✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]  (อ่าน 27141 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เจ้าหญิงสอง น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
อ่อยเอง เขินเอง

พี่กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พี่หนึ่ง พี่ติดน้อง น่าสงสาร  :hao5:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอนที่ 23: เจ้าชายน้ำเเข็ง

"..ตื่นเช้าจัง"
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นจากข้างหลังก่อนที่น้ำหนักของหน้าและคางของพี่กฤษณ์จะมาเกยอยู่ที่ไหล่ของผม

อาจเป็นเพราะความเคยชิน
ไม่ก็ผีแม่บ้านแม่เรือนเข้าสิง

เพราะตอนที่ไปอยู่กับพี่กฤษณ์ที่บ้านไร่ พี่แกชอบอ้อนให้ผมทำอาหารเช้า
เมื่อเขามาอยู่ที่คอนโดผม ผมจึงยังติดนิสัยตื่นมาทำอาหารเช้าอยู่ดี..

ความจริงผมว่ามันก็น่ารักดีออก
แถมทำอาหารก็ไม่ได้ยาก พี่กฤษณ์เองก็เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย
เรียกว่าทำอะไรไปพี่แกกินได้หมด ไม่บ่นสักคำ..

ถ้าอยู่กันไปนานๆนี่จะไม่โดนผมขุนจนอ้วนเลยเหรอ
ซิคพงซิคแพกค์ที่พี่แกเคยมี(ปัจจุบันไม่มีแล้วครับ ฮ่าๆ เห็นบ่นอยู่ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ!)
อีกไม่นานได้กลายเป็น 'พุง' จริงๆแน่

ผมคิดแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

"ไปอาบน้ำรอ"
ผมพูดเบาๆก่อนจะให้ความสนใจกับการหั่นแครอทตรงหน้าต่อ

"ไม่เอาอ่ะ กูหิว"
พี่กฤษณ์พูดก่อนที่มือซึ่งโอบเอวผมอยู่จะค่อยๆเลื่อนลงไปข้างล่าง

"เดี๋ยวทำอาหารเสร็จก่อน ..ไหนว่าวันนี้มีงาน"
ผมพูดในขณะที่มือซุกซนของเขายังไม่หยุด มือหนาของพี่กฤษณ์ลูบต้นขาของผมผ่านกางเกงขาสั้นตัวบาง..

"งานอะไร..ตอนบ่ายนู่น"
เสียงของคนข้างหลังเริ่มเปลี่ยนนิดๆ เขาดันลำตัวเข้ามาแนบชิดกับผมมากขึ้น
ก่อนจะถูไถเจ้ากฤษณ์น้อยดันร่องข้างหลังผมเบาๆ สัมผัสจากพี่กฤษณ์ทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์ร่วมนิดๆ

"นะ..กูอยากอ่ะ"

กูจะปฏิเสธได้ไหมล่ะ..ผมคิด

"เตียงไหม"
ผมถาม

"ไม่เอา..อยากเอามึงตรงนี้..มึงยั่วอ่ะ"

"ยั่วเหี้ยไร กูทำอาหาร มึงน่ะหื่น..อื้ออ.."

ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะเผลอครางเมื่อนิ้วมือสากที่กดหมุนวนอยู่บริเวณทางเข้าเคลื่อนตัวเข้าไปด้านใน
มืออีกข้างของพี่กฤษณ์ก็เร่งเร้าปลุกแกนกลางของผม..

"เดี๋ยวๆ พี่กฤษณ์ แปปๆ"

"อะไรวะ.."

พี่กฤษณ์หยุดด้วยความขัดใจ ผมก้มลงเล็กน้อยก่อนจะใช้ข้อศอกยันเคาเตอร์ทำอาหาร
เพื่อรองรับแรงอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้..

"ไอ้สอง.."

"อะไร? ทำต่อดิ"
ผมหันไปถามพี่กฤษณ์ที่ยังคงหยุดด้วยความสงสัย

"ตั้งใจยั่วพี่ใช่ไหมครับ.."

ต..ตั้งใจ? ตั้งใจยังไงวะ? ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิด วิเคราะห์สถานการณ์ใดๆ(แล้วนี่กูจะมาวิเคราะห์ทำไม?!)
เจ้ากฤษณ์น้อยที่ตอนนี้ใหญ่ได้ที่ก็เริ่มเข้ามาในทางเข้าของผม

"จะกินละนะ.."
เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างๆหูก่อนจะเริ่มขยับตัว

พี่กฤษณ์รู้จักร่างกายของผมเป็นอย่างดี ทุกจังหวะเน้นของเขาทำให้ผมเผลอครางออกมาอย่างน่าอาย

"อ๊ะ!!..พ..พี่กฤษณ์ ..เบาๆ หน่อย..สิครับ"
ผมถึงกับต้องร้องขอให้เขาลดความเเรงลง เนื่องจากข้อศอกที่ใช้ค้ำยันตัวอยู่นั้นเเทบจะรับน้ำหนักไม่ไหว

"..ปกติ เห็นแต่ขอ...ให้แรงๆ"
เสียงนุ่มลึกที่ตอนนี้ค่อนข้างแตกพร่าพูดโดยไม่ได้ลดความแรงเลยสักนิด เสียงเนื้อกระทบสลับกับเสียงครางของผมยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"อะ..เจ็บข้อศอกอ่า.."
ผมพูด พยายามไม่ให้ฟันกระทบกัน ความรู้สึกทรมานปนเสียวซ่านที่ทะลักเข้ามาเรื่อยๆทำให้ผมแทบจะยืนไม่ไหว
พี่กฤษณ์ใช้วงแขนแกร่งรวบเอวผมเข้าไปชิดกับเขา ผมทิ้งน้ำหนักลงไปที่เเขนของพี่กฤษณ์..รู้สึกสบายขึ้นที่ไม่ต้องรับน้ำหนักตัวเอง แต่ก็ทรมานมากขึ้นเพราะส่วนใหญ่ร้อนนั้นเข้ามาลึกมากขึ้น

"..ซี้ด...สอง..แรงๆได้เเล้วใช่ไหม.."
ร่างสูงสูดปากถามโดยไม่รอสัญญาณจากผม

หลังจากนั้นจังหวะของพี่กฤษณ์ก็ทำให้ผมกรีดร้อง..เรียกได้เเต่ชื่อของเขา

ชื่อของเขาเพียงคนเดียว..

..................................

"กูกินอาหารเวฟได้"
พี่กฤษณ์พูดด้วยเสียงสำนึกผิดเล็กๆ

"ก็คงต้องงั้นแหละ"
ผมหันไปทำหน้าดุๆใส่..เตียงดีๆมีไม่ชอบ เล่นท่ายากแต่เช้า
ใครจะไปมีแรงยืนทำนู้นทำนี้ให้มึงละวะ?!

"อืมม..กูขอโทษ..ก็มึงเซ็กซี่อ่ะ..ความฝันของผู้ชายเลยนะเว้ย เมียใส่ผ้ากันเปื้อนทำอาหาร มีเซ็กส์ตอนเช้า"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะกอดผม แล้วเอาจมูกมาดมตรงซอกคอ(มึงเป็นหมาถูกมะ)

ผมพยักหน้า

"กูเข้าใจ กูก็ผู้ชาย"

เอาเข้าจริงแล้วผมว่าผมเข้าใจความคิดหื่นๆของพี่กฤษณ์ดีนะ ..อาจเพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่
หรือไม่ก็เพราะเราสนิทกันมาก่อนจะมาเป็นคนรัก..
แถมด้วยวัฒนธรรมที่ผมเติบโตมา ทำให้ผมไม่ค่อยอายในเรื่องเซ็กส์ไม่ต่างจากเขานัก

พูดตรงๆก็คือหน้าด้านนั่นแหละ

"เอ้อ เย็นนี้ไอ้ตั้มชวนกูไปปาร์ตี้มันว่ะ"
พี่กฤษณ์พูดขึ้นระหว่างทานข้าว

"กูมันเลยวัยปาร์ตี้อะไรแบบนั้นละ"
เขาบ่นให้ผมฟัง

"มึงสนิทกับไอ้ตั้มเกินหน้าเกินตากูแล้วนะ.."
ผมพูดแล้วแกล้งมองอย่างจับผิด พี่กฤษณ์หัวเราะ

"มันก็ให้มาชวนมึงนี่แหละ..มันบอกว่าปาร์ตี้ครั้งล่าสุดของมันที่มึงไป มึงไม่อยากไปอีกเลย
แต่ครั้งนี้มันขอแก้ตัว"

"กูไม่ชอบปาร์ตี้ กูอยากอยู่บ้านอ่านหนังสือ"
ผมพูดก่อนจะทำหน้ากวนตีนใส่ พี่กฤษณ์ดีดหน้าผากผมเบาๆ

"ตามใจมึงละกัน แต่กูว่าจะลองไปดู มันอุตส่าห์ชวน ..กูก็นานๆทีด้วย"

"พี่กฤษณ์!"
ผมหน้ามุ่ย แต่ดูเหมือนพี่แกจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร..

ใช้สามัญสำนึกคิดดิวะ?! คนบ้าอะไรไปงานปาร์ตี้แล้วทิ้งเมียไว้บ้าน!

อุ่ย..โทษทีครับ! ลืมตัวไป

ใช้สามัญสำนึกคิดดิวะ?! คนบ้าอะไรไปงานปาร์ตี้แล้วทิ้งกูไว้ที่บ้าน!

"อะไร..กูไม่บังคับมึงหรอก อยู่นี่ก็ดีเหมือนกัน กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง"

แล้วมึงไปฉายเดี่ยวอยู่นั่นกูไม่ต้องเป็นห่วงเลยถูกมะ?
ไหนจะสิงสาราสัตว์ที่ไอ้ตั้มหามาไว้ในงานอีก

พวกเหี้ยนั่นก็ไว้ใจไม่ได้สักคน!
มึงก็ไม่ใช่คนบ้านๆ หน้าตาก็ดี ถึงจะดูเด๋อๆไปบ้าง แต่กูก็หวงของกูมะ?!

ทั้งหมดนี้ผมคิดในใจครับ..

"เออเดี๋ยวกูไปด้วย"
ผมพูดก่อนจะถอนหายใจ

.................................

เมื่อเวลาเย็นมาถึง..งานเลี้ยงจัดอยู่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมดังอีกเช่นเคย(รสนิยมไอ้ตั้มมันน่ะนะ)
ผมกับพี่กฤษณ์เดินเข้าไปในงาน และไอ้ตั้มก็ปรี่เข้ามาทักทายเราคนแรกๆ

"..ไอ้สอง ว่าแล้วมึงต้องมา!.. พี่กฤษณ์..แต่งตัวอะไรของพี่เนี่ย"
ไอ้ตั้มมองพี่กฤษณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า.. เสื้อคลุมลายหมากรุกกับเสื้อเชิร์ตแจกฟรีของหมู่บ้าน กางเกงขาสามส่วนกับรองเท้าคัชชู ที่หน้ามีแป้งขาวๆแปะไว้ตรงแก้ม..

"ก็จริงอยู่ที่ตีมงานมันแต่งแบบCasual..แต่นี้มันโคตรจะcasualไปหน่อยไหมพี่ แต่งแบบนี้ใส่ชุดนอนมาเหอะ"

"สอง! มึงก็ไม่ช่วยดูให้พี่กฤษณ์เลยเหรอวะ?!"

"อันนี้แหละคือกูช่วยดูแล้ว..ก็ถ้าให้พี่แกแต่งตัวปกติแบบที่มึงบอก กูจะเป็นห่วงจนไม่ได้ทำอะไรเลยนะสิ"

ผมพูดก่อนจะกอดอก ผมไม่ได้เว่อร์เกินจริงนะ..ลองย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าๆ.. เอ๊ย! ลองคิดทบทวนดูสิ ในอดีต
พี่กฤษณ์แม่งเป็นคนที่ขี้อ่อยโดยธรรมชาติ แม้ท่าทางจะซื่อๆดูเอ๋อๆ แต่เมื่อได้คุยด้วย สาวๆที่ไหนก็ตกหลุมรัก
ถ้าผมไม่ป้องกันไว้ก่อนแล้วต้องมาเสียใจทีหลังนี้ผมจะโทษใครได้ล่ะ!

"กูว่าพี่กฤษณ์ควรจะห่วงมึงมากกว่า..ไม่เข้าใจพวกมึงสองคนจริงๆ"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะส่ายหัว..มึงต้องลองมีความรักนะตั้ม! มึงจะเข้าใจ!!

แต่เมื่อเริ่มงานไปได้สักระยะก็ดูเหมือนจะจริงอย่างที่ไอ้ตั้มพูด..

ก็พี่กฤษณ์ดันหลุดเข้าไปอยู่ในวงสนุ้กเกอร์ ซึ่งมีแต่ชายล้วนๆ ทำให้ผมคลายความห่วงไปได้มาก
ส่วนผมที่ตอนนี้รายล้อมไปด้วยผู้หญิง ทั้งสาวๆไฮโซและดารานี่สิ..กำลังตกที่นั่งลำบากไปซะงั้น

"คุณสองนี้คุยด้วยแล้วสนุกดีนะคะ.."

"ใช่ค่ะ แล้วคุณสองวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไหมถ้าได้เลื่อนตำแหน่งขึ้น"

"ยังไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอกครับ"
ผมคุยไป ดวงตาก็จับจ้องไปที่กลุ่มโต๊ะสนุกเกอร์แทบจะตลอดเวลา(ก็แฟนกูอยู่นั่น! จะให้มองอะไร?!)

"อื้ม~แล้ว คุณสอง..คิกๆ โทษนะคะ ..มีคนรู้ใจหรือยังคะ"
สาวใจกล้าคนหนึ่งถามขึ้น และสาวๆที่นั่งรายล้อมอยู่ก็ดูตั้งอกตั้งใจฟังคำตอบเหลือเกิน

"มีคนรักแล้วครับ"
ผมพูดก่อนจะยิ้มให้พวกเธอ

"โห..แล้วอยู่กับผู้หญิงเยอะอย่างนี้..แฟนไม่หึงแย่เหรอคะ"

ผมมองพี่กฤษณ์ที่หัวเราะเฮฮา ชนแก้วเหล้ากับคนข้างๆ..ไม่ได้สนใจมองผมสักนิด!

"ไม่หรอกครับ"

"โอ๊ย..ไม่จริงหรอกค่ะ คุณสองนี้ต้องเข้าสังคมอยู่เสมอ เจอผู้หญิงสวยๆตั้งมาก ถ้าดิวเป็นแฟนคุณสอง ดิวต้องหึงทุกวันแน่เลย"

ผมมองพี่กฤษณ์ที่กำลังเล็งลูกสนุกเกอร์บนโต๊ะ..
พร้อมกับเเก๊งค์ชายโฉดข้างหลังที่ส่งเสียงเชียร์

"ไม่มีทางหรอกครับ..เขาไม่ค่อยสนใจ..เรื่องนี้"

"ไม่จริงหรอก คนรักที่ไหนก็ต้องคิดทั้งนั้นแหละค่ะ"

"ใช่ค่ะ ขนาดนัทเอง แฟนอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แค่ถ่ายละครนะ ยังอดหึงไม่ได้เลย..ก็รักมากนี่นะ"

รักมาก..? งั้นเหรอ.. ผมคิดถึงตัวเอง..ผมก็เคยหึงพี่กฤษณ์อยู่บ่อยๆ งอนบ้าง บ่นบ้าง..
แต่..พอมาสังเกตดีๆแล้ว.. พี่แก แทบจะไม่ ไม่เคยหึงผมเลยนี่หว่า!!

มึงหวงกูบ้างป้ะเนี่ย ห๊ะ!!

คิดแล้วก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้แฮะ

ไอ้พี่กฤษณ์! ไม่อยากมองแล้ว! ไอ้คนบ้า กูรายล้อมด้วยสาวๆขนาดนี้ไม่คิดจะหวงกูบ้าง!
ซื่อบื้อที่สุด.. ผมคิดก่อนจะละสายตาจากโต๊ะสนุกเกอร์..

.................................

เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ ทั้งกินอาหารอร่อยๆ และดื่มเครื่องดื่ม(พอเป็นพิธีครับ..สภาพผมตอนเมามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไอ้เราก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ที่ไปงานทุกงานต้องดื่มจนเมาหัวราน้ำ..เอาตรงๆมันค่อนข้างทุเรศด้วยแหละ ผมจึงยึดหลักการดื่มของพี่กฤษณ์มาใช้..คือเอาพอกรึ่มๆ(ศัพท์พี่แก)ก็พอ!)
ได้คุยกับเต้นบ้างนิดหน่อย ผมกับสาวๆทั้งวงก็มานั่งพักอยู่บ้างสระน้ำ

หลังจากที่ได้คุยกันสักระยะผมก็รู้สึกว่าคุยกับพวกเธอก็สนุกดี
อาจเพราะพวกเธอรู้ว่าผมมีคนรักแล้ว จึงไม่ได้จีบหรือรุกอะไรมากมาย
เราคุยกันเหมือนเพื่อน ได้เเลกเปลี่ยนเรื่องราวนู้นนี้
ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายฟังสาวๆเมาท์คนในวงการบันเทิงและไฮโซมากกว่า

บางคนก็รู้จัก แต่ส่วนใหญ่ไม่หรอกครับ
ฟังไปเพลินๆ

ขณะที่นั่งฟังเพลงกันอยู่ก็มีมือหนาอุ่นๆมายีหัวผม..

ไม่ต้องบอกว่าใคร! คนชอบทำอย่างนี้มีอยู่คนเดียว!

"กลับกัน"
เสียงนุ่มทุ้มของพี่แกเรียก ก่อนจะดันหลังผมให้ลุก

ผมบอกลาสาวๆในวงก่อนจะเดินตามพี่กฤษณ์ไป

"มึงไม่หึงกูเลยนะ"
ผมเกาะเเขนพี่กฤษณ์ก่อนจะกระซิบเรื่องที่คิดทั้งงาน

"หึงดิ..แต่ให้กูทำไงวะ"
พี่กฤษณ์โน้มตัวมากระซิบข้างหูผม

"จะดึงมึงออกมาก็ไม่ได้ จะไปโวยวายก็ไม่ใช่นิสัย กูเลยคิดออกแค่ลูบหัวว่ะ โทษที"

ผมหัวเราะพรืด ก่อนจะซุกหน้าซบกับแขนพี่กฤษณ์

"มึงแม่งบ้า"

"กูรู้"

"สนุกเกอร์สนุกป่าว"

"กูเล่นเพราะตอนเล็งตำแหน่งมันจะมองเห็นมึงพอดี"

"..."

"แต่เอาเข้าจริงกูชอบกีฬาที่ใช้กำลังมากกว่าว่ะ"
ผมหน้าแดง

"ไม่ใช่งั้น! กูหมายถึงกีฬาจริงๆ ไม่ใช่เซ็กส์"

"กูรู้อยู่น่า"
ผมพูดแก้ตัว แม้ตอนแรกจะคิดแบบนั้นจริงก็เหอะ

หลังจากเราขึ้นมาบนรถเพื่อที่จะเดินทางกลับ ผมจึงถามพี่กฤษณ์อีกเรื่องที่คิดมาตลอดเช่นกัน

"กูสังเกตว่ามึงไม่ค่อยหวงกูเท่าไหร่..กูดูพึ่งพาตัวเองได้ใช่มะ"

"เปล่า"
พี่กฤษณ์ว่า

"ส่วนใหญ่เพราะกูไม่ค่อยได้สังเกตนั่นแหละ"

"ไอ้พี่กฤษณ์!"

"กูเชื่อใจไง โตๆกันแล้ว บางทีกูก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่น"

ประโยคแรกมาซะดิบดี..ประโยคถัดมาทำเอาหมดอารมณ์ไปเลย พี่กฤษณ์ก็ยังเป็นพี่กฤษณ์อยู่วันยังค่ำ..

ไร้ความโรแมนติก ไม่มีความอ่อนไหวซะจนบางทีก็สงสัยว่านี้คนรักหรือเพื่อน!
แต่ก็ไม่รู้ทำไม..ไอ้คนที่ดูๆไปก็เย็นชาอย่างกับเจ้าชายน้ำเเข็งนี้ ถึงไม่เคยทำให้ผมเสียใจ..
ทั้งคอยดูแล ใส่ใจ(ตามฉบับพี่แก) เป็นทั้งคนรัก และที่ปรึกษา มั่นคง พึ่งพาได้..

และเเววตาที่มองผมก็ซื่อตรงเช่นนี้เสมอตั้งเเต่วันเเรกที่เราเจอกัน
จนกระทั่งวันนี้..

"พี่กฤษณ์ หันหน้ามาหน่อยดิ"

"ทำไมวะ"

"อยากมองตา"

"อะไรของมึง.. กูขับรถอยู่ "

ผมถอนหายใจ มองไปยังข้างทางด้วยความเซ็ง..
ให้มันได้อย่างงี้ดิวะ..ไอ้พี่กฤษณ์!!



ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอนที่ 24: สิ่งที่ได้รับ

"งือ"
ผมพยายามจะเคลียคลอพี่กฤษณ์ต่อสักหน่อย แต่ไม่เคยสำเร็จ
ไม่มีสักวันที่เขาจะไม่รีบตื่น ไปทำกิจวัตรประจำวันอะไรก็ตามที่เขาต้องทำ

โอเค ผมรู้ เขามีความรับผิดชอบ
ตอนที่อยู่ที่ไร่ผมยังเข้าใจ เขามีตาราง มีเวลางานของเขา

แต่กับที่นี้! จะนอนต่ออีก 10 นาทีมันจะเป็นอะไรไป!

"อย่าพึ่งลุกได้ป่าว หนาวอ่ะ"
ผมพูดอ้อนๆ ก่อนจะใช้มือกอดพุง(?)เขาเอาไว้
พี่กฤษณ์ใช้มือหนายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะเอาผ้าห่มมาวางทับผม(คือ วางทับจริงๆน่ะครับ ไม่ได้ห่ม!)

"เออ แล้วแต่"
ผมพูดอย่างงอนๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละคนเรา ขอแค่ 5-6 นาทีก็ไม่ได้

"ทำไมวะ ให้กูปิดแอร์ป่าว มึงไม่สบายเรอะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะจับหน้าผากผม

"จับแรงขนาดนี้มึงไม่สั่นหัวกูไปเลยล่ะ..โอ๊ยย!"
ผมร้องลั่นเมื่อพี่กฤษณ์ทำจริง เสร็จแล้วยังหัวเราะขำผมด้วยนะ..จิตใจคนเรา! ชั่วร้ายจัด!

"มาอาบน้ำกับกูป่าว"
พี่กฤษณ์ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ

"ไม่เอา! กูเหนื่อย!"

"ฮ่าๆๆ เหนื่อยอะไรของมึง แค่อาบน้ำ!"

ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดม่าน

"กูรู้ไม่ใช่แค่นั้นหรอก! มึงหื่นจะตาย!"
ผมตะโกนเข้าไปแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่กฤษณ์ดังเเว่วออกมา

................................

"หืมม์ อาหารเช้าฝีมือเจ้าหญิง มีแรงทำด้วยเว้ย"
พี่กฤษณ์พูดแซว และไอ้หน้าของผมนี่มันจะแดงง่ายไปไหนวะ?!!
กูอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว!!

"กูมีแรงทำแน่ มึงเหอะ มีแรงกินหรือเปล่า"
ผมพูดก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น..โอยย ทำไม ทำไมภาพเมื่อคืนถึงขึ้นมาในหัวรัวๆแบบนี้วะ

สอง!! นี้มึงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นแล้วนะเว้ย!

"เฮ้ย เจ้าหญิง กินข้าวครับบ ? เดี๋ยวนั่งทำหน้าแดงเหม่อไปนานๆเข้าจะไม่ให้กินนะ"
ไอ้คนตรงหน้าพูดก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม

"ใครเจ้าหญิง?! กูเจ้าชายเว้ย หล่อมากด้วย!"
ผมพูดก่อนจะตักเบค่อนเข้าปาก

"ฮ่าๆ เออๆ แล้ววันนี้มึงไม่ต้องทำงานเรอะ"

"ทำดิ..ใครจะไปอยากหยุดก็หยุดได้ วันลาพักผ่อนกูก็หมดไปแล้วด้วย"

วันลาพักผ่อนทั้งปีของกูด้วย! ..แต่ผมไม่พูดต่อ

"งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วกูไปส่งที่ทำงาน ตอนเที่ยงเดี๋ยวไปรับ ตอนเย็นด้วย อย่าเถลไถล"

คุมยิ่งกว่าพ่อกูอีกนะเนี่ย..ผมพยักหน้ารับ

"แล้วมึงจะไปไหนต่อหลังจากส่งกู"

"ทำงานดิ ก็บอกแล้วว่ามานี่มีงาน ไม่ได้มาว่างๆ"

"ครับบครับ ท่านประธาน"
ผมพูดก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้า เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน

...................................

"สวัสดีครับ คุณสอง ใช่ไหมครับ..ผมกานต์ เป็นพนักงานใหม่นะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ หัวหน้า"
ชายหนุ่มที่ดูท่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมเอ่ยขึ้น ก่อนจะโค้งทำความเคารพผมน้อยๆ
ผมพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้เขาไปทำงาน

"อืม ผมอ่านประวัติของคุณแล้วล่ะ เกียรตินิยมจากมหาลัยมีชื่อ ท่าทางก็ดูมีความรับผิดชอบ ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ใจร้ายกับพนักงาน เเค่เป็นคนเข้มงวด ถามคนในแผนกดูได้"

ผมเอ่ยยิ้มๆ เรียกรอยยิ้มจากคุณลุง คุณป้า พี่น้องพนักงานในแผนกได้เป็นอย่างดี

ก็คำว่า 'เข้มงวด' ของผม มันหมายถึง เด็ดขาด ถูกต้อง มีเหตุผล
และทุกคนในแผนก ก็รู้ซึ้งถึงคำนี้ดีนะสิ

แต่หลังจากที่บอกไปเช่นนั้น ดูเหมือนว่าพนักงานใหม่ของเราจะเข้าใจคำนี้เป็นอย่างดี
เขาจึงไม่ก่อปัญหาอะไรให้แก่ผมและเเผนกของเรานัก

...................................

"บุหรี่ไหมครับหัวหน้า"
ชายหนุ่มตรงหน้ายื่นไฟแช็กมาให้ผม

"ไม่ล่ะ ผมแค่มาเข้าห้องน้ำ"
ผมพูดก่อนจะเดินไปทางประตูห้องน้ำ

"คนที่มารับมาส่งหัวหน้านี้ 'เพื่อนสนิท' เหรอครับ"
เขาถาม ก่อนจะยิ้มให้ผม ควันจากบุหรี่ลอยบังระหว่างหน้าเรา

ผมหยุด ยืนรอให้ควันจางหายไป เพื่อที่จะได้เห็นหน้าเขาชัดเจนขึ้น

"เปล่า แฟน"

ผมพูด ก่อนจะมองหน้าเขา แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

..................................

'หัวหน้าครับ เย็นนี้เจอกันอยู่คลับ XXX ไหมครับ'
ข้อความไลน์เด้งขึ้นมา

ผมเหลือบมอง บนตักมีพี่กฤษณ์ที่นอนเคี้ยวขนมแก้มตุ่ยอยู่

'..ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบเที่ยว ขอบคุณ'

ผมส่งข้อความตอบกลับไปแค่นั้น และไม่สนใจอีก

ไอ้นี่ชักจะลามปาม..ถ้าไม่ติดว่าผมต้องรักษาภาพลักษณ์ในการเป็นหัวหน้าอยู่บ้าง
คือแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ได้ ผมคงได้ด่ามันเข้าตรงๆ สักวัน!

..................................

"หัวหน้าสนใจผมสักวันไหมครับ"
อยู่ๆไอ้เจ้าพนักงานที่ชื่อกานต์ก็เดินมาหาผมระหว่างพัก พร้อมสีหน้ากรุ้มกริ่มคาดเดาได้ยาก

"สนใจ? สนใจอะไร"
ผมวงเล็บคำว่า ไอ้สัส ไว้ตามหลัง ก่อนจะตีหน้าเรียบถาม

"แหม หัวหน้า ผมเข้าใจดี วงการอย่างเราๆมันก็เปลี่ยนคู่ไปเรื่อย เขาถึงได้เรียกว่า Aquarium ไง ..เท่าที่ผมดู สเป็กต์หัวหน้าก็ใกล้เคียงผมอยู่นะ ..หรือไง นี่ผมพูดตรงๆเลย"

"คุณกานต์ นี่คุณกำลังดูถูกผม และคนรักของผมอยู่นะ"
ผมพูดเรียบๆ

ผมไม่เข้าใจ..ประเทศไทยพยายามเสนอตนว่าเป็นประเทศที่เปิดกว้างกับเพศทางเลือก แต่สังคมของเพศทางเลือกกลับมีแต่เรื่องที่ทำให้ดูถูกกันเอง อย่างนั้นเหรอ?

ถ้ามองเห็นและยอมรับอย่างแท้จริงว่าเราต่างเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ
ที่มีสิทธิ์จะรักใครก็ได้ ไม่ใช่แค่การจับคู่กันเพื่อหาคู่นอนคลายความอยากไปวันๆ

ไอ้การดูถูกประเภทนี้คงไม่เกิดขึ้น

"คนรักเหรอครับ เรียก Partner ดีกว่าไหม.. โตๆกันแล้ว"
เขาพูดก่อนจะขยิบตา ผมยิ้มให้ มองไปที่สภาพรอบตัว สถานที่ทำงาน ไอ้สอง ที่นี้ที่ทำงาน...

"คลับ XXX ใช่ไหม ..เจอกันเย็นนี้"
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะส่งรอยยิ้มเย็นเยือกไปให้

แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สังเกต

..................................

"เอาจริง? คิดไงให้กูพาไปบาร์เกย์วะ?"
พี่กฤษณ์ถามขณะขับรถก่อนจะมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

"กูแค่นัดคนไว้ มีเรื่องต้องเคลียร์น่ะ"
ผมตอบเรียบๆ

"คนประเภทไหนวะ นัดเคลียร์เรื่องที่คลับที่บาร์ ให้กูลงไปด้วยไหม"
พี่กฤษณ์ถาม ผมส่ายหัว อยากคุยเองมากกว่า

เมื่อมาถึงคลับที่นัดหมาย ผมเดินเข้าไปด้านใน
เเละไม่นานนักก็มองเห็น พนักงาน..ไม่สิ มองเห็นกานต์

เขายืนอยู่ตรงนั้น หัวเราะกับเพื่อนๆ ส่วนเเขนก็โอบเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งเอาไว้

เมื่อเห็นผม เขาก็ผละออกจากวงเพื่อนมาดึงตัวผมไปทันที

"นี้หัวหน้าผมเอง บอกแล้วว่าหล่อ"

หลายคนมองหน้าผม บางคนกลืนน้ำลายดังเอื้อก

"หล่อจริง..ไปหามาได้จากไหนเนี่ย"

"ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวก่อนละกัน คุณกานต์"
ผมพูดก่อนจะลากข้อมือกานต์ให้ตามผมมา ท่ามกลางเสียงเเซวของเพื่อนเขา

"คืนนี้แค่ผมคนเดียวเหรอครับ หัวหน้า"

"อยู่ข้างนอกแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าหรือลูกน้อง ไอ้สัส"
ผมพูด

"เฮ้ย! ฮ่าๆ คุณสองนี่มีมุมตลกๆน่ารักแบบนี้ด้วยเหรอครับ แล้วคู่คุณเขาไม่มาเหรอ"

"เอาน่ะ ผมขอพูดตรงๆเลย ผมเป็นเกย์จริงแหละ แฟนผมเป็นผู้ชาย แต่ไม่ใช่ว่าผมจะนอนกับใครก็ได้
ผมไม่รู้ว่าไอ้วงการ ที่คุณว่าน่ะ มันหมายถึงอะไร แต่ผมเป็นคนธรรมดาที่ต้องปกป้องตัวเองและคนรัก"

"แหม หัวหน้า พูดซะสวยเลย ไม่รู้จริงๆเหรอครับ.."
เจ้าตัวยังยิ้มกรุ้มกริ่ม มือก็เริ่มจับไม้จับมือผม

ผมดันมือเขาออก

"กานต์ การกระทำและคำพูดคุณช่วงไม่กี่วันมานี้ มันดูถูกตัวผม คนรัก ตัวคุณ และวงการอะไรของคุณด้วย
ผมคงไม่มีหน้าไปบอกคุณว่าอะไรถูกไม่ถูก แต่อย่าล้ำเส้นผม ผมพูดในฐานะคนธรรมดา ไม่ใช่เจ้านาย"

"ดูถูก?! หัวหน้า หัวหน้าเเค่ต้องยอมรับความจริงให้ได้สิครับบ เดี๋ยวนี้ใครๆเขาก็รู้ คบกันไปก็ไม่ยืด สู้เอาเงินมาซื้อดีกว่า ตามใจหัวหน้าเลยครับถ้าไม่อยากมีเซ็กส์กับผม ก็ปฏิเสธตรงๆก็ได้นี่.."

"..หัวหน้าพูดจาอ้อมค้อมไม่ยอมปฏิเสธสักที หรือจริงๆก็หวังความตื่นเต้นเร้าใจจากผมอยู่ครับ หือม์"
กานต์เอามือมาเสยปอยผมของผมขึ้นไป

"เยอะล่ะไอ้สัส"

ผมหันไปเจอกับร่างสูงของพี่กฤษณ์

"อ้าว ขอโทษทีครับ 'คู่'ของหัวหน้ามาด้วยเหรอ.. เอาไว้วันหลังละกันนะ"
เขาพูดเเล้วส่งยิ้มทีเล่นทีจริงก่อนจะเดินจากไป

พี่กฤษณ์ใช้มือดันหลังผมเบาๆ

"ไปเหอะ เดี๋ยวกูพาไปกินก๋วยเตี๋ยวมื้อดึก"

.................................

"ไหนอธิบายดิ้ว่าเคลียร์แบบไหนเค้ายืนจับแขน เสยผมให้กันด้วย"
พี่กฤษณ์พูดขณะที่ดวงตามองไปที่ถนน

ผมที่ตอนนี้รู้สึก..ไม่รู้สิครับ รู้สึก 'เฟล' มากๆ(ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้จะหาภาษาไทยอะไรมาอธิบาย)
ผมรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเศร้าแปลกๆ กับเพศทางเลือกและมุมมองที่ผมได้รับรู้มาวันนี้

จริงอยู่ที่ผมเริ่มจากการเป็นผู้ชาย แบบที่ใครๆเขาเรียก เเมนเเท้ๆ
แล้วไอ้อากัปกิริยาก็ไม่ได้เหมือนผู้หญิงตรงไหน แต่เมื่อผมมาชอบผู้ชาย มีแฟนเป็นผู้ชาย
ผมก็เรียกตัวเองว่า 'เกย์' ตามสังคมเรียก

ซึ่งผมกับพี่กฤษณ์ก็ไม่ได้ serious หรือรู้สึกว่ามันแปลกอะไรตรงไหน
มันเเค่คำจำกัดความใช่ไหมครับ ก็เหมือนคำจำกัดความเพศสภาพใดสภาพหนึ่งเท่านั้น

เเต่พอได้มาเห็นมุมมองของ 'เกย์' เหมือนกัน
ที่เขาคิดว่าความรักแบบของเรา ไม่สามารถยั่งยืนได้เหมือน ชายหญิงปกติ
มันทำให้ผมประหลาดใจมาก

ก็หากเรายอมรับว่าเพศเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของบุคคล
ความรักก็เป็นเพียงทางเลือก

ความสัมพันธ์ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?

หากคุณเป็นคู่รักชายหญิงที่อยู่ๆมีคนเดินมาบอกว่า
'มามีเซ็กส์หมู่กับกูไหม ยังไงมึงก็คบกันได้ไม่นานหรอก มึงคู่รักชายหญิงนี่'
คุณรู้สึกว่ามันแปลกไหมครับ ?  ไอ้คนเดินมาถามคงโดนด่าเรื่องจริยธรรม ตรรกะผิดเพี้ยนจนกระเจิง

แล้วถ้ายอมรับว่าทั้งหมดนี้เท่าเทียมกันจริงๆ
ทำไมมุมมองที่มีแต่ต่อละเพศสภาพและความสัมพันธ์

ถึงไม่เท่าเทียมกันบ้าง?

"เป็นไรเปล่าวะ?"

พี่กฤษณ์ถามเบาๆเมื่อเห็นผมยังคงเงียบ

"เมื่อกี้ทำไมมึงตามเข้าไป"
ผมเปลี่ยนไปถามเเทน

"จะปล่อยมึงเข้าไปคนเดียวได้ไง เคลียร์กับใครก็ไม่รู้ กูก็ห่วงดิวะ"
พี่กฤษณ์พูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์เล็กน้อย

"แล้วสรุปเคลียร์อะไรกัน ทำไมท่าทางไอ้เหี้ยนั่นกวนส้นตีนชิบหาย"

"หึง?"

"อย่าเปลี่ยนเรื่อง เคลียร์อะไร?"
เมื่อเห็นผมเงียบ พี่กฤษณ์จึงไม่เซ้าซี้ต่อ

"พี่กฤษณ์ มึงอายที่ต้องไปบาร์เกย์ไหม"
อยู่ๆผมก็ถามขึ้น

"อายดิสัส"
เขาก็ช่างตอบตรงได้สมกับเป็นตัวเองเหลือเกิน

"ทำไม"

"หื้ม มันพูดยากว่ะ ถ้ากูเป็นเกย์มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นกูอาจจะชินมั้ง แต่ด้วยวัฒนธรรม อะไรหลายๆอย่างที่กูโตมา มันก็ทำให้กูอาย ก็เหมือนที่กูยังกลัวกระเทยควายนั่นแหละ"

"มึงเหยียด"

"เฮ้ย กูไม่ได้เหยียด! กูแค่กลัว!"

"มันเหมือนกันแหละ ถ้ากูเป็นกระเทยควายบ้างมึงจะยังรักกูไหม"

"กูรักมึง กูไม่สนว่ามึงจะเป็นอะไร"

"ถ้างั้น..ถ้าตอนแรก กูเข้าหามึงในลักษณะกระเทยควายเลย มึงตีความไปแล้วว่าไม่ชอบคนแบบนี้ มึงจะได้รู้จัก ได้รักตัวกูจริงๆไหม

ผมถาม มองหน้า พี่กฤษณ์เงียบ

"มันต่างอะไรกับคนที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ตัดสินหนังสือจากปก"

"โอเค โอเค กูยอม แต่..กูยังเป็นมนุษย์นะเว้ย ไม่ใช่พระอรหันต์ สอง มึงจะหวังสังคมอุดมคติที่ทุกคนเข้าใจคนอื่นบนพื้นฐานความเท่าเทียมร้อยเปอร์เซ็นต์มันเป็นไปไม่ได้.."

"คือ กูจะว่าไงดีล่ะ .. คนเรามันมีอคติกันอยู่แล้ว กูก็ด้วย มึงก็ด้วย จะมากน้อยก็ตามแต่ละคน ไม่ใช่หน้าที่มึงที่ต้องไปบังคับคนนู้นคนนี้ให้คิดเหมือนมึง.. โอเค กูยอมรับ ความเท่าเทียม ทุกคนเเม่งก็พูดกันแต่เรื่องนี้ ถ้ามีใครสักคนไม่เห็นด้วยขึ้นมา แปลว่าเขาเลวเหรอวะ? "

"การที่กูกลัวผู้ชายที่มีลักษณะเหมือนกระเทยควายถ้ามาลูบกู นี้กูเลวไหม? กูมีอคติก็จากประสบการณ์กู
สมัยปีหนึ่งกูเคยโดนกระเทยควายดึงไข่ นี่ความผิดกูไหม"
พี่กฤษณ์พูดเล่าประสบการณ์ก่อนจะหัวเราะ ผมส่ายหัวเบาๆ

"มันผิดแหละ กูรู้"
พี่กฤษณ์พูด

"กูไม่ควรไปคิดว่ากระเทยควายทุกคนเป็นอย่างนั้น และถ้ามึงจะมองดีๆ แค่คำพูดที่ว่า กระเทยควาย มันก็เหยียดแล้ว"

"แต่กูจะทำไงได้ละสอง กูไม่ใช่คนสมบรูณ์แบบ ที่กูทำได้ก็แค่ไม่ไปพูดดูถูกหรือไปบอกให้เขาเลิกเป็นแบบนั้น เเค่นั้นเอง"

ผมนั่งฟังเงียบๆก่อนจะเล่าเรื่องมุมมองที่ไปเจอมาวันนี้ให้พี่กฤษณ์ฟัง

 "ไอ้ห่านั่นอาจมีอคติจากประสบการณ์ของมันเหมือนกูก็ได้.."
พี่กฤษณ์แสดงความเห็นอย่างใจกว้าง

"แต่การคุกคามนี่คนละเรื่อง ...ถ้ามึงให้มันจับมือถือแขนอีก กูโกรธนะ.."

"อืออ"
ผมพูดเบาๆก่อนจะเอาคางเกยโต๊ะก๋วยเตี๋ยว
เขาดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ

"สอง มึงน่ะคาดหวังมากไปนะ จะให้สังคมเข้าใจ ให้คนอื่นคิดเหมือนมึง หรือวัฒนธรรมเเบบนิวยอร์กของมึง
มันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ทั้งหมด"

"คิดมากๆเข้าก็เหนื่อยเปล่าๆ"

"กูก็พยามอยู่ กูเป็นคนคิดมากอ่ะ มึงก็รู้"
ผมพูด เริ่มรู้สึกดีขึ้น

"อืมม งั้นกูกินก่อนนะ กูหิวล่ะ"
ผมมองหน้าพี่กฤษณ์ที่ดูหิวโหยจริงๆแล้วก็อดขำไม่ได้

หลังจากความรู้สึกเสียใจประหลาดๆเริ่มจางหายไป
ผมก็ก้มหน้าก้มตารับรสชาติของอาหารตรงหน้า

มันอร่อยจริงๆ และผมเองก็รู้สึกขอบคุณชายที่อยู่ตรงหน้า
ผู้ยอมเปิดใจพูดกับผมตรงๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรือไม่

และคำพูดของเขาก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นได้ทุกครั้ง..

...................................

"พรุ่งนี้กูจะไปคุยกับไอ้วินด์"
พี่กฤษณ์พูดหลังจากที่ปิดไฟตรงหัวเตียง ผมพยักหน้ารับในความมืด

"มึงอยากไปด้วยไหม"

"กูเห็น..มึงกับไอ้ตั้ม จัดการเรื่องต่างๆแทน..กู ไม่รู้สิ มันเหมือนเป็นเรื่องธุรกิจ การชิงไหวพริบของพวกมึง ไม่ใช่เรื่องของกูมานานแล้ว"

"ใครว่า..พวกกูทำก็เพราะมึง"

"กูรู้..แต่..กูยังไม่อยากเจอหน้ามัน"
ผมลืมตาในความมืด ความทรงจำพวกนั้นไม่ใช่สิ่งรื่นรมย์
พี่กฤษณ์ยกวงแขนขึ้นโอบผมไว้ ผมหลับตาลง

"งั้นเดี๋ยวกูจัดการให้.."

เสียงทุ้มของพี่กฤษณ์กระซิบราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเงียบหายไป
สักพักเมื่อรับรู้ถึงจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอยาวนาน ผมจึงค่อยๆลุกออกจากเตียง

เดินไปเปิดโคมไฟตรงชั้นหนังสือ ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าธรรมดาๆที่ปะปนอยู่ในชั้นวางหนังสือหลายสิบเล่มของผม

ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ยาวนาน
มีเพียงเเสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมที่ก่อให้เกิดเงาอันสั่นไหวเมื่อผมขยับมือ

....

วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กระทบความเชื่อและบางสิ่งที่ผมยึดถือ
ผมได้เรียนรู้ว่าผมไม่อาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งใจได้เสมอไป

ทุกคนที่เข้าใจ ทุกคนที่ยอมรับ

ผมอาจโชคดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย
ตรงที่ครอบครัวนั้นรักและคอยสนับสนุนในทุกด้าน

แต่กับสังคมไม่เหมือนกัน
ผู้คนเติบโตมาอย่างหลากหลาย พวกเขามีรูปแบบ วิถีชีวิต และแนวคิดของตนเอง
บางอย่างถูกใจผม บางอย่างไม่

พี่กฤษณ์บอกว่าผมไม่ควรไปตีค่าว่ามันถูกต้องหรือไม่..

ไอ้พูดพล่อยๆเท่ๆแบบนั้นใครก็พูดได้
หรือประโยคถูกใจไม่ถูกต้องอะไรนั่นใครก็พูดได้

แต่มีน้อยคนที่จะหยุดพิจารณาคำว่า'ถูกต้อง'อย่างจริงจัง..

ท้ายที่สุดแล้ว หากมันลำบากนัก อย่าเที่ยวไปตัดสินคนอื่นเลยจะดีกว่า
เพราะกรอบของคำว่าถูกต้องนั้นอาจกว้างกว่าที่เรามองเห็น

เหมือนตอนที่ผมตัดสินใจคบกับพี่กฤษณ์ครั้งแรก
ผมคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย สิ่งที่สังคมมอง..ผมจะต้องทำอย่างไร
ภาพลักษณ์จะรักษาอย่างไร? ครอบครัวจะโดนดูถูกหรือไม่? ที่นี้ประเทศไทย?

แต่พอมาวันนี้ วันที่ผมโดนดูถูกจริงๆ เรื่องพวกนี้กลับเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย
เพียงคำพูดที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป..

ผมที่มีพี่กฤษณ์ยืนอยู่ข้างๆ มีเพื่อนที่รักและเข้าใจ มีครอบครัวที่คอยสนับสนุน
กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ... ล้มบ้าง สะดุดบ้าง หยุดพักบ้าง

แต่ไม่เคยหันหลังกลับ ไม่เคยเสียดายทุกสิ่งที่ได้เลือกและตัดสินใจมา..

การเดินทางจากนิวยอร์กมาถึงขอนแก่นนี้มีความหมาย
มันทำให้ผมมองชีวิตเเละความรักด้วยดวงตาที่แตกต่างออกไป

ไม่ใช่ในความหมายเมื่อยังเยาว์วัย
ทว่าลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซับซ้อนน้อยลง

ไม่ใช่เเค่เรื่องของพี่กฤษณ์ แต่รวมถึงเรื่องครอบครัว เรื่องเพื่อน เรื่องงาน ..

มันคือชีวิต

นี้ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้น
และคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในช่วงชีวิตที่ยังเหลือ

แต่เป็นครั้งที่น่าประทับใจ..
และมีความหมายต่อผมอย่างยิ่ง



...ผมจรดปากกาอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยกขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าไม่มีคำใดจะบรรยายลงอีกแล้ว

ผมปิดสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าก่อนจะยัดมันเข้าไปรวมกับหนังสือบนชั้น


เมื่ออยู่บนนั้น มันช่างดูธรรมดาเหลือเกิน








✈️ From  New York to  Khonkaen

จบ

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
 ...Afterward

"ทำอะไรอยู่น่ะ..แก้ว"
ชายผู้หนึ่งเดินมาอยู่ข้างหลังฉันก่อนจะรวบตัวฉันเข้าไปกอด

"..พอดีวันนี้ทำความสะอาดบ้านน่ะสิมาร์ค..พวกเด็กๆต้องวุ่นวายแน่เลยถ้ารู้ว่าแก้วขึ้นมาทำความสะอาดบ้านป๊ากฤษณ์ของพวกเขา.."

"เด็กพวกนั้นมันแสบ..แล้วนี้อ่านอะไรอยู่"
คนรักของฉันพูดพลางมองสมุดสีฟ้า ซึ่งตอนนี้ซีดจางจนมองตัวอักษรที่หน้าปกแทบไม่เห็น

"เรื่องราวธรรมดาๆ แต่มันมหัศจรรย์มากเลย..ไม่น่าเชื่อ พวกเขาจะยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้"
ฉันพูดก่อนจะยิ้มให้คนรัก..ฉันไม่เคยรับรู้เรื่องราวความรัก หรือชีวิตของพวกเขาในมุมมองเช่นนี้มาก่อน

ตอนเด็กๆก็แค่เพียงมีความสุขกับความรักเท่านั้น..

"ว่าแต่ เมื่อไหร่เฮียกฤษณ์เฮียสองจะกลับมาจากจีนเนี่ย..ประชุมธุรกิจครั้งนี้คงสำคัญน่าดู มาร์ครับมือไอ้เด็กแสบพวกนั้นจะไม่ไหวแล้วนะ"
คนรักของฉันพูดก่อนจะทำหน้ามุ่ยกึ่งล้อเลียนใส่ฉัน ฉันหัวเราะในความติ๊งต๊องของเขา

ไม่นานเด็กๆสุดซนที่มาร์คพูดถึง ก็วิ่งโร่ขึ้นบ้านมา

เด็กชายคนโตสุดผู้มีหน้าตาจิ้มลิ้มหน้ารัก ดูอ้วนท้วนสมบรูณ์วิ่งมาเกาะเอวฉัน
ก่อนจะซุกหน้าเข้ากอดพลางพูดเสียงอู้อี้เป็นภาษาต่างประเทศ



"เมื่อไหร่แดดดี๊จะกลับไทยยยยยย"


"พี่แก้ว อย่าปล่อยให้เจ้าเฟ่ยเเต๊ะอั๋งดิ"
เสียงไม่พอใจนี้มาจากเจ้าตัวเเสบหมายเลขสอง เด็กชายผู้ตัวสูงกว่าพี่ชายร่างจ้ำม่ำ หน้าตาละม้ายคล้ายพี่ชายของฉันราวกับถอดกันมา

"พูดให้มันดีๆนะผิงผิง แดดดี๊กลับมาโดนแน่"
เจ้าตัวเเสบหมายเลขหนึ่งพูดก่อนจะแลบลิ้นให้น้องชาย ..

"ไอ้อ้วนเฟ่ย!"
เจ้าตัวเเสบหมายเลขสองกระโดดขึ้นหมายจะเตะเด็กชายที่ยืนเกาะเอวฉันอยู่(หนู!! ลูกกกก!!!)
แต่มาร์ค..คนรักของฉันรีบกระโดดมาขวางทางไว้ก่อน

"ฮึก แง้งงงงงง~"
เด็กหญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มที่เดินเตาะเเตะตามขึ้นมาร้องไห้เสียงดังลั่น
เด็กชายทั้งสองเมื่อเห็นน้องสาวร้องไห้จึงรีบวิ่งเข้าไปกอดน้อง พาน้องเล่น พร้อมกับทำท่าตลกๆอีกมากมาย..

ฉันมองเจ้าสามคนที่เล่นด้วยกันแล้วยิ้มออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน(เป็นอย่างยิ่ง)

"พี่แก้วอ่านอะไรร"
เจ้าหมูน้อยเฟ่ยมองสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าซีดในมือของฉัน..ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะบอกว่า

"เรื่องของแดดดี้ของอาเฟ่ยนั่นแหละ.."

"แดดดี้สองเป็นสวีทฮาร์ทของแดดดี้กฤษณ์ เฟ่ยรู้..."

"แดดดี้เคยอ่านให้ฟังนะ แต่อ้วนเฟ่ยหลับ กินมากไปจนหลับ ไม่รู้เรื่อง"

"ผิง ไม่มีน้ำใจเลยนะ"

"หมูปิ้งเมื่อวันก่อนนี้ไงน้ำใจ"

"ฮึก..แง้งงงงงงง"

ฉันหันไปมองหน้าคนรัก เขายกมือขึ้นอย่างยอมแพ้

"ถ้าเราแต่งงานมาร์คขอมีลูกสาวแค่คนเดียวนะ..ขอลูกสาว"


ฉันพยักหน้า เห็นด้วยกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2018 15:50:01 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน และขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนสุดท้ายค่ะ!
ผู้เขียนมีความสนุก ความภูมิใจ ที่ได้นำเสนอเรื่องราวความรักและชีวิตผ่านนิยายเรื่อง จาก New York สู่ Khonkaen เป็นอย่างมากค่ะ

ก่อนเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนตั้งใจจะถ่ายถอดเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ที่สมจริงที่สุด คือมีทั้งสุข ทุกข์ และการดำเนินต่อไปของชีวิต ทั้งเรียบง่าย ซับซ้อน ปะปนกันไปในแต่ละช่วงเวลา

เมือ่นิยายเรื่องนี้มาถึงจุดที่ผู้เขียนต้องการเเล้ว ผู้เขียนต้องบอกเลยว่า ..ใจหายนิดๆ แต่สุขใจมากกว่า..
เเม้เรื่องนี้จะจบไป แต่หลายสิ่งหลายอย่างยังดำเนินต่อไป เหมือนกับชีวิตของเรา

ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านทุกท่าน จะได้รับบางสิ่งกลับไป จากการอ่านผลงานชิ้นนี้
แต่หากไม่ได้รับอะไรกลับไปเลย อย่างน้อยๆก็ขอให้ได้รับความสนุกสนาน

 เพียงเท่านี้ ในฐานะผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเเล้วค่ะ

(โค้ง)

 :bye2:
Anynomous

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สอง กับมุมมองชายรักชาย รักชายคนเดียวเท่านั้น รักแล้วไม่แปรเปลี่ยน  :mew1: :mew1: :mew1:

ส่วน มุมมองของกานต์ พนักงานคนใหม่ วงการนี้ไม่แน่นอน ไม่มีใครจริงใจ จริงจังกันหรอก
ดังนั้นก็สนุกๆกันไป ใช้เงินซื้อก็ได้
แสดงว่ากานต์ ไม่เคยเจอคู่ที่รักกันจริง คู่ของตัวเองก็ไม่จริงใจ  :serius2:
ก็เลยใช้ชีวิตแบบที่เห็น แล้วเข้าใจว่าคู่ของสองก็คงเหมือนที่ตัวเองสัมผัสมา

ก็เหมือนคำพังเพยที่ว่า
"สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย"
ก็คงนานาจิตตัง หรือเปล่า
กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์ ให้ความสุขคนอ่าน 
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2018 16:52:20 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ Pinkii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: :hao5: สงสัยว่านานๆมาทีเลยรู้สึกว่าสั้นไปหน่อย แต่อ่านรวมๆแล้วยาวพอให้ซึ้งเลยค่ะ   :z3:
ขอบคุณคุณanonymousมากค่ะ เป็นเรื่องที่ประทับใจจนต้องสมัครมาคอมเม้น พอคอมเม้นเท่านั้นแหละ จบเลย 55555  :m31:
ขอรวมๆความประทับใจไว้ตรงนี้นะคะ  :L1:

เนื้อเรื่องเรียบง่ายเลยทำให้คิดตามได้แบบไม่ขัด ตัวละครมีเหตุผล และตัดสินใจสมเหตุสมผล ไม่ยืดเยื้อ ร้ายก็ไม่ใช่ร้ายไม่รู้เรื่อง
ดีก็ไม่ใช่ดีจนหมด มีสอดแทรกแนวคิด การใช้ชีวิต มุมมอง มีแหย่สังคม การเมือง เรื่องเพศ
ส่วนด้านภาษาอาจจะกระชับไปนะคะ ไม่ค่อยมีบรรยายหรือใช้ภาษาสวยๆ เหมือนดูหนังที่ตัดไปมามากกว่าอ่านนิยาย  :a5:


ปลล. อยากอ่านตอนพิเศษของครอบครัวพี่กฤษณ์น้องสองกับเด็กๆนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ
เป็นนิยายฟีลกู๊ดที่ธรรมดาๆ
แต่มีเสน่ห์ในตัวมากๆเลย
อยากอ่านตอนพิเศษของบรรดาลูกๆมาก
ผุดมาโค้งสุดท้ายให้อยากรู้
หลงเด็กๆมากเลย
หวังว่าคนเขียนจะเห็นใจ
มาลงตอนพิเศษของเด็กให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สะดุดตาตรงชื่อเรื่องค่ะเริ่มแรกนึกว่าจะเป็นromantic+comedyเฉยๆซะอีกแต่พออ่านไปเรื่อยๆแล้วมีdramaด้วยสนุกดีค่ะต้วละครมีความหลากหลายดีเราอยากอ่านเรื่องของวินด์ต่อนะน่าติดตามแล้วก็ตั้มอีกคนหาคนมาเข้าใจเขาหน่อยอยากให้ตั้มสมหวังจริงๆขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆนะคะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขอบคุณมากค่ะ เป็นเรื่องสมจริงตามที่คุณคนเขียนตั้งใจไว้นะ เพราะชีวิตก็แบบนี้ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีมากๆเลย

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอน : กลับสุขใจอย่างยิ่ง

"แด๊ดดี๊กิดค้าบบ เจ้าผิงแกล้งน้องเหมยค้าบบ"

เด็กชายตัวอ้วนจ้ำม้ำวิ่งออกมาด้วยท่าทางร่าเริงผิดปกติ ก่อนจะกระโดดกอดผม

..มิติใหม่แห่งการฟ้องน้องชายวุ้ย..

"โอเคครับเฟ่ย ..เดี๋ยวพ่อตามไป เฟ่ยในฐานะพี่คนโตไปดูแลสถานการณ์แทนพ่อก่อนนะครับ.."

ผมกวาดสายตามองเอกสารในมืออย่างคร่าวๆก่อนจะจัดวางไว้บนโต๊ะทำงาน
เมื่อเห็นเจ้าลูกชายตัวดีกระโดดโลดเต้นออกจากห้องทำงานไปก็ได้แต่ส่ายหัว..

วันนี้วันเสาร์ เจ้าสองติดประชุมจนถึงบ่าย ..ผมต้องอยู่บ้านดูแลเจ้าตัวแสบสามตัว
ซึ่งมีคนใดคนหนึ่งวิ่งมาฟ้องอีกคนทุกๆ 1 ชั่วโมง..

พอเรื่องงานไว้เเค่นี้ก่อนละกันเรา..พักไปอยู่กับลูกๆบ้าง
เดี๋ยวได้โตไปเป็นเด็กมีปัญหา ไอ้พวกสังคมจะหาว่าไม่รับผิดชอบอีก!

ผมเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น..

ผมกับสองเลือกซื้อบ้านขนาดกลางๆที่มีสวน และอยู่ใจกลางกรุงเทพ..
ขอบอกว่าตอนตัดสินใจซื้อนั้นคิดแล้วคิดอีกสุดๆ .. ก็บ้านแบบEco-houseแต่ใจกลางกรุงเทพ
มันเเพงกว่าคอนโดหรือแฟลตสะดวกสบายเสียอีก!

แต่ที่ตัดสินใจซื้อก็เพราะเจ้าสามทหารเสือของเรา
สองอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนนานาชาติดีๆ ส่วนผมก็อยากให้ลูกได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและไม่ฟุ้งเฟ้อวัตถุนิยมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป..

เราก็เลยลงเอยกันที่บ้านหลังดี สภาพเเวดล้อมผ่าน ความสะดวกสบายปานกลาง ใช้ได้!

ขอบอกเลยว่างานดูแลเจ้าสามคนนี้ลำบากสุดๆ..

ถ้ามีอะไรในชีวิตที่ผมเคยคิดว่าลำบาก เป็นปัญหา..
เมื่อเทียบกับเจ้าลูกลิงพวกนี้เเล้ว เทียบไม่ติดเลยทีเดียว!

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นเจ้าผิงตัวเเสบกำลังดึงผมน้องสาวอยู่..

"อาผิง.. ลูกกำลังทำอะไรน่ะ.."

"แด๊ดดี้ ผิงแกล้งเหมยยย"

"เปล่านะฮะ!"

ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วจึงเห็น..ยางมัดผมหลากสีเล็กๆที่พันผมเด็กหญิงอายุ 4 ขวบเอาไว้.. มันยุ่งเหยิง
และดูท่าจะเจ็บน่าดู..

"ไหนเล่าให้พ่อฟังสิ"
ผมพูดก่อนจะจับมืออาผิงออกจากหัวน้องสาวอย่างเบามือ

"เหม่ยเหมยอยากเล่นเป็นเจ้าหญิง เลยให้ผมมัดผมให้..ต..แต่ ผมมัดไม่เป็น.. แล้ว มัน..ผิด"
ระหว่างที่พูดเจ้าตัวดีก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้..

"ผมบอกแล้วว่าให้ปล่อยผมยาว"
เฟ่ยพูดขึ้นก่อนจะมองหน้าน้องสาวอย่างเห็นใจ..

"เอ้อ..โอเค ไม่เป็นไรหรอกลูก เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้นะ..ไม่ต้องร้องนะคะ เหมย พี่ผิงไม่ได้ตั้งใจ"
ผมหันไปพูดกับลูกสาวคนเล็ก ผู้ยังคงร้องไห้กระซิกกระซิก

"..ฮึก..เหมยไม่ร้อง นะ.. I didn't mean to harm you.."
ลูกชายตัวเล็กของผมกลับเป็นฝ่ายร้องไห้เสียเอง..

"เอาอย่างนี้ดีกว่า..เดี๋ยวพ่อจะสอนวิธีแกะยางมัดผมแบบไม่เจ็บให้.. มันง่ายมากเลยนะ"

"ใครอยากเรียนบ้าง ยกมือ!"
ผมพูดก่อนจะได้รับเสียงตอบรับจากนักเรียนทั้งสามเป็นอย่างดี..

หลังจากนั้นผมก็สอนวิธีดึงตรงโคนผมก่อนค่อยดึงยาง ให้ลูกๆทั้งสาม โดยมีผมของตุ๊กตาบาร์บี้ของเหม่ยเหมยเป็นต้นเเบบ.. เด็กๆกระตือรือร้นที่จะเรียนเป็นอย่างมาก และในไม่ช้า พวกเขาก็ผ่านหลักสูตรการดึงยางออกโดยไม่เจ็บหัว ที่รับรองโดยผม(ฮ่าๆ หลอกเด็กนี่งานถนัดครับ!)

หลังจากที่เจ้าผิงได้ทดสอบภาคปฏิบัติกับหัวน้องสาวจนสำเร็จเรียบร้อย
เด็กๆก็มีท่าทีเหนื่อยอ่อนจากบทเรียนกันเสียเต็มประดา

"ทำไมบ้านเราไม่มีแม่นมฮะแด๊ดดี้ บ้านของอเล็กซ์มี"
อาเฟ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ขณะที่เรานอนแผ่หลาอยู่ในห้องนั่งเล่น

"ริชชี่ก็มี"
ผิงผิงพูดขึ้น

"บีน่ามี"
เหม่ยเหมยก็พูดเช่นกัน

"เรามีพ่ออยู่แล้วไงครับ..มีทั้งพ่อกฤษณ์ แด๊ดดี้สอง ..หรือเด็กๆอยากให้คนอื่นดูแลเเทนพ่อเหรออ พ่อน้อยใจแล้วน้า"
ผมพูดก่อนจะเเกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อย

"ไม่อาวอ่ะ"

"อาทิตย์ที่แล้วริชชี่บอกบ้านเราแปลก"
ผิงผิงบอกก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

"แปลกยังไงเหรอผิง"
เจ้าเฟ่ยถาม

"ริชชี่บอกบ้านเรามีพ่อสองคน แต่ไม่มีเเม่เลย เป็นไปได้ยังไง.."

"หื้ม ไม่เห็นจะเเปลก เจ๋งดีออก ..แด๊ดดี๊สองบอกว่าบางครอบครัวก็มีพ่อคนเดียว บางครอบครัวมีแค่เเม่ บางครอบครัวมีพ่อเเม่ บ้างครอบครัวมีพ่อพ่อ บางครอบครัวมีแม่แม่ ..ครอบครัวมีหลายแบบนะผิง"

เจ้าอ้วนเฟ่ยพูดด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน...ไปจำคำพูดใครมาหนอ เจ้าลูกคนนี้..
ผมนอนฟังเเล้วอมยิ้ม..

"แต่ครอบครัวส่วนใหญ่มีพ่อกับเเม่.."

"เราแค่เป็นส่วนน้อย แด๊ดดี้บอก ส่วนน้อยแปลว่ามีน้อย ไม่ได้แปลว่าแปลก"

"ผิงจะไปบอกริชชี่อย่างนี้นะ"

"อื้อ บอกไปตามนี้นะ..และถ้ามีคนว่านาย มาบอกพี่ ..พี่จะจัดการให้นะ"

หือม์..ผมเหลือบมองเจ้าเด็กที่นอนพุงพลุ้ยอยู่ข้างๆ..
เป็นพี่ชายที่เอาการเอางานอยู่เหมือนกันนะนี่..

ถึงเเม้อาเฟ่ยจะห่างกับน้องชายแค่ 2 ปี แต่นั่นคงมากพอที่จะทำให้เขารู้จักสิ่งต่างๆ..
ผมอดมองเขาอย่างภูมิใจไม่ได้

"เหม่ยเหมยด้วยนะ.."

แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากอาหมวยคนเล็ก..เพราะหนูน้อยหลับไปก่อนแล้ว

"น้องหลับเเล้วล่ะ ..ไปต่อกันดั้มกันไหม"

"เอาดิ"

"พ่อไปด้วย."

และกองทัพ 1 แม่ทัพกับสองทหารเสือจึงค่อยๆย่องไปเอาโมเดลกันดั้มในห้องนอนมาต่อ..

..................................

"พี่กฤษณ์.. ทำไมบ้านถึงได้รกแบบนี้?! เศษยางนี้คืออะไร? เล่นดีดยางกันหรือไง แด๊ดดี้บอกเเล้วใช่ไหมไม่ให้เล่นกันอันตราย..แล้วนี้ลูกกินข้าวกันหรือยัง?!"

เจ้าสองเดินมองสภาพรอบห้องนั่งเล่นแล้วขมวดคิ้วจนยุ่ง

ชิบหาย!! ผมพาเด็กๆกินคอนเฟลกซ์แทนข้าวเที่ยงไปแล้วอะดิ...

"อย่าบอกนะ ว่ากินคอนเฟลกซ์แทนข้าวเที่ยง.."

ไม่อยากฟังก็จะไม่พูดจ้า...เก๊ากัวเเล้ว...
ผมพยักหน้า..

เจ้าสองมองผมอย่างดุๆทีหนึ่งก่อนจะพูดว่า

"เอ้า ใครอยากเรียนทำอาหารกับเเด๊ดดี้บ้างครับ~"

เจ้าสามทหารเสือยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน..
ผมอดอมยิ้มไม่ได้..ก็มันเล่นใช้มุกเดียวกันกับผมเลยนี่หว่า!

"ยิ้มไร พี่กฤษณ์.. พาลูกเก็บของเล่นก่อนเลยนะ.. เดี๋ยวเเด๊ดดี้เก็บของแปปนึงนะครับ"

ผมตะเบะมือรับคำสั่ง ก่อนจะพาเด็กๆเก็บของเล่นให้เรียบร้อย
เจ้าตัวยุ่งกระดี๊กระด๊ากันยกใหญ่ เพราะจะได้เข้าครัวกับเเด๊ดดี้สอง คุณพ่อผู้'น่ารัก' ของพวกเขา..

ส่วนบทยักษ์มาร เวลาดุลูก โยนมาให้กูตลอด!
ผมคิดในใจอย่างเซ็งๆ ..

เออการเป็นครอบครัว มันก็รวมถึงการแบ่งหน้าที่อะไรหลายๆอย่างด้วยแหละเนาะ..

ผมมองเจ้าสามทหารเสือที่วิ่งวุ่นอยู่ในห้องครัว
มองตัวเองที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาก๊วย ในมือถือตะกร้าของเล่น..

ไม่ได้หล่อเร้าใจเหมือนสมัยหนุ่มๆ..
แต่สภาพเหมือนตาลุงพ่อบ้านที่เหน็ดเหนื่อยจากลูกๆ..

ไม่ใช่พระเอกในนิยายรักที่แสนจะเท่ ทำอะไรน่าประทับใจเสมอ
แต่เป็นเพียง 'พ่อ'

พ่อธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง..

และถึงจะเป็นเช่นนั้น ผมกลับสุขใจอย่างยิ่ง




ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอน : พี่ชายคนโต

"แด๊ดดี้ไม่อยู่ 1 อาทิตย์..อาเฟ่ยเป็นพี่คนโต ดูเเลน้องๆแทนแดดดี๊นะครับ"

แด๊ดดี้สองหมอบหมายภารกิจสำคัญให้แก่ผม

"แน่นอนค้าบ"

ผมตะเบะ ทำท่าเหมือนกับที่แดดดี๊กิดทำประจำเวลาแดดดี้สองพูดอะไรยาวๆ

ผม เฟ่ย อายุ 7 ขวบ เป็นพี่คนโตของบ้านนี้เองครับ! แน่นอน พี่คนโต ทั้งเท่ ดูเป็นหนุ่ม เข้มเเข็งสุดๆ
ผมคิดแล้วอมยิ้มอย่างภูมิใจ..เเม้จะเป็นเจ้าผิงน้องชายที่ห่างกัน 2 ปีของผม ก็ต้องอยู่ในความดูเเลของผม..
น้องสาวตัวเล็กของผม เหม่ยเหมย ก็เหมือนกัน...

ผมคิดภาพตัวเองยืนเท่ๆเหมือนแด๊ดดี้กิด แล้วพาน้องๆตัวเล็กๆทำสวนหลังบ้าน..ทำอาหาร..ต่อกันดั้ม..
ผมเป็นเจ้าของบ้านเลยน้าา~ แค่คิดก็มีความสุขเเล้ววว

"อาเฟ่ย ลูกยิ้มอะไรน่ะ จัดกระเป๋าตัวเองหรือยังครับ?"
แดดดี้กิดถาม ก่อนจะมองผมด้วยสีหน้าสงสัย

"จัดกระเป๋าเหรอฮะ?"

"นี่ลูกคงไม่คิดว่าเราจะปล่อยให้ลูกๆสามคนอยู่บ้านกันเองใช่ไหม?"
แดดดี้กิดถามก่อนจะหัวเราะเสียยกใหญ่....อ้าววว นี้ผมเข้าใจผิดหรอกเหรอ

"เราต้องไปอยู่บ้านแดดดี้กิดที่ขอนแก่นเหมือนตอนซัมเมอร์เหรอฮะ! ผิงชอบที่นั่น~ ผิงชอบพี่แก้ว"
เจ้าผิงผิงรีบถามขึ้นอย่างดีใจ

"เอ๋..แต่เราเปิดเทอมอยู่เลยนี่ฮะ.."
ผมถามขึ้นอย่างสงสัย

"ลูกจะไปอยู่กับปู่กับย่า"
แดดดี้สองพูด และนั่นก็ทำให้เราสามคนหน้ายู่..เหม่ยเหมยเองก็เกือบจะร้องไห้ออกมา..(แม้ส่วนใหญ่น้องสาวผมจะร้องไห้อยู่เเล้วก็เหอะ)

บ้านปู่กับย่าไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกฮะ แต่พวกเราไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่
มันใหญ่เกินไป ไม่มีของเล่นและคนก็น้อยมากกกๆๆๆๆ ไม่เหมือนบ้านของเรา..

บ้านเราเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาๆ แต่มีสวนกว้างใหญ่อยู่หลังบ้าน
แดดดี้กิดบอกว่า หาบ้านมีสวนใจกลางกรุงเทพแบบเรายาก ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
ก็บ้านเพื่อนของผมแทบทุกคนมีสวนหมดเลยนี่ แถมสวนของทุกคนก็ใหญ่กว่าบ้านผมเสียอีก

แดดดี้สองเคยถามผมว่าอยากไปอยู่บ้านหลังใหญ่ๆเเบบเพื่อนๆบ้างไหม
แต่ผมกับน้องๆไม่สนใจบ้านหลังใหญ่ๆแบบนั้นหรอก

ก็พวกเราต้องไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่าเกือบทุกอาทิตย์
เรารู้ดีว่าบ้านหลังใหญ่มากๆๆๆๆๆๆน่ะไม่สนุกหรอก
เราวิ่งไล่จับกันก็ไม่สนุก เล่นซ่อนแอบก็หากันไม่เจอ ของเล่นก็ไม่มี เเถมคุณปู่คุณย่าก็ดูเหงามากๆๆๆ
ผมกับน้องๆลงความเห็นว่า เพราะบ้านของคุณปู่คุณย่าใหญ่เกินไป พวกท่านถึงเหงา
ลองได้มาอยู่บ้านของพวกเราสิ แค่วิ่งก็ชนกันเเล้วว ตู้เสื้อผ้าของผมก็ต้องแบ่งใช้กับเจ้าผิง
เราทะเลาะกันเรื่องแย่งป้อมปราการบ่อยมากๆๆๆ

มันเหนื่อยสุดๆๆ น้องชอบข่วนผมด้วย
แต่มันก็สนุกดี

ผมเดินขาลากเข้าห้องไปเก็บเสื้อผ้า โดยมีแดดดี้กิดคอยดันหลังอยู่

"เอ้า เจ้ารถไฟเฟ่ย ฉึกฉัก ฉึกฉัก~"

"รถไฟแดดดี้กิด~ ฉีกฉัก ฉึกฉัก~ "
เจ้าผิงเองก็ต่อหลังแดดดี้กิดมาเป็นขบวนรถไฟ

"รถไฟจะจัดของเสร็จไหมครับ..พี่กฤษณ์..อย่าพาลูกเล่นเพลิน"

เสียงแด๊ดดี้สองดังขึ้น เขาอุ้มเหม่ยเหมยพร้อมกับตะกร้าของเหม่ยเหมย
เพราะน้องเป็นเด็กผู้หญิง แล้วยังอายุน้อยที่สุด แด๊ดดี้เลยต้องจัดของให้น้องก่อน..

ผมเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าก่อนจะทิ้งตัวลงบนกองเสื้อผ้าดัง ตุ้บ!

"เฟ่ยเหนื่อยยย"

"เมื่อกี้ใครบอกแดดดี้สองว่าจะดูแลน้องๆได้ครับ ลุกเร็วกัปตัน!"
แดดดี้กิดพูดก่อนจะโอบพุงผมแล้วยกขึ้น มันทำให้ผมจั้กจี้ ผมชอบเวลาแดดดี้ทำแบบนี้ที่สุด >~<

"ผิงจะจัดเสร็จแล้วนะ~ ..เฟ่ยจัดหรือยัง"

เจ้าผิงพูดจบแล้วการแข่งขันของเราก็เริ่มขึ้น...

"นี้กางเกงในผิง!"

"ของพี่ตั่งหาก"

"แบทแมนของผิง"

"มันมีสองตัว! อันนี้ของพี่"

เราเถียงกันได้ 3-4 นาที ผมก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ผมใส่กางเกงในเเบทเเมน..งั้นตัวนี้ก็เป็นของผิงน่ะสิ!

"..เอ้อ..เฮียนึกออกละ นี้ของผิง พี่ใส่กางเกงในเเบทเเมนน่ะวันนี้"
ผมพูดอย่างอายๆ ส่วนน้องชายก็ยังคงขมวดคิ้วขัดใจ

"เฟ่ยขอโทษนะผิง"

ผมพูดกับน้องอย่างรู้สึกผิด พอดีกับที่เเดดดี้สองเดินเข้ามา

"ดีมากครับ..เราเข้าใจผิด เราก็ยอมรับ และขอโทษน้อง..เข้าใจผิดกันเฉยๆ พี่น้องกันให้อภัยกันได้ไหมครับ"

"ได้ฮะ"

ผิงผิงมองหน้าผมก่อนจะยิ้มกว้างให้ ผมเองก็ยิ้มกลับไปเช่นกัน

เมื่อจัดของเสร็จ แดดดี้สองก็มาตรวจความเรียบร้อยของเราทุกคน(รวมแดดดี้กิดด้วย!)
ก่อนที่เราจะโดดแข่งกันขึ้นรถ แล้วออกเดินทาง!

...................................

"ป๊ากับม๊า..สองฝากดูแลเด็กๆด้วยนะครับ"

แดดดี้สองพูดกับคุณปู่คุณย่า ในขณะที่เรากอดแข้งกอดขาแดดดี้ยุกยิกยุกยิก
หลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แดดดี้กิดกับแดดดี้สองก็กอดเราทั้งสามคนก่อนจะบอกลา..

ผมเศร้านิดๆ แต่ก็รู้ว่าจะขี้เเยไม่ได้
ก็ผมเป็นพี่คนโตนี่นา..

...................................

ตอนเช้าวันจันทร์คุณปู่ให้พี่คนขับรถส่วนตัวของท่านขับมาส่งพวกเราไปโรงเรียน
โดยมีคุณปู่นั่งมาด้วย

คุณปู่กับคุณย่ารักพวกเรามากๆๆๆๆ
ผมยังจำงานวันเกิดอายุ 6 ขวบของผมได้
คุณปู่คุณย่ารู้ว่าผมชอบขนมหวานมากกกก ท่านจึงสั่งขนมหวานฝีมือเชฟขนมหวานอิตาลีชื่อดังมาส่งให้ผมที่บ้านในปริมาณที่ผมกับน้องๆแบ่งกันกินเป็นอาทิตย์ยังไม่หมด!
ท่านบอกกับแดดดี้กิดว่า เพราะว่าเราเป็นหลาน ท่านจึงชอบเผลอตามใจทุกที
แดดดี้กิดไม่ชอบให้ท่านทำอย่างนี้ แต่ผมชอบ! น้องๆของผมก็ชอบ!

เมื่อมาถึงโรงเรียนพวกเราสามคนก็กอดลาคุณปู่
ก่อนที่พี่นิ่ม พี่เลี้ยงเด็กที่คุณปู่จ้างมาเพื่อดูแลพวกเราโดยเฉพาะจะพาน้องเหม่ยเหมยไปส่งที่ห้อง

ผมกับอาผิงแยกกันตรงทางเดินขึ้นห้อง

"ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีนะ ผิง"

ผมพูดแบบที่แดดดี้บอกพวกเราตอนเช้าเสมอ
น้องชายของผมเอียงคอ ก่อนจะพูดกลับมาว่า

"ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีนะ เฟ่ย"

..................................

"เฟ่ยย วันนี้ใครมาส่ง รถเท่จัง"

"เหมือนไอร่อนแมน"

"ช่ายย เหมือนเปี้ยบบ"

พวกเพื่อนๆของผมมารุมถาม..เอ๋..รถของคุณปู่อะนะเท่?! เห็นมีแต่ทรงยั่งงี้เต็มลานจอด..ดูเเก่ๆยังไงก็มิรู้

"คุณปู่น่ะ"

"เราเคยเห็นปู่เฟ่ยในทีวีด้วย!"

"เป็นดาราเหรอ?"

ผมขมวดคิ้ว..

"ไม่น่านะ..คุณปู่ดูไม่ค่อยชอบการแสดงหรอก คุณปู่เฟ่ยทำงานบริษัทน่ะ"

"คุณปู่ของเราเป็นCEO รถเเบบปู่เฟ่ยนะมีเป็นสิบๆคันจอดอยู่บ้านที่อเมริกา"
อเล็กซ์ เพื่อนร่วมห้องที่สุดเเสนจะรวยของผมเอ่ยขึ้น

"โหหหห..."
ทุกคนตื่นเต้นกับเรื่องของอเล็กซ์..รวมถึงผมด้วย!

"บ้านของเราก็ใหญ่มากๆๆๆด้วย บ้านเฟ่ยละเท่าไหน"
อเล็กซ์ถามก่อนจะจิ้มจึ้กลงมาที่พุงกลมๆของผม

"บ้านสองชั้น มีสวนหลังบ้านน่ะ"

"บ้านเราก็มีสวน ใหญ่มากๆๆๆๆ"

"โหหหห"
ทุกคนโห รวมถึงผมซึ่งโหตามด้วย..ไม่รู้ทำไมเหมือนกันฮะ..ได้ร้องไปพร้อมเพื่อน มันสนุกดี!

"สวนบ้านเรามีต้นไม้ประจำตัวเราด้วย! แดดดี้กิดพาเราปลูก"

"โหหหห"

เมื่อได้ยินเพื่อน 'โหหห' ผมก็ชักได้ใจ ..

"มีแปลงดอกไม้ที่เรากับน้องชายปลูกเป็นของขวัญวันเกิดน้องสาวด้วย!"

"โหหหห"

"มีนกฟลามิงโก้ขาหักด้วย!"

"โหหหห"

"มีปลาคาร์ฟ 12 ตัว ชื่อ แมวน้ำ,กุ๊งกิ๊ง,ออเรนจ์,เรนเดียร์,สุภัทรา,มะลิ,ใบเตย,หยดหมึก,ใบเงิน,ทองดี,มาร์ชเมลโล่,และก็...เหม่ยเหมย!"

"โหหหห"

จริงๆปลาคาร์ฟบ้านผมมี 11 ตัว แต่ผมเผลอนับน้องสาวไปด้วย แม้จะมานึกได้ทีหลังก็แก้ไม่ทันซะเเล้วง่ะ

"ยอมแล้ว! บ้านนายเจ๋งกว่าจริงๆ"
อเล็กซ์ยกมือขึ้นก่อนจะยอมถอยทัพกลับไป...หื้มม

ผมกับอเล็กซ์เป็นผู้นำในกลุ่มเด็กชายด้วยกันทั้งคู่
เราเรียนเก่งพอๆกัน แต่ผมแพ้เขานิดหน่อยเรื่องกีฬา เขาบอกว่าเพราะว่าผมตัวอ้วนเลยวิ่งช้า เขาไม่ถือเรื่องนี้
เขาจึงบอกว่าพวกเราเสมอกัน..ผมคิดว่าเสมอกันก็เท่ดี เลยไม่ได้เถียงอะไร

หลังจากเรียนเสร็จ ผมกับอเล็กซ์เดินไปซื้อไอศกรีมในโรงอาหารมาแบ่งกันกิน ผมเห็นน้องชายนั่งอยู่คนเดียวในโรงอาหารจึงเดินเข้าไปหา

"ไม่ไปเล่นกับเพื่อนเหรออาผิง"

"ริชชี่ไม่ให้เล่นด้วย"
น้องชายผมตอบก่อนจะเม้มริมฝีปาก...

"ผมบอกริชชี่แบบที่เฟ่ยบอก ครอบครัวเราไม่แปลก แต่ริชชี่บอกว่าแปลก..เขาบอกว่าผมเป็นตัวประหลาด"

"แปลก? แปลกเรื่องอะไรอ่ะ"
อเล็กซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆผมถามขึ้น

"ที่ครอบครัวเรามีพ่อสองคนไง"
ผมบอกอเล็กซ์ไปอย่างนั้น และเขาก็ร้อง 'อ๋ออออ'

"ไม่เห็นแปลกนะผิง คุณลุงของพี่ก็มีสวีทฮาร์ทเป็นผู้ชาย ลุงยังมีลูกเหมือนกัน"
อเล็กซ์พูดกับน้องชายผม ผมเห็นสีหน้าของน้องยังไม่ดีขึ้น...จะดีขึ้นได้ยังไงล่ะ เพื่อนๆไม่ให้เล่นด้วยยั่งงี้

"เอาไงดีเฟ่ย"

อเล็กซ์ชวนผมนั่งลง และเราก็กำลังสนใจปัญหานี้อย่างจริงจัง
จากประสบการณ์ของผม เด็กๆผู้ชายจะมีผู้นำกลุ่มเสมอ เหมือนผมกับอเล็กซ์..ถ้าผู้นำว่าไง เด็กส่วนใหญ่ก็ว่าตาม..

"ถ้าเราทำให้เจ้าหนูริชชี่ยอมให้เฟ่ยเข้ากลุ่มได้ล่ะ?"
อเล็กซ์ถาม ..

"เข้ากลุ่มเเต่ถ้าโดนว่า สู้ไม่เข้ายังจะดีกว่า"
ผมส่ายหัว ไม่ค่อยเห็นด้วย

"งั้นไปเล่นกับคนอื่น ไม่ต้องเล่นกับริชชี่"
อเล็กซ์พูด และผมเองก็เห็นด้วย

"แต่..คนอื่นที่เหลือก็มีเเต่เด็กผู้หญิง.."

"เล่นกับเด็กผู้หญิงไปก่อน..เด็กผู้หญิงไม่น่ากลัวหรอก"
ผมพูดปลอบใจน้องไว้ก่อนแม้จะไม่แน่ใจนักว่าเด็กผู้หญิงไม่น่ากลัวจริงหรือไม่

"งั้นระหว่างนี้พี่กับเฟ่ยจะคิดหาทางช่วยให้นะ"
อเล็กซ์พูดอย่างใจดี ก่อนจะเเบ่งไอศกรีมให้น้องชายผมถึงครึ่งหนึ่ง

.................................

"วันนี้เป็นยังไงบ้าง"

ผมถามน้องๆแบบที่แด๊ดดี้ถามเราก่อนนอนเสมอ ขณะกำลังหรี่ไฟโคมสีทองให้อ่อนลง

"..ผมโดนรังแกนิดหน่อยฮะ..ผมคิดถึงแด๊ดดี้กิดแด๊ดดี้สองด้วย ริชชี่เป็นเพื่อนผม แต่เขาเลิกเล่นกับผม"

"พี่กับอเล็กซ์ก็เคยเลิกเล่นกันนะ แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ไม่นานก็กลับมาเล่นด้วยกันเองแหละ..อย่าคิดมากไปเลย"
ผมบอกน้องชายก่อนจะห่มผ้าให้น้อง แบบที่แด๊ดดี้ชอบทำกับพวกเรา

"แล้วเหม่ยเหมยล่ะ"

"เหม่ยเหมยชอบกินส้มมากค่ะ คุณครูพาวาดรูปส้ม"
น้องสาวตัวน้อยนอนอยู่ตรงกลาง เธอวาดมือเป็นรูปส้มในอากาศ

"พี่ก็ชอบกินส้ม"

"เฟ่ยชอบกินทุกอย่าง"

"ง่าา มันก็จริง"

เราคุยกันเรื่องเพื่อนๆ เรื่องโรงเรียน แล้วก็มาคุยเรื่องเเด๊ดดี้
หลังจากเหม่ยเหมยหลับ เสียงของน้องชายก็ดังขึ้นในความเงียบ

"พี่ว่าเราประหลาดไหม"

ผมเงียบ ...สักพักจึงตอบน้องไปว่า



"เราแตกต่าง"



"แดดดี้บอกว่าทุกคนก็แตกต่าง"

"ถ้าเหมือนกันหมดคงน่าเบื่อแย่..ผิงผิงชอบอะไรอะไรน่าเบื่อไหมล่ะ"



"ไม่หรอก"



"นั่นล่ะ"



"..พี่"




"หือ?"



"..พี่ว่าแดดดี้จะกลับมาเมื่อไหร่?"



"..อาทิตย์หน้า ..คือวันจันทร์หน้าน่ะ แดดดี้บอก"





"..พี่"




"..."




"..พี่"




"..ว่าไง"




"วันนี้ขอบคุณนะ"




"..."




"..พี่"





"..."




"..ผิงรักพี่เฟ่ยนะ.. รักแดดดี้กิด แดดดี้สอง รักเหม่ยเหมยด้วย"




"..."




พี่ก็รักผิงนะ.. รักแดดดี้กิด แดดดี้สอง รักเหม่ยเหมยด้วย..

ผมคิดในใจ ก่อนจะผล็อยหลับไป..


ถึงจะอ้วนพุงกลมไปหน่อย แต่ผมเป็นพี่ชายที่ดีใช่ไหมฮะ

แด๊ดดี้...




ออฟไลน์ Pinkii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เด็กๆถูกเลี้ยงมาดีมากกกก  :กอด1: :กอด1:
หนูเฟ่ยเป็นเด็กดีมากก อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศโรงเรียนนานาชาติ ทำไมรวยกันอย่างงี้ลูกก
แบ่งมาให้ป้าบ้าง :hao6: :hao6:
มาต่อไวๆนะคะ  :z3: คิดถึงเด็กๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เด็กๆถูกเลี้ยงมาดีมากกกก  :กอด1: :กอด1:
หนูเฟ่ยเป็นเด็กดีมากก อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศโรงเรียนนานาชาติ ทำไมรวยกันอย่างงี้ลูกก
แบ่งมาให้ป้าบ้าง :hao6: :hao6:
มาต่อไวๆนะคะ  :z3: คิดถึงเด็กๆ  :กอด1:

ชอบมากกกกกก

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน Anynomous เองค่ะ! :pig4:

ตอนพิเศษที่ผู้เขียนจะทยอยนำมาลงต่อไป
จะเป็นตอนพิเศษเกี่ยวกับครอบครัวของพี่กฤษณ์กับสอง,ตอนของวินด์กับโจเซฟ และตอนของตั้ม สลับกันไปค่ะ

ช่วงเวลาไม่ได้ต่อเนื่องกัน (แต่ผู้เขียนจะบอกระยะเวลาไว้ในแต่ละตอนอยู่ค่ะ)

สำหรับแนวคิด Gay marriage นั้น ผู้เขียนเขียนมาจากประสบการณ์ในฐานะหลานสาวคนหนึ่งค่ะ
ญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งคู่ คบกันมาตั้งเเต่สมัยเรียน อยู่ด้วยกันมาตั้งเเต่ผู้เขียนยังไม่เกิด จนตอนนี้จะเกษียณอายุราชการแล้วค่ะ! (ตอนเด็กๆผู้เขียนนึกว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกัน และเป็นญาติผู้เขียนทั้งสองคนค่ะ (ฮา..ใสซื่อจริง))

ดังนั้นการที่ผู้เขียนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ว่าเพศไหน ก็สามารถมีความรักที่ยืนยาวไปจนถึงบั้นปลายชีวิตได้
ไม่ใช่เพราะเป็นพวก Romanticism แต่เป็นเพราะผู้เขียนได้เห็นตัวอย่างแบบ Realistic นั่นเองค่ะ(คุณอาใจดีทั้งคู่ และผู้เขียนสนิทมากค่ะ เพราะท่านชอบตามใจผู้เขียน ตั้งแต่เด็กๆนั่นเองง)

สุดท้ายผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ว่าจะเพียงหลงเข้ามา(ฮา)หรือชอบเรื่องราวที่ผู้เขียนถ่ายทอดนี้อีกครั้งค่ะ
รวมถึงคำชม คำตำหนิ ข้อคิดเห็น ความประทับใจต่างๆ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีค่ะ(โค้ง)

 :bye2:

Anynomous

ปล 1. ตอบคำถาม : ผู้เขียนไม่ได้คิดเรื่องตีพิมพ์ค่ะ ที่เขียนเพราะอยากเขียน เป็นเพียงงานอดิเรกค่ะ
ปล 2. : ตอนนี้มีงานเขียนเรื่องสั้นในนี้(งานอดิเรกอีกเช่นกัน) : ✈️ เมื่อผมสบตากับปีศาจ กับเร็วๆนี้วางแผนจะเขียนนิยายพีเรียดดราม่าแข่งขันระหว่างตระกูลค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2018 07:58:09 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0


ตอน : ทว่ามีความสุขยิ่ง

ผมคนต้มยำกุ้งในหม้อ ก่อนจะเหลือบสายตาไปดูความเรียบร้อยในห้องนั่งเล่น
เมื่อเห็นลูกๆกำลังนอนกลิ้งเกลือก(ขอใช้คำนี้กับเจ้าพวกลูกลิงนะครับ!)ทำการบ้านโดยมีพี่กฤษณ์คอยดูแลอยู่ ผมก็เบาใจขึ้น(นิดหน่อย..)

ก็แหงล่ะ เด็กวัยกำลังซน จะปล่อยให้หลุดพ้นสายตาไปไม่ได้
ผมที่เป็นคนคิดมากอยู่แล้ว พอมีลูกๆ ยิ่งทำให้คิดมากเข้าไปอีก..

จะสะดุดล้มอะไรหรือเปล่า จะเล่นอะไรอันตรายหรือเปล่า
ระวังมือเปียกไฟจะช็อต ระวังลื่น ดูน้องอย่าให้กลืนลูกปัด
อย่าไปเล่นแถวบ่อปลาคาร์ฟคนเดียว ...โอ๊ย และอื่นๆอีกเยอะบรรยายไม่หมด!

ห่วงตัวเองยังไม่เคยห่วงเท่านี้!

ลูกอยู่กับพี่กฤษณ์ผมก็วางใจได้แค่ครึ่งหนึ่ง
เพราะรายนั้นก็ชอบพาลูกเล่นอะไรห่ามๆ ปีนต้นไม้บ้าง เกมทำสงครามกระดาษบ้าง

เล่นแต่ละทีนี้ทั้งรกทั้งวุ่นวายบ้านสุดๆ
แถมพี่กฤษณ์ก็ไม่ค่อยมีเซ้นต์ด้านความละเอียดอ่อน จุดเล็กๆน้อยๆที่จะเป็นอันตรายต่อลูกได้แกก็มองข้ามไป
เราทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆบ่อยๆก็เรื่องพวกนี้นี่แหละ

'สอง เอ็งเนี่ยคิดมากไป..'

'พี่น่ะคิดน้อยไป'

อ้อ ลืมบอกไปครับ..ตั้งแต่เรามีลูกเนี่ย ไอ้พวกคำหยาบต่างๆที่เคยใช้ด่าเพื่อนฝูง มันลดไปกว่าครึ่ง
ยิ่งอยู่ในบ้านทั้งผมและพี่กฤษณ์ ก็ใช้คำพูดเพราะๆสุภาพ เพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูก

(จริงๆจะว่าเพราะ,สุภาพหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะหลายๆครั้ง(ส่วนใหญ่)เราก็พูดภาษาอังกฤษในบ้านไปเลย
ไม่ใช่ไม่อนุรักษ์ความเป็นไทยอะไรน่ะครับ แต่เด็กๆสามารถเรียนรู้ได้หลายภาษาตั้งเเต่เยาว์วัย
พอไปโรงเรียนเขาก็ต้องใช้ประจำอยู่แล้วด้วย สภาพเเวดล้อมที่เราหาให้เขาเป็นแบบนั้น เราจึงต้องส่งเสริมเขาในทุกๆด้านไปด้วย)


อย่างการทำอาหารเหมือนกัน..

เมื่อก่อนผมก็ทำเป็นไม่กี่อย่าง แรกๆตอนผมกับพี่กฤษณ์อยู่ด้วยกันใหม่ๆ
พี่กฤษณ์ได้กินแต่ข้าวหน้าไข่ข้นกับเบค่อนย่าง จนน้ำหนักขึ้น 4 กิโลใน 1 เดือน( กลายเป็นเสี่ยกฤษณ์ 5555)
และเขาขอร้องให้ผมทำอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะเขาก็อยากกินอาหารในบ้านฝีมือผมมากกว่าซื้อข้างนอก

ผมที่ตอนนั้นยุ่งกับงานสุดๆ จึงไปฝึกการทำอาหารพวกผัดผัก ผัดปลาอะไรเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
ภาวะโภชนาการของพี่กฤษณ์จึงดีขึ้นบ้าง(รวมถึงตั้งโปรแกรมออกกำลังกายให้พี่แกด้วย)

แต่พอเราวางแผนว่าจะมีลูก

เชื่อไหมครับว่าผมลงทุนไปเรียนทำอาหารทุกเสาร์อาทิตย์เลย..

คิดดูแล้วกันว่ารักใครมากกว่า! ลูกหรือพ่อมัน(ฮา!)

เมื่อต้มยำกุ้งเสร็จพร้อมไข่เจียว ผมก็เรียกทั้งลูกทั้งพ่อมาช่วยกันเตรียมจาน,ตักข้าว

สารภาพว่าตอนแรกผมไม่ชินเท่าไหร่
เพราะบ้านเรามีขนาดค่อนข้างเล็ก ห้องครัวกับห้องอาหารจึงเป็นห้องเดียวกัน
คือมีโต๊ะอาหารอยู่แถวที่ทำอาหารเลย..ผมมองว่ามันไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่พี่กฤษณ์บอกว่า บ้านใครๆเขาก็ทำกัน
ผมจึงโอเค.. (ใครๆไหนวะ..ขนาดบ้านพี่กฤษณ์ ห้องครัวกับห้องทานข้าวยังแยกกันเลย!)

"โหหห แดดดี้สองทำต้มยำกุ้งง"

"เหม่ยเหมยชอบล็อบสเตอร์"

"นี้ไม่ใช่ล็อบสเตอร์ครับ นี้คือ Shrimps (กุ้ง)"

"ล็อบสเตอร์คือกุ้งตัวใหญ่! ใช่ไหมฮะแด๊ดดี้"

"อืม..คืออย่างงี้นะลูก ล็อบสเตอร์กับกุ้งเป็นสัตว์คนละชนิดกัน หน้าตามันคล้ายกัน แต่กุ้งชอบว่ายน้ำ ในขณะที่ล็อบสเตอร์ชอบเดินครับ.."

ล็อบสเตอร์เป็นสัตว์ที่อยู่ในสายวิวัฒนาการระหว่างกุ้งกับปู..แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่ผมบอกพวกเขาเมื่อโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หากพวกเขายังสงสัยน่ะนะ!

หลังจากอาเฟ่ยช่วยพ่อกฤษณ์ตักข้าวใส่จานทุกคนจนเรียบร้อย
เราก็กล่าวขอบคุณมื้ออาหาร ก่อนจะลงมือทานข้าว..

และตามธรรมเนียมครอบครัว ไม่ว่าจะมาจากฝั่งครอบครัวผม หรือครอบครัวพี่กฤษณ์
เวลาทานข้าวจะเป็นเวลาของครอบครัวเสมอ..

ลูกๆจะเล่าเรื่องต่างๆของพวกเขาให้เราฟัง
ผมกับพี่กฤษณ์ค้นพบว่า เราสามารถฟังพวกเขาคุยจ้อถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนานทั้งวันโดยไม่เบื่อเลยสักนิด
สิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ ได้เรียนรู้ ได้สำรวจ

แมลงที่ค้นพบชนิดใหม่ๆ คุณครูที่ใจดีและใจร้าย
เพื่อนๆที่ชื่นชมและกลั่นแกล้ง การบ้านที่น่าสนุกและน่าเบื่อ
กันดั้มกับของเล่น เทรนด์การแต่งตัวของเด็กๆสมัยนี้ ชมรมกีฬาและดนตรี
บาร์บี้และเจ้าหญิง ...

หลังจากทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลาที่เด็กๆต้องอาบน้ำ ฟังนิทาน ส่งเข้านอน..

(พี่กฤษณ์เคยบอกผมว่าอยากให้สอนลูกล้างจาน แต่ผมจะรอให้โตกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวจานแตกบาดมือ แพ้น้ำยาล้างจาน นู้นนี้นั่นโน้น โอ๊ย...สารพัดเรื่องที่กลัว!...ส่วนป๊าก็เสนอให้เอาคนรับใช้จากที่บ้านมาอยู่ด้วย.. แต่ใครจะอยากให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ในบ้านกับลูกตลอด 24 ชั่วโมงล่ะ..จะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้.. โอย..กลัว!

(วิตกจริตเกินไปล่ะ! ไอ่สอง : เสียงพี่กฤษณ์))

เวลาอาบน้ำ ผมจะเป็นคนคอยดูแลลูกๆทุกคนเอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด
แม้ว่าในบ้านเราจะเปลี่ยนพื้นห้องน้ำให้เป็นกันลื่น แต่อ่างอาบน้ำที่เด็กๆชอบ เวลาเปิดน้ำจนเต็มยังมีความสูงมากกว่าลูกสาวคนเล็กของผมอยู่..ผมเลยต้องดูแลทุกขั้นตอน..ตั้งแต่ให้เจ้าสองแสบอาบให้เสร็จก่อน แล้วปล่อยให้เด็กๆไปแต่งตัว .. ส่วนผมก็อาบน้ำให้เหม่ยเหมยต่อ

ระหว่างที่เราอาบน้ำกัน งานล้างจานเลยตกเป็นของพี่กฤษณ์ไปโดยสมบรูณ์..

นับวันพี่แกยิ่งเหมือนตาลุงเข้าไปทุกทีแฮะ..ล้างจาน ถูบ้าน กวาดบ้าน ดูแลลูก ทำสวน!
แต่ผมเองก็ไม่ต่างกัน.. ทำอาหาร กวาดบ้าน จัดของ ดูแลลูก ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน! ขอบอกเลยว่างานสุดท้ายผมดุมาก(เหรออออ : เสียงพี่กฤษณ์)

และถึงแม้จะโดนไอ้ตั้มแซวบ่อยๆว่าผมโหดและพี่กฤษณ์เป็นลุงกลัวเมีย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลยครับ..เพราะผมกับพี่กฤษณ์แบ่งกันทำงานมากกว่า
ผมไม่เคยคิดอยากจะใช้พี่กฤษณ์งกๆ และไม่ค่อยอินกับการข่มเหงคนรักแบบในละครน้ำเน่าเสียด้วย..

ผมว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่แฟร์หรอกนะถ้ามีเเค่ฝ่ายเดียวที่ต้องทำทุกอย่าง

ในเมื่อก่อนอยู่ด้วยกัน ตอนคบกัน ก็สัญญากันไว้ว่าจะเเบ่งปันทั้งสุขและทุกข์
พี่กฤษณ์ที่เป็นคนรักษาสัญญา แกก็ทำของแกแบบนั้น แถมยังชอบทำเกือบทุกอย่างเเทนผม
มันจึงดูเหมือนแกเป็นพ่อบ้านที่โดนผมใช้งานสารพัด..ทำให้ไอ้ตั้มหยิบมาแซวเป็นประจำ

ทั้งที่จริงๆแกทำของแกเอง!

ตั้งเเต่คบกันบ้ายังไง ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยน ..
คอยโอบอุ้ม แบกรับ ..เหมือนกับว่าจะปกป้องเราได้อยู่เสมอ..

และตอนนี้แผ่นหลังของเขาได้ปกป้องอีกสามชีวิตน้อยๆเพิ่มขึ้นด้วย..

หลังจากอาบน้ำให้เด็กๆเสร็จ
ลูกๆสุดแสบซึ่งตอนนี้ตัวหอมไปด้วยแป้งฟุ้งก็เดินต่อเเถวกันเข้าห้องนอนเหมือนแพนด้าตัวน้อย

ห้องนอนในบ้านเรามีแค่สองห้อง(ในอนาคตตอนเหม่ยเหมยโตเป็นสาวเราต้องวางแผนแยกห้องแน่ครับ..)
ห้องหนึ่งเป็นของพี่กฤษณ์กับผม
อีกห้องที่ใหญ่กว่าเป็นของเด็กๆ

ลูกๆของผมนอนในเตียงบ้าน(คุณปู่โดนออดอ้อนให้ซื้อให้หลานเป็นของขวัญวันคริสมาสต์!)
เป็นเตียงขนาดสองชั้นที่ดัดเเปลงเป็นรูปบ้าน(มีบันไดขึ้นไปชั้นสอง) และถูกออกแบบมาเฉพาะให้มีสามเตียงย่อย

หลังจากลูกๆปีนขึ้นไปนอนเรียบร้อย ผมก็หรี่โคมไฟลง ก่อนจะเริ่มเล่านิทานให้ลูกๆฟัง

นิทานส่วนใหญ่ก็จำมาจากการ์ตูนดิสนีย์บ้าง แต่งเองบ้าง นิทานกริมม์บ้าง นิทานพื้นบ้านบ้าง
บางวันนึกครึ้มอกครึ้มใจหน่อยก็เอาหนังสือเล่มสีฟ้ามาอ่านให้ลูกฟังบ้าง..

แต่พอถึงตอนโรเเมนติกเด็กๆมักจะ

"Ewwww.. แดดดี้สองทำยังงั้นจริงๆเหรอฮะ.."

"แหวะะ.."

มีแค่ลูกสาวคนเดียวที่กระพริบตาปริบๆ อยากฟังเรื่องในเล่มสีฟ้า..

พูดง่ายๆคือเด็กๆไม่ค่อยอินกันหรอกครับ.. ถ้าเลือกได้พวกแกอยากฟังการ์ตูนมากกว่า
ก็ตามวัยนั่นแหละนะ..(สรุป..เหม่ยเหมยโตสุด!(ฮา))

หลังจากเล่านิทานจบไปเรื่องสองเรื่อง เด็กๆก็หลับกันเรียบร้อยครับ

ผมจูบราตรีสวัสดิ์ลูกๆ ก่อนจะปิดไฟโคม

เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ!

..................................

ผมลากร่างกายอันเหนื่อยล้าออกจากห้องน้ำมาในชุดคลุมก่อนนอน

ในแต่ละวันที่ผ่านไปมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ทั้งปัญหาที่ต้องจัดการ งานในบริษัท ผู้คนที่ต้องพบเจอ..

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ความเหนื่อยจากงานทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง(..เพราะมาเหนื่อยกับเจ้าพวกนี้เเทน!)

"ลูกหลับเเล้วเหรอ"
พี่กฤษณ์ถามก่อนจะกอดผมจากด้านหลัง

"อื้อ ..เหนื่อยชะมัด"

"เป็นยังไงบ้าง"
พี่กฤษณ์กับผมมักจะคุยกันก่อนนอนเสมอ ส่วนใหญ่ก็เรื่องลูกๆ ไม่ก็เรื่องงาน
เราให้คำปรึกษากันเเละกัน..ผมค้นพบว่าหากเรามีคู่ชีวิตที่เข้าใจเรื่องสายงานของเรา ชีวิตเราจะสะดวกสบายขึ้นมาก
เราสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือซึ่งกันเเละกัน

"ช่วงนี้สองยังไม่ค่อยมีอะไรหรอก..พี่กฤษณ์ล่ะ เรื่องอสังหาที่ถนนXXX สรุปให้พุฒิจัดการให้เเล้วใช่ไหม..?"

"อื้อ เขาจะเป็นธุระให้..พี่ก็จะตามดูๆนั่นล่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะซุกไซ้ซอกคอของผม

"ลูกกินนมนอนแล้ว..พี่ยังไม่ได้กินเลย.."

"กินเกินอะไรเล่า หมดมุกนั่นเเล้วตั้งเเต่เหมยหย่านมขวด!"
ผมพูดก่อนจะขำเบาๆ มุกนี้พี่แกเล่นตั้งเเต่ลูกยังต้องนอนดูดนม..คิดดูความหื่น!

"น่า.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะปลดสายเสื้อคลุมผมออก เผยให้เห็นผิวขาวเปลือยภายใต้ผ้าคลุม

"..หืม..ร้ายนะเรา..ทำไมไม่ใส่เสื้อนอนครับ..อยากให้พี่กินใช่ไหม"
พี่กฤษณ์ดันตัวผมลงที่นอนก่อนจะโน้มตัวลงหอมแก้มผมฟอดใหญ่..

เอ้อ..ข้อดีอีกอย่างของการที่เราไม่พูดคำหยาบในบ้าน..
คือเวลามีเซ็กส์มันโรแมนติกขึ้น!(ผมไม่รู้สึกว่าโดนด่าอีกต่อไป(ฮา))

แล้วพี่แกก็'ดูด'นม อย่างที่ว่าไว้จริงๆ

"..อือ..ดูดพอยัง..พี่กฤษณ์.."

พี่กฤษณ์ใช้ลิ้นดุนดัน ทั้งดูด ทั้งเลียอย่างหนักหน่วง จนยอดอกของผมชูชันขึ้นมา มันรู้สึกหวาบหวาม ผมเจ็บยอดอกนิดๆ แต่รู้สึกตึงๆมากกว่า ช่วงล่างของผมก็ปวดหน่วงไปหมด..

เดี๋ยวนี้ผมเวลาถูกกระตุ้นเล็กๆน้อยๆก็อยากให้พี่แกใส่เข้าไปเเล้วอ่ะ..
ไม่ต้องอารัมภบทมากก็ได้..งื้ออ ทรมาน!

พี่กฤษณ์เหมือนไม่ได้ยิน ยังคงดูดหน้าอกผมเสียงจ๊วบจ๊าบอยู่อย่างเมามัน

"..พี่กฤษณ์..พอละมั้ง..น้ำนมก็ไม่มีนะ"

"หืมม์ ทีลูกยังได้กินเยอะกว่าพี่"

"แล้วพี่จะกินเเต่นมสองเหรอ.."

"งั้นสองมากินนมพี่.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอาเจ้ากฤษณ์น้อย(ที่ขนาดไม่ได้น้อยเลย) ซึ่งตอนนี้มีน้ำสีขาวขุ่นเยิ้มอยู่ตรงปลายมาถูเบาๆกับหน้าท้องผม

"นมบ้าอะไร..ทุเรศ"

"จะกินไม่กิน"
ร่างสูงพูดก่อนจะใช้ส่วนห้วค่อยๆแทรกเข้าสู่ช่องทางของผม ก่อนจะค้างไว้อย่างนั้น..

"จะกินไหมครับ..ไหนขอร้องพี่สิ"
ผมรับรู้ถึงของอุ่นร้อนคุ้นเคยที่กดน้ำหนักลงตรงทางเข้า ทำเอาช่องทางด้านล่างของผมเต้นตุบๆ
ผมมองพี่กฤษณ์ด้วยสายตาวิงวอน..

"อือ..พี่กฤษณ์..กินครั..อ๊ะ!!!"

ยังพูดไม่ทันจบ ร่างสูงก็กระเเทกลำตัวเข้ามา เนื้อร้อนขยับเข้าออกเป็นจังหวะที่สอดรับประสานกัน
ผมพยายามเก็บเสียงเพราะกลัวลูกๆจะตื่น

แต่กับคนที่ไม่ได้คิดอะไรละเอียดอ่อนอย่างนั้นกลับเร่งเอาเร่งเอา

"อะ..อ..พี่กฤษณ์..เบาหน่อย"

"..ลูก..จะ..ตื่น"

และเมื่อผมพูดจบก็ดูเหมือนพี่แกจะคิดได้(พึ่งคิดได้) จึงลดความเร็วลงก่อนที่ในท้ายที่สุดจะเหลือเพียงนอนกอดผมนิ่งๆ

หอบเหนื่อย..ทว่าสุขใจ

"..มีลูกก็ลำบากเหมือนกันเนาะ"
พี่กฤษณ์กระซิบ ผมพยักหน้ารับเบาๆ

"แผนที่วางไว้ว่าจะสร้างห้องแยกให้เหม่ยเหมยตอนโตเป็นสาว
เรารีบสร้างแล้วให้เด็กๆย้ายไปอยู่นั่นกันก่อนดีไหม"
พี่กฤษณ์พูดอย่างติดตลก และผมหัวเราะ

"หรือไม่เราก็นานๆทีมีเซ็กส์ หรือเอาลูกไปฝากให้ปู่ย่าดูให้"

"แล้วบอกลูกว่าแดดดี้ไปทำงาน"

"หรือไม่เราก็สร้างห้องสตูดิโอในบ้าน มันเก็บเสียง.."

"แล้วพี่จะให้สองไปนอนบนไหน บนเปียโนตอนมีเซ็กส์เหรอ"

เราคุยกันเรื่องไร้สาระต่ออีกสามสี่ประโยค ก่อนที่พี่กฤษณ์จะหรี่ไฟโคม
เมื่อไฟดับลง และอ้อมเเขนแกร่งก็กอดผมแน่นยิ่งขึ้น

ผมปล่อยให้ตัวเองหลับตาลง

คืนนี้เป็นคืนที่เหน็ดเหนื่อยเช่นเคย
ทว่ามีความสุขยิ่ง..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2018 11:08:26 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบมากๆเลย
 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Chemeng

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งได้เข้ามาอ่านครับ ยอมรับเลยว่าหลงเสน่ห์ในความตรงๆ ซื่อๆ ของพี่กฤษณ์เหลือเกิน
 :haun4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เพิ่งจะเห็นว่ามีตอนพิเศษ(ทว่ามีความสุขยิ่ง)ยังหวานกันอยู่เหมือนเดิมเด็กๆน่ารักมากค่ะแล้วจะรออ่านตอนของตั้มนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
ตายแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ นาน ๆทีได้เข้าเล้า เจอเรื่องนี้ในหมวดจบแล้วว่าจะอ่านเรื่อย ๆแก้เครียดจากงาน สรุปเป็นว่าอ่านจบภายในวันเดียว(่ฮ่า ๆ)

เปิดเรื่องมาตลกคอมเมดี้ผู้ใหญ่ลีนางมามาก ไป ๆมา ๆกลายเป็นตัวละครเริ่มมีปมดราม่าชีวิต แต่ทำไมอ่านแล้วรู้สึกสมู้ทมาก ๆ
ชอบทุกตัวละคร ชอบพี่กฤษณ์ เจ้าสอง ชอบลำดับพัฒนาความสัมพันธ์ในส่วนของความรัก ชีวิตคู่ จนเห็นว่ามีลูกลิงเพิ่มเข้ามาตอนเสริม น่ารักมาก ๆ

ที่ชอบที่สุดคงเป็น(พระรอง)เจ้าตั้ม สองพี่น้องบ้านนี้แอบรักเพื่อนสนิทกันหมดเลย  รออ่านภาค Spin off หรือตอนพิเศษเล็ก ๆของโจเซฟกับวินด์ อยากรู้ว่าตอนเด็กกับตอนโตโจเซฟคิดอะไร555

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา อิ่มเอมหัวใจมาก ภาษาเหมือนปรับมาเรื่อย ๆจนเข้ารูปเข้ารอย(เยี่ยม ๆคนแต่ง)
รอและจะติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆไปนะคะ <3

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอนที่ 21.01: นักเลง


ผมนั่งเล่นเกมกดอยู่บนโต๊ะ

มิสเตอร์อดัมพล่ามเรื่องตรีโกณมิติ แต่ผมไม่ได้สนใจฟังนัก
ก็ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องรู้ว่าเราจะมองจากยอดหอคอยในมุมเท่าไหร่ จึงจะเห็นเสาธงนี่

พูดกันตรงๆ ผมไม่สนว่าไอ้เสาธงเวรนั่นมันจะมีอยู่หรือไม่ด้วยซ้ำ

บทเรียนงี่เง่า
คนตั้งใจเรียนก็มีแต่คนโง่

คนโง่..ผมเหลือบตาไปมองไอ้คนข้างๆที่ตั้งอกตั้งใจเรียนเสียจนเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

แหม..พ่อนักเรียนดีเด่น!

สอบได้ที่ 1 เสมอ.. ความประพฤติไม่เคยขาดตกบกพร่อง..
ไอ้ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั่นไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็ขัดใจชะมัด..

..วินด์..

ไอ้หมอนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องย้ายที่นั่งมานั่งหน้า แม้จะเกลียดการทำตัวเป็นเด็กหน้าห้องมากแค่ไหน

อยากรู้ว่ามันทำอะไรบ้าง..อยากเห็นหน้า..

ก็ผมสนใจหมอนี้นี่

ทำไงได้..เพื่อนร่วมห้องที่มีอยู่ไม่ถึง 20 คน .. อยู่ด้วยกันมาตั้งเเต่เด็กกว่าครึ่ง
อย่างไอ้คนตระกูลสุวรรณกุลที่แอบหลับในคาบตลอดนั่นไง.. หรือจะไอ้ตาตี่ที่ชอบทำท่าเป็นนักเลงเดี่ยวคนนั้น
เรารู้จักกันมานาน ผ่านชื่อเสียงของครอบครัวเเละชื่อเสียงของแต่ละคน..

แล้วก็ไอ้พวกเพื่อนที่คอยชื่นชมผม..

มันก็เหมือนๆเดิม ซ้ำๆเดิม..

จนกระทั่งผมขึ้นเกรด 7 ..และได้เจอกับเขา..



"ขอโทษนะครับ..ห้องปฐมนิเทศสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นไปทางไหนเหรอครับ"
ผมหันไป เหลือบมองเด็กชายผู้มาใหม่ ..ดวงตาสีดำจ้องมองผมผ่านใบหน้าราบเรียบ

ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ชื่นชม สงสัย..

ไม่มีท่าทีอะไรทั้งนั้น..เขาไม่รู้หรือไงว่าผมเป็นใคร

"เอ่อ..ขอโทษนะครับ.. คุณพอจะรู้ไหมว่าห้องปฐมนิเทศสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นไปทางไหน?"
เขาเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ..ผมพยักหน้า

ก่อนจะนึกอยากทำลายสีหน้าราบเรียบนั่นทิ้งซะ

ไอ้ท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึกนั่น..

"เดินตรงไป จะเห็นอาคารรูปตัวยู ขึ้นบันไดไป ชั้นสอง เดินตามทางเชื่อมตึกจะไปถึง"
ผมบอกทางไปห้องเก็บอุปกรณ์การแสดงของชมรมละครเพลง ก่อนจะยิ้มกริ่ม

เขาขอบคุณ แล้วเดินจากไป..

ผมเดินไปอีกทางเพื่อไปยังห้องปฐมนิเทศของนักเรียนชั้นมัธยมต้น..



"โจเซฟ ถ้านั่งจ้องหน้าวินด์ทำให้เธอเรียนเก่งได้เหมือนเขา ครูจะไม่ว่าเลยนะ"

มิสเตอร์อดัมพูดขึ้นด้วยความเหลืออด.. ผมยักไหล่

"ถ้าจ้องหน้าครู ผมจะโง่เหมือนครูไหมละฮะ"
ผมพูดแล้วเพื่อนร่วมห้องก็โห่แซว มิสเตอร์อดัมส่ายหน้า ผมจ้องเขากลับอย่างท้าทาย..

ไม่ว่าใครหน้าไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น..

แม้กระทั่งคุณครูก็ไม่กล้าดุผมมากนัก..เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของครอบครัวผม
มันเป็นอย่างนี้มาตั้งเเต่เด็กๆ ..จนผมไม่รู้ว่าจะประพฤติตัวเป็นเด็กดีไปเพื่ออะไร..

ในเมื่อต่อให้ทำตัวเหลวเเหลกอย่างไรก็ได้รับคำชมอยู่ดี

..และวินด์ก็ยังไม่สนใจผม

เขาจ้องไปที่กระดานราวกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้
จ้องไปที่มิสเตอร์อดัมเหมือนว่าเขากำลังจะพูดสิ่งสำคัญที่สุดในโลกออกมา

ผมถอนหายใจ ยอมแพ้ต่อมิสเตอร์อดัมและตรีโกณมิติ
หันมาสนใจเกมกดในมือต่อ

...................................

"ตุบ"

ผมกับเเก๊งค์เพื่อนๆของผม อันประกอบด้วย พอร์ชและมาร์คัส เดินมายังโต๊ะอาหารที่วินด์นั่งอยู่
ก่อนจะวางจานลงไป

และเด็กชายผมดำก็ลุกขึ้น

"จะไปไหน"
ผมถาม เสียงห้าว(แม่นมผมบอกว่าเป็นเพราะผมแตกเนื้อหนุ่ม..บ้าชะมัด!)

"ผมอิ่มแล้ว"
วินด์พูดก่อนจะมองจานอาหารของตน มันลดลงไปไม่ถึงครึ่ง

มาร์คัสมองผม เขาคอยดูว่าผมจะทำอย่างไรต่อ..

"นั่งลง นายต้องอยู่คอยเก็บจานให้พวกเราสามคน"
ผมพูด ทำท่าวางอำนาจ รอให้เขาโต้เถียง

"ตกลง"
เด็กชายผมดำมองผมด้วยแววตาสีดำไร้ความรู้สึก ก่อนจะนั่งลงเงียบๆ

เขาไม่เถียง ไม่สู้ ..ไม่ทำอะไรทั้งนั้น..
มันยิ่งทำให้ผมขัดใจ..

วิธีตอบโต้ของเขามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ได้รับความสนใจขึ้นไปอีก

..สำหรับคนที่ทุกอย่างหมุนรอบตัวผมมาตั้งเเต่เด็ก
การที่เขาทำแบบนี้ ทำให้ผมแทบคลั่ง..

นับตั้งเเต่นั้นผมจะหาโอกาสกลั่นแกล้งเขาอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะรูปแบบไหน..

เอาขยะไปยัดใต้โต๊ะ ยัดในล็อกเกอร์ ใช้ให้ทำเวรให้ ขังไว้ในห้องน้ำ..
และอื่นๆอีกสารพัด..

แต่ไม่มีคำขอร้องกลับคืนมา..
เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากวิงวอน

กลับใช้ชีวิตไปตามปกติเหมือนการกลั่นแกล้งของผมมันไร้ค่า

"นี่..โจเซฟ..ฉันว่าเราพอดีไหมวะ..ไอ้วินด์มันดูไม่ได้สนใจเลย ต่อให้เราจะฆ่ามันอยู่แล้วก็เหอะ"
พอร์ชพูดกับผมในวันหนึ่ง

"หมอนั่นน่าเบื่อออก เราก็ไม่ใช่เด็กประถมแล้วนะ..ทำตัวหล่อๆไปให้สาวๆกรี้ดยังจะดีกว่า"
มาร์คัสพูด

ผมฟังเพื่อนรักทั้งสอง..ทำตัวหล่อๆไปให้สาวๆกรี้ดอย่างนั้นเหรอ..

แล้วใบหน้าเรียบเฉยของวินด์ก็โผล่ขึ้นมา

..ถ้าหมอนั่นยิ้มให้ผมบ้าง คงจะดีไม่น้อย

ผมพยักหน้าให้เพื่อนทั้งสอง

"..ก็ตามใจ"

ส่วนตัวผมนั้นมีแผนในใจ..
มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าผมเข้าหาเขาโดยวิธีอื่น..

...................................

แต่เขาไม่สนใจผม!

ยิ่งช่วงหลังๆความสนใจของเขาทั้งหมดพุ่งไปอยู่ที่ไอ้เด็กผมปรกหน้าปรกตาที่ดูเหมือนจะไม่โตสักทีนั่น!
ที่ผมรู้ก็เพราะว่าผมสนใจเขาอยู่ตลอด!

ไม่เข้าใจเลย..ทำไม..
หงุดหงิด..หงุดหงิดเว้ยย!!

"ปัง!!"
ผมเตะโต๊ะของวินด์จนล้ม หนังสือกับสมุดหล่นออกมาจากใต้โต๊ะของเขา
แต่ผมไม่สนใจ อะไรก็ได้..ใครก็ได้

ผมต้องระบายมันออกไป ความโกรธนี้..

"รำคาญว่ะ คนจะหลับจะนอน"
เสียงเรียบๆเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินมาเก็บหนังสือกับโต๊ะขึ้นให้วินด์..
เจ้าของโต๊ะไม่อยู่ในห้อง..มันยังช่วยกันขนาดนี้..

นี้ไปสนิทกันตอนไหน..ทำไมผมไม่รู้?!

"อย่ามายุ่ง ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง"
ผมพูดก่อนจะมองคนร่างเล็กที่ยักไหล่ไม่รู้หนาวไม่รู้ร้อน..

"ไปเตะโต๊ะที่บ้านนายสิ ถึงจะเป็นเรื่องของนายคนเดียว"

"คิดว่าเป็นตระกูลใหญ่ในไทยแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ"
ผมผลักเขา ร่างเล็กเซน้อยๆ แต่ยังคงยืนอยู่

"นอกจากลำดับตระกูลแล้วไม่มีอย่างอื่นคุ้มกะลาหัวนายรึไง โจเซฟ"
หน็อย..ไอ้สล็อทจอมขี้เกียจ..มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมนักนี่...มาเรียนก็แค่เอาคอนเนคชั่นในอนาคตไม่ใช่หรือไง!

"ไอ้นี่!!"
ผมเงื้อหมัดจะต่อยหน้าคุณหนูๆของมัน และเกือบจะทำสำเร็จแล้ว..

ถ้าวินด์ไม่เข้ามาขวางเสียก่อน

..และนั่นเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมเห็น
ในแววตาของเขามีมากกว่าความว่างเปล่า..

มันเกรี้ยดกราด
ลึกล้ำ..ไม่เหมือนเด็กอายุ 13

และชั่วครู่หนึ่งนั้น..ผมหวาดกลัว

"อย่ายุ่งกับสอง"

วินด์พูดกับผม..ส่วนสูงเขาไม่ต่างจากผมนัก..ถือว่าสูงในมาตรฐานเด็กไทย เมื่อเขาพูด ดวงตาสีดำนั้นจ้องผมอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้..

ไม่เหมือนกับตอนที่ผมทำร้ายเขา..

และนั่นยิ่งทำให้โทสะของผม ซึ่งไม่รู้มาจากไหน
คุกรุ่นยิ่งขึ้นอีก..

"แม่งเอ๊ย!!!"
ผมพูดก่อนจะเหวี่ยงหมัดออกไป

"ผลั่ก!!"
แรงหมัดจากวินด์มาถึงผมก่อน..และรสชาติของเลือดเค็มๆก็ออกมาที่ปาก

"ไอ้วินด์ มึงทำอะไรวะ?!"
มาร์คัสเพื่อนผมรีบกระโดดเข้ามา ส่วนพอร์ชก็เข้าไปต่อยวินด์..
ทางด้านสองผมเห็นแวบๆว่ามีเด็กชายร่างสูงผิวขาวมาลากเขาออกจากวงก่อน..

"เฮ้ยพวกมึง อย่าทำมัน"
ผมพูดกับพอร์ชเเละมาร์คัสที่กำลังรุมวินด์อยู่

และเขาดูไม่ยอมอีกต่อไป

"กูจะทำเอง"

ผมพูดก่อนจะดึงแขนวินด์ขึ้น แล้วลากเขาออกไป

...................................

"ปล่อย"

"ปล่อยนะเว้ยย!"

"ไม่"
ผมพูดก่อนจะเหวี่ยงเขาลงในห้องเก็บอุปกรณ์พละ

"มึงเป็นบ้าอะไร"
วินด์พูดก่อนจะเงยหน้าถามผม แววตาของเขามีแต่ความเจ็บปวด

อยู่ๆผมก็เจ็บเหมือนกัน...

"มึงน่ะสิบ้า..ต่อยกูทำไม"
ผมถาม มือยังลูบปากที่มีเลือดซิบ

"กูไม่ฆ่ามึงก็ดีแล้ว"
วินด์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ..แบบที่ผมไม่คิดว่าเด็ก 13 จะพูดได้

"หึ..มึงไม่เคยเเม้แต่จะสู้..กูแตะไอ้สองนิดหน่อย..ถึงกับร้องเลยเหรอวะ"
ผมแค่นเสียงหัวเราะ ทั้งโกรธ ทั้งไม่เข้าใจ ..แต่ก็อยากจะเหยียบย่ำ อยากจะทำลายไอ้ท่าทางเหนือกว่านั้นทิ้งซะ

"ลองมึงทำอีกสิ..กูจะทำให้ดู ว่า 'สู้' ของจริงน่ะเป็นยังไง.."
วินด์พูดก่อนจะ'ยิ้ม'ให้ผม

อา..ให้ตาย ผมไม่ได้ต้องการรอยยิ้มแบบนี้

"แต่ไอ้พวกลูกคุณหนูคงจะไม่รู้จักหรอกมั้ง..'สู้'แบบพวกสวะน่ะ"
วินด์ยังคงพูดต่อ แววตาทั้งเจ็บปวดและเหยียดหยาม

ผมไม่รู้ว่าแววตาเหยียดหยามนั้นมองมาที่ผม หรือมองไปที่ตัวเขาเองกันแน่..
ก็เพราะตอนทำสีหน้าเช่นนั้นเขาดูเจ็บปวดเหลือเกิน..

ผมที่คาดหวังจะได้เห็นสีหน้าที่หลากหลายของเขา..
มันมากเกินกว่าที่ผมจะคาดคิด..

ผมเม้มปาก

"ถ้ามึงคิดว่าทำอะไรกูได้ก็ทำเลย..มึงมันก็แค่ลูกนักการเมืองกระจอกๆ ครอบครัวกูใหญ่กว่าเยอะ"
เมื่อหาอะไรเถียงสู้ไม่ได้ ผมก็ยกลำดับชั้นทางครอบครัวขึ้นอ้าง
แต่วินด์ไม่สนใจ.. เขายัง'ยิ้ม'ให้ผม

ไม่มีเสียงตอบรับ.. แววตาของวินด์กลับไปราบเรียบดังเก่า
เมื่อผมพูดถึง'ครอบครัว'ของเขา

"กูไปได้ยัง"
ร่างบางกว่าพยายามยันตัวเองขึ้นจะเบาะยิม

ผมดึงเเขนเขาให้ยืนขึ้น

"มึง..เจ็บอะไรมากไหม"
ผมพยายามมองหารอยช้ำที่แขนและขาของเขา

วินด์ส่ายหัว

"เพื่อนมึงต่อยไม่เป็น..มึงก็เหมือนกัน..ต่อยไม่ใช่แค่การเหวี่ยงหมัดส่งๆ"

"มึงแค่อยากต่อยเพราะมึงมันนักเลง"
วินด์พูดกับผมก่อนจะเดินออกจากห้องเก็บอุปกรณ์พละไป




"มึงต่างหากที่นักเลง"

ผมพูดตามหลัง กลอกตา..มือจับปากที่เลือดเริ่มแห้ง



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

เขามาอ่านตอนพิเศษเรื่อยๆ

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอนที่ 21.02 :อยากได้

"Hey honey..เหม่ออะไรอยู่คะ..ช่วงนี้เหนื่อยเหรอ"

สาวสวยผู้มีทรวดทรงเย้ายวนเดินมา ก่อนจะใช้วงแขนของเธอคล้องคอผม
ผมจูบเธอก่อนจะผละออก

"เปล่าหรอก เจน.."
ผมโกหกเจนนิเฟอร์ แฟนสาวของผมไป.. ช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมกระวนกระวาย ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ว่างทีไรก็คิดถึงแต่ใบหน้าของคนดื้อรั้น ..แววตาโศกเศร้าแปลกๆของเขา มันดึงดูดผมไม่ต่างจากเมื่อยังเด็ก

..ตอนเด็กๆก็แค่คิดอยากจะเเกล้ง..

ผมเหลือบมองข้อความในโทรศัพท์

'..ถ้าถึงที่พักแล้วคุณไลน์ตอบผมด้วยนะ'

ผ่านไป8ชม.แล้ว..เขายังไม่ตอบผมกลับเลย

หรือผมจะส่งสติ๊กเกอร์ไปดีไหมนะ..

"หืมม โจ..นี่คุณกล้ามีกิ๊กหรอคะ"
เจนนี่พูดก่อนจะบดเบียดช่วงบนเข้าหาผม ผมละสายตาจากโทรศัพท์..

"เพื่อนน่ะ"
ผมพูดก่อนจะใช้ฝ่ามือขยำเนินอกตรงหน้าแรงๆหนึ่งที สาวเจ้าหัวเราะ

"ไม่เอาแล้วน้า..เจนเหนื่อย..เดี๋ยวเลขาคุณเข้ามาเจออีก..ครั้งที่แล้วเจนอายมากเลยรู้ไหม"
เจนนี่หัวเราะก่อนจะบิดจมูกผมเบาๆ ผมเองก็หัวเราะ

ผมกับเจนนี่..หรือเจนนิเฟอร์ คบกันมาตั้งแต่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่อังกฤษ
(ผมเรียนที่ไทยจนถึงแค่มัธยมต้น และครอบครัวก็ส่งไปเรียนต่างประเทศเหมือนหลายๆครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นผม)

เธอเป็นสาวไฮโซ ครอบครัวเรารู้จักกัน
และแวดวงสังคมเราก็ไม่ต่างกัน

ด้วยเเรงเชียร์จากเพื่อน ครอบครัว และความเหมาะสม (และผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอมีเสน่ห์ เซ็กซี่ เย้ายวนใจขนาดไหน) ผมจึงคบกับเธอ..

ใครๆก็บอกว่าเราเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันมากที่สุด

..มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

--ตึ้ง~--

'ผมถึงแล้วล่ะ โทษทีไม่ได้ตอบ หาที่พักยากมากเลย. T^T'

ผมยิ้มเมื่ออ่านข้อความของเขา..วินด์ถูกสั่งให้ไป'พัก'งานอยู่ญี่ปุ่น
เขาเรียนจบกฎหมายที่นั่น..ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง.. ที่โตได..มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

ไอ้เพื่อนของผมคนนี้นี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย..

คนบ้าอะไรเก่งชิบหาย!

จริงๆด้วยความสามารถและอะไรหลายๆอย่าง เขาไม่ควรมาเป็นแค่'ลูกรัก'นักการเมืองด้วยซ้ำ
ผมมองในมุมมองคนนอกยังรู้ว่าคนอย่างเขาควรไปได้ไกลกว่านี้..

บริษัทระดับโลกมากมายคงอยากจะซื้อตัว..

แต่ทำไมกันนะ..ทำไมเขาถึงได้'ยึดติด'กับ'พ่อ'ของเขาเหลือเกิน..

"ขมวดคิ้วอีกแล้วว หื้ม เอาเป็นว่าเจนไม่กวนแล้วดีกว่า..เดี๋ยวช่วงบ่ายเจนจะไปช่วยแคลร์เลือกซื้อเสื้อผ้าให้เจ้าหนูอเล็กซ์ด้วยย"
แฟนสาวของผมพูดก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างน่ารัก ผมจูบเธออีกรอบก่อนที่มือจะค่อยๆซุกซนไปตามแผ่นหลังของเธอ

"นี่แนะ..ตีมือเลย~ อดใจไว้นะ..เจอกันเย็นนี้ค่ะ ที่รัก"
เจนนี่พูดก่อนจะขยิบตาให้ผม ผมยิ้ม..

เมื่อเธอออกจากห้องไป ผมจึงกลับมาให้ความสนใจกับข้อความในไลน์ต่อ

'..ที่พักเหรอ..คุณอยู่ไหนนี่ ผมมีเพื่อนที่ญี่ปุ่น โรงเเรมของผมมีสาขาที่นั่นด้วย..'

..ให้ผมช่วยไหม
ผมไม่ได้พิมพ์ต่อ แต่รอเขาตอบ..

..แถวโตไดน่ะ ผมเช่าห้องอยู่ ไม่กี่เดือนหรอก คุณไม่ต้องห่วง

โตไดเหรอ..ไปทำอะไรตรงนั้น?! จะกลับไปเรียนอีกหรือไง
ผมขำก่อนจะส่งสติ้กเกอร์ล้อเลียนไปให้

ผมถนัดแถวนี้มากกว่านี่..นี้มันถิ่นของผม..ฤดูใบไม้ผลิก็สมมติเอาว่าเป็นแคนาดา O_o?!
เจ้าตัวส่งสติ้กเกอร์เศร้าสร้อยมาให้ผม..

ผมสังเกตว่าวินด์ติดการใช้ Emoticon แสดงอารมณ์บ่อยมาก
ซึ่งน่าขำ เพราะในชีวิตจริง เขาเเทบไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าเลย

น่ารักดีเหมือนกันนี่นา...

ถ่ายรูปห้องให้ดูหน่อย

ผมเผลอพิมพ์ส่งไป ..ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่า

มันอาจไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม..

แต่สักพัก เจ้าตัวก็ส่งภาพกลับมา

..ในภาพเป็นห้องสะอาดสะอ้านขนาดเล็ก ดูแล้วน่าจะ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ.. ไม่มีทีวี ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายนัก..ผมขัดใจ..

ไปเข้าค่ายทุรกันดารหรือไง คุณจะอยู่ได้เหรอ

ใครจะไปรวยเหมือนคุณล่ะ ผมต้องอยู่ตั้งสามเดือน ค่าครองชีพที่นี้เเพงอย่างกับอะไรดี ไม่ไปเช่าแคปซูลนอนก็บุญล่ะ O^O

แล้วนี่คุณจะอยู่ทำอะไรตั้งสามเดือน

หึหึ..ไม่อยากจะอวดน่ะ แต่Professor ที่นี้เขาติดต่อให้ผมมาเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนน่ะสิ..
ว่าเเล้วเขาก็ส่งสติ๊กเกอร์'หรูหรา..ข้าเยี่ยมที่สุด!'มาให้ ..ผมหัวเราะอีกครั้ง

แหมม เก่งครับเก่ง เก่งมากเลย ไอ้เด็กเก็บกด

O_o?!!

..คุณเลิกใช้Emoticonได้ไหมนี่...มันดูน่ารักเกินไปแล้ว!!

ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นไหม..ก็เขาไปเรียนที่นั่นช่วงมหาลัย..
หรือมันจะเกี่ยวข้องกับความแบ๊วส่วนตัวของเขาเอง ในแบบแปลกๆ เพี้ยนๆ ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ?

หรือไอ้พวกคนอัจฉริยะมันต๊องแบบนี้?!

อ้ะ นี่ผมกวนเวลางานคุณหรือเปล่า

กวน..ผมคิดในใจ ก่อนจะมองเลขาที่ยืนรอรายงานผมอยู่

ไม่หรอกก ช่วงนี้ผมว่าง

"คุณโจเซฟคะ?"

"ไม่เห็นรึไงว่าผมยุ่งอยู่"
ผมพูดกับเลขา และเธอก็มองผมอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะวางรายงานไว้บนโต๊ะ

..ก็แค่ดูแลโรงแรมกับสาขา..มันจะไปมีอะไรนักหนา?!

แต่ผมไม่ว่างซะเเล้วล่ะ..เดี๋ยวจะออกไปดูหนังสือแบบเรียนก่อน ต้องเตรียมตัวสอน *~*

อ่าว..ไหงเป็นงั้น..

ก็เขามีความรับผิดชอบแตกต่างจากผมลิบลับ!!

ผมกดโทรศัพท์..

"อื้อ..ว่าไง"
เสียงของเขาผ่านมาตามโทรศัพท์..และผมคิดอะไรไม่ออกเลย

"เปล่า..ผมลองโทรดู"

"อ๋อ..โทรก็ได้นะ.. ผมก็ขี้เกียจพิมพ์ ..ว่าแต่ คุณว่างจริงๆใช่ไหมเนี่ย"

"ว่าง"

"อืมม ..เอ่อ.. คุณอยากดูห้องสมุดของที่นี้ไหม"

นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่า..ว่าเขาพยายามต่อบทสนทนากับผม?
ไม่ใช่ว่าหลอกให้หัวใจผมพองโตคนเดียวหรอกนะ?

"อยาก"

ผมพูด ..แล้วสักพักเขาก็เปลี่ยนเป็นวิดิโอคอล

ผมมองเขาผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้มีรอยยิ้มกว้าง..
เหมือนกับว่าที่นั่นเป็นที่ของเขา..อย่างที่เขาบอกจริงๆ

"นี่ Professor yamada.. "
เขาหันไปพูดภาษาญี่ปุ่นกับคนหนุ่มที่ชื่อยามาดะนั่น..มีชื่อผมหลุดมาให้ได้ยินด้วย คงกำลังแนะนำตัวผม..

ว่าแต่..ไอ้ศาสตราจารย์ยามาดะนี้ ไหงหน้าตาละอ่อนกว่าผมอีกละวะ?!

"ผมนึกว่าศาสตราจารย์จะมีอายุกว่านี้เสียอีก"

"เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม..เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะ..ถ้าผมไม่ได้กลับไปทำงานที่ไทย..ผมก็คงอยู่ในตำแหน่งของเขา"

ร่างสูงพูดก่อนจะยิ้มให้ผม..ผมมองเห็นแววตาเขาไม่ชัดเพราะภาพมันค่อนข้างเบลอ
แต่ต่อให้เห็นชัดก็คงไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรอยู่ดี..

เขาเหมือนสุนัขจิ้งจอก

ปราดเปรียว อิสระ ฉลาด เจ้าเล่ห์.. ทว่าโดดเดี่ยว

"คุณคงไม่ได้พักในห้องแคบๆนั่นกับProfessor Yamada ใช่ไหม"
ผมถาม ขมวดคิ้ว

"ไม่หรอก ผมเกรงใจเขาน่ะ! แค่นี้เขาก็ช่วยผมมากพอแล้ว"
ว่าแล้ววินด์ก็พาผมเดินทางไปดูห้องสมุดของโตได โดยมีไอ้ศาสตราจารย์หน้าละอ่อนตามมาด้วย

พวกเขาดูสนุกสนานที่ได้อยู่ท่ามกลางตำราคร่ำครึเหล่านั้นเสียจริง..

ผมหาวหวอด

"คุณเบื่อแล้วเหรอ"

"สุดๆ"
ผมพูด ..ถ้าไม่ติดว่าได้เห็นหน้าคุณ ผมคงกดปิดไปแล้ว

"งั้นผมไปล่ะ"

---ตื้ดดด---

มันกดปิดจริงๆครับทุกคน!

โอ้...ไม่เคยมีใครกล้าทำกับผมอย่างนี้มาก่อน..

ไม่สนใจ ไม่ไยดี
ไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น...

..เขายังไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด!

ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันไปตวาดเลขาที่ยืนมองอยู่

"ไม่มีงานทำเรอะ!"

(เลขา: แล้วเจ้านายนั่งดูไลฟ์สดเที่ยวญี่ปุ่นนี่มีงานมากเลยนะคะ!)

"..ขะ..ขอโทษค่ะ คุณโจเซฟ"

เลขารีบก้มหน้าก้มตาจัดเเจงงานของเธอต่อไป โดยมีผมที่นั่งมองอยู่

"นี่..หาวันว่างของฉันแล้วจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ทีสิ"

"ได้ค่ะ"

ผมยิ้มอย่างพึงพอใจ..

ผมคือโจเซฟ ถ้าผมอยากได้อะไร..ผมจะต้องได้



ออฟไลน์ Pinkii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้ามากรีดร้องงงง :z3: :katai1: :katai1:
ทำไมตอนไหนที่มีวินด์ แค่มีชื่อโผล่มาก็ได้กลิ่นความปวดตับ ดราม่าซะเเล้ว :katai1:
โจเซฟมีแฟนแล้ว มีแฟนแล้วนะ... :z3: :z3:

ว่าแต่ หนูอเล็กซ์ ลูกเพื่อนเจนนี่ใช่เด็กคนเดียวกันกับอเล็กซ์..เพื่อนหนูผิงป่าวน้อ o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
อยากให้โจเซฟขโมยวินด์ออกจากพ่ออุปถัมภ์จังเลย ไม่ต้องกลับไปไทยอีก TT

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
และแล้วตอนพิเศษของวินด์กับโจเซฟก็มา :mew1:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ตอน : วาเลนไทน์กับ'ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก'


...วันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว...

จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ชอบ St.valentines อะไรมากมายนัก..
แต่วันนั้นมันวันแห่งความรัก คู่รัก นกร้องจิ๊บๆนี่..

แม้แต่ช็อกโกแลตสักเเท่งยังไม่มีใครเอามาให้ผม!

ผมเหลือบมองไปที่อเล็กซ์..สติ้กเกอร์รูปหัวใจเล็กๆติดเต็มเสื้อของเขา..

ในล็อกเกอร์ก็มีจดหมายสีชมพู..

ทำไม.. ทำไมม?!!

"นี่..อาเฟ่ย เอาสติ๊กเกอร์ของฉันไปไหม"
อเล็กซ์พูดก่อนจะเเปะสติ๊กเกอร์หัวใจสีชมพูดวงเล็กๆที่ปกเสื้อของผมอย่างใจดี

ผมขอบคุณเขาก่อนจะรีบปิดล็อกเกอร์ตัวเองด้วยความอับอาย..

ผมมีเพื่อนผู้ชายเยอะ..แต่เด็กผู้ชายเขาไม่ให้ของกันในวันวาเลนไทน์นี่..
แถมผมยังไม่ใช่คนที่ฮ็อตในหมู่เด็กผู้หญิงเหมือนอเล็กซ์..

ก็ผมไม่ได้เท่ หุ่นดี เก่งกีฬาเหมือนเขา..
นอกจากอ้วนตุ้มตุ้ยแล้วยังชอบกินแต่ขนมหวาน..

ใครจะมาชอบคนอย่างผมกัน!

.......

ผมเห็นเจ้าผิงกับริชชี่เดินผ่านไปพร้อมกับหอบของขวัญที่ได้จากเพื่อนๆพี่ๆไปด้วย..
เจ้าสองคนนั้นก็ทั้งหล่อ เท่ สูง หุ่นดี..

เดินคู่กันยังกะนายเเบบจากนิตยสารเด็กก็ไม่ปาน!!

ดูมุมไหนก็สมาร์ทกว่าคนอย่างผมเยอะ..

นี้ยังไม่นับรวมเหม่ยเหมย สาวน้อยน่ารักที่สุดในชั้นอนุบาล..
ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย ผมเป็นลอนมัดแกละสองข้างดูน่ารัก..

เธอไม่ค่อยได้ของขวัญวันวาเลนไทน์เพราะเธอยังเด็ก..

ก็เด็กๆชั้นอนุบาลน่ะไม่สนวันวาเลนไทน์กันหรอกนี่ฮะ..
แต่ถ้าเธอโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย..

คงจะไม่มีทางเป็นเหมือนผมแน่..



"อาเฟ่ย..ตื่นครับลูก"

เสียงของแด๊ดดี้สองกับมืออุ่นๆมาลูบแก้มผม..

ผมแกล้งหลับตาต่อ..

"อย่ามาเนียน เจ้าเฟ่ย ลุก!"
คราวนี้เป็นเสียงของแดดดี้กิด..โอยยย ให้ตายเหอะ...

แดดดี้กิดรู้ทันผมทุกที!!

"..ผมไม่ไปได้ไหมฮะ..ยังไงวันนี้ก็ไม่มีเรียน.."

"หือม์?"

"ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมไงฮะ..นะ..ขอเฟ่ยอยู่บ้านนะฮะ แดดดี้สองง~"

ผมพูดก่อนจะเอาหน้าซุกลงไปในอ้อมกอดของแดดดี้สอง..ก็แดดดี้สองใจอ่อนง่ายกว่าแดดดี้กฤษณ์อะจิ!

รายนั้นอ่ะ..ทั้งดุทั้งขนขาเยอะ! ขออะไรก็ไม่ค่อยได้หรอกฮะ..

"อื้มม..เอาไงดี..พี่กฤษณ์.."

"..พี่อีกล่ะ..เฟ่ยครับ.."
คราวนี้แดดดี้กฤษณ์พูดด้วยเสียงอ่อนขึ้น

"ทำไมลูกไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ...มีอะไรหรือเปล่า..ไหนเล่าให้พ่อฟัง"

ผมยังคงซุกหน้าในอ้อมกอดแดดดี้สอง พูดเสียงอู้อี้

"เฟ่ยแค่ไม่อยากไป..ไม่เห็นจะมีสาระอะไรนี่ฮะ ...ยังไงก็ไม่มีใครให้อะไรเฟ่ยอยู่แล้ว
เฟ่ยก็ไม่ได้อยากได้หรอก..แต่อย่างน้องผิงหรือเหม่ยเหมย..ก็ยังได้อะไรตั้งเยอะตั้งเเยะ.."


แดดดี้เงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า

"..ลูกจะเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง..ไม่ไปโรงเรียนไม่ได้นะครับ..ความรับผิดชอบกับการถูกชื่นชอบมันคนละส่วนกัน.."

"ไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป!"
ผมเริ่มร้อง กอดเเดดดี้สองไว้แน่น..

"ลูก ต้อง ไป"

และผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...

แดดดี้กิดดึงผมออกอย่างโหดร้าย(?)ก่อนจะลาก(?)ผมเข้าไปอาบน้ำ แต่งตัว และบังคับให้ทานอาหารเช้าอย่างทารุณ(?)

ผมเม้มปากแน่น..

"ไม่กิน! ไม่ไป!"

"เฟ่ย..แค่วันเดียวเองนะ..เดี๋ยวก็พรุ่งนี้แล้วลูก.. บางครั้งหนูต้องทนกับสิ่งที่หนูไม่ชอบ..แดดดี้เคยบอกใช่ไหมครับ"

ผมพยักหน้า..แต่...แต่..



วันนั้นผมไปโรงเรียนทั้งน้ำตา...

..................................

และทั้งวันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากทุกปี..
อเล็กซ์ได้ของขวัญมากมาย..เขาแบ่งสติ๊กเกอร์หัวใจให้ผม 1 ดวง
เจ้าเด็กริชชี่กับผิงผิงได้ของขวัญมากมาย

แถมปีนี้เหม่ยเหมยก็ได้ของขวัญด้วย!!

ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดและน้ำตาซึมนิดๆในคาบโฮมรูมอยู่นั้น..

มิสซิสฟิโอน่าก็หอบช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกกกกเข้ามาในห้อง
เด็กๆทุกคนตกตะลึงและเอาแต่ทายกันว่าช่อดอกไม้นั้นเป็นของใคร

จนกระทั่งมิสซิสฟิโอน่านำมันมาวางไว้ตรงหน้าผม..


ผมมองช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกกกกอย่างไม่ค่อยไว้ใจ..

"ของผมจริงๆเหรอฮะ..?"

"เฮ้ อ่านดูสิ..มีจดหมายให้นายด้วย"
อเล็กซ์พูดก่อนจะดึงจดหมายที่แนบมากับช่อดอกไม้ ..และผมอ่านมัน




"ถึง อาเฟ่ย ลูกรัก..

พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้ว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กที่ได้รับขนมในวันวาเลนไทน์เยอะหรือไม่..
ลูกยังคงเป็นที่รักของพวกเรา และเราทั้งสองรักลูกมากกว่าช่อดอกไม้ทั้งหมดในโลกรวมกัน..

ไม่ใช่แค่เฉพาะวันนี้..แต่ในทุกๆวัน..

ลูกจะยังเป็นเจ้าชายน้อยๆของเราเสมอ..


รัก

Daddys "




...................................

และตั้งแต่นั้นมา...ทุกๆปีในวันวาเลนไทน์

จะมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกกก พร้อมการ์ดจากพ่อที่เขียนบอกผม ว่าพวกเขารักผมมากเพียงใด..

ทุกๆปีหลังจากนั้น..

แม้ผมจะโตขึ้น..กลายเป็นหนุ่ม
ตัวสูงขึ้น...ผอมลง..

เริ่มมีสาวๆมาให้ของขวัญมากขึ้น..

หรือแม้กระทั่งในที่สุด..ผมก็มีจำนวนของขวัญในวันวาเลนไทน์มากพอๆกับอเล็กซ์..

แต่ช่อดอกไม้ที่ใหญ่มากกกกกช่อนั้น...ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เสมอ...



"พ่อมึงส่งดอกไม้ให้อีกแล้วเหรอวะ ไอ้เจ้าชายน้อย"

อเล็กซ์ถามก่อนจะนั่งลงข้างๆผม

"เออ..กูบอกแล้วว่าไม่ต้อง..อายชิบ..อายุ18แต่ต้องมาได้ดอกไม้จากพ่อนี้แม่ง..."

ผมพูดก่อนจะทำท่าไม่สนใจช่อดอกไม้และการ์ดที่วางอยู่ตรงหน้า..

ก็คนโตเป็นหนุ่มที่ไหนเขาอยากได้ดอกไม้จากพ่อตัวเองกัน!!

อเล็กซ์ยักไหล่

"เอาสติ๊กเกอร์หัวใจไหม กูให้ ดวงนึง"

"ไอ้สัส ขยะเเขยง"

ผมพูดแล้วเราสองคนก็หัวเราะ..
ผมมองหน้าอเล็กซ์ก่อนจะคิดถึงสติ๊กเกอร์หัวใจที่เขาแบ่งมาติดให้ผมทุกๆปี จนกระทั่งเราอายุ 12..

จริงๆวันวาเลนไทน์สำหรับคนโสดก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นล่ะมั้ง..คิดว่านะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2018 15:49:00 โดย Anynomous »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด