ่อสื่อแบบผมนี่ปวดจิตมากเลยแหละ แต่มันรักกันได้ก็ดีแล้วแหละครับ หวังว่าผลบุญที่ผมทำให้มันสองคนรักกันได้นี่จะส่งผลให้ความรักของผมกับขนมผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ด้วยดีเถอะ

“ น้องหนม ” ไอ้เกียร์ยิ้มฉีกยิ้มหวานก่อนจะเดินเข้าไปหาแฟนผมที่กำลังยืนดูเรื่องของเวทีอยู่ ผมนี่อยากจะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อนรักแล้วเขย่าแรงๆ แล้วตะโกนอัดหน้ามันว่า....

อย่าเจ๊าะแจ๊ะกับเมียกูได้ไหม!!!!

แต่ทำไม่ได้ไง

“ อ่าว พี่เกียร์ ” น้องหันมองมันก่อนจะมองผมแล้วอมยิ้ม “ พี่ขุน ”

“ พี่เองครับที่รัก ” ผมบอกก่อนจะยิ้มหวาน แก้มใสๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อทันทีที่ผมเรียกว่าที่รัก คงเขินสินะ แก้มแดงๆนั่นมันน่าจับเอามาฟัดซะจริงๆ

หมั่นเขี้ยวว่ะ

“ มาที่รงที่รักอะไรวะจะอ้วก ” ไอ้เกียร์มันเบ้ปากใส่

“ เสือก ” ผมด่ามันก่อนจะเดินมาหาขนม “ เหนื่อยไหมครับ กินข้าวรึยังหืม ”

“ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่หรอก หนมกินแล้วด้วย ละพี่ขุนล่ะกินข้าวรึยัง ”

“ พี่กินข้าวแล้วครับแต่ว่า....” ผมเลื่อนหน้าลงไปกระซิบข้างหูน้อง “ พี่อยากกินขนม ”

น้องหน้าแดงหนักกว่าเดิม ก่อนจะดันหน้าผมออก “ ก็...ไปซื้อกินสิ ”

“ หืม....ให้พี่ซื้อกินได้หรอ ”

“ ได้สิ...เดี๋ยวนะ ” คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะคิดอะไรอยู่ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาคนเดียว “ ซื้อกิน ”

“ ตกลงซื้อกินได้ไหมครับ ”

“ ไม่ได้....ซื้อกินไม่ได้ ถ้าพี่ไปซื้อกินล่ะก็ หนมเอาพี่ตายแน่ๆ ” น้องบอกเสียงเข้มก่อนจะทำท่ายกมือปาดคอให้ดู

ผมอมยิ้มกับการกระทำของน้องก่อนจะยกมือขึ้นไปลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ “ เอาพี่....ตายเลยหรอ ใครจะตายก่อนกันเนี่ย ”

“ พี่ขุนอ่ะ หนมไม่คุยด้วยแล้ว ” น้องทำหน้ามุ่ยก่อนจะเดินหนีไปนั่งลงข้างเผือก

น่ารักจริงๆ เลยแฟนผมเนี่ย

ไอ้หมีมันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ไอ้เกียร์ “ พี่เกียร์....ได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ ป้ะ ”

“ กูก็นึกว่ากูเหม็นความรักอยู่คนเดียว มึงก็เป็นเหมือนกันหรอไอ้หมี ”

“ เป็นสิพี่ ความรักเหม็นขนาดนี้ไม่ได้กลิ่นได้ไง ฮ่าๆๆๆๆๆ ” ว่าแล้วมันก็หัวเราะลั่น

“ พวกมึงนี่น่ารำคาญจริงๆ แยกย้ายกันทำงานสิโว้ย ” ผมแหกปากใส่ก่อนจะมายืนมองน้องๆ เตรียมตัวกันอยู่ข้างเวที ความจริงอยากจะไปนั่งข้างขนมอยู่หรอก แต่ว่าเดี๋ยวจะไม่เป็นอันทำงาน

ผมคงแหย่น้องไม่หยุดอ่ะเอาจริงๆ

ตอนนี้รอยจิกที่หน้าน้องใกล้จะหายแล้วครับ รอยข่วนกับรอยช้ำตามตัวก็ด้วย แต่ของผมนี่คงจะหายช้ากว่า ผมโดนต่อยนี่นะน้องแค่โดนตี พี่ขันมือหนักชิบ เจอทีเดียวก็ปากแตกเลยอ่ะ แต่ผมว่าคนที่มือหนักกว่าคือไอ้หมีครับ เพราะมันตบพี่ขันให้ปากแตกได้ด้วยหลังมือ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกล้าทำแบบนั้นกับคนที่ตัวเองชอบ พี่ขันเองก็ดูอึ้งอยู่นะที่โดนไอ้หมีตบ เดิมทีพี่ขันก็ไม่ชอบไอ้หมีอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องแบบนี้อาจจะไม่ชอบเข้าไปใหญ่

สงสารไอ้หมีมันเหมือนกันนะ

ผมรู้จักไอ้หมีก็ตั้งแต่ตอนที่ปี 1 เรียนซัมเมอร์กัน ผมได้ยินชื่อมันมาผ่านๆ รู้แค่ว่าเป็นเพื่อนต่างคณะของลันตา มันเคยพากันมากินเหล้าข้างโต๊ะผมอยู่ ตอนที่เจอไอ้หมีครั้งแรกก็หมั่นไส้อยู่เหมือนกันนะครับ หน้าตามันดูกวนตีนแถมมันยังรู้จักคนโน้นคนนี้ไปทั่วเลย ผมว่าผมเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะพอสมควรละนะ แต่ไอ้หมีนี่กินขาดผมจริงๆ มันรู้จักพี่พลก่อนจะรู้จักผมด้วยซ้ำ นี่ก็ได้แต่สงสัยว่าไปรู้จักกันได้ยังไงวะ

ตึกคณะก็อยู่กันคนฟาก

ผมกับเพื่อนๆ ก็เลยยกให้ไอ้หมีมันเป็นยอดมนุษย์ครับ รู้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง ผมเพิ่งจะมาสนิทแบบไอ้หมีก็ตั้งแต่ที่จะเริ่มจีบขนมนี่แหละ ดีเหมือนกันนะที่มันเป็นเพื่อนขนมน่ะ นี่ถ้าไม่มีมันคอยช่วยหลายๆ เรื่องผมก็คงจะลำบากเหมือนกัน ไอ้หมีนี่เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ความรักของผมสมหวังเลยนะ เพราะงั้นผมจะต้องช่วยให้มันสมหวังกับพี่ขันให้ได้เพื่อเป็นการตอบแทน

แค่คิดก็ยากแล้วว่ะ

ความจริงผมไม่เห็นพี่ขันสนใจใครเลยนะ คนเข้าหาพี่ขันเยอะมากเลยนะครับทั้งผู้ชายและก็ผู้หญิง แต่พี่เขาก็ไม่เลือกใครสักคน พี่แช่มเคยเล่าให้ฟังในวงเหล้าด้วยครับว่าที่พี่ขันไม่ยอมเลือกใครสักคนมันเป็นเพราะว่าเขามีคนที่เขารักอยู่แล้ว แต่ว่ามันมีเหตุที่ทำให้ต้องแยกจากกัน ตอนนี้พี่ขันก็ยังคงตามหาคนๆ นั้นอยู่ ผมอยากรู้เหมือนกันนะว่าคนที่พี่ขันรักเป็นใคร แล้วไอ้หมีน้องรักของผมเนี่ยะพอจะสู้เขาได้ไหม

เฮ้อ

แค่คิดก็ปวดใจแทนไอ้หมีแล้วว่ะ

“ พี่ขุนนี่สคริปของพี่ พี่เป็นพิธีกรช่วงบ่ายนะ ” ไอ้คนที่ผมเพิ่งนึกถึงยื่นสคริปมาให้

“ เออได้ แล้วพรุ่งนี้มึงทำอะไรอ่ะ ”

“ ก็เป็นสต๊าฟไง ทำทุกอย่างเลยตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ เป็นมึงนี่ก็เหนื่อยเนอะ ”

“ ก็แค่งานนี้แหละพี่ โน่นคนที่เหนื่อยตัวจริงคือแฟนพี่โน่น พรุ่งนี้มันต้องแบกกล้องทั้งวัน ยังไงก็นวดไหล่ให้มันด้วยละกัน ”

“ กูก็นวดไหล่ให้หนมทุกวันอยู่แล้วนะ ”

“ พี่นี่แม่งโคตรสามีตัวอย่างเลยว่ะ เห้ยไอ้เป้...มึงเต้นผิดนะตะกี้น่ะ ” หมีมันแหกปากด่าไอ้เป้ที่อยู่บนเวที

“ เออหมีกูถามไรหน่อยดิ่ ”

“ ว่ามาเลยพี่...ไอ้สัสเป้ มือมึงทำไมไม่ยกตามเขาวะ ”

“ มึงเอาแต่วิ่งตามพี่ขันแบบนี้ ” ผมเหลือบมองมัน “ มึงไม่เหนื่อยบ้างหรอวะ ”

 “ ทำเพื่อคนที่ตัวเองรักใครเขาเหนื่อยกันวะพี่ ” ไอ้หมีมันหันมาคลี่ยิ้มบางๆ ให้ผม “ ไอ้เชี่ยเป้มึงเต้นผิดสามรอบละนะ ต้องให้กูขึ้นไปตบใช่ไหมห้ะ ” มันโวยวายก่อนจะขึ้นไปจัดการไอ้เป้บนเวที

ตลกชิบ

ที่ไอ้หมีพูดมามันก็จริงอยู่นะครับ ทำเพื่อคนที่ตัวเองรักมันจะเหนื่อยได้ยังไง ตอนที่ตามจีบขนมใหม่ๆ ผมไม่รู้เลยนะว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง ไม่เคยคิดจะหยุด ไม่เคยคิดว่าตัวเองเหนื่อยหรือท้อในการจีบน้องด้วย สุดท้ายผมก็ได้ความรักจากน้องมา แน่นอนว่ามันคุ้มค่ากับสิ่งที่ผมพยายามมาโดยตลอด ผมหันไปทางขนมก็พบว่าน้องเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน คนตัวเล็กยิ้มบางๆ ให้ผมพร้อมกับชูสองนิ้ว อา....กำลังใจมาเต็มเปี่ยมเลยอ่ะ

กลับหอไปต้องให้รางวัลซะหน่อย

หึ....



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



หลังจากที่ผ่านการซ้อมใหญ่มา ผมกับพี่ขุนก็กลับมาหอกันได้สักพักแล้วครับ วันนี้เลิกซ้อมเร็วเพราะว่าให้ดาวเดือนได้พักอย่างเต็มที่เพื่องานประกวดวันพรุ่งนี้ ดีจังที่กิจกรรมของเดือนนี้จะหมดแล้ว แต่ถึงว่าจะไม่มีงานแต่ก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ ไฟนอลกำลังจะมาในอีกไม่ช้า เดี๋ยวผมจะต้องรีบเคลียร์งาน เคลียร์นิยายให้เสร็จเพื่อเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ แต่ก่อนจะเคลียร์อย่างอื่น ผมต้องเคลียร์พี่ขุนก่อน

หอมคาอยู่ได้แก้มเนี่ย

“ พี่ขุนพอแล้ว ”

“ ไม่พอ ” จมูกโด่งยังคงฝังอยู่ที่แก้มผม ผมพยายามจะดันหน้ามันออกแล้วนะครับแต่เจ้าตัวก็รวบมือผมก่อนจะกอดไว้แน่น

ร้ายไหมล่ะ

“ หนมเจ็บนะ ”

“ เจ็บอะไรหรอครับ ” ใบหน้าหล่อละออกไป “ หอมแก้มแล้วเจ็บหรอ ”

“ ใช่ ”

“ งั้นพี่จูบก็ได้นะ ” เจ้าตัวว่าก่อนจะทำปากจู๋ใส่ผม หน้าแม่งโคตรตลกเลยว่ะ

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเลื่อนหน้าไปซุกคอพี่ขุน “ ไม่เอาไม่ต้องมาจูบเลย ”

“ ทำไมล่ะหืม....ขอจูบหน่อยไม่ได้หรอ ” พี่มันเอ่ยเสียงอ่อน มือเรียวก็เลื่อนขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

“ ไม่ได้ พี่หอมแก้มหนมไปเยอะแล้ว แก้มช้ำไปหมดละเนี่ยะ ”

“ ก็พี่รักหนมอ่ะ ”

ผมผงกหัวขึ้นมามอง “ รู้แล้วว่ารัก แต่มันเจ็บแก้มจริงๆนะ เนี่ยะรอยจิกมันยังไม่หายดีเลย ”

“ งั้นพี่รอหนมหายก่อนก็ได้ ” เจ้าตัวยิ้มกริ่ม “ เสร็จพี่แน่ ”

ผมตีไหล่พี่ขุนแรงๆ ทันทีก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่ง พี่มันนอนอมยิ้มมองผมอยู่อย่างนั้น สีหน้านี่อารมณ์ดีจริงๆ เชียวนะ พอเห็นแบบนั้นผมก็ลองเอาหมอนตีมันไปอีกทีนึง พี่ขุนมันก็นอนนึ่งๆ ไม่ตอบโต้ ผมก็เลยได้ใจกระหน่ำตีพี่มันรัวๆ

“ ยัง....”

“ นี่แน่ะ ” ตายห่าไปซะพี่ขุน

“ ยังไม่หยุดอีก ”

ผมเอาหมอนตีพี่ขุนครั้งสุดท้าย “ โอ่ยเหนื่อย พอละ แต่งนิยายดีกว่า ” ผมเอื้อมไปหยิบโน้ตบุ๊คมาก่อนจะขยับไปนั่งพิงขาพี่ขุนที่ชันอยู่ “ ทำขาแข็งๆซิ จะพิง ”

“ มาพิงอกพี่นี่ ไปพิงทำไมล่ะขาน่ะ ” มันบอกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เห็นแบบนั้นผมก็ขยับไปนั่งพิงอกเจ้าตัว

“ พี่ขุนได้อ่านนิยายของหนมบ้างไหม ”

“ อ่านสิครับ อ่านละเหมือนเห็นตัวเองเลยอ่ะ นี่เอาตัวพี่ใส่ลงไปหรอหืม ”

“ เปล่าหนิ มันบังเอิญมั้งเถอะ ”

“ งั้นหรอ ” พี่มันบีบจมูกผมเบาๆ “ ร้ายนักนะเราน่ะ ”

“ ไม่ได้ร้ายสักหน่อย หนมแต่งนิยายแล่วห้ามรบกวน ” ผมบอกก่อนจะเริ่มพิมพ์นิยาย พี่ขุนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นส่วนมือที่ว่างอีกข้างก็ลูบหัวผมไปเรื่อยๆ

รู้สึกดีจริงๆ

การที่พระเอกในนิยายของผมแสนดีไม่มีที่ติมันก็เพราะผมมีแฟนที่แสนดีแบบนี้ไง แต่พระเอกในนิยายผมก็ไม่ได้หื่นเท่าพี่ขุนหรอกนะครับ อย่างว่าแหละนะมันจะเหมือนไปทุกอย่างเลยก็ไม่ใช่ ผมชอบนะครับที่ได้เห็นเหล่ารี้ดที่รักดูมีความสุขที่ได้อ่านนิยายที่ผมเขียนน่ะ ตอนนี้มันยังไม่จบแต่ว่าก็มีคนถามถึงการรวมเล่มแล้วนะครับ ผมนี่ปลื้มปริ่มเลยแบบว่าเอาวะอย่างน้อยมีคนที่อยากได้นิยายเป็นเล่ม 1 คนละ

เชื่อไหมว่าแค่คำพูดของคนๆ เดียวก็ทำให้ผมใจมาได้เลยนะ

เพราะงั้นผมจะพยายามแต่งออกมาให้ดีที่สุดเพื่อคนที่รออ่านทุกคน ส่วนเรื่องเรียนเรื่องงานหรือเรื่องสอบผมก็จะต้องตั้งใจให้มากเหมือนกัน เหนื่อยหน่อยแต่ว่าผมก็มีคนที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ถ้าไม่มีพี่ขุนผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองจะเป็นยังไง นิยายที่เขียนมันจะออกมาเป็นแบบนี้ไหม คนอ่านจะชอบแบบนี้รึเปล่า ไอเดียและแรงบันดาลใจในช่วงกลางเรื่องก็มาจากพี่ขุนทั้งนั้นแหละนะ

ผู้มีอิทธิพลต่อใจที่แท้ทรู

“ ปากบอกว่าแต่งนิยายแต่มองหน้าพี่ใหญ่เลยนะ หน้าพี่เหมือนพระเอกในนิยายรึไง ”

ก็เออน่ะสิ

ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่ขุนเบาๆ “ you're my inspiration นะครับ ” หลังจากที่ผมพูดจบแก้มขาวของพี่ขุนก็ขึ้นสีระเรื่อด้วยแฮะ

“ พูดแบบนี้พี่ก็....เขินแย่สิ ”

“ ฮ่าๆๆๆๆ น่ารักว่ะ ” ผมหัวเราะออกมาก่อนจะหันมาแต่งนิยายต่อ บทพระเอกเขินนี่ก็น่าใส่ลงไปในนิยายเหมือนกันนะเพราะว่า....มันทำให้ใจบางมากเลย

พี่ขุนนี่มันจริงๆ เลย

หึ้ยย.ย.ย.....






TBC.

ถึงตอนปัจจุบันละนะคะ ต่อจากนี้เราจะลงอาทิตย์ละตอน น่าจะเป็นวันพุธไม่ก็พฤหัสฯ
ชอบก็กดคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 24 : 25/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-11-2017 21:08:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 25 : 29/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 29-11-2017 21:30:45
​บทที่ 25 งานประกวดดาวเดือน



วันประกวดดาวเดือนนี่วุ่นวายมากกว่าวันถ่ายภาพนิตยสารโปรโมทมหาลัยอีกอ่ะ

มึนงงสับสนมากครับ

ตอนนี้ผมอยู่หลังเวทีประกวดครับ กำลังนั่งเช็คกล้องอีกครั้ง ส่วนไอ้พวกเพื่อนๆ ก็ประจำอยู่ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ผมเห็นไอ้หมีมันวิ่งวุ่นตั้งแต่เช้าละอ่ะ ยังไม่เห็นมันนั่งเลยครับ น้ำสักหยดได้กินรึยังก็ไม่รู้ นี่เป็นห่วงว่ามันจะช็อคตายซะก่อนเหมือนกัน ตอนนี้พวกดาวเดือนกำลังแต่งตัวกันอยู่ในห้อง รู้สึกว่ากิจกรรมช่วงเช้าเนี่ยะจะเป็นอะไรวะ พิธีเปิดมั้งครับ ประมาณ 10 โมง ไม่มีใครเอาตารางเวลามาให้ผมดูเลยอ่ะ นี่เป็นงานแรกที่ไม่รู้อะไรเลย

ปวดใจจังวะ

เวทีนี้เป็นเวทีกลางแจ้งจัดอยู่ที่ลานบลูของคณะผมและก็ค่อนข้างที่จะใหญ่พอสมควรเลยครับ แบบว่าสามารถตั้งเครื่องดนตรีหลายอย่างได้ หลังจากประกาศดาวเดือนมหาลัยแล้วก็จะมีวงดนตรีขึ้นเล่นด้วยนะ แต่ผมไม่รู้ว่าวงของใคร เรื่องนี้ไอ้หมีมันเป็นคนจัดการ นี่ถือว่าเป็นเหมือนงานปาร์ตี้ฉลองก่อนสอบไฟนอลเลยนะครับ

ควรดีใจไหมเนี่ยะ

ผมยกมือปิดปากหาว นี่มามอตั้งแต่เช้ามืดละ เพลียเหมือนกันนะที่ต้องตื่นแต่เช้าติดกันหลายวันแบบนี้น่ะ เมื่อคืนผมนอนดึกด้วยครับเพราะว่าแต่งนิยายไง นิยายของผมตอนนี้แต่งดองเก็บไว้ถึงบท 27 ละครับ ก็จะมีลงไปจนถึงช่วงสอบไฟนอลด้วย ปกติผมจะลงนิยายอาทิตย์ละบท ลงช่วงหัวค่ำหน่อย ตอนที่ผมเรียนเรื่องเกี่ยวกับสื่อเนี่ยะ ผลสำรวจออกมาว่าช่วงประมาณหัวค่ำคือช่วงที่คนจะเล่นโซเชี่ยลเยอะนะครับ ผมก็เลยเลือกช่วงเวลานั้น

เรียนมาต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์

“ หนม ”

ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบเพื่อนภีมที่ยืนหอบแดก “ เป็นไรวะ ทำไมหอบแบบนั้นอ่ะ ”

“ หมาวิ่งไล่อ่ะดิ่ โอ้ยกูจะตาย ” มันบอกก่อนจะนั่งลงข้างผม

“ มึงไปโดนหมาที่ไหนวิ่งไล่มาวะ ”

“ หมาแถวหอนั่นแหละ คือว่าการแสดงพิเศษของไอ้เป้มันจะเล่นกีต้าร์ไง กูก็เลยกลับไปเอามาให้ แต่หมาที่ไหนไม่รู้เสือกมาวิ่งไล่ กูกะจะเอากีต้าร์หวดแม่งละ ”

“ ใจเย็นนะมึงนะ อ่ะนี่น้ำ ” ผมยื่นน้ำให้มัน “ แล้วมึงเอากีต้าร์ไปให้ฝ่ายเตรียมของรึยัง ”

ไอ้ภีมพยักหน้ารับเบาๆ “ เดี๋ยวพองานประกวดจบนะกูจะตบไอ้เป้แรงๆ สักที กูเตือนตั้งแต่เมื่อคืนละเรื่องกีต้าร์ มัวแต่เล่นเกม ”

“ เมื่อคืนก็ไปนอนด้วยกันหรอ ”

“ เอ่อ.....” เจ้าตัวอึกอัก “ คือ.....กูโทรเตือนมันไงเมื่อคืนนน่ะ ”

ผมหรี่ตามองมันอย่างสงสัย “ แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันเล่นเกม ”

“ ก็....ไอ้เป้มันจะทำอะไรนอกจากเล่นเกมวะ มึงก็รู้หนิ ”

“ มันจะใช่เร้อ ” ผมยกยิ้มมองมัน แม่งมีพิรุธเต็มไปหมดอ่ะ สีหน้าท่าทางนี่แสดงออกมาหมดเลยนะครับ

ตลกชะมัด

ไอ้ภีมมันจะเป็นคนที่โกหกไม่เก่ง เวลามันอยากจะเอาตัวรอดจากอะไรสักอย่างมันก็แค่ทำมึนไป หาวกลบเกลื่อนไม่สนใจอะไรทำนองนั้น แต่ถ้าให้มันมาหาข้ออ้างโน่นนี่มาพูดล่ะก็ ยังไงก็ไม่เนียน ในกลุ่มนี่คนที่โกหกได้เนียนที่สุดคือไอ้ไผ่ครับ เคยมีครั้งนึงมันเคยทำแก้วใบโปรดของอาจารย์อมรตกแตก มันก็พูดอะไรสักอย่างจนอาจารย์เขาเข้าใจว่าลมพัดเข้ามาในห้องจนทำให้แก้วร่วงแตก

ลมต้องโคตรแรงอ่ะถึงทำให้แก้วร่วงแตกได้

อาจารย์ก็เชื่อมันด้วยไงประเด็น

ผมก็ยังสงสัยเรื่องที่เกิดเรื่องขึ้นที่ร้านเหล้าอยู่นะ ที่พี่ฉายเขาทำท่าเหมือนจะรู้จักไอ้ไผ่น่ะ ไปรู้จักกันได้ยังไงวะ คือไอ้ไผ่นี่ก็เป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยนะครับ เวลาเลิกเรียนเสร็จผมก็ไม่ค่อยเห็นมันได้เห็นนะ เอ๊ะ รึเพราะว่าผมรีบกลับหอบ่อยวะก็เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว อาจจะใช่ก็ได้ ครั้นจะถามตรงๆ กับตัวมัน ผมว่าก็ไม่น่าเวิร์ค

มันคงเล่าวนอยู่สามรอบแน่นอน

“ ไอ้หนม ” ไอ้หมีมันเดินมาหาก่อนจะส่งใบอะไรสักอย่างให้ผม “ นี่ตารางเวลา ”

“ เออ แล้วนี่ดาวเดือนใกล้เสร็จรึยัง มันจะสิบโมงละนะ ”

“ ใกล้แล้วแหละ เออพิธีกรอ่ะโคตรหล่อเลย ”

“ พี่เกียร์อ่ะนะ ”

“ พี่ขุนสิวะ พิธีกรมีสองคนนะ วันนี้พี่ขุนหล่อมากเลยด้วย ”

“ พี่ขุนก็หล่อปกติป้ะวะ ” ผมยกกล้องขึ้นลองถ่ายไอ้หมี

คนโดนถ่ายสะดุ้งก่อนจะทำหน้าทำมุ่ยใส่ “ จะถ่ายทำไมไม่บอกก่อนวะกูจะได้ทำหน้าดีดี ”

“ หน้ามึงนี่ต่อให้ทำยังไงก็ไม่ดีขึ้นมาหรอก ” ไอ้ภีมมันบอกก่อนจะเบ้ปากใส่

“ มึงนี่มันปากดีจริงๆ ” ไอ้หมีมันมองไอ้ภีมก่อนจะยกยิ้ม “ เก็บปากไว้เชียร์ผัวดีกว่าไหม ”

“ ไอ้สัสหมี ” ไอ้ภีมมันถลึงตาใส่ไอ้หมี ส่วนไอ้คนพูดนี่ก็ยิ้มร่าเหมือนกับว่าตัวเองชนะอะไรสักอย่าง

อะไรของพวกมึงกันวะ

ผมนั่งมองไอ้หมีกับไอ้ภีมที่นั่งแหย่กัน ไอ้หมีมันคงว่างงานแล้วล่ะครับถึงมาป่วนตรงนี้ได้ พวกที่เหลือนี่ตอนนี้ก็แยกกันอยู่คนละที่เลย ไอ้ปั้นมันรอเป็นคนไปเชิญท่านอธิการบดี ส่วนไอ้เผือกนี่ไปซื้อข้าวกับไอ้ไผ่ ไปตั้งชาตินึงละตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย ส่วนเพื่อนเป้ก็เตรียมตัวประกวด ความสามารถที่ไอ้เป้แสดงก็คือเล่นกีต้าร์สินะ ไอ้เป้มันดีดกีต้าร์เก่งมากเลยนะครับแต่ว่าจะไม่ค่อยเห็นมันร้องเพลงสักเท่าไหร่

ตั้งแต่รู้จักกันมาผมได้ฟังไปเพลงเดียว

ในกลุ่มผมน่ะมีคนที่ร้องเพลงเพราะมากๆ อยู่คนนึงนะครับ ร้องเพราะอย่างไม่น่าเชื่อเลยแหละ นั่นก็คือไอ้หมีไง ไม่มีใครคิดหรอกครับว่าคนที่เก่งแต่แหกปากแบบมันจะร้องเพลงเพราะขนาดนั้น แต่ว่ามันเองก็ไม่ค่อยอยากจะร้องให้ใครฟังนะ มันให้เหตุผลว่าทุกครั้งที่มันร้องเพลงเนี่ยะก็จะมีคนหลงเสียงของมัน แล้วก็จะตามชอบมันน่ะครับ เป็นเหตุผลที่น่าหมั่นไส้ไปหน่อยแต่ว่ามันก็เป็นความจริงล่ะนะ

เกิดเป็นไอ้หมีนี่ลำบากเนอะ

“ กูว่าเราไปหน้าเวทีกันเถอะ เก็บภาพบรรยากาศ ” ไอ้ภีมบอกก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาคล้องแขน

“ เอองั้นพวกมึงก็แสตนด์บายได้เลย เดี๋ยวกูไปห้องแต่งตัวก่อน ” ไอ้หมีมันบอกก่อนมันจะเดินไป

“ มึงเอาเมมมากี่อันอ่ะภีม ”

“ กูมีสามอ่ะ พอไหม ”

“ พอแหละ เพราะกูก็มีสาม ” เอาจริงๆ เมมหกอันนี่ก็เกินพออ่ะ

“ งั้นไปกันเถอะหนม ” ไอ้ภีมบอกก่อนจะลากผมออกมาด้านหน้าเวที ไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆ ก็ชอบลากผมจังวะ พี่ขุนนี่ก็ตัวดีเลย รายนั้นนี่ถ้าแบกผมเดินได้ก็แบกละ

“ มึงไม่ต้องลากกูก็ได้ภีม ”

“ โทษทีกูลืมอ่ะว่ามึงขาสั้น ”

ผมตีไหล่มันไปแรงๆ ทีนึง “ มึงขายาวเกินชาวบ้านต่างหาก ”

“ เนี่ยะ คนเราไม่ชอบยอมรับความจริง ”

“ ไอ้ภีม ” ผมหยิกแขนมันอีกทีก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับคนที่เดินออกมาจากใต้ตึก

เชี่ยยยยย

ร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เรือนผมสีเทาถูกเซ็ตและเสยขึ้นไปด้านบนจนทำให้เห็นใบหน้าหล่อได้อย่างชัดเจน ดวงตาคมมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ผม เจ้าตัวยกยิ้มก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

ตึกตัก

อา...เข้าใจว่าคำว่าหล่อมากของไอ้หมีแล้วครับ

ผมเห็นพี่ขุนอยู่ในชุดนักศึกษาบ่อยนะ แต่ทำไมวันนี้มันดูพิเศษกว่าวันอื่นๆ วะ ออร่าสีส้มนี่ฟุ้งไปทั้งตัวเลยอ่ะ ตอนที่มีงานถ่ายรูปของนิตยสารของมหาลัยมันก็ไม่ได้ดูหล่อเว่อร์ถึงขนาดนี้นะ เอาง่ายๆ คือแบบแค่เห็นก็ใจสั่นแล้ว ผมเชื่อด้วยว่าต้องไม่ใช่ผมคนเดียวด้วยที่เป็นแบบนี้ ใครก็ตามที่เห็นพี่ขุนนี่ต้องเหลียวหลังมองแน่ๆ

ก็นะ....หล่อลากซะขนาดนี้

" มองพี่ตาค้างเลยนะครับ " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน

ผมทำเป็นเบ้ปากใส่ " หลงตัวเองจริงๆ เลยนะ "

" ก็พี่หล่อจริงๆ นี่นา "

" น่าหมั่นไส้อ่ะ "

พี่ขุนยกมือขึ้นมาดึงแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยว " นี่แน่ะ หมั่นไส้พี่หรอ "

" หนมเจ็บนะ " ผมตีมือพี่ขุนแรงๆ

" อื้ออ...อ..เจ็บ "

ผมตีซ้ำที่เดิมหลายๆ ที " นี่แน่ะ ทำหนมดีนัก "

" พอแล้ว...พี่เจ็บ "

" ไม่พอ " ผมกระหน่ำตีมือมันอยู่อย่างนั้น

" จิ๊..." พี่ขุนจิ๊ปากก่อนจะรวบมือผมไว้ " อย่าหือกับพี่ได้ไหม "

" ทำไม "

" ถ้าพี่เอาคืนขึ้นมา....เดี๋ยวเราจะลุกจากเตียงไม่ขึ้น "

ฉ่า

เอ่อ...เอ่อ

พูดไม่ออกเลยว่ะ

ผมมองพี่ขุนตาปริบๆ รู้สึกได้เลยว่าแก้มร้อนมากครับ จะเอามือขึ้นลูบก็ไม่ได้เพราะพี่ขุนจับไว้อยู่ คนตรงหน้านี่ยิ้มจนแก้มปริเลยครับ คงชอบใจไม่น้อยที่ทำผมเขินได้น่ะ ไม่น่าไปตีพี่มันเลยหนมเอ้ย พี่ขุนนี่ก็เหลือเกินจริงๆ อ่ะ เดี๋ยวนี้พูดอะไรนิดหน่อยก็จะพาลงเตียงอย่างเดียวเลย จากประสบการณ์ครั้งแรกนี่ ทำให้ผมเจ็บช้ำหลายอย่างอยู่ เพราะงั้น....

ครั้งที่สองมันไม่มีง่ายๆ หรอกโว้ยยย

ขอทำใจสักสามเดือน

" หึ้ยยย...ยย...." ไอ้หมีมันเดินมาแทรกกลางระหว่างผมกับพี่ขุนก่อนจะแยกมือเราสองคนออก " เหม็นความรักจริงๆ "

" มึงก็กลั้นหายใจสิ จะได้ไม่ได้กลิ่น "

" นี่...ยังจะมายอกย้อนน้องอีก พิธีกรน่ะขึ้นไปบนเวทีเลยไป " ไอ้หมีมันโบกมือไล่พี่ขุนก่อนจะหันมองผม " ส่วนมึง เป็นตากล้องก็ไปถ่ายรูปสิวะ ดาวเดือนมากันแล้วนั่นน่ะ "

" เออ มึงก็ไปจัดการงานของมึงไปเดี๋ยวกูไปถ่ายรูป "

" ได้ ไปสักทีสิพี่ขุน ต้องให้หมีดันขึ้นไปใช่ไหมห้ะ " ไอ้หมีมันทำเสียงเหี้ยมก่อนจะดันพี่ขุนให้เดินไป

" อะไรของมึงเนี่ยะไอ้หมี " พี่ขุนโวยวายใส่มันก่อนจะหันมามองผม " หนมช่วยพี่ด้วย "

" ลาก่อนนะ "

" อื้ออ.ออ.....ไอ้สัสหมีเดี๋ยวกูล้ม "

" ไม่ล้มหรอกน่า....ขึ้นไปเร็ว "

โคตรวุ่นวายเลย

ผมยืนมองไอ้หมีที่ดันพี่ขุนขึ้นไปบนเวทีอย่างทุลักทุเล นางอาจจะงอนผมก็ได้นะครับที่ไม่ยอมช่วยน่ะ แต่ว่ามันใกล้จะถึงเวลางานแล้วนี่นะ ขืนยังมัวแต่เล่นกันเดี๋ยวจะโดนไอ้หมีทุบ พี่ขุนยืนมองผมอยู่บนเวทีพร้อมกับเบะปากไปด้วย มันคงคิดว่าทำอะไรแบบนั้นจะดูน่ารักมั้งครับ พอเห็นแบบนั้นผมก็ชูสองนิ้วให้พี่มันพร้อมกับยิ้มหวาน

ให้กำลังใจนางหน่อยครับ....จะได้ตั้งใจทำงาน

" หนม "

" หืม " ผมหันไปตามเสียงเรียก " ว่าไงภีม "

" ดาวเดือนมาละ ไปถ่ายรูปกัน อีก 15 นาทีจะเปิดงาน "

ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะหันไปมองพี่ขุน " หนมไปทำงานละนะ พี่ขุนก็ตั้งใจทำงานล่ะ "

" พี่จะตั้งใจทำงานครับ....ให้รางวัลความตั้งใจด้วยนะ "

ไอ้หมีมันเดินมาบังพี่ขุนไว้ " ไปทำงานกันได้แล้วโว้ยยยยยยยยย " มันแหกปากดังลั่น สงสัยท่านหมีจะองค์ลงแล้วล่ะครับ

เพราะงั้นรีบไปดีกว่า

" ไปเร็วภีม " ผมรีบลากไอ้ภีมหนีออกมา " ไอ้หมีมันองค์ลงละ "

" ช่วงนี้มันองค์ลงบ่อยนะกูว่า....สงสัยนอนน้อยจนบ้ามั้ง "

" กูก็ว่างั้น....นั่นไอ้เป้ " ผมชี้ให้ไอ้ภีมมองไปทางซุ้มดอกไม้ที่พวกดาวเดือนยืนกันอยู่

ร่างสูงของเพื่อนรักยืนอยู่ข้างอิงฟ้าครับ วันนี้มันดูหล่อเป็นพิเศษ ออร่าจับมากอ่ะ นี่แหละนะรัศมีของคนจะเป็นเดือนมหาลัยน่ะ อิงฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สวยไม่แพ้กัน เดี๋ยวต้องเอาใจช่วยทั้งสองคน ผมเหลือบมองไอ้ภีม มันยืนมองไอ้เป้ตาค้างเลยครับ เหมือนที่ผมมองพี่ขุนเปี๊ยบ พอเห็นแบบนั้นผมก็ยกกล้องขึ้นไปถ่ายมัน

แชะ

" เห้ย ถ่ายอะไรวะหนม " คนโดนถ่ายสะดุ้งก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ผม

" หน้ามึงเหวอดีอ่ะ กูชอบ " ผมยิ้มบางๆ ให้มันก่อนจะเดินมาหาไอ้เป้ " ถ่ายรูปหน่อยครับคุณเดือนนิเทศ "

ไอ้เป้ฉีกยิ้มทันที " พูดอย่างงี้มันเขินนะมึง "

" จะมาเขินอะไรวะ อิงยืนใกล้ๆ ไอ้เป้หน่อย....นั่นแหละ " พอจัดแจงท่าเสร็จผมก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย

" กล้องนี้ด้วยนะครับ " สิ้นเสียงไอ้ภีมไอ้เป็ก็หันไปมองกล้องมัน แววตาที่มองมานั่นมันไม่ธรรมดาว่ะ ที่สำคัญคือไอ้เป้ไม่ได้มองเลนส์กล้องนะครับ

มันมองไอ้ภีม

โมเม้นท์ดีๆ แบบนี้ผมอดยกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่ได้เลยว่ะ

" มึงถ่ายกูหล่อป้ะเนี่ยะไอ้ภีม " ไอ้เป้มันเดินมาดูรูป

" ก็หล่อน้อยกว่ากูอ่ะ "

" ปากดี " ไอ้เป้มันโขกหัวไอ้ภีมก่อนจะหันมาผม " แล้วดอกกุหลาบจะไปเอากี่โมงอ่ะหนม "

" สักบ่ายๆ อ่ะ เดี๋ยวกูไปกับไอ้ปั้น "

ไอ้เป้พยักหน้ารับคำ " โอเค กูไปหลังเวทีละ "

" สู้ๆ นะมึง " ผมชูสองนิ้วให้เพื่อนรัก เจ้าตัวก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินไป

พวกดาวเดือนพากันเดินไปด้านหลังแล้วครับ นี่ก็จะใกล้เปิดพิธีแล้ว บนเวทีก็มีพี่เกียร์กับพี่ขุนยืนคู่กันอยู่ รู้สึกพวกดาวมหาลัยเมื่อปีก่อนจะมาในช่วงที่เริ่มกิจกรรม พวกพิธีการช่วงเช้าก็จะเป็นหน้าที่ของสองคนนี้ ตอนนี้มีพวกนักศึกษาจากคณะอื่นไม่น้อยเลยนะครับที่มาเชียร์การประกวดน่ะ คนนี่เต็มลานเลย พวกตากล้องจากคณะอื่นก็มีเหมือนกัน ดีนะว่าพวกผมได้พื้นที่ยืนใกล้เวทีน่ะ เดี๋ยวจะต้องสะกดจิตตัวเองว่าให้ถ่ายรูปทุกคนอย่างเท่าเทียม

ไม่ใช่ถ่ายรูปพี่ขุนแค่คนเดียว

จากงานรับน้องของวิศวะครั้งก่อน ก็พบว่ามีรูปพี่ขุนอยู่เต็มเมมไปหมดเลยครับ รูปคนอื่นน้อยมาก ผมนี่โดนเพื่อนๆ ดุเลย รู้สึกผิดอยู่แหละแต่ตอนนั้นมันควบคุมตัวเองไม่ให้ถ่ายพี่ขุนไม่ได้จริงๆ อ่ะครับ มันเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมอยากจะกดชัตเตอร์ถ่ายรัวๆ และแต่ละรูปที่ถ่ายได้นี่ไม่มีหลุดเลยนะครับ แม่งออกมาดูดีทุกรูปเลยอ่ะ

คนอะไรก็ไม่รู้

" หนม "

" ว่า "

" อย่าถ่ายแค่พี่ขุนนะ....ไอ้หมีมันเอามึงตายแน่ "

" กูรู้แล้วน่ะ....มึงก็อย่าถ่ายแค่ไอ้เป้ล่ะ "

" มึงนี่มัน...."



---------- 50 % ---------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 25 : 29/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 29-11-2017 21:32:28
---------- ต่อจากบท 25 ----------



อากาศตอนบ่ายสองนี่มันร้อนจริงๆ เลยนะครับ

เหมือนตัวจะระเหยเลยอ่ะ

ตอนนี้ผมอยู่บนรถครับกำลังจะไปเอาดอกกุหลาบที่สั่งไว้ บอกเลยว่าโคตรเมื่อยแขน ตั้งแต่เปิดพิธีผมก็ถือกล้องถ่ายรูปมาตลอดเกือบสี่ชั่วโมง แล้วกล้องของผมใช้เลนส์ 70-200 มันหนักเกือบสองโลครับ ผมล้าแขนมาก ช่วงที่ผมมาเอาดอกกุหลาบนี่ก็เปลี่ยนให้ไอ้เผือกถ่ายแทน ตามตารางคิวนี้ตอนนี้คงใกล้จะอยู่ในช่วงแสดงความสามารถพิเศษ ดาวเดือนจาก 12 คณะ ก็น่าจะกินเวลาเกือบสองชั่วโมงได้ ขอให้กลับไปดูไอ้เป้แสดงให้ทันด้วยเถอะ

อยากเห็นเพื่อนเป้ร้องเพลงครับ

เดี๋ยวผมจะต้องเหมากุหลาบสักร้อยดอกเพื่อไปให้ไอ้เป้มัน ดาวเดือนน่ะเขาจะมีรางวัลป๊อปปูล่าโหวตด้วยดอกกุหลาบ ตอนแรกผมเสนอไอ้หมีให้เอาอย่างอื่นไปโหวตด้วยนะ คือผมว่าดอกกุหลาบมันเอ้าท์อ่ะ ที่อื่นเขาก็ทำกัน ไอ้หมีเอาเรื่องนี้ไปลองขอดูแต่ว่าไม่ผ่านทางสำนักกิจการศึกษาครับ ก็เลยต้องเอาเป็นกุหลาบเหมือนเดิม น่าเสียดายเหมือนกันนะ ของโหวตที่ผมเสนอไปคืออมยิ้มไง ถ้าไอ้เป้ได้เยอะพวกเราก็จะได้เอามากินได้

เนี่ยะเห็นไหมว่าผมมองการณ์ไกลมาก

" หนม "

" หืม...."

" มึงว่าใครจะชนะเดือนปีนี้วะ "

ผมเหลือบมองไอ้ปั้น " อย่าว่ากูอวยไอ้เป้เลยนะ แต่กูว่าไอ้เป้ชนะแน่ "

" แต่ตัวเต็งมีหลายคนเลยนะมึง เท่าที่กูดูอ่ะที่สูสีมากๆ ก็มีอยู่สามคณะนะ "

" หรอวะ กูจำแค่ไอ้เป้เป็นตัวเต็งอ่ะ แต่ไม่รู้ว่ามีใครอีก เอาจริงๆ กูไม่ได้สนใจใครเลย "

" สนใจแต่พี่ขุนไงมึงอ่ะ "

" เดี๋ยวไอ้สัส...คนละเรื่องละ " ผมเบ้ปากใส่มันไปทีนึง " ว่าแต่ไอ้ตัวเต็งอ่ะมีคณะไหนอีกวะ "

" ก็มีแยมของวิศวะ กับสิบสามที่เป็นเดือนแพทย์ "

ผมพยักหน้ารับ " เดือนแพทย์ที่มันหน้านิ่งๆ เลยใช่ป้ะวะ กูเห็นอยู่ครั้งนึง แต่มันหล่อมากเลยนะมึงแบบขนาดกูเป็นผู้ชายกูว่ามันหล่อเลยอ่ะ "

หล่อจริงหล่อจังเลยนะครับเดือนแพทย์น่ะ สีหน้านิ่งเฉยนั่นก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเลย ผมว่าเจ้าตัวอาจจะโดนบังคับมาเป็นเดือนก็ได้ เพราะว่ามักจะทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ผมว่าผมเป็นคนที่หน้าดูนิ่งมากแล้วนะ แต่ว่าไอ้เนี่ยนิ่งกว่าผมอีกอ่ะ แล้วชื่อก็แบบ...หื้ม.ม.ม....ชื่อสิบสาม มันจะมีสักกี่คนในโลกอ่ะครับที่ชื่อนี้อ่ะ เรียนแพทย์ ชื่อก็เฟี้ยว แถมยังหล่อมากอีกต่างหาก แต่ถึงจะหล่อมาจากไหนก็สู้พี่ขุนของผมไม่ได้หรอกครับ

ฮ่าๆๆๆๆๆ

งานอวยแฟนต้องมา

" ยิ้มอะไรวะหนม "

" ห้ะ...เปล่า "

" เปล่าห่าไรล่ะ กูเห็นมึงยิ้มอยู่ "

" กูก็แค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ ไม่มีไรสักหน่อย "

เพื่อนปั้นเหลือบมองผมก่อนจะยกยิ้ม " ตั้งแต่มึงคบกับพี่ขุนนี่ มึงยิ้มบ่อยขึ้นนะ "

" จริงหรอวะ "

" ใช่สิ กูว่ามันก็ดีนะ เพราะว่าเวลามึงยิ้มมันน่ารักน่ะ "

" ทำไมชอบเอาคำว่าน่ารักมาใช้กับกูวะ "

" ก็มึงน่ารัก น่ารักในที่นี้มันมาจากการกระทำ ผู้ชายที่ถูกชมว่าน่ารักมันไม่ได้หมายความว่าเขาเหมือนผู้หญิงสักหน่อย นึกถึงเวลาที่แม่ชมมึงว่าน่ารักสิ มันก็ไม่ได้ต่างกันหนิ จริงไหม "

" มันก็จริง เห้ยไอ้ปั้นนนนนน "

ปี๊นนนนนนนนนนน

" ขับรถภาษาอะไรของมันวะ " ไอ้ปั้นสบถออกมาอย่างหัวเสีย ส่วนผมก็ได้หอบหายใจแรงๆ ออกมา

หัวใจเกือบจะวายตายแน่ะเมื่อกี้

มันมีรถกระบะสีดำออกมาจากซอยครับ แล้วมันตัดหน้าพวกผมไปเลย คือผมมาทางตรงกันไง ถ้าไอ้ปั้นมันเบรกไม่ทันนี่มีชนแล้วอ่ะจริงๆ แล้วไอ้กระบะคันนั้นก็ขับออกไปเลยนะครับ ดีนะที่รถด้านหลังพวกผมไม่มีน่ะ ไม่งั้นนะแย่แน่เลย ผมไม่ชอบแบบนี้เลย คนที่ไม่คิดถึงผลที่จะตามมาอ่ะ

ไม่กลัวตายบ้างรึไงนะ

" มึงโอเคไหมหนม "

" กูโอเค เสียงดายที่เห็นป้ายทะเบียนไม่ชัด "

" นั่นสิ เห็นแก่ตัวชิบ เมื่อกี้นี่ความเป็นความตายของชีวิตเลยนะ "

" ใช่ไง เฮ้อ รีบไปเถอะ เพื่อนๆ รอเราอยู่ "

" โอเค " ไอ้ปั้นมันออกรถอีกครั้ง " หงุดหงิดเลยว่ะ "

" กูก็หงุดหงิด ไม่รู้แม่งจะรีบไปไหน "

" เสียบปลั๊กเตารีดทิ้งไว้มั้งกูว่า " ไอ้ปั้นมันเอ่ยอย่างติดตลก ผมก็หลุดขำออกมาเพราะคำพูดมัน

เก่งจริงๆ เลยนะเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศเนี่ย

ถ้าคนที่มาด้วยคือไอ้เผือกหรือไอ้เป้นะ มันคงขับตามไปเอาเรื่องแล้วอ่ะ ดีไม่ดีมีกระทืบด้วยเอ้า ดีว่าผมมากับไอ้ปั้น มันเป็นคนใจเย็นครับ คือเรื่องไหนปล่อยไปได้ก็ปล่อย ไอ้กระบะคันดำเมื่อกี้มันไปละไง จะเอาเรื่องก็ไม่ทันแล้วอ่ะ ที่มันบอกว่ามันหงุดหงิดนี่ก็หงุดหงิดจริงแหละแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็พูดเปลี่ยนเรื่องไป นิสัยของไอ้ปั้นนี่เป็นประโยชน์มากเลยนะครับเวลาคุยงานของคณะน่ะ

นี่แหละผู้เชื่อมความสัมพันธ์ที่แท้ทรู

" เออหนม เราสั่งดอกกุหลาบไปเท่าไหร่นะ "

" สองพันดอก ส่วนเงินไอ้หมีมันจ่ายไว้เรียบร้อย มันบอกว่าเจ้าของร้านคือคนที่มันรู้จัก "

" ไอ้หมีนี่ก็รู้จักคนเยอะไปหมดเลยเนอะ ทุกสาขาทุกอาชีพ ทุกชั้นปี เด็ก ผู้ใหญ่ ดีไม่ดีหมาในมอมันอาจจะรู้จักก็ได้ "

" ฮ่าๆๆๆๆ ก็จริงของมึงอ่ะ แต่ก็ดีนะกูว่า เวลาทำอะไรก็จะได้สะดวกหน่อย "

" แต่กูว่าไอ้หมีมันเก่งนะ หลายคนที่มันรู้จักมีไม่น้อยที่ไม่ชอบขี้หน้ากันใช่ไหมล่ะ แต่ตัวมันดูไม่มีปัญหาในส่วนนี้เลย กูว่าคนในกลุ่มเราที่มีวาทะศิลป์ดีเลิศก็มันนี่แหละ "

" นั่นสินะ เออปั้น ไอ้หมีมมันเคยเล่าเรื่องฝันร้ายให้มึงฟังไหม "

" ไม่ เคยบอกว่าฝันร้ายตอนที่จะมาค้างที่หอกู กูถามแต่ว่ามันก็ไม่เล่า บอกแค่ว่าสักวันนึงเดี๋ยวจะบอกเอง กูก็ไม่เซ้าซี้ถาม " เจ้าตัวเหลือบมองผม " อะไรที่ทำให้มันสบายใจ กูก็ตามใจมัน "

" อยากรู้อ่ะมึงว่าฝันร้ายของมันคืออะไร "

" ทุกคนอยากรู้หมดแหละ แต่ว่าเราก็ต้องรอให้มันเป็นคนเล่าออกมาเองล่ะนะ "

ผมพยักหน้ารับคำที่ท่านประธานพูดเบาๆ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ อีกนานแค่ไหนกันวะที่มันจะเล่าออกมาให้ฟังน่ะ ช่วงนี้ไอ้หมีมันยุ่งงานดาวเดือนก็เลยไม่มีเวลามานั่งคิดโน่นคิดนี่มั้งครับ สีหน้านี่เหนื่อยเพราะงานอย่างเดียวเลย แต่ว่ามันอาจจะเก็บไว้ไม่ให้ใครเห็นก็ได้นะ เพราะปกติก็เป็นแบบนั้น พวกบรรดาเพื่อนๆ ที่อยากรู้เรื่องมันก็ต้องอดใจรอไปก่อน ไม่แน่ว่ามันอาจจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตอน 10 ปีข้างหน้าก็ได้นะ

แต่ไม่เป็นไรครับเราจะรอวันที่เพื่อนหมีพร้อม

" เห้ยปั้น นั่นมันกระบะคันนั้นหนิ " ผมชี้ให้มันดูรถกระบะสีดำคันที่ตัดหน้ารถของพวกเรา " กำลังจะติดไฟแดงว่ะ "   

" แซงแล้วลงไปบวกเลยไหมล่ะ "

" หืม...มึงจะเอาหรอ "

" กูพูดเล่นน่ะ เราไม่ได้ว่างขนาดนั้น "

" เออก็จริง " ผมมองรถกระบะที่เร่งความเร็วเพื่อฝ่าไฟแดงโดยไม่ดูรถที่กำลังจะขับข้ามแยก " เห้ยปั้นมันฝ่าไฟแดงว่ะ "

" เห้ยนั่นรถ "

โครมมม

" ชิบหายละ " ผมมองรถยนต์คันนึงที่หักหลบกระบะคันเมื่อกี้จนเสียไปพุ่งเข้าไปชนกับเสาไฟฟ้า " ไอ้ปั้นมึงจอด "

" เออๆ ควันออกเต็มฝากระโปรงรถเลยว่ะ " ไอ้ปั้นมันรีบขับมาจอดด้านหลังรถคันดังกล่าว เขาจะเป็นอะไรไหมวะนั่นน่ะ เมื่อกี้ผมเห็นป้ายทะเบียนชัดเลยนะครับ เดี๋ยวต้องแจ้งความละ ขับรถเห็นแก่ตัวขนาดนี้

" ไอ้ปั้นมึงรีบโทรเรียกรถพยาบาลเลย กูจะไปดูอาการเค้า " ผมหยิบขวดน้ำที่เบาะหลังก่อนจะรีบลงไปช่วย

ตอนนี้ควันเต็มไปหมดเลยครับ เข้าไปในห้องผู้โดยสารด้วย ผมวิ่งมาจนถึงกระจกข้างคนขับ เห็นผู้ชายคนนึงอยู่ในรถ น่าจะรุ่นเดียวกับป๊าครับ หัวเขาแตกแต่ว่ายังดูมีสติดีแต่เหมือนขาจะติดรึเปล่าวะ ผมรีบเปิดประตู ควันที่อยู่ในรถตอนแรกพวยพุ่งออกมา พอเห็นแบบนั้นผมก็เทน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้าก่อนจะเอาไปปิดจมูกเขาไว้

" พยายามอย่าสูดควันเข้าไปนะครับ ผมจะรีบช่วยคุณลุงออกมา "

" ขาของฉัน....มันติด "

" ผมจะช่วยเองนะครับ " ผมบอกก่อนจะหันไปหาไอ้ปั้น " ไอ้ปั้นมึงหยิบชะแลงมาช่วยงัดหน่อยขาเขาติดออกไม่ได้ แค่กกก...ก...เร็วๆ " ผมเทน้ำใส่เสื้อแจ็คเก็ตตัวเองก่อนจะเอาขึ้นมาปิดจมูก

ไอ้ปั้นวิ่งมาพร้อมกับชะแลง " หนมมึงหลบ " ไอ้ปั้นมันสอดชะแลงเพื่อจะงัดเหล็กขึ้น

" มาๆ เต็มแรงเลยนะมึง " ผมเข้าไปช่วยไอ้ปั้นงัดสุดแรง

" อื้ออ.อ.อ..อ.อ......"

" โอ้ยสัสอย่างแข็ง.....คุณลุงอดทนก่อนนะครับ " ผมบอกก่อนจะออกแรงงัดขึ้นไปอีก

" มีอะไรให้ช่วยไหมครับน้อง " เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง ก็พบผู้ชายสี่คน ด้านหลังรถของผมก็มีรถคันนึงจอดอยู่ คงเป็นรถของพวกเขา

" มีครับ ช่วยงัดหน่อยครับ ขาเขาติดออกมาไม่ได้ "

" โอเค จิมมึงไปอีกฝั่งนึง ไอ้ยัพมึงทำยังไงก็ได้ให้ควันมันจางหน่อย " พี่หัวส้มสั่งเพื่อนๆ ก่อนจะมาจับชะแลงอยู่ข้างๆ ผม " เอาล่ะนะ 3.....2.....1 "

" อื้อออ.อ.อ.อ..... "

พวกผมกับพวกพี่ๆ ออกแรงงัดกันสุดพลัง คุณลุงเองก็คงอดทนอยู่เหมือนกัน พี่หัวทองก็วิ่งถือแผ่นกระดาษแข็งมาพัดไล่ควันให้ เมื่อไหร่รถพยาบาลจะมาวะ เลือดคุณลุงนี่ไหลไม่หยุดเลยครับ ผมเป็นห่วงเขามากเลยอ่ะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นอะไรกับผมก็เถอะ เขาไม่น่าต้องตกมาเป็นผู้เคราะห์ร้ายของคนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้

น่าหงุดหงิดใจจริงๆ

" ขยับแล้วๆ ออกแรงอีก ลุงอดทนก่อนนะครับ อ่ะพวกเราพร้อมกัน 3...2...1 " พี่หัวส้มส่งสัญญาณ ผมก็ออกแรงงัดเต็มที่

กึก

" ได้แล้วๆ เนย์มึงรีบพาลุงเขาออกมาเร็วๆ "

พี่ผมยาวรีบประคองคุณลุงออกมาจากรถอย่างระมัดระวัง " อดทนหน่อยนะครับลุง เดินได้อยู่ใช่ไหมครับ "

" อื้อออ..อ....เดินได้แต่เจ็บขาน่ะ "

พอได้ยินแบบนั้นผมจึงเข้าไปช่วยประคองอีกคน " งั้นช้าๆ นะครับ ไปครับ "

ผมกับพี่ผมยาวค่อยๆ ประคองคุณลุงเดินออกมาจากรถ พี่คนที่คอยพัดให้ก็ไปหยิบเก้าอี้เล็กในรถมาตั้งให้คุณลุงนั่งก่อนจะยืนพัดให้อยู่แบบนั้น เฮ้อ ค่อยโล่งหน่อยที่เขาไม่เป็นอะไรมาก พี่หัวส้มเข้าไปหยิบพวกกระเป๋าเอกสารกับโทรศัพท์ออกมาให้คุณลุงด้วย ตอนนี้รถมีควันโขมงเต็มไปหมดเลยครับ น้ำมันซึมออกมาจากด้านล่างด้วย ไม่รู้ว่าไฟจะไหม้รึเปล่า กว่าผมจะช่วยคุณลุงกันออกมาได้นี่ก็กินเวลาเกือบสิบนาทีเลยนะ

สิบนาทีแล้วแต่รถพยาบาลยังไม่มาเลยอ่ะ

" แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมรถถึงชนเสาไฟฟ้า " พี่ผมยาวถาม

" มันมีกระบะมีดำฝ่าไฟแดงน่ะพี่ แล้วลุงเขาหักหลบรถก็เลยไปชนเสาไฟ "

พี่ถือพัดพยักหน้ารับ " แล้วจำทะเบียนรถได้ไหม "

" จำได้ครับ ทะเบียน กกXXXX "

" ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดนะ คนแบบนี้เอาไว้ไม่ได้ " พี่หัวส้มบ่นอย่างหัวเสีย

วี่หว่ออออออออออ

ผมหันไปตามเสียง รถพยาบาลแล่นเข้ามาจอด " มาแล้วครับ "

" พวกพี่คงตามไปช่วยมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะเพราะว่ามีงานที่มอ เราสองคนชื่ออะไรล่ะ พี่จะได้จำไว้ " พี่ผมยาวถาม

" ผมชื่อปั้น ส่วนเพื่อนชื่อขนมครับ "

" พี่ชื่ออาคเนย์นะ ไอ้หัวส้มนั่นชื่อบูรพา ไอ้ที่พัดอยู่ชื่อพายัพ ส่วนไอ้ฟูนั่นชื่อประจิม "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะยกมือไหว้ " ขอบคุณพวกพี่นะครับที่เข้ามาช่วย "

" ไม่เป็นไรครับ เรื่องแบบนี้มันต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว " พี่พายัพบอกก่อนจะยิ้มหวาน

" ใช่ พี่ดีใจนะที่ได้เจอคนดีๆ แบบเราสองคนน่ะ ถ้ามีโอกาสหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ " พี่บูรพาบอกก่อนจะหันไปยิ้มให้คุณลุง " หายไวไวนะครับลุง รักษาตัวด้วย พวกผมขอตัวก่อน "

" ขอบใจพวกเธอนะ "

" ไม่เป็นไรครับ " พี่ๆ พากันยกมือไหว้คุณลุงก่อนจะเดินขึ้นรถแล้วขับออกไป

โชคดีจริงๆ ที่เขาผ่านมากันน่ะ

ลำพังผมสองคนก็คงงัดไม่ไหวอ่ะครับ ดีนะที่มีคนมาช่วยเพิ่ม ไม่งั้นคุณลุงต้องแย่แน่ พวกหน่วยพยาบาลก็มาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับคุณลุง เขาจะมีลูกหลานไหมนะ จะได้ติดต่อให้มาดูแล ขาของเขาน่าเป็นห่วงอยู่นะครับ ยังไงก็ต้องไปให้หมอตรวจ ตอนนี้ไอ้ปั้นมันคุยกับตำรวจอยู่ มันคงโทรหาตำรวจด้วยล่ะมั้ง แต่ก็ดีละ จะได้จับคนผิดมาลงโทษ

คนแบบนี้ต้องติดคุกซะให้เข็ด

" คุณลุงให้ผมโทรหาญาติให้ไหมครับ "

" เดี๋ยวฉันจะโทรหาภรรยาน่ะ แต่ตอนนี้เธอติดประชุมสำคัญอยู่ คงต้องรออีกสักพัก "

" งั้นผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณลุงจนกว่าเธอจะมานะครับ " ผมบอกก่อนจะหันไปหาไอ้ปั้น " ปั้น...กูจะไปโรงพยาบาลกับลุงเขา ส่วนมึงไปเอาดอกกุหลาบแล้วรีบกลับมอ "

" เอางั้นหรอ แล้วมึงจะกลับยังไง "

" เดี๋ยวกูโทรให้มึงมารับละกัน แล้วก็ไม่ต้องบอกใครเรื่องนี้นะ กูไม่อยากให้วุ่นวาย "

" เอางั้นก็ได้ "

" โอเคตามนี้ " ผมเดินขึ้นรถพยาบาลก่อนจะนั่งข้างเปลที่คุณลุงนอน " พวกเอกสารผมจะเก็บไว้ให้นะครับ "

" ขอบใจเธอจริงๆ นะ "

ผมยิ้มรับบางๆ ดีใจนะครับที่ได้ช่วยคุณลุงเขาน่ะ แม่ผมสอนไว้ครับว่าอย่าลังเลใจที่จะช่วยเหลือใคร ถ้าเรามีโอกาสก็ทำไปเลย การช่วยเหลือของเราอาจจะช่วยชีวิตเขาไว้เลยก็ได้ มันก็น่าเสียดายอยู่ที่อาจจะไม่ได้ไปเชียร์เพื่อนเป้ แต่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวส่งไอ้ปั้นไปแทน ส่วนผมก็จะส่งแรงใจไป

สู้เขานะเป้เพื่อนรัก





โรงพยาบาล M

ตอนนี้ผมนั่งเฝ้าคุณลุงอยู่ เขาหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา อาการของคุณลุงไม่เป็นไรแล้วครับ ก็หัวแตกแล้วก็อาจจะปวดตามข้อขา ผลตรวจนี่ไม่เจอว่ากระดูกหักหรือร้าวนะครับ ถือว่าโชคดีไป ตอนนี้ก็ประมาณทุ่มกว่าๆ แล้ว ผมว่าดาวเดือนคงใกล้ประกาศผลแล้วล่ะ ตื่นเต้นจังไม่รู้ว่าใครจะได้ตำแหน่ง

อยากรู้ข่าวเร็วๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมหันไปตามเสียงประตู ก็พบผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม นี่คงจะเป็นภรรยาของคุณลุง มีผู้ชายเดินตามมาด้วยครับ น่าจะเป็นลูกชายมั้งครับ ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย ผมยกมือไหว้คุณป้า เขาก็รับไหว้พลางยิ้มบางๆ

" เธอคือคนที่ช่วยสามีของฉันสินะ "

" ใช่ครับ "

คุณป้าเดินเข้ามากุมมือคุณลุง " เขาเป็นอะไรมากไหม "

" แต่หัวแตกแล้วก็ฟกช้ำน่ะครับ หมอบอกว่ารอดูอาการสองสามวันก็กลับบ้านได้ "

" ขอบคุณเธอจริงๆ นะที่ช่วยเขาน่ะ และก็ขอโทษด้วยที่ทำให้รอนาน "

" ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง "

" ขอบคุณนะครับที่ช่วยพ่อของผม " ลูกชายเขายกมือไหว้ผม ผมเองก็รับไหว้ไว้

" พี่ยินดีครับ "

" แม่จะให้เขาโทรหาพี่ๆ ไหมครับ "

" ไม่ต้องค่ะ พวกพี่ๆ เขาคงยุ่ง อีกอย่างพ่อของเราคงจะไม่อยากให้พี่ๆ รู้หรอก "

" เอาแบบนั้นก็ได้ครับ....เอ่อ พี่ชื่ออะไรหรอครับ "

" พี่ชื่อ ขนม "

น้องเขาพยักหน้ารับเบาๆ " ขนม....."

ครืดดด...

" สักครู่นะครับ " ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ " ฮัลโหลว่าไงปั้น....มารับแล้วหรอ "

" ชื่อคุ้นๆ "

" เออได้เดี๋ยวกูไป...โอเค " ผมกดวางสายก่อนจะหันมองทางคุณป้า " ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ เพื่อนมารับแล้ว "

" จ่ะ ขอบคุณเธออีกครั้งนะ "

ผมยิ้มหวานให้ " ไม่เป็นไรครับ ผมลาล่ะครับ สวัสดีครับ " ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

โล่งใจจัง รู้สึกดีในสิ่งที่ทำมากเลยนะครับ เดี๋ยวต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง ท่านต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ผมได้ช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็ต้องรอหลังไฟนอลล่ะนะ ผมเดินมาหน้าตึกก็พบรถของไอ้ปั้น คงประกาศผลเสร็จเรียบร้อยละล่ะถึงได้มารับน่ะ ตื่นเต้นเรื่องดาวเดือนจะแย่ ผมรีบขึ้นรถก่อนจะคาดเบลท์

" ลุงเป็นไง "

" ปลอดภัยดี ขาไม่หัก อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้ "

" ดีจังที่เขาไม่เป็นอะไรมาก " ไอ้ปั้นยิ้มบางๆ ก่อนจะออกรถ

" เออว่าแต่ ผลดาวเดือนอ่ะยังไง "

" ดาวมหาลัยคือเจ้าขา ส่วนตำแหน่งเดือนตกเป็นของไอ้เป้ "

" เย่!!!! กูบอกแล้วว่ามันต้องชนะ " ผมยิ้มแป้นอย่างดีใจ มีเพื่อนเป็นเดือนมหาลัยแล้วครับ ปริ่มสุดใจอ่ะบอกเลย

" มันมีพีคกว่านั้นอีกหนม มึงต้องเข้าไปดูคลิปในเฟซไอ้หมี "

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าไปในเฟซบุ๊ก " มีคลิปไรวะ "

" มันเป็นคลิปที่ไอ้เป้มันขอ 3 อย่างจากไอ้ภีม " คนพูดเหลือบมองผม " ไอ้ภีมมันบอกไอ้เป้ไว้ว่าถ้ามันชนะ ได้เป็นเดือนมหาลัยมันจะให้ไอ้เป้ขอมันได้ 3 อย่าง มึงดูคลิปเอาละกัน แล้วมึงจะอ้วกอ่ะ โคตรเหม็นความรักกูบอกเลย "

" ขนาดนั้นเลยหรอวะ " ผมกดเข้ามาหน้าเฟซบุ๊กไอ้หมี ก็พบไอ้คลิปที่ว่า

คำขอ 3 ข้อ

คลิปเพิ่งลงไปได้ไม่นานแต่ยอดวิวเป็นพันเลยว่ะ ยอดแชร์อีกเป็นร้อย จำนวนไลค์กับคอมเม้นต์นี่ไม่ต้องพูดถึง เปิดคลิปมามันจะอยู่ตอนที่ไอ้เป้มันกำลังพูดความในใจ เสียงกรี๊ดดังลั่นเลยครับ เข้าใจฟีลว่าไอ้เป้มันพูดผ่านไมค์บนอยู่บนเวทีไหม แล้วไอ้ภีมมันอยู่ตรงลานข้างล่าง อยู่ตรงกลางด้วยประเด็น

แม่งอย่างเด่น

" โหยยยปั้นนนน " ผมตาโตทันทีที่ได้ยินคำขอแรก " หมายความว่าไงไม่ปิดบังอีกต่อไป "

" ก็มันคบกันมาตั้ง 3 ปีไง ตั้งแต่ม.5 "

ผมเบิกตากว้างทันที่ได้ยิน " โหหหหหหห "

" ตอนกูรู้กูโหยาวกว่ามึงอีก แถมตบกะโหลกมันไปคนสองทีด้วย กับเพื่อนกับฝูงเนี่ยะมีความลับไอ้ชิบหาย "

" แต่มันปิดกันมานานมากเลยนะ มันมีช่วงที่เราไปฟาร์มแกะอ่ะกูไปเห็นว่ามันไปคล้องกุญแจคู่รักด้วยกัน กูถึงสงสัยในตัวมันสองคน "

" กูสงสัยมาตั้งแต่เทอมซัมเมอร์ละ คิดว่ามันอาจจะได้กัน แต่ไม่คิดว่าจะคบกันมานานขนาดนั้น "

" เออแม่ง โหยละแบบคำขอ โอ้ยยยยย กูยอมแล้ว " ผมยกมือลูบหน้าไล่ความร้อนเบาๆ เขินแทนไอ้ภีมครับไม่ใช่อะไร ตอนนั้นมันคงมีความสุขมากแน่ๆ

ยิ้มแก้มปริซะขนาดนั้น

" แม่งทำไรไม่เกรงใจคนโสดอย่างกูเลย "

" มึงก็หาสิวะ " ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า " อย่างมึงหาได้อยู่แล้ว "

" ถ้าคู่นอนก็หาง่ายอยู่หรอก แต่คู่ชีวิตมันหายากนะมึง ทำไมเหมือนในกลุ่มจะชอบผู้ชายกันหมดเลยวะ เหลือกูคนเดียวหรอที่ชอบผู้หญิง "

" อืม.ม.ม....ความรักมันไม่เลือกเพศนี่หว่า "

" ก็จริงของมึง ความรักก็คือความรักอ่ะนะ " มันยิ้มออกมาบางๆ " เออหนม พี่ขุนถามหาด้วยนะแต่กูหาข้ออ้างไปให้ละ "

" ขอบใจมากนะมึง ว่าแต่มึงหาข้ออ้างอะไรบอกเขาไปวะ "

" กูบอกว่ามึงหายไปฝึกท่ายากเอาใจพี่เขาอยู่ "

ผมหันขวับมองมันทันที " ไอ้สัสปั้น มึงว่าไงนะ "

" กูล้อเล่นน่ะ คือกูบอกพี่ขุนไปว่ามึงมีธุระที่บ้านนิดหน่อยแต่ว่าเดี๋ยวจะกลับมา "

" ค่อยยังชั่ว " ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

วันนี้ก็วุ่นวายเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ได้ดูพี่ขุนทำหน้าที่พิธีกรของช่วงบ่ายเลย น่าเสียดายอยู่ หวังว่าพวกไอ้เผือกมันจะถ่ายรูปพี่ขุนไว้ให้ผมดูนะ เดี๋ยวจะต้องไปแสดงความยินดีกับเพื่อนเป้ด้วยครับ แล้วก็ต้องด่าเรื่องที่มันเก็บงำความรักมาตลอด 3 ปีด้วย จากนั้นก็กลับหอนอนพักผ่อน วันนี้ผมคงไม่ได้แต่งนิยายต่อเพราะว่าอ่อนล้ามากๆ แขนนี่ปวดหนักเลยครับ เดี๋ยวผมต้องให้พี่ขุนนวดให้ซะหน่อย

มีคนนวดประจำตัวนี่ดีจริงๆ เลยนะ

" อยู่ดีดีอย่ามายิ้มสิวะ "

เอ้าไอ้นี่....แบบนี้ต้องสวนกลับ

" มึงไม่มีแฟนให้คิดถึงมึงเลยไม่เข้าใจกูไงปั้น "

" เอ้า....ปากดี "

ฮ่าๆๆๆๆๆ

ขนมวินครับ









TBC.

ใครเล่นทวิตก็เข้าไปหวีดกันได้นะคะ #LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม ขอบอกว่าสปอยบ่อยและแหละหลาญมาก
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 25 : 29/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-11-2017 10:17:05
 :L2: :pig4:

พ่อแม่พี่ขุนแน่เลย
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 25 : 29/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 30-11-2017 14:08:30
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 26 : 6/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-12-2017 22:32:08
บทที่ 26 วันครบรอบ 1 เดือน



“ ตกลงมึงจำได้รึยังไอ้หมี ”

" ก็ไอ้ที่กูพูดไปเมื่อกี้ไง กูพูดอะไร "

“ จำไรวะ ”

“ ก็การผลิตข่าวเชิงทีวีไง ”

“ นี่ติวกฎหมายอยู่นะ มึงเอาผลิตข่าวมาจากไหน ”

“ อ่าวหรอ ”

“ ไอ้ฟายเอ้ยยยยยยย ” หลังคำด่าไอ้หมีก็กระเด็นไปตามแรงค้อนลมที่ไอ้เป้หวดใส่

วุ่นวายดีจริงๆ

ผมนั่งมองสงครามย่อมๆ อย่างเหนื่อยใจ ตอนนี้เรามานั่งติวหนังสือกันที่หอของไอ้หมีครับ มาตั้งแต่เช้าละ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้อะไรใส่หัวสักเท่าไหร่เลย เพราะมันมัวแต่เล่นกัน คนที่ตั้งใจนั่งอ่านหนังสือกับชีทแบบจริงๆ จังๆ ก็มีไอ้ปั้น ไอ้เผือกแล้วก็ไอ้ไผ่นี่แหละครับ ส่วนไอ้ภีมนี่หลับอยู่ ไม่รู้ว่าอดหลับอดนอนมาจากไหน มันหลับตั้งแต่เช้าอ่ะ ตอนนี้จะบ่ายละมันยังไม่ตื่นเลย

สงสัยเมื่อคืนไอ้เป้คงจะใช้งานหนักน่าดู

ดูอ่อนเพลียแปลกๆ

จากวันที่มีงานประกวดดาวเดือนนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วครับ แล้วก็อีกสองวันข้างหน้าจะเป็นวันสอบไฟนอลวันแรกของพวกผม คณะผมเนี่ยะสอบ 5 ตัวครับ สอบติดกันทุกวันไม่เว้นวันหยุดเลย ผมว่าจะติวหนังสือหนักๆ วันนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็พักสมอง ปกติผมตั้งใจเรียนในห้องอยู่แล้วไง ความรู้มันก็อยู่ในหัว ที่อ่านพวกหนังสือกับชีทนี่ก็แค่ทบทวนให้มันแม่นเข้าไปอีก แล้วก็เป็นการช่วยติวเพื่อนๆ ไปในตัวด้วย

ไงล่ะ คนดีที่แท้ทรู

เดี๋ยวพอผมสอบเสร็จผมก็จะพาพี่ขุนไปบ้านครับ ไปทำความรู้จักกับป๊ากับแม่ เดี๋ยวต้องดูวันที่ไอ้ขันมันจะไม่อยู่ เพราะถ้าไอ้ขันอยู่แล้วผมพาพี่ขุนไปนี่อาจจะมีเรื่องกันได้ พี่ขุนนี่สอบเสร็จหลังผมวันนึง วันที่พี่มันมีสอบวันสุดท้ายน่ะมันเป็นวันครบรอบที่เราคบกัน 1 เดือนพอดีเลยครับ ผมก็เลยกะว่าจะมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าตัวสักหน่อย ผมแอบไปสั่งทำรูปที่ถ่ายพี่มันทั้งหมดไว้รอละเดี๋ยวรวมเป็นอัลบั้มแล้วให้ทีเดียว

พี่มันต้องชอบมากแน่ๆ

“ อื้อออ.อ....เสียงดังอะไรกัน ” เสียงสะลึมสะลือของภีมเพื่อนรักดังขึ้น เจ้าตัวก็ลืมตาขึ้นมามองปรือๆ

ไอ้เป้เห็นแบบนั้นมันก็เดินไปนั่งลงบนเตียงก่อนจะดึงแก้มคนที่นอนอยู่อย่างหมั่นเขี้ยว “ เมื่อไหร่มึงจะตื่นห้ะ ”

“ อื้อออ.อ....ตื่นแล้วนี่ไง ”

“ สภาพอย่างนี้น่ะนะ ” ไอ้เป้มันจับไหล่ไอ้ภีมก่อนจะเขย่าแรงๆ “ ตื่นเดี๋ยวนี้ ”

เอ่อเดี๋ยว....นี่มึงเป็นแฟนกันจริงป้ะเนี่ย

ไอ้ภีมนี่หัวสั่นเลย

“ มึงอย่าไปทำมันสิเป้ เดี๋ยวมันตาย ”

“ มันไม่ตายหรอก ตื่นสิโว้ยภีม ” มันแหกปากลั่นก่อนจะล้มทับไอ้ภีมที่นอนอยู่

“ อื้ออ.อ.อ...ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ นะไอ้บ้า ”

“ เดี๋ยวนี้กล้าต่อปากต่อคำหรอห้ะ ” ไอ้เป้มันหยิบหมอนมากดหน้าไอ้ภีม “ ตายซะ ”

ไอ้หมีมันมันเดินไปถีบไอ้เป้จนตกเตียงไป “ นี่แน่ะไอ้สัส เล่นกันเตียงกูพังหมดแล้ว มึงด้วยไอ้ภีม ลุกมาอ่านหนังสือสักที ” มันทำหน้ามุ่ยก่อนจะดึงให้ไอ้ภีมลุกขึ้นมา

ไอ้เป้มันโผล่หน้าขึ้นมามอง “ มึงได้ลองดีกับกูแน่ไอ้หมี ”

“ ไม่กลัวหรอกโว้ย ” ว่าแล้วมันก็แลบลิ้นใส่

อะไรของพวกมึงวะ

ผมนั่งเท้าคางมองพวกมันอย่างเพลียใจ ไอ้เป้นี่ก็โหดกับแฟนตัวเหลือเกิน ผมจัดการโขกหัวมันไปคนละสองทีเรียบร้อย โทษฐานเก็บเงียบเรื่องเป็นแฟนกันมาตั้งนาน หลายวันมานี้เรื่องของไอ้สองคนนี้เป็นที่พูดถึงมากเลยนะครับ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง มีเอฟซีมาขอถ่ายรูปด้วยเอ้า ในโซเชี่ยลก็แชร์กันอย่างแพร่หลายเลยนะครับไอ้คลิปขอ 3 ข้อของไอ้เป้อ่ะ แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะถ้ายอดแชร์จะเยอะ

ก็ดีต่อใจซะขนาดนั้น

ผมถามมันสองคนด้วยนะว่าจะปิดบังเรื่องนี้ทำไม ไอ้ภีมบอกว่ามันไม่อยากให้ไอ้เป้มีปัญหากับที่บ้านเรื่องนี้ก็เลยคบกันเงียบๆ เหมือนว่าที่บ้านของไอ้เป้ไม่ยอมรับเรื่องนี้มั้งครับ แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะยังไงนะ ไอ้เป้มันเป็นคนขอไอ้ภีมเองด้วยว่าให้เลิกปิดบังเรื่องที่คบกัน แปลว่ามันต้องไปจัดการเรื่องของครอบครัวมาแล้วแน่ๆ ถือว่าเรื่องดีนะ มันสองคนจะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก

ถึงจะหมั่นไส้อยู่แต่ก็ต้องยินดีแหละนะ

พอเอาเรื่องไอ้เป้กับไอ้ภีมมาคิดทีไรก็นึกถึงเรื่องของตัวเองเหมือนกัน คือทางบ้านผมน่ะไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ทางบ้านพี่ขุนนี่สิ พี่มันไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟังเลยนะ เท่าที่ผมรู้ก็แค่มันมีพี่ชายกับน้องชาย บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พี่ขุนรักแม่มาก ทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นย้อมผมเทาหรือใส่ชุดนอนลายสัตว์ ส่วนพ่อพี่ขุนนั้น....

พี่มันไม่เคยพูดถึงเขาเลย

แปลกเหมือนกันนะเนี่ย

“ ไอ้หมี ”

“ ว่าไงหนม ”

“ มาคุยกับกูหน่อยกูมีเรื่องอยากรู้ ” ผมบอกก่อนจะลากมันเพื่อให้ออกมาที่ระเบียง “ มึงหนักขึ้นป้ะเนี่ยะ ทำไมลากแล้วไม่ค่อนขยับเลยวะ ”

“ กูอ่ะตัวเท่าเดิม แต่มึงมันขี้ก้างไง ” มันบ่นก่อนจะเป็นลากผมออกมาแทน

ผมตีไหล่มันแรงๆ “ กูไม่ได้ขี้ก้าง ”

“ มึงมันขี้ก้าง ว่าแต่มีอะไรถึงต้องเรียกกูมาข้างนอก ”

“ มึงรู้เรื่องทางบ้านของพี่ขุนไหม ”

“ ก็....รู้ ”

“ รู้อะไรบ้างวะ ”

“ รู้หลายอย่าง ” ไอ้หมีมันหยิบลูกอมมาแกะใส่ปากก่อนจะเหลือบมองผม “ มึงเถอะ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านพี่ขุนบ้าง ”

“ กูอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเอ่อ....พ่อพี่ขุนน่ะ พี่ขุนไม่ค่อยพูดถึงพ่อเท่าไหร่กูก็เลยสงสัย ”

“ พ่อพี่ขุนเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังเลยนะ เป็นเจ้าของคอนโดหลายแห่ง แถมยังรวยมากด้วย บ้านนี้เค้ามีลูกชาย 3 คนเลยนะ มึงรู้ใช่ไหม ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ รู้ พี่ขุนเพิ่งบอก ”

“ แล้วมึงรู้ไหม ว่าครอบครัวพี่ขุนไม่ยอมรับเรื่องที่ลูกชายจะคบกับผู้ชาย ”

ไม่ยอมรับงั้นหรอ

ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ไอ้หมีพูดออกมา ครอบครัวพี่ขุนจะไม่ยอมรับเรื่องที่ผมคบกับมันหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องเลิกกันอย่างนี้น่ะนะ แค่คิดว่าจะต้องเลิกกันเพราะเรื่องที่บ้านใจผมก็หน่วงไปหมดละ เพราะเป็นแบบนี้นี่เองพี่ขุนถึงไม่ค่อยเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟัง นี่ถ้าผมไม่ถามไอ้หมีผมก็ไม่รู้เลยนะ ผมคิดว่าพี่ขุนคงจะบอกผมในสักวันน่ะแหละ แค่มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง แต่พอรู้ก่อนแบบนี้ก็ปวดใจใช่ย่อยเลยว่ะ

จะทำยังไงดีวะ

“ ทำไม....มึงถึงรู้เรื่องนี้ได้วะไอ้หมี ”

“ ก็กูสนิทกับพี่ชายของพี่ขุนน่ะ มึงรู้จักพี่พลไหมล่ะ เคยเจอบ้างรึเปล่า ”

“ กูเคยเจอครั้งนึง ”

ไอ้หมีมันนั่งลงที่เก้าอี้ริมระเบียงก่อนจะดึงให้ผมนั่งลงข้างๆ “ พี่พลน่ะเป็นเกย์ แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่พ่อเค้ารับไม่ได้ พี่พลก็เลยตัดสินใจย้ายออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว พี่พลบอกกูว่าพ่อเขาคงจะยอมรับเรื่องนี้ได้ในวันนึง แค่มันต้องใช้เวลาน่ะ ”

“ อย่างนี้นี่เอง ก็แปลว่าอย่างกูกับพี่ขุนก็แค่ต้องรอเวลางี้น่ะสิ ”

“ ก็ใช่ เอาเป็นว่ากว่าจะถึงตอนนั้นมึงก็แค่รักษาความรักของตัวเองไว้ให้ดีละกัน ” ไอ้หมีมันยกมือขึ้นแตะไหล่ผมเบาๆ “ พี่ขันเค้าเอาจริงนะเรื่องที่จะทำให้มึงเลิกกับพี่ขุนน่ะ ”

“ มึงพูดเหมือนมึงรู้อะไรมา ”

“ รู้ได้ด้วยสัญชาติญาณน่ะ พี่ขันรักมึงมากนะ อะไรที่ทำเพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้มึงเจ็บตัวหรือเสียใจน่ะเค้าทำทุกอย่างแหละ ”

“ เรื่องนั้นกูก็พอเข้าใจอยู่หรอก....แต่เรื่องนี้มันก็นะ ”

“ มึงสงสัยป้ะหนม ว่าแก้มใสหายไปไหน ”

ผมพยักหน้ารับ “ ก็ตั้งแต่วันที่มีเรื่องแก้มใสก็หายไปเลยอ่ะ ไม่มีใครรู้ด้วยว่าไปไหน ”

“ กูรู้ว่ามันหายไปไหน ”

“ ไหนมึงเล่ามา ”

“ คืองี้ ทางบ้านของแก้มใสน่ะทำกิจการโรงแรมที่สระบุรี แล้วทีนี้กูก็แค่ไล่เช็คข่าวขำๆ อ่ะ ก็พบว่าโรงแรมนั้นถูกซื้อไป ไม่รู้ว่าทางนั้นเค้าเต็มใจขายให้หรือว่าโดนบังคับนะ ”

“ ซื้อกิจการแล้วยังไงวะ ”

“ ก็คนที่ซื้อกิจการก็คือบ้านมึงไง ”

พ่อเป็นคนซื้อหรอวะ

สิ่งที่ไอ้หมีพูดออกมาทำให้ผมอึ้งอีกรอบ ผมไม่รู้เรื่องนี้เลยนะ เพราะว่าผมไม่ได้กลับบ้านเลยไงช่วงที่ผ่านมา ไม่มีใครโทรมาเล่าอะไรให้ผมฟังด้วย เรื่องนี้ถือว่าแปลกนะครับ มันบังเอิญเกินไปที่ป๊าผมจะซื้อกิจการโรงแรมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยน่ะ เพราะโรงแรมในเครือก็มีเยอะอยู่แล้ว อีกอย่างที่แปลกคือป๊าซื้อโรงแรมในโซนที่ไม่ใช่ภาคเหนือกับภาคใต้ ผมว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดแน่ๆ เลยว่ะ

“ แล้วมึงรู้อะไรมากกว่านี้ไหมไอ้หมี ”

“ ก็รู้ว่า ครอบครัวของแก้มใสออกจากประเทศไทยไปแล้วน่ะ รู้สึกว่าจะไปอยู่กับญาติที่จีน บ้านหรือทรัพย์สินก็ขายทอดตลาด กูเองก็งงใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่ถ้าจะคิดได้อยู่ก็เรื่องเนี่ยะมันคงมาจากที่แก้มใสมาตบมึงนั่นแหละ และคนที่คิดเรื่องพวกนี้ก็คงจะเป็น....”

“ ไอ้ขัน ”

“ ใช่ ” ไอ้หมีหยิบลูกอมเม็ดใหม่มาแกะก่อนจะใส่ปาก “ กูคิดว่าถ้าแก้มใสเป็นผู้ชายพี่ขันคงกระทืบจนตายไปแล้วอ่ะ แต่ติดว่านางเป็นผู้หญิงไง ก็เลยจัดการทางด้านธุรกิจแทน พี่มึงนี่โคตรหัวหมอเลยนะที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ กูว่ามันอาจจะมีการดิสเครดิตก็ได้นะ พ่อของแก้มใสถึงต้องย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น....มึงคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะหนม ”

“ มันก็ดีที่แก้มใสจะไม่มาวอแวกับกูหรือพี่ขุนอีก แต่กูไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ ”

“ เพราะงี้ไง มันถึงเตือนใจเราได้ว่าให้คิดก่อนทำ เพราะว่าผลที่ตามมามันอาจจะเปลี่ยนชีวิตเราได้ ”

“ ว่าแต่ทำไมมึงถึงรู้โน่นนี่เยอะจังเลยวะ ”

“ เพราะกูคือหมีไง คนรู้จักกูเยอะอ่ะ สงสัยก็แค่ไปลองถาม ” มันบอกก่อนจะหยิบลูกอมขึ้นมาแกะ

ผมแย่งลูกอมในมือมันมาใส่ปากตัวเองแทน “ ทำไมมึงถึงกินลูกอมเยอะจังวะ ”

“ พยายามจะเลิกบุหรี่อยู่น่ะ ก็เลยกินลูกอมแทน ”

“ อย่างนี้นี่เอง แล้วทำไมอยู่ดีดีก็อยากเลิกวะ ”

“ ก็คิดแค่ว่าจะเอาเงินที่ซื้อบุหรี่ไปซื้อเหล้ากินแทนน่ะ ”

“ มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกันไหมวะ ” ผมบอกก่อนจะทำหน้าเอือมใส่ไอ้หมี

นอนน้อยจนประสาทแดกสินะมึงน่ะ

หลังจากผ่านวันประกวดมาไอ้หมีก็ดูไร้วิญญาณยังไงไม่รู้ครับ มีบางครั้งนั่งเหม่ออยู่คนเดียวด้วยเหมือนไม่มีสติอ่ะ พวกผมก็เลยเข้าใจกันว่ามันนอนน้อยก็เลยอาจจะสมองเบลอ หรือไม่ก็ไปเจออะไรบั่นทอนชีวิตมาสักอย่างแต่ว่าก็เก็บเงียบพยายามไม่ให้ชาวบ้านรู้ อีกอย่างคือนึกครึ้มอะไรไม่รู้ที่อยู่ๆ ก็จะเลิกบุหรี่ มันก็เป็นเรื่องดีแหละนะแต่ว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกด้วย พออยากรู้เรื่องความทุกข์ของมันแล้วมันไม่ยอมเล่าให้ฟังนี่มันน่าหงุดหงิดเหมือนกันนะ

อยากจะบีบคอบังคับให้มันพูดออกมา

แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ไง

“ เห้ยพวกมึง ” ไอ้ปั้นมันโผล่หน้าออกมา “ เดี๋ยวจะติววิชาผลิตสื่อละนะ ”

“ กูยังติวกฎหมายไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ ”

“ ก็มึงมัวแต่นั่งเอ๋อไงไอ้บ้า ” ไอ้ปั้นมันเดินมาโขกหัวไอ้หมี “ เดี๋ยวกูค่อยทวนให้มึงอีกที มานี่ ” ว่าแล้วไอ้ปั้นมันก็ล็อคคอไอ้หมีก่อนจะลากเข้าไปในห้อง

โคตรใช้ความรุนแรงเลยว่ะ

ผมเดินตามพวกมันกลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะมานั่งติวร่วมวงกับเหล่าเพื่อนๆ เหมือนเดิม วันนี้พี่ขุนเลิกเรียนห้าโมงครับ มันบอกว่าถ้าเลิกแล้วเดี๋ยวจะมารับ มีการบอกให้ผมตั้งใจติวหนังสือด้วยนะ แถมยังฟัดแก้มผมอย่างเมามันส์ด้วยนะเมื่อเช้าน่ะ กว่าจะไล่ให้ไปเรียนได้นี่แก้มช้ำอ่ะ ตอนแรกผมจะไม่ยอมให้หอมด้วย แต่มันก็ใช้ลูกอ้อนต้อนเอาจนได้อ่ะ

มีแฟนขี้อ้อนนี่เปลืองเนื้อเปลืองตัวสุดๆ

เกิดเป็นขนมนี่ต้องขนาดนี้เลยหรอวะ

ปวดใจ





" หนมครับ "

" หืม "

" หืมแล้วหันมามองพี่ด้วยสิครับ "

ผมหันมามองคนที่กำลังขับรถอยู่ " มีอะไรไหนว่ามาซิ "

" อยากเห็นหน้าเฉยๆ น่ะ " มันเหลือบมองผมก่อนจะยิ้มหวาน ไอ้บ้านี่ ขับรถอยู่แท้ๆ ยังจะมาเล่นอะไรแบบนี้อีก

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ " ที่พี่ควรมองคือถนนต่างหาก หน้าหนมค่อยกลับไปมองที่หอก็ได้ "

“ มากกว่ามองได้ไหม ”

“ ไม่ได้ ”

“ ว้า แย่จัง ” มันทำเสียงอ่อนพลางทำแก้มป่องไปด้วย

น่าทุบจริงๆ เลย

พี่ขุนเลี้ยวรถเข้ามาจอดในหอผม ผมก็รีบลงจากรถก่อนจะเดินหนีมันขึ้นห้องก่อน มันก็เดินทำหน้ามุ่ยตามผมเข้ามา เจ้าตัวถอดเสื้อช้อปออกก่อนจะไปแขวนไว้ ส่วนผมก็กระโจนไปนอนแผ่ลงบนเตียง แค่ติวหนังสือเองนะ ทำไมมันล้าๆ แบบนี้วะ หรือว่าผมใช้แรงห้ามไอ้เป้กับไอ้หมีไม่ให้ตีกันมากเกินไปวะ เออน่าจะใช่เรื่องนี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงชอบกัดกันนัก ต้องให้ไอ้ปั้นห้ามอ่ะถึงจะยอมหยุดกัน

เหลือเกินจริงๆ ไอ้พวกบ้านี่

ผมนอนมองพี่ขุนที่ทำโน่นเก็บนี่ไปเรื่อย วิญญาณพ่อบ้านเข้าสิงอยู่ครับ มันเป็นแบบนี้ประจำนะไอ้เรื่องที่ต้องกลับมาแล้วเก็บของก่อนน่ะ เจ้าตัวไม่เคยดุผมด้วยนะที่ทำให้ห้องรก ตามเก็บตามทำให้ไม่มีบ่นสักคำ พอเป็นแบบนี้ผมก็ชักจะเคยตัวแล้วล่ะครับ ทุกครั้งที่จะทำห้องรกก็จะนึกถึงหน้าคนเก็บขึ้นมา ทุกวันนี้ก็เลยพยายามทำให้มันรกน้อยที่สุดเพื่อที่พี่ขุนจะได้ไม่ต้องมาตามเก็บ

อัก

“ อื้ออ.ออ....ข้าวแทบพุ่ง ” ผมหยิกแขนคนที่นอนทับผมอยู่เต็มแรง “ หนมจุกนะ ”

“ พี่เจ็บนะครับ หนมหยิกพี่ทำไมเนี่ย ”

“ ยังไม่ลุกออกไปอีก ”

พี่ขุนพลิกให้ผมไปนอนทับตัวเองแทน อ้อมแขนแกร่งก็กอดเอวผมไว้แน่น “ แบบนี้โอเคไหม ”

“ ไม่โอเค ปล่อยหนมเลยนะ ”

“ อะไรเล่า พี่คิดถึงหนมนะ ไม่ได้เจอทั้งวันเลย ” พี่ขุนพูดพลางส่งสายตาปริบๆ มาให้ “ ขอใกล้ชิดหน่อยไม่ได้หรอ ”

“ ไม่ ”

พี่ขุนเบะปากน้อยๆ ใส่ผม “ ทำไมแฟนพี่ใจร้ายแบบนี้ล่ะ ”

“ พี่มันสมควรโดนแล้ว ไม่ต้องมองหน้าหนมเลยนะ ” ผมบอกก่อนจะเอาหน้าตัวเองแนบอกมันอยู่แบบนั้น พี่ขุนมันขำเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผม

“ น่ารักจัง ”

“ ไม่ ” ผมดมเสื้อพี่ขุนฟุดฟิดๆ “ กลิ่นบุหรี่ฉุนเชียว ”

“ งั้นหนมลุกก่อนเดี๋ยวพี่จะไปอาบน้ำ ”

“ ไม่ ” ผมนอนจ้องพี่ขุนอยู่อย่างนั้น “ หนมขออะไรอย่างนึงได้ไหม ”

“ อะไรล่ะครับ ”

“ เลิกบุหรี่ได้ไหม ” ผมเอ่ยบอกพี่ขุนอย่างจริงจัง

พี่มันเงียบไปก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ ช่วงที่คบกันใหม่ๆ เรื่องนี้ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ คือผมน่ะไม่ได้ชอบกลิ่นบุหรี่อยู่แล้วแหละ แล้ววันนี้มาเห็นไอ้หมีคิดจะเลิกบุหรี่ ผมก็เลยอยากให้พี่ขุนเลิกสูบได้เหมือนกัน มันจะได้อยู่กับผมไปได้นานๆ ไง อีกอย่างคือตัวมันจะได้หอมๆ ด้วย คือปกติก็หอมอยู่หรอกแต่แบบมันก็ชอบมีกลิ่นบุหรี่เข้ามาปนไง ผมอยากสูดกลิ่นตัวพี่ขุนแบบไม่มีอะไรมาเจือปนอ่ะ

ทำไมพูดแล้วเหมือนโรคจิตเลยวะ

“ ว่าไงพี่ขุน ” ผมจิ้มแก้มพี่มันเบาๆ เพื่อเรียกสติ “ เลิกบุหรี่เพื่อหนมได้ไหม ”

“ เลิกได้สิครับ ”

“ ดีมาก ต้องเลิกให้ได้นะ มาเกี่ยวก้อยสัญญากันก่อน ” ผมชูนิ้วก้อยขึ้นมา

พี่ขุนเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวสัญญา “ เลิกได้ครับ ชีวิตนี้มีอย่างเดียวแหละที่พี่เลิกไม่ได้ ”

“ อะไรอ่ะ ”

“ เลิกรักหนมไง....แค่เรื่องนี้เลยที่พี่ทำไม่ได้ ”

ตึกตัก

เอ่อ....

ผมยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองแก้เขิน “ พี่นี่พูดอะไรก็ไม่รู้ ”

“ พี่พูดความจริงไงครับ ” พี่ขุนผงกหัวขึ้นมาหอมแก้มผม “ เดี๋ยวพี่ขอไปอาบน้ำก่อน จะได้หอมๆ ”

“ รีบอาบนะเพราะเดี๋ยวหนมจะอาบบ้าง ”

พี่ขุนยิ้มกริ่มมองผม “ ไปอาบด้วยกันไหมครับ ”

“ ไม่ ” ผมลุกออกจากตัวพี่ขุนก่อนจะคว้าหมอนไปฟาดทีนึง “ ไปอาบน้ำเลยคนลามก ”

“ เดี๋ยวเถอะทำร้ายร่างกายพี่ ออกมาเดี๋ยวเจอแน่ ” พี่ขุนคาดโทษผมก่อนจะหยิบผ้าห่มเดินเข้าห้องน้ำไป คิดว่าขนมคนนี้จะกลัวหรอห้ะ

แบร่ๆๆๆๆ

ผมแลบลิ้นใส่ประตูห้องน้ำก่อนจะเดินไปหยิบโน้ตบุ๊คมานั่งบนเตียง ต้องลงนิยายครับ มันถึงวันลงแล้ว เวลาประมาณทุ่มกว่าๆ นี่แหละกำลังดีเลย ตื่นเต้นอยู่นะที่นิยายของตัวเองอีกไม่ถึง 10 บทก็จะจบแล้ว ผมคิดเรื่องการส่งพิจารณากับสำนักพิมพ์ไว้หลายอย่างมากเลยครับ แบบว่าถ้าสมมุติว่ามีบุญนิยายผ่านการพิจารณาผมก็ต้องปิดบางบทใช่ไหมล่ะ ผมไม่รู้ว่ามันจะยังไงแต่ส่วนตัวแล้วผมไม่อยากปิดเลยอ่ะ อยากจะแต่งเป็นบทพิเศษเพิ่มไปแทน แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะได้ไหม

เอาเป็นว่าแต่งให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

สู้ๆ นะไรท์หนม


----------- 50 % ------------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 26 : 6/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-12-2017 22:33:55
------------ ต่อจากบท 26 ----------




“ เออมึงไม่ F หรอกน่า ”

( มึงรู้ได้ไงวะหนม )

“ แหมไอ้สัส งานก็ส่งทุกอย่าง คะแนนก็สวยอยู่นะ เต็มที่ก็ B แหละ ”

( กูกลัวติด F เลยอ่ะมึง ถ้าติดนะพ่อต้องให้กูออกไปเลี้ยงวัวแน่เลยอ่ะ )

“ มึงก็เว่อร์ไปว่ะไอ้หมี แล้วนี่มึงจะหากูรึยังเนี่ยะ ”

( เนี่ยะ กำลังจะถึงห้องมึงละ เดี๋ยวกูเคาะแปป )

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

จะเคาะเพื่อ

ผมเดินไปเปิดประตูห้องก็เห็นเพื่อนตัวดีมันยืนยิ้มแฉ่งอยู่ “ ถ้ามึงจะมาถึงห้องกูแล้วมึงจะโทรมาดราม่าทำไมวะ ”

“ ก็ชีวิตมันเศร้าอ่ะมึง นี่จะไปเลยป้ะ พี่จ๊อบตื่นแล้ว ”

“ กูหยิบกระเป๋าแปปละกัน ” ผมบอกมันก่อนจะเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าผ้า

ผมจะไปซื้อของมาแต่งห้องเพื่อเซอร์ไพรส์พี่ขุนครับ ส่วนไอ้หมีมันจะแวะไปลงสีดอกกุหลาบที่หลัง มันบอกว่าเดี๋ยวมันจะช่วยผมแต่งห้องเอง คือตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องแต่งห้องโน่นนี่หรอก แต่ไอ้หมีนั่นที่เป็นคนยุยง ผมก็บ้าจี้เอาตาม ไม่เป็นไรครับลองทำหลายๆ อย่าง เผื่อผมจะเอาเหตุการณ์นี้ไปใส่ลงนิยายก็ได้ เดี๋ยวต้องรอดูโมเม้นท์

ถ้ามันดีเหล่ารี้ดที่รักจะได้อ่านแน่ๆ

ตอนนี้พี่มันคงกำลังตั้งใจทำข้อสอบอยู่แหละ ส่วนผมน่ะสอบไฟนอลเสร็จแล้วเรียบร้อย โล่งใจสุดอ่ะ ยังไงเทอมนี้เกรด A ต้องมาครบทุกตัวแน่นอน ผมยกข้อมือดูนาฬิกา ตอนนี้ประมาณเกือบเก้าโมงละเดี๋ยวต้องรีบไปแล้วรีบกลับมาเตรียมนั่นโน่นนี่ เอาจริงๆ กว่าไอ้หมีมันจะลงสีกุหลาบเสร็จก็ครึ่งวันแล้วมั้ง

“ ไปเร็วหนมเดี๋ยวพี่จ๊อบหลับรอ ” ไอ้หมีมันรีบลากผมลงมาด้านล่าง

“ มึงจะรีบไปไหนเนี่ยะ ”

“ รีบไปลงสีไง มันเยอะนะมึงไม่ใช่น้อยๆ ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะยัดผมขึ้นรถ ตัวมันก็เดินมาประจำตำแหน่งคนขับ “ เออหนม ละพี่ขุนเค้าเลิกกี่โมง ”

“ สอบเสร็จห้าโมงเย็นอ่ะ ”

“ เอองั้นก็ทันอยู่แหละ ” ไอ้หมีมันคาดเบลท์ก่อนจะออกรถ

“ เออหมี กุหลาบมึงนี่กุหลาบแบบไหนวะ กูจำไม่ได้แล้วอ่ะ ”

“ ก็แบบเป็นพุ่มแล้วก็มีเถาวัลย์ มีหนามล้อม ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูไม่เคยเห็นกับตาตัวเองสักครั้งเลย ”

“ เห็นก็บ้าแล้ว มันอยู่ที่หลังมึงหนิ ” ผมหยิบขนมที่เบาะหลังมาแกะกิน “ เออว่าแต่มึงจะลงสีอะไร ”

“ สีแดงสิวะ กูชอบสีแดงหนิ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ เออหมี แล้วทำไมมึงถึงไม่สักหลังช่วงบนอ่ะ ”

“ ก็มันมีรอยสักสำคัญที่กูสักไว้ ว่าแต่ทำไมมึงถามกูเยอะจังวะ ”

“ ก็อยากรู้เฉยๆ ป้ะวะ ” ผมยัดขนมใส่ปากมันก่อนจะหันมองวิวข้างทาง

อยากเห็นเหมือนกันนะรอยสักไอ้หมีน่ะ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นมันถอดเสื้อให้เพื่อนคนไหนเห็นเลยนะครับ ที่ผมรู้ว่ามันมีรอยสักกุหลาบอยู่ที่หลังก็เพราะว่าเห็นเอง เมื่อก่อนมันมานอนที่ห้องผมบ่อยไง แล้วเสื้อมันเลิกขึ้นไปผมก็เลยเห็นโดยบังเอิญ แต่ตอนที่เห็นก็เป็นเส้นที่ร่างไว้นะครับ ยังไม่ได้ลงสี ถ้าวันนี้มันลงสีเสร็จผมจะขอมันดูให้เป็นบุญตาสักหน่อย อยากเห็นผิวใต้ร่มผ้าของไอ้หมีที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะชนน่ะ

แม่งต้องแรร์มากแน่ๆ เลยว่ะ

“ มึงคิดอะไรชั่วๆ อยู่แน่เลย ”

รู้ว่ากูคิดอะไรอีก

มึงมันเกินไปแล้วไอ้บ้าหมี





JOBTAT

ไอ้หมีมันมันลากผมเข้ามาในร้านสักของพี่จ๊อบ พี่จ๊อบไหนไม่รู้ครับแต่มันพูดชื่อให้ผมฟัง ก็คงจะเป็นหนึ่งในคนรู้จักของมันอาจจะคล้ายๆ กับพี่กล้วยอะไรทำนองนั้น เอาจริงๆ หน้าร้านเขาเขียนป้ายว่าเปิดบ่ายสองนะ ไอ้หมีมันคงมีสิทธิพิเศษอะไรสักอย่างที่ทำให้มาสักก่อนชาวบ้านได้

โคตรขี้โกง

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ในร้านส่วนไอ้หมีมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆๆ อะไรสักอย่าง จากนั้นไม่นานก็มีร่างสูงของผู้ชายคนนึงเดินออกมาจากด้านใน มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าขาวของตัวเองเบาๆ สภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนน่ะครับ คนนี้คงจะเป็นพี่จ๊อบสินะ ตอนที่พี่เขาเดินออกมาเห็นไอ้หมีที่นั่งยิ้มอยู่ คิ้วเข้มๆ นั่นก็ขมวดทันที

หงุดหงิดแน่ๆ

" มึงมาทำไม "

" มาลงสีไง หมีบอกพี่จ๊อบไว้แล้วนะ ตัวเองตกลงเองแท้ๆ อย่ามาทำมึน "

" กูง่วง มึงค่อยมาใหม่ไป "

" ไม่เอา " ไอ้หมีมันลุกไปดึงแก้มพี่จ๊อบทั้งสองข้าง " สัญญาต้องเป็นสัญญานะ "

" มึงนี่มันน่ารำคาญไม่เปลี่ยนจริงๆ "

" ห้ามรำคาญน้อง เออพี่นี่ขนม มันเป็นเพื่อนหมีเอง "

ผมยกมือไหว้พี่จ๊อบ " สวัสดีครับ "

" ครับ " พี่จ๊อบรับไหว้พลางยิ้มบางๆ สายตาคมก็ไล่มองผมทั้งตัว " มีเพื่อนน่ารักแบบนี้ด้วยหรอ "

น่ารักอีกแล้วหรอวะ

ชมกูหล่อบ้างได้ไหม...หล่อ

"  รู้นะว่าคิดอะไร แต่ว่าไม่ได้นะ " ไอ้หมีมันเข้าไปกระซิบอะไรข้างหูพี่จ๊อบสักอย่าง

พี่ขาทำตาโตมองไอ้หมีทันที " จริงจัง "

" เออสิพี่ หมีจะหลอกพี่ทำไม " มันบอกก่อนจะหันมามองผม " มึงเข้าไปดูกูสักด้วยไหมหนม "

" เอาดิ่ กูอยากเห็น "

" งั้นก็ตามมา....ไปเร็วพี่จ๊อบ เสร็จละจะได้นอนไง " ไอ้หมีมันลากพี่จ๊อบให้เดินเข้าไปในด้านใน ส่วนผมก็เดินตามเข้าไปเงียบๆ

ในห้องด้านในนี่ก็จะมีเตียงอยู่กลางห้อง ข้างๆ ก็จะมีพวกอุปกรณ์ที่ใช้ในการสัก บนผนังนี่มีรูปรอยสักสวยๆ เต็มไปหมดเลยครับ ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ส่วนไอ้หมีมันก็ขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียงเพื่อรอสัก พี่จ๊อบก็เตรียมอุปกรณ์ไปเรื่อย ผมนี่นั่งเตรียมเก็บข้อมูลเลยครับ เผื่อจะเอาไปไว้ใช้แต่งนิยายในอนาคต

ชีวิตนักเขียนนี่เจออะไรก็ต้องยัดใส่หัวไว้ก่อน

พี่จ๊อบเลิกเสื้อไอ้หมีขึ้น " มึงจะขาวไปไหนวะหมี "

" อิจฉาน้องล่ะสิ โอ้ยยยย....อย่าตีสิมันเจ็บนะ "

" มึงมันสมควรโดน " พี่จ๊อบบอกก่อนจะเริ่มทำความสะอาดบริเวณรอบๆ รอยเส้นกุหลาบที่จะลงสี

" เบาๆ นะพี่จ๊อบ " ไอ้หมีมันหันมามองผมตาแป๋ว " ถ้าพี่จ๊อบทำกูแรงมึงวิ่งมาเตะเค้าได้เลยนะหนม ”

“ ไม่อ่ะ กูจะปล่อยมึงตายอยู่ตรงั้นแหละ ”

“ อีเลว โอ้ย พี่จ๊อบจะจิ้มก็บอกสิ ให้เตรียมใจก่อนได้ไหม ” ไอ้หมีมันโวยใส่

“ มึงนี่มันพูดมาก ”

“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”

แค่เพิ่งเริ่มสักก็แหกปากลั่นขนาดนี้ ถึงว่าพี่จ๊อบเอาเฮดโฟนมาใส่ไว้ทำไม

เพราะงี้นี่เอง





“ ไอ้หมีตรงนั้นมันเบี้ยวน่ะ ”

“ กูแสบหลังนี่หว่า มึงปีนเองไหม ”

“ กูปีนไม่ถึง มึงนั่นแหละทำ มึงบอกเองนะว่ามันจะสวยน่ะ ”

“ กูไม่น่าพูดแบบนั้นเลย ” ไอ้หมีมันขยับริบบิ้นสีขาวไปอีกทาง “ โอเคยัง ”

“ โอเค ลงมาได้ละ ”

ไอ้หมีมันปีนลงมา “ โอ้ยหลังกู ”

“ มึงนี้มันอ่อนแอซะจริง ” ผมเก็บพวกเศษริบบิ้นไปทิ้ง “ แต่ก็ขอบใจมึงมากนะที่ช่วยกูแต่งห้องน่ะ ”

“ เออ รักกูให้มากๆ ล่ะ กู๊ดเฟรนแบบกูมีคนเดียวในโลกนะมึง ”

“ กูรู้แล้วน่า ” ผมหันมายิ้มหวานให้มันก่อนจะดูไปรอบห้องตัวเอง

ตอนนี้ในห้องเต็มไปด้วยลูกโป่งสีเหลืองที่ลอยอยู่ มีริบบิ้นสีขาวระโยงระยางเต็มไปหมด มองเผินๆ ก็สวยนะ แต่ถ้าตั้งใจมองนี่โคตรรก ไอ้หมีมันว่าดีผมก็เลยเออดีก็ได้วะ ของขวัญที่ผมเตรียมให้พี่ขุนผมก็ห่อเตรียมไว้เรียบร้อย นี่ก็ประมาณห้าโมงแล้วครับ เดี๋ยวพี่มันก็คงจะมา ตื่นเต้นไปหมดแล้ว อยากรู้ว่าถ้ามันเห็นผมเตรียมอะไรแบบนี้ให้มันจะทำหน้ายังไง ไม่ใช่ว่ามันจำวันครบรอบไม่ได้นะ

เออ ถ้าจำไม่ได้วะ

ความจริงไอ้เรื่องจำวันโน้นนี้ไม่ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเก็บมาซีเรียสนะครับ แต่ว่าที่ผมอยากทำอะไรแบบนี้ให้มันเนี่ยะ ผมก็แค่อยากให้พี่ขุนรู้สึกว่าตัวเองพิเศษและก็เป็นคนสำคัญของผมจริงๆ

“ งั้นกูไปละนะหนม โชคดี ”

“ อ่าว....มึงจะไปละหรอ ”

“ เออสิเดี๋ยวพี่ขุนมาก่อน ” ไอ้หมีมันหยิบกระเป๋าก่อนจะหันมาโบกมือให้ “ ลาก่อยนะ ขอให้มีความสุขกับเมนสิเวอร์ซารี่ของมึงละกันนะ ”

“ ขอบใจ ขับรถกลับบ้านดีดีนะมึง ”

“ บายยยย ” มันบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

ผมเดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บบรรยากาศห้องไว้ เดี๋ยวจะเอาลงไอจีด้วยครับ จนป่านนี้พี่ขุนก็ยังไม่ได้ฟลอโล่ว์ไอจีผมนะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ช่างมันไม่ฟลอก็ดีละ ถ้ามันหลงมาเห็นนี่ต้องมาไล่แซวผมจนเขินตัวแตกกันไปข้างอ่ะ ผมชอบไปส่องไอจีพี่ขุนนะครับ ตอนนี้มันเต็มไปด้วยรูปผมทั้งนั้น เหล่าเพื่อนๆ มันนี่ก็ตามมาเม้นต์เหม็นความรักกันเต็มไปหมด แล้วพี่ขุนก็ชอบไปตอบเม้นต์ว่า....

ก็เป็นคนรักแฟนมากๆ ก็ชอบอวด อวดแล้วมีความสุข

น่าหมั่นไส้ไหมล่ะ

ครื้ดดด.ด....ครื้ดด.ด.....

ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ ฮัลโหล....ว่าไงพี่ขุน ”

( อยู่หอรึเปล่าครับ )

“ อยู่สิ มีอะไรหรอ ”

( พี่แวะไปซื้อของเข้าหอมาน่ะ มันเยอะมากเลยถือไม่ไหว หนมลงมาช่วยพี่ถือได้ไหมครับ )

“ ได้ครับ งั้นแปปนึงนะ ” ผมกดวางสายก่อนจะเดินลงไปช่วยพี่ขุนขนของ

แปลกแฮะ ถ้าจำไม่ผิดนี่เพิ่งจะไปซื้อของกันเมื่อก่อนสอบเอง ผมไม่ค่อยรู้หรอกครับว่าของใช้อะไรหมดเพราะพี่ขุนจะเป็นคนจัดการทุกอย่าง ผมเดินลงมาข้างล่างก็พบว่าเจ้าตัวยืนยิ้มหวานรออยู่

“ สอบเป็นไง เหนื่อยไหม ”

“ เห็นหน้าหนมพี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ ”

“ ทำเป็นปากหวาน แล้วไหนของล่ะ เดี่ยวช่วยถือ ”

“ นี่ไง ” พี่ขุนกดเปิดประตูหลัง “ ของหนมทั้งหมดเลย ”

เชี่ยยยยยย

ผมยืนมองดอกกุหลาบสีขาวที่เต็มท้ายรถไปหมด ตรงกลางนั่นมีตุ๊กตาเต่าตัวใหญ่วางไว้ด้วยครับ ดอกกุหลาบสีขาวพวกนี้นี่มันทำให้นึกถึงตอนที่มันเอาดอกไม้มาให้ผมได้เลยอ่ะ นี่ที่ให้ผมลงมานี่มันเป็นแผนสินะ คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะทำอะไรแบบนี้ ผมเดินเข้าไปหยิบตุ๊กตาเต่ามากอดไว้แน่นก่อนจะหันมามองพี่ขุนพร้อมกับยิ้มหวานให้

“ เซอร์ไพรส์หรอ ”

“ ใช่ครับ ชอบไหม ”

“ ชอบมาก ” ผมเอาตุ๊กตาเต่าไปแตะปากมันเชิงว่าผมเป็นคนจูบ “ ขอบคุณนะ ”

พี่ขุนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ ต้องใช้ปากตัวเองสิ ใช้ปากเต่าได้ไง ”

“ ก็มันหน้าหอหนิ จะใช้ปากตัวเองได้ไง ขึ้นห้องเถอะ ส่วนกุหลาบเดี๋ยวค่อยมาขน ”

“ เอาแบบนั้นก็ได้ ” พี่ขุนเลื่อนมือมับมือผมก่อนจะพาเดินขึ้นห้อง

ถึงคราวเป็นเซอร์ไพรสของผมบ้างละ ไม่คิดว่าจะมาเซอร์ไพรส์เหมือนกันนะเนี่ย ความใจตรงกันนี้มันคืออะไรวะ ผมชอบสิ่งที่พี่ขุนทำให้นะครับ หวังว่าพี่มันจะชอบในสิ่งที่ผมทำให้เหมือนกันนะ

“ อ่ะนี่พี่กุญแจ ” ผมส่งกุญแจให้พี่ขุนมันก็รับไปไข

มือเรียวเปิดประตูออกก่อนจะยืนมองนิ่งๆ “ นี่มัน ”

“ สุขสันต์วันครบรอบ 1 เดือนของเรานะครับ ” ผมดันหลังพี่ขุนให้เดินเข้าห้องไป “ ไงล่ะอึ้งไปเลยสิ ”

“ อึ้งสิครับ หนมทำให้พี่หรอ ”

“ ใช่สิ ” ผมเอาตุ๊กตาเต่าไปวางบนเตียงก่อนจะหยิบของขวัญที่ห่อไว้เดินเอามาให้ “ นี่เป็นของขวัญของหนม หนมตั้งใจทำมันให้พี่เลยนะ ลองแกะดูสิ ”

พี่ขุนรับไปก่อนจะแกะกระดาษที่ห่อออก มือเรียวลูบปกอัลบั้มรูปเบาๆ ก่อนจะเปิดไล่ดู ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น ชอบสีหน้ามีความสุขแบบนี้จริงๆ เลย นี่มันเป็นโมเม้นท์ที่ดีมากเลยนะครับ พี่ขุนเหลือบมองผมพลางเปิดดูรูปไปเรื่อยๆ จนหมด เจ้าตัวปิดอัลบั้มก่อนจะวางไว้บนเตียง มือของพี่ขุนเลื่อนขึ้นมากุมแก้มผมเบาๆ ก่อนจะก้มลงมาจูบ

จูบแนบอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการล่วงล้ำเข้ามา

แค่นี้ก็รู้สึกดีละจริงๆ

เจ้าตัวละจูบออกไปก่อนจะหอมแก้มผมฟอดใหญ่ “ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ”

“ หนมยินดีที่จะทำให้พี่ขุน เหมือนกับที่พี่ก็ตั้งใจทำให้หนมเหมือนกัน ”

“ พี่มีความสุขจริงๆ นะ ” นิ้วเรียวเกลี่ยแก้มใสของผมเบาๆ “ ดีจริงๆ ที่คนตรงหน้าพี่คือหนมน่ะ ”

ผมเลื่อนมือไปกุมมือข้างที่ว่างของพี่ขุนไว้ “ ดีเหมือนกันแหละที่พี่เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะผ่านมันไปด้วยกันใช่ไหม หนมไม่ได้อยากจะหยุดอยู่แค่เมนสิเวอร์ซารี่นะ ”

“ เราจะอยู่จนกว่าจะได้แอนนิเวอร์ซารี่ด้วยกัน ” พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะก้มเอาหน้าผากมาชนกับหน้าผากผมไว้ “ แล้วก็อยู่แอนนิเวอร์ซารี่กันไปสัก 80 ปี ”

ผมหลุดขำออกมาทันที “ จะมีชีวิตอยู่เป็น 100 ปีเลยรึไง ”

“ ไม่รู้สิว่าจะถึง 100 ปีไหม....แต่พี่จะอยู่กับหนมตลอดไปนะครับ ”

“ หึ....หนมรักพี่ขุนนะ ” ผมขยับเข้าไปกอดพี่ขุนไว้แน่น

มือเรียวเลื่อนขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ “ พี่ก็รักหนมครับ อยู่กับพี่ไปนานๆ นะ ”

ถึงไล่ก็ไม่ไปหรอก

รักมากขนาดนี้อ่ะ

วันนี้มันเป็นวันที่ผมมีความสุขมากเลยครับ วันครบรอบในเดือนแรกของเราสองคนมันเหมือนเป็นการเริ่มต้นของอะไรหลายๆ อย่างเลย ผมรู้ว่าหลังจากนี้ความรักของเรามันอาจจะมีอุปสรรคที่ต้องเจอ แต่ถึงยังไงผมก็จะไม่ยอมเสียมันไปเด็ดขาด เราจะต้องผ่านทุกอย่างไปด้วยกันให้ได้ ผมเชื่อมั่นในความรักของเราครับ

ปัญหาร้อยแปดอะไรก็มาเถอะ

จะผ่านไปแบบคูลๆ ให้ดู















TBC.

ชาลมาส่งขุนหนมแล้วค่ะ เพิ่งเสร็จเลยยังไม่ได้แก้คำผิด เดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะคะ ขอโทษด้วยที่มาซะดึกเลย
บทนี้ตัดพาร์ทยิบย่อยมาก นี่ไม่ใช่ตอนจบนะ หวานกันไปงั้นแหละต้องรอติดตามกันต่อไป
ทุกคนสามารถติดต่อพูดคุย หรือติดตามข่าวสารการสปอยนิยายได้ที่ทวิตนะคะ Chaleeisis
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 26 : 6/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-12-2017 23:41:50
 :L2: :pig4:

 :-[

หวานๆ
ชอบ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 27 : 14/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-12-2017 12:05:47
​พาพี่ขุนเข้าบ้าน



“ พี่ขุนใส่ตัวสีเหลืองสิ ”

“ พี่ใส่ไม่ได้ เห็นไหมว่ามันตัวเล็กน่ะ ”

“ อื้อออ.อ....ใส่ได้ ”

“ พี่ซื้อไซส์หนมมาพี่จะใส่ได้ไงเล่า ”

“ ก็หนมอยากใส่สีเทาอ่ะ พี่ขุนเอาสีเหลืองไปใส่เลย ”

“ ไม่ต้องมางอแง เราใส่สีเหลืองไปน่ะดีแล้ว ”

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย

ไม่ใส่โว้ย

ผมนั่งทำหน้าบึ้งพลางมองเสื้อยืดแขนยาวสีเหลืองที่อยู่ในมือ คือไอ้เสื้อเนี่ยะมันเป็นเสื้อคู่ที่พี่ขุนซื้อมา ตัวนึงจะสีเทา ตัวนึงจะสีเหลือง แล้วลายสกรีนของเสื้อสีจะตัดกัน คือตัวสีเหลืองก็สวยนะแต่ผมอยากใส่สีเทาไง ขอพี่ขุนยังไงมันก็ไม่ยอมเอาเสื้อตัวสีเทามาให้ บอกว่าเสื้อตัวสีเหลืองเล็กบ้างล่ะ บอกว่าผมใส่แล้วดูดีบ้างล่ะ แม่งโคตรข้ออ้างเลย ไม่รู้แหละถ้าวันนี้ผมไม่ได้ใส่เสื้อสีเทาตัวนั้นผมจะไม่ไปไหนจริงๆ ด้วย

วันนี้หนมจะแข็งข้อบ้าง

“ ไม่ต้องมาทำหน้าบึ้งใส่พี่เลย ”

“ หนมจะใส่เสื้อสีเทา ”

“ เสื้อสีเทามันไซส์พี่ มันตัวใหญ่เนี่ยะเห็นไหม ”

“ หนมใส่ได้ ”

มือเรียวเลื่อนมาบีบแก้มผมจนปากจู๋ “ พี่รู้ว่าหนมใส่เสื้อพี่ได้ แต่พี่เนี่ยะใส่เสื้อไซส์หนมไม่ได้ ”

“ แล้วทำไมตอนพี่ขุนซื้อถึงไม่ซื้อมาไซส์เดียวกัน สีเดียวกันล่ะ ”

“ พี่ว่าสีเทามันสวยแต่พี่ก็ชอบสีเหลืองไงครับ ” พี่ขุนยิ้มบางๆ ก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปใกล้ “ พี่อยากให้คนที่ตัวเองรักใส่เสื้อสีที่พี่ชอบมันแปลกตรงไหน ”

ฉ่า

เอ้อออออ

กูยอมใส่เสื้อสีเหลืองก็ได้

ผมถอดเสื้อกล้ามที่สวมอยู่ออกก่อนจะใส่เสื้อยืดสีเหลืองเข้าไปแทน ความจริงไม่ได้อยากจะยอมหรอกนะครับ แต่ยอมก็ได้วะ ไว้ครั้งหน้าถ้าผมไปซื้อเสื้อคู่เองนะ ผมจะเอาสีเดียวกันไซส์เดียวกัน พี่ขุนมันจะได้ไม่ต้องมาบ่น อีกอย่างถ้ามัวเถียงกันเรื่องเสื้อเดี๋ยวจะเสียเวลาไปซื้อของ วันนี้นัดกับที่บ้านไว้แล้วครับว่าจะไปกินข้าว และก็เป็นการพาพี่ขุนไปไหว้ป๊ากับแม่ด้วย

ฝากตัวพ่อตาแม่ยายไรงี้

วันนี้ไอ้ขันมันไม่อยู่ครับ ป๊าบอกว่ามันไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ อีกหลายวันกว่าจะกลับ ผมเลยคิดว่ามันเป็นเวลาที่ดีเลยที่จะพาพี่ขุนไปบ้าน ตอนนี้ก็ประมาณเที่ยงละ เดี๋ยวต้องแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของไปทำกับข้าวด้วย จะให้พี่ขุนไปเป็นลูกมือแม่ ส่วนผมก็จะยืนเป็นกำลังใจให้อยู่ห่างๆ

“ ไปเลยไหมครับ ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบกระเป๋าผ้าของตัวเองมาถือ “ ไปสิ ” ผมดันพี่ขุนให้ออกไปก่อนจะล็อคห้องไว้

“ เออหนมเดี๋ยวไอ้หมีมันมาเอาของนะ ”

“ มันบอกพี่หรอ ”

“ ใช่ เอาอะไรของมันไม่รู้อ่ะ สักบ่ายสามเดี๋ยวมันมา ”

“ อื้อ ” ผมเก็บกุญแจห้องใส่กระเป๋า

พี่ขุนเลื่อนมือมาคล้องไหล่ผมก่อนจะพาเดินลงตึก “ หนมนี่ไว้ใจไอ้หมีมันมากเลยนะ ถึงขั้นให้กุญแจสำรองไว้กับมัน ”

“ หนมก็ไว้ใจเพื่อนทุกคนนะ ถึงจะยังรู้จักกันไม่ถึงปีก็เถอะ ”

“ เท่าที่พี่ดู เพื่อนๆ หนมก็ไว้ใจหนมเหมือนกันนะ ”

“ แน่ล่ะ ก็เป็นเพื่อนกันหนิ ”

“ เออ พี่จะบอกอะไรอย่างนึง ”

ผมเหลือบมองเจ้าตัว “ อะไรอ่ะ ”

“ ถึงจะเป็นเพื่อนที่รักหรือสนิทมากยังไงก็ตาม มันก็ต้องมีสเปซนะ ”

“ ทำไมต้องมีสเปซ ”

“ พี่เป็นคนขี้หึง รู้อยู่แก่ใจหรอกว่าเป็นเพื่อนแต่มันก็อดหึงไม่ได้ ” พี่มันเอ่ยเสียงอ่อน “ เผื่อวันดีคืนดีไอ้หมีมันหน้ามืดเกิดหลงรักหนมขึ้นมาล่ะ พี่นี่ไม่เป็นบ้าเลยหรอ ”

ผมหลุดขำออกมาในสิ่งที่มันพูด “ พี่ขุนนี่เลอะเทอะจริง ไม่มีใครมาหลงรักหนมหรอก ”

“ ก็ดี ให้พี่หลงรักคนเดียวพอละ ใครมายุ่งมีวอร์ ”

ห้าวซะจริง

ผมส่ายหัวน้อยๆ ให้กับความบ๊องของพี่ขุนก่อนจะเดินขึ้นรถ คนขี้หึงก็ขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งคนขับ พี่ขุนนี่ขี้หึงจริงๆ นะครับ นี่ถามผมทุกวันอ่ะว่าเมื่อไหร่จะได้แว่นมาใส่ มันชอบบอกว่าคนอื่นชอบมองผมเหมือนจะแดกเข้าไป คือปกติผมก็คิดว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรโดดเด่นต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ แค่ไม่ได้ใส่แว่นและก็แค่สีผมเปลี่ยนเอง ถ้าเทียบกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ผมก็ยังดูจืดชืดอยู่ดี

เหมือนเป็นแกงจืดที่อยู่ท่ามกลางต้มแซ่บอ่ะ

อารมณ์นั้นเลย

ชีวิตผมช่วงที่ไม่มีแว่นนี่ก็เหนื่อยยากอยู่เหมือนกันนะครับ ตาพร่าบ่อยมาก ผมก็เลยหลีกเลี่ยงการเดินในที่แจ้ง หรือว่าถ้าจำเป็นต้องเดินจริงๆ ก็จะสวมหมวกช่วยบังแสงให้ ใจนี่อยากกลับไปใส่แว่นจะตาย ยังไงแว่นกันแสงก็ดีที่สุดละสำหรับผมน่ะ อีกอย่างถ้าผมกลับไปใส่แว่นเหมือนเดิม พี่ขุนจะได้หึงน้อยลง

“ หนมครับ ”

“ หืม....”

“ พี่ขันเค้าไม่อยู่ใช่ไหม ”

“ ใช่ มันไปทะเลกับเพื่อนๆ มันน่ะ พี่ไม่ต้องห่วงหรอกว่ามันจะมากระทืบ ”

“ ไม่ได้กลัวว่าจะโดนกระทืบหรอก เชื่อไหมว่าหลังจากวันที่มีเรื่องกันพี่กับพี่ขันก็ไม่ได้คุยกันเลย ”

“ ไม่ต้องไปคุยกับมันหรอก มันบ้า ”

พี่ขุนเหลือบมองผม “ อย่าไปว่าพี่ขันว่าบ้าสิ นั่นไอดอลพี่เลยนะ ”

“ หนมไม่เห็นว่ามันจะเหมาะที่จะเป็นไอดอลคนอื่นเลย มันเป็นคนเลว ”

“ อื้ออ.อ.อ....อย่าว่าพี่ขัน ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม “ พี่น้องต้องรักกันนะรู้ไหม ”

“ ก็รักอยู่หรอก แต่ก็จะด่าด้วยอ่ะ ”

“ เรานี่มันจริงๆ เลยนะ ” เรานี่มันจริงๆ เลยนะอะไรของมึงวะ

กูจริงจังนะเนี่ย

ผมหรี่ตามองพี่ขุนอย่างจับผิด นี่มึงแอบไปมีซัมติงอะไรกับไอ้ขันป้ะเนี่ยะ ด่าแค่นี้ปกป้องมันจัง จำได้ว่าเพิ่งโดนมันต่อยไปไม่กี่อาทิตย์ มึงลืมความเจ็บปวดเหล่านั้นไปแล้วหรอวะพี่ขุน ผมนี่ลืมไม่ลงเลยอ่ะ ถึงไม่ได้เป็นคนโดนไอ้ขันต่อยก็เถอะ แต่ว่าเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีก็ได้นะครับที่พี่ขุนไม่ได้รู้สึกโกรธในสิ่งที่ไอ้ขันมันทำน่ะ ความเคารพที่พี่ขุนมีให้มันก็คงยังเหมือนเดิม ผมที่เป็นคนกลางก็ควรจะสบายใจถูกไหม

เฮ้อ....

มันไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยเอาจริงๆ

หลังจากที่ผมนั่งคิดอะไรเพลินๆ พี่ขุนก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมหยิบกระเป๋าก่อนจะเดินลงจากรถ พี่ขุนก็เดินตามลงมาก่อนจะเลื่อนมือมาโอบไหล่ผมไว้ แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่เลยครับ ถึงแม้ว่าข้างนอกนี่จะมีแค่หมา 3 ตัวที่นอนอยู่ก็เถอะ

อยากทำไรทำเลย

" พี่ขุนไปเอารถเข็นมาสิ "

" ได้ครับ " เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเดินไปเอารถเข็นแล้วมายืนข้างๆ ผม " คิดไว้รึยังว่าอยากกินอะไร "

" หนมอยากกินแกงเขียวหวาน "

" แล้วมีอย่างอื่นที่อยากกินอีกไหม "

" ปลาสามรส ผัดเผ็ดปลาดุก กุ้งทอด "

พี่ขุนพยักหน้ารับ " งั้นเดี๋ยวไปโซนของสดกัน "

" ไปสิ " ผมดันพี่ขุนให้เดินนำ ส่วนตัวเองก็เดินตามหลัง มือก็จับชายเสื้อพี่ขุนไว้

ผมชอบเดินจับชายเสื้อพี่ขุนนะ ถึงมันจะดูเหมือนเด็กไปหน่อยก็เถอะ ผมชอบการเดินแบบนี้มากกว่าเดินจับมือกันอีก พี่ขุนไม่เคยบ่นเลยนะที่ผมรั้งชายเสื้อมันแบบนี่นะ

ลองบ่นสิ....จะทุบให้

" หนมจะซื้อขนมไปฝากคุณพ่อคุณแม่ไหมครับ "

" อาจจะซื้อชาเอิร์ลเกรย์ไปให้แทนน่ะ ป๊าหนมชอบดื่ม "

"  พ่อพี่ก็ชอบเหมือนกันนะชาเอิร์ลเกรย์ "

" อ๋อ....เออพี่ขุน พ่อแม่ของพี่ขุนเนี่ยะเป็นท่านเป็นคนยังไงหรอ "

" แม่พี่เป็นคนใจดีน่ะ และก็รักหมารักแมวมาก ถึงขั้นสร้างบ้านพักพิงของสุนัขและแมวไว้เลยนะ " พี่ขุนยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนลง " แต่ว่าพ่อจะเป็นคนเงียบขรึม ค่อนข้างเข้มงวดมาก เป็นคนเจ้าระเบียบด้วย "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ " แล้วพี่ขุนคิดจะพาหนมไปไหว้พวกท่านไหม "

" คิดสิครับ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย...คือคนที่บ้านพี่ไม่ค่อยว่างน่ะ "

" นั่นสินะ บ้านพี่ขุนทำธุรกิจใหญ่ ถ้าไม่ว่างก็ไม่แปลกหรอก "

" เดี๋ยวถ้าที่บ้านพี่โอเคเมื่อไหร่ พี่จะพาหนมไปละกันละนะครับ "

โอเคในที่นี้หมายถึงยอมรับในความสัมพันธ์สินะ

" ได้สิ หนมจะรอวันนั้นนะ " ผมยิ้มบางๆ ให้ พี่ขุนก็เลื่อนมือมาขยี้หัวผมเบาๆ ก่อนจะพาเดินไปโซนของสด

ผมว่าพี่ขุนคงคิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ที่บ้านยอมรับแน่ๆ แต่เจ้าตัวเองก็คงยังคิดวิธีอยู่ ผมรู้นะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับกันง่ายๆ กว่าที่ครอบครัวของพี่ขุนจะยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ของเราได้ผมก็คงจะต้องให้กำลังใจพี่มันไปเรื่อยๆ ยังไงก็ต้องเอาชนะอุปสรรคของครอบครัวไปให้ได้ครับ ผมว่านะถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้ เรื่องอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเราแล้วล่ะ

ผมกับพี่ขุนรักกันมากนะ

ใครก็มาแยกเราออกจากกันไม่ได้หรอก

พี่ขุนพาผมเดินมาหยุดอยู่โซนของสด ร่างสูงก็เดินไปเลือกโน่นหยิบนี่มาใส่รถเข็น ส่วนผมก็ยืนมองตาแป๋วพลางเฝ้ารถเข็นไปด้วย เก่งเนอะผู้ชายที่เลือกพวกวัตถุดิบเป็นน่ะ ผมจำตอนเรียนการงานอาชีพฯ เมื่อสมัยมัธยมได้ครับ วิธีเลือกปลาสดๆ อ่ะจำยากจะตาย ที่ต้องตาใสไม่เหม็นคาว บลาๆๆๆ วิธีเลือกผักเงี้ยะ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเลยนะ ไม่รู้ว่าทำไมพี่ขุนถึงจำอะไรพวกนี้ได้

“ ทำไมเราไม่เอาตัวใหญ่ๆ นั่นล่ะพี่ขุน ” ผมชี้ไปที่ปลาสีชมพูที่ตัวใหญ่กว่า

“ มันไม่ค่อยสดน่ะครับ ในบรรดาปลาทั้งหมดที่วางอยู่พี่ว่าตัวที่พี่เลือกมามันดีที่สุดแล้ว ”

“ พี่นี่เหมาะไปเรียนพวกคหกรรมเนอะ ”

“ ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้นนะ ”

ผมหันขวับมองคนพูดทันที  “ อ้าว....แล้วทำไมถึงมาเรียนวิศวะฯ ได้ล่ะ ”

“ แพ้พนันพี่พลน่ะ ก็เลยต้องเรียนวิศวะ ”

“ แค่นี้เองน่ะนะ แล้วพี่พลเขากำหนดรึเปล่าว่าพี่ต้องเรียนโยธา  ”

“ ก็ไม่นะ ”

“ ถ้าไม่กำหนด หนมว่าพี่น่าเรียนพวกวิศวกรรมอาหารอะไรพวกนั้นนะ ถ้ามีชอบอะไรพวกนี้ ”

“ ที่พี่เรียนโยธาเพราะว่าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับไอ้เกียร์น่ะ ” พี่ขุนหยิบผักใส่รถก่อนจะเดินนำผมไปโซนผลไม้ต่อ “ สัญญากันไว้ตอนม.3 ว่าถ้ามันสอบติดสถาปัตย์แล้วถ้าพี่มีโอกาสได้เรียนวิศวะ พี่ต้องเรียนโยธา ”

“ พี่ก็เรียนมาได้ทั้งๆ ที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดเนี่ยนะ ”

“ ลองคิดในอีกแง่มุมนะ ถ้าพี่ไม่เรียนวิศวะโยธา พี่อาจจะไม่มีเพื่อนที่ดีแบบไอ้พวกบ้านั่น และพี่อาจจะไม่ได้เจอหนมก็ได้ ”

“ มันก็จริง ” ผมหยิบแอปเปิ้ลมาใส่รถเข็น “ ถ้าพี่ขุนเรียนพวกคหกรรมพี่ขุนคงเป็นแฟนกับหมู กับไก่ กับปลาไปแล้วแหละ ”

“ ฮ่าๆๆๆ แต่ตอนนี้พี่เป็นแฟนหนมนะครับ ”

“ รู้แล้วน่า ได้ของครบก็ไปโซนขนมได้แล้ว ” ผมบอกก่อนจะดันพี่ขุนให้เดินไปโซนขนม

คนที่เดินนำผมอยู่ข้างหน้านี่ดูอารมณ์ดีอยู่นะ อย่างน้อยก็อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนที่คุยเรื่องครอบครัว ผมว่าพี่ขุนเก่งนะที่เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่เชิงว่าชอบได้อ่ะ แถมยังเรียนได้ดีอีกต่างหาก คะแนนอยู่ในระดับท็อปอย่างเงี้ยะ เป็นผมนี่ไม่ยอมเลยนะถ้าไม่ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองเลือก ตอนแรกป๊าผมน่ะอยากให้เรียนบริหารไม่ก็เรียนการโรงแรม เพราะว่าที่บ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมไง ป๊าบอกว่าถ้าไม่เรียน 2 คณะนี้ก็ไม่ต้องเรียนก็ได้ ให้ผมนั่งกินนอนกินไป เดี๋ยวไอ้ขันหาเลี้ยงเอง

มันเป็นเหตุผลที่ดีนะครับ

แต่ผมคิดว่าผมทำอะไรได้มากกว่าที่จะนั่งกินนอนกินอ่ะ ผมก็เลยบอกป๊าว่าจะเรียนนิเทศ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกชอบมาตั้งแต่ขึ้นสมัยมัธยมละ สายวารสารนี่ที่หนึ่งในใจเลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมอยากเรียนนั้นป๊าคัดค้านครับ ป๊าบอกว่ามันไม่น่าจะมาช่วยอะไรธุรกิจที่บ้านได้ แต่สุดท้ายป๊าผมก็ยอมให้ผมเรียนในคณะที่ตัวเองเลือก คือไอ้ขันมันเป็นคนไปพูดให้ป๊ายอม เหมือนกับว่าไปสัญญาอะไรไว้สักอย่าง ผมเคยถามมันด้วยนะแต่ว่ามันไม่บอก ที่บอกมาก็แค่ให้ผมตั้งใจเรียนในสิ่งที่ตัวเองเลือก

มาดพี่ชายที่แสนดีสัสๆ

ตอนนี้ไอ้ขันมันคงอยู่ทะเลแล้วล่ะ อาจจะดำผุดดำว่ายไปคุยกับปลาอยู่ เดี๋ยวต้องโทรบอกให้มันซื้อขนมมาฝากเยอะๆ ผมจะแบ่งไปให้ไอ้หมีด้วย ถ้ามันรู้ว่าไอ้ขันเป็นคนซื้อขนมมาให้มันต้องเก็บไว้จนเน่าแน่เลยว่ะ

“ หนมครับ ”

ผมสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะหันมองพี่ขุน “ มีอะไรหืม ”

“ พี่เห็นหนมเหม่อๆ เป็นอะไรรึเปล่า ”

“ หนมก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ ” ผมบอกปัดก่อนจะหยิบขนมมาใส่รถเข็น “ แล้วนี่จะซื้ออะไรอีกไหม ”

พี่ขุนทำท่าคิดอะไรอยู่แปปนึงก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ ซื้อถุงยางไหมครับ ”

ห้ะ

“ ซะ.....ซื้อทำไม ”

“ จะไม่ให้พี่ใส่หรอ ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ “ ก็ได้นะ ”

ฉ่า....

“ ไม่ใช่นะ....หนมไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ พี่นี่มันบ้าจริงๆ เลย ” ผมตีไหล่พี่ขุนก่อนจะเดินหนี มือก็ยกขึ้นมาลูบแก้มตัวเองเบาๆ หน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย

พี่ขุนเข็นรถเดินมาอยู่ข้างๆ ผม “ เขินหรอ ”

“ เปล่าสักหน่อย ”

“ เขินอยู่ชัดๆ ” มือเรียวเลื่อนมาบีบแก้มผม “ แก้มนี่แดงเชียว ”

“ หึ้ยยยย.ย..ย.....ถ้ารู้แล้วจะถามทำไมเล่า ”

“ น่ารัก....ไปจ่ายเงินกันดีกว่า จะได้รีบไป ”

“ ไม่ซื้อแล้วใช่ไหมไอ้นั่นน่ะ ”

พี่ขุนยกยิ้มก่อนจะก้มมากระซิบข้างหูผม “ พี่ลืมไปน่ะครับว่ามันมีอยู่เต็มลิ้นชักที่หอพี่เลย เดี๋ยวค่อยไปเอามาไว้ที่หอหนม ”

“ พี่นี่มัน......”

แล้วเมื่อกี้พูดว่าจะซื้อทำไมวะไอ้บ้าเอ้ยยยยย

จิ๊....น่าหงุดหงิดชะมัด


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 27 : 14/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-12-2017 12:08:06
--------- ต่อจากบท 27 ---------




บ้านขนม

ผมช่วยพี่ขุนเดินถือของเข้ามาในบ้าน ไม่มีใครอยู่ที่ห้องรับแขกเลยครับ คนไปไหนกันหมดเนี่ยะ หรือว่าอยู่กันที่สวนหย่อมหลังบ้านวะ อาจจะใช่ ผมเหลือบมองพี่ขุน เจ้าตัวดูตื่นเต้นมากเลยนะครับที่เห็นบ้านผมน่ะ มองโน่นดูนี่ไปเรื่อย

“ เอาของไปเก็บที่ครัวก่อนละกัน ตามหนมมา ” ผมบอกก่อนจะเดินนำพี่ขุนมาที่ครัว

“ บ้านหนมนี่ใหญ่เหมือนกันนะ ”

“ ใหญ่หรอ ”

“ ใหญ่สิ ก็พอๆ กับบ้านพี่ ” พี่ขุนเอาของสดไปใส่ตู้เย็นไว้

“ หนมว่าบ้านหลังใหญ่อ่ะ มันดูเหงาๆ นะเวลาที่คนอยู่น้อยน่ะ ”

“ ก็จริงแหละ บ้านพี่นี่เงียบเหงามาก แต่ว่าช่วงคริสต์มาสก็คึกครื้นอยู่นะ ”

“ อินเทศกาลคริสต์มาสด้วยหรอบ้านพี่ ”

“ พี่เป็นคริสต์น่ะ คริสต์มาสก็ต้องอินสิ บ้านพี่จะแต่งต้นสนทุกปีเลยนะ ตอนเป็นเด็กพี่ได้ของขวัญทุกปีเลยด้วย ”

ผมเอียงคอมอง “ จากซานตาคลอสน่ะหรอ ”

“ ใช่สิ ต้องเป็นเด็กดีด้วยนะถึงจะได้ของขวัญน่ะ ” พี่ขุนเอ่ยอย่างจริงจัง ผมก็อมยิ้มให้กับท่าทางพวกนั้น

นี่เพิ่งรู้เลยนะครับว่ามันนับถือศาสนาคริสต์น่ะ ถึงว่าเวลาเดินผ่านพวกศาลที่มหาลัยพี่ขุนไม่เคยยกมือไหว้เลย มันเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง ผมชอบนะพวกเทศกาลหลายๆ อย่างของชาวคริสต์น่ะ ไม่ว่าจะเป็นวันคริสต์มาสหรือว่าฮาโลวีน หรืออิสเตอร์อะไรพวกเนี้ยะ ผมว่ามันเป็นเทศกาลครอบครัวที่สนุกนะ เดี๋ยวคริสต์มาสที่จะมาถึงนี้ผมให้ของขวัญที่ขุนดีกว่า

อยากอินเทศกาลบ้าง

“ โอเคเสร็จละ ” พี่ขุนเดินไปล้างมือเมื่อเก็บของใส่ตู้เย็นเสร็จ

“ งั้นไปที่สวนหย่อมกันเถอะ ป๊ากับแม่น่าจะอยู่ที่นั่น ”

“ งั้นหนมนำพี่ไปเลยครับ ”

“ ได้ ตามมาเลย ” ผมบอกก่อนจะเดินนำพี่ขุนไปที่สวมหย่อมหลังบ้าน ป๊ากับแม่ผมกำลังให้อาหารปลาคาร์ฟในบ่ออยู่พลางหยอกกันแบบคู่รักวัยหนุ่มสาวด้วยครับ

“ นั่นคุณพ่อคุณแม่ของหนมใช่ไหม ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ ป๊า แม่ หนมกลับมาแล้วนะครับ ” สิ้นเสียงของผม ป๊ากับแม่ก็หันมามอง พี่ขุนเห็นแบบนั้นมันก็ยกมือไหว้แล้วก็ยิ้มหวานให้

“ สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ”

“ นี่น่ะหรอคนที่หนมบอกป๊าว่าเขาตามจีบหนมสามเดือนน่ะ ”

พี่ขุนเหลือบมองผม “ มาเล่าอะไรให้ท่านฟังหรอ ”

“ หนมเปล่าสักหน่อย....คิดถึงแม่จังเลยครับ ” ผมโผเข้ากอดแม่ก่อนจะหอมแก้มท่าน “ หนมพาลูกมือมาช่วยแม่ทำกับข้าวด้วยนะ ”

“ หนุ่มหล่อนี่น่ะหรอที่จะเป็นลูกมือแม่น่ะ ”

“ เอ่อ...ผมชื่อขุนศึกนะครับ เป็นแฟนของขนม ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะก้มหัวให้อย่างนอบน้อม “ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ”

ป๊าเลื่อนมากระซิบข้างหูผม “ หาลูกเขยได้เยี่ยมมาก ”

“ ชอบใช่ไหมล่ะ ”

“ ก็ได้อยู่นะ ” ป๊ายิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะเก๊กเสียงเข้มใส่พี่ขุน “ เดี๋ยวอยู่คุยกันสักแปปนึงละกันนะพ่อหนุ่ม ส่วนหนมไปช่วยแม่ในครัวซะไป ”

“ ไหงงั้นล่ะ ”

“ ไปอยู่กับแม่ในครัวก่อนนะหนม ส่วนเราก็คุยกับคุณป๊าไปก่อนละกันนะ ” แม่ยิ้มหวานบอกพี่ขุนก่อนจะลากผมเข้าบ้านทันที

แบบนี้ก็ไม่รู้น่ะสิว่าคุยอะไรกันน่ะ

ผมเดินหน้ามุ่ยตามแม่เข้ามาในครัว ทำไมไม่ให้หนมอยู่ฟังด้วยล่ะป๊า แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยไปถามพี่ขุนเอาก็ได้ ใจชื้นอยู่นะที่ป๊าบอกว่าหาลูกเขยได้เยี่ยมมาก พี่ขุนมันเริ่มต้นแนะนำตัวเองได้ดีนะครับ แถมยังบอกเองกับปากเลยว่าเป็นแฟนผม รอยยิ้มหวานๆ นั่นคงทำให้ผมป๊ากับแม่พอใจอยู่ไม่น้อยเลยนะ ไหนจะท่าทางนอบน้อมนั่นอีก

“ แฟนลูกนี่ หล่อนะหนม ”

“ แม่คิดว่ามันหล่อหรอครับ ”

“ หนมก็คิดแบบแม่ใช่ไหมล่ะ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ แต่หล่อน้อยกว่าหนมนิดนึงนะ ”

“ จ้า พ่อคนหล่อ ” แม่เปิดตู้เย็นก่อนจะหยิบของที่พี่ขุนเพิ่งยัดเข้าไปออกมา “ แล้วนี่จะทำอะไรบ้างล่ะ หนมอยากกินอะไร ”

“ แกงเขียวหวาน ปลาสามรส กุ้งทอด แล้วก็ผัดเผ็ดปลาดุกครับ แม่จะทำกับข้าวเพิ่มอีกก็ได้นะเพราะว่าซื้อของมาเผื่อเยอะเลย ”

“ งั้นเดี๋ยวทำของโปรดป๊าเราละกัน หนมเอาผักพวกนี้ไปล้างนะ ทำได้ใช่ไหม ”

“ ทำได้สิ ระดับหนมซะอย่าง ” ผมรับผักจากแม่ไปล้างที่ซิงค์

“ ช่างจ้อจังนะ รีบๆ ล้างเข้า ”

ผมเริ่มลงมือล้างผัก นึกถึงฉากที่นายเอกในนิยายของผมยืนล้างผักเลยอ่ะ แล้วก็กำลังล้างเพลินๆพระเอกก็จะเดินมากอดจากด้านหลัง แถมยังเอาคางเกยไหล่นายเอกไว้ด้วย ผมว่ามันเป็นโมเม้นท์ที่น่ารักนะครับ แล้วสองคนก็ช่วยกันล้างผัก ช่วยกันทำกับข้าวกันงุ้งงิ้งๆ คือนิยายของผมอ่ะนายเอกจะทำอาหารเก่งแต่พระเอกไม่เลย ทำได้แค่ยืนจับโน่นส่งนี่ให้ ตัดภาพมาชีวิตจริงที่เป็นผมที่ทำอะไรไม่เป็น ส่วนพี่ขุนจะเป็นคนทำทุกอย่างเอง

ผมนี่ทีมรอกินอย่างเดียว

ในขณะที่ผมยืนล้างผักอยู่เพลินๆ คนที่ผมเพิ่งนึกถึงไปก็เดินมายืนข้างๆ ก่อนจะช่วยล้างผัก อ่าวนี่มึงคุยกับป๊าเสร็จแล้วหรอ แล้วนี่เดินมาตอนไหนทำไมไม่ได้ยินอะไรเลยวะ

“ ผักกาดต้องล้างทีละใบนะรู้ไหม ”

“ ไม่รู้ ละนี่คุยกับป๊าเสร็จแล้วหรอ คุยไรกันบ้าง ”

“ ไม่บอกหรอก มันเป็นความลับของผู้ใหญ่ ”

“ ตัวเองโตกว่าตายแหละ ” ผมโวยใส่

“ ขนม ” แม่เอ็ดผม “ อย่าเสียงดังในครัวสิ ”

 “ หนมเปล่านะแม่ ”

พี่ขุนหันเอาผักที่ล้างแล้วส่งไปให้แม่ผม “ ขนมไม่ฟังหรอกครับ เค้าเป็นเด็กดื้อ ”

“ ใช่จ่ะ เค้าดื้อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ”

“ แม่อ่ะ ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่แม่ก่อนจะหันมาตีไหล่พี่ขุนแรงๆ “ นี่แน่ะ ว่าหนมดื้อหรอ ”

“ เดี๋ยวโดนพี่ตีคืนหรอก ”

“ ไม่กลัวหรอก ” ผมแลบลิ้นใส่มันก่อนจะลงมือล้างผักต่อ พี่ขุนก็ยืนช่วยอยู่ข้างๆ

พอล้างผักเสร็จผมก็มานั่งดูนิ่งๆ ครับ ปล่อยให้แม่กับพี่ขุนช่วยกันทำกับข้าวไป แม่ดูชอบใจพี่ขุนมากเลยนะครับ แน่ล่ะ นางเป็นลูกมือชั้นเยี่ยมเลยนะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้หมด แม่ผมนี่แค่ยืนบอกสูตรอ่ะเอาจริงๆ นอกนั้นพี่ขุนเป็นคนทำเองหมดเลย ผมเห็นแบบนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคนที่กำลังทำกับข้าวอยู่ก่อนจะกดเข้าไปในเฟซบุ๊ก เอาแคปชั่นรูปอะไรดีนะ อืมม.ม...อันนี้ไง

ที่บ้านเรามีขุนศึกด้วยล่ะ

โคตรเป็นแคปชั่นที่น่าหมั่นหน้ามาก

ผมกดแท้กพี่ขุนไปด้วยครับแล้วค่อยโพสลงเฟซ เพียงไม่กี่นาทีก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมาเยอะพอสมควร เสียงเตือนพวกนี้เป็นเสียงเตือนของคอมเม้นต์ครับ ผมกดเข้าไปดูก็ต้องหัวเราะออกมากับคอมเม้นต์จากเพื่อนรัก

หมีน้อย กลอยใจ : ไม่อิจฉาหรอกโว้ยยยยยยยยยย บ้านมีขุนศึกหรอ บ้านกูก็มีพี่เสือนะ มึงรู้จักพี่เสือไหม พี่เสือทำเค้กเป็นด้วยนะ พี่เสือหล่อมากด้วย พี่เสือกูคือที่สุดของที่สุดแล้วววววววววววววววววววววว

นี่จะเกรี้ยวกราดอะไรเบอร์นั้น

แล้วพี่เสือไหนของมันวะ......ด้วยความสงสัยผมจึงไปเม้นต์

Kanom Kananut : พี่เสือไหนของมึงวะ

หมีน้อย กลอยใจ : เสือกกกกกกกกกกก

เอ้าไอ้สัส....แล้วมึงจะพูดถึงพี่เสือทำไมวะ

ไอ้เชี่ยหมีเดี๋ยวมึงเจอกู



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



" เอาอะไรอีกไหมล่ะขุน "

" ไม่ไหวแล้วครับคุณแม่ ผมอิ่มมากเลย "

" ให้หนมหนิแม่ "

" เราน่ะสามชามแล้วนะ พอแล้ว "

น้องหน้าบึ้งทันทีที่โดนห้าม " อะไรเล่า "

" พอแล้วครับหนม จะกินของหวานต่อไม่ใช่หรอ "

" เอางั้นก็ได้ "

" ขุนนี่เก่งจริงนะที่เอาเด็กดื้อแบบนี้อยู่น่ะ "

" หนมไม่ดื้อ " น้องบอกก่อนจะฉีกยิ้มให้คุณป๊า

น่ารักจัง

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มละครับ เราเพิ่งกินข้าวเสร็จกัน เดี๋ยวป้าแม่บ้านจะเอาไข่หวานมาเสิร์ฟให้ ผมทำเองนะไข่หวานน่ะ หวังว่าคนในบ้านนี้จะชอบ ก่อนหน้านี้ผมก็ไปเป็นลูกมือคุณแม่ในครัวมา ท่านดูชอบผมมากเลยนะที่ผมทำอาหารได้ แถมยังบอกสูตรอาหารที่หนมชอบให้ผมด้วย ดีเลยผมจะได้ทำให้น้องกินบ่อยๆ

เดี๋ยวจะขุนให้อ้วนเลย

ผมชอบครอบครัวของหนมมากเลยนะครับ มันอบอุ่น คุณป๊ากับคุณแม่ก็ใจดีมาก ท่านให้ผมเรียกว่าป๊ากับแม่เหมือนที่หนมเรียกด้วยนะ ได้ฟีลลูกชายอีกคนของบ้านมากเลย วันนี้พวกพี่ๆ หนมไม่อยู่เลยสักคน น่าเสียดายเหมือนกันนะ ผมอยากเห็นพี่สาวทั้งสองคนของน้องมากเลย น้องอวดผมไว้เยอะไงว่าพี่สาวสวยมาก แต่ไม่เป็นไรไว้โอกาสหน้า ผมต้องได้เจอทั้งครอบครัวแหละน่ะ

" นี่ของหวานค่ะคุณท่าน " ป้าแม่บ้านถือของหวานมาให้

" น่ากินจัง "

" มันคืออะไรอ่ะพี่ขุน "

" ไข่หวานไง หนมเคยกินไหม "

น้องส่ายหน้ารัวๆ " เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเนี่ยะ "

" งั้นลองกินดู พี่รับรองว่าอร่อย "

" ได้ " น้องตักไข่หวานใส่ปาก " อื้มมม...ม...อื้ออออออ "

" อะไรอื้มอื้อ "

" อร่อยอ่ะ "

" ใช่อร่อย " คุณป๊ายิ้มบางให้ผม " ไม่หวานไป ไข่ไม่คาวด้วย เรานี่ทำอาหารเก่งจริงเลยนะ "

ผมยิ้มหวานให้ท่านก่อนจะก้มหัวเล็กน้อย " ขอบคุณครับ "

ผมว่าคุณป๊าของหนมเนี่ยะเป็นคนที่ใจดีมากเลยนะครับถ้าเทียบกับพ่อผม ตอนแรกผมนึกว่าท่านจะดุกว่านี้ คุณป๊านี่มีอะไรสงสัยก็ถามตรงๆ เลยครับ ตอนที่ท่านบอกจะคุยกับผมน่ะ ท่านก็ถามโน่นถามนี่ ชอบขนมได้ยังไง ไปรักกันได้ยังไง จีบขนมยากไหม อะไรทำนองนี้น่ะครับ แต่มันพีคตรงคำถามสุดท้ายน่ะครับ ท่านถามว่า.....

ผมมีอะไรกับขนมรึยัง

ยอมรับเลยว่าตาเบิกกว้างมากตอนนั้น ไม่คิดว่าท่านจะถามอะไรแบบนี้ครับ ตอนแรกผมกะจะบอกว่ายัง แต่อีกใจก็อยากบอกไปตรงๆ ผมไม่อยากโกหกไง คุณป๊าเห็นผมอึกอักก็เลยยกมือแตะไหล่และบอกผมว่า ถ้าได้กันแล้วก็บอกว่าได้เถอะ มันเรื่องธรรมชาติ ป๊าไม่ว่า ป๊าแค่อยากรู้ พอท่านบอกแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับแล้วก็บอกว่าได้กันแล้วครับ

รู้สึกเขินแปลกๆ ยังไงไม่รู้

" พี่ขุนเป็นอะไรอ่ะ หน้าแดงจัง "

" หืม....อ๋อพี่ร้อนๆ น่ะ " ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะตักไข่หวานชามตัวเองไปให้น้อง " หมดนี่พอแล้วนะ "

" โอเคเลย "

" แล้วนี่สองคนจะนอนที่นี่ไหม หรือกลับไปนอนที่หอ " คุณแม่ถามพลางเช็ดปากให้คุณป๊า

คนตัวเล็กเหลือบมองผม " พี่ขุนจะนอนที่นี่ไหม นอนที่ห้องหนมน่ะ "

ห้องหนมงั้นหรอ

" ก็...." ผมรู้สึกถึงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่จึงล้วงขึ้นมาดู หน้าจอแสดงว่าพ่อโทรมา " ขอตัวสักครู่นะครับ " ผมลุกเดินออกมาหน้าบ้านก่อนจะกดรับโทรศัพท์

( อยู่ไหน )

" ขุนมากินข้าวบ้านรุ่นน้องครับ "

( รุ่นน้องงั้นหรอ )

" ใช่ครับ พ่อมีอะไรรึเปล่า "

( 3 ทุ่มแล้วมาหาฉัน มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย )

" ได้ครับพ่อ แล้วเจอกันครับ " ผมกดวางสายก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องอาหาร

" มีอะไรรึเปล่าพี่ขุน "

" พ่อโทรมาให้เข้าบ้านน่ะ " ผมนั่งลงข้างน้อง " พี่คงไม่ได้ค้างกับเรานะ "

" ไว้วันหลังก็ได้ "

" รีบไปรึเปล่าล่ะขุน "

" พ่อบอก 3 ทุ่มครับ อีกสักพักเดี๋ยวค่อยไป "

" งั้นป๊าขอพูดอะไรให้เราฟังหน่อยนะ "

ผมพยักหน้ารับ " อะไรหรอครับ "

" หลังจากนี้มันอาจจะมีอุปสรรคที่หนักเข้ามานะ ป๊าว่าขุนรู้ว่ามันคือเรื่องอะไร ป๊าอยากให้ขุนใจเย็นๆ และใช้เหตุผลให้มากๆ นึกถึงหน้าน้องไว้ ถ้าปัญหามันหนักและไม่ไหวจริงๆ มาบอกป๊า ป๊าจะช่วยเราเอง "

" ขอบคุณครับป๊า "

" เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ " คุณป๊ายิ้มให้ผม คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เลื่อนมือมากุมมือผมไว้

ดีจริงๆ นะครับ เหมือนได้ที่พักพิงใจเลยอ่ะ ผมค่อนข้างคิดมากเรื่องที่บ้านนะ แล้วยิ่งพ่อโทรมาให้กลับบ้านมันก็ทำให้ผมยิ่งคิดหนักขึ้นไปอีก ผมกลัวพ่อจะรู้ว่าผมคบกับผู้ชาย อย่างน้อยถ้าพ่อรู้มันก็ควรจะเป็นเพราะผมบอกเอง ไม่ใช่รู้มาจากคนอื่น หวังอยู่ในใจลึกๆ นะครับว่าเรื่องสำคัญที่พ่อจะคุยด้วยไม่ใช่เรื่องนี้ เอาจริงๆ ก็ได้แต่หวัง

อืมม..ม.....

เป็นกำลังใจให้พี่ด้วยนะครับหนม









TBC.

มาส่งขุนหนมแล้วค่ะ ขอโทษที่ลงช้าไป 1 วันนะคะเพราะว่าคอมที่บ้านพังแบบพังจากไปจริงๆ ชาลไม่สะดวกใช้โทรศัพท์ลงในเล้าจริงๆ
ขอสปอยบทหน้าเลยนะคะ มันหน่วง โอเคพอแค่นี้ จะเป็นยังไงรอติดตาม ทุกคนสามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ พวกสปอยชาลก็จะลงที่นั่น
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 27 : 14/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-12-2017 14:56:38
 :L2: :pig4:

การได้รับความเข้าใจ และการยอมรับจากที่บ้านเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 27 : 14/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2017 20:08:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 28 : 20/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-12-2017 21:32:51
บทที่28 อุปสรรคใหญ่ของความรัก



อาการใจสั่นนี่มันคืออะไรวะ

สั่นไม่พอลางสังหรณ์ก็ไม่ดีอีก

รู้สึกแย่ชะมัด

ผมกำลังขับรถกลับบ้านใหญ่ อีก 10 นาทีจะ 3 ทุ่มแล้วครับ ดีว่ารถไม่ค่อยติดเท่าไหร่อีกแปปนึงเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว บอกตามตรงเลยว่าใจไม่ค่อยดียังไงไม่รู้ กลัวเรื่องที่พ่อกำลังจะพูดมากครับถึงแม้ว่าผมยังไม่รู้เรื่องนั้นก็เถอะ ถ้าสมมุติว่าเรื่องที่พ่อจะพูดเป็นเรื่องที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายล่ะ ผมยังไม่ได้คิดเลยว่าควรจะพูดกับเขายังไงให้เขายอมรับเรื่องนี้ มันไม่ง่ายเลยอ่ะ เพราะถ้าพ่อจะยอมรับเขาก็คงยอมรับตั้งแต่เรื่องของพี่พลแล้ว

หวั่นใจจัง

ครื้ดดดด.ด....ครื้ดดด.ด....

ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ ฮัลโหลว่าไงเขา....พี่ขับรถอยู่ ”

( พี่ขุนอย่ากลับมาบ้านเลยนะ )

“ ได้ไงล่ะ ก็พ่อให้กลับ ” ผมหยิบบลูทูธมาใส่แทน “ แล้วทำไมเราถึงไม่อยากให้พี่กลับ ”

( ก็พ่อดูโมโหอะไรไม่รู้อ่ะ )

“ เรื่องของพี่มั้ง ”

( งั้นพี่ก็อย่าเพิ่งกลับสิ ไว้พ่อเย็นกว่านี้ค่อยมาก็ได้ )

“ ถ้าพี่ทำแบบนั้นพ่ออาจจะโมโหมากขึ้นก็ได้ ” ผมบอกน้องก่อนจะผ่อนลมหายใจ สิ่งที่เขาพูดนี่ก็ชัดแล้วล่ะว่าพ่อจะคุยเรื่องอะไรกับผม

( แต่ว่า..... )

“ ไม่มีแต่หรอกเขา....มาเปิดประตูให้พี่ด้วย ถึงหน้าบ้านแล้ว ” ผมบอกก่อนจะกดวางสาย

ตอนนี้ใจเต้นหนักกว่าเดิมอีก ฟีลเหมือนทำความผิดร้ายแรงมาแล้วพ่อจับได้เลยอ่ะ ความรู้สึกแบบนี้ผมเคยเจอมาสมัยมัธยมตอนที่ไปยกพวกตีกับโรงเรียนข้างๆ ตอนนั้นพ่อโกรธมากเลยนะแถมยังสั่งกักบริเวณผมด้วย ไม่คุยกับผมไปหลายวันเลย โอเคตอนนั้นผมผิดผมยอมรับมันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเรื่องนี้สิ เรื่องที่ผมคบกับขนมเนี่ยะ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดเลยนะ อาจจะผิดที่ขัดคำสั่งแต่ว่าผมก็ไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ใครป้ะวะ

ซี๊ดด.ด....เครียดขึ้นมาเฉยๆ เลยว่ะ

เย็นไว้ก่อนขุน

ผมมองเขาที่เปิดประตูให้ก่อนจะลดกระจกรถลง “ ขอบใจ ”

“ พี่ไม่น่ามาเลยอ่ะ ”

“ เออน่า รีบตามเข้ามาละกัน ” ผมขับรถเข้าไปจอดในโรงรถก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วเดินมารออยู่หน้าประตู

เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ เหมือนไม่เจอพี่นานเลยนะ ”

“ งั้นก็ควรดีใจที่พี่กลับบ้านสิถูกไหม ” ผมบอกน้องพลางยิ้มบางๆ แต่คนตรงหน้าก็ส่ายหัวรัวๆ “ ส่ายหัวนี่คือไม่ดีใจรึไง ”

“ กลับมาเพราะแบบนี้ไม่ดีใจหรอก ”

ผมยกมือขึ้นไปขยี้หัวน้อง “ อย่าคิดมากนักเลย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดถูกไหม เข้าบ้านกันดีกว่า ”

เขาพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเดินนำผมเข้าในบ้าน บรรยายกาศอึมครึมนี่มันคืออะไรกันวะ ไม่ชอบใจอะไรแบบนี้เลย ผมเดินตามเขาเข้ามาที่ห้องรับแขกก็เห็นพ่อนั่งรออยู่ที่โซฟา โดยมีแม่นั่งลูบแขนเชิงให้ใจเย็นอยู่ข้างๆ สีหน้าของพ่อดูบึ้งตึงขึ้นทันทีที่เห็นผม แม่ก็หันมองพลางทำหน้าเหมือนกับลำบากใจอะไรสักอย่างอยู่ เขาเดินไปนั่งโซฟาข้างๆ เหลือแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

อา....ใจเย็นนะขุน

ใจเย็นไว้

“ สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่ ” ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสองพลางยิ้มบางๆ “ ขุนกลับมาแล้วนะครับ ”

“ ขุน ”

“ ฉันนึกว่าแกจะลืมบ้านไปแล้วซะอีก ”

“ ผมเพิ่งสอบไฟนอลเสร็จเมื่อไม่กี่วันเองครับ ก็ตั้งใจจะกลับมาบ้านอยู่แล้ว ”

“ งั้นหรอ....แล้วแกคิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ” พ่อหยิบรูปถ่ายที่กองอยู่บนโต๊ะปาใส่มาทางผม “ เรื่องที่แกมีแฟนเป็นผู้ชายเนี่ยะห้ะ!!!! ”

“ คุณคะ ”

ผมก้มลงหยิบรูปทั้งหมดมาดู มันเป็นรูปของผมกับขนมแต่ว่ามันมีการเบลอหน้าน้องไว้ ถ้าพ่อส่งคนให้ไปตามถ่ายก็ไม่จำเป็นต้องเบลอหน้ารึเปล่า เว้นแต่ว่ารูปนี้จะถูกทำเบลอก่อนจะส่งมาที่บ้านของผม ที่สำคัญคือเบลอเฉพาะหน้าขนมทำไม ทำเหมือนกับว่าไม่อยากให้รู้ว่าคนที่อยู่กับผมเป็นใคร เจตนาของคนทำเรื่องนี้ก็ชัดเลยว่าต้องการให้ผมมีปัญหากับที่บ้าน เขาคงรู้ว่าบ้านผมไม่โอเคกับเรื่องนี้ ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่มากมันอาจจะส่งผลให้ผมกับขนมเลิกกันได้ คิดๆ ดูแล้วคนที่ต้องการให้เป็นแบบนั้นก็มีอยู่เดียว

พี่ขัน

“ เงียบทำไมล่ะห้ะ ” พ่อยืนขึ้นประจันหน้ากับผม “ อธิบายไอ้รูปพวกนี้มาซะ ”

“ นี่เป็นแฟนของขุนเองครับ เราคบกันมาได้เดือนนึงแล้ว ”

“ ขุนศึก!!!! แกไม่ละอายปากบ้างหรอที่พูดเรื่องแบบนั้นออกมาน่ะ ”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “ ขุนไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าละอาย ”

“ การที่แกคบกันผู้ชายเนี่ยนะมันไม่น่าละอาย ”

“ ใจเย็นก่อนนะคะคุณ ”

พ่อสะบัดมือแม่ที่ลูบแขนอยู่ออก “ ไม่เย็นละคุณ รู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ว่ามันคือคำสั่ง แต่ลูกก็ยังกล้าขัดคำสั่งของผม คุณนั่งฟังไปเงียบๆ พอ เดี๋ยวผมจัดการเอง ”

แม่ยอมนั่งลงแต่มือก็เลื่อนไปจับมือพ่อไว้ “ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จานะคะ ”

“ พูดดีด้วยแล้วเป็นยังไงล่ะ ” พ่อเหลือบมองทางผม “ ไม่รักดี ”

อื้มมม.ม.....

ผมมองพ่อนิ่งๆ พลางข่มอารมณ์ตัวเองไปด้วย เข้าใจความรู้สึกของพี่พลแล้วครับว่าตอนนั้นว่ามันแย่แค่ไหน เรื่องของพี่พลพ่อก็ไม่ได้โมโหขนาดนี้นะอาจเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนบอกเอง แต่ของผมมันเป็นเพราะคนอื่นมาบอก ไม่น่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยว่ะ ผมขอแค่เวลาที่จะหาเหตุผลดีดีมาอธิบายให้พ่อฟังเท่านั้นว่าทำไมผมถึงมีแฟนเป็นผู้ชาย

ทำไมผมถึงมีแฟนเป็นขนม

แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว

“ ขุนศึก แกลืมสิ่งที่ฉันพูดกับแกไปแล้วรึไงเรื่องเนี้ยะ ”

“ ขุนไม่ได้ลืมครับ ”

“ ถ้าแกไม่ลืม แล้วทำไมแกถึงคบกับผู้ชายล่ะห้ะ ”

“ เรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้หนิครับ เห็นครั้งแรกก็แค่รู้สึกว่าชอบแต่พอได้รู้จักก็เริ่มรัก ” ผมเอ่ยบอกพ่ออย่างจริงจัง “ ขุนกับน้องรักกันมากเลยนะครับ ”

“ ฉันไม่สนใจความรักของแกหรอกนะ ฉันไม่โอเคกับเรื่องนี้ซึ่งนั่นแกก็รู้ แต่แกก็ยังทำแบบนี้อีก ”

“ ขุนไม่เห็นว่าการที่ขุนมีแฟนเป็นผู้ชายมันจะสร้างความลำบากให้ใครเลย เราสองคนแค่รักกันเอง ”

“ ความรักมันเป็นของแกสองคนแต่คนอื่นในสังคมเค้าจะคิดยังไง ฉันเป็นนักธุรกิจที่มีลูกเป็นเกย์ถึง 2 คนเนี่ยะนะ แกคิดว่าคนอื่นเค้าจะมองฉันยังไง ”

“ พ่อแคร์คนอื่นมากกว่าขุนหรอครับ ” ผมถามพ่อเสียงอ่อน “ แคร์คนอื่นมากกว่าพี่พลด้วยหรอ ”

สิ่งที่พ่อพูดออกมามันทำให้ผมรู้สึกเสียใจมากเลย ทั้งผมและพี่พลก็ต่างพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีตามอย่างที่พ่อคาดหวัง ตั้งใจเรียนให้เก่งและก็พยายามไม่สร้างปัญหาให้ที่บ้าน ทำไมแค่ผมมีความรักกับผู้ชายมันถึงได้ดูแย่ในสายตาของเขาถึงขนาดนั้น ความรักแบบนี้มันผิดมากขนาดนั้นเลยหรอ

ผมไม่เข้าใจจริงๆ

“ แกไม่ใช่ฉัน แกไม่เข้าใจหรอก ” ผมละสายตามองทางอื่น “ ไปเลิกซะ ”

“ ไม่ครับขุนไม่เลิก ”

“ ขุนศึก!!!! ”

“ พ่อเคยสอนขุนว่าถ้าเจอคนที่ตัวเองรักแล้วก็ต้องดูแลเค้าอย่างดี เหมือนกับที่พ่อเจอแม่แล้วพ่อก็ดูแลแม่อย่างดี ยังไงขุนก็ไม่จะเลิกกับน้องเด็ดขาด ”

“ นี่แกกล้าขัดคำสั่งฉันอย่างงั้นหรอ ”

“ ถ้าขุนกับน้องจะเลิกกันขุนก็อยากให้มันเป็นเพราะเลิกรักกัน ขุนขอโทษนะครับที่ไม่สามารถทำตามที่พ่อสั่งได้ ขืนถ้าขุนยังอยู่ตรงนี้พ่ออาจจะโมโหมากกว่านี้เพราะงั้นขุนขอตัวก่อน ” ผมยกมือไหว้พ่อก่อนจะหมุนตัวเพื่อจะเดินออกไป

“ แฟนของแกมันมีดีอะไรนักห้ะ!!!! ”

ผมหยุดเดินก่อนจะหันมายิ้มบางๆ ให้พ่อ “ น้องเค้าเป็นคนดีครับ ถ้าพ่อได้มีโอกาสรู้จักเค้าพ่อจะรักเค้าเหมือนที่ขุนรัก ”

“ ขุนศึก!!!! ”

ผมรีบเดินออกมาโดยไม่ฟังเสียงเรียกนั้นอีก พ่อโมโหเกินที่เราจะคุยกันด้วยเหตุผล อีกอย่างคำสั่งของเขาผมไม่สามารถทำได้แน่นอน คิดดูสิว่าเราสองคนเพิ่งฉลองครบรอบ 1 เดือนไปเองนะ แล้วผมก็เป็นคนบอกขนมเองด้วยว่าเราอยู่จนได้ฉลองครบรอบปีด้วยกัน เราตกลงกันแล้วว่าถ้ามีอุปสรรคอะไรเราก็ผ่านไปด้วยกัน ผมเชื่อนะว่าทุกอย่างมันจะต้องผ่านไปด้วยดีแค่มันต้องใช้เวลาเท่านั้นแหละ

แต่อันนี้อาจจะนานหน่อย

ผมกับพ่อคงมองหน้ากันไม่ติดไปสักพักใหญ่เลยล่ะ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยมีปัญหากับที่บ้านหนักขนาดนี้เลยนะ และก็ไม่เคยเห็นพ่อโกรธมากขนาดนี้ด้วย รู้สึกสงสารแม่นะครับ สีหน้าดูลำบากใจมาก จะเข้าข้างผมตรงๆ เลยก็ไม่ได้ จะเลือกเข้าข้างพ่อก็คงจะสงสารผมเหมือนกัน ตอนนี้คงจะเป็นห่วงผมน่าดู เดี๋ยวต้องโทรหาแต่ว่าคงไม่ใช่วันนี้

“ พี่ขุน ”

ผมหันมองไปตามเสียงก็พบเขาที่วิ่งออกมาจากบ้าน “ หืม ”

“ พี่.....” น้องโผเข้ามากอดผมแน่น “ ไม่เป็นไรนะ ”

“ ไม่เป็นไร พี่ไม่เป็นไร ”

“ ไม่เป็นไรแน่หรอ ”

“ ใช่สิ ” ผมยกมือลูบหัวน้องเบาๆ “ พี่เก่งแค่ไหนเขาก็รู้ ”

“ ถึงพี่จะพูดแบบนั้นก็เถอะ.....”

ผมคลายกอดจากน้องก่อนจะจับไหล่คนตรงหน้าไว้ “ ฟังพี่นะขุนเขา พี่ไม่เป็นไรจริงๆ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นเอง ”

“ แล้วพี่จะทำไงต่อ ”

“ ก็อาจจะใช้ชีวิตตามปกติ ” ผมเอ่ยก่อนจะยิ้มหวานให้น้อง “ พี่อาจจะไม่ค่อยได้กลับบ้านแล้ว ดูแลแม่กับพ่อให้ดีดี และตั้งใจเรียนให้มากๆ เข้าใจไหม ”

เขาพยักหน้ารับเบาๆ “ ครับ พี่ขุนก็ดูแลตัวเองดีดีนะ ”

“ พี่รู้แล้วน่ะ เข้าบ้านได้แล้ว บายนะ ” ผมบอกน้องก่อนจะเดินขึ้นรถ เขาก็เดินไปเปิดประตูให้ผม

มันยากนะครับที่ต้องแกล้งว่าตัวเองไม่เป็นไรทั้งๆ ที่ใจไม่โอเคเลยสักนิด ตอนที่เขากอดผมเมื่อกี้ขอบตามันร้อนผ่าวยังไงไม่รู้ เหมือนน้ำตาจะไหลเลยว่ะ มันดีนะที่ในช่วงเวลาที่แย่ก็ยังมีคนที่คอยประคับประคองผมอยู่ ในใจของผมตอนนี้อยากจะไปกอดขนมแน่นๆ กอดเและก็บอกว่าผมจะอยู่กับน้องตรงนั้น จะไม่ไปไหน แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละผมทำแบบนั้นไม่ได้ ขนมจะต้องไม่รู้เรื่องนี้

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

ผมขับรถออกมาจากบ้าน ผมต้องการคนที่จะรับฟังเรื่องทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าตัวเองเข้มแข็งนะแต่มันคงไม่มากพอที่จะผ่านไปคนเดียวแน่ๆ เรื่องนี้มันทำผมดาวน์จนคิดอะไรไม่ออกและก็ฟุ้งซ่านมากด้วย ผมต้องการระบายมันออกมาไม่งั้นผมคงทนไม่ไหวและคิดทำอะไรบ้าบอแน่ๆ

จิ๊....ไม่ชอบแบบนี้เลย





คอนโดขุนพล

ผมรีบเดินเข้ามาในคอนโดอีกสาขานึงของที่บ้านก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด พี่พลอยู่ชั้นบนสุดของคอนโดนี้ครับเหมือนกับผมที่อยู่ชั้นบนของอีกคอนโดนึง ผมยืนมองวิวนอกลิฟต์นิ่งๆ แสงไฟยามค่ำคืนมันดูสวยนะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ใจผมรู้สึกดีขึ้นเลย

ทุกอย่างมันดูหม่นไปหมด

หลังจากที่ลิฟต์มาถึงชั้นบนผมก็เดินออกไปก่อนจะดิ่งไปห้องที่อยู่ริมสุด หวังว่าพี่พลคงอยู่ห้องนะ ผมไม่ได้โทรหาเขาด้วย นี่ถ้าเขาไม่อยู่ขึ้นมาผมจะเอายังไงชีวิตต่อดีวะ

ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง

ผมกดออดหน้าห้องรัวๆ ตอนนี้มือมันสั่นไปหมด ผมอาจจะไม่ไหวจริงๆ พอเห็นมือสั่นๆ ของตัวเองแบบนี้ก็ตลกอยู่เหมือนกันนะ เป็นคนบอกน้องเองแท้ๆ ว่าตัวเองไม่เป็นไร ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้เลยว่าต้องรับมือกับความรู้สึกนี้ยังไง

กระจอกจริงๆ เลยว่ะ

หลังจากที่ผ่านไปแปปนึง ประตูตรงหน้าผมก็เปิดออกโดยเจ้าของห้อง “ กดขนาดนี้นี่มัน.....”

“ พี่พล ” ผมขยับเข้าไปกอดพี่พลทันที “ พี่พล ”

“ ขุน....เป็นอะไร ”

“ พี่พล....ฮึก ” ผมก้มหน้าซบไหล่พี่พลอยู่อย่างนั้น

มือเรียวยกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ “ ใจเย็นก่อนนะ เกิดอะไรขึ้นบอกพี่มาซิ ”

“ ฮึก....พ่อรู้เรื่องของขุนแล้วนะ ”

“ นี่ทะเลาะกับพ่อมาหรอ ”

“ ใช่....ฮึก....” ผมตอบรับเสียงอู้อี้ “ พ่อสั่งให้ขุนเลิกกับหนมด้วย....ฮึกกก....ขุนทำไม่ได้อ่ะพี่พล...ขุนรักหนมอ่ะ...ฮึก ”

ผมปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ มันยากนะที่จะกลั้นน้ำตาไว้ทั้งๆ ที่ใจไม่โอเคขนาดนี้ ผมรู้เลยว่าตัวเองกำลังอ่อนแอมาก ต่อหน้าน้องผมต้องเข้มแข็งเพราะว่าผมเป็นพี่ชายของเขา แต่ต่อหน้าพี่พลผมไม่ไหวจริงๆ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่เรายังเป็นเด็กแล้ว เวลาที่พวกเรามีปัญหาทุกข์ใจจนต้องร้องไห้ ผมจะเป็นคนคอยปลอบน้องตลอดและพี่พลจะเป็นคนคอยปลอบผมอยู่เสมอ ส่วนตัวเขาถ้ามีปัญหาทุกข์ใจอะไรเขามักจะเก็บมันไว้คนเดียว ยิ้มหวานให้น้องๆ และก็บอกว่าตัวเองไม่เป็นไร

ผมอยากทำแบบนั้นบ้างแต่มันก็ไม่ไหวจริงๆ

พี่พลผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้ยังไงวะ

“ โอ๋นะ ” พี่พลเอ่ยเบาๆ ฝ่ามืออุ่นๆ นั่นก็ลูบหัวปลอบผมอยู่อย่างนั้น “ ทุกอย่างมันมีทางแก้รู้แล้วใช่ไหม ”

“ฮึก....รู้ ”

“ แล้วรู้ใช่ไหมว่าเวลามันจะช่วยทุกอย่างให้ดีขึ้น ”

“ รู้ครับ ”

“ เพราะงั้นใจเย็นๆ ” พี่พลผละออกก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ “ พี่คิดมาตลอดว่าขุนโตแล้ว แต่วันนี้พี่รู้แล้วว่าขุนก็ยังเป็นน้องชายขี้แยของพี่อยู่ดี ”

“ ฮึก....ไม่ได้อยากร้องสักหน่อย ”

“ พี่ไม่ได้บอกว่าร้องไห้มันจะแย่สักหน่อย บางครั้งการร้องไห้มันก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับการระบายสิ่งไม่ดีออกมา ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยให้มันไปกับน้ำตาเถอะ เราจะได้รู้สึกดีขึ้นไง ”

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “ ฮึก....ขอบคุณนะพี่พล ”

“ มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องทำอยู่แล้ว ” พี่พลยิ้มหวานก่อนจะปัดผมที่ปรกหน้าออกให้ “ พี่เป็นพี่ชายของเราหนิ ”

ดีจริงๆ ที่เขาเป็นพี่ชายของผมน่ะ

ยอมรับเลยนะว่าที่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมานั่นทำให้รู้สึกดีขึ้นพอสมควร การปลอบของพี่พลก็ทำให้ผมรู้สึกโอเคขึ้นเยอะ อย่างน้อยมันก็มากกว่าตอนแรก หลังจากนี้ก็คงต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงต่อ ผมไม่รู้ว่าพ่อคิดทำอะไรรึเปล่า ไม่มีใครเดาใจเขาได้เลย ผมคิดว่าพ่อคงยังไม่รู้ว่าแฟนผมเป็นใคร แต่ว่ามันก็ไม่ยากที่จะสืบ อา....คิดอะไรวุ่นวายตอนนี้แล้วปวดหัวชะมัด วันนี้ผมคงต้องฮีลตัวเองให้หายเป็นปกติก่อน ไว้มีสติมากกว่านี้แล้วค่อยคิดโน่นคิดนี่

เอาใจช่วยพี่ด้วยนะครับหนม

พี่รักหนมนะ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



---------50%---------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 28 : 20/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-12-2017 21:35:29
--------------- ต่อจากบทที่ 28 ----------------





“ ให้หนมเอาต้นนี้ไปวางไว้ตรงไหนหรอป๊า ”

“ เอามาวางไว้ตรงป๊าเนี่ยะ ”

ผมถือกระถางต้นไม้มาวางไว้ข้างๆ ป๊า “ อันนี้มันต้นอะไรนะ ”

“ ต้นคริสติน่าไง ”

“ ทำไมมันยอดมันเป็นสีแดงอย่างเดียวอ่ะ ทำไมไม่แดงไปทั้งต้น ”

“ หนมลองถามมันสิ ”

ถามแล้วเหมือนมันจะตอบอ่ะ

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ป๊าก่อนจะไปขนต้นไม้ที่เหลือมาวางเรียงๆ กัน ตอนนี้ผมกำลังช่วยป๊าจัดสวนอยู่ครับ ไม่รู้ว่าจะสั่งต้นไม้มาทำไมเยอะถึงขนาดนี้ รถเอามาส่งนี่เป็นร้อยกระถางอ่ะ ต้นอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ผมไม่รู้จัก มีทั้งมีดอกและก็ไม่มีดอก มีหลายต้นเลยครับที่ผมแอบเด็ดดอกออกไปลอยน้ำในบ่อปลาคาร์ฟน่ะ

ห้ามบอกป๊านะครับ

เมื่อวานที่พี่ขุนมาบ้านเนี่ยะ ป๊าก็ชอบใจลูกเขยมากจนมีมาคุยกับผมนอกรอบด้วยนะ ถามโน่นถามนี่ และก็บอกว่าถ้ามีโอกาสพาพี่มันมาอีกก็ให้พามา จะทำการต้อนรับอย่างดี แต่ผมคิดว่ามันคงจะยากหน่อยครับถ้าไอ้ขันอยู่บ้าน เออเมื่อวานไอ้พี่ตัวดีมันถ่ายรูปกุ้งเผาส่งมาให้ผมดูด้วย คือจะไม่อะไรเลยถ้ามันไม่ส่งมาตอน 5 ทุ่มครึ่ง แม่งโคตรเลว ผมนี่อัดคลิปเสียงด่ามันเลยอ่ะ

ฉุนเฉียวชิบหาย

ไม่รู้ตอนนี้พี่ขุนทำอะไรอยู่ หลังจากที่พ่อเรียกให้ไปหาพี่มันก็ไม่ได้ติดต่อผมมาเลย โทรไปก็ไม่ติดครับเพราะว่าปิดเครื่องไว้ ผมเลยคิดอีกแค่ว่าแบตฯ โทรศัพท์อาจจะหมด ไว้รอมันติดต่อมาเองดีกว่า ผมหวั่นใจอยู่นะเรื่องพ่อพี่ขุนน่ะ กลัวว่าเขาจะเรียกเข้าไปคุยเรื่องของเราสองคน ถ้าเป็นแบบนั้นนี่ผมว่ามันต้องหนักมากแน่ๆ เลยอ่ะ ฟังจากที่ไอ้หมีเล่าให้ฟังมันก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว พี่พลถึงกับต้องย้ายออกจากบ้านเลยนะ พอคิดแบบนี้แล้วเป็นห่วงพี่ขุนจัง

ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นไงบ้าง

ครืดดด.ดด.....ครืดดด.ด.ด.....

ผมล้วงไปหยิบโทรศัพท์ออกมาดู รายชื่อที่แสดงอยู่ที่หน้าจอทำให้ผมยิ้มออกมาได้ทันที พี่ขุนโทรมาครับ แม่งตายยากจริงๆ เลยนะเพิ่งนึกถึงเมื่อกี้เองแท้ๆ ผมกดรับสายก่อนจะยกขึ้นแนบหู “ ฮัลโหลครับ ”

( คิดถึงจังครับ )

“ หึ....คิดถึงมากเลยไหม ”

( ม้ากมาก )

“ เสียงหวานเชียวนะ ละนี่พี่ทำอะไรอยู่ ”

( พี่ขับรถอยู่ครับ นี่กำลังจะไปรับหนม พี่กะว่าจะไปล้างบ่อเต่าน่ะเลยอยากให้หนมไปช่วยหน่อย )

“ ได้สิ ” ผมหยิบหูฟังในกระเป๋ากางเกงมาเสียบต่อโทรศัพท์ “ เมื่อคืนหนมติดต่อพี่ขุนไม่ได้เลยอ่ะ เป็นไรรึเปล่า ”

( โทรศัพท์พี่แบตฯ หมดน่ะครับ แล้วพี่ก็ยุ่งๆ จนไม่ได้ดูว่าแบตฯ มันหมด ขอโทษด้วยนะ เป็นห่วงพี่มากเลยน่ะสิ )

“ ใครเค้าเป็นห่วงพี่กัน ” ผมยกต้นไม้มาเรียงกันเรื่อยๆ “ แต่ว่าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ”

( เนี่ยะ เป็นห่วงพี่ชัดๆ )

“ เปล่าโว้ย หนมช่วยพ่อเรียงกระถางต้นไม้ก่อน พี่ขุนก็รีบมา ขับรถดีดีด้วยนะ ”

( ได้ครับ แล้วเจอกันนะ )

“ ครับ ” ผมกดวางสายก่อนจะเดินไปยกต้นไม้อีกชุดมาวางตามแนวที่ป๊าบอก

รู้สึกสบายใจจังที่พี่มันไม่เป็นไร

น้ำเสียงพี่ขุนดูโอเคเลยนะครับ แปลว่าเมื่อวานคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะมั้ง หรือว่ามีแต่พยายามกลบเกลื่อนวะ เออก็อาจเป็นไปได้ งั้นแบบนี้ต้องรอสังเกตสีหน้าและท่าทางเอา พี่ขุนเนี่ยะมองออกง่ายกว่าไอ้หมีเยอะเลยนะ คือมองหน้าแล้วรู้เลยว่าเหนื่อย มองแล้วรู้เลยว่าไปเจออะไรบั่นทอนใจมา ถึงแม้ว่าเจ้าตัวพยายามที่จะยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนมันก็ตามเถอะ หลายครั้งที่ผมมองออกแต่ไม่ได้บอกเพราะผมรู้ว่าพี่ขุนคงไม่อยากให้รู้ พอเป็นแบบนั้นผมก็ได้แต่ปล่อยให้ผ่านไปแล้วก็ค่อยส่งไอ้หมีให้ไปสืบมาให้

มันเป็นหน่วยกล้าตายที่รู้แทบทุกอย่างนี่นะ

“ เมื่อกี้ขุนโทรมาหรอหนม ”

“ ใช่ครับป๊า เดี๋ยวพี่ขุนจะมารับหนม ”

“ จะไปไหนกันล่ะ ”

“ ไปล้างบ่อเต่าที่บ้านของพี่ขุนครับ ”

ป๊าเหลือบมองผม “ บ้านหลังไหน บ้านใหญ่งั้นหรอ ”

“ ไม่ใช่ครับ บ้านที่พี่ขุนอยู่คนเดียว ” ผมบอกก่อนจะเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “ ป๊ารู้ด้วยหรอว่าพี่ขุนมีบ้านหลายบ้าน ”

“ ก็....ก็ป๊าถามขุนไง ตอนที่หนมไปช่วยแม่ในครัวน่ะ ”

“ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เออป๊าไอ้ขันมันจะกลับวันไหนป๊ารู้ไหม ”

“ วันมะรืนซะมั้ง ”

“ งั้นวันนี้หนมชวนพี่ขุนนอนบ้านเรานะ ”

“ ก็เอาสิ ป๊าตามใจเรานั่นแหละ แต่อย่าทำอะไรเสียงดังนักล่ะ ห้องมันไม่เก็บเสียง ”

“ ป๊าอ่ะ ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ป๊าทันที “ พูดอะไรก็ไม่รู้ ”

ดีนะว่าคนที่ป๊าบอกคือผม ถ้าไปบอกพี่ขุนนะมีหวังได้บ้าจี้ทำตามที่ป๊าเสี้ยมแน่ๆ เรื่องนี้นี่ไม่ได้เลย ยิ่งห้องไม่เก็บเสียงนี่ยิ่งไม่ได้ใหญ่ จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วเนี่ยะผมรู้ตัวเองเลยว่าไม่สามารถกลั้นเสียงได้ แถมยังครางออกมาดังมากอีกต่างหาก ตอนตื่นมานี่ก็เสียงหายเลย

วันหลังต้องเตรียมน้ำมะนาวไว้จิบละ

“ หนมครับ ”

ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบร่างสูงที่เดินเข้ามาหา “ พี่ขุน ”

“ คุณป๊าสวัสดีครับ ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้

“ จ้า จะมารับหนมใช่ไหม เอาไปเลย จะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเลย ”

“ โถ่ป๊า ไม่รั้งหนมหน่อยหรอ ”

ป๊าสายหน้ารัวๆ ทันที “ ไม่ ”

“ ทำไมใจร้าย ”

“ อย่างอแงสิครับหนม ” พี่ขุนยกมือขยี้หัวผม “ แล้วนี่พร้อมจะไปรึยัง ”

“ ขอไปล้างมือแปปนะ ” ผมบอกก่อนจะเดินไปล้างมือ แอบเห็นป๊ากระซิบกระซาบอะไรกับพี่ขุนไม่รู้ด้วยครับ แน่ะ มีความลับปิดบังผมอีกแล้วนะสองคนนี้

“ โอเคครับ ”

“ คุยอะไรกันน่ะ ”

“ ไม่มีอะไรหรอกครับ เราไปกันเถอะ ขอตัวก่อนนะครับคุณป๊า ” พี่ขุนยกมือไหว้ป๊าอีกครั้งก่อนจะลากผมมาที่รถ ก็บอกหลายครั้งแล้วว่าพาเดินมาดีดีก็ได้ ทำไมต้องลากด้วยวะ

พี่ขุนลากผมมาจนถึงรถก่อนจะทำการยัดผมใส่เข้าไป ผมก็ได้แต่นั่งทำหน้ามุ่ยใส่ เจ้าตัวเดินขึ้นรถมาเห็นผมก็ทำเป็นยิ้มหวานให้ ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ พี่ขุนคาดเบลท์ก่อนจะออกรถ ผมนั่งมองใบหน้าหล่อนิ่งๆ ทำไมตามันดูแดงแปลกๆ วะ หรือว่าพี่ขุนจะเป็นโรคตาแดงอ่ะ ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ พอผมคิดได้แบบนั้นผมก็ทำวิธีที่เคยได้ยินมาทันที

แบร่

พี่ขุนเหลือบมองผม " หนมแลบลิ้นใส่พี่ทำไมครับ "

" ก็พี่ขุนตาแดงอ่ะ หนมเคยได้ยินนะว่าต้องแลบลิ้นใส่ แบร่ "

" อ๋อ พี่ก็นึกว่าแลบลิ้นเพราะอยากให้พี่จูบซะอีก "

" ใครเค้าอยากโดนจูบกัน " ผมบ่นอุบอิบก่อนจะหันหนีไปมองข้างทางแทน

" เขินหรอครับที่รัก "

ผมหันขวับมามองพี่ขุนทันที " อย่ามาเรียกว่าที่รักนะ "

" ทำไมล่ะครับ "

" ก็เขินไง ไม่อยากเห็นหนมเขินจนตายห้ามเรียกแบบนั้นนะ "

" ฮ่าๆๆๆ " มือเรียวเลื่อนมาดึงแก้มผมเบาๆ " น่ารักจัง "

ไม่ต้องมาน่ารักจังเลย

ผมหันมองออกข้างทางพลางคิดอะไรไปเรื่อย เดี๋ยวถ้าล้างบ่อเต่าเสร็จผมขอยืมโน้ตบุ๊คพี่ขุนแต่งนิยายดีกว่า ใกล้จะจบแล้วต้องเร่งปั่นหน่อยจะได้มีเวลาแต่งตอนพิเศษด้วย ผมคิดไว้ว่าจะแต่งตอนพิเศษ 5 ตอนครับ ตอนนี้ก็เริ่มของส่วนนั้นละ มันจะได้เสร็จพร้อมกับนิยายเลย เดี๋ยวต้องมารีไรท์ทั้งเรื่องอีกครั้งด้วยก่อนจะส่งสำนักพิมพ์ ผมจะต้องทำทั้งหมดนี้ให้เสร็จก่อนเปิดเทอมด้วย

งานรออยู่เต็มไปหมดเลยแฮะ

กิจกรรมใหญ่ของเทอมหน้าคือกีฬาสี เดี๋ยวต้องไปประชุมแล้วก็แบ่งหน้าที่กัน พวกปี 1 ก็รับงานทำแสตนด์ไปครับ ส่วนปี 2 ก็ทำขบวนพาเหรด ปี 3 นี่สต๊าฟมั้ง และพวกลุงๆ ป้าๆ ปี 4 ก็คอยให้กำลังใจน้องๆ กันไป ผมชอบงานกีฬาสีนะถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยชิบหายก็ตาม ผมว่าตัวเองคงไม่พ้นหน้าที่ถ่ายรูปแน่ๆ เลยว่ะ

" ไม่ลงหรอครับหนม "

" ห้ะ....อ่าวถึงแล้วหรอ "

" ถึงแล้วครับ " พี่ขุนปลดเบลท์ให้ผม " หรือว่าจะรอให้พี่อุ้มลงไป "

" เปล่าสักหน่อย " ผมเดินลงจากรถก่อนจะดิ่งไปที่หลังบ้านทันที

พี่ขุนหยิบกะละมังเดินตามผมมา " เดี๋ยวพี่ไปเอาแปรงแปปนึง หนมจับพวกมันออกมาได้ใช่ไหม "

" ได้สิ เชื่อใจหนมได้เลย "

" ครับ งั้นเดี๋ยวพี่มา " เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ผมก็เดินมาชะเง้อคอมองเจ้าเต่าทั้ง 3 ตัวในบ่อ

" วันนี้หนมจะมาขัดบ้านให้นะ "

ผมจัดการอุ้มเจ้าเพชร เจ้าเงิน เจ้าทอง มาใส่กะละมังไว้ ผมชอบเต่ามากเลยนะครับ ชอบแบบชอบมากๆ ตอนที่ผมเห็นเจ้าพวกนี้ผมก็ตื่นเต้นมากเลยนะ ไม่คิดเลยว่าพี่ขุนจะเลี้ยงเต่าด้วย ตอนเด็กๆ ผมเคยขอเลี้ยงเต่าด้วย แต่ว่าป๊าไม่อนุญาติเพราะกลัวว่าเต่าจะมาไล่กินปลาคาร์ฟ คือเต่าที่ผมขอเลี้ยงมันเป็นเต่าบกไง

มันจะกินปลาคาร์ฟได้ไงวะ

ก็ได้แต่เก็บงำความสงสัยมาจนถึงตอนนี้ ผมว่าเต่าเป็นสัตว์ที่น่ารักนะ ผมชอบที่มันไม่ส่งเสียง ไม่วิ่งหนีเรา คือถ้ามันวิ่งเราก็จับทันแน่นอนอ่ะ อีกอย่างคือพวกมันอายุยืน มันจะได้อยู่กับผมไปเป็นสิบๆ ปีไรงี้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าป๊าไม่ให้เลี้ยง เพราะงั้นเลี้ยงก็ช่วยเลี้ยงเต่าของพี่ขุนแทนไป

อะไรที่เป็นของแฟนก็เหมือนของเราแหละครับ

" มาแล้วครับ " พี่ขุนเดินออกมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาด

" หนมจับพวกมันออกมาให้เรียบร้อย "

" พวกมันเชื่องกับหนมมากเลยนะ ถ้าพี่จับนี่จะโคตรวุ่นวายอ่ะ "

" ขนาดนั้นเลยหรอหรอ "

เจ้าตัวพยักหน้ารับก่อนจะปล่อยน้ำออกจากบ่อ " มันรักหนมมั้งมันก็เลยเชื่อง "

" อย่างนี้นี่เอง "

" พวกมันก็เหมือนพี่อ่ะ " พี่ขุนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม " เพราะพี่รักหนม พี่ก็เลยเชื่อง "

ตึกตัก

พี่ขุนนี่มัน....

" เขินหรอ แก้มแดงเชียว " เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มผมหนักๆ

" อื้ออออ...อ...พี่นี่ ทำอะไรอายเต่าบ้างเซ่ "

เต่ามันเขินแทนจนแก้มแดงหมดละน่ะ

ผมนั่งมองพี่ขุนที่หัวเราะร่าก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ พอครับเราควรเลิกมองหน้าหล่อๆ นั่น คิดได้แบบนั้นผมก็หยิบแปรงมาขัดกระดองให้เจ้าเต่าทั้งสาม ส่วนพี่ขุนก็เริ่มขัดบ่อไป ผมแอบหันมองเจ้าตัวเป็นระยะ ช่วงที่ขัดแรกๆ ก็ดูปกติดี พอนานเข้าสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป มันไม่ใช่สีหน้าที่บ่งบอกว่าเหนื่อยเพราะขัดบ่ออ่ะ ดูเหม่อๆ ซึมๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ คงเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เศร้ามาก

เมื่อวานมันไปเจออะไรมานะ

สีหน้านี้เศร้ากว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็นนะ สิ่งที่พี่ขุนเจอมามันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ขนาดนั่งมองมันอยู่ตลอดแบบนี้มันยังไม่รู้ตัวเลย เหม่อแบบเหม่อเลยอ่ะ ขัดพื้นวนอยู่ที่เดิมอยู่อย่างนั้น พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยเดินไปเปิดน้ำก่อนจะเอาฉีดพี่ขุน

" อะ...นี่หนมทำอะไรเนี่ย " คนเหม่อได้สติก่อนจะหันมามองผมแบบงงๆ

" ก็พี่ขุนอ่ะ นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ นี่แน่ะๆ " ผมยังคงฉีดน้ำใส่พี่ขุนอยู่อย่างนั้น

ร่างสูงวิ่งมาแย่งสายยางในมือผม " พี่ไม่ยอมเปียกอยู่คนเดียวหรอกนะ "

" โอ้ยพี่ขุนหยุดนะ " ผมยื้อแย่งสายยาง ตอนนี้เปียกไปทั้งตัวแล้วเนี่ยะ ที่ตั้งใจไว้มันไม่ใช่แบบนี้ไหมห้ะขนม ตั้งใจให้พี่ขุนเปียกโว้ยยยยย

ไม่ใช่มาเปียกเองแบบนี้

" ทำพี่ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ " พี่ขุนรวบผมเข้าไปกอดไว้ " เด็กดื้อ "

" หนมไม่ได้ดื้อนะ ก็พี่ขุนเหม่อเอง "

" พี่เนี่ยะนะเหม่อ "

" ใช่สิ ถ้าพี่ไม่เหม่อหนมจะฉีดน้ำใส่พี่ทำไมล่ะ "

เจ้าตัวคลายกอดออกก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน " พี่ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเอง "

" บอกหนมมาเดี๋ยวนี้นะว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น "

ผมเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างจริงจัง พี่ขุนดูอึ้งไปเมื่อเห็นว่าผมมองตัวเองออก แน่ล่ะก็เล่นนั่งเหม่อแล้วทำหน้าเศร้าขนาดนั้น ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว ยังไงวันนี้ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเมื่อวานพี่ขุนไปคุยอะไรกับพ่อมา ถ้ามันเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาเราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข ขืนพี่มันเก็บไว้คนเดียวแบบนี้มีหวังได้บ้าตายพอดี

ยังไม่อยากเป็นโสดเพราะผัวตายหรอกนะ

" ว่าไงพี่ขุน เมื่อวานพ่อเรียกไปคุยเรื่องอะไร "

" คือ....ไม่มีอะไรหรอกครับ "

" ฟังหนมนะพี่ขุน " ผมยกมือขึ้นกุมแก้มคนตรงหน้าให้มองมาที่ผม " ถ้าเรื่องที่พ่อพี่คุยมันเป็นเรื่องของเรา 2 คน หนมก็ควรที่จะรับรู้มัน หนมรู้ว่าที่บ้านพี่ไม่โอเคเรื่องที่เราคบกัน หนมรู้มาตลอด ถ้าปัญหาที่พี่เจอมาเป็นเรื่องนี้พี่ก็บอกหนมเถอะ "

" หนมรู้มาตลอดเลยหรอ "

" ก็ใช่ รู้มาสักพักแล้วล่ะ หนมก็คิดว่าที่พี่ขุนยังไม่บอกก็เพราะว่าจะจัดการทุกอย่างให้มันโอเคก่อนแล้วค่อยมาบอกหนม แต่ดูจากสีหน้าพี่แล้วทุกอย่างมันคงไม่เป็นไปตามที่พี่คิดสินะ "

พี่ขุนพยักหน้ารับเบาๆ " หนมเข้าใจถูกหมดทุกอย่าง เมื่อวานพี่โดนพ่อเรียกไปคุยเรื่องนี้มาจริงๆ "

" โดนมาหนักเลยสินะ " ผมเกลี่ยขาวเบาๆ " ไม่งั้นคงไม่แสดงสีหน้าออกมาเศร้าขนาดนั้น "

" มองออกขนาดนั้นเลยหรอครับ "

" มองออกสิ หนมเป็นแฟนพี่นะ อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งกี่เดือน " ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะขยับเข้าไปกอดพี่ขุนไว้แน่น

" ขนม...."

" ไม่เป็นไรนะ....หนมอยู่ตรงนี้ "

ผมลูบหลังคนตัวสูงเบาๆ พี่ขุนก็กอดผมกลับ กอดแน่นมากๆ เหมือนกับว่าไม่อยากให้ไปไหน ผมเข้าใจความรู้สึกพี่ขุนนะ คงจะเจอมาหนักแบบหนักสุดๆ เมื่อวานที่ติดต่อไม่ได้ก็น่าจะเป็นเพราะแบบนี้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ช่วงเวลาที่พี่ขุนกำลังเจอเรื่องแย่ๆ แต่ผมไม่ได้อยู่เคียงข้างน่ะ นี่ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องบั่นทอนขนาดนั้นมาได้ยังไง แต่ถ้ามีอะไรแบบนี้ผมจะต้องคอยให้กำลังพี่มันให้มากกว่านี้

จะไม่ทำให้แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาอีกแล้ว

" พี่ขุน "

" หืม...."

" พี่ขุนรู้ใช่ไหมว่าหนมรักพี่มาก "

" รู้ครับ "

" งั้นเวลาที่มีเรื่องเกิดขึ้นแล้วมันเกี่ยวกับเราพี่ช่วยบอกหนมเถอะ " ผมคลายกอดก่อนจะมองหน้าพี่ขุน " หนมอาจจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้ไม่มากแต่ว่าให้หนมช่วยแบ่งเบามันเถอะนะ เราสัญญากันแล้วหนิว่าจะผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน หนมอยากเป็นคนที่พี่พึ่งพาได้ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม พี่เข้าใจที่หนมพูดใช่ไหม "

พี่ขุนพยักหน้ารับ " เข้าใจครับ พี่ขอโทษนะที่เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวตลอด หลังจากนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกพี่จะบอกหนม เราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน ขอบคุณนะครับที่คอยอยู่ข้างๆ พี่ "

" มันเป็นเรื่องที่หนมต้องทำอยู่แล้ว เดี๋ยวค่อยคิดหาทางแก้กันไปนะ ส่วนตอนนี้เรามีภารกิจต้องทำก่อนน่ะ " ผมหันไปมองทางบ่อเต่า

พี่ขุนหลุดขำออกมา " นั่นสินะ "

" ช่วยกันรีบล้างเร็ว ถ้าเหม่ออีกหนมเอาน้ำฉีดพี่ขุนแน่ "

" หนมน่ะควรโดนพี่ฉีดน้ำใส่มากกว่า " เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับยิ้มกริ่ม " ฉีดใส่เยอะๆ ให้เลอะไปทั้งตัว "

ฉ่า

" พี่ขุนนี่....หึ้ยยย..ยย...ไปขัดบ่อเลยนะ "

" เขินใหญ่เลย เขินมากๆ ก็ระวังจะโดนฉีดนะครับ "

พี่ขุนนี่แม่ง

เมื่อกี้ยังทำตัวซึมๆ อยู่เลย ตอนนี้ก็กลายเป็นคนหื่นกามพูดจาสองแง่สองง่ามอีกแล้ว ร้ายกาจจริงๆ เลยนะคนเราอ่ะ แต่พอเห็นพี่มันโอเคขึ้นผมก็รู้สึกสบายใจนะ เดี๋ยวพอล้างบ่อเต่าเสร็จก็ต้องมาคุยเรื่องปัญหาที่บ้านกันอย่างจริงๆ จังๆ มันจะได้หาทางแก้ได้ ต้องเค้นให้หมดเปลือกเลย เรื่องเมื่อวานมันอาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ได้ เพราะมันแปลกนะอยู่นะที่ก่อนหน้านี้ พ่อพี่ขุนไม่มีวี่แววว่าจะรู้เรื่องนี้เลย ที่เขามารู้เนี่ยะอาจจะเป็นเพราะมีคนบอกก็ได้นะ

ถ้าเป็นแบบนั้นนี่คิดออกอยู่คนเดียวเลย

" หนมครับไอ้เพชรมันคลานหนี ไปจับมันเร็ว "

" เพชร!!!!! "

" ไอ้เงินอย่าตามไปเซ่ "

" ใจเย็นนะทุกตัว ใจเย็นเย้นนน "

ชีวิตก็วุ่นกันมากพอแล้วยังต้องมาวุ่นจับเต่าอีก

เฮ้อ....เพลียใจจริงๆ ว่ะ















TBC.

ชาลมาส่งขุนหนมแล้วค่ะ มาช้าไปหน่อยต้องขออภัยด้วยนะคะ ตอนนี้ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะเพราะแต่งจบก็รีบเอามาลงเลย เดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะ

หน่วงเนอะแต่ว่าชีวิตจริงคนเรามันก็มีเรื่องหน่วงๆ มากกว่านี้ล่ะนะ ชาลนี่แต่งเองก็ร้องไห้ตามไปด้วย555555 สงสารพี่ขุน ก็เอาใจช่วยความรักของคู่นี้ไปนะคะ จะเป็นยังไงรอติดตาม

ชาลอยู่ในช่วงป่วยหนักกว่าปกติ อาหารเป็นพิษแล้วก็ความดันต่ำ เมื่อวานไปหาหมอมา หมอสั่งให้พักผ่อน แต่ด้วยความที่แบบมันเดดไลน์ชาลก็เลยต้องฮึ้ดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยพักก่อนลุยหยัมปองต่อ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ช่วงนี้ชาลเหนื่อยมากจริงๆ กำลังใจจากทุกคนมันช่วยฮีลชาลได้นะ สามารถติดต่อข่าวสารกับสปอยได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 28 : 20/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-12-2017 08:02:59
 :L2: :L1: :pig4:

เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้นะ
สู้สู้
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 29 : 30/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 30-12-2017 20:14:39
เรื่องของพี่น้อง



ทำไมหลายวันมานี้โลกมันหม่นจังวะ

ไม่สดใสเลย

เวลาประมาณห้าโมงกว่าๆ กับผมนั่งมองวิวของสวนหย่อมอยู่ริมระเบียง ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านตัวเองครับ นอนที่บ้านมาหลายวันแล้วหลังจากวันที่พี่ขุนเล่าเรื่องปัญหาที่บ้านให้ฟัง พี่มันเครียดหนักเลยแหละกับเรื่องนี้ จะไปห้ามไม่ให้คิดมากก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ ผมก็ทำได้แค่ให้กำลังใจและก็บอกว่าเราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน

มันต้องดีขึ้นกว่านี้สิ

ผมเชื่อแบบนั้นนะ เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นอาจแค่ต้องใช้เวลาหน่อย พี่ขุนเล่าให้ผมฟังทุกอย่าง ที่ทางบ้านของพี่มันรู้ก่อนก็เพราะว่ามีคนส่งรูปถ่ายไปให้ แต่ว่ามีการเบลอหน้าผมไว้ ตอนที่ได้ยินก็คิดถึงไอ้ขันคนแรกเลย เพราะมันเป็นคนที่อยากให้เราสองคนเลิกกันมากที่สุด แต่ทำกันถึงขนาดนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอวะ ใช้เรื่องที่บ้านมาบีบบังคับกันเนี่ยะนะ

ไม่ชอบใจเลย

ผมจะบุกไปด่ามันตรงๆ ก็ไม่ได้เพราะตัวเองก็ไม่มีหลักฐาน มันไม่แปลกถ้าไอ้ขันจะรู้ว่าพ่อพี่ขุนคือใคร ดูอย่างกรณีของแก้มใสสิ มันต้องเก่งกล้ามากแค่ไหนถึงได้ซื้อกิจการทางบ้านนั้นมาได้ และอาจจะเชื่อมโยงไปจนถึงการดิสเครดิตจนทำให้ครอบครัวนั้นต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น มันทำได้มากกว่าที่ผมคิดเลยนะ ทั้งหมดนี่แค่เพียงเพราะจะปกป้องผมเท่านั้นเอง ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันเป็นห่วงผมมาก แต่ก็นะ....

เวลาคิดเรื่องพวกนี้นี่ลำบากใจชิบ

อีกฝ่ายนึงก็พี่ อีกฝ่ายนึงก็แฟน ผมคิดไว้นะว่าถ้าผมรู้ว่าไอ้ขันเป็นคนทำผมจะต้องทำยังไง เรื่องนี้ปรึกษากับไอ้หมีแล้วเรียบร้อยครับ มันบอกว่าใช้วิธีนี้เวิร์คแน่นอน มันบอกว่าผมต้องบิ๊วท์อารมณ์ให้มากๆ ถ้ามีโอกาสได้ทำแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าวิธีที่ไอ้หมีบอกมันจะดีจริงๆ ไหม แต่เดี๋ยวต้องลองดู

ครื้ดดด.ด....ครื้ดดด......

ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย " ฮัลโหลครับ "

( คิดถึงหนมจังเลยครับ )

" เมื่อเช้าก็เจอกันนะ "

( ก็คิดถึงนี่ครับ พี่ไม่ได้นอนกอดเรามาตั้งหลายวัน )

ผมหลุดยิ้มออกมาเพราะเสียงอ่อนๆ นั่น " เมื่อเช้าก็ได้กอดไปแล้วหนิ "

( มันก็แค่แปปเดียวเอง เวลาพี่นอนกอดหนมพี่ได้กอดทั้งคืนเลย )

" อดทนไปก่อนนะ "

( จะทนไม่ไหวแล้วครับ อยากงอแงมากๆ )

" โอ๋นะ แล้วนี่พี่ขุนทำอะไรอยู่ "

( พี่อยู่คอนโดไอ้หยัม มาคุยกันเรื่องกีฬาสี เย็นนี้ว่าจะไปกินเหล้ากัน ขออนุญาตินะครับ )

น่ารักชะมัด

" ครับ ตามสบาย อย่าดื่มเยอะเกินล่ะเดี๋ยวปวดหัวนะ "

( ไม่เยอะหรอก เพราะพรุ่งนี้พี่มีประชุมที่มอ )

" หนมก็มีประชุมกีฬาสีเหมือนกัน "

( งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปรับ ห้ะ เออกูรู้แล้ว หนมครับพี่ขอวางสายก่อนนะ เพื่อนๆ จะประชุมต่อละ )

" โอเค ตั้งใจทำงานนะ "

( ครับผม รักนะครับ )

เอ้อออออ....รักเหมือนกัน

ผมกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ปากก็ยิ้มอยู่อย่างนั้น มีความสุขจังถึงแม้ว่าเราจะได้คุยกันแค่แปปเดียว ช่วงนี้มันเป็นเหมือนช่วงทดสอบความรักของผมกับพี่ขุนเลย ไม่ได้นอนด้วยกันมาหลายวัน คุยกันน้อยลงมาก ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งๆ ที่เป็นช่วงปิดเทอมแท้ๆ เราตกลงกันไว้ครับว่าจะห่างกันช่วงนึง พี่ขุนกังวลเรื่องว่ามีจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับผม เพราะแบบนี้ผมถึงอยู่บ้านตลอดเลยนี่ไง

ปั่นนิยายวนไปเลยครับ

การที่ผมไม่ได้เจอพี่ขุนมันก็มีข้อดีอย่างนึงตรงที่มีเวลาแต่งนิยายได้อย่างเต็มที่นี่แหละ นี่เหลืออีกแค่ 3 บทก็จะจบแล้วครับ ผมแต่งดองไว้ลงไง นิยายของผมไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้หลายอย่างแล้วนะ เหลือแค่เนื้อเรื่องหลักกับตอนพิเศษจบ รีไรท์เสร็จก็ส่งสำนักพิมพ์ได้ จากนั้นก็รอผล อาจจะหลายเดือนหน่อยถึงจะรู้ว่าผ่านไหม ถ้าไม่ผ่านผมก็จะรีไรท์แก้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะผ่าน

นิยายของผมต้องได้ตีพิมพ์สิน่า

อย่างน้อยต้องมีหวังแหละวะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

" เข้ามาเลยครับไม่ได้ล็อค " ผมตะโกนไปแบบนั้น ประตูถูกเปิดออกโดยพี่สาวคนสวยของผม คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่พี่เขมนะครับแต่เป็นพี่แข ทำไมความรู้สึกเหมือนไม่เจอเธอมานาน

เพราะทำแต่งานแน่ๆ

" ห้องรกเหมือนเดิมเลยนะ "

" ไม่เห็นจะรกเลย " ผมเดินเข้าไปกอดพี่แข " คิดถึงจังครับ เหมือนไม่ได้เจอนาน "

" ก็หนมไม่ค่อยกลับบ้าน แต่ว่าเราอย่างเดียวก็ไม่ได้ พี่เองก็ไม่ค่อยได้กลับ "

ผมคลายกอดก่อนจะมองหน้าพี่แข " ก็พี่แขทำงานนี่นะ งานเยอะมากเลยหรอครับ "

" ก็เยอะนะ งานบริหารน่ะเหนื่อยตาย นี่อยากให้ไอ้ขันมันรีบเรียนให้จบใจแทบขาด จะได้มาช่วยงาน "

" ไอ้ขันมันจะทำหรอ ไม่ตรงสายที่มันเรียนมาเลยนะ "

" มันต้องทำสิ ก็เป็นคำสัญญา "

" คำสัญญางั้นหรอ "

พี่แขยิ้มหวานให้ " เรื่องของผู้ใหญ่น่ะ ไว้อายุ 21 แล้วพี่จะเล่าให้ฟัง "

" อะไรกันเล่า " ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่แขก่อนจะลากเธอมานั่งที่ริมระเบียงด้วยกัน

พี่แขนั่งลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดอะไรไม่รู้ยุกยิกๆ แถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกต่างหาก สงสัยคุยกับแฟนมั้งครับ ทั้งบ้านเนี่ยะมีเธอคนเดียวนี่แหละที่ไม่ได้มีคนรักในเพศเดียวกัน แฟนพี่แขเป็นผู้ชาย หล่อมากด้วย ผมเคยเห็นอยู่ครั้งนึงตอนที่เธอพามา แต่จำชื่อไม่ได้ว่ะเพราะมันก็นานมามากแล้ว เวลาผมเจอพี่แขผมก็มักจะถามอย่างนึงเสมอ

คำถามนั้นก็คือ.....

" เมื่อไหร่พี่แขจะแต่งงานอ่ะ "

" เมื่อหนมอายุ 21 "

ผมหันขวับมองทันที " เกี่ยวอะไรกับหนมเล่า คนแต่งคือพี่แขนะ "

" ก็มันต้องรอหนมอายุ 21 จริงหนิ " เจ้าตัวเอ่ยพลางยิ้มบางๆ " อยากให้พี่แต่งงานไวไว เราก็รีบโตสิ "

" หนมโตขึ้นทุกวันนะ "

" นั่นสิน้า โตจนมีแฟนแล้วนี่ เสียดายวันที่แฟนเรามาพี่ดันไม่ว่างซะนี่ ได้ข่าวว่าหล่อและทำกับข้าวเก่งหรอ "

" ใช่ ทำกับข้าวอร่อยมากเลยนะ รสมือเดียวกับแม่เลย "

" สงสัยพี่ต้องหาโอกาสชิมฝีมือสักครั้งแล้วล่ะ " พี่แขเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า " แล้วเรื่องที่เรามีแฟนนี่ ไอ้ขันมันว่ายังไงบ้าง "

" มันก็ไม่เห็นด้วยเลยสักนิด คือแฟนของหนมอ่ะเป็นน้องรหัสมัน เมื่อก่อนแฟนหนมป็นคนเจ้าชู้ไง แต่พอมาตามจีบหนมมันก็เลิกเจ้าชู้ เที่ยวน้อยลงเพื่อเวลาตรงนั้นมาจีบหนมนี่แหละ ไอ้ขันมันไม่เห็นช่วงเวลาเหล่านั้นเลย "

" พี่ก็เข้าใจไอ้ขันล่ะนะ ก็อย่างที่หนมบอกว่ามันไม่เห็นกับตามันไง เอาเป็นว่าอดทนให้มากละกัน "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ " แล้วพี่แขว่ายังไงเรื่องที่หนมมีแฟน "

" ถึงพี่จะชอบดุหนมเรื่องระเบียบก็เถอะ แต่พี่ก็เคารพในการตัดสินใจของหนมนเรื่องนี้นะ " มือบางยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ " คนที่หนมเป็นคนเลือกเองก็แปลว่าเค้าต้องดีที่สุดสำหรับหนมแล้วจริงไหม ป๊าบอกว่าหนมยิ้มบ่อยขึ้นตั้งแต่ที่มีแฟนซึ่งพี่ก็มองว่ามันเป็นเรื่องดี เพราะการที่หนมยิ้มได้แปลว่าหนมมีความสุข "

" ใช่ หนมมีความสุขมาก ถึงช่วงนี้จะมีอุปสรรคก็เถอะ "

" ผ่านมันไปให้ได้นะ ความรักก็แบบนี้แหละ เอ้อ พี่ซื้อเค้กมาให้ด้วยนะ ลงไปกินเค้กกัน "

" โอเคครับ " ผมอมยิ้มก่อนจะเดินตามพี่แขออกมาจากห้อง

รู้สึกสบายใจเหมือนกันนะที่ได้คุยกับพี่แขเรื่องนี้ ปกติผมกับพี่แขไม่ค่อยได้นั่งคุยกันแบบนี้เท่าไหร่หรอกตั้งแต่ผมย้ายไปอยู่หอ พี่แขเองก็ทำงานหนักขึ้น เวลาที่ผมกลับมาบ้านผมจะไม่ค่อยเจอเธอ ถ้าเจอก็แค่แปปเดียว และส่วนมากพี่แขจะดุผมเรื่องห้องรกด้วย มันจะเป็นแบบนี้ประจำเลยครับ พอมานั่งคุยกันวันนี้ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน

แปลกแต่ดีนะ

ในจังหวะที่ผมกับพี่แขกำลังจะเดินเข้าครัวก็ได้ยินไอ้ขันมันกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ พอพี่แขได้ยินแบบนั้นเธอก็ดึงแขนผมไว้เพื่อให้รอฟังอยู่ด้านนอกก่อน

" จริงสิวะ หนมมันนอนบ้านทุกวันเลยนะ ดีไม่ดีกูว่าเลิกกันละ "

ผมหันมองพี่แขทันที " พี่แข...."

" ชู่วววว " เธอยกนิ้วชี้ขึ้นมาเป่าบ่งบอกว่าให้ผมเงียบ " อยากรู้ใช่ไหมล่ะว่ามันคุยอะไร " พอพี่แขถามแบบนั้นผมพยักหน้ารับก่อนจะตั้งใจเงี่ยหูฟัง

" ทำไมมึงชอบด่ากูจังวะแช่ม ก็กูอยากให้มันสองคนเลิกกันอ่ะ " ไอ้ขันบอกก่อนจะหยิบน้ำออกมาเท " ไม่รู้หรอกเพราะกูเบลอรูปก่อนส่งไป "

เป็นมันจริงๆ ด้วยเรื่องรูปนั่น

ผมกำหมัดมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์ ตั้งสติไว้ก่อน นี่แหละเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดแล้วที่จะทำตามแผนของไอ้หมี ผมหวังว่ามันจะเวิร์คนะ

" ไม่รู้ว่ะ ถ้ามันยังไม่เลิกกันกูก็ไม่รู้จะทำไงละ แต่เปอร์เซ็นต์เลิกก็สูงป้ะวะเพราะทางบ้านไอ้ขุนไม่ยอมรับเรื่องนี้แน่ๆ "

ผมหันมองพี่แข " พี่แข "

" ไปสิ พี่จะยืนมองอยู่ตรงนี้แหละ " พี่แขยกมือขึ้นแตะไหล่ผม " ทำตามที่ใจเราอยากทำเลย "

ผมยิ้มบางๆ ให้พี่แขก่อนจะเดินเข้าไปในครัวแล้วดึงให้ไอ้ขันมันหันมาเผชิญหน้า มันอึ้งมากที่เห็นผม ในใจมันก็คงจะคิดว่าผมต้องได้ยินเรื่องทุกอย่างหมดแล้วแน่ๆ ในหัวก็คงจะคิดวิธีแถอยู่เหมือนกัน อยากรู้นะว่ามันจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง

เดี๋ยวขอบิ๊วท์อารมณ์แปปนึง

" หนม "

" กูไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนส่งรูปไปทางบ้านพี่ขุน "

ไอ้ขันกดวางโทรศัพท์ก่อนจะตีหน้าซื่อ " มึงพูดอะไรกูไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย "

" มึงไม่ต้องมาแถเลยขัน กูได้ยินเต็มสองหูกูเลยแท้ๆ มึงจะทำมาเป็นไม่รู้เรื่องได้อีกหรอ "

" แล้วยังไง " คนตรงหน้าเปลี่ยนมาทำหน้านิ่งใส่ผมแทน " กูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกู "

" กูจะไม่สนใจเลยถ้าเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับกูอ่ะ " ผมตวาดใส่มันลั่น " ทำไมมึงเป็นคนใจร้ายแบบนี้วะ "

" ใครจะไปใจดีได้เท่าแฟนมึงล่ะ "

" ไอ้ขัน "

" มึงรู้จักกับมันมากี่เดือน กูรู้จักกับมันมากี่ปี มึงไม่เคยเห็นหรอกว่ามันทำอะไรไว้บ้าง "

" มึงก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันว่าพี่ขุนทำอะไรบ้าง " ผมเอ่ยบอกมันอย่างจริงจัง " มึงก็มองแค่อดีตอ่ะ ปัจจุบันมันเป็นยังไงมึงได้มองบ้างรึเปล่า ตัวกูเมื่อก่อนเป็นยังไงแล้วตอนนี้กูเป็นยังไงมึงมองเห็นบ้างไหม กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกูแต่ตอนนี้คนที่กำลังทำลายความสุขที่กูมีก็คือมึง "

ไอ้ขันมันชะงักทันทีเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น ดวงตาคมฉายแววความรู้สึกผิดออกมาแต่แค่แวบเดียว มันเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะหันมองผมด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนเดิม

" กูผิดมากเลยงั้นสิ "

" ใช่มึงผิด มึงทำให้พ่อกับลูกเค้าทะเลาะกัน ตอนนี้ไม่มีใครมองหน้าใครติดต่างฝ่ายต่างเครียด ตอนนี้มึงอาจจะเห็นหน้าพี่ขุนว่ามันเปื้อนยิ้มนะแต่แววตาแบบนั้นคือคนที่พร้อมตายได้ตลอดเวลา มึงใจร้ายกับคนที่เคารพมึงมากกว่าใครๆ ได้ลงคอมึงทำได้ไงวะ กูเคยด่ามึงให้พี่ขุนฟังด้วยแต่มันก็ห้ามไม่ให้กูด่ามึง เพราะมึงคือคนที่มันยกว่าเป็นไอดอล " ผมเอ่ยบอกมันเสียงสั่น รู้สึกได้ว่าดวงตาร้อนผ่าว

" ขนม....."

" กูเข้าใจแหละ....ฮึก....ว่ามึงไม่ชอบที่มันเคยเจ้าชู้อ่ะ แต่ตอนนี้มันก็มีแค่กู ดูแลกูอย่างดี กูรู้ว่ามึงจะไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น กูรู้ว่าคนที่บ้านจะไม่เห็นกูถึงแสดงมันออกมาทางสีหน้าแทนว่ากูกำลังมีความสุข....ฮึกกก....."

".........."

" กูเสียใจกับสิ่งที่มึงทำมากเลย " ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ " มึงลองคิดในมุมกลับกันนะ....ฮึก....ถ้ามึงมีแฟน มึงกับเค้ารักกันมาก แต่แฟนมึงมีพี่ชายอยู่คนนึง....ฮึกกก.ก....เค้าไม่ชอบนิสัยของมึงอย่างนึง....เค้าไม่โอเคเรื่องที่มึงสองคนคบกัน พยายามขัดขวางทุกวิถีทาง....ฮึกกก....กูถามจริงๆ เถอะ ถ้าเป็นมึงอ่ะมึงยอมแพ้ไหม "

คนตรงหน้าส่ายหน้าเบาๆ " ไม่ "

" กูก็ไม่เหมือนกัน....ฮึกกก...ก....ถ้ากูกับพี่ขุนจะเลิกกันจริงๆ กูก็อยากให้มันเป็นเพราะเราเลิกรักกัน "  ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอีกครั้ง " อุปสรรคครั้งนี้กูกับพี่ขุนจะผ่านมันไปได้เหมือนกับทุกๆ ครั้ง มันไม่เป็นไปอย่างที่มึงคิดหรอก " ผมบอกมันก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องครัว

" เดี๋ยวก่อนไอ้หนม "

พี่แขรั้งแขนไอ้ขันไว้ " ปล่อยน้องไป ส่วนมึงอ่ะมีเรื่องต้องคุยกับกู "

ผมได้ยินแบบนั้นผมก็รีบวิ่งขึ้นห้องตัวเองทันที โอ่ย เหมือนไม่ได้ร้องไห้นานเลยว่ะ แสบตาชิบหาย ผมหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อไลน์หาไอ้หมี ตอนแรกนึกว่าจะบิ๊วท์ให้ตัวเองร้องไห้ไม่ได้ซะอีก นี่ก็ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้นะ

หวังว่าจะสำเร็จด้วยเถอะ

คาหนม : กูทำตามแผนไปแล้วนะ ไอ้ขันดูตกใจมาก

หน่องหมี : *สติ๊กเกอร์หมีตกใจ*

หน่องหมี : มึงมันร้ายเหมือนกันนี่หว่าไอ้หนม

คาหนม : มึงอย่าลืมว่านี่เป็นแผนของมึง เออแล้วเรื่องรูปที่ส่งไปที่บ้านพี่ขุนอ่ะมันเป็นคนทำจริงๆ แหละ กูได้ยินมันคุยโทรศัพท์กับพี่แช่มพอดี

หน่องหมี : ก็จังหวะเหมาะที่จะทำตามแผนเลยแหละนะ กูว่าพี่ขันเค้าคงจะไม่ทำอะไรแล้วแหละ ที่น่ากังวลก็คือเรื่องของทางบ้านพี่ขุนอย่างเดียว

คาหนม : นั่นสินะ กูว่าก็คงทำได้แค่รอแหละว่ะ

หน่องหมี : กูก็เชื่อว่ามันจะดีขึ้นนะ

คาหนม : กูก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน


ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แผนของไอ้หมีที่มันบอกผมก็คือทำยังไงก็ได้ให้ไอ้ขันรู้ว่าผมเสียใจกับสิ่งที่มันทำ เสียใจจนร้องไห้ ไอ้ขันมันรักผมมาก ถ้ามันรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นทำให้ผมเสียน้ำตามันจะต้องหยุดแน่ๆ ผมก็คิดนะว่ามันคงจะหยุดจริงๆ จากสีหน้าตอนที่แสดงออกมานั้นก็รู้สึกผิดและก็เสียใจมากอยู่

ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง

แต่ขอให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้นด้วยเถอะ



---------- 50% --------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 29 : 30/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 30-12-2017 20:16:22
--------- ต่อจากบท 29 ------------




[ บันทึกพิเศษ : ขัน ]


รู้สึกแย่นะ.....ที่ทำให้ขนมต้องร้องไห้น่ะ

ไม่ได้เรื่องเลยว่ะขัน

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับพี่แขในศาลาที่สวนหย่อมหลังบ้าน ไม่รู้จะปั้นสีหน้ายังไงเลยว่ะ แต่ที่รู้แน่ๆ คือคงจะโดนด่า พี่แขได้ยินเรื่องที่ผมกับขนมทะเลาะกัน ถึงขั้นให้มาคุยนี่ก็ต้องมีการเทศนาผมแน่นอนอย่างไปต้องสืบ

เฮ้อ.....

ความรู้สึกแม่งแย่ชิบ

" มีอะไรจะบอกกับกูไหมล่ะ " พี่แขเอ่ยถามผมเสียงเรียบ

" ไม่มี พี่ก็ได้ยินไปหมดแล้วหนิ "

" ใช่ กูได้ยินหมดนั่นแหละ ดีนะที่คนที่ได้ยินเป็นกูไม่ใช่พี่เขม ถ้าพี่เขมรู้เรื่องนี้มึงตายแน่ไอ้ขัน "

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ " ไม่เหลือซาก "

" ก็รู้ตัวดีหนิ " พี่แขนั่งเท้าคางมองผม " กูถามจริงๆ เถอะ มึงทำทั้งหมดนั่นไปเพื่ออะไรวะ อยากให้หนมกับแฟนเลิกกันงั้นหรอ "

" ใช่ แฟนหนมมันเป็นคนเจ้าชู้มากเลยนะ เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหนมก็โดนเมียเก่ามันมาตบด้วย "

" อ๋อ อีลูกสาวของเครือโรงแรมที่มึงใช้อิทธิพลของป๊าไปหาทางดิสเครดิตเค้าแล้วสั่งซื้อกิจการมาเพื่อเพิ่มงานให้กูน่ะนะ "

ผมยิ้มแห้งๆ ให้พี่แขทันที " ใช่ "

โป๊กกกก

" นี่แน่ะ อยู่ดีไม่ว่าดีนัก "

ผมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ " แม่สอนว่าห้ามตีน้อง "

" น้องอย่างมึงน่ะสมควรโดนแล้ว กูก็ไม่รู้ว่ามึงจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไม แล้วไงล่ะดูสิว่ามันแลกกับอะไรในชีวิตมึงบ้าง กูเข้าใจนะว่ามึงรักน้องแต่บางครั้งมันก็มากเกินไป " พี่แขบ่นยาวพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ " ถึงขนมจะอายุ 19 แต่มึงก็ต้องยอมรับนะว่าน้องโตขึ้นเยอะแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แบบเมื่อก่อน "

ผมนั่งฟังที่พี่แขพูดอย่างสลด เกิดมา 21 ปีไม่เคยโดนดุหนักแบบนี้เลย เออผมรู้ตัวแหละว่าตัวเองก็ทำเกินไปที่คิดจะใช้เรื่องครอบครัวมาบีบให้ไอ้ขุนกับขนมเลิกกัน แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่พอทำได้นี่หว่า ถึงขนมจะบอกว่าไอ้ขุนไม่เจ้าชู้แล้วแต่ใครมันจะไปเชื่อได้สนิทใจวะ เหมือนเสือที่มันเคยกินเนื้อมาตลอด แต่อยู่ดีดีเสือกเปลี่ยนมาแดกผลไม้ พูดแบบนี้ใครจะเชื่อได้ทันทีวะ

เสือก็ยังเป็นเสืออยู่ดี

" ไอ้ขัน "

" ครับ "

" กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงน้อง แต่มึงจะไปบังคับทุกอย่างในชีวิตน้องไม่ได้ กว่ามึงจะโตมาเป็นมึงไม่มีใครบังคับอะไรมึงได้เลย ป๊าอยากให้มึงเรียนบริหารมึงก็ดื้อไปเรียนวิศวะ เออป๊าเค้าก็ต้องยอมเพราะนั่นเป็นสิ่งที่มึงเลือกเอง กูพูดถูกไหม "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ " ถูก "

" เออเพราะงั้นมึงก็ไปบังคับหนมไม่ได้หรอกว่าจะไม่ให้รักกับคนโน้นคนนี้ ถ้าน้องจะเสียใจกับสิ่งที่น้องเป็นคนเลือกนั่นมันก็เป็นบทเรียนชีวิตของน้อง ชีวิตขนมไม่ใช่ของมึงนะ ป๊ากับแม่ที่เป็นคนสร้างหนมมายังเป็นเจ้าของชีวิตหนมได้แค่ครึ่งเดียวเอง ส่วนอีกครึ่งนึงมันก็เป็นของขนม น้องต้องเลือกชีวิตของน้องเอง มึงเข้าใจที่กูพูดป้ะเนี่ยะไอ้สัส ทำหน้ามึนอยู่ได้ "

" เข้าใจสิ นี่เสียใจอยู่นะ ไม่ได้ทำหน้ามึนสักหน่อย "

" ขัน...." พี่แขเลื่อนมือมาแตะไหล่ผมเบาๆ " คนเป็นพี่อ่ะมีหน้าที่แค่ดูแลเวลาที่น้องล้ม คอยดุเวลาที่น้องทำเรื่องที่ไม่ดี คอยให้กำลังใจเวลาที่น้องท้อแท้ คอยสนับสนุนเวลาที่น้องต้องการคนซัพพอร์ต คอยปลอบเวลาที่น้องเสียใจ คอยเช็ดน้ำตาในวันที่น้องร้องไห้ แค่นั้น "

" วันนี้ขันทำให้ขนมต้องร้องไห้ " ผมยกมือกุมขมับตัวเอง " ขันมันแย่จริงๆ แหละ "

" กูเห็นด้วยแหละที่มึงคิดว่าตัวเองแย่อ่ะ เพราะสิ่งที่มึงทำมันแย่จริงๆ อีกอย่างแฟนของขนมเป็นน้องรหัสมึงไม่ใช่หรอ มึงก็ต้องรู้จักมันมานานกว่าขนมถูกไหม มันไม่มีเรื่องดีดีให้น่าจดจำบ้างรึไงมึงถึงได้ไม่ชอบมันขนาดนั้น "

" ถ้าตัดเรื่องเจ้าชู้ออกไปมันก็เป็นคนดีเลยแหละ "

พี่แขพยักหน้ารับก่อนจะยกยิ้ม " ก็คล้ายมึงนะ ถ้าตัดความเป็นมึงออก กูว่ามึงก็เป็นคนดีเลยแหละ "

" เหมือนโดนด่าเลยอ่ะ " ผมเบะปากน้อยๆ

" ก็ด่าไงไอ้โง่ กูว่ามึงเอาเวลาที่มาขัดขวางความรักของน้องไปตามหาความรักของตัวเองดีกว่าไหม ไอ้ความรักที่ฝังใจมึงมาตลอดเกือบ 4 ปีน่ะ "

" นั่นสินะ " ผมยกมือเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกไป " ขันต้องจัดการเรื่องนี้สักที "

" เออ ไปจัดการซะ ส่วนขนมน่ะเดี๋ยวกูคุยกับน้องเอง " พี่แขหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาก่อนจะควักแบงค์พันหลายใบออกมาก่อนจะส่งให้

ผมมองแบงค์พันเป็นฟ่อนนั่น " อะไรอ่ะ "

" เอาไปแดกเหล้ากับเพื่อน ไม่หมดก็ไม่ต้องกลับบ้าน " เธอบอกก่อนจะเดินเข้าบ้านไปทิ้งผมไว้ให้อยู่กับเงินหลายพัน นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงดีใจนะแต่ตอนนี้ดีใจไม่ออกจริงๆ ว่ะ

เฮ้อ....

ผมคงต้องรามือจากเรื่องของขนมกับไอ้ขุนจริงๆ แล้วล่ะ คือถ้าอุปสรรคทางบ้านไอ้ขุนมันผ่านไปได้ผมคงจะไม่ทำอะไรอีกแล้ว ก็คงต้องปล่อยให้ทั้งสองคนคบกันไป ถ้าไอ้ขุนมันทำให้ขนมเสียใจผมก็คงต้องทำได้แค่รอปลอบน้องสินะ สิ่งที่พี่แขพูดให้ฟังนั่นก็ถูกทั้งหมดเลย ผมควรเอาเวลาที่ขัดขวางความรักของน้องไปตามหาความรักของตัวเอง

ถึงเวลาที่ผมจะจริงจังกับมันสักที

ผมล้วงโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรไปหาเฌอ ".....ฮัลโหล มึงอยู่ไหน "

( กินข้าวกันแฟนอยู่ )

" มึงไปมีแฟนตอนไหนอีกเนี่ยะ "

( เมื่อสองวันก่อน มึงเถอะโทรมานี่มีไร )

" พี่แขให้เงินมาเยอะเลย บอกให้กูชวนเพื่อนไปแดกเหล้า "

( เออเอาสิ ไม่ทักเข้าไลน์กลุ่มวะ จะโทรมาหากูคนเดียวทำไม )

" ก็กูอยากโทรหามึงอ่ะ ทำไมโทรหาไม่ได้รึไง "

( โทรไม่ได้ อยู่กับแฟน มีไรค่อยคุย )

" เดี๋ยว....ไอ้เฌอ " ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่โดนตัดสายออกไป

ไอ้เพื่อนเลว

ผมมองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดก่อนจะกดเข้าไลน์ มีข้อความเยอะชิบหายที่ผมไม่ได้เปิดอ่านเพราะว่าไม่รู้จักว่าไอ้พวกที่ทักมานี่เป็นใคร ไลน์ผมนี่เป็นของสาธารณะขนาดนั้นเลยหรอวะ เดี๋ยวให้พ้นปี 3 ก่อน จะลบไลน์ทิ้งแม่ง มีห่าไรให้โทรหาเอา ผมเลื่อนแชทลงไปเรื่อยๆ จนเจอกลุ่มไลน์ของเหล่าเพื่อนรัก โคตรเกลียดชื่อกลุ่มอ่ะเอาจริงๆ

แก๊งค์ป่วนก๊วนปลาทอง

ไอ้สัสแช่มมันตั้ง

ขาน : แดกเหล้ากันกูเลี้ยง

ฉายเอง : ร้านพี่กู?

ขาน : ได้หมด

แช่มนะ : กูอยากไปนั่งชิว

ทัลเล : แน่ะ

ฉายเอง : แน่ะ

พิเฌอ : แน่ะ


นี่กูต้องแน่ะตามพวกมึงไหม

ขาน : แน่ะ

แช่มนะ : แน่ะห่าไรนักหนาไอ้ชิบหาย เอาเป็นว่าเจอกันนั่งชิว สองทุ่มครึ่ง จบแยกกูจะนอน

ทัลเล : แจกันจ่ะ

ผมเก็บโทรศัพท์ก่อนจะเดินมานั่งริมบ่อปลาคาร์ฟพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมควรไปขอโทษขนมไหมนะหรือว่าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ ถ้าขอโทษน้องผมก็ต้องไปขอโทษไอ้ขุนด้วยน่ะสิที่ผมให้มันมีปัญหากับที่บ้าน เอาไงดีวะ งั้นช่างแม่งละกันไม่ขอโทษใครทั้งนั้นแหละ ปล่อยให้มันจบไปเงียบๆ ยึดวิถีของคนโฉดไป

เมื่อไหร่จะ 2 ทุ่มวะ

อยากแดกเหล้าแล้วโว้ย




ร้านนั่งชิว

ผมเดินเข้ามาในร้านนั่งชิวตามเวลานัดแบบเป๊ะๆ 2 ทุ่มครึ่งไม่ขาดไม่เกิน กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นเงาของเพื่อนแช่มที่กำลังเต๊าะข้าวหอมอยู่ ที่มันชวนมากินเหล้าที่นี่ก็เพราะว่ารู้ว่าพวกปี 2 จะมาสินะ

ร้ายชิบหาย

ผมเดินมาหามัน " นั่งโต๊ะไหน "

" พี่ขันสวัสดีครับ " พวกปี 2 ยกมือขึ้นไหว้ผม

" เออสวัสดี " ผมรับไหว้ก่อนจะไล่มองหาไอ้ขุน " ไอ้ขุนล่ะ มันไม่มาหรอ "

" ไปแถวหลังร้านอ่ะพี่ "

" อ๋อเออ แล้วนี่มึงนั่งไหนเนี่ยะแช่ม "

ไอ้แช่มชี้ไปทางโต๊ะที่เพื่อนๆ นั่งกันอยู่ " อัญเชิญไปโน่น "

" เออ " ผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงโต๊ะที่พวกเพื่อนๆ นั่งกันอยู่ เห็นไอ้ทะเลกำลังยกเหล้าขึ้นซด ผมก็แย่งแก้วในมือมันมาก่อนจะกรอกเข้าปากตัวเองจนหมด

อื้มม.ม.ม.....

โคตรบาดคอ

" มาช้าแล้วยังมาแย่งเหล้ากูแดกอีก "

" กูมาตรงเวลา พวกมึงนั่นแหละที่มาเร็วเอง " ผมวางแก้วไว้บนโต๊ะ " เดี๋ยวกูมานะ กะว่าจะไปสั่งงานไอ้ขุนสักหน่อย "

" เออ กูชงเหล้ารอ " ผมพยักหน้ารับคำก่อนเดินไปทางหลังร้าน ระหว่างนั้นก็มีพวกเด็กวิศวะทั้งปี 1 ปี 2 ยกมือไหว้กันเป็นแถบๆ

การที่เป็นเฮดว้ากเนี่ยะค่อนข้างลำบากนะครับ ต้องคีพลุคอยู่ตลอดเวลา สายรหัสของผมเป็นสายเฮดว้ากมาตั้งแต่รุ่นไหนไม่รู้ รู้แค่ว่านานมากจากที่ฟังรุ่นพี่เล่ามานะ คนที่จะมารับตำแหน่งแทนผมปีหน้าก็คือไอ้ขุนนี่แหละ คิดไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ในปีนี้ทุกคนจำมาดมันในอดีตเดือนที่แสนจะดูใจดีและเป็นมิตรไปแล้วน่ะนะ ไม่รู้ว่ามันจะทำโหดใส่รุ่นน้องปีหน้าได้แค่ไหน

เรื่องนี้ต้องรอดู

ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงทางออกประตูหลังร้าน เห็นไอ้ขุนนั่งเหม่อคนเดียวอยู่ใต้ต้นไม้ สีหน้าดูเพลียอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์เหมือนพวกอดหลับอดนอน หลายวันมานี้มันคงเครียดมากจริงๆ ผมรู้เรื่องที่บ้านมันนะว่าพ่อมันไม่โอเคกับเรื่องนี้ ผมรู้จักพ่อมันดีด้วยเพราะว่าท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อผมไง แน่นอนว่าเรื่องนี้ไอ้หนมมันไม่รู้เพราะว่ามันไม่ค่อยกลับบ้าน

ไอ้ขุนเองก็คงไม่ต่าง

ตอนแรกผมยังคิดว่าโลกโคตรกลมเลยที่ไอ้ขุนเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อ บ่อยครั้งนะที่พ่อกับแม่ไอ้ขุนมาทานข้าวที่บ้านผม แต่พวกท่านก็ไม่เคยเจอขนมเลย วันที่ขนมกลับบ้านก็มักจะคาดไปไม่กี่วันเอง ถ้าบ้านนั้นรู้ว่าขนมเป็นแฟนลูกชายตัวเองก็อาจจะยอมรับได้ไม่ยากนะเพราะว่าอย่างน้อยก็เป็นลูกชายของเพื่อนสนิท พอคิดได้แบบนั้นผมถึงได้รีบทำอะไรหลายๆ อย่างก่อนไง

ผลที่ได้ก็เห็นกันไปในวันนี้แล้วนี่แหละ

เฮ้อ....

" จิ๊....." อยู่ดีดีไอ้ขุนมันก็จิ๊ปากออกมาก่อนจะหยิบซองบุหรี่ออกมาถือไว้ " ไม่ได้สิขุน สัญญากับขนมไว้แล้วไงว่าจะเลิก " มันพูดออกมาก่อนจะกำซองบุหรี่แล้วเดินไปทิ้งถังขยะ

เลิกบุหรี่เพราะขนมสินะ

" หึ...." ผมยกยิ้มอย่างพอใจที่เห็นมันทำแบบนั้น ผมไม่สูบบุหรี่อยู่แล้วครับเพราะว่าไม่ค่อยชอบกลิ่นสักเท่าไหร่ และไม่เคยคิดจะลองด้วย

ตอนที่ขนมยังเป็นเด็กมากๆ วันนั้นผมพาน้องไปปั่นจักรยานเล่นกันที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน แล้วเราดันปั่นผ่านกลุ่มวัยรุ่นที่เขาสูบบุหรี่ ขนมงอแงแล้วบอกว่าเหม็น แถมมีการบอกว่าถ้าผมโตขึ้นก็ไม่อยากให้ผมทำแบบนั้น ไม่อยากให้ผมตัวเหม็นแบบนั้น เด็กน้อยในตอนนั้นน่ารักมากจริงๆ นะ

ตัดภาพมาที่ปัจจุบันสิ

คิดละปวดใจชิบ

ในขณะที่แอบยืนมองไอ้ขุนอยู่นั้นก็มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้าไปหามัน เป็นผู้หญิงที่สวยเลยนะ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นรุ่นน้องวิศวะอุตสาหการมั้ง

จะทำไรวะ

" พี่ขุนคะ "

เจ้าตัวหันมองตามเสียง " ครับ ว่าไงหืม "

" แฟนพี่ไม่มาด้วยหรอ "

" ไม่มาครับ " มันบอกก่อนยิ้มบางๆ

ผู้หญิงคนนั้นก็เดินไปคล้องแขนไอ้ขุนพลางเอาหน้าอกใหญ่ๆ เบียดไปด้วย " ถ้าแฟนพี่ไม่มา งั้นวันนี้ไปต่อกับหนูนะคะ "

" ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจังวะ " ผมยืนกอดอกมองทั้งสองคนจากตรงนี้ด้วยอารมณ์ที่เริ่มมาคุ ถ้าเป็นมันเมื่อก่อนนี่คงพากันไปแดกตั้งแต่พี่ขุนคะละอ่ะ เดี๋ยวดูซิว่ามันจะตอบอีน้องนั่นยังไง

จะไปหรือไม่ไป

" ไม่ล่ะครับ " มันบอกก่อนจะแกะมือผู้หญิงคนนั้นออก " พี่รักแฟนพี่และพี่จะไม่นอกใจเค้า "

" ก็ไม่ได้ให้นอกใจนี่คะ ให้นอกกายเฉยๆ เอง "

ไอ้ขุนส่ายหน้าเบาๆ " อะไรที่ไม่เป็นความซื่อสัตย์พี่จะไม่ทำครับ พี่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว "

" ว้า น่าอิจฉาแฟนพี่จัง " เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างเง้างอน " ไว้ถ้าพี่โสดเมื่อไหร่ อย่าลืมคิดถึงหนูนะคะ "

" พี่คงไม่เป็นโสดอีกแล้วล่ะครับ "

" คนนี้จริงจังมากเลยหรอคะ " เธอเอ่ยพลางทำแก้มป่อง " เค้ามีดีถึงขนาดนั้นเลยหรอคะ "

" ก็ดีมากพอที่พี่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อเค้า แล้วก็พี่จริงจังกับเค้ามากเลยล่ะ "

" งั้นก็โชคดีนะคะ บาย " เธอบอกก่อนจะเดินออกไป ส่วนไอ้ขุนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ยอมรับนะครับว่าพอใจในสิ่งที่มันพูดมาก ที่ขนมพูดก็คงจะจริงตามนั้นแหละ เรื่องที่ว่าผมไม่เคยเห็นเลยว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแค่ไหน มันเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ ว่ะ ผมได้ยินบ่อยนะช่วงที่มันสองคนคบกันใหม่ๆ แล้วมีคนเอาขนมไปต่อว่าต่างๆ นานา ตอนนั้นผมโกรธมากที่ไอ้ขุนทำให้น้องผมโดนด่า โกรธทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าลับหลังผม มันพูดถึงขนมดีแค่ไหน

ผมมันโง่จริงๆ แบบที่พี่แขพูดนั่นแหละ

" อ่าวขัน "

ผมหันตามเสียงเรียก " มึงเพิ่งมาหรอเฌอ "

" เออ ละนี่มึงทำไรอยู่วะ "

" อ๋อกูกะจะไปเข้าห้องน้ำน่ะ แต่เห็นกระรอกมันปีนต้นไม้เลยแวะดู "

" มืดขนาดนี้ยังมองเห็นอีกหรอวะ " มันชะเง้อคอมองตาม

" มึงมันเซ่อไง " ผมคล้องคอมันก่อนจะลากกลับเข้าร้าน " แดกเหล้ากันดีกว่า มึงมาช้าด้วยเนี่ยะต้องโดนทำโทษ "

" อะไรของมึงวะขัน "

" เออน่า " ผมรีบลากไอ้เฌอกลับมาที่โต๊ะก่อนจะนั่งทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมมองน้ำสีอำพันในแก้วพลางคิดทบทวนเรื่องอะไรหลายๆ อย่าง เรื่องไม่ดีที่เคยทำไว้กับไอ้ขุนและขนม ผมรู้สึกผิดนะแต่ทิฐิมันก็มากเกินที่จะเอ่ยคำว่าขอโทษออกไป เอาเป็นว่าผมจะคอยตามดูแลไอ้คู่นี้อยู่ห่างๆ จะพยายามสนับสนุนมันสองคนอย่างเงียบๆ จะไม่ขัดขวางความรักของพวกมันอีกแล้ว หลังจากที่ผมคิดเรื่องพวกนี้ในหัวเสร็จผมก็ยกเหล้าขึ้นซดจนหมดแก้ว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้ขุนเดินผ่านโต๊ะ

" พี่ๆ สวัสดีครับ " มันยกมือไหว้เพื่อนๆ ผมก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มบางๆ " สวัสดีครับพี่ขัน "

ผมวางแก้วเหล้าก่อนจะรับไหว้ " เออ "

" ผมไปที่โต๊ะก่อนนะพี่ " มันหมุนตัวเพื่อจะเดินไป

" ไอ้ขุน....."

ขอบใจนะที่ดูแลขนมมาตลอด....ขอบใจจริงๆ

" มีอะไรหรอพี่ "

" เปล่า....มึงไปเหอะ "

จิ๊....อะไรของมึงวะขัน

บ้าบอชะมัด


[ จบบันทึกพิเศษ : ขัน ]










TBC.

มาส่งขุนหนมแล้วค่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนานมาหลายวัน บทนี้นี่มีพาร์ทพี่ขันคนโฉดยาวๆ น้องหนมของเรานี่ร้ายกาจไม่เบาเลยนะ ทีนี้ก็เหลือปัญหาแค่ทางบ้านของพี่ขุนอย่างเดียว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อรอติดตาม
ชาลสั่งทำปกนิยายของขุนหนมแล้วนะคะ โดยให้เพื่อนเป็นคนวาดตัวอิมเมจให้ ส่วนเรื่องบีจีกับการใช้สีชาลคงจะทำเอง ปกมันอาจจะไม่ได้สวยเวอร์วังมาก แต่ว่าจะทำให้มันเป็นเอกลักษณ์และก็ทำออกมาให้ดีที่สุดค่ะ อาจจะให้ได้เห็นกันหลังจากที่ชาลฝึกงานเสร็จก็ช่วงประมาณต้นเดือนกุมภาฯ ก็นิยายเรื่องนี้ก็คงจะจบไล่ๆ ตอนนั้นพอดี ชาลคิดว่าจะเปิดพรีออร์เดอร์ LoveWriteเขียนสื่อรัก ประมาณเดือนมีนาคมค่ะ อยากจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่จะกลับไปเรียนอีกเทอมนึง เดี๋ยวจะชี้แจงเป็นระยะๆ นะคะ
คือตอนนี้มีแพลนว่าจะแต่งเรื่องสั้นที่หนมแต่งเป็นบทหนังสั้นที่เล่นกันในเรื่อง คือเริ่มแต่งไปแล้วแหละแต่ว่ายังไม่เสร็จ ไว้ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวจะเอามาลงให้อ่าน อีกอย่างคือกำลังปั่น สเปเชี่ยลปีใหม่ อยู่นะคะ เพราะงั้นขอกำลังใจเยอะๆ เลยนะ
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 29 : 30/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-12-2017 01:43:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 29 : 30/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 31-12-2017 02:58:46
 :z6: อัดอิพี่ขันสักที นี้เป็นแม่ยกหมี ถ้ามันไม่รักก็มาซบอกแบนๆของป้ามาลูก อย่าไปรักมัน

รออิตอนอิพี่ขันเมื่อไหร่ละก็ จะไห้ขนมจัดขวางไห้เข็ด

พึ่งเข้ามาอ่านแบบยาวๆๆเลย ชอบมาก ชอบน้องหมีมาก เรียกได้ว่าแย่งซีนคู่หลักสุดๆสำหรับเรา ฮ่าๆ เอ็นดู และสงสสารไปพร้อมกัน
เพราะดูท่าแล้วอิพี่ขันมันโง่!!!!!!!
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 29 : 30/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-12-2017 07:15:04
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ Special Chapter : HNY ] : 31/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 31-12-2017 21:36:11
[ Special Chapter ] - Happy New Year


* เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตหลังจากจบเรื่อง I'm not Playboy ผมไม่ได้เจ้าชู้ *



------------------------------------





ช่วงเทศกาลปีใหม่นี่เป็นช่วงที่ดีเนอะ

ดีทุกอย่าง....ยกเว้นการจราจร

เฮ้อ....

ผมนั่งมองวิวข้างทางที่เห็นมาประมาณเกือบชั่วโมงอย่างเหนื่อยใจ รถแทบไม่ขยับเลยครับ ในรถนี่เปิดแอร์เย็นมากนะแต่ก็อดหัวร้อนไม่ได้จริงๆ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายกว่าๆ เมื่อช่วงสายๆ ผม พี่ขุน ไอ้หมี ไอ้ขัน ตกลงกันว่าจะไปซื้อพวกของสดมาทำเป็นบาร์บีคิวปิ้งกินกัน เพื่อฉลองคืนเคาท์ดาวน์ คือของเนี่ยะซื้อเสร็จก่อน 11 โมงละ พอจะขับรถกลับนี่รู้เรื่องเลย

โคตรน่าหงุดหงิด​

" ทำไมรถมันติดแบบนี้นะ "

" ก็คนเค้าออกต่างจังหวัดกันไงครับ "

" น่าเบื่ออ่ะ ไม่ชอบเวลารถติดเลย "

" มึงนี่บ่นมากจริงๆ เลยนะไอ้หนม "

ผมหันไปมองคนที่นั่งเบาะหลัง " เรื่องของกู แบร่บๆๆๆๆๆ " ว่าแล้วผมก็แลบลิ้นใส่มัน

" ไอ้น้องเวรนี่ ดะกูก็บ้องหูให้ "

" ไอ้ขัน!!!!! "

" หนมครับ " พี่ขุนปรามผม " อย่าเสียงดังสิ "

ไอ้หมีมันตีมือไอ้ขัน " พี่ก็เลิกแกล้งหนมมันสักที "

" เอ๊ะ มึงนี่ "  คนโดนตีทำหน้าเหี้ยมก่อนจะบีบแก้มไอ้หมี " อยากตายหรอ"

" อยากนอนนอกห้องไหมล่ะ ถ้าไม่อยากก็เอามือออก " หลังจากที่ไอ้หมีมันเอ่ยเสียงเรียบ ไอ้ขันมันก็ยอมเอามือออกแล้วนั่งมองข้างทางไปเงียบๆ

กลัวเมียหนิไอ้สัส

ผมเบ้ปากใส่ไอ้ขันทีนึงก่อนจะหันกลับมานั่งอย่างเดิม เอาจริงๆ ไม่ได้อยากเคาท์ดาวน์ร่วมกับไอ้ขันเลยนะแต่แบบเพราะไอ้หมีไงก็เลยต้องยอม ทริปเคาท์ดาวน์ปีนี้คึกครื้นมากครับ มีแก๊งค์ผม แก๊งค์พี่ขุนและก็มีพวกสมปองด้วย ไอ้หมีบอกว่าพวกนั้นโดนบังคับให้มา ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็นะงานปีใหม่ คนมากันเยอะๆ มันก็สนุกดี

คงเป็นความสนุกที่วุ่นวายมากๆ

สถานที่สำหรับเคาท์ดาวน์ในปีนี้ก็คือฟาร์มของป่ะป๊าไอ้หมีครับ ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานเหมือนกันว่าบ้านไอ้หมีทำธุรกิจฟาร์มโคนม และเลี้ยงแกะ เพราะงี้ตอนที่ไปเที่ยวฟาร์มกันเมื่อช่วงหยุดยาวไอ้หมีถึงดูชอบแกะมาก เรื่องของที่บ้านไอ้หมีมันไม่เล่าให้เพื่อนฟังเลยนะ คือถ้าไอ้ขันไม่มาบอกแล้วผมไม่ไปเค้นไอ้หมีต่อก็ไม่รู้อ่ะ

เก็บเป็นความลับเงียบ

พูดถึงไอ้ขันกับไอ้หมีนี่ใจนึงก็รู้สึกดีใจนะที่มันมารักกันได้ แต่อีกใจก็รู้สึกหมั่นไส้เหมือนกัน กว่าจะลงเอยกันผมนี่เกลียดไอ้ขันไปช่วงนึงเลย คิดแล้วโคตรหงุดหงิด แต่ก็นะ มันกำลังจะปีใหม่ละ เรื่องเก่าๆ ก็ลืมไปดีกว่า ถ้าปีหน้าไอ้ขันมันทำตัวชั่วอีกเมื่อไหร่ผมจะไล่กระทืบมันเอง

" หนมครับ "

" หืม " ผมหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ " มีอะไรครับ "

" หงุดหงิดขนาดนั้นเลยหรอ "

" ก็หงุดหงิดนะ ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกที่อยู่ที่ไร่จะทำไรกันอยู่ "

" พี่ว่าคงนอนกันนั่นแหละ ก็เมื่อคืนมาถึงกันก็เกือบตีสองเสือกนั่งเล่นไพ่กันต่ออีก กว่าจะได้นอนก็เมื่อเช้า "

" นั่นสินะ " ผมเปิดเก๊ะก่อนจะหยิบขนมออกมาแกะกิน " แล้วทำไมพี่ขุนถึงไม่อยู่เล่นไพ่กับเพื่อนๆ ล่ะ "

" พี่เห็นว่าหนมง่วง "

ผมยื่นขนมไปป้อนให้เจ้าตัว " เกี่ยวอะไรกับหนม "

" ก็พี่อยากไปนอนกอดหนมมากกว่านี่ครับ " พี่ขุนบอกก่อนจะยิ้มหวาน

" พี่นี่มัน....." ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น " บ้าจริงๆ "

" พี่ขันมีถุงป้ะ "

ไอ้ขันมองหาถุงให้ไอ้เพื่อนตัวดี " มึงจะเอาไปทำไรวะ "

" เหม็นความรัก....จะอ้วก "

พี่ขุนเบ้ปากให้ไอ้หมี ตาก็มองมันผ่านกระจกหลัง " มึงก็ลงไปอ้วกข้างทางสิ "

" เดี๋ยวมึงก็ได้ลงไปเข็นรถหรอกไอ้ขุน " ไอ้ขันมันบอกเสียงเหี้ยม

ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ มือก็ป้อนขนมพี่ขุนไปเรื่อยๆ อยู่กันเงียบๆ ดีกว่าไม่งั้นคงได้มีการทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตแน่ๆ มองไอ้หมีกับไอ้ขันผ่านกระจกหลังก็เห็นมันหยอกอะไรกันไม่รู้อยู่สองคน แหวะ มาบอกว่าคู่กูเหม็นความรัก มึงสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก กลิ่นความรักนี่เอียนจนจะคลื่นไส้ละ กลับถึงฟาร์มนี่ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วกก่อนสักสองรอบ

จิ๊....รถห่านี่ก็ติดจังเลยโว้ยยยย



TB : FARM

หลังจากที่เสียเวลาให้กับการจราจรไปเกือบ 3 ชั่วโมง เราทั้งสี่คนก็กลับมาถึงฟาร์มแล้วครับ ตอนนี้กำลังช่วยกันแบกของเข้าครัวอยู่ บรรดาเพื่อนๆ ผมก็มาช่วยถือกัน ส่วนพวกเพื่อนๆ พี่ขุนนี่ไม่เห็นเลยสักคนสงสัยยังไม่ตื่นกันล่ะมั้ง แต่นี่มันจะสี่โมงแล้วนะ เดี๋ยวพอขนของเสร็จผมต้องไล่ให้พี่ขุนไปปลุกเพื่อนๆ ให้หมดเพราะมันใกล้จะเย็นแล้ว แม่ผมสอนไว้ว่าห้ามนอนตอนช่วงเย็น เพราะมันอาจจะทำให้ปวดหัว แล้วหลับต่อตอนกลางคืนไม่ได้

" พี่ขุน "

" ว่าไงครับ "

ผมส่งถุงเนื้อไปให้ " ถ้าขนของเสร็จไปปลุกเพื่อนๆ ด้วยนะ "

" พี่ก็กะทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกันเพราะว่าจะให้พวกมันมาช่วยเตรียมของ "

" พี่จะเป็นคนหมักใช่ไหม "

" ใช่ครับ เดี๋ยวพี่จัดการเอง " เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน แหม่ะ ผมนี่มีแฟนเป็นพ่อบ้านตัวอย่างจริงๆ เลยนะ

ไงล่ะ....อิจฉาล่ะสิอิจฉา

" ไอ้หนม " ไอ้ปั้นมันเดินมาคล้องคอผมก่อนจะกระซิบข้างหูเบาๆ " ไปลำธารกันป้ะ "

" เอาดิ่ ใครไปบ้าง "

" ก็พวกเรานี่แหละ ให้พวกพี่เค้าเตรียมของกันไป "

" เออได้ งั้นกูไปบอกพี่ขุนก่อน " ผมกำลังจะเดินเข้าไปในบ้านแต่ไอ้ปั้นมันรั้งข้อมือไว้ " จะดึงกูไว้ทำไมเนี่ยะ "

" ไม่ต้องบอกหรอก ไปกัน " ว่าแล้วมันก็ลากผมไปทันที อะไรของมันวะ

ผมกลัวว่าถ้าหายไปไหนแล้วไม่บอกก่อนเดี๋ยวพี่ขุนจะโกรธเอา อีกอย่างคือไม่อยากให้มันเป็นห่วงด้วย ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นฟาร์มของบ้านไอ้หมีก็เถอะ แต่ดูท่าคงจะไม่ได้บอกแล้วแหละครับไอ้ปั้นเล่นลากผมมาซะขนาดนี้

เอาเป็นว่า....หนมขอโทษนะพี่ขุน

ไอ้ปั้นมันลากผมมาจนถึงทางเดินเข้าลำธาร บรรดาชาวแก๊งค์ทยอยเดินตามกันมา ไอ้หมีมันคล้องคอสมปองมาด้วย ทริปนี้ลันตาไม่ได้มากับพวกเรานะ ถามสมปองมันก็บอกว่าลันตาไปกกผัว ทิ้งเพื่อนทิ้งฝูงบลาๆๆๆ แต่สีเทียนก็แซะมันกลับประมาณว่า มึงก็พูดได้สิ มึงมากับผัวหนิ

หลังจากนั้นก็เงียบกริบ

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก

คำพูดของสีเทียนนี่สังหารได้ทุกคนอ่ะ โดนกันมาหมดละไอ้พวกที่นั่งรถมาด้วยกันเมื่อวาน ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผู้ชายที่หน้าสวยขนาดนั้นปากร้ายได้ถึงขนาดนี้ แต่สีเทียนดูเข้ากันได้ดีกับไอ้หมีมากเลยนะ เอาจริงๆ ไอ้หมีมันก็เข้าได้กับทุกคนแหละ ผมรู้ว่าไอ้ขันมันหงุดหงิดใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ต่อหน้าคนอื่นมันก็ปรามได้ไม่มาก แต่คิดว่าถ้ามันอยู่ด้วยกันสองคนไอ้หมีมันคงตายแน่

ตายแบบไม่เหลือซาก

" หมี "

" ว่าไงครับเพื่อนหนม " มันยิ้มแฉ่งก่อนจะเลื่อนแขนอีกข้างมาคล้องคอผมไว้ " เรียกเพื่อนหมีทำไมหืม "

" มึงเบื่อไอ้ขันบ้างป้ะ "

" กูจะเบื่อแฟนตัวเองได้ไง มึงนี่ก็ถามอะไรแปลกๆ "

" ไม่เห็นจะแปลกเลย ขนาดกูเป็นน้องมันกูยังเบื่อมันเลย "

ไอ้หมีหยิกแก้มผมแรงๆ " มึงมันเป็นน้องที่ไม่น่ารักไง "

" มันทำตัวเป็นพี่ที่น่ารักตายห่าแหละ " ผมบอกก่อนจะเบ้ปากใส่

" มึงเห็นพี่ขันเป็นแบบนั้นแต่เค้าก็รักมึงมากยิ่งกว่าใครๆ เลยนะ " ไอ้หมีมันเอ่ยอย่างจริงจังก่อนจะเบะปาก " ขนาดกูอ่ะ พี่ขันยังไม่รักถึงขนาดนั้นเลย "

มึงจะดราม่าทำไมวะ

ผมตบไหล่มันเบาๆ " เสียใจด้วยละกัน กูรำคาญมึงละว่ะ ไปเดินกับไอ้เผือกดีกว่า "

" เอ้าไอ้สัส "

ผมแกะแขนไอ้หมีที่คล้องคออยู่ออกก่อนจะเดินมาขนาบข้างไอ้เผือกกับไอ้ไผ่ ไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงลำธาร ผมว่าที่ไอ้พวกนี้มันอยากไปที่นั่นก็เพราะไอ้หมีมันโม้ไว้ให้ฟังนั่นแหละ เมื่อวานที่นั่งรถมามันอวดใหญ่เลยครับว่าลำธารที่ฟาร์มมันสวยมาก น้ำใสมองเห็นปลางี้ แถมมันยังบอกด้วยว่าเดี๋ยวมันจะลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลาให้ดู

มึงคิดว่าตัวเองเป็นแอเรียลหรอวะ

อา....ไม่น่าคิดภาพตามเลยหนมเอ้ย

เมื่อคืนที่มาถึงกันน่ะผมว่าอากาศที่นี่เย็นมาก น่าจะเป็นเพราะติดกับช่องเขา คือคิดได้เลยว่าน้ำในลำธารมันต้องเย็นยะเยือกแน่นอน อุณหภูมิเมื่อคืนก็แค่ 20 องศาเอง ยังไงแม่งก็ต้องหนาวอ่ะวันนี้ ที่ผมไปลำธารกับพวกมันนี่ก็ไม่ได้คิดจะเล่นน้ำนะครับ

คิดจะไปเพื่อถีบไอ้หมีตกน้ำโดยเฉพาะ

" จะถึงแล้วเหล่าเพื่อนรัก ตามเพื่อนหมีมา " มันบอกก่อนจะเดินนำขบวนไป

" ทำไมอากาศมันเย็นจังวะ " ไอ้ภีมมันยกมือแนบแก้มตัวเอง

" ไม่เห็นจะเย็น " ไอ้เป้จับมือไอ้ภีมที่แนบหน้าอยู่ก่อนจะสอดเข้ากระเป๋าเสื้อฮู้ดตัวเอง " มึงนี่มันขี้หนาวจริงๆ "

" ใครจะหนังหนาอย่างมึงล่ะ "

" มึงนี่...." ไอ้เป้มันยกยิ้มก่อนจะเลื่อนหัวเข้าไปใกล้ " อยากโดนเอาข้ามปีไหม "

ไอ้หมีมันหันขวับมามองทันที " เฮ้ยกูได้ยินนะ มึงนี่มันร้ายจริงๆ เลยหน่าเพื่อนเป้ "

" เมียปากร้ายต้องโดนกำราบ "

" ระวังได้นอนข้างนอกนะมึงน่ะ "

ไอ้เป้ยิ้มกรุ้มกริ่ม " ชอบเอาท์ดอร์หรอครับเมีย ก็ได้นะ "

" มึงนี่มัน...." ไอ้ภีมเบือนหน้าหนี แก้มขาวๆ นั่นแดงก่ำเลยว่ะ นี่ถ้ามีกล้องนะผมคงถ่ายเก็บไปละ

โมเม้นท์หายาก

เมื่อก่อนจะมีแค่ผมกับพี่ขุนที่ทำให้คนรอบข้างเหม็นความรักกันบ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้มันก็มีคู่ไอ้เป้กับไอ้ภีมเพิ่มเข้ามา ส่วนไอ้ขันกับไอ้หมีก็ไม่ได้หวานให้เห็นอะไรขนาดนั้น ไอ้เป้มันดูชอบใจนะครับเวลาที่เมียมันโดนแซวน่ะ สนับสนุนเต็มที่ด้วยไม่มีการปกป้อง ไอ้ภีมนี่เขินวันละสิบล้านรอบได้ เห็นแล้วก็สงสาร แต่ในความสงสารก็มีความสะใจนิดๆ

ฮ่าๆๆๆๆ

" ยิ้มห่าไรของมึงวะไอ้หนม "

เสือกกับการยิ้มของกูอีก

ผมหุบยิ้มทันทีที่มีเสียงไอ้เป้ทัก ทำไมเดี๋ยวนี้เวลาที่ยิ้มออกมาชอบมีเพื่อนขัดตลอดเลยวะ ทีเมื่อก่อนนี่อยากให้กูยิ้มกันจัง น่าหมั่นไส้จริงๆ นะไอ้พวกบ้า พี่ขุนไม่เห็นห้ามไม่ให้ผมยิ้มแบบนี้เลย รายนั้นดูชอบอกชอบใจด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ผมยิ้มหวานๆ มันก็ชอบดึงเข้าไปกอดไปหอมเป็นประจำด้วย นี่สินะที่เขาบอกว่าเพื่อนกับแฟนน่ะมันต่างกัน พอพูดถึงพี่ขุนแล้วก็....

คิดถึงจัง

หวังว่าคงจะไม่ทะเลาะกับไอ้ขันอยู่หรอกนะ


[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]


" มันจะแดกได้จริงป่ะเนี่ยะไอ้ขุน "

" จริงสิพี่....วานส่งเกลือให้ผมหน่อย "

มือหนาหยิบขวดสีขาวส่งมาให้ผม " อ่ะ เอาไป "

" นี่มันน้ำตาล เกลือมันอีกอันนึงพี่ขัน "

" ใครจะไปรู้วะก็มันขวดสีขาวเหมือนกัน " เจ้าตัวบ่นก่อนจะหยิบขวดสีขาวอีกขวดส่งมาให้ " อ่ะ คงถูกอันละนะ "

" ถูกละพี่ " ผมรับขวดมาก่อนจะโรยเกลือใส่ชามที่หมักเนื้อ

" เออขุน เวลาไอ้หนมมันอยู่กับมึง มันดื้อมากไหม "

" ไม่เลยนะพี่ น้องน่ารักมาก ขนมเป็นคนมีเหตุผลนะ "

พี่ขันเลิกคิ้วมอง " หรอวะ "

" ใช่สิ เวลาอยู่กับพี่ขัน หนมดื้อมากเลยหรอ "

" ดื้อดิ่ ตอนเด็กๆ ก็น่ารักอยู่หรอก " พี่ขันบ่นก่อนจะหยิบแตงกวาไปกินเล่น " มันไม่ดื้อกับมึงก็ดีแล้วล่ะนะ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกันถ้าไอ้หมีโผล่มาบอกว่ากูอยู่ที่ห้อง "

" ได้เลยพี่ " ทันทีที่ผมรับคำ พี่ขันก็เดินออกไปจากครัว

ดีจริงๆ นะที่ผมกับพี่ขันคุยกันได้อย่างปกติน่ะ

ช่วงตลอดปีที่ผ่านมานี่มีเรื่องให้ต้องหมางใจกันอยู่ตลอดเลย แต่ก็ดีที่เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนั่นมันจบลงได้ด้วยดี ช่วงที่ไอ้หมีกับพี่ขันมีปัญหากัน ขนมนี่เครียดหนักเลยเพราะตัวเองเป็นคนกลางไง ย้อนไปคิดก็สงสารอยู่เหมือนกันนะ ผมทำอะไรไม่ค่อยได้เลยตอนนั้น เต็มที่ก็ทำได้แค่กอดปลอบ แล้วพยายามทำให้น้องยิ้ม

ผมทำได้แค่นั้นจริงๆ

พอๆ เลิกคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วดีกว่า คิดไปก็หน่วงใจเปล่าๆ คิดถึงขนมยังเข้าท่ากว่าเยอะเลย พูดถึงขนมผมก็ไม่รู้ว่าน้องหายไปไหน อาจจะนั่งเล่นนอนเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ล่ะมั้ง เดี๋ยวพอผมหมักพวกเนื้อเสร็จก็จะไปตามน้องมาอาบน้ำ ส่วนเรื่องเตรียมเตาปิ้งเดี๋ยวให้ไอ้สยามมันจัดการ พวกเพื่อนๆ ผมมันซื้อพวกพลุโอ่งกับไฟเย็นมาเยอะเลยครับ ในส่วนตรงนี้เดี๋ยวไอ้ชาจะเป็นคนจัดการเตรียมจุดตอนเคาท์ดาวน์

" ไอ้ขุน "

ผมหันมองตามเสียงเรียกก็พบกับไอ้สยามที่เดินทำหน้าบึ้งมา " มีไรวะ แล้วมึงเป็นไรเนี่ยะ "

" เมียหาย "

" กูก็นึกว่าเรื่องอะไร " ผมส่ายหัวอย่างเอือมๆ " แตกตื่นไปได้นะมึง "

" เมียมึงก็หายไปด้วยนะ "

ผมหันขวับไปมองทางมันทันที " จริงจัง "

" จริงจังสิสัส เรื่องเมียใครเค้าล้อเล่นกันวะ " มันบอกเสียงขุ่นก่อนจะเดินมานั่งข้างผม " หายไปกันไปหมดเลยพวกปี 1 น่ะ ไม่รู้ว่าไปเล่นซนกันที่ไหน "

" มึงลองหาทั่วแล้วหรอ "

" เออหาทั่วแล้ว ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว แถมยังหนาวอีก กูเป็นห่วงปอง มันกลัวความมืดมึงก็รู้ "

" กูว่าคงไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะ "

" หวังงั้นเถอะ เดี๋ยวกูไปเตรียมเตารอละกัน " มันบอกก่อนจะเดินออกไป หงุดหงิดน่าดูเลยนะน่ะ

ผมเองก็ชักจะหงุดหงิด

ตกลงกันไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไปไหนให้บอกกันก่อน ไม่คิดเลยว่าน้องจะผิดคำพูดกับผม เดี๋ยวจะต้องลงโทษหน่อยละโทษฐานที่ดื้อและทำให้เป็นห่วง ผมเอาผ้าขาวมาคลุมชามหมักเนื้อไว้ก่อนจะเดินไปล้างมือ ผมเตรียมของเสร็จหมดแล้วครับ ตอนนี้ก็ 6 โมงกว่าๆ ละ พวกเราตั้งใจว่าจะเริ่มกินกันประมาณ 3 ทุ่ม แล้วก็ต่อกันไปยาวๆ เลยคืนนี้

ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน

ผมเดินออกมาหน้าบ้านพลางมองวิวไปรอบๆ เริ่มมืดแบบที่ไอ้สยามบอกจริงๆ ด้วย แถมอากาศก็เริ่มเย็น ได้ยินเสียงโวยวายดังเข้ามา หันไปมองก็พบกับพวกเด็กปี 1 ที่เดินมากันด้วยสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว ขนมนี่ตัวสั่นเดินนำมาเลย

ไปทำอะไรกันมาวะ

" พะ....พี่ขุน " ทันทีที่น้องเห็นผมก็ยิ้มแห้งๆ ออกมาทันที

" ไปไหนมาครับ " ผมถามเสียงเข้มพลางมองคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า " ทำไมถึงได้เปียกแบบนี้ "

" หนมไป....เล่นน้ำมา "

" เราตกลงกันไว้ว่ายังไง "

คนตรงหน้าเบะปากขึ้นหน่อยๆ " ก็....ถ้าไปไหนให้บอกก่อน "

" ใช่....แล้วหนมได้บอกพี่ไหม "

" ไม่ครับ " น้องบอกเสียงอ่อนก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผม " แต่หนมมีเหตุผลนะ คือว่า...."

" ไปคุยกันที่ห้อง " ผมตัดบทก่อนจะรีบลากน้องเข้ามาในห้องพัก ตอนนี้มือขนมเย็นมาก ผมเข้าใจว่าน้องคงหนาวเพราะงั้นให้รีบไปอาบน้ำก่อน

กลัวน้องไม่สบายครับไม่ใช่อะไร

" พี่ขุนโกรธหนมหรอ "

" ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน "

" กะ...ก็ได้ " คนตัวเล็กเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวก่อนจะหันมองผม " รอแปปนึงนะ " เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ทำไมมันน่าฟัดจังวะ

ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อข่มอารมณ์ เสื้อที่มันแนบเนื้อแบบนั้นทำเอาใจสั่นได้เหมือนกันนะ แก้มขาวๆ นั่นก็น่ากดจมูกลงไปถูแรงๆ เป็นบ้า อา....ทำไมผมถึงได้คิดอะไรลามกแบบนี้วะ คงเป็นเพราะว่าผมห่างเรื่องพวกนี้กับน้องมาได้สักพักนึงมั้ง สองเดือนมานี้ผมไม่ได้มีอะไรกับขนมเลยอ่ะ พยายามต้อนแล้วนะแต่น้องก็ไม่ใจอ่อน

กะให้ผมลงแดงตายงี้

ผมกับขนมคบกันมาครึ่งปีกว่าๆ แล้วนะ มีอะไรกันไปแค่ 3 ครั้งเองอ่ะ นี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอดทนมาได้ยังไง แต่ว่าทุกครั้งที่มีอะไรกันนี่หนักเลยนะครับ ขนมก็ชอบมาบ่นว่าทำมากเกิน ร่างกายจะอย่างโน้นอย่างนี้ ผมเลยต่อรองไปว่างั้นเปลี่ยนเป็นทำอาทิตย์ละครั้งไหม ครั้งละรอบ คนตัวเล็กก็ไม่ยอมแถมเอาหมอนตีผมด้วย

นี่ผิดไรอ่ะ

งงใจมากๆ

หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักขนมก็เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวยิ้มยิงฟันให้ผม " เสร็จแล้ว "

" มานี่ " ผมตบตักตัวเองเบาๆ " มาเร็วๆ "

" หนมไม่ได้ตัวเล็กๆ นะ ถึงจะให้ไปนั่งตัก " น้องบ่นอุบอิบ แก้มขาวๆ ก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ

ซี๊ดด.ด....มันช่างน่า....

" อย่าให้พี่ต้องพูดซ้ำสิครับ "

" พี่ขุนอ่ะ " น้องทำหน้ามุ่ยก่อนจะยอมเดินมานั่งบนตักผมแต่โดยดี " อย่ามาบ่นว่าขาชานะ "

ผมโอบรอบเอวน้องไว้ " พี่เคยบ่นด้วยหรอหืม "

" หื้อออ.อ.อ...."

" ไม่ต้องมาหื้อเลย เรามีคดีติดตัวอยู่นะ เดี๋ยวจะโดน "

" คืองี้นะ " ขนมหันมองผม " ไอ้ปั้นอ่ะมันมาชวนหนมไปที่ลำธาร ตอนแรกหนมก็บอกมันแล้วว่าจะมาบอกพี่ขุนก่อน แต่มันก็ไม่ยอมให้มาบอกอ่ะ มันลากหนมไปเลยนะ แล้วพี่ขุนดูตัวมันกับตัวหนมสิ ใครจะสู้แรงได้ถูกไหม อีกอย่างหนมไม่ได้อยากเล่นน้ำหรอก แต่ไอ้หมีมันดึงลงไป หนมรู้ว่าหนมผิดที่ไม่ได้บอกแต่หนมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เรื่องนี้ถ้าจะโทษก็โทษไอ้ปั้นเพราะมันลากหนมไป "

ผมนั่งฟังคนตัวเล็กร่ายยาวก่อนจะหลุดยิ้มออกมา น่าถ่ายวิดีโอเก็บไว้ชิบ สีหน้าตอนที่ขนมอธิบายมันน่ารักมากเลยอ่ะ ทำตาใสแบบนั้นใครจะไปโกรธลง น้องรู้แหละว่าถ้าทำหน้าแบบนี้ใส่ผมตัวเองจะรอดแน่ๆ รู้อยู่หรอกว่าวิชามารนี้ไอ้หมีเป็นคนสอนขนมมา เดี๋ยวไว้ไปจัดการไอ้หมี

แต่ตอนนี้ต้องจัดการขนมก่อน

" แล้วไง "

คนบนตักทำคิ้วขมวดใส่ทันที " หมายความว่าไง พี่ไม่เชื่อหนมหรอ "

" เชื่อ แต่หนมก็ผิดอยู่ดีจริงไหม "

" อื้ออ.อ.อ.....ไม่ผิด " น้องบอกเสียงอ่อนก่อนจะซุกหน้าที่ไหล่ผม " ไม่ผิดนะ "

" ผิดสิ "

ขนมผละออกมาจากไหล่ก่อนจะมองผม " หนมผิดตรงไหน "

" ก็ผิดตรงที่...." ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกเราชนกัน " หนมทำตัวน่ารักเกินไป "

" พี่ขุน...."

" หึ....." ผมกดริมฝีปากลงไปทาบทับกับปากบางๆ นั่น

เสร็จพี่เถอะคนดี

น้องพยายามจะดิ้นหนีแต่ขอบอกเลยว่ามันไม่สะทกสะท้านผมเลยสักนิด ขนมเม้มปากเพื่อจะไม่ให้ผมล่วงล้ำเข้าไปด้านใน เห็นแบบนั้นผมก็ขบปากล่างน้องแรงๆ พอเจ้าตัวเผลอเปิดปากออกผมจึงสอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานในโพรงปากเล็ก สองมือก็กดให้น้องนอนราบไปกับเตียงก่อนจะขึ้นคร่อมไว้ ปากก็แลกจูบอยู่แบบนั้น

รู้สึกดีจริงๆ

ผมไล่ต้อนลิ้นเล็กอยู่อย่างนั้นพลางขบเม้มที่ริมฝีปากน้องไปด้วย แก้มใสแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด มือบางเลื่อนขึ้นมาโอบรอบคอผมช้าๆ เริ่มเคลิ้มแล้วสินะ ดีมากครับที่รัก พี่รอเวลานี้มานานแล้วรู้ไหม ผมเลื่อนมือเข้าไปลูบผิวเนียนใต้เสื้อเบาๆ ก่อนจะถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

ปากสีแดงเจ่อๆ นี่เร้าอารมณ์จริงๆ เลยนะ

" แฮ่ก....คนลามก "

" พี่ลามกตรงไหนหรอ " ผมไล่จูบไปตามซอกคอขาว " นี่ยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ "

" ยังจะมีหน้ามาพูดอีก....อื้ออ.อ.อ...อย่าลูบ...อ๊ะ "

ผมวนลูบรอบยอดอกน้องเบาๆ " ก็ดูชอบนี่ครับ "

" อื้ออ.อ...พี่ขุน "

" เรามีเวลาอยู่นะ หนมรู้ใช่ไหม " ผมเลิกเสื้อน้องขึ้นมาก่อนจะไล่จูบวนแถวหน้าท้อง " เพราะงั้น....โดนพี่แง่มซะดีดีเถอะ "

" ไม่ "

" หึ....." ผมเลื่อนมือมาจะเพื่อจะดึงกางเกงน้องลง " คิดว่าจะขัดขืนพี่ได้หรอ "

" พี่ขุน!!! "

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

จิ๊....ใครวะ

" สัสเอ้ย " ผมสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะลุกออกมาจากตัวน้อง ขนมรีบรั้งเสื้อลงก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่อตัวไว้ทันที เดี๋ยวจัดการคนที่มาขัดจังหวะก่อน แม่งมาตอนเข้าด้ายเข้าเข็มเลยนะมึงนะ

" เปิดเร็วๆ สิวะ มึงทำอะไรกันอยู่ "

เสียงนี้มัน.....

ผมรีบเปิดประตูทันที " พี่ขัน เอ่อ....มีอะไรอ๋อพี่ "

" ไอ้หนมอ่ะ "

" กูอยู่นี่ " น้องรีบย่องลงมาจากเตียงโดยที่ยังมีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ " มีไรวะ "

" คือ....กูมีเรื่องจะคุยด้วย ไปกับกูแปปนึง " ว่าแล้วพี่ขันก็ลากขนมออกจากห้องไปทันทีโดยไม่สนใจผมที่ยืนอยู่ตรงนี้เลย

วัทททท

" เชี่ยไรเนี่ยะ " ผมยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด พี่ขันนะพี่ขัน มีเรื่องคุยอะไรตอนนี้วะ

จะได้แง่มขนมอยู่แล้ว

ผมปิดประตูก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก อารมณ์ค้างแบบค้างเลย เมื่อกี้นี้ผมคิดว่าจะแง่มน้องจริงๆ นะครับไม่ได้เล่นๆ อย่างน้อยก็สักครั้ง แต่ตอนนี้โดนพี่ขันทำลายแผนการแง่มของผมไปแล้ว โผล่มาเหมือนรู้เลยอ่ะ เดี๋ยวไปด่าไอ้หมีดีกว่าโทษฐานที่ปล่อยให้พี่ขันมาขัดขวางความสุขของผม

ส่วนขนม....หลังเคาท์ดาวน์เดี๋ยวเจอกัน

เราไม่รอดจากพี่หรอกครับที่รัก


[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]


------------- 50% -------------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ Special Chapter : HNY ] : 31/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 31-12-2017 21:37:57
------- ต่อจาก [ Special Chapter ] - Happy New Year ------



" นี่กุ้งครับหนม "

" ขอบคุณครับ....เอ้าไอ้สัสขัน กุ้งของกูนะน่ะ "

" กูจะแดกอ่ะ "

" มึงนี่มันเลว!!!! "

" ไม่เป็นไรครับหนม นี่ตัวใหม่ "

ผมกำลังจะเอื้อมมือไปรับกุ้งตัวใหม่มาจากพี่ขุน แต่ไอ้ขันมันก็ชิงแย่งไปอีก " เอ้า....มึงเป็นเชี่ยไรเนี่ยะ "

" กูจะแดกให้หมดเลย " ไอ้ขันมันยิ้มหวานก่อนจะยัดกุ้งตัวใหม่เข้าปาก

" อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก "

ไอ้พี่เชี่ยยยยยยยย

ผมว้ากใส่มันดังลั่นก่อนจะกระหน่ำตีไปอีกหลายทีจนพี่ขุนต้องเข้ามาห้าม ไอ้ขันมันสมควรตาย ถึงมันจะมีบุญคุณที่มาช่วยผมไม่ให้โดนพี่ขุนแง่มก็เถอะ แต่มันก็สมควรตายอยู่ดี

" พี่ขัน " ไอ้หมีที่ยืนปิ้งเนื้ออยู่หน้าเตาหันมามอง " มาช่วยปิ้งนี่มา "

" มึงก็ปิ้งไปสิ "

" พี่ขัน "

" เออกูได้ยินละ " มันทำเสียงขุ่นก่อนจะเดินไปช่วยไอ้หมีปิ้ง

นี่สิผู้มีอำนาจเหนือไอ้ขัน

ผมแอบแลบลิ้นใส่มันก่อนจะหันมาสนใจของกินตรงหน้าต่อ พี่ขุนก็แกะกุ้งตัวใหม่ก่อนจะส่งมาให้ผม ตอนนี้พวกเราชาวแก๊งค์นั่งเปิดตี้รอเวลาเคาท์ดาวน์กันอยู่ นี่ก็นั่งกินมาเรื่อยๆ จนเกือบ 5 ทุ่มแล้วครับ อากาศตรงลานหน้าบ้านนี่ก็หนาวจับใจเลย ดีนะที่มีกองไฟให้ผิงนะ ฟีลนี้นึกถึงสมัยที่เรียนลูกเสือเลยแฮะ

" พี่ขุนเอาเหล้าไหม " ผมถามพลางเทเหล้าใส่แก้ว

" เอาเราด้วยได้ไหมครับ "

ผมหันขวับมองมันทันที " พี่นี่....."

" กูได้ยินนะไอ้ขุน " พี่สยามหรี่ตามองพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม " จะปีใหม่แล้วยังหื่นกามไม่หายเลยนะมึง "

" มึงมากกว่าไหมที่หื่นกาม กูเห็นนะว่าสมปองเดินขาถ่างออกมาจากห้องน่ะ " พี่ก้องบอกก่อนจะเบ้ปาก

" พูดอะไรเนี่ยะพี่ เพราะมึงเลยพี่สยาม " คนที่โดนพาดพิงถึงหันไปกระหน่ำตีพี่สยามรัวๆ

" อื้ออ.อ.อ....ดะก็ตบด้วยปากเลย "

นั่นนนนน....งานตบด้วยปากก็มา

" มึงนี่มันร้ายนะไอ้สยาม "

" ไม่ได้ครึ่งมึงหรอกไอ้ขุน " พี่สยามยิ้มหวานก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับพี่ขุนสองคน

น่าหมั่นไส้จริงๆ

ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ สายตาก็ไปสะดุดกับคู่ผัวเมียที่ยืนหยอกล้อกันอยู่หน้าเตาย่างบาร์บีคิว เนื้อที่ย่างอยู่นั่นหวานตายห่าแล้วมั้งนะ พอเห็นแบบนั้นผมก็เดินถือแก้วเหล้าก่อนจะไปยืนแทรกกลางมันสองคน ไอ้ขันมองผมงงๆ สงสัยสินะว่ากูมายืนทำไม

มายืนไม่ให้มึงสวีทกันไงโว้ยยยย

" นี่เหล้าของมึงหมี " ผมส่งเหล้าให้ไอ้หมีพลางยิ้มบางๆ

" มึงมายืนทำไรตรงนี้วะ "

" เสือก "

" พูดงี้นี่มึงอยากโดนปิ้งไปพร้อมกับเนื้อไหม "

ผมหันมองไอ้ขันก่อนจะแลบลิ้นใส่ " แบร่บๆๆๆๆๆๆ "

" ไอ้หนม!!!! "

" เดี๋ยวกูตัดเนื้อให้นะหนม " ไอ้หมีมันบอกก่อนจะคีบเนื้อที่สุกแล้วไปตัดใส่จานให้ผม " พี่ขันเอาด้วยไหม "

" ไม่ต้องให้มันแดก " ผมชิงพูดก่อน

" มึงไปไกลๆ เลยป่ะ " ไอ้ขันมันผลักผมให้ออกห่างไอ้หมี " ไปนั่งกับผัวมึงโน่น ไป้!!!! "

" อย่าเสียงดังสิพี่ขัน " ไอ้หมีมันปรามก่อนจะส่งจานเนื้อมาให้ผม

" อย่าดุกูต่อหน้าไอ้หนมได้ไหม เสียอำนาจหมด "

ผมยกยิ้มก่อนจะกระซิบข้างหูไอ้ขันเบาๆ " มึงหมดอำนาจไปนานแล้วไอ้.....ฟาย "

" ไอ้เชี่ยหนม!!!!! "

ฮ่าๆๆๆ

ขนมวินครับ



23.45 น.

หลังจากที่พวกเรานั่งสังสรรค์กันอย่างบันเทิงเริงใจแล้ว ก็เหลือเวลาอีกแค่ 15 นาทีก็จะเข้าปีใหม่แล้วครับ ตอนนี้ผมกับพี่ขุนนั่งเล่นไฟเย็นกันเงียบๆ อยู่สองคน คนอื่นก็เตรียมตัวนับถอยหลังเพื่อจะจุดพลุโอ่งกัน นี่เตรียมกล้องไว้ถ่ายรูปละ ผมว่ามันต้องสวยมากแน่ๆ

" หนมครับ "

" หืม...."

" มีอะไรจะบอกพี่ก่อนปีใหม่ไหมครับ "

ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหันมองพี่ขุน " ก็มีนะ "

" ไหนว่ามาซิ "

" ก็ขอบคุณที่พี่ขุนเข้ามาในชีวิตหนม มันเป็นเรื่องดีที่สุดในปีนี้เลยนะ "

" เขินจัง " เจ้าเอ่ยพลางตัวยิ้มหวาน " พี่ก็มีอะไรจะบอกหนมนะ "

" อะไรอ่ะ "

" พี่รักเรานะครับ " พี่ขุนบอกก่อนจะยื่นหน้ามาหอมแก้มผม " ปีต่อๆ ไปพี่ก็จะรักเราแบบนี้เหมือนกัน "

ตึกตัก

อา....ใจสั่นไปหมดแล้ว

ผมยิ้มหวานก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่ขุนคืน เจ้าตัวดูตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มหวานออกมาให้ผมเหมือนกัน โชคดีจริงๆ เลยที่มีผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตน่ะ ถึงแม้ว่าตลอดปีที่ผ่านมามันจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายเลยก็เถอะ แต่พี่ขุนก็เป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างและช่วยเหลือผมมาตลอด ผมไม่รู้นะว่าปีหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ว่าเราก็จะผ่านมันไปได้เหมือนกับปีนี้

จับมือผ่านมันไปด้วยกัน

" ใกล้ได้เวลาแล้วครับ " พี่ขุนยกนาฬิกาขึ้นดู " เหลืออีกนาทีเดียว " เจ้าตัวบอกก่อนจะจูงมือผมมาร่วมวงกับบรรดาชาวแก๊งค์

" เตรียมจุดพลุเลยมึง เหลืออีก 30 วิ " พี่ชาบอกก่อนจะเตรียมไฟแช็ก

พี่หอมเป่ามือตัวเองเบาๆ " แปปๆ ก็หมดปีแล้วเนอะ "

" นั่นสิ เหมือนเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเอง "

" แต่ปีนี้มันก็สอนอะไรเราหลายอย่างเลยนะ " ไอ้ขันมันยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเลื่อนไปกุมมือไอ้หมีไว้ " สอนให้เราได้รู้ด้วยว่าปีหน้าเราควรจะใช้ชีวิตยังไง "

ไอ้หมีมันหลุดยิ้มออกมา " ขอให้มันเป็นปีที่ดี "

" อีก 10 วิ " พี่สยามบอกก่อนจะเริ่มจุดพลุโอ่ง

" 9...." สมปองเริ่มนับ

สีเทียนส่งแก้วเหล้าให้ทุกๆ คน " 8...."

" 7...." แยมนับต่อ

" 6...." พี่เกียร์นับตาม " นับสิแกง "

" 5...."

ไอ้ปั้นนับต่อ " 4...."

" 3...." ตามด้วยไอ้เป้

" 2...." จบที่ไอ้ภีม

ผมหันมองหน้าพี่ขุน " 1 "

" สวัสดีปีใหม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! "

ฟู่วววววววววววว

ผมยืนมองพลุโอ่งที่พุ่งขึ้นสูงและสว่างไสวไปรอบๆ มือก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าบรูปบรรยากาศเหล่านี้เก็บไว้ ชอบฟีลนี้จริงๆ เลย มันเป็นโมเม้นท์ที่ดีเลยนะ อะไรดีดีก็ควรใส่ลงไปในนิยายถูกไหม เนื่องในโอกาสปีใหม่ ไรท์หนมขอสัญญาต่อหน้าพลุโอ่งพวกนี้เลยว่าจะตั้งใจแต่งนิยายต่อไปเรื่อยๆ จะหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ มาเขียนเพื่อให้เหล่ารี้ดที่รักได้อ่านอย่างแน่นอน

จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้พวกคุณมีความสุข

ไรท์หนมขอสัญญา

" ชนแก้วกันหน่อยเร็ว " พี่สยามชูแก้วขึ้นสูง

กึก

" ขอให้ตลอดทั้งปีนี้มีความสุขมากๆ " ไอ้ขันเริ่มอวยพรก่อน

" คิดอะไรก็ขอให้สมปรารถนา....สุขภาพร่างกายแข็งแรง " ไอ้ปั้นเอ่ยพลางยิ้มบางๆ

" ร่ำรวยเงินทองนะ " พี่สยามยิ้มหวานก่อนหันมองสมปอง " จะได้เอามาเปย์เมีย "

" ฮ่าๆๆๆๆๆๆ "

พี่ขุนยิ้มหวานให้ผม " ขอให้ได้อยู่เคาท์ดาวน์ด้วยกัน....ตลอดไป "

" ใช่...."

ตลอดไป....

สวัสดีปีใหม่นะครับ








-------- FIN. --------





สวัสดีปีใหม่นะคะเหล่ารี้ดที่รักของชาลทุกคน ขอบคุณที่ติดตามชาลมาตลอดในช่วงปี 2017 ในฐานะของนักเขียนมือใหม่ก็อยากบอกว่า จะพยายามพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณรี้ดทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนิยายของชาล ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ คำติชมหรือว่ากำลังใจที่มีให้กันมาตลอด ในปีหน้าชาลก็จะตั้งใจทำงานให้มากขึ้น จะพยายามทำทุกอย่างให้ดีไปพร้อมๆ กันไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องฝึกงาน หรือเรื่องนิยาย ปีหน้าเป็นปีของขันหมีค่ะ อดใจรอกันอีกหน่อย ชาลจะพยายามแต่งให้มันออกมาดีที่สุด จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังค่ะ

ขออวยพรตามที่หนุ่มๆ อวยพรเลยนะคะ และก็อยู่เคาท์ดาวน์ในปีต่อๆ ไปด้วยกันนะ ใครที่เดินทางไกลในช่วงปีใหม่ก็ขอให้เดินทางอย่างปลอดภัยนะคะ รักษาสุขภาพกันด้วย

สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ชาลรักรี้ดทุกคนน้าาาาา....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ Special Chapter : HNY ] : 31/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 01-01-2018 00:39:50
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ Special Chapter : HNY ] : 31/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-01-2018 23:19:46
 :L2: :L1: :pig4:

ขอบคุณ และสุขสันต์วันปีใหม่
ดีใจที่ลงเสมอ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ Special Chapter : HNY ] : 31/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-01-2018 03:58:22
ขันคู่กับหมี จะแต่งแยกออกไปชื่อเรื่อง I'm not Playboy  เราเข้าใจถูกไหม ถ้าเข้าใจถูก มีลงในเล้าฯ หรือยังเอ่ย อยากอ่านแล้วอ่ะ  :กอด1:

สุขี สุขี วันปีใหม่จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 30 : 3/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-01-2018 22:06:00
บทที่ 30 ความบังเอิญ​



ปิดเทอมแท้ๆ ยังมีงานคณะต้องจัดการอีก

เกิดเป็นแก๊งค์ท่านประธานนี่เหนื่อยจริงๆ เลยว่ะ

เฮ้อ

เหนื่อยแบบนี้ถ้าได้กอดแฟนมันคงจะดี

ผมนั่งเท้าคางฟังพี่กริมชี้แจงเรื่องงานกีฬาสี พวกปี 1 อย่างผมได้รับหน้าที่ทำแสตนด์เชียร์ครับ ทำแสตนด์นี่เหนื่อยนะ เพราะมันต้องทั้งซ้อม ทั้งทำฉาก ทำพล็อบ แล้วคอนเซ็ปที่พวกพี่ปี 3 เขาตั้งกันคือสัตว์โลกน่ารักอ่ะ อารมณ์เหมือนเพิ่งดูสารคดีสัตว์แล้วอยากตั้งก็ตั้งเลย

คิดให้มากกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้นะพี่ๆ

เรื่องการจัดการโน่นนี่ก็คงเป็นหน้าที่ของไอ้ปั้น คนคุมซ้อมก็คงจะเป็นพวกที่เหลือ ส่วนผมพี่กริมสั่งมาให้เป็นตากล้องเหมือนเดิม แต่ว่าเวลาที่ทำพล็อบทำฉากเดี๋ยวก็ต้องช่วยกันแหละนะ เรามีเวลาเตรียมทุกอย่างแค่เดือนกว่าๆ เอง เวลาโคตรน้อย ก่อนที่กีฬาสีจะมาผมก็ต้องแต่งนิยายให้เสร็จก่อนไม่งั้นจะไม่มีเวลาว่างเลย

" เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมเด็กๆ " พี่กริมถาม

" เข้าใจครับ " ไอ้ปั้นมันละจากสมุดจดขึ้นมา " แล้วเรื่องงบประมาณล่ะพี่กริม "

" ทางคณะมีเงินให้แสตนด์เชียร์ 2 หมื่น เบิกได้ที่ไอ้เตอร์เลย "

" แล้วต้องทำพวกเอกสารป้ะพี่ "

" ก็ต้องมีบิลอ่ะ ทางคณะจะเอา "

ไอ้หมีมันพยักหน้ารับ " แล้วถ้างบ 2 หมื่นมันไม่พออ่ะพี่ "

" มึงก็ไปขายไตสิ " พี่เตอร์บอกพลางยกยิ้ม " ไม่ก็ขายตัว มีอยู่ 2 ทางเลือก "

" พี่เตอร์!!!! ข่นเลว " ไอ้หมีมันบอกเสียงขุ่น

" อย่าเสียงดังว่ะหมี " ท่านประธานปรามมัน " เอาเป็นว่าทางแสตนด์จะใช้เงิน 2 หมื่นให้คุ้มที่สุดละกันนะครับพี่ "

" เออตามนั้น แล้วเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอีกก็คือ...."

ผมจดสิ่งที่พี่กริมพูดลงสมุดงาน กิจกรรมกีฬาสีเนี่ยะจะมีอย่างนึงที่น่าสนใจอยู่นั่นก็คือผู้นำเชียร์ หรือเรียกภาษาปากก็คือหลีดฯ นั่นแหละ มหาลัยผมเนี่ยะจะมีหลีดฯ แยกออกจากกันนะคือหลีดฯ ที่นำเชียร์เพื่อแข่งกันจริงๆ กับหลีดฯ ที่มีมาเพื่อเอ็นเตอร์เทรนหรือที่เรียกว่าหลีดฯ โจ๊ก นึกถึงคนที่ถนัดเรื่องพวกนี้มากที่สุดก็คงจะเป็นคนที่นั่งข้างๆ ผมนี่เลย

ไอ้หมีไง

ผมชูมือขึ้นสูง " พี่กริมครับ "

" หืม....ว่าไง "

" ลีดเดอร์ของหลีดฯ โจ๊กเนี่ยะ ผมขอเสนอไอ้หมีครับ "

คนโดนเสนอหันขวับมองผมทันที " มึงพูดห่าอะไรของมึงห้ะไอ้หนม " มันทำเสียงเหี้ยมพลางเขย่าแขนผมแรงๆ

" ไม่มีใครเหมาะไปมากกว่ามึงแล้ว "

พี่กริมพยักหน้ารับ " เรื่องนี้กูก็คิดเหมือนขนมนะ คิดกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ว่าลีดเดอร์ของหลีดฯ โจ๊กจะให้ไอ้หมีเป็น "

" โชคดีนะน้องหมี " พี่เตอร์ยิ้มหวานให้ ส่วนไอ้หมีนี่หน้าบึ้งเลย มันคงอาจจะสาปแช่งในโชคชะตาของตัวเองอยู่ก็ได้

" เอาหน่าหมี มึงทำได้อยู่แล้วแหละ " ไอ้ภีมมันบอกก่อนจะหาว " เดี๋ยวกูส่งเดือนมหาลัยไปเป็นหนึ่งในหลีดฯ โจ๊กของมึงเอง "

" ไอ้สัสภีม "

" เออดี เอาไอ้เป้อีกคน มึงจดไว้เลยนะปั้น " พี่กริมสั่ง

" มึงมันเลว " ไอ้เป้มันหยิบค้อนลมมากระหน่ำตีไอ้ภีม นี่มาประชุมมึงยังค้อนมึงมาอีกหรอ

โห่....ยอมใจ

ผมนั่งมองเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าอย่างเอือมๆ แม่งเป็นการประชุมที่วุ่นวายชิบหาย ดีนะที่ผมได้รับพวกหน้าที่ถ่ายรูปตลอด มันก็เลยไม่ต้องไปรับผิดชอบส่วนอื่นมากนัก เดี๋ยวต้องคอยดูหลีดฯ โจ๊กของปีนี้ ดูซิว่ามันจะเด็ดมากแค่ไหน ขึ้นชื่อว่านิเทศอ่ะ ทุกคณะก็ต้องรอดูกันอยู่แล้ว แถมปีนี้คนที่เป็นเดือนมหาลัยก็หนึ่งในหลีดฯ ด้วย

นึกแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้นะเนี่ย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สิ้นเสียงเคาะร่างสูงที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินของคณะก็เดินเข้ามาในห้อง มือเรียวยกขึ้นเสยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกหน้าตัวเองออก ดวงตาคมไล่มองทุกคนที่นั่งประชุมอยู่ ริมฝีปากบางเผยยิ้มออกมาน้อยๆ แม่งมีเสน่ห์ชิบ ยิ่งจมูกโด่งๆ ที่รับเข้ากันกับทุกอย่างบนหน้านั่นก็ยิ่งทำให้ดูดีขึ้นไปอีก ส่วนผิวนี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะว่ามันเนียนและขาวอย่างกับหยวกกล้วย

ใครเห็นก็เป็นต้องใจบาง

แต่เว้นผมไว้คนละกัน

" สวัสดีครับพี่ม่าน "

" สวัสดีเด็กๆ " พี่เขายิ้มหวานรับก่อนจะเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ " โทษทีที่มาช้า กูเพิ่งตื่น ว่าแต่พวกมึงคุยงานกันไปถึงไหนละ "

" ก็ถึงนี่แล้วอ่ะพี่ " ไอ้ปั้นส่งสมุดที่จดให้

มือเรียวเปิดไล่ดูงาน " อืม....ลายมือมึงอ่านยากมากเลยนะไอ้ปั้น "

" นี่ตั้งใจเขียนที่สุดแล้วนะ "

" เอาของมึงคืนไป " พี่ม่านส่งสมุดคืนให้ไอ้ปั้นก่อนจะมองผม " ไหนเอาของมึงมาให้กูดูซิ....เจ้าหลานรหัส "

" นี่ครับ "

" อืมมม....ของมึงก็พอกันกับไอ้ปั้นเลยว่ะ มึงเอาแฟ้มงานมาดิ้ไอ้กริมเดี๋ยวกูดูเอง " พี่ม่านบอกก่อนจะส่งสมุดผมคืนมาให้ เนี่ยะ ถ้าดูแฟ้มตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้วไหม

พี่ม่านแม่ง....

ผมหรี่ตามองลุงรหัสตัวเองอย่างหงุดหงิด พี่ม่านเป็นพี่รหัสของพี่กริมครับ พ่วงตำแหน่งประธานคณะกรรมการของปี 3 กับเดือนมหาลัยของรุ่นไอ้ขัน คือเป็นคนที่หล่อแต่เด๋อด๋ามาก หาตัวจับยากด้วย ตั้งแต่เปิดเทอม 1 มาก็เจอพี่เขาแค่ 3 ครั้งอ่ะ ผมเคยคิดด้วยนะว่าเขาลาออกไปรึเปล่าเลยไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นเลย

มนุษย์ล่องหนตัวจริง

วันนี้ที่โผล่มาพบปะน้องๆ ได้ก็เพราะว่าประชุมงานใหญ่นั่นแหละ ผมเคยคิดด้วยนะว่าจะเอาอิมเมจของพี่ม่านไปแต่งในนิยายสักเรื่อง แต่กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไปเป็นตำแหน่งอะไรดี พี่ม่านเขากึ่งๆ ว่ะ ตั้งให้เป็นพระเอกก็ได้ หรือเป็นนายเอกก็ได้ ถ้าเป็นฝ่ายรุกก็คงจะกร้าวใจอยู่ไม่น้อย ถ้าเป็นฝ่ายรับก็คงจะเย้ายวนน่าดู

หรือให้สลับดีวะ

อา....คิดอะไรของมึงเนี่ยะหนม

" ส่ายหัวทำไมวะหนม " ไอ้หมีกระซิบถาม

" เปล่า ไม่มีไร "

" ใครเป็นเฮดแสตนด์ " พี่ม่านถามก่อนจะไล่มองทางพวกผม " ได้ตั้งรึยัง "

" ยังเลยครับพี่ "

" งั้นกูตั้งให้ " ดวงตาคมมองพวกผมทีละคนอย่างพิจารณาก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงไอ้คนที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรออกมาสักคำตั้งแต่เริ่มประชุม

พี่กริมมองพี่ม่านกับไอ้เผือกสลับกัน " พี่ม่าน...."

" มึงเป็นแล้วกันไอ้เผือก " พี่ม่านยิ้มหวาน " หวังว่ามึงจะพาให้แสตนด์ของเราชนะ เหมือนกับที่ชนะติดกันมาหลายปีนะ....อย่าทำให้พวกกูผิดหวังเชียว "

เชี่ยยยย

ขนลุกไปอีก

" ครับ....ผมจะไม่ทำให้พวกพี่ผิดหวัง "

" ดี....ประชุมต่อได้เลย " พี่ม่านส่งแฟ้มคืนให้พี่กริมก่อนจะนั่งรอฟังเงียบๆ

บรรยากาศในห้องประชุมตอนแรกมันก็อึดอัดอยู่แล้วนะ พอพี่ม่านมาร่วมด้วยนี่แม่งอึดอัดหนักเข้าไปอีก อาจเพราะมันเป็นงานที่จะพลาดไม่ได้ล่ะมั้งเลยไม่มีใครกล้าพูดเล่นๆ ขนาดไอ้หมียังนั่งเงียบอ่ะคิดดู ชักอยากจะประชุมให้เสร็จไวไวแล้วแฮะ กะว่าจะไปนั่งชิวๆ กินโกโก้แบบสงบๆ ที่คาเฟ่หน้ามหาลัยรอพี่ขุนมารับ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะประชุมไปถึงไหนแล้ว

แต่หวังว่าคงไม่อึดอัดบรรยากาศตึงเครียดแบบของผมหรอกนะ

" เหม่ออะไรหนม จดสิ "

" ครับพี่ม่าน...."

ครับบบบ





หน้าตึกคณะนิเทศศาสตร์

ผมกับเพื่อนๆ นั่งหมดอาลัยตายอยากกันอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิม มันเป็นการประชุมที่ล้างสมองมากหลังจากที่พี่ม่านมา ใช้เวลาไปเกือบ 4 ชั่วโมงเลยนะกับการประชุมครั้งนี้อ่ะ ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายกว่าๆ พี่ขุนยังไม่ติดต่อมาเลย คงยังประชุมไม่เสร็จล่ะมั้ง เดี๋ยวผมต้องไลน์ไปบอกว่าจะไปรอที่คาเฟ่หน้ามหาลัย พอมันประชุมเสร็จผมก็คงกินโกโก้หมดพอดี

" มึงจะไปไหนกันต่อวะ "

" กูว่าจะกลับไปนอนอ่ะ " ไอ้ภีมมันบอกก่อนจะหาว

" กูก็คงกลับหอเหมือนกัน "

ไอ้หมีมันหันมองผม " แล้วมึงอ่ะหนม จะไปไหน "

" ว่าจะไปรอพี่ขุนที่คาเฟ่หน้ามอ มึงไปป้ะหมี "

" กูมีนัดดูหนังกับพี่กล้วยอ่ะดิ่ มึงไปกินให้อร่อยเถอะ "

" งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะมึง " ไอ้เป้มันบอกก่อนจะคล้องคอไอ้ภีม " มีไรไลน์คุยกันนะ "

" เออ แล้วเจอกัน " สิ้นเสียงของไอ้ปั้นแก๊งค์ท่านประธานก็แยกย้ายไปคนละทิศละทาง

ผมถือกระเป๋าเดินมาตามทางเรื่อยๆ พลางชมนกชมไม้ไปด้วย ชอบบรรยายกาศของมหาลัยที่ไม่ค่อยมีคนแบบนี้นะเพราะว่ามันสงบและก็ไม่วุ่นวาย อยากมีโมเม้นท์เดินคู่กับพี่ขุนสองคนใต้ต้นไม้ใหญ่พวกนี้เหมือนกันแฮะ มันคงจะให้ฟีลโรแมนติกแปลกๆ แต่ถ้าจะเดินก็ต้องเป็นวันที่แดดอ่อนๆ นะ

แดดแรงแบบนี้ก็ไม่ไหว

" เธอ "

ผมหันตามเสียงก็พบรถคันนึงจอดอยู่ใกล้ๆ " คุณลุง "

" บังเอิญจริงๆ ที่เจอเธอน่ะ " คนที่อยู่ในรถยิ้มบางๆ ให้ผม " แล้วนี่กำลังจะไปไหนล่ะ "

" ผมกะจะไปคาเฟ่หน้ามหาลัยน่ะครับ "

" งั้นดีเลย ฉันอยากดื่มกาแฟอยู่พอดี ถือโอกาสให้ฉันได้เลี้ยงขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตฉันไว้เถอะนะ "

" เอาแบบนั้นก็ได้ครับ "

" งั้นขึ้นรถสิ "

" ครับ " ผมยิ้มรับก่อนจะเดินขึ้นรถมานั่งเบาะข้างๆ คุณลุง รถคันนี้เป็นคนละคันกับที่ชนเสาไฟฟ้าเมื่อวันประกวดดาวเดือนนะครับ แต่จากสภาพรถคันเก่าก็คงไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละถ้าจะเอามาใช้น่ะ

" วันนั้นฉันตื่นมาก็ไม่เจอเธอ แอบเสียใจเหมือนกันที่ไม่ได้ขอบคุณอย่างจริงๆ จังๆ แต่ก็เข้าใจว่าเธอเองก็คงจะมีธุระต้องไปทำต่อ วันนี้ก็โชคดีจริงๆ ที่ได้มาเจอ แล้วนี่ไม่ใช่ช่วงปิดเทอมหรอ "

" ปิดเทอมครับ แต่ว่ามีประชุมกีฬาสีก็เลยต้องมา ว่าแต่คุณลุงมาทำอะไรที่นี่หรอครับ "

" ฉันมาตามดูลูกชายตัวเองน่ะ "

" ตามดูลูกชาย "

" ใช่ ฉันกับเค้าเพิ่งทะเลาะกัน " คุณลุงจอดรถที่หน้าคาเฟ่ก่อนจะปลดเบลท์ " คุยกันในร้านดีกว่านะ " เขาบอกก่อนจะเดินลงไป

ผมเดินลงจากรถตามคุณลุงมาเงียบๆ มีปัญหากับลูกชายมานี่เองสีหน้าถึงดูหม่นๆ เขาเดินไปสั่งกาแฟก่อนจะมาไปนั่งรอ ผมเองก็สั่งโกโก้แล้วไปนั่งตรงข้าม คุณลุงนั่งมองออกวิวนอกร้านเหมือนกับคิดอะไรสักอย่างอยู่ ความรู้สึกแบบนี้มันคล้ายๆ กับพี่ขุนที่นั่งเหม่อเลยนะ ผมว่าเรื่องที่คุณลุงทะเลาะกับลูกชายมามันคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

สีหน้าเศร้าสุดๆ ไปเลย

" คุณลุงหายดีแล้วใช่ไหมครับ "

" จากอุบัติเหตุน่ะหายดีแล้ว แต่ว่าช่วงนี้ฉันเครียดมากไปหน่อย ภรรยานี่ดุเลยล่ะ "

ผมหลุดยิ้มออกมา " ก็อย่าเครียดสิครับ ภรรยาคุณลุงจะได้ไม่ดุ "

" ฉันก็ไม่ได้อยากเครียดหรอกนะ แต่ว่ามันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ " เขาเอ่ยพลางถอนหายใจออกมา " ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อ "

" คุณลุงมีปัญหากับลูกชายเรื่องอะไรหรอครับ "

" เค้า....ไปมีแฟนเป็นผู้ชายน่ะ ฉันไม่โอเคกับเรื่องนี้เลย "

ไม่โอเคงั้นหรอ....

" เอ่อ....ทำไมล่ะครับ "

" ฉันเป็นนักธุรกิจ ในแวดวงสังคมฉันอดกังวลไม่ได้เลยว่าคู่ค้าของฉันจะมองครอบครัวของฉันยังไง ลูกชายฉันเค้าถามด้วยนะว่าแคร์คนอื่นมากกว่างั้นหรอ เพราะคำพูดนี้มันถึงทำให้ฉันคิดมากอยู่แบบนี้ "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ พนักงานก็เดินเอากาแฟกับโกโก้มาเสิร์ฟพอดี คุณลุงยกกาแฟขึ้นจิบพลางผ่อนลมหายใจออกมา เรื่องนี้ก็คงไม่ต่างจากพี่ขุนเลยสินะเพราะมันก็มีปัญหากับพ่อเรื่องนี้มา ผมควรจะพูดออกไปยังไงดี ทัศนคติของคนมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนยากมากเลยนะครับ ยิ่งคุณลุงไม่โอเคกับเรื่องของการรักคนในเพศเดียวกันแบบนี้ด้วย

อา....ยากชะมัด

" ผมไม่รู้เลยครับว่าจะพูดยังไงให้คุณลุงรู้สึกโอเคขึ้น "

" ฉันก็โอเคขึ้นอยู่นะที่ได้พูดออกไปให้เธอฟังน่ะ " เขายิ้มบางๆ ให้ผม " แล้วเธอมีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ "

" ความคิดเห็น...."

" ใช่....ฉันก็อยากรู้นะว่าฉันควรจะทำยังไงต่อ ฉันสั่งลูกชายไปด้วยว่าให้เค้าเลิกกับแฟนที่เป็นผู้ชายซะ แต่เค้าก็ไม่ยอม พอเป็นแบบนั้นฉันก็คิดนะว่าฉันควรทำใจยอมรับเรื่องพวกนี้ซะเพื่อความสุขของเค้า ตอนคิดมันก็อาจจะคิดได้นะ...."

" แต่ตอนทำมันคงไม่ง่ายใช่ไหมล่ะครับ " ผมยกโกโก้ขึ้นมาดูดเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ " ผมรู้ว่าเรื่องของทัศนคติมันเปลี่ยนกันได้ยาก แล้วเรื่องที่เป็นปัญหาเนี่ยะก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผมเข้าใจนะครับว่าสังคมในสมัยนี้ยอมรับเรื่องรักร่วมเพศในระดับนึง แต่ก็แน่นอนว่าจะต้องมีคนที่ยังยอมรับไม่ได้อยู่ "

" เธอมองว่ามันเป็นเรื่องที่รับได้ไหม "

ผมพยักหน้ารับทันที " ครับ ครอบครัวผมเปิดอิสระในเรื่องนี้ แม่ของผมท่านสอนว่าความรักคือความรัก เราควรมองที่ความรู้สึกของคนสองคนที่มีให้กันมากกว่า จริงอยู่ว่าในบางครั้งสังคมหรือคนรอบตัวอาจจะไม่เห็นด้วยกับความรักของเรา แต่ว่าคำพูดของคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขอยู่ดี เพราะงั้นเราโฟกัสแค่คนที่เรารักก็พอครับ "

" ครอบครัวเธอสอนลูกคล้ายๆ กับเพื่อนสนิทของฉันเลย เพื่อนฉันคนนี้เค้าพยายามกล่อมฉันหลายปีแล้วนะไอ้เรื่องนี้น่ะ แต่อย่างที่เธอบอกล่ะนะว่าทัศนคติคนเรามันเปลี่ยนยาก "

" ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาครับ ตัวผมเองก็มีแฟน....เป็นผู้ชายเหมือนกัน " คุณลุงชะงักไปทันทีที่ผมบอกแบบนั้น

ผมทำได้แค่ยิ้มบางๆ พลางหยิบโกโก้ขึ้นมาดูด คุณลุงคงตกใจไม่น้อยเลยที่ผมพูดแบบนั้นออกไป เขายกกาแฟขึ้นมาซดอึกใหญ่ก่อนจะนั่งมองผมนิ่งๆ ในหัวคงคิดอะไรเต็มไปหมดเลยมั้งผมว่า อยากรู้เหมือนกันนะว่าเขาจะคิดยังไง ยังอยากคุยและระบายปัญหาเรื่องลูกชายให้ผมฟังอีกไหม ถ้าแย่หน่อยนี่ก็อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างผมกับเขา และมันก็อาจจะจบไม่สวย

เหมือนการเดิมพันเลยนะเนี่ย

" เธอเองก็...."

" ครับ ตอนแรกผมไม่ได้เป็นคนที่สนใจในความรักหรอก แต่ว่ามันคงเป็นเพราะความบังเอิญจริงๆ ที่ทำให้ผมกับแฟนได้มาเจอกัน เค้าเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็คมากสำหรับผม มีความคล้ายคลึงพระเอกในนิยายที่ผมเขียนมากด้วย "

" เธอเขียนนิยายงั้นหรอ "

" ใช่ครับ แฟนของผมเนี่ยะกลายเป็นแรงบันดาลใจหลายๆ อย่าง วิธีการจีบของเค้า คำพูดของเค้า ผมใส่มันลงไปในนิยายของตัวเองทั้งหมด เราสองคนต่างเป็นผู้ชายแต่ว่าตลอดระยะเวลาที่เค้าตามจีบผมเกือบ 3 เดือน เค้าก็ให้เกียรติผม เสมอต้นเสมอปลายมาตลอด ความจริงมันมีเหตุบางอย่างที่ทำให้เราต้องคบกันเร็วไปหน่อย แต่พอตัดสินใจคบกันไปแล้วมันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดไม่ผิดจริงๆ "

คุณลุงพยักหน้ารับเบาๆ " ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าความสัมพันธ์ของผู้ชายกับผู้ชายมันจะมีแบบนี้ด้วย "

" มันน่าเหลือเชื่อใช่ไหมล่ะครับ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนี้ผมกับแฟนเองก็กำลังเจออุปสรรคที่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเหมือนกัน "

" มันเกิดอะไรขึ้น "

" ครอบครัวแฟนของผมเค้าก็ไม่โอเคกับเรื่องนี้ครับ แฟนผมเครียดมากแต่ก็พยายามแสดงออกมาว่าตัวเองไม่เป็นไร และจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เราสัญญากันไว้น่ะครับว่าถ้าเจออุปสรรคเราจะจับมือผ่านมันไปด้วยกัน ผมเองก็เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างมันจะดีขึ้น "

" พอฟังแบบนี้แล้วมันก็น่าคิดนะว่าแฟนของเธอก็คงรู้สึกแบบเดียวกับลูกชายของฉัน รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไปห้ามความรักของเค้า "

" ไม่หรอกครับ พ่อแม่ย่อมมีสิทธิ์ในชีวิตของลูกครึ่งนึงอยู่แล้ว ผมว่าคุณลุงลองเปิดใจแล้วคุยกับลูกชายอีกครั้งก็น่าจะดีนะครับ เลือกทางที่จะมีความสุขทั้งสองฝ่าย "

" นั่นสินะ ฉันควรทำแบบนั้น "

ครื้ดด.ด.ด...ครื้ดด.ด.ด....

" สักครู่นะครับ " ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดรับสาย " ฮัลโหลว่าไงครับ....หนมรอพี่อยู่ที่คาเฟ่หน้ามอ....โอเคครับรีบมานะ " ผมกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ พี่ขุนโทรมาครับบอกว่าประชุมเสร็จแล้วแถมยังบอกว่าคิดถึงผมมากด้วย

นี่ต้องเขินสินะ

" แฟนของเธอหรอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ "

" ใช่ครับ ที่จริงผมไม่ใช่คนที่ชอบยิ้มนะ แต่ตั้งแต่ที่มีความรักนั่นแหละถึงได้ยิ้มมากขึ้น เดี๋ยวแฟนผมเค้าจะมารับ อยากให้คุณลุงได้เจอเหมือนกันนะครับคนที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของผมน่ะ "

" เค้าเป็นยังไงกันนะ....แฟนของเธอน่ะ "

" เค้าเป็นคนดีครับ ถ้ามีโอกาสได้รู้จัก คุณลุงจะรู้เลยว่าเค้าดีจริงๆ "

" คำพูดเหมือนกับลูกชายของฉันไม่มีผิด "

เหมือนกับลูกชายงั้นหรอ.....บังเอิญจัง

ผมนั่งยิ้มบางๆ ให้คุณลุง สีหน้าและท่าทีดูโอเคขึ้นเยอะเลยครับ ผมว่าคุณลุงคงจะเปิดใจรับเรื่องนี้บ้างแล้วล่ะ เพราะเขาก็ยังคงคุยกับผมอย่างปกติทั้งๆ ที่รู้ว่าผมเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน ดีจัง หวังนะครับว่าการเล่าเรื่องของผมมันจะทำให้คุณลุงยอมรับเรื่องของลูกชายเขามากขึ้น

หวังแบบนั้นจริงๆ

กริ๊ง

ผมหันไปตามเสียงกระดิ่งก็พบร่างสูงที่สวมเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้มเดินยิ้มหวานเข้ามา " พี่ขุน "

" พี่มารับแล้ว....." พี่ขุนชะงักไปทันทีเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม "....พ่อ "

พ่อ

ผมหันกลับมามองคุณลุงทันที " คุณลุงเป็นพ่อของพี่ขุน "

" ขุนศึก " คุณลุงมองผมกับพี่ขุนสลับกัน " เธอ...."

" พ่อมาทำอะไรที่นี่ครับ "

" ไปคุยกับฉันข้างนอกหน่อย ส่วนเธอรออยู่ที่นี่แหละ " คุณลุงบอกก่อนจะเดินออกไปนอกร้าน

พี่ขุนมองตามเขาก่อนจะหันมามองผม มือเรียวจับตามเนื้อตัวเบาๆ " พ่อพี่ไม่ได้ทำอะไรหนมใช่ไหม "

" ไม่ครับ เราแค่นั่งคุยกันเฉยๆ "

" คุยกันเรื่องอะไร "

" เดี๋ยวหนมค่อยเล่าให้ฟังดีกว่า พี่รีบไปคุยกับพ่อเถอะ อย่าให้เค้ารอนาน "

" เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่มาละกัน " เจ้าตัวยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินออกไป จะไปมีปัญหากันหน้าร้านไหมน่ะ

หวั่นใจจริงๆ

ผมนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกโกโก้ขึ้นมาดูดจนหมดแก้ว เหลือเชื่อเลยนะที่คุณลุงเป็นพ่อของพี่ขุนน่ะ คุณลุงเองก็คงตกใจมากที่รู้ว่าผมเป็นแฟนของลูกชายตัวเอง ความบังเอิญนี้มันเหลือเกินจริงๆ ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะทำยังไงต่อ เขาจะยังอยากให้ผมกับพี่ขุนเลิกกันอีกไหม มันกังวลใจไปหมดเลยครับตอนนี้ ผมก็หวังอยู่ในใจลึกๆ นะว่าให้เขาเอ็นดูผมสักนิดจากสิ่งที่ผมได้พูดให้เขาฟัง

แต่ก็ได้แค่หวังจริงๆ นั่นแหละ


--------- 50% ---------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 30 : 3/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-01-2018 22:07:27
---------- ต่อจากบท 50% ----------




[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ผมเดินตามพ่อออกมาหน้าร้าน ดูจากท่าทางตกใจของพ่อเมื่อกี้ เขาต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าคนที่ตัวเองนั่งคุยด้วยเป็นแฟนผม เพราะถ้ารู้พ่อก็คงจะไม่ตกใจขนาดนั้นหรอก ผมไม่รู้ว่าพ่อมาที่มหาลัยทำไม จะว่าบังเอิญผ่านมาก็ไม่น่าใช่อีก ละที่สงสัยหนักเข้าไปใหญ่คือทำไมถึงไปนั่งกินกาแฟกับขนมได้ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้รู้จักน้องแท้ๆ

หรือรู้จักวะ

" พ่อครับ " ผมหยุดมองแผ่นหลังคนตรงหน้านิ่งๆ " มีอะไรจะคุยกับผมหรอครับ "

" ก่อนหน้านี้มันมีช่วงนึงที่แกยุ่งกับงานของมหาลัย ตอนนั้นฉันประสบอุบัติเหตุ มีรถมาตัดหน้ารถฉันจนเสียหลักพุ่งชนกับเสาไฟฟ้า ขาของฉันติดกับตัวรถ ตอนนั้นตัวห้องเครื่องมีควันออกมาเยอะมากและฉันหนีไม่ไหนไม่ได้ มันเป็นวินาทีที่ฉันคิดว่าตัวเองจะตาย แต่ก็นับว่าโชคดีที่มีรถคันนึงผ่านมา คนที่ลงมาจากรถคันนั้นพยายามช่วยฉันอย่างเต็มที่ทั้งๆ ที่เป็นการเสี่ยงอันตราย " พ่อเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันกลับมามองผม " คนที่ช่วยฉันเอาไว้....ก็คือเด็กคนนั้น "

" ขนม....ช่วยพ่อเอาไว้งั้นหรอครับ "

" ใช่ ถ้าเด็กคนนั้นไม่ผ่านมาเจอฉัน " เขาบอกก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา " ฉันอาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้ "

" ทำไม...ทำไมพ่อไม่บอกขุนเรื่องอุบัติเหตุล่ะ นี่มันเรื่องใหญ่นะครับ " ถ้าเกิดวันนั้นโชคไม่เข้าข้างให้น้องไปเจอพ่อ เหตุการณ์นั้นมันอาจจะเป็นฝันร้ายไปตลอดทั้งชีวิตผมเลยก็ได้

พ่อนี่จริงๆ เลย

" ฉันเห็นแกกำลังยุ่งกับหน้าที่ของแก อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก "

" ถึงพ่อจะพูดแบบนั้นก็เถอะ " ผมผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ " คราวหน้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นพอต้องบอกนะครับ "

" ฉันรู้แล้วน่ะ....แกคงอยากรู้สินะว่าฉันคุยอะไรกับเด็กนั่นบ้าง "

ผมพยักหน้ารับทันที " อยากครับ....ขุนอยากรู้ว่าพ่อคุยอะไรกับน้องบ้าง "

" ฉันเล่าเรื่องที่แกมีแฟนเป็นผู้ชายให้เขาฟัง เด็กนั่นก็พยายามที่จะพูดให้ฉันรู้สึกโอเคขึ้น มันทำให้ฉันคิดเปิดใจที่จะคุยกับแกอีกครั้งเรื่องนี้ เขาก็พูดออกมานะว่าตัวเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน และก็กำลังมีอุปสรรคอยู่แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวทุกอย่างก็คงผ่านไปได้ด้วยดี "

" น้องบอกแบบนั้นหรอครับ "

" ใช่....เขาเล่าเรื่องแกให้ฉันฟังด้วยนะว่าแกตามจีบเค้าเกือบ 3 เดือน เป็นคนที่เพอร์เฟ็ค เสมอต้นเสมอปลาย และก็บอกด้วยว่าเค้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ยอมเป็นแฟนกับแก "

ตึกตัก

ทำไมใจมันสั่นแบบนี้วะ

ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หัวใจมันเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ปากก็หุบยิ้มไม่ได้จริงๆ ทุกสิ่งที่พ่อพูดออกมามันทำให้ผมรู้สึกดีและก็รู้สึกรักเจ้าของคำพูดเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก น้องเองก็ทำให้ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกเขา สีหน้าของพ่อตอนที่เล่าเรื่องของน้องมันก็บ่งบอกว่าเขาคงชอบใจในตัวน้องอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้หรอก ทั้งหมดนี่มันดีจริงๆ เลยนะ

ต้องขอบคุณขนมแล้วล่ะครับ

" ขุนบอกพ่อแล้วไงครับว่าถ้าพ่อมีโอกาสได้รู้จักน้อง พ่อจะรักน้องแบบที่ขุนรัก "

" หึ....เด็กนั่นก็บอกฉันว่า ถ้ามีโอกาสได้รู้จักแก ก็จะรู้ว่าแกดีจริงๆ " เขาหัวเราะออกมาเบาๆ " คำพูดเหมือนกันไม่มีผิด "

" พ่อครับ....จนถึงตอนนี้พ่อคงได้รู้แล้วว่าทำไมผมถึงรักน้อง เพราะงั้นอนุญาติให้เราสองคนได้รักกันเถอะนะครับ " ผมเอ่ยอย่างจริงจัง ถึงขนาดนี้พ่อต้องยอมแล้วแหละ

ลูกสะใภ้น่ารักๆ แบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ

พ่อเลิกคิ้วมองผม " ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ "

" ถ้าเป็นแบบนั้นขุนกับน้องก็จะไม่ยอมแพ้หรอกครับ เราจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อยอมรับให้ได้ อาจจะใช้เวลาสักหน่อยแต่มันต้องมีวันนั้นแน่นอน "

" หึ....แกจำคำสอนของฉันได้สินะ ว่าถ้าเจอคนที่ตัวเองรักแล้วก็ให้ดูแลเค้าให้ดีที่สุด "

ผมพยักหน้ารับ " จำได้ครับ "

" งั้นแกก็ดูแลเค้าให้ดีที่สุดละกัน " พ่อยกมือขึ้นแตะไหล่ผม " ใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองเลือกเถอะขุนศึก "

" พ่อ...."

" ฉันขอโทษนะสำหรับทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา "

" พ่อไม่ต้องขอโทษขุนหรอก มันผ่านไปแล้วก็แค่ลืมมัน ขอบคุณนะครับที่ยอมรับความรักของเราสองคน "

" ฉันเชื่อในสิ่งที่แกพูดแล้วล่ะ....แฟนแกเป็นคนดีจริงๆ "

ผมฉีกยิ้มหวานออกมา " ใช่ไหมล่ะครับ "

" ยิ้มหวานน่าหมั่นไส้เชียวนะ " พ่อหยิบเงินก่อนจะส่งให้ผม " ฉันมีประชุมต่อเพราะงั้นคงต้องไปแล้วล่ะ ฝากจ่ายค่ากาแฟให้ด้วย "

" ได้ครับ "

" อีกเรื่อง....เย็นนี้ชวนน้องไปทานข้าวที่บ้านเราสิ แม่แกคงอยากจะเห็นหน้าเขาน่าดู แล้วก็ชวนขุนพลไปด้วยนะ ฉันมีเรื่องที่ต้องขอโทษพี่แกเยอะเลย "

" ได้เลย เจอกันตอนเย็นนะครับพ่อ " ผมบอกก่อนจะยิ้มหวาน

" เจอกันตอนเย็น " พ่อยิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะเดินไปขึ้นรถและค่อยๆ ขับออกไป

" เย่!!!!!!!!!!! " ผมชูแขนสุดมือก่อนจะแหกปากออกมาดังลั่น ใครจะมองยังไงช่างแม่งตอนนี้

พ่อยอมรับแล้วครับ

พ่อยอมรับแล้ววววววว!!!!!!

ทุกอย่างมันกำลังดีขึ้นแบบผมกับขนมหวัง แล้วมันก็เป็นโอกาสดีที่พ่อกับพี่พลจะได้กลับมาคุยกัน บ้านเราจะได้อบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง มันดีมากจริงๆ ตอนนี้อยากกอดขนมมากครับ อยากกอดน้องแน่นๆ แล้วบอกขอบคุณเขาซ้ำๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในร้าน คนตัวเล็กนั่งรออยู่ที่เดิม สีหน้าแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด พอน้องเห็นผมเดินเข้ามาเขาก็รีบเดินเข้ามาหาผมทันที

" เป็นไงบ้าง พ่อว่าอะไรไหม แล้วๆๆ ทะเลาะกันรึเปล่า "

ผมดึงขนมเข้ามากอดแน่น " ขอบคุณนะครับ "

" อื้ออ.อ.อ....ขอบคุณอะไรของพี่ "

" ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพ่อของพี่ไว้ ขอบคุณทุกๆ อย่างที่หนมพูด " ผมยกมือลูบหัวน้องเบาๆ " พ่อยอมรับเรื่องของเราสองคนแล้วนะครับ "

" จริงหรอ " น้องผละออกก่อนจะมองผมอย่างจริงจัง " พี่พูดจริงๆ นะ "

" จริงสิครับ พ่อบอกด้วยนะว่าให้ชวนเราไปทานข้าวที่บ้านวันนี้ "

คนตัวเล็กนิ่งไปก่อนจะยิ้มกว้างออกมา " พ่อพี่ยอมรับแล้ว "

" เพราะหนมนั่นแหละ " ผมยกมือขึ้นไปกุมแก้มน้อง " เพราะหนม "

" ทุกอย่างมันดีขึ้นจริงๆ ด้วย เห็นไหมหนมบอกพี่ขุนแล้ว "

" เห็นแล้วครับ....พี่เห็นแล้ว " ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะก้มลงไปจุ๊บปากขนมเบาๆ

" พะ...พี่ขุน ทำอะไรเนี่ยะ " น้องโวยวายพลางมองไปรอบร้าน แก้มขาวขึ้นสีแดงก่ำ มือเรียวก็ตีไหล่ผมแรงๆ " นี่มันข้างนอกนะ "

ผมยกยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้ " ถ้าเป็นที่ห้องก็คงทำได้ใช่ไหมครับ "

" พี่นี่แม่ง....จิ๊ " น้องจิ๊ปากใส่ผมก่อนจะเดินหนีไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์แล้วเดินออกไปจากร้าน

เขินได้น่ารักชะมัด

น่าฟัดอีกต่างหาก

ผมไปจ่ายเงินก่อนจะเดินตามออกมา ขนมยืนลูบแก้มตัวเองรอผมอยู่ คงเขินมากเลยสิท่า ก็นะ....โดนจุ๊บกลางร้านแบบนั้น ไม่เขินก็คงจะแปลก ผมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันคงจะเป็นที่พูดถึงอยู่ไม่น้อย น้องมาบ่นผมอีกแน่ๆ เลย แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าน้องบ่นมากๆ ผมก็จะใช้วิธีกำราบเดิมๆ เหมือนที่เคยใช้

จะจูบย้ำๆ จนปากเปื่อยเลย

คิดแล้วก็อยาก....


[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]


การทานข้าวครั้งแรกบ้านแฟนนี่มันก็ดีนะครับ

วุ่นวายดี

ผมนั่งมองวิวข้างทางยามกลางคืน ตอนนี้ผมกับพี่ขุนกำลังจะกลับไปที่หอครับ ก่อนหน้านี้เราไปทานข้าวที่บ้านพี่ขุนกันมา พี่พลเองก็ไปเหมือนกัน ผมรู้สึกดีเลยนะที่พ่อลูกได้กลับมาคุยกันน่ะ สีหน้าของพี่พลดูมีความสุขมาก คุณแม่ของพี่ขุนเองก็ดูมีความสุขที่ลูกชายทั้ง 3 คนอยู่กันพร้อมหน้า ผมคิดว่าครอบครัวนี้คงจะห่างโมเม้นท์นี้ไปนานพอสมควร

ดีแล้วที่ทุกอย่างมันกลับมาดีขึ้น

" อย่ายิ้มให้กระจกสิครับ " คนที่ขับรถอยู่เหลือบมองผม " รอยยิ้มนั้นมันของพี่นะ "

ผมหันมองเจ้าตัว " มันเป็นของหนมต่างหาก "

" หนมก็เป็นของพี่ "

" หนมไม่ใช่ของใครทั้งนั้นแหละ "

" อยากให้ทบทวนความจำให้ไหมครับ คาร์เซ็กซ์ก็น่าลองนะ "

" ทำไมพี่ถึงพูดเรื่องพวกนี้ได้หน้าตาเฉยห้ะ ไอ้คนลามกนี่ " ผมหยิกแขนพี่ขุนแรงๆ

" พี่ลามกแค่กับหนมนะครับ "

ผมหรี่ตามอง " ก็ลองลามกกับคนอื่นสิ " กูทุบตายนะบอกเลย

" ฮ่าๆๆๆๆ ตัวเองน่ารักขนาดนี้เค้าจะไปลามกกับคนอื่นได้ไง จริงไหมครับ " มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมก่อนจะยกขึ้นจุ๊บเบาๆ

" ไม่ต้องมาพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนั้นเลยนะ "

" ไม่ชอบหรอครับ "

ชอบสิวะ....ใครจะไม่ชอบบ้าง

ผมเลือกไม่ตอบก่อนจะหันมองวิวเหมือนเดิม พี่ขุนก็ยังคงกุมมือผมไว้แบบนั้น รู้สึกโล่งมากนะครับที่เรื่องวุ่นหลายๆ อย่างมันจบลงได้ด้วยดี อย่ามีอุปสรรคอะไรเข้ามาทำให้เราสองคนปวดหัวอีกเลยนะ ขอรักกันแบบสงบๆ บ้างเถอะ เดี๋ยวจะมีงานใหญ่อย่างกีฬาสีต้องทำด้วย ผมเองก็มีภารกิจเพื่อชาติอย่างการแต่งนิยายต้องรีบจัดการ

สู้ๆ นะไรท์ขนม

คณาณัฐจะเป็นกำลังใจให้

" หนมครับ "

" หืม "

" ไปทะเลกันไหม "

ผมหันมองคนถามทันที " อารมณ์ไหนชวนไปทะเล "

" ก็อยากไปพักผ่อนกับหนมสองคน อยากไปนั่งโง่ๆ มองพระอาทิตย์ขึ้นและตกด้วยกันเท่านั้นเอง อีกอย่างตั้งแต่ปิดเทอมมาเรายังไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันเลยนะครับ "

" นั่นสินะ เอางั้นก็ได้ " ผมยกมือพี่ขุนขึ้นมาแนบแก้มอย่างอ้อนๆ " หนมขอเอาโน้ตบุ๊คไปแต่งนิยายด้วยได้ไหม นิยายหนมมันใกล้จะจบแล้วอ่ะ "

" ได้สิครับ พี่ตามใจหนมตลอดอยู่แล้วหนิ "

" ดีมากเจ้าแฟน ตามใจไปตลอดนะ หนมชอบ " ผมจุ๊บมือพี่ขุนเบาๆ ก่อนจะยิ้มหวานให้

มือเรียวยกขึ้นดึงแก้มผม " แค่ชอบเองหรอ "

" อื้ออ.อ.อ.อ.อ...." ผมจับมือพี่มันมาก่อนจะประสานนิ้วเข้าไว้ด้วยกัน " รักก็ได้ครับ "

" พูดจาน่ารักแบบนี้นี่.....คาร์เซ็กซ์ไหมครับ "

 ไม่เคยจะว่างเว้นจากเรื่องพวกนี้เลยสินะ

" พี่นี่แม่ง!!!!!!!!!!!! "








TBC.

สวัสดีทุกคนค่ะชาลมาส่งขุนแล้ว นี่รีบปั่นมาก ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลย เดี๋ยวจะตามแก้ให้นะคะ

ก็ปลื้มปริ่มที่ทุกอย่างกำลังจะจบลงด้วยดีรวมถึงนิยายเรื่องนี้ด้วย อีก 5 บทก็จบแล้วนะคะและขันหมีก็จะมาต่อแทน ชาลขอสปอยล่วงหน้าไว้เลยว่า เรื่องของขันหมีเนี่ยะมันจะเป็นช่วงเทอม 2 ซึ่งมีกีฬาสี มันจะเป็นช่วงที่รวมหลากหลายอารมณ์ไว้มากๆ ทั้งหน่วงทั้งฮา ก็รออ่านกันได้

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเปนกำลังใจให้กันได้นะคะ ช่วงเดือนมกรานี้คือช่วงต้องปั่นโปรเจ็กต์ฝึกงาน มันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าชาลอาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะแต่งนิยายลงได้ตามตารางเป๊ะๆ มันอาจจะเคลื่อนได้ เพราะงั้นติดตามข่าวสารการอัปเดตนิยายได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 30 : 3/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2018 22:22:10
ชอบตอนนี้ อ่านแล้วรู้สึกดี

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 30 : 3/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-01-2018 22:58:12
พ่อเฮียยอมรับเรื่องของทั้งคู่ รวมทั้งพี่พลด้วย ยินดีด้วยจ้า  :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 30 : 3/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-01-2018 01:18:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 30 : 3/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 04-01-2018 17:42:41
ผมเพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากเรื่องนี้
อ่านตอนล่าสุดรู้สึกดีมากๆ พ่อพี่ขุนยอมรับซะที
นี่ถ้าพ่อพี่ขุนรู้ว่าขนมเป็นลูกเพื่อนสนิทตัวเองด้วยนี่คงดี
คนใกล้ตัวกันนี่เอง ฮ่าๆ

จะบอกว่าพี่ขันกับหมี เป็นเรื่องที่อยากรู้มาก
คนเขียนมีเรื่องแยกของสองคนนี้ไหม อยากดราม่ามากๆ ฮ่าๆ
ถ้ามีขออ่านด้วยนะครับ มันน่าสนใจมากๆ

แล้วอีกตัวละคร ที่ชื่อสิบสาม
คือโผล่มาแค่ชื่อ แล้วฟังจากขนมบรรยายคือน่าสนใจมาก
เป็นคนที่น่าค้นหา เงียบๆหน้านิ่งๆยิ่งกว่าขนมอีกหรอ 555+
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 31 : 10/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 10-01-2018 21:16:26
บทที่ 31 ช่วงเวลาแห่งความสุข




" อื้อออ.อ....อ...."

ใครมาจิ้มอะไรวะ " ผมพลิกตัวจะหนีแต่ก็ติดอ้อมแขนแกร่ง " อื้ออ.อ....พี่ขุน "

" ตื่นได้แล้ว " เสียงนุ่มกระซิบข้างหู

ผมลืมตามองพี่ขุนข้างนึง " หนมง่วง "

" ขี้เซา " นิ้วเรียวจิ้มแก้มผมเบาๆ

" อื้อออ...ใครจะไปเหมือนพี่ขุนล่ะ " ผมเลื่อนหน้าเข้าไปซุกซอกคอขาว

" พี่ทำไมหืม "

ผมผงกหัวขึ้นมามอง " กี่โมงแล้ว "

" จะ 6 โมงแล้วครับ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไหม " ดูพระอาทิตย์ขึ้นงั้นหรอ น่าสนใจเหมือนกันแฮะ

" เอางั้นก็ได้ " ผมลุกมานั่งมึนๆ " พี่ขุนไปล้างหน้าสิ "

" โอเค " เจ้าตัวรับคำก่อนจะลุกขึ้นมาจุ๊บปากผมทีนึงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

มาทำให้หน้าร้อนแต่เช้าเลยนะไอ้บ้า

ผมเอนตัวลงนอนที่เดิมก่อนจะดึงหมอนพี่ขุนมากอดไว้ ตอนนี้เรา 2 คนมาอยู่กันที่บ้านพักตากอากาศของป๊าผมเอง เมื่อวานหลังจากที่ตกลงกันว่าจะมาทะเล ผมก็เลยโทรไปบอกป๊า เขาบอกว่าให้มาพักที่นี่สิ เป็นส่วนตัวดีแถมไม่ต้องวิ่งวุ่นไปหาที่พักด้วย ที่บ้านของผมมีโรงแรมอยู่ในพัทยาด้วยนะแต่ว่าตอนนี้มันเต็ม เอาจริงๆ ก็ดีเหมือนกันที่ได้มาอยู่บ้านแบบนี้

ไม่วุ่นวายแถมไม่มีคนรบกวน

ผมจะอยู่ที่นี่สัก 3 วัน ว่าจะปั่นนิยายให้จบที่นี่เลยด้วย จะได้กลับไปลุยงานคณะฯ ได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องมีอะไรมากังวล มาทะเลนี่ไม่ได้บอกใครเลยนะครับ ไอ้หมีมันไลน์มาถามผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าผมอยู่ไหน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตอบมัน ใครโทรมาก็ไม่ได้รับเลยสักคน ถ้าพวกเพื่อนๆ รู้ว่าผมอยู่ทะเล มันต้องยกโขยงมากันแน่ๆ

เพราะงั้นเราจะไม่บอกใครเด็ดขาด

ขอใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขแบบสงบๆ เถอะ

ผ่านไปได้สักแปปนึง ร่างสูงก็เดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงปลายเตียง " นอนอีกแล้วนะ "

" ก็นอนรอไง "

" ไปล้างหน้าเร็ว เดี๋ยวพระอาทิตย์ก็ขึ้นก่อนหรอก "

" รู้แล้วน่า " ผมยกแขนขึ้น " ดึงหน่อย "

มือเรียวออกแรงดึงให้ผมลุกจากเตียง " ต้องให้พี่อุ้มไปห้องน้ำเลยไหม "

" ไม่ต้อง หนมเดินไปเองได้ " ผมบอกพี่ขุนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำมาเพื่อนจัดการธุระส่วนตัวของตัวเอง

เหมือนไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายวันเลย ก็นะ ผมกับพี่ขุนแยกกันอยู่ช่วงนึงเลยหนิ มันอาจจะดูไม่ได้นานมากนะครับสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนติดแฟนอย่างผมนี่แม่งโคตรนานอ่ะ

พี่ขุนเองก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน

" พี่เก็บเตียงแล้วนะครับ " พี่มันเดินมากอดจากด้านหลัง เดี๋ยวนะ กูล็อคประตูห้องน้ำหนิ มึงเข้ามาได้ยังไง

เอ๊ะ หรือไม่ได้ล็อค

" พี่เข้ามาได้ไงเนี่ยะ " ผมกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า

" ก็เดินเข้ามาเฉยๆ " พี่ขุนบอกก่อนจะจับให้ผมหันไปหา มือเรียวก็ยกผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้ " หน้าใสจัง น่ากัด " ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้มมางับแก้มผม

" อื้ออ.อ.อ....น้ำลายมันติดหน้าเนี่ยะ "

มันยกยิ้มก่อนจะเลื่อนหน้าลงมาใกล้ " อยากให้ติดปากด้วยไหมล่ะครับ "

" พะ...พูดอะไรของพี่ก็ไม่รู้ " ผมดันหน้าหล่อๆ นั่นออก " ไปกันได้แล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแล้วมั้ง " พอพูดจบผมก็ชิงวิ่งหนีออกมาจากห้องน้ำก่อนเลย ไม่ได้ครับ ถ้าผมยังอยู่ตรงนั้นพี่ขุนมันต้องแดกปากผมแน่นอน ดีไม่ดีแดกทั้งตัว

สายตาโคตรร้อนแรง

ผมหยิบกล้องถ่ายรูปก่อนจะเดินออกมาหน้าบ้าน พี่ขุนก็เดินตามมา ตอนนี้ก็ประมาณ 6 โมงละ พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้วครับ เห็นแสงสีทองอยู่พ้นขอบน้ำมานิดนึง ผมเซ็ตค่ากล้องก่อนจะยกขึ้นถ่ายภาพตรงหน้า เดี๋ยวจะเอาไปอวดพวกเพื่อนๆ ให้มันอิจฉาเล่น พี่ขุนเองก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน

มองจากด้านหลังนี่หล่อชิบ โอกาสดีแบบนี้ก็ต้อง...

แชะ

คนโดนแอบถ่ายหันมาคลี่ยิ้มให้ผม " แอบถ่ายพี่หรอครับ "

" ใช่ " ว่าแล้วผมก็ถ่ายรูปคนตรงหน้ารัวๆ " เสยผมแล้วยิ้มหวานๆ หน่อยสิ "

" นี่จะถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นหรือจะถ่ายพี่กันแน่หืม.... "

" ก็ถ่ายทั้งคู่นั่นแหละ "

" เรานี่น้า " พี่ขุนเสยผมก่อนจะยิ้มหวานให้กล้องตามที่ผมสั่ง

ตึกตัก

ผมกดชัตเตอร์เก็บโมเม้นท์นี้ไว้ด้วยใจที่สั่นระรัว กับอีแค่เสยผมแล้วยิ้มหวานเองป้ะวะหนม หัวใจไม่ต้องเต้นแรงขนาดนี้ก็ได้ไหม

" ตากล้องแก้มแดงจังเลยนะครับ "

" แก้มแดงอะไรกันเล่า " ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ " มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วมั้งเถอะ "

พี่ขุนเดินมาหยุดตรงหน้าก่อนจะยกมือบีบแก้มผม " น่ารักจังเลยน้า "

" ไม่ได้น่ารักซะหน่อย "

" ก็บอกแล้วไงว่าน่ารักในสายตาของพี่เสมอ " เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินอ้อมมายืนด้านหลังผม " ถ่ายรูปกันเถอะครับ " พี่ขุนบอกก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อถ่ายรูป

ผมยิ้มหวานให้กล้อง พี่ขุนเองยิ้มไม่ต่างกัน ฉากด้านหลังเป็นพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ ผมยืนฉีกยิ้มปล่อยให้มันถ่ายรูปจนพอใจ พี่ขุนนี่หล่อเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ละเป็นคนบ้าอะไรที่ถ่ายรูปช็อตไหนก็ดูดีไปหมด ไม่มีหลุดสักรูปเดียว ต่อให้มันกำลังวิ่งหรือกำลังนอน หรือทำห่าอะไรสักอย่าง รูปที่ถ่ายออกมาก็ดูดีเสมอ

อิจฉาตัวเองจังที่มีแฟนหล่อแบบนี้

คำพูดโคตรน่าหมั่นไส้เลยว่ะ

" อมยิ้มอะไรน่ะหืม "

" ก็....ไม่มีอะไร "

" บอกพี่มานะ " พี่ขุนโอบเอวผมเข้าไปใกล้ " ถ้าไม่บอกพี่จูบนะครับ "

ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง " ไม่ให้จูบ "

" ถ้าไม่ให้จูบก็บอกมาซะดีดี "

" ไม่เอา "

" ขนม " ดวงตาคมจ้องผมอย่างจับผิด " คิดว่าพี่จะจูบเราไม่ได้หรอ " พี่ขุนยกยิ้มก่อนจะก้มลงมาจูบแรงๆ ที่ซอกคอผม

" พี่ขุนทำอะไรเนี่ยะ " ผมเลื่อนมาจะดันพี่ขุนออก แต่เจ้าตัวก็ใช้จังหวะนั้นเลื่อนขึ้นมาจูบปากผมแทน ลิ้นร้อนสอดเข้ามาไล่วนไปรอบๆ ลิ้นผม อื้ม.มม.ม.....

เอาจนได้สินะไอ้บ้านี่

" อืมมม.ม...." เจ้าของริมฝีปากบางค่อยๆ ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มหวานให้ผม " เห็นไหมว่าพี่จูบเราได้ "

" พี่มันเจ้าเล่ห์ "

" คนเราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ....ถูกไหมครับ "

" ไม่ต้องมาพูดเลยนะ " ผมดันเจ้าตัวออกก่อนจะเดินหนีเข้ามาในบ้าน คือไม่ได้โกรธหรืองอนหรืออะไรนะครับ

ผมเขินเฉยๆ....ตามนั้นเลย

ตอนนี้ประมาณเกือบ 7 โมงแล้วครับ ผมว่าตลาดสดใกล้ๆ นี่คงจะมีของขายแล้วแหละ อยากกินกะเพรากุ้งกับไข่เจียวปลาหมึกอ่ะ เดี๋ยวให้พี่ขุนทำให้กินดีกว่า ผมเดินไปหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังค์มาส่งให้พี่ขุนที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน เจ้าตัวก็รับไปพลางทำหน้างงๆ ใส่ผม

งงอะไรของมึง

" ไปตลาดกัน หิวแล้ว "

" ไปหาอะไรกินหรือว่า...."

" ไปซื้อของสดมาทำกิน " ผมดันให้พี่ขุนออกมาที่จอดรถหน้าบ้าน " อยากกินกะเพรากุ้งกับไข่เจียวปลาหมึก "

" ได้เลยครับ " พี่ขุนรับคำก่อนจะเดินมาเปิดประตูรถไว้ให้

ผมปิดบ้านเสร็จก็เดินมาขึ้นรถแล้วคาดเบลท์ " ไปได้ "

" ได้ครับ....ขอมือหน่อยสิ "

" จะเอามือหนมไปทำไม "

" จะจับ "

" แล้วถ้าไม่ให้จับล่ะ "

คนนั่งข้างๆ เบะปากขึ้นเล็กน้อย " ต้องให้จับสิครับ พี่จะได้มีกำลังใจในการขับรถ "

" เลอะเทอะจริงๆ " ผมบ่นก่อนจะเลื่อนมือไปให้พี่ขุนจับไว้ ใบหน้าหล่อนี่ยิ้มออกเลยที่ได้มือผมไปจับ

มันจะอะไรขนาดนั้นวะ

ผมหันมองวิวข้างนอกกระจก ตลาดที่เราจะไปเนี่ยะต้องผ่านถนนที่เลียบทะเลครับ ผมชอบมากเลยอ่ะ ชายทะเลที่มีคลื่นลมอ่อนๆ นี่สวยจริงๆ เลยนะ แนวต้นสนพวกนี้ก็เหมือนกัน ตอนเช้าๆ มันไม่ค่อยมีรถและก็ไม่มีคนเท่าไหร่ บรรยากาศมันก็เลยสงบมาก พอเห็นแบบนั้นผมก็ลดกระจกลงปล่อยให้ลมมันพัดเข้ามาโกรกหน้าแทน

โมเม้นท์แบบนี้หาไม่ได้ที่กรุงเทพฯ นะครับ

" นั่นมันอะไรน่ะ " พี่ขุนบอกก่อนจะชะลอรถ

ผมชะเง้อคอมองตามทันที " อะไร....เกิดอะไรขึ้น "

" กลางถนนนั่นมัน "

" เต่าหนิ " ผมมองเต่า 2 ตัวที่อยู่กลางถนน " ลงไปดูมันดีกว่าพี่ขุน "

" ไปครับ " พี่ขุนรีบเดินลงมาจากรถ ผมเองก็เดินตามลงมาอย่างไว ทำไมถึงมีเต่ามาอยู่กลางถนนแบบนี้ได้นะ เดินหลงมาจากไหนกัน

ผมเดินเข้ามาใกล้เต่า 2 ตัวนั้นก็เห็นว่าที่ขาของพวกมันมีรอยแผล " มันบาดเจ็บ "

" เป็นรอยเหมือนอะไรกรีดเลย "

" ใครมันทำแบบนี้วะ " ผมลูบหัวเจ้าเต่าเบาๆ " เราจะทำยังไงกับพวกมันล่ะพี่ขุน เราทิ้งมันไว้ตรงนี้ไม่ได้นะ เลือดมันออกเต็มเลย "

" ก็คงต้องเอาไปส่งศูนย์อนุรักษ์ฯ น่ะ เต่าทะเลเป็นสัตว์อนุรักษ์ด้วยเราเอากลับไปเลี้ยงไม่ได้อยู่แล้ว "

" งั้นพี่อุ้มตัวโน่น เดี๋ยวหนมอุ้มตัวนี้เอง " ผมบอกก่อนจะยกเจ้าเต่าขึ้นมา เห็นตัวไม่ค่อยใหญ่แต่ก็หนักใช่เล่นเลยแฮะ ตอนอยู่ในทะเลนี่กินเยอะน่าดูเลยสินะ

พี่ขุนเดินมาเปิดประตูเบาะหลังให้ ผมหยิบผ้าห่มมาปูรองก่อนจะวางเจ้าเต่าไว้บนนั้น มันดูซึมมากเลยครับ ไม่ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ คงเพราะเจ็บแผลที่ขาแน่ๆ ตัวที่พี่ขุนอุ้มมานั่นจะใหญ่กว่าตัวของผมนิดหน่อย เจ้านั่นก็ไม่ขยับเหมือนกัน มีแค่ตาเท่านั้นที่กระพริบอยู่ เห็นแล้วน่าสงสารจัง บาดแผลแบบนี้ดูก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ต้องมีคนทำมันแน่ๆ มันน่าแปลกตั้งแต่มีเต่ามาวางอยู่กลางถนนละ ไม่รู้นะว่าคนทำเป็นใครแต่แม่งใจร้ายจริงๆ

หงุดหงิดเลยว่ะ

" หนมครับ พี่ว่ากะเพรากุ้งกับไข่เจียวปลาหมึกต้องเลื่อนไปเป็นมื้อต่อไปแล้วล่ะ " พี่ขุนบอกก่อนจะออกรถ

" ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยไปหาข้าวกินก็ได้ ตอนนี้รีบพาเจ้าพวกนี้ไปส่งศูนย์ฯ ก่อนดีกว่า พวกมันต้องเจ็บมากแน่ๆ เลย "

" รอยมันเหมือนรอยมีดกรีดเลย ปกติเต่าทะเลก็ไม่น่าจะมาอยู่กลางถนนบนชายฝั่งที่มีคนเยอะนะ ถ้าบอกว่ามันเดินขึ้นมาจากน้ำเองมันก็ไม่น่ามาอยู่กลางถนนรึเปล่า แถมยังบาดเจ็บด้วย ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่ตัวเดียว "

" มีคนขโมยมันมาจากที่ไหนรึเปล่า แถวนี้มันมีทะเลที่เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลใช่ไหมล่ะ "

" ก็อาจจะใช่ พี่ว่าหนมโทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ก็ดีนะว่าเราพบเต่าทะเลบาดเจ็บและกำลังจะเอาไปส่ง "

" โอเค " ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะเสิร์ชหาเบอร์ติดต่อของศูนย์ฯ " พี่ขุนเคยไปไหมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล "

" เคยไปครั้งนึงตอนมัธยม หนมล่ะเคยมาไหม "

" เคยมาเมื่อมัธยมเหมือนกัน.....อ่ะ ฮัลโหลครับ คือผมเจอเต่าทะเลสองตัวได้รับบาดเจ็บแล้วก็นอนอยู่กลางถนนน่ะครับ.....คณาณัฐครับ....ใช่ครับ "

ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ไปเรื่อย ตาก็เหลือบมองพี่ขุนเป็นระยะพลางมองเจ้าเต่าที่อยู่เบาะหลังด้วย ตาใสๆ นั่นมองผมใหญ่เลย อดทนไว้ก่อนนะเดี๋ยวจะพาไปรักษา แข็งแรงเมื่อไหร่จะได้กลับสู่ธรรมชาติ

ครอบครัวเต่าอาจจะคิดถึงพวกมันแล้วก็ได้

หลังจากที่คุยกับเจ้าหน้าที่เสร็จผมก็กดวางสาย เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ บอกว่าเต่าที่เราพบอาจจะเป็นเต่าที่ถูกลักลอบขโมยมาจากเกาะอนุรักษ์ใกล้ๆ นี่ เขาบอกว่าต้องเห็นบาดแผลก่อนถึงจะพอรู้ว่าใช่แก๊งค์ที่ลักลอบขโมยเต่าไหม ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับเต่าทะเลนะ เจ้า 2 ตัวที่เราเจอเนี่ยะคือเต่าตนุ ลักษณะเด่นของเต่าตนุก็คือสีของกระดองจะสวย สมัยก่อนมีการล่าเพื่อนำไปทำเครื่องประดับ ตอนนี้จำนวนพวกมันลดลงมาก

คิดแล้วโคตรน่าสงสาร

แต่เมื่อปี 2559 ได้มีประกาศจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องการห้ามจับสัตว์น้ำที่หายากหรือใกล้สูญพันธ์ทั้ง 13 ชนิด ซึ่งใน 13 ชนิดเนี่ยะก็มีสัตว์ตระกูลเต่าด้วยนะครับ ที่ผมรู้เรื่องนี้เพราะผมมีโอกาสได้ทำรายงานเกี่ยวกับสัตว์คุ้มครองทางทะเลสมัยที่อยู่มัธยม หลังจากที่มีประกาศแบบนี้ออกมามันก็ช่วยขึ้นได้ในระดับนึงนะ แต่ว่ามันก็ยังมีพวกที่ลักลอบขโมยเต่าอยู่ดี

คนพวกนี้ใจร้ายชะมัด

ผมเป็นคนที่ชอบเต่ามาก พอเห็นอะไรแบบนี้มันก็เลยหน่วงใจไปหมด เวลาเห็นข่าวเต่าทะเลที่ไปกินขยะแล้วมาเกยหาดนั่นอีก ผมสงสารมันอ่ะ มันว่ายน้ำอยู่ดีดีมันก็แค่หิว โชคร้ายจริงๆ ที่มันดันไปมองว่าเศษขยะเป็นของที่กินได้ บางทีขยะที่เราทิ้งตามชายหาดแล้วคลื่นทะเลมันซัดลงไป ขยะชิ้นนั้นต่อให้เป็นชิ้นเล็กๆ มันก็อาจจะทำลายชีวิตสัตว์ทะเลได้ 1 ชีวิตเลยนะ

ไม่รู้ว่าปีนึงต้องมีสัตว์ทะเลมาตายไปเพราะสาเหตุนี้สักกี่ตัว

เศร้าใจจัง

" เป็นห่วงพวกมันหรอครับ " พี่ขุนเหลือบมองผมก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผมไว้ " เดี๋ยวพวกมันก็ปลอดภัยนะ "

" มันตัวเกือบเท่าไอ้ 3 ตัวที่บ้านเลย "

" บางทีไอ้ 2 ตัวนี้อาจจะอายุเท่ากับไอ้พวกนั้นก็ได้นะ "

" อาจจะใช่ก็ได้นะ " ผมหันไปมองเจ้าเต่า 2 ตัว " เลือดเลอะเต็มผ้าห่มกับเบาะเต็มไปหมด "

" ไว้เดี๋ยวค่อยเอาไปล้าง หนมว่าพี่ซื้อผ้าคลุมเบาะรถดีไหม เผื่อมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกมันจะได้ไม่เลอะมาก "

" ดี เอาสีเหลืองนะ "

" ไว้เดี๋ยวไปเลือกด้วยกันเนอะ " พี่ขุนบอกก่อนจะเลี้ยวรถเข้าศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ สัตหีบ

อันนี้ชื่อยาวๆ นะครับ

ศูนย์อนุรักษ์ฯ แห่งนี้เริ่มดำเนินการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลมาตั้งแต่ปี 2493 แล้วครับ โดยหน้าที่การดูแลหลักของที่นี่คือการดูแลเต่าตั้งแต่อยู่ในไข่จนฟักออกมาเป็นตัว และก็ดูแลจนโตมากพอที่จะส่งพวกมันกลับสู่ทะเล นอกจากการดูแลเหล่านี้ ทางศูนย์อนุรักษ์ฯ ยังเป็นสถานที่วิจัยเกี่ยวกับเต่าทะเลรวมถึงเป็นสถานพยาบาลให้กับเต่าที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นโรคด้วยนะ

เจ้าหน้าที่เขาคงทำงานกันหนักมากเลย

ปกติเต่าทะเลพวกเนี้ยะจะขึ้นไปวางไข่ตามหาดของเกาะใกล้ๆ นี่แหละครับ แล้วเจ้าหน้าที่เขาก็จะออกสำรวจหาหลุมที่เต่าวางไข่แล้วไปเก็บมาฟัก ขั้นตอนมันค่อนข้างที่จะเป็นแบบแผนมากเลยแถมยังละเอียดอ่อนด้วย ที่ผมรู้คร่าวๆ นี่ก็เพราะตอนที่เสิร์ชหาเบอร์ของศูนย์ฯ มันมีพวกข้อมูลนี้เด้งขึ้นมาให้อ่าน มันก็เป็นความรู้ดีนะ อาจจะเอาไปใช้ได้ในอนาคต

" เดี๋ยวก็ได้หาคุณหมอแล้วนะ " ผมบอกเจ้าเต่าก่อนจะอุ้มมันลงมาจากรถ

" ทางนี้ครับหนม " พี่ขุนอุ้มเจ้าเต่าอีกตัวเดินนำผมเข้าไปด้านในจนถึงจุดประชาสัมพันธ์ ก็พบกับเจ้าหน้าที่ " พวกผมโทรมาแจ้งเรื่องเต่าที่ได้รับบาดเจ็บน่ะครับ "

" คุณคณาณัฐใช่ไหมคะ "

ผมพยักหน้ารับทันที " ใช่ครับ ผมเอง "

" เชิญทางนี้เลยค่ะ " คุณเจ้าหน้าที่คนสวยบอกก่อนจะเดินนำพวกเรามาจนถึงส่วนของโรงพยาบาลเต่าทะเล

ตอนนี้ประมาณ 8 โมงกว่าๆ แล้วครับ คนยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่แต่ผมว่าสักช่วงสายๆ น่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่มากพอสมควรเลยเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุด นักท่องเที่ยวที่มาชลบุรีก็น่าจะเลือกแวะมาเที่ยวที่นี่นะครับ เพราะว่าได้ทั้งความรู้ ได้เห็นเต่าน่ารักๆ แถมยังไม่เสียค่าเข้าชมเลยสักบาท

" คุณหมอคะ เคสของเต่าที่ได้รับบาดเจ็บมาถึงแล้วค่ะ "

" สักครู่นะครับ " คุณหมอสวมถุงมือก่อนจะลากรถเข็นเดินมาทางพวกผม " สวัสดีคุณ 2 คนนะครับ หมอชื่อเพียวนะ จะเป็นคนรับเคสนี้เอง " หมอบอกก่อนยิ้มหวาน

หมอเพียวนี่ใช้ได้เลยนะครับ รูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดาเลย เจ้าเต่าพวกนี้คงจะมีความสุขน่าดูที่มีหมอหล่อขนาดนี้คอยดูแล ผมว่าหมอที่รักษาพวกสัตว์ทะเลหรือว่าสัตว์ป่านี่เก่งนะ เพราะว่าสัตว์พวกนี้จะแสดงอาการออกมาต่างจากพวกสัตว์เลี้ยงอ่ะ แม่งต้องเป็นอะไรที่เฉพาะทางจริงๆ

" ยิ้มอะไรน่ะหืม " พี่ขุนกระซิบถามเบาๆ

" ยิ้มอะไรเล่า เปล่าสักหน่อย " ผมวางเจ้าเต่าลงบนรถเข็น " เอาวางสิ "

พี่ขุนวางเจ้าเต่าลงข้างๆ ก่อนจะหันมองหมอ " ที่ขามันเหมือนรอยมีดกรีดน่ะครับ "

" คงจะเป็นพวกนั้นจริงๆ " คุณหมอบอกก่อนจะดันรถเข็นเข้าห้องตรวจ " ช่วงนี้มีแก๊งค์ลักลอบขโมยไข่เต่าและก็ค้าเต่าน่ะครับ ถ้ามีเต่าตัวไหนที่ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการเนี่ยะ พวกมันก็จะกรีดขาของเต่าจนเป็นรอยแผลเหวอะแบบนี้แล้วก็ทิ้งไว้ที่ไหนสักที่ "

" ใจร้ายจริงๆ ไม่อยากได้มันก็แค่ปล่อยคืนทะเลไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย " คนพวกนี้มันน่าจับมาติดคุกซะให้เข็ด ไม่ต้องการพวกมันก็ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลยป้ะวะ

หึ้ยย.ย....หงุดหงิดชิบ

" หมายความนี่ไม่ใช่เคสแรกสินะครับ " พี่ขุนถามพลางมองหมอที่เริ่มหยิบยามาเพื่อจะทำแผลให้

" ใช่ครับ แต่ว่าส่วนมากที่เราได้รับแจ้งมาก็คือเต่าพวกนั้นจะตายแล้ว มีไม่กี่เคสที่มีชีวิตรอดมาส่งให้ทางเรารักษา "

" น่าสงสารพวกมันจริงๆ แล้วเราจะจับตัวไอ้คนทำได้ยังไงล่ะครับหมอ "

" ก็ตอนนี้พวกเจ้าหน้าที่รู้ตัวคนอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ทั้งหมดแล้วล่ะครับ อีกไม่กี่วันก็จะมีแผนจับกุม "

" จับให้ได้เลยนะครับ คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ " ผมเลื่อนมือไปแตะหัวเจ้าเต่าเบาๆ " เจ็บแย่เลยเนอะ อดทนไว้ก่อนนะเดี๋ยวก็หายแล้ว "

หมอเพียวเหลือบมองผมพลางอมยิ้ม " คุณคงชอบเต่ามากเลยนะครับ "

" ใช่ครับ " ผมรับคำทันที " แฟนผมก็เลี้ยงเต่าตั้ง 3 ตัวแน่ะ "

" เต่าบกหรือเต่าน้ำครับ "

" เต่าน้ำครับ แก้มแดงๆ " พี่ขุนบอกก่อนจะดึงผมให้ไปยืนข้างๆ " ขวางคุณหมอทำแผลเจ้าเต่านะ "

" นั่งรอก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว " พอได้ยินแบบนั้นผมกับพี่ขุนก็เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ใกล้ๆ

ผมนั่งมองหมอเพียวทำแผลให้เจ้า 2 ตัวนั้นไปเรื่อย พวกมันก็ยังคงนิ่งอยู่แต่ผมว่าอีกสักพักก็น่าจะดีขึ้น นี่โชคดีนะที่พวกผมเป็นคนไปเจอน่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่รู้ว่าเขาจะพาพวกมันมาส่งที่นี่ไหม ถ้าไม่มีคนสนใจใยดีมันต้องตายอยู่ตรงนั้นแน่ๆ ผมหวังว่ามัน 2 ตัวจะหายดีและก็ได้กลับสู่ทะเล

มันต้องมีความสุขมากแน่ๆ

" เสร็จแล้วครับ " หมอเพียวบอกก่อนจะทำความสะอาดอุปกรณ์

" แล้วหมอจะทำยังไงกับเจ้า 2 ตัวนี้ล่ะครับ "

" ก็จะส่งให้เจ้าหน้าที่ดูแลต่อน่ะครับ เราต้องรอจนกว่าแผลจะหาย และก็ต้องรอให้มันพร้อมมากพอที่จะกลับสู่ทะเล คุณ 2 คนไม่ต้องห่วงนะครับ ทางเราจะทำหน้าที่ตรงนี้อย่างเต็มที่ "

" ขอบคุณนะครับหมอ " ผมยิ้มบางๆ ให้ " ฝากพวกมันด้วยนะครับ "

" ได้เลยครับ ทางพวกเราก็ต้องขอบคุณพวกคุณที่พามันมาส่งนะครับ "

" ครับหมอ งั้นพวกผมต้องขอตัวแล้วนะครับ " ผมบอกก่อนจะเดินไปลูบหัวเจ้า 2 ตัวเบาๆ " ลาก่อนนะ หายไวไวแล้วกลับทะเลเร็วๆ นะรู้ไหม "

" พวกมันบอกว่า....ได้ครับผม "

ผมหันขวับมองพี่ขุนทันที " พี่รู้ได้ไง "

" อย่าลืมสิว่าพี่เลี้ยงเต่า " เจ้าตัวขยี้หัวผมเบาๆ " ไปกันดีกว่าหิวแล้ว....ไปละนะครับคุณหมอ สวัสดีครับ " สิ้นเสียงทั้งพี่ขุนก็ยกมือไหว้

" สวัสดีครับ " หมอรับไหว้ก่อนจะเข็นเจ้า 2 ตัวนั้นเดินไปไหนไม่รู้ครับ

โชคดีนะ

ผมโบกมือบ้ายบายจนหมอเดินลับตาไป พี่ขุนเลื่อนมาจับมือผมก่อนจะพาเดินออกไปจนถึงที่จอดรถ ยัดผมขึ้นรถเสร็จสรรพด้วยนะ สงสัยจะหิวมากมั้ง ถ้าไม่หิวมากก็อาจจะกำลังหึงมากอยู่ก็ได้ ผมดูออกนะครับว่าพี่ขุนไม่ค่อยชอบใจที่ผมยิ้มให้หมอเพียว แต่แหม่ นั่นหมอไหมวะ แล้วเขาก็รักษาเต่าด้วย จะให้ไปยืนทำหน้าบึ้งใส่เขามันก็ไม่ใช่ไหมล่ะ

" เป็นอะไรหืม " ผมยกมือขึ้นไปกุมแก้มพี่ขุน " หน้าบึ้งเชียวนะ "

" หึง "

นั่นไง

" หึงทำไม "

พี่ขุนทำหน้ามุ่ยใส่ผม " ก็หนมไปยิ้มให้หมออ่ะ พี่บอกแล้วไงว่ารอยยิ้มนั้นมันของพี่นะ " เจ้าตัวเอ่ยเสียงขุ่น

" ถึงหนมจะยิ้มให้หมอแต่หนมก็รักพี่แค่คนเดียวนะ " ผมบอกก่อนจะยิ้มแฉ่งให้

" มากอดก่อน "

" พี่ขุนนี่มันจริงๆ เลย " ผมเอี้ยวตัวไปให้พี่ขุนกอด มือก็ลูบเรือนผมสีเทานั่นเบาๆ " พอใจไหมครับ "

พี่ขุนหอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนจะผละออกไปแล้วยิ้มหวาน " พอใจแล้วครับ "

" ถ้าพอใจแล้วก็ไปหาอะไรกินกันเถอะ "

" ได้เลยครับ " พี่ขุนยิ้มรับก่อนจะออกรถ

มีความสุขจัง มันรู้สึกดีนะที่ได้มีโอกาสได้ช่วยชีวิตเจ้า 2 ตัวนั้น เรื่องนี้เดี๋ยวต้องเอาไปเล่าให้ป๊ากับแม่ฟังด้วยนะครับ พวกท่านต้องปลื้มปริ่มในตัวพวกเราแน่ๆ เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วผมก็มีหน้าที่ต้องกลับไปทำนั่นก็คือแต่งนิยายครับ เมื่อคืนตอนที่มาถึงผมก็นั่งปั่นจนจบบทไป เดี๋ยวก่อนจะเริ่มบทใหม่ผมต้องแต่งเรื่องสั้นก่อน คงใช้เวลาไม่ได้นานเท่าไหร่ อีกอย่างคือตอนนี้มีกำลังใจดีดีนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย รับรองว่าเสร็จไวแน่นอน

เชื่อมือไรท์หนมได้เลย


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 31 : 10/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 10-01-2018 21:19:16
---------- ต่อจากบท 31 ----------


ทะเลตอนเย็นๆ นี่อากาศดีนะ

จะดีกว่านี้ถ้ามีแฟนมานั่งอยู่ข้างๆ

ตอนนี้ประมาณ 5 โมงกว่าๆ แล้วครับ ผมนั่งแต่งนิยายอยู่ที่ชายหาด แบบนั่งกับพื้นแล้วมีโน้ตบุ๊ควางอยู่บนตัก นั่งอยู่ตรงนี้มาชั่วโมงกว่าละ ละนั่งท่าเดิมไม่มีขยับ ขอบอกเลยว่าตอนนี้เมื่อยมาก ที่ต้องมานั่งฝืนสังขารตัวเองแต่งริมทะเลแบบนี้ก็เพราะอยากได้ฟีลแบบเรื่องสั้นที่กำลังแต่ง

ผมแต่ง Distance อยู่ครับ

น่านน้ำกับผืนฟ้าไง

คือตอนแรกเรื่องนี้มันเป็นแค่บทหนังสั้นที่ผมเขียนแบบบทสนทนาคร่าวๆ ไว้ แต่ไม่รู้ว่านึกครึ้มยังไงถึงอยากจะแต่งให้มันออกมาเป็นนิยายแบบเรื่องสั้น ผมคิดว่าจะแต่งไม่กี่หน้าหรอก ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้เกิน 10 หน้า แต่ก็ไม่รู้จะทำได้ไหมนะ การแต่ง Distance เนี่ยะ ผมต้องปรับภาษาตัวเองพอสมควรเลย อยากแต่งออกมาให้ได้ฟีลของผืนน้ำจริงๆ หวังว่าเหล่ารี้ดของผมจะชอบใจในเรื่องสั้นนี้นะ

" หนมครับ "

ผมหันไปมองตามเสียงก็พบพี่ขุนที่เดินออกมาจากบ้าน " ว่าไงหืม "

" กับข้าวเสร็จหมดแล้วนะครับ "

" นิยายหนมอีกพักนึงก็เสร็จละ "

ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างผม " ไม่เมื่อยบ้างหรอ นั่งมาเป็นชั่วโมงละนะ "

" เมื่อยมาก แต่ทำไงได้มันไม่มีอะไรให้พิง " ถ้ามีอะไรให้พิงมันก็จะดีกว่านี้เยอะ

" งั้น...." เจ้าตัวยกยิ้มก่อนจะนั่งลงซ้อนด้านหลังผม " หนมพิงพี่ละกัน "

" พี่ก็เมื่อยน่ะสิ "

" อย่างน้อยหนมก็ไม่เมื่อย....จริงไหม " พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะใช้แขนตัวเองยันไว้ด้านหลังข้างนึง ส่วนอีกข้างนึงก็โอบเอวผม " อีกอย่างพี่น่ะแข็งแรงจะตาย แค่หนมนั่งพิงแค่นี้พี่ไม่สะเทือนหรอก "

" เอางั้นก็ได้ " ผมเอนตัวพิงอกแน่นๆ นั่นไว้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในข้อดีของการที่มีแฟนตัวใหญ่กว่าเหมือนกันนะ

มีที่พิงส่วนตัว

ผมเริ่มแต่งนิยายต่อพลางมองทะเลเบื้องหน้าไปด้วย ผ่านไปได้แปปนึงพี่ขุนก็เอาคางมาวางไว้บนไหล่ผม ตาก็มองจอโน้ตบุ๊คอยู่อย่างนั้น ที่ผมรู้นี่เพราะว่าผมเห็นเงาสะท้อนจากจอครับ มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรของมันก็ไม่รู้

" พี่ยิ้มอะไรอ่ะ "

" พี่นึกถึงวันที่เราถ่ายหนังสั้นด้วยกันไง หนมกำลังแต่งเรื่องนั้นใช่ไหม "

" ใช่ " ผมเหลือบมองพี่ขุน " แล้วทำไมนึกถึงแล้วยิ้มล่ะ "

" ก็มันมีเรื่องดีดีเกิดขึ้นระหว่างเราไง หนมกับพี่ได้เป็นแฟนกัน วันต่อมาเราก็พูดกันเพราะๆ และมันก็ยาวมาจนวันนี้เลยนะ "

" ให้เรียกไอ้ขุนเหมือนเดิมไหมล่ะ แล้วกลับไปใช้กูมึง "

พี่ขุนยกยิ้ม " มึงอยากใช้เหมือนเดิมไหมล่ะ "

" ยังไงก็ได้ กูตามใจมึง " ผมยักคิ้วให้มัน เนี่ยะ พอกลับไปพูดแล้วแม่งรู้สึกแปลกๆ จริงด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ใช้คำหยาบกันตลอด แต่มาตอนนี้ทำไมมันไม่ชินเลยวะ

" งั้นพี่ว่าเราพูดกันเพราะๆ น่ะดีแล้ว " พี่ขุนบอกก่อนจะกดจมูกกับแก้มผมหนักๆ " พี่อยากพูดจาหวานๆ กับแฟน พี่อยากจะเป็นผู้ชายอ่อนโยนในสายตาของแฟนพี่ อีกอย่างคือเค้าจะได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไงที่มีพี่เป็นแฟน "

ฉ่า

อยู่ดีดีก็แก้มร้อนขึ้นมาเฉยๆ เลยว่ะ

ผมอมยิ้มให้พี่ขุน " ตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจนจะเป็นบ้าละนะ "

" พี่จะทำให้หนมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไปตลอดทั้งชีวิตนั่นแหละครับ "

" ปากหวานจัง " ผมเอนหัวชนหัวพี่ขุนไว้ " ขอถามอะไรหน่อยสิ "

" ว่ามา...."

" ถ้าสมมุติว่าวันนึง....หนมกับพี่ขุนต้องห่างกันไป 5 ปีเหมือนที่น่านน้ำกับผืนฟ้าห่างกัน ระหว่างนั้นเราติดต่อกันไม่ได้เลย ทำได้แค่ฝังของกับจดหมายไว้ให้กันปีละครั้ง เป็นแบบนี้แล้วพี่ขุนจะยังรักหนมอยู่ไหม "

" ก็ต้องรักสิครับ "

" มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปใช่ไหม "

" ถ้าจะเปลี่ยนก็คงจะเป็นความคิดถึงที่มีเพิ่มมากขึ้น " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผมไว้แน่น " ความรักที่พี่มีให้หนมมันเป็นของจริงนะครับ ต่อให้เราต้องห่างกันไปแค่ไหนเราก็จะยังรักกันเหมือนเดิม เหมือนกับคำพูดที่ว่า...Distance doesn't count if there is love in between "

ระยะทางไม่มีความหมายสำหรับคนที่มีรัก

" นั่นสินะ " ผมยิ้มออกมาทันทีหลังจากที่ได้ยินพี่ขุนพูดแบบนั้น " หนมเอาประโยคนี้ใส่ลงไปในนิยายได้ไหม "

" เอาสิครับ พี่รออ่านนะ "

" ได้เลย " ผมรับคำก่อนจะเริ่มลงมือพิมพ์นิยายต่อ ใจมาเต็มร้อยแถมยังมีประโยคสวยๆ ให้ใส่ลงไปในนิยายด้วย

พี่ขุนนี่สุดยอดเลย มันเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของผมจริงๆ นั่นแหละ คำหวานๆ ที่เจอในนิยายเกินครึ่งนั่นก็มาจากมันทั้งนั้น ผมว่านะถ้าเหล่ารี้ดได้รู้จักพี่ขุน พวกเขาจะต้องหลงรักไอ้หล่อนี่หัวปักหัวปำแน่ๆ พอนานวันไปก็จะถอนตัวออกจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้....เหมือนกับที่ผมเป็นอยู่

หึ....

บ้าจริงๆ เลย











TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งขุนหนมแล้ว นี่รีบปั่นมากยังไม่ได้แก้คำผิดเลย เดี๋ยวจะมาตามแก้ให้นะคะ
บทนี้จะมีการกล่าวถึงศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลด้วยนะ มีข้อมูลจริงหลายอย่างที่ชาลนำมาใช้ในการประกอบการเขียนในบทนี้ ถ้ามันมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ชาลเคยไปที่ศูนย์นี้เมื่อตอนม. 3 เวลาจากตอนนั้นมันค่อนข้างนานเลยทำให้จำบรรยากาศจริงๆ ไม่ค่อยได้ หากใครมีข้อเสนอแนะหรือข้อมูลเพิ่มเติมของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลสามารถบอกชาลได้เลยนะ นะนำมารีไรท์เพื่อให้มันออกมาเรียลที่สุด
ชาลกำหนดช่วงรีไรท์นิยายเรื่องนี้แล้วนะคะ มันจะเป็นช่วงประมาณต้นเดือนหน้าหลังจากที่ชาลฝึกงานเสร็จ จะแก้พวกคำซ้ำ คำผิด ตั้งใจว่าจะให้เสร็จก่อนวันที่ 10 กุมภาฯ ก็ถ้ารีไรท์เสร็จแล้วใครอยากย้อนอ่านใหม่ก็ได้นะคะ ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกเปลี่ยนไปไหม
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสารการอัปเดต + สปอยได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า


*อ้างอิงของประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

- http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/098/28.PDF (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/098/28.PDF)

*อ้างอิงข้อมูลของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล

- http://www.turtles.navy.mi.th/ (http://www.turtles.navy.mi.th/)

หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 31 : 10/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-01-2018 23:24:34
 :L2: :pig4:

ช่วงเวลาหวานๆ อื้มมม อิจเจ้าหนม
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 31 : 10/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-01-2018 01:34:52
มาแอบหวานแล้ว ยังได้ทำบุญช่วยน้องเต่า ๆ ด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 32 : 17/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 17-01-2018 22:04:55
เมื่อแฟนช่วยแต่งนิยาย




ชีวิตของไรท์หนมกำลังเผชิญอุปสรรคใหญ่

อุปสรรคใหญ่ที่เรียกว่า Nc

อา....ปวดประสาทชะมัด

ผมนั่งกุมขมับอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค ตอนนี้ประมาณเที่ยงกว่าๆ และผมกำลังแต่ง Nc อยู่ครับ เนี่ยะ เหลือแค่ Nc กับบทส่งท้าย นิยายที่พากเพียรเขียนมาครึ่งปีก็จะจบแล้ว แต่เหมือนผมจะประสบปัญหาใหญ่นั่นก็คือไม่รู้ว่าจะบรรยายยังไงดีเพื่อให้คนอ่านเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ นี่พิมพ์แล้วลบหลายรอบมาก นั่งแต่งมาตั้งแต่เช้าแม่งยังไม่ถึง 1 หน้าเลยเนี่ยะ

ปวดจิตปวดใจสุดๆ

ยังไงการแต่ง Nc มันก็ยังยากสำหรับผมอยู่ดีนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะเคยมีประสบการณ์โดนแง่มมาแล้วครั้งนึงก็เถอะ ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้นะ มันเจ็บแต่มันก็ทำให้รู้สึกดีด้วย เสียวด้วย คือโคตรมีความสุข ผมจะบรรยายสิ่งเหล่านั้นออกมายังไงดีวะ ต้องโดนแง่มอีกรอบหรอถึงจะรู้ว่าควรจะเขียนยังไง

เก็บไว้เป็นตัวเลือกสุดท้ายละกัน

ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ นี่พี่ขุนคงจะชอบใจไม่น้อยเลยล่ะ จะว่าไปนี่ก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้วนะครับที่เราไม่ได้มีอะไรกัน เต็มที่ก็แค่จูบ ช่วงที่ผ่านมาชีวิตเราเจอแต่เรื่องกันด้วยแหละ ก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย แต่ดูจากสภาพพี่ขุนแล้วมันก็ยังทนได้อยู่ เพราะถ้าทนไม่ไหวคงมีมางอแงใส่ผมละ

" หนมค้าบบบบบบ "

ตายยากจริงๆ

" ว่าไงครับ " ผมหันมองร่างสูงที่เดินออกมาครัว " ล้างจานเสร็จแล้วหรอ "

" ล้างเสร็จแล้วครับ " เจ้าตัวบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ

ผมเอนหัวพิงไว้กับไหล่พี่ขุน " ประสาทจะแดกแล้ว "

" เป็นอะไรไหนบอกพี่ซิ "

" ก็นิยายอ่ะ หนมไม่รู้ว่าจะบรรยายยังไงดี "

" ก็บรรยายแบบทุกทีไง ทำไมอ่ะ บทนี้มันยากหรอ " เจ้าตัวถามพลางมองหน้าจอโน้ตบุ๊ค " บท Nc มันคืออะไรอ่ะ "

" ก็เป็นบทที่มีฉากแง่มกันไง "

พี่ขุนพยักหน้ารับก่อนจะหลุดขำออกมา " พี่เข้าใจแล้วว่าทำไมหนมถึงบอกว่ายาก "

" ใช่ไหมล่ะ "

" แต่ว่า....หนมก็เคยแล้วหนิ เอาความรู้สึกตอนนั้นมาเขียนสิ " เจ้าตัวบอกก่อนจะเลื่อนมือมาโอบเอวผมแล้วลูบเบาๆ " หรือว่าลืมไปแล้ว....ให้พี่ทวนความจำให้ได้นะครับ "

ผมจับมือเรียวที่กำลังจะเลื้อยเข้าเสื้อไว้ " อื้อออ..อ...ยังจำได้อยู่มั้งเถอะ หนมก็แค่คิดไม่ออกว่าจะอธิบายออกมายังไง มันยากว่ะ " ไม่ได้ยากธรรมดานะ

ยากชิบหายยย

ผมเอาหัวพิงไหล่พี่ขุนอยู่อย่างนั้น คือคิดออกนะว่าฉากนี้ควรจะใช้คำแบบไหน ผมคิดออกหลายฉากอยู่ แต่ว่าจะทำยังไงให้เอาฉากเหล่านั้นมาเชื่อมกันได้นี่สิ นับถือคนที่เขาแต่ง Nc เก่งจริงๆ เลยนะ ต้องจินตนาการสูงขั้นไหนถึงจะอธิบายออกมาเป็นฉากๆ ได้วะ

เฮ้อ....

" อย่าคิดมากสิครับ " พี่ขุนยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ หลังจากที่ได้ยินเสียงถอนหายใจ " พักก่อนดีไหม คิดออกแล้วค่อยมาเขียนก็ได้ "

ผมส่ายหน้าเบาๆ " ที่นั่งมาเกือบครึ่งวันนี่ก็เหมือนพักแล้วอ่ะ หนมอยากแต่งให้เสร็จเร็วๆ รี้ดเค้ารออ่านกันอยู่ อีกอย่างคือเค้ารอตอนนี้กันมานานมากเลยนะ หนมอยากจะพยายามให้มากๆ เพื่อพวกเค้า ถึงแม้ตอนนี้จะยังคิดไม่ออกก็เถอะ "

" เดี๋ยวพี่ช่วยเอง "

" พี่ขุนจะช่วยหนมยังไง "

" ก็ทำให้หนมเห็นภาพไง " พี่ขุนบอกก่อนจะเชยคางผมขึ้น " แบบนี้เรียกว่าอะไร "

" ก็....เชยคาง "

" เนี่ยะ เชยคางแล้วก็จูบไง พี่ว่ามันเป็นอะไรที่ดูนุ่มนวลที่สุดแล้วนะสำหรับการเริ่มจูบ " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะกดจูบลงมาเบาๆ แล้วค่อยๆ ละออกไป " แถมทำให้คนโดนจูบเนี่ยะ....แก้มแดงขึ้นง่ายๆ ด้วย "

ฉ่า

พี่นี่มัน....

" หลอกจูบหนมหรอ " ผมตีไหล่พี่ขุนแรงๆ

" เปล่าหลอกนะ พี่กำลังช่วยหนมอยู่ต่างหาก พิมพ์ลงไปสิครับ ว่าเริ่มจูบประมาณนี้ " มันบอกด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุขสุดๆ เห็นละน่าหมั่นไส้ชิบ ยังไงเมื่อกี้แม่งก็คือการหลอกแดกปากชัดๆ

ร้ายกาจชะมัด

ผมเรียบเรียงไอ้ฉากเชยคางเมื่อกี้ก่อนจะเริ่มพิมพ์ลงไป " อ่ะ เสร็จละ "

" ก็พอเริ่มจูบลองเชิงใช่ไหม มันก็ต้องจูบหนักๆ ตาม "

" จูบหนักๆ " ผมเอียงคอมองคนข้างๆ " ที่ทำให้ปากเจ่อป้ะ " พอผมถามออกไปแบบนั้นพี่ขุนมันก็หัวเราะลั่นออกมาทันที

หัวเราะอะไรของมึงวะ

" เรานี่นะ "

" หนมพูดผิดตรงไหน ก็มันทำให้ปากเจ่อจริงๆ อ่ะ บางทีปากแม่งแตกเลย ไม่รู้ว่าจะขบแรงไปไหน "

" ก็ปากหนมมันน่าขบ " คนพูดไม่พูดเปล่านะ มีการยกนิ้วขึ้นมาไล้ริมฝีปากผมเบาๆ ด้วย

ผมมองพี่ขุนตาปริบๆ ก่อนจะหันไปโฟกัสที่จอคอมแทน ไม่ได้ครับ เราอย่าไปหลงในสายตาและการสัมผัสมัน ไม่งั้นเราอาจจะโดนแดกได้ แล้ว Nc ที่แต่งอยู่มันก็จะไม่เสร็จ เมื่อกี้ถึงจูบหนักๆ สินะ จูบนี้คือใช้ลิ้นแน่ๆ เลย ผมยังจำที่พี่ขุนสอนให้จูบได้เลยนะ ไอ้การขยับลิ้นให้วนเป็นเลขแปดน่ะ พอนึกถึงวันนั้นแล้วเขินเหมือนกันว่ะ

แก้มร้อนขึ้นมาเฉยๆ เลย

" แก้มแดงเชียวนะ "

" ก็มันร้อน "

" แอร์ 23 องศาจะมาร้อนอะไรครับ " มันบอกก่อนจะไล่อ่านสิ่งที่ผมพิมพ์ " ใช้คำว่าสอดลิ้นดีไหม "

" สอดลิ้น "

" อืม ก็ตอนที่พี่จูบหนมอ่ะ พี่ก็ต้องสอดลิ้นเข้าไปนัวเนียกับลิ้น...." ยังไม่ทันที่พี่ขุนจะพูดจบ ผมก็ยกมือปิดปากมันไว้ก่อน

ใจเย็นนะที่รัก

ไม่ต้องพูดออกมาหมดก็ได้

" รู้แล้วครับ " ผมค่อยๆ ลดมือลงมาก่อนจะพิมพ์นิยายต่อ พี่ขุนนี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย ชอบใจล่ะสิที่ทำให้ผมมีอาการแบบนี้ได้น่ะ

" จังหวะที่กำลังจูบนี่ก็ต้องล้วงมือเข้าไปลูบด้วยนะ อีกฝ่ายจะได้มีอารมณ์ร่วมไง " มือเรียวล้วงเข้ามาในเสื้อผมก่อนจะลูบขึ้นเบาๆ " โดยเฉพาะตรงนี้จะรู้สึกดีเป็นพิเศษ " ว่าแล้วมันก็เลื่อนมือผ่านยอดอกผม

" พี่ขุน!!!! "

คนเจ้าเล่ห์ใช้มือข้างนึงรวบมือผมที่กำลังจะผลักมันออกไว้ก่อนจะกระซิบข้างหูเบาๆ " ลูบวนเบาๆ แบบนี้แล้วค่อยๆ ลงน้ำหนักไปเรื่อยๆ " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะใช้ปลายนิ้วลูบวนยอดอกผม

" อื้อออ.ออ...อย่า "

" แต่ว่าถ้าใช้ลิ้นก็จะดีกว่านี้เยอะนะครับ "

" พี่ขุนนนน " นี่มึงจะช่วยกูหรือจะแกล้ง หรือจะแดกกูกันแน่ถึงได้ทำแบบนี้น่ะ ยอดอกมันแข็งไปหมดแล้วนะโว้ยยยยย

" ฮ่าๆๆๆ น่ารักจัง " มันฝังจมูกลงกับแก้มผมก่อนจะหอมหนักๆ " เนี่ยะ เรียบเรียงที่พี่พูดแล้วก็ใส่ลงไป " มือเรียวที่รวบมือผมไว้ก็ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ

ผมทำหน้าบึ้งใส่พี่ขุนทันที " พี่มันร้ายกาจที่สุดเลย "

" พี่ยังไม่ทันทำอะไรอะไรเลย " ไม่ทำห่าอะไรล่ะ มึงทำเยอะเลยนะตะกี้ กูนี่วูบวาบไปหมดแล้วเนี่ยะ

มันน่าทุบนัก

ผมหันมาเริ่มพิมพ์นิยายต่อ สติกระเจิงเลยนะเมื่อกี้น่ะ คือสิ่งที่พี่ขุนทำมันก็ช่วยให้นึกออกจริงๆ นั่นแหละ แต่แบบแค่พูดก็พอไหม ไม่ต้องลงมือทำจริงก็ได้ นี่ถ้าถึงตอนจะเสียบผมก็ต้องโดนมันเสียบไปด้วยงั้นสิ โอ่ย ทำไมชีวิตคณาณัฐถึงได้น่าสงสารขนาดนี้วะ แค่จะแต่งนิยายยังต้องเสี่ยงที่จะเสียตัวด้วยหรอ

อื้ออ.อ.อ....งอแงแล้วนะ

พอๆ ตั้งสตินะหนมนะ งอแงไปก็ไม่ช่วยให้นิยายเสร็จเร็วขึ้นเลย ผมรัวนิ้วไปเรื่อยๆ สมองก็คิดตามไป ถ้ามันแปร่งยังไงเดี๋ยวค่อยมานั่งรีไรท์ก่อนลงอีกทีนึง ตอนนี้กำลังบรรยายฉากระหว่างจูบครับ ไอ้ที่พี่ขุนมันล้วงเสื้อมาลูบอกผมนั่นแหละ จังหวะนี้นี่คงต้องเริ่มถอดเสื้อผ้ากันสินะ โอเคถอดเสื้อแล้วก็ลูบๆ แล้วมันต้องอะไรอีกวะ

" ไซร้คอด้วยสิ ไล่จูบตามซอกคอน่ะ " คนนั่งข้างๆ เอ่ยก่อนจะไล่จูบเบาๆ ที่ซอกคอผม

" พี่ขุน " ผมดันหัวมันไว้ " ไม่ต้องทำก็ได้ หนมนึกออกน่ะว่ามันจะต้องเป็นยังไงต่อ "

" นึกไม่ออกก็บอกนะครับ จะได้ทำให้ดู "

" พี่นี่จะทำให้นิยายของหนมเสร็จเร็วขึ้นหรือช้าลงกันแน่เนี่ยะ "

" เสร็จเร็วขึ้นสิครับ ไล่จูบมาจนถึงหน้าอกครับ มือก็ถอดกางเกงได้ละ "

ผมพยักหน้ารับก่อนจะไล่พิมพ์ตาม " เออพี่ขุน หนมถามอะไรหน่อยสิ "

" ว่ามาครับ "

" เมื่อก่อนพี่ขุนทำกับผู้หญิงบ่อยใช่ไหมล่ะ แล้วตอนที่พี่แง่มหนมพี่รู้ได้ไงว่ามันต้องทำยังไง "

" พี่ก็ต้องศึกษานั่นแหละว่าผู้ชายเนี่ยะต้องทำกันยังไง พี่คิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เริ่มจีบหนมช่วงแรกๆ แล้วล่ะ "

ผมหันขวับมองพี่ขุนทันที " นี่ตั้งใจจะแง่มหนมตั้งแต่แรกเลยหรอ "

" เรื่องแง่มหนมมันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พี่ตั้งใจน่ะนะ แต่ก็คิดไว้แล้วแหละว่าจะต้องทำให้หนมรักพี่ให้ได้ซะก่อน " มือเรียวเลื่อนขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ " พี่รู้ว่าการที่ผู้ชายมีอะไรกันน่ะ คนที่เป็นฝ่ายรับจะเจ็บมาก พี่ก็คิดว่าจะต้องทำให้หนมรักพี่มากพอที่จะอดทนรับกับความเจ็บนั้นได้ ส่วนพี่ที่เป็นฝ่ายทำให้หนมเจ็บ ก็จะต้องทะนุถนอมและก็ทำให้หนมมีความสุขให้ได้มากที่สุด "

ตึกตัก

อื้มมม...ม...ยอมแล้ววว

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ " พี่นี่สุดยอดจริงๆ เลยนะ "

" ก็ต้องสุดยอดสิครับ....ไม่งั้นจะทำให้คนแบบหนมรักพี่ได้ยังไง "

มันก็จริงแหละนะ

พี่ขุนเก่งจริงๆ ที่ทำให้คนที่ไม่สนใจในความรักอย่างผมหลงรักมันได้ ก็นะ เพอร์เฟ็คไปซะหมด ทำกับข้าวก็อร่อย เป็นคนที่พึ่งพาได้เสมอ มันไม่เคยต้องยอมใครแต่กับผมไม่ว่าเรื่องอะไรมันก็ยอมอ่อนให้ตลอด มันรู้สึกดีนะที่ได้เป็นคนพิเศษของใครสักคนน่ะ ตั้งแต่ที่ผมกับพี่ขุนได้พบกัน ชีวิตของเรา 2 คนก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ดีจริงๆ นั่นแหละที่ผมมีผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิต

แต่ถึงพี่ขุนจะดียังไงเราก็ควรหยุดซาบซึ้งในตัวมันก่อน มัวแต่อวยแฟนนิยายจะไม่เสร็จเอานะ ผมพิมพ์นิยายต่อไปเรื่อยๆ พี่ขุนก็ไล่อ่านแล้วคอยบอกผมเป็นฉากๆ มีแอบแทะโลมบ้างตามประสาคนหื่นกาม ผมว่า Nc ตอนนี้นี่กว่าจะจบต้องใช้เวลานานมากแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรเพื่อเหล่ารี้ดที่รัก ไรท์หนมจะอดทนและพยายามแต่งให้อ่านนะ

เพราะงั้นรอกันอีกสักพักนะครับ

" พี่ขุนอย่ามาถกเสื้อหนมสิ "

ถ้าพี่ขุนยังเป็นแบบนี้ก็อาจจะอีกสักพักใหญ่ๆ

" ยังอีก...."





1 ทุ่มเศษๆ

1 ทุ่มเศษๆ กับ Nc ที่เพิ่งเสร็จ

อ่อนล้าแค่ไหนถามใจดู

ผมนั่งหมดสภาพอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค กว่าจะแต่งจบนี่พลังงานชีวิตหายไปครึ่งนึงเลยอ่ะ เกือบ 7 ชั่วโมงเลยนะกับนิยายบทนี้ ทุบสถิติเวลาที่ใช้ในการแต่งนิยายมาทั้งหมดเลยด้วย การนั่งใช้สายตาอยู่หน้าจอนานๆ นี่ให้ความรู้สึกเหมือนใกล้ตายเลย ไม่ใช่แค่ผมที่จะตายนะ พี่ขุนเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยต่างกัน เอาจริงๆ ถ้าไม่มีพี่ขุนคอยช่วยนี่ก็อาจจะยังไงไม่เสร็จก็ได้ แต่ถ้ามันไม่คอยแหย่ผมนิยายก็อาจจะเสร็จเร็วกว่านี้

พูดอะไรวะหนม

ช่างแม่งเถอะ ไปหมดแล้วสมองตอนนี้ แถมยังปวดไหล่มากๆ ด้วย ผมหวังว่า Nc ตอนนี้จะทำให้เหล่ารี้ดของผมพอใจนะ แต่งออกมาได้ดีที่สุดแล้วจริงๆ แถมยังเป็นครั้งแรกด้วย ไว้ถ้ามีโอกาสได้แต่งอีกผมก็จะพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อยๆ มันต้องมีวันที่รี้ดอ่านแล้วฟินจนตัวบิดสิหน่า

" หนมครับ "

" หืม "

" ไปอาบน้ำกัน "

ผมเหลือบมองพี่ขุนก่อนจะปิดโน้ตบุ๊ค " พี่ก็ไปอาบก่อนสิ "

" ไม่เอาอ่ะ พี่อยากอาบน้ำกับหนม " อาบกับกูทำไม อาบคนเดียวไม่ได้หรอ มึงอายุตั้งเท่าไหร่ละไอ้บ้า อีกอย่างนะอาบกับมึงคงได้อาบหรอก

เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ

" จะอยากมาอาบกับหนมทำไม "

" พี่อยากให้หนมขัดหลังให้ " นั่น....งานขัดหลังก็มา

ผมเลิกคิ้วมองมันอย่างสงสัย " พี่แน่ใจหรอว่าจะหยุดแค่ให้หนมขัดหลัง "

" หนมอยากขัดอย่างอื่นด้วยไหมล่ะครับ "

" พี่นี่....พูดอะไรก็ไม่รู้ "

" พี่ไม่ทันพูดอะไรเลย หนมนั่นแหละที่คิดไปไกล " พี่ขุนอมยิ้มก่อนจะบีบจมูกผมเบาๆ " เด็กลามก "

" พี่นั่นแหละที่ลามก "

" ครับ พี่ลามกก็ได้ ว่าแต่เราจะไปอาบน้ำกับพี่ได้รึยัง "

" หนม...."

" ไม่ต้องคิดมากไปหรอกครับ ต่อให้หนมไปอาบน้ำกับพี่หรือไม่อาบ หนมก็ต้องโดนพี่แง่มอยู่ดี " มือเรียวเลื่อนมาถอดเสื้อผมออกก่อนจะรั้งเอวเข้าไปใกล้ " มาทะเลทั้งทีเราก็ต้องได้กันสิ "

ตรรกะอะไรของมึ้งงงงง


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 32 : 17/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 17-01-2018 22:07:21
---------- ต่อจากบท 32 -----------

" เอ่อ...."

พี่ขุนคลายแขนออกจากเอวผม " พี่รอในห้องน้ำนะครับ " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

กูไม่รอดสินะ

ผมยืนมองประตูห้องน้ำตาปริบๆ พลางยกมือขึ้นมาทาบอกตัวเอง หัวใจเต้นแรงมากเลยว่ะ ก็พอรู้อยู่หรอกว่ามันจะต้องแดกผมแน่ๆ หลังจากที่แต่งนิยายเสร็จ ก็นะ บทที่แต่งมันเป็นฉากเรทหนิ ถ้ามันจะรู้สึกคึกคักขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนที่ผมนั่งแต่งก็รู้สึกเหมือนกัน มันเขินแปลกๆ อ่ะ นึกถึงคำพูดที่พี่ขุนเอ่ยออกมาก็ยิ่งทำให้เขิน

ตรงนี้ต้องจูบด้วยนะครับ

จังหวะนี้ก็ต้องขยับเร็วขึ้นนะ


และอื่นๆ อีกมากมาย

หลังจากที่ยืนทำใจอยู่หลายนาที ผมก็หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำ ร่างสูงนั่งแช่น้ำอยู่ในอ่างรออยู่ก่อนแล้ว เรือนผมสีเทาที่เปียกน้ำถูกเสยขึ้นไปด้านบนทำให้เห็นใบหน้าหล่อได้อย่างชัดเจน อกแน่นๆ ที่โผล่พ้นมาจากฟองสบู่นั่นก็พาลทำให้ใจสั่นได้ง่ายๆ เลยว่ะ ดวงตาคมไล่มองผมช้าๆ ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มออกมา

ทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์ขนาดนี้วะ

" มาสิครับ "

ผมเดินมานั่งที่ขอบอ่างก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาชุบน้ำ " หันหลังมาสิ หนมจะขัดให้ "

" ลงมาในอ่างสิครับหนม "

" เดี๋ยวลงน่ะ " ขอกูทำใจแปปนึงได้ไหม เกิดมานี่ไม่เคยลงอ่างกับใครนอกจากแม่หรือพี่เขมเลยนะ แถมตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยด้วย

" ขัดหลังพี่เสร็จต้องลงมานะ "

" รู้แล้วน่ะ หันหลังมาได้แล้ว " พอผมพูดจบคนที่นั่งอยู่ในอ่างก็หันหลังมา ผมก็เริ่มลงมือขัดหลังให้

ชอบแผ่นหลังกว้างนี่จริงๆ พี่ขุนเป็นคนที่ผิวเนียนมากเลยนะครับ แถมยังขาวมากด้วย ผมรู้นะว่าคงมีผู้หญิงไม่น้อยที่อยากซบหลังกว้างๆ นี่ แต่เสียใจด้วยนะ....

มันเป็นของขนม

" มือเบาจังเลยนะครับ "

" ก็ไม่อยากให้พี่เจ็บ " ผมกวักน้ำขึ้นไปลูบหลังเจ้าตัวเบาๆ " ไม่อยากให้หลังขาวๆ นี่แดงด้วย "

" น่ารักจังเลยนะ ลงมาในอ่างกับพี่ได้แล้วมั้ง "

" งั้นแปปนึง หันหลังไว้แบบนี้ก่อนนะ "

" เขินหรอครับ "

" ก็ต้องเขินสิ " ผมปลดกางเกงกับชั้นในของตัวเองออก " ใครจะไม่เขินล่ะ "

" พี่ไงครับ " ก็พี่มันหน้าด้านอ่ะ

ที่ผมด่ามันในใจนี่ห้ามบอกมันนะครับ

ผมค่อยๆ ก้าวลงอ่างช้าๆ ก่อนจะไปนั่งกอดเข่าขดตัวพิงริมขอบอ่างไว้ พอพี่ขุนรู้ว่าผมลงไปในอ่างแล้วมันก็หมุนตัวเพื่อหันหน้าเข้าหา อยากบอกมันว่าอย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นได้ไหม เขินจนจะละลายไปเป็นเนื้อเดียวกับน้ำละเนี่ยะ พี่ขุนดูชอบใจนะที่เห็นผมเป็นแบบนี้น่ะ

ไม่งั้นคงไม่ยิ้มปากบานแบบนั้นหรอก

" ทำไมนั่งไกลจากพี่ขนาดนั้นล่ะ "

" รู้สึกปลอดภัย "

มันหลุดขำออกมาทันที " เรานี่นะ....." พี่ขุนยื่นมือมาดึงตัวผมให้เข้าไปชิด

" พี่ขุนจะทำอะไรเนี่ย "

" ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ " มันทำตาใสใส่ผม มือก็โอบรอบเอวผมไว้แน่น คือตอนนี้อยู่ในท่านั่งที่พี่ขุนนั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง ถ้าเป็นเวลาปกติผมก็คงไม่ต่อต้านแบบนี้หรอกแต่นี่คือโป๊ทั้งคู่ไง

" พี่ขุน...."

" ถ้าหนมยังดิ้นอยู่ มันอาจจะไปโดนอะไรของพี่ได้นะครับ "

มันก็โดนอยู่แล้วป้ะวะ....ทิ่มหลังกูอยู่เนี่ยะ

" พี่ก็ให้หนมกลับไปนั่งที่เดิมสิ "

" ไม่เอา พี่อยากนั่งท่านี้ "

ผมเหลือบมองคนด้านหลัง " ทำไมพี่ถึงดื้อจังวะ "

" เรานั่นแหละที่ดื้อ " มันบอกก่อนจะกดจมูกค้างไว้ที่แก้มผม " อยู่นิ่งๆ ให้พี่แง่มซะดีดี "

" ใครมันจะไปอื้อออ..อ...." ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พี่ขุนก็เลื่อนหน้าเข้ามาเพื่อจูบปิดปากผมซะก่อน

ร้ายนักนะ!!!

ผมเปิดปากรับจูบจากคนเจ้าเล่ห์ ขัดขืนไปก็เท่านั้น เพราะมันเล่นลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะแง่มผม อีกอย่างคือถ้าเล่นตัวมากๆ ผมอาจจะย่อยยับกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้ ผมรู้ว่าช่วงที่ผ่านมาพี่ขุนเครียดกับปัญหาที่เข้ามามากแค่ไหน มันเองก็คงอยากทำแบบนี้อยู่แหละแต่ว่าก็คงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ พอปัญหามันเคลียร์หมดแล้วก็ไม่แปลกหรอกที่อยากจะทำอะไรแบบนี้

งั้นก็....ตามใจมันหน่อยละกัน

พี่ขุนประคองหน้าผมให้เอียงไปตามองศาที่มันจูบถนัด ลิ้นร้อนๆ ก็ไล่ต้อนลิ้นผมไม่หยุด จูบจากร่างสูงนี่ให้หลากหลายความรู้สึกมาก มันมีทั้งความหวาน ความอ่อนโยน และความร้อนแรงอยู่ในนั้น ผมแลกลิ้นกับพี่ขุนนัวเนียอยู่สักพักก่อนจะไล่มาขบปากบางนั่นเบาๆ มันหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนจมูกมาชนกับจมูกผมไว้

" ชอบแบบเมื่อกี้จัง "

" หนมไม่ทำบ่อยๆ หรอกนะ....อื้ออออ..อ...." ผมกัดปากเบาๆ เมื่อนิ้วเรียวเลื่อนขึ้นมาเขี่ยวนรอบยอดอก " พี่ขุน "

" ลูบวนเบาๆ แบบนี้แล้วค่อยๆ ลงน้ำหนักไปเรื่อยๆ " เสียงพร่ากระซิบอยู่ข้างหูก่อนจะลงน้ำหนักที่ปลายนิ้วให้หนักขึ้นอีก

มึงอย่าเอาคำที่ใช้ในนิยายมาพูดตอนนี้ได้ไหม

กูเขินนนน

" อื้ออ.อ....ทำไมถึงชอบจับตรงนี้นักล่ะ "

" เพราะหนมชอบหนิครับ " พี่ขุนหอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนจะไล่จูบไปตามซอกคอ

ผมเอียงคอให้พี่มันซุกไซร้ได้ง่ายขึ้น " หนมเปล่าสักหน่อย "

" ร่างกายหนมมันบอกทุกอย่างแล้วล่ะครับ "

" อ๊ะ...."

ผมหลุดเสียงครางออกมาเมื่อมือเรียวไล่ลูบไปจนถึงหนมน้อยที่อยู่ใต้น้ำ พี่จะปู้ยี้ปู้ยำหนมทั้งข้างบนข้างล่างแบบนี้ไม่ได้นะ มันเสียว ผมจิกขาอ่อนพี่ขุนเบาๆ เพื่อระบายอามรมณ์ที่มันอัดอั้นอยู่ในหัว ยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปใหญ่เมื่อพี่มันค่อยๆ นวดคลึงหนมน้อย อื้มมม.ม....มือคนอื่นมันดีกว่ามือตัวเองจริงๆ นั่นแหละ ไม่สิ ต้องเรียกว่าเพราะเป็นมือพี่ขุนต่างหากผมถึงได้รู้สึกมากถึงขนาดนี้

รู้สึกมากเกินไปด้วย

พี่ขุนขบเม้มแรงๆ ที่ไหล่ผมก่อนจะเลื่อนขึ้นไปงับหูเบาๆ มือข้างล่างก็ขยับหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ได้แต่กัดปากกลั้นเสียง ไม่อยากครางในห้องน้ำอ่ะเพราะว่าเสียงมันก้อง เก็บเสียงไว้ครางข้างนอกดีกว่า

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหมนะ

" อ๊ะ....พี่ขุน " ผมซุกหน้าลงที่ซอกคอพี่ขุนพลางหายใจออกมาแรงๆ มือข้างที่เล่นยอดอกผมก็เลื่อนลงไปลูบเบาๆ ที่ช่องทางรักด้านหลัง อื้ออ.อ.อ....ความรู้สึกนี้มัน....

" อย่าเกร็งนะครับ " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะใช้ปลายนิ้วลูบที่ช่องทางรักหนักๆ แล้วค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาด้านในช้าๆ

" อื้ออ.อ.อ....เจ็บ "

" ผ่อนคลายหน่อยครับ หนมรัดนิ้วพี่แน่นเกินไปแล้วนะ "

ฉ่า

ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ไหมล่ะ

" อ๊ะ....เบาๆ " ผมจิกข้อมือพี่ขุนเพื่อข่มความเจ็บเมื่อนิ้วที่สองล่วงล้ำเข้ามา ถึงจะเคยทำมาครั้งนึงแล้วแต่มันก็รู้สึกไม่ชินเลยว่ะ และคงจะไม่ชินง่ายๆ ด้วย

ยิ่งคิดว่าไอ้ที่ทิ่มหลังนี่ต้องเข้ามาในตัวก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้ว

" ตรงไหนนะ....ตรงนี้รึเปล่า "

" อ๊า....."

" ตรงนี้สินะ " ว่าแล้วนิ้วเรียวที่อยู่ในตัวผมก็กดย้ำๆ ที่จุดกระสัน

" อ๊างง....พี่ขุน....อื้อ.อ.อ....อย่า "

มันจะเสร็จ

" ปล่อยออกมาสิครับ " มือเรียวสาวหนมน้อยเร็วขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าผมใกล้จะถึง

" อื้ออ....พี่ขุน...อ๊ะ....อื้มมมมมมมมมมม.ม.ม.ม......"

โอ่ย....หัวโล่งไปหมด

ผมโกยอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ หัวก็พิงไหล่พี่ขุนไว้แบบนั้น นี่ขนาดโดนไปแค่นิ้วยังหมดแรงขนาดนี้เลยอ่ะ แล้วถ้าโดนของพี่ขุนนี่ไม่ตายเลยหรอ นิ้วเรียวที่ขยับอยู่ตอนแรกก็ค่อยๆ ถอนออกมา รู้สึกโล่งขึ้นมาเลยว่ะ ไอ้สองนิ้วที่เข้ามานี่แค่เบาะๆ ป้ะวะหนม ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหาก

ทำไมปวดใจแปลกๆ

" ไปที่เตียงกันเถอะครับ " พี่ขุนกระซิบบอกผมเบาๆ " พี่อยากแง่มหนมแล้ว "

อย่าทำเสียงพร่าแบบนั้นใส่ได้ไหมครับ

ใจมันสั่นนะ

" หนม....ขาอ่อนไปหมดแล้ว "

" งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเอง " เจ้าตัวบอกก่อนจะลุกออกจากอ่าง อ้อมแขนแกร่งช้อนตัวผมขึ้นมา นี่ผมตัวเบาจนขนาดมันอุ้มได้สบายๆ แบบนี้เลยหรอวะ

" พี่ไม่หนักหรอ "

" ไม่ครับ หนมตัวเบาจะตาย "

" หนมว่าหนมออกจะตัวใหญ่ "

" หึ...." พี่ขุนยกยิ้มก่อนจะหอมแก้มผมหนักๆ " ถ้าเรามายืนอยู่ข้างหลังพี่ พี่ก็บังมิดอ่ะ "

ผมทำหน้ามุ่ยใส่มันทันที " เว่อร์เถอะ " นี่สูงตั้ง 170 เซนฯ เลยนะ คืออย่างน้อยหัวผมต้องเลยไหล่พี่ขุนไปครึ่งนึงแหละ

ในขณะที่ผมกำลังงอแงอยู่ในใจคนเดียว พี่ขุนก็เดินมาในห้องนอนก่อนจะค่อยๆ วางผมลงบนเตียงโดยที่ตัวเองก็มาขึ้นคร่อมผมไว้ คนบนร่างเกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้ก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากผมเบาๆ ชอบจริงๆ เลยที่พี่มันทำแบบนี้ รู้สึกถึงความเป็นผู้ชายอ่อนโยนมากๆ ผมยกมือขึ้นไปกุมแก้มขาวที่ขึ้นสีนั่นไว้แล้วผงกหัวขึ้นไปจุ๊บปากบาง

คนโดนจุ๊บยิ้มหวานออกมาก่อนจะเลื่อนหน้าผากมาชนกับหน้าผากผม " พร้อมไหมครับที่รัก "

" ถ้าบอกว่าไม่พร้อม....พี่จะทำยังไง "

" พี่ก็จะให้เวลาหนมทำใจ 3 นาที แล้วพี่ก็จะแง่มหนมไงครับ "

" อื้อออ..อ...." ผมทำแก้มป่องใส่พี่ขุน " อย่าพรวดพราดเข้ามาแบบครั้งที่แล้วนะ "

" จะเบาที่สุดเท่าที่ทำได้เลยครับ " พี่ขุนจุ๊บปากผมก่อนจะผละออกไปหยิบขวดเจลหล่อลื่นมาบีบใส่มือแล้วลูบที่ช่องทางรักด้านหลังเบาๆ

" อื้มมม....ม....ถุงยางล่ะพี่ขุน " พอผมถามแบบนั้นมือที่ลูบอยู่ก็ชะงักไปทันที

นี่อย่าบอกนะ

" พี่ลืม....ซื้อถุงยาง "

" ทำไมไม่ซื้อมาล่ะครับ ถ้ารู้ว่าจะทำน่ะ "

" อื้ออ.อ.อ....หนม " พี่ขุนทำเสียงอ่อนก่อนจะเอาหน้าไถไหล่ผมอย่างอ้อนๆ " ครั้งหน้าจะไม่ลืมแล้วครับ "

" ถ้าลืมอีกหนมจะไม่ให้ทำจริงๆ ด้วย "

" ไม่ลืมแล้วครับ " ใบหน้าหล่อละมาจากไหล่ก่อนจะยิ้มหวานให้ผม

" ไม่ต้องมายิ้มเลย " ผมหยิกแขนพี่ขุนแรงๆ " จะทำอะไรก็ทำสิ ช้ากว่านี้ไม่ให้ทำแล้วนะ "

" จะทำเดี๋ยวนี้แหละครับ " พี่ขุนก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง มือเรียวจับขาผมแยกให้ออกจากกันมากกว่าเดิม

ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลย เซ็กซ์ครั้งที่ 2 ในชีวิตของผมกำลังจะเริ่ม ที่บ้ามากคือเป็นแบบสดด้วยนะ ความจริงผมไม่อยากจะให้พี่ขุนทำโดยไม่ป้องกันหรอกนะครับ เพราะว่ามันอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ แต่ถ้าไม่ยอมให้ทำพี่มันก็คงจะงอแงมากๆ ให้ไปซื้อถุงยางตอนนี้ก็คงไม่ได้อีก เพราะลูกรักพี่ขุนมันคงจะกระแทกตาชาวบ้านมากถึงแม้ว่าจะอยู่ในกางเกงก็เถอะ

เอาเป็นว่าจะยอมแค่ครั้งนี้ละกัน

นี่เพราะรักหรอกนะ

พี่ขุนยังกดจูบย้ำๆ อยู่แบบนั้น ผมรับรู้ได้ถึงอะไรแข็งๆ ที่ลูบวนอยู่แถวช่องทางรักด้านหลัง มือนี่เตรียมจิกไหล่มันเพื่อระบายความเจ็บเลยครับ ผมหวังว่ามันจะไม่กระแทกเข้ามาแบบครั้งก่อนหรอกนะ

" อื้อออ.อ.อ....." ผมส่งเสียงออกมาทันทีเมื่อลูกรักมันล่วงล้ำเข้ามา

" อืมม.ม.ม...." พี่ขุนละจูบออกก่อนจะเอ่ยบอกผมเสียงพร่า " ผ่อนคลายหน่อยครับที่รัก "

" อ๊ะ...."

" พี่บอกให้ผ่อนคลายนะครับ ไม่ใช่ให้รัดแน่นขึ้น "

ก็อย่ามาเรียกว่าที่รักสิวะ

มันเขินเข้าใจไหมว่ามันเขิน

" หนม....พยายามผ่อนคลายแล้วนะ...อ๊ะ...เบาๆ สิ "

" อดทนหน่อยนะครับ ซี๊ดดด.ด....จะสุดแล้ว " พี่ขุนจุ๊บปากผมก่อนจะค่อยๆ ดันลูกรักเข้ามาจนสุด

อื้มม.ม....โคตรอึดอัด

ผมนอนผ่อนลมหายใจหนักๆ มันแน่นไปหมดเลยครับตอนนี้ แต่ว่าครั้งนี้ไม่เจ็บเท่าครั้งแรกนะ หรือเพราะครั้งแรกพี่ขุนมันกระแทกพรวดเข้ามาวะมันเลยเจ็บมาก ผมรู้แหละว่าตัวมันเองก็พยายามที่จะไม่ทำให้ผมเจ็บ

" พี่ขุน "

" หืม....เจ็บหรอ "

" ไม่เท่าไหร่...อื้มม...หนมอึดอัดมากกว่า "

" พร้อมให้พี่ขยับรึยังล่ะครับ " พี่ขุนถามก่อนจะสอดแขนไว้ใต้ขาพับของผม " ถ้าเราพร้อมพี่จะได้ขยับ "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ " พี่ขยับเลยก็ได้ "

" โอเคครับ " มันเอ่ยรับคำก่อนจะก้มซุกไซร้ที่ซอกคอผม เอวสอบก็เริ่มขยับเข้าออกอย่างเนิบนาบ

อื้มมม..ม....ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆ

ผมกัดปากตัวเองอย่างข่มอารมณ์พลางเชิดหน้าเพื่อให้พี่ขุนขบเม้มซอกคอเล่นได้อย่างเต็มที่ รู้สึกได้ถึงแรงงับที่ไหปลาร้า พี่ขุนขบวนอยู่แถวนั้นเป็นระยะๆ แรงขบระดับนั้นมันต้องกลายเป็นรอยจ้ำแน่ๆ เลยว่ะ ผมผงกหัวขึ้นมามองคนบนร่างที่เริ่มไล่ลิ้นต่ำลงไปจนถึงยอดอก ลิ้นร้อนๆ นั่นเลียวนรอบยอดอกผมอย่างหยอกเย้า

อย่าทำแบบนั้นสิครับ

" อ๊ะ....พี่ขุน...อื้อออ.อ...." ผมแอ่นรับสัมผัสนั้นอย่างลืมตัว ช่วงล่างก็เสียวจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ยังจะมาทำให้ช่วงบนรู้สึกร่วมอีก

สงสารกันบ้างเถอะทูนหัว

" ไม่ต้องกลั้นเสียงหรอกครับ พี่อยากได้ยินนะ " เจ้าตัวบอกพลางช้อนตาขึ้นมามองผม ลิ้นร้อนก็ยังรัวอยู่ที่ยอดอกอย่างไม่ลดละ

" อ๊ะ....อ๊า....อย่าเลียสิ...อื้อ.อ....ขยับเร็วขึ้นอีกได้ไหม...อ๊ะ "

" ได้สิครับ " พี่ขุนเร่งจังหวะขยับเอวเข้าออกขึ้นอีก " ซี๊ดดด.ด...รัดพี่แน่นจังเลยนะครับ...อะ..รัดแน่นขึ้นอีกงั้นหรอ มันทำไมน่ะหืม " พี่ขุนยกยิ้มก่อนจะจูบปากผมหนักๆ

มันรัดแน่นก็เพราะพี่พูดออกมานั่นแหละ

" เพราะพี่นั่นแหละ....อ๊ะ....ตรงนั้น...." ผมข่วนหลังพี่ขุนเป็นทางยาวเพื่อระบายความเสียว เมื่อกี้มันกระแทกเข้าที่จุดกระสันเต็มๆ เลยอ่ะ

แม่งเกือบเสร็จ

" ชอบตรงนี้สินะ " พี่ขุนยกสะโพกผมให้สูงขึ้นอีกก่อนจะกระแทกเอวเข้ามาเน้นๆ

" อ๊างง...อื้อ...อ...พี่ขุน..."

" ตอดจริงๆ ...ซี๊ดดด.ด...." ร่างสูงโถมแรงเข้าใส่ผมเต็มที่ ปากก็พรมจูบอยู่อย่างนั้น " รู้สึกดีไหมครับ "

ผมพยักหน้ารับพลางกัดปากข่มความเสียวไว้ " อ๊า...แรงหน่อย....หนมจะไม่ไหวแล้ว...อ๊ะ...."

มันรู้สึกดีเกินไปแล้ว

เสียงเนื้อกระทบกันดังพอๆ กับเสียงครางของผม มันเสียวจนกลั้นเสียงไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ ทุกครั้งที่พี่ขุนขยับกายสวนเข้ามามันทำให้ผมแทบคลั่ง อื้มมม...ม...ไม่ไหวแล้วครับ

ไม่ไหวแล้วจริงๆ

" พี่ขุน...อ๊ะ...หนมจะเสร็จ...อ๊างง "

" พี่ก็เหมือนกัน...ซี๊ด.ด.ด....." พี่ขุนกระแทกเอวใส่ผมสุดแรงเมื่อใกล้จะถึง " อา...พร้อมกันนะครับ "

" อ๊ะ....อื้อออ...อ...."

" ซี๊ดด.ด.ด...."

" อ๊า...พี่ขุน...อ๊าง...อ๊ะ....อ๊าาาาาาาาาาา "

" อื้มมม....ม....หนม....ซี๊ดดด...ด..."

โอ่ย

เหมือนจะขาดใจ

ผมหอบแรงๆ อยู่ใต้ร่างพี่ขุน รู้สึกได้ถึงอะไรอุ่นๆ ที่ปล่อยออกมาข้างในเลยอ่ะ พอไม่ได้สวมถุงยางแล้วมันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะเนี่ย อีกอย่างคือผมเสร็จโดยที่พี่ขุนไม่ได้แตะต้องหนมน้อยเลยสักนิด ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเสร็จจากด้านหลังได้อย่างเดียวแบบนี้

โคตรประสบการณ์ใหม่ของชีวิตเลย

" พี่มีความสุขจัง "

" หนมก็เหมือนกัน " ผมผงกขึ้นไปจูบปากคนบนร่าง " มองจากด้านล่างนี่...พี่โคตรเซ็กซี่เลย "

" พี่อยากมองหนมจากด้านล่างบ้าง " ว่าแล้วมันก็พลิกตัวให้ผมขึ้นมาอยู่ด้านบนแทน แม่งเอ้ย จะพลิกก็ไม่บอกไม่กล่าวเลย ไอ้ที่มันคาอยู่มันก็กระแทกสิวะ

" พี่ขุนจะให้หนมมาอยู่ข้างบนทำไมเนี่ย "

" พี่ก็อยากมองหนมจากด้านล่างบ้าง " มือเรียวลูบเอวผมเบาๆ " มองจากตรงนี้หนมก็เซ็กซี่เหมือนกันนะ "

" ไม่ใช่สักหน่อย...อ๊ะ...อย่าขยับสิ "

พี่ขุนโอบรอบคอให้ผมโน้มลงไปใกล้ " พี่ลืมบอกอะไรไปอย่างนึง "

" อะไรครับ "

" พี่รักหนมนะ " พี่ขุนเกลี่ยแก้มผมเบาๆ " และก็จะรักตลอดไป "

ตึกตัก

ผู้ชายคนนี้นี่มันจริงๆ เลยนะ

" หนมก็รักพี่ขุนเหมือนกันครับ "

รักมาก....



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ขนมนี่น่ารักจริงๆ เลยนะ

เพราะน้องเป็นแบบนี้ไงผมถึงได้หลงรักอยู่ซ้ำแล้วซ้ำล่า

ผมไล่จูบไหล่เนียนหลังจากที่เพิ่งเสร็จกิจ จำไม่ได้แล้วครับว่าทำไปกี่รอบ แต่ที่รู้ๆ คือกินเวลานานมาหลายชั่วโมงเลย นี่เกือบจะตีสามละ มันถึงเวลาที่ผมต้องหยุดแล้วให้คนตัวเล็กได้พักผ่อนแล้วล่ะ อีกอย่างคือผมเองก็พอใจมากตั้งแต่ตอนที่น้องออนท็อปให้

คือมันดีมากเลยอ่ะ

ปลื้มปริ่ม

" หนมครับ "

" หนมหมดแรงแล้ว " น้องบอกด้วยเสียงที่แหบพร่าก่อนจะหันหน้ามาหาผม " ไม่ไหวแล้วนะครับ "

" ก็นี่ไงครับ พี่จะให้หนมนอนแล้ว "

" พูดจริงๆ นะ " อา....อย่ามาทำตาใสแบบนั้นใส่พี่ได้ไหมที่รัก

เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนหรอก

" จริงสิ " ผมลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ " ขอบคุณนะครับที่ตามใจพี่น่ะ "

" หนมไม่ได้ใจดีแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ " น้องขยับเข้ามาหอมแก้มผมก่อนจะซุกหน้าลงตรงซอกคอ " นอนแล้วนะครับ พรุ่งนี้ก็ดูแลหนมด้วย "

ผมจุ๊บเรือนผมน้อง " มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องทำอยู่แล้วครับ "

" ฝันดีนะพี่ขุน "

" ฝันหวานครับ " ผมหยิบรีโมตฯ มากดปิดไฟก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก

มีความสุขจัง ตั้งใจมาทะเลก็เพื่อการนี้เลยแหละเอาจริงๆ ผมชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่กับขนมมากเลยครับ ชอบที่จะคอยดูแลเขา ชอบที่จะคอยทำกับข้าวให้เขาทาน ชอบทุกอย่างที่จะได้ทำเพื่อคนๆ นี้ มันดีจริงๆ ที่เรา 2 คนผ่านอุปสรรคทั้งหมดนั่นด้วยกันมาได้ หวังว่าหลังจากนี้คงจะมีแต่เรื่องดีดีเกิดขึ้นล่ะนะ

ผมกับน้องจะได้มีความสุขสักที

" อื้มม.ม....พี่ขุน " น้องพึมพำเบาๆ " หนมรักพี่นะครับ "

รู้แล้วครับ....พี่รู้แล้ว

" พี่ก็รักเรานะครับ "











TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งขุนหนมแล้ววววว อาจจะดึกไปหน่อยต้องขออภัยด้วยเพราะว่าวันนี้งานยุ่งมากจริงๆ ชาลแต่งเสร็จก็เอามาลงเลย ยังไม่ได้แก้อะไรเลยนะ เดี๋ยวจะตามแก้ให้นะคะ Nc ตอนนี้ค่อนข้างเผามากเลยนะ ชาลไม่มั่นใจเท่าไหร่เลยว่าจะแต่งออกมาให้คนอ่านรู้สึกฟินได้รึเปล่า ถ้ามันยังแปร่งๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ งานเร่งมากจริงๆ

ขอชี้แจงการทำหนังสือหน่อยนะคะ LoveWriteเขียนสื่อรัก เนี่ยะ ชาลจะต้องทำออกมาเป็น 2 เล่มนะ เพราะจำนวนหน้ามันเยอะเกินที่จะเป็นหนังสือเล่มเดียว คาดว่าถ้าแต่งจนจบแล้วบวกของตอนพิเศษเพิ่มไปก็น่าจะเกือบ 600 หน้าค่ะ แล้วพอหนังสือมันต้องแยกเป็น 2 เล่มแบบนี้ราคามันก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก ในส่วนนี้ชาลจะชี้แจงหลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อบแล้วนะคะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้นะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาลค่อนข้างยุ่งมากๆ เดี๋ยวต้องส่งรายงานฝึกงานวันที่ 22 ชาลอาจจะเลื่อนนิยายนะคะถ้ามันจำเป็น ถ้ามีการเลื่อนเนี่ยะเดี๋ยวจะชี้แจงอีกทีนะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 32 : 17/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-01-2018 22:43:27
หลานหนม หลานขุน มาตอนนี้ ไม่เกรงใจคนแก่เลยนะ ดู ดู๋ น้ำหมากคนแก่กระฉุดหมดเลย   :m25:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 32 : 17/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-01-2018 07:56:56
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 33 : 24/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-01-2018 22:55:09
บทที่ 33 แพ้ทาง




ผมไม่เคยรู้เลยว่าความรักมันเป็นยังไง.....แต่ก็รู้สึกอยากขอบคุณเขาซ้ำๆ ที่ทำให้ผมได้รู้จัก

สิ่งที่เรียกว่า.....ความรัก​




---------- END --------





"เย่ จบแล้ววววววว"

"พี่ตกใจนะครับหนม เสียงดังอะไรหืม"

"หนมแต่งนิยายจบแล้ว"

"พี่ดีใจด้วยนะครับ" คนที่นั่งข้างๆ เลื่อนมือมาขยี้หัวผมเบาๆ "ทำสำเร็จจนได้นะ"

"เพราะมีพี่ขุนคอยช่วยนั่นแหละ ขอบคุณนะครับ"

"พี่ช่วยไงครับ นี่ยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ"

"เอาน่ะ ช่วยก็ช่วยสิ" พระเอกในนิยายหนมนี่คือพี่เลยนะพี่ขุน แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าช่วยจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ

ผมกดเซฟไฟล์นิยายก่อนจะปิดโน้ตบุ๊คอย่างอารมณ์ดี แต่งนิยายจบเรื่องแล้วครับผม รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก แต่ถึงจะบอกว่าเสร็จแต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์ดีน่ะนะ เดี๋ยวผมต้องรีไรท์ใหม่อีก เผื่อมีคำผิดจะได้แก้ ส่วนประโยคส่วนไหนที่อ่านแล้วไม่ลื่นไหลก็จะได้ปรับ ตื่นเต้นจัง ใกล้ที่จะได้ส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พิจารณาแล้วครับ

ขอให้มันผ่านด้วยเถอะ

ตอนนี้เรากำลังขับรถกลับบ้านกันหลังจากที่แอบหนีมาทะเลกัน 2 คนเงียบๆ ความจริงวันที่เราต้องกลับบ้านน่ะมันเป็นเมื่อวาน แต่สภาพของผมที่ตื่นขึ้นมาหลังจากการโดนแง่มนั้นสาหัสเกินไปที่จะขยับตัว ก็เลยต้องเลื่อนวันกลับมาเป็นวันนี้นี่แหละ ตอนนี้ผมก็ยังปวดเอวอยู่เลยนะ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ขุนถึงไม่ปวดเอวแบบผมบ้าง

แม่งไม่แฟร์เลย

พี่ขุนก็ใช้เอวเยอะพอๆ กับผมแต่ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลย นอกจากไม่เป็นอะไรผิวยังใสหน้ายังผ่องมากด้วย มันต้องแอบสูบคอลลาเจนไปจากผมแน่ๆ ร้ายกาจนัก ผมจะไม่ยอมมันง่ายๆ อีกแล้ว รอไปอีกครึ่งปีเถอะมึง เอาให้ลงแดงตายกันไปข้าง

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับหนม"

"ทำหน้าแบบไหน" ผมเอี้ยวตัวเอาโน้ตบุ๊คไปวางไว้เบาะหลัง ห่าเอ้ย ขยับตัวทีนี่ปวดร้าวไปทั้งตัวเลยว่ะ อีกกี่วันถึงจะหายวะ

"ก็ทำหน้าแบบ เคียดแค้น"

"ใช่ หนมแค้นที่พี่ขุนทำให้หนมปวดไปทั้งตัว" ผมจับมือพี่ขุนมาตีแรงๆ ทีนึง

"อื้มม.ม....พี่ขอโทษนะครับ" คนโดนตีเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะเหลือบมองผม "มันห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ อ่ะ ก็ขนมอร่อย"

ฉ่า

"อร่อยอะไรของพี่เล่า หนมไม่ใช่ของกินสักหน่อยนะ" ผมบอกก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อไล่ความร้อน

"เป็นของกินไหมไม่รู้ แต่พี่กินไปแล้ว....หลายรอบด้วย"

"อื้ออ.อ....หยุดพูดแล้วขับรถไปเลยนะ"

"ไม่เอา อยากคุยด้วย" มันยกผมขึ้นไปจุ๊บทีนึง "หยิบเยลลี่มาแกะป้อนพี่หน่อยสิครับ"

ผมเลิกคิ้วมองมัน "ทำไมหนมต้องทำแบบนั้นด้วย"

"เพราะว่าภรรยาที่ดีต้องเอาใจสามีไง"

"หนมไปเป็นภรรยาของพี่ตอนไหน"

"แหม หนมถามแบบนี้พี่ก็เขินนะถ้าต้องพูดออกไป" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยกมือขึ้นปิดแก้มตัวเองอย่างเนียมอาย

น่าหมั่นไส้มาก

ผมหรี่ตามองพี่ขุนอย่างหงุดหงิด ทำไมจะต้องทำท่าแบบนั้นด้วยวะ เห็นละรู้สึกอยากตบกะโหลกไปฝังรวมไปกับพวงมาลัยรถจริงๆ แว้บเมื่อกี้เหมือนเห็นไอ้หมีนั่งอยู่ข้างๆ เลยอ่ะ ผมว่าพี่ขุนสนิทกับไอ้หมีเกินไปละ ติดความแรดมันมาละเนี่ยะ เดี๋ยวต้องกำราบซะหน่อย

"ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้วนะครับ"

"พี่ขุนนี่น่าหมั่นไส้ชิบ"

"พี่ยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ ขับรถอยู่ดีดีเนี่ยะ"

ผมหันขวับไปมองมันทันที "พี่ทำหลายอย่างเลยแหละ"

"เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วจะให้งับแรงๆ สองทีนะครับ"

"หนมไม่ใช่หมานะ ถึงจะให้หนมงับอ่ะ"

"ขนาดพี่ไม่ใช่หมา พี่ยังอยากงับหนมเลย"

"อื้ออ.อ.อ....พี่นี่เอาอีกแล้วนะ"

ทำใจกูเต้นตึกตักอีกแล้ว

"พี่ยังไม่ได้เอาอะไรเลย" พี่ขุนเหลือบมองผมก่อนจะยิ้มกริ่ม "หรือจะให้พี่เอา"

"พี่ขุน!!!!!!!! "

"ฮ่าๆๆๆๆๆๆ " มึงไม่ต้องมาหัวเราะแบบนั้นเลยนะ กูไม่คุยกับมึงแล้ว ไม่ต้องแดกด้วยเยลลี่อ่ะ

หึ้ยยย.ย....

ผมหันหนีพี่ขุนไปมองนอกข้างทางแทน ไม่ไหว แพ้ทางสัส สู้แม่งไม่ได้เลยอ่ะ ฟังจากเสียงหัวเราะนี่ก็ดูจะชอบใจมากที่ผมโวยวายใส่ เก่งจริงๆ เลยนะเรื่องแบบนี้ กว่าจะถึงบ้านนี่ผมคงประสาทแดกตายแน่ๆ

เฮ้อ....

ในขณะที่ผมกำลังโวยวายอยู่คนเดียวในใจ ฝ่ามือก็สัมผัสได้ถึงอะไรอุ่นๆ พอหันไปมองก็พบว่าคนข้างๆ เอามือผมไปกุมไว้อย่างกับที่เคยทำ มือเรียวนั่นยกมือผมขึ้นไปจูบบนหลังมือเบาๆ ดวงตาคมที่มองถนนอยู่ก็เหลือบมองมองผมก่อนจะคลี่ยิ้มให้ ความอ่อนโยนนี้มันกลบความกวนประสาทเมื่อกี้ไปได้โดยสิ้นเชิงเลยนะ ผมอดยิ้มกับสิ่งที่พี่ขุนทำไม่ได้จริงๆ

ความดีต่อใจนี้มันดีเหลือเกิน

"หนมครับ" พี่ขุนเอ่ยเสียงอ่อนอย่างอ้อนๆ "พี่อยากกินเยลลี่จัง"

ถ้าพี่จะอ้อนหนมแบบนี้ล่ะก็....

"เดี๋ยวหนมแกะให้ครับ"

ป้อนให้ด้วยเลยอ่ะ





บ้านขนม

ผมกับพี่ขุนช่วยกันแบกของฝากเข้ามาในบ้าน ตอนนี้ก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วครับ ดีนะว่ารถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ก็เลยถึงบ้านเร็ว ได้ยินเสียงอะไรครึกครื้นดังมาจากห้องรับแขกด้วยแฮะ วันนี้มีแขกมาบ้านหรอวะ ด้วยความสงสัยผมจึงเดินนำพี่ขุนไปห้องรับแขก สิ่งแรกก็คือเห็นป๊ากับแม่กำลังนั่งจิบชาอยู่ ส่วนแขกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นก็คือ....

คุณพ่อคุณแม่ของพี่ขุน

เกิดอะไรขึ้นวะ

"เอ่อ....สวัสดีครับทุกคน" ผมยกมือไหว้

พี่ขุนยกมือไหว้ "สวัสดีครับ....พ่อกับแม่มาทำอะไรที่นี่ครับ" เจ้าตัวถามก่อนจะเดินเข้าไปหา

"ฉันมาหาเพื่อนฉัน ว่าแต่แกมาทำอะไรที่นี่"

"ก็นี่บ้านขนมไงครับ"

ผมเดินมานั่งลงข้างๆ ป๊า "ป๊ารู้จักพ่อพี่ขุนด้วยหรอ"

"รู้จักสิ ก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม"

"ป๊าไม่เห็นบอกหนมเลยอ่ะ"

"อยู่บ้านบ้างไหมล่ะ" ป๊าบอกก่อนจะทำหน้าบึ้งใส่ผม "ถ้าหนมกลับบ้านบ่อยๆ หนมก็เจอแล้ว ตัวเองนั่นแหละที่ไม่ชอบกลับบ้าน" ไม่ใช่ไม่ชอบนะป๊า หนมไม่ค่อยมีเวลาว่างต่างหาก

"โลกกลมเหมือนกันนะเนี่ยะ ที่ลูกของเรารักกันน่ะ" แม่พี่ขุนเอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน

"นั่นสินะ" แม่ผมยิ้มรับก่อนจะหันมาหา "ไหนๆ ขุนก็มาแล้ว แม่ฝากให้ทำกับข้าวหน่อยได้ไหม แม่ซื้อพวกวัตถุดิบมาแล้ว"

พี่ขุนพยักหน้ารับเบาๆ "ได้ครับคุณแม่ งั้นเดี๋ยวผมกับหนมขอตัวไปทำกับข้าวก่อน"

"ระวังหนมมันเผาครัวนะ"

"เผาครัวอะไรล่ะป๊า "

ไม่มีใครเขาเผาครัวบ้านตัวเองซ้ำเป็นรอบที่ 2 หรอกหน่า

ผมเดินแบกของตามพี่ขุนมาจนถึงห้องครัว ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่าครอบครัวพี่ขุนจะรู้จักกับครอบครัวผมอยู่แล้ว แปลว่าเพื่อนสนิทที่คุณพ่อพี่ขุนเคยพูดถึงก็หมายถึงป๊าน่ะสิ ไม่แน่ว่าไอ้ขันมันอาจจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้นะ เพราะว่ามันเป็นคนติดบ้านไง คือถ้าพ่อพี่ขุนมาที่บ้านบ่อยๆ เนี่ยะ มันก็ต้องเคยเจอแน่นอน

ไอ้พี่บ้านี่มันร้ายกาจจริงๆ

ไม่รู้ว่าวันนี้ไอ้ขันมันอยู่บ้านรึเปล่านะ ถ้าอยู่ก็อาจจะอยู่บนห้องไม่ก็นั่งคุยกับปลาคาร์ฟอยู่ที่สวนหย่อม เมื่อวานผมนั่งคุยกับพี่ขุนแบบจริงจังด้วยนะเรื่องไอ้ขันน่ะ พี่ขุนบอกว่าอยากให้ผมกับไอ้ขันลองคุยกันดีดี ไหนๆ เรื่องทุกอย่างมันก็โอเคแล้ว คือตัวผมอ่ะก็เฉยๆ กับมันแล้วแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าฝั่งมันจะเป็นยังไง เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะเสนอหน้าไปหามัน

แต่ตอนนี้ต้องช่วยพี่ขุนทำกับข้าวก่อน

"พี่ขุน"

"ว่าไงครับ" เจ้าตัวถามพลางหยิบของสดออกมากองเต็มเคาท์เตอร์

ผมชะเง้อคอมอง "แม่ซื้อกุ้งมารึเปล่า"

"นี่ไงกุ้ง หนมอยากกินอะไรบ้างครับ"

"หนมอยากกินต้มยำกุ้ง ปลาสามรส แล้วก็ไก่ผัดหน่อไม้ฝรั่ง"

"ได้เลยครับ เดี๋ยวพี่ทำอย่างอื่นเพิ่มด้วย" พี่ขุนเดินเอาผักไปล้าง ผมเองก็ไปช่วยยืนล้างอยู่ข้างๆ คือก็ทำได้แค่ล้างผักนี่แหละ

"กลิ่นอะไรหอมๆ เนี่ยะ"

"กลิ่นอะไรอ่ะ" ผมดมฟุดฟิดตาม แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรสักอย่าง

พี่ขุนหันมาจุ๊บหัวผมเบาๆ "กลิ่นหนมนี้เอง" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยิ้มหวานให้

ฉ่า

"ไม่ใช่ละพี่ขุน" ผมตีแขนมันแรงๆ ทีนึง อีกใจนี่อยากจะเอาผักกาดปาใส่นะ แต่แม่สอนว่าของกินห้ามเอามาปาเล่น

รอดตัวไปนะพี่ขุนนะ

"เสียงอะไรเอะอะวะ"

ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับร่างสูงเดินหัวฟูเข้ามาในครัว ในสภาพที่สวมกางเกงบ๊อกเซอร์สีชมพูลายหมีแค่ตัวเดียว ใบหน้าขาวนั่นสะลึมสะลือมาก แม่งเพิ่งตื่นแน่ๆ นานเหมือนกันนะที่ไม่ได้เห็นไอ้ขันมันแก้ผ้าแบบนี้น่ะ ครั้งล่าสุดที่ผมเห็นก็เมื่อตอนประถม ไอ้ขันมันยังเป็นขี้ก้างอยู่เลย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หุ่นมันดีจนน่าแดกแบบนี้

ถ้าไอ้หมีเห็นมันคงเขินจนตาย

"สวัสดีครับพี่ขัน" พี่ขุนยกมือไหว้ "เพิ่งตื่นหรอพี่"

"เออ แล้วมึงมาทำห่าไรบ้านกูเนี่ยะ" ไอ้ขันถามก่อนเดินไปหยิบนมในตู้เย็นมากระดก แม่งกินนมแบบนี้อีกละ แม่ก็สอนอยู่ตลอดนะว่าเวลาจะกินนมให้เทใส่แก้ว คนอื่นจะได้กินต่อได้

เรื่องนี้ถึงหูแม่แน่

"มาทำกับข้าวครับ"

"ทำเสร็จยัง ทำเสร็จก็รีบกลับไปซะไป" มันบอกก่อนจะโบกมือไล่

ผมเดินไปตีแขนไอ้ขันแรงๆ "จะไปไล่มันทำไม"

"ทำไมล่ะ นี่บ้านพ่อกู เดี๋ยวก็ไล่ไปทั้งคู่เลยหนิ"

"นี่ก็บ้านพ่อกู ระวังได้ไปนอนข้างบ่อปลาคาร์ฟนะ"

"หนมครับ พูดกับพี่ขันดีดีสิ" พี่ขุนเอ่ยปราม

ผมหันขวับมองมันทันที "ไม่ พี่ทำกับข้าวไป ส่วนมึงไอ้ขันไปกับกู" ว่าแล้วผมก็ออกแรงลากมันออกมาจากครัว

"มึงจะพากูไปไหนเนี่ยะไอ้หนม" ไม่ต้องถามมากได้ไหม ตามกูมาเงียบๆ เถอะว่ะ

ผมพยายามลากไอ้ขันออกมาหยุดที่สระว่ายน้ำเยื้องๆ กับสวนหย่อมก่อนจะยืนกอดอกประจันหน้ามัน วันนี้เราต้องเคลียร์เรื่องที่มันค้างคากันอยู่ให้จบ ผมจะแอบเนียนถามเรื่องคนที่อยู่ในใจมันด้วยว่าเป็นใคร เลอค่ามากแค่ไหน ไอ้หมีเพื่อนรักของผมพอจะสู้ได้ไหม

ยังไงวันนี้ผมต้องรู้ให้ได้

"มึงลากกูมานี่ทำไม"

"กูให้โอกาสมึงพูดความรู้สึกผิดที่เคยทำต่อกูไว้"

ไอ้ขันมันหรี่ตามองผม "ไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งนั้นแหละ"

"ไอ้ขัน"

"ก็มันจริงหนิ" มันบอกก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ "กูไม่ได้รู้สึกผิดอะไรสักหน่อย อีกอย่างตอนนี้มึงกับไอ้ขุนก็รักกันปานจะกลืนกิน ไม่มีคนขัดขวางแล้วก็ดีไม่ใช่หรอวะ"

"มันก็จริง แต่แม่สอนไว้ตลอดเลยนะว่าถ้าทำผิดต่อใครไว้ให้ไปขอโทษ"

"กูไม่ขอโทษใครทั้งนั้นแหละ"

"มึงมันทิฐิสูง" ผมตีไหล่มันแรงๆ "นิสัยไม่ดีเลย"

"ก็กูเป็นมารร้ายอ่ะ" เออ มึงมันมารร้าย ไม่สิ มึงมันเป็นพญามาร ต่อให้มีผู้ปราบมารสัก 100 คน ก็ไม่มีใครต่อกรมึงได้อ่ะเอาจริงๆ

แล้วนี่จะคิดจริงจังทำไมวะหนม

ผมนั่งลงข้างไอ้ขันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ ก็คิดอยู่หรอกนะเรื่องที่มันจะไม่ขอโทษผมหรือพี่ขุนน่ะ ตัวมันเองก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือบางทีมันอาจจะแอบขอโทษอยู่ในใจตัวเองไง แต่พอเป็นแบบนั้นใครมันจะไปรู้วะว่ามันขอโทษแล้ว ตรรกะอะไรของแม่งก็ไม่รู้ โตมาได้ยังไงตั้ง 21 ปีวะ

ไอ้พี่บ้า

"อย่ามาแอบด่ากูในใจ"

"อย่ามาทำเป็นรู้มาก"

ไอ้ขันมันบีบแก้มผมแรงๆ "มึงนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ เลยนะ ตอนเด็กๆ ก็น่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ"

"ก็ตอนนี้กูโตแล้วไงเล่า" ผมเอามือมันที่บีบแก้มอยู่ออก "อายุจะ 20 แล้วนะ"

"แต่มึงก็ยังเด็กกว่ากูอยู่ดี"

"มึงมันเสร่อเสือกเกิดก่อนไง"

"มึงนั่นแหละที่เสร่อเกิดหลังกู" ไอ้ขันมันยกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ "หนม...."

"หืม...."

"กูรู้ว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มึงกับไอ้ขุนต้องเจอเรื่องลำบากหลายๆ อย่าง กูจะไม่ขอพูดอะไรมากนะ....แต่กูขอให้มึง 2 คน ดูแลรักษาความรักที่มีให้ดีที่สุด อย่าให้เหมือนกู" มันเอ่ยเสียงอ่อน ดวงตาคมฉายแววเศร้าออกมาชัดเจน "ความรักน่ะ....ถ้าเสียมันไปแล้วก็ยากที่จะเอากลับคืนมา"

ความรู้สึกหน่วงนี่คืออะไรวะ

ผมยกมือขึ้นแตะไหล่ไอ้ขันเบาๆ สิ่งที่มันพูดนี่คือยังไงวะ เสียความรักไปแล้วก็คือไม่สมหวังกับคนที่ตัวเองรักหรือยังไง เห็นมันมีสีหน้าเศร้าแบบนี้ผมยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่เลยว่าคนที่มันแอบรักเป็นใคร แต่ดูจากทรงแล้วมันคงจะรักเขามากแน่ๆ เนี่ยะ แล้วพอคิดว่ามันรักเขามากๆ ผมก็รู้สึกสงสารไอ้หมีขึ้นมาเลยว่ะ

"ขัน...กูขอถามอะไรหน่อยได้ป้ะ"

"อะไรอ่ะ"

"หลายปีที่มึงไม่เคยมีแฟนเลยอ่ะ เพราะมึงมีคนที่ตัวเองรัก...ใช่ป้ะ"

มันพยักหน้ารับเบาๆ "ใช่....กูรักเค้ามาตลอด 4 ปี"

"เค้าคือใครวะ"

"กูก็ไม่รู้เหมือนกัน"

เชี่ยยย แบบนี้ก็ได้หรอวะ

"มึงรักเค้าแต่มึงไม่รู้ว่าเค้าเป็นใครเนี่ยนะ" นี่มึงรักเขาจริงๆ ป้ะเนี่ยะ และก็รักมาได้ตั้ง 4 ปีทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครด้วย

งงในงงเลยกู

"ก็ไม่รู้จักชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า"

"แล้วมึงจำอะไรที่เป็นตัวเค้าได้ป้ะเนี่ยะ" มันต้องมีรู้บ้างสักอย่างแหละวะ จะไม่รู้อะไรเลยมันก็ไม่น่าใช่ อย่างน้อยก็น่าจะจำหน้าได้ป้ะ

"ก็เค้าอยู่ชมรมหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน เคยมาสัมภาษณ์กูลงหนังสือพิมพ์โรงเรียนอยู่ น้องเค้าแอบชอบกู ที่กูรู้ก็เพราะว่ากูเห็นว่าเค้าชอบเอาขนมมาแขวนไว้ให้ที่ล็อคเกอร์น่ะ" ไอ้ขันมันคลี่ยิ้มออกมาบางๆ "น้องเค้าสวมแว่นหนาๆ มีเชือกสีแดงผูกอยู่ที่ขาแว่นด้วยนะ เค้าชอบกินน้ำแดง ชอบสีแดง คือเค้าก็ไม่ได้หน้าตาดีหรือว่าน่ารักเว่อร์อะไรหรอก แต่เวลาที่เค้ายิ้มมันสดใสมากเลยว่ะ กูชอบรอยยิ้มเค้ามาก ที่ชอบพอๆ กันก็คือผิวขาวเนียนๆ ของเค้า แต่ผิวเสือกเหมือนเพื่อนมึงเลย"

"เพื่อนกู....หมายถึงไอ้หมีน่ะนะ"

"เออ ตอนเห็นก็รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่หรอก แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันทำให้กูสะดุดตามากตอนที่ได้เจอน่ะ"

ผมพยักหน้ารับรู้ "มึงก็รู้เรื่องของเค้าเยอะเหมือนกันนะ แต่ทำไมถึงไม่รู้ชื่อวะ ไม่เสือกถามไว้บ้างล่ะไอ้บ้า"

"ก็เห็นใส่แว่นก็เรียกน้องแว่นมาตลอด ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเคยได้ยินเพื่อนเรียกชื่อว่า....นรา กูจำได้แค่นั้นจริงๆ ว่ะ เอออีกอย่างคือน้องเค้าตีกลองเป็น เล่นกีต้าร์เก่งแล้วก็ร้องเพลงเพราะมากเลย"

ผมนั่งมองไอ้ขันที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่ค่อยต่างจากที่ไอ้หมีชอบทำ ทั้งความสุขทั้งความเศร้าแม่งปะปนกันไปหมด ฟังจากที่ไอ้ขันมันเล่าถึงคนที่เป็นเจ้าของหัวใจนั่นก็ไม่ธรรมดาเลยนะ ไอ้หมีมันจะไปสู้ไหวได้ยังไงวะ ที่สำคัญคือไอ้ขันมันยังรักเขาทั้งใจเลยด้วย ผมว่าตัวมันเองก็อาจจะตามหาคนๆ นั้นอยู่แต่ว่าแค่ยังไม่เจอเท่านั้นเอง และคนอย่างไอ้ขันแม่งไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว

ควรบอกให้ไอ้หมีตัดใจดีไหมวะ

ผมไม่อยากเห็นมันเจ็บไปกว่านี้

ผมไม่รู้ว่าไอ้หมีมันแอบชอบไอ้ขันมานานรึยัง ตอนแรกผมก็เข้าใจว่ามันแค่ปลื้มไอ้ขันเฉยๆ ปลื้มเหมือนที่คนอื่นๆ เขาก็ปลื้มกัน แต่ความจริงมันไม่ใช่ ไอ้หมีมันก็คิดจริงจังกับไอ้ขัน ความรู้สึกมันตอนนี้อาจจะเปลี่ยนจากชอบเป็นรักแล้วล่ะมั้ง ถ้ามันรู้ว่าไอ้ขันมีคนที่ตัวเองรักแล้วมันจะเป็นยังไงวะ หรือไม่ มันก็อาจจะรู้อยู่แล้ว

ก็นะ....เรื่องของไอ้ขันมันรู้แทบทุกอย่าง

ใจนึงก็คิดนะว่าผมควรจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป มันเป็นเรื่องส่วนตัวไง เราจะไปยุ่มย่ามมากก็ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเคารพการตัดสินใจของทั้งไอ้ขันและก็ไอ้หมี ที่ผมพอจะทำได้ก็คงจะเป็นเอาใจช่วยเพื่อนรักอยู่ห่างๆ แล้วล่ะ เพราะถึงจะเสนอหน้าจะช่วยยังไงไอ้หมีมันก็คงคิดจะทำทุกอย่างคนเดียวแน่ๆ เหมือนกับที่เก็บความทุกข์ทุกอย่างไว้คนเดียวตลอดเวลา

คิดแล้วปวดหัวแทนมันชิบ

"ไอ้หนม"

"หืม"

"ทำไมอยู่ดีดีมึงถึงอยากรู้เรื่องของกูวะ ใครฝากมาถามรึไง"

ผมส่ายหน้ารัวๆ "ก็กูเห็นมึงพูดว่าให้รักษาความรักให้ดีดี อย่าให้เป็นเหมือนมึง กูสงสัยก็เลยถามเฉยๆ ไม่มีอะไร"

"เออ แล้วไม่ต้องไปบอกใครต่อล่ะ กูไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น"

"ไม่บอกใครหรอกว่ะ เออขัน มึงลองไปยืนตรงนั้นดิ้" ผมดันให้มันลุกไปยืนด้านหน้า

"อะไรของมึง ให้กูมายืนตรงนี้ทำไมวะ"

"ก็......" ผมพุ่งเข้าไปผลักมันสุดแรงจนมันหงายหลัง

ตู้มมม

"อื้ออ.อ.อ....แค่กก.ก.ก....ไอ้เชี่ยหนม!!!! "

"ฮ่าๆๆๆ สมน้ำหน้า กูหมั่นไส้มึงมานานละ แบร่บๆๆๆๆ " ผมแลบลิ้นใส่มันอย่างกวนประสาท

ไอ้ขันมันวักน้ำขึ้นมากระเด็นใส่ผม "ไอ้น้องเวร เดี๋ยวกูจะไปด่าผัวมึงแทน เดี๋ยวก่อน"

"อย่าทำพี่ขุน"

"ไม่ปฏิเสธด้วยว่าเป็นผัว" ไอ้ขันมันทำหน้าเหี้ยมขึ้นมาทันที "นี่มึงได้กันแล้วหรอห้ะ!!!! "

ผมยืนแคะหูพลางตีหน้าซื่อใส่ "พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง"

"ไอ้เชี่ยหนม!!!! "

"เข้าบ้านดีกว่า" ผมโบกมือบ๊ายบายมันก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้ามาในบ้าน ได้ยินเสียงไอ้ขันแหกปากโวยวายตามหลังมาด้วยแฮะ

ตลกชะมัด

ความจริงผมตั้งใจจะถีบมันลงสระด้วยซ้ำแต่กลัวแรงจะไม่มากพอที่จะทำให้มันขยับ นี่แหละสาเหตุที่ลากมันไปคุยข้างสระน้ำก็เพราะแบบนี้ เดี๋ยวถ้ามันขึ้นมาจากสระได้คงตามมาด่าผมถึงในครัวแน่เลย แต่ไม่เป็นไรช่างแม่ง ถ้ามันพูดมากเดี๋ยวผมเอามีดแทงเอง หลังจากที่วางแผนฆ่าไอ้ขันไว้ในใจเสร็จแล้วผมก็เดินเข้าไปในครัว พี่ขุนก็กำลังทำกับข้าวอยู่

กลิ่นนี่หอมเชียว

ผมเดินมาด้านหลังพี่ขุนก่อนจะชะเง้อคอมองหน่อไม้ฝรั่งที่พี่ขุนกำลังผัด "น่ากินจัง"

"พี่น่ะหรอครับ"

"กับข้าวต่างหาก" ผมกดจมูกลงบนบ่าพี่ขุนเพื่อสูดกลิ่นหอม "เหลืออีกเยอะไหม"

"เยอะครับ พี่เพิ่งทำอย่างแรกเองเนี่ยะ"

"งั้นหรอ มีอะไรให้หนมช่วยป้ะ"

พี่ขุนหันมาหอมแก้มผมดังฟอด "ไปนั่งเป็นกำลังใจให้พี่แล้วกันนะครับ"

"โอเค เรื่องเป็นกำลังใจนี่หนมถนัดเลยล่ะ" ผมอมยิ้มให้เจ้าตัวก่อนจะเดินมานั่งเท้าคางมองมันทำกับข้าว

ชอบเวลาที่ได้เห็นพี่ขุนหยิบโน่นจับนี่อย่างชำนาญมากเลยอ่ะ ผู้ชายเข้าครัวนี่มันดีจริงๆ นั่นแหละ อาหารที่พี่ขุนทำก็ไม่ได้ธรรมดานะครับ มันอร่อยมากเลยด้วย เอาจริงๆ ฝีมือระดับนี้เปิดร้านอาหารได้เลยนะ

ลูกค้าคงเยอะน่าดู

"พี่ขุน"

"ว่าไงครับ"

"พี่อยากมีร้านอาหารของตัวเองไหม แล้วพี่ก็ไปเป็นเชฟ"

"ไม่เอาอ่ะ พี่อยากเป็นแฟนหนมมากกว่า"

เดี๋ยวนะพ่อหนุ่ม....มันไม่เกี่ยวกันไหมล่ะ

"พี่ก็เป็นแฟนหนมอยู่แล้วไง ไหนตอบใหม่ซิ อยากเป็นเชฟไหม อยากมีร้านอาหารรึเปล่า"

"ไม่อยากครับ" พี่ขุนปิดเตาแก๊สก่อนจะเดินมาจุ๊บหน้าผากผม "....พี่ชอบทำอาหารให้คนที่ตัวเองรักทานเท่านั้น"

ตึกตัก

ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเองทันที "พี่ขุน....พูดอะไรก็ไม่รู้"

ใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ยะ

"พี่พูดความจริงนี่ครับ" มันเอ่ยเสียงนุ่มพลางยิ้มหวานให้ผมก่อนจะหันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ มาทำหวานให้ใจสั่นแล้วก็ไปกลับไปทำกับข้าวเฉยเลยครับ

เป็นคนที่เดาอารมณ์ยากจริงๆ

ผมนั่งมองพี่ขุนทำกับข้าวพลางคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมจะต้องนั่งรีไรท์นิยาย ต้องทำให้เสร็จก่อนที่จะเริ่มเตรียมงานกีฬาซึ่งมันก็มีเวลาอีกแค่ 4 วันเท่านั้น เพราะงั้นผมจะต้องรีบหน่อย ถึงช่วงทำงานของคณะจะได้เหนื่อยแค่งานคณะอย่างเดียว นี่ไม่รู้ว่าคนที่ยืนทำกับข้าวอยู่นั่นได้รับหน้าที่อะไรในงานกีฬาสีบ้าง ผมยังไม่ได้ถามเลยแต่เดี๋ยวค่อยคุยกัน ส่วนตอนนี้ผมมีอะไรบางอย่างที่อยากจะทำ....

"พี่ขุน"

"ว่าไงครับ"

"หนมรักพี่ขุนนะ"

เคร้งงง

"ฮ่าๆๆๆๆๆ พี่ทำตะหลิวร่วงทำไม" ผมหัวเราะลั่นทันทีที่เห็นแบบนั้น ร่างสูงก้มลงหยิบตะหลิวก่อนจะหันมองผมด้วยแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ

"อยู่ดีดีเราก็มาบอกรักพี่หนิ" พี่ขุนยกมือขึ้นลูบคอตัวเองเบาๆ "เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะ"

"หึ....น่ารักชะมัด"

แพ้ทางซะบ้างนะพี่ขุนนะ


---------- 50% ---------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 33 : 24/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-01-2018 23:01:12
---------- ต่อจากบท 33 ----------




การกินข้าวร่วมกันของ 2 ครอบครัวนี่เป็นอะไรที่วุ่นวายมาก

ปวดประสาทสุดๆ

ผมนอนแผ่อยู่บนเตียงหลังจากทำภารกิจของตัวเองเสร็จแล้ว ทั้งกินข้าวเอย รีไรท์นิยายเอย อาบน้ำเอย ตอนนี้เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ แล้วครับ ผมไล่รีไรท์นิยายตัวเองไปได้หลายบทเหมือนกัน ตอนนั่งแก้คำผิดนี่โคตรปวดประสาท เนี่ยะ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสได้แต่งเรื่องหน้าจะต้องตั้งสติให้ดีกว่านี้

ตั้งสติให้ดีกว่านี้มากๆ ด้วย

ตอนนี้พี่ขุนกำลังอาบน้ำอยู่ครับ วันนี้มันนอนค้างที่บ้านผม ไอ้ขันมันโวยวายใหญ่เลยนะจะไม่ให้พี่ขุนค้าง แต่ป๊าบอกว่านี่บ้านป๊า ป๊าจะให้ใครนอนก็ได้ ไงล่ะ สตั้นท์แดกไป 3 วิเลยสิมึง

สมน้ำหน้า

ผ่านไปแปปนึงร่างสูงก็เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่หัวเปียก "หนมครับ"

"หืม..."

"ไดร์ผมให้พี่หน่อยได้ไหม"

"ได้สิ" ผมลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปหาพี่ขุนที่นั่งลงอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้มันเบาๆ

"ผมยาวทิ่มตาหมดแล้วนะเนี่ยะ"

"เดี๋ยวก่อนเปิดเทอมพี่จะไปตัดผม"

"เออพี่ขุน มันมีช่วงนึงที่หนมสังเกตว่าผมพี่เริ่มยาวแล้วแต่ทำไมสีผมมันถึงยังเทาอยู่เหมือนเดิมอ่ะ มีแค่ช่วงนี้แหละที่โคนดำเยอะแบบนี้"

"ก็พี่ไปเติมโคนไง แต่จากก่อนช่วงเริ่มรับน้องพี่ก็ไม่ได้ไปทำแล้วเพราะว่ารอตัดผมแล้วก็เปลี่ยนสีทีเดียว"

"กลับไปผมดำก็ดีเหมือนกันนะ มีเสน่ห์ดึงดูดสายตามากเลย" ผมหยิบไดร์มาเริ่มเป่าผมให้

เจ้าตัวมองผมผ่านกระจก "หนมเคยเห็นตอนที่พี่ผมดำด้วยหรอ"

"เคยสิ ก็พี่ขุนมาเคลียร์กับแก้มใสข้างๆ โต๊ะที่หนมนั่ง"

"วันที่พี่เคลียร์กับแก้มใสก็เป็นวันที่พี่เจอหนมครั้งแรกนะ หนมมาที่ตึกวิศวะฯ อ่ะ"

"ไอ้ขันมันให้หนมไปหาที่ตึกน่ะสิ เอาจริงๆ การที่พบกันน่ะมันเป็นความบังเอิญมากๆ เลยนะ ต้องขอบคุณแก้มใสที่ทำให้พี่ต้องมาที่ตึกนิเทศ มันทำให้หนมได้เจอพี่"

"งั้นพี่ก็ต้องขอบคุณพี่ขันเหมือนกันสินะที่ให้หนมไปหาที่ตึก พี่เลยได้เจอหนม ต้องขอบคุณนกที่ตกจากรังด้วย และต้องขอบคุณหนมที่ไปช่วยพวกมันเอาไว้ เพราะการกระทำนั้นเลยที่ทำให้พี่ชอบหนม"

"เป็นการชอบที่ดูไร้เหตุผลมากเลยนะ"

"กับคนที่ใช่....ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญหรอกครับ" พี่ขุนคว้ามือผมที่ลูบหัวตัวเองอยู่ไปจุ๊บเบาๆ "ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก พี่รู้สึกตัวเองโชคดีจริงๆ นะที่ได้เจอหนม และก็รู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคนๆ นี้"

ผมวางปิดไดร์แล้ววางไว้บนโต๊ะ มือก็ประคองแก้มพี่ขุนให้เงยหน้าขึ้นมอง "หนมเองเหมือนกัน" ว่าแล้วผมก็ก้มลงไปจุ๊บปากพี่ขุนเบาๆ

เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มผม "ไปที่เตียงกันเถอะครับ"

"พี่ขุน!!! "

"คือจะไปนอนไงครับ....คิดอะไรลามกอีกแล้วล่ะสิ"

"หนมเปล่าสักหน่อย" ผมทำหน้ามึนแล้วเดินหนีมานอนลงบนเตียงทันที โถ่หนมเอ้ย เด๋อแดกเลยนะเมื่อกี้ แต่คำพูดพี่ขุนมันก็ชวนคิดจริงๆ แหละ อยู่ดีดีบอกว่าไปที่เตียงกันเถอะ

เป็นใครมันจะไม่คิดวะ

ร่างสูงเดินเอาผ้าขนหนูไปตากก่อนจะมาล้มตัวนอนลงข้างๆ ผมขยับเข้าไปกอดพี่ขุนไว้ มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ เชิงกล่อม ชอบความรู้สึกนี้จริงๆ เลยนะ การได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่ตัวเองรักเนี่ยะมันเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ มันทำให้เรารู้สึกสบายใจ ทำให้เรารู้สึกมีความสุข พอเป็นแบบนี้ผมก็ต้องรักษาเจ้าของอ้อมกอดไว้นานๆ สินะ

"มองหน้าพี่ทำไมครับ"

"มองไม่ได้หรอ"

"มองได้ครับแต่อย่ามาทำตาแป๋วใส่" เจ้าตัวจุ๊บหัวผมเบาๆ "ใจพี่บางนะรู้ไหม"

"เอาหน่า พี่ขุนทำให้ใจหนมสั่นออกจะบ่อย ตัวเองใจบางนิดหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แฟร์ๆ เนอะ" ผมเอ่ยพลางยิ้มหวานให้

"ไม่แฟร์ครับ เพราะเวลาที่พี่ใจบางก็จะอยากแง่มหนม แต่เวลาหนมใจสั่นหนมไม่อยากแง่มพี่ เนี่ยะ ไม่แฟร์"

ตรรกะความแฟร์ของมึงคืออะไรอ่ะพี่ขุน

"พี่นี่มันหมกมุ่นจริง หนมนอนดีกว่า" ผมบอกก่อนจะรีบหลับตาหนี พอๆ ขืนยังเถียงกับมันก็ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันล่ะ ดีไม่ดีอาจจะโดนแง่มด้วย

"ฝันถึงพี่ด้วยนะ"

ผมลืมตามองมันข้างนึงทันที "ไม่ฝันถึงได้เปล่า"

"ไม่ได้"

"ทำไมหนมต้องฝันถึงพี่ด้วยล่ะ"

"ก็ถ้าหนมเจอมังกรปีศาจในฝัน พี่จะได้เป็นอัศวินขี่ม้าขาวไปช่วยไง" พี่มันยิ้มหวานก่อนจะหอมแก้มผมฟอดใหญ่ แขนแกร่งก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก "หย่อนเชือกลงมาจากหอคอยไว้ให้ด้วยล่ะเจ้าชายขนม เดี๋ยวอัศวินขุนศึกจะปีนขึ้นไปหานะครับ"

"ปีนขึ้นมาทำไม"

"แง่ม"

เนี่ยะ....บทจะน่ารักก็น่ารักไม่สุด

"พี่แม่งหมกมุ่นจริงๆ นั่นแหละ"

เพลียใจจริงๆ เลยว่ะ









TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งขุนหนมแล้ว ขอโทษที่ทำให้รอนานเลยคือเพิ่งเสร็จสดๆ ยังไม่ได้ตรวจยังไม่ได้แก้อะไรทั้งนั้น เดี๋ยวชาลจะตามแก้ให้นะคะ

ที่มาส่งช้าเนี่ยะเพราะว่าเมื่อช่วงหัวค่ำชาลเป็นแพนิคค่ะ สาเหตุมันมาจากการเกือบโดนรถมอเตอร์ไซค์ชน โชคดีที่เขาเบรคทัน มันเป็นช่วงที่รถเค้าจะเลี้ยวเข้าซอยพอดีแล้วชาลก็หันไปมองร้านราดหน้าพอดีก็เลยไม่เห็นรถ แล้วฝ่ายนั้นก็ไม่ได้บีบแตรด้วย รู้ตัวอีกทีคือรถถึงตัวแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาลตกใจมากจนเป็นแพนิค แล้วพอเป็นแพนิคเนี่ยะก็จะไม่สามารถแต่งนิยายต่อได้จนกว่าอาการจะดีขึ้น ตอนแรกชาลกะว่าจะรอให้ขุนหนมจบก่อนแล้วจะไปพบจิตแพทย์ แต่ดูจากทรงแล้วอาจจะไปพบวันหยุดที่จะถึงนี้แหละค่ะ ไม่อยากจะรออีกแล้วเพราะหวั่นว่ามันจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตไปมากกว่านี้ เอาใจช่วยกันด้วยนะคะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ชาลลงเรื่องสั้น Distance : ระยะห่าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65467.0) แล้วนะ สามารถไปอ่านกันได้เลย ติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis (https://twitter.com/Chaleeisis) น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 33 : 24/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-01-2018 00:16:34
งดครึ่งปี อีพี่ขุนตายแน่

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 33 : 24/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-01-2018 03:53:29
อีพี่ขุนมีอ่อยจะแอ๋มหนมในความฝันด้วยนะ หื่นและหวานได้คงที่มาก  :hao3:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 34 : 31/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 31-01-2018 20:39:01
บทที่ 34 คำขอบคุณ



"มึงเขียนรึยังไอ้หมีว่าจะเอาอะไรบ้าง"

"เชอะ"

"เชอะอะไรของมึง"

"เชอะ" มันสะบัดหน้าหนี "หยั่มมายุ่ง"

กวนส้นตีนหรอห้ะ

"เป็นอะไรของมึงห้ะไอ้เชี่ยหมี อยากตายงั้นหรอ" ว่าแล้วไอ้เป้มันก็จับคอไอ้หมีเขย่า

เออฆ่ามันเลยเป้

น่าหมั่นไส้นัก

ผมนั่งมองไอ้หมีที่กำลังจะขาดอากาศตาย คือตอนนี้ผมและเหล่าสหายได้มาสุมหัวกันอยู่ที่หอไอ้หมีเพื่อประชุมและตกลงกันเรื่องกีฬาสีครับ มากันตั้งแต่เช้าละแต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย เพราะพวกแม่งมัวแต่ติดเล่นกัน นี่ไอ้ปั้นกับไอ้เผือกออกไปซื้อข้าวอยู่ ผมว่าถ้าพวกมันกลับมาแล้วรู้ว่างานยังไม่ถึงไหน พวกผมต้องโดนด่าจนหูชาแน่ๆ

เตรียมหาอะไรอุดหูไว้ดีไหมวะ

"พอละเป้ เดี๋ยวมันตาย" ไอ้ภีมมันเอ่ยปราม

ไอ้ไผ่หันมองตามเสียงทันที "กิน กูอยากกินปลากราย"

"ปลากรายอะไรของมึงวะไอ้เชี่ยเตี้ย ไอ้ภีมมันพูดว่าตาย" ไอ้เป้มันโวยใส่

"ทรายหรอ เอาทรายมาทำไม"

"โว้ยยยยไอ้ไผ่ ตายตามไอ้หมีไปซะเถอะมึง" แล้วไอ้เป้มันก็เปลี่ยนเป้าหมายจากไอ้หมีมาเป็นไอ้ไผ่แทน

อะไรของพวกมึงกันวะ

"พวกมึงนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ " ไอ้ภีมมันบ่นอย่างเอือมๆ ก่อนจะขยับมานั่งลงข้างผม "เหลือเรา 2 คนแล้วล่ะหนม"

"นั่นสินะ พวกเราต้องทำอะไรบ้างนะภีม"

"ก็พร็อพ คัตเอาท์ แล้วก็มีอุปกรณ์ประกอบของสแตนด์เพิ่มเติมอีกอ่ะ"

"งบที่เค้าให้มาจะพอไหมเนี่ยะ"

"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ถ้าเข้าเนื้อก็ต้องเนื้อพวกเราอยู่ดี" ไอ้ภีมมันเลื่อนมากระซิบข้างหูผมเบาๆ "แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจิ๊กเงินไอ้เป้มาให้เอง"

"เออมึงทำดีมาก"

"เห้ยมึงทำอะไรกันวะ" ไม่มีแค่เสียงที่ดังมานะครับ หมอนใบใหญ่ก็ลอยมาเหมือนกัน แถมยังลงที่หัวผมกับไอ้ภีมพอดีเลยด้วย

มึงนี่มัน....

ผมหันไปทำตาขวางใส่ไอ้เป้ อยากตายเหรอวะถึงได้ปาหมอนมาโดนกูเนี่ยะ ปกติมันไม่กล้าทำอะไรผมเลยนะ สงสัยเมื่อกี้จะหึงที่เมียตัวเองมาใกล้ผมแน่ๆ แหม่ไอ้สัส กับเพื่อนกับฝูงนี่มึงก็หยวนๆ บ้างเถอะ ล่ามไว้ในห้องน้ำเลยไหมห้ะเมียมึงน่ะ หึ้ยยย....ยยย

หงุดหงิดอะไรวะหนม

ตอนนี้กลายมาเป็นไอ้ภีมที่โดนไอ้เป้ยำต่อ ส่วนไอ้หมีกับไอ้ไผ่ก็นอนก่ายกันอย่างหมดสภาพ ใจคอไอ้เป้นี่กะทำให้เพื่อนตายจนหมดเลยสินะ ผมนั่งเท้าคางมองมันจัดการไอ้ภีม มันเป็นการจัดการที่สองมาตรฐานสุดๆ อ่ะ ทีกับเพื่อนนี่บีบคอบ้างล่ะ เอาหมอนฟาดบ้างล่ะ ทีกับเมียนี่ไล่ฟัดไล่หอม งับแก้มงับคออย่างงี้

ขนาดนี้มึงก็แง่มกันเลยเถอะ

แหม่ๆ ๆ ๆ

"หนม" ไอ้หมีมันกระดึ๊บๆ มาเอาหัวหนุนขาผม "ง้อกูซะ"

"ง้อทำไมวะ"

"ก็มึงหนีไปทะเลโดยไม่บอก"

ผมยกมือขยี้หัวมันเบาๆ "เพื่อนหนมอยากไปกับแฟน 2 คนไง"

"เน่!!!" ไอ้หมีมันถลึงตาใส่ "ยังจะมาพูดให้อิจฉาอีก"

"มึงก็หาแฟนสิวะ แล้วก็ค่อยไปสวีทกัน 2 คน"

"พูดง่ายแต่ทำยากเลยนะมึง"

"ยากตรงไหนวะ"

"ก็คนที่กูอยากเป็นแฟนด้วย เค้าไม่ได้อยากเป็นแฟนกับกูน่ะสิ" มันเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบสมุดงานมา "ทำงานกันดีกว่าโว้ยยยย เห้ยมึง 2 คนอ่ะ ถ้าจะเอากันก็ไปเอากันในห้องน้ำไป้ ส่วนมึงไอ้ไผ่ ตั้งสติแล้วมาเตรียมคิดฉากของคัตเอาท์ เร็วๆ เลย"

เปลี่ยนอารมณ์เร็วชิบหาย

ไอ้หมีที่แอบดราม่าเมื่อกี้กลายมาเป็นไอ้หมีที่แอคทีฟและพร้อมทำงานแล้วครับ อะไรของแม่งก็ไม่รู้ คำพูดที่มันเอ่ยออกมาเมื่อกี้เรื่องคนที่มันอยากเป็นแฟนด้วยอะไรนั่นคงหมายถึงไอ้ขันแน่ๆ เห็นมันทำหน้าเศร้าผมก็ไม่รู้จะปลอบใจมันยังไงดี ช่วงนี้อาการไอ้หมีมันแปลกๆ ด้วย รู้สึกว่าอาการฝันร้ายของมันจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางวันแทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ

สภาพย่ำแย่สุดๆ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ที่มันจะเล่าเรื่องฝันร้ายนั่นให้ฟังสักที เอาจริงๆ มันน่าจะเล่าปัญหาในชีวิตให้เพื่อนฟังบ้าง ถึงพวกผมอาจจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ แต่ว่าก็อยากให้มันได้ระบายออกมานะ เก็บไว้คนเดียวทุกอย่างแบบนั้นก็ประสาทแดกพอดี

"เลิกจ้องหน้ากูสักทีหนม กูไม่ได้เป็นอะไร" แน่ะ อ่านใจกูออกอีก มึงนี่มันยอดมนุษย์จริงๆ นั่นแหละไอ้หมี

"กูเปล่าซะหน่อย" ผมทำเป็นตีหน้าซื่อใส่ "ทำงานกันดีกว่า"

"เออ....มึงว่าคอนเซ็ปต์เราควรทำคัตเอา์แบบไหน"

"คัตเอาท์นี่ต้องเป็นอะไร ไม้หรอ"

"เออเป็นไม้ เราต้องวาดภาพ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ เราควรวาดภาพยังไง"

ไอ้ไผ่มันหยิบกระดาษกับดินสอมาก่อนจะร่างให้ดู "ในส่วนคัตเอาท์มันควรจะเป็นฉากป่าเพราะตามคอนเซ็ปต์ของเรามันคือสัตว์โลกน่ารัก แต่ฟีลของป่าคือจะให้ใช้สีเขียวเหลืองยังไงมันก็ไม่สดใสอยู่ดี เพราะงั้นเราควรจะทำให้บีจีด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าที่เห็นท้องฟ้าด้วย ก็ประมาณนี้" ว่าแล้วมันก็ยื่นกระดาษมาให้

"กูว่าแบบนี้ก็ได้อยู่" ไอ้ภีมมันขยับมานั่งข้างผมในสภาพที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง

ไอ้หมีมันหรี่ตามอง "ฟัดกับผัวเสร็จแล้วหรอ"

"เออเสร็จละ ไอ้เป้มึงมานั่งช่วยกันทำงานซิเนี่ย มันจะได้ดูเป็นชิ้นเป็นอันก่อนไอ้ปั้นจะมา" สิ้นเสียงไอ้ภีมสั่งไอ้เป้ก็มานั่งข้างๆ ก่อนจะหยิบกระดาษที่ไอ้ไผ่วาดไปดู

"แล้วพร็อพมึงจะเอาไงไอ้เตี้ย"

"ก็เอาเป็นต้นไม้นั่นแหละ ในส่วนของคัตเอาท์ตรงนี้ที่เป็นต้นไม้ข้างๆ กูว่าถ้าทำใบไม้เป็นใบมาติดมันจะสวยกว่า อาจจะเสียเวลาส่วนนี้หน่อยแต่งานคงจะออกมาดี ส่วนบริเวณด้านล่างสแตนด์ก็เอาต้นไม้จริงๆ มาวางซะ ตรงนี้กูจะจัดการให้เอง"

"งั้นเรื่องหาสัตว์ป่ากูจะจัดการเองละกัน เดี๋ยวกูโทรให้พ่อไปจับเสือแปป"

เดี๋ยวนะไอ้หมี

"จับมาทำโพ่งอ่ะเสือ เอามาแดกหัวมึงหรอ" ผมโวยใส่พร้อมกับโขกหัวมันไปทีนึง เผื่อความต๊องจะได้หายไปบ้าง

"กูเจ็บนะหนม" มันเบะปากใส่ผมก่อนจะทำตาโตใส่ "คอนเซ็ปต์มันเป็นสัตว์โลกน่ารักมันก็ต้องมีสัตว์เซ่ มึงจะให้มีแต่ต้นไม้ใบหญ้ารึไงห้ะ ไม่รู้แหละกูจะโทรไปให้พ่อออกไปจับเสือมา ให้พ่อจับจระเข้มาด้วย ม้าลายด้วย ยีราฟด้วย กูจะทำให้สแตนด์เราอลังการเลยมึงคอยดู้วววววว!!!"

มึงจะโวยวายทำไมวะ

"เสียงดังจริงไอ้เชี่ยหมี" ไอ้เป้มันหยิบหมอนมาปาใส่ก่อนจะหันมองผม "แต่กูก็คิดเหมือนไอ้หมีนะว่ามันต้องมีสัตว์ด้วย"

"เห็นไหมล่ะ ไอ้เป้ก็คิดเหมือนกูเห็นไหมห้ะคณาณัฐ!!!"

นี่มึงแค้นไรกูป้ะเนี่ย

"ไอ้สัสหมี" ไอ้ภีมมันกระชากไอ้คนเสียงดังไปล็อกคอไว้แน่น "ไอ้เป้มันเห็นด้วยว่าควรจะมีสัตว์ แต่ไม่ใช่สัตว์ตัวเป็นๆ โว้ย มันหมายถึงหุ่น สมองมึงเป็นอะไรห้ะ ห้ะ!!!"

"โว้ยยยย หายใจไม่ออก"

โอ่ย หูจะแตก

ผมยกมือขึ้นปิดหูตัวเองเพราะรำคาญเสียงว้ากของพวกมัน เพื่อนไผ่เองก็ยกมือปิดหูเหมือนกันครับ ก็ไม่รู้ว่าจะโวยวายอะไรกันนักหนาโดยเฉพาะไอ้หมีเนี่ยะ แล้วเจ้าตัวดูจริงจังกับการจะให้พ่อไปจับเสือมาให้มากเลยนะ สมมุติพ่อไอ้หมีสามารถไปจับเสือตัวเป็นๆ มาได้จริงๆ แล้วเอามาเป็นพร็อพตกแต่งสแตนด์นี่ผมว่าน่าจะอยู่กันไม่สุขอ่ะ

อ่ะ ละก็คิดจริงจังตามมันทำไมเนี่ยะหนม

ครื้ดดดด....ดดด

ผมเลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย "ว่าไงพี่ขุน"

(คิดถึงจังเลยครับ)

ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น "คิดถึงอะไรเล่า ห่างกันยังไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ"

(ไม่รู้หรอครับว่าความคิดถึงมันห้ามกันไม่ได้....แล้วทำไมเสียงดังกันจังเลยล่ะ หนมอยู่ที่ไหนเนี่ยะ)

"ก็อยู่หอไอ้หมีนั่นแหละ แปปนะ" ผมบอกก่อนจะปลีกตัวเดินออกมาตรงระเบียงเพื่อคุยโทรศัพท์ "ฮัลโหล....ได้ยินไหม"

(ได้ยินครับ....แล้วนี่ยังประชุมกันอยู่หรอ)

"ใช่แล้ว ก็คุยกันพอได้เรื่องบ้างนั่นแหละ" แต่ถ้าไอ้หมีไม่กลายเป็นบ้าก็น่าจะได้เรื่องมากกว่านี้เยอะ

(อ๋อ แล้วนี่จะให้พี่ไปรับกี่โมง)

"ก็เย็นๆ แหละมั้ง แล้วนี่พี่ขุนทำอะไร ไม่ประชุมงานหรอ"

(รอพี่ขันอ่ะ เค้ายังไม่มาเลย พี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมเค้าถึงมาช้า)

"แปลกจริงเพราะปกติมันไม่เคยสาย ให้หนมโทรไปด่ามันให้ไหม"

(ไม่ต้องเลยนะ พี่บอกว่าให้คุยกับพี่ขันดีดีไง เป็นพี่น้องกันก็ต้องคุยกันดีดีเข้าใจไหมครับ)

"งื้ออ.อ.อ...ไม่เข้าใจ"

(ขนม....)

"อย่าดุนะ หนมไม่ให้พี่ดุ" ผมทำเสียงอ่อนเข้าสู้ "อืมมม....ประชุมเสร็จแล้วรีบมารับนะครับ"

(เรานี่มันน่าฟัดจริงๆ เลยนะ ตอนเย็นก่อนเถอะ....พี่ขันมาแล้วครับหนม งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ)

"ครับ ตั้งใจทำงานนะ" ผมบอกก่อนจะกดวางสาย พอหันหลังกลับเพื่อจะเดินเข้าข้างในก็พบกับสายตาของหมีเพื่อนรักยืนจ้องอยู่

นี่ถ้าแดกหัวผมได้มันคงแดกไปแล้วล่ะ

"อะไรมึง มองกูทำไม"

มันเบ้ปากใส่ "แหม แอบมาคุยโทรศัพท์กับผัว"

"ก็คนมันมีอ่ะ"

"กูไม่อิจฉามึงหรอกนะ" มันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผมก่อนจะล้วงบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ

ไหนมึงบอกว่าจะเลิกบุหรี่ไง

ผมยืนมองไอ้หมีที่กำลังอัดควันเข้าปอด แววตามองท้องฟ้าด้านหน้าอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้รู้สึกเศร้าแน่ๆ ช่วงที่มันบอกว่ามันจะเลิกบุหรี่ก็ไม่เห็นมันสูบเลยนะจนมาถึงวันนี้ สงสัยอาจจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวจนต้องพึ่งบุหรี่แล้วล่ะ เอาจริงๆ ผมก็ไม่เห็นประโยชน์จากการสูบบุหรี่สักเท่าไหร่หรอก ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมไอ้หมีต้องสูบมัน

"หมี"

"หืม...."

"ทำไมต้องสูบบุหรี่ด้วยวะ"

"เวลาที่เห็นควันจางๆ ออกมา มันทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองน่ะ กูชอบนะตอนที่อัดควันเข้าไปแล้วหัวมันโล่งๆ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแม้จะแค่ไม่กี่วิ"

"แต่พอมึงปล่อยควันออกมา มันก็หม่นหมองเหมือนเดิม"

"หึ....เดี๋ยวนี้สีหน้ากูมันแสดงออกมาเกินไปสินะ" มันเอ่ยอย่างติดตลก "ชักไม่ได้การละ"

"มึงโอเคไหมเนี่ย เพื่อนๆ เป็นห่วงมึงนะหมี"

"กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย มาห่วงกูกันทำไม"

"ตัวมึงก็รู้ตัวดีว่าเป็นหรือไม่เป็น ไอ้อาการที่มึงเป็นทั้งหมดเนี่ยะมันเป็นเพราะไอ้ขันรึเปล่า"

มือที่กำลังจะยกบุหรี่ขึ้นสูบชะงักไป เจ้าตัวเหลือบมองผม "มันจะ....ไปเกี่ยวกับพี่ขันได้ไงวะ"

"ถึงมึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่หน้ามึงมันแสดงออกมาเต็มๆ เลยนะว่าเกี่ยว"

"มึงพูดอะไรอ่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง" ว่าแล้วมันก็ทำเป็นตีหน้าซื่อใส่เหมือนกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

ไอ้หมีนี่มันไอ้หมีจริงๆ เลยนะ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้รู้เรื่องรู้ราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับไอ้ขันและไอ้หมีสักที คือที่รู้ๆ มามันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเอง จะไปแอบสืบเงียบๆ มันก็เป็นไปได้ยากอีกอ่ะ ไม่มีใครรู้เรื่องไอ้หมีมันมากกว่าตัวมันอีกแล้ว ครั้นจะไปถามพี่กล้วย ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขามากขนาดนั้น เฮ้อ....เรื่องก็เรื่องของไอ้หมีแท้ๆ ทำไมต้องมารู้สึกปวดหัวแทนด้วยวะ

เพราะเป็นห่วงมันแน่ๆ

ตอนนี้กำลังคิดว่ามันพอจะมีทางไหนบ้างที่จะทำให้ไอ้หมีกับไอ้ขันได้กัน แต่ก่อนจะคิดถึงขั้นได้กันผมว่าเราควรคิดก่อนว่าจะทำให้ไอ้ขันเลิกเกลียดไอ้หมีได้ยังไง คือต่อให้ผมเดินไปบอกมันว่าไอ้หมีไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้แบบที่มึงคิดนะ แต่คิดเหรอว่าคนอย่างมันจะเชื่อ ขนาดเรื่องของพี่ขุนยังต้องพูดแล้วพูดอีก ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะเชื่อสนิทใจรึยัง

คิดเรื่องพวกนี้ทีไรก็อยากจะถอนหายใจออกมาซ้ำๆ

"มึงไม่ต้องเก็บเรื่องของกูไปสุมอยู่ในหัวเลยนะไอ้หนม" ไอ้หมีมันบอกก่อนจะบีบแก้มผมแรงๆ "ชีวิตมึงคิดแค่เรื่องนิยายก็พอแล้ว"

"อื้อออ.อ.อ....แก้มกู" ผมจับมือมันออก

"กูจริงจังนะหนม กูจัดการทุกอย่างได้หน่า นี่หมีคนแกร่งนะ กูว่าเรามาคุยเรื่องงานกีฬาสีกันดีกว่า"

ผมทำหน้ามุ่ยใส่มัน "เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะมึง"

"เออน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะให้พ่อไปจับเสือ"

"เดี๋ยว มึงยังไม่ล้มเลิกเรื่องเสืออีกหรอวะ"

"ก็เสือมันต้องมี ป่าไหนมันไม่มีเสือบ้าง ไม่มีหรอก" มันเอ่ยอย่างจริงจังก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ไว้ที่จานเขี่ย "เออหนม กีฬาสีครั้งเนี้ยะกูมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่ะ"

"เรื่องอะไรวะ"

"เรื่องปัญหาระหว่างสาขา พวกเราคือคมคุมซ้อมสแตนด์ใช่ไหมล่ะ แต่ว่าเด็กที่ขึ้นสแตนด์ก็ไม่ใช่แค่ของสาขาเราไง กูคิดว่ามันไม่น่าจะลงรอยกันได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็น่าจะมีวอร์บ้าง"

"มึงคิดมากไปรึเปล่า มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ"

"คือมันมีเรื่องแบบนี้ทุกปีว่ะ ปีเราก็ไม่น่ารอด ตอนแรกกูคิดว่าพี่ม่านน่าจะเลือกเฮดของสแตนด์เป็นกู แต่เหมือนเค้ารู้ว่ากูไม่ถูกกับหัวหน้าของอีกสาขา"

ผมหันขวับมองมันทันที "มึงเนี่ยนะที่ไม่ถูกกับหัวหน้าของอีกสาขา"

"เออสิ พี่ม่านเค้าคงรู้ว่าถ้ากูเป็นคนคลุมสแตนด์ อีกสาขาต้องไม่อ่อนข้อให้แน่ๆ เค้าเลยให้ไอ้เผือกเป็นเฮดแทน" มันล้วงลูกอมมาแกะใส่ปาก "อย่างไอ้โหดนั่นไม่มีใครกล้าหือหรอก"

เรื่องนี้เห็นด้วยเลยครับ

ตอนแรกผมเองก็แปลกใจอยู่นะว่าทำไมพี่ม่านถึงเลือกคนที่ไม่ชอบพูดแบบไอ้เผือกให้ไปคลุมสแตนด์ แต่พอมารู้เหตุผลเรื่องที่อาจจะมีปัญหากันก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งละ พี่ม่านนี่ก็เก่งเนอะที่รู้เรื่องพวกนี้ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ค่อยได้โผล่มาให้เห็นแท้ๆ จะว่าไปก็น่าตื่นเต้นเหมือนกันนะที่จะได้เห็นไอ้เผือกทำอะไรแบบนี้ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันได้รับหน้าที่ใหญ่

เดี๋ยวต้องส่งกำลังใจไปให้เพื่อนเผือกเยอะๆ

ผมคุยเรื่องกีฬาสีกับพี่ขุนแล้วนะครับ รู้สึกว่ามันจะได้รับหน้าที่ถือธงของคณะในขบวนพาเหรด ในวันงานเจ้าตัวคงจะหล่อมากแน่ๆ ผมนี่เตรียมกล้องไว้รัวชัตเตอร์ใส่เลย ก่อนวันงานกีฬาสีเนี่ยะผมคิดว่าตัวเองคงต้องเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจังบ้างแล้วล่ะ เพราะว่าจะได้แข็งแรง สู้แดดสู้ฝนและสู้พี่ขุนได้ ทุกวันนี้จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว

ชีวิตขนมช่างน่าสงสาร

"หนม"

"ว่าไง"

"ตอนที่มึงไปทะเลกับพี่ขุนเนี่ยะ โดนป๊ามมาใช่ไหม"

ผมเหลือบมองคนพูด "มึงรู้ได้ยังไง"

"แหม่ ก็ทะเลมันเป็นสถานที่ชวนได้กันนี่หว่า แล้วไปกันมาตั้งกี่วัน ถ้าพี่ขุนไม่แดกมึงก็แปลว่าเค้าหมดน้ำยาแล้ว" มันจีบปากจีบคอพูด "ร่างกายยังโอเคใช่ไหมเนี่ยะ เค้าไม่ได้ทำหนักเกินไปใช่ไหม"

"ก็โอเคอยู่นะ ก็ที่ไปทะเลนั่นก็เป็นครั้งที่ 2 "

มันพยักหน้ารับ "ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบพี่ขุนจะอดทนได้ถึงขนาดนั้น"

"แต่พอได้ทำก็หนักเลยนะมึง"

"ก็ปกติป้ะวะ กูว่าของมึงมันก็ยังดี" มันหยิบลูกอมเม็ดใหม่ขึ้นมาแกะก่อนจะยัดใส่เข้าปาก "กูว่าเซ็กซ์ที่เกิดมาจากความรัก ยังไงมันก็ดีป้ะวะ"

"หมี....ที่มึงเคยบอกกูว่ามึงเสียตัวตอนอายุ 16 ตอนนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักหรอวะ" ทันทีที่ผมถามออกไปแบบนั้น คนข้างๆ ก็คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

เรื่องนี้อาจจจะเป็นอีกเรื่องที่มันให้มันรู้สึกเป็นทุกข์ในใจก็ได้นะ ผมก็มีเรื่องในอดีตที่เคยพลาดทำลงไปแล้วรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็ทำไม่ได้ไง ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์พวกนั้นมันก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ว่าเรื่องของผมกับไอ้หมีมันก็คนละเรื่องกันอ่ะ และมันก็ต้องให้ความรู้สึกที่ต่างกันแน่ๆ

หวังว่ามันจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะ

ผมยกมือขึ้นแตะไหล่มันเบาๆ "ว่าไง...."

"มันก็ไม่เชิงว่าเป็นความรักว่ะ มีแค่กูที่รักเค้า เซ็กซ์ของเรามันเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ" มันเค้นยิ้มออกมา "ครั้งแรกมันเป็นอะไรที่โคตรเจ็บเลยมึง ไม่มีเจล ไม่มีถุงยาง กูขยับตัวแทบไม่ได้ ที่เชี่ยสุดคือตื่นมาก็ไม่เจอเค้าแล้ว.....และก็ไม่เจอเค้าอีกเลย"

เชี่ยยยย

ขนาดไม่ใช่ไอ้หมียังรู้สึกเจ็บปวดแทนเลยว่ะ

"โอเคไหมเนี่ยะ" ผมเอ่ยถามมันอย่างเป็นห่วง

"โอเคดิ่วะ เรื่องมันผ่านมาจะ 4 ปีแล้ว เมื่อก่อนกูอ่อนแอกว่านี้เยอะ กว่าจะทำให้ตัวเองกลายมาเป็นหมีคนแกร่งนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะมึง"

"มึงนี่ก็เก่งเนอะ" ถ้าเป็นผมนะ เจอเรื่องเลวร้ายต่อจิตใจขนาดนั้นคงจะหมดสภาพไปแล้วแน่ๆ ไม่รู้ว่าไอ้บ้าหมีมันทนมาได้ยังไง

"ทำดา นี่เพื่อนหมีไง เอออีกอย่างที่ตลก กูแม่งมีโอกาสได้มีอะไรกับคนที่ตัวเองรักใช่ไหมแต่เสือกจูบเค้าไม่ได้"

"ทำไมวะ เค้าไม่จูบมึงอ๋อ"

"เค้าก็จะจูบกูอยู่หรอกแต่ตอนนั้นกูดัดฟันไง กลัวเหล็กไปเกี่ยวปากเค้าก็เลยไม่ได้ให้จูบอ่ะ นึกแล้วโคตรเสียดายเลย" หลังจากที่มันพูดจบผมก็ได้มองตาปริบๆ นี่ขนาดตัวเองกำลังจะเสียตัวแท้ๆ ยังจะมาแคร์เรื่องที่เหล็กจะเกี่ยวปากเขาเนี่ยะนะ

"มึงนี่แม่ง...." ผมส่ายหัวให้มันอย่างเอือมๆ "เออหมี กูขอถามอีกอย่าง แล้วตอนนี้มึงยังรู้สึกรักไอ้คนนั้นอยู่ไหม คนที่มันหายไปอ่ะ"

มันหลุดยิ้มออกมา "รักสิ....ก็รู้สึกรักเสมอ"

"อ่าว แล้วไอ้ขันนี่ยังไง" ถ้ามึงบอกว่ามึงรักไอ้นั้นเสมอแล้วไอ้ขันล่ะ หรือว่าไอ้หมีมันจะแค่ชอบไอ้ขันมากๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นรักวะ

เออ อาจจะใช่ก็ได้

"พี่ขันก็เป็นคนที่....ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยว่ะ" มันบอกก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "เข้าไปทำงานกันต่อดีกว่า" ว่าแล้วมันก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

อ่าวเดี๋ยว

แบบนี้ก็ได้เหรอวะ

ผมยืนมองมันอย่างไม่เข้าใจ นี่มันเลี่ยงที่จะไม่ตอบผมป้ะวะถึงได้เดินหนีเข้าไปข้างใน โถ่ไอ้หมี มึงนี่มันร้ายนัก จะว่าไปมันก็ผ่านอะไรแย่ๆ มาพอสมควรเลยนะ เจ็บปวดเนอะที่มีคนตัวเองรักแต่ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน คิดแล้วคล้ายๆ ไอ้ขันเลยว่ะ ไอ้บ้านั่นก็มีคนที่ตัวเองรักแต่เสือกตามหาเขาไม่เจอ เนี่ยะ ถ้าไอ้ 2 คนนี้ทิ้งอดีตแล้วมารักกันได้นี่ก็จะดีไม่ใช่น้อย

ก็ได้แต่คิดแหละวะ

ชีวิตไอ้หมีนี่น่าเอามาแต่งนิยายมากเลยนะครับ เรื่องราวคงจะดราม่าน้ำตาแตกน่าดู ไว้ให้รู้เรื่องที่เกี่ยวกับตัวมันให้ได้มากกว่านี้ก่อน ผมจะเอามาดัดแปลงและเรียบเรียงเป็นพล็อตเขียนนิยายเรื่องต่อไป นิยายเรื่องที่ผมเขียนจบไปเนี่ยะมันไม่ค่อยดราม่าเท่าไหร่ เน้นความละมุนซะมาก แต่เรื่องต่อไปนี่แหละ เดี๋ยวจะบอกให้คนอ่านเตรียมกุมใจกันไว้ให้แน่นๆ เลย

หน่วงแน่นอนไรท์ขนมรับรองได้

นิยายของผมเหลือรีไรท์บทสุดท้ายก็จะส่งให้ทางสำนักพิมพ์พิจารณาแล้วครับ พอส่งเสร็จก็เป็นเรื่องของการรอคอยเขาตอบกลับ ผ่านไม่ผ่านก็ต้องรอลุ้นกันไป ถ้าผ่านก็ถือว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จ ถ้าไม่ผ่านผมก็จะรีไรท์ใหม่จนกว่าจะผ่าน มันต้องผ่านสักที่แหละวะ ยังไงผมต้องมีโอกาสได้เห็นนิยายของตัวเองตั้งอยู่บนชั้นในร้านขายหนังสือให้ได้

มันเป็นความฝันที่ต้องกลายเป็นความจริงในสักวัน

ผมเชื่อแบบนั้น





หอ K2

หลังจากที่จัดการวางแผนเรื่องงานกีฬาสีอย่างคร่าวๆ เสร็จ ผมก็กลับมานั่งทำภารกิจเพื่อชาติของตัวเองต่อ ตอนนี้ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้วครับ ผมรีไรท์นิยายเสร็จหมดแล้ว นี่กำลังเขียนแนะนำตัวเพื่อที่จะส่งเมลให้ทางสำนักพิมพ์ ส่วนพี่ขุนก็นอนรอเป็นเด็กดีอยู่บนเตียง เอาจริงๆ คือเมื่อเย็นพี่มันโดนผมดุไปรอบนึงเพราะมาวอแวตอนที่กำลังนั่งรีไรท์อยู่

โคตรน่าทุบอ่ะ

มันเป็นงานเร่งไงผมก็เลยอยากทำให้มันเสร็จไวไว แต่พี่ขุนก็มาเจ๊าะแจ๊ะไม่เลิก มานั่งเบียดบ้างล่ะ ฟัดแก้มบ้างล่ะ หนักสุดนี่กระโจนทับผม คือถ้ามันตัวเล็กๆ ผมจะไม่อะไรเลย

"หนมครับ"

ผมเหลือบมองเจ้าตัวที่โผล่หัวมาเกยไว้ตรงไหล่ "มีอะไร"

"เมื่อไหร่จะเสร็จ"

"เนี่ยะ อีกแปปนึง"

"หนมแปปนึงมาหลายรอบแล้วนะ" มันบอกเสียงอ่อน "พี่จะงอแงแล้วนะครับ"

ผมยกมือขึ้นกุมแก้ม "เนี่ยะเสร็จละ" ว่าแล้วผมก็กดส่งเมล ทีนี้ก็เหลือแค่รอแล้วล่ะ

"เย่ ปิดโน้ตบุ๊คเลยครับ หลังจากนี้มันจะเป็นช่วงเวลาของพี่" พี่ขุนบอกก่อนจะละออกไปนอนแผ่กลางเตียงเหมือนเดิม ส่วนผมก็ปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะขยับขึ้นไปบนเตียง

"ขยับไปฝั่งนึงสิ หนมจะนอนยังไง"

"นอนตรงนี้" มือเรียวรั้งให้ผมล้มตัวลงไปนอนทับตัวเองไว้ "ตัวอาจจะไม่นิ่ม....แต่ว่าอุ่นนะครับ"

"พี่นี่มัน...."

"พี่มันทำไมครับ"

"เปล่า" ผมขยับหัวไปหนุนไหล่พี่ขุนไว้ เจ้าตัวเองก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

ชอบจริงๆ เลย

ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวันที่เสพติดสัมผัสจากใครสักคน ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจนถึงตอนนี้ เวลามันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะครับ หลายช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่มีทั้งความสุข มีความทุกข์ปะปนกันไป นึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ยังไม่มีพี่ขุนนี่ผมไม่ได้สนใจอะไรในความรักเลยนะ ไม่ได้คิดอยากจะไขว่คว้าหาใครมาเติมเต็มในส่วนนั้นด้วย

คิดแล้วก็ตลกเหมือนกันแฮะ

วันที่ได้เห็นผู้ชายคนนี้ครั้งแรกมันก็แค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ แล้วเหตุการณ์ที่มันตัดความสัมพันธ์กับแก้มใสผมก็คิดแค่ว่ามันอาจจะเอามาดัดแปลงแล้วใส่ลงไปในนิยายของผมได้ก็เท่านั้นเอง ทุกอย่างมันคือความบังเอิญจริงๆ นั่นแหละ ถ้าวันนั้นไอ้ขันไม่ให้ผมไปหาที่ตึกคณะมัน เรื่องระหว่างผมกับพี่ขุนอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

ถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้นมันจะเป็นยังไงนะ

ผมก็อาจจะนอนแผ่อยู่บนเตียงนี้คนเดียว ชีวิตเปื่อยๆ ที่ผมมีมันก็อาจจะเปื่อยอยู่อย่างนั้น ผมคงจะสนใจแค่งานกับนิยาย เป็นขนมคนเฉิ่มที่ทำหน้านิ่งไม่ยิ้มไม่หัวเราะไปจนเรียนจบแน่ๆ ความสุขที่ผมมีก็อาจจะน้อยกว่าตอนนี้ ที่สำคัญคือนิยายที่ผมเขียนคงจะไม่ออกมาเป็นแบบนั้น

พี่ขุนนี่เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างจริงๆ

ผมกลายเป็นคนยิ้มง่ายมากขึ้น เป็นคนที่มีความสุขมากขึ้น ความรักที่พี่ขุนให้ผมมาก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนนิยายได้จนจบ ตอนที่นั่งรีไรท์ก็รู้สึกได้เลยนะว่ามันเหมือนกับสมุดที่บันทึกเรื่องราวความรักของเรา 2 คนเอาไว้ โมเม้นท์หลายๆ อย่างที่ใส่ลงไปในนิยายมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผม มันอาจจะเป็นคำพูดซ้ำๆ แต่ผมก็อยากพูดว่า.....

รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีพี่ขุนน่ะ

"พี่ขุน"

"ว่าไงครับ"

 ผมเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าตัว "ขอบคุณนะ"

"ขอบคุณเรื่องอะไรครับ"

"ก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ถ้าไม่มีพี่ นิยายของหนมอาจจะไม่จบก็ได้ พี่อาจจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ยังไงหนมก็ต้องขอบคุณจริงๆ " ว่าแล้วผมก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มขาวนั่นฟอดใหญ่

"หึ....พี่ก็ต้องขอบคุณหนมนะครับ" พี่ขุนผงกหัวขึ้นมาจุ๊บปากผมหนักๆ "การที่พี่ได้มาเจอหนมมันก็ทำให้ชีวิตพี่เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน คิดแล้วก็ตลกอยู่นะ พี่หลงรักหนมทั้งๆ ที่หนมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นแค่เด็กปากไม่ตรงกับใจ ชอบทำหน้ามึนๆ ใส่ แต่เพราะหนมเป็นแบบนี้มั้งพี่ถึงได้รักจนโงหัวไม่ขึ้น"

"ก็ขอให้โงหัวไม่ขึ้นต่อนะไปครับ"

"เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว" พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นมากุมแก้มผมไว้ "อยู่ให้พี่รักไปนานๆ ก็แล้วกัน"

"แน่นอนสิ เข้ามาในชีวิตของหนมแล้ว หนมไม่ให้พี่ออกไปไหนแล้วนะ" ผมยกมือพี่ขุนมาจุ๊บเบาๆ ก่อนจะเอาแนบแก้มตัวเองไว้ "หนมรักพี่ขุนนะครับ"

"พี่ก็รักหนมครับ"

รอยยิ้มหวานๆ นี่มันทำให้ใจผมสั่นได้เสมอเลยนะ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในอนาคตแต่ว่าผมจะพยายามรักษาความรักนี้ไว้ให้ดีที่สุด ให้มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ชีวิตผมไม่ต้องการใครอีกแล้ว อุปสรรคต่างๆ ที่จะเข้ามา ผมก็เชื่อนะว่าเรา 2 คนจะผ่านมันไปได้เหมือนกับทุกครั้ง ขอแค่ข้างๆ มีพี่ขุนก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับผมแล้วแหละ เพราะว่า....พี่ขุนจะกลายเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด

ยิ่งบนเตียงนี่โคตรน่ากลัว

"อื้อออ...อ....อย่าถกเสื้อ"

"หื้มมม....อยู่นิ่งๆ "

ใครมันจะไปนิ่งได้วะ!!!

"อย่า....พี่ขุนนนนนนนนนนน"






TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งขุนหนมแล้ว ในที่สุดก็มาถึงบทที่ 34 แล้วนะคะ ก็บทหน้าก็จะเป็นบทส่งท้ายของนิยายเรื่องนี้แล้วนะ ชาลได้เริ่มทำการรีไรท์ไปบ้างแล้วนะคะ ก็เดี๋ยวจะเร่งรีไรท์ให้เสร็จก่อนวันที่ 10 กุมภาฯ ใครอยากลองอ่านอีกรอบก็ลองไปอ่านได้นะคะ

อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้ายของการฝึกงานแล้วค่ะ ก็เดี๋ยวชาลจะยุ่งเรื่องทำรายงานฝึกงาน แล้วก็จัดการฟิค PPH ที่ต้องลงช่วงวาเลนไทน์ รวมถึงการแต่งตอนพิเศษในเล่มหรือส่งไปจัดหน้าและก็การบรีฟปกของหนังสือ ที่สำคัญคือทยอยแต่งขันหมีค่ะ อีกเดือนกว่าๆ ก็จะได้อ่านกันแล้วนะคะ รอติดตามกันด้วยล่ะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทที่ 34 : 31/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-02-2018 04:28:19
อยากให้หมีพบกับความสุขเหมือนคนอื่นบ้างจัง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-02-2018 22:23:19
บทส่งท้าย

ครึ่งปีผ่านไป....



[บันทึกพิเศษ : ขุนศึก]


ตึกวิศวกรรมศาสตร์

การที่ต้องยืนทำหน้าเหี้ยมใส่เด็กปี 1 นี่เป็นอะไรที่ยากมากเลยนะครับ

รู้สึกนับถือพี่ขันจริงๆ

"ผมถามว่าพวกคุณคุยอะไรกัน!!!"

"เอ่อ....คือพวกเราคุยเรื่องประชุมเชียร์นี่แหละครับ"

"คุณคิดว่า....มันใช่เวลาไหม"

"พวกผมขอโทษครับพี่"

"การขอโทษที่ดีที่สุดคือการที่พวกคุณจะไม่ทำมันอีก ครั้งนี้ผมจะยอมปล่อยพวกคุณไปเพราะเห็นว่านี่เป็นการเข้าประชุมเชียร์ครั้งแรก" ผมบอกพวกปี 1 ตรงหน้าเสียงเรียบ "กลับไปนั่งที่ซะ"

"ขอบคุณครับ" พวกเด็กๆ ยกมือไหว้ก่อนจะกลับไปนั่งที่แถวตัวเอง

โอ่ย กลั้นขำจนจะเป็นบ้าแล้วนะ

ตอนนี้ผมยืนทำหน้าเหี้ยมอยู่ต่อหน้าเด็กวิศวะฯ ปี 1 นับหลายร้อยคน คณะแก๊งค์ประธานสันฯ ของเมื่อปีที่แล้วได้อัพเลเวลเป็นคณะว้ากเกอร์แล้วครับ โดยมีผมที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งเฮดว้ากมาจากพี่ขัน การเป็นพี่ว้ากนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ยากสุดก็ตรงการคีพลุคนี่แหละ ผมจะหลุดขำหลายรอบละ หันไปเห็นหน้าไอ้สยามนี่ก็จะขำ แล้วนี่ต้องทนทรมานไปอีกเทอมกว่าๆ

เฮ้อ....อยากตายริงๆ

ไม่ได้ ผมจะตายตอนนี้ไม่ได้ ต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อดูแลลูกเมีย ลูกก็ไอ้เพชร ไอ้เงิน ไอ้ทอง ส่วนเมียผมก็น้องขนมคนดีนั่นเอง วันนี้เป็นวันพิเศษในชีวิตน้องด้วยครับ เดี๋ยวพอประชุมเชียร์เสร็จผมจะต้องไปหาเจ้าตัวที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติด้วย คือนิยายของขนมได้รับการตีพิมพ์และทางสำนักพิมพ์ก็เชิญให้น้องไปแจกลายเซ็น ผมดีใจกับน้องนะเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ และเขาก็ทำได้จริงๆ

แฟนผมนี่โคตรเก่งเลย

"ขุน"

"อะฮึ่ม....เดี๋ยวผมจะแจกสมุดเปล่าให้พวกคุณ เพื่อให้พวกคุณไปล่าลายเซ็นรุ่นพี่มาทั้งหมด ถ้าคุณได้มาไม่ครบ มันก็จะมีการลงโทษไปตามระเบียบ สมุดลายเซ็นนี้มีกำหนดให้ส่งในต้นเดือนหน้า ผมหวังว่าจนถึงตอนนั้นพวกคุณคงจะรู้จักรุ่นพี่ของคุณทุกคน....รับทราบ!!!"

"รับทราบ"

เสียงเหมือนคนไร้วิญญาณเชียวนะ

"สยาม....เด็กปี 1 รุ่นนี้มีทั้งหมดกี่คน"

"มี 387 คน"

ผมหมุนตัวกลับมาหาพวกพี่ว้ากที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านหลัง "ไหนพวกคุณพูดคำว่ารับทราบให้ผมฟังหน่อย"

"รับทราบ!!!"

"ดี...." ผมหันกลับมาหาพวกปี 1 "คุณเห็นไหม ด้านหลังผมมีกันอยู่แค่ 5 คน แต่พวกเขายังเสียงดังกว่าพวกคุณที่มีกันอยู่ 387 คนอีก"

"......"

"ปี 1 ลุกขึ้น" สิ้นเสียงคำสั่งของผม พวกปี 1 ก็พากันลุกขึ้นยืน "ลุกนั่ง 50 ครั้ง!!!"

"50 ครั้ง"

"ไม่ได้ยิน....100 ครั้ง!!!"

"100 ครั้ง!!!"

"ปฏิบัติ!!!"

"1!!!....2!!!....3!!!"

ผมยืนมองพวกปี 1 ที่ลุกนั่งด้วยสายตานิ่งๆ ขอโทษด้วยนะพวกคุณแต่มันต้องทำแบบนี้จริงๆ ว่ะ รุ่นผมก็เจอแบบนี้เหมือนกัน เคยคิดด้วยนะครับว่าทำไมรุ่นพี่จะต้องสั่งให้เราลุกนั่งกันเป็น 100 ครั้งด้วย ตอนที่ผมไปฝึกกับพี่ขันอ่ะ เขาให้เหตุผลว่า คนทุกคนไม่มีใครชอบการลงโทษ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนลงโทษก็จะต้องทำตามระเบียบและอยู่ในกฎเกณฑ์

มันก็จริงตามพี่ขันว่าล่ะนะ

ตอนที่ผมเป็นรุ่นน้องปี 1 อ่ะ คณะว้ากของปีผมแม่งโคตรโหด จำได้ว่าประชุมเชียร์ครั้งแรกมีเพื่อนมาสาย 5 คน ลุงรหัสผมเขาเป็นเฮดว้าก เขาก็สั่งทำโทษลุกนั่งตามจำนวนเพื่อนที่มาสายคูณไปอีก 50 ก็คือต้องลุกนั่ง 250 ครั้ง ผมที่ว่าแข็งแรงยังทรุดเลย ไอ้สยามนี่ลงไปกองตั้งแต่ 100 ทีแรก เนี่ยะ การสั่งลุกนั่งแค่ 100 ครั้งถือว่าเป็นเล็กน้อยมากเลยนะถ้าเทียบกับรุ่นก่อนๆ

เพราะงั้นสู้ๆ นะเด็กๆ

ผมว่าจะต้องมีรุ่นน้องแอบสาบแช่งผมในใจแน่ๆ ไม่เป็นไร เพราะตอนผมโดนลงโทษผมก็สาบแช่งคนสั่งเหมือนกัน ก็นะ ครั้งแรกก็งี้แหละ เดี๋ยวการเข้าประชุมเชียร์ครั้งต่อไปก็จะปรับตัวได้เอง และเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

หวังอย่างนั้นนะ

"98!!!....99!!!....100!!!" หลังจากเสียง 100 ดังออกมาพวกปี 1 ก็ทรุดลงกับพื้น ปวดขากันน่าดูเลยสิ ไม่เป็นไรนะพวกคุณเดี๋ยวผมก็ปล่อยละ เพราะงั้นอดทนก่อน

"การลงโทษครั้งนี้ผมขอให้พวกคุณจำไว้เป็นบทเรียนนะ การขานรับในทุกๆ ครั้งจะต้องเสียงดัง!!! หนักแน่น!!! และทุกครั้งที่ผมพูดชี้แจง จะต้องไม่มีเสียงใดใดเล็ดลอดดังขึ้นมา ไม่เช่นนั้นพวกคุณก็จะต้องโดนทำโทษร่วมกัน ขอให้พวกคุณเข้าใจในกฎเกณฑ์ข้อนี้ด้วย.....เข้าใจไหม!!!"

"เข้าใจครับ!!! / ค่ะ!!!"

"ดี....เดี๋ยวผมจะให้ปี 2 เข้ามาชี้แจงเรื่องกิจกรรมต่อ ผมหวังการประชุมเชียร์ครั้งหน้า พวกคุณคงจะรักษากฎระเบียบของเราได้ดีมากกว่านี้ ขอบคุณพวกคุณที่เข้ามาประชุมเชียร์กันอย่างพร้อมเพรียง....วันนี้พวกผมขอตัวก่อน" ผมหันไปทางพวกปี 2 "เชิญ......"

ลันตาเดินนำคณะสันฯ ของปี 2 เข้ามาก่อนจะกระซิบข้างหูผมเบาๆ "มีประชุมต่อไหมพี่"

"ไม่มี แยกย้ายได้เลย กูฝากน้องๆ ด้วยนะ"

"ครับ...." หลังจากที่ลันตารับปาก ผมก็เดินนำเหล่าคณะว้ากเกอร์ออกมาจากหอประชุม เดินนำมาเรื่อยๆ จนถึงห้องประชุมของคณะกรรมการฯ พอพวกผมเดินเข้ามาในห้องแล้วก็พากันนอนแผ่ลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ

ผ่านการประชุมเชียร์ครั้งที่ 1 ไปด้วยดี

รึเปล่าวะ

"เด็กรุ่นนี้ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่นะ หรือเพราะว่ามันยังเป็นการประชุมเชียร์ครั้งแรกวะ" ไอ้หอมมันเอ่ยขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้

"กูว่าเพราะครั้งแรกมากกว่า เออขุน มึงลงโทษเบาไปป้ะวะ แค่ 100 ครั้งเอง"

"เอาน่ะ ก็ถ้าครั้งหน้าไม่ดีขึ้นก็แค่ลงโทษหนักขึ้น" ผมยกนาฬิกาขึ้นดู "เออพวกมึง กูไปก่อนนะ ต้องไปหาหนมว่ะ"

"เออ อย่าลืมนัดวันมะรืนด้วย"

"โอเคแล้วเจอกัน" ผมบอกลาเพื่อนๆ ก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้อง

ตอนนี้ประมาณบ่าย 3 กว่าๆ เดี๋ยวผมจะต้องแวะไปซื้อช่อดอกไม้เพื่อไปแสดงความยินดีให้น้องด้วย ป่านนี้ขนมคงจะนั่งหน้ามึนเขียนลายเซ็นอยู่แน่ๆ จะว่าไปผมกับขนมก็คบกันมาจะเกือบปีแล้วนะ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันเลยสักครั้ง เต็มที่คือแค่งอนกันเล็กๆ น้อยๆ

ขนมนี่....น่ารักยังไงก็ยังคงน่ารักอยู่อย่างนั้น

เหมือนผมที่ยังรักยังหลงน้องอยู่เหมือนเดิม

ผมเดินมาจนถึงลานจอดรถก่อนจะปลดล็อกฟอร์จูนเนอร์คู่ใจแล้วขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ ร้านดอกไม้ที่ผมจะไปซื้อนี่เป็นร้านเจ้าประจำเลยครับ ตอนที่ซื้อดอกไม้ไปให้น้องครั้งแรกก็ซื้อที่ร้านนี้แหละ ในวันครบรอบของทุกๆ เดือนก็ซื้อจากร้านนี้ คือทางร้านได้เงินไปจากผมเยอะมากอ่ะ นี่วางแผนจะไปขายไตเพื่อหาเลี้ยงหนมอยู่เนี่ยะ

ครืดดดด...ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์มาก่อนจะกดรับสายแล้วหยิบหูฟังมาเสียบ "ฮัลโหลว่าไงครับแม่"

(อยู่ไหนหืม)

"ขับรถอยู่ครับ ขุนกำลังจะไปหาหนมที่งานสัปดาห์หนังสือ"

(ถ้างานเสร็จแล้วก็กลับมากินข้าวที่บ้านสิ วันนี้คุณพ่อคุณแม่น้องหนมจะมาด้วยนะ)

"เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวขุนพาน้องไป"

(ฝากบอกน้องด้วยนะว่าแม่แสดงความยินดี....ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวแม่ค่อยบอกกับน้องเอง หนิรู้ไหมว่าพ่อเราน่ะออกไปซื้อนิยายของน้องมาเก็บไว้เรียบร้อยแล้วนะ)

"ฮ่าๆ ๆ ๆ รีบขนาดนั้นเชียว"

(สงสัยกลัวว่าจะหมดล่ะมั้งก็เลยรีบ หืมว่าไงนวล....โอเคแปปนึงนะ งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก ขับรถดีดีล่ะ)

"ครับแม่ แค่นี้ครับ" ผมกดวางสายก่อนจะดึงหูฟังออก พ่อกับแม่ผมรักน้องมากเลยนะครับซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะพ่อนี่หลงน้องมาก

อะไรๆ ก็น้องหนม

ผมขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงร้านดอกไม้ ดีจังที่ตอนนี้ในร้านยังไม่มีคน ผมรีบจอดรถก่อนจะเดินลงมาแล้วดิ่งเข้าไปด้านในร้าน ทันทีที่เข้ามาก็เจอรอยยิ้มหวานๆ ของพี่ชายน์ก่อนเลย เขาเป็นเจ้าของร้านที่คอยจัดดอกไม้สวยๆ ให้ผม ด้วยความที่มาอุดหนุนร้านเขาบ่อยเราก็เลยสนิทกันในระดับนึง เคยเจอกันที่ร้านเหล้าด้วย พี่เขาก็ใจดีเลี้ยงเหล้าโต๊ะผมด้วยนะ

หล่อไม่พอแถมยังใจดีอีกต่างหาก

"อ่าวขุน"

"สวัสดีครับพี่ชายน์" ผมยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มหวาน "จะสั่งช่อดอกไม้หน่อยน่ะพี่"

"ให้แฟนสินะ เอาอะไรล่ะดอกกุหลาบสีขาวเหมือนเดิม"

"ใช่ครับพี่ เอาช่อใหญ่เลยนะแล้วก็เอาริบบิ้นสีเหลือง"

"โอเครอแปปนึง" ว่าแล้วพี่เขาก็เดินไปหยิบดอกกุหลาบในตู้ก่อนจะเอามาเตรียมเพื่อจัดเป็นช่อ "เออขุน รอบนี้เป็นโอกาสพิเศษอะไรล่ะหืม"

"คือนิยายที่หนมเขียนได้ตีพิมพ์น่ะพี่ ผมก็เลยซื้อดอกไม้ไปแสดงความยินดีให้น้องสักหน่อย"

"เก่งนะนั่นน่ะ เดี๋ยวพี่ฝากขนมไปแสดงความยินดีด้วยละกัน พี่เพิ่งอบเมื่อเช้านี้เอง"

"ขอบคุณมากครับพี่"

"ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องน่ายินดีล่ะนะ" พี่เขาหันมายิ้มหวานให้ผมก่อนจะเริ่มจัดดอกไม้ต่อ

ผมยืนมองพี่ชายน์ที่ยืนจัดดอกไม้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นด้วยนะถึงจะเหมาะกับงานละเอียดอ่อนแบบนี้ แต่พอมาเจอพี่เขานี่แหละถึงได้รู้ว่าไม่ว่าใครก็สามารถทำงานแบบนี้ได้ พี่ชายน์นี่จัดดอกไม้ได้สวยมากเลยนะครับ แถมยังทำขนมอร่อยด้วย คือมีความเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนสูงมาก แต่ถ้าตัดภาพไปที่แฟนผม

รายนั้นทำลายบ้านทำลายเรือนเก่ง

อา....อย่าไปบอกขนมนะครับ

มีครั้งนึงผมพาน้องไปที่บ้าน แล้วเขาก็ตั้งใจจะทำข้าวผัดให้ผมกิน แต่ผลปรากฏออกมาว่าข้าวไหม้จนเป็นเป็นถ่านแถมครัวก็เละไปหมด ผมยังจำสีหน้ารู้สึกผิดของคนตัวเล็กได้อยู่เลย มันน่ารักจนดุไม่ลง พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยจัดการฟัดน้องจนหนำใจ

ขนมนี่อร่อยเสมอทุกครั้งที่ได้กินนะครับ

"เสร็จแล้วขุน" พี่ชายน์ยกช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ส่งให้ผม "1,730 บาท อ่ะนี่ขนมฝากไปให้น้อง" มือเรียวยื่นกล่องขนมส่งให้ผม

"ขอบคุณนะครับ" ผมหยิบเงินจ่ายให้

"อ่ะนี่เงินทอน" พี่ชายน์ส่งเงินทอนคืนให้ "อยากได้ดอกไม้สวยๆ อีกก็มาอุดหนุนร้านพี่ได้ตลอดนะ"

"ครับผม อุดหนุนตลอดอยู่แล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับพี่"

"ครับ ขับรถดีดีนะ" ผมยิ้มหวานรับก่อนจะเดินออกมาแล้วเอาดอกไม้วางไว้ที่เบาะข้างๆ แล้วค่อยพาตัวเองมาประจำที่ฝั่งคนขับ

ผมน่าจะใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะไปถึงศูนย์ประชุมฯ ที่จัดงานสัปดาห์หนังสือฯ เอาจริงๆ ขนมไม่รู้นะครับว่าผมจะไป เพราะผมบอกเขาไว้ว่ามีประชุมเชียร์ ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง ตัวน้องเองก็ไม่ได้งอแงอะไรนะที่ผมอาจจะไม่ได้ไป เนี่ยะ เดี๋ยวไปเซอร์ไพรส์ให้ตกใจเล่น ผมต้องคิดคำพูดหวานๆ ไว้ไปหยอดน้องด้วยสินะ อยากเห็นรีแอคชั่นเร็วๆ จัง มันคงจะน่ารักน่าดู

รอพี่แปปนึงนะครับหนม

พี่กำลังไปหาแล้วนะครับ....


[จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก]




----------50%----------
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-02-2018 22:29:33
----------ต่อจากบทส่งท้าย----------


งานมหกรรมสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

ผมนั่งเท้าคางมองไปรอบๆ บู๊ธที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่ คือเมื่อหลายเดือนก่อนเนี่ยะมีเมลตอบกลับมาจากสำนักพิมพ์ที่ผมส่งต้นฉบับนิยายไปให้เขาพิจารณา ปรากฏว่าผ่านการพิจารณาครับ ความรู้สึกตอนนั้นมันดีใจมาก น้ำตานี่คลอเบ้าเลย แล้วตอนนั้นผมอยู่กลางโรงอาหารของคณะอ่ะ พอบอกให้พวกเพื่อนๆ รู้ว่านิยายผ่านแล้วนะ มันก็พาผมกอดคอเฮกันลั่นโรงอาหารเลย

โคตรตกเป็นเป้าสายตา

ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาก็มีเรื่องวุ่นวายหลายอย่างเกิดขึ้นเยอะเลยครับ แต่มันก็ถือว่าดีนะ ผมจะได้มีแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพื่อที่จะเอาไปเขียนนิยายต่อ ตอนนี้ผมก็ซุ่มแต่งนิยายเรื่องใหม่อยู่ มันมีเค้าโครงเรื่องมาจากชีวิตของเพื่อนรักของผมเอง นั่นก็คือไอ้หมีไง เออ อยากจะบอกว่าตอนนี้ชีวิตมันน่าหมั่นไส้มากๆ วันๆ นึงผมนี่เบ้ปากใส่มันเป็นร้อยครั้งได้

หึ้ยยย....ยยย คิดแล้วก็หงุดหงิด

วันนี้เพื่อนๆ ผมไม่มีใครว่างเลยครับ เพราะติดทำงานคณะกัน ความจริงผมก็ไม่ว่างเหมือนกันแหละนะ แต่ท่านประธานเขาใจดี ให้ทิ้งงานหลวงมาทำงานราษฎร์ก่อน กลุ่มผมเนี่ยะไม่ได้เป็นแก๊งค์ประธานคณะฯ อย่างเดียวแล้วนะเพราะว่าไอ้หมีมันกลายเป็นประธานสันทนาการของนิเทศไปแล้ว คือตำแหน่งอะไรค้ำคอเต็มกันไปหมดอ่ะตอนนี้

แต่ว่านะ....คนที่อยู่เหนือทุกคนก็ผมนี่แหละ

เป็นขนมผู้มีอำนาจ

พี่ขุนก็ไม่ว่างเหมือนกันครับเพราะติดประชุมเชียร์เด็กปี 1 ตอนนี้แฟนผมกลายไปเป็นเฮดว้ากแล้วนะ มีช่วงนึงที่มันต้องไปฝึกกับไอ้ขัน ผมนี่ต้องไปนั่งเฝ้าเลยอ่ะ กลัวไอ้ขันมันแดกหัวพี่ขุนเอา ถ้ามีโอกาสก็อยากจะแอบไปดูตอนมันว้ากน้องเหมือนกัน อยากรู้ว่าจะน่ากลัวเท่ารุ่นไอ้ขันไหม คิดไปคิดมาก็น่าเสียดายเหมือนกันที่พี่ขุนมางานหนังสือไม่ได้

อดมาเห็นนิยายผมวางอยู่บนชั้นเลย

แต่ไม่เป็นไร ผมจะถ่ายหน้าตัวเองคู่กับนิยายบนชั้นไปอวดพี่ขุนเยอะๆ เลย วันนี้เป็นวันที่ผมได้เจอเหล่ารี้ดที่รักของผมเต็มไปหมดเลย มีไม่น้อยด้วยที่ขอถ่ายรูปกับผม โคตรเขินเลยอ่ะ ปกติเป็นคนที่ถ่ายรูปคนอื่นอยู่ตลอด พอมาโดนขอถ่ายรูปมันก็เลยรู้สึกแปลกๆ ผมไม่ได้สวมแว่นมาด้วยวันนี้อ่ะ เออจะบอกว่าได้แว่นกันแสงอันใหม่แล้วนะครับ คนที่ดีใจมากที่สุดนี่ก็คงจะเป็นพี่ขุนเพราะผมจะได้มีอะไรมาบังหน้าบังตาสักที

"ไรท์ขนมคะ เอาหนังสือมาให้เซ็นค่า"

"ค้าบบบบ นั่งก่อนเลย" ผมคลี่ยิ้มให้กับน้องผู้หญิงที่นั่งลงด้านหน้า เธอยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลยแถมถักเปีย 2 ข้างด้วยนะ

"หนูชอบนิยายของไรท์มากเลยนะคะ ตามอ่านมาตลอดเลย"

"ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวจะมีผลงานใหม่ก็ฝากติดตามด้วยน้า"

"ติดตามแน่นอนค่ะ" น้องเขาบอกพลางยิ้มหวาน "ไรท์คะ คือหนูมีเรื่องอยากถามหน่อยน่ะค่ะ"

"ว่ามาเลยครับ...."

"คือหนูเองก็เริ่มที่จะแต่งนิยายแบบจริงๆ จังๆ ไรท์พอจะมีทริคดีดีแนะนำไหมคะ"

ผมละจากนิยายขึ้นมา "ทริคดีดีหรอครับ"

"แบบ....พวกแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายน่ะค่ะ หนูอยากรู้ว่าไรท์ได้มันมาจากไหน"

"แรงบันดาลใจของผมนะ มันมาจากคนๆ นึงครับ กล้าพูดได้เลยว่าเพราะมีเค้าอยู่ข้างๆ นิยายเรื่องนี้ถึงเขียนได้จนจบ พวกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องเนี่ยะก็มันส่วนนึงที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผม ผมว่านะ การที่เราเป็นคนเจอเหตุการณ์นั้นๆ เอง มันจะทำให้เรารู้ว่านิยายของเรามันจะเขียนออกมายังไง ใส่ความเป็นธรรมชาติเข้าไปให้ได้มากที่สุดครับ พอเราจับทางได้เนี่ยะ ทุกครั้งที่เขียนมันก็จะไม่ค่อยยากเท่าไหร่"

"อ๋อ อย่าง Nc นี่ก็....." คนตรงหน้าหรี่ตามองผมพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม "เรียลใช่ไหมคะ"

ตึกตัก

"เอ่อ....ในส่วนของ Nc นี่ก็ ผมไม่ขอพูดดีกว่า" ขืนถ้าพูดไปนี่คงเขินจนตัวแตกตายแน่ๆ

น้องพยักหน้ารับเบาๆ "แล้วคำแนะนำอื่นๆ ล่ะคะ"

"อีกอย่างที่สำคัญคือเรื่องของพวกข้อมูลที่เรานำมาเขียนประกอบนิยายครับ เราต้องนึกเสมอว่านิยายของเราเนี่ยะถ้าเผยแพร่ไปแล้วมันอาจจะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครบางคนได้ การที่เราเสนอข้อมูลหรือแทรกทัศนคติของเราลงไป ก็จะต้องทบทวนดูให้ดีดีก่อนว่ามันดีรึเปล่า คนที่จะเป็นนักเขียนก็จะต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าคนทั่วไปในระดับนึง ต้องมีความอดทนสูง ในกรณีถ้ามีสภาวะเครียดก็ควรหยุดเขียนนิยายเพื่อไปหาอะไรทำคลายเครียดก่อน ถ้ารู้สึกดีเมื่อไหร่ค่อยกลับมาเขียนต่อ"

"อย่างงี้นี่เอง....แล้วแรงผลักดันในการเขียนนิยายของไรท์ล่ะคะ"

"ผมก็มีพวกคุณนี่แหละที่เป็นแรงผลักดัน แค่คิดว่าพวกคุณกำลังรอนิยายของผมอยู่มันก็ทำให้ผมฮึ้ดที่จะรีบเขียนเพื่อลงให้อ่าน ก็ต้องขอบคุณพวกคุณแหละนะที่คอยติดตามอ่านนิยายของผมมาตลอด" ผมเขียนลายเซ็นก่อนจะส่งนิยายให้น้อง

"ขอบคุณนะคะ หนูจะเก็บทริคดีดีของไรท์ไปปรับใช้และก็จะติดตามผลงานของไรท์ตลอดไปเลยค่ะ"

"ครับ ขอบคุณนะครับ"

ผมยิ้มหวานให้น้องที่ลุกออกไป หวังนะครับว่าคำแนะนำที่ผมบอกเขาไปมันจะช่วยเขาได้ไม่มากก็น้อย ตัวผมเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเซียนในด้านการเขียนนิยายหรอกนะ ยังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก ผมจะต้องเก่งขึ้นมากกว่านี้ให้ได้

ตื้อดึ่ง

ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปในไลน์ ไอ้หมีเพื่อนรักมันส่งไลน์มาหาผมครับ นี่มึงแอบเล่นโทรศัพท์ตอนทำงานเหรอหมี เดี๋ยวกูจะฟ้องไอ้เป้ให้มันเอาค้อนลมตีหัวมึง

หน่องหมี : คิดถึงเพื่อนหนมจัง

คาหนม : คิดถึงห่าไรล่ะ ทำไมไม่ทำงาน

หน่องหมี : อย่าว่ากู *ส่งรูป*


ผมหลุดขำออกมาทันทีเมื่อเห็นรูปที่ไอ้หมีมันส่งมา ตอนนี้เหล่าสหายกำลังนอนก่ายกันอยู่ที่หน้าตึกนิเทศฯ คือพวกมึงไม่มีที่นอนที่ดีกว่านี้เหรอ เนี่ยะ พอผมไม่อยู่สักหน่อยมันก็ทำเกเรไม่ยอมทำงานทำการ

เดี๋ยวจะกลับไปจัดการเรียงตัวเลย

คาหนม : บอกให้พวกมันลุกมาทำงานเลยนะ

หน่องหมี : มันไม่ลุกหรอก แล้วเป็นยังไงบ้างนิยายมึง ขายดีไหม มีเอฟซีมาขอถ่ายรูปบ้างรึเปล่า

คาหนม : ก็มีนะ แล้วมึงอ่ะซื้อนิยายกูแล้วรึยัง

หน่องหมี : เรียบร้อยแล้วสิ กูเป็นแฟนคลับตัวยงของไรท์ขนมนะ *-*

คาหนม : เออดีมาก

"ช่วยเซ็นหนังสือให้หน่อยครับ"

เสียงนี้มัน....

ผมละจากโทรศัพท์ขึ้นมามองเจ้าของเสียงตรงหน้า ในมือเรียวนั่นถือช่อกุหลาบสีขาวช่อใหญ่และนิยายของผมเอาไว้ ริมฝีปากบางเผยยิ้มน้อยๆ ให้ เจ้าตัววางหนังสือนิยายลงบนโต๊ะก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมที่ตอนนี้กลับมาเป็นสีดำเหมือนอย่างครั้งแรกที่เราเจอกัน

มีเสน่ห์ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เลยว่ะ

"ไหนบอกว่าไม่มาไง"

"ก็อยากเซอร์ไพรส์แฟน" มันยิ้มหวานก่อนจะยื่นช่อกุหลาบมาให้ผม "ยินดีด้วยที่หนังสือเล่มแรกได้รับการตีพิมพ์นะครับ"

ผมรับช่อดอกกุหลาบนั้นมากอดไว้ "ขอบคุณครับ"

"ครับผม" พี่ขุนนั่งลงก่อนจะเลื่อนหนังสือนิยายมาไว้ตรงหน้า "เซ็นให้พี่ด้วย"

"ได้เลย"

"เขียนกำกับไปด้วยนะว่า....รักพี่ขุนมากๆ "

"เดี๋ยวนะ เกินไปละ" ผมทำหน้ามุ่ยใส่ แอบสังเกตเห็นมีคนกำลังถ่ายรูปพวกเรา 2 คนด้วย รังสีวายนี่แพร่กระจายเต็มไปหมด

"เขียนให้หน่อยสิครับแค่นี้เอง" คนตรงหน้าเอ่ยบอกอย่างอ้อนๆ "นะครับนะ น้า นะครับ"

ยอมแล้วครับ....ยอมแล้ว

"เดี๋ยววาดรูปหัวใจให้ด้วยเลยอ่ะ" ผมจัดแจงวาดรูปหัวใจลงไปพร้อมกับเขียนประโยคที่พี่ขุนอยากได้ กำกับไว้ข้างกับลายเซ็น

เจ้าตัวชะเง้อหน้าเข้ามามองใกล้ๆ "น่ารักจัง...."

"หัวใจนี่น่ะหรอ"

"หนมต่างหาก"

ตึกตัก

ยังทำให้ใจสั่นได้เสมอเลยสินะ

พี่ขุนนี่มันร้ายกาจจริงๆ

"อย่ามาทำแก้มแดงให้คนอื่นเห็นสิครับ" มือเรียวยกขึ้นดึงแก้มผมเบาๆ "พี่หวงนะ"

"ก็เพราะพี่นั่นแหละ เซ็นเสร็จแล้วลุกออกไปเร็ว เด็กๆ รออยู่น่ะ"

พี่ขุนหยิบหนังสือนิยายของผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ "ขอบคุณนะครับ" เจ้าตัวก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะลุกออกไป ทิ้งผมให้นั่งเขินตัวจะแตกอยู่คนเดียว

หน้าร้อนไปหมดแล้วนะโว้ย

ผมเขียนลายเซ็นให้เด็กๆ ที่ต่อแถวกันเข้ามาเรื่อยๆ ตาก็พลางมองพี่ขุนไปด้วย ผมเห็นมีเด็กไม่น้อยเลยนะที่แอบถ่ายรูปมันน่ะ ก็นะ มีเด็กวิศวะฯ ที่ไหนก็ไม่รู้มาเดินวนไปวนมาอยู่ในบู๊ธนิยายวายหนิ ใครเห็นก็ต้องรู้สึกแปลกตาธรรมดา หลายครั้งเลยนะที่มันเหลือบมามองผมน่ะ มองไม่พอแถมยังยิ้มหวานให้อีกต่างหาก

เห็นแล้วรู้สึกเมื่อยปากแทนเลย

จะยิ้มอะไรเยอะแยะขนาดนั้น

"ไรท์คะ พี่คนนั้น....แฟนไรท์หรอคะ"

"เอ่อ....ใช่ครับ เค้าเป็นแฟนผมเอง"

"งื้อออ..อ....น่าอิจฉามากเลยอ่ะ มองเผินๆ แล้วพี่เค้าเหมือนพระเอกในนิยายเลยนะคะ"

ผมอมยิ้มให้คนตรงหน้า "ตอนนี้เค้าก็เป็นพระเอกในชีวิตจริงของผมอยู่"

"อึ้ยยย.ย....ไรท์หนมมมม!!!! หนูยอมแล้ว"

ฮ่าๆ ๆ ๆ เด็กๆ นี่น่ารักจริงๆ





ตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ

ควรค่าแก่เวลากลับหอไปนอนแล้วครับ

หลังจากที่กล่าวลาพวกพี่ๆ ผู้ดูแลเรียบร้อย ผมกับพี่ขุนช่วยกันแบกของที่บรรดาเหล่ารี้ดเดอร์ที่รักเอามาฝาก อยากจะกลับไปนอนเกลือกกลิ้งมากครับ ไม่ได้ทำอะไรเยอะนะแต่มันเพลียๆ ว่ะ อาจเพราะเมื่อเช้าไปเรียนแล้วบ่ายก็มานั่งเขียนลายเซ็นล่ะมั้ง เอออีกอย่างคือต้องนั่งอดทนรับดาเมจจากพี่ขุนด้วย

ทำผมเขินอยู่นั่นแหละ

เหมือนพวกพี่ๆ ผู้ดูแลจะรู้นะครับว่ามันเป็นแฟนผม เขาก็จัดแจงเก้าอี้ให้มานั่งข้างกันเลย พวกคนที่มาซื้อนิยายก็ถ่ายรูปกันใหญ่ ผมกับพี่ขุนนี่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายเลยอ่ะ คือนิยายของผมเนี่ยะ พระเอกเรียนวิศวะฯ สวมเสื้อช้อป ส่วนนายเอกก็เรียนนิเทศฯ สวมเสื้อแจ็คฯ แล้วก็มีคนยกปกนิยายแล้วถ่ายรูปโดยมีพวกผมเป็นฉากหลัง

รูปนี้มันต้องไปโผล่ที่ไหนสักที่แน่ๆ

"หนมครับ"

"หืม...."

"เมื่อยมือไหมครับ เขียนลายเซ็นตั้งเยอะ"

"ไม่เท่าไหร่หรอก หนมใช้มือบ่อย"

พี่ขุนเหลือบมองผมพลางยิ้มกริ่ม "สิ่งที่หนมพูดมันก็ตีความได้หลายอย่าง"

"ใช้มือจดเลคเชอร์ พิมพ์นิยายงี้ พี่ขุนนี่คิดแต่อะไรกามๆ "

"พี่ยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะครับ หนมนั่นแหละที่คิดแต่อะไรกามๆ "

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ "พี่ขุนนั่นแหละ"

"อื้อออ.อ.....งอแง" มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ "เดี๋ยวหอมแก้มง้อนะครับ"

"ไม่ต้องมาหอมเลย"

"คิดว่าขัดขืนพี่ได้หรอ" เจ้าตัวเลื่อนมือมาจับมือผมไว้แน่น การเดินจับมือกันแบบนี้มันทำให้นึกถึงวันที่ไปตลาดนัดด้วยกันครั้งแรกเลย

ที่จับมือมึงไม่ได้กลัวมึงหลงทางนะ....แต่ที่จับมือมึงเพราะกูหลงมึงต่างหาก

ผมยังจำประโยคนี้ได้ขึ้นใจเลย

ในนิยายของผมก็มีประโยคหวานชวนเลี่ยนจากพี่ขุนเต็มไปหมด เหล่ารี้ดเดอร์อ่านไปต้องมีเบ้ปากไปบ้างล่ะ นิยายเรื่องนี้แต่งออกมาได้โคตรเหม็นความรัก ตอนที่ผมนั่งรีไรท์ยังรู้สึกถึงความเลี่ยนเลย แต่ว่าเดี๋ยวก็จะดับเลี่ยนด้วยนิยายรสขมๆ เรื่องต่อไป

เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้ให้ดีเลยนะเหล่ารี้ดที่รัก

ผ่านไปได้สักพักเรา 2 คนก็เดินมาจนถึงลานจอดรถ พี่ขุนเอาของทุกอย่างไปใส่ไว้ด้านหลัง ผมก็ขึ้นมานั่งรอพลางหยิบช็อคโกแลตที่อยู่ในเก๊ะมาแกะกิน หลังจากที่จัดของด้านหลังเสร็จเจ้าของรถก็ขึ้นมานั่งในตำแหน่งคนขับก่อนจะแย่งช็อคโกแลตที่ผมถืออยู่ไปกินหน้าตาเฉย

นั่นมันของขนมนะ

"พี่ขุนนนน แม่หนมสอนว่าห้ามแย่งขนมคนอื่นนะ"

"แต่แม่พี่สอนว่าให้เรารู้จักการแบ่งปันนะครับ"

"นั่นมันไม่ใช่แบ่งแล้ว พี่เอาไปทั้งชิ้นเลยนะน่ะ"

"พี่ก็...." มือเรียวเลื่อนมาโน้มคอผมเข้าไปใกล้ "กำลังจะแบ่งอยู่นี่ไงครับ" สิ้นเสียงนุ่ม ริมฝีปากบางก็ประกบเข้ามาทาบทับกับปากผม

ความหวานปนขมของช็อคโกแลตแทรกซึมเข้ามาพร้อมๆ กับลิ้นร้อน คนเจ้าเล่ห์ขยับลิ้นหยอกล้อผมไม่หยุด มันเป็นจูบที่ทำให้รู้สึกดีแถมยังรับรู้ได้ถึงความหวานละมุนด้วย ช็อคโกแลตคิสนี่มันให้ความรู้สึกแบบนี้เองสินะ

ฟินจริงๆ

พี่ขุนค่อยๆ ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยกนิ้วเช็ดคราบช็อกโกแลตที่เปื้อนปากให้ผม'"อร่อยไหมครับ....สิ่งที่พี่แบ่งปันให้"

"ใครเค้าแบ่งช็อคโกแลตแบบนี้กัน"

"ที่พี่แบ่งให้หนมมันไม่ให้ช็อคโกแลตนะครับ" เจ้าตัวยกมือมากุมแก้มผม "พี่แบ่งความรักให้ต่างหาก"

อื้ออออ.อ.....

ประโยคนี้ดาเมจชนะขาดเลย

"พี่ขุนนนน" ผมซบหน้าลงกับไหล่หนาเพื่อแก้เขิน โหยไม่ไหว หน้านี่ร้อนมาก เอาจริงๆ ร้อนไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ยะ

"เป็นอะไรครับ" เจ้าตัวเอ่ยถามพลางลูบหัวผมเบาๆ "เขินหรอ"

"เขินน่ะสิ เขินมากด้วย เขินตัวจะแตกแล้ว"

"เดี๋ยวถ้าหนมตัวแตกพี่ก็จะไปเก็บเศษมาประกอบใหม่ให้เอง"

ผมผละออกมาก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ "ถึงจะเอามาประกอบหนมก็มีรอยร้าวๆ นะ พี่ขุนจะชอบหรอ"

"พี่ก็ชอบทุกอย่างที่เป็นหนมนั่นแหละ อย่าลืมสิว่าพี่ชอบเราตั้งแต่ตอนที่ยังหัวฟู ใส่แว่นหนาๆ สภาพโดยรวมโทรมๆ คือไม่ได้มีเสน่ห์ภายนอกดึงดูดเลยอ่ะ"

"นี่พี่ว่าหนมอยู่ป้ะเนี่ย" ตอนแรกเหมือนจะดีนะ แต่พอฟังไปทำไมมันรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่รู้

"ไม่ได้ว่าสักหน่อย สิ่งที่พี่พูดมันหมายความว่าต่อให้หนมจะเป็นยังไงพี่ก็รักที่หนมเป็นหนม นิสัยของหนมนั่นแหละที่ทำให้พี่รักทำให้พี่หลง"

"หนมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ"

"เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลยนั่นแหละมันถึงได้น่ารัก พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่หรอกว่าทำไมพี่ถึงมารักหนมได้" พี่ขุนยกมือผมขึ้นไปจุ๊บ "พี่ว่าเราก็ไม่สามารถหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เรียกว่าความรักได้หรอกนะครับ รักก็คือรัก"

นั่นสินะ

รักก็คือรักจริงๆ นั่นแหละ

ผมยิ้มหวานก่อนจะขยับเข้าไปกอดพี่ขุน รู้สึกดีจริงๆ ที่มีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างมาตลอด ช่วงเวลาหลายเดือนที่คบกันมาพี่ขุนไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยสักอย่าง เสมอต้นเสมอปลายยังไงมันก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอ มันดีนะครับที่มีคนรักที่เขาสามารถเป็นให้เราได้ทุกอย่าง คอยเป็นที่ปรึกษาเวลามีปัญหา คอยเป็นคนขับรถไปรับไปส่ง คอยเป็นพ่อครัวคอยทำกับข้าวให้ คอยเป็นหมอนข้างให้ผมกอดอยู่ตลอด

พี่ขุนเป็นทุกอย่างสำหรับผมแล้วจริงๆ

โชคดีแค่ไหนที่ชีวิตได้มาเจอมันเนี่ยะ

ผมคลายกอดก่อนจะหอมแก้มพี่ขุนฟอดใหญ่ "หนมรักพี่ขุนนะครับ"

"พี่ก็รักหนมครับ....ตอนที่พี่อ่านนิยายของหนมน่ะ มันเหมือนได้เห็นชีวิตของเรา 2 คนเลยนะ"

"เนี่ยะ มันก็เหมือนกับคำพูดที่ว่า....ชีวิตจริงมันไม่เหมือนกับนิยาย แต่นิยายบางเรื่องมันก็สร้างมาจากชีวิตจริง อีกอย่างคือต้องขอบคุณความบังเอิญด้วยนะครับที่ทำให้เราได้มาเจอกัน เพราะแบบนี้ LoveWriteเขียนสื่อรัก ถึงเขียนมาได้จนจบ" ผมยิ้มหวานให้พี่ขุน "หนมไม่เคยรู้เลยว่าความรักมันเป็นยังไง แต่ก็รู้สึกอยากขอบคุณพี่ซ้ำๆ ที่ทำให้หนมได้รู้จัก....สิ่งที่เรียกว่า ความรัก"

"เอาตอนจบในนิยายมาพูดให้พี่เขินเล่นหรอครับ ระวังกลับไปจะโดนแง่มเอานะ"

"แง่มอะไรเล่า ขับรถไปเลยนะ" พี่นี่ไม่คิดจะเว้นจากเรื่องพวกนี้แม้กระทั่งตอนพูดคำซึ้งๆ เหรอ

หื่นกามจริงๆ

"หึ....." พี่ขุนออกรถก่อนจะเหลือบมองผม "หนมครับ....ทำไมหนมถึงใช้ชื่อเรื่องว่า LoveWriteเขียนสื่อรักล่ะ ตอนนั้นหนมก็ยังไม่เจอพี่นะแปลว่าชื่อเรื่องมันจะต้องมีที่มาที่ไปใช่ไหม"

"ที่หนมใช้ชื่อนี้ก็เพราะอยากให้คนที่ได้อ่านเนี่ยะรู้สึกถึงความรักที่หนมตั้งใจจะสื่อถึงพวกเค้า มันก็เท่านั้นเอง"

"รักคนอ่านจริงๆ เลยนะ"

"ก็ต้องรักสิ....แต่หนมก็รักพี่ขุนด้วยนะ"

"พูดจาน่ารักแบบนี้เดี๋ยวพี่จะแง่มให้เป็นรางวัลนะครับ"

"ไม่ต้องเลยนะ" เอะอะก็จะแง่มอย่างเดียวเลย คนอะไรก็ไม่รู้เนี่ย

ผมเอื้อมไปหยิบหนังสือนิยายของตัวเองมาวางไว้บนตักก่อนจะลูบตัวอักษรของชื่อเรื่องที่อยู่ด้านหน้า กว่านิยายเรื่องนี้จะจบได้ก็ต้องผ่านเรื่องราวตั้งหลายอย่าง ใช้เวลาก็ค่อนปีเลยนะครับ ดีใจนะที่ได้เห็นมันเป็นเล่มแบบนี้ ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่คอยอยู่ประคับประคองกันมาตลอด ทุกกำลังใจจากรอบข้างนี่แหละที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้

นิยายเรื่องนี้คือความภูมิใจของผม

มันคือความรักของผม....ที่มีต่อพวกคุณ

'LoveWrite เขียนสื่อรัก'






---------- END ----------



สวัสดีค่ะชาลมาส่งขุนหนมแล้วค่ะ เย่เย่เย่ ในที่สุดก็เขียนนิยายจนจบได้แล้ว อยากขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตลอด คือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้วเพราะทุกอย่างที่ชาลอยากจะพูด ขนมก็พูดไปหมดแล้ว อยากขอบคุณทุกคนซ้ำๆ คือนิยายเรื่องแรกมันก็จะตื้นตันใจมากเลยนะคะ ชาลหวังว่านิยายเรื่องนี้คงจะให้อะไรหลายๆ อย่างกับพวกคุณนะ อะไรที่เป็นข้อผิดพลาดชาลก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะคะ แล้วตัวชาลเองก็จะตั้งใจพัฒนาฝีมือของตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่ติดตามผลงานกันไปนานๆ นะ

ในส่วนของหนังสือนั้นไว้ถ้าทุกอย่างลงตัวหรือโอเคเมื่อไหร่ชาลจะมาชี้แจงทีหลังนะคะสำหรับผู้ที่อยากได้นิยายเรื่องนี้ไปเก็บไว้เป็นเล่มนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน....ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด รักทุกคนนะคะ




หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-02-2018 23:40:38
 :L2: :L1: :pig4:

น้องหนมมาแล้ว
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-02-2018 23:56:52
และแล้วทั้งคู่ก็ครองรักกันอย่างมีความสุข    :L2:
หมี คิดถึงหมีจังเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-02-2018 19:51:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 02-03-2018 15:25:47
โอ้ยยยย เจอพี่ขุนล่ะใจบาง 55555 ถ้านี้เป็นขนมนะ จะแง่มพี่ขุนทั้งวัน เอ้ย ไม่ใช่ๆ จะแกล้งพี้ขุนทั้งวันเลยยยยย  :hao7: :hao7:
น่าจะมีเขียนเพิ่มตอนของเพื่อนๆบ้างอ่า อยากอ่านนน  o13
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-03-2018 09:44:24
 :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Sistel2 ที่ 10-03-2018 12:58:00
ชอบบบบบ ขุนหนมน่ารักมาก ><
มีคู่ของพี่ขันXน้องหมีไหมคะ ?
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-03-2018 13:45:58
น้องขนมน่ารักและน่ากินมาก
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-03-2018 14:44:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 16-06-2018 07:09:30
 :hao7: น่ารักกกกกเขินพี่ขุนแทนน้อง ตามต่อเรื่องพี่ขันจ้าาา ชอบพี่ขันนน
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 17-06-2018 16:16:20
สนุกมากๆเลย น่ารักมาก ขอบคุณนะคะ
แล้วจะตามไปอ่าน พี่ขันกับหน่องหมี นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 03-09-2018 16:20:04
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 24-09-2018 15:01:31
 :L1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 24-11-2018 12:05:07
 o13 o13 น่ารักมากกกกก ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 24-11-2018 19:45:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:25:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: TAIYOO ที่ 03-07-2020 10:26:03
สนุกมากเลยค่าาา ได้อะไรดีดีจากนิยายเรื่องนี้เยอะเลย ขอบคุณนะคะ

 :mew1: :monkeysad: :impress2:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 06-07-2020 07:46:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 30-06-2021 16:08:41
 :-[
หัวข้อ: Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 05-10-2021 14:46:00
 :pig4: :pig4: