LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LoveWrite เขียนสื่อรัก บทส่งท้าย : 7/2/2018 ] หน้า 4  (อ่าน 39893 ครั้ง)

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************


" ชีวิตจริงมันไม่เหมือนกับนิยายแต่นิยายบางเรื่องมันก็สร้างมาจากชีวิตจริง "


--------------------------------------------------------------------------------------------------


Coincidence

 
คุณเชื่อในเรื่องของความบังเอิญไหม
ผมก็ไม่เคยคิดหรอกนะ ว่าที่เราบังเอิญเจอกันวันนั้นมันจะให้เรื่องราวเกิดขึ้นมาจนวันนี้
ตั้งแต่วันที่มันเริ่มเข้ามาในชีวิตของผม....เรื่องราวในนิยายที่ผมเขียนก็เริ่มเปลี่ยนไป


--------------------------------------------------------------------------------------------------


LoveWriteProject : LoveWrite เขียนสื่อรัก
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
[/b]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 13:14:00 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 1 เรื่องที่แปลกกว่าปกติ [Rewrite 100%]

ริมฝีปากบางประกบลงกับกลีบปากสีชมพูอย่างแผ่วเบา

แผ่วเบาแล้วอะไรต่อวะ

สอดลิ้นไหมสอดลิ้น

สอดลิ้นทำไมวะ

“โว้ยยยยมันยากจังวะ” ผมโวยวายอย่างหัวเสียที่หน้าโน้ตบุ๊คเพื่อนยาก แค่ฉากจูบทำไมมันถึงแต่งยากแบบนี้วะ นี่ยังไม่คิดว่าจะต้องแต่งฉากที่ได้กัน

โอ้ก๊อดดดด

สมองน้อยๆ จะระเบิด

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหล่ารี้ดที่รักถึงได้อยากอ่าน Nc นักหนา ทั้งๆ ที่ผมคิดว่า เออ นิยายวายใสใสก็มีมากมายถมไป ถ้าเราเรียบเรียงหรือบรรยายเนื้อเรื่องออกมาได้ดีมันก็สนุก ไม่จำเป็นต้องมีฉาก Nc ก็ได้ แต่ด้วยความที่มีเสียงเรียกร้องมาอย่างล้นหลามว่าให้แต่ง Nc ลงให้สักตอน และก็เป็นผมเองที่ทนความออดอ้อนพวกนั้นไม่ได้จึงต้องมานั่งทรมานสมองตัวเองแต่ง Nc ของตอนพิเศษอยู่แบบนี้

ชีวิตขนมช่างน่าสงสาร

ผมชื่อ ‘ขนม’ เคยถามแม่นะครับว่าทำไมถึงตั้งชื่อผมแบบนี้ แม่บอกว่าตอนที่จะมีผมเนี่ย แม่ชอบกินขนมมากไม่ว่าจะเป็นขนมไทยขนมนอก เรียกได้ว่ากินแทนข้าวเลย สรุปแล้วก็คือเพราะชอบขนมมากก็เลยเป็นที่มาของชื่อผมนั่นเอง
แล้วถ้าตอนนั้นแม่ชอบกินตะขบล่ะ

ช่างเถอะ....อย่าไปคิดมัน

ผมเป็นน้องคนเล็กของบ้าน มีพี่สาวสองคนและพี่ชายคนนึง พี่สาวคนโตชื่อเขม เธอสวยมากแถมยังเป็นคนที่ใจดีกับน้องเล็กอย่างผมที่สุด พี่เขมเธอทำงานเป็นนางแบบ ตอนนี้ก็รับงานอยู่ที่ฝรั่งเศสแถมบอกผมไว้ก่อนจะไปด้วยว่าจะซื้อครัวซองกลับมาฝากสามลัง

กะให้น้องกินจนอ้วนตายไรงี้

พี่สาวคนรองของผมชื่อแขครับ เป็นคนเจ้าระเบียบมาก ผมกับพี่แขนี่อยู่ด้วยกันยากเพราะผมไม่มีความเป็นระเบียบในชีวิตเลย ไม่ใช่สิ ความเป็นระเบียบของคนเรามันไม่เหมือนกันต่างหาก เอาเป็นว่าเธอไม่เข้าใจระเบียบของผม ตอนนี้พี่แขช่วยป๊าทำงานอยู่ในบริษัทครับเพราะว่าเจ้าตัวถนัดด้านจัดระเบียบงานและบริหารผู้คน
ส่วนพี่ชายของผมนั้นชื่อไอ้เชี่ยขัน ผมไม่ค่อยเคารพมันเท่าไหร่เพราะมันขี้แกล้ง ตอนนี้มันเรียนอยู่ปี 3 วิศวะฯ โยธา มันหล่อมากแต่ก็เชี่ยมากเหมือนกัน แถมยังชอบกรอกหูผมว่าการแต่งนิยายนั้นมันจะทำให้สมองผมตาย

ดูคำพูดคำจามันสิ

อย่างที่เห็นก็คงจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าผมเป็นนักเขียน ไม่ใช่นักเขียนธรรมดานะครับเป็นนักเขียนนิยายวาย นิยายวายคือนิยายที่เกี่ยวกับรักร่วมเพศแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Yaoi [ยาโอย] เป็นชายรักชาย และ Yuri [ยูริ] เป็นหญิงรักหญิง นิยายวายที่ผมแต่งนั้นเป็นชายรักชาย ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกย์ ผมไม่ชอบผู้หญิงและก็ไม่ชอบผู้ชาย คือเรียกได้ง่ายๆ ว่าไม่รู้สึกชอบเพศไหนเลย ผมไม่เคยมีแฟน
ผมคิดว่าความรักมันเป็นสิ่งที่ดีและก็สวยงามนะแต่ว่าผมก็ไม่คิดจะมีมัน
ช่างเถอะ....ผมไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้ว ที่มาแต่งนิยายนี่ก็แค่อยากระบายสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ มันเป็นการฝึกการเรียบเรียงคำพูดของผมด้วยเพราะผมพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ ที่ผมไม่แต่งชายหญิงเพราะว่าผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคิดอะไรและใช้คำพูดยังไง ผมเป็นผู้ชายผมย่อมรู้ความคิดของผู้ชายดี พอเป็นแบบนั้นก็เลยแต่งเป็นนิยายชายชาย ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เคยมีความรู้สึกรักก็จริงแต่ว่าผมคิดว่าตัวเองเข้าใจมันนะเพราะงั้นผมถึงได้แต่งนิยายรัก ช่วงแรกๆ มันก็ยาก พอนานๆ ไปมันก็เริ่มชิน แล้วก็กลายเป็นหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่ผมต้องทำทุกวันเวลาผมว่าง อย่างหลังอาบน้ำ ก่อนนอน หรือก่อนไปเรียน

ไปเรียน

“ห่า อีก 10 นาที ชิบหายละ” ลืมไปเลยครับว่ามีเรียน ผมรีบปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที ผมเป็นแบบนี้ตลอดเลยเวลาที่ได้แต่งนิยาย มักจะลืมเวลา ลืมแม่งทุกอย่าง

ลืมแบบลืมจริงๆ ด้วยนะ

ผมต้องรีบวิ่งไปให้ทันเช็กชื่อเพราะอาจารย์วิชานี้ก็โหดมาก ขืนผมไปสายอีกเขาต้องให้ผมวิ่งรอบตึกแล้วตะโกนว่า ‘ผมจะไม่มาสาย’ อย่างที่เคยทำแน่ๆ

ชีวิตผมควรอับอายแค่ครั้งเดียวถูกไหม


มหา’ลัย P

“คณาณัฐ”

“แฮ่ก....มาครับ” ผมขานรับทันทีที่เข้ามาในห้อง โชคดีเป็นบ้าที่มาทันเวลา

“คุณเกือบสายแล้วนะนักศึกษา”

ผมขยับแว่นเบาๆ ทีนึงก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่ประจำของตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลัง เหนื่อยชิบ สาบานเลยว่าถ้าต้องมาเรียนคลาสนี้อีกผมต้องตั้งเตือนให้ตัวเองมาก่อนสักครึ่งชั่วโมง เหงื่อเต็มเสื้อเลยแฮะ ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย มันเหมือนตัวเองไม่สะอาด

“เกือบสายแล้วนะมึงอะ ซื้อชีทมารึยัง”

“เออ กูโทรไปหาก็ไม่รับไอ้บ้า”

“มึงจะไปว่ามันทำไมวะ มันก็มาทัน”

“ทำอะไรอยู่วะทำไมมาช้า”

“กินไรมายัง กูซื้อขนมปังมาเผื่อมึงด้วย”

“คร่อก...ก....”

เอิ่ม.....ใจเย็นๆ นะเหล่าสหาย

ผมหยิบสมุดเลคเชอร์กับกระเป๋าปากกาในกระเป๋าออกมาวางไว้บนโต๊ะ ระหว่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาทั้ง 5 คู่ที่จ้องมองมาเพื่อรอคำตอบ

“ยังไม่ได้ซื้อชีท แต่งนิยายอยู่ ยังไม่ได้กิน แล้วทำไมไอ้ภีมต้องนอนน้ำลายยืดแบบนั้นด้วยวะ” ผมมองเพื่อนรักที่ฟุบหลับอยู่โดยที่มีน้ำใสใสไหลออกมาจากมุมปาก ห่าภีมทำอะไรไม่เคยเหมาะกับหน้าตาเลย

“ไอ้ภีม”

“ภีม”

“ภีมมมม”

โครมมมม

“เห้ยเป้!!!” ผมมองร่างไอ้ภีมที่ถูกไอ้เป้ถีบจนร่วงไปนอนกองกับพื้น เดี๋ยวนะเป้แค่ปลุกมันมึงต้องใช้ความรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ โถ่เพื่อนภีมไม่น่าเลย

“มึงเห็นไหมหนมว่ามันไม่ตื่น” ไอ้เป้บอกผมก่อนจะหยิบสมุดที่วางอยู่บนโต๊ะไปกระหน่ำตีไอ้ภีมซ้ำ

“ไอ้เป้เดี๋ยวมันตายไอ้สัส” ผองเพื่อนรีบช่วยกันห้าม แต่ไอ้เป้มันแรงเยอะมาก รั้งแขนรั้งขานี่ไม่สะเทือนเลยนะ

“มันโดนกูด้วยเนี่ยไอ้เป้”

“อื้ออ.อ....กูเจ็บ”

“เจ็บก็ตื่นสิโว้ยยยยยยยยยยย” แหกปากไปอีก มึงแดกโทรโข่งเข้าไปเหรอวะเพื่อนรัก
ผมรั้งเอวไอ้เป้ไว้เพื่อให้มันเลิกตีไอ้ภีม ส่วนเพื่อนอีกสี่คนก็ลากไอ้คนที่หลับอยู่ให้ออกไปจากรัศมีการตีของไอ้เป้ ชีวิตมันต้องขนาดนี้ไหมมึง ห่านี่ก็โหดเหลือเกิน เชี่ยโน่นก็ไม่ยอมตื่น สิ่งที่ผมคิดแม่งต้องเกิดขึ้นแน่ๆ

“นักศึกษา.....พวกคุณทำอะไรกัน”

นั่นไง....


หน้าตึกคณะนิเทศศาสตร์


“ผมจะตั้งใจเรียน...แฮ่ก...”

“ผมจะ....แฮ่ก....ตายแล้ว”

“ผมง่วง”

“ไอ้ภีม!!!”

“ไม่ไหว....โอ๊ย” ผมทรุดตัวลงกับพื้นหน้าตึกของคณะอย่างหมดแรง อาจารย์จะสั่งลงโทษให้วิ่งรอบตึกท่ามกลางแดดร้อนๆ แบบนี้ไม่ได้น่ะ แดดเที่ยงวันนี่มันโหดร้ายกับชีวิตนักศึกษาตัวน้อยๆ อย่างพวกผมเกินไป

“หนมกูยืมตักหน่อย” ไอ้ภีมจะคลานมาหาผมแต่ไอ้เป้ดึงขามันไว้

“ยังไม่สำนึกอีกหรอมึงน่ะ พวกกูต้องมาวิ่งเพราะมึงหลับนะ”

“เพราะมึงปลุกกูต่างหาก ถ้ามึงปล่อยกูหลับนะเป้ เรื่องจบแล้ว”

“เลิกเถียงกันเถอะว่ะ....สัสเอ๊ยโคตรดูไม่จืดเลย” จริงตามที่ไอ้ปั้นพูด แม่งโคตรดูไม่จืด เสื้อนักศึกษาพวกผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ แล้วเดี๋ยวคลาสบ่ายต้องขึ้นไปห้องสตูดิโอเพื่อซ้อมรายงานข่าวอีก

รายงานข่าว

“มึงเขียนสคริปข่าวเสร็จรึยัง” ผมหันไปถามไอ้ไผ่เพราะหน้าที่การเขียนสคริปข่าวเป็นของมัน

“เสร็จแล้วสิ”

“เออดี เอามาให้กูดูด้วย” แค่คิดว่าต้องมีซ้อมรายงานข่าวก็เบื่อแล้ว อยากกลับหอไปนอนแต่งนิยายจัง

“อาจารย์ต้องคาดหวังกับกลุ่มท่านประธานแน่ๆ ” ใช่หมี....กูก็คิดแบบมึง

พวกผมคือกลุ่มท่านประธานครับ

ที่ได้ชื่อว่ากลุ่มท่านประธานก็เพราะว่ามีประธานนักศึกษาของคณะนิเทศศาสตร์อยู่ในกลุ่มนี้นั่นก็คือ ไอ้ปั้น รวมๆ แล้วแก๊งค์ผมมีกัน 7 คน คือ ผม ปั้น ไผ่ เป้ ภีม หมี เผือก โดยที่พวกผมนั้นเป็นเด็กปี 1 ที่ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ทั้งถ่ายรูป ตัดต่อ ทำสื่อบลาๆ ด้วยความที่ทำเป็นทุกอย่างนี่แหละ งานของคณะมันก็เลยตกมาอยู่ที่กลุ่มผมเป็นประจำ แต่ไม่เป็นไรครับเพราะงานแบบนี้ยิ่งทำมากยิ่งส่งผลดีกับตัวเอง ถึงแม้ว่าแม่งจะเหนื่อยชิบหายก็เถอะ พวกรุ่นพี่เขาบอกมาว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่ไอ้ปั้นมันจะเหนื่อยกว่าพวกผมนิดหน่อยเพราะมันเป็นประธาน ต้องรับผิดชอบห่าเหวอะไรอีกเยอะแยะ
ผมว่าเรามารู้จักกลุ่มท่านประธานกันอย่างแจ่มแจ้งดีกว่า

ปั้น ปัญธร เป็นท่านประธานคณะแต่เอาจริงๆ แม่งไม่ได้เต็มใจหรอก ที่ได้ตำแหน่งนี้มาเป็นเพราะการโหวตของเพื่อนๆ ไอ้ปั้นทำงานเก่งนะแถมยังประสานงานระหว่างสาขาได้ดีด้วย ผมอิจฉาความสูงของมันมาก สูงไม่พอแถมหล่ออีก มันนับว่าเป็นหนุ่มที่ฮอตของนิเทศฯ เลยนะครับ ส่วนเรื่องนิสัยก็เจ้าเล่ห์สุดๆ มีวาทะศิลป์เป็นเลิศ พูดโน้มน้าวใจคนอย่างเก่ง

ไผ่ ภูวริศ เป็นคนที่นับได้ว่าพูดจาไม่รู้เรื่องมากที่สุดในกลุ่มแถมยังติดมึนบ่อยๆ ในกลุ่มเนี่ยะจะมีผมกับมันที่พูดอะไรคนจะไม่ค่อยเข้าใจ ผมเคยถามว่ามันกำลังจะไปไหน มันตอบกลับมาว่าหนังเมื่อคืนสนุกดี อะไรของแม่งก็ไม่รู้ เห็นเอ๋อๆ แบบนี้แต่มันเป็นคนที่เขียนพวกสคริปหรือว่าบทความได้ดีนะ ถ้ามีงานพวกนี้เข้ามาก็ไว้ใจให้มันเขียนได้เลย

เป้ วิศรุต สำหรับไอ้โหดนี่ถือว่าเป็นอะไรที่ดูแปลกแยกในกลุ่มของผมเลย ไอ้เป้มันหล่อมากครับ สูง ขาว ขายาวแต่มันหล่อแบบเถื่อนๆ ลุคคล้ายๆ เด็กวิศวะฯ เบ้าหน้าดีส่วนใหญ่ แถมสติปัญญาก็ไปเรียนสายนั้นได้ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงมาเรียนนิเทศฯ นิสัยของมันก็โคตรเถื่อน ถ้าเผลอไปมองหน้านี่อาจจะโดนกระทืบได้

ภีม ภานุกิจ ผู้ที่สามารถนอนได้ทุกที่และตลอดเวลา ไอ้ภีมมันขี้เซามากครับ อย่างเวลาเรียนมันก็จะหลับตลอดบางทีก็สงสัยนะว่าตอนกลางคืนมันทำอะไรทำไมไม่หลับไม่นอน แต่ขนาดหลับในเวลาเรียนบ่อยขนาดนั้น มันยังทำควิซได้คะแนนอยู่ในระดับท็อปเลยนะ นี่ถ้าไอ้ภีมไม่หลับเวลาอาจารย์สอนนะมันคงทำได้คะแนนเต็ม

หมี นราวัฒน์ ไอ้หมีเนี่ยะเปรียบมันได้กับทะเบียนราษฎร์ แม่งรู้จักชาวบ้านเขาไปทั่ว ถามว่าใครเป็นใครนะมันรู้จักหมด มีครั้งนึงไอ้ปั้นเขาแอบปิ๊งเด็กบริหารฯ ไอ้หมีมันก็รู้จัก มันบอกว่ามีคอนเนคชั่นเยอะเวลาทำอะไรได้สะดวก หมีมันหล่อครับแถมยังยิ้มเก่งอัธยาศัยดีอีก โคตรต่างกับผมอะ เพราะรอยยิ้มหวานๆ ของมันนั่นแหละสาวๆ ถึงได้เข้ามาติดกันตรึม

เผือก ภาสกร ชื่อเผือกแต่ไม่ค่อยชอบเผือกเรื่องของใครนะครับ มันเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงพูดยังไม่ค่อยพูดเลย แต่ถ้ามันเมานะมันจะพูดไม่หยุดแล้วก็พูดห่าอะไรของแม่งไม่รู้ อารมณ์ประมาณว่าเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะพูดไว้พูดตอนเมาทีเดียว มันเป็นพวกรักเพื่อนมากคือถ้ามีเรื่องอะไรกับใครมันจะเข้าบวกก่อนเลย

ขนม คณาณัฐ ผมก็เป็นคนนึงที่ดูแปลกแยกออกมาจากกลุ่มนี้ ไม่ใช่ว่าหล่อ เท่ ดูดีอะไรทำนองนั้นนะครับ มันเป็นเพราะว่าผมดูเฉิ่มและเห่ยมาก ใส่แว่นหนาๆ หัวก็ฟู หวีผมครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ หนวดก็ไม่ค่อยได้โกนสภาพโดยรวมคือโทรมสัสๆ ผมสูงไล่เลี่ยกับไอ้ไผ่แต่มันก็ยังเตี้ยกว่าไอ้ห้าคนที่เหลือหลายเซ็นฯ

เออ ผิดเองแหละที่ไม่กินนมน่ะ

แต่ว่าเห็นเห่ยๆ แบบนี้ ผมเรียนเก่งมากเลยนะครับเรียกว่าเป็นที่ 1 ของชั้นปีเลยก็ได้ พิสูจน์จากเกรดของเทอมก่อนที่ฟาด A เรียบ แถมผมเองก็ทำได้ทุกอย่าง แต่การที่ทำได้ทุกอย่างนี่ก็จะทำให้เหนื่อยมากในระดับนึง ผมมั่นใจในเรื่องเรียนกับเรื่องทำงานมากนะว่าตัวเองจะทำออกมาได้ดี แต่เรื่องพวกสานสัมพันธ์กับคนอื่นผมทำไม่ได้เลย ผมไม่ถนัดในการผูกมิตรกับใคร นี่ถ้าไม่เป้มันไม่ทักผมเมื่อวันปฐมนิเทศนะ ผมก็คงไม่มีเพื่อนมาจนวันนี้แหละครับ
ชีวิตน่าเศร้าอีกแล้ว

​------ 50% บท 1 ------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2018 22:22:39 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
------- ต่อจากบท 1 ------

“เหลืออีก 15 นาทีว่ะ เข้าคลาสป้ะ” ไอ้หมีหันมาถาม แค่อีก 15 นาทีนี่ไปหาข้าวกินไม่ดีกว่าเหรอเพื่อน

“ไม่เข้า กูหิวข้าว ไปเถอะ” ไอ้เป้สรุปให้เสร็จสรรพก่อนจะเดินนำพวกผมไปเลย

ตอนนี้พวกผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะประจำในโรงอาหารของคณะครับ เวลาประมาณเที่ยงแบบนี้คนก็เยอะเป็นธรรมดา แต่ผมไม่ค่อยชอบว่ะเพราะมันจะวุ่นวายและเสียงดัง แต่ตอนนี้คนที่เสียงดังกว่าชาวบ้านก็ไอ้ห่าหมีนี่แหละ

“หิวข้าววววววววววว”

“มึงจะเสียงดังทำไมไอ้สัสหมี หุบปากสัก 5 นาทีได้ไหมห้ะ!!!” เออด่ามันเลยเป้

“ว่ากูไมอะเป้ กูเสียใจนะ” ผมมองไอ้หมีที่มันเบะปากเพราะโดนด่า ไอ้เป้เห็นอย่างนั้นมันก็หยิบค้อนลมออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกระหน่ำตีไอ้หมี

เดี๋ยวนะเป้

มึงพกค้อนลมมาทำไม

แล้วมึงไปเอามาจากไหน

“โอ๊ยไอ้เป้ไอ้เลวร้าย ทำงี้กับหมีคนหล่อได้ไง”

“ตายซะเถอะมึง” และแม่งก็กระหน่ำตีอีก เป้เอ๊ยมึงหัวร้อนเกินไปจริงๆ แหละ

“พวกมึงนี่เล่นกันเป็นเด็กเลยนะ แล้วไอ้เป้มึงเอาค้อนลมมาทำไม” ไอ้ปั้นถาม เออผมก็สงสัยว่ามันเอามาทำไม

“กูเอามาตีหัวคนถาม” ว่าแล้วมันก็ง้างมือ เห้ย อย่าเชียวนะมึงนี่มันท่านประธานเลยนะ

“มึงควรเอาเวลาตีหัวเล่นไปซื้อข้าว”

“......”

“กูพูดถูกไหม” ไอ้เผือกเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันมามองทางพวกผม ในขณะที่ไอ้เผือกพูดทุกอย่างมันควรจะเงียบ เพื่อนๆ ควรจะแยกกันไปซื้อข้าว ทุกคนอาจจะเข้าใจแบบนั้นใช่ไหมครับ

ทุกคนคิดผิด

“พูดงี้มึงก็จะเอาคนอีกหรอไอ้เผือก ห้ะ!!!” เสียงที่คุณก็รู้ว่าใคร

“......”

“เป้มึงโวยวายว่ะ” ไอ้ไผ่ยืนมองไอ้เป้ตาแป๋ว แม่งพูดแบบไม่สะทกสะท้านและไม่กลัวค้อนลมในมือไอ้เป้ด้วย

“มึงมีปัญหากับกูอีกคนหรอไอ้เตี้ย”

ผมมองคนพูดตาค้อน “มันกระทบกู”

“โถ่หนม กูไม่ได้ว่ามึงนะ” มันส่งตาปริบๆ มาให้เหมือนจะสื่อว่ามันพูดจริงๆ

“หึ แยกกันไปซื้อข้าวได้แล้ว เดี๋ยวต้องขึ้นไปซ้อมรายงานข่าวอีก” ผมบอกชาวแก๊งค์ก่อนจะเดินไปซื้อข้าวทันที ไอ้เป้มันก็ยอมวางค้อนแล้วก็เดินตามผมมา ส่วนเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปซื้อข้าว

ไงล่ะ ต้องให้ขนมสั่ง

มันเป็นเรื่องดีนะที่เวลาผมสั่งอะไรพวกมันก็จะทำตาม มันให้ความรู้สึกเหมือนมีอำนาจในระดับนึง โดยเฉพาะไอ้เป้ แม้ว่ามันจะเดือดเลือดพล่านหัวร้อนจากไหนมาแต่มันก็จะหยุดฟังผมเสมอ เวลาสั่งอะไรมันก็มักทำตามถึงจะมีโอดครวญบ้างแต่สุดท้ายมันก็ยอม

แต่ไอ้นิสัยชอบเอาแขนพาดหัวกูนี่มึงเลิกเถอะ

“มึงกินไรวะหนม”

“ข้าวไง เอาแขนออกไปซิกูหนัก”

“หนักไร ไม่หนัก”

“มึงจะไปหนักได้ไงล่ะไอ้ฟาย มันพาดอยู่บนหัวกูเนี่ย”

“มึงขี้โวยวายอะหนม” มึงมีสิทธิ์ว่ากูด้วยเหรอวะ

หืม....

นั่นมันเด็กวิศวะฯ

มาทำอะไรที่นี่

“มึงมองไรวะ” ไอ้เป้มองตามสายตาของผม “เด็กวิศวะฯ หนิ”

ผมมองด้วยความสงสัย “มาทำอะไรที่ตึกนี้วะ”

“ไม่เห็นจะแปลกเลย”

แปลกดิมึง

ตึกวิศวะฯ มันอยู่คนละฟากกับตึกนิเทศฯ เลยนะ

ระหว่างสองตึกนี่เป็นอะไรที่ไกลกันโคตรๆ เรียกได้ว่าอยู่ริมรั้วของแต่ละฝั่งเลยก็ว่าได้ ผมเคยเดินจากตึกนิเทศฯ ไปตึกวิศวะฯ เพื่อเอาขนมโก๋ไปให้ไอ้ขัน มันสั่งว่ายังไงก็ต้องไปหามันที่ตึกเท่านั้น แล้ววันนั้นมันก็คราวซวยของผมที่ไม่ได้เอารถมา ผมไม่ค่อยได้เอารถมามหา’ลัยเพราะว่าจากหอมามอมันใกล้ ไม่รู้จะเอามาทำไมมันเปลืองน้ำมัน เป็นเพราะอย่างนั้นผมก็ต้องเดินไป เรียกได้ว่าเหนื่อยขาล้ามาก จากนั้นแค่ครั้งเดียวผมก็ไม่คิดจะเดินไปอีก ถ้าไปคือต้องขับรถเท่านั้น

“ทำไมพี่ขุนมาอยู่ที่นี่วะ” มึงมาตอนไหนวะหมี ละใครคือขุน

“ขุนอะไรวะ”

“ก็นั่นไง เด็กวิศวะฯ นั่นอะ”

“มึงรู้จักหรอ” ก็ไม่แปลกนะถ้าไอ้หมีจะรู้จัก เพราะมันรู้จักชาวบ้านเขาไปทั่ว

“ใครไม่รู้จักก็แปลกแล้ว เค้าดังพอๆ กับพี่มึงเลยนะหนม” ดังพอๆ กับไอ้ขันงั้นเหรอ

คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หรอกว่าผมเป็นน้องชายมัน มีแค่เพื่อนผมกับเพื่อนมันเท่านั้นแหละที่จะรู้เรื่องนี้ ถึงเราจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็โคตรต่างกันแบบหน้ามือกับหลังตีน อย่างที่ผมเคยบอกไปว่ามันหล่อมาก มองแบบเผินๆ ก็หล่อเลวแบบไอ้เป้นี่แหละ ความดังของมันอาจจะมาจากการเป็นเฮดว้ากของมันด้วย วันที่ผมไปหามันที่คณะก็ไปเจอจังหวะมันว้ากน้องพอดี

แม่งโคตรโหด

ถ้ามันใช้เสียงกับสีหน้าแบบนั้นมาดุผมที่บ้านนะ ผมคงวิ่งหนีไปอยู่ที่ไหนสักที่

พอๆ หยุดเรื่องไอ้ขัน

ผมตั้งใจมองร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักอย่างพิจารณา ร่างสูงนี่ไม่ได้สูงแบบธรรมดานะครับ มันสูงมาก สูงกว่าไอ้เป้ด้วยซ้ำไป ผิวก็ขาวอาจจะดูคล้ำแดดไปบ้างแต่ยังไงก็ขาวอยู่ดี ดวงตาคมๆ นั่นอีก ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะหลงเสน่ห์ได้โดยไม่ยากไหนจะริมฝีปากบางๆ ที่มัน....

“มองขนาดนั้นมึงก็ไปแดกหัวเค้าเลยเถอะ”

“แดกหัวไรวะหมี กูก็แค่มองเพราะว่า....”

“หล่อ”

“ก็หล่อ....ไม่ใช่เว้ย กูก็แค่สงสัยว่าทำไมเด็กวิศวะฯ ถึงมาอยู่ที่นี่”

“นั่นสินะ กูก็อยากรู้จัง” ใช่สิ มึงมันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน

“มึงยังไม่ได้บอกเลยหมีว่ามันเป็นใคร”

“มึงอยากรู้หรอหนม” มันส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม ห่าหมีเดี๋ยวกูให้ไอ้เป้กระทืบให้ซะหรอก

“ก็มึงมาพูดเหมือนกับดักให้พวกกูถามต่อ ใครจะไม่อยากรู้วะไอ้สัสหมี” เออเป้ตบกระโหลกมันเลยมันกวนตีนกู

“มึงนี่รุนแรงจังเลยวะเป้ เออๆ กูบอกก็ได้ แต่บอกที่โต๊ะนะ” และแม่งก็ถือจานข้าวเดินกลับโต๊ะ ลีลาไปอีกมึงเอ๊ย

ผมกับไอ้เป้ถือจานข้าวกลับมานั่งโต๊ะ โต๊ะประจำของพวกเราอยู่ฝั่งทางเข้าของโรงอาหาร ไอ้หมีให้เหตุผลในการเลือกโต๊ะไว้ว่า การที่นั่งที่ทางเข้ามันจะทำให้เราเห็นคนที่จะเดินเข้ามาก่อนใคร ถ้ามีสาวสวยเดินเข้ามาเราก็จะเห็นก่อนและก็สามารถไปขอไลน์เขาได้ก่อน จีบได้ก่อน ก็คือเอาไว้เหล่สาวนั่นแหละง่ายๆ

“ไหนมึงเล่ามาได้แล้ว” ไอ้เป้สั่งไอ้หมีที่กำลังดูดน้ำแดง

“อะแฮ่ม....คือกูก็ไม่ได้รู้จักอะไรมากหรอกนะ อย่างที่บอกว่ามันก็ดังคล้ายๆ พี่ขัน”

“มึงต้องรู้มากกว่านั้นสิ” เออใช่ จริงอย่างที่ไอ้เป้พูด น้ำหน้าอย่างไอ้หมีถ้าบอกว่ารู้จักใครมันก็ต้องรู้จักในเบื้องลึก

“ก็นะ....พี่มันชื่อขุนศึก เรียนวิศวะฯ โยธาปี 2 สาขาเดียวกับพี่มึงนั่นแหละ มีดีกรีเป็นเดือนคณะวิศวะฯ เมื่อปีก่อน ก็อย่างที่มึงเห็นว่าหล่อมาก ด้านการเรียนก็ถือว่าเก่ง เป็นตัวท็อปของวิศวะฯ เลยแหละ”

“กูเจอบ่อยนะที่ร้านเหล้า”

ผมเงยหน้ามองไอ้เผือกทันทีที่มันพูดออกมา “มึงก็รู้จักหรอเผือก”

“ไม่....แค่เห็นบ่อย”

“ก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะเจอแถวร้านเหล้า เพราะกูก็หาตัวเจอได้แถวร้านเหล้าเหมือนกัน ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ”

“มึงจะหัวเราะเสียงดังทำไมวะไอ้เชี่ยหมี” ไอ้เป้หยิบค้อนขึ้นมาตีหัวไอ้หมีอีกละ

“เดี๋ยวสิคะพี่ขุน อย่าเพิ่งไป” ผมหันมองไปตามเสียง

“นั่นคือคนที่พวกมึงเพิ่งพูดถึงใช่ไหม” ไอ้ไผ่มันถาม

เดี๋ยวนะไผ่ ปากแดกอะไรทำไมมันเลอะขนาดนั้นวะ

“ปากมึงเลอะจังวะ” ผมหยิบทิชชู่ในกระเป๋าก่อนจะส่งให้มันเช็ดปาก

“หนมๆ มึงดูดิ” อะไรมึงวะหมี

ผมมองไปยังผู้ชายที่เราเพิ่งจะนินทากันไปหยกๆ ตอนนี้มันกำลังยืนประจันหน้ากับผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิดเธอเป็นตัวเต็งดาวคณะผม

“ผู้หญิงนี่ตัวเต็งดาวคณะเราใช่ป้ะ”

“ใช่ ชื่อแก้มใสไง”

“เมียเก่ามึงอะปั้น”

“มึงอย่าพูดงั้นสิ กูเศร้าใจน่ะ” ไอ้ปั้นบอกพลางเบะปากน้อยๆ แก้มใสนี่เป็นเด็กเก่าไอ้ปั้น เคยคั่วกันมาก่อน ผมก็ไม่ได้รู้มากเพราะว่าไม่ได้อยากจะสนใจ เคยได้ยินจากไอ้ปั้นว่าแก้มใสนิสัยไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไหร่

เอาเป็นว่าผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น

“พี่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”

“แต่แก้มรักพี่นะคะ” แก้มใสพูดทั้งน้ำตา

“เค้าบอกรักกันด้วยอะมึง”

“มึงเงียบๆ ดิ๊ไอ้หมี ถ้าจะเสือกเรื่องชาวบ้านมึงต้องเงียบรู้ไหม” ไอ้เป้มันว่าไอ้หมีครับ

เออหมีเข้าใจไหม

ถ้าจะเสือกเรื่องชาวบ้านต้องเงียบๆ

“บอกรักพี่ เหมือนที่บอกไอ้เกียร์ด้วยน่ะนะ” มันยกยิ้มก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากมองคนตรงหน้า

“เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาว่ะ เกียร์คือใครวะหมี” ทีนี้เป็นไอ้ปั้นครับที่ถามเพราะไอ้เป้มันกำลังเป่าค้อนลมให้พองเหมือนเดิม
โถ่เป้ ทำไมมึงจริงจังกับค้อนลมจังวะ

“เกียร์คือ.....” และไอ้หมีก็พูดให้ไอ้ปั้นฟัง เท่าที่ผมฟังคร่าวๆ ก็คือเกียร์เป็นเด็กสถาปัตย์ฯ ปี 2 แล้วก็อะไรสักอย่างแต่ผมสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่าว่ามันจะเป็นยังไงต่อ

เผื่อจะเอาไปเป็นส่วนประกอบในการเขียนนิยายได้

“พี่ขุนหมายถึงอะไรหรอคะ” แก้มใสสีหน้าเจื่อนไปทันทีเหมือนโดนล่วงรู้เรื่องสำคัญ

“อย่าถามในสิ่งที่ตัวเองก็รู้เลย ที่พี่มาที่นี่ก็เพื่อจะมาเคลียร์ให้มันจบจริงๆ ”

“แก้มเป็นเมียพี่นะ พี่จะทิ้งแก้มหรอ”

“พี่ว่าเราตกลงกันไปแล้วนะว่าสถานะของเราคืออะไรกันแน่” ผมมองสีหน้าของไอ้หล่อนั่นที่แสดงความรำคาญอย่างสุดขีด จากที่ฟังบทสนทนามาก็พอเดาได้ไม่ยากนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมเข้าใจละว่าเด็กวิศวะฯ มาไกลถึงตึกนิเทศฯ ทำไม

“แต่ว่า....” เสียงใสกำลังจะเถียง

“และคำว่าเมีย แก้มคงใช้กับพี่แค่คนเดียวไม่ได้”

“เออนั่นแหละ สิ่งที่กูอยากจะพูด” มึงแค้นใจอะไรวะปั้นทำไมถึงทำหน้าเหี้ยมแบบนั้น

“พี่ไปละเสียเวลาเรียน หวังว่ามันคงจะจบแค่นี้นะ” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินออกไปจากโรงอาหารทันที ทิ้งให้ว่าที่ดาวคณะแสนสวยยืนน้ำตานองอยู่คนเดียวอย่างน่าสงสาร

มันจะน่าสงสารถ้า.....

“ไอ้ขุน กูจะให้พี่น้ำกระทืบมึง” และนางก็เดินไป คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ นะครับ

ผมมองตามหลังเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มนั่นไปจนลิบตา ฟังจากการพูดของมันก็เดานิสัยได้ไม่ยากนะ คงจะเป็นคนที่พูดจาตรงๆ แถมไม่รักษาน้ำใจใครด้วย แต่มันก็น่าจะเหมาะกับแก้มใสแล้วล่ะ

“มองขนาดนี้ก็เดินตามไปเลยไหมหืม”

“เดินตามไรวะหมี เพ้อเจ้อว่ะ” ผมก้มหน้ากินข้าวต่อ และก็ฟังไอ้หมีพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไอ้ปั้นเองก็ระบายความในใจเกี่ยวกับแก้มใสออกมาเต็มที่ ไอ้เป้ก็ด่าไรไอ้หมีไม่รู้ ไอ้ไผ่กับไอ้เผือกก็กินข้าวส่วนไอ้ภีมก็หลับ

เดี๋ยวนะภีม มึงหลับอีกแล้วเหรอ

ผมเขย่าตัวมันเบาๆ “มึงไม่กินข้าวหรอภีม”

“มึงคิดว่ามันจะตื่นหรอ อย่างไอ้ภีมมันต้องเจอกูนี่” ว่าแล้วก็ใช้ค้อนลมกระหน่ำตีหัวไอ้ภีม สักวันไอ้ภีมมันต้องสมองตายเพราะไอ้เป้แน่ๆ

“อื้อออ....ตื่นแล้ว” ไอ้ภีมผงกหัวขึ้นมาพร้อมกับหาววอดๆ พลางขยี้ตาไปด้วย

“มึงกินข้าวยัง”

“กินเสร็จตั้งแต่ตอนที่มึงเริ่มเสือกเรื่องชาวบ้านแล้วหมี”

“โอ๊ยเจ็บบบบ ทำไมเพื่อนภีมว่าเพื่อนหมีแบบนี้ล่ะ” ไอ้หมีมันตัดพ้อพร้อมทำเสียงสะอื้น

“มึงคิดว่าตัวเองน่ารักหรอห้ะ!!!” ค้อนลมเปลี่ยนเป้าหมายจากหัวไอ้ภีมมาเป็นหัวไอ้หมีต่อ ไอ้เป้มันทำหน้าที่ของมันได้ดีจริงๆ

ครืดดดด....ดดด

“ฮัลโหลครับ” ผมกดรับสายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดูว่าใครโทรมา

(เออ หัดพูดจาไพเราะกับกูบ้าง)

เสียงนี้มัน

“มีอะไรไอ้สัสขัน”

(แน่ะ พูดไม่เพราะอีกละ)

“มีปัญหาอะไรห้ะ” เพื่อนๆ หันมองผมกันเป็นทางเดียวเลยครับ ผมเสียงดังเกินไปเหรอ

(โหดจริงนะมึงอะ)

ยังๆ ยังไม่พูดธุระของมึงอีกนะ

“ขัน ถ้ามึงจะโทรมากวนตีนกูล่ะก็ กูจะ.....”

(เย็นนี้มาหากูที่คณะด้วยนะ ป๊าบอกให้ไปนอนที่บ้านบ้าง เค้าคิดถึงมึง)

ถ้าคิดถึง ทำไมป๊าไม่โทรมาบอกผมเอง

“มึงโกหกกูป้ะเนี่ย”

(กูจะโกหกมึงทำหอกไรล่ะ ไม่เชื่อก็โทรไปถามป๊าไป)

“เออกูโทรแน่”

“มึงคุยกับใครวะหนม” ไอ้เป้มันถามผมครับมือมันก็ง่วนอยู่กับค้อนลมของมัน

“คุยกับไอ้สัสขัน”

(เรียกกูแบบนั้นต่อหน้าเพื่อนได้ไงห้ะ)

“มันเรื่องของกู แค่นี้แหละ รำคาญ” กดวางสายแม่ง

เชื่อสิว่ามันจะต้องแหกปากด่าผมลั่นตึกคณะมัน

“มึงพูดกับพี่มึงโหดตลอดเลยเนอะ” ไอ้ไผ่เขาพูดแล้วเขาก็เขี่ยผักในจานเล่น ไผ่ครับถ้ามึงไม่กินมึงก็อย่าเขี่ยของกินเล่นได้ไหม

แม่กูสอนมาว่ามันบาปน่ะ

“อย่าเขี่ยผักเล่นสิ” ไอ้เผือกแย่งช้อนมาจากมือไอ้ไผ่ เออดีมากเผือก มึงนี่เหมือนรู้ใจกูเลยนะ

“แล้วพี่มึงโทรมาว่าไงบ้าง”

“มันบอกให้กูไปหาที่ตึกคณะตอนเย็น มันบอกว่าป๊าให้กลับไปนอนที่บ้านบ้าง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง พี่ขันนี่เท่เนอะ” ไอ้หมีมันเท้าคางมองผม “อยากมีบุญเจอเค้าบ่อยๆ เหมือนมึงจัง”

คนที่เจอมันคือคนมีเวรกรรมต่างหาก

คือว่าไอ้หมีมันปลื้มพี่ชายผมมากครับ มากในระดับเรียกได้ว่าเป็นติ่งไอ้ขันเลยทีเดียว เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับไอ้ขันมันรู้แทบทุกเรื่อง รู้ในเรื่องที่แม้กระทั่งผมที่เป็นน้องชายแท้ๆ ยังไม่รู้ ตอนที่ไอ้หมีมันรู้ว่าผมเป็นน้องไอ้ขัน มันทำหน้าตะลึงได้ตาค้างมากแถมยังมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็พึมพำอยู่อย่างเดียวว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

เออหมี กูผิดเองแหละที่ต่างกับไอ้ขันน่ะ

“มึงเอาไปดิ กูให้” ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจ

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะมึง” มันมองผมตาปริบๆ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าไม่ได้น่าชื่นชมอย่างที่มึงเข้าใจ

โฉดชั่วซะขนาดนั้น

“เออๆ เอาจานไปเก็บแล้วก็ขึ้นไปสตูดิโอได้แล้ว เดี๋ยวต้องซ้อมอีก” ผมบอกเพื่อนๆ ก่อนจะยกจานไปเก็บ วันนี้มีแต่เรื่องอะไรแปลกๆ แฮะ ถึงมันไม่ได้แปลกมากแต่มันก็ไม่ได้ปกติเหมือนทุกวัน

วันนี้ผมแต่งนิยายเพลินจนมาเรียนเกือบสายแถมยังโดนอาจารย์ลงโทษให้วิ่งรอบตึก ต้องซ้อมรายงานข่าวทั้งๆ ที่เนื้อตัวเหนียวเหงื่อแบบนี้อีก และอยู่ดีดีไอ้ขันก็โทรมาหาบอกว่าให้กลับไปนอนที่บ้านเพราะป๊าคิดถึง สำคัญที่สุดก็คงเป็นการตัดความสัมพันธ์ของอดีตเดือนวิศวะฯ กับตัวเต็งดาวนิเทศฯ

เสียงเรียบๆ นั่นเหมือนยังก้องในหูผมอยู่เลย

ไหนจะใบหน้าคมที่มีเสน่ห์นั่นอีก

‘ขุนศึก’

ชื่อก็จะเท่ไปไหนวะ

TBC.
ตอนแรกมันก็จะเปื่อยๆหน่อย สมาชิกค่อนข้างเยอะนะคะสำหรับแก๊งค์ท่านประธาน ไม่คิดว่าจะตัวอักษรเยอะเกินขนาดนี้เลยต้องแบ่งเป็น 2 พาร์ท เราคงจะต้องแบ่งเป็น 2 พาร์ททุกตอนเลยนะคะเพราะแต่ละตอนที่แต่งไว้ค่อนข้างยาวมากเลย ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2018 22:46:10 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 2 ช่อกุหลาบสีขาว [Rewrite 100%]

​“ป๊า แม่ ขันกลับมาแล้ววววววววววว” เดินเข้ารัศมีบ้านปุ๊ปไอ้ขันก็แหกปากดังลั่น มันต้องเป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า

“เสียงดังจังเลยล่ะ” เสียงหวานของแม่ผมดังออกมาจากในครัว กำลังทำกับข้าวอยู่แน่ๆ เลย กลิ่นถึงได้หอมขนาดนี้

“คิดถึงแม่จังเลยครับ” ผมเดินมาหาท่านที่ครัว เป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ ด้วยว่าแม่กำลังทำอาหารอยู่ ว้าวววว แกงเขียวหวานของโปรดผมด้วยนะเนี่ย วันนี้ต้องกินข้าวสักสามจานแล้วล่ะ

แม่ผมน่ะทำอาหารอร่อยมากนะครับ ทำขนมก็อร่อย ป๊าชอบเล่าให้ฟังว่าที่ป๊ามาหลงเสน่ห์แม่ก็เพราะฝีมือการทำอาหารนี่แหละ แต่ว่าลูกสาวลูกชายบ้านนี้ไม่ได้เชื้อฝีมือการทำอาหารของแม่มาเลยสักคน ไอ้ขันมันเคยทำไข่เจียวแต่ครัวก็ไหม้ไปเกือบครึ่ง พี่สาวสองคนของผมก็เคยทำครัวไหม้มาหมดแล้ว ผมเองก็ทำไมโครเวฟระเบิด
จากนั้นแม่ก็เลยสั่งห้ามให้พวกเราทำอาหารโดยเด็ดขาด

แม่คงไม่อยากจะทำครัวใหม่น่ะครับ

“คิดถึงแม่จริงหรอ ไม่เห็นหนมจะอยากกลับมาบ้านเลย” หนมอยากกลับจะตายนะแม่ แต่แบบกว่าจะเลิกเรียนกว่าจะทำงานคณะกว่าจะขับรถกว่ารถจะติด อุปสรรคมันเยอะจริงๆ นะ

“หนมก็อยู่นี่แล้วไงครับ เรื่องที่ผ่านไปแล้วเราอย่าไปพูดถึงมัน” ผมคว้ามือแม่ขึ้นมาจุ๊บเบาๆ ดีนะที่ป๊าไม่อยู่ นี่ถ้าป๊าเห็นผมจุ๊บมือแม่นะ ป๊าต้องเตะผมแน่ๆ

ป๊าหวงแม่มากครับแม้ผมจะเป็นลูกก็ตาม

“ป๊า ไอ้หนมมันจุ๊บมือแม่” ไอ้ขันมันแหกปากลั่น

ผมถลึงตาใส่มัน “ไอ้สัสขัน”

“แม่ ไอ้หนมมันพูดไม่เพราะ”

ฟ้องแม่อีก มึงเป็นเด็กขี้ฟ้องรึไง

“ขี้ฟ้องจังเลยนะ” ผมหันไปตามเสียงหวานๆ ที่คุ้นหู ก็พบกับสาวร่างเพรียวสุดสวยในชุดนอนลายหมี ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดเป็นแกะสองข้างด้วยหนังยางรูปเป็ดสีเหลือง

เชรดดดด โคตรคิ้วท์

“พี่เขม”

“พี่เขมมมมมมมมมมม” ไอ้ขันแหกปากดังลั่นก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดพี่เขมอย่างโหยหา

แม่งแทบจะสิงเข้าไปในร่างอะคิดดู

“กอดแน่นเกินไปแล้ว กูอึดอัด”

“งื้ออออ อย่าพูดงี้สิครับ เค้าคิดถึงพี่นะ ไม่ได้เจอตั้งนานเลยนะ” มันพร่ำเพ้อถึงความคิดถึงที่อัดอั้นอยู่ในใจให้พี่เขมได้ฟัง

พี่เขมทำหน้าเอือมใส่ “เออกูรู้แล้วว่าคิดถึง แต่มึงกอดกูแน่นไปอะขัน ปล่อยกูได้แล้ว” เธอพยายามแกะมือไอ้ขันออก แต่ไอ้ขันมันมือปลาหมึกครับถ้ามันไม่ปล่อยเองก็ไม่มีวันเอามือมันออกได้หรอก

“งื้ออออ ไม่อาวววว ขอเค้าซุกนมหน่อยนะ”

“ไอ้เลวขัน แม่ช่วยเขมด้วย”

“ขัน ปล่อยพี่เค้าได้แล้ว” แม่สั่งแล้วนะมึง ถ้าไม่ทำตามมึงไม่ได้กินข้าวแน่

“งื้ออออ เค้าคิดถึงพี่นี่” เกลียดความออดอ้อนของมึงจริงๆ อะ

“รำคาญโว้ยยยย”

โป๊กกกก

“โอ๊ยยยยเค้าเจ็บนะ พี่เขมทำงี้กับเค้าได้ไง” ไอ้ขันมันลงไปกองกับพื้นอย่างสลดพลางตัดพ้อพี่เขมไม่หยุด อะไรจะขนาดนั้นวะแค่โดนมะเหงกไปทีเดียวถึงกับทรุด

เด็กน้อยจริงๆ เลยนะมึง

“หนมมมม” พี่เขมเดินเข้ามากอดผม เพราะพี่เขมกลับมาบ้านนี่เองป๊าถึงเรียกให้ผมกลับ

“คิดถึงพี่เขมจังครับ อยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีนะแต่รำคาญพวกนายแบบที่เข้ามาจีบไปหน่อย พี่ซื้อครัวซองมาฝากหนมด้วยล่ะ”

“แล้วของเค้าล่ะ” ไอ้ขันมันคลานมากอดขาพี่เขมไว้ก่อนจะเงยหน้ามองแล้วทำตาบ้องแบ๊วมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้

ไม่ได้เข้ากับหน้ามึงเลยว่ะขัน

“ไม่มี” พี่เขมแลบลิ้นใส่ไอ้ขันที่กอดขาตัวเองอยู่ ส่วนผมก็ยืนหัวเราะ ฮ่าๆ ๆ สมน้ำหน้ามึงไอ้ขัน มึงไม่ใช่น้องรักไงของพี่เขมไง วั้ยยยๆ ๆ

แต่ไอ้ขันเป็นน้องรักของพี่แขนะครับ

เห็นบ้าๆ แบบนี้แต่มันก็มีระเบียบในชีวิตมากนะ มันเป็นคนที่มีวินัยและความรับผิดชอบในตัวเองสูง ชีวิตในแต่ละวันมันจะวางแผนไว้ก่อน ผมเคยเห็นสมุดจดตารางเวลาของมัน คือละเอียดยิบมาก เคยได้ยินมาจากพี่แช่มด้วยว่ามันไม่เคยเข้าเรียนสายสักครั้ง แม้แค่วินาทีเดียวก็ไม่เคย เพราะความมีระเบียบนี้ หน้าที่เฮดว้ากก็เลยตกไปเป็นของมัน พี่แขเองก็เจ้าระเบียบเหมือนกันก็เลยไม่แปลกถ้าไอ้ขันจะเป็นน้องรักของพี่แข

อยู่ด้วยกันนี่เข้ากันดีสุดๆ

แถมจิกกัดผมกันแบบสนุกเลยล่ะ

“พี่เขมปล่อยหนมก่อนนะครับ หนมขอไปอาบน้ำก่อน” เหนียวตัวมากครับ อยากอาบน้ำสุดๆ

“โอเค มึงก็ปล่อยกูสักทีสิไอ้ขัน” เธอปล่อยผมออกจากอ้อมกอดก่อนจะไปทุบหัวไอ้ขันเพื่อให้มันปล่อย แต่คิดเหรอว่าไอ้ขันจะยอมปล่อยง่ายๆ

ไม่มีทาง


“สวัสดีห้อง หนมกลับมาแล้ว” ผมปิดประตูก่อนจะโยนกระเป๋าลงไปบนโต๊ะหนังสือ

อา....คิดถึงห้องจังเลย

ผมยืนมองผนังสีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งมันเป็นสีที่ผมชอบ ผมอ้อนขอป๊าให้เปลี่ยนสีผนังให้ตอนผมอยู่ป.2 ป๊าก็ใจดีเปลี่ยนให้ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้องผมก็ล้วนอยู่ในโทนสีเหลือง อยากยกของพวกนี้ไปไว้ที่หอชะมัด ผมทำอะไรกับหอตัวเองมากไม่ค่อยได้ นี่ก็กำลังอ้อนขอให้ป๊าซื้อคอนโดฯ ให้ แต่ป๊าบอกว่าให้ผมรอขึ้นปี 3 ก่อนแล้วก็ต้องแลกกับเกรด A ทุกตัว เกรด A มันไม่ยากหรอกแต่ให้รอนี่สิ ตอนนี้ผมอยู่แค่ปี 1 เอง ต้องรออีกนานเลยนะ

ขนมเศร้าใจ

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาเศร้า มันควรเป็นเวลาที่ผมไปอาบน้ำ คิดได้แบบนั้นผมก็ถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที ซึ่งในห้องน้ำก็จะมีพรรคพวกของผมอยู่นั่นก็คือ....

เป็ดยาง

ไม่ใช่แค่ตัวเดียวนะ ผมมีเป็นสิบตัว

“คิดถึงจังเลยเจ้าเป็ด” ผมหยิบเจ้าเป็ดขึ้นมามองด้วยความคิดถึง เวลาอาบน้ำผมมักจะเอาพวกมันมาลอยอยู่เต็มอ่างไปหมด ผมชอบแช่น้ำในอ่างนะ มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจแถมก็ได้เล่นกับพวกเจ้าเป็ด ทำให้นึกถึงเวลาที่แม่กับพี่เขมชอบอาบน้ำให้เมื่อตอนเป็นเด็ก

แค่คิดก็มีความสุข

ผมเปิดน้ำใส่อ่างพลางจัดแจงใส่แชมพูกับเจ้าเป็ดลงไปด้วย ก่อนที่พาตัวเองตามลงไป ผมแช่น้ำนานมากนะครับบางครั้งก็เป็นชั่วโมง ครั้งนึงไอ้ขันมันพังประตูห้องผมเข้ามาเพราะคิดว่าผมจมน้ำตาย คือกุญแจห้องก็มีจะพังเข้ามาทำไม

“สบายจัง” นี่แหละสวรรค์ของขนม เรียนมาเหนื่อยๆ แถมเหนียวตัวขนาดนั้นไม่มีอะไรจะสุขใจไปเท่าการแช่น้ำแล้วล่ะ วันนี้เป็นวันที่แปลกและผมก็รู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ

ที่เหนื่อยมากกว่าปกตินั้นก็เพราะ....

เมื่อบ่ายพวกผมขึ้นไปซ้อมรายงานข่าวกันที่ห้องสตูดิโอของคณะ เพื่อที่จะสอบในอีก 4 วันข้างหน้า โดยกลุ่มผมก็แบ่งหน้าที่ไปว่าใครทำอะไร ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ไอ้ไผ่เป็นสวิตเชอร์ เราสองคนจะอยู่ในห้องคอนโทรล ส่วนอีกห้าคนจะอยู่ในห้องสตูดิโอที่มีฉากเป็นสีเขียว ไอ้เป้ไอ้เผือกไอ้ภีมมันเป็นตากล้อง ไอ้หมีเป็นผู้ประกาศข่าว และไอ้ปั้นเป็นคนประสานงานระหว่างห้องคอนโทรลกับสตูดิโอ

ทุกอย่างเหมือนจะดีนะครับตอนที่ผมเริ่มซ้อม มันจะดีกว่านี้มากถ้าไอ้ภีมไม่หลับแล้วไอ้เป้ไม่เอาค้อนลมไล่ตี เหตุการณ์ค่อนข้างชุลมุนมาก ได้ซ้อมแบบจริงจังไปแค่ 20 % นอกนั้นคือห้ามไอ้เป้ เห็นจากการซ้อมวันนี้ผมก็หวั่นใจในวันสอบอยู่หน่อยๆ แต่ว่าเห็นอย่างนี้พวกผมก็จริงจังในการสอบมากนะ แถมการสอบครั้งนี้เป็นการสอบปฏิบัติที่สำคัญกับการได้เกรด A มากด้วย

ผมหวังว่าวันนั้นไอ้ภีมจะไม่หลับ

แค่มันไม่หลับเท่านั้นพอ

ครืดดดด....ดดด

ใครมันก็ช่างโทรมาตอนอาบน้ำวะ

ผมหยิบโทรศัพท์มาก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงเป้”

(เออหนมมึงลืมของไว้ที่กูอะ / เป้มึงเอาผ้าเช็ดตัวไปไว้ไหนวะ) เสียงไอ้ภีมนี่นา มันไปทำอะไรที่หอไอ้เป้วะ

“ลืมไรวะ” ผมถามพร้อมกับเงี่ยหูฟังบทสนทนาของมันสองคน

(สมุดเลคเชอร์....มึงจะรื้อตะกร้าผ้าไมวะ / ก็กูหาผ้าไม่เจออะ / รื้อไปจะเจอไหมไอ้ฟายมันตากอยู่ข้างนอก)

มีความด่ากันให้ผมฟังด้วย

“เอองั้นกูค่อยไปเอา มึงอย่าทะเลาะกับไอ้ภีมให้มันมากล่ะ”

(มันกวนตีนกูอะ ไอ้ภีม!!!อย่ามาปล่อยลมค้อนกูไอ้สัส....ตรู๊ดๆ ๆ ๆ )

สายตัดไปเฉยเลย ผมว่าผมเดาเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ไอ้ภีมคงโดนไอ้เป้กระทืบยับ

หลังจากที่นอนแช่น้ำจนหนำใจ ผมก็ขึ้นจากอ่างแล้วก็บอกลาเจ้าพวกเป็ด ไว้ถ้าหนมกลับมาบ้านหนมจะมาแช่น้ำด้วยอีกนะ อา....หิวจัง ผมแช่น้ำนานไปรึเปล่านะ ป่านนี้คนทั้งบ้านคงรอผมไปกินข้าวอยู่แน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบแต่งตัวก่อนจะรีบลงไปกินข้าว

อยากกินแกงเขียวหวานของแม่จัง


“ 4 ทุ่มแล้วหรอเนี่ย” ผมมองนาฬิกาหลังจากที่กลับขึ้นมาบนห้อง แกงเขียวหวานของแม่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับมันจะอร่อยมากกว่านี้ถ้าไอ้ขันมันไม่คอยแกล้งผม

ขนาดกินข้าวแม่งยังไม่เว้นอะคิดดู

บทสนนาระหว่างที่กินข้าวกันก็ไม่พ้นเรื่องที่พี่เขมกลับมาจากฝรั่งเศส เรื่องของธุรกิจที่บ้าน เรื่องบลาๆ ๆ ๆ ผมนี่โดนป๊าบ่นหูชาเลยเพราะไอ้ขันมันฟ้องว่าผมจุ๊บมือแม่ มันใช่เรื่องที่มึงจะต้องฟ้องป้ะวะ อย่าให้ถึงวันของกูนะมึง

มึงไม่มีที่ยืนในสังคมแน่ขัน

แอ๊ดดดด

ผมมองแขกไม่ได้รับเชิญที่เดินเข้ามาในห้อง “มึงเข้ามาทำไมวะ นี่ห้องกูนะ”

“ทำไมอะ บ้านพ่อกู กูจะไปไหนก็ได้” มันเดินมานั่งบนโต๊ะหนังสือผม ใครเขาให้มึงนั่งบนโต๊ะวะ แม่ก็สอนว่าอย่านั่งบนโต๊ะหนังสือเพราะมันเป็นที่ไว้วางตำราเรียน มันบาป

กูฟ้องแม่แน่ หึ

“มึงนี่มัน” ผมมองตาค้อนใส่มันที่ทำหน้าตากวนตีนใส่ผมอยู่

“กูมันหล่อ หล่อมาก หล่อวัวตายควายล้ม” คนห่าไรชมตัวเองวะ

ผมหันหน้าหนีมันเพื่อบ่งบอกว่ารำคาญ “ใครเขาถามมึงวะ กูนี่ไม่ได้อยากรู้เลย”

“หันหนีกูไม”

“........” เงียบครับ ดูซิว่ามันจะทำยังไง

“นี่ๆ หันมาคุยกับกูก่อน” มันจิ้มไหล่ผม จิ้มห่าไรมึงวะ มึงเป็นเด็กรึไง

“.......”

“ไม่หันก็ช่างมึง แต่ถ้าไอ้ขุนมายุ่งกับมึง มึงห้ามไปยุ่งกับมัน” มันเอ่ยบอกผมเสียงเรียบอย่างจริงจัง

เดี๋ยวนะ

ไอ้ขุนงั้นเหรอ

“ขุนไหนของมึง” ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงขุนศึกหรือขุนไหน เพราะว่าในมหา’ลัยมันไม่ได้มีคนชื่อขุนแค่คนเดียว เพื่อความไม่ให้ตัวเองเข้าใจผิดผมจึงต้องถามให้แน่ใจ

“ขุนศึก วิศวะฯ โยธาปี 2 ”

“ทำไมวะ” มันน่าสงสัยนะเพราะอยู่ดีดีไอ้ขันก็มาบอก ไม่ใช่บอกสิเพราะฟังน้ำเสียงมันคือการสั่ง

“กูสั่ง มึงไม่จำเป็นต้องมาถามต่อ”

“กูอยากรู้นี่ อยู่ดีดีมึงก็มาบอกว่าห้ามยุ่งทั้งๆ ที่กูก็ไม่ได้รู้จักไอ้ขุนศึกอะไรนั่นเลยด้วยซ้ำ”

เป็นใครมันจะไม่อยากรู้วะ ผมไม่ได้รู้จักมักจี่ไอ้ขุนด้วย ถึงจะเคยเจอมันแค่ครั้งเดียวก็คือวันนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะพบจะเจอมันอีกเป็นครั้งที่สองด้วย

ตึกก็อยู่ห่างกันขนาดนั้น จะไปเจอได้ไงวะ

“ไม่รู้จักก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าทำตามที่กูพูด นะจ๊ะน้องหนม” มันยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเดินออกไปและก็ทิ้งข้อสงสัยไว้ให้ผมมากมายว่าทำไมๆ ๆ ๆ ต้องห้ามยุ่งกับไอ้ขุน แล้วพอมันยิ่งห้ามผมก็ยิ่งอยากรู้

เรื่องนี้ถ้าไปถามไอ้หมี มันจะรู้ไหม

ต้องลองดูครับเพราะไอ้หมีมันจะรู้เรื่องทุกอย่าง โดยเฉพาะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ขันมันจะต้องรู้แน่นอน แต่ก่อนที่ผมจะถามไอ้หมีนั้นผมมีภารกิจเพื่อชาติที่จะต้องทำก่อนนั่นก็คือ....

แต่งนิยาย

ผมหยิบโน้ตบุ๊คคู่ใจมาเปิดก่อนที่จะเริ่มลงมือแต่งนิยายตอนต่อ ช่วงเวลาใกล้จะนอนนี่แหละครับที่สมองจะแล่นที่สุด แต่ถึงแม้ว่าสมองมันจะแล่นมากแค่ไหนมันก็ยังแล่นไม่มากพอที่ผมจะแต่ง Nc ได้

น่าเศร้าใจจัง

แต่ว่าไม่เป็นไรครับเพราะตอน Nc มันเป็นตอนพิเศษ ตราบใดที่นิยายยังไม่จบผมก็ยังไม่ต้องลง Nc เพราะงั้นก็รอกันไปอีกหน่อยนะเหล่ารี้ดที่รัก ไรท์หนมจะรีบคิดรีบจินตนาการแล้วแต่งให้เหล่ารี้ดที่รักอ่านโดยเร็ววันนะ

เร็ววันซึ่งไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน

แหะๆ


---------- 50% บท 2 ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2018 23:27:26 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 2 ----------
มหา’ลัย P

“หนม เมื่อวานมึงนอนกี่โมงวะ” ไอ้ปั้นถามผมพร้อมกับส่งพล็อตของบทละครสั้นมาให้ ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกคณะเพื่อรอเรียนถ่ายภาพอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

และตอนนี้ผมก็รู้สึกง่วงมาก

เมื่อคืนผมนอนดึกไปหน่อย ก็ไม่หน่อยหรอกครับเกือบตี 3 แน่ะ ที่นอนดึกก็เพราะว่าแต่งนิยายเพลินมาก ผมบอกว่าเวลาใกล้จะนอนนี่แหละที่ทำให้สมองแล่นที่สุด แล่นจนลืมเวลาไปเลยล่ะ ดีว่าวันนี้เรียนช่วงสายไม่ใช่เรียนเช้า ไม่งั้นผมคงยังนอนอยู่บนเตียงแน่ๆ แถมเมื่อเช้ายังจะโดนไอ้ขันแกล้งอีก สังหรณ์ได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันซวยของผม

รู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะครับ

“เกือบตี 3 ”

“นอนดึกจังวะ”

“กูแต่งนิยายอะ ไมมึงถามเยอะจัง มีไรรึเปล่า” ผมมองหน้ามันเหมือนกับว่าจะมีเรื่องสำคัญอยากจะถาม

“เปล่าหรอก....ไม่มีอะไร” ไม่มีแล้วจะอึกอักไมวะ

ผมหรี่ตามองมัน “มึงแน่ใจนะ”

“เออน่า มึงลองอ่าน” เออได้ปั้นได้

กูจะพักเรื่องของมึงไว้ก่อน

ผมอ่านพล็อตบทละครสั้นในมือ ก่อนที่จะจบปี 1 พวกผมจะต้องทำละครสั้นเรื่องนึงส่งเป็นโปรเจ็กต์ ส่วนโจทย์ก็เกี่ยวกับความรักในชีวิตวัยรุ่น มันไม่ยากสำหรับผมเท่าไหร่ในหน้าที่ของการเขียนบทเพราะแต่งนิยายอยู่แล้ว ที่ยากนี่น่าจะเป็นการหาเวลาว่างไปถ่าย หาสถานที่แล้วก็หานักแสดง อาจารย์ไม่ได้กำหนดว่าคนในกลุ่มจะต้องแสดงเท่านั้น พวกผมสามารถไปหานักแสดงจากไหนก็ได้ งานชิ้นนี้จะเริ่มหลังจากผ่านการสอบรายงานข่าว เดี๋ยวผมต้องรีบเขียนบทและก็แบ่งหน้าที่ให้พวกเพื่อนๆ ทำ

แม่งต้องวุ่นวายมากแน่ๆ

“หนมมมม” ไอ้หมีเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอาหน้าใสใสของมันไถไหล่ผม หน้าเปื้อนอะไรแล้วแอบมาเช็ดเสื้อกูป้ะเนี่ย

“อะไรมึง”

“เพื่อนหมีง่วง” ว่าแล้วแม่งก็หาววอดๆ มึงเป็นไอ้ภีมสองเหรอหมีมางงมาง่วง

“เรื่องของมึง”

“ใจร้าย มึงมันใจร้ายอะหนม ใจร้ายสัสๆ เห้ยหนมนั่นผู้มึงอะ” ไอ้หมีชี้ให้ผมมองตาม ผู้อะไรของมึงวะหมี กูงง

“ผู้อะไรวะหมี มึงพูดถึงเรื่องอะไรเนี่ยะ”

“ก็พี่ขุนไง ผู้มึงอะ” ผู้กูพ่อง

“ผู้ห่าไร มันมาเป็นผู้กูตอนไหนไอ้หมีมึงอย่ามาเพ้อเจ้อ” โวยวายเลยครับ เดี๋ยวให้ไอ้เป้มาก่อนมึงตายแน่หมี

“ก็กูเห็นมึงมองเค้าซะเหมือนอยากจะแดกเข้าไป”

“กูเปล่า”

“มาทำอะไรที่ตึกเราวะ แถมดอกไม้ช่อเบ้อเร่อนั่นอีก” ผมมองช่อดอกไม้ในมือมันตามที่ไอ้ปั้นพูด

เออว่ะ

เอาดอกไม้ช่อใหญ่ขนาดนั้นมาให้ใครวะ

“เหมือนมองหาใครอยู่ด้วยนะมึง หรือว่ามันจะเอามาให้แก้มใส” ผมว่าไม่น่าว่ะเพราะเหตุการณ์เมื่อวานมันจบแบบไม่สวย จะว่าเอาดอกไม้มาง้อมันก็ไม่น่าใช่

“ถ้าเอามาให้แก้มใสทำไมถึงเดินมาทางนี้วะ”

ผมมองร่างสูงที่เดินเข้ามาทางที่พวกเรานั่งอยู่พร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ หน้ามันใกล้เข้ามาทำให้ผมเห็นได้ชัดกว่าครั้งที่ได้เห็นครั้งแรก มันหล่อมากจริงๆ ครับ แถมผมมันก็เปลี่ยนจากสีดำไปเป็นสีเทาอ่อนๆ คาดว่าคงไปย้อมมา จากที่เด่นมากอยู่แล้วมันก็เด่นมากขึ้นไปอีก ผมมองตามมันจนมารู้ตัวอีกที ร่างสูงนั่นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะพวกผมแล้ว

หืม....เดี๋ยวนะ

มึงมาหยุดทำไม

ผมได้แต่มองแบบงงๆ มันเองก็มองผมเหมือนกัน โต๊ะที่พวกเรานั่งมีแค่ผมไอ้ปั้นและก็ไอ้หมีส่วนพวกที่เหลือยังไม่มา ในโต๊ะก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยหลังจากที่มันเดินมาหยุดอยู่ตรงนี้ ทุกคนมองด้วยความสงสัยว่ามันเดินมาทำไม และคนที่สงสัยมากที่สุดนั้นก็คงจะเป็นผม เพราะข้างหน้านี่คือคนที่ไอ้ขันสั่งอย่างเด็ดขาดว่าห้ามยุ่ง ในสมองตอนนี้บอกได้เลยว่าสงสัยมากและอยากรู้เรื่องสุดๆ อยากถามมันให้รู้แล้วรู้รอดไปว่ามีอะไร ไปทำอะไรไอ้ขันไว้หรือเปล่าบลาๆ ๆ

อา....ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมีเสน่ห์ชะมัด

เห้ย คิดอะไรของมึงเนี่ยหนม

“.....” ร่างสูงยื่นช่อดอกไม้มาทางผม ยื่นมาทำไมวะ

“อะไร” ผมถามอย่างงงๆ งงจริงครับไม่เข้าใจมากด้วย เอ๊ะ หรือว่ามันจะฝากให้ผมเอาดอกไม้ไปให้ใคร
ถ้าเป็นแบบนั้นจะฝากกูเพื่อ....

“ให้”

“ให้ใคร”

“ให้มึงอะ”

เชี่ยยยย

เกิดมาจนอายุ 19 ปี เพิ่งเคยมีผู้ชายเอาดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ขนาดนี้มาให้ แถมผู้ชายคนนั้นเป็นถึงอดีตเดือนคณะวิศวะฯ เมื่อปีก่อน ผมได้แต่มองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“ให้ทำไม”

“ให้ก็ให้” มันยัดช่อดอกไม้ใส่มือผม “ก็แค่รับไปมันจะยากตรงไหนวะ”

“เห้ยเดี๋ยว” อะไรของมึงเนี่ย

“เก็บไว้ดีดีนะ” มันบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป ผมก็ได้แต่มองช่อกุหลาบขาวในมือและก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะมันเดินไปไกลมากแล้ว รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาเลยเมื่อนึกถึงรอยยิ้มเมื่อกี้

ตึกตัก

ไม่เคยเจอใครยิ้มได้ทำร้ายหัวใจขนาดนี้เลย

“ไอ้หนม!!!”

“ห้ะๆ ” ผมมองไอ้หมีที่เรียกผมเสียงดัง “อะไรวะ”

“เหม่อเลยนะมึง แก้มแดงอีกต่างหาก นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย กูพลาดอะไรไปรึไง” ไอ้หมีมันโวยวายใหญ่ คือไม่ใช่แค่มึงหรอกที่ไม่รู้ กูก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

“กูไม่รู้ว่ะหมี” ผมมองสายตาจ้องจับผิดของไอ้หมี ไม่รู้ก็คือไม่รู้สิโว้ยยยย

“มึงมันร้ายเหมือนกันนะหนม หึๆ ” ขำไรมึงวะปั้น มันไม่ใช่เรื่องน่าขำนะเว้ย

“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

ผมได้แต่บอกแบบนั้น ก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นี่ ขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจ แถมไอ้คนที่เอาดอกไม้มาให้มันก็ไม่ได้พูดไม่ได้บอกอะไรผมเลยด้วยซ้ำ หรือเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับที่ไอ้ขันให้มาบอกผมว่าอย่าไปยุ่งกับมัน

โอ๊ยไม่เข้าใจโว้ย

เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกูวะเนี่ยยยย

[บันทึกพิเศษ : ขุนศึก]

น่ารักเป็นบ้า

เด็กนั่นน่ารักกว่าที่ผมคิดจริงๆ

“ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่ได้ เป็นไรวะ” กูกำลังมีความสุขอยู่ไงเพื่อน

“มันไม่ตอบมึงอะแกง”

“เป็นบ้าไปแล้ว” เออ กูเป็นบ้า

บ้ารักด้วยนะ

“มันเอาดอกไม้ไปให้สาวมา”

“โนวๆ เอาไปให้หนุ่มมาครับ” ผมยิ้มหวานให้กับเหล่าเพื่อนรักอย่างอารมณ์ดี

“เชี่ยขุน!!!” ทำไมพวกมึงต้องอุทานออกมาพร้อมกันและเสียงดังขนาดนั้นด้วยวะ

ขุนไม่เข้าใจ

“มึงเป็นเกย์หรอวะสัสขุน”

“เออจะเข้าสมาคมชายรักชายก็ไม่บอกกู”

“กูไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้แค่อยากเย ไม่ได้คิดเท แถมจะเปย์ให้หมดตัวเลย” ยอมเป็นของพี่ขุนนะทูนหัว พี่จะดูแลเราอย่างดีตั้งแต่เช้าจรดเย็นเลยครับ

ไอ้แกงมันจ้องผมอย่างจับผิด “แต่มึงบอกว่ามึงเอาไปให้ผู้ชาย”

“ช่างกูน่า” จะเอาไปให้ใครก็เรื่องของกู

“เห้ย ไม่ช่างดิ ต้องบอกเพื่อนดิ่ นี่เพื่อนไง”

“เอ๊ะพวกมึงนี่” ผมทำหน้ามุ่ยใส่พวกมัน “อยากรู้ไปสืบเอาเองสิวะ” ว่าแล้วผมก็เดินหนีขึ้นตึกของคณะ เมื่อยขาสัสๆ อะที่เดินไปตึกนิเทศฯ  ครั้งหน้าผมต้องเอารถไปละ เพราะมันไกลมากจริงๆ

แต่ว่านะ

ถึงตึกเรียนพี่อยู่จะไกล แต่หัวใจพี่อยู่กับน้องนะ

ฮิ้ววววววววววว

น้ำเน่าจังวะขุน

ผมชื่อ ขุน เรียกเต็มยศเลยก็ ‘ขุนศึก’ เรียนวิศวะฯ โยธาปี 2 ครับ ผมหล่อ ไม่ได้อยากจะชมตัวเองนะแต่ว่าผมหล่อจริงๆ เป็นเดือนของคณะวิศวะฯ เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้กำลังหลงรักเด็กนิเทศฯ คนนึงอยู่ครับ แต่ว่าผมยังไม่รู้จักชื่อของเขาและก็เป็นผมเองที่ไม่ได้ถาม

แหม ก็มันตื่นเต้นนี่นา

กว่าจะเก๊กได้ขนาดนั้นมันยากนะครับแถมผมก็เป็นผู้ชายน้องเขาก็ผู้ชาย ไหนจะเพื่อนๆ น้องที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นอีก เดาได้เลยว่าตอนนี้น้องเขาคงงงมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดีละปล่อยให้งงต่อไป ถ้างงมากๆ น้องก็จะอยากรู้ พออยากรู้ก็ต้องหาคำตอบ นี่แหละกับดักของผม

เสร็จพี่เถอะคนดี

ครั้งแรกที่เจอก็คือเมื่อวานเลยครับ เห็นว่าเดินมาที่ตึกเหมือนกับว่ามาหาใคร สภาพภายนอกของน้องเขาไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด แต่งตัวก็ดูโทรมๆ มันไม่ได้ดูมีอะไรดึงดูดเลย ที่ผมรู้ว่าเขาเรียนนิเทศฯ ก็เป็นเพราะถือเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินของคณะนิเทศฯ มา เขาใส่แว่นเฉิ่มๆ แถมหัวฟูเหมือนไม่เคยหวีมายังไงยังงั้นแหละ แต่ว่านะผมเห็นตอนที่เขาพยายามปีนขึ้นต้นไม้เพื่อเอาลูกนกที่คาดว่าจะร่วงลงมาไปเก็บไว้ที่เดิม ความรู้สึกในตอนนั้นมันบอกไม่ถูก

รู้สึกว่าชอบในสิ่งที่น้องเขาทำ

โดยที่ผมไม่สนว่าภายนอกเขาเป็นยังไง

เห็นเขาปีนต้นไม้อย่างทุลักทุเลผมก็อยากจะเข้าไปช่วยแต่มีคนเข้ามาช่วยซะก่อนนั่นก็คือพี่แช่ม เขาเป็นเพื่อนของพี่ขันซึ่งเป็นพี่รหัสของผมเอง น้องเขากับพี่แช่มดูสนิทกันผมก็เลยคิดว่าเขาน่าจะรู้จักกัน พี่ขันเองก็อาจจะรู้จักผมก็เลยแอบถ่ายรูปน้องก่อนจะส่งไปให้พี่ขันดูแต่ว่าพี่ขันตอบกลับมาว่าไม่รู้จัก

ไว้ผมจะไปสืบจากพี่แช่มว่าน้องเป็นใคร

หึ ไม่รอดจากมือพี่หรอกพ่อหนุ่ม

ผมซื้อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่เดินเอาไปให้น้องถึงตึกนิเทศฯ ที่แม่งโคตรไกลจากตึกคณะผม และมันเป็นครั้งแรกที่ผมซื้อดอกไม้ให้ใครแบบนี้ ตอนแรกไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะเจอน้องง่ายๆ อาจจะเป็นโชคดีของผมด้วยที่น้องนั่งอยู่หน้าตึกพอดี น้องน่ารักครับ ผมรู้สึกว่าน้องน่ารักจริงๆ ยิ่งวันนี้ที่ได้ไปเห็นใกล้ๆ ใบหน้าหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตานั่นมันไม่ธรรมดาเลย หลายคนอาจจะมองไม่ออกแต่ผมมองออก ผิวขาวใสนั่นช่างน่า....ไม่เอาไม่พูดเอาเป็นว่าน่าพอ ริมฝีปากบางสีแดงอมชมพูที่เอ่ยถามผมว่าให้ดอกไม้กับเขาทำไม

พี่อยากให้พี่ก็ให้ครับ

เหตุผลก็เพราะชอบครับ

พูดเองก็เขิน

“ทำไรวะ”

“หืม....อ๋อรอเรียนอะพี่” ผมมองตามเสียงคนถาม วันนี้พี่ขันโคตรเท่มีการเซ็ตผมเสยขึ้นไปยันโน่น สงสัยไปเข้าประชุมเชียร์ล่ะมั้งถึงได้แต่งเนี้ยบซะขนาดนี้

“เออ ฝากบอกประธานสันทนาการให้มาหากูหน่อย”

“วันนี้เลยหรอพี่”

“เออวันนี้ มึงมาด้วยก็ได้นะ เผื่อกูมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

“เรื่องไรอะพี่”

“ตอนนี้กูยังคิดไม่ออก ไว้มึงมากูอาจจะคิดออก เออตามนี้กูไปละ” ว่าแล้วก็เดินไป พี่ขันนี่มองยังไงก็เท่ว่ะ ยิ่งได้รับหน้าที่เป็นพี่ว้ากยิ่งเท่เข้าไปใหญ่

สักวันผมจะเท่ให้ได้แบบพี่ขัน

“แผนแรกเสร็จ” ผมหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจดความคืบหน้าของแผนการการจีบน้องนิเทศฯ ผมไม่เคยคิดจะจีบใครจริงๆ จังๆ แบบนี้เลยนะ ก็ยังคิดอยู่ว่าตัวเองอาจจะบ้าจริงๆ แบบที่ไอ้แกงบอก แต่ว่าเหมือนมันมีอะไรบางอย่างในใจผมสั่งว่าถ้าจะยุ่งกับน้องเขา ผมต้องจริงจัง ยอมรับเลยว่าที่ผ่านมานั้นผมค่อนข้างเจ้าชู้และก็มีความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดไม่ว่าจะกับใครก็ตาม

แต่คนนี้แหละ ผมจะจริงจัง

ผมจะต้องทำให้น้องเขามาเป็นของผม

และผมต้องทำให้ได้ด้วย

[จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก]







TBC.

#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2018 23:34:32 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 3 ผมจะตั้งใจเรียน [Rewrite 100%]


‘ให้ก็ให้ ก็แค่รับไปมันจะยากตรงไหนวะ’

‘เก็บไว้ดีดีนะ’



“มันทำไมกันวะ” ผ่านไป 3 วันแล้วแท้ๆ แต่ผมยังสลัดคำพูดกับหน้าหล่อๆ ของมันออกไปไม่ได้เลย

เสียงนุ่มๆ นั่นก้องในหูอยู่ตลอดเวลา

หลังจากนั้นเรื่องของผมก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเพราะไอ้หมีแต่ก็ยังดีที่รู้กันอยู่ในนิเทศฯ แต่ผมคิดว่าเพียงไม่นานคนแม่งต้องรู้กันทั้งมหา’ลัย ไอ้หมีให้เหตุผลในการแพร่ข่าวว่า พวกเราเรียนสายข่าว ถ้ามีเรื่องฉาวๆ โลกก็ต้องรู้

เพิ่งรู้เลยนะว่านี่เป็นเรื่องฉาว

ตอนนี้ผมอยู่กันที่หน้าตึกคณะครับที่เดิมกับที่ไอ้ขุนมันเอาดอกไม้มาให้เลย มีไอ้ภีมกำลังนั่งตั้งสติและไอ้ไผ่ที่นั่งเขี่ยใบไม้ที่ร่วงลงมาบนโต๊ะเล่น ส่วนพวกที่เหลือไปซื้ออะไรกินกัน 3 วันมานี้สมองผมตื้อสุดๆ เลย คิดอะไรไม่ค่อยออกเพราะว่ามีเรื่องคาใจอยู่หลายอย่าง มันแย่ตรงที่พรุ่งนี้ผมจะมีสอบรายงานข่าวโทรทัศน์ แล้วถ้าสมองยังไม่แล่นอยู่แบบนี้ผมเกรงว่ามันจะส่งผลต่อการสอบ

พลาดไม่ได้นะ เกรด A จะหายวับไปทันที

“มึงโอเคไหมวะ” เสียงสะลึมสะลืมจากไอ้ภีมดังมาเข้าหูผม

เอาจริงๆ กูควรถามมึงภีม

ไม่ใช่มึงมาถามกู

“กูว่ากูโอเคนะ” เอาจริงๆ มันก็ไม่โอเคหรอก เรื่องอะไรก็ไม่รู้มันกวนใจขนาดนี้ ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ รู้ว่าไม่โอเคไม่งั้นมันจะเป็นห่วงเปล่าๆ

แต่ก็ไม่รู้นะครับว่าพวกมันจะเชื่อไหม

“มึงโกหกอะ”

นั่นไง

“โกหก....มุสาวาทา เวรมณี.....” เดี๋ยวๆ ไผ่มึงจะท่องศีลทำไม จะตอกย้ำกูเหรอ

“กูเปล่า”

“เนี่ย มึงโกหกอีกละ” ทีงี้ล่ะสังเกตกูเก่งจริงๆ นะไอ้ภีม

“กู.....”

“โอเคก็บอกไม่โอเคแล้วมึงจะบอกโอเคทำไมวะ”

ห้ะ

“กูพูดไรวะ”

“เออ!!! มึงพูดอะไรเนี่ย” ไอ้ไผ่ไอ้บ้า ยังมีหน้ามาถามอีกนะ ขนาดตัวมึงยังไม่เข้าใจเลยใครจะไปเข้าใจมึงวะ

ไอ้ภีมแตะไหล่ไอ้ไผ่เบาๆ “ไม่เป็นไรนะไผ่ ใครไม่เข้าใจมึงกูเข้าใจมึงเสมอ”

แหม่ แหลมากกกก

มึงก็ไม่เข้าใจมันหรอกห่าภีม

“เห้ยแตะไหล่ไรกันวะ” ไอ้เป้มันเดินเข้ามาปัดมือไอ้ภีมออก ก่อนจะเข้าไปนั่งกั้นทั้งสองคน ที่ก็โคตรแคบ ตัวมึงก็อย่างใหญ่ ยังจะไปนั่งกั้นอีก

“โวยวายไมวะ” ไอ้หมีถามก่อนจะส่งขนมมาให้ผม

“เออ เหมือนพวกหวงของ” ตามด้วยการแขวะจากท่านประธาน

ไงล่ะมึงเป้

จุกเลยไหม จุก

“พวกมึงมีปัญหากับกูรึไงห้ะ” ไอ้เป้โวยวายใส่ก่อนจะหยิบค้อนลมออกมา คือใจคอมึงจะพกมาทุกวันเลยว่างั้น

“เป้”

“อะไรมึงไอ้เตี้ย” มันกระทบกูนะคำว่าเตี้ยที่มึงเรียกไอ้ไผ่น่ะ

“ทำไมมึงต้องโวยวายเวลาที่เสียงดังไมอะ”

เอาอีกละ

“มึงพูดเชี่ยไรเนี่ยยยย ไปตั้งสติก่อนไหมไอ้สัสเตี้ย” ว่าแล้วไอ้เป้ก็กระหน่ำตีไอ้ไผ่ด้วยค้อนลมของมัน

โถ่เพื่อนไผ่

ผมมองไอ้ไผ่ที่ยกมือป้องหัวตัวเองไว้ บรรดาเพื่อนๆ ก็ฉุดกระชากรั้งไอ้เป้ไว้แต่มันก็ไม่หยุด ไอ้เป้เห็นแบบนั้นก็ไล่ตีเพื่อนทุกคนอย่างเท่าเทียม มึงนี่เถื่อนเสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ เลย

“เป้หยุด” มือหนาชะงักก่อนจะหันตามเสียงของคนที่พูด ผมก็หันเหมือนกันเพราะปกติคนที่สั่งให้ไอ้เป้หยุดจะเป็นผมแต่วันนี้มันกลับเป็นไอ้ภีม

ไอ้ภีมมันกล้าสั่งไอ้เป้ด้วยว่ะ

“มึงกล้าสั่ง....” ยังไม่ทันที่ไอ้เป้จะพูดจบ

“ไม่หยุดมึงนอนนอกห้องมึงจะเอาไง”

หืมมมม

นอนนอกห้องคืออะไร

ผมมองหน้าไอ้เป้ที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอย่างสองจิตสองใจ ตอนแรกผมคิดว่าไอ้เป้มันตีไอ้ภีมยับแน่ แต่ว่าไม่ใช่ว่ะ มือหนาวางค้อนลมก่อนจะนั่งลงข้างไอ้ภีมนิ่งๆ

เห้ยยยย เป็นไปได้

ไอ้หมีมันยกมือ “เพื่อนหมีมีคำถามครับเพื่อนภีม”

“ถามไร”

“นอนนอกห้องนี่คืออะไรครับ” ดีมากเพื่อนหมีเพราะเพื่อนหนมก็อยากรู้เหมือนกัน

ผมสงสัยตั้งแต่ที่ไอ้เป้โทรมาหาผมเมื่อวันก่อนละ แล้วมีเสียงไอ้ภีมอยู่ในห้อง เอาจริงๆ มันก็ไม่แปลกหรอกที่เพื่อนจะไปค้างที่หอน่ะ อีกอย่างอาจเพราะว่าหอไอ้ภีมมันอยู่ไกล เวลามาเรียนสายอาจจะกลัวสายก็เลยต้องมานอนหอไอ้เป้งี้

แต่ถ้างั้นนอนหอผมจะง่ายกว่าป้ะวะ

เพราะหอผมใกล้กว่า

“ก็นอนนอกห้อง”

“คำตอบไม่เคลียร์อะ” เออ ตอบให้มันเคลียร์ซิภีม

“มึงขี้เสือกจังวะหมี”

“ว่าเพื่อนหมีทำไม เพื่อนหมีเสียใจนะ” ไอ้หมีมันทำเป็นเหมือนปาดน้ำตา

“อีก 10 นาที ขึ้นเลยไหม” ไอ้เผือกถาม นั่งตั้งนานมึงเพิ่งพูดเหรอวะ

“ไปดิ่ เลิกคลาสนี้พวกมึงต้องไปหาอาจารย์อมรกับกูด้วย”

“ไปไมวะ”

“โถ่หนม มึงคิดว่าอาจารย์อมรเรียกเราจะมีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องงานของคณะล่ะ” ก็จริงของมึงหมี

ทุกครั้งที่พวกผมโดนอาจารย์อมรเรียกไปพบก็เพื่อจะสั่งงานให้ทำ งานจะเล็กงานจะใหญ่ก็ขึ้นอยู่ที่แกอยากจะสั่ง ผมฟังมาจากพวกประธานรุ่นก่อนว่างานที่หนักที่สุดคืองานทำนิตยสารโปรโมทมหา’ลัย มันถือว่าเป็นงานหิน ไม่ใช่ว่างานอื่นไม่ยากนะครับงานอื่นก็ยาก และงานที่ยากๆ นั้น

พวกผมต้องได้ทำแน่นอน

“ถ้ากูฟังไม่ผิดน่าจะเกี่ยวกับนิตยสารโปรโมทมหา’ลัย”

“เห้ย จริงจัง” ทำไมมึงทำหน้าตะลึงแบบนั้นวะหมี

“จริงจัง ไปได้ละเดี๋ยวก็วิ่งรอบตึกอีกอะ”

เออ วันนี้เราจะวิ่งรอบตึกอีกไม่ได้ ชีวิตหนมควรอับอายแค่สองครั้ง ถูกไหม





“...ผมจะตั้งใจ....เรียน....แฮ่ก”

โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว

“โอ๊ยยยยกูเหนื่อย” ไอ้หมีตะโกนลั่น เออกูก็เหนื่อย

“เพราะมึงสองคนเลยไอ้เป้ไอ้ภีม” ไอ้ปั้นพูดอย่างหัวเสีย

“กูทำไรอะ” ไอ้ภีมมันวิ่งไปหาวไป

วิ่งกลางแดดร้อนขนาดนี้มึงจะหาวอีกเหรอ!!!

“ยังไม่สำนึกอีกนะมึงอะ” ไอ้เป้มันโขกหัวไอ้ภีมไปทีนึง

มึงทั้งคู่นั่นแหละไอ้สัส

“แฮ่ก....ไม่ไหวๆ ” ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง เหงื่อเต็มเสื้ออีกแล้ว เหมือนเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่โดนวิ่งย้อนกลับมาเลยว่ะ

หิวน้ำเป็นบ้า

ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อับอายครั้งที่สามเกิดขึ้น ส่วนสาเหตุมันก็เรื่องเดิมๆ ครับ ไอ้ภีมหลับเหมือนอย่างทุกๆ คลาส พอเห็นมันหลับแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่เลยว่ากลางคืนมันทำอะไร

วันหลังผมต้องชวนไอ้หมีย่องไปดูละ

“ปล่อยให้กูนอนก็จบแล้วไง เพราะมึงอะเป้” ไอ้ภีมมันปาใบไม้ใส่ไอ้เป้ นานๆ จะเห็นไอ้ภีมตอบโต้บ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การปาใบไม้ใส่ก็เถอะ

“เพราะมึงนั่นแหละ” ไอ้เป้มันก็ไม่ยอมแถมยังปาใบไม้กลับไปอีก เฮ้อ พวกมึงนี่นะ

“กูไปห้องน้ำนะ” ไม่ไหวแล้วครับอยากล้างมือกับหน้ามาก

ผมทิ้งชาวแก๊งค์ให้นั่งโวยวายกันอยู่ตรงนั้นก่อนจะพาตัวเองเดินไปห้องน้ำที่อยู่หลังตึกคณะ โอ๊ย หายใจไม่ทันเลยให้ตายสิ เพราะผมไม่ค่อยชอบออกกำลังกายรึเปล่านะมันเลยทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะวิ่งท่ามกลางแดดแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง

ผมถอดแว่นตาก่อนจะวักน้ำมาล้างหน้า “ค่อยยังชั่วหน่อย”

เที่ยงวันแบบนี้แสบตาชะมัด

สายตาผมแพ้แสงผมต้องใส่แว่นกันแสงเวลาออกไปไหนมาไหน ถ้าอยู่ห้องผมจะไม่ค่อยใส่ จะใส่ก็เฉพาะตอนแต่งนิยายเท่านั้น ผมว่าตัวเองโชคดีนะที่ไม่ได้สายตาสั้นทั้งๆ ที่ตัวเองใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมฯ มากขนาดนั้น

เพราะงั้นขอให้มันไม่สั้นแบบนี้ต่อไป

“ผมจะตั้งใจเรียน”

หืม

เสียงใครวะคุ้นๆ

“ใครวะ” ผมหมุนรอบตัวเพื่อหาต้นเสียงว่าเป็นใคร อา....แสบตาชิบ สวมแว่นก่อนครับไม่งั้นผมอาจจะตาบอดตายตรงนี้ก็ได้

“ผมจะตั้งใจเรียน” เจ้าของเสียงเข้มเดินออกมาจากด้านข้างห้องน้ำพลางยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดี ผมได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ มันมาอยู่ที่นี่แล้วอีกแล้ว คนที่เอาช่อดอกกุหลาบสีขาวมาให้ผมเมื่อหลายวันก่อน

ขุนศึก

มึงมาทำไมเนี่ย

แล้วเมื่อกี้มึงล้อกูเหรอห้ะ

“มึงมาทำไม” ผมถามเสียงขุ่น แน่ล่ะเมื่อกี้ผมก็ว่าตัวเองหูไม่ฝาด มันล้อผมที่โดนลงโทษให้วิ่งรอบตึก

“ผ่านมาเฉยๆ ”

ผ่าน!!!

มึงใช้คำว่าผ่านกับสองตึกที่อยู่ห่างกันเป็นกิโลฯ น่ะนะ

“มึงผ่านมาไกลจังนะ” ผมแขวะมัน น่าหมั่นไส้ว่ะไอ้หน้าหล่อๆ ที่ยิ้มบางๆ นั่นน่ะ

เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า

“ผ่านก็คือผ่านดิ่ แล้วที่วิ่งเมื่อกี้อะเหนื่อยมากไหม”

“มึงอยากรู้ มึงก็ลองไปวิ่งสิ” ใครจะไม่เหนื่อยวะไอ้บ้า มึงดูความใหญ่ของตึกกู มึงดูแดดด้วย มึงดูความร้อนของอากาศ แม่งถามอะไรแปลกๆ

“ถ้ากูลองไปวิ่ง นี่ก็ละลายอะดิ” มันชูแก้วโกโก้ในมือให้ผมดู

อึก

อยากกิน

ความอยากกินนี้มันมาจากความเหนื่อยของผมแน่ๆ แต่ไม่ได้ ผมต้องไม่หลุดให้มันได้เห็นว่าผมหิวน้ำ แล้วเซ้นส์ในการซื้อน้ำของมันก็ดีเหลือเกิน ผมชอบกินโกโก้แล้วมันก็ซื้อโกโก้มา

ไอ้บ้านี่

“นั่นก็เรื่องของมึง”

“มึงนี่ ปากคอเราะร้ายเหมือนกันนะ”

“มึงมีปัญหารึไง”

“ถ้ามี แล้วจะยังไงต่อ” มันก้มหน้าลงมาใกล้ ก้มครับใช้คำว่าก้มได้เลย นี่จะสูงไปไหนวะ มองไกลๆ ว่าสูงแล้วนะ ครั้งก่อนมองใกล้หน่อยก็สูงมาก แต่ครั้งนี้แม่งโคตรสูงอะ

“ก็เรื่องของมึง” ผมผลักมันออกก่อนที่หน้าหล่อๆ จะก้มลงมาใกล้ผมไปมากกว่านี้ ยอมรับเลยนะครับว่าช่วงระยะที่หน้ามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นั่นทำให้ใจผมสั่นเล็กน้อย

เน้นว่าเล็กน้อยนะครับ

“อะไรๆ ก็เรื่องของกู....งั้นมึงเอานี่ไป” มันยัดโกโก้ใส่มือผม อะไรของมันวะ คิดจะยัดอะไรก็ยัดง่ายๆ ถ้าวันไหนมึงพกยาบ้ามาแล้วยัดใส่มือกูนี่ กูไม่ซวยเหรอวะไอ้บ้า

“อะไรของมึงเนี่ย” ผมถามมันแบบงงๆ งงเหมือนกับช่อกุหลาบที่มันยัดใส่มือผมนั่นแหละ

“ให้”

“ให้ทำไม”

“เรื่องของกู” มันยักคิ้วใส่ผมอย่างกวนๆ ย้อนคำกูอีก หึ้ยยยย มึงคิดว่ามึงทำแบบนั้นแล้วมันหล่อมากเลยดิ

เอออออ

หล่อมากกกก

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาตะลึงกับความหล่อของมันครับ ผมว่าโกโก้แก้วนี้มันน่าสงสัย มันใส่อะไรไว้รึเปล่า แม่ผมสอนว่าเราไม่ควรรับของจากคนแปลกหน้า และยิ่งเฉพาะของกินเราไม่ควรรับเด็ดขาด

“มึงใส่อะไรลงไปป้ะเนี่ย” ผมจ้องมันไม่วางตา หึ ถ้าจะวางยากูมันไม่ได้ผลหรอกนะพ่อหนุ่ม

“ใส่อะไรวะ...อ๋อ....ใส่ดิ่” นั่นไงกูว่าแล้ว มึงแม่งชั่วจริงๆไอ้ขุน

“งั้นมึงเอาคืนไป”

“กูให้มึงแล้ว”

“กูไม่เอา มึงใส่อะไรลงไปในนี้ก็ไม่รู้” ผมโวยวายใส่ ทำไมมันถึงดูกวนตีนจังวะ รู้สึกหงุดหงิดจริงๆ ที่เห็นหน้าเจ้าเล่ห์ๆ ของมัน อากาศแม่งก็ร้อนมากด้วย ผมก็โคตรเหนื่อย ทำไมต้องมายืนต่อปากต่อคำกับมันด้วยเนี่ย

มันยกยิ้มมองผม “อยากรู้ไหมล่ะว่ากูใส่อะไรลงไป”

“อะไร มึงใส่อะไรลงไป”

“ใส่ใจลงไปครับ”

ฉ่า

นี่มึงงงง

“เป็นอะไรอะ แก้มแดงเชียว”

แก้มแดงงั้นเหรอ

ผมยกมือปิดแก้มทันที ไม่รู้ว่าทำไมไอ้หล่อนี่มีอิทธิพลต่อผมถึงขนาดนี้ หรือเพราะที่ผ่านมาไม่มีใครเคยพูดแบบนี้กับผมวะ ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ

“ร้อน หรือว่า เขิน”

“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูน่ะ” ผมหันหลังเดินหนีมันอย่างไว ไม่ไหวแล้วครับ รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่งั้นผมอาจจะต้องเป็นอะไรสักอย่างตายแน่นอน

“กินให้หมดนะ” เสียงเข้มตะโกนไล่หลังตามมาจนผมต้องหันกลับไปมอง มันไม่ได้เดินตามผมมา เออดีละ อย่าตามกูมานะมึง ตามมากูให้ไอ้เป้กระทืบจริงๆ ด้วย

ผมรีบเดินกลับมาหาชาวแก๊งค์ที่หน้าตึกเรียน มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ววะเนี่ยวันนี้ ตั้งแต่วันที่มันให้ดอกไม้มาผมก็ยังไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ทำไม แล้วก็เป็นผมเองอีกที่ไม่ยอมถามมันไปตรงๆ แน่ล่ะ ใครจะกล้าวะ ดูการโผล่มาของมันแต่ละครั้งสิ จะให้ผมถ่อไปยันตึกวิศวะฯ มันก็ไม่ใช่เรื่อง

มันอาจจะแพ้เกมอะไรสักอย่าง

มันเลยต้องทำตามคำสั่ง

หรือไม่ใช่วะ

คาใจจังโว้ยยยย

“ทำไมมึงไปนานจัง” ไอ้ปั้นถาม กูไม่ได้อยากจะไปนานหรอกนะเพื่อนปั้นแต่ว่ามันมีเหตุสุดวิสัยนิดหน่อย

“มึงไปซื้อน้ำมาหรอ ไมไม่ชวนกูวะ” กูไม่ได้ซื้อไงเพื่อนหมี ไอ้ขุนมันเอามาให้

ผมก้มลงมองโกโก้ซึ่งเป็นของโปรดในมืออย่างลังเล น้ำมีตั้งเยอะทำไมต้องซื้อโกโก้วะ มันตั้งใจเอาให้ผมหรือยังไงกันแน่ ถ้ามันตั้งใจเอามาให้ผมจริงๆ ทำไมถึงเป็นโกโก้ หรือว่ามันรู้ว่าผมชอบ

ตีกันตึ้บเลยในหัวเนี่ย

“มองไรวะ ไม่กินอ๋อ” ไอ้เป้ถามผมที่นั่งมองโกโก้ เอาไงดีวะ แค่กินกับไม่กินทำไมมันเป็นการตัดสินใจที่ยากแบบนี้เนี่ย เพราะมึงคนเดียวเลยนะไอ้ขุน

เพราะมึงคนเดียวเลย



‘ใส่ใจลงไปครับ’



นึกถึงเสียงเข้มๆ กับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของคนพูดมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ไอ้บ้านั่นมันมาทำอะไรกับชีวิตผมกันเนี่ย เออ เอาวะกินก็กิน

อึก....อึก

อืมมมม

อร่อยว่ะ

“กินช้าๆ สิ เดี๋ยวมึงก็สำลักหรอก” ไอ้ปั้นมันปรามผมที่ดูดน้ำเร็วเกิน มันอร่อยนะครับอย่างน้อยมันก็อร่อยกว่าทุกครั้งที่ผมซื้อ

เพราะมันใส่ใจลงไปเหรอ

เพ้อเจ้อน่ะ

“มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรอวะ” ไอ้หมีมันนอนเท้าคางมองตาปริบๆ เดี๋ยวนะหมี มึงนอนกับพื้นเนี่ยนะ

“ก็....ปกตินะ” กลบเกลื่อนไปครับ เดี๋ยวไอ้หมีมันสงสัยเพราะห่านี่มันรู้มาก

“ไม่ปกตินะ มึงกินแล้วมึงแก้มแดงอะ”

“กูร้อนไหมล่ะ”  รู้มากจริงๆ นะมึงอะ จะมีสักกี่เรื่องไหมที่มึงไม่รู้เนี่ย

“เดี๋ยวไปหาอาจารย์อมรเลยละกัน มันเหลืออีก 10 นาที” ไอ้ปั้นบอกพลางมองนาฬิกาบนข้อมือ เออดี รีบไปหาอาจารย์จะได้รีบกลับบ้านไปอาบน้ำและแต่งนิยาย

อา....ชื่นใจจังเป็นเพราะได้กินของที่ชอบแน่ๆ



‘ใส่ใจลงไปครับ’



บ้าว่ะ

เลิกคิดได้ละหนม





“งั้นก็ตกลงตามนั้นนะเด็กๆ ” ครับ ตกลงตามนั้นก็ได้

กระซิกๆ

ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่ห้องของคณะนิเทศศาสตร์ครับ ซึ่งแก๊งค์ท่านประธานถูกอาจารย์อมรเรียกขึ้นมาเพื่อคุยงานคณะ และก็ได้รับงานใหญ่สองงานมาทำด้วย งานแรกคืองานนิตยสารโปรโมทมหา’ลัย งานที่สองคืองานประกวดดาวเดือนมหา’ลัย โดยที่พวกผมมีหน้าที่หลากหลายมากมายต้องทำ ไอ้งานแรกเนี่ยะผมลองอ่านรายละเอียดของการดำเนินงานละ ที่มันดูยุ่งยากน่าจะเป็นการถ่ายรูปและสัมภาษณ์ดาวเดือนของแต่ละคณะของเมื่อปีก่อน

พูดถึงเดือนคณะปีก่อนแล้วนึกถึงใครวะ

ช่างแม่ง

เอาเป็นว่ามันจะเป็นงานที่ค่อนข้างวุ่นวายและต้องรีบทำทุกอย่างให้เสร็จอย่างเร็วเพื่อที่จะรีบรวมเล่ม ก็ประมาณนี้ ส่วนงานที่สองนั้นก็จะต้องจัดเตรียมการประกวดอะไรอีกก็ไม่รู้ แต่ว่าเรื่องนี้ไอ้หมีน่าจะถนัดครับเพราะฉะนั้นงานนี้ผมจะใช้ให้มันทำ

“อาจารย์ครับ งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ” ท่านประธานยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้อาจารย์ หน้ายิ้มแต่ใจมึงกรีดร้องอยู่สินะเพื่อนปั้น

“โชคดีๆ ครูคาดหวังกับผลงานของพวกเธอนะ” จากสีหน้าของอาจารย์มันไม่เชิงคาดหวังนะครับมันเชิงสั่งว่าพวกมึงต้องทำกันให้ได้

ไม่เป็นไรครับ เพื่อคณะพวกผมจะทำให้เต็มที่

พวกผมเดินออกจากห้องคณะมานั่งกันเป็นซากอยู่หน้าตึกจุดประจำที่เดิม นี่ก็ประมาณ 6 โมงแล้ว ในคณะผมคนก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วทำไมผมไม่กลับบ้านวะ ร่างกายต้องการอาบน้ำนอนมาก

“มึงจะกลับหอเลยป้ะ”

“คงงั้นว่ะ พรุ่งนี้สอบ กูต้องกลับไปตั้งสติ” ใช่หมี มึงพูดถูก มึงเป็นผู้ประกาศข่าวมึงควรมีสติให้มาก

“กูก็อยากกลับละ อยากอาบน้ำ”

“จะรีบกลับไปไหนล่ะน้องรัก”

หืมมมม

เสียงนี้มันเหมือน....

“พี่กริม”

“พี่กริมมา....เห้ยไม่” ไอ้หมีมันหันหมุนรอบตัวเหมือนมองหาใครสักคน มึงหาใครวะหมีทำไมต้องร้อนรนขนาดนั้น

“มึงจะมุดโต๊ะทำไมวะหมี” ไอ้เป้มองไอ้หมีที่กอดขามันอยู่ใต้โต๊ะ

“มึงไม่ต้องกลัวหรอกไอ้หมี กูมาคนเดียว”

“ไม่เชื่อพี่หรอก พี่แม่งขี้แกล้ง”

“ก็แล้วแต่นะน้องหมี” พี่กริมบอกก่อนจะนั่งลงข้างผมๆ ทำไมวันนี้มึงหล่อจังเลยวะพี่ แม่งต้องไปเที่ยวต่อแน่ๆ

“มีอะไรป้ะพี่” ผมเอ่ยถามพี่รหัสสุดหล่อของผม

พี่กริมเป็นพี่รหัสของผมแถมยังควบตำแหน่งเดือนของคณะเมื่อปีก่อนอีก เดอะแก๊งค์ของพี่แกก็เป็นคณะประธานของเมื่อปีก่อน พี่กริมแกเป็นคนคอยสอนโน่นนี่นั่นให้พวกผมอยู่ตลอด เสียอย่างเดียวคือขี้แกล้ง กลุ่มแกชอบแกล้งกลุ่มผมตลอดไม่รู้ว่าเป็นห่าไร เป็นหนึ่งกลุ่มในนิเทศฯ ที่ดังมากนะครับเพราะว่าแม่งหล่อไง แต่บางทีก็ทำตัวง้องแง้งเล่นกันเป็นเด็กๆ

“พรุ่งนี้เรียกปี 1 ของทุกสาขาไปที่ลานบลูด้วย”

“ผมมีสอบอะพี่”

“หลังพวกมึงสอบสิวะ ไอ้หมีมึงขึ้นมานั่งบนโต๊ะซินั่งเขี่ยตีนกูอยู่ได้ เดี๋ยวกูเหยียบจมดินให้ไปคุยกับไส้เดือนหรอก”

“ใจร้ายยยย ทำงี้กับหมีตัวน้อยๆ ได้ไง” ไอ้หมีมันเลื่อนขึ้นมานั่งบนโต๊ะตามที่พี่กริมสั่ง

“แล้วไปทำไมอะพี่” ครั้งนี้ไอ้เผือกเป็นคนถาม ผมคิดนะว่าการที่เรียกปี 1 ไปทั้งคณะแบบนี้มันจะต้องมีเรื่องสำคัญแบบสำคัญมากๆ แน่

“กูจะคัดเลือกดาวเดือนคณะเพื่อเป็นตัวแทนส่งประกวดดาวเดือนมหา’ลัย”

“ผมเสนอไอ้เป้”

ทุกคนหันขวับไปตามต้นเสียงที่เอ่ยออกมา โดยเฉพาะไอ้คนที่ถูกเอ่ยชื่อขึ้นมานั้นมันหยิบค้อนลมมากระหน่ำตีไอ้คนพูดทันที

โถ่ภีม โดนอีกแล้ว

“มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยไอ้ภีม” ไอ้เป้มันโวยวายใหญ่เลยครับ แน่ล่ะมันไม่ชอบอะไรที่มันเป็นระเบียบและพิธีการจะให้มันไปเป็นเดือนคณะนี่อาจจะยากมาก

พี่กริมมองไอ้เป้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา “เออ ไอ้เป้ก็น่าสนใจ”

“ไม่เอานะพี่ ไมไม่เอาไอ้หมีไปเป็นล่ะ”

“ไอ้หมีมันปัญญาอ่อน มันเป็นเดือนคณะไม่ได้หรอก” ก็จริงของพี่กริม ไอ้หมีมันปัญญาอ่อน เรื่องแบบนี้มันทำไม่ได้หรอกครับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเหมาะแต่มันก็เป็นไม่ได้แน่ๆ

“ทำไมว่าน้อง” ไอ้หมีทำท่ายกมือมาปาดน้ำตา

“เห้ยเป้มึงอย่าเพิ่งไปคิด ยังไงกูก็ต้องเอามึงไปคัดแข่งกับคนอื่นอีก” พี่กริมบอกมันพร้อมกับยิ้มเหี้ยม

ดูจากรอยยิ้มนี่ผมรู้เลยว่าเดือนคณะปีนี้จะเป็นใคร

“โถ่พี่อย่ายิ้มงั้น ไอ้ภีมเพราะมึงคนเดียวเลย” มันหันไปตีไอ้ภีมต่อ ผมว่ากว่าจะจบปี 4 ไอ้ภีมต้องสมองเสื่อมเพราะได้รับความกระทบกระเทือนบ่อยแน่ๆ

ผมว่าถ้าเป็นไอ้เป้มันก็มีความเหมาะในหลายๆ อย่าง บุคลิกมันดูดีเลยครับ แถมหน้าหล่อเถื่อนนั่นอีก แต่มันจะเสียอย่างเดียวคือมันขี้โวยวายนี่แหละ เอาวะคอยดูพรุ่งนี้ว่าการคัดเลือกมันจะเป็นยังไง อีกอย่างคือวันพรุ่งนี้พวกผมมีสอบสำคัญซะด้วย เรื่องนี้ก็จะพลาดไม่ได้เหมือนกัน ผมมีสอบช่วงสายๆ ประมาณ 10 โมง ดีจังตื่นสายได้

“เออหนม วันนี้มึงนอนไหน” ไอ้หมีถามผม แน่ะ จะมานอนกับกูล่ะซี้

เสียใจด้วยนะเพื่อนหมี

“นอนบ้าน”

ที่จะกลับไปนอนบ้านนั่นก็เพราะว่าขุ่นแม่สุดที่รักได้ทำแกงเขียวหวานครับ เหตุผลง่ายมากก็คืออยากกิน และอีกอย่างก็คือผมอยากจะไปอยู่ในห้องสีเหลืองของผม ผมคิดว่าถ้าตัวเองได้เห็นอะไรสีเหลืองๆ มันจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการสอบในวันพรุ่งนี้แน่นอน

“หูยยยย เสียใจ กูไปนอนไหนได้บ้างวะวันนี้” ไม่มีหอนอนเหรอวะหมี ถึงต้องเร่ร่อนไปหาที่นอนเนี่ย

“หอกูว่าง”

“จริงอะ แล้วมึงจะไปไหนป้ะเผือก”

“กินเหล้า” กินเหล้าอีกละ ไอ้เผือกมันไปกินเหล้าบ่อยมาก แล้วมันก็จะไปคนเดียวบ่อยๆ ไม่คิดจะชวนเพื่อนชวนฝูงไป

แต่เอาจริงๆ ถ้าชวนผมก็คงไม่ไป

ผมดื่มเหล้าได้นะครับแต่เลือกได้ก็จะไม่ค่อยดื่มอะ ถ้าให้กินน้ำอะไรสักอย่างผมขอกินโกโก้ดีกว่า อีกอย่างคือผมไม่ค่อยชอบสถานที่แบบร้านเหล้า ผับ หรือว่าบาร์ เพราะผมคิดว่ามันอึดอัด คนมันเยอะแถมเสียงเพลงดัง ผมไม่ค่อยชอบกลิ่นบุหรี่ด้วย ผมไปได้นะแต่ต้องแบบนานๆ ทีมีเลี้ยงวันเกิดอะไรแบบนี้ถึงจะไป แต่ถ้าชวนไปแบบไร้แก่นสารผมจะไม่ไปเด็ดขาด

“เออ เดี๋ยวกูเฝ้าหอให้” จากนั้นผมก็นั่งฟังบทสนทนาล้านแปดไปเรื่อยๆ มีทั้งเรื่องที่พี่กริมบ่นเรื่องเรียนให้ฟัง เรื่องงานที่จะต้องทำและก็เรื่องอื่นๆ อีกบลาๆ ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

เรื่อยเปื่อยจนมาหยุดถึงเรื่องโกโก้เมื่อเที่ยง

นึกถึงรอยยิ้มของไอ้ขุน สายตาและคำพูดของมันมีความเจ้าชู้แถมยังดูเจ้าเล่ห์ด้วย ทำไมคนอย่างมันถึงได้มายุ่งกับผมกันนะ อยากรู้ว่าไอ้ขุนทำแบบนั้นทำไม เรื่องที่เอาดอกไม้มาให้ เอาโกโก้มาให้ แปลกชะมัด พอผมได้เห็นมันครั้งแรกหลังจากนั้นผมก็เจอมันตลอด ทั้งๆ ที่เทอมก่อนไม่เจอหน้ามันเลยสักครั้ง

เหมือนมันไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ

ลองคิดง่ายๆ ว่าถ้ามีผู้ชายที่หล่อและดังมากแถมยังเป็นอดีตเดือนวิศวะฯ เมื่อปีที่แล้วมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวใครจะไม่รู้สึกแปลก ดูจากลักษณะภายนอกโดยรวมของมันยังไม่รวมนิสัยก็ถือว่ามันดีมากนะครับ ดูเพอร์เฟ็ค มีความคล้ายกับพระเอกนิยายที่ผมแต่งด้วยนะ แต่อย่างว่าเรื่องในนิยายเอามาเทียบกับชีวิตจริงไม่ได้หรอก ดูจากเหตุการณ์ทั้งหมดถ้าคิดแบบนิยายผมคงคิดว่าพระเอกกำลังจีบนายเอกแน่ๆ

เดี๋ยวนะ

จีบงั้นเหรอ

บ้าๆ ๆ บ้าไปแล้วหนม มึงคิดเรื่องอะไรเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้โว้ยยยย

ผมได้แต่สลัดความคิดบ้าๆ ออกจากหัวแต่ดูท่าแล้วมันไม่ยอมออกไปง่ายๆ อา....ผมคิดอะไรของผมนะ อย่างมันจะมาจีบผมทำไมวะ ผมเป็นแค่ไอ้เฉิ่มแท้ๆ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง พอคิดเรื่องนั้นความสงสัยมันก็เข้ามาเต็มหัวอีก ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ผมจะไม่ทนงงอยู่คนเดียวแบบนี้และก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แล้วถ้ามันจีบผมจริงๆ ล่ะ

“หนม....หน้าแดงไมวะ” ผมยกมือปิดหน้าทันทีที่ไอ้หมีพูดจบ

“กูเปล่า” ผมว่าถ้ายังอยู่แบบนี้ต่อไปจะต้องลำบากแน่ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยว่ะ

ไอ้ห่าขุน

ทำไมต้องมาทำให้ใจกูสั่นด้วยวะ

ไม่ชอบเลย











TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2018 00:02:37 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 4 เรื่องของผักตบชวา


“ อื้ออออ..อ...” แดดแยงตา ใครก็ได้ปิดผ้าม่านให้หนมที

แดดแยงตา

“ ห่า!!!!! กี่โมงแล้ววะเนี่ย ” ผมรีบคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา

เก้าโมงสิบห้าโอ้แม่เจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาา

ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกวะ

ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำด้วยความเร็วแสง เหลือเวลาแค่ 45 นาทีที่ผมจะต้องไปสอบ แล้วคือไม่ได้อยู่หอไงครับ จากบ้านผมไปมหาลัยค่อนข้างไกลพอสมควร ผมไม่รู้ด้วยว่าวันนี้รถจะติดรึเปล่า รถไม่ติดก็ดีไป ถ้ารถติดล่ะก็จบเห่แน่ชีวิตผม

ว่าแต่.....กุญแจรถอยู่ไหน

ผมรีบวิ่งออกมาจากห้องก่อนจะไปที่โรงรถอย่างเร็ว อา กุญแจอยู่ที่รถ ทำไมมันมาอยู่ที่รถวะ แต่ช่างเถอะ ผมไม่มีเวลาจะมาคิดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เหลือเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงให้ผมไปถึงมหาลัย ขอให้ทันเถอะ

รถจ๋าอย่าติดเลยนะ





“ ดีจังที่รถไม่ติด ” นับว่าเป็นโชคดีของผมมากที่รถไม่ติด ผมขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางแล้วครับตอนนี้เหลือเวลาประมาณยี่สิบนาทีก่อนสอบ ผมคิดว่าน่าจะทันแหละ

ค่อยโล่งหน่อย

“ ควันอะไรวะ ” ผมมองควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากฝากระโปรงรถ มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

พรึ่บบบบ

“ เห้ย ไม่เอานะ อย่าดับสิเพื่อนยาก ” จะมาดับวันที่กูมีสอบไม่ได้นะมึง อย่าทำกับกูแบบนี้

ผมต้องเลี้ยวให้รถเข้าข้างทางก่อนจะเปิดไฟฉุกเฉิน ใครมาทำอะไรรถผมรึเปล่าวะ มันไม่เคยงอแงมาก่อนเลยนะ ไม่เคยดับไปดื้อๆแบบนี้ด้วย ที่แย่ที่สุดคือแม่งเป็นวันที่มีสอบสำคัญด้วยไง

“ บ้าจริงๆเลย ” ผมเปิดกระโปรงรถก่อนจะปัดควันให้จางลง ก่อนจะมองหาต้นเหตุที่ทำให้รถผมดับ

ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย

ผักตบชวาเต็มเลย

ใครมันเล่นเชี่ยไรเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมมองเหล่าวัชพืชที่ซุกอยู่ในทุกซอกของเครื่อง คือเอาจริงๆไม่ได้มีแค่ผักตบชวา แม่งมี แหน จอก ตะไคร้อะไรของแม่งก็ไม่รู้ ใครเอามาใส่ไว้วะ จะบอกว่ามันมาอยู่ในนี้เองก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เครื่องดับนั่นน่าจะเป็นเพราะมันไปขัดกับอะไรสักอย่าง ให้ซ่อมตอนนี้ก็ไม่ทัน คิดไปคิดมาคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้มีคนเดียวเท่านั้น

ไอ้สัสขัน

ไอ้สัสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

ถึงว่า กุญแจอยู่ที่รถ

“ ทำไมต้องมาแกล้งกูในวันสอบวะ ”

ผมทรุดตัวลงกับริมฟุตปาธ ผมจะทำยังไงดี สมองมันตันไปหมด ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะไปถึงมหาลัยให้ทันสิบโมงยังไง เพราะแถวนี้ไม่มีรถประจำทาง วินมอเตอร์ไซค์ก็หายากแท็กซี่ก็ไม่ต่างกัน จะให้เพื่อนๆมารับมันก็ไม่ทันอยู่ดี ผมรู้สึกโกรธไอ้ขันจริงๆนะผมว่าครั้งนี้มันทำเกินไป

เกินไปมากจริงๆ

การสอบครั้งนี้ถ้าเป็นการสอบเดี่ยวแล้วถ้าผมพลาดไปไม่ทันจริงๆมันยังไม่เท่าไหร่ แต่การสอบนี่คือการรายงานข่าวโทรทัศน์ซึ่งมันเป็นกลุ่ม แถมผมเป็นโปรดิวเซอร์อีกต่างหาก โอเคมันอาจจะทำหน้าที่แทนกันไปได้แต่ผมก็ทำให้เพื่อนลำบากอยู่ดี มันไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้เลยให้ตายสิ จะโทษไอ้ขันคนเดียวก็ไม่ได้ ผมเองก็ตื่นสาย เลยไม่มีเวลามาเช็คโน่นเช็คนี่เหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ

“ วันนี้แย่ชะมัด ” ผมกอดเข่าอย่างยอมแพ้ ยอมจริงวันนี้ไม่ไหวแล้ว ซวยติดกันมาหลายวันแล้วนะ

โชคจะไม่เข้าข้างผมเลยรึไง

“ รถเสียหรอ ”

เสียงนี้มัน...

“ ขุนศึก ” ผมเงยหน้ามองร่างสูงที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ ทำไมมันมาอยู่แถวนี้ได้วะ

“ รู้ชื่อกูแล้วหรอ กูว่ากูจะบอกมึงเองสักหน่อย ” ไอ้หล่อมันยิ้มหวานให้ผม มันไม่ใช่เวลาที่มึงจะมายิ้มโอเค้ มึงคนเดียวแหละตอนนี้ที่จะช่วยกูได้

“ มึงจะไปมอรึเปล่า ”

“ ไปสิ แล้วรถเป็นอะไรอ่ะ ”

“ มันเสีย ช่างรถกูก่อนเถอะ มึงรีบไปส่งกูที่มอได้ไหมกูมีสอบตอนสิบโมง มันเป็นสอบที่สำคัญมากเลยอ่ะ ” สำคัญจริงๆนะมึง ชีวิตกูทั้งชีวิตเลยนะ

“ งั้นรีบขึ้นมา อีกสิบนาทีเองเดี๋ยวไม่ทัน ” เย่ มีรถไปมหาลัยแล้ววว ผมรีบขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้ขุน ผมนึกว่าอย่างมันจะขับรถยนต์ไรงี้ แต่ก็ดีนะที่มันขับมอเตอร์ไซค์มันจะสะดวกในการลัดเลาะตามซอย

“ เร็วเลยนะมึง ”

“ ถ้ามึงไม่กอดเอวกูไว้ ก็จับชายเสื้อกูไว้แน่นๆเพราะกูจะขับเร็วมาก ” ไอ้หล่อมันบอกผมก่อนจะรีบออกรถ มือผมก็กำชายเสื้อมันไว้แน่นตามที่มันบอก คิดว่าผมจะกอดเอวมันรึไง ฝันไปเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย

จับแค่ชายเสื้อมันก็พอแล้วครับ





ตึกคณะนิเทศศาสตร์

“ ถึงแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันจอดรถที่หน้าตึกคณะผม เยสเข้เหลือเวลาสามนาที ทันว่ะทัน แน่ล่ะแม่งขับอย่างกับเดอะฟาสแถมยังลัดโน่นออกนี่อย่างชำนาญ

“ ขอบใจนะมึง กูไปสอบก่อนล่ะ ” ต้องรีบครับต้องรีบ เพื่อนฝูงกังวลกันจนตายไปแล้วมั้งเนี่ย

“ เดี๋ยวก่อน ” ผมหันหลังกลับไปหาคนที่แหกปาก ไรมึงวะขุนกูจะรีบไปสอบ

“ อะไรมึง ”

“ ตั้งใจสอบนะ ” ผมมองรอยยิ้มหวานๆที่มันส่งมาให้ มึงนี่เอาอีกแล้วนะไอ้สัส

ทำใจกูสั่นอีกแล้ว

“ เออๆ กูรู้แล้ว ” ผมบอกมันก่อนจะรีบวิ่งขึ้นตึกเพื่อที่จะไปสอบ ถ้าวันนี้ผมไม่เจอมันผมจะทำยังไงนะ ผมคงนั่งคอตกอยู่ข้างรถของผมแน่ๆ

โชคดีจริงๆที่เจอมัน





“ โล่งจังโว้ยยยยยยยยยย ” ไอ้หมีมันแหกปากลั่นหน้าตึกคณะ

เออโล่งจริง

ตอนนี้พวกผมนั่งกันอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกหลังจากสอบเสร็จ มันเป็นการสอบที่ตื่นเต้นมากจริงๆครับเพราะว่ามันจะผิดพลาดไม่ได้ ถ้าผิดคือเสียคะแนน แต่ว่ามันก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญกลุ่มของผมถูกอาจารย์ชมเชยด้วยนะเออ ว่ารายงานข่าวได้ดี อันนี้ต้องให้เครดิตไอ้หมีมันเพราะมันเป็นผู้ประกาศ ลำดับการเล่าข่าวดีบลาๆๆๆๆ จบการสอบนี้พวกผมก็จะมีงานของคณะก็คือถ่ายนิตยสารโปรโมทมหาลัย

เหมือนจะว่างแต่ไม่ว่างเลยแฮะ

“ มึงทำดีมากนะภีมที่ไม่หลับ ” ท่านประธานมันชมไอ้ภีมที่ไม่ได้หลับในตอนสอบ มันดูแปลกตามากครับที่มันไม่แสดงอาการง่วงออกมาสักนิดเดียว

“ เมื่อคืนกูนอนเต็มอิ่ม ” เจ้าตัวบอกพร้อมกับทำหน้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วคืนอื่นๆมึงไม่ได้นอนหรอวะภีม

“ แล้วคืนอื่นมึงไม่นอนไหม ”

อะไรคือไม่นอนไหมวะ

“ ไผ่ มึงพูดอะไรอ่ะ ” ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ นับวันการพูดของมันเริ่มเข้าใจยากแบบยากสัสๆ

“ ไม่รู้ ”

“ ไอ้เตี้ยนี่ ” ไอ้เป้มันหวดไอ้ไผ่ด้วยค้อนลม เห้ยเป้มึงทำแบบนั้นไม่ได้นะไอ้ไผ่มันจะตายเอา แรงหวดมึงนี่ทำมันกระเด็นไปดาวอังคารได้เลยน่ะ

“ เป้ ”

“ อะไรมึง ”

“ มึงเลิกตีไอ้ไผ่สักทีเถอะ ถ้าจะตี ตีไอ้เผือกแทน ” ห่าหมี กูก็นึกว่ามึงจะแมนๆรับแทนไอ้ไผ่ เสือกโบ้ยไปให้ไอ้เผือกอีก

“ เกี่ยวไรกับกู ” ไอ้เผือกมันมองตาขวาง มึงโดนแน่หมี อยู่ดีไม่ว่าดี

“.....เห้ยหนม หิวข้าวว่ะไปกินข้าวกัน ” เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยไอ้บ้านี่ แบบนี้ก็ได้หรอวะ แต่จะว่าไปก็หิวเหมือนกันนะ เพราะผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้ว ถ้าผมยังไม่ได้กินข้าวผมต้องหมดแรงแน่ๆ

“ ปั้น วันนี้เราไปลานบลูกี่โมง ”

“ พี่กริมไลน์มาบอกกูว่านัดเวลาไปลานบลูแบบแน่นอนตอนบ่ายสาม ”

บ่ายสามงั้นหรอ

“ เห้ยหมี ไปตึกวิศวะกันไหม ” ผมเอ่ยปากชวนไอ้หมี ซึ่งผมก็เดาคำตอบได้ไม่ยาก

“ ไปๆๆๆๆกูไป ” มันตอบแบบไม่ต้องคิด มันจะไปส่องไอ้สัสขันแน่ๆเออพูดถึงไอ้ขันผมต้องไปด่ามันด้วยเรื่องรถผม

“ มึงจะไปทำไรที่ตึกวิศวะ ” ไอ้เป้มันถาม จะตอบยังไงดีวะ

ที่ผมจะไปที่ตึกวิศวะเนี่ยก็เพื่อที่จะไปขอบคุณไอ้ขุนที่มันมาส่งผมเมื่อเช้า คือจริงๆก็ขอบคุณไปแล้วล่ะครับเมื่อเช้าแต่แบบมันเร็วมากเกิน ผมเลยกะจะไปขอบคุณมันแบบเป็นทางการ และผมอาจจะถามมันเรื่องดอกไม้และโกโก้ด้วย ไหนๆไปแล้วก็คงจะกินข้าวที่ตึกนั้นเลย แต่ที่สำคัญสุดคือไปด่าไอ้ขัน

“ ไปหาไอ้ขันอ่ะ จะไปเคลียร์เรื่องรถกู ” โทษทีเพื่อนเป้ที่กูบอกมึงทั้งหมดไม่ได้ ไม่งั้นดีไม่ดีแม่งยกไปทั้งกลุ่มมันจะวุ่นวายซะเปล่าๆ

“ ไปยังหนม กูอยากไปแล้ว ” เร่งกูเชียวนะหมี

“ เออๆ เจอกันที่ลานนะมึง ” ผมบอกชาวแก๊งค์ก่อนจะเดินไปที่จอดรถกับไอ้หมี ดูจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ ไม่ควรเดินไปครับควรขับรถไป

ผมจะเจอไอ้ขุนไหมนะ ตึกวิศวะก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าเจอมันผมจะทำยังไงนะ อย่างแรกก็ต้องขอบคุณเรื่องที่มาส่ง แล้วก็ถามเรื่องที่ผมอยากจะรู้ แล้วก็ไปกินข้าว ส่วนเรื่องสุดท้าย...

คือด่าไอ้ขัน

เรื่องนี้ห้ามลืมเด็ดขาด





โรงอาหารตึกวิศวะ

“ อยู่ไหนวะ ” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆโรงอาหารเพื่อหาคนที่ผมอยากเจอ

ผมมาอยู่ในโรงอาหารของตึกวิศวะ ผู้ชายเยอะชิบ สำหรับคณะนี้ผู้หญิงถือว่ามีน้อยมาก ตั้งแต่ที่ผมกับไอ้หมีเดินเข้ามาก็พบกับสายตามากมายที่มองมา แน่ล่ะ มีเด็กนิเทศสองคนมายืนเด๋ออะไรอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ แต่ก็มีไม่น้อยนะครับที่เข้ามาทักทายไอ้หมี เอาจริงๆเรียกได้ว่าตลอดทางที่เดินเข้าอาณาบริเวณของวิศวะเลยล่ะ ห่านี่รู้จักเขาไปทั่วจริงๆ

“ หาใครวะ พี่ขันหรอ ”

“ ก็ใช่....แต่ว่า ”

“ อ้าวหมี มึงมาทำไรที่นี่เนี่ย ” ผมหันไปตามเสียงก็พบกับร่างสูงที่อยู่ในเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้ม สูงไม่พอแถมยังดูดีมาก

“ ดีพี่ชา พอดีหมีพาเพื่อนมา....มาหาข้าวกินน่ะพี่ ” ไอ้หมีตอบร่างสูง ทำไมคณะนี้ไอ้คนที่หล่อมันก็หล่อไปเลยวะ ไอ้คนที่หน้าเห่ยก็เห่ยไปเลย ไม่มีแบบกลางๆบ้างรึไง

“ มึงมาซะไกลเลยนะ แล้วนี่เพื่อนหรอ ”

“ ใช่พี่ มันชื่อขนมอ่ะ หนมนี่พี่ชาเย็น เป็นพี่ที่กูรู้จักอ่ะแดกเหล้าด้วยบ่อยๆ ” สหายในร้านเหล้าของไอ้หมีนี่เอง

“ สวัสดีครับ ” ผมยกมือไหว้พี่เขา แม่ผมสอนตลอดเลยนะครับว่าถ้าเราเพิ่งรู้จักใครและอยากให้มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีให้ยกมือไหว้ก่อน เพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมเป็นนัยๆ

ผมมองพี่ชา ( เรียกตามไอ้หมี ) ที่ยืนอยู่ตรงหน้า พี่เขาสูงกว่าไอ้หมีอีกแฮะ ใบหน้าคมนั่นคงมีสาวๆมาติดไม่น้อยเลยล่ะ จมูกโด่งเป็นสันแถมผิวขาวอย่างกับแดกกลูต้าไปทั้งโรงงานยังไงยังงั้น พี่แม่งขาวกว่าไอ้ขุนอีก

แน่ะ

นึกถึงไอ้ขุนอีกละ

“ ดีๆ มึงนี่ตัวเล็กจังวะ ” เอ่อ....ไม่ได้อยากจะตัวแค่นี้หรอกนะพี่ แต่แบบมันได้แค่นี้จริงๆ ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กอะไรขนาดนั้นป้ะวะ สูงตั้ง 170 เลยนะ

“ ฮ่าๆๆๆ พี่อย่าไปแซวมัน ” ไม่ต้องมาขำเลยไอ้ห่าหมี กูรู้ว่ามึงก็แอบเยาะเย้ยกูในใจเหมือนกัน

“ เอ้อ พวกมึงมากินข้าวไม่ใช่หรอ ไปนั่งที่โต๊ะกูดิ่ วันนี้มีคนเลี้ยงข้าวด้วยนะ ” พี่ชาเอ่ยปากชวน จะดีหรอวะ ยังหาไอ้ขุนไม่เจอเลย

“ ไปดิ่พี่ ชอบมากอ่ะของฟรี ” ไอ้หมีมันทำตาลุกวาว เห็นแก่กินจริงๆนะมึงเนี่ย

“ ตามกูมา ” พี่มันเดินนำไปที่โต๊ะมัน ไอ้หมีมันก็ลากผมให้เดินตามมันไป ไม่ต้องลากก็ได้ไหมกูเดินเองได้หมีเอ้ย

คือขามึงยาวไงกูตามไม่ทันไอ้สัส

“ กูเอาเด็กนิเทศมาฝากสองคน ” ผมมองโต๊ะยาวที่มีหนุ่มหล่อเถื่อนนั่งกันอยู่สี่คน เพื่อนพี่โคตรหน้าตาดี มีฝาแฝดอยู่ในกลุ่มด้วยแฮะ

“ เอามาทั้งทีไม่เอาผู้หญิงมาวะ ” พี่แฝดใส่แว่นพูดขึ้น

“ เออ เอาไอ้หมีมาทำไม ” พี่แฝดอีกคนพูดต่อ

“ เอาไอ้หมีไปทิ้งไป ” พี่หัวแดงพูดขึ้น ไม่เคยเจอเด็กวิศวะที่กล้าย้อมหัวสีสดขนาดนี้เลย สีหัวพี่แกนี่มองไกลจากสามตึกก็น่าจะเห็น

“ ใจร้ายจริงๆเลยนะพวกพี่ ” ไอ้หมีมันตัดพ้อก่อนจะนั่งลงข้างพี่หัวแดง จะว่าไปนี่ไอ้หมีมันไปรู้จักกับพี่ๆที่หน้าตาดีขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ

“ เออพวกมึงนี่เพื่อนไอ้หมี ชื่อ....ชื่อไรวะ ” พี่ชาหันมาถามผม แหม่พี่ไอ้ห่าหมีเพิ่งบอกไปตะกี้เอง ความจำปลาทองป้ะเนี่ยลืมไวจัง

“ ชื่อขนมครับ ”

 “ กูชื่อแกงป่า เรียกแกงก็ได้ ไอ้หน้าแว่นนั่นชื่อข้าวก้อง เรียกไอ้เชี่ยก้องก็ได้ ส่วนไอ้หน้าเหมือนไอ้แว่นนั่นชื่อข้าวหอมเรียกมันว่าไอ้สัสหอมก็ได้ ส่วนไอ้ที่นั่งหน้าบึ้งเหมือนจะแดกโทรศัพท์เข้าไปนั่นชื่อสยาม ”

เป็นการแนะนำชื่อเพื่อนที่เถื่อนมากครับ

“ ไหนใครจะเลี้ยงอ่ะพี่ หมีหิวข้าว ” ไอ้หมีมันเรียกร้องหาข้าวทันที จะว่าไปผมก็หิวมากเลยตอนนี้ ท้องร้องจ๊อกๆแล้ว

“ นั่นไง มันมานั่นละ ” ผมหันตามนิ้วของพี่แกงที่ชี้ไปทางคนที่เดินถือของพะรุงพะรัง มันคือคนที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง

ไอ้ขุน

แล้วทำไมหัวเปียกแบบนั้นวะ

“ เห้ย เกิดไรขึ้นเนี่ย ทำไมน้องมานั่งกับพวกมึง ” มันเดินมาหยุดที่โต๊ะพร้อมกับมองเพื่อนๆมันด้วยสายตาแปลกๆ

“ มึงไปทำอะไรกับหัวมา ”

“ อาจารย์วิชัยเทน้ำลงมาแล้วกูก็เดินไปตรงนั้นพอดีก็เลยเปียกแบบนี้ ว่าแต่น้องมานั่งกับพวกมึงได้ไง ”

“ เจอแถวถังขยะเลยเก็บมา ”

“ ตลกนะมึง หลบๆ ไอ้หมีมึงก็หลบ ” ไอ้ขุนมันวางของก่อนจะเข้ามานั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้หมี ไอ้สัสที่ตั้งว่างมึงจะนั่งแทรกทำซากอะไรวะ

“ มึงจะไปนั่งตรงนั้นทำไมวะ ”

“ ความสุขกู แดกไปดิ่เนี่ยะของกูซื้อมาให้ละ ” ไอ้ขุนมันหยิบขนมปาใส่พี่ชาเย็น ไอ้บ้านี่หนิของกินใครเขาเอามาปาเล่นกัน มันบาปนะ

ผมนั่งมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสภาพที่หัวเปียก ตอนนี้ผมมันเสยลู่ไปข้างหลังจนเห็นหน้าขาวชัดเจน มองใกล้ๆนี่จมูกมันสวยชะมัด โด่งเป็นสันสวยไหนจะคิ้วเข้มๆนั่นอีก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ว่ะ

อยากเอามีดมาโกน

“ กูหล่อสินะ ”

“ เพ้อเจ้อว่ะมึงอ่ะ ”

“ ก็เห็นมองอยู่นั่นแหละ ”

กูมองมึงด้วยความหมั่นไส้เว้ย!!!!

“ ทำไมมึงสองคนดูเหมือนรู้จักกันมาก่อนวะ ” พี่แว่นมองอย่างสงสัย

“ จะไม่รู้จักกันได้ไงพี่เมื่อวันก่อนโน้นพี่ขุนยังเอาดอกไม้ไปให้ไอ้หนมอยู่เลย ”

“ เชี่ยหมี!!!!! ” มึงนี่จะทำให้ชีวิตกูไม่สงบรึไง

รู้กันแค่ในนิเทศก็พอแล้วไหมล่ะมึง กูต้องมาเป็นที่รู้จักของที่วิศวะด้วยรึไงวะ แล้วคือทุกอย่างตอนนี้กำลังเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากที่ไอ้หมีพูดออกมา แต่ว่านะเอาจริงๆแล้วไอ้ขุนมันเป็นเพื่อนกับพี่ๆพวกนี้พวกพี่มันก็น่าจะรู้นะว่ามันเอาดอกไม้ไปให้ผม

หรือว่าไม่รู้วะ

“ เชรดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ”

เอ่อ พี่มึงไม่ต้องเสียงดังกันขนาดนั้นก็ได้

คนแม่งมองกันทั้งโรงอาหาร

“ คนนี้เองหรอวะไอ้สัสขุนที่มึงเอาดอกไม้ไปให้ ”

“ กูนึกว่าจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ” เอ่อ พี่แกงครับ ผมผิดอะไร ผมไม่เป็นผู้เป็นคนตรงไหน

“ เรื่องของกูน่า....ว่าแต่มึงชื่ออะไร ” ไอ้ขุนถามผม นี่มึงยังไม่รู้จักชื่อกูอีกหรอ กูยังรู้จักชื่อมึงโดยที่กูไม่ต้องถามมึงเลยไอ้บ้า

“ กูชื่อขนม ”

“ อะไรมึงวะไอ้ขุน จะจีบน้องเค้ามึงยังไม่รู้จักชื่อเค้าเนี่ยนะ ”

ห้ะ

พี่แกงว่าอะไรนะ

“ หุบปากไปมึงอ่ะ ” มันปาหลอดใส่พี่แกง ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับผม

ยิ้มอีกละ

“ ชื่อขนมหรอ ” ผมเลิกคิ้วมองมัน กูก็เพิ่งบอกเมื่อกี้ป้ะมึงจะถามซ้ำทำซากอะไร สมองปลาทองอีกคนหรอไอ้สัส

“ เออ ”

“ ชื่อน่ากินเชียว ”

ฉ่า

น่ากินพ่อง

“ แก้มแดงอีกละ ร้อนหรอ มึงนี่ขี้ร้อนจังเลยนะ ” มันยิ้มอย่างกวนประสาท ไอ้สัสเอ้ยได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง

ผมหยิบขนมที่มันซื้อมาแกะกินแก้อาการเขิน ไม่ใช่เว้ย แก้อาการหิวต่างหาก ที่ผมเป็นแบบนี้อาจจะมาจากความหิวของผมก็ได้ ในระหว่างที่ผมกินขนมปังมันก็หยิบโน่นหยิบนี่มาให้ผม คือแบบมึงอยู่นิ่งๆเป็นไหม นั่งกินนิ่งๆอ่ะ แม่ผมสอนตลอดว่าเวลาเรากินข้าวหรือว่ากินอะไรก็ตามให้นั่งกินนิ่งๆ มันจะได้ไม่หกเลอะเทอะ

“ สอบเป็นไงบ้าง ”

“ ก็โอเคอ่ะ เออ เรื่องเมื่อเช้ากูอยากขอบใจมึงจริงๆ ถ้ามึงไม่ผ่านมากูคงมาสอบไม่ทัน ” รู้สึกขอบคุณมันจริงๆครับ แม่งเป็นเหมือนฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยอ่ะ

“ ถ้าอยากขอบใจกูจริงๆ งั้นให้ไลน์กู ”

ให้เพื่อ

“ มึงจะเอาไปทำไม ”

“ กูไม่เอาไปส่งเกมส์หรอกน่ะ ” ผมมองมันอย่างลังเล ไม่รู้สิครับผมไม่อยากให้ไลน์กับคนที่ผมยังไม่รู้จักดี

แต่มันช่วยมึงไว้นะหนม

“ เอาโทรศัพท์มึงมา ” ผมแบมือขอโทรศัพท์จากมัน มันก็รีบหยิบโทรศัพท์มาวางไว้บนมือผม โทรศัพท์ใส่เคสสีเหลืองเหมือนของผมด้วยว่ะ

เอ้า

มีรหัสล็อคไว้

“ มันล็อค ” ไอ้บ้านี่แทนที่จะปลดล็อคให้ก่อน ทำอย่างกับกูรู้รหัสมึงงั้นแหละ

“ วันเกิดมึง ”

เดี๋ยว....เกี่ยวไรกับวันเกิดกู

“ วันเกิดกูทำไม ”

“ ก็มันเป็นรหัส ” มันกดรหัสสี่ตัวซึ่งเป็นวันเกิดและเดือนเกิดของผมลงบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อปลดล็อค

เหมือนสมองผมยังไม่เข้าใจเรื่องรหัสอยู่

“ ทำไมมึงถึงรู้วันเกิดกูได้อ่ะ ”

มันน่าสงสัยมากจริงๆนะครับ มันไม่รู้จักชื่อผมด้วยซ้ำตอนแรกน่ะ แต่มันดันรู้วันเกิดผมก่อน แถมยังเอามาตั้งเป็นรหัสปลดล็อคโทรศัพท์ตัวเองอีก โทรศัพท์ตัวเองควรใช้วันเกิดตัวเองสิไอ้บ้ามาใช้วันเกิดคนอื่นได้ไง

“ เพราะว่ามึงมีไอ้หมีเป็นเพื่อนไง ”

หึ....ห่าหมีนี่เอง

“ มึงบอกมันหรอหมี ” ผมมองไอ้หมีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ มึงนี่ใครมาถามอะไรมึงบอกหมดเลยรึไงห้ะ

“ ก็พี่เขาถามกูก็เลยบอก ” มันฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ น่าหมั่นไส้สัสๆ ไว้กลับคณะก่อนกูจะให้ไอ้เป้กระทืบมึงให้ยับเลย

“ ถึงมันไม่บอกยังไงกูก็ต้องไปสืบมาจนได้แหละ ” สืบทำไมวะมึงเป็นโคนันรึไง

จะโคนันจะโคขุนจะห่าไรก็ช่างแม่ง

ผมเปิดเข้าไปเพิ่มเพื่อนจากไอดีไลน์ให้มันก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน ไม่ต้องยิ้มหน้าบานขนาดนั้นก็ได้ไอ้สัส ถ้ามึงส่งเกมส์มาให้กูนะกูบล๊อกแน่ พูดถึงคนที่ชอบส่งเกมส์มาให้บ่อยๆ ผมก็รู้สึกคันมือคันเท้าและคันปากขึ้นมาทันที และตั้งแต่ที่เข้าตึกวิศวะมาก็ยังหามันไม่เจอเลย

มันอยู่ไหนของมันวะ

“ มึงมองหาใครหรอ ” ไอ้ขุนมันถามก่อนจะทำเป็นมองไปรอบๆเหมือนที่ผมมอง

“ หาคน ”

นั่นไง

เดินหน้าชั่วมานั่นละ

“ เดี๋ยวกูมานะหมี ” ผมบอกไอ้หมีก่อนจะถือแก้วใส่น้ำเดินไปทางร่างสูงที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร หงุดหงิดมากหงุดหงิดจริงๆ มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่มันทำกับผม

ซ่าาาาา

“ เห้ยยยยยยย ” เสียงโวยดังลั่นโรงอาหาร มันดังมากพอที่จะดึงสายตาให้มองมาที่นี่ แต่ช่างดิ่ ผมไม่สนใจเพราะคนที่ผมสนใจมากที่สุดตอนนี้คือไอ้คนที่ผมเพิ่งสาดน้ำใส่หน้ามันไปตะกี้

ไอ้สัสขันไง

“ ไอ้หนม!!!!!!! ” ไอ้หมีมันรีบวิ่งมาหาผมทันทีเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่ไอ้หมีพวกพี่ๆมันก็ตามกันมาทั้งโต๊ะ

“ น้องหนมทำไรเนี่ย ” พี่แช่มถามอย่างตกใจ ไม่ใช่แค่พี่แช่มหรอกที่ตกใจ สิ่งที่ผมทำใครเห็นใครก็ตกใจ คิดดูว่ามีเด็กนิเทศมาจากไหนก็ไม่รู้เอาน้ำมาสาดใส่หน้าเฮดว้ากผู้ซึ่งเป็นที่เคารพกันอย่างกว้างขวางในบรรดาของรุ่นน้องวิศวะ

ผมอาจจะโดนตามกระทืบก็ได้

ไม่เป็นไรเรื่องนั้นค่อยว่ากัน

“ มึงเป็นอะไร ” ไอ้ขันมันเสยผมที่เปียกขึ้นไปไว้ด้านบนพร้อมกับส่งสายตานิ่งๆมาเพื่อบ่งบอกว่ามันกำลังโกรธ ไม่ใช่แค่มึงที่โกรธว่ะขัน กูก็เหมือนกัน

“ กูต้องถามมึงมากกว่าว่ามึงเป็นไร ” ผมผลักอกมันอย่างแรง เรื่องนี้ถึงหูแม่แน่ ถึงหูพี่เขมด้วย ผมไม่ยอมจริงๆครั้งมันทำเกินไป

“ ไอ้หนมใจเย็นก่อน ” ไอ้หมีมันดึงแขนผมไว้

“ พี่ขันพี่แช่มสวัสดีพี่ มีเรื่องอะไรกันอ่ะ ” ไอ้ขุนมันถามก่อนจะมองผมกับไอ้ขันสลับไปมา

“ เออน้องแว่น มึงเอาน้ำมาสาดใส่พี่ขันทำไมมันเลยสงกรานต์มานานแล้วนะมึง ”

“ เออ เดี๋ยวพี่ขันเค้าก็กระทืบให้หรอกมึงยิ่งตัวเล็กๆอยู่นะ ”

“ อย่าทะเลาะกันเลย ”

พวกพี่ๆมันช่วยกันดึงผมไว้ให้ห่างจากไอ้ขัน แถมยังเอาตัวมาขวางกันไว้อีก พวกพี่มึงเป็นห่วงกูหรือมึงเป็นห่วงรุ่นพี่พวกมึงกันวะ โดยเฉพาะไอ้ขุนที่เสนอหน้าแทบจะไปไกล่เกลี่ยให้

“ ปี 2 มึงหลบไป ” ไอ้ขันมันสั่งเสียงนิ่ง

“ แต่ว่า ”

“ ปี 2 !!!!!!!!! ” ไอ้ขันมันตวาดใส่พวกไอ้ขุนลั่นโรงอาหาร เชี่ยนี่เสียงดังชิบหาย ผมเห็นมีเด็กสะดุ้งกันไปเป็นแถบๆ

“ ครับพี่ ”

“ พวกมึงไม่ฟังที่กูพูดใช่ไหมล่ะ กูยังเป็นรุ่นพี่มึงอยู่ป้ะ ”     

“ พี่ขัน ”

“ ไปวิ่งรอบโรงอาหารสิบรอบ ไป!!!!!!!!!!!! ” มันออกคำสั่งดังลั่น แน่นอนว่ามันสั่งแบบนั้นพวกไอ้ขุนก็ต้องทำตาม

“ ขนม.... ” ไอ้ขุนมันมองผม สีหน้ามันมีความกังวลอย่างชัดเจน มึงจะทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ

ผมมองไอ้ขุนและพวกพี่ๆที่วิ่งกันออกไปก่อนจะหันกลับมามองทางไอ้ห่าขัน มันเองก็มองผมนิ่งๆสายตามันตอนนี้อ่านยากชะมัด แต่ผมคิดว่ามันก็คงจะโกรธเพราะผมมันทำแบบนี้ในที่สาธารณะ แต่ว่านะ คนอย่างมันอ่ะสมควรโดนแล้ว

ชอบแกล้งคนอื่นดีนัก

“ คลัมดาวน์นะหนมนะ ไงก็พี่น้องกันนะ ” ไอ้หมีมันลูบแขนผมเชิงว่าให้ใจเย็น มึงไม่เข้าใจกูหรอกหมี มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เปิดฝากระโปรงรถแล้วเจอผักตบชวาหรอก

มึงไม่รู้หรอกว่ามันเศร้าขนาดไหน T^T

“ มึงเป็นไรไอ้หนม เอาน้ำมาสาดกูไม ”

“ มึงนั่นแหละเอาผักตบชวามาไว้กระโปรงรถกูทำไม ”

“ ผักตบชวาอะไร กูไม่เห็นจะรู้เรื่อง ” มันทำหน้าใสซื่อมองผม ไม่รู้ก็เชี่ยแล้ว ไม่ใช่มึงใครจะทำไอ้สัส

“ มึงโกหก ”

“ กูเปล่านะ ใครเขาจะเอาผักตบชวามาใส่กระโปรงรถคนอื่น บ้าไปแล้ว ”

“ คนบ้าก็มึงไงไอ้บ้า กูฟ้องแม่แน่ มึงไม่รอดหรอก ”

“ หนมมึงใจเย็นๆ ”

“ ใครจะเย็นไหววะหมี มึงเป็นเพื่อนกูนะมึงต้องเข้าข้างกูสิ กูโดนมันแกล้งอ่ะ ”

วันหลังนะถ้ามีเรื่องมาเคลียร์ผมจะเอาไอ้เป้มา เอาไอ้หมีมานี่ไม่ได้เรื่องจริงๆหรือเพราะว่าคู่กรณีเป็นไอ้ขันวะไอ้หมีมันเลยเอาแต่ห้าม ไม่คอยหนุนผมเลย

“ มึงงอแงอ่ะหนม ”

“ งอแงห่าไร กูไม่ได้งอแง ”

“ มึงงอแง ”

“ ไอ้เชี่ยขัน ” แล้วผมก็เข้าไปกระหน่ำตีมันรัวๆ นี่แน่ะๆๆๆๆๆๆไอ้บ้านี่ มึงมันเป็นพี่ที่เลวมาก

“ โอ้ยๆ เจ็บ ไอ้เชี่ยหนม ” ไอ้ขันมันวิ่งหนีผม อย่าหนีนะมึง มึงต้องโดนกูตีจนตาย

“ ไอ้หนมอย่า ”

“ ปล่อยกูหมี ไอ้ขันมันต้องตาย ”

“ ไม่ ไม่ได้พี่ขันจะตายไม่ได้กูไม่ยอม ”

“ ไอ้เชี่ยหมี ” สัสเอ้ยแม่งวิ่งหนีไปโน่นละ เพราะมึงคนเดียวเลยห่าหมี ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างดูคลี่คลายลงเพราะไอ้สัสขันมันวิ่งหนีผมไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแค่พี่แช่มที่อยู่ตรงนี้ และก็มีเด็กวิศวะคนอื่นก็ยังดูไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ ไม่เป็นไรนะน้องหนม ”

“ ไม่เป็นไรก็ได้พี่ แต่ฝากถีบไอ้ขันสักทีนะ หนมหมั่นหน้าแม่งมากจริงๆ ”

“ ได้สิ เดี๋ยวพี่จัดการให้ ”

“ อย่าถีบแรงมากนะพี่เดี๋ยวพี่ขันเจ็บอ่ะ ” ผมมองตาค้อนใส่ไอ้หมีทันทีที่มันพูดจบ นี่ตกลงมึงเป็นพวกกูหรือพวกมันกันห้ะไอ้บ้าหมี

“ สัสหมี มึงกลับคณะกับกูเดี๋ยวนี้เลย ไปก่อนนะครับพี่แช่ม ” พูดเสร็จผมก็ลากไอ้หมีออกมาจากโรงอาหารทันที ตอนนี้ยังรู้สึกหัวร้อนไม่หาย แต่ก็ถือว่าโล่งกว่าเมื่อเช้าหน่อย ถือว่ามาที่นี่แล้วไม่เสียเที่ยว ได้ทั้งขอบคุณไอ้ขุนและก็ด่าไอ้ขัน

เดี๋ยวนะ

เหมือนมีอีกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ

ตื้อดึง...

ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะเปิดเข้าไปอ่านไลน์ที่ถูกส่งเข้ามา นี่มันไลน์ของคนที่ผมเพิ่งให้ไปนี่

ขุนจึกกก : กลับตึกรึยัง เป็นยังไงบ้างพี่ขันเค้าทำอะไรมึงรึเปล่า

ผมอ่านข้อความที่ไอ้หล่อมันส่งมา ถ้ากูจำไม่ผิดไอ้ขันมันสั่งมึงให้วิ่งรอบโรงอาหารนี่ มึงวิ่งไปพิมพ์ไปหรอวะ

คาหนม : กูไม่เป็นไร กำลังจะกลับตึก

ขุนจึกกก : ค่อยยังชั่วที่เค้าไม่ได้ทำอะไรมึง กูเป็นห่วงมึงชิบ กลัวโดนพี่ขันกระทืบ


เป็นห่วง

มึงจะมาเป็นห่วงกูทำไม

อา....นึกอีกเรื่องออกแล้วล่ะครับ ที่ผมมาที่นี่อีกเหตุผลนึงก็คือตั้งใจจะมาถามไอ้ขุนถึงเรื่องช่อดอกไม้ โกโก้ แล้วก็เรื่องอื่นๆที่ผมอยากรู้อีก มันจะได้หายคาใจผมสักที แต่ดูจากทรงวันนี้คงไม่ได้ถามแล้วล่ะ ช่างมัน

คาหนม : มันไม่กล้าทำไรกูหรอก มึงก็วิ่งดีดีล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วง

ขุนจึกกก : ครับ * สติ้กเกอร์รูปยิ้ม *

หึ....มึงนี่มันจริงๆเลยไอ้ขุน

“ มองโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” ไอ้หมีมันแซวผม แซวไม่พอดึงแก้มกูอีก มือมึงเปื้อนอะไรมาป้ะเนี่ยะเดี๋ยวหน้ากูเป็นสิว

“ ยุ่งว่ะมึงอ่ะ ”

ผมเก็บโทรศัพท์ก่อนจะขึ้นรถ ในหัวตอนนี้ก็ยังมีแต่เรื่องของไอ้ขุน ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนๆคนนึงจะมีผลต่อชีวิตเราในหลายๆอย่าง ถึงมันจะยังไม่ได้มีอิทธิพลมากแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ปกติ

เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปแต่งนิยายท่าจะดีแฮะ

กูเป็นห่วงมึงชิบ

“ อยู่ดีดีอย่ายิ้มสิไอ้หนมกูกลัวนะ ”

ไอ้สัสหมี มึงนี่มัน....




TBC.

คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2017 20:37:00 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 5 ชอบก็คือชอบ


“ เย่!!!!!!!!! มีเพื่อนเป็นเดือนต้องฉลองงงงงงงงงงงงง ”

“ ฉลองห่าไรห้ะไอ้หมี หุบปากไปเลยมึงอ่ะ ”

“ เอาน่าดีจะตายไป เนอะ ”

“ พวกมึงไม่ได้เป็นนี่ไอ้สัส ”

“ เห้ยหนมมึงลวกหมูไวไวดิ้ กูจะได้กินไหมล่ะ ” ลวกแดกเองไหมสัสหมี เร่งกูอยู่นั่นแหละ

ตอนนี้พวกผมมานั่งกินสุกี้กันอยู่ที่หอไอ้เผือกครับ หลังจากที่เมื่อบ่ายไปลานบลูเพื่อคัดเดือนคณะ ผมขอบอกเลยว่ามันเป็นการคัดเดือนที่ดุเดือดเลือดพล่านมาก ที่เดือดสุดเห็นจะเป็นไอ้เป้ เพราะมันรู้ตัวเองว่ามันไม่รอดแน่ๆ แล้วพวกพี่กริมก็หาทางต้อนเด็กทั้งคณะให้โหวตเลือกมัน สรุปแล้วก็เป็นไอ้เป้ที่เป็นเดือนนิเทศศาสตร์ปีนี้

เอ้า ปรบมือ

แปะๆๆๆๆ

ส่วนดาวของนิเทศศาสตร์นั้นก็เป็นคนที่พวกผมคิดไว้จริงๆ นั่นก็คือ แก้มใส จากภายนอกเธอดูสวยหวาน แต่นิสัยมันก็อีกเรื่องครับ ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นรึเปล่า

ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่าจะเกิดว่ะ

“ สักทีซิหนม กูหิว ”

“ เอ๊ะมึงนี่ เดี๋ยวกูปาผักใส่หน้าเลยว่ะ ” ไม่พูดเปล่า ผมยกผักกาดขาวทำท่าจะปาใส่ไอ้หมี

“ แน่ะ มึงเคยบอกกูว่าแม่มึงสอนไว้ว่าอย่าเอาของกินมาปาเล่น ”

“ มึงนี่มัน ไอ้เป้จัดการมันดิ้ ”

“ ตายซะไอ้สัสหมี ” ไอ้เป้มันจัดการไอ้หมีตามที่ผมบอก ทำดีมากเพื่อนเป้ เพื่อนหนมให้รางวัลเป็นหมูสองชิ้น

“ เห้ยหมูกู โอ้ยไอ้เป้เลิกตีดิ้กูจะแดกหมู ”

“ ไม่ต้องแดก ” แล้วไอ้เป้ก็ตีไอ้หมีรัวๆ ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้ามึง

นานแล้วเหมือนกันนะที่ผมกับเพื่อนๆไม่ได้นั่งกินอะไรกันแบบนี้ ครั้งล่าสุดก็เทอมก่อน ผมอยากกินนะครับพวกหมูกระทะ ชาบู สุกี้ไรงี้ แต่มันไม่ค่อยจะมีเวลานี่สิ อย่างว่างานของคณะที่พวกผมได้รับมาทำมันเยอะมากและยังติดๆกัน เหมือนจบงานนี้วันนี้พรุ่งนี้ก็เริ่มทำงานต่อไป เป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ

เหนื่อยนะครับแต่ต้องเก็บไว้ในใจ

“ เห้ยเผือกมีทิชชู่ป้ะ ” เพื่อนภีมถามหาทิชชู่ ผมมองหาไปรอบๆห้องเพื่อจะหาทิชชู่ให้ จะว่าไปห้องไอ้เผือกมีความเป็นระเบียบในระดับนึงแฮะ แต่ห้องผมก็ระเบียบนะครับ

ระเบียบในแบบของผมอ่ะ

“ ลิ้นชักหัวเตียง ” ทำไมมึงเอาทิชชู่ไปเก็บไว้ในลิ้นชักวะ

ผมนั่งอยู่ใกล้กับลิ้นชักหัวเตียงมันมากที่สุดจึงอาสาเป็นคนหยิบทิชชู่ให้เพื่อนภีม ดีเหมือนกันจะได้เอาไปเช็ดปากให้ไอ้ไผ่บ้าง นั่นก็จะแดกเลอะเทอะไปไหนก็ไม่รู้

พรึ่บ

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ ไอ้เผือกมึง ” มองเงยหน้ามองมันอย่างตะลึงสุดขีด เพราะสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักมันไม่ได้มีแค่ทิชชู่ครับ มันมี....

ถุงยาง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ถุงยางเต็มไปหมดเป็นสิบๆอัน แถมยังหลายแบบหลายยี่ห้ออีกต่างหาก ผมควานๆของในลิ้นชักก็พบกับขวดสีชมพูใสผมจึงหยิบมันขึ้นมาอ่าน

ไอ้สัสสสสสสสส

เจลหล่อลื่น

มึงมีเจลหล่อลื่นด้วย

“ ก็แค่ถุงยาง ” เจ้าของห้องมันบอกผมก่อนจะคีบหมูแดกต่อ เห้ยมึงมันไม่แค่นะมึงนะ มันเยอะแบบเยอะสัสๆเลยนะเพื่อน

“ หูวววววว ถุงยางเยอะจังวะ มึงไม่ธรรมดานี่หว่าเผือก ” ไอ้หมีมันส่งเสียงแซว

“ กูไม่ได้กระจอกแบบมึงหนิ เต๊าะเค้าไปทั่วแต่ให้เอาก็ไม่เอา ” ผมมองหน้าไอ้หมีที่อึ้งตาค้าง จุกเลยดิ่มึง นานๆทีไอ้เผือกมันจะพูดยาวๆนะหมี มึงอย่ามัวแต่อึ้งสิวะ

“ เอออันนี้น่าลอง ” ไอ้ภีมมันหยิบถุงยางซองสีชมพูออกมา

“ อันนั้นมีกลิ่น ”

“ มึงรู้ได้ไงไผ่ ” ผมมองไอ้ไผ่ที่นั่งแทะแครอทอยู่ หน้าแม่งเลอะไปทั้งหน้า กินท่าไหนของมึงวะ

“ ก็รู้ ”

“ แล้วมึงรู้อะไรอีก ” ท่านประธานถาม อย่างไอ้ไผ่มันจะไปรู้อะไรมากวะปั้นถ้าจะถามน่าจะถามไอ้เผือกงี้

“ ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ทำมาจากยางพาราหรือโพลียูริเทน โดยวิธีใช้คือสวมครอบที่อวัยวะเพศที่แข็งตัว ”

“.....”

“ โดยถุงยางอนามัยของผู้ชายจะนิยมมากกว่าของผู้หญิง ถุงยางอนามัยในประเทศไทยมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งในแต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป มีกลิ่น มีเส้นรอบวง มีปุ่ม มันมีลูกเล่นต่างกันออกไป ในรุ่นที่พิเศษหน่อยก็อาจจะมีสารที่ทำให้หลั่งช้าลงเพื่อที่จะสามารถร่วมรักได้นานมากขึ้น ”

“.....”

“ นอกจากการคุมกำเนิดแล้วถุงยางอนามัยยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเอดส์ หนองใน ซิฟิลิสและโรคอื่นๆ ถุงยางอนามัยจัดว่าเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถึงเราจะเก็บถุงยางไว้ได้นานแต่ถุงยางก็มีวันหมดอายุเหมือนกันซึ่งมันจะระบุอยู่บนซองถุงยางอนามัย ”

“.....”

“ ถุงยางอนามัยแตกยากมากนะแต่จะแตกก็ต่อเมื่อมีลมเข้าไปฉะนั้นตอนสวมใส่ต้องไล่ลมให้หมดก่อน ถุงยางไม่ควรสัมผัสกับของแหลมเพราะมันก็จะทำให้แตกง่ายและที่สำคัญคือห้ามใส่ซ้อนกันเพราะมันจะทำให้ถุงยางแตกง่ายยิ่งขึ้นไปอีก.....เงียบกันไม ”

อย่างเป๊ะ อย่างกับผู้รู้มาเอง

แถมพูดไม่ผิดสักคำ

“ เชี่ยไผ่มึงไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ไงวะ ” ไอ้หมีมองไอ้ไผ่ตาโต ผมเองก็แปลกใจนะเพราะอย่างไอ้ไผ่มันไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้เลย

“ กูรู้เฉยๆ ” เหมือนมันตอบไม่ตรงคำถาม

“ สุดยอดเลยไผ่ เซียนถุงยางเลยนะเนี่ย อ่ะเอาผักบุ้งไปเป็นรางวัล ” ไอ้ภีมมันคีบผักบุ้งให้ไอ้ไผ่ใหญ่ ห่านี่ก็ยอมันเหลือเกิน เดี๋ยวพอมึงยอมันมากๆไอ้เป้ก็หมั่นไส้แล้วก็หาเรื่องด่าไอ้ไผ่อีกอ่ะ

“ ไอ้เชี่ยเตี้ยมึงหลบไปดิ้ นั่งทำตัวเตี้ยอยู่ได้ ”

นั่นไง





“ อากาศดีจัง ”

หลังจากที่พวกผมนั่งโซ้ยสุกี้กันจนหมดเกลี้ยงก็ช่วยกันเก็บกวาดห้องไอ้เผือกให้สะอาดดังเดิม ตอนนี้ผมยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงคนเดียว ส่วนไอ้พวกที่เหลือมันนั่งเล่นไพ่กันอยู่ อา....ชอบจังเลย ลมโกรกเบาๆแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกอยากแต่งนิยายขึ้นมาเลย นี่ถ้าเอาโน้ตบุ๊คมาผมก็คงจะนั่งแต่งนิยายแน่ๆ

นึกถึงนิยาย

ตอนนี้ผมแต่งไปได้เกือบครึ่งเรื่องแล้ว พระเอกกับนายเอกยังไม่ได้รักกันเลย ฮ่าๆ ขนาดยังไม่ทันรักยังมีคนขอ Nc เข้ามาเลย ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน ส่วนในด้านกระแสตอบรับก็ดีครับอาจจะเพราะว่ามันเป็นเรื่องวุ่นๆในชีวิตมหาลัย ส่วนนึงของนิยายมันมาจากชีวิตประจำวันของผม โมเม้นท์ดีดีที่ผมเจอหรือบางเรื่องที่ไม่ดีผมก็ใส่เข้าไปในนิยาย จะยกเว้นก็แต่เรื่องความรักของพระเอกกับนายเอกที่ผมคิดมันขึ้นมาเอง

นิยายของผมกว่าจะรักกันได้นี่ต้องดราม่าน้ำตาแตกไปตามๆกัน

ขึ้นชื่อว่าความรักมันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง จะให้มันราบรื่นไปทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ ผมว่าความรักที่มันมีอุปสรรคนี่แหละมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนสองคนรักกันมากแค่ไหน และพร้อมที่ฟันฝ่าเรื่องร้ายๆไปด้วยกันไหม ง่อววววววววววววววววว คำพูดดูดีไปอีกอ่ะ

“ ทำไรวะ ”

“ เปล่า....มึงจะสูบบุหรี่หรอ ” ผมเอ่ยถามไอ้เผือกที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ

“ อืม....ไม่เหม็นเท่าไหร่หรอกกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ ” มันหยิบบุหรี่สีหวานขึ้นมาก่อนจะจุดสูบ แปลกแฮะ เมื่อไหร่กันนะที่มันเปลี่ยนกลิ่นบุหรี่

ผมมองเพื่อนรักที่พ่นควันสีขาวออกช้าๆ ไอ้เผือกมันกินเหล้าเยอะนะครับอาทิตย์นึงอย่างน้อยคือสี่วันแถมยังสูบบุหรี่จัดมาก แต่มันดูไม่โทรมเลยว่ะ หน้าใสขนาดสิวสักเม็ดยังไม่มี จะว่าไปก็คล้ายๆไอ้ภีม รายนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ค่อยได้นอนแต่ขอบตามันก็ไม่คล้ำ ไอ้พวกนี้มันแอบกินอะไรเข้าไปป้ะวะ ยากันโทรมอะไรแบบนี้

“ หนม ”

“ หืม ”

“ เรื่องดอกไม้มันยังไง ” ดอกไม้ไหนวะ อ๋อออออ ช่อดอกไม้ของไอ้ขุนสินะ

“ กูไม่รู้ว่ะเผือก กูยังไม่ได้ถามมันเลย ” พอไอ้เผือกพูดเรื่องดอกไม้ขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ถามไอ้ขุนว่าอะไรมันเป็นมายังไง

“ กูว่าพี่ขุนสนใจมึง ”

“ เห้ยบ้า มันจะมาสนใจกูทำไม ” ผมเป็นผู้ชายนะอย่างมันควรจะสนใจผู้หญิงน่ารักๆสิไม่ใช่ผม

“ กูไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่ที่กูรู้คือพี่ขุนเจ้าชู้มาก เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเลย ”

จากสายตาท่าทางที่มันแสดงออกมาก็บ่งบอกแหละครับว่ามันเจ้าชู้ไม่ใช่เล่น ผมจำได้ว่าไอ้เผือกเคยพูดไว้ว่ามันเจอไอ้ขุนบ่อยที่ร้านเหล้า มันก็ไม่แปลกนะถ้าไอ้เผือกมันจะรู้นิสัยของไอ้ขุนมากกว่าใคร ส่วนเรื่องเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยจากที่ผมเห็นมันบอกตัดความสัมพันธ์กับแก้มใสมันบ่งบอกอยู่หรอกว่ามันเป็นพวกคบเล่นแน่นอน

“ แต่หลายวันมานี้จากที่กูเห็น พี่เค้าไม่ควงผู้หญิงคนไหนเลย ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้หญิงเข้าหาพี่เค้านะแต่เค้าปฏิเสธหมดทุกคน กูไม่รู้ว่าทำไม ” คนพูดมันหันมองผม

มองกูไม

“ หน้ากูมีอะไรติดหรอ ” ผมยกมือเช็ดหน้าเพราะเพื่อนเผือกแม่งมองหน้าผมอยู่แบบนั้น

“ หึ....มึงนี่ตลกดีว่ะหนม ” มันยกยิ้มก่อนจะเบือนหน้าไปทางเดิม อะไรของมึงวะเผือก

“ ตลกไรวะ ” ผมพึมพำเบาๆไม่ได้หวังให้มันได้ยินหรอกครับ ทำไมอยู่ดีดีมาบอกว่าผมตลก ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

“ หนม....”

“ หืมมมมมม ” ว่าไงเพื่อนเผือก

ผมมองหน้ามันที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่มันก็ไม่พูดออกมาสักที ได้แต่มองหน้าผมอยู่แบบนั้น ตกลงหน้ากูมีอะไรติดอยู่จริงๆสินะ ผมยกมือเช็ดหน้าอีกรอบ คราวนี้สะอาดชัวร์

“ ไม่มีอะไร....เลิกเช็ดหน้าได้แล้ว ” มันจับมือผมลง เอ้าก็มึงจ้องหน้ากูเหมือนมีอะไรติดอยู่หนิไอ้บ้า

“ เห้ยพวกมึงดูหนังผีกัน ” ไอ้หมีมันยื่นหน้าออกมาบอกผมกับไอ้เผือก หนังผีหรอ น่าสนใจนะ

ผมชอบดูหนังผีนะครับแต่ก็จะกลัวมาก จะหลอนไปสามวันเจ็ดวัน ผมจำได้ว่าตอนเป็นเด็กเคยดูหนังผีกับไอ้ขันเรื่องอะไรไม่รู้ครับแต่ว่าตอนนั้นมันน่ากลัวมาก ผมกลัวจนร้องไห้ พอไอ้ขันเห็นผมร้องไห้มันก็ชอบแกล้งผมด้วยเรื่องผีตลอด แม่งไม่มีหรอกที่จะแบบปลอบน้อง

“ เรื่องไร ”

“ เรื่อง สลิปปี้ฮอลโล่ ”

“ มันเป็นเรื่องประมาณไหน ”

“ ให้กูสปอยป้ะ ” ไอ้หมีมันส่งตาปิ๊งๆมาให้ สปอยพ่องถ้าจะสปอยกูก็ไม่ต้องดูแล้วไอ้บ้า

“ มันเป็นเรื่องของผีหัวขาด ”

“ ใช่แล้วไอ้ผีนั่นมันจะอื้ออออ...อ....” ผมมองไอ้หมีที่โดนไอ้เผือกล็อคคอแล้วปิดปากไว้แน่น ฮ่าๆ สมน้ำหน้าไอ้บ้าหมีอยากจะสปอยกูดีนัก

“ อย่าไปสนใจไอ้หมีเลย เข้าไปดูหนังกัน ” ไอ้เผือกมันลากไอ้หมีที่ดิ้นไม่หยุดเข้ามาในห้อง โถ่เพื่อนหมีดิ้นให้ตายมึงก็ดิ้นไม่หลุดหรอก

ตื้อดึ่ง

ใครไลน์มาวะ

ขุนจึกกก : ทำไรอ่ะ

ถามไมวะกูจะทำอะไรก็เรื่องของกูไหม

คาหนม : กูกำลังจะดูหนัง

เนี่ยะ ตอบมันเฉยเลยเนี่ย

“ กูนั่งด้วย ” ผมนั่งลงข้างไอ้หมีซึ่งกำลังแอบปล่อยค้อนลมไอ้เป้อยู่ เดี๋ยวมึงก็ตายหรอกหมี ทำอะไรไม่รักชีวิตเลยนะ

“ ไอ้หมีมันปล่อยลมค้อนมึงอ่ะเป้ ”

“ สัสปั้น ” ไอ้คนปล่อยค้อนลมหันควับมามองท่านประธานทันที

“ สัสหมี ” ผมมองไอ้หมีที่โดนไอ้เป้เอาหมอนมาฟาด เห็นไหมไอ้หมีอยู่ดีไม่ว่าดีมึงอ่ะ

แต่ว่านะเป้

มึงตีมันก็จริงแต่กูนั่งข้างมันไง หมอนมันโดนกูด้วยเนี่ยไอ้สัส

ขุนจึกกก : อ๋อ กูมีอะไรอยากถามมึงอ่ะ

คาหนม : ถามอะไร

ขุนจึกกก : พี่ขันเค้าเป็นอะไรกับมึงหรอ


“ คุยกับใครวะหนม ” ไอ้ภีมมันคลานมานั่งข้างๆผมก่อนจะชะเง้อหน้ามองจอโทรศัพท์ผมใหญ่ ถ้าจะขนาดนี้มึงก็มุดเข้าจอไปเลยก็ได้

คาหนม : มันเป็นพี่ชายกู

ขุนจึกกก : เห้ย จริงอ่ะ


เนี่ย ทำไมเวลาบอกใครว่าเป็นน้องไอ้ขันต้องมีคนบอกประมาณเนี่ยะ เห้ย จริงอ่ะ ใช่หรอ ไม่น่าเชื่อ บลาๆๆๆ มันเป็นเรื่องแปลกขนาดนั้นเลยหรอวะ

คาหนม : เออ กูดูหนังละ

ผมปาโทรศัพท์ลงไปที่เตียงอย่างหงุดหงิด หงุดหงิดอีกละ ทำไมเดี๋ยวนี้ผมถึงนิสัยคล้ายๆผู้หญิงเลยวะ หงุดหงิดง่ายเป็นบ้า อารมณ์เหมือนเมนส์มาอย่างนั้นแหละ

“ เป็นไรหนม ”

“ การที่กูเป็นน้องไอ้ขันมันดูแปลกขนาดนั้นเลยหรอวะหมี ”

“ แปลก ” ตอบไม่คิดเลยนะมึง

“ มันแปลกตรงไหนวะ ”

“ ถ้าเอามึงกับพี่ขันมายืนข้างกันอ่ะกูจะบอกได้เลยแหละว่ามันต่างกันมากขนาดไหน มันต่างเกินที่จะเป็นพี่น้องกันได้ มึงดูพี่มึงแล้วมึงดูมึงดิ่ ”

“ เอาจริงๆนะหนม ถ้ามึงถอดแว่นเห่ยๆของมึงออกอ่ะ น่ารัก ” มึงเรียกแว่นกูแบบนั้นได้ไงไอ้ปั้น มึงเรียกแว่นกูว่าแว่นเห่ยๆได้ไงวะ แล้วที่สำคัญมึงใช้คำว่าน่ารักกับกูเนี่ยนะ

“ กูเห็นด้วยกับไอ้ปั้น ” มึงก็เอากับมันด้วยหรอวะเผือก

“ โนวๆ ถ้ากูถอดแว่นกูต้องแสบตาจนตายแน่ๆ ”

“ มึงก็เว่อร์ไปอ่ะ ” ไม่ได้เว่อร์เว้ยภีม มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอก

“ พอๆเลิกพูดเรื่องกู ดูหนังได้ละ ” แม่งไม่น่าเปิดประเด็นเลยกูเนี่ย เรื่องนี้โทษไอ่ห่าขันได้ไหม โทษได้สิ อะไรที่แย่ๆในชีวิตผมก็เป็นเพราะมันทั้งนั้นอ่ะ หึ้ยยยยย คิดแล้วแค้นใจชะมัด อยากโบกให้หน้าทิ่มสักทีสองที

ไอ้สัสขัน



[ บันทึกพิเศษ : ขัน ]



“ ไอ้เชี่ยยยยยยยยย ”

“ นี่จามหรือด่ากูเนี่ย ” กูเปล่านะแช่ม

“ ไม่ได้ด่ามึง....ไอ้เชี่ยยยยยยยยย ”

“ แต่กูว่ามีคนด่ามึงแล้วแหละ ” เออฉาย กูก็คิดแบบมึง

“ เอออาจจะ....ไอ่เชี่ยยยยยยยยย ”

โอ้ย เยบแหม่

ปอดกูพังหมดแล้วไหมเนี่ย

“ จามขนาดนี้ไปตายไหมมึง ” โถ่เล ทำไมไล่เพื่อนไปตายแบบนี้ล่ะ

“ ใจร้ายว่ะเล ” ผมถูจมูกเบาๆ เป็นหวัดรึเปล่าวะจามขนาดนี้เนี่ย

ผมชื่อ ขัน ครับ เป็นพี่ชายขนม แค่นี้พอละกันผมไม่อยากให้ใครรู้จักผมเยอะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนรู้จักเยอะมากก็ตาม ด้วยความที่เป็นเฮดว้ากของคณะวิศกรรมศาสตร์ชื่อผมแม่งเลยดังกระฉ่อนไปทั่วมหาลัยอย่างช่วยไม่ได้

เกิดเป็นขันนี่ลำบากจริงๆเลย

“ เออ กูได้ข่าวมาว่าวันนี้มึงโดนน้องหนมเอาน้ำมาสาดหรอวะ ” ไอ้เลมันถามผม ข่าวมันดังขนาดนั้นเลยหรอวะ

“ เออ ”

“ มึงไปแกล้งน้องอ่ะดิ่ ”

“ กูเปล่านะ ” ผมไม่ได้ทำอะไรมันสักหน่อย

“ น้องบอกว่ามึงเอาผักตบชวาใส่รถน้อง ” โถ่มึงอย่าไปบอกพวกมันดิ่แช่ม

“ กูไม่ได้ทำนะ ไม่เชื่อกูหรอเพื่อน ”

“ น้ำหน้าอย่างมึงอ่ะไอ้ขัน ” กูอีกแล้วหรอ

เสียใจจัง

เออยอมรับก็ได้ว่าคนที่เอาผักตบชวาไปใส่ในกระโปรงรถของไอ้หนมก็คือผมเอง ก็ไม่อยากให้มันไปสอบทันไง ถ้ามันไปสอบไม่ทันมันจะไม่ได้เกรดเอ พอมันไม่ได้เกรดเอป๊าก็จะไม่ซื้อคอนโดให้ แล้วมันก็จะต้องอยู่ที่บ้าน

มันควรจะเป็นแบบนั้น

แต่วันนี้แม่งเสือกมาทันสอบ ห่า มาทันได้ไงวะผมคำนวณจากเวลาแล้วมันไม่น่ามาทันด้วยเพราะว่าก่อนที่ผมจะเอาผักตบชวาไปใส่รถผมแอบย่องไปปิดนาฬิกาปลุกมัน คือแบบยังไงแม่งก็ต้องสายแน่ๆ แต่วันนี้คงจะเป็นโชคดีของไอ้หนม ไม่เป็นไรคราวหน้าเอาใหม่ ผมไม่ละความพยายามแค่นี้หรอก

“ โถ่ พวกมึงเลิกกดดันกูผ่านสายตาได้มะ ” แรงกดดันรุนแรงมากเหมือนผมไปฆ่าใครมาอย่างงั้นอ่ะ

“ มึงไปแกล้งน้องมันทำไมเล่า ”

“ พวกมึงก็น่าจะรู้เหตุผลนี่หว่า ว่ากูทำไปทำไม ”

“ ก็รู้ เฮ้อ โรคหวงน้องของมึงนี่ไม่มีวันแก้หายจริงๆนะ ”

“ กูไม่ได้หวงน้อง ”

“ มึงหวงน้อง!!!! ” ประสานเสียงกันเลยนะไอ้สัส

เอ้ออออออออออออออออออออออออ

ยอมรับก็ได้ว่าหวง

ผมหวงน้องมาก หวงแบบหวงจริงๆครับเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ขนมตอนเด็กๆน่ารักมาก น่ารักจนเคยโดนคนงานก่อสร้างในหมู่บ้านลักพาตัวไป ผมพยายามจะช่วยน้องแต่ก็โดนกระทืบเกือบตายแน่ะ ดีว่าลุงยามปั่นจักรยานผ่านมาพอดีเลยช่วยพวกผมไว้ได้ เรื่องนี้มันเป็นเหมือนฝันร้ายในชีวิตของผมเลยล่ะ ดีว่าขนมยังเด็กมากเลยจำเรื่องราวไม่ค่อยได้

แต่ก็ดีแล้วผมไม่อยากให้น้องจำเรื่องแบบนั้น

พอจากหลังเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่อยากให้น้องห่างจากผมเลย ขนมเนี่ยยิ่งโตก็ยิ่งน่ารัก น่ารักไม่พอแถมมันยังน่าแกล้งอีกต่างหาก ดีนะว่ามันใส่แว่นปกปิดความน่ารักของมันไว้ ไม่งั้นผมคงต้องบ้าแน่ๆถ้าเห็นใครมาเกาะแกะกับน้องผม

“ พวกมึงไม่เข้าใจกูหรอก ”

“ เข้าใจดิ่ มึงอย่าลืมไปว่าน้องมีไอเทมอย่างแว่นใส่ปกปิดหน้าอยู่นะ ”

“ เออแถมยังหัวฟูๆนั่นอีก คือภายนอกน้องมึงมันไม่ได้ดึงดูดใครอะไรขนาดนั้นอ่ะ ”

“ ขนาดไอ้หนมมันดูเฉิ่มขนาดนั้น ไอ้ห่าขุนยังสนใจเลย ” คิดเรื่องนี้แล้วปวดใจชิบ แล้วยิ่งวันนี้ผมเห็นท่าทีกับสายตาไอ้ขุนที่โรงอาหารผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

ผมสั่งไอ้หนมแล้วแท้ๆว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้ขุน

ไม่เคยจะเชื่อกูหรอก

ตลอดเวลา 19 ปีที่น้องผมโตมาน้องผมไม่มีเคยมีแฟน แน่นอนว่านั่นก็เป็นเพราะผม ผมไม่อยากให้ขนมเสียใจกับสิ่งที่เรียกว่าความรักถ้ามันยังไม่ถึงเวลา ขนมยังไม่พร้อมที่จะเจอเรื่องแบบนั้นหรอก แล้วยิ่งคนที่มาสนใจขนมคือไอ้ห่าขุนอีก

ทำไมต้องเป็นไอ้ขุนวะ

“ กูเพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าไอ้ขุนมันก็สนใจผู้ชาย ” เออฉาย กูก็เพิ่งรู้ตอนที่มันมาถามกูว่ารู้จักไอ้หนมไหมนี่แหละ ถามว่ารู้จักไหมไม่เท่าไหร่เสือกมาบอกว่าชอบ ไอ้ห่าคนมีตั้งเยอะทำไมต้องเป็นน้องกูเนี่ย

“ เออ กูเห็นแต่ควงผู้หญิง ”

“ สำคัญคือไม่ได้ควงใครเป็นตัวเป็นตนไง มันอาจจะเห็นว่าน้องกูแปลกๆมันก็เลยสนใจเลยเบนเข็มอยากมาลองผู้ชายดู โอ้ยตายห่ากูจะทำยังไงดีเนี่ย ”

“ ใจเย็นก่อนมึง กูว่ามันไม่ขนาดนั้นหรอก ” ไม่ขนาดนั้นได้ไงแช่ม มันเป็นน้องรหัสกูอ่ะ กูย่อมรู้ว่านิสัยมันเป็นยังไง

ไอ้ขุนแม่งโคตรเจ้าชู้เลย โคตรของโคตรความเจ้าชู้ เต๊าะสาวเล่นไปทั่วแล้วคนที่มันเข้าไปยุ่งก็มักจะเล่นด้วยกับมันงี้ ไอ้ขุนมันเป็นน้องรหัสของผม มันเป็นรุ่นน้องที่ดีเลยนะแต่เพราะผมไม่ชอบมันอย่างเดียวคือเรื่องความเจ้าชู้ของมัน ผมไม่ชอบคนเจ้าชู้เลยครับ มีใจเดียวก็รักแค่คนเดียวก็พอ เข้าใจอยู่หรอกว่าเซ็กซ์กับความรักมันไม่เกี่ยวกัน

แต่กูไม่ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

“ แล้วมึงจะทำไงล่ะขัน ”

“ ขัดขวางดิ่วะ ” ยังไงก็ต้องขัดขวาง ผมจะไม่ยอมให้ไอ้ขุนมายุ่งกับน้องผมแน่ๆ

“ ถ้าไอ้ขุนมันจริงจังกับน้องหนมล่ะ ”

“ ใช่ ขัดขวางความรักคนอื่นอ่ะมันบาปนะ ”

“ พวกมึงไม่ต้องมาพูดโน้มน้าวใจกูเลย กูคิดจะขวางคือกูจะขวาง ” ไม่มีใครห้ามกูได้ทั้งนั้นแหละโว้ย

“ กูจะคอยดูว่ามึงจะขวางได้จริงรึเปล่า ไอ้ขุนมันไม่ธรรมดามึงก็รู้ ” เออกูรู้ แต่ยังไงกูก็จะไม่ให้มันยุ่งกับน้องกูเด็ดขาด

“ เออน่า กูคือใครให้มันรู้ด้วย ” กูคือขันนะครับ มีอะไรบ้างที่กูทำไม่ได้

“ มึงก็แค่ไอ้พี่บ้าที่หวงน้องนั่นแหละ ”

ไอ้สัสฉายกูได้ยินที่มึงพูดนะ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขัน ]


---------- 50% ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2017 20:37:23 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 5 ----------


หนังแม่งโคตรน่ากลัว

หลอนติดตาชิบ

ตอนนี้ผมอยู่ที่หอตัวเองแล้วครับไอ้เผือกเป็นคนมาส่ง ความจริงวันนี้ผมชวนไอ้หมีมันมานอนด้วยแต่แม่งไม่ยอมมานอน โคตรใจร้ายอ่ะ มันรู้ว่าผมกลัวจนหลอนแม่งก็เลยแกล้งผม จะนอนที่หอไอ้เผือกก็ไม่ได้เพราะมันออกไปหาเหล้ากิน ไอ้ที่เหลือก็ไม่ต่างมี่ใครว่างให้ผมไปนอนด้วยสักคน

งื้ออออ...อ...แบบนี้ไม่เอานะ

ครื้ดดด..ด.ด.....

เชี่ยๆ ใครโทรมาวะตกใจนะไอ้ห่า ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์บนเตียงมาดูว่าใครโทรมา หน้าจอขึ้นชื่อเป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก ใครวะโทรผิดรึยังไง

“ ฮัลโหลครับ ”

(.............)

“ ฮัลโหลได้ยินไหมครับ ” โทรมาก็ไม่พูด คนบ้ารึเปล่าวะ

(..............)

“ ถ้าไม่พูดอะไรผมจะวางแล้วนะครับ ”

( เดี๋ยวๆ )

เสียงนี้คุ้นๆว่ะ เหมือน.....

“ ไอ้ขุนหรอ ”

( มึงจำเสียงกูได้ด้วยหรอ )

นั่นไงเสียงไอ้ขุนจริงๆด้วย ว่าแต่มันไปเอาเบอร์ผมมาจากไหนวะ

“ มึงโทรมาทำไม แล้วเอาเบอร์กูมาจากไหน ”

( อยากรู้ล่ะซี่ )

“ อย่ามากวนตีนได้ไหมไอ้สัส ” หงุดหงิดจริงๆอารมณ์ยิ่งไม่ปกติอยู่นะเว้ย

( โหดเชียวนะ ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูเอาเบอร์มึงมาได้ไงมึงมาห้องข้างๆดิ่ )

ห้องข้างๆอะไรของแม่งวะ เห้ยอย่าบอกนะว่าไอ้ขุนอยู่ห้องข้างๆห้องผม บ้าละ ผมอยู่มาตั้งเทอมยังไม่เคยเจอแม่งสักครั้ง

“ ห้องข้างๆทำไม ”

( ห้องข้างมึงคือห้องเพื่อนกู ตอนนี้กูอยู่ห้องเพื่อน มาหากูสิ )

“ ทำไมกูต้องไปหามึงอ่ะ ”

( งั้นกูไปหามึงเอง )

“ เห้ยเดี๋ยว เอ้าไอ้สัสวางสายใส่กูเฉย อะไรของมึงเนี่ย ” ทำไมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้วะไอ้บ้า โทรก็โทรมาหากูก่อนแถมยังตัดสายใส่กูอีก

ก๊อกๆๆ

ผมโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงก่อนจะเดินไปเปิดประตู แน่นอนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องก็คือไอ้ขุน

ไอ้ขุนที่ใส่ชุดนอนเป็ด

เป็ดเลยแม่งคือเป็ด

“ มึง....แต่งตัวเชี่ยอะไรของมึง ” ผมมองไอ้หล่อตรงหน้า ขนาดมันใส่ชุดบ้าๆมันยังดูดีเลย

“ ชุดนอนไง แม่กูซื้อมาให้ ถ้าไม่ใส่เดี๋ยวแม่เสียใจ ” มันว่าแล้วก็ยิ้มกว้าง ยิ้มอีกละ หมั่นไส้จริงๆโว้ยยยยยยย

“ ช่างชุดมึง แล้วมึงเอาเบอร์กูมาจากไหน ” มันน่าสงสัยนะผมคิดว่าเบอร์ผมไม่ได้หาได้ง่ายๆจากที่ไหนก็ได้ คนที่รู้เบอร์ผมมีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อนสนิทเท่านั้น

เพื่อนสนิท

“ ไอ้หมีให้มา ”

นั่นไง

ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยหมี

“ ห่าหมี เจอหน้ากูจะงัดให้ ” มันใช่เรื่องไหมที่เอาเบอร์ผมไปให้ไอ้ขุนเนี่ย นี่ไม่ใช่ว่าถ้ามีคนมาขอเบอร์ผมมันก็ให้ทุกครั้งเลยงั้นสิ

“ อย่าไปว่าหมีมันเลย ถึงไอ้หมีไม่บอกกูก็ต้องมาถามมึงอยู่ดี ”

“ มึงคิดว่ากูจะบอกรึไง ”

“ บอกดิ่ เพราะว่ากูหล่อ ”

“ มโนสัสๆ ” ผมเบ้ปากใส่มัน คนบ้าอะไรหลงตัวเองชะมัด ไอ่หล่อมันก็หล่อจริงๆแต่มันน่าหมั่นไส้ชิบ

“ แล้วนี่จะยืนคุยกันตรงนี้หรอ ”

“ ตรงนี้แหละ กูไม่ให้มึงเข้าห้องกูแน่ๆ ”

“ ตรงนี้ยุงกัดอ่ะ ไปห้องพวกกูละกัน ”

“ ใครจะไปวะเดี๋ยวววววว ปล่อยแขนกูนะ ” ผมออกแรงต้านทันทีเมื่อไอ้ขุนมันจับข้อมือผมก่อนจะลาก เน้นว่าลากครับ แรงมึงจะเยอะไปไหนเนี่ยแรงเยอะกว่าไอ้เป้ซะอีก

“ เออน่า ได้ข่าวว่าดูหนังผีมา ไม่กลัวหันหลังมาแล้วเจอคนไม่มีหัวยืนอยู่หรอ ”

ไอ้เชี่ยขุนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

ไอ้เลวววววววววววววววววววววววววววว

“ มึงมันเชี่ยจริงๆเลยนะ มึงรู้ได้ไงว่ากูดูหนัง ”

“ มึงเป็นคนบอกกูเอง ”

“ แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าหนังผี ” มึงชักรู้เรื่องยิบย่อยกูเยอะไปละ

“........”

“ เงียบทำห่าอะไรของมึงวะ ” ผมตีไหล่มันไปสามที ไอ้บ้านี่ คนถามก็ต้องตอบสิวะ

“ เออเอาเป็นว่ารู้น่า เข้าไป ” มันเปิดประตูห้องที่อยู่ถัดไปจากห้องผมก่อนจะดันให้ผมเข้าไปในห้องนั้น ตัวมันพอเข้าห้องมันก็ปิดประตู โคตรเผด็จการเลย มึงจะลากคนอื่นเข้าโน่นออกนี่ตามใจชอบไม่ได้นะไอ้สัสสส

“ อ้าวน้องหนม ” ผมมองตามเสียงก็พบพี่หัวแดงนั่งตัดกระดาษอยู่กับพื้น ไม่ใช่แค่พี่หัวแดง เรียกได้ว่าทั้งแก๊งค์เลยที่อยู่กันที่นี่

“ มึงไปฉุดน้องเค้ามาแบบนี้ไม่ได้นะไอ้ขุน น้องเค้ามีพ่อมีแม่ ”

“ เออ จะทำอะไรก็ไปสู่ขอให้มันเป็นเรื่องเป็นราวซะ ”

พวกพี่นี่แม่ง

“ พวกมึงหุบปากไปเลย นั่งตัดกระดาษไป ” ไอ้ขุนสั่งเพื่อนมันก่อนจะลากผมออกมาที่ระเบียง

“ เห้ยขุนระเบียงเลยหรอวะ ”

“ ไอ้ขุนมันชอบแบบโจ่งแจ้งไง ”

ความคิดโคตรอกุศลสุดๆ

ผมมองไอ้ขุนที่ยืนยิ้มปากบานอยู่ตรงหน้า ไอ้บ้านี่มันบ้ามากจริงๆอยากทำอะไรก็ทำไม่ถามคนอื่นเขาเลย แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของผมที่จะได้ถามมันในเรื่องที่ผมอยากรู้ทุกเรื่อง

“ มองอะไรครับ ”

“ กูมีเรื่องอยากถามมึงหลายเรื่องเลย ”

“ เรื่องอะไรล่ะ ” มันเท้าคางมองหน้าผมอย่างน่ารัก โว้ยยยยยห่านี่ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้วะ

ใจมันสั่นนะไอ้สัส

“ เรื่องอะไรล่ะครับหืม ”

“ ก็เรื่องที่มึงเอาดอกไม้ไปให้กู ”

“ แล้วมีเรื่องอะไรอีก ”

“ เรื่องโกโก้ด้วย ”

“ แล้วมึงคิดว่าที่กูทำไปทั้งหมดนั่นกูทำเพื่ออะไรล่ะ ” ผมมองมันทันทีที่มันพูดจบ ทำไมต้องถามย้อนวะ กูเป็นคนถามมึงอยู่นะไอ้บ้า

แต่ก็อย่างว่าที่มันถามผมกลับ ถ้าให้ผมคิดล่ะก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะโดนเพื่อนสั่งเพราะแพ้เกมอะไรสักอย่าง มันก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะผมเองก็เคยเล่นเกมแบบนี้เหมือนกัน กับอีกเหตุผลนึงที่ผมเคยคิดไว้ ถ้าเป็นอย่างในนิยายผมก็เข้าใจว่ามันกำลัง.....

จีบผม

แต่บ้าน่ะคนอย่างมันเนี่ยนะจะมาจีบผม

ผมไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด

“ กูจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้ากูรู้กูไม่ถามมึงหรอก ”

“ นั่นสินะ....” ยัง ยังจะลีลาไม่ยอมบอกกูอีก

“ มึงจะบอกได้รึยังว่า....”

“ กูชอบมึง ”

ห้ะ

อะ....อะไรนะ

“ มึงว่าไงนะ ” เมื่อกี้ผมหูฝาดไปเองรึเปล่าวะ

“ กูบอกว่ากูชอบมึง ทั้งหมดที่ทำไปนั่นเพราะจะจีบมึง ”

จีบจริงๆด้วยว่ะ

ผมได้แต่ยืนมองคนตรงหน้าอึ้งๆแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่มันพูด เกิดมา 19 ปีไม่เคยมีใครมาบอกชอบผม มันเป็นคนแรกเลยที่พูดแบบนี้ ที่สำคัญมันเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่ดังในมหาลัยของผมมากๆ

โอ้มายก๊อดดดดด

ความจริงหรือความฝันวะเนี่ย

“ ไม่ต้องถามเหตุผล ชอบก็คือชอบว่ะ แล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธกูเลยนะ กูรู้แหละว่ามึงคงไม่เคยชอบใครแล้วยิ่งโดยเฉพาะกับผู้ชายก็ยิ่งแล้วใหญ่ ” ผมมองหน้ามันที่มีความกังวลเล็กน้อย มันเองก็คงประหม่าอยู่พอสมควร ซึ่งมันต่างจากไอ้ขุนผู้ที่ดูมั่นหน้าอยู่ตลอด

มันเองก็คงตื่นเต้นมากเลยสินะที่จะพูดเรื่องนี้ให้ผมฟัง

“ มึงเป็นผู้ชายคนแรกที่กูรู้สึกแบบนี้ด้วย....เป็นไรอ่ะหน้าแดงเชียว ” ผมยกมือปิดหน้าทันทีที่มันพูดจบ เอาอีกแล้วนะหน้ากู จะแดงก็ไม่ปรึกษาเจ้าของหน้าสักคำ อย่าว่าแต่หน้าเลย หัวใจผมก็เหมือนกัน ผมรู้สึกได้ว่ามันเต้นแรงมาก เต้นแรงกว่าปกติอย่างกับจะออกมาข้างนอกยังไงยังงั้น

“ กูเปล่า....กูกลับห้องละ ” ผมหมุนตัวจะรีบเดินกลับห้องแต่ก็ต้องหยุดเพราะไอ้ขุนมันดึงข้อมือผมไว้

“ กูขอโทษนะถ้าสิ่งที่กูบอกมันทำให้มึงตกใจและก็รู้สึกแปลกๆ แต่กูจริงจังกับเรื่องนี้จริงๆ ” น้ำเสียงที่จริงจังนั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง

ใบหน้าหล่อตอนนี้ก็ขึ้นสีที่แก้มจางๆ เขินหรอวะ คนเขินควรเป็นกูไอ้บ้าไม่ใช่มึง ผมจะทำไงดีวะ ตอนนี้ในหัวก็ค่อนข้างที่จะตีกันมั่วไปหมด ผมรู้สาเหตุของการกระทำของมันแล้ว ที่ไอ้ขันสั่งห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับมันก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันชอบผม

โอ้ยยยยปวดหัวโว้ย

“ กู...... ” พูดอะไรดีวะ ปากสั่นใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย

“ กลับห้องเถอะ มันดึกแล้วพรุ่งนี้มึงมีเรียนแต่เช้าหนิ ”

“ เออ บาย ” ผมรีบเดินออกมาจากห้องทันทีหลังจากที่มันปล่อยมือโดยไม่ทันฟังคำที่พวกพี่ๆแซวด้วยซ้ำ

ผมเดินเข้าห้องตัวเองอย่างเร็วก่อนจะกระโจนขึ้นไปนอนแผ่อยู่บนเตียง ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกแปลกๆ แปลกแบบที่ชีวิตไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้ขุนมันบอกว่ามันจีบผม มันจริงจังกับผม แล้วผมควรจะทำยังไง ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่มันมาชอบผู้ชายอย่างผม อา....มันสับสนไปหมดแล้วในตอนนี้

ตื้อดึ่ง

เสียงไลน์ดังอีกแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความสั้นๆของไอ้คนที่เพิ่งจะบอกชอบผมไปหยกๆ

ขุนจึกกก : ฝันหวานครับ *สติ๊กเกอร์รูปหมีนอนกอดกัน*

ไอ้บ้านี่ ฝันหวานอะไรของมัน

ใจสั่นไปหมดแล้วนะโว้ย

คาหนม : เออ ฝันดี

ผมวางโทรศัพท์ไว้ข้างหัวเตียง บ้าจริงๆเลยนะวันนี้น่ะ พรุ่งนี้ผมต้องตื่นไปเรียนเช้าซะด้วย เพราะงั้นต้องรีบนอนล่ะนะ

กูชอบมึง

แต่เรื่องกวนใจขนาดนี้.....ใครมันจะหลับลงวะ




TBC.

คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

สนุกดีอยากอ่านต่อแล้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 5 : 5/11/2017 ]
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-11-2017 11:15:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 6 : 6/11/2017 ]
«ตอบ #10 เมื่อ06-11-2017 19:17:08 »

บทที่ 6 การหายไป 10 วัน



จากวันนั้นก็ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ

อาทิตย์กว่าๆที่ไอ้ขุนได้หายไปจากชีวิตของผม ไม่มีแม้แต่ข้อความในโทรศัพท์ ไม่มีการโทรหา ไม่มีห่าอะไรเลย อยู่ดีดีก็หายไปดื้อๆ ก่อนมันจะหายไปมันก็ไม่ได้บอกอะไรผมสักคำ พอเป็นแบบนี้ไอ้ที่บอกว่ามันจริงจัง มันจริงจังแบบที่มันพูดจริงรึเปล่านะ

“ คิดอะไรอยู่วะหนม ทำไมหน้าเป็นตูดเลย ” ไอ้หมีมันเอ่ยถามผม หน้ากูเหมือนตูดขนาดนั้นเลยหรอวะหมี

“ เปล่า....เออหมีกูมีอะไรจะถามว่ะ ”

“ ว่ามา ”

“ สมมุตินะ....ถ้ามีคนมาบอกมึงว่าจะจีบมึง ”

“ ใครจีบมึงอ่ะ พี่ขุนหรอ ” ห่าหมีมึงจะขัดทำซากอ้อยไรเนี่ย แล้วทำเป็นรู้ดีเลยนะว่าไอ้ขุนมันจีบกู

“ ไม่ใช่เว้ย กูสมมุติเฉยๆมึงฟังให้จบก่อนดิ่วะ ” ผมโวยใส่มันไป มึงจะพูดแทรกตอนที่คนอื่นเล่าไม่ได้นะหมี แม่กูสอนไว้ตลอดว่าการที่พูดแทรกคนอื่นมันไม่ดี แถมมันจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันด้วย

“ อ่ะมึงพูดต่อ ”

“ เออ ก็พอมีคนบอกว่าจะมาจีบมึง แล้วพูดแบบจริงจังเลยนะ แต่พอจากวันนั้นผ่านไปอาทิตย์กว่าๆคนที่บอกมึงก็หายไปจากชีวิตมึงเลยอ่ะ มึงจะคิดยังไงวะ ” ผมมองหน้าไอ้หมีที่เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาแตะไหล่ผมเบาๆ

มึงแตะไหล่กูทำไมวะ

“ กูก็จะคิดว่า เค้าไปค่ายอบรมพิเศษที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของคณะวิศกรรมศาสตร์ของสาขาโยธาโดยเฉพาะ โดยปีนี้จัดเป็นเวลา 10 วัน ภาษาปากก็ประมาณอาทิตย์กว่าๆ ”

ผมหรี่ตามองไอ้หมีอย่างสงสัยว่ามันรู้เรื่องอะไรแบบนี้ได้ยังไง แล้วสิ่งที่มันพูดคือเหตุผลที่บอกผมโดยตรงว่าทำไมไอ้ขุนถึงหายไป แต่แค่ไปค่ายแม่งจะไม่มีการติดต่ออะไรเลยรึไงวะ

ไม่ใช่ว่าผมอยากให้มันติดต่อผมนะ ผมก็แค่สงสัยเฉยๆ

“ แล้วทำไมถึงติดต่อไม่ได้ ” ผมถามไอ้หมีตามที่ผมสงสัย

“ อาจารย์วิชัยจะยึดโทรศัพท์ของนักศึกษาที่ไปค่ายทุกคนไว้จนถึงวันกลับ แถมค่ายเป็นค่ายที่อยู่ต่างจังหวัดค่อนข้างจะลำบากด้านการสื่อสารอยู่แล้ว มันก็ประมาณนี้แหละนะ ”

“ แล้วทำไมมึงถึงรู้เรื่องนี้ได้วะ ” ผมเข้าใจนะที่ไอ้หมีมันเป็นแหล่งบรรจุข้อมูล แต่ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้ที่มันเป็นเรื่องเฉพาะมันจะรู้ด้วย

“ ก็พี่ขันก็ไปค่ายไงไอ้สัสสสสส มึงไม่สงสัยที่พี่มึงหายตัวไปเลยรึไง ว่าแล้วก็คิดถึงพี่ขันอยากเจอหน้า อยากเห็นชายเสื้อช้อป ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็ยกมือทำเป็นปาดน้ำตา

จะว่าไปก็จริงที่ช่วงนี้ผมไม่เจอไอ้ขันเลยแล้วก็ไม่ได้เอะใจด้วยว่ามันหายไปไหน ฟังจากที่ไอ้หมีเล่าทั้งหมดนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ไอ้ขุนมันหายไปสินะ โล่งใจหน่อยที่มันไปค่ายไม่ได้หายไปไหน

เดี๋ยว

ทำไมความคิดนี้มาอยู่ในหัวผมได้วะ

“ มึงจะส่ายหัวทำไมวะหนม มึงเป็นไรเนี่ยะ ” ไอ้หมีมันมองผมด้วยสายตาแปลกๆ

“ กูไม่ได้เป็นไรทั้งนั้นอ่ะ ” จะว่าไปผมก็สงสัยนะว่าทำไมก่อนที่มันจะไปมันไม่บอกผมวะ คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจว่ะ แต่เห้ย ไม่ได้เป็นไรกันสักหน่อย

จะน้อยใจทำไมวะกู

“ แหนะ เรื่องสมมุติของมึงนี่คือเรื่องของมึงกับพี่ขุนสินะ ” ไอ้หมีมันชี้นิ้วพร้อมกับจ้องจับผิดผม

“ ไม่ใช่ ” ผมบอกปัดมัน

“ มึงมันปากแข็ง ”

“ มึงอยากปากแตกไหมล่ะ ”

“ โหดร้ายว่ะ ” มันเบะปากให้ก่อนจะหยิบใบไม้มาปาใส่ผม ไอ้บ้านี่ เพราะไม่มีไอ้เป้สินะมึงถึงได้กล้าปาใบไม้ใส่กู เดี๋ยวให้มันมาก่อนเถอะหนม มึงไม่รอดแน่

ผมกวาดสายมองไปรอบๆตึก ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบหกโมง ผมกับไอ้หมีนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนที่ประจำ โดยที่พวกเพื่อนๆโดนท่านประธานลากไปช่วยกันแบกของที่ห้องคณะมาเพื่อเตรียมตัวที่จะไปถ่ายนิตยสารโปรโมทมหาลัยในอีกสามวันข้างหน้า ถ่ายตั้งสามวันข้างหน้าทำไมต้องรีบไปขนของวันนี้ก็ไม่รู้

ผมไม่ได้อยากจะบ่นหรอกถ้าพวกมันไม่ได้เอาของไปกองที่ห้องผม

ด้วยความที่หอผมอยู่ใกล้มหาลัยมากที่สุด ของที่จะใช้มันก็ต้องมาอยู่ที่ห้องผม กล้องเอย ไฟเอย ขาตั้งไฟ ขาตั้งกล้องและอีกมากมาย แม่งทำเหมือนห้องผมใหญ่มากอ่ะ

“ หนม ”

“ หืม ”

“ เรื่องนิตยสารโปรโมทมหาลัยอ่ะ ไอ้ปั้นมันบอกว่าจะให้มึงเป็นคนถ่ายรูปนะ ”

“ เออ กูทำได้ทุกอย่างอ่ะ ”

“ ดีแล้ว ” ไอ้หมีมันยิ้มแปลกๆแบบมีเลศนัยให้ผม อะไรของมันวะ

“ รอยยิ้มมึงมันแฝงความชั่วร้ายอยู่ ”

“ มึงคิดไปเองอ่ะ เออเดี๋ยวให้ไอ้ปั้นมันบอกหน้าที่ของมึงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งละกันเนอะ ” มันว่าแล้วก็ยังไม่หยุดยิ้มชั่วๆอีก ผมรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรแปลกๆแน่ ปกติไอ้หมีมันจะไม่ค่อยยิ้มแนวนี้เท่าไหร่

“ เออ ”

หวั่นใจยังไงก็ไม่รู้ว่ะ



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



คิดถึง

อยากเห็นหน้า

ผมนั่งดูรูปคนตัวเล็กในโทรศัพท์ที่ไปแอบถ่ายมาได้ด้วยความคิดถึง ไม่ใช่คิดถึงธรรมดานะ คิดถึงมากครับ ไม่คิดเลยว่าการที่ไม่ได้เจอขนม 10 วันมันจะทำให้จิตใจผมไม่สงบได้ถึงขนาดนี้

ป่านนี้น้องจะเป็นไงบ้างเนี่ย

“ คิดถึงขนาดนั้นทำไมไม่โทรไปหาเลยวะ โทรศัพท์ก็ได้คืนละ ” ผมหันไปมองไอ้แกงที่เอ่ยบอกผม

“ กูอยากเจอตัวเป็นๆมากกว่าว่ะ ได้เห็นทั้งหน้าได้ฟังทั้งเสียง ” ว่าแล้วก็อยากรีบกลับให้ถึงเร็วๆ

ตอนนี้พวกผมอยู่บนรถที่กำลังกลับจากค่ายซึ่งอีกไม่นานก็จะถึงมหาลัยแล้วครับ ผมแม่งลืมคิดเรื่องค่ายไปเลย แถมไม่ได้บอกขนมด้วยว่าจะไปค่ายอบรมตั้ง 10 วัน ขนมเองคงแปลกใจน่าดูที่อยู่ๆผมไปบอกว่าจะจีบแต่ผมกลับหายไปโดยไร้การติดต่อ

ทำไงได้ก็อาจารย์วิชัยยึดโทรศัพท์

ผมคิดว่าขนมอาจจะเกิดการน้อยใจ หรืออะไรเถือกๆนั้นที่ผมหายไปไม่บอก ผมเลยซื้อของฝากกลับมาฝากน้องเพียบเพื่อเป็นการยืนยันว่า เออ ไปค่ายอบรมมาจริงๆไรงี้

หวังว่าน้องจะเชื่อผม

“ มึงนี่อาการหนักนะขุน ” ไอ้หอมมันมองผมแบบเอือมๆ แหมๆ มึงไม่มีความรักหนิมึงไม่เข้าใจกูหรอก

“ เรื่องของกูน่า เออชาวันนี้กูไปนอนหอมึงนะ ”

“ นอนไมวะ บ้านมีก็กลับบ้านดิ่ ” มันพูดพลางปาเปลือกถั่วใส่หัวผม

“ ก็กูจะไปหาขนม แล้วห้องมึงก็อยู่ข้างห้องน้อง ขอกูไปนอนให้ชื่นช่ำหัวใจสักคืนเถอะว่ะ ”

“ โรคจิต ” ไม่ต้องประสานเสียงกันขนาดนั้นก็ได้ไอ้สัส

“ เออว่ากูกันเข้าไป ” ผมหันกลับมามองรูปน้องต่อ คิดถึงจัง ตอนนี้ในหัวผมมันมีแต่ความคิดถึงคนตัวเล็ก คิดถึงมากจนอยากจะจับมาฟัดให้หนำใจ แต่ก็ได้แต่คิดแหละครับผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง ไว้ถ้าจีบน้องติดแล้วเขายอมมาเป็นแฟนของผมก่อนเถอะ

หึ

เสร็จพี่แน่ทูลหัว

“ ไอ้ขุนมันหน้าหื่นมากเลยอ่ะ ”

พวกมึงนี่มัน.....





หอ K2

ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าห้องขนมพร้อมกับของฝากเต็มไม้เต็มมือ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม ผมคิดว่าคนตัวเล็กคงกลับมาแล้วแน่นอน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูเพียงไม่นานมันก็เปิดออก ผมยืนมองคนที่เปิดประตูให้ผมอย่างอึ้งๆ ใบหน้าขาวใสของขนมที่วันนี้ไม่มีแว่นหนาๆปิด ผมฟูๆที่มักจะปิดหน้าก็ถูกมัดขึ้นไปไว้ด้านบน

ตึกตัก

ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ อาจเพราะว่าวันนี้คนตรงหน้าดูน่ารักมากเป็นพิเศษ แม่งเป็นแบบที่ผมคิดจริงๆด้วยว่าภายใต้แว่นตานั่นมันซ่อนของดีไว้ พอเห็นแบบนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกเลยว่าจะปล่อยคนตรงหน้านี้ไปไม่ได้

“ มึง.....” คนตัวเล็กเลิกคิ้วมองผม อารมณ์เหมือนจะถามว่ามึงมาทำไม

“ คิดถึงจัง ” ผมฉีกยิ้มให้น้องเหมือนอย่างที่ทำบ่อยๆ เอาจริงๆผมไม่ใช่พวกชอบยิ้มแบบนี้หรอก แต่เวลาอยู่กับน้องมันทำให้ผมยิ้มออกทุกที

“ คิดถึงอะไรของมึงไอ้บ้า ” ขนมโวยวายใส่ผมใหญ่ ผมมองแก้มใสๆที่ขึ้นสีเล็กน้อยมันก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทำไมทุกการกระทำของน้องมันถึงน่ารักในสายตาของผมไปหมดก็ไม่รู้

“ ก็คิดถึงจริงๆหนิ ไม่ได้เจอมึงตั้ง 10 วัน กูขอเข้าห้องได้ป้ะ ของมันหนักอ่ะ ” ผมยกถุงของมากมายให้คนตัวเล็กดูพร้อมกับทำหน้าให้เห็นใจ แม่งหนักจริงๆแหละ แบกมานี่แขนแทบหัก

“ เออๆเข้ามา ” นึกว่าจะไม่ให้เข้าซะแล้ว

ผมเดินตามขนมเข้ามาในห้องซึ่งตอนนี้มันดูรกมาก มีอุปกรณ์ที่ไว้ถ่ายภาพวางอยู่เกลื่อนพื้นไปหมด ปกติหอพักมันก็ไม่ได้กว้างอะไรอยู่แล้วด้วย และยังมีของเยอะขนาดนี้ น้องไม่รู้สึกอึดอัดบ้างรึไงนะ

“ ห้องรกหน่อยนะ พวกนี้กูต้องเอาไปทำงานคณะอ่ะ ” สงสัยว่าน้องเห็นผมมองอย่างสงสัยก็เลยตอบให้

“ อ๋อ เออนี่ของฝากที่กูไปค่ายมา ” ผมวางถุงขนมไว้บนโต๊ะใกล้ๆก่อนจะหันไปยิ้มให้ตามสเต็ป

“ เยอะขนาดนั้นกะให้กูแดกจนอ้วนตายเลยรึไง ” ปากเล็กนั่นบ่น แต่สายตาดูตื่นเต้นกับขนมที่ซื้อมามาก ชอบล่ะซี้ ทำเป็นปากไม่ตรงกับใจไปได้

“ ถึงมึงอ้วนกูก็ชอบนะ ” ง่อวววววววว จัดไปหนึ่งดอก สังเกตได้ถึงแก้มใสที่ขึ้นสีอีกรอบ

ผมชอบเวลาที่ขนมไม่ใส่แว่นและก็ไม่มีผมลงมาปรกหน้านะ เพราะมันทำให้เห็นหน้าได้ชัด แถมหน้าน้องยังแสดงสีหน้าออกมาได้ชัดเจนว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรยังไง แต่ว่าถ้าให้มีหน้าหวานๆแบบนี้ไปมอคงไม่ไหว คนจะต้องมารุมล้อมน้องเยอะมากแน่ๆ

ใส่แว่นเป็นไอ้เฉิ่มต่อไปน่ะดีละ

“ มึงนี่มัน....มีอะไรอีกรึเปล่า ”

“ กูขอโทษนะที่หายไปไม่ได้บอก กูไปค่ายอบรมของคณะมาน่ะแล้วก็โดนยึดโทรศัพท์ก็เลยติดต่อมึงไม่ได้ แล้วกูก็บ้าที่ลืมบอกมึงไว้ก่อนกูจะไปด้วย ” ผมร่ายเหตุผลในการหายไปให้คนตัวเล็กฟัง

“ ไม่เห็นต้องบอกกูเลย ”

“ ต้องบอกดิ่ กูกลัวว่ามึงจะคิดว่ากูไม่ได้จริงจังอย่างที่กูพูด เพราะมาบอกจะจีบแต่เสือกหายไป ”

คนตรงหน้าเผยยิ้มเล็กน้อยให้เห็นแวบนึง แวบนึงจริงๆก่อนจะกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม เออก็ยังดีที่ยิ้มให้ได้เห็น แต่มันจะดีกว่านี้อ่ะนะถ้ายิ้มนานกว่านี้

“ กูรู้แล้ว ไอ้หมีมันบอก มีอะไรอีกไหมกูจะแต่งนิยาย ”

“ มึงแต่งนิยายด้วยหรอ ”

“ เออ ”

ผมเหลือบมองไปเห็นโน้ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้อยู่ ไม่น่าเชื่อว่าขนมจะแต่งนิยายด้วย เป็นนิยายแนวไหนกันนะ ใจอยากจะถามต่อแต่มองสายตาคนตรงหน้านี่ ผมเก็บไว้ถามวันหลังจะดีกว่า

“ งั้นกูไม่กวนละ ” ผมฉีกยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะหมุนตัวเพื่อที่จะเดินออกจากห้องน้อง

“ เดี๋ยว ” หืม...

ผมหันกลับไปมองตามเสียงช้าๆ " อะไรหรอครับ "

“ ขอบใจสำหรับขนมนะ ” คนพูดแก้มแดงนิดๆ น่ารักว่ะ ทำไมขนมถึงน่ารักได้ขนาดนี้วะ

อยากเอากลับบ้านจริงๆเลย

“ ครับผม....ตั้งใจแต่งนิยายนะ ” ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้องทันที

น่ารักเป็นบ้า ผมเจอคนน่ารักๆมาเยอะแต่ไม่รู้ทำไมขนมถึงดูพิเศษขึ้นมาจากคนอื่น แค่นึกถึงหน้าใสใสกับท่าทางของน้องมันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้แล้ว แถมเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมใจสั่นได้ขนาดนี้ซึ่งมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

ขนมเป็นคนแรกเลย

เป็นอย่างที่ไอ้หอมมันว่า....ผมอาการหนักมากจริงๆแหละ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ไอ้ขุนมันกลับออกไปแล้ว

เหลือเพียงแต่ผมที่รู้สึกแก้มร้อนแปลกๆ

ผมมองขนมที่ไอ้ขุนมันซื้อมาให้ แม่งโคตรเยอะ กี่ชาติจะกินหมดเนี่ย นึกถึงตอนมันอธิบายให้ผมฟังว่ามันหายไปไหนมาก็รู้สึกดีแปลกๆนะ เหมือนมันใส่ใจกับผมแล้วก็จริงจังกับผมจริงๆ

แต่ว่านะมันก็อาจจะเป็นแค่ช่วงแรกๆก็ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาอีกวะ

ผมลุกไปเปิดประตูห้องก็พบกับไอ้หมีกับไอ้ปั้นยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับถุงขนมเต็มมือ

“ ถอยไปสิวะ ” ไอ้ปั้นมันผลักหัวผมให้พ้นทางก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทันที ไอ้ห่านี่ห้องกูนะมึงไม่เกรงใจบ้างรึไงไอ้บ้า

“ มึงรุนแรงจังวะปั้น เดี๋ยวไอ้หนมมันคอหัก ป่ะหนมเข้าห้อง ” ไอ้หมีมันล็อคคอผมก่อนจะลากเข้าห้อง

คอกูจะหักเพราะมึงเนี่ยะไอ้ห่าหมี

“ แค่กก....ไอ้พวกบ้า ” ผมมองพวกมันตาค้อน แต่ไอ้ปั้นกับไอ้หมีก็ไม่ได้สนใจโดยเฉพาะไอ้หมีที่หันไปคุ้ยถุงขนมที่ไอ้ขุนเพิ่งเอามาให้ผม

“ ขนมเยอะเลยว่ะ ใครให้มึงมาวะ ” มีเรื่องอะไรที่มึงไม่อยากรู้ไหมหมี

“ ไอ้หนมมันจะมีใครนอกจากเด็กวิศวะ ”

“ รู้ดีนักนะมึงน่ะ ” ผมหยิบหมอนปาใส่ไอ้ปั้นก่อนจะนั่งลงบนเตียงอย่างเคืองๆ

“ รู้สิ....กูเป็นเพื่อนมึงนะ ” ท่านประธานมันว่าแล้วมันก็ยกยิ้ม น่าหมั่นไส้จริงๆเลยไอ้พวกหน้าหล่อที่แค่กระตุกมุมปากก็ดูดีเนี่ย

“ เออปั้นมึงบอกไอ้หนมดิ่ว่าหน้าที่มันคืออะไร ”

“ อ๋อเออ หนม กูจะให้มึงเป็นคนถ่ายรูปประกอบของนิตยสารมหาลัย ”

“ อ่าแล้วไง....ทีมกูมีใครบ้าง ”

“ มึง ไอ้หมี ไอ้เผือก ” ผมหันมองไอ้หมีทันทีเพราะสกิลการถ่ายรูปมันห่วยแตกมาก ทำไมไอ้ปั้นถึงให้มันมาอยู่ทีมผมวะ เออแต่ก็ยังดีที่มีไอ้เผือก เรื่องการถ่ายรูปเนี่ยไอ้เผือกถือว่าพึ่งพาได้เลยทีเดียว

“ เออแล้วกูต้องถ่ายอะไรบ้าง ”

“ ก็ในเล่มมันจะมีบทสัมภาษณ์ของดาวเดือนปีที่แล้วของแต่ละคณะ มึงก็ต้องไปถ่ายรูปมา ให้โพสต์ท่าดีดีไรเงี้ยะ แล้วก็....” ไอ้ปั้นมันอธิบายให้ผมฟังไปเรื่อยๆ

เท่าที่ผมฟังจากที่ไอ้ปั้นมันพูดการถ่ายภาพที่สำคัญสุดคือถ่ายภาพดาวเดือน โดยที่ผมต้องไปติดต่อดาวเดือนของแต่ละคณะ เรื่องนี้ควรให้ไอ้หมีทำเพราะมันน่าจะรู้จักแม่งทุกคน

พูดถึงดาวเดือนนึกถึงใครวะ

“ มึงตื่นเต้นไหมหนม ” ไอ้หมีมันถามผมพร้อมกับยิ้มกริ่ม แม่งยิ้มแบบนี้อีกละ

“ ตื่นเต้นทำไมวะ ”

“ ก็มึงจะได้ถ่ายรูปดาวเดือนเลยนะ ”

“ แล้วไงวะ ก็แค่ถ่ายรูปดาวเดือน ” ไม่เห็นจะรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด

“ เอ้า มึงจะได้ถ่ายรูปพี่ขุนเลยนะ ไม่รู้สึกไรเลยหรอวะ ” ผมกระพริบตาปริบๆให้ไอ้หมี

ถึงว่านึกถึงใครเวลาพูดถึงดาวเดือน

ไอ้ขุนนี่เอง

“ กูจะไปรู้สึกทำไมวะ ” ผมบอกปัดมัน

“ คนไม่รู้สึกเค้าไม่แก้มแดงเวลาพูดหรอกว่ะ ” ไอ้ปั้นมันดึงแก้มผม โอ้ยยยมันเจ็บนะไอ้สัส

 “ งื้ออ.อ.อ....กูเจ็บนะปล่อยได้แล้ว ” ผมจับมือไอ้ปั้นออกก่อนจะกุมแก้มตัวเอง ตั้งแต่ที่ไอ้ขุนเข้ามาในชีวิตเนี่ยแก้มผมแดงเป็นว่าเล่นเลย

สำคัญคือแดงแบบไม่รู้ตัวเองด้วย

“ มึงน่ารักเนอะหนม ไม่แปลกเลยที่พี่ขุนจะชอบมึง ” ไอ้หมีมันเท้าคางมองผมยิ้มๆ

“ น่ารักบ้าไรล่ะ พวกมึงมันเพ้อเจ้อ ” ผมเดินมานั่งลงที่เดิมเพื่อที่จะแต่งนิยายต่อ ไม่ไหวแล้วไม่รู้จะสู้กับสายตาและคำพูดพวกมันยังไงดี

คิดไปคิดมาพอได้รู้จักกับไอ้ขุน ผมก็มีเหตุที่มีมันเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตบ่อยเหมือนกันว่ะ เดี๋ยวก็ต้องไปถ่ายรูปมันอีกอะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น แล้วดูท่าผมจะต้องเจอมันอีกนาน

ไอ้บ้าขุน


---------- 50% ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2017 20:37:47 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 6 : 6/11/2017 ]
«ตอบ #11 เมื่อ06-11-2017 19:19:09 »

---------- ต่อจากบทที่ 6 ----------


มหาลัย P

“ ทำไมกูต้องมากับมึงวะหมี ”

“ มึงจะให้กูเดินมาเปล่าเปลี่ยวเอการึไงไอ้หนม แอคทีฟหน่อยสิมึงอ่ะนี่เรามาทำงานนะ ”

แอคทีฟห่าไรล่ะ

กูง่วง

ผมมองไอ้หมีอย่างหัวเสียสุดๆ อาจเพราะเพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เมื่อคืนผมแต่งนิยายเพลินไปหน่อยแต่ด้วยความที่วันนี้มันเป็นวันหยุดไงก็เลยกะว่าจะนอนแบบยาวๆ แต่ไอ้ห่าหมีมันคึกอะไรของแม่งไม่รู้ปลุกผมตั้งแต่หกโมงก่อนจะลากมามหาลัยด้วยเหตุผลที่ว่ามาติดต่อดาวเดือนคณะ

มึงจะติดต่อเช้าไปไหน

“ วันนี้เราต้องไป 6 คณะเลยนะหนม มึงอย่าทำท่าเหมือนมึงจะตายสิวะ ” ก็กูกำลังจะตายอ่ะหมี มึงไม่เข้าใจกูหรอก

ตอนนี้ผมกับไอ้หมีมาอยู่ตึกของคณะสถาปัตย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคณะที่ตึกอยู่ห่างไกลจากคณะผม โซนแถวนี้นี่รวมคณะงานดีไว้ทั้งนั้นครับ สถาปัตย์ วิศวะ เกษตร แพทย์ ศิลปกรรม และวิทยาศาสตร์ ไอ้หมีมันเลยจะมาติดต่อ 6 คณะนี้ก่อน ขอบอกว่าไอ้หมีมันดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้มาก ตอนแรกผมนึกว่ามันจะไปที่ตึกวิศวะก่อนแต่ไอ้หมีมันบอกว่าไอ้ขันยังไม่มาเรียน ไว้ไอ้ขันมามันค่อยไปติดต่อ

ดูเหตุผลแม่งดิ่

“ แล้วมึงรู้จักดาวเดือนของสถาปัตย์ด้วยหรอวะ ”

“ กูรู้จักดาวเดือนของทุกคณะ ” มันว่าแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ มันน่าภูมิใจขนาดนั้นเลยหรอวะหมี บางทีผมก็สงสัยนะว่าไอ้หมีมันเอาเวลาตรงไหนไปรู้จักคนได้มากมายขนาดนี้ คือน้อยคนมากที่พูดชื่อไปแล้วไอ้หมีมันจะไม่รู้จัก แต่ก็อาจจะเป็นข้อดีของมัน เวลาติดต่อจะทำงานจะได้สะดวก

“ แล้วดาวเดือนของสถาปัตย์คือใคร ” ผมถามไอ้หมีที่กำลังกวาดสายไปรอบลานดิน มันไม่ได้เป็นดินนะครับมันแค่ชื่อดินเฉยๆ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเรียกชื่อลานกิจกรรมของแต่ละคณะต่างกันไป

อย่างคณะของผมจะเรียกกันว่าลานบลู บลูมันคือสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีประจำคณะผม ตรรกะในการตั้งชื่อลานมันก็มาจากลักษณะเด่นของแต่ละคณะ อย่างวิศวะนั่นก็ลานเกียร์ ผมรู้แค่สามคณะนี่แหละ ชื่อลานของคณะอื่นๆผมไม่รู้นะว่ามันเรียกว่าอะไรบ้าง ใครมันจะไปบ้าจำได้ทุกคณะวะ

เออแต่อาจจะมีก็ได้นะอย่างไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆผมนี่ไง

“ เดือนคือพี่เกียร์ ดาวคือพี่มินนี่ ”

“ คนชื่อเกียร์นี่คุ้นๆ ” เหมือนเคยได้ยินที่ไหนวะ

“ ก็ที่กูเคยเล่า....พี่เกียร์!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” ห่าหมีหูกูจะแตก มึงแดกนกหวีดเข้าไปรึไงวะ

ผมมองไอ้หมีที่วิ่งหน้าตั้งไปหาผู้ชายคนนึงที่มันเรียกเขาว่าพี่เกียร์นั่นแหละ ผมเดินตามมันมาก็เห็นหน้าพี่เกียร์ของไอ้หมีชัดๆ พี่แม่งโคตรหล่อ หล่อแบบเซอร์ๆ มันก็ปกติของเด็กสถาปัตย์ล่ะนะครับ แต่พี่แม่งดูมีเสน่ห์มากเลยว่ะ ตาคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ผิวแทน แถมยังสูงชิบหาย พี่แม่งคือสเป็คผู้หญิงไทยจริงๆ

“ มึงเองหรอหมี มาแรดอะไรที่คณะกูล่ะ ” คำทักทายจากปากพี่มันที่ทักไอ้หมีนี่รุนแรงว่ะ แต่ไอ้บ้าหมีมันก็ยิ้มแฉ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่พี่เขาพูดสักนิด

“ ก็มาหาพี่แหละ เดี๋ยวค่อยไปแรดที่วิศวะต่อ ” อาการดี๊ด๊าของมึงนี่น่าถีบจริงๆอ่ะหมี ถ้าไอ้เป้มาด้วยนี่ไอ้หมีมันคงไปกองกับกับพื้นแล้วอ่ะ

“ มาหากูทำไม แล้วนี่เพื่อนหรอ ” พี่มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองงี้หมายความว่าไงวะพี่

“ ใช่พี่ มันชื่อขนม เป็นเพื่อนหมีเอง ”

“ สวัสดีครับ ” ผมกำลังจะยกมือไหว้ แต่มือหนาของพี่เกียร์ยื่นมาฉกแว่นตาออกไปจากหน้าผมก่อน

เห้ยยยยย จะเอาแว่นกูไปทำไมวะพี่เอ้ยยย

“ นั่นไง กูว่าแล้วว่าแม่งต้องน่ารัก ” สายตาคมไล่มองหน้าผมอย่างพิจารณา มองไม่พอพี่มันเอามือเสยผมที่ปรกหน้าผมขึ้นไปไว้ด้านบนด้วย เดี๋ยวนะ มึงจะมากไปแล้วไอ้พี่เกียร์

“ อะไรของพี่เนี่ย ” ผมปัดมือพี่มันออกก่อนจะแย่งแว่นคืนมาใส่ไว้เหมือนเดิม แสบตาชิบ ขนาดถอดออกแค่แปปเดียว

“ มึงไม่น่าเอาไอ้แว่นเห่ยๆมาปิดความน่ารักของตัวเองไว้เลยนะ กูเห็นกูยังเสียดาย ” พี่มันมองผมไม่วางตา ไอ้พี่นี่แม่งน่ากลัวว่ะ จะแดกหัวกูป้ะเนี่ย

“ แหนะ ชอบไอ้หนมหรอพี่เกียร์ ” ไอ้หมีมันหรี่ตามอง มึงพูดบ้าอะไรของมึงเนี่ยหมี พูดหาเรื่องวุ่นวายใส่ชีวิตกูอีก

“ ก็นะ มันก็น่ารักดี ” ไอ้พี่เกียร์มันยกยิ้มมุมปากนิดๆ

ผมมองพี่มันอย่างหวั่นๆ ทำไมพักหลังมานี้ดูจะมีผู้ชายสนอกสนใจไอ้เฉิ่มแบบผมนักวะ เพราะเห็นผมเป็นของแปลกหรอหรือยังไง ไอ้ขุนก็คนนึงละ ต่อมาจะมีไอ้พี่นี่อีกคนหรอ ไม่เอานะเว้ย

“ หมีว่าพี่ต้องตัดใจแล้วล่ะ เพราะว่าพี่ขุนจีบไอ้หนมอยู่ ” มึงจะบอกทำไมไอ้หมี แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้ขุนจีบกู กูยังไม่ได้บอกใครเรื่องนี้นะเว้ย

“ อ่าว ว้า เสียดาย เห้ยแต่ไม่เป็นไร กูชอบแย่งของชาวบ้านอยู่แล้ว ” ไอ้เชี่ยยยยย ไอ้พี่ห่านี่แม่งโคตรน่ากลัว

“ พี่เกียร์อย่าไปแกล้งไอ้หนมมันดิ่ มันกลัวตัวสั่นแล้วเนี่ย ” ไอ้หมีมันเหลือบมองผมที่ยืนหลบอยู่ที่หลังมัน สั่นบ้าอะไรวะหมี กูไม่ได้สั่นมั้งเถอะ

“ ฮ่าๆๆ ก็น่าแกล้งนี่หว่า ว่าแต่มึงมาหากูทำไม ”

“ ก็มหาลัยมันจะมีนิตยสารโปรโมทมหาลัยน่ะพี่ แล้วก็พี่ต้องไปถ่ายแบบลงอ่ะ พี่มินนี่ด้วยนะ ”

“ แล้วถ่ายวันไหน ”

“ ก็วันศุกร์นี้อ่ะพี่ เริ่ม 10 โมง มาที่ตึกคณะหมีนะ ”

“ อ๋อเออได้ เดี๋ยวกูบอกมินนี่ให้ เลิกสั่นได้แล้วไอ้น้องแว่นกูหยอกเล่น กูไม่แย่งมึงมาจากไอ้ขุนหรอกหน่า ” พี่มันหัวเราะเมื่อเห็นผมมองมันอย่างระแวง

“ แย่งอะไร ผมกับไอ้ขุนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ” ผมเถียงอุบอิบ ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆนี่ ถึงแม้ว่าแม่งบอกว่าจะจีบผมก็เถอะ

แต่มันก็อาจจะจีบผมไม่ติดก็ได้

“ เดี๋ยวก็เป็น ” พี่มันว่าแล้วยิ้มหวาน เบื่อไอ้พวกหน้าหล่อแล้วยิ้มโลกละลายจริงๆเลย เห็นพี่เกียร์ยิ้มก็นึกถึงเวลาไอ้ขุนยิ้มเหมือนกัน สองคนนี้คล้ายกันนะจะต่างกันก็ตรง....

เวลาไอ้ขุนยิ้มผมมักจะใจสั่น

“ พี่ไม่ใช่ผมพี่จะมารู้ได้ไง ”

“ เพราะกูเป็นเพื่อนรักไอ้ขุนไง กูรู้ว่าถ้ามันจะเอามันก็ต้องได้ มึงก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ซะล่ะไอ้น้องแว่น กูไปเรียนละ ไว้เจอกัน ” พี่มันบอกก่อนจะเดินเข้าไปใต้ตึก ทิ้งผมให้ง้องแง้งอยู่กับไอ้หมีสองคน

“ พี่เกียร์เค้าเท่เนอะ ” ผมหันมองไอ้หมีที่มองพี่มันตาปริบๆ

“ แล้วไอ้ขันอ่ะ ”

“ พี่ขันอ่ะคือที่หนึ่ง ไม่มีใครเทียบพี่ขันได้อีกแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ”

“ เออ เรื่องเชี่ยๆก็ที่หนึ่งเลยแหละ ” ผมแหย่ไอ้หมีมัน หมั่นไส้จริงๆติ่งไอ้ขันเนี่ย

“ มึงอย่ามาว่าพี่ขันสิ เดี่ยวกูทุบเลย ” ไม่ว่าเปล่า มันทำเป็นง้างมือเหมือนจะทุบผม ไอ้หมีมันไม่กล้าทำหรอกครับเพราะมันกลัวไอ้เป้จะกระทืบให้

“ ไอ้ปัญญาอ่อน เสร็จของสถาปัตย์ก็ไปวิศวะต่อสิวะ ”

“ ฮันแหนะ อยากไปหาใครที่วิศวะรึเปล่า ” ไอ้หมีมันจ้องผมอย่างจับผิด

“ กูจะรีบกลับไปนอน กูง่วง มึงนั่นแหละไม่อยากรีบไปส่องไอ้ขันรึไง ”

“ อยากมาก งั้นไปเถอะหนม ” แม่งลากผมเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์มันอย่างไว ทีเรื่องไอ้ขันนี่ไวเชียวนะมึง





ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์

“ มึงสอดส่องสายตาหาพี่ขุนเร็ว ”

“ มึงสอดส่องไปสิวะ ”

“ ไม่ได้ เพราะสายตากูสอดส่องพี่ขัน ” ไอ้หมีไอ้เด็กแรด

ผมยกมือปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า เพิ่งจะเก้าโมงเองทำไมอากาศมันร้อนแบบนี้วะเนี่ย โคตรเบื่ออากาศประเทศไทยเลย ผมมองเด็กวิศวะที่เดินกันเป็นหย่อมๆ เอาจริงๆผมคิดว่าเสื้อช้อปมันร้อนนะเวลาใส่น่ะเพราะว่ามันหนา มันดูเท่แหละแต่ยังไงมันก็ร้อน ถ้าเทียบกับเสื้อแจ็คของผมถึงจะเป็นแขนยาวแต่ก็ยังเย็นกว่า

“ มึงมีเบอร์พี่ขุนไม่ใช่หรอไอ้หนม ” เออว่ะ ผมมีเบอร์ไอ้ขุนนี่หว่า

แต่ก่อนที่จะโทรหาไอ้ขุนผมขอทำอะไรสักอย่างก่อน

โป๊กกกกก

“ โอ้ยยยย กูเจ็บนะไอ้หนมมึงจะโขกหัวกูทำไมเนี่ย ” ไอ้หมีมันโอดโอยทันทีที่ผมโขกหัวมัน กูไม่ให้ไอ้เป้กระทืบมึงก็แค่ไหนแล้วไอ้บ้ายังมีน้ำหน้ามาถามอีกว่าโขกทำไม

“ มึงเอาเบอร์กูไปให้ไอ้ขุนทำไมห้ะ ”

“ ก็แหม....พี่ขุนเค้าขอนี่นา ” ก็แหมพ่อง

“ มึงก็เลยให้งั้นสิ ไม่ใช่ว่าใครขอเบอร์กูมึงก็ให้หมดเลยหรอไอ้หมี ”

“ กูเปล่านะ ไอ้เฉิ่มอย่างมึงใครจะขอเบอร์บ่อยๆ ก็แค่พี่ขุนล่ะวะ ”

โป๊กกกกก

“ โอ้ยยยย โขกกูทำไมอีกเนี่ย ” ผมมองไอ้หมีที่ทรุดลงไปกองกับพื้น มึงก็เว่อร์ชิบหายโขกไปสองทีมาทำทรุด

“ มึงมันสมควรโดนแล้ว เสือกว่ากูเฉิ่ม ” ผมล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดโทรออกหาไอ้ขุน

“ ก็มึงเฉิ่มอ่ะ ”

“ มึงนี่มัน....ฮัลโหลมึงอยู่ไหน ” ผมถามไอ้ขุนที่เสียงงัวเงียแปลกๆ ตื่นยังวะเนี่ย ไม่ใช่ให้กูมาเก้อหรอกนะ

( หืม...อยู่ตึกคณะ ดีใจจังมึงโทรมาหากูด้วย )

ดีใจบ้าอะไรของมึงวะ

“ มาหากูที่ลานเกียร์หน่อยดิ่ ”

( เดี๋ยวกูรีบไป )

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ตัดสายไปแล้ว เสียงไอ้ขุนแม่งโคตรง่วงผมนึกว่าเพิ่งตื่นซะอีก จะว่าไปผมก็มีเบอร์มันทำไมผมไม่โทรบอกมันเรื่องงานวะ

เนี่ย คนเรามักจะคิดได้ในเวลาที่มันสายเกินไป

“ พี่ขุนว่าไง ” ไอ้ตัวดีมันเงยหน้าถามผม มึงยังไม่ลุกขึ้นมาอีกหรอ นั่งหามดแดกหรอไอ้สัส

“ เดี๋ยวมันมา....นั่นไง ” ผมมองไปยังไอ้หล่อที่วิ่งหน้าตั้งมาหาผม สภาพของมันวันนี้ก็ไม่ค่อยต่างจากทุกวันเท่าไหร่นอกจากรอยคล้ำๆที่ขอบตา อดนอนมาสินะ มิน่าถึงได้ดูง่วงมากขนาดนั้น

“ แฮ่ก....มาหากูมีอะไรหรอ ” มันปาดเหงื่อที่ใบหน้าขาวก่อนจะเสยผมสีเทาที่ทิ่มหน้าทิ่มตาขึ้นไปด้านบน

แหม่....จะหล่อไปไหนวะพ่อคุณนี่แค่เช็ดเหงื่อนะ

“ มึงจะเคลิ้มอีกนานไหมหนม ” ไอ้หมีมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแถมยังจ้องอย่างจับผิด

“ เอาหน้ามาใกล้ทำไมวะ ขนลุก ” ผมดันหน้าไอ้หมีออก ตกใจนะเว้ยไอ้บ้า

“ ต้องหน้าพี่ขุนสินะมึงถึงไม่ขนลุกน่ะ ”

“ พูดมากน่าไอ้หมี เออไอ้ขุน วันศุกร์นี้มึงต้องไปถ่ายรูปลงนิตยสารโปรโมทมหาลัยในฐานะเดือนวิศวะของปีก่อน เริ่ม 10 โมง ไปตึกคณะกูนะ บอกดาวคณะมึงด้วย ” ผมมองไอ้ขุนที่ทำหน้ามึน อะไรกูพูดเร็วไปหรอ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น

“ แล้วต้องใส่ชุดอะไร ”

“ ก็ชุดนักศึกษาถูกระเบียบ มึงเอาเสื้อช้อปไปด้วยก็ได้ ”

“ ทำหน้าให้หล่อๆเลยนะพี่ขุน ไอ้หนมมันเป็นคนถ่าย ”

“ ห่าหมี ” ผมหยิกเอวไอ้หมีไปทีนึง ปากนี่อยู่ไม่สุขเลยนะมึง

“ มึงเป็นคนถ่ายหรอ ”

“ เออ กูถ่ายเอง ”

“ ดีจัง อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ ” ผมมองไอ้หล่อที่ฉีกยิ้มไปจนจะถึงหูแล้ว มึงจะดีใจอะไรขนาดนั้นวะแค่กูถ่ายรูปมึงเนี่ย

“ เออหนม เดี๋ยวกูไปส่องพี่ขันที่ห้องแปปนะ แล้วก็ไปเจอกันที่ตึกต่อไปเลย โอเคนะตามนี้ ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็วิ่งไปทันที เดี๋ยวนะไอ้หมี มึงจะปล่อยกูไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้นะไอ้บ้า

เห็นไอ้ขันดีกว่ากูตลอดอ่ะไอ้เพื่อนเลว

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมาก็เจอกับหน้าหล่อๆที่พักหลังนี่เห็นโคตรบ่อย อยากลองถามมันเหมือนกันนะว่ายิ้มปากบานขนาดนี้ไม่เมื่อยปากบ้างหรอวะ กูเห็นกูยังรู้สึกเมื่อยแทนเลย

คนบ้าอะไรยิ้มเรี่ยราดชิบหาย

“ ไปเรียนได้แล้วไอ้บ้า ” ไล่ไปเรียนแม่ง ป่านนี้อาจารย์มึงด่าวายวอดแล้วมั้งโดดออกมาหากูเนี่ย

“ แล้วมึงจะไปไหนต่อ ”

“ ไปตึกเกษตรต่อ ” ผมมองหน้าหล่อๆที่เลิกคิ้วขึ้นแล้วทำหน้าบึ้ง สีหน้าประมาณว่ามึงจะไปทำห่าอะไรกันที่นั่น

“ กูไม่ให้ไป ”

“ ยุ่ง ไปเรียนได้แล้ว ” ผมหมุนตัวจะเดินหนีมันแต่มือยาวก็คว้าข้อมือของผมไว้ก่อน

อะไรของมึงวะ

“ กูไม่ให้มึงไปตึกเกษตร ” ผมหันมองไอ้คนที่ทำน้ำเสียงจริงจังใส่ น้ำเสียงจริงจังไม่พอหน้าตาแม่งจริงจังมาก

“ กูต้องไปติดต่องาน ”

“ งั้นกูไปด้วย ”

“ มึงต้องไปเรียน ” เป็นบ้าอะไรของมันวะกับอีแค่จะไปตึกเกษตรทำไมต้องมาห้ามด้วย ไม่ได้จะไปเต๊าะสาวด้วยไอ้สัสไปทำงาน

“ มึงไม่รู้รึไงว่าตึกเกษตรมันน่ากลัวมากแค่ไหน มันมีแต่ไอ้พวกถึกร่างยักษ์ที่แบกต้นไม้เดินไปมา มึงคิดดูว่าเด็กตัวน้อยๆอย่างมึงหลงเข้าไปในนั้นมึงจะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยรึไง ไม่เอาอ่ะ กูไม่ให้มึงไปเด็ดขาด ”

เอิ่ม....

บรรยายซะตึกเกษตรกลายเป็นป่ามรณะไปแล้ว

ผมมองคนตัวสูงที่ทำหน้าจริงจังสุดๆ มือมันก็จับข้อมือผมแน่น มันจะอะไรขนาดนั้นวะไอ้ขุนเอ้ย ตอนเด็กมึงอ่านนิทานมากไปป่ะเนี่ย มันก็อาจจะจริงที่ตึกเกษตรมันดูน่ากลัวเพราะมันทึบๆ ถ้ามาตอนกลางคืนก็คิดได้เลยว่าตึกนี้แม่งมีผีสิงแน่ๆ ต้นไม้ก็เยอะแต่มันก็ดีตรงที่มันจะร่มรื่นมากกว่าตึกอื่นๆ

ไอ้ขุนมันมีความทรงจำอะไรไม่ดีที่ตึกเกษตรรึเปล่าวะ

มันถึงได้ห้ามผมถึงขนาดนี้

“ ทำไมมึงถึงไม่อยากให้กูไป ”

“ ก็....ก็มันอันตรายอ่ะ กูเป็นห่วงมึง ” อย่ามาทำน้ำเสียงอ่อนๆกับคำว่าเป็นห่วงสิวะ มันใจสั่นนะโว้ยยยยยยย

ไอ้บ้านี่มันเอาอีกแล้ว

“ มันอันตรายตรงไหน ”

“ ทุกอย่างแหละ ทั้งต้นไม้ทั้งก้อนหิน บนต้นไม้นี่อาจจะมีงูอนาคอนด้ารอแดกหัวมึงอยู่ก็ได้นะ ตัวมึงยิ่งเล็กๆอยู่ สู้แรงงูรัดไม่ได้หรอก ”

อนาคอนด้าโพ่งงงง

มันจะไปมีได้ไงวะ

“ ฮ่าๆไอ้บ้า มึงคิดได้ไงเนี่ย ” ขำว่ะ ถ้ามันมีอนาคอนด้าในตึกเกษตรจริงเขาก็ต้องให้คนมาจับไปแล้วดิ่ แล้วอนาคอนด้าบ้าอะไรจะมาอยู่ในประเทศไทย มันคงร้อนตายกลายเป็นงูตากแห้งแน่ๆอ่ะ แม่งเป็นการหาข้ออ้างได้เลอะเทอะมาก

ตลกว่ะเรื่องนี้ต้องเอาไปเล่าให้ไอ้หมีฟัง

“ กูชอบรอยยิ้มของมึงนะ กูว่ามันน่ารักดี ”

ตึกตัก

ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ยิ้มบางๆ อะไรของมันวะอยู่ดีดีก็มาชม ตะกี้มันยังทำตัวเลอะเทอะอยู่เลย ไม่คิดเลยนะว่าคำพูดธรรมดาๆจะทำให้ผมใจเต้นแรงได้มากขนาดนี้

ไอ้ขุนนี่มันอันตรายจริงๆ

“ พูดบ้าอะไรของมึง ปล่อยกูได้แล้วกูจะรีบไป ส่วนมึงก็ไปเรียนสักที ”

“ กูห้ามมึงไม่ได้จริงๆสินะ ” ไม่ต้องมาทำหน้าหงอยใส่กูเลยนะ

“ กูไปทำงาน มันงานสำคัญนะ ” ไม่ใช่ว่าอยากไปสักหน่อย ที่มาก็เพราะไอ้หมีลากมา

“ เฮ้อ ”

ถอนหายใจไมวะ

“ เดือนของเกษตรมันหื่นกามมาก ถ้ามันมาแตะเนื้อต้องตัวมึงล่ะก็ บอกไปเลยว่ามึงเป็นของกู ”

เดี๋ยวนะ

“ กูไปเป็นของมึงตอนไหนวะ ” ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง

“ เออน่า เพื่อความปลอดภัยของมึง มึงคงไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับตัวเองใช่ไหมล่ะ ” มันยิ้มหวานพลางขยี้หัวผม ปกติกูไม่ให้ใครขยี้หัวกูนะมึงเป็นใครเนี่ย

“ หัวกูยุ่งหมด ”

“ ปากว่าแต่มึงก็ไม่ได้จับมือกูออกหนิ ” ก็มัน....

ก็มันรู้สึกดีนี่หว่า

“ อย่าลืมที่กูบอกนะ เรียนเสร็จเดี๋ยวกูไลน์หา ” มันลดมือลงจากหัวผมก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินไปเรียน

“ ตั้งใจเรียนนะ ” ไอ้ขุนมันชะงักก่อนจะหันหน้ามายิ้มหวานให้ผม

“ ครับผม ” แล้วมันก็เดินไป

อา....

หน้าโคตรร้อน

ใจโคตรสั่น

ผมยกมือลูบหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ แม่งบอกไม่ถูกเลยว่ะไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง ไม่เคยรู้สึกว่าแพ้ทางใครขนาดนี้เลย หรือเพราะว่าชีวิตผมไม่มีใครเข้ามาวะ ผมชอบนะที่มันรีบวิ่งมาหาผมทั้งๆที่มันก็เรียนอยู่ ผมชอบไอ้เหตุผลบ้าๆที่มันยกมาเพื่อห้ามไม่ให้ผมไปตึกเกษตร ผมชอบเวลามันยิ้มว่ะแม่งโคตรดูมีเสน่ห์

ชอบมือที่ขยี้ผมเมื่อกี้ด้วย เพราะมันโคตรอบอุ่นเลย

มาทำให้ใจกูสั่นได้ขนาดนี้ มึงนี่มันร้ายจริงๆเลยไอ้ขุน









TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังให้กันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 7 : 7/11/2017 ]
«ตอบ #12 เมื่อ07-11-2017 20:35:10 »

บทที่ 7 หลง



ผมเดินเข้ามาในบริเวณของตึกเกษตร พบกับต้นไทรต้นใหญ่ก่อนเลยสามต้น ตรงนี้มันร่มรื่นมากอ่ะแถมอากาศก็ไม่ร้อนเหมือนตอนแรกด้วย ตึกเกษตรมันน่ากลัวจริงๆนะแต่ดีว่าที่มันเย็น แถมอากาศนี่ก็บริสุทธิ์อย่างกับอยู่ป่า

ผมเว่อร์ไปป้ะวะ

ช่างแม่งเถอะ

ผมนั่งรอไอ้หมีที่ม้านั่งใต้ต้นไทร ตอนนี้ประมาณสิบโมงกว่าๆแล้วครับ ผมไล่มองเหล่าเด็กเกษตรที่เดินกันให้ว่อน สภาพการแต่งกายมีตั้งแต่ดูดีดูสะอาดไปจนดูเลอะเทอะจนโสโครกเลยก็มี คือถ้ามันจะเปื้อนดินกันขนาดนั้นอ่ะนะ เปื้อนเสื้อผ้ายังไม่เท่าไหร่ บางคนเปื้อนแม่งทั้งหน้า โดนเพื่อนแกล้งหรอวะ

“ ไอ้หนม ” ผมหันมองตามเสียงก็พบกับเพื่อนรักในสภาพที่....

มึงไปตกบ่อโคลนมาหรอวะหมี

“ ทำไมมึงเลอะอย่างนี้วะ ” ตัวไอ้หมีแม่งโคตรเลอะ เลอะโคลนไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ มึงมาช้าอ่ะ กูไปติดต่อดาวเดือนมาละ โดนพี่ดรายซ์แกล้งเลยแม่ง ”

“ พี่ดรายซ์คือใครวะ ”

“ เป็นเดือนเกษตรอ่ะ กูเห็นพี่แกกำลังลงแปลงผักไง แม่งเห็นกูก็จับกูไปคลุกกับโคลนเล่น ” ไอ้หมีมันบ่นยาวเลยครับ แต่สภาพก็น่าบ่นอยู่หรอกนะ

“ ไอ้หมีมึงจะหนีไปไหนห้ะ ” ผมหันมองคนที่วิ่งแหกปากมาแต่ไกล

“ ไอ้หนมช่วยกูด้วย ” ไอ้หมีมันวิ่งมาหลบหลังผม เดี๋ยวหมีตัวมึงเลอะ หมดกันอ่ะเสื้อกูมึงนี่มันจริงๆเลย

“ ไอ้หมีมึง..... ” ร่างสูงของผู้ชายคนนึงวิ่งมาหยุดลงตรงที่หน้าผม ผมมองคนตรงหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนไม่ต่างจากไอ้หมีเท่าไหร่นัก แต่ใบหน้าหล่อๆนั่นมันเด่นทะลุโคลนออกมา นี่สินะพี่ดรายซ์ที่ไอ้หมีพูดถึง

คนที่ไอ้ขุนบอกว่าหื่นกาม

“ น้อง....เป็นเพื่อนไอ้หมีหรอ ” เสียงเรียบเอ่ยถามในขณะที่สายตาก็ไล่มองผมไม่ค่อยต่างที่พี่เกียร์มองผมสักเท่าไหร่ แต่มันดูหื่นกระหายมากกว่านิดนึง แบบแดกกูได้แดกกูไปแล้ว

ขนลุกว่ะ

“ ใช่ครับ ”

“ ชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่อดรายซ์นะครับ ปี 2 เกษตร ” พี่แม่งแนะนำตัวเองเฉยเลยว่ะ ไอ้เรื่องคณะไม่ต้องบอกก็ได้ไหม กูไม่คิดว่ามึงเรียนแพทย์หรอก

“ ชื่อขนมครับ ” ผมโคตรอยากออกไปจากที่นี่เร็วๆแล้วว่ะ สายตาพี่แม่งโคตรน่ากลัว น่ากลัวกว่าพี่เกียร์อีก

“ ชื่อน่ารักจัง มีแฟนยัง พี่โสดนะ ”

เอ่อ.....

กูยังไม่ได้ถามเลย

ผมมองพี่ดรายซ์นิ่งๆ ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี ไอ้หมีนี่ก็เงียบเชียว ใจคอมึงไม่คิดจะช่วยกูเลยรึไงวะ กูกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่แท้ๆ

“ พี่ดรายซ์ม่อเพื่อนหมีทำไม ” ไอ้ตัวดีมันพูดอยู่ข้างหลังผม คือจะช่วยกูแต่ก็เอากูเป็นโล่งี้

“ เงียบไปเลยไอ้หมี....ว่าไงครับคนดี มีแฟนรึยังเอ่ย ”

คนดีก็มาว่ะ

“ เอ่อ.......” ผมดึงชายเสื้อไอ้หมีหวังว่าจะให้มันช่วยตอบให้ ทีตอนพี่เกียร์มึงยังช่วยกูบอกเลยนะไอ้บ้าหมีทีนี้มึงจะมาเงียบทำโพ่งงง

“ ไม่ตอบแบบนี้แปลว่า.....”

“ มีแล้วครับ ” ผมมองหน้าพี่ดรายซ์ที่หุบยิ้มทันทีที่ผมพูดจบ ทำไมรู้สึกว่ามันมีรังสีแปลกๆแผ่ออกมาจากตัวพี่มันวะ

“ ใครหรอครับ ” ไม่ต้องทำเสียงเย็นขนาดนั้นก็ได้ป้ะวะ

“ พี่ดรายซ์โคตรน่ากลัวอ่ะมึง ” กูรู้แล้วไอ้ห่าไม่ต้องมากระซิบ

“ บอกพี่ได้ไหมครับ ” พี่มันว่าก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น คือมึงไม่ต้องยิ้มก็ได้นะพี่ กูกลัวมึงมากอ่ะตอนนี้

“ ก็.....”

“ ก็อะไรครับ ”

“ อะ...ไอ้ขุน ”

“ ห้ะ!!!!!!!!!! ” ผมสะดุ้งกับคำว่าห้ะของพี่มัน สีหน้าเย็นๆตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นผวาสุดๆ เหมือนกลัวอะไรสักอย่าง

พี่มันกลัวไอ้ขุนหรอวะ

“ ใช่พี่ดรายซ์ ไอ้หนมมันเป็นแฟนพี่ขุน ” ไอ้หมีมันยืนยันคำตอบของผมให้ฟังอีกครั้ง คราวนี้หน้าพี่แม่งผวาหนักเลย เป็นอะไรของมันวะ

“ เอ่องั้น....เดี๋ยวพี่ไปเอาผักกาดลงแปลงก่อน ลืมเลย พี่ไปก่อนนะ ” ว่าแล้วพี่แม่งก็วิ่งเข้าไปในตัวตึกทันที ทิ้งผมให้ยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อะไรของแม่งวะ

“ แหนะไอ้หนม มึงเป็นแฟนพี่ขุนแล้วหรอ ” ไอ้หมีมันจับตัวผมให้หันหน้าหามัน มือก็เลอะโคลนจับเสื้อกูไม่พอยังจะมาจับโดนตัวกูอีก

“ เปล่า ”

“ แต่มึงพูดกับพี่ดรายซ์เองนะว่าพี่ขุนเป็นแฟนมึง ”

“ ก็ไอ้ขุนมันบอกให้กูพูดแบบนั้น มันบอกกูว่าเดือนของเกษตรหื่นมากอ่ะถ้ากูอยากรอดไปได้ก็ให้บอกว่ากูเป็นของมัน ”

จากที่ผมดูสายตาพี่ดรายซ์แม่งก็คงหื่นจริงแบบที่ไอ้ขุนพูดนั่นแหละ หน้าพี่มันหล่อนะยอมรับเลยว่าตอนที่มันส่งสายตาเหี้ยมๆมาให้ผมรู้สึกกลัวมันจริงๆ แต่แม่งพีคตรงที่ผมบอกมันว่าผมเป็นแฟนไอ้ขุนแล้วมันทำหน้าผวา โคตรขัดกับหน้าหล่อๆของมันในตอนแรกมากอ่ะ

พี่ดรายซ์กลัวไอ้ขุนขนาดนั้นเลยหรอ

“ อ๋องี้เอง กูก็นึกว่าคบกันซะแล้ว ”

“ มึงจะบ้ารึไง กูจะคบกับมันทำไม เออว่าแต่มึงรู้ไหมทำไมพี่ดรายซ์มันถึงทำหน้าผวาขนาดนั้นอ่ะ ” ผมคิดว่าเรื่องนี้ไอ้หมีอาจจะรู้ก็ได้ ก็ไอ้หมีแม่งรู้ทุกเรื่องอ่ะ

“ พี่ดรายซ์เคยโดนพี่ขุนเอาตุ๊กแกใส่เสื้อน่ะ วันนั้นกูก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย คือเรื่องมันเกิดมาจากพี่ดรายซ์มันไปจีบเพื่อนพี่ขุน พี่แกงนั่นแหละที่หัวแดงๆอ่ะมึงจำได้ป้ะ ”

หูยยยยยพี่ดรายซ์แม่งจีบพี่แกง

พี่แกงแม่งโคตรหล่อเลยนะ สูงก็สูงอาจจะไม่เท่าไอ้ขุนแต่เวลาผมเจอพี่เขาผมก็ต้องเงยหน้าคุยอ่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่ดรายซ์จะชอบแนวหล่อๆ

เอ๊ะ หรือว่าพี่มันได้ทุกแนววะ

“ เออกูจำได้ แล้วไงต่อ ”

“ พี่แกงไม่ได้ชอบพี่ดรายซ์ไงออกจะรำคาญด้วยพี่ขุนก็เลยจัดการพี่ดรายซ์ซะ ตุ๊กแกสามตัวอ่ะมึงกูไม่รู้ว่าพี่ขุนแม่งไปจับมาจากไหนแต่ตัวใหญ่ชิบหาย แล้วจับใส่เสื้อพี่ดรายซ์ทั้งหมดสามตัวอ่ะ พี่ดรายซ์นี่ช็อคจนสลบเพราะมันกลัวตุ๊กแกมาก ไม่มาเรียนเป็นอาทิตย์เลยมึง หลังจากนั้นพี่ดรายซ์ก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกพี่ขุนอีก ”

“ ทำไมพี่แกงถึงไม่ชอบพี่ดรายซ์วะ มันไม่ดีอ๋อ ” ถึงมันจะดูหื่นกามแต่มันก็อาจจะไม่ได้แย่ก็ได้มั้ง

“ พี่ดรายซ์มันก็ดี มันดูหน้าม่อก็จริงแต่ถ้ามันมีแฟนมันก็คงรักแฟนแหละ พี่ดรายซ์มันไม่ได้แย่หรอกแต่เพราะพี่แกงมีแฟนแล้ว ” ผมมองมือไอ้หมีที่มันเอามาปาดกางเกงผม มึงจะเช็ดกูแบบโจ่งแจ้งเกินไปละไอ้สัส

“ มันเลอะไอ้เชี่ยหมี เออว่าแต่แฟนพี่แกงคือใครวะ ”

“ ทำไมวันนี้มึงถามกูเยอะจัง ” ไอ้หมีมันมองผมตาแป๋ว กูอยากรู้กูก็ถามไงมันแปลกตรงไหนวะ

“ เออน่า กูถามมึงก็แค่ตอบ ”

“ แฟนพี่แกงก็พี่เกียร์ไง ”

“ หรอวะ ” ไอ้พี่เกียร์นี่เองหรอ ดูๆไปก็ดูไม่ค่อยไกลตัวเท่าไหร่นะ พี่เกียร์มันบอกว่ามันเป็นเพื่อนรักไอ้ขุน พี่แกงก็เป็นเพื่อนไอ้ขุน พี่เกียร์กับพี่แกงเป็นแฟนกัน

เดี๋ยวๆ คิดเองเริ่มงงเอง

เออช่างแม่งจะอะไรก็ช่างแม่ง

“ เลิกทำหน้างงได้แล้ว กูว่าอีกสามคณะคงต้องเอาไว้ก่อน ไม่ดิ่เดี๋ยวกูให้ไอ้ปั้นมันมาติดต่อแทน ”

“ ไอ้ปั้นมันจะมาหรอ ” ไอ้ห่าปั้นมันไม่ยอมออกไปไหนแน่ๆเพราะวันนี้เป็นวันหยุด

“ มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้ปั้นมันตามจีบเด็กศิลปกรรมอยู่ ”

“ มึงรู้ได้ไง ”

“ กูรู้ละกัน เออเรื่องที่พี่แกงกับพี่เกียร์คบกันมึงไม่ต้องบอกใครนะ พี่เค้าไม่ค่อยอยากให้ใครรู้มาก ”

“ เออกูไม่บอกใครหรอก ” มันไม่ใช่เรื่องของผมด้วยแหละที่จริง ผมแค่อยากรู้ พอรู้ก็จบอยู่แค่นั้นไม่มีการเผยแพร่ต่อใดใดทั้งนั้น

“ งั้นกลับหอกันเถอะว่ะ กูอยากอาบน้ำละ โคลนซึมไปยังกางเกงในกูแล้วมั้งเนี่ย ” มึงนี่มันทุเรศจริงๆไอ้ห่าหมี

ผมเห็นด้วยกับไอ้หมีอย่างมากเรื่องกลับหอเนี่ย ตอนแรกผมก็ว่าผมตัวสะอาดไม่ได้ไปบุกน้ำลุยโคลนมา แต่ตอนนี้แขนกับเสื้อกับกางเกงผมเลอะโคลนที่ไอ้หมีเอามาป้ายเต็มไปหมด ดีนะว่าเป็นชุดไปรเวทถ้าเป็นชุดนักศึกษาไอ้หมีคงได้ตายคาตีนผมก่อนที่จะได้กลับหอแน่ๆ





ครืดดดดด....ด.....

อื้อออออ...อ....ใครโทรมาวะ

ครืดดดดด..ด.ด......

กูจะนอน

ครืดดดดด..ด.....

“ ฮัลโหล ” ผมกดรับโทรศัพท์ทั้งๆที่ตายังหลับอยู่ ใครแม่งบังอาจมารบกวนเวลานอนกูวะ ด่าแม่งยันโคตรดีไหมเนี่ย

( หืม....หลับอยู่หรอ ตื่นได้แล้วนะนี่หกโมงเย็นแล้ว )

เสียงแบบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร ไอ้บ้าขุนนั่นเอง ไหนบอกจะไลน์มาไงทำไมกลายเป็นโทรหากูได้วะ

“ กูจะนอนกูง่วง ”

( เดี๋ยวกลางคืนก็นอนไม่ได้หรอก นี่กูเพิ่งเรียนเสร็จว่าจะชวนมึงไปหาอะไรที่ตลาดนัดกลางคืน )

คำว่าตลาดนัดกลางคืนทำให้ตาผมสว่างขึ้นทันที นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ไปเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาชีวิตไม่ค่อยจะว่าง ผมชอบเดินตลาดนะเพราะของกินเยอะแถมพวกของใช้ก็ราคาถูก

พูดถึงของกินนี่หิวขึ้นมาทันทีเลยว่ะ

หลังจากเมื่อเช้าที่ผมกับไอ้หมีกลับมาจากมหาลัยผมก็อาบน้ำแล้วก็หลับทันที วันทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย มันก็ไม่แปลกล่ะนะที่รู้สึกหิว จะว่าไปผมนี่นอนโคตรนาน ไอ้หมีมันก็คงจะกลับหอมันไปแล้วเพราะตื่นมาผมก็เห็นแค่ผมอยู่คนเดียวในห้อง

( ว่าไง ไปไหมเดี๋ยวกูเข้าไปรับที่หอ )

“ เออไปก็ได้ กูหิวอยู่เหมือนกัน ”

( โอเค ไปล้างหน้าแต่งตัวแล้วลงมารอหน้าหอเลยก็ได้ )

“ เออแค่นี้แหละ ” ผมกดวางสายก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ช่วงนี้ทำไมหน้ามันใสผิดปกติวะ จะว่าพักผ่อนเพียงพอก็ไม่ใช่ แดดก็ตากออกจะบ่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ หน้าใสก็ดีกว่าหน้าหมองๆล่ะนะ

“ ใส่ชุดนี้ก็ได้มั้ง ” ผมมองตัวเองในกระจกที่ใส่เสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นเล็กน้อย ไปแค่ตลาดไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก กลับมาจะได้นอนต่อได้เลย

ผมหยิบกระเป๋าผ้ามาใส่โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ก่อนจะเดินลงมานั่งรอไอ้ขุนอยู่ที่ด้านล่างของหอ ตอนนี้ก็หกโมงเย็นนิดๆ เด็กหอก็พากันกลับมาจากเรียนบ้าง พากันออกไปหาอะไรกินกันบ้าง ขนาดหกโมงแล้วท้องฟ้ายังดูสว่างอยู่เลยแต่ก็ยังดีที่ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่

“ รอนานไหม ” ผมหันตามเสียงของคนที่ถาม ไอ้ขุนมันยังอยู่ในเสื้อช้อปเหมือนเดิม หัวที่ฟูหน่อยๆนั่นอาจจะบ่งบอกได้ว่าแม่งซิ่งมอเตอร์ไซค์จากมอเพื่อรีบมารับผม

“ ไม่นาน ”

“ งั้นไปกันเถอะ กูหิวมากอ่ะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง ” กูไม่ก็ไม่ต่างจากมึงหรอก

ไอ้ขุนมันเดินนำผมมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของมัน ไอ้วันที่มันไปเจอผมอยู่ข้างทางผมรีบมากจนไม่ได้สังเกตว่ารถของมันเป็นสีเหลือง เอาจริงๆตั้งแต่ที่ผมได้เจอและก็รู้จักกับมัน ของที่มันใช้ส่วนมากก็จะเป็นสีเหลือง

มันชอบสีเดียวกับผมหรอวะ

“ ขึ้นมาน้องหนม เดี๋ยวพี่ขุนพาแว้นนะ ”

“ แว้นบ้าอะไรของมึง ” ผมขึ้นซ้อนท้ายมันก่อนจะจับชายเสื้อช้อปมันไว้เหมือนที่เคยทำ

“ จับดีดีล่ะ ” ว่าแล้วมันก็ออกรถเพื่อมุ่งหน้าพาผมไปตลาด

ระหว่างการเดินทางไม่มีใครพูดอะไรออกมานะครับ มีแต่ไอ้บ้าขุนที่มันเบรคแล้วเร่งรถซ้ำๆเพื่อแกล้งผม ผมก็จัดการโขกหัวมันไปทุกครั้งที่มันแกล้ง ขับรถก็ขับให้มันดีดีสิวะ แม่ผมสอนตลอดเลยนะว่าเวลาขับรถให้ตั้งใจขับดีดีเพราะว่าถ้าเราทำเป็นเล่นเนี่ยเราอาจจะเกิดอุบัติเหตุก็ได้

ใช้เวลาไม่นานมากก็มาถึงตลาดนัดกลางคืน เวลาประมาณนี้คนก็จะเยอะเป็นพิเศษ ตอนนี้ผมยืนหน้ามึนอยู่ตรงหน้าตลาดในขณะที่ไอ้ขุนมันเอารถไปจอด รอบๆบริเวณที่สายตาผมมองไปถึงแม่งมีของกินเยอะมาก น่ากินไปหมด

หนมจะกินให้ตัวแตก *-*

“ กินอะไรดีล่ะ ” ไอ้ขุนมันถามผมก่อนจะแย่งกระเป๋าผ้าของผมไปถือ

“ มึงจะเอากระเป๋ากูไปทำไม เอามา ”

“ เดี๋ยวกูถือให้ ”

“ ไม่เอา กูจะถือเอง ” ผมจะแย่งกระเป๋าจากมันแต่มันก็ยกกระเป๋าผมขึ้นสูง ใครมันจะไปหยิบถึงวะไอ้บ้า เห็นสูงกว่าแล้วเอาใหญ่เลยนะมึงน่ะ

“ มึงลองคิดดูนะ ถ้ามึงถือกระเป๋าเอง มันจะทำให้มึงถือของกินได้น้อย มึงจะเอาอย่างนั้นหรอ ”

เออ อันนี้น่าคิด

ผมมองไอ้หล่ออย่างเคืองๆ เออมึงอยากถือมึงก็ถือไป โอ้ยยยนั่นร้านปลาหมึกย่าง ผมดิ่งเข้าร้านขายปลาหมึกย่างทันที ดูสิปลาหมึกกล้วยตัวอย่างใหญ่ น่ากินมาก อย่างนี้ต้องจัด

“ ป้าครับเอาอันนี้ไม้นึง แล้วก็เอาไข่ปลาหมึกอีกสองไม้ ” ผมจัดแจงสั่งปลาหมึก

“ อ่ะนี่เงิน ” ไอ้ขุนส่งแบงค์ห้าร้อยมาให้ ส่งมาให้กูทำไมวะ

“ อะไร ” ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ

“ ก็ค่าปลาหมึกไง ” อ๋อออ คือมันจะเลี้ยงปลาหมึกผมงี้ แหม่ถ้ารู้ว่ามันจะเลี้ยงผมกวาดให้หมดแผงดีกว่า

“ มึงจะเลี้ยงกูหรอ ”

“ อืม วันนี้มึงอยากกินอะไรกูจะซื้อให้ ”

“ จะซื้อให้หมดเลยจริงๆหรอ ”

ผมเอ่ยถามก่อนจะมองไอ้หล่อที่ยิ้มหวานเป็นปกติของมัน มือยื่นไปหยิบแบงค์ห้าร้อยมาจ่ายค่าปลาหมึก เออดีว่ะประหยัดตังค์ผมไปได้ 70 บาท ความจริงผมก็ไม่อยากจะเอาตังค์มันหรอกนะเพราะมันเป็นของกินของผม

แต่ในเมื่อเจ้าตัวมันอยากเลี้ยงผมก็จะไม่ทำให้มันเสียน้ำใจ

ฮ่าๆๆๆๆ

“ ใช่แล้ว ”

“ มึงจะเลี้ยงกูไหวหรอกูกินเยอะนะ ” ผมรับปลาหมึกมาจากคนขายก่อนจะจิ้มเข้าปากชิ้นนึง อื้อออออ.อ....แม่งโคตรอร่อยอ่ะ น้ำจิ้มแม่งอร่อยมาก

“ เลี้ยงไหวดิ่ ต่อให้กูต้องขายไตเพื่อเอามาเลี้ยงมึงกูก็ยอม ”

นั่นไงกู.....โดนไปอีกดอก

แทบจะสำลักปลาหมึก

“ เพ้อเจ้อว่ะมึงอ่ะ ” ผมเดินนำมันไปร้านอื่นๆ ไอ้หล่อมันก็เดินตามแถมยังยิ้มอย่างอารมณ์ดีอีกต่างหาก ผมรู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองเริ่มร้อน เพราะคนมันเยอะหรือว่าเพราะเขินมันก็ไม่รู้

ว่าแต่....ผมจะเขินมันทำไมวะ

ช่างแม่งดูของกินดีกว่า

ผมเดินแวะร้านโน่นร้านนี้ไปเรื่อยแถมยังกินไม่หยุดปาก แบงค์ห้าร้อยของไอ้ขุนที่ให้มาตอนนี้เหลือเป็นเศษยี่สิบกว่าบาท ตอนนี้ก็ประมาณเกือบสองทุ่มได้ เดินนานเหมือนกันนะเนี่ย ไอ้ขุนมันไม่ซื้อของกินเลยครับเอาแต่แย่งของที่ผมซื้อมากิน เป็นบ้าอะไรของแม่งก็ไม่รู้

“ มึงไม่ซื้อกินเองบ้างวะ ” ผมมองมันที่กำลังฉกลูกชิ้นปลาไปต่อหน้าต่อตา

“ กูชอบแย่งมึงกินมากกว่าอ่ะ ”

“ ไอ้เลว ” ผมตีมันไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้ มันก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังแย่งลูกชิ้นไปทั้งถุง เออมึงเอาไปเลยกูไม่กินแล้ว

ไอ้ขุนมันก็จ้วงลูกชิ้นปลาต่อก่อนจะเดินเอาไปทิ้งที่ถังขยะ ตอนนี้ผมรู้สึกอิ่มแล้วครับ แน่ล่ะยัดของกินเข้าไปเยอะขนาดนั้นไม่อิ่มก็บ้าแล้ว พุงป่องแล้วมั้งผมเนี่ย

ผมมองไปยังโซนขายเสื้อผ้าข้างหน้า พอยิ่งมืดคนก็ยิ่งเยอะแฮะตลาดเนี่ย เดินนี่แทบเบียดเสียดสิงร่างกันแล้วอ่ะคิดดู โดยเฉพาะไอ้หล่อที่เดินตามอยู่ข้างๆผม ผมเห็นว่ามีผู้หญิงมากพอควรเลยนะครับที่เดินถูๆไถๆมัน ตัวมันเองก็ไม่ได้สนใจใคร เอาแต่จะคอยแกล้งผมเนี่ยะ

ไม่แกล้งกูมันจะตายไหมห้ะ

“ มึงจะซื้ออะไรอ๋อหนม ”

“ กูว่าจะซื้อเสื้ออ่ะ ” ผมมองหาร้านเสื้อร้านประจำที่เวลามาที่ตลาดนัดนี้ผมจะต้องได้ติดไม้ติดมือกลับไป มันเป็นร้านเสื้อสีพื้นครับ เนื้อผ้าดีแถมราคาไม่แพงมาก

“ อ๋อ ” ไอ้หล่อมันรับคำก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผมไว้

เดี๋ยวๆ....มึงจับมือกูทำไม

ผมหันมองมันทันที มันก็ฉีกยิ้มแฉ่งให้ผม ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก

“ มึงจับมือกูทำไม ” ผมเลิกคิ้วถามมันอย่างสงสัย จะว่าจับมือเพราะคนเยอะแล้วกลัวผมหลงทางหรอ แต่ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องจับมือได้ได้ป้ะวะ อีกอย่างมันดูแปลกๆนะที่ผู้ชายสองคนมาเดินจับมือกัน

“ ก็.....” ก็อะไรของมึงวะไอ้บ้าขุน

“ มึงกลัวกูหลงทางรึไง กูไม่ใช่เด็กๆนะ ”

“ ไม่ได้จับมือมึงเพราะกลัวมึงหลงทางนะ แต่ที่จับมือมึงเพราะกูหลงมึงต่างหาก ” เสียงนุ่มๆกับรอยยิ้มหวานๆทำให้ผมมองหน้ามันค้างอยู่อย่างนั้น

ตึกตัก

อา....ดาเมจประโยคนี้มันแรงมากจริงๆ

รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงมากๆเลยว่ะ

“ อันนี้เขินหรือร้อน หน้านี่แดงก่ำเลย ” มันกระซิบถามข้างหูผม ทำให้ผมยกมือข้างที่ว่างขึ้นจับแก้มตัวเองทันที มันหัวเราะเบาๆที่เห็นท่าทีที่ผมแสดง ที่กูเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงนั่นแหละไอ้บ้า

ยังจะมาถามอีกว่าร้อนหรือเขิน

ก็ต้องเขินสิไอ้สัสอยู่ดีดีมาพูดแบบนั้น

“ อย่าพูดอยู่คนเดียวในใจสิ กูก็อยากรู้นะว่ามึงคิดอะไร ”

“ มะ....ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ กูจะซื้อเสื้อ ” เปลี่ยนเรื่องแม่งจิตใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่านแถมไอ้หล่อข้างๆจะได้ไม่ต้องมาจับผิด

“ โอเคๆ ซื้อเสื้อก็ซื้อเสื้อ ป่ะเดี๋ยวกูนำ ” ว่าแล้วมันก็เดินนำผมโดยที่มือก็ยังจับมือผมไว้ ผมมองหลังกว้างที่อยู่ข้างหน้า มันทำอะไรได้ไม่แคร์สายตาคนรอบข้างเลยนะ ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง

ความอุ่นจากมือของไอ้ขุนมันให้ความรู้สึกแปลกๆว่ะ

รู้สึกว่าไม่อยากปล่อย

เฮ้อ

จะยอมแค่วันนี้ละกัน





หอ K2

“ ถึงแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันดับเครื่องรถที่หน้าหอของผมหลังจากที่เราไปเดินตลาดกันมาร่วมสามชั่วโมง ห่า ไม่เคยเดินตลาดได้นานชิบหายแบบนี้เลย ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าๆแล้ว

“ เออ ขอบใจที่พากูไปหาไรกิน แล้วก็เลี้ยงกู ”

“ ไม่เป็นไร กูเต็มใจมากๆ ”

“ แล้วมึงจะกลับบ้านเลยใช่ไหม ”

“ ก็คงงั้น กูง่วงอ่ะยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ”

“ ก็รีบกลับไปนอนซะ ขับรถดีดี ”

“ ครับ ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวกูไลน์มาบอก ” ถึงก็ถึงดิ่จะไลน์มาบอกทำไมวะ

“ เออ บาย ” ผมบอกมันก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อที่จะเดินขึ้นตึก หูได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แว่วๆ ไอ้ขุนมันคงขับรถออกไปแล้ว

ผมถือของเต็มไม้เต็มมือเดินเข้ามาในห้อง ตอนแรกกะว่าจะซื้อเสื้อแค่สองตัวไปๆมาๆได้เพิ่มมาทั้งรองเท้าทั้งกางเกง สำคัญสุดคือไม่ใช่เงินผมด้วยนะที่ซื้อ เงินไอ้ขุนล้วนๆครับ แม่งเอาเงินมาให้ผมผลาญเกือบสามพัน จะไม่ให้มันจ่ายมันก็ไม่ยอมอีก

“ มึงกลับมาแล้วหรอวะ ” ผมหันมองไอ้หมีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ

มึงมาอยู่ห้องกูได้ไงวะ

“ เออ แล้วมึงมาได้ไงเนี่ยะ ”

“ ก็เดินมา ” ไม่กวนตีนกูนี่จะตายห่ารึไงวะ

“ กูหมายถึงมึงเข้าห้องกูมาได้ยังไง ” ผมก็ว่าตอนผมออกไปผมล็อคไว้นี่หว่า กุญแจสำรองก็อยู่ที่ไอ้ปั้น หรือว่าไอ้หมีมันไปเอากุญแจมาจากปั้น

“ กูปีนมาทางระเบียง ”

ปีนระเบียงเนี่ยนะ!!!!!!!!

ผมมองเพื่อนรักที่เดินมานั่งเช็ดหัวที่เตียงอย่างอึ้งๆ เอิ่มเพื่อนหมีครับ ห้องกูอยู่ชั้นสามถึงจะไม่ได้สูงมากแต่มันก็สูงนะ ตรงระเบียงมันไม่น่าจะปีนข้ามมาได้ด้วย มึงปีนมาได้ยังไงเนี่ยไอ้บ้า

คนหรือจิ้งจกวะ

“ มึงปีนเข้ามาทางห้องใคร ”

“ ห้องพี่ชาไง ห้องข้างๆมึงเนี่ยะ ว่าแต่มึงไปไหนมาวะ ”

“ กูไปตลาดมา ”

“ ไปกับใคร ” ไม่ถามเปล่าไอ้หมีมันยังส่งสายตาคาดคั้นมาให้ด้วย อยากรู้จริงๆเลยนะเรื่องของกูเนี่ย

“ ไอ้ขุน ”

“ น่อววววววววววว ไม่ทำดาว่ะ ”

“ ไม่ทำดาอะไรของมึง แล้วมึงมาทำไรที่ห้องกูเนี่ย ห้องตัวเองไม่มีอยู่รึไง ” ผมเอาของที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในตู้ ไว้จะใส่ค่อยเอาออกมาซักทีหลัง

“ ช่วงนี้กูฝันร้ายบ่อยๆแล้วมันนอนต่อไม่ได้ว่ะ ถ้ามีคนนอนด้วยกูอาจจะหลับก็ได้ ” ผมมองสีหน้าไอ้หมีที่ดูเศร้าแปลกๆ

ผมว่าความฝันที่ไอ้หมีพูดมันคงจะทำให้มันรู้สึกแย่พอตัวเลย เพราะปกติไอ้หมีไม่ใช่คนที่จะทำหน้าเศร้าแบบนั้น มันจะยิ้มและก็หัวเราะตลอด บางทีมันโกรธมันก็ยังหัวเราะได้ แต่โกรธของไอ้หมีนี่ไม่เคยเป็นการโกรธแบบจริงจังเลยสักครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ามันโกรธใครจริงๆขึ้นมามันจะเป็นยังไง

“ อยากเล่าความฝันให้กูฟังไหม ” ผมนั่งลงข้างเพื่อนหมีก่อนจะยกมือแตะไหล่มัน

“ ไม่ว่ะหนม กูอยากเก็บมันไว้ กูอาจจะเล่าให้มึงฟังในวันนึงแต่คงไม่ใช่วันนี้ว่ะ ”

“ ตามใจมึงแล้วกัน มีอะไรก็เล่าให้กูฟังได้เสมอ ”

“ เออ โหยซึ้งใจว่ะหนม มาจูบปากทีมา ” ไอ้หมีมันยื่นหน้าแล้วทำปากจู๋ใส่ผม ไอ้สัสนี่ตะกี้มึงยังดราม่ากับกูอยู่เลยอารมณ์มึงจะเปลี่ยนไวไปละ

“ ขนลุกไอ้เชี่ยหมี ” ผมผลักหน้ามันออกก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงทันที

“ เออใช่ซี้ กูไม่ใช่พี่ขุนไงทำอะไรก็น่าขนลุกไปหมดแหละ ”

“ มันเกี่ยวอะไรกับไอ้ขุนวะ ” ไอ้หมีนี่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมก็จะโยงเอาเข้าไอ้ขุนตลอด แม่งโคตรจะผลักไสไล่ส่งให้ผมไปได้กับไอ้ขุน

“ กูถามตรงๆนะหนม มึงรู้สึกยังไงกับพี่ขุนวะ ”

รู้สึกยังไงงั้นหรอ

ตั้งแต่ที่ไอ้ขุนมันเข้ามาในชีวิตผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ มันดูไม่ปกติเหมือนกับที่ผ่านมา เวลามันมายุ่งกับผม ผมก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญมันเลย อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มมันก็ได้ มันมีเสน่ห์ครับเวลามองก็ไม่ได้น่าเบื่อ แล้วก็ตั้งแต่ที่รู้จักมันเนี่ยแก้มผมนี่ก็แดงเป็นว่าเล่น แต่ก็คิดว่าที่ผมเป็นแบบนี้มันอาจจะเป็นเพราะชีวิตผมไม่เคยมีใครต้องมาตามจีบ

คนจีบเป็นผู้ชายด้วยนะ

“ แหนะ ตอบไม่ได้ ”

“ กูอาจจะบอกมึงในวันนึงแต่ยังไม่ใช่วันนี้ว่ะ ” กูขอยืมคำพูดหน่อยนะเพื่อนหมี

“ เอาคำกูไปใช้ มึงเอาค่าลิขสิทธิ์มาเลย ”

“ เอาลูกอมไปสองเม็ดไป ” ผมยื่นลูกอมให้มัน แม่งก็รับด้วยนะ

“ กูรู้อ่ะแหละนะหนมกูก็ไม่ได้จะอะไรหรอก พี่ขุนมันก็ดีนะแต่ว่าพี่มันก็เจ้าชู้พอสมควรเลย ”

“ กูรู้แหละ ” เรื่องอย่างนี้ดูออกง่ายจะตาย

แต่หลังจากที่มันบอกจะจีบผม ผมก็ไม่เคยเห็นมันยุ่งวุ่นวายอะไรกับใครเลยนะ แต่ลับหลังมันจะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมจะเจอมันก็เฉพาะเวลาที่มันมาหาเท่านั้น ตึกอยู่ไกลกันชิบหายขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วที่ไอ้เผือกมันเคยบอกผมว่ามันเห็นไอ้ขุนที่ร้านเหล้าบ่อยๆอีก มันก็คงชอบเที่ยวอยู่พอตัว

จะว่าไปผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

“ แต่พักหลังมานี้พี่ขุนไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหนเลยนะ มึงสบายใจได้ ”

“ มันจะมีใครไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับกูเลย ” ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย มันจะไปมีใครจะไปไหนก็เรื่องของมัน แต่ถ้ามันมาบอกว่าจะจีบผมแล้วมันทำแบบนั้น

ผมก็คงจะไม่ยุ่งกับมัน

“ ที่พูดออกมานั่นใช่สิ่งที่มึงคิดหรอ ” รู้ดีนักนะมึงอ่ะไอ้บ้าหมี

“ เรื่องของกูน่า ” ผมหันหนีมันก่อนจะเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อที่จะแต่งนิยาย

อัปเดตนิยายของผมหน่อยครับ ตอนนี้แต่งมาแบบมึนๆ และก็ยังมีการขอ Nc กันมาอย่างถล่มทลาย คือแบบว่าอยากจะสารภาพกับเหล่ารี้ดจากใจว่าไรท์หนมยังไม่สามารถแต่งได้ในตอนนี้ ได้โปรดรอไรท์หนมกันไปก่อน ไม่เกินชาตินี้แน่นอน

“ เออรีบแต่งแล้วรีบลง กูรออ่าน ” ไอ้หมีมันว่าพลางเดินไปหยิบน้ำแดงที่ชงไว้ก่อนจะกลับมานั่งบนเตียงที่เดิม

“ เออ อย่ากวนกูละกันมันจะได้เสร็จไวไว ”

ผมลงมือพิมพ์นิยายทันทีตามที่สมองคิด ต้องรีบแต่งให้จบตอนภายในสองวันครับเพราะผมมีงานใหญ่ที่ต้องทำ ต้องถ่ายดาวเดือนมหาลัยตั้ง 12 คณะ ดาวเดือน 24 คน นี่ยังไม่รู้ว่าจะต้องวุ่นวายมากแค่ไหน เรื่องคิวถ่ายค่อยให้ไอ้หมีมันจัดการ ไหนจะขนของอีก แค่คิดก็ปวดหัว

พอเลิกคิด ผมต้องมีสมาธิ

“ หนม กูทำน้ำแดงหกใส่เตียงมึงอ่ะ ”

ไอ้สัสหมี....

แล้วจะแดกน้ำแดงบนเตียงกูทำม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย





TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนหนม #ขุนศึกขนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 7 : 7/11/2017 ]
«ตอบ #13 เมื่อ07-11-2017 22:26:35 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 8 : 8/11/2017 ]
«ตอบ #14 เมื่อ08-11-2017 19:21:21 »

บทที่ 8 วันแห่งความวุ่นวาย



และแล้วก็มาถึงวันศุกร์

วันศุกร์ที่แสนจะวุ่นวายสำหรับพวกผม

ตอนนี้ผมกับเพื่อนรักอีกสองคนคือไอ้หมีและไอ้เผือกกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์กันอยู่ที่ห้องสตูดิโอเพื่อที่จะถ่ายรูปดาวเดือนครับ ตอนแรกไอ้หมีมันบอกว่าจะไปถ่ายนอกคณะแล้วไปๆมาๆเสือกถ่ายที่ห้องสตูดิโอ ผมรู้เมื่อเช้าก็โวยวายใส่มันใหญ่ ถ้าจะถ่ายที่นี่แล้วจะแบกของพวกนี้ไปกองไว้ห้องผมทำไม ผมสะดุดขาตั้งไฟตั้งกี่รอบมันไม่รู้หรอก

โคตรหงุดหงิด

“ ไฟประมาณนี้โอเคไหมหนม ” ไอ้เผือกถามในขณะที่มันกำลังปรับแสงไฟ

“ ไอ้หมีมึงมายืนดิ้ กูจะดูไฟ ”

“ ได้ครับผม ” ว่าแล้วไอ้ตัวดีก็มายืนโพสท่าอยู่หน้ากล้อง

“ หรี่ไฟหน่อยเผือกสว่างไปว่ะ ” ผมมองผ่านกล้อง

“ ได้ยัง ”

“ เออได้ละ ไอ้หมีมึงลงไปข้างล่างได้แล้วไปป่านนี้คงมากันแล้วล่ะมั้ง เอากระดาษไปเขียนแปะไว้หน้าตึกเลยก็ได้ว่าดาวเดือนที่จะมาถ่ายรูปให้ขึ้นมาห้องสตูดิโอได้เลย ” ผมมองเวลาที่เกือบจะถึงสิบโมงแล้ว ถ้าใครมาก็ถ่ายก่อนเลยจะได้ไม่เสียเวลา

“ ได้ครับผม ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากห้อง หมั่นไส้คำว่าได้ครับผมของมันชิบ ให้ไอ้เผือกกระทืบดีป้ะวะ

ผมนั่งมึนๆอยู่ตรงที่นั่งของตากล้อง ไอ้เผือกก็นั่งหาวอยู่ข้างๆ เมื่อคืนไปเหล้าแดกมาสิมึงดูอิดโรยเชียว ไอ้เผือกนี่มันก็ดีนะครับตรงที่ว่าไม่ว่ามันจะไปเที่ยวหรือไปเมามาหนักมากแค่ไหน มันก็ยังลากสังขารพาตัวเองมาเรียนได้ เวลาทำงานก็ทำได้อย่างเต็มที่

หืม....รอยอะไรวะนั่นน่ะ

“ มึงไปโดนอะไรมาวะเผือก ” ผมเอื้อมมือไปลูบคอขาวของไอ้เผือกที่มีรอยแดงจ้ำๆ เป็นแถบยาวหายเข้าไปในเสื้อ

“ อะไรอ่ะ ” มันเอ่ยถามผมอย่างสงสัย รอยที่ผมเห็นมันน่ากลัวมากนะครับ มันขึ้นเป็นห้อเลือดเหมือนจะแตกยังไงก็ไม่รู้อ่ะ

“ รอยแดงๆเนี่ย ” มึงกำลังป่วยป้ะเนี่ยเพื่อนเผือก อาการรุนแรงจนคอแดงแบบนี้นี่ปล่อยไว้ไม่ได้น่ะ กูกลัวมึงตาย

“ อ๋อ โดนดูดน่ะ ” เจ้าตัวบอกเสียงเรียบ

อ๋อ.....โดนดูด

“ ห้ะ!!!!!!!!โดนดูด ”

“ อืม....ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นวะ ”

“ ใครดูดมึง มึงไปทำอะไรเค้าเค้าถึงดูดมึงอ่ะ แล้วเป็นรอยขนาดนี้มึงจะตายไหม มึงต้องไปหาหมอนะเผือก ” ตายห่า เพื่อนผมกำลังจะตาย

ไม่นะ!!!!!!!!!!!!

“ ใจเย็นๆนะหนม กูไม่ตายเพราะโดนดูดหรอกนะ ”

“ มึงจะไม่ตายจริงๆนะ ”

“ เออ ที่โดนดูดขนาดนี้ก็เพราะคนที่กูไปนอนด้วยเมื่อคืนเค้าเซ็กซ์จัดไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ” มันว่าแล้วมันก็ยิ้มหวานออกมา

หูยยยยยยยยยยย

เรื่องมหัศจรรย์ของโลกเลยนะไอ้เผือกยิ้มน่ะ

ผมนั่งมองหน้าหล่อๆของเพื่อนตัวเองที่ยิ้มหวานอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมานาน ตั้งแต่รู้จักกับมันเพิ่งเห็นมันยิ้มแบบนี้เป็นครั้งที่สาม ตอนนี้สมองผมกำลังประมวลผมในสิ่งที่มันพูดให้ฟังเมื่อกี้ อ๋อ คือมันมีเซ็กซ์แล้วโดนดูดคอ คนมีเซ็กซ์กันนี่ต้องดูดคอกันด้วยหรอ เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย ต้องจดใส่สมองไว้ละเอาไว้ไปเป็นส่วนประกอบในการแต่ง Nc

เคลียร์เรื่องดูดคอละกลับมาที่เรื่องไอ้เผือกยิ้ม

ไอ้เผือกมันเป็นคนที่ยิ้มยากมาก ยิ้มยากมากกว่าผม ตั้งแต่รู้จักกับมันมาตั้งแต่เปิดเทอมเทอมก่อน อย่างที่บอกผมเห็นมันยิ้มนี่คือครั้งที่สาม ความสงสัยเริ่มครอบงำจิตใจใครกันวะที่ทำให้ไอ้เผือกยิ้มออกมาแบบนี้ได้ เรื่องนี้ถามไอ้หมีคงไม่ได้เพราะมันคงไม่รู้ เรื่องที่เกี่ยวกับไอ้เผือกไอ้หมีมันจะรู้น้อยมาก ไอ้หมีมันเคยเล่าให้ผมฟังว่าตัวมันยังไม่เคยเห็นไอ้เผือกยิ้มเลย เคยเห็นแบบแสยะยิ้ม

พอเห็นแบบนั้นมันก็โดนไอ้เผือกไล่เตะ

“ คนที่มึงพูดถึงนี่คงเป็นคนที่พิเศษมากเลยสินะ ทำมึงยิ้มออกขนาดนี้ ” แซวมันหน่อยครับ เผื่อมันจะหลุดอะไรออกมาบ้าง

“ ก็คงเหมือนมึงที่มักจะหน้าแดงเวลาที่พูดถึงพี่ขุนน่ะ ”

เอ่อ.....

ทำไมเป็นกูที่โดนตอกกลับล่ะเพื่อน

ผมหมดคำพูดกับไอ้เผือกทันที พูดไม่ออกเลยเรื่องนี้ พอๆเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายตัวผมเองผมจะไม่ยุ่งกับเรื่องของไอ้เผือก เดี๋ยวค่อยให้ไอ้หมีมันไปสืบเอา ไอ้หมีมันหน่วยกล้าตายแถมยังทนมือทนตีน ยังไงมันก็ต้องสืบมาได้อย่างแน่นอนว่าคนที่ไอ้เผือกพูดถึงนั้นคือใคร

หึ....มึงไม่รอดแน่เพื่อนเผือก

“ วางแผนอะไรอยู่รึไง เดี๋ยวจะโดน ” อย่ามาทำเป็นรู้ได้ไหมวะ มันเป็นความลับของกูนะ

“ กูเปล่าสักหน่อย ไอ้หมีมันไปนานจังเลยวะ ” ตั้งแต่ที่ไอ้หมีมันลงไปข้างล่างนี่ก็เกือบยี่สิบนาทีแล้วครับ ไม่ใช่ว่ามัวไปเถลไถลที่ไหนแล้วไม่ยอมพาขึ้นมาหรอกนะ

“ อย่าทะเลาะกันสิครับพี่ๆ ” เสียงคุ้นหูแว่วมาแต่ไกล ไอ้หมีเองครับไม่ใช่ใคร แล้วใครทะเลาะกันวะ

ผมได้ยินแบบนั้นจึงลุกเดินออกมาดูที่หน้าห้อง ก็พบกับนักศึกษาชายหญิงหน้าตาดีมากราวๆ 10 กว่าคนยืนออกันอยู่ นี่คงเป็นดาวเดือนสินะ สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือไอ้หมีที่กำลังห้ามผู้หญิงสองคนที่กำลังมีปากเสียงกันอยู่ มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

“ หลบไปเลยหมี พี่จะตบมัน ” พี่ปากแดงนี่เอาเรื่องว่ะมีจะตบด้วย

“ ก็เข้ามาสิ คิดว่ากูกลัวมึงหรอ ” พี่ปากส้มก็ไม่ยอมแพ้

“ ไม่ได้นะครับพี่หมวยพี่ต่าย คลัมดาวน์นะคลัมดาวน์อย่ามีเรื่องกัน ” ผมมองไอ้หมีที่พยายามห้ามพี่ดาวคณะทั้งสองคน ไอ้พวกผู้ชายที่ยืนกันอยู่ใกล้ๆก็ยืนดูกันมันส์เลยนะไม่คิดจะช่วยห้ามหน่อยรึไงวะ ไอ้ห่าหมีมันตายห่าพอดีน่ะ

“ เกิดอะไรขึ้นทำไมเสียงดังจัง ” ผมมองไปด้านหลังที่มีคนเพิ่งเดินเข้ามาก็เห็นว่าเป็นไอ้ขุนกับพี่เกียร์ วันนี้ไอ้ขุนมันดูดีกว่าทุกวันอาจเพราะว่ามันต้องมาถ่ายรูป ผมยุ่งๆก็ถูกเซ็ตขึ้นเป็นอย่างดี พี่เกียร์ก็ไม่ค่อยต่างกับมันเท่าไหร่ เดินมาด้วยกันนี่ออร่าความหล่อฟุ้งกระจาย

“ พี่เค้าทะเลาะกันอ่ะพี่ขุนช่วยหมีห้ามหน่อย ” พอไอ้หมีมันขอความช่วยเหลือจากไอ้ขุน เจ้าตัวก็เดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างพี่ปากแดงและพี่ปากส้มทันที

“ ทะเลาะกันทำไม ” มันมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา

“ ก็หมวยบอกต่ายว่าเพราะมันสวยกว่าขุนถึงไปชอบมัน ” พี่ปากแดงพูดพร้อมกับเอามือรั้งแขนไอ้ขุนไว้ มองจากตรงผมยืนก็เห็นว่านมใหญ่ๆนั่นเบียดแขนไอ้หล่อมันเต็มที่

“ ไม่จริงนะคะขุน หมวยไม่ได้พูดอะไรแบบนั้น ” พี่ปากส้มก็ทำเช่นเดียวกันกับพี่ปากแดง นมใหญ่ๆเบียดแขนทั้งสองข้างเลยนะมึง ไม่คิดจะเอาออกสักหน่อยหรอวะ

ไม่ชอบใจเลย

“ น่ารำคาญ ” ไอ้ขุนมันเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะดึงแขนออกมาจากการเกาะของพี่ทั้งสอง เออ มึงควรจะทำอย่างนั้นตั้งนานละไอ้บ้า

“ ขุน / ขุน ”

ผมมองพี่สองคนที่ทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงทันทีที่ไอ้ขุนมันบอกว่ามันรำคาญ ฟังจากการสนทนาเมื่อกี้ก็คงบอกได้ว่าสองคนนี้คือกิ๊กเก่าไอ้ขุนอย่างแน่นอน ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงสองคนมาทะเลาะกันเรื่องผู้ชายต่อหน้าต่อตาแบบนี้เลยนะ แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นผู้ชายที่ตามจีบผมด้วย

ฮ็อตจริงๆเลยนะมึง

“ วันนี้เรามาที่นี่เพื่อทำงานให้มหาลัย อย่ามาทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ หรือว่าถ้าจะมีเรื่องกันก็รอให้งานเสร็จก่อนก็ไม่มีใครห้ามหรอกนะ ” คนพูดว่าด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ดาวเดือนคณะอื่นยืนมองกันอยู่เงียบๆ รวมถึงพี่ดรายซ์ เอ้ามันมาตอนไหนวะน่ะ ทำไมผมเพิ่งเห็น

“ คำพูดคำจาดีว่ะ น่ายกย่อง ”

ผมมองคนที่เดินมาด้านหลัง ร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษา ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซ็ตไว้รับกับใบหน้าตี๋ ผิวขาวใสที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องดูแลตัวเองดีมาก โดยรวมๆสรุปแล้วคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นหล่อมากครับ หล่อแบบตี๋ๆ คาดว่าคงเป็นเดือนของคณะไหนสักคณะแน่นอน

“ ถ้ากูน่ายกย่องก็กราบตีนกูซะสิ ” ทันทีที่ไอ้ขุนมันพูดจบ ไอ้พี่หน้าตี๋มันก็กำหมัดแน่นแล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที มันไม่ถูกกันหรอวะถึงได้พูดแบบนั้น

“ หึ....ปากเก่งนักนะมึงน่ะ ”

“ ไม่ได้เก่งแต่ปากนะ ใช้ปากก็เก่ง ” ไอ้ขุนมันยกยิ้มมุมปาก ทำไมประโยคสวนของมึงทำไมมันแปลกๆวะไอ้ขุน

รึผมคิดว่ามันแปลกคนเดียว

“ ไอ้สัสขุน!!!!!! ” ไอ้พี่ตี๋มันตรงเข้ามากระชากคอเสื้อไอ้ขุนทันที ดูจากสีหน้าก็บ่งบอกถึงความโมโหมาก

“ มึงจะทำไมห้ะไอ้น้ำ ”

ผมชักจะหงุดหงิดกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า ตอนแรกก็ห้ามผู้หญิงอยู่หรอกแล้วทำไมตอนนี้ผู้ชายต้องมามีเรื่องกันต่อวะ ไอ้หมีก็ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ผมคิดว่าตัวไอ้หมีมันก็อยากจะเข้าไปห้ามแต่เพราะคนที่กำลังมีเรื่องคือไอ้ขุน มันเลยอาจจะไม่กล้า ผมควรจะทำยังไงดีวะ แม่งโคตรเสียเวลางานเลยตอนนี้

“ กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้สัสขุน ”

“ มาดิ่ไอ้สัส ”

“ หยุด!!!!!!!!!!!!!!!! ”

หมัดที่ง้างไว้ของไอ้ขุนกับไอ้พี่หน้าตี๋ค้างกลางอากาศทันทีที่ผมแหกปากลั่นออกไป สายตาทุกคู่หันมามองทางผมกันเป็นจุดเดียว มองห่าไรกันวะกูหงุดหงิดแล้วนะมึง ไอ้ขุนนี่น่าหงุดหงิดสุด มันห้ามไม่ให้ผู้หญิงทะเลาะกันแต่ตัวเองเสือกมามีเรื่องซะเอง

“ น้องแว่น ” พี่เกียร์มองมาทางผมอย่างอึ้งๆ อึ้งอะไรของมึงวะพี่

“ เด็กนี่เป็นใครน่ะ ” พี่ปากแดงมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำไม มองกูแบบนั้นมีปัญหารึไง ฟีลตอนนี้นี่บวกได้หมดไม่เกี่ยงหญิงชายนะกูบอกเลย

“ เป็นตากล้องที่จะถ่ายงานวันนี้ รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้วอ่ะ มันเสียเวลาขนาดไหนแล้ว ยังจะมามีเรื่องกันอีก ” ผมพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง มีหลายคนเลยที่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแต่ช่างแม่ง ผมพูดจริงๆนี่หว่า โตๆกันแล้วเรื่องแบบนี้มันต้องคิดได้ดิ่

“ ไอ้หนม ” ไอ้หมีมันดึงแขนผมเบาๆประมาณว่าให้ผมใจเย็นๆ

“ เห้ยน้อง....ปากดีมาจากไหนวะเนี่ย เป็นแค่ตากล้องแถมยังเป็นแค่ปี 1 อย่าห้าวให้มากได้ไหม ”

“ หุบปากไปเลย มันเป็นงานของมหาลัยนะพวกไม่มีความรับผิดชอบยังจะมีสิทธิ์พูดอีกหรอ ”

“ ไอ้เด็กเชี่ยนี่ ” โมโหสิมึง กูก็โมโหเหมือนกัน ทำไมกูต้องมาหัวร้อนด้วยเรื่องห่าอะไรแบบนี้ด้วย

“ ใจเย็นก่อนครับพี่กอล์ฟ ” ไอ้หมีมันเข้ามาคั่นระหว่างกลางผมกับพี่มันทันที

“ เพื่อนมึงหรอไอ้หมี ปากดีเกินไปแล้วนะ ปีนเกลียวด้วยไอ้สัส ”

“ น่ารำคาญว่ะ ที่พูดมันจริงรึเปล่าก็ลองคิดเอาเป็นเด็กปี 2 ไม่ใช่หรอ เรื่องแค่นี้คงจะคิดเอาได้นะ ” ผมเดินผ่านทุกสายตามาหยุดตรงไอ้ขุนกับไอ้พี่หน้าตี๋ก่อนจะจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน

“ หนม ”

“ ถ้าจะมีเรื่องกันก็รอให้งานเสร็จก่อนก็ไม่มีใครห้ามหรอกนะ....มึงลืมคำพูดตัวเองรึไง ” ผมเอ่ยบอกกับไอ้ขุนอย่างจริงจัง ใบหน้าคมนั่นถึงกับอ่อนลงทันที เออดีมึงต้องยอมกูเข้าใจไหม ให้มันรู้เรื่องซะบ้าง

“ นี่มึง ”

“ มีปัญหาอะไร ถ้าไม่พร้อมจะถ่ายก็กลับไปเลยไป ไม่เอาลงนิตยสารมหาลัยก็ได้ เคลียร์กับอธิการเองละกัน จะเอายังไง ” ผมยืนมองไอ้พี่หน้าตี๋อย่างเอาเรื่อง เอาดิ่กูฟ้องอธิการแน่ กูจะฟ้องแม่งให้หมดเลยอธิการสนิทกับพ่อกูด้วย ห้าวหาญชาญชัยกันดีนักไอ้พวกบ้า

“ ไว้จบงานก่อนก็ได้ มึงเจอกูแน่ ” ไอ้พี่หน้าตี๋มันพูดก่อนจะเดินชนไหล่ผมแล้วก็เข้าไปในห้องสตูดิโอทันที ไอ้ห่านี่วอนซะแล้ว เดี๋ยวกูให้ไอ้เป้ตามกระทืบเลยว่ะ

“ เอ่อ....งั้นก็เข้าห้องกันเถอะพี่ๆ ได้รีบถ่ายๆไง ” ไอ้หมีมันบอกกับดาวเดือนคนอื่นก่อนจะเดินนำเข้าห้องสตูดิโอไป

“ กูเข้าไปก่อนนะขุน ” พี่เกียร์มันบอกไอ้ขุนก่อนจะเดินตามเข้าไปอีกคน ตอนนี้เหลือเพียงผมกับไอ้ขุนยืนอยู่ข้างนอกห้องอยู่สองคน

“ หนมกู....”

“ กูโกรธมึง มึงรู้ตัวใช่ไหม ” โกรธจริงครับ โกรธที่มันห้ามคนอื่นแต่มันเสือกทำเอง จะว่าไปมันก็เป็นต้นเหตุให้ดาวสองคณะทะเลาะกัน

“ รู้ ” เสียงอ่อนๆของมันไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนหายโกรธง่ายๆหรอกนะ

“ กูไม่ชอบคนที่ทำให้งานของส่วนรวมเสีย กูไม่รู้หรอกว่าไปโกรธเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนแต่งานคืองาน มึงทะเลาะกันสองคนก็จริงแต่มันส่งผลเสียถึงขนาดไหนมึงเห็นรึเปล่า จบงานก็เตรียมคำพูดดีดีไว้บอกกูด้วยละกัน ” ผมบอกกับมันก่อนจะเดินเข้ามาในห้องสตูดิโอทันที ไอ้ขุนมันก็เดินตามมาเงียบๆ

นานแค่ไหนที่ไม่ได้หัวร้อนแบบนี้วะเนี่ย หัวร้อนกว่าตอนที่ไอ้ขันเอาผักตบชวามาใส่รถอีก ผมเข้ามานั่งประจำที่ของตากล้อง ไอ้เผือกมันก็นั่งอยู่ข้างๆ ดูจากหน้าก็รู้ว่ามันหงุดหงิดอยู่ มันคงได้ยินที่พวกผมมีปัญหากันด้านนอกแน่ๆ จบงานนี้ตัวมันอาจจะไปกระทืบไอ้คนที่ว่าผมห้าวก็ได้ มันเป็นพวกรักเพื่อนนี่ครับ ใครมาว่าพวกผมแม่งพร้อมจะซัดทุกคนอ่ะ

“ รันคิวตามนี้เลยนะครับพี่ๆ ” ไอ้หมีมันยืนอธิบายคิวถ่ายให้พวกดาวเดือนฟัง ผมมองไอ้ขุนที่นั่งหงอยอยู่ข้างพี่เกียร์ สมน้ำหน้าไอ้บ้าทำอะไรไม่ค่อยจะคิดหรอกโดนกูโกรธไปเลยมึง

“ มึงโอเคนะหนม ” ไอ้เผือกเอ่ยถามผมอย่างเป็นห่วง

“ กูโอเค หัวร้อนนิดหน่อยแต่ไม่ทำให้งานเสียหรอก ”

“ งั้นก็ดีแล้ว ”

“ พร้อมก็เริ่มเลยครับ กล้องพร้อมแล้ว ” ผมตะโกนบอกทุกคนในห้องสตูดิโอ

เอาล่ะเจ้าขนม....ทำจิตใจให้สงบซะ แม่ผมสอนว่าห้ามเอาอารมณ์ส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานเด็ดขาดเพราะมันจะทำให้งานเราเสียหายได้

แต่ไอ้ผมหมั่นหน้าไอ้พี่ที่บอกว่าผมห้าวจริงๆว่ะ

อยากจะตั๊นหน้าสักที



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



แย่ว่ะ

ผมทำให้คนตัวเล็กโกรธผมซะแล้ว

ผมนั่งมองขนมที่นั่งถ่ายรูปอย่างตั้งอกตั้งใจ คำที่น้องบอกผมมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่มากเลย อยากจะขอโทษตั้งแต่ตอนนั้นที่ก่อเรื่องแต่ดูจากอารมณ์ของน้อง ถึงผมบอกขอโทษไปก็คงจะไม่ยกโทษให้ผมอย่างแน่นอน พอเรื่องมันเป็นแบบนั้นผมก็ทำได้แต่นั่งหงอยอยู่ตรงนี้แหละครับ

พี่ขุนเสียใจนะน้องหนม

“ เอาหน่ามึง เดี๋ยวก็ค่อยอธิบายให้น้องมันฟัง ” ไอ้เกียร์มันแตะไหล่ปลอบใจผมเบาๆ ไอ้อธิบายมันก็ต้องอธิบายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ในใจมันห่อเหี่ยวอ่ะ

วันนี้ผมได้มีโอกาสมาให้ขนมถ่ายรูปแท้ๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานก็เถอะ แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีอ่ะ ผมแม่งแย่ที่ทำตัวบัดซบให้น้องเห็นซะได้ ไม่น่าเลยไอ้ขุนเอ้ย ทำตัวดีมาตลอดแท้ๆ แต่อย่างว่านะถึงน้องไม่รู้วันนี้สักวันน้องก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ

เรื่องที่ผมกับไอ้น้ำไม่ถูกกัน

ผมกับไอ้น้ำมีปัญหากันมาตั้งแต่ปี 1 เรื่องที่เป็นปัญหาก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิงแม่งโคตรไร้สาระชิบ แฟนไอ้น้ำบอกเลิกมันเพราะว่าชอบผม เธอตามผมอยู่ช่วงนึงเลยนะแต่ผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยเลย พอไม่เล่นด้วย เธอก็ไปบอกไอ้น้ำว่าโดนผมข่มขืน ไอ้น้ำมันก็พาเพื่อนมากระทืบผมโดยที่ไม่ฟังอะไรสักคำ เชื่อแต่คำโกหกของผู้หญิงคนนั้น

ช่างแม่งปล่อยให้มันโง่ต่อไป

ผมก็เลยมีปัญหากันมานับจากนั้น ทุกครั้งที่มันหาเรื่องผมก็ปากไวสวนกลับไปตลอด ชาตินี้คงไม่มีวันญาติดีกับมันได้แน่นอนเลย หวังว่าถ้าผมเล่าเรื่องนี้ให้คนตัวเล็กฟังเขาจะเข้าใจผมนะ แล้วก็คงจะต้องเล่าเรื่องของหมวยกับต่ายที่ทะเลาะกันอีก ผมเคยคั่วอยู่ช่วงนึงทั้งสองคนเลยแต่มันก็นานมามากแล้วตั้งแต่สมัยปี 1 โน่น

ตั้งแต่เจอขนมผมก็ไม่คิดจะยุ่งกับใครอีก

“ คิวมึงที่เท่าไหร่วะขุน ”

“ สุดท้ายเลยว่ะ กูขอไอ้หมีเองแหละ ” อยากอยู่มองน้องทำงานนานๆครับไม่ใช่อะไร สีหน้าคนตัวเล็กตอนนี้มุ่งมั่นและตั้งใจสุดๆ

น่ารักจังเลยครับ

แอบถ่ายรูปๆ

“ มึงนี่แสดงหน้าตาโรคจิตออกมาได้อย่างชัดเจนเลยนะ ” ไอ้เกียร์มันแขวะผม แหม เวลามึงอยู่กับไอ้แกงมึงก็แสดงหน้าโรคจิตไม่ต่างจากกูหรอก

ไอ้เกียร์กับไอ้แกงมันเป็นแฟนกันครับ เป็นมานานแล้วด้วยแต่ไม่ค่อยมีใครรู้เพราะพวกมันไม่คิดจะบอกใคร ไอ้เกียร์มันเคยมีปัญหากับไอ้ดรายซ์ที่เป็นเดือนเกษตร เพราะว่าไอ้ดรายซ์มันตามจีบไอ้แกง แม่งเคยเกือบจะต่อยกัน ผมเองก็ไม่ค่อยชอบไอ้ดรายซ์เพราะว่ามันหน้าม่อพร่ำเพรื่อ แถมมันยังดูปัญญาอ่อนขัดหูขัดตา

ผมก็เลยคิดแผนการณ์ขั้นเด็ดขาดขึ้นมาแผนนึง

ผมรู้มาจากเพื่อนคณะเกษตรว่าไอ้ดรายซ์มันกลัวตุ๊กแกมาก ผมเลยจัดการไปจับตุ๊กแกที่บ้านป้ามาสามตัว วันนั้นผมนัดกันไปกินเหล้าที่ร้านประจำก็เจอไอ้ดรายซ์มาจีบไอ้แกงเหมือนเดิม ผมก็เลยได้โอกาสเอาตุ๊กแกไปปล่อยใส่ในเสื้อไอ้ดรายซ์ มันกรี๊ดลั่นร้านเลยครับ มันช็อคมากก่อนจะสลบไป พวกผมนี่ก็ตกใจไม่คิดว่ามันจะกลัวขนาดนั้น

พอจบเรื่องวันนั้นมันก็ไม่กล้ามายุ่งกับพวกผมอีก

“ เออขุน น้องแว่นนี่น่ารักเนอะตอนไม่ใส่แว่นอ่ะ ” ผมหันขวับมองไอ้เกียร์ทันทีที่มันพูด มึงไปเห็นหน้าน้องมันตอนไม่ใส่แว่นได้ยังไงไอ้เกียร์ หน้านั้นกูต้องเห็นได้แค่คนเดียวสิ

“ มึงรู้ได้ยังไงห้ะ ”

“ ก็ตอนที่น้องไปหากูที่คณะน่ะ กูคิดว่ามันต้องน่ารักกูเลยดึงแว่นน้องมันออก หน้าที่อยู่ใต้แว่นนั่นน่ารักจริงๆ สายตากูเวลามองคนนี่ยังแม่นเหมือนเดิม ” ไอ้เกียร์มันยิ้มอย่างภูมิใจ ไม่ต้องมาภูมิใจเลยไอ้สัส แว่นมันอยู่บนหน้าน้องดีดีเสือกไปดึงออก ถ้าคนอื่นเห็นแล้วมาตามจีบกูจะทำยังไง

“ มึงมันเลว กูฟ้องไอ้แกงแน่ ”

“ อย่าฟ้อง ” ไอ้เกียร์มันทำแก้มป่อง คิดว่าน่ารักหรอไอ้สัส กูฟ้องแน่มึงไม่รอดหรอก

“ คนนี้ห้ามยุ่ง กูหวง ”

“ จริงจัง ” มันเลิกคิ้วมองผม

“ จริงจัง ” ผมพูดอย่างจริงจังเพื่อที่จะบอกมันว่าผมไม่ได้คิดจะเล่นๆกับขนม ถ้าผมไม่จริงจังกับน้องผมจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นทำไม เที่ยวก็น้อยลง แถมยังทำอะไรเลี่ยนๆที่ตัวเองไม่เคยทำอีก

จริงจังสุดใจเลยกับคนเนี้ยะ

“ กูจะเอาใจช่วย มีอะไรก็บอกกูละกัน ”

“ เออ ขอบใจว่ะ  ”

“ คิวต่อไปพี่เกียร์ครับ ” เสียงไอ้หมีเรียกไอ้เกียร์ไปถ่ายต่อ

ผมมองเหล่าดาวเดือนที่ทยอยกันถ่ายรูปเสร็จกันไปเกินครึ่ง ก็ถือว่าเร็วเหมือนกันนะหรือว่าเป็นเพราะขนมถ่าย ผมฟังเรื่องของขนมทั้งหมดมาจากไอ้หมี ไอ้หมีมันก็เล่าให้ฟังหมดอย่างไม่ปิดบังมันจึงทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กนั่นเป็นคนยังไง ขนมเป็นคนเรียนเก่งแถมทำงานก็เก่ง เป็นที่หนึ่งของชั้นปี จะมีเรื่องที่น้องไม่เก่งก็คือเรื่องสานสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

แต่ก็ดีแล้ว น่ารักๆแบบนั้นอย่ารู้จักใครเยอะเลย

ผมฟังเรื่องของขนมมาเยอะนะครับพอมาเจอกับนิสัยหลายๆอย่างของน้องจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากที่ไอ้หมีพูดไว้เลย ทั้งเรื่องนิสัยทั่วๆไป เรื่องนิสัยการทำงานก็ได้เห็นในวันนี้แหละว่าเป็นคนที่ใส่ใจและจริงจังในงานที่ทำ ในเรื่องครอบครัวน้องผมก็รู้ว่าน้องเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่สาวสองคน และพี่ชายอยู่คนนึง

โลกโคตรกลมที่พี่ชายของขนมคือพี่ขัน พี่รหัสของผมเอง

ไอ้หมีเล่าให้ฟังว่าพี่ขันหวงน้องมาก ตัวขนมเองคงจะไม่รู้ว่าพี่ชายหวงขนาดไหน ผมรู้มาว่าพี่ขันชอบแกล้งขนม ก็เห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วครั้งนึงล่ะนะเรื่องผักตบชวาน่ะ ผมก็สงสัยนะว่าทำไมพี่ขันถึงทำเรื่องแบบนั้น เดี๋ยวจะต้องถามขนมละผมรู้สึกสงสัยกับการกระทำของพี่ขันจริงๆ

จะมีพี่สักกี่คนที่เอาผักตบชวาใส่รถของน้องในวันสอบ

พี่ขันรู้ว่าผมชอบขนมเพราะผมเป็นคนบอกเขาเอง พี่ขันแสดงออกมาค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าไม่อยากให้ผมยุ่งกับน้อง เขาถึงได้บอกตอนที่ผมไปถามเขาว่ารู้จักขนมไหม เขาก็ตอบทันทีว่าไม่รู้จักทั้งๆที่นั่นเป็นน้องชายแท้ๆของเขา พี่ขันเป็นพี่รหัสที่ดีและผมก็ยกเขาเป็นไอดอลของผม เขาเป็นคนที่เท่มากเลยนะครับ แต่พี่ขันไม่ชอบคนที่เจ้าชู้ แล้วผมก็ดันเป็นคนเจ้าชู้ ความเจ้าชู้ของผมมันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าคนที่ผมยุ่งไม่ใช่น้องเขา

เหมือนเจออุปสรรคใหญ่มากๆเลยว่ะ

“ พี่ขุนคิวพี่แล้วครับ ” และแล้วก็ถึงคิวผมที่เป็นคิวสุดท้ายแล้ว จากตอนที่เริ่มถ่ายจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายโมงครึ่ง

ถ้าชวนขนมไปกินข้าวหลังจบงานน้องจะไปกับผมไหมนะ

พอเลิกคิดก่อน

ผมรีบเดินเข้ามาในฉากหน้ากล้อง ขนมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทำหน้าจริงจังเหมือนเดิม ผมจะต้องตั้งใจให้เหมือนกับน้อง งานจะได้เสร็จไวไว ผมจะได้คุยกับน้องสักที

“ โพสท่าที่มึงคิดว่ามึงดูดีอ่ะ ” เอาจริงๆก็ดูดีแม้ว่าจะยืนปกติน่ะนะ ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ ก็คนมันดูดีจริงๆ

ผมก็เริ่มโพสท่าให้น้องถ่ายไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนท่าโพสของผมยังทำให้ตากล้องตัวเล็กไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ นี่ผมก็ว่าผมตั้งใจแล้วนะ หรือว่าผมยังตั้งใจไม่พอ รูปถึงออกมาไม่ดี

“ กูว่ารูปนี้ก็ดีนะหนม ” ไอ้เผือกเพื่อนขนมที่ผมเจอบ่อยๆที่ร้านเหล้าพูดบอกกับคนตัวเล็ก แม่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชิบหาย กูยังไม่มีโอกาสได้ยื่นเข้าไปใกล้ขนาดนั้นเลย

“ ยัง....ยังดีไม่พอ ” พอผมได้ยินแบบนั้นผมก็โพสท่าเพื่อให้น้องถ่ายใหม่ ขนมก็รัวชัตเตอร์ถี่ๆ

“ ซ้ายยกขึ้นหน่อย ” ซ้ายนี่แขนซ้ายป้ะวะ ผมคิดได้แบบนั้นก็ยกแขนซ้ายให้สูงขึ้นตามที่น้องบอก

“ กูบอกว่าซ้าย ” คนพูดไม่ได้ละสายตาจากเลนส์กล้องขึ้นมามอง ผมก็ยกซ้ายป้ะวะผมยกผิดตรงไหน

“ นี่ก็ซ้ายนะ ” ผมเอ่ยบอกคนตัวเล็ก พี่ขุนยกสูงไม่พอหรอครับหรือยังไง

“ ซ้ายของกู ”

เอ่อ....จ่ะ

มึงก็บอกว่าข้างขวาสิวะ!!!!!!!!!!!!

ไม่ได้ๆไอ้ขุน ใจเย็นไว้

“ มึงนี่กวนตีนเหมือนกันเนอะหนม ” ไอ้หมีมันมองขนม เออกวนตีนจริงๆ กวนตีนในฐานะที่กูสวนกลับไม่ได้ด้วย

“ เงียบไปเลยไอ้หมี ” ขนมเอ็ดไอ้หมี ผมก็ยกแขนขวาขึ้นตามที่น้องสั่งให้ยก สั่งมาเลยครับคนดีสั่งอะไรก็จะทำให้ พี่ยอมแล้วครับยอมแล้วทุกอย่าง

พี่ยอมแล้ววววววววววววววว



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]


---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 8 : 8/11/2017 ]
«ตอบ #15 เมื่อ08-11-2017 19:22:31 »

---------- ต่อจากบท 8 ----------



การถ่ายรูปดาวเดือนมหาลัยของผมก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ หลังจากที่ผมเอาคืนไอ้ขุนด้วยการที่มันโพสท่าไปเรื่อยเปื่อยเกือบครึ่งชั่วโมง หมั่นไส้นี่ครับ นี่ถือว่าผมลงโทษมันเล็กๆน้อยๆนะ ผมใช้เวลาในการถ่ายรูปมันนานมากกว่าคนอื่น อันที่จริงมันใช้ได้ตั้งแต่รูปแรกแล้วล่ะ

แต่บอกแล้วว่าหมั่นไส้

ตอนนี้ผมนั่งเก็บอุปกรณ์กันอยู่โดยที่มีไอ้ขุนนั่งมองอยู่ห่างๆ สงสัยมันจะรออธิบายเรื่องวุ่นวายให้ผมฟัง ส่วนพี่เกียร์ที่มาพร้อมกับไอ้ขุนนั้นคงไปกินข้าวล่ะมั้ง แน่ล่ะนี่มันเกือบบ่ายสองแล้ว ผมเองก็หิวข้าวเพราะยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า นี่ถ้าผมยังกินข้าวไม่ตรงเวลาโรคกระเพาะต้องถามหาผมแน่ๆ

“ เดี๋ยวกูเอาไฟล์รูปไปให้พวกไอ้ปั้นเลยละกันนะ ” ไอ้หมีมันบอกก่อนจะเก็บเอสดีการ์ดใส่กระเป๋าของมัน

“ อย่าให้หายนะ ” ผมกำชับมัน งานนี้ต้องรอบคอบครับเพราะเป็นงานใหญ่ เอาจริงๆไม่ว่าจะงานอะไรเราก็ต้องรอบคอบอยู่แล้ว

“ ไม่หายแน่นอน เจอกันตอนเย็นละกันนะมึง ” ไอ้หมีมันว่าแล้วก็เดินออกไปทันที

“ กูกลับหอไปนอนก่อนนะ กูง่วงอ่ะ ” เสียงเรียบของไอ้เผือกเอ่ยบอกผม ดูท่าก็คงจะง่วงเต็มที่อ่ะนะ

“ เออ ค่อยมาหากูที่หอตอนเย็น ”

“ แล้วเจอกัน ” แล้วไอ้เผือกก็เดินจากไปอีกคน ตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้ขุนสองคนในห้องสตูดิโอ

“ ไปกินข้าวกัน ” ผมมองไปทางไอ้ขุนที่ชวนผมไปกินข้าว ก็ดีเหมือนกันเพราะตอนนี้หิวมาก แถมจะได้ให้มันอธิบายเรื่องที่มันทะเลาะกับไอ้พี่หน้าตี๋นั่นด้วย

“ เออ ” ผมเดินเอากล่องใส่กล้องไปเก็บไว้ในตู้ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองออกมา กินอะไรดีวะ อยากกินอะไรเย็นๆด้วย หาข้าวกินก่อนค่อยไปกินไอติมดีกว่า

“ ไปกันเถอะ ”

ผมมองไอ้หล่อที่ยังทำหน้าหงอยอยู่ก่อนจะเดินออกมาจากห้องสตูดิโอ โดยที่มีมันเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง ตลกดีนะที่เห็นไอ้คนที่ทำโหดเมื่อกี้เดินหงอยตามอยู่ด้านหลังแบบนี้น่ะ

ฮ่าๆๆ นี่สินะคือสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ





ร้านไอติมหลังมอ

หลังจากที่ผมกับไอ้ขุนไปกินข้าวด้วยกันมา ผมก็ลากมันมาที่ร้านไอติมทันที ระหว่างที่กินข้าวผมกับไอ้ขุนไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ต่างคนต่างจ้วงข้าวใส่ปากอย่างเต็มที่ แต่ถึงมันจะอธิบายในตอนนั้นผมก็คงจะบอกให้กินข้าวเสร็จก่อนค่อยคุย

และแล้วตอนนี้ก็ถึงเวลานั้น

เวลากินไอติม

“ เอาช็อคโกแลตสองลูกครับ ” ผมสั่งไอติมกับพนักงานที่เคาท์เตอร์ก่อนที่จะเดินมานั่งที่โต๊ะโดยมีไอ้ขุนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ หนม ”

“ อะไร ”

“ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น....กูขอโทษนะ ” ไอ้ขุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ ทำไมถึงมีเรื่องกัน ” ยังครับ ยังไม่ยกโทษ ผมอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาก่อนว่าอะไรมันเป็นยังไง

“ ก็....กูกับไอ้น้ำไม่ถูกกัน ตั้งแต่ปี 1 แล้วล่ะ เรื่องผู้หญิงน่ะ มัน.....” แล้วไอ้ขุนก็เล่าให้ผมฟังไปเรื่อย ผมฟังไปแล้วก็ตักไอติมกินไป ฟังจากที่มันเล่าก็คงไม่แปลกหรอกนะที่จะไม่ถูกกัน อีกฝ่ายก็หน้าโง่ไม่ยอมฟังอะไรเลย นอกจากที่มันเล่าเรื่องมันกับไอ้คนที่ชื่อน้ำมันก็เล่าให้ผมฟังด้วยว่าพี่ปากแดงกับพี่ปากส้มเกี่ยวข้องกันยังไง

มีความหมั่นไส้แปลกๆ

“ เรื่องมันก็เป็นอย่างที่กูเล่าให้ฟังทั้งหมดนั่นแหละ มีอะไรอยากจะรู้อีกไหม ”

“ ก็มี แต่ยังไม่อยากรู้ตอนนี้ ” ผมแย่งเชอร์รี่ในถ้วยไอ้ขุนมากิน มันก็ไม่ได้ว่าอะไร ลองว่ากูสิกูทุบหน้าให้

“ งั้นถ้ามึงอยากรู้อะไรมึงก็ถามกูนะ กูยินดีจะเล่าทุกเรื่องให้มึงฟัง ” ถ้ากูถามว่ามึงช่วยตัวเองครั้งล่าสุดเมื่อไหร่มึงก็คงจะบอกกูสินะ

เห้ย คิดเรื่องอะไรเนี่ยะหนม

“ มึงอย่าลืมคำพูดตัวเองซะล่ะ ”

“ แล้วนี่มึงหายโกรธกูรึยัง ” ไอ้ขุนถาม ผมมองหน้ามันนิ่งๆ เอาจริงๆเรื่องเมื่อเช้ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไรมาก แต่พูดถึงว่าส่งผลเสียไหมมันก็มี แต่ในเมื่อมันอธิบายเหตุผลแถมยังขอโทษผมแล้ว ผมก็พร้อมที่จะอภัยให้มันได้

แม่ผมสอนครับ ว่าเราต้องรู้จักการให้อภัยผู้อื่น

“ เออ อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกล่ะ ถ้ามีอีกกูไม่ให้อภัยมึงแน่ ”

“ ครับผม จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันกลับมายิ้มออกทันทีที่รู้ว่าผมให้อภัยมันแล้ว ปากบานเชียวนะมึง

“ แดกๆไป กูอยากกลับหอไปนอนแล้วกูง่วง ”

“ ง่วงแล้วหรอ ว่าจะชวนไปดูหนังต่อซะหน่อย ” สภาพตากูจะปิดแบบนี้ชวนกูไปดูหนังกูคงหลับสนิทคาโรงอย่างแน่นอนไม่ต้องสืบ

แต่เห็นสีหน้าผิดหวังของมันนี่ก็ดูน่าสงสารอยู่แฮะ

“ มึงอยากจะไปดูหนังจริงๆหรอ ” ผมเอ่ยถามมัน จนกว่าจะถึงเวลานัดกับเพื่อนๆผมก็อีกหลายชั่วโมงอ่ะนะ

“ ก็อยาก....แต่เอาจริงๆกูอยากอยู่กับมึงมากกว่า ”

ไอ้บ้าขุน

เหตุผลของมึงนี่มันจริงๆเลยนะ

ผมมองมันอย่างชั่งใจ เอายังไงดีวะ วันนี้ไอ้ขุนมันก็ทำงานได้ดีเลยนะครับถึงแม้ว่าตอนแรกจะมีปัญหาก็เถอะ ผมควรให้รางวัลมันดีไหม แต่ผมไม่ไปดูหนังแน่ๆเพราะตอนนี้ง่วงมากตาจะปิด ไอ้ขุนมันบอกว่ามันอยากอยู่กับผม

งั้นก็....

“ เช่าหนังไปดูที่หอกูก็ได้ แต่กูจะนอนนะ มึงจะไปรึเปล่า ” ผมมองหน้าไอ้ขุนที่ดี๊ด๊าขึ้นทันที นี่ถ้ามันมีหางเหมือนหมา หางมันคงกระดิกรัวๆอยู่แน่ๆ

“ ไปๆ กูไป กูจะไม่กวนเลยจะอยู่เงียบๆ ” พูดช้าๆก็ได้ มึงจะดีใจอะไรขนาดนั้นวะ

“ เออ ไปจ่ายตังค์จะได้รีบไป ” มื้อนี้ไอ้ขุนก็เลี้ยงผมไปตามระเบียบ แน่ล่ะมันทำผมโกรธนะมันก็ต้องรับผิดชอบสิ

พอไอ้ขุนมันจ่ายเงินเสร็จ ผมกับมันก็เดินออกมานอกร้านก่อนจะขับรถกลับมาที่หอของผมโดยไอ้ขุนมันแวะเช่าหนังมาสองเรื่อง ผมไม่ได้สนใจหนังที่มันเช่ามาหรอกครับเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ดูแน่นอน ผมเปิดเข้ามาในห้องก่อนจะเปิดแอร์ ขอนอนให้ชุ่มปอดเถอะงานเสร็จทั้งที

“ ถอดถุงเท้าก่อนสิหนม ” ไอ้ขุนมันบอกผมหลังจากที่ผมกระโจนลงบนเตียงทันที ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นโว้ย

“ กูจะนอน ” ผมเอาหมอนมาบังหน้าเพื่อหนีจากไอ้หล่อที่พูดอะไรของแม่งก็ไม่รู้งุ้งงิ้งๆ

“ มึงนี่จริงๆเลย ” ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่จับข้อเท้าผม ผมลดหมอนลงก็เห็นเป็นไอ้ขุนที่นั่งอยู่ปลายเตียง มือเรียวของมันค่อยๆถอดถุงเท้าทั้งสองข้างออกให้

ความจริงมึงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ

“ ไอ้ขุนมึง....”

“ ถุงเท้ามันจะทำให้เตียงเลอะรู้ไหม ไม่ต้องห่วงหรอกกูจะแตะตัวมึงก็แค่นี้แหละ กูไม่ทำอะไรตอนมึงหลับหรอกไว้ใจได้ ” มันยิ้มหวานก่อนจะยกเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆเตียงที่ผมนอน เอาจริงๆผมไม่ได้ระแวงอะไรมันเลย ไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำว่ามันจะแอบทำอะไรผมตอนหลับรึเปล่า

นี่ผมไว้ใจมันขนาดนี้เลยหรอวะ

“ สักห้าโมงเดี๋ยวกูปลุกละกัน กูจะไม่เสียงดังมากหรอก ฝันหวานนะ ” มันว่า ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ผมแล้วมันก็เดินไปเปิดหนังที่มันเช่ามาดู

ผมนอนมองมันตาแป๋ว รู้สึกแปลกๆมากในตอนนี้ นอกจากแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครที่ดูแลผมแบบนี้ บางทีมันเป็นเรื่องเล็กน้อยซึ่งมันไม่ต้องทำก็ได้แต่มันก็เลือกที่จะทำ เรื่องที่มันไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันก็ใส่ใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างมันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมเป็นคนสำคัญ

รู้สึกดีนะ

รู้สึกดีจนอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

“ มองทำไมหืม ไหนว่าจะนอนไง ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นผมนอนมองมันอยู่ เออกูกำลังจะนอนไง ใจเย็นได้ไหมล่ะ ขอเวลากูเคลียร์กับตัวเองสักสามนาทีได้ไหม

“ เออ นอนแล้ว ” ผมพลิกหันหนีมาอีกข้างทันที ไอ้บ้านี่ใครอยากจะมองมึงกันวะ

กูก็แค่...

ก็แค่...

ช่างแม่งเถอะ นอนก็นอน









TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้น้า
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 8 : 8/11/2017 ]
«ตอบ #16 เมื่อ09-11-2017 07:37:46 »

ขอบคุณค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
«ตอบ #17 เมื่อ09-11-2017 20:43:20 »

บทที่ 9 ของที่ชอบ


อา....ไม่ไหวแล้ว

ต่อให้เป็นคนเก่งอย่างขนมก็ไม่ไหวแล้ว

“ เห้ยไอ้หนมมึงอย่าเพิ่งตายนะ ” เสียงไอ้หมีแว่วดังเข้ามาในหูผม สมองตอนนี้ไม่สั่งการห่าไรทั้งนั้นอ่ะ มันมีแต่ความมึน ความง่วง ความอ่อนล้า ความอ่อนแอ

อ่อนแอแบบนี้งอแงใส่ใครได้บ้างครับ

“ มึงไหวไหมเนี่ยหนม ไปนอนก่อนไป ” ไอ้ปั้นเอ่ยบอกผมอย่างเป็นห่วง ไม่เป็นไรปั้น เสร็จงานเมื่อไหร่เดี๋ยวกูจะนอนยาวแบบไม่ต้องตื่นเลย

ตอนนี้พวกผมนั่งปิดจ๊อบงานนิตยสารโปรโมทมหาลัยกันอยู่ที่ห้องของไอ้หมีครับ อยู่มาอาทิตย์นึงแล้วด้วย ที่มาทำที่ห้องของไอ้หมีก็เพราะห้องไอ้หมีมันใหญ่ที่สุดและมีพื้นที่มากพอที่จะยัดนักศึกษาผู้น่าสงสารทั้ง 7 คนได้แบบไม่อึดอัด แต่ละคนในห้องตอนนี้มีสภาพอิดโรยใกล้ตายเป็นอย่างมาก พวกผมไม่ได้นอนกันมาประมาณ 3 วัน เพราะต้องทำงานนี้ ทั้งเขียนบทความจัดหน้าแต่งภาพ นี่ขนาดว่าทุกคนช่วยกันทำอย่างเต็มที่เลยนะครับ มันก็ยังไม่เสร็จสักที

เดดไลน์คือวันนี้ก่อน 5 ทุ่ม

แล้วตอนนี้เป็นเวลา 1 ทุ่มครึ่ง

หึ....

ผมเชื่อแล้วเรื่องที่พี่กริมบอกว่างานนี้มันงานโหด เอาจริงๆถ้าพวกผมไม่โดนสั่งกลับมาแก้นะมันก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว บทความเขียนใหม่ตั้งหลายรอบแน่ะ ขนาดให้เซียนๆอย่างไอ้ไผ่เขียนแท้ๆก็ไม่ถูกใจอาจารย์อมร พวกผมเคยทำงานให้คณะมาหลายงานแต่ไม่มีงานไหนหนักเท่างานนี้เลย

โหดร้ายสุดๆ

“ ถ้าเราไม่ต้องไปเรียนแล้วทำอย่างเดียวกูว่าก็น่าจะเสร็จไปแล้วนะ ” จริงอย่างที่ไอ้เป้พูดครับ ลำพังถ้าพวกผมทำงานอยู่ที่ห้องกันอย่างเดียวสภาพพวกผมจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน แต่คือนี่ต้องไปเรียนด้วยไง เรียนเสร็จก็ต้องรีบกลับมาทำงานต่อ พอเช้าถึงเวลาก็ไปเรียนต่อ เป็นแบบนี้มา 3 วัน

นี่ถ้าไม่ใช่เด็กนิเทศนี่ทำไม่ได้นะ

“ ทำไงได้วะ อาจารย์ดันมาเก็บคะแนนควิซย่อยนี่หว่า แม่งจะสอบมิดเทอมมันก็อย่างนี้แหละ ” ไอ้ภีมบอกก่อนจะหาว ปกติไอ้ภีมมันจะเป็นพวกนอนตลอดเวลานะครับ แต่ 3 วันมานี้ผมก็ยังไม่เห็นมันหลับสักครั้ง

ดี ทำดีมากเพื่อนภีม ไว้เรามาหลับไปพร้อมกัน

“ หนมดู ” ไอ้ไผ่มันสะกิดให้ผมดูในจอโน้ตบุ๊คมัน มันกำลังจัดหน้าอยู่ครับ นิตยสารมหาลัยมีประมาณ 30 กว่าหน้า พวกผมก็ต้องแบ่งกันจัด จัดหน้านี่ยากนะครับ มันยากตรงจะจัดยังไงให้มันดูลงตัวและน่าสนใจ

“ ตรงนี้มันชิดขอบไป เอาเข้าไปอีกนิดนึง ” ผมบอกไอ้ไผ่ก่อนจะหันกลับมามองหน้าจอโน้ตบุ๊คตัวเองแล้วก็ทำงานของตัวเองต่อ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แม่งมาละ

ผมลุกไปเปิดประตูห้องก็พบกับไอ้ขุนคนเดิมเพิ่มเติมคือเอาเสบียงมาส่งให้ ผมมองร่างสูงที่ใส่เสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับทุกวัน ในมือถือถุงใส่ข้าวกล่องนับสิบ แถมยังมีกาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังอีกด้วย

“ เอาของกินมาให้ มึงไหวไหมเนี่ย ” มันเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะดึงเสื้อมันให้เข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตู ตัวมันก็เดินเอาของมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว

“ กูซื้อข้าวมาให้แล้วนะ ” ไอ้ขุนมันบอกกับเพื่อนๆผมที่นั่งกองกันอยู่กับพื้น ช่วงที่พวกผมทำงานยุ่งกันก็มีมันนี่แหละที่เป็นคนคอยหาข้าวมาให้กิน ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีมันพวกผมคงเสียเวลาทำงานเพิ่มแน่ๆ

“ ขอบคุณครับ ” ร่างเกือบไร้วิญญาณทั้ง 6 เอ่ยขอบคุณไอ้หล่ออย่างเป็นปกติ ผมกลับมานั่งหน้าโน้ตบุ๊คเหมือนเดิม ไอ้หล่อมันก็มานั่งลงข้างๆเหมือนอย่างที่มันทำทุกวัน

นั่งเงียบๆไม่ถามไม่ยุ่ง

รอผมไล่กลับถึงจะกลับ

จากวันที่ผมถ่ายรูปดาวเดือนคณะก็ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วครับ ผมเริ่มยุ่งกับงานก็ช่วงหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ไอ้ขุนก็เทียวไปเทียวมาโผล่หน้ามาให้ผมเห็นทุกวัน ไปที่ตึกคณะผมบ้างไปที่หอผมบ้าง มีบางวันที่มันติดงานของคณะมันก็ไม่ได้มาหาผม แต่มันก็ไลน์มาบอกไม่ก็โทรมาหาผมตลอดนะ

ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองห่างจากมันเลย

แม้ว่าต่างคนจะต่างยุ่งขนาดไหนก็ตาม

“ หยิบน้ำให้กูหน่อย ” ผมหันมองไอ้หล่อ มันก็รีบหยิบน้ำมาให้ผมทันทีแถมเปิดขวดปักหลอดให้พร้อม

“ อิจฉาจังเลยน้า ” ฟังจากเสียงก็ไม่ต้องสงสัยว่าใคร ไอ้ห่าหมีไง

ตั้งแต่ที่พวกผมย้ายมาสิงห้องไอ้หมีแบบเฉพาะกิจไอ้ขุนมันก็มาหาผมบ่อยๆ มีช่วง 4 วันที่มันมานั่งเฝ้าเงียบๆช่วงแรกๆที่ไอ้ขุนมาพวกแม่งก็แซวผมกันใหญ่เลย ผมนี่ต้องโวยวายแล้วสั่งให้มันทำงาน ไอ้ขุนนี่ก็เข้ากับเพื่อนทุกคนของผมได้อย่างดีเหลือเกิน

น่าหมั่นไส้ชิบ

“ ทำงานไปเลยไอ้หมี ถ้าเสร็จไม่ทันนะมึงตายแน่ ” ผมขู่ไอ้หมี มันแลบลิ้นใส่ผมทีนึงก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

ผมคอยแอบมองไอ้หล่อที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ ผมเคยคิดเหมือนกันนะว่ามันไม่เบื่อบ้างหรอมานั่งอยู่นิ่งๆเงียบๆ ถึงแม้ว่ามันจะเล่นโทรศัพท์บ้างตามประสา แต่ผมว่าบรรยากาศมันดูน่าเบื่อ ทุกคนนั่งทำงานเงียบๆ ไม่ค่อยมีใครพูดคุยกันนะครับเวลาทำงานน่ะเพราะมันต้องใช้สมาธิ จะพูดกันก็ต่อเมื่อปรึกษากันเท่านั้น

แทนที่จะเอาเวลาไปเที่ยวเหมือนที่เคยทำ

แต่ดันมาอยู่กับผม

“ ไอ้ขุน ”

“ หืม ” มันละจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าผม

“ มึงไม่เบื่อบ้างหรอวะ ที่มึงเอาเวลามาขลุกอยู่กับกูแบบนี้ ” ผมเชื่อว่าคำถามของผมมันจะต้องทำให้ไอ้พวกเพื่อนๆรอฟังคำตอบของไอ้ขุนอย่างแน่นอน

“ กูอยู่กับของที่กูชอบ กูจะเบื่อทำไม ” คนพูดไม่ว่าเปล่า มือหนาเลื่อนขึ้นมาขยี้หัวผมแล้วยิ้มหวาน

อา....

ใจสั่นไปตามสเต็ป

หน้าเน่อนี่ไม่ต้องพูดถึง

“ โอ้ยยยยยยยตายแล้วววววว ” เสียงไอ้หมีนำมาก่อนเลยครับ

“ จดๆ ไอ้เป้มึงเอากระดาษมาจดไว้ ” ไอ้ปั้นก็ตามมาอีกคน

“ หน้าไอ้หนมโคตรแดงอ่ะ ถ่ายรูปๆ ” ไอ้ภีมนี่ถึงกับเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปผมไว้ พวกมึงนี่มันจริงๆเลย

“ ไอ้หนมยิ้มด้วยว่ะ พี่ขุนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ” ไอ้เป้มันแซว แน่ล่ะมึงใครมันห้ามไม่ให้ยิ้มได้วะ แค่ประโยคเดียวแต่ดีต่อใจกูชิบหาย

“ พอแล้ว หัวกูยุ่งหมด ” ผมจับมือไอ้คนที่ขยี้หัวผมออกก่อนจะกลับมาทำหน้าแบบเดิม ไม่ได้ๆตอนนี้มีงานสำคัญต้องทำก่อน

“ ครับผม ” ยิ้มอยู่ได้ไอ้บ้านี่

“ พวกมึงอ่ะเลิกแซวกูแล้วทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน ” ผมบอกพวกเพื่อนๆมันก็รับคำกันอย่างยิ้มแย้มก่อนจะพากันทำงานต่อ

ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วนะครับตั้งแต่วันที่ไอ้ขุนบอกว่าจะจีบผม มันก็ทำทุกอย่างให้ผมเห็นจริงๆนะว่ามันจีบ จีบแบบจริงจังด้วย เสมอต้นเสมอปลาย มีอะไรก็อธิบายหมด ทั้งเทคแคร์ทั้งใส่ใจ ผมยอมรับในตอนนี้เลยว่าจิตใจโอนอ่อนให้มันลงกว่าก่อนมาก แต่ผมก็คิดว่าผมยังไม่ได้ชอบมันนะ ก็แค่เปิดใจเท่านั้นแหละ ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะดีแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน แล้วมันจะรอวันที่ผมจะชอบมันได้รึเปล่า

ตอนนี้ผมก็โคตรสับสนตัวเองเลย

การที่ไอ้ขุนมันตามดูแลผมนี่ทำให้ผมมีแนวไอเดียในการแต่งนิยายมากขึ้นเยอะเลยนะครับ มีรี้ดถามหลายคนเลยว่านิยายที่ผมแต่งมันดูอ่อนโยนเหมือนกับคนที่กำลังมีความรักแต่ง

แน่ะ

ความรักอะไรกัน คิดกันไปโน่น

แต่ช่วงนี้ผมพักงานนิยายอยู่เพราะติดงานคณะ เสร็จงานเมื่อไหร่จะรีบไปปั่นลงอย่างไวเลย คำพูดที่ไอ้ขุนใช้บอกกับผม ผมอยากใส่มันลงไปในนิยายจะแย่แล้วแต่ละอันนี่โคตรเลี่ยนแม่งคิดได้ยังไงก็ไม่รู้

กูอยู่กับของที่กูชอบ กูจะเบื่อทำไม

ประโยคนี้ก็ต้องใส่ลงไปเหมือนกัน





ณ ตอนนี้เป็นเวลา 22 : 30 น.

งานเสร็จแล้วครับ

งานเสร็จแล้วครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เย่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

อยากจะตะโกนดังๆแต่ตอนนี้สภาพของแต่ละคนคือนอนตาย หลังจากที่พวกผมจัดหน้าทุกอย่างเสร็จก็ส่งเมลไฟล์งานทั้งหมดไปให้อาจารย์อมรแล้วครับ แก้ไม่ได้แล้วด้วยเพราะต้องส่งพิมพ์พรุ่งนี้ แต่ว่าแก้หลายรอบขนาดนั้นรอบนี้มันก็คงออกมาดีที่สุดแล้วล่ะนะ

หวังว่างั้น

“ นี่พวกมึงจะกลับหอไหม ” ไอ้หมีมันถามในขณะที่ตัวมันคลานขึ้นเตียงพร้อมที่จะนอนอย่างเต็มที่

“ กูอยากกลับนะแต่กูไม่ได้เอารถมา ”

“ กูก็เหมือนกัน อยากกลับไปนอนหอมากกว่าจะได้นอนยาวๆ ”

“ ให้กูไปส่งที่หอไหมล่ะ วันนี้กูเอารถใหญ่มา ” ผมหันมองไอ้ขุนทันทีที่มันพูด ไอ้ขุนมันมีรถยนต์ด้วยหรอวะไม่เคยเห็น ปกติก็ขับแต่มอเตอร์ไซค์

“ ไปพี่ ” ไอ้เป้ตอบรับทันที ไอ้ภีมนี่กำลังจะเข้าสู่นิทราอย่างเต็มที่

“ ไปครับ ” ไอ้ปั้นพูดด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ ไอ้ไผ่ก็หน้ามึนไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไอ้เผือกนี่เก็บอาการดีสุดแต่มันเองก็คงอยากจะกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน

“ งั้นไปกันเลยเถอะ ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะเดินนำพวกผมออกจากห้องมายังรถที่มันจอดอยู่หน้าตึก เป็นโตโยต้าฟอร์จูเนอร์สีขาวครับ จะยัดพวกผมได้หมดรึเปล่าวะเนี่ย

“ ป่ะขึ้น จะได้รีบกลับไปนอนกัน ” ไอ้ขุนมันบอกพวกผมก็รีบขึ้นรถอย่างว่าง่าย โดยที่ผมนั่งอยู่ด้านหน้ากับไอ้ขุน ไอ้พวกที่เหลือก็นั่งอัดกันอยู่ด้านหลัง ไอ้ขุนมันขับรถไปส่งพวกผมไล่หอทีละคนเลยครับ เริ่มจากไอ้ปั้น ไอ้เผือก ไอ้ไผ่ ทุกอย่างมันก็ดูปกติจนมาถึงหอไอ้เป้ ไอ้เป้มันลากไอ้ภีมลงด้วยครับ มันไม่ยอมให้ไอ้ภีมกลับหอตัวเอง ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม จะว่าเกรงใจไม่อยากให้ไอ้ขุนไปส่งต่อก็คงไม่ใช่

เรื่องนี้มันมีเงื่อนงำ

“ คิดอะไรอยู่หืม ” ไอ้ขุนมันถามผมทั้งๆที่มันก็ขับรถอยู่ แอบมองกูสินะถึงได้รู้ว่ากูทำหน้าสงสัยอยู่

“ ก็ไอ้เป้ไอ้ภีมอ่ะดิ่ ”

“ ทำไมอ่ะ ”

“ กูไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เป้ต้องให้ไอ้ภีมนอนค้างที่หอมัน ” มันน่าสงสัยจริงๆนะ ไอ้เป้กับไอ้ภีมนี่ไปนอนด้วยกันโคตรบ่อยอ่ะเท่าที่ผมรู้

“ เพื่อนนอนค้างด้วยกันไม่เห็นจะแปลกเลย ”

“ แปลกดิ่ กูเคยถามไอ้เป้ด้วยนะว่าทำไมชอบให้ไอ้ภีมมานอนที่หอ มันก็บอกกูว่าเพราะว่าหอมันใกล้มอ แต่ถ้าแบบนั้นมานอนที่หอกูมันไม่ดีกว่าหรอ หอกูใกล้กว่าอีก ”

“ ไม่ได้ ห้ามให้มานอน ” ผมหันมองไอ้ขุนทันที อะไรของมันวะ ทำไมต้องห้าม ไม่เห็นเข้าใจ

“ อะไรมึง ”

“ กูหวงอ่ะ ”

“ หวงบ้าอะไรของมึง ขับรถไปเลย ” ผมตีไหล่ไอ้หล่อทีนึง มันก็หัวเราะเบาๆให้ผม ยังจะมาหัวเราะอีกนะไอ้บ้า

เอ๊ะ

กระเป๋าผมหายไปไหน

ผมหันมองเบาะหลังเพื่อหากระเป๋าของตัวเองแต่ก็ว่างเปล่า อย่าบอกนะว่าลืมเอามาจากหอไอ้หมีน่ะ ไม่นะ ในนั้นมันมีกุญแจห้องอยู่นะเว้ย เป็นแบบนี้กูก็เข้าห้องไม่ได้น่ะสิ

“ มึง กูลืมกระเป๋าใส่ของไว้ที่หอไอ้หมีอ่ะ ”

“ อ่าว ละเอาไง ย้อนกลับไปเอาไหม ”

“ ไอ้หมีคงหลับลึกไปแล้วแหละตอนนี้อ่ะ จะขอกุญแจสำรองก็คงไม่ได้เพราะมันดึกแล้ว ” ผมจะทำไงดีวะ โอ้ยเพราะง่วงจัดสินะ สมงสมองนี่เบลอไปหมด ของสำคัญอย่างกุญแจห้องก็ลืมซะได้

“ ให้กูไปส่งบ้านไหม ”

“ ไม่เอาอ่ะ วันนี้วันศุกร์ไอ้ขันมันกลับไปนอนบ้านแน่ๆ กูไม่อยากเจอมัน ถ้ามันรู้ว่ากูกลับไปนอนบ้านนะ ไอ้ความตั้งใจที่จะนอนพักแบบยาวนานของกูจะหายไปทันที ” จริงจังครับ ไอ้ขันแม่งจะต้องมาเคาะห้องผมแต่เช้าแล้วลากผมไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้านแน่นอน ทุกครั้งที่ผมกลับไปนอนบ้านวันหยุดผมมักจะโดนแบบนี้เป็นประจำ

“ งั้นไปนอนบ้านกูละกันงั้นอ่ะ ”

“ มึงไม่ได้อยู่หอหรอ ”

“ อยู่....แต่วันนี้ตั้งใจจะไปนอนที่บ้านอยู่แล้ว แล้ววันนี้หอกูก็พวกไอ้แฝดไปนอนด้วย ”

“ ถ้ากูไปนอนบ้านมึง มันจะรบกวนที่บ้านมึงรึเปล่า ” ต้องถามก่อนครับ เพราะนี่ก็ดึกแล้วถ้าผมโผล่ไปนอนบ้านมันอาจจะสร้างความวุ่นวายให้คนที่บ้านมันก็ได้

“ ไม่รบกวนหรอก เพราะกูอยู่คนเดียว ป้าแม่บ้านเค้าจะมาทำงานอีกทีวันจันทร์น่ะ ” อย่างนี้นี่เอง

“ เออ ไปนอนบ้านมึงก็ได้ ”

พอผมบอกแบบนั้นไอ้ขุนก็ขับรถไปทางที่จะไปบ้านมันทันที มันเป็นทางเดียวกับที่ไปบ้านผมเลยครับ เพียงแต่ว่าบ้านมันไกลกว่า ถึงว่าวันที่รถผมเสียผมถึงเจอมันแถวนั้นพอดี คิดเรื่องนั้นก็รู้สึกบังเอิญจริงๆว่ะ แล้วก็โชคดีจริงๆที่เจอมัน ชีวิตที่ผ่านมาของผมมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่ก็มีมันนี่แหละที่คอยเข้ามาช่วยตลอด

ดีจริงๆเลย

“ กูเปิดรั้วแปปนึง ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะลงจากรถไปเปิดประตูรั้ว ผมมองบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้นระดับกลางๆ มันใหญ่ไปเกินกว่าจะอยู่คนเดียวนะอันที่จริง ผมเพิ่งรู้วันนี้ด้วยว่ามันอยู่คนเดียว นึกว่ามันอยู่กับพ่อแม่ซะอีก

“ แล้วพ่อแม่มึงไปไหนอ่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอ ” ผมถามไอ้ขุนที่ขึ้นรถมาเพื่อจะขับเข้าบ้าน

“ ไม่อ่ะ อยู่บ้านใหญ่ เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังนะ ” มันว่าก่อนจะดับเครื่องยนต์แล้วเดินลงจากรถ ผมก็เดินตามมันลงมา

ไอ้ขุนมันล็อครั้วก่อนจะพาผมเดินเข้ามาในบ้าน ผมรู้สึกปลื้มปริ่มกับบ้านนี้มากครับเพราะว่ามีเฟอร์นิเจอร์และของใช้หลายชิ้นเป็นสีเหลือง พอเห็นแบบนี้ก็คิดได้เลยน่ะนะว่าสีเหลืองต้องเป็นสีที่ไอ้ขุนชอบอย่างแน่นอน แหม่ รสนิยมดีเหมือนกันนะเนี่ย ด้านล่างก็เป็นห้องรับแขก มีโซฟากับโทรทัศน์จอใหญ่ชิบหาย เหมาะกับคนชอบดูหนังนะครับ อีกด้านจะเป็นห้องครัว ไว้พรุ่งนี้ค่อยสำรวจละกัน

“ ห้องนอนอยู่นี่ ” ไอ้ขุนมันเดินนำขึ้นบันไดไป ชั้นสองถูกแบ่งเป็นสองห้อง ผมเดินตามไอ้ขุนเข้ามาในห้องนอน ห้องนอนมันกว้างมากครับ ผนังห้องเป็นสีเหลืองอ่อนสีเดียวกับห้องผม เห็นแล้วรู้สึกดีชะมัด

“ มึงชอบสีเหลืองจริงๆสินะ ” ผมถอดแว่นออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะกระโจนขึ้นเตียงทันที เตียงนิ่มจังเลย ผมหยิบหมอนที่อยู่ข้างๆมากอดไว้แน่น กลิ่นหอมจัง สูดแม่งให้เต็มปอด

“ ชอบที่สุดอ่ะ แล้วเอาหมอนกูไปกอดนี่ คิดอะไรกับกูป้ะเนี่ย ” ไอ้หล่อมันอมยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างผม

“ คิดบ้าอะไรวะ มึงเอาคืนไปเลยไป ” ผมโยนหมอนใส่หน้าไอ้ขุน กูไม่กอดก็ได้ไอ้บ้า เชอะ

“ กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย....ยังอยากรู้เรื่องที่บ้านกูอีกไหม ” มันเอนตัวพิงหัวเตียงไว้ก่อนจะหันถามผม

“ อยาก....เล่ามา ” ผมพลิกตัวหันมองหน้ามัน ไอ้ขุนมันถอดเสื้อช้อปออกก่อนจะวางพาดไว้บนเก้าอี้ใกล้หัวเตียง ตอนนี้ตัวมันเหลือกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีดำที่มันใส่ไปเรียนมา ส่วนผมน่ะหรอ

กางเกงเจเจขาสั้นลายดอกไม้กับเสื้อแขนยาวสีขาว

ไม่คิดจะอาบน้ำด้วยครับ ตามนั้นเลย

“ ก็ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมาพ่อก็ซื้อบ้านหลังนี้ให้กูโดยให้เหตุผลว่า จะได้มีที่ให้เพื่อนมาค้างเวลาทำงานอะไรทำนองนั้น ถ้าจะให้ไปกันที่บ้านใหญ่พ่อกูกลัวว่ามันจะวุ่นวายแล้วก็ไม่สะดวก ถ้าเป็นคอนโดมันก็จะเล็กไป ส่วนหอที่กูเช่าไว้ก็เพราะมันใกล้มอ เอาไว้แวะไปนอนกับเก็บของ ”

ฟังจากที่ไอ้ขุนเล่าก็บ่งบอกได้ว่าบ้านมันต้องรวยในระดับนึง พ่อมันก็ใจดีเหลือเกินซื้อบ้านไว้ให้ลูกชายไว้พาเพื่อนมาค้างเวลาทำงาน แต่ดูจากทรงคงพากันมาแดกเหล้าแน่นอน ผมอยากให้ป๊าผมใจดีแบบพ่อไอ้ขุนบ้างจัง ใจดีแบบซื้อคอนโดให้ผมแบบไม่ต้องรอผมปีสามและได้เกรดเอทุกตัวอะไรแบบนี้

อิจฉาจังโว้ย

“ มึงนี่ดีว่ะ พ่อซื้อบ้านให้ด้วย ของกูนี่ป๊าจะซื้อคอนโดให้ก็ต้องรอปี 3 แถมยังต้องได้เกรดเอครบทุกตัวอีก ”

“ คนเก่งอย่างมึงทำได้อยู่แล้วแหละ ว่าแต่ทำไมอยากไปอยู่คอนโดล่ะ อยู่บ้านไม่ดีหรอ ”

“ กูรำคาญไอ้ขัน มันชอบแกล้งกู ”

“ ทำไมพี่ขันถึงชอบแกล้งมึงอ่ะ ”

“ ไม่รู้แม่ง มันเหงามั้ง กูยังเคียดแค้นมันเรื่องผักตบชวาอยู่เลย ” แค่นึกก็หัวร้อนแปลกๆ รถผมซ่อมเสร็จนานแล้วล่ะครับแต่ผมยังไม่ได้เอามาใช้ ทุกวันนี้ยังหลอนๆเวลาขึ้นรถอยู่เลยว่าจะเจอผักตบชวาอยู่ในกระโปรงรถรึเปล่า

“ เออ กูว่าจะถามหลายครั้งละ พี่ขันเค้าเอาผักตบชวามาใส่รถมึงทำไม ”

“ ก็ไอ้ขันมันคงไม่อยากให้กูไปสอบทันอ่ะ วิชานั้นถ้ากูไปสอบไม่ทันกูก็จะพลาดเอแบบชัวร์ๆ ”

“ กูพอเข้าใจแล้วว่าทำไม....กูเป็นกำลังใจให้มึงได้เอทุกตัวแล้วกันนะ ” ไอ้ขุนมันยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมนอนมองมันนิ่งๆไม่หยุกหยิก ผมชอบจริงๆนั่นแหละเวลาที่มันสัมผัสหัวผมน่ะ ไม่เคยคิดจะจับมือมันออกจริงๆไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน

“ มึงไปอาบน้ำสิ ไม่ง่วงรึไง ” ผมถามมัน มือที่ลูบหัวผมก็ลงมาไล้เบาๆที่แก้ม เอาใหญ่แล้วนะมึงน่ะ มีการลามมายันแก้มกูด้วย เห็นกูไม่ว่าอะไรสินะไอ้สัส

“ เนี่ย รอมึงหลับเดี๋ยวก็ไปอาบน้ำ ”

“ แล้วมึงจะนอนที่ไหน ”

“ มึงให้กูนอนบนเตียงเดียวกับมึงได้ไหมล่ะ ถ้าไม่ได้เดี๋ยวกูนอนพื้นก็ได้ ” ผมมองหน้าไอ้หล่อที่เอ่ยถามผม ถ้าผมบอกว่าให้มันนอนพื้นมันจะนอนไหมวะ ไม่เอาๆอย่าไปแกล้งมัน

“ มึงนอนเตียงก็ได้ ยังไงก็เตียงมึง แค่ห้ามยุ่มย่ามกับกูก็พอ ” ผมไว้ใจมันเรื่องนี้นะครับ ว่ามันจะไม่ทำอะไรผมตอนนอนแน่ๆ แต่ว่ายังไงก็ต้องบอกไว้ก่อนอยู่ดี

“ ไม่ทำอะไรแน่นอนครับ กูยังไม่อยากให้มึงเกลียดกูตอนนี้หรอก ” ผมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของไอ้ขุน เคยสงสัยเหมือนกันนะว่านอกจากผมแล้วมันเคยทำแบบนี้กับใครบ้างรึเปล่า แต่ใจนึงผมก็ไม่อยากถามเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว

อดีตมันก็ควรเป็นแค่อดีต

เออยอมรับก็ได้ว่าไม่อยากได้ยินว่ามันเคยทำแบบนี้กับคนอื่น ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมขอคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มันทำอะไรแบบนี้ให้คนเดียวละกัน มีคนมาจีบทั้งทีก็อยากจะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นในโลกน่ะ

ได้ทีก็เอาหน่อย ฮ่าๆ

“ ไปอาบน้ำซะไป ” ผมไล่มันไปอาบน้ำ ตอนนี้ผมเองก็ง่วงมากตาจะปิดแล้วครับ

“ โอเค งั้นฝันหวานนะครับ ” มันยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ไอ้ขุนนี่ยิ้มได้ตลอดเวลาจริงๆนะ เวลาที่มันยิ้มหวานมากๆก็พาลทำให้ใจผมสั่นได้ง่ายดายเหลือเกิน

บ้าจริงๆเชียว

ผมหยิบหมอนของไอ้ขุนที่ตัวเองปาใส่หน้ามันมากอดไว้ ผมเป็นคนติดหมอนข้างครับ บนเตียงผมนี่มีหมอนข้างไม่ต่ำว่าสามใบ แต่เตียงไอ้บ้าขุนไม่มีหมอนข้างให้ผมกอดเลย เพราะฉะนั้นมันต้องเสียสละหมอนมันมาให้ผมกอดแทน ง่วงมากครับไม่ไหวแล้ว ทุกอย่างรอบกายผมมันดูพร่าๆ ตอนนี้ความล้าและความเหนื่อยของผมมันมาถึงขีดสุดแล้ว

ผมควรนอน

คร่อกกกกกกก

--------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
«ตอบ #18 เมื่อ09-11-2017 20:44:30 »

---------- ต่อจากบท 9 ----------



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



ป่านนี้คนตัวเล็กของผมคงหลับไปแล้วล่ะ

แน่ล่ะ แม่งผ่านไปเกือบสองชั่วโมง

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่มีผ้าพันรอบเอวไว้ผืนเดียว คนตัวเล็กหลับไปแล้วจริงๆด้วย แถมยังเอาหมอนผมไปกอดไว้ด้วยนะ น่ารักจัง แต่พอน้องเอาไปกอดแบบนั้นคืนนี้ผมจะเอาอะไรหนุนล่ะเนี่ยะ ไม่เป็นไรครับ เพื่อคนตัวเล็กของพี่ พี่ยอมหนุนแขนตัวเองนอนได้

ไงเล่า....แมนไปอีก

ผมแต่งตัวเสร็จก็เดินมานั่งลงที่เตียงก่อนจะมองขนมที่นอนอยู่ข้างๆ สีหน้าอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด 3 วันที่ผ่านมารู้สึกสงสารน้องมาก งานก็ต้องทำแถมยังต้องไปเรียนอีก ดีนะที่ขนมไม่ป่วย ตั้งแต่รู้จักน้อง น้องยังไม่เคยป่วยให้ผมเห็นเลย ผมไม่อยากให้ขนมป่วยหรอกนะครับแต่ก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าเวลาป่วยคนตัวเล็กจะเป็นยังไง

ก็ต้องรอดูกันต่อไป

“ กูดีใจนะที่ได้ใกล้ชิดมึงขนาดนี้น่ะ ” ผมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปขนมไว้ น้องมานอนบนเตียงของผมเลยนะผมจะต้องเก็บภาพไว้เยอะๆ เป็นความทรงจำดีๆครั้งนึงในชีวิต ใบหน้าน้องเวลาหลับนี่ดูละมุนมากครับ ปกติขนมมักจะทำหน้านิ่งอยู่อย่างเดียว ไม่ยิ้ม ไม่ค่อยแสดงอะไรออกมาทางสีหน้าเท่าไหร่ สายตาก็เย็นชา มองเผินๆบางครั้งก็ดูกวนตีน

แต่ผมมองว่าน่ารักหมดล่ะครับ

ผมเอนตัวนอนลงข้างๆขนมก่อนจะทิ้งระยะห่างไว้ ผมเคยคิดอยากจะแอบหอมแก้มน้องตอนหลับด้วยนะครับแต่ว่าก็ต้องเลิกคิดเรื่องนั้นไป ผมไม่อยากบังคับหรือฉวยโอกาสทำเรื่องแบบนั้น ผมอยากให้ถึงวันที่น้องจะเต็มใจให้ผมทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ผมจะใส่ให้เต็มที่เลย

หึ....อดทนไว้ขุนศึก

ผมหันหน้าเข้าหาขนม พอเห็นแก้มใสก็อดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปเกลี่ยเบาๆ แก้มน้องนิ่มมากนะครับแถมยังเนียนมากด้วย บ่งบอกว่าต้องเป็นคนที่ดูแลหน้าตัวเองดีในระดับนึง ถึงแม้ตอนนี้จะดูหมองๆเพราะไม่ได้พักผ่อนเลยก็ตาม แต่เพียงไม่นานหน้าขนมต้องกลับมาใสเหมือนเดิมแน่ๆ

“ อื้มมม...ม....” คนตัวเล็กส่งเสียงเบาๆก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผมที่ลูบแก้มน้องอยู่ไว้ ไม่รู้คนตัวเล็กตั้งใจหรือละเมอกันแน่ ผมว่าน่าจะเป็นอย่างหลังนะ แหม่น้องหนม มาละเมอจับมือพี่ขุนไว้ไม่พอยังจะเอาจะเอาไปแนบแก้มใสนั้นไว้อีก แบบนี้ต้องถ่ายรูปรัวๆครับ น่ารักชะมัด

น้องจับมือผมไว้แบบนี้

คืนนี้ผมคงฝันดีแน่นอนล่ะ





บ่ายสอง

บ่ายสองกับขนมที่ยังไม่ตื่น

ผมยืนมองคนตัวเล็กที่ยังหลับสนิทอยู่บนเตียง แถมดูท่าว่ายังไม่มีทีท่าจะตื่นด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนไม่ได้นอนมา 3 วันเต็มๆ มันก็ไม่แปลกถ้าตอนนี้จะยังไม่ตื่น ผมออกไปซื้อของใช้พวกแปรงสีฟันมาให้น้องเมื่อเช้า แถมซื้อของสดมาอย่างเยอะ รอให้คนตัวเล็กตื่นมาบอกผมนี่แหละว่าอยากจะกินอะไร

วันนี้ผมจะทำให้กินอย่างสุดฝีมือเลย

เห็นผมเป็นอย่างนี้คิดว่าผมทำอาหารไม่เป็นสินะครับ แต่คุณคิดผิดแล้วล่ะ ผมทำอาหารเป็นและอร่อยด้วย ผมค่อนข้างมั่นใจในฝีมือตัวเองนะครับ คุณย่าท่านเป็นคนสอนผมเองตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเองก็สนุกและก็ชอบทำด้วย ผมชอบใบหน้าของคนที่ทานอาหารที่เราทำแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

อยากเห็นขนมยิ้มจัง

“ ตื่นไวไวนะครับ กูรอทำอาหารให้มึงกินอยู่นะ ” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้น้องนอนไปก่อน ส่วนผมในระหว่างที่รอขนมตื่นนั้น ผมก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่นั่นก็คือ....

ล้างบ่อเต่า

ผมเดินมาที่หลังบ้านซึ่งเป็นเหมือนสวนหย่อมเล็กๆ มีต้นมะม่วงอยู่สองต้นใกล้รั้วพอให้เป็นร่มไว้นั่งเล่นกินลมชมวิวได้ ซึ่งใต้ต้นมะม่วงนั้นก็มีบ่อเต่าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กครับ ยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร พื้นเป็นแบบลาดเอียง ลึกประมาณ 1 เมตรครับ ในบ่อนี้ผมเลี้ยงเต่าไว้ 3 ตัวก็คือ เงิน ทอง เพชร

ชื่อเท่ซะไม่มี

“ ว่าไงพวกมึง โตขึ้นบ้างไหมเนี่ย ” ผมมองเจ้าเต่าสามตัวที่แช่น้ำและโผล่หัวขึ้นมามองผมตาแป๋ว น่ารักจริงๆ ผมไม่ได้ซื้อเจ้าพวกนี้มาครับ วันที่ไปเจอพวกมันถ้าจำไม่ผิดสักประมาณช่วงที่ผมอยู่ป.ห้า พ่อกับแม่พาผมไปเยี่ยมคุณย่าที่เชียงใหม่ แล้ววันนั้นระหว่างที่รถของบ้านผมขับไปตามถนนก็พบกับเจ้าเต่าสามตัวที่กำลังคลานข้ามถนนช้าๆ ข้างทางที่พวกมันมุ่งไปคือป่าที่ใกล้ทางลงเขาครับ ซึ่งผมคิดว่าพวกมันต้องไม่รอดแน่ๆถ้าจะไปอยู่กันในป่านั้น ผมเลยขอพ่อพามันกลับมาบ้านด้วย จนตอนนี้เวลาก็ผ่านมา 10 ปีแล้ว

10 ปีที่มันมาเป็นสัตว์เลี้ยงของผม

จากตอนนั้นถึงตอนนี้เจ้าสามตัวนี้ก็ตัวไม่ได้ใหญ่ขึ้นจากเดิมมากเท่าไหร่นะครับ ตอนผมเจอมันมันตัวเท่าฝ่ามือผมเอง ตอนนี้ตัวพวกมันใหญ่ประมาณจานข้าวครับส่วนน้ำหนักก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ไม่ถึงสิบโล ผมแบกมันสามตัวได้สบายๆ ผมไม่รู้นะครับว่ามันเป็นพันธุ์อะไร แต่ตรงข้างแก้มมันออกเป็นสีแดงส้มๆ

เหมือนแก้มขนมเลย

“ ขึ้นมาบนบกก่อนนะ ” ผมอุ้มเจ้าเต่าสามตัวมาไว้ในกะละมังครับเพื่อที่มันจะได้ไม่ซนจนวิ่งไปที่อื่น เห็นว่าเป็นเต่านี่แต่พวกมันคลานเร็วมากนะครับ ถ้าสามตัวคลานพร้อมกันผมก็จับไม่ทันแน่นอน โดยเฉพาะไอ้เพชรนี่ตัวแสบเลย มันคลานเร็วมาก ครั้งก่อนที่ผมล้างบ่อผมเองก็ดันลืมปิดประตูรั้ว แถมไม่ได้จับพวกมันใส่กะละมังด้วยเพราะไม่คิดว่ามันจะคลานหนีกัน

แต่คิดผิดมากครับ

ไอ้แสบเพชรมันคลานออกไปนอกรั้วโน่น ตอนแรกผมก็ไม่ได้เอะใจและก็ล้างบ่อเต่าต่อแต่เพราะว่าวันนั้นผมได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่หน้าบ้าน ผมสงสัยก็เลยเดินไปดูก็เจอไอ้แสบหยุดนิ่งหัวซุกอยู่ในกระดองเพื่อป้องกันตัวเองจากหมาที่กำลังเห่ามันอยู่ นับตั้งแต่นั้นแหละครับเวลาล้างบ่อผมก็ต้องเอาพวกมันมาใส่กะละมังไว้เพื่อกันมันหนี

“ อยู่ในนั้นแหละไม่ต้องยื่นหน้าออกมาเลยไอ้เพชร ” ผมมองไอ้เพชรที่ชูคอมอง มันคงสงสัยว่าผมทำอะไรกับบ้านมัน ผมปล่อยน้ำในบ่อออกก่อนจะเริ่มขัดไปเรื่อยๆ ตะไคร่เยอะเหมือนกันนะเนี่ย เพราะไม่ได้ล้างนานแหงๆ

“ ทำอะไรอ่ะ ” เสียงงัวเงียๆทำให้ผมหันไปทางคนพูด ขนมยืนอยู่ตรงประตูในสภาพที่หัวฟูฟ่อง คอเสื้อแขนยาวของน้องร่นลงมาเกือบถึงไหล่ สวมแว่นอยู่นะครับแต่ตายังปรือๆเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ มองโดยรวมขนมในเวอร์ชั่นนี้ก็ดู....

เอ็กซ์หน่อยๆ

คิดอะไรของผมวะเนี่ย

“ ล้างบ่อเต่า มึงไปล้างหน้าก่อนไป กูซื้อของใช้มาไว้ให้ละอยู่ข้างหัวเตียงอ่ะ ” ผมบอกน้องก่อนจะส่ายหัวเบาๆไล่ความคิดหื่นกามของตัวเองออกไป น้องมันน่ารักนี่หว่ามันก็เผลอคิดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“ อืม....ขอบใจ ” ขนมว่าแล้วก็เดินหาวกลับเข้าไปในบ้าน ไม่ใช่ว่าไปนอนต่อนะนั่นน่ะ แต่ถึงน้องจะไปนอนต่อผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ผมอยากให้น้องได้พักผ่อนเยอะๆอยู่แล้ว

ผมหันมาทำภารกิจตรงหน้าต่อพลางคิดไปว่างานต่อจากนี้จะมีอะไรบ้าง อาทิตย์หน้าผมต้องสอบมิดเทอมเดี๋ยวจะต้องอ่านหนังสือ พอหลังมิดเทอมก็จะมีวันหยุดที่มหาลัยหยุดให้ประมาณ 5 วัน พอเสร็จจากวันหยุดก็เป็นรับน้องใหญ่ของคณะผม มหาลัยผมรับน้องใหญ่ของแต่ละคณะไม่พร้อมกันนะครับ แต่จะอยู่ในช่วงอาทิตย์เดียวกัน มหาลัยผมรับน้องช้ากว่ามหาลัยอื่นมาก ส่วนใหญ่จะรับน้องกันตั้งแต่เทอมที่น้องปี 1 เรียนซัมเมอร์ แต่ที่นี่มารับกันเทอมถัดมา

แต่จับสายรหัสตั้งแต่เทอมซัมเมอร์นะครับ

ไม่รู้ว่าทำไม

ปกติเขาต้องเฉลยสายรหัสตอนรับน้อง บางทีผมก็มึนงงกับระบบของมหาลัยตัวเอง แต่ก็ช่างมัน ถึงจะเฉลยตอนไหนมันก็เป็นน้องรหัสของผมอยู่ดี น้องรหัสผมมันชื่อลันตา ผมนึกว่ามันเป็นผู้หญิงด้วยตอนแรกแต่ไม่ใช่ มันเป็นผู้ชาย ตัวเล็กกว่าขนมอีกแถมหน้ามันยังหวานมากถ้ามันผมยาวหน่อยนะแม่งไม่ต่างจากผู้หญิงเลย แต่ไอ้ลันตามันพยายามทำตัวแมนๆนะครับ ทั้งท่าทางและคำพูด ที่สำคัญแม่งโคตรกวนตีน

รับน้องนี้ผมจะเล่นมันให้หนัก

พอรับน้องเสร็จก็ต่อด้วยประกวดดาวเดือนมหาลัยในอาทิตย์ต่อไป ต้องวุ่นวายแน่ๆ ผมเป็นเดือนของวิศวะเมื่อปีก่อน และก็เป็นรองอันดับหนึ่งของเดือนมหาลัยปีก่อนด้วย แพ้ให้คณะสถาปัตย์ครับ ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลไอ้เกียร์นั่นแหละ แต่ก็ดีแล้วครับที่ไม่ได้เป็นเดือนมหาลัย งานเยอะตายห่า เดี๋ยวพอใกล้ประกวดผมก็ต้องไปคอยดูแลน้องๆ

แค่คิดก็เหนื่อยแล้วว่ะ

“ ไอ้ขุน ” ผมหันตามเสียงเรียกก็พบกับขนมที่เดินมาหาผม น้องคงล้างหน้าแล้วผมที่ปรกหน้าก็ถูกคนตัวเล็กมัดไว้ด้านบนเป็นน้ำพุเล็กๆ น่ารักจังน่าถ่ายรูปเก็บไว้ชะมัด

“ ว่าไงหืม นอนนานเลยนะหิวข้าวรึเปล่า ” ผมเอ่ยถามในขณะที่น้องดูสนใจกับการล้างบ่อของผมมาก

“ นิดหน่อยอ่ะ ” น้องบอกผมก่อนที่จะนั่งยองๆลงข้างกะละมังที่ใส่เจ้าเต่าสามตัวไว้ ไม่นั่งเปล่านะครับมีการจิ้มกระดองเล่นด้วย ไม่กลัวมันจะกัดด้วยนะ

“ อยากกินอะไรบอกกูเลยนะ เดี๋ยวกูทำให้กิน ”

“ มึงทำเป็นหรอ ” เจ้าตัวละสายตาจากเต่ามามองผมแวบนึง แวบนึงจริงๆก่อนจะกลับไปมองเต่าต่อ อิจฉาไอ้สามตัวมันว่ะ น้องมองไม่พอน้องยังจิ้มด้วย ขนาดผมน้องมันยังไม่เคยจิ้มเลย

แล้วทำไมกูถึงมาหึงเต่าวะ บ้าบอสัสๆ

“ ทำเป็นสิ แค่มึงบอกมากูทำได้หมดแหละ ” ผมพูดอย่างมั่นใจ น้องต้องชอบอาหารที่ผมทำแน่นอน

“ แดกได้รึเปล่าเถอะ ”

“ แดกได้สิครับ ถ้าได้กินแล้วจะติดใจ ”

“ ขี้โม้....ไอ้สามตัวนี้มันชื่ออะไรอ่ะ ” ผมหันมองขนมที่อุ้มเจ้าสามตัวมาเรียงกันนอกกะละมัง จะห้ามไม่ให้เอาออกมาก็ไม่ทันแล้ว ดีที่ว่าเจ้าสามตัวมันนอนนิ่งให้ขนมเอาเรียงกันอย่างว่าง่าย ผมไม่เคยเอาพวกมันเรียงได้แบบนั้นเลยทีกับขนมนี่เชื่องเชียวนะพวกมึง

“ ชื่อ เพชร เงิน ทอง ” คนตัวเล็กพยักหน้ารับก่อนจะสนอกสนใจกับเจ้าเต่าสามตัวต่อ สนใจพี่บ้างก็ได้นะน้องหนม พี่ต้องการความสนใจจากน้องหนมนะครับ

“ เออ ให้กูช่วยป้ะล้างบ่ออ่ะ ”

“ ไม่ต้องหรอกจะเสร็จแล้ว ” ผมล้างบ่อด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งก่อนจะเติมน้ำใส่บ่อ ตอนนี้จากบ่อสีเขียวที่ตะไคร่เกาะก็ดูสะอาดขึ้นมาก น้ำใสน่าว่ายเล่นสุดๆ ผมเดินไปอุ้มไอ้เพชรกับไอ้ทองมา ขนมก็อุ้มไอ้เงินตามมาแล้วปล่อยลงบ่อ เจ้าสามตัวว่ายน้ำเล่นกันใหญ่ ชอบสินะมึงบ้านสะอาดละหนิ ขนมก็ดูชอบมากที่เห็นพวกมันว่ายน้ำเล่น

“ น่ารัก ” เสียงใสพึมพำขึ้นมา

“ ใช่....น่ารัก ”

“ เต่าอ่ะนะ ”

“ มึงนั่นแหละ ” ทันทีที่ผมพูดจบขนมก็หันมองผมทันที แก้มใสนั่นขึ้นสีแดงระเรื่ออีกแล้ว น้องคงเขินที่ผมพูดแน่ๆ ขนมจะแก้มแดงเป็นนี้ประจำเลยเวลาผมหยอด เวลาน้องแก้มแดงผมจะถามตลอดเลยว่าร้อนหรือว่าเขิน แต่น้องเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ ถึงจะเขินแทบตายก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด แถมยังพาลเปลี่ยนไปเรื่องอื่นเนียนๆด้วย

“ กูหิวละ ทำกับข้าวดิ่อยากแดกกะเพราไก่ ” เห็นไหมผมบอกแล้วว่าต้องเปลี่ยนเรื่องเนียนๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ มันก็เป็นหนึ่งในความน่ารักของน้อง ผมนี่อดยิ้มไม่ได้จริงๆ

“ งั้นก็เข้าบ้านกัน เดี๋ยวทำกะเพราไก่ให้กิน ” ผมบอกแบบนั้นปุ๊ปเจ้าตัวก็รีบเดินเข้าบ้านก่อนผม คงจะเขินมากแหละครับถ้ามุดดินหนีได้คงมุดไปแล้ว

อา....น่ารักจังเลยโว้ยยยยยยยยย

ผมเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องครัว ส่วนขนมคงไปรอที่ห้องนั่งเล่น เอาล่ะได้เวลาโชว์ฝีมือปลายจวักให้น้องรักน้องหลงละครับ ผมนึกว่าน้องจะอยากกินอะไรที่มันยากมากกว่านี้ หรือเพราะตอนนั้นเขินจัดแล้วไม่ทันคิดเลยพูดผัดกะเพราออกมา งั้นทำอะไรเพิ่มอีกสักหน่อยดีกว่าเผื่อน้องจะชอบ

มีความสุขจังได้มีโอกาสทำกับข้าวให้น้องกินแล้ว

เพื่อน้องหนมคนดี...พี่จะทำให้สุดฝีมือเลยครับ



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]











TBC.

#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
«ตอบ #19 เมื่อ09-11-2017 23:08:09 »

 :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
« ตอบ #19 เมื่อ: 09-11-2017 23:08:09 »





ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: LoveWrite เขียนสื่อรัก [ บทที่ 9 : 9/11/2017 ]
«ตอบ #20 เมื่อ10-11-2017 10:18:45 »

เพื่อน้องหนมคนดี...พี่จะทำให้สุดฝีมือเลยครับ :-[


 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 10 ขอจูบหน่อย



บ่ายของวันเสาร์กับผมที่นั่งเขินมึนๆอยู่บนโซฟา

อา....ไม่รู้จะอธิบายเพิ่มเติมยังไง

ผมได้ยินเสียงดังมาจากในครัวเป็นระยะๆ ไอ้ขุนมันทำอาหารอยู่ครับ แถมหน้ามันก็มั่นใจมากด้วยว่าผมจะชอบอาหารที่มันทำอย่างแน่นอน เอาจริงๆผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้ขุนจะทำอาหารเป็นด้วย เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอชิมอาหารที่มันทำ

ดูซิว่ามันจะออกมาเป็นยังไง

ตื้อดึ่ง

“ เสียงโทรศัพท์ใครวะ ” ผมมองหาเสียงโทรศัพท์ที่ดัง ไม่ใช่โทรศัพท์ผมแน่นอนเพราะมันอยู่ในกระเป๋าที่หอไอ้หมีครับ ผมมองไปรอบๆก็พบกับโทรศัพท์ของไอ้ขุนวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ

ตื้อดึ่ง

ถ้าหยิบมาดูมันจะว่าไหมวะ

ตื้อดึ่ง

“ คงไม่ว่ากูหรอกนะ ” ผมหยิบโทรศัพท์ที่ใส่เคสสีเหลืองขึ้นมาดูแจ้งเตือนที่หน้าจอ ก็พบว่าไลน์แจ้งเตือน 999+ นี่ไม่คิดจะตอบใครเลยหรอวะ ดองไว้ซะขนาดนี้

ผมปลดล็อครหัสด้วยเลขวันเกิดของผมซึ่งไอ้ขุนมันเป็นคนตั้งไว้เอง อย่างแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คือหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตั้งด้วยรูปของผม เป็นรูปที่ผมกำลังหลับอยู่บนเตียงของมัน คงเป็นรูปที่มันถ่ายผมเมื่อคืนแน่ๆ แล้วทำไมผมถึงเอามือมันมาแนบแก้มไว้แบบนั้นวะ ละเมอชัวร์ แต่ละเมอแบบนี้เนี่ยนะ แล้วไอ้ขุนนี่ก็บ้าเอารูปผมมาตั้งหน้าจอเฉยเลย ถ้าเพื่อนมันเห็นจะเป็นยังไงวะเนี่ย

ทำแก้มกูร้อนอีกแล้วไอ้บ้า

ผมส่ายหัวไล่ความร้อนออกไปจากแก้มก่อนจะกดเข้าไปส่องไลน์มันอย่างเงียบๆ ไลน์ผู้หญิงเต็มเลยว่ะ ไล่ดูเรื่อยๆนี่นับไม่ถ้วนเลย แต่ไม่มีการเปิดเข้าอ่านแต่อย่างใดนะครับ บางประโยคที่ผู้หญิงทักมันมาก็สองแง่สองง่ามมาก

วันๆผู้หญิงเข้ามาในชีวิตมันอย่างเยอะ

“ แก้มใสนี่หว่า ” ผมกดเข้าไปดูแชทของแก้มใสที่เพิ่งส่งมาให้ไอ้ขุนทันที

แก้มใส : เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะคะพี่ขุน แก้มคิดถึงพี่ขุนจริงๆ เรื่องพี่เกียร์ พี่เกียร์มาจีบแก้ม แก้มผิดเองที่เผลอใจไปให้พี่เกียร์ แต่ตอนนี้แก้มไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เกียร์แล้วนะคะ

ผมอ่านข้อความนั้นก็รู้สึกหัวร้อนขึ้นมาแปลกๆ จากวันที่ไอ้ขุนมันตัดความสัมพันธ์กับแก้มใสนี่ก็ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้วเห็นจะได้ แถมวันนั้นผมก็ได้ยินกับหูว่านางจะให้คนที่ชื่อ น้ำ มากระทืบไอ้ขุนด้วยซ้ำ ไปๆมาๆนางก็ยังตามขอคืนดีไอ้ขุนอยู่ จะเอายังไงกันแน่วะเนี่ย แล้วเรื่องพี่เกียร์อีก พี่มันก็มีแฟนแล้วไอ้หมีมันก็บอกผมว่าพี่เกียร์กับพี่แกงคบกันมาตั้งนาน พี่เกียร์จะมาตามจีบแก้มใสทำไม ไม่ใช่ว่านางไปอ่อยพี่เกียร์หรอวะ พอเขาไม่เล่นด้วยก็กลับมาหาไอ้ขุนงี้

เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจชะมัด

แก้มใส : แก้มรักพี่ขุนจริงๆนะคะ แก้มไม่ได้ยุ่งกับใครแล้วนะ ใจของแก้มมีแค่พี่ขุนคนเดียวจริงๆ

“ ใจของแก้มมีแค่พี่ขุนคนเดียวจริงๆ อยากจะอ้วกว่ะ ” ทำไมทุกคำพูดของแก้มใสมันดูเสแสร้งสำหรับผมไปหมดเลยวะ หงุดหงิดจริงๆเลยโว้ย ยังๆยังอ่านไม่จบ ใจเย็นไว้หนม ใจเย็น

แก้มใส : กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะคะพี่ขุน แก้มคิดถึงพี่ขุน คิดถึงเวลาที่พี่ขุนกอดแก้ม คิดถึงเวลาที่พี่ขุนจูบ ช่วงเวลาที่แก้มไม่มีพี่ขุนมันทรมานมาก

“ ไม่ไหวแล้วไอ้สัส ” ผมง้างมือหวังจะขว้างโทรศัพท์ให้มันแตกกระจายไปข้างแต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้เพราะมันไม่ใช่โทรศัพท์ของผม โอ้ยหัวร้อนว่ะ หัวร้อนมาก มีกอด มีจูบด้วย หงุดหงิดครับ หงุดหงิดแบบไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมจะต้องหงุดหงิดขนาดนี้ อยากจะตอบไลน์กลับไปว่า กูไม่เอามึงแล้ว แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่ดีผมไม่ได้มีสิทธิ์จะทำอะไรแบบนั้น ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้ขุนมันสักหน่อย

แต่ไม่ชอบใจเลยที่เห็นว่าผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นยังมาวุ่นวายกับไอ้ขุนอยู่

ไม่ชอบใจจริงๆว่ะ

“ ข้าวเสร็จแล้ว ” กลิ่นหอมของกับข้าวโชยมาพร้อมกับคนพูด ผมรีบเอาโทรศัพท์วางไว้ที่เดิมก่อนจะหันมองไอ้ขุนที่กำลังเดินถือถาดใส่กับข้าวมาทางผม มันวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ เบื้องหน้าผมมีผัดกะเพรา ต้มจืดวุ้นเส้น และก็กุ้งชุบแป้งทอด แต่ถ้าจำไม่ผิดผมสั่งมันไปแค่อย่างเดียวนี่หว่า แม่งทำมาให้ตั้งสามอย่าง กลัวผมไม่อิ่มหรือยังไง

“ หน้าตาก็ดูใช้ได้ ” อันที่จริงมันดูน่ากินทุกอย่างเลยนะครับ แต่ถ้าผมบอกว่าน่ากินเดี๋ยวมันจะได้ใจ

“ แค่ใช้ได้เองหรอเนี่ย ไม่เป็นไรเดี๋ยวพอได้ชิมมึงจะติดใจแน่นอน ” ไอ้หล่อมันบอกก่อนจะตักข้าวแล้วส่งให้ผม กลิ่นข้าวหอมมะลิหุงใหม่ๆนี่มันยั่วน้ำลายจริงๆเลย ผมไม่รอช้าครับ ตักกะเพราะพร้อมข้าวใส่ปากทันที

อื้อหืออออ

มันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

อาหารที่มันทำอร่อยแบบที่มันพูดจริงๆด้วย กินแล้วนึกถึงฝีมือแม่เลย น้อยคนนะที่จะทำอาหารออกมาแล้วถูกปาก ผมน่ะ ผมมองหน้าไอ้ขุนที่ยิ้มหวานเหมือนกำลังจะรอคำตอบจากผม อยากให้กูบอกว่าอร่อยสินะ หึ

“ ก็งั้นๆอ่ะ ”

“ งั้นๆแต่ตักใหญ่เลยนะ ” มันอมยิ้มก่อนจะตักต้มจืดใส่จานผม ตัวมันเองก็ตักกินบ้าง พอเห็นว่ามันอาหารอร่อยแบบนี้ผมชักอยากลองกินแกงเขียวหวานฝีมือมันซะแล้ว มันจะทำเป็นไหมวะ

“ ครั้งหน้าทำแกงเขียวหวานให้กินบ้างดิ่ มึงทำเป็นป้ะ ”

“ ทำเป็นดิ่ ไว้กินวันหลังเนอะ ” ผมพยักหน้ารับมันก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ

ตื้อดึ่ง

เสียงไลน์ดังอีกแล้ว ผมคิดว่าต้องเป็นของแก้มใสแน่ๆ เจ้าของโทรศัพท์มันหยิบไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้ารำคาญออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไอ้ขุนมันหันมองผมสลับกับโทรศัพท์มัน เหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง

“ มองกูทำไม ” ผมถามมันก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“ มึง....เปิดไลน์แก้มใสหรอ ”

“ เปล่าหนิ ทำไมอ่ะ ” ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อนครับ เนียนๆแดกข้าวต่อไป

“ ก็แก้มใสส่งมาว่าทำไมกูอ่านแล้วไม่ยอมตอบ ”

“ แล้วมันยังไงอ่ะ ” ผมยังทำหน้ามึนใส่มันต่อ ไม่เอายังไม่อยากยอมรับตอนนี้ ไอ้หล่อมันก็มองผมยิ้มๆประมาณว่ามันรู้ว่าผมกำลังโกหกมันอยู่

อย่ามาทำเป็นรู้สิวะไอ้นี่

“ มันเป็นไปไม่ได้ที่กูจะอ่านแล้วไม่ตอบเพราะกูไม่คิดที่จะเปิดอ่าน....ต้องมีคนอ่านที่ไม่ใช่กูแน่ๆ ”

“ เออ กูอ่านเองแหละ ทำไมจะดุหรอ ห้ามดุกูไม่ให้ดุ ” ผมว่าแบบนั้นแล้วก็ตีหน้าซื่อใส่มันทันที ไม่ได้นะไอ้ขุนห้ามดุกูเด็ดขาด นอกจากป๊ากับแม่กูไม่ให้ใครมาดุกูนะ

“ มึงนี่น่ารักจริงๆเลยน้า น่ารักแบบนี้ใครจะกล้าดุวะ ” ไอ้หล่อมันยิ้มแป้นพลางขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู เห็นกูเป็นหมาหรอขยี้หัวกูจัง ก็ไม่คิดห้ามมันเหมือนเดิมครับเพราะว่าผมชอบ ดีว่ะที่มันไม่โกรธผมที่ไปยุ่งกับโทรศัพท์ของมัน

“ แล้วมึงจะตอบกลับไปยังไงอ่ะ ” ใจผมนะอยากให้มันปฏิเสธแบบจริงๆจังๆไป แต่ไอ้ขุนก็เคยบอกไปแบบจริงจังแล้วป้ะวะ บอกต่อหน้าด้วยซ้ำ แก้มใสก็ยังมาตามตื๊อมันอีก แล้วก็ดูว่าจะไม่หยุดง่ายๆด้วย

“ มึงอยากให้กูตอบยังไงล่ะ ”

“ ก็แล้วแต่มึงสิ อยากจะกลับไปก็แล้วแต่มึง ” ผมเบ้ปากใส่มันทีนึง หมั่นไส้ว่ะ ผมรู้อยู่แหละครับว่าไอ้ขุนไม่มีทางกลับไปหาแก้มใสแน่นอน แต่ขอแขวะหน่อยเถอะ เรื่องแค่นี้ยังต้องมาถามกูอีกว่าควรทำยังไง

ถ้ามึงชอบกู มึงก็ต้องปฏิเสธสิวะ

“ เสียงขุ่นเชียวนะ หึงกูหรอ ” หึงพ่อง

“ เลอะเทอะละมึงอ่ะ กูจะหึงมึงทำไมไอ้บ้า ” ผมหันหนีมันพลางกินข้าวต่อ หึงบ้าอะไร ผมยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันสักหน่อย ยังไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ความหึงมันจะมีได้ไงวะ เอ๊ะ หรือมีได้

เอาละเริ่มสับสนละ

เชี่ยไรเนี่ยะ

“ นึกว่าหึงซะอีก ไหนหันมานี่หน่อย ” ไอ้ขุนมันดึงแก้มผมที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ ไอ้ห่านี่เดี๋ยวกูก็พ่นข้าวใส่หน้าเลยว่ะ ขัดขวางเวลาการกินข้าวกูดีนัก

แชะ

ผมตาโตทันทีที่ได้ยินเสียงแฟลชกล้อง ไอ้คนที่มันถ่ายรูปผมมันก็ลดมือที่ดึงแก้มผมออกมาพิมพ์อะไรบนหน้าจอโทรศัพท์ยุกยิกๆ ก่อนจะยิ้มร่าออกมา

โคตรไม่น่าไว้วางใจ

“ มึงทำอะไรอ่ะ แล้วมึงถ่ายรูปกูทำไม ” ผมโวยวายใส่มันยกใหญ่ ไอ้ขุนมันไม่พูดอะไรก่อนจะยื่นโทรศัพท์มันมาให้ผมดู

ขุนจึกกก : *รูปที่มันดึงแก้มผม*

แก้มใส : อะไรหรอคะ

ขุนจึกกก : เมียพี่เอง พี่รักมาก แก้มเลิกยุ่งกับพี่เถอะ เมียพี่ขี้หึงมาก ไม่ต้องส่งอะไรมาแล้วนะ บาย

ตึกตัก

ไอ้สัสขุนมึงนี่แม่ง

ผมไม่พูดอะไรตอบมันเลยครับ เรียกว่าพูดไม่ออก แม่งเอาผมไปเป็นตัวไล่แก้มใส มีการแอบอ้างว่าเป็นเมียด้วย กูไปเป็นเมียมึงตอนไหนไม่ทราบห้ะไอ้บ้า แถมยังบอกว่ากูขี้หึงอีก กูไม่ได้หึงมึงสักหน่อย โคตรคิดไปเองเลย แต่ที่พีคสุดมันก็ตรง....

พี่รักมาก

ผมไม่รู้ว่าที่มันพิมพ์ไปนั้นเพื่อจะให้แก้มใสเลิกยุ่งกับมันหรือว่ามันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า เวลาแค่สองเดือนมันจะรักผมได้ไงวะ ผมไม่ได้ทำอะไรให้มันรู้สึกรักผมได้เลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้นะครับว่าเพราะอะไรที่ทำให้มันพิมพ์แบบนั้นแต่ใครจะเชื่อว่าประโยคสั้นๆนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงได้ขนาดนี้

เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาเลย

“ กูนึกว่ามึงจะด่ากูลั่นบ้านแล้วนะเนี่ย ” ไม่ต้องมาแซวกูเลย กูไม่ด่ามึงมันก็ดีแล้วไหมล่ะ

“ มึงมันบ้า ” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้มันก่อนจะกินข้าวต่อเงียบๆ ตอนนี้ในใจก็หลากหลายความรู้สึกมากครับ ผสมปนเปกันมั่วไปหมด โคตรสับสนตัวเอง เกิดมาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย

มันอะไรกันวะ

“ เอาข้าวอีกไหม ”

“ ไม่อ่ะ กูอิ่มแล้ว ” ผมรวบช้อนไว้กลางจาน อิ่มมากครับ อาหารมื้อนี้อร่อยจริงๆเลย พอมันเห็นผมบอกว่าอิ่มมันก็ยกกับข้าวพร้อมกับจานเดินเข้าไปเก็บในครัว ได้ยินเสียงน้ำผมคงคิดว่ามันคงล้างจานด้วย

ตื้อดึ่ง

ไลน์ดังอีกละ มึงนี่คนของประชาชนหรอวะไอ้ขุน ไลน์หามึงกันจังเลยนะ ผมหยิบโทรศัพท์มันมาดูอีกครั้ง คนที่ไลน์มาครั้งนี้ไม่ใช่แก้มใสครับแต่เป็นเพื่อนหมี ผมกดเข้าไปอ่านทันที ถึงขนาดนี้ไอ้ขุนมันคงไม่ว่าผมแล้วล่ะถ้าผมยุ่งกับโทรศัพท์มัน

หน่องหมี : ไอ้หนมมันอยู่กับพี่ขุนป้ะ มันลืมกระเป๋ามันไว้ที่หอหมีเนี่ยะ ไปหามันที่หอก็ไม่เจอมัน

ขุนจึกกก : เออ

หน่องหมี : แน่ะ เอาเพื่อนหมีไปกกบ้านด้วย มันยังไงเนี่ยพี่ขุน จะทำอะไรก็อย่ารุนแรงนักล่ะ555555

มีการ555555ด้วยนะไอ้สัสหมี มึงนี่โคตรยัดเยียดกูให้ไอ้ขุนจริงๆเลย

ขุนจึกกก : กูขนมเอง สัสหมี *สติ๊กเกอร์หมีไฟลุก*

หน่องหมี : *สติ๊กเกอร์หน้าช็อค* เพื่อนหนมเองหรอ

ขุนจึกกก : เออกูเอง

หน่องหมี : เดี๋ยวนี้มีการเล่นโทรศัพท์กันด้วยว่ะ ความสัมพันธ์พัฒนาไปไกลแล้วสินะ

พัฒนาห่าไรล่ะ เพ้อเจ้อจริงๆไอ้บ้าหมี ไว้เจอก่อนเถอะมึง กูจะยืมค้อนลมไอ้เป้มาไล่ทุบหน้าให้

ขุนจึกกก : เสือกจริงๆเลยนะมึงอ่ะ มึงรู้จักบ้านไอ้ขุนไหม

หน่องหมี : รู้ดิ่ กูเคยไปช่วยพี่ขุนขนของอยู่ มึงอยู่บ้านพี่ขุนเองหรอ

ขุนจึกกก : เออ เอาของกูมาให้กูที่บ้านไอ้ขุนหน่อย

หน่องหมี : มีการเข้าบ้านด้วยว่ะ

ขุนจึกกก : รำคาญ รีบมาเร็วๆ

ผมกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ขุนเดินออกมาจากครัวพอดี มันเดินมานั่งลงข้างผมบนโซฟาก่อนจะเท้าคางมองผมแล้วอมยิ้ม

ยิ้มอะไรของมึงวะ ยิ้มจนจะเป็นคนบ้าแล้วนะไอ้สัส

“ เช็คโทรศัพท์กูหรอหืม ” มันเลิกคิ้วมองผม

“ ไอ้หมีมันไลน์มา กูก็แค่ดูเอง กูให้มันเอากระเป๋ามาให้กู ”

“ อย่างนี้นี่เอง ” เสียงตอบกลับยียวนของมันทำให้ผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ น่าทุบว่ะ

“ ทำไม ถ้ากูเช็คมึงจะมีปัญหารึไง ” ผมหรี่ตามองมัน ไอ้หล่อมันมองผมแล้วอมยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ ไม่มี....ของๆกูก็เหมือนของๆมึง ” เสียงนุ่มเอ่ยให้ฟัง ผมมองมันนิ่งๆก่อนจะดันหน้ามันออก ยื่นมาซะใกล้เชียวไอ้ห่า ลมหายใจนี่จะรดหน้ากูอยู่ละ

“ แหวะ  ” ผมเอนตัวนอนหงายลงบนโซฟา โซฟาอะไรทำไมไม่มีหมอนอิงวะ ไม่มีอะไรให้หนุนหัวเลยเนี่ยะ

“ กินเสร็จอย่าเพิ่งนอนสิ เดี๋ยวก็จุกหรอก แล้วก็อย่าชันขาด้วย ” ไอ้ขุนมันเอ็ดผม ทำไมวะกูจะนอนอ่ะ

“ ก็กูจะนอน แล้วทำไมต้องห้ามให้ชันขาวะ ” ถ้ายืดขาตรงไปมันก็ตกขอบโซฟาน่ะสิ

“ ก็เวลามึงชันขากางเกงเจเจมึงมันเลิกขึ้นมาสูงมากเลยนะ....ถ้ามึงอยากเห็นกูทำหน้าหื่นกามแล้วมองขาอ่อนขาวๆของมึงต่อไปกูก็ยินดี ” มันไม่พูดเปล่าพลางส่งสายตาไปมองขาผมที่ตอนนี้กางเกงเลิกขึ้นมาจนเห็นขาอ่อนขาว ผมรีบลุกขึ้นมานั่งก่อนจะดึงขากางเกงลงไปให้เท่าเดิม สายตาไอ้ขุนเมื่อกี้มันดูร้อนแรงชะมัด ถ้าแดกขาผมได้มันแดกขาผมไปแล้ว

“ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว กูกลับมานั่งแล้วไง ” ผมตีไหล่ไอ้ขุนที่มันยังมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มไม่เลิก

“ ดีแล้ว....นี่ถ้าเป็นคนอื่นมึงเสร็จไปแล้ว ”

“ เสร็จบ้าอะไรของมึงไอ้หื่นเอ้ย ” ผมตีมันรัวๆ ไอ้ขุนมันหัวเราะร่าก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้

“ คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาหื่นกามกันบ้าง ยิ่งโดยเฉพาะกับ......ใครจะไปห้ามใจไหว ” ผมมองมันนิ่งๆ สายตาคมบ่งบอกว่าเจ้าตัวพูดออกมาอย่างที่รู้สึกจริงๆ ผมรู้นะว่าไอ้ขุนมันต้องอดทนมากแค่ไหนเวลาที่มันอยู่กับผม ผมก็ผู้ชายนะไอ้เรื่องแบบนี้มันก็พอจะรู้บ้างอยู่แล้วมันเป็นสัญชาติญาณ

ไอ้ขุนมันไม่เคยล่วงเกินอะไรผมเลยไปมากกว่าการจับมือ มีลูบหัวบ้างลูบแก้มบ้างมันก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไร ตอนที่หลับ ผมก็คิดว่ามันคงไม่เคยแอบทำอะไรผมหรอกแต่ก็อาจจะมีคิดบ้างแหละนะ ผมรู้สึกโอเคมากๆที่มันบอกว่ามันจะไม่ทำอะไรผมเพราะมันยังไม่อยากให้ผมเกลียดมัน นั่นถือว่าเป็นการให้เกียรติผมมาก

ทั้งที่ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ

---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 10 ----------


“ ปล่อยแขนกูได้แล้ว ” หลังจากที่ผมพูดจบไอ้ขุนมันก็ยอมปล่อยมือผมออกแต่โดยดี ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเล่น

“ เมื่อไหร่มึงจะรับแอดเฟซกู ” ไอ้ขุนมันละจากจอขึ้นมาถาม

“ กูไม่ค่อยได้เล่นเฟซอ่ะ นานๆจะเข้าสักที ” ผมเป็นพวกไม่ได้ติดโซเชียลอะไรขนาดนั้นนะครับเพราะรำคาญ และผมก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่งในพื้นที่ส่วนตัวด้วย เพื่อนในเฟซบุ๊กมีแค่ 300 กว่าคนเอง รับเฉพาะที่รู้จักจริงๆเท่านั้น

“ งี้เอง ถ้าเล่นเมื่อไหร่มึงก็รับด้วยละกัน มีหลายอย่างที่กูอยากจะแท้กมึงกูก็ไม่ได้แท้ก ”

“ แท้กอะไรวะ ” ถ้าแท้กการ์ตูนจังไรๆแบบที่ไอ้หมีแท้กมึงไม่ต้องเลยนะ กูไม่อยากเห็น

“ เยอะแยะ เอาเป็นว่ารับเมื่อไหร่เดี๋ยวมึงก็รู้ ” มันว่าก่อนจะสนใจกับโทรศัพท์ต่อ ผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรทำนี่ครับ ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายสามกว่าๆ จะว่าไปนี่ผมได้นัดกับเพื่อนๆผมไว้ด้วยว่าถ้าปิดจ๊อบนิตยสารโปรโมทมหาลัยจะทำหมูกระทะกินกัน ผมหันมองหน้าไอ้ขุนที่กำลังเล่นเกมอยู่ ถ้าผมขอมันทำหมูกระทะกินที่นี่มันจะว่าอะไรผมไหมวะ

“ อยากกินหมูกระทะ ” ผมดึงชายเสื้อไอ้หล่อมัน มันก็ละขึ้นมาจากโทรศัพท์เพื่อมองผม

“ หิวอีกแล้วหรอ ”

“ ไม่ใช่ กูหมายถึงตอนเย็นอ่ะ คือกูนัดกับเพื่อนไว้ว่าถ้าทำนิตยสารเสร็จจะทำหมูกระทะกินกัน ”

“ แล้วคือจะทำที่นี่....กูเข้าใจถูกไหม ”

“ ไม่ได้หรอ ” ผมทำเสียงอ่อนใส่มันเหมือนที่ไอ้หมีมันทำใส่ผมบ่อยๆ

“ ได้สิครับ กูชวนเพื่อนกูมากินด้วยได้ไหมอ่ะ ”

“ ได้ กินกันเยอะๆจะได้สนุกๆ ” จะว่าไปถ้าเพื่อนไอ้ขุนรวมกับเพื่อนผมด้วยก็สิบกว่าคนเลยนะเนี่ย บ้านมันจะแตกไหมวะ แล้วแต่ละคนนี่ก็ตัวจี๊ดทั้งนั้น

“ งั้นมึงก็โทรนัดเพื่อนนะ เดี๋ยวกูจัดการพวกกระทะกับของให้ ” ดีว่ะ ให้มาทำกินที่บ้านไม่พอยังจะเตรียมของให้อีก

ไอ้ขุนนี่ใจดีจริงๆเลย

“ ขอบคุณนะไอ้ขุน ”

“ เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม ” ไม่พูดเปล่า ไอ้ขุนมันยื่นหน้าหล่อๆของมันเข้ามาใกล้ผมจนระยะห่างเหลือไม่ถึงคืบ พอเห็นหน้ามันใกล้ๆขนาดนี้ผมรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยว่ะ

“ อะไร ” อยากจะผลักหน้ามันออกแบบตอนแรกนะแต่สายตาที่มันมองมามันทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทนั่นทำให้รู้สึกว่าขยับไปไหนไม่ได้จริงๆ

“ ขอจูบหน่อย ” เสียงนุ่มๆเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เสียงนะครับแววตาก็บ่งบอกว่าจริงจังเหมือนกัน

“ มึง.....” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ไอ้ขุนมันก็เลื่อนมือมาจับมือผมก่อนจะสอดนิ้วเข้าประสานไว้แล้วค่อยๆยกขึ้นมาจูบเบาๆบนหลังมือ

ไม่ใช่หลังมือผมนะครับ

หลังมือมัน

ผมได้แต่มองไอ้ขุนด้วยความไม่เข้าใจกับการกระทำตรงหน้า โอเคผมเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้จะจูบปาก มันจะจูบที่มือ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือมันจะจูบมือมันทำไมวะ ถ้ามันจะจูบมือมันแล้วมันจะขอผมทำไม งงสิงง ไอ้ขุนมันทำอะไรของมันวะเนี่ย หรือมันกลัวว่าผมจะไม่ชอบ มันเลยจูบที่มือมันแทน

แบบนี้ก็มีหรอวะ

“ มึงทำอะไรของมึงเนี่ยะไอ้บ้า ” การกระทำมันแปลกๆอ่ะ มันดูตลก ผมไม่เข้าใจด้วยว่ามันทำแบบนี้ทำไม ไอ้หล่อมันจับมือผมไว้แน่นก่อนจะวางไว้ใต้คางมันแล้วยิ้มหวาน ยิ้มหวานมองผมโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

อะไรของมึงเนี่ย

“ ไอ้ขุน ” พอเห็นแต่มันยิ้มอยู่อย่างนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมา รู้สึกได้เลยว่าตัวเองคงจะยิ้มกว้างมากๆ ยอมรับเลยครับว่าตอนนี้เขินคนตรงหน้าสุด ตัวมันเองพอเห็นผมยิ้มมันก็ยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่ เหมือนมันทำในสิ่งที่มันตั้งใจสำเร็จ

โอ้ยพอแล้วได้ไหม

กูเขินโว้ยยยยยยยยยยยยย

“ น่ารัก เห็นมึงยิ้มกว้างขนาดนี้ครั้งแรกเลยนะ ” มันพูดพลางเอามือผมไปแนบแก้มมันไว้ ก็จริงที่มันพูดเหมือนกันนะ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ฉีกยิ้มกว้างขนาดนี้ โคตรแพ้ภัยตัวเองเลยที่ยิ้มแบบนี้ให้มันเห็น

“ ก็มึงอ่ะ ” มึงคนเดียวเลยนะไอ้สัส

“ กูทำไมหืม ”

“ มึงทำกูเขินอ่า ปล่อยมือกูเลยนะกูไม่ให้มึงจับแล้ว ” ผมพูดแล้วหัวเราะกับมันเบาๆ โอ้ยเขินวัวตายควายล้มจริงๆ ไม่ไหวแล้ว มีอะไรให้มุดหนีได้ไหมครับ พื้นที่ตรงนี้มันอยู่ยากชิบหาย

“ โอ๋ๆเลิกแกล้งๆ ยอมรับซะทีว่าเขินฮ่าๆๆๆ ” ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะไอ้บ้า

ไอ้หล่อปล่อยมือผมก่อนจะเลื่อนมือมาขยี้หัวผมแทน ผมก็ได้แต่เอามือมาลูบแก้มตัวเองเพื่อไล่ความร้อนกับความเขินออกไป ไอ้ขุนมึงมันร้ายมาก มึงทำกับจิตใจกูแบบนี้ได้ยังไงวะ

ถ้าเขินตายขึ้นมาจะทำยังไง

อ๊อด อ๊อด

หันมองไปทางหน้าบ้านก็พบไอ้หมีที่ยืนเกาะรั้วอยู่ เออมึงทำดีมากเพื่อนหมีที่มาตอนนี้ ไม่งั้นกูต้องเขินจนบ้าตายแน่ๆ ผมรีบหนีไอ้ขุนมาเปิดประตูให้ไอ้หมีทันที นี่ขนาดลูบหน้าไปแล้วนะ หน้าผมยังร้อนผ่าวอยู่เลย ถ้าคิดไม่ผิดแก้มผมต้องแดงมากแน่ๆเลยว่ะ

“ ทำไมมึงแก้มแดงจังวะหนม ” นั่นไง เป็นแบบที่คิดจริงๆด้วย ไอ้หมีเห็นมันยังทักได้ทันทีเลย

“ กูร้อนเฉยๆอ่ะไม่มีอะไร ” ผมบอกปัดมันไป

“ ใช่รึเปล่า ” ไม่ต้องมาจ้องจับผิดเลยไอ้สัส

ผมไม่พูดตอบอะไรก่อนจะลากมันให้เข้ามาในบ้าน ไอ้หมีมันเจอไอ้ขุนที่นั่งอยู่บนโซฟาที่ท่าทางอารมณ์ดีมาก มันก็ยกมือไหว้เป็นปกติก่อนจะนั่งลงเยื้องกันกับไอ้ขุน ผมก็นั่งลงที่เดิมข้างไอ้ขุนมัน สายตากับรอยยิ้มของไอ้หล่อยังถาโถมใส่เข้าผมเรื่อยๆ เออเอาเข้าไปนะมึง เต็มที่เลยไอ้สัส

ถ้ามีหมอนอิงนี่ผมปาใส่มันไปละ

“ อ่ะหนมนี่กระเป๋ามึง แบตมึงจะหมดอ่ะแต่กูชาร์ตมาให้ละ ” ไอ้หมีมันส่งกระเป๋าของผมมาให้ ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่ามีใครโทรหาบ้างรึเปล่า แต่ก็พบอยู่แค่รายชื่อเดียวที่โทรมา

ห่าขัน : 56 missed calls

จะโทรเอาโล่อะไรขนาดนั้นอ่ะ

“ กูไลน์ไปบอกพวกเพื่อนๆกูแล้วนะหนม พวกมันโอเค เดี๋ยวจะซื้อของเข้ามากัน ซื้อเหล้าเบียร์มากินได้ใช่ไหม ” ไอ้หล่อมันเอ่ยถาม

“ อยากกินก็ซื้อมา แต่กูคงไม่กินอ่ะ ” ไม่อยากรับอะไรขมๆเข้าคอจริงๆครับ ยิ่งช่วงร่างกายอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อยแบบนี้ ผมกลัวตัวเองจะไม่สบาย

ผมเป็นคนที่ป่วยยากมากครับ ไม่ว่าจะตากแดดตากฝนมันก็ไม่ทำให้ผมคนนี้ป่วยขึ้นมาได้ แต่ผมจะป่วยได้ก็ต่อเมื่อร่างกายอ่อนเพลียจัดๆ หรือว่าไม่ได้นอนเวลานานๆ แล้วช่วงที่ผมป่วยนี่มันจะเป็นช่วงที่บัดซบสุดๆของชีวิตผม ผมจะรำคาญโลกหนักกว่าปกติ ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเหมือนกันแต่ว่าก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

“ นี่จะทำไรกันอ่ะ ” ไอ้หมีมันถาม

“ จะแดกหมูทะ เออหมีมึงบอกเพื่อนเราด้วยให้มาที่นี่ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน ” ความจริงผมก็ยังไม่อยากอาบน้ำหรอกนะครับแต่ว่าเดี๋ยวมันจะซกมกเกินไป

“ มึงยังไม่อาบน้ำอีกหรอหนม โสโครก ” มีปัญหากับกูรึไงสัสหมี ดะตบคว่ำ

“ เสือก โสโครกก็เรื่องของกู ” ผมเบ้ปากใส่ไอ้หมีมันก่อนจะดึงเสื้อไอ้ขุนเชิงว่าให้มันตามผมมา ไอ้หล่อมันก็ทำหน้างงๆใส่ผม งงอะไรวะ กูให้ตามมาไง

“ จะไปอาบน้ำไม่ใช่หรอ แน่ะ หรือจะให้กูไปอาบด้วย ” ไอ้ขุนมันว่าพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่ม อาบด้วยพ่องอ่ะ

“ มึงจะบ้ารึไง กูจะให้มึงไปเอาเสื้อผ้าให้กู ” ผมบอกมันพร้อมกับส่งสายตาค้อนๆไปให้มันทีนึง

“ แน่ะ ”

“ แน่ะอะไรของมึงไอ้หมี อยากตายรึไงไอ้สัส ” อยู่ดีไม่ว่าดีนะมึง

ผมลากไอ้ขุนขึ้นมาบนห้องนอนทันที ไอ้หล่อมันก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้ามัน ผมเห็นแบบนั้นก็ไปชะเง้อคอมองเสื้อผ้าที่มันมี ไอ้ขุนมันมีเสื้อโทนสีดำ เทา ขาว และน้ำเงินเยอะมากครับ ชอบอะไรเรียบๆสินะ ไม่ค่อยต่างจากผมเท่าไรนัก

“ มีเสื้อแขนยาวปะ กูอยากใส่แขนยาวอ่ะ ” ผมชอบเสื้อแขนยาวมากครับ ผมไม่ค่อยชอบให้อะไรมาสัมผัสผิวแขนโดยตรงเท่าไหร่ เสื้อแขนสั้นผมก็ใส่ได้นะแต่ว่าผมไม่ค่อยเลือกที่จะใส่

“ มีสิ งั้นเอาตัวนี้ละกัน ” ไอ้ขุนมันส่งเสื้อแขนยาวสีเทามาให้ผม ผมรับมากางดู มันค่อนข้างใหญ่กว่าไซส์ที่ผมใส่อยู่พอตัว แน่ล่ะไอ้ขุนมันตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ

“ กางเกงอ่ะ เอาบ๊อกเซอร์มึงก็ได้ ”

“ ไม่ได้ บ๊อกเซอร์มันขาสั้นแถมยังขาบาน กูไม่อยากให้ใครเห็นขามึง กูหวง ”

ผมมองไอ้หล่อที่คุ้ยหาเสื้อผ้าให้ผมก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ไอ้ขุนนี่มันบ้าจริงๆเลย ปกติผมอยู่ที่หอผมก็ใส่บ๊อกเซอร์ไม่ก็กางเกงเจเจขาสั้นอยู่แล้ว เพื่อนๆผมเห็นบ่อยจะตายไป

หวงอะไรไม่เข้าท่า

“ อ่ะเอาตัวนี้ กางเกงเล ใส่เป็นใช่ไหม ” ไอ้ขุนถามผมพลางชูกางเกงเลสีเหลืองในมือให้ผมดู

“ ใส่เป็น ” ผมรับกางกางเลมาแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าห้องน้ำแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกว่าลืมอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

กางเกงใน

ไม่มีกางเกงใน

ผมต้องเปลี่ยน ไม่ได้ครับถึงจะโสโครกยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เด็ดขาด แต่จะให้ใส่ของไอ้ขุนก็ไม่ได้อีกอ่ะ มันเป็นของใช้ส่วนตัวที่ไม่ควรใช้ร่วมกับใคร ผมจะเอายังไงดีวะ จะไม่ใส่ก็ไม่ได้อีก

ทำไมชีวิตต้องมาคิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้วะ

“ อ่ะหนม กางเกงใน ” ผมมองกางเกงในที่ไอ้ขุนส่งมาให้ มันเป็นกางเกงในใหม่ครับเพราะฉลากยังมีแปะไว้

“ กูไม่คิดว่ามึงจะมีของใหม่ด้วยนะเนี่ย ”

“ กูซื้อมาผิดไซส์อ่ะ อันนั้นมันเล็กไป ” มันว่าพลางยิ้มกริ่ม ผมเบ้ปากใส่ จะบอกว่าของมึงใหญ่สินะ หมั่นไส้จริงๆ

ผมเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อที่จะอาบน้ำ ห้องน้ำไอ้ขุนนี่ก็ไม่ต่างจากจากห้องน้ำที่บ้านผม มีเคาท์เตอร์วางของใหญ่ๆ ในห้องน้ำมันไม่มีอย่างเดียวคือเป็ดยาง ว่าแล้วก็คิดถึงเป็ดยางจัง เดี๋ยวก่อนสอบต้องแวะกลับไปนอนบ้านสักวันละจะได้แช่น้ำกับเจ้าพวกเป็ด อ่างแช่ของไอ้ขุนใหญ่นี่กว่าอ่างของผมอีก อารมณ์แบบว่าแช่สองคนได้สบาย

แต่วันนี้ผมจะไม่แช่น้ำหรอกครับ

ผมเลือกที่จะอาบน้ำด้วยฝักบัวเพราะจะได้รีบๆอาบแล้วลงไปข้างล่าง เผื่อเพื่อนผมกับเพื่อนไอ้ขุนมาจะได้เตรียมของเตรียมที่ไว้ทำกัน ของใช้ในห้องน้ำไอ้ขุนนี่มีหลายอันที่ผมใช้เหมือนกับมัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนนะครับว่าเราจะเจอคนที่ใช้อะไรๆเหมือนกับเราได้ขนาดนี้ คนที่ชอบอะไรๆหลายอย่างคล้ายกับเรา

คิดๆดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

เวลาผ่านไปสักประมาณสิบกว่านาที ผมอาบน้ำเสร็จแล้วครับ ตอนนี้กำลังใส่เสื้อผ้า เสื้อไอ้ขุนมันใหญ่กว่าที่ผมคิดอีกว่ะ ชายเสื้อยาวเลยมาอีกประมาณคืบนึงก็จะถึงเข่าผมละ เดี๋ยวผมจะต้องถามมันว่ามันสูงเท่าไหร่ ทำไมใส่เสื้อที่ตัวยาวขนาดนี้ แขนเสื้อนี่ก็ยาวคลุมมือผมมิดเลยต้องพับครับ ไม่งั้นจะใช้มือไม่ได้

ทำไมผมพูดอะไรงงๆวะ

ผมสวมกางเกงเลสีเหลืองก่อนจะมัดเชือกไว้แน่นๆ เสร็จแล้วครับการอาบน้ำแต่งตัวของขนม รู้สึกสะอาดสดใสหัวใจชื่นบานมากตอนนี้ กลิ่นแชมพูที่ไอ้ขุนก็หอมติดอยู่ที่ตัวผม ชอบว่ะกลิ่นมันหอมอ่อนๆผมเปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อนี้ดีไหมนะ ชักติดใจกลิ่นซะแล้วสิ

“ อาบเสร็จแล้วหรอ ” ทันทีที่ผมเดินออกมาจากในห้องน้ำก็เจอไอ้หล่อที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผมนึกว่ามันลงไปข้างล่างซะอีก

“ เออ ทำไมมึงอยู่นี่อ่ะ ” ผมเดินมานั่งเช็ดผมบนเก้าอี้ใกล้เตียง

“ รอมึง ” รอทำไมวะไอ้บ้า กูไม่ได้บอกให้รอสักหน่อย

ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน มือก็พลางเช็ดผมที่เปียกของตัวเองต่อ ผมเริ่มยาวเกินไปแล้วแฮะ เดี๋ยวก่อนสอบค่อยไปตัด ตัดทรงอะไรดีวะ ผมของผมมันหยักศกหน่อยๆ พอมันยาวมากเข้าหัวมันก็จะฟูๆ ผมไม่ค่อยชอบหวีผมครับ ปล่อยมันกะเซิงไปมอมาตั้งแต่ปี 1 ผมไม่ค่อยสนใจกับมันอยู่แล้วแค่มันไม่ทิ่มตาผมก็พอ

“ มึงจะทำอะไร ” ตอนที่ผมคิดอะไรเพลินๆไอ้ขุนมันก็แย่งผ้าเช็ดผมในมือผมไปก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลัง

“ กูเช็ดให้ ” มันว่าแล้วก็เริ่มเช็ดผมให้ผม สัมผัสเบามือจากไอ้หล่อมันให้ความรู้สึกดีแปลกๆว่ะ นอกจากแม่กับพี่เขมแล้วไม่มีใครเคยเช็ดผมให้ผมเลย เพราะว่าผมไม่ค่อยชอบให้ใครมายุ่งกับหัวผมสักเท่าไหร่ กับเพื่อนๆผมก็ไม่ค่อยให้ยุ่งนะครับ ถ้าให้แตะๆลูบๆนิดๆหน่อยๆก็ยอมได้ แต่ให้ขยี้แบบนี้ผมไม่ยอมให้ทำ

จะมีก็แต่ไอ้ขุนนี่แหละที่ผมยอม

ยอมแบบไร้เหตุผลอีกต่างหาก

“ เจ็บไหม ” ไอ้หล่อเอ่ยถาม

“ ไม่ ” จะไปเจ็บได้ยังไงมึงเช็ดถนอมหัวกูซะขนาดนี้ มือไอ้ขุนมันเบามากครับ มากจนผมรู้สึกเคลิ้มเหมือนจะหลับอีกรอบ

“ ง่วงหรอ ”

“ นิดหน่อย แต่กูไม่นอนตอนนี้หรอกเดี๋ยวกลางคืนนอนไม่หลับ ” ผมยกมือปิดปากหาวเบาๆ

“ ดีแล้ว ทนง่วงไปก่อนไว้นอนทีเดียว ชีวิตมึงจะได้กลับสู่การนอนแบบคนปกติได้สักที พักผ่อนน้อยเกินไปกูกลัวมึงจะไม่สบาย ถ้าเป็นแบบนั้นกูเป็นห่วงตายเลย ” ไอ้ขุนมันร่ายยาวให้ผมฟัง น้ำเสียงนุ่มนั่นแสดงออกถึงความเป็นห่วงจริงๆ

ผมเงยหน้ามองมัน มือมันเองก็หยุดชะงัก ผมชอบคิดนะว่าทำไมไอ้ขุนมันถึงเป็นห่วงผมนักหนา แถมยังคอยช่วยเหลือและดูแลผมอยู่ตลอด มันทำหลายๆอย่างให้ผมในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจนบางอย่างผมเริ่มชินกับมัน มันน่ากลัวนะเวลาที่เราคุ้นเคยกับอะไรสักอย่างแล้วถ้าวันนึงมันหายไป ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้ามันมีวันนั้นจริงๆผมจะมีสภาพยังไง ใจผมมันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างเดิม

เป็นเพราะไอ้บ้าที่มองผมอยู่แท้ๆ

ที่ทำให้ขนมคนแกร่งกลายเป็นแบบนี้

“ มองอะไรหืม ”

“ ขอบใจนะที่เป็นห่วง ” ผมยิ้มบางๆให้มัน ไอ้ขุนเองพอเห็นผมยิ้มให้เจ้าตัวก็ยิ้มหวานตอบ มึงไม่ต้องยิ้มกว้างขนาดนั้นก็ได้ป้ะวะ สงสัยมันคงดีใจที่เห็นผมยิ้มให้

“ กูจะอยู่เป็นห่วงมึงไปนานๆ ” นิ้วเรียวของไอ้ขุนจิ้มแก้มผมเบาๆ หึ....อยู่เป็นห่วงไปนานๆงั้นหรอ

“ มึงพูดแล้วนะ ”

“ แน่ะ อยากให้กูอยู่ด้วยไปนานๆล่ะสิ ถึงพูดแบบนี้ ” ไอ้ขุนมันเลิกคิ้วมองผมอย่างเจ้าเล่ห์ ผมหุบยิ้มทันทีก่อนจะหยิกมือมันไปทีนึงอย่างหมั่นไส้ เดี๋ยวนี้มันหาทางต้อนผมด้วยคำพูดอยู่ตลอดเลยให้ตายสิ

“ กูเปล่า เช็ดเร็วๆเดี๋ยวพวกเพื่อนๆกับพี่ๆมันมา ” ผมเร่งมัน เมินคำถามมันไปครับอย่าไปสนใจ ทำหน้ามึนๆเข้าไว้เดี๋ยวทุกผ่านมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี

“ ครับๆ ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เข้ามากูไม่ได้ล็อค ” พอไอ้ขุนพูดจบร่างโปร่งพร้อมเจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มก็เดินเข้ามาทันที พี่แกงเองครับไม่ใช่ใคร เห็นสีผมพี่เขาทีไรแม่งบาดใจผมทุกทีเลยว่ะ พี่แม่งโคตรคูล

“ สวีทกันหรอวะ ” พี่แกงถามก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนเตียง สวีทห่าอะไรล่ะพี่นั่งเช็ดหัวกันอยู่เนี่ยะ

“กูบอกแล้วว่าอย่างเพิ่งขึ้นมาก็ไม่เชื่อ ” ไม่ใช่แค่พี่แกงที่เดินเข้ามาในห้องครับ พี่เกียร์ก็เดินเข้ามาอีกคน

ผมมองพี่เกียร์สลับกับพี่แกง สองคนนี้นี่ดูหล่อมากทั้งคู่เลยนะครับ แถมตัวก็ยังเท่าๆกันอีก สงสัยเหมือนกันนะว่าในเวลาแบบนั้นใครเป็นฝ่ายไหนอะไรยังไง ผมว่ามันดูเหมือนกดกันไม่ลงด้วยซ้ำ

หรือพี่เขาสลับกัน

บ้าน่ะ คิดอะไรของมึงวะเนี่ยหนม

“ ทำไมทำคิ้วขมวดแบบนั้นล่ะไอ้แว่น ” พี่แกงนอนมองผม

“ มึงจะไปยุ่งอะไรกับคิ้วน้องแว่นล่ะ ” ผมยังไม่ทันตอบพี่เกียร์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ไม่ใช่แค่พูดนะครับร่างสูงๆก็เดินไปล้มทับพี่แกงที่นอนอยู่บนเตียง พอเป็นแบบนั้นมันก็เกิดเป็นสงครามย่อมๆของทั้งสองคน

“ พวกมึงอย่าไปฟัดกันบนเตียงกูได้ไหม จะเอากันก็ไปอีกห้องโน่นไป ” เสียงไอ้หล่อเอ่ยอย่ารำคาญ สภาพเตียงตอนนี้คือหมอนกับผ้าห่มกระจายไปคนละทิศล่ะครับ แน่ล่ะพี่เกียร์กับพี่แกงเล่นกลิ้งไปรอบเตียง เล่นอะไรกันเป็นเด็กเลยแฮะ

“ ป่ะเมีย ไอ้ขุนมันเปิดทางให้เราละ ” พี่เกียร์เอ่ยพลางรวบตัวพี่แกงมาไว้ในอ้อมแขน สังเกตหน้าใสๆของพี่แกงขึ้นสีแดงระเรื่อด้วย พอเห็นแบบนี้ผมก็รู้แล้วล่ะว่าใครเป็นฝ่ายไหน

พี่แกงนี่ต้องโดนทะลวงชัวร์

“ พูดบ้าอะไรของมึง ออกไปเลยนะ ” พี่แกงโวยวายใส่ใหญ่เลย มองแบบนี้มันก็ดูน่ารักดีนะคนเป็นแฟนกันเนี่ย มีหยอกมีล้อมีตีกันหน่อยๆด้วย ผมไม่เคยมีแฟนไงครับเลยไม่เคยทำอะไรแบบนี้

“ พอเลยทั้งคู่อ่ะ ไปหยอกล้อเล่นกันไกลๆได้ไหม ขัดหูขัดตา ” ไอ้ขุนมันก็ยังไม่เลิกบ่นครับ สงสัยว่ามันคงไม่อยากให้เตียงมันเละไปกว่านี้มันถึงบ่นไม่หยุด

“ พูดแบบนี้อิจฉาสินะมึงน่ะ ”

“ ไม่มีโอกาสจะได้ทำแบบนี้กับน้องแว่นสักทีไง ก็เลยหงุดหงิดอยู่ ”

ผมเงยหน้ามองไอ้ขุนอีกครั้งทันทีที่พี่สองคนเขาพูดจบ ผมเข้าใจความหมายของที่พี่เกียร์พูดนะครับ หน้าหล่อของมันดูปรี๊ดแตกแปลกๆ หูนี่แดงเถือกเลยครับ มันโกรธหรือว่ายังไงนะ

“ เอออิจฉา อย่าให้ถึงวันของกูนะมึง ลงไปข้างล่างเลยนะไอ้พวกเชี่ย ” ไอ้ขุนโวยวายใส่พี่เกียร์กับพี่แกง สองคนเขาก็หัวเราะลั่นห้องก่อนจะพากันเดินออกไป เหลือแค่ผมกับไอ้ขุนที่อยู่ในห้องกันสองคน

“ มองอะไรวะ หัวร้อนอยู่นะ ไม่ต้องมาทำหน้าแบ๊วใส่เลย ” มันว่าแล้วบีบจมูกผมเบาๆ หน้าแบ๊วพ่องอ่ะ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยไหมกูก็อยู่ของกูปกติ

“ แบ๊วไรวะ แล้วมึงจะหัวร้อนทำไม ”

“ ก็พวกมันแกล้งกูอ่ะ ” ไอ้ขุนมันทำเสียงเหมือนนอยด์นิดๆ เขาแกล้งอะไรมึงวะกูไม่เห็นเขาจะแกล้งมึงตรงไหน

“ กูเห็นพี่เค้าเล่นกันเฉยๆเอง ”

“ งั้นมึงมาเล่นกับกูเฉยๆแบบนั้นได้ไหมล่ะ ” กูจะไปเล่นแบบนั้นกับมึงได้ยังไงวะ

“ กูกับมึงไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ”

“ อยากเป็นไหมล่ะ ”

ผมมองไอ้ขุนมันเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง ความจริงจังของมันทำให้ผมใจสั่นอีกแล้วแถมแก้มก็ยังร้อนขึ้นมาดื้อๆ ผมไม่ได้โง่เกินที่จะไม่รู้ความหมายของสิ่งที่มันพูดนะครับ แต่ว่าจะให้ตอบกลับยังไงวะ ไม่รู้โว้ยยยยยยยย ไม่ตอบอะไรทั้งนั้นแหละ

เพราะงั้นเปลี่ยนเรื่อง

“ หัวแห้งละ กูลงไปข้างล่างนะ ” ผมบอกมันแบบนั้นก่อนจะรีบลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งลงมาด้านล่างทันที ไม่ไหวครับใจสั่นเหลือเกิน ตอนแรกมันก็มีอิทธิพลกับผมพอสมควรนะ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งแล้วใหญ่ มันก็ช่างสรรหาคำมาใช้กับผมเหลือเกิน ยิ่งพอรู้ว่าผมแพ้ทางมันก็ยิ่งเอาใหญ่

ตอนนี้แก้มผมคงแดงน่าดูแน่เลยว่ะ

“ ทำไรมาวะหนมหน้าโคตรแดงเลย ”

เห็นไหม...ผมบอกแล้ว








TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังให้กันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาาาา

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
น่ารักค่ะ  :-[

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :-[ :-[

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 11 เปิดตี้หมูกระทะ



“ มึงหั่นบางๆสิวะไอ้หมี มึงทำเป็นป้ะเนี่ย ”

“ ทำเป็นสิพี่ เชื่อมือหมีเถอะ ”

“ เชื่อก็เชี่ยแล้ว มึงหั่นเป็นลูกเต๋าแบบนี้มันก็สุกยากสิวะ ”

“ มันก็กินได้เหมือนกันแหละหน่า ”

“ ยังจะเถียงอีก ” สิ้นคำของพี่ชาไอ้หมีมันก็โดนพวกพี่เขารุมสกัม

สมน้ำหน้ามันทำตัววุ่นวายดีนัก

ตอนนี้ผมกับไอ้หมีและพวกพี่ๆกำลังนั่งหั่นผักกับเนื้อสัตว์เพื่อที่จะเตรียมไว้กินหมูกระทะกันอยู่ครับ เพื่อนๆผมยังไม่มาเพราะว่าเพิ่งจะตื่นกัน ตอนนี้ก็ประมาณสี่โมงกว่าๆ ที่รีบเตรียมของก็เพราะว่าไอ้ขุนบอกให้หมักพวกเนื้อไว้ก่อน ยิ่งหมักนานก็ยิ่งอร่อย แต่ตอนนี้ไอ้ขุนไม่ได้อยู่เตรียมของกับพวกผมนะครับ มันออกไปซื้อของทะเลมาเพราะผมบ่นว่าผมอยากกิน

ดีจัง ฮ่าๆๆ

ผมไม่คิดห้ามมันด้วยนะครับเพราะผมอยากกินไง แถมสั่งมันไปอีกต่างหากว่าให้ซื้ออะไรบ้าง รู้สึกว่าตัวเองผลาญเงินไอ้ขุนมันเยอะมากเกินไปแล้ว ไม่ใช่ผมไม่บอกมันว่าจะใช้เงินผมเองนะ ผมบอกมันแล้วแต่มันไม่ยอมผมอ่ะ สุดท้ายแล้วผมก็ต้องตามใจมัน

“ ไอ้น้องหนม กูมีไรอยากจะถามว่ะ ” พี่ชาเดินมานั่งลงข้างๆผมก่อนจะหยิบแครอทไปปอกเปลือก

“ อะไรอ่ะพี่ ”

“ มึงได้กับไอ้ขุนยังวะ ”

“ เห้ยพี่ ถามอะไรเนี่ย ” พี่ชามองหน้าผมนิ่งๆ อารมณ์แบบมึงตกใจทำไม

“ ก็ขึ้นชื่อว่าไอ้ขุนอ่ะ ”

“ ขึ้นชื่อว่าไอ้ขุนแล้วทำไมอ๋อพี่ ”

“ มันจ้องจะเอาใครมันก็จะได้ไม่เกินสามวัน แถมมันยังไม่เคยพาใครมานอนที่บ้านด้วยนอกจากเพื่อนๆอ่ะ มีมึงนี่แหละที่มันพามา ”

ผมฟังจากที่พี่ชาบอกมันก็ให้ความรู้สึกแปลกๆดีว่ะ ปกติแล้วผมไม่ค่อยรู้หรอกนะครับว่าเมื่อก่อนชีวิตไอ้ขุนมันเป็นมายังไง รู้แค่ว่ามันเจ้าชู้แต่ไม่รู้ว่ามันจะเก็บเหยื่อได้ภายในสามวัน

ชักอยากรู้ให้มากกว่านี้แล้วว่ะ

“ ผมอยากรู้เรื่องของไอ้ขุนบ้างอ่ะพี่ชา ผมอยากรู้ว่าจริงๆมันเป็นคนยังไง ” อยากรู้ครับ ผมคิดไว้แล้วแหละว่าจะไปแอบตามดูชีวิตมันลับหลังสักระยะนึง อยากเห็นกับตาว่าเวลามันอยู่ต่อหน้ากับลับหลังผมเนี่ยมันต่างกันมากไหม

“ งั้นกูขอถามมึงก่อน ไอ้ขุนเวลามันอยู่กับมึงอ่ะ มันทำตัวยังไง ” ทำตัวยังไงงั้นหรอ

“ มันดูแลผมดีมากอ่ะพี่ มันเทคแคร์มันใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆมันก็ใส่ใจ มันชอบพูดจาหวานๆเลี่ยนๆ มันให้เกียรติผมมากทั้งๆที่ผมเป็นผู้ชาย ”

“ แล้วมึงรู้สึกยังไง ”

“ มันก็รู้สึกดีอ่ะเพราะชีวิตผมมันไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้มาก่อน บางครั้งก็รู้สึกดีมาก มากจนอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้นะพี่ว่าที่ผมรู้สึกอยู่มันคืออะไร ” สับสนครับ สภาวะสับสนในชีวิต แถมยังมีความย้อนแย้งในตัวเองอีกต่างหาก

“ กูก็พอเข้าใจมึงแหละ ครั้งแรกในชีวิตที่เจออะไรแบบนี้ล่ะนะ ”

“ พี่ชาอย่าไปบอกมันนะ ผมไม่อยากให้มันรู้ว่ามันทำให้ผมเป็นแบบนี้อ่ะ ”

“ กูไม่บอกหรอก แต่เอาจริงๆไอ้ขุนมันก็น่าจะดูมึงออกแหละมันก็แค่ไม่พูด ”

“ เออ มันแค่ไม่พูด ” ผมหันมองพี่ก้องที่เดินมานั่งข้างผมอีกคน

“ ความจริงอ่ะไอ้ขุนมันเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจใครนะ ไอ้ดูแลเทคแคร์ใส่ใจอ่ะมันไม่เคยทำแบบนั้นให้ใครด้วยซ้ำ ไม่มีใครเคยผูกมัดมันไว้ได้ด้วย มึงคิดดูว่าคนที่เจ้าชู้มากๆเปลี่ยนคนควงเป็นว่าเล่น ผู้หญิงไม่ขาดมืออ่ะแต่ตอนนี้มันกลายเป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเลยแม้ว่าจะมีคนเสนอตัวให้มันเยอะมากๆก็ตาม ”

“ ใช่ จากคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน แดกเหล้าแทบทุกวันกลับคิดเลิกเที่ยว กูบอกเลยนะว่าจะชวนมันไปเที่ยวแต่ละวันนี่ยากเย็นชิบหาย แม่งให้เหตุผลว่าถ้ามันไปเที่ยวมันมาหามึงดีกว่า ”

“ ผมทำให้มันเปลี่ยนไปงั้นหรอ ”

“ ไม่หรอก ไอ้ขุนมันเหมือนเดิมแหละแต่ที่มันทำทั้งหมดนั่นน่ะก็เพื่อให้มึงพิเศษกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง ” พี่ชาเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

พิเศษอย่างงั้นหรอ

ผมยิ้มออกมาอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ในใจมันละมุนแปลกๆ ผมรู้สึกดีมากครับกับเรื่องที่พี่ชากับพี่ก้องเล่าให้ฟัง แถมยังเชื่ออย่างสนิทใจโดยที่ไม่คิดว่าพี่เขาจะเล่าเรื่องเข้าข้างเพื่อนตัวเอง ไอ้ขุนมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้เหมือนกันล่ะนะว่าผมเป็นคนพิเศษ หลายๆอย่างที่มันทำให้ผมมันดีมากจริงๆ

“ เพราะเวลามึงแก้มแดงแล้วน่ารักป้ะวะ ไอ้ขุนมันถึงไปไหนไม่รอด ” พี่ก้องว่าพลางเอามือดึงแก้มผมด้วย มันเจ็บนะพี่เอ้ยละมือนั่งแกะผักกาดอยู่ไม่ใช่รึไง มันก็เลอะหน้าผมน่ะเซ่

“ เป็นแค่ไอ้เฉิ่มแต่เอาไอ้ขุนอยู่หมัดเลยนะมึงน่ะ ดีจริงๆว่ะ กูขอให้รักกันนานๆ ”

“ รักอะไรล่ะพี่ ไม่ใช่เว้ย ” ผมโวยวายใส่พี่ชาที่เลิกคิ้วมองผมอย่างกวนๆ อะไรวะทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ

“ ที่พูดมานั่นจะใช่เร้อ ”

“ ผมไปช่วยไอ้หมีหั่นหมูดีกว่า ” ผมรีบลุกไปนั่งข้างไอ้หมีเพื่อหนีพี่ๆมันทันทีครับ พวกพี่ๆมันก็หัวเราะแซวผมใหญ่ เออเอาเข้าไปนะพี่นะ

“ พี่ๆเค้าคุยไรกับมึงวะหนม ” ไอ้หมีมันถามครับ สายตาจับจ้องแบบอยากรู้เรื่องมาก

“ เสือก หั่นหมูไปเลยมึง ” ถามกูมากๆเดี๋ยวกูจะหั่นมึงแทนหมู

“ พูดงี้เพื่อนหมีเสียใจหน่า ” มันว่าก่อนจะยกมือขึ้นทำเป็นปาดน้ำตา ไอ้ท่าปาดน้ำตาของมึงนี่เลิกใช้เถอะว่ะ เห็นแล้วหมั่นไส้ชิบหาย

“ ไอ้สัสขุนมึงจะซื้อเยอะไปไหนเนี่ยะ ” ผมหันตามเสียงบ่นก็พบกับพี่สยามที่ถือถุงของทะเลเดินเข้ามาในบ้าน ซื้อมาอย่างเยอะ จะกินหมดไหมเนี่ย

“ ซื้อมาให้พวกมึงแดกนี่แหละอย่าบ่นให้มากได้ไหมวะ ตังค์ก็ตังค์กูเดี๋ยวก็ตบทิ่มหรอก ” ไอ้หล่อมันเดินตามมาเข้ามาพอมันเห็นผมนั่งหั่นหมูอยู่ข้างไอ้หมีมันก็นั่งลงข้างๆผมทันที

“ ไม่ไปล้างของก่อนหรอพี่ขุน ” ไอ้หมีมันถาม

“ ไม่อ่ะ อยากอยู่กับเพื่อนมึง เห้ยไอ้สยามมึงล้างของด้วย ” ไอ้ขุนมันสั่งพี่สยามก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ผม ไม่ต้องมายิ้มเลยนะมึง

“ มึงไปช่วยพี่สยามล้างเลย ” ผมสั่งมัน

“ อะไรเล่า ไอ้สยามมันล้างได้ ”

“ มันตั้งเยอะ ไปช่วยเดี๋ยวนี้ ”

“ อื้ออ.อ...อ...หนม ” ผมมองหน้าไอ้ขุนที่เบะปากน้อยๆ คิดว่าน่ารักหรอมึง เออน่ารักแต่กูไม่ใจอ่อนให้มึงง่ายๆหรอก

“ มึงจะไม่ไปหรอ ” ผมมองมันด้วยสายตานิ่งๆ

“ ไปก็ได้ ” ไอ้หล่อมันทำเสียงอ่อนใส่ก่อนจะลุกไปช่วยพี่สยามล้างของทะเลที่ซื้อมา

“ มึงนี่ไม่ทำดาเลยหนม ”

“ ไม่ทำดาอะไรวะหมี ”

“ พี่ขุนทำตามที่มึงสั่งด้วย ปกติใครสั่งพี่ขุนได้ที่ไหนล่ะ ” ไอ้หมีว่าพลางส่งสายตาหมั่นไส้มาให้ผมด้วย

“ นั่นเพราะกูเก่งไง ” ผมยักคิ้วให้มันทีนึงก่อนจะหั่นหมูต่อ

จะว่าไปไอ้ขุนนี่มันก็ทำตามทุกอย่างที่ผมสั่งจริงๆนั่นแหละ มีอิดออดบ้างแต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะยอมทำตามคำสั่งไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน แล้วถ้าวันนึงมันไม่ยอมขึ้นมาผมจะทำยังไงนะ ไม่เอาๆอย่าไปคิด อนาคตมันคือสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริงครับ มันไม่มีความแน่นอนและไม่มีความตายตัว ผมว่าผมคิดอยู่แค่ปัจจุบันดีกว่า

ปัจจุบันมันยอมผม นั่นคือสิ่งที่ผมคิดแล้วสบายใจ

เอาแค่นั้นพอ

“ ล้างเสร็จแล้วครับ ” ไอ้หล่อมันกลับมานั่งเสนอหน้าอยู่ที่เดิมทันที

“ มึงล้างไวจัง ” มันล้างไวมากจริงๆครับ ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

“ ก็กูอยากมานั่งกับมึงไงก็เลยรีบล้าง ไอ้หมีมึงไปหั่นผักไปเดี๋ยวกูหั่นหมูเอง ไป้ ” มันไล่ไอ้หมีก่อนจะหยิบหมูที่ไอ้หมีหั่นค้างไว้มาทำแทน ไอ้หมีที่โดนไล่ที่ก็ได้แต่เบ้ปากใส่ผมแล้วก็เดินไปช่วยพวกพี่หอมหั่นผักแทน

“ เออขุนกูมีอะไรจะขอมึงหน่อยอ่ะ ”

“ ว่ามา เพื่อมึงกูทำได้ทุกอย่าง ”

“ หลังจากวันนี้ไปจนวันสอบเสร็จ มึงไม่ต้องมาหากูแล้วก็ไม่ต้องติดต่อมานะ ” มือไอ้ขุนที่หั่นหมูอยู่หยุดชะงักทันทีที่ผมพูดจบ มันเงยหน้ามองผมช้าๆ แววตาหม่นๆนั่นมันน่าสงสารแปลกๆแหะ

“ ทำไมล่ะ ” พอเสียงอ่อนๆนั่นเอ่ยออกมามันยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ เฮ้อ ลำบากใจเหมือนกันนะแต่ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจไว้มันก็จะต้องเป็นเหมือนเดิม

ห้ามใจอ่อนให้มันเด็ดขาด

“ คือกูอยากจะมีเวลาอ่านหนังสืออย่างเต็มที่น่ะ แล้วกูก็มีติวกับเพื่อนๆด้วย ปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ”

“ ขอเจอสักวันก็ไม่ได้หรอ ”

“ ไม่ได้ กูอยากจะมีสมาธิ ที่สำคัญกูก็อยากให้มึงตั้งใจอ่านหนังสือสอบเหมือนกัน กูกำลังพยายามอย่างเต็มที่มึงไม่อยากพยายามให้มากเท่ากับกูหรอ ” ผมมองคนตรงหน้าที่พยักหน้าช้าๆเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แต่มันก็ยังไม่เลิกทำหน้าหงอย เอาจริงๆไม่ได้เจอผมแค่อาทิตย์กว่าๆ เวลามันก็พอๆกับที่มันเคยหายไปครั้งก่อนนั่นแหละ แต่ทำไมมันยังงอแงอยู่ก็ไม่รู้

“ กูเข้าใจแล้ว ในเมื่อมึงตั้งใจกูก็จะตั้งใจเหมือนกัน ” มันว่าด้วยเสียงเอื่อยๆ สงสัยผมต้องใช้ประโยคที่เตรียมไว้แล้วล่ะ ผมเชื่อว่าถ้าผมบอกมันแบบนั้นมันจะต้องกลับมายิ้มได้แน่ๆ

“ ดีแล้ว....เอาจริงๆที่เราห่างกันบ้างกูว่ามันดีออกนะ ”

“ ดียังไง ”

“ ก็ห่างเพื่อให้มีเวลาได้คิดถึงกันไง ” สิ้นเสียงของผมไอ้ขุนมันก็นิ่งไปทันที สังเกตได้ว่าแก้มไอ้หล่อมันมีสีแดงระเรื่อแกมขึ้นมา นี่มันเขินผมป้ะวะ

“ หนมมึง.....” ฮ่าๆตอนนี้หน้ามันแดงลามไปยันหูแล้วครับ ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะได้เห็นมันหน้าแดงจัดขนาดนี้ พอมองแบบนี้มันก็ดูน่ารักแปลกๆเหมือนกันแฮะ

“ มึงร้อน หรือว่า เขิน ” ผมแกล้งแซวมันด้วยคำพูดที่มันชอบแซวผม ถึงทีของกูละไอ้ขุนเอ้ย เคยเล่นกูไว้เยอะดีนัก วันนี้หนมขอสวนครับ ฮ่าๆๆ

“ เขิน เขินมาก ใครจะไปคิดว่าไอ้เฉิ่มอย่างมึงจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาวะ ” มันบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เพราะตัวเองเสียท่าให้ผม แน่ล่ะปกติผมจะต้องเขินมัน มึงรู้สึกแพ้พ่ายแพ้สินะไอ้ขุน

ว่าแต่เมื่อกี้มันเรียกผมว่าไอ้เฉิ่มสินะ

โป๊ก

“ โอ้ย โขกหัวกูทำไมเนี่ย ” ไอ้ขุนมันทำหน้ามุ้ยใส่ผมที่ไปโขกหัวมัน มึงมันสมควรโดนแล้วไอ้บ้า

“ เรียกกูว่าไอ้เฉิ่มดีนัก ” กูรู้แล้วว่าตัวเองเฉิ่มแต่คนอื่นห้ามเรียกโว้ย

“ ปกติใครมายุ่งกับหัวกูนี่กูไล่เตะแล้วนะ ”

“ มึงจะเตะกูรึไง ”

“ ใครจะกล้า ” มันทำเสียงอ่อนก่อนจะหั่นหมูต่อ

ผมนั่งมองไอ้ขุน ตลกดีว่ะเมื่อกี้ยังทำตัวดราม่าอยู่เลย แค่พูดว่าห่างให้คิดถึงหน่อยเดียวก็กลับมาเป็นไอ้บ้าขุนคนเดิมได้ละ แถมยังเขินให้ผมได้เห็นเป็นบุญตาอีกต่างหาก ผมคิดดีแล้วนะครับเรื่องที่จะไม่ให้มันมายุ่งผมจนกว่าจะสอบเสร็จ ผมมีเรื่องที่ตั้งใจจะทำ เรื่องแรกก็คือตั้งใจอ่านหนังสือสอบ ส่วนอีกเรื่องไปตามแอบดูชีวิตมันที่คณะแบบเงียบๆ ผมอยากรู้ครับว่าลับหลังผมมันเป็นยังไง อยากเห็นกับตาตัวเอง แล้วก็อยากจะรู้ด้วยว่ามันจะตั้งใจจริงๆแบบที่มันพูดรึเปล่า

แค่คิดจะไปตามดูก็น่าสนุกแล้ว

“ หนม....กูดีใจนะที่มึงพูดแบบนั้นออกมาน่ะ ” มันเหลือบมองผมแปปนึงแล้วก็หั่นหมูต่อ

“ ก็มันจริงนี่หว่า รีบๆหั่นจะได้หมักไวไว ” มันพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะรีบหั่นตามที่ผมสั่ง

จะว่าไปนี่ถ้าห่างกันผมก็อาจจะคิดถึงมัน ไม่สิ ผมอาจจะนึกถึงมัน แน่ล่ะคนอยู่ด้วยกันบ่อยๆ วันไหนที่ไม่เจอหน้าก็ยังได้คุยกัน แต่นี่ต้องทั้งห้ามเจอทั้งคุย อยากรู้จังว่าไอ้ขุนจะเป็นยังไง ถ้าไม่ได้เจอหรือว่าไม่ได้คุยกับผมเลยมันจะลงแดงตายไปก่อนรึเปล่า

จะเป็นยังไงก็ต้องรอดูสินะ





“ มึงอย่ามาแย่งหมูกูได้ป้ะวะ กูเป็นคนปิ้ง ”

“ กูจะแย่งอ่ะ ”

“ เห้ยพี่แกงอันนั้นมันของหมีหน่า ”

“ มันอยู่ในจานกูแล้วมันต้องเป็นของกูดิ่ ”

“ กุ้งเผาได้แล้วหนม ให้กูแกะให้เลยไหม ”

“ เออแกะเลย ”

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆครับ พวกผมกับเพื่อนๆไอ้ขุนก็นั่งกินหมูกระทะกันอยู่หลังบ้านเยื้องๆกับบ่อเต่า ขอบอกเลยว่าเป็นการกินหมูกระทะที่วุ่นวายมาก เสียงดังชิบหายอีกต่างหากนี่ยังหวั่นใจเลยนะว่าข้างบ้านจะมาด่าไหม แต่คิดไปคิดมาถึงเขาอยากจะมาด่าแต่ก็คงไม่กล้าหรอก

ดูแต่ละคนสิเถื่อนๆทั้งนั้น

“ นี่ครับ ” ไอ้ขุนมันส่งจานใส่กุ้งที่แกะเสร็จแล้วมาให้ผม หูย น่ากินมากๆ มันนี่เยิ้มเลยแถมกลิ่นยังหอมอีกด้วย ไม่ต้องอิจฉานะครับเดี๋ยวผมจะกินเผื่อให้เอง

“ แต๊งกิ้ว ” ผมรับมาก่อนจะลงมือจัดการกับเจ้ากุ้งที่อยู่ตรงหน้า เสร็จหนมเถอะนะกุ้งนะ

“ อยากกินกุ้งบ้างจังน้า ”

“ ถ้ามีคนแกะกุ้งให้กูกินบ้างก็ดีน่ะสิ ”

“ น่าอิจฉาจังเลยว่ะ ”

“ เงียบไปเลยนะพวกมึงอ่ะ ” ผมเอ็ดไอ้เพื่อนๆตัวแสบที่ส่งเสียงแซวกันไม่หยุด ส่วนพวกพี่ๆก็ส่งสายตาล้อเลียนผมกับไอ้ขุนอยู่ไม่ห่าง เต็มที่เลยครับไม่ห้ามหรอก นาทีนี้กุ้งเผาสำคัญสุด

“ ชงเหล้าให้กูดิ้แกง ไอ้น้องแว่นเอาเหล้าไหม ” พี่ชาหันมาถาม

“ ไม่อ่ะพี่ ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ ไม่พร้อมดื่มของมึนเมาครับวันนี้

“ เห้ยเอาหน่อยหน่า ฉลองทั้งที ”

“ ไม่ดีกว่าพี่ ไว้โอกาสหน้า ”

“ น้องไม่แดกก็อย่าเซ้าซี้สิวะ เดี๋ยวกูเตะเลย ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะส่งสายตาเหี้ยมไปให้ โหดจริงๆเลยนะมึงกับเพื่อนกับฝูงเนี่ยะ

“ มีปกป้องกันด้วยว่ะ ”

“ ทำดาอ่ะ คนเราก็ต้องปกป้องคนที่ตัวเองรักสิวะ ”

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ” พอสิ้นเสียงแซวจากพี่เกียร์ก็พากันหัวเราะลั่นโดยไม่สนใจผมที่นั่งหน้าร้อนฉ่าอยู่ตรงนี้เลย ไอ้หล่อที่นั่งอยู่ข้างๆก็หัวเราะไปกับเขาด้วย มึงจะหัวเราะทำไมวะนี่โดนแซวอยู่นะ มึงรู้ตัวไหมเนี่ย

“ พอละพวกมึง แดกๆไป หนมเขินตัวจะแตกแล้ว ” ไอ้ขุนมันเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเหลือบมองผม

“ เขินอะไรวะ เงียบไปเลยนะมึง ” ผมตีไหล่มันไปทึนึงก่อนจะนั่งกินกุ้งต่อ

บทสนาระหว่างที่นั่งกินหมูกระทะกันนี่ก็บันเทิงเอาเรื่องเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องงานกิจกรรม เรื่องชาวบ้าน ในส่วนของเรื่องชาวบ้านนี่ไอ้หมีมันรู้เยอะที่สุด เรื่องความรัก ในเรื่องความรักนี่ก็ไม่พ้นผมกับไอ้ขุนที่โดนแซว นอกจากผมกับไอ้ขุนก็เป็นพี่เกียร์กับพี่แกงแต่สองคนนั้นดูจะไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่ แถมยังจุ๊บปากโชว์อีกต่างหาก ยอมใจพวกพี่แม่งจริงๆ

“ เอาปูไหมหนม ” ไอ้หล่อมันถามพลางแกะปูไปด้วย

“ เอา แล้วมึงไม่กินบ้างหรอ ” ตั้งแต่นั่งกินมานี่ไอ้ขุนกินโน่นนี่ไปไม่เท่าไหร่เองครับ เพราะมันนั่งแกะกุ้งให้ผมอยู่

“ เดี๋ยวกิน แกะให้มึงก่อน ” ผมได้ยินแบบนั้นเลยหยิบกุ้งที่มันแกะให้ผมไปจิ้มน้ำจิ้มแล้วจ่อไปที่ปากมัน ไอ้ขุนก็ละมาจากปูขึ้นมามองกุ้งในมือผมแบบงงๆ

“ อะไรอ่ะ ”

“ แดกสิ ”

“ มึงป้อนกูหรอ ”

“ เออป้อนจะแดกไหม ถ้าไม่แดกกูจะ.... ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบไอ้ขุนมันก็งับกุ้งที่ผมป้อนพร้อมกับยิ้มหวานจนตาหยีเหมือนกับว่ามันกำลังมีความสุขมาก ทำไมมันดู....

น่ารัก

น่ารักก็เชี่ยแล้ว คิดอะไรของมึงเนี่ยหนม

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ” ไอ้หล่อมันบอกก่อนจะทำหน้าที่แกะปูต่อ แน่นอนไอ้เหตุการณ์ที่ผมป้อนกุ้งไอ้ขุนนั่นก็อยู่ในสายตาของคนหลายคน

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ”

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ”

“ ขอบคุณนะครับที่ป้อน ”

เออๆ ขอบคุณกันเข้าไปไอ้พวกห่า


---------- 50% ---------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 11 ----------


อิ่มโคตร

รู้สึกได้ว่ากางเกงที่มัดไว้มันแน่นขึ้นเยอะเลยว่ะ

ผมนั่งอืดอยู่ข้างไอ้หมีในขณะที่ไอ้พวกเพื่อนๆผมอาสาช่วยกันเก็บของเข้าไปล้างในบ้านเพราะตอนที่เตรียมของพวกพี่ๆเป็นคนเตรียมแล้ว นี่ถือว่านั่งกินกันนานเอาเรื่องเลยนะ เกือบ 5 ทุ่มแล้วอ่ะตอนนี้ พีคสุดตรงที่ไอ้ของที่ซื้อมาอย่างเยอะนั่นก็กินกันจนหมดเกลี้ยง เหลือก็แต่เหล้ากับเบียร์นี่แหละที่ยังไม่หมด

“ เห้ยพี่ เหล้าเหลือเยอะเลยอ่ะ หมีว่าเรามาเล่นเกมกันดีกว่า ”

“ เกมอะไรวะ ”

“ หมุนขวดตอบความจริง ใครไม่อยากตอบก็แดกเหล้าซะ 1 ช๊อตเพียวๆ สนใจเปล่า ” ไอ้หมีมันหยิบขวดเปล่าขึ้นมาส่ายเบาๆเชิงถามว่าเล่นไหมๆ

“ สนใจอะไรวะ ” ไอ้เป้ที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับเพื่อนๆถาม

“ หมุนขวดตอบความจริง ”

“ เล่นๆ กูเล่น ” ไอ้ปั้นรีบนั่งลงประจำที่ของมัน เพื่อนๆเห็นแบบนั้นก็พากันนั่งล้อมเป็นวง

ผมนั่งมองเหล่าชายฉกรรจ์ที่นั่งล้อมกันเป็นวงอารมณ์แบบพร้อมเล่นมาก ผมไม่เคยเล่นเกมนี้วงใหญ่เป็นสิบกว่าคนแบบนี้เลย ดูสายตาแต่ละคนนี่พร้อมใส่กันยับมากครับ ไอ้หมีมันก็หยิบเหล้าเทใส่แก้วช๊อตเตรียมพร้อมแล้วเหมือนกัน ความจริงผมก็สองจิตสองใจที่จะเล่นเหมือนกันนะ เพราะถ้าเลือกที่จะไม่ตอบก็จะต้องกินเหล้า

เอาไงดีวะ

“ มึงเล่นไหมหนม ” ไอ้หล่อมันถาม

“ ก็อยากเล่นนะ แต่ไม่อยากกินเหล้าว่ะ ”

“ ไม่อยากกินมึงก็ตอบความจริงดิ่ ” ผมครุ่นคิดที่ไอ้ขุนมันบอก เออ ก็จริงว่ะ ถ้าไม่อยากกินเหล้าก็แค่ตอบไปตามความจริง แต่กลัวคำถามเหมือนกันว่ะ แต่ละคนที่อยู่ในวงนี่ไม่ธรรมดาสักกะคน

เอาวะ ผมคงไม่โชคร้ายโดนถามบ่อยๆหรอก

“ เออกูเล่นก็ได้ ”

“ เล่นกัน 14 คนเลยหรอวะ ”

“ เยอะสัส แต่ก็ดีละกูได้ไม่โดน ”

“ ใครเป็นคนเริ่ม ” พี่แกงถาม

“ กูเริ่มเอง ” พี่สยามหยิบขวดเปล่าไปจากไอ้หมีก่อนจะวางไว้กลางวงแล้วออกแรงหมุน สายตานับสิบจับจ้องขวดที่หมุนติ้วๆ ไอ้หมีนี่ลุ้นมากถึงกับเอามือขึ้นมาปิดหน้าแล้วมองผ่านง่ามนิ้ว อะไรมันจะขนาดนั้นวะเพื่อนหมี

กึก

“ สัสเอ้ย ” เสียงสบถมาจากไอ้หล่อที่นั่งข้างๆผม ปลายขวดมันหยุดที่มันครับ มึงโดนแน่ไอ้ขุน พี่สยามเป็นคนถามด้วย งานนี้รอดยาก

“ อ้าวขุนศึก ” พี่สยามหรี่ตามองไอ้ขุนแบบตัวเองมาเหนือมาก

“ ถามมาเลยอย่าลีลา ”

“ เมื่อไหร่มึงจะมีแฟนวะ ” พอสิ้นเสียงพี่สยามถามทั้งวงก็ตกอยู่ในความเงียบคล้ายๆว่ารอลุ้นกับคำตอบ พี่สยามมันถามแบบนี้ไอ้ขุนมันจะตอบยังไงวะ

“ เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกูอ่ะ ”

ตึกตัก

เอ่อ....ผมมองหน้าไอ้ขุนที่หันมาถามนิ่งๆ พอมันเห็นผมนิ่งมันก็ยิ้มออกมา เดี๋ยวนะ พี่สยามถามมึงแล้วทำไมมึงมาถามกูต่อเนี่ยะ แล้วก็ถามอะไรของมึงวะเนี่ยไอ้บ้า

“ ไอ้ขุนมันร้ายว่ะ ”

“ มึงจะเนียนไปถามน้องแว่นมันทำไมเนี่ย หน้ามันแดงไปหมดแล้วน่ะ ” เสียงแซวแว่วดังเข้ามาทำให้ผมต้องยกมือปิดแก้มตัวเอง นี่แก้มกูแดงอีกแล้วหรอวะเนี่ย

“ ไอ้หนมมันเขินจะตายห่าอยู่แล้วน่ะพี่ เลิกแกล้งมันเถอะ ” กูจะขอบใจมึงมากกว่านี้นะเป้ถ้ามึงไม่พูดไปแล้วหัวเราะไป

“ เห้ยๆไอ้ขุน มึงตอบให้มันดีดีก่อนดิ้ ว่าไงเมื่อไหร่จะมีแฟน ” พี่สยามถามไอ้ขุนอีกรอบ

“ ก็ถ้าหนมมีใจเมื่อไหร่ กูก็น่าจะได้แฟนเมื่อนั้นแหละ ”

สัสเอ้ย

“ ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววว ” ไอ้ขุนมันพูดจบเสียงโห่ก็ตามมา อะไรของพวกมึงกันวะเนี่ย แซวกูได้ก็แซวกูกันใหญ่ อย่าให้ถึงทีกูนะโดนรายตัวแน่

“ พอๆ ตอบเสร็จก็หมุนต่อสิวะ ” ผมสั่งไอ้ขุนพร้อมกับส่งสายตาเหี้ยมไปให้คนรอบวง ใครไม่หยุดแซวกูฟาดด้วยขวดเหล้าจริงอ่ะ

“ โหดจริงๆเลย ” ไอ้ขุนมันว่าพลางกับหมุนขวด ถ้าผมรู้ว่าตัวเองจะโดนแซวหนักมากขนาดนี้ผมขึ้นไปนอนดีกว่า โคตรพลาดเลยที่นั่งเล่นกับพวกแม่ง

กึก

“ ไอ้หมีว่ะไอ้หมี ” ปลายขวดมันหยุดที่ไอ้หมีครับ ไอ้ตัวดีนี่ถึงกับอ้าปากค้าง

“ คนก็ตั้งเยอะทำไมหยุดที่หมีเล่า ” เพื่อนหมีเกิดอาการงอแงนิดหน่อย ทุกคนในวงนี่ดูสะใจมากที่ไอ้หมีมันโดน

“ ใครเป็นคนเปิดซิงมึงวะไอ้หมี ” ไอ้ขุนแม่งถามโคตรตรงเลยว่ะ ตรงจนทุกคนหันมองไอ้หมีทันที

“ ถามไรวะเนี่ยพี่ ” ไอ้หมีมันยิ้มแหยๆแถมยังปนหน้าซีด มันเป็นแบบนี้นี่ดูแปลกตาดีเหมือนกันแฮะ

อย่างที่รู้กันคือไอ้หมีมันรู้จักคนเยอะ มันเฟรนลี่และอัธยาศัยดี มีคนมาชอบมันก็ไม่น้อยเลยนะครับ มันก็คุยกับทุกคนแต่ก็ไม่มีใครที่มันให้มากกว่าสถานะเพื่อนหรือพี่น้อง ผมยังจำที่ไอ้เผือกบอกได้ดีเลยว่าไอ้หมีมันไม่เอาใครทั้งๆที่คนเสนอตัวให้มันก็เยอะแยะ ไอ้หมีมันอาจจะยังไม่เคยก็ได้นะ แต่ถ้าคนไม่เคยมันก็น่าจะตอบได้ทันทีเลยป้ะวะว่าไม่เคย

มันยังไงกันแน่วะเนี่ยไอ้หมี

“ ถามก็ตอบดิ่วะ หรือจะแดก ” ไอ้ภีมมันถือแก้วช๊อตขึ้นมา ไอ้หมีมันถอนหายใจเหมือนกับลำบากใจมากก่อนที่มันจะยื่นมือมารับแก้วไปจากไอ้ภีม

“ แดก ” ว่าแล้วเพื่อนหมีก็ยกซดทีเดียวจนหมด เป็นไปได้ว่ะไอ้หมีไม่ยอมบอก เรื่องนี้ชักไม่ธรรมดาเดี๋ยวผมต้องไปสืบละ

“ โถ่หมี กูก็ลุ้นไปเถอะ ” ไอ้ปั้นมันว่าอย่างเสียดาย

“ ไอ้หมีปากมากกลายเป็นคนมีความลับด้วยว่ะ ” ไอ้เป้ก็ไม่วายแซวอีกคน

“ พอเลยพวกมึง คนเรามันก็ต้องมีความลับกันบ้างสิวะ ” ไอ้หมีมันพูดจบมันก็หมุนขวดพร้อมกับยกยิ้มมุมปากแล้วจ้องหน้าผม จ้องหน้ากูทำไมวะเพื่อนหมีหน้ากูมีอะไรติดรึไง

กึก

ชิบหายละ

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆเสร็จกูเชี่ยหนม ” ไอ้หมีมันหัวเราะอย่างสะใจเมื่อปลายขวดหยุดที่ผม ที่มึงจ้องหน้ากูนี่มันเพราะอย่างนี้สินะไอ้เลว

ไอ้ห่าขวดนี่ก็หยุดเหมือนรู้งาน

“ เอาว่ะๆ ” เอาอะไรของพวกพี่วะ

“ มึงต้องตอบทุกอย่างนะหนม มึงบอกเองว่าไม่อยากกินเหล้า ” เออกูแล้วน่าภีม คำถามยังไม่มาเลยนี่ก็พูดดักซะ

“ ว่ามาไอ้หมี จะถามไรกู ” ผมถามไอ้หมีที่ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย จะถามก็ถามสิวะลีลาชิบหาย

“ มึงรู้สึกยังไงกับพี่ขุนกันแน่ ” พอไอ้หมีมันพูดจบเสียงของทั้งวงก็เฮขึ้นมาเหมือนถูกอกถูกใจกับคำถามมากโดยเฉพาะไอ้ขุนที่มันยื่นมือไปไฮไฟว์ไอ้หมี เดี๋ยวเถอะนะพวกมึง

เอาไงดีล่ะกู

ผมนั่งคิดแบบสองจิตสองใจ เป็นคนพูดเองด้วยว่าจะไม่กินเหล้า ความรู้สึกที่ผมมีต่อไอ้ขุนมันก็ยังสับสนอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าตอบจะตอบยังไงวะ

“ อย่าไปคิดเยอะไอ้น้องหนม ไม่ตอบมึงก็แดกเหล้า ถ้าตอบมึงก็แค่บอกในสิ่งที่มึงคิดเท่านั้นอ่ะ ” พี่ชาบอก สิ่งที่ผมคิดหรอวะ ผมก็บอกพี่เขาไปแล้วนี่หว่าว่าผมคิดยังไง พี่ก้องก็ได้ยินนะตอนที่นั่งหั่นผัก

“ มีคนอยากรอฟังจากปากมึงรู้รึเปล่า ” เหมือนพี่ก้องอ่านความคิดผมออกเลยว่ะ คนที่ว่ารอฟังนี่คือไอ้ขุนสินะ

“ เอาไงจะแดก หรือ ตอบ ” ไอ้หมีมันถามพร้อมกับชูแก้วเหล้า ถามไม่พอมันยังทำหน้าตากวนตีนใส่ผมด้วย ไว้เลิกเล่นก่อนเถอะกูจะไล่เตะมึง

ไอ้ขุนมันมองผมเหมือนกับรอคำตอบเหมือนกัน น่าคิดเหมือนกันนะว่าถ้าผมพูดสิ่งที่ผมคิดออกไป หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น มันจะไปในทิศทางที่ดีหรือแย่ลง จะมีอะไรเปลี่ยนไปรึเปล่า

แต่เอาก็เอาวะ

“ ตอบ ”

“ ไหนว่ามาซิ ”

“ กูรู้สึกดีนะที่มีไอ้ขุนอยู่ในชีวิตอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าวันนึงมันไม่อยู่กูจะเป็นยังไง ส่วนความรู้สึกอื่นๆยังไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูกำลังสับสนอ่ะ แต่บางอย่างกูคิดว่าเราไม่พูดมันไม่ได้หมายความว่าเราไม่รู้สึกนี่หว่า ” ผมเหลือบมองหน้าไอ้ขุนหลังจากที่ตัวเองพูดจบ เจ้าตัวก็อมยิ้มขึ้นมาทันที ไงล่ะมึง คำพูดกูดีต่อใจมึงมากเลยล่ะซี้

เอาใจหน่อยเดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันนาน

“ เห้ยยยยย ไม่ทำดาว่ะ ”

“ ร้ายเหมือนกันนี่หว่าไอ้น้องหนม ”

“ กูว่าถ้าไอ้ขุนมันลอยได้มันลอยละ ” เออๆแซวกันเข้าไป เอาที่สบายใจเลย ผมหมุนขวดเริ่มเกมอีกครั้ง ดูท่าเกมคืนนี้จะยาวนานว่ะ ไม่เป็นไรอย่างน้อยในใจผมตอนนี้ก็รู้สึกโล่งมากที่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกไปถึงมันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ก็เถอะ ไว้ถ้าวันไหนที่ผมมั่นใจผมจะบอกมันอีกครั้ง

 จะบอกมันจากใจเลย



[ บันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]



เกมขวดนี่มันสุดยอดจริงๆ

ใจโคตรละมุนอ่ะ

ตอนนี้เป็นเวลาโคตรดึกมากๆเลยครับ เกือบตีสองละ แน่นอนว่าเดอะแก๊งค์ทั้งของผมและของน้องก็ได้แยกย้ายพากันกลับไปหมดแล้ว ส่วนคนตัวเล็กยังไม่กลับนะครับยังอยู่กับผมอีกคืนนึง ตอนแรกผมนึกว่าน้องจะกลับไปนอนหอซะแล้ว แต่น้องบอกผมว่าจะให้เวลากับผมเต็มที่พรุ่งนี้อีกวันก่อนที่จะไม่ได้เจอกันสักพัก

น่ารักแถมยังใจดีขนาดนี้ใครจะไม่หลงวะ

“ นั่งยิ้มอะไรของมึง ” ขนมที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถาม

“ กูกำลังมีความสุข ” ผมยิ้มหวานบอกกับน้องที่เดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆผม

“ มีความสุขอะไรวะ ”

“ ความสุขที่มีมึงไง ” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวขนม คนตัวเล็กก็นั่งนิ่งๆให้ผมลูบ ผมไม่รู้นะครับว่าน้องชอบให้ใครยุ่งกับหัวไหม แต่ทุกครั้งที่ผมลูบหรือขยี้หัวน้อง เขาไม่เคยบ่นสักครั้งแถมยังยอมอยู่นิ่งๆให้ผมทำอีกต่างหาก

“ ทำเป็นพูด ”

“ ก็พูดจริงๆหนิ นอนดีกว่าดึกแล้ว ” ผมลดมือลงมาจากหัวน้องก่อนจะจับหมอนกับผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง ขนมก็ล้มตัวลงนอนก่อนจะดึงหมอนของผมไปกอดเอาไว้เหมือนเมื่อคืน

“ กูติดหมอนข้างอ่ะ แต่มึงไม่มี ” น้องรีบชิงบอกก่อน กลัวผมแย่งหมอนคืนแน่ๆ

“ ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ” ผมดึงแก้มน้องเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว ความจริงอยากจะใช้จมูกฟัดมากกว่า แต่อย่างว่าผมยังไม่มีสิทธิ์ทำถึงขนาดไว้

ไว้มีสิทธิ์ก่อนเถอะ หึ

“ กูก็อยากให้มึงเอาไปหนุนนะ แต่กูจะกอดอ่ะ ” อย่ามองตาใสแบบนั้นได้ไหมคนดี พี่ใจบางไปหมดแล้วครับ

“ เปลี่ยนมาเป็นนอนกอดกูแทนไหม กูใช้แทนหมอนข้างได้นะ ” พอผมพูดแบบนั้นแก้มขนมก็ขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันทีพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ น่าฟัดชะมัดเลยโว้ย

“ มึงไม่นิ่มอ่ะ ”

“ แต่กูอุ่นนะ ” หยอดไปหนึ่งดอก แก้มใสนั่นก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก

“ พอเลยมึง กูนอนแล่ว ” ว่าแล้วน้องก็หลับตาหนีผม

“ น่ารักจริงๆเลย....ฝันหวานนะครับ ” ผมลูบหัวน้องเบาๆคล้ายกับกล่อม

“ อืม....ฝันดี ” คนตัวเล็กเอ่ยบอกทั้งที่ยังหลับตาพริ้มอยู่ ผมก็ลูบหัวน้องไปเรื่อยๆจนรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าหลับสนิทไปแล้ว น้องน่ารักจัง ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันไปไกลเกินกว่าชอบแล้วครับ

รัก

ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

สงสัยเหมือนกันนะว่าอะไรที่ทำให้ผมหลงคนตรงหน้าได้มากขนาดนี้ทั้งๆที่น้องไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ น้องอยู่เฉยๆทำตัวซึนกับเขินใส่ผมไปวันๆ เป็นเด็กเฉิ่มๆที่ภายนอกแทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจหรือสะดุดตาเลยด้วยซ้ำ เป็นคนที่ผมยอมและอดทนทำให้ทุกอย่าง

ยอมหมดจริงๆกับคนนี้

ยอมแล้ว



[ จบบันทึกพิเศษ : ขุนศึก ]





TBC.
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
#LoveWrite #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันน้าาาา

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 12 ขอกอด



“ อืมมม....ม....”

เสียงใครวะ

มาอมมาอืม กูจะนอน

“ อื้ออ.อ.....”

ยังอีก

“ ใครวะ ” ผมลืมตามองช้าๆก็ต้องตกใจเพราะเห็นใบหน้าหล่ออยู่ห่างไม่ถึงคืบ ทำไมไอ้ขุนมันมานอนอยู่ตรงนี้วะ อ๋อ เมื่อคืนผมบอกมันจะค้างกับมันอีกวันนี่หว่า แล้วทำไมไอ้หล่อถึงได้ขยับเข้ามาใกล้ผมถึงขนาดนี้เนี่ย หน้าแทบจะชนกัน นี่มันทำเนียนแอบเข้ามาใกล้ผมตอนหลับหรอวะ เดี๋ยวไว้มันตื่นผมจะต้องจัดการ

เอ๊ะ แต่ว่า

หมอนที่หนุนหายไปไหนวะ

ผมหงกหัวขึ้นมาเพื่อจะหาหมอนที่ตัวเองใช้หนุนก็พบว่ามันอยู่ด้านหลังของผม อ่าว ตกลงผมเป็นคนขยับเข้ามาหามันเองหรอวะเนี่ย ชิบหายละ ละเมื่อกี้ก็ว่ามันในใจซะใหญ่เลย โถ่หนมเอ้ย

ไอ้ขุนเมื่อกี้กูขอโทษละกัน

“ กูนี่บ๊องจริงๆ ” ผมขยับตัวให้ออกห่างจากมัน ดีนะว่าผมตื่นก่อนมันอ่ะ ถ้ามันตื่นก่อนนี่ชิบหายแน่ แม่งคงเอาโทรศัพท์มาแอบถ่ายรูปผมที่เอาหน้าไปใกล้หน้ามัน แล้วก็นะผมนี่ก็เหลือเกินจริงๆที่นอนฝั่งตัวเองก็ตั้งกว้างเสือกขยับเข้าไปหามันเองอีก โวะ บ้าบอ

“ อื้ออ.อ..อ....”

ผมนอนมองไอ้คนที่มันส่งเสียงออกมาเงียบๆ ทำไมทำคิ้วขมวดแบบนั้นฝันร้ายอยู่รึเปล่านะ พอคิดว่ามันอาจจะฝันร้ายผมก็เลื่อนมือไปกุมแก้มมันก่อนจะใช้ปลายนิ้วโป้งลูบแก้มขาวนั่นเบาๆ แม่ผมเคยสอนนะครับว่าการสัมผัสเบาๆที่ข้างแก้มจะช่วยไล่ฝันร้ายไปได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่แม่บอกผมนั่นมันจริงรึเปล่า แต่ไอ้สิ่งที่ผมทำก็ทำให้คิ้วไอ้ขุนที่ขมวดอยู่คลายลง

สีหน้าดีขึ้นมาแล้ว ดีจัง

“ มึงนี่มันหล่อจริงๆเลยนะ ”

ผมไล่มองใบหน้าหล่ออย่างพิจารณา ปกติตอนมันตื่นกับเวลามันยิ้มหวานผมว่ามันก็มีเสน่ห์มากแล้วนะ ไม่คิดว่าเวลามันหลับก็ดูมีเสน่ห์เหมือนกัน หรือเพราะว่าคนมันมีเสน่ห์อยู่แล้วไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ดูดี แต่มันตอนหลับนี่ดูดีจริงๆว่ะ

เอาวะขอสักหน่อย

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขอตัวเองมา แน่ะ คิดว่าผมจะทำอะไรมันหรอ ผมแค่จะถ่ายรูปเก็บไว้ครับ ไอ้ขุนตอนนอนนี่คงจะไม่ได้เห็นกันง่ายๆแน่ มันแอบถ่ายรูปผมเก็บไว้ตั้งเยอะ ขอเอาคืนหน่อยเถอะว่ะ

แชะ

ห่า!!! ลืมปิดเสียงแฟลช

“ อื้ออ.อ.อ.อ....เสียงไรอ่ะ ” ไอ้หล่อมันงัวเงียพร้อมกับลืมตาขึ้นมามอง ผมก็ได้มองมันนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก จะให้เนียนหลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว พอไอ้ขุนมันเห็นว่าผมมองมันแถมในมือผมก็ถือโทรศัพท์อยู่มันก็ยิ้มหวานออกมา

ยิ้มอะไรของมึงแต่เช้าวะ

“ แอบถ่ายรูปกูหรอ เขินเลยนะเนี่ย ”

“ เขินอะไรของมึง กูไม่ได้ถ่ายรูปมึงสักหน่อย ”

“ หรอครับ ” อย่ามายิ้มนะเว้ยไอ้บ้า

ผมพลิกหันไปอีกฝั่งเพื่อหนีมัน ไม่น่าเลยหนมเอ้ย วันหลังถ้าผมจะแอบถ่ายรูปใครผมจะดูให้ดีก่อน ครั้งหน้ามันจะต้องไม่พลาดแบบนี้แน่ ในขณะที่ผมกำลังโวยวายในใจคนเดียวก็รับรู้ได้ถึงฝ่ามือที่ลูบหัวจากด้านหลังเบาๆ เบื่อตัวเองที่ชอบสัมผัสนี้ว่ะ ผมชอบคิดนะครับถ้าวันนึงไอ้สัมผัสนี้มันหายไปผมจะเป็นยังไง

จะเป็นบ้ารึเปล่า

อาจจะเป็นบ้าก็ได้

“ ตื่นนานรึยัง ”

“ ไม่นาน ”

“ แล้วหิวไหม ”

“ ยังไม่หิว ”

“ งั้นขอนอนต่ออีกแปปนะครับกูมึนหัวอ่ะ เดี๋ยวตื่นมาทำอะไรให้กิน ” พอมันพูดจบไอ้มือที่ลูบหัวผมนั่นก็หยุดนิ่ง ผมพลิกตัวหันกลับมามองมันช้าๆ ไอ้ขุนมันหลับตาลงไปแล้วครับ ตื่นง่ายหลับง่ายเหลือเกินไอ้บ้า

ผมจัดการปิดเสียงแฟลชก่อนจะแอบถ่ายรูปมันต่อ คราวนี้คงไม่พลาดแน่ ฟังจากเสียงหายใจของไอ้คนตรงหน้านี่มันก็คงจะหลับสนิทไปแล้ว ดีจังว่ะจะนอนต่อก็ขอด้วยทั้งๆที่ไม่ต้องขอก็ได้ แถมยังบอกว่าเดี๋ยวจะตื่นมาทำกับข้าวให้กินอีก ในชีวิตคนเราจะเจอคนที่รู้สึกว่าแสนดีแบบนี้ได้สักกี่คนกันเชียว

พอเจอแล้วก็ต้องรักษาไว้อย่างงั้นสินะ

บ้าจริงๆ

เชื่อไหมครับว่านับจากวันที่ผมเจอมันผมก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปเป็นส่วนประกอบในนิยายหลายอย่าง ผมทำให้คาแรคเตอร์ของพระเอกในนิยายของผมค่อยๆเปลี่ยนไปจนเหมือนมัน ผมไม่ได้ตั้งใจนะแต่มันเปลี่ยนไปเอง คนที่สังเกตุได้ว่าเปลี่ยนคือคนอ่าน มันไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่แย่นะครับ มันเปลี่ยนไปในทางที่ดี ดีมากๆ มีไม่น้อยเลยที่หลงเสน่ห์ในนิสัยนั่น

ผมเองก็ชักจะหลง

ก็นะ ใครมันจะไม่หลงได้วะ หล่อก็โคตรหล่อ เทคแคร์ดูแลใส่ใจดีชิบหาย ตามใจก็ตามใจ แถมยังทำตามที่ผมสั่งทุกอย่าง ที่สำคัญทำอาหารอร่อยด้วยนะครับ เนี่ยะผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงชัดๆ ความเพอร์เฟ็คนี้จะหาได้จากที่ไหน

ถ้าไม่ใช่ขุนศึก

“ ตื่นมาทำแกงเขียวหวานให้กูด้วยนะ ”

อยากกินฝีมือมึงจะแย่





“ เมื่อไหร่จะเสร็จอ่ะ กูหิวแล้วนะ ”

“ ใกล้เสร็จแล้วล่ะอีกแปปนึง ”

ผมนั่งมองไอ้หล่อที่ยืนทำแกงเขียวหวานของโปรดให้ผมอยู่ ขอบอกเลยว่ากลิ่นมันหอมหวนชวนน้ำลายสอมาก อยากกินแล้วเนี่ย รู้สึกได้ถึงท้องที่ร้องจ๊อกๆด้วย นี่ขนาดเมื่อคืนกินไปเยอะแล้วนะครับ ไม่คิดว่าตื่นมายังจะหิวอีก

ถ้ากินเยอะขนาดนี้ตัวจะแตกเอาได้นะหนมนะ

“ กูไปรอข้างนอกละกัน ”

ผมบอกไอ้ขุนก่อนจะเดินออกมานั่งรอมันที่ห้องนั่งเล่น เช็คนิยายหน่อยดีกว่าว่ามันมีความเป็นไปยังไงบ้าง วันนี้ผมจะต้องแต่งนิยายตอนต่อด้วยเพราะไม่ได้ลงมาหลายวันแล้ว แต่โน้ตบุ๊คอยู่ที่หอไอ้หมีว่ะ ไอ้ขุนมันมีโน้ตบุ๊ครึเปล่านะไม่งั้นผมจะขอยืมมันแต่งนิยายสักหน่อย

ไหนดูยอดวิวหน่อยซิ

“ เพิ่มขึ้นด้วยแหะ ” ผมมองยอดวิวที่เพิ่มขึ้นมาหลายร้อย หูยยยยยย รู้สึกใจมาและอยากจะรีบแต่งต่อมากครับ ไล่อ่านคอมเม้นต์ก็มีคนขอให้รีบต่อเยอะด้วย ใจมาหนักเลยทีนี้

รอไรท์หนมก่อนนะจะรีบแต่งลงให้

ผมออกจากเว็บนิยายมาเข้าที่แอพสีน้ำเงินที่นานๆจะเข้าสักที เฟซบุ๊กนั่นเองครับ เข้าไปรับแอดไอ้ขุนมันหน่อย จะได้เอาไว้สอดส่องในช่วงเวลาที่มันไม่อยู่ด้วย แจ้งเตือนของผมนี่มาจากไหนเยอะแยะวะ ไม่ใช่แต่แจ้งเตือนนะที่เยอะ จำนวนคนแอดมาก็เยอะผิดปกติ

เกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ

“ มาแล้วครับ ” ไอ้ขุนมันถือชามข้าวกับถ้วยแกงเขียวหวานเดินมาหาผม

ว้าวววววว น่ากิน

ผมมองแกงเขียวหวานที่ส่งกลิ่นฉุยอยู่ตรงหน้า มันน่ากินมากครับ นึกถึงแกงเขียวหวานที่แม่ทำเลย ไม่รอช้าแล้วครับจังหวะนี้ ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะตักแกงเขียวหวานเข้าปากก่อนเลย

“ โอ้ยยยยร้อนนนนน ” ห่าเอ้ย ปากพองหมดแล้วมั้งเนี่ย

“ เป่าก่อนสิ ไอร้อนขึ้นขนาดนั้นยังจะกินเข้าไปได้ ” ไอ้หล่อมันว่าพลางส่งแก้วน้ำให้ผม

“ อื้ออ.อ.อ.....ก็มันหิวนี่ ลืมด้วยว่ามันร้อนอ่ะ ”

“ มึงนี่มันจริงๆเลย ปากแดงแล้วน่ะ ” มันบอกก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากผมเบาๆ

เอ่อ....มึงไม่ต้องลูบก็ได้ไหม

ใจกูสั่นอีกแล้วเนี่ย

“ ปากมึงนี่นิ่มจัง ”

“ ไอ้สัส ” ผมตีมือมันทันทีที่มันพูดจบ เดี๋ยวเถอะนะมึง ปากนิ่มบ้าอะไรของมึงวะ แม่งไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดเลย ผมเองก็บ้าที่ปล่อยให้มันลูบอยู่ได้

“ ก็มันจริงนี่นา ”

“ แดกข้าวไปเลย ” ผมบอกมันก่อนจะตักแกงเขียวหวานขึ้นมาเป่าก่อนแล้วค่อยกิน

อื้มมม.....

รสชาติเดียวกับที่แม่ทำเป๊ะ

ผมนั่งกินข้าวอย่างตั้งใจและกินอย่างจริงจัง ไอ้หล่อมันก็นั่งกินไปแล้วก็มองผมไป มีอมยิ้มด้วยนะอะไรของมันวะ หน้ามันดูเหมือนมีความสุขที่ผมกินกับข้าวที่มันทำมากอ่ะ แต่ผมยอมรับเลยนะครับว่าอาหารที่มันทำถูกปากผมมาก คือให้กินทุกวันก็กินได้ แถมคงกินเยอะด้วย รสมือมันคล้ายกับแม่ผมเลย ไว้ถ้ามีโอกาสผมพามันไปหาแม่ดีกว่า แม่ผมคงจะชอบ

“ อร่อยไหม ” ไอ้หล่อมันถามก่อนจะตักไก่มาให้ผม

“ อร่อยมาก ทำไมมึงทำอาหารเก่งจัง ”

“ คุณย่ากูเป็นคนสอนน่ะ ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ”

“ ดีเนอะ แม่กูก็เคยสอนเหมือนกันแต่กูดันไปทำไมโครเวฟที่บ้านระเบิดอ่ะ ก็เลยเลิกทำอาหารเลย ”

“ มึงคงไม่เก่งด้านนี้จริงๆล่ะมั้ง ”

“ กูก็ว่างั้นอ่ะ เออ วันหลังอ่ะไปหาแม่กูที่บ้านป้ะ ไปเป็นลูกมือแม่กู ท่านน่าจะชอบมึง ”

“ เอาดิ่ กูจะได้ฝากตัวเป็นลูกเขยเลย ”

เดี๋ยวนะ....กูว่าไม่ใช่ละ

“ ลูกเขยบ้าอะไรของมึง ตลกละตลก ” ผมตีไหล่มันไปทีนึง มึงจะไปเป็นลูกเขยบ้านกูได้ไงวะไอ้สัส เพ้อเจ้อชิบ

“ ไม่ได้ตลกนะนี่เรื่องจริงจัง ” ไม่ต้องมาจริงจังเลยนะมึง แล้วก็ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นด้วย เดี๋ยวกูก็ตบลักยิ้มหลุดเลย

“ ไอ้บ้า ” ผมว่ามันก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ พอๆเราอย่าไปสนใจมันมาก ไอ้ขุนนี่เป็นประเภทแบบว่าถ้าหาเรื่องอะไรบางอย่างมาเปิดทางให้มันสักนิด มันก็จะหาคำพูดมาหยอด มาทำให้ผมใจสั่นได้ตลอด แต่มันก็ดีนะเพราะว่าผมจะได้เอาไปแต่งนิยายต่อ

พูดถึงนิยาย

“ มึงมีคอมป้ะไอ้ขุน หรือโน้ตบุ๊คก็ได้ ”

“ มีโน้ตบุ๊ค มึงจะทำไรอ่ะ ”

“ กูขอยืมแต่งนิยายหน่อยดิ่ ”

“ ได้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเดี๋ยวกูหยิบให้ ” ผมพยักหน้ารับคำมัน เย่ จะได้แต่งนิยายแล้ว

ตอนล่าสุดที่ผมแต่งไปนั่นเป็นเรื่องราวประมาณว่า นายเอกเนี่ยไปเห็นพระเอกกับอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ก็เกิดความเข้าใจผิด แล้วนายเอกก็จะมีอาการนอยด์แดก พระเอกก็ต้องตามง้อ มันก็จะวุ่นวายหน่อยๆ ที่จะแต่งวันนี้ก็น่าจะเป็นฉากง้อนี่แหละครับ คิดเรื่องไว้คร่าวๆแล้วที่เหลือก็ค่อยเติมไปเรื่อยๆ ตามที่สมองจะคิดออกได้ แต่ตอนนี้ผมใจมามากอ่ะ พร้อมจะแต่งนิยายสุดๆ

“ เออหนม นิยายที่มึงแต่งอ่ะ มันคือนิยายอะไรหรอ ”

“ นิยายวายอ่ะ ”

“ นิยายวายมันคืออะไรอ่ะ ”

“ นิยายวายมันมี 2 แบบ คือชายรักชายกับหญิงรักหญิง ที่กูแต่งมันคือชายรักชาย ” ทันทีที่ผมบอกมัน มือที่ถือตักข้าวอยู่นั่นชะงักไปแปปนึง มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเลยหรอวะที่ผมแต่งนิยายแนวนี้

“ มึงหมายถึงนิยายเกย์ใช่ไหม ”

“ เออ จะเรียกแบบนั้นก็ได้อ่ะ ” ผมมองหน้าไอ้หล่อ สายตามันตอนนี้อ่านยากชะมัด ดูไม่ออกเลยนะครับว่ามันคิดอะไรอยู่

“ ทำไมมึงถึงแต่งนิยายแนวนี้อ่ะ มึงชอบผู้ชายหรอ ”

“ เปล่า กูไม่ได้ชอบผู้ชาย คืองี้มึงกูไม่เคยชอบใครมาก่อนไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ” ผมเป็นพวกตายด้านไงครับ นอกจากเพื่อนหรือครอบครัวเลยรักใครหรือชอบใครไม่เป็น

“ อ๋อ....แล้วชอบกูป้ะ ”

“ ถามบ้าอะไรของมึงวะ ” ผมตีไหล่มันอีกทีนึง เอาสิถ้ามึงถามอะไรที่ทำให้กูใจสั่นอีก กูก็จะตีไหล่มึงอยู่อย่างนี้แหละ เอาให้ไหล่หลุดกันไปข้าง

“ เจ็บนะ กูถามจริงๆนี่ไม่เห็นต้องตีแก้เขินเลย ” ไม่ได้เขินโว้ยไอ้บ้า

“ กูเปล่า ” ผมว่าพลางตักข้าวในจานมันมาใส่จานตัวเอง ผมกินของผมหมดแล้วครับแต่มันยังไม่อิ่มอ่ะ

“ กินเยอะนะเนี่ย ”

“ ก็กูหิวอ่ะ เออไอ้ขุนเฟซมึงอันไหนวะ ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเฟซบุ๊กก่อนจะกดเข้าไปที่แอดเฟรนแล้วส่งไปให้ไอ้ขุน มันเองก็รับไปก่อนจะกดอะไรยุกยิกๆไม่รู้

“ อ่ะอันนี้ ” ไหนเอามาดูซิ

KhunSuek Sutanunsawat

นามสกุลคุ้นๆว่ะ

“ คนติดตามมึงเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ” ผมกดรับแอดมันแล้วเลื่อนลงมาดู คนติดตามสองหมื่นห้าโดยประมาณ ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่นะครับสำหรับมันน่ะ

“ กูหล่อไงคนเลยติดตามเยอะ ” เออมึงหล่อ แต่ไอ้อวยตัวเองนี่เลิกเถอะว่ะ กูหมั่นไส้

“ หลงตัวเองสัสๆ เห้ยไอ้ขุนนี่มันรูป.......”

รูปกูหนิ

ผมกดเข้าไปดูรูปที่ไอ้ขุนมันโพสไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นภาพที่ผมนั่งจัดหน้านิตยสารโปรโมทมหาลัยอยู่ โดยที่เป็นการแอบถ่ายจากด้านข้างครับ ทำไมผมไม่เห็นตอนที่มันแอบถ่ายวะ ดูจากชุดที่ผมใส่มันคงจะเป็นวันเดดไลน์ โหยยยละสภาพผมแม่งอย่างกับผีดิบ มึงก็ช่างกล้าเอามาลงเนอะ ไอ้ยอดไลค์หลายพันนี่มายังไง ยอดเม้นต์ก็ไม่ต่างกัน

แล้วดูแคปชั่นมัน

ไม่ต้องชวนกูไปเที่ยว กูมีเด็กต้องเฝ้า

ดูมันสิ พอแคปชั่นมันเป็นแบบนี้ก็เกิดเป็นประเด็นถามกันให้เต็มไปหมดว่าคนในรูปคือใคร ในคอมเม้นต์นี่ร้อนระอุเอาการเลยครับ เป็นคอมเม้นต์ที่มันทั้งดีและไม่ดี ให้หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกมาก โดยเฉพาะพวกคอมเม้นต์ของเพื่อนๆไอ้ขุนนี่บันเทิงสุด

GangPaaa : มีลงรูปด้วยว่ะ หมั่นหน้า

Sayam naja : ไอ้ขุนมันเปิดตัวแล้ววววววว

Gong Rice : เอาว่ะๆ

Khaw H : คนนี้เอาจริงสินะ

Cha Cha : ร้ายนะมึง


ผมนั่งไล่อ่านคอมเม้นต์ไปเรื่อย ถามอะไรกันเยอะแยะเล่า มีคนถามด้วยว่าผมเป็นอะไรกับไอ้ขุน มีเฟซผมไหม ผมมาจากไหนบลาๆๆๆๆ ไอ้ที่คนแอดมาเยอะๆนี่เป็นเพราะอย่างนี้รึเปล่า แต่ว่าเขาจะไปเอาเฟซผมมาจากไหนวะ ผมกับไอ้ขุนไม่ได้เป็นเพื่อนกัน มันไม่ได้แท้กผมด้วยซ้ำ แล้วคนมันแอดมาได้ไง

ดูเหมือนว่าผมจะเจอคำตอบแล้วล่ะครับ

หมีน้อย กลอยใจ : เปิดวาร์ป Kanom Kananut คนนี้เลยครับ

ไอ้สัสหมี!!!!!!!

มึงอีกแล้วหรอ

“ รูปอะไรหรอ ” พอไอ้หล่อมันถามผมก็หันหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองให้มันดู

“ มึงเอาไปลงทำไม ”

“ อยากลง....น่ารักดี ”

“ น่ารักตรงไหนวะ กูไม่เห็นจะน่ารักเลย ”

“ มึงน่ารักในสายตากูเสมอแหละ ”

ตึกตัก

มึงนี่มัน....

ไอ้ขุนมันยิ้มปากบานที่เห็นว่าผมชะงักไป ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองมันนิ่งๆ ไม่เอาไม่ตอบโต้ไม่สวนกลับอะไรทั้งนั้น เพราะผมอาจจะโดนหยอดหนักกว่าเดิม เพราะงั้นผมจะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายต่อหัวใจนี้ โดยการ....

“ กูอิ่มละ กูไปล้างจานก่อนนะ ” ผมลุกเดินเข้ามาในครัวทันทีหลังจากที่พูดจบปล่อยให้ไอ้หล่อมันนั่งยิ้มของมันแบบนั้นแหละ

ตอนนี้ประมาณเที่ยงแล้วครับ สักประมาณค่ำๆผมค่อยให้ไอ้ขุนไปส่งหอ มีเวลาแต่งนิยายหลายชั่วโมงอยู่ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะใช้เวลาในการแต่งนิยายนานมากนะครับเพราะว่าต้องคอยอ่านทำความเข้าใจไปพร้อมๆกัน หลายคนอาจจะคิดว่าการแต่งนิยายก็คงง่ายๆ ไม่ได้ต่างจากการเล่าเรื่องราว แต่สำหรับผมแล้วการแต่งนิยายนั้นยากนะครับ มันยากตรงที่เราจะทำยังให้คนที่อ่านเข้าใจความหมายและเนื้อเรื่องที่เราต้องการจะสื่อ

มันไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้นะครับเอาจริงๆ

ทุกครั้งที่ผมแต่งนิยายเนี่ยะผมต้องมานั่งทำความเข้าใจนิยายตัวเองอีก ถ้าผมอ่านแล้วมันไม่เข้าใจหรือเข้าใจยากมากจนเกินไปก็แก้และเขียนใหม่ ปรับภาษาปรับคำพูด และมันก็จะวนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าสิ่งที่เราเขียนนั้นมันจะออกมาดีที่สุด แต่งนิยายเป็นงานอดิเรกที่เหนื่อยนะครับ

แต่ผมก็มีความสุขกับมันเสมอ

เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเลือกเองไง

“ เสร็จสักที ” ผมวางจานใบลงบนที่คว่ำจานก่อนจะล้างมืออีกครั้ง เอาล่ะต่อจากนี้จะเป็นเวลาแต่งนิยายแล้ว

“ หนม ”

“ หืม ” ผมหันตามเสียงก็เจอไอ้หล่อที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยืนอยู่ด้านหลังไม่พอ มันยังยืนชิดผมมากด้วยมากจนหน้าจะชนอยู่รอมร่อ คือแบบไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้ไหมมึง

“ กูเอาโน้ตบุ๊คลงมาให้แล้วนะ อยู่บนโต๊ะน่ะ ” ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ ประโยคธรรมดาๆนั่นทำไมต้องใช้เสียงนุ่มๆพูดด้วยวะ และก็ใช้สายตาแบบนั้นอีก

ไม่ชอบใจเลย

“ เออขอบใจ แล้วก็ถอยไปได้แล้ว ” ผมพูดพลางหลบสายตาคนตรงหน้า ไม่ไหวครับให้จ้องนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ถึงไอ้ขุนมันจะไม่ใช่เมดูซ่าแต่ถ้าไปจ้องดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นมากๆอาจจะทำให้เรากลายเป็นหินได้นะครับ

หนมจริงจัง

“ ครับผม ” ไอ้หล่อมันก็ถอยออกไปอย่างว่าง่าย

ผมเดินออกจากครัวมาห้องนั่งเล่นอย่างไว ไม่ได้จะหนีใครนะครับคือจะรีบมาแต่งนิยาย โน้ตบุ๊ควางอยู่บนโต๊ะพร้อมแถมเสียบปลั๊กให้เรียบร้อยร้อย เปิดเครื่องไว้ให้แล้วอีกต่างหาก ไอ้ขุนนี่มันรู้งานจริงๆ ดีละจะได้ไม่เสียเวลา

“ เอาล่ะ... ” ผมนั่งลงหน้าโน้ตบุ๊คก่อนที่นั่งตั้งสติแปปนึง ก่อนจะแต่งนิยายเราต้องไล่ความคิดอื่นออกไปจากในหัวให้หมดก่อนครับ จะได้มีสมาธิมากๆ นิยายจะได้ออกมาอ่านแล้วรู้เรื่อง ในขณะที่ผมกำลังตั้งสติไอ้ขุนมันก็เดินออกมาจากครัวแล้วก็มานั่งลงข้างๆ

“ ไว้แต่งเสร็จแล้วเอาให้กูอ่านด้วยนะ ”

“ เออได้ มึงห้ามกวนกูละกัน มันจะได้เสร็จไวไว ”

“ ได้เลยครับ กูจะนั่งอยู่ตรงนี้เงียบๆ ” มันว่าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอะไรของมันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนผมก็เริ่มพิมพ์ในสิ่งที่คิดไว้ในหัวลงในโน้ตบุ๊ค เวลามีไม่มากครับเพราะงั้นต้องเร่งมือหน่อย

ใจกำลังมาด้วย....คนรออ่านเยอะด้วย เพราะงั้น....

รอไรท์หนมแต่งแปปนึงนะครับ


---------- 50% -----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 12 ----------




บ่ายสามครึ่งกับนิยายที่เสร็จไปหนึ่งตอน     

บอกได้เลยว่าปวดไหล่มาก

ต้องการคนนวด 1 อัตรา

“ กลับมาแล้วครับ ” พูดถึงคนนวด คนนวดก็มาพอดี

ไอ้ขุนมันออกไปซื้อขนมมาครับเพราะผมบ่นว่าอยากกิน เวลาแต่งนิยายนี่ร่างกายต้องการอะไรหวานๆมากครับ ของหวานมันจะทำให้เรารู้สึกดีและก็จะทำให้สมองแล่นด้วย ผมแต่งนิยายไป 14 หน้า ลงเว็บเรียบร้อยแล้วด้วย ก็ถือว่าจบภารกิจของวันนี้แล้วล่ะนะ

“ นวดไหล่ให้หน่อยได้ไหม ” ผมบอกไอ้ขุนพลางจับไหล่ตัวเอง

“ ได้สิครับ ” ไอ้หล่อวางถุงขนมก่อนจะย้ายตัวเองมาอยู่ด้านหลังผมแล้วก็ค่อยๆนวดไหล่ให้ผมเบาๆ

“ แรงอีกนิดก็ได้ ”

“ ประมาณนี้ไหม ” สัมผัสได้ถึงแรงบีบที่แรงขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้แรงมากเกินจนผมทนไม่ได้

“ แบบนั้นแหละ ”

อา....ค่อยยังชั่วหน่อย

เอาจริงๆผมมักจะปวดไหล่แบบนี้บ่อยๆ มีบางครั้งที่ปวดหลังด้วยเพราะนั่งใช้คอมนานๆ ปกติถ้าผมล้ามากๆผมก็ต้องบีบๆคลำๆไหล่ตัวเอง แต่พอมีคนมาทำให้แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกสบาย แต่ก็ไม่รู้นะครับว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ไอ้ขุน ผมจะรู้สึกแบบนี้รึเปล่า

แต่คิดว่าไม่นะครับ

“ วันนี้มึงจะกลับหอกี่โมงอ่ะ ”

“ ค่ำๆอ่ะ หรืออยากไปส่งกูแล้วล่ะ ไปตอนนี้ก็ได้นะ ” ผมเหลือบมองมันที่นั่งอยู่ด้านหลัง ไอ้ขุนมันทำหน้ามุ่ยอยู่ครับ ตลกว่ะเวลามันทำหน้าแบบนี้

“ ไม่เอา ไปตอนค่ำ กูอยากอยู่กับมึงนานๆ ”

“ อยู่กับกูทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะนะ ”

“ ก็ตอนนี้กูยังไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมึงนี่ กูก็เลยทำได้แค่นี้ ”

“ ถ้าสมมุติว่าวันนึงมึงมีสิทธิ์ขึ้นมา มึงจะทำอะไร ” มือมันชะงักไปแปปนึงก่อนจะกลับมามาบีบต่อ ชะงักไมวะ

“ กูจะทำหลายอย่างเลย มึงช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ ” มันพูดพลางหัวเราะออกมา

“ ช้ำบ้าอะไรของมึงวะ ” ผมตีขามันด้วยความหมั่นไส้ พูดจาสองแง่สองง่ามชิบหาย

“ เดี๋ยวมึงก็รู้ ” พูดจาแบบมั่นใจมากเลยนะมึงนะ ขอกูดักฝันหน่อยละกัน

“ มันอาจจะไม่มีวันนั้นก็ได้นะ วันที่มึงมีสิทธิ์น่ะ ” ผมพูดพลางยกยิ้มใส่มัน เอาสิขุนมึงจะทำไงต่อ

“ มันต้องมีอยู่แล้ววันนั้นน่ะ” มือที่บีบไหล่นั่นเลื่อนขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ “ จนกว่ามึงจะเป็นของกู กูไม่ยอมแพ้หรอก ”

ตึกตัก

แม่งเอ้ยยย

ผมหันหน้ากลับไปทางเดิมพลางยกมือลูบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเองช้าๆ ไม่น่าไปพูดดักฝันมันเลยว่ะ โดนเลยเนี่ยะผมเนี่ยะ ได้ยินเสียงไอ้หล่อหัวเราะออกมาเบาๆด้วยจากด้านหลังด้วย ชอบใจเลยสิมึง วันนี้ตั้งแต่ตื่นมาก็ทำให้กูใจสั่นไปหลายรอบแล้วนะ ไม่กลัวกูจะหัวใจวายบ้างรึไงวะ

มึงนี่มัน....

“ พอละ เดี๋ยวกูไปหยิบผ้าเช็ดแว่นแปป ” ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องนะครับ ผมรู้สึกว่าแว่นมันมัวจริงๆ

“ ให้กูไปหยิบให้ไหม ”

“ ไม่ต้องอ่ะ มึงแกะขนมรอกูละกัน ” ผมเดินขึ้นมาบนห้องทันทีหลังจากที่พูดจบก่อนจะถอดแว่นตัวเองออก ปกติถ้าเป็นแสงในบ้านธรรมดานี่ผมก็พอทนมองได้นะครับ แต่ถ้ากลางแจ้งนี่ไม่น่ารอด ผมจำได้ว่าวางผ้าเช็ดแว่นไว้ใกล้ๆกล่องที่โต๊ะข้างหัวเตียงแต่ผมหาไม่เจอว่ะ ใครมันเอาไปไหนเนี่ย เปิดลิ้นชักดูไม่มี เจอแต่สมุดสีเหลืองเล่มเล็กๆอยู่ด้านใน

“ สมุดอะไรวะ ” ผมหยิบสมุดขึ้นมาก่อนจะเปิดดูสิ่งที่เขียนไว้ด้านใน

บันทึกแผนการณ์จีบน้องนิเทศ

“ น้องนิเทศงั้นหรอ ” ผมเปิดหน้าต่อไปก็พบกับรูปแอบถ่ายหลายรูป ในรูปนั้นแสดงถึงเด็กนิเทศคนนึงที่กำลังปีนต้นไม้เพื่อจะเอาอะไรสักอย่างขึ้นไปเก็บ

เด็กนิเทศคนนั้นคือผม

ใต้รูปที่มันแปะไว้เขียนข้อความกำกับไว้ด้วยว่า [ พี่ไม่รู้ว่าน้องเป็นใคร แต่พี่ชอบในสิ่งที่น้องทำมาก….น่ารัก ]

ตึกตัก

ผมมองข้อความนั้นอย่างอึ้งๆ ผมจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีครับ มันเป็นวันที่ผมโดนวิ่งรอบตึกเป็นครั้งที่ 2 เป็นวันที่ไอ้ขันโทรมาให้ไปหามันที่ตึกวิศวะ เป็นวันที่ผมเจอลูกนกร่วงลงมาจากรังแล้วผมก็พยายามปีนเพื่อเอามันขึ้นไปเก็บไว้ที่เดิม และเป็นวันที่ผมเจอมันครั้งแรกด้วย

มันเองก็เจอผมครั้งแรกวันนั้นเหมือนกัน

“ บังเอิญหรือพรหมลิขิตวะเนี่ย ” ผมเปิดไปหน้าถัดไปก็พบการเขียนหัวข้อใหญ่ไว้ว่า แผนการณ์จีบน้องนิเทศแบบจริงจังจากนั้นก็มีลิสต์ไล่ลงไปเป็นข้อๆเลยครับ แล้วก็มีการเขียนกำกับไว้หลายอย่าง มีบางอันกาถูกไว้ บางอันก็กาผิด แล้วก็แตกย่อยเต็มไปหมด ลิสต์แรกนี่สะดุดตาผมสุดๆ

- ช่อกุหลาบขาว [ / ] : น้องรับไว้แล้วทำหน้างงมาก ก็ไม่เชิงว่ารับไว้หรอก นี่ยัดใส่มือน้องมันเองแหละ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย ประหม่าสัสๆ

ที่มาของช่อกุหลาบมันเป็นแบบนี้เองสินะ

ผมยังจำวันที่ได้ช่อกุหลาบขาวนั่นได้เลย งงมากจริงๆแบบที่มันเขียนไว้นั่นแหละ มันไม่ได้บอกอะไรผมเลยนี่ครับ บอกแค่ว่าให้ก็แค่รับไว้แล้วยัดใส่มือผมมาเลย ก่อนจะไปก็บอกให้ผมเก็บไว้ดีดี จากวันนั้นจนถึงวันนี้กุหลาบช่อนั้นมันก็ยังอยู่ในตู้ที่หอผม ถึงแม้ว่ามันจะเหี่ยวลงไปแล้วแต่ผมก็ยังเก็บมันเอาไว้

เก็บไว้แบบไม่รู้ว่าทำไม

“ ทำหลายอย่างเลยนะเนี่ยไอ้บ้า ” ผมนั่งลงบนเตียงพลางอมยิ้มกับสิ่งที่ไอ้ขุนเขียนไว้ ไม่คิดว่ามันจะทำอะไรแบบนี้ด้วยนะครับ พอเห็นสมุดเล่มนี้นี่ผมเชื่ออย่างหมดใจเลยว่าที่มันบอกว่าจะจีบผมมันพูดจริงๆแน่นอน

ดูแต่ละอย่างที่มันเขียนสิครับ

- โกโก้ [ / ] : รู้ว่าน้องชอบกินก็เลยซื้อไปให้ แล้วก็ยัดใส่มือน้องเหมือนกับช่อดอกไม้นั่นแหละ หวังว่าน้องจะชอบ

- ถามชื่อด้วยตัวเอง [ / ] : น้องชื่อ ขนม ชื่อน่าแดกสุด5555555

- ขอไลน์ [ / ] : เย่เย่เย่ ได้มีช่องทางติดต่อน้องบ้างแล้ว

.

.

- ขอเบอร์ [ / ] : ไม่ได้ขอมาจากน้องเองอ่ะเสียดายอยู่ แต่ไม่เป็นไรยังไงก็ถือว่าเบอร์น้อง

- บอกชอบ + จีบ  [ / ] : บอกไปแล้วโว้ยยยยย พูดดักแล้วด้วยว่าอย่าเพิ่งปฏิเสธ ทีนี้จะได้จีบแบบทางการได้สักที

.

.

- อธิบายให้น้องฟังเรื่องค่าย [ / ] : น้องเข้าใจ ดีจัง น้องดูท่าจะชอบขนมที่ซื้อไปให้ด้วย

- ลูบหัวน้อง [ / ] : น้องบ่นแต่ก็ยอม + จากนั้นก็ยอมตลอด

- ชวนน้องไปตลาดนัด [ / ] : ดีใจสุด น้องกินเยอะมาก

- จับมือ [ / ] : ถึงแม้ว่าจะเนียนๆจับเองแต่น้องก็ไม่สะบัดออกนะ มือน้องนิ่มมาก


มือน้องนิ่มมาก

โอ้ย ไม่ไหวว่ะยิ่งอ่านยิ่งเขิน

“ มึงนี่ยิบย่อยเลยนะไอ้บ้าขุน ” จากที่ผมนั่งอ่านเมื่อกี้ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนอนอ่านละครับ อ่านไปใจก็ละมุนดีเหมือนกันนะ ผมนี่เป็นไปตามแผนมันหลายอย่างเหมือนกัน อ่านไล่มานี่ยังไม่มีอันไหนที่มันกาผิดเลย

อ๊ะ อันนี้ไงที่มันกาผิด

- ชวนน้องไปดูหนัง [ X ] : น้องไม่ไปเพราะว่าอยากนอน แต่น้องก็ใจดีให้เช่าหนังมาดูที่ห้องได้ หน้าน้องตอนหลับนี่ดีต่อใจมากอ่ะ แอบถ่ายรูปไว้เต็ม

ไว้กูจะแอบถ่ายมึงคืนบ้างคอยดู

ลิสต์นี่ไล่เรียงลงไปเรื่อยเลยยันหน้าถัดไป มีข้อที่ยังไม่ได้กาด้วย ส่วนข้อที่กานั่นข้อสุดท้ายก็คือ ขอจูบครับ ไอ้ขอจูบที่มันจูบบนหลังมือตัวเองนั่นแหละ นึกถึงก็ตลกว่ะ ใครมันจะบ้าทำแบบมันบ้างไม่มีหรอก จากข้อขอจูบมันก็เป็น....

- ขอกอด [  ] :

มันอยากกอดผมว่ะ

“ เอาไงดีล่ะหนม ” ผมควรจะทำให้เป็นไปตามแผนที่มันวางไว้ดีไหมนะ ผมคิดว่าวันนี้ไอ้ขุนมันคงจะขอผมกอดแน่ๆ และยิ่งไม่ได้เจอกันหลายวันอีก มันคงยิ่งอยากจะทำ

ไว้ตัดสินใจอีกทีละกัน

ผมเปิดไปหน้าถัดไปซึ่งมีลิสต์อยู่สองข้อที่เด่นออกมาจากข้ออื่น มันถูกขีดเส้นใต้แล้วยังมีดอกจันอยู่ด้านหน้าของหัวข้อด้วยนะครับ ลิสต์สองอันนั้นก็คือ.....

*- ขอเป็นแฟน [  ]

.

.

*- เซ็กซ์ [  ]


ฉ่า

มี...เซ็กซ์ด้วยว่ะ

ผมปิดสมุดก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเอามาเก็บไว้ในลิ้นชักที่เดิม รู้สึกได้ถึงหน้าที่ร้อนแบบร้อนโคตรๆ คือผมไม่คิดว่าแผนที่มันวางไว้นั้นจะคิดมาไกลจนถึงขั้นเซ็กซ์ด้วยไง แม่งเหนือความคาดหมายชิบ ไอ้ขุนนี่มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ได้ตลอดจริงๆ ยอมรับเลยนะครับว่าไอ้สิ่งที่มันเขียนมาทั้งหมดนั่นดีต่อใจกับผมมาก โคตรเขิน ผมจะต้องไม่ให้มันรู้ว่าผมเจอสมุดมันแล้ว ดูซิว่ามันจะทำตามแผนต่อไปได้จนสำเร็จไหม

แต่ไอ้ข้อเซ็กซ์นี่เอาออกไปได้ไหมวะ

แค่คิดก็......

ก็...

“ ทำอะไรทำไมนานจัง ” ผมสะดุ้งทันทีที่ไอ้หล่อมันเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไม่เคาะก่อนวะ กูตกใจนะเนี่ยไอ้บ้า

“ กู....กูหาผ้าไม่เจออ่ะ มึงเห็นรึเปล่า ”

“ ไม่ได้อยู่บนโต๊ะหรอกหรอ ” มันว่าพลางเดินมาดูให้

“ งั้นช่างมันเหอะ ลงไปกินขนมกัน ”

“ ขนมที่กูซื้อมา หรือขนมนี้ ” ไอ้ขุนมันบอกก่อนจะชี้มาทางผมพลางยิ้มกรุ้มกริ่มไปด้วย

“ ขนมที่มึงซื้อมาสิวะไอ้บ้า ” เอาใหญ่แล้วนะมึงเอาใหญ่แล้วววว ผมรีบเดินหนีมันลงมาด้านล่างทันทีเลยครับ โอ้ยวันนี้นี่มันมีแต่อะไรที่อันตรายต่อหัวใจชิบ ความรู้สึกนี่ก็สับสนหนักเข้าไปอีก แม่ครับหนมจะทำยังไงดีเรื่องแบบนี้แม่ไม่ได้สอนหนมไว้ด้วย หนมจะจัดการกับไอ้สิ่งที่มันว้าวุ่นในใจนี้ยังไงดี

“ เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้ขุน ”

เพราะมึงคนเดียวเลย.....





หอK2

หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายป่วนจิตใจที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย ไอ้ขุนก็มาส่งผมที่หอครับ ก่อนมานี่ก็แย่งกันกินขนมจนหมดเกลี้ยง แถมยังแวะไปกินข้าวมากันเรียบร้อยแล้วด้วย คือผมตอนนี้อิ่มและพร้อมนอนมากอ่ะบอกเลย แต่ยังขึ้นห้องไปนอนไม่ได้ครับเพราะมันมีคนที่ทำหน้าหงอยยืนงอแงอยู่ตรงนี้

งอแงหนักด้วย

“ กลับไปได้แล้วไป ”

“ เดี๋ยวสิ ขออีก 5 นาทีไม่ได้หรอ ” มันว่าพลางเบะปากน้อยๆ

“ มึงบอกขอ 5 นาทีมา 2 รอบแล้วนะ ”

“ ก็หลังจากนี้เราจะไม่ได้เจอกันตั้งสองหมื่นนาทีกว่าๆเลยนะ ” มันก็จริงว่ะ

ผมมองหน้าไอ้ขุนที่ดูหงอยมาก แต่ทำไงได้วะเราตกลงกันเรื่องนี้แล้ว และมันก็รับปากแล้วด้วย ผมก็มีเหตุผลของการเว้นระยะห่าง ก็แค่ห่างไม่ได้จะหายไปเลยนี่หว่า หลังสอบเสร็จเดี๋ยวก็เจอกันแล้ว น่าจะเจอกันวันสุดท้ายของการสอบนั่นแหละ เดาได้ล่วงหน้าเลยว่าไอ้ขุนมันจะต้องรีบโผล่หน้ามาให้ผมเห็นแน่นอน

แต่ตอนนี้จะทำยังไงให้มันหายหงอยวะ

อา....คิดออกละ

วิธีนี้เวิร์คแน่

“ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ”

“ ก็คนมันเศร้าอ่ะ กูต้องคิดถึงมึงมากแน่เลย ”

“ เดี๋ยวก็เจอกูน่า....กลับไปได้แล้ว ” ผมเอ่ยปากไล่มันอีกครั้ง

“ ครับ กลับก็ได้ ” เสียงอ่อนๆนั่นเอ่ยอย่างน้อยใจแน่นอนไม่ต้องสืบ มันส่งยิ้มบางๆมาให้ผมก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินไปที่รถ

“ ขุน ”

“ หืมมม ” ทันทีที่มันหันหลังกลับมาทางผม ผมก็เดินเข้าไปกอดมันไว้แน่นโดยเอาหน้าของตัวเองซุกอยู่ที่ไหล่ของมันไว้ มันเองก็ดูตกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมเข้าไปกอด แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่กอดผมกลับ

ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นที่มาจากมันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลย ไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆที่แตะจมูกผมอีก สัมผัสได้ถึงมือที่เลื่อนขึ้นไปลูบหัวผมเบาๆ มันคือสัมผัสที่ผมคุ้นเคยและไม่คิดที่จะปฏิเสธมันสักครั้ง การกอดกับไอ้ขุนนี่มันให้ความรู้สึกต่างจากครอบครัวหรือเพื่อนๆที่ผมเคยกอดจริงๆ

รู้สึกดีจนไม่อยากจะปล่อย

“ ขุน ”

“ ว่าไงครับ ”

“ มึงต้องตั้งใจอ่านหนังสือนะ ”

“ มึงก็เหมือนกัน ”

“ ตั้งใจสอบด้วย ”

“ รู้แล้วครับ มึงก็ตั้งใจสอบนะ ”

“ แล้วก็.....”

“ แล้วก็อะไรหืม ”

“ แล้วก็คิดถึงกูให้มากๆด้วย ”

“ เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ”

ผมคลายกอดออกมามองหน้ามัน ไอ้ขุนก็ยิ้มหวานให้ผม สีหน้านี้บ่งบอกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังมีความสุขมาก แน่ล่ะแผนที่มันวางไว้มันเป็นไปตามนั้นทั้งๆที่มันยังไม่ได้พูดขอผมเลยหนิ แต่ก็ดีละที่มันไม่ทำหน้าหงอยแล้ว แบบนี้ค่อยดูเป็นไอ้บ้าที่คอยเอาแต่หยอดผมหน่อย

“ กลับบ้านได้แล้ว ขับรถดีดีนะ ”

“ ครับ แล้วเจอกัน ” ไอ้หล่อมันบอกผมก่อนจะเดินไปขึ้นรถ

ผมมองฟอร์จูเนอร์สีขาวที่แล่นออกไปช้าๆ วันนี้นี่แม่งสุดจริงๆว่ะ หน้านี่ร้อนสุด ใจนี่เต้นแรงสุด เขินก็เขินสุด ทุกอย่างมันสุดไปหมดเลย ช่วงเวลาที่เราห่างกันผมก็หวังว่ามันจะตั้งใจอ่านหนังสือแบบที่ผมบอกนะ ผมเองก็ต้องตั้งใจมากๆถึงจะเป็นสอบมิดเทอมแต่มันก็สำคัญกับเกรดเหมือนกัน แถมช่วงเวลานี้ผมก็มีภารกิจแอบตามดูชีวิตไอ้ขุนแบบลับๆด้วย

แค่คิดก็น่าสนุกแล้วว่ะ

อยากให้ถึงวันนั้นไวไว













TBC.

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ให้กำลังใจกันได้นะคะ
#LoveWriteเขียนสื่อรัก #ขุนศึกขนม #ขุนหนม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด