✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]  (อ่าน 27078 ครั้ง)

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่14:20/11)
«ตอบ #30 เมื่อ21-11-2017 01:52:30 »

ตอนที่ 15: เพื่อนรัก

ผมมองภาพที่เอาออกมาจากซองสีน้ำตาล มันจ่าหน้าซองถึงผม

ภาพนั้นเป็นภาพพี่กฤษณ์...ภาพถ่ายจากมุมสูง
แม้ผมจะเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่ผมก็รู้ ห้องน้ำนั่นห้องน้ำในเรือนหลัก
ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอหันหลังให้กล้อง โค้งตัวคร่อมพี่กฤษณ์ กำลังทำ'อะไรบางอย่าง'บริเวณกางเกงพี่กฤษณ์

ภาพถัดมาเป็นภาพตอนที่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปนั่งบนตัวพี่กฤษณ์
ภาพถ่ายจากมุมหลังอีกเช่นเคย เห็นหน้าพี่กฤษณ์ชัด เขาหลับตา แต่ไม่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น

ผมนิ่ง
พยายามจะคิดหาอะไรบางอย่างเพื่อแก้ตัวเเทนพี่กฤษณ์
ผมหน้าชา ในใจก็คิดแต่ว่าผมจะเชื่อใจเขา คนอย่างเขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น

มันไม่ยากใช่ไหมที่จะหาความจริง

ผมกดโทรศัพท์หาพี่กฤษณ์
ระหว่างที่รอเขารับสายไม่กี่วินั้นยาวนานดังชั่วกัปชั่วกัลป์

"ไง"
เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูดังขึ้น ผมเม้มริมฝีปาก พยายามคิดในแง่ดีที่สุด

"พี่กฤษณ์..พี่บอกสองมาตามตรงนะ ..พี่ได้ไปมีเซ็กส์กับใครตอนที่ไม่ได้อยู่กับสองหรือเปล่า"
ผมพูดเร็วๆ ในใจก็กลัว ไม่อยากได้ยินประโยคถัดไป ได้แต่หวังว่านี้จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด

"..."
ตอบว่าใช่ ผมอาจไม่รู้สึกเจ็บเท่าความเงียบ ความรู้สึกตอนนี้มันชาไปหมด..ความรู้สึกของคนที่โดนหักหลังค่อยๆเอ่อขึ้นมา..แต่ผมจะยัง ผมจะยังเชื่อใจเขา

"ทำไมเงียบ?"
ผมถามต่อ แต่น้ำเสียงเริ่มเบาลง ใจสั่น

"..กู กูไม่แน่ใจ"

"มึงไม่แน่ใจ? โอเค..มันตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แค่เคยกับไม่เคย"

"เปล่า..มันมีวันที่..กูเมา"
พี่กฤษณ์พูดเสียงเบา ผมเม้มปาก

"กูก็มีวันที่เมา กูยอมรับ กูไม่ใช่ผู้หญิง แถมไม่ได้อยู่กับมึงตลอด มึงก็ผู้ชายคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม มันจะง่ายกว่านี้ถ้ามึงบอกกูตรงๆว่ามึงไม่พอ ไหนว่ามึงเป็นคนตรงๆไงวะ มึงไม่แน่ใจเรื่องอะไร"
ผมถาม เสียงประโยคท้ายๆเริ่มสั่น

"กูไม่ได้.."
พี่กฤษณ์พยายามจะพูด แต่น้ำเสียงอึกอัก มันไม่เหมือนกับเขาที่ผมรู้จัก เขาที่พูดจาตรงไปตรงมาเสมอ

"กูยอมได้..มึงจะไปนอนกับคนอื่น ถ้ามึงต้องการ อย่างน้อย..ฮึก..มึงบอกกู..กูไม่ดีพอเหรอ ..ไหนมึงบอกให้กูเชื่อใจ.."
น้ำตาผลไหลออกมาราวกับอัดอั้นมันไว้..มันเป็นแบบนี้ใช่ไหม การคบกันระยะไกล..ถ้ามีใครสักคนที่อดทนไม่มากพอ
และผมไม่อยากจะเชื่อว่าคนนั้นจะเป็นพี่กฤษณ์ คนรักของผม

คนที่ผมคิดว่าจะอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิตได้..

คนที่คิดว่าแค่มีอยู่ข้างๆก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว..

มันทรมาน ผมเจ็บปวดเกินกว่าจะยอมรับอะไรตอนนี้ เจ็บปวดเกินกว่าจะถือสายฟังความเงียบที่ชวนอึดอัด
ผมกดวางสายไป ทิ้งตัวลงบนโซฟา และร้องไห้

.................................

"กริ๊งง.."
โทรศัพท์บ้านดังขึ้น ต่อสายมาจากป้อมยามหน้าบ้านผม ผมกดรับ เปิดเสียงเอาไว้

"คุณสองครับ คุณวินด์มาหาครับ บอกว่านัดคุณสองไว้แล้ว"
ลุงยามหน้าประตูรายงาน

ตั้งเเต่ตอนที่รู้ว่าวินด์ไม่ประสงค์ดีกับพี่กฤษณ์ ผมก็โกรธมาก พยายามหาจุดประสงค์ที่เเท้จริงของมัน
โดยมีไอ้ตั้มที่รับปากว่าจะช่วยด้วยอีกคน ..
ผมถอยห่างจากวินด์เพราะรู้สึกว่ามันอันตราย เเละความจริงวันนี้ผมก็ไม่ได้นัดมันไว้

"เขานัดไว้..ให้เข้ามา"
ผมพูดด้วยเสียงอ่อนแรง ขอแค่ใคร..ใครก็ได้

.................................

วินด์มาพร้อมรอยยิ้ม เขาบอกผมว่าที่ไร่นั้นสนุกมาก พี่กฤษณ์อ่อนโยน ดูแลทุกคนดี และยังเล่าว่าพี่กฤษณ์ได้ช่วยเหลือเด็กสาวคนหนึ่ง

"เขาเท่มากน่ะ"
วินด์พูดก่อนจะขมวดคิ้วมองผม

"เป็นอะไรหรือเปล่าสอง"
ผมส่ายหัว เม้มปาก ไม่อยากได้ยินชื่อพี่กฤษณ์ เรื่องในไร่ หรืออะไรก็ตามจากปากคนตรงหน้า

"มึงจะกลับได้ยัง"
ผมถาม น้ำเสียงฟังอ่อนแรง

"มึงเป็นอะไรมึงบอกกู กูอยู่ข้างๆมึงเสมอนะ"
คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน วินด์กอดผมไว้เเน่น ผมร้องไห้
มือของคนตรงหน้าไม่หนาสากเหมือนพี่กฤษณ์ แต่นุ่มนวล อ่อนโยน เขาใช้นิ้วมือปาดน้ำตาให้ผม

"ฮึก..วินด์..กูไม่อยาก ให้มึงเห็น"
ผมพูด พยายามใช้เเขนเสื้อเช็ดน้ำตา แต่โดนคนตรงหน้าจับเเขนเอาไว้ มือของเขาเเข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดมาก

"ปะ..ปล่อย"

"ไม่เป็นไร มึงจะไม่เป็นไร"
วินด์ไม่ปล่อยมือและผมก็ไม่รู้สึกอยากดิ้นหนีอีก

"สอง..ให้กูดูแลมึงนะ"
ร่างสูงพูดก่อนจะก้มหน้าลงมา และจูบผม

เขาจูบเก่งจนผมเกือบละลาย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังไม่จางหาย แต่หัวใจผมอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดอะไรออก
ทั้งเรื่องที่คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนมาจูบ ทั้งเรื่องที่โดนคนรักหักหลัง

บางทีผมอาจแค่ต้องปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสถานการณ์
บางทีมันอาจจะดี...

เมื่อเห็นผมไม่ขัดขืน ร่างสูงก็รวบข้อมือผมไว้ ก่อนจะใช้เนคไทมัดมัน ผมเบิกตากว้าง ตกใจ

"สอง..เป็นของกูนะ"

วินด์แกะกระดุมเสื้อเชิร์ตของผมออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวเนียน เขาใช้ลิ้นดุนดันยอดอกของผม ก่อนจะขบกัดมัน

"อ๊ะ! ไม่.."
ผมพยายามเบี่ยงตัวออก แต่วินด์นั้นเเรงเยอะกว่า เขาดึงกางเกงผมลง และทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง...
ส่วนกลางของผมถูกครอบโดยริมฝีปากของวินด์ เขาอมมัน ดูด ใช้ลิ้นดุนดัน เพิ่มจังหวะเร่งเร้า..

ผมที่ตอนแรกร้องห้ามกลับมาร้องครางแบบห้ามไม่อยู่

"อ๊ะะ..อื้ออ..ไม่เอา..วินด์"

"แต่ร่างกายมึงไม่โกหก"
วินด์ถอนริมฝีปากออก ส่วนใจกลางผมตั้งชูชัน ..ทรมาน.. ผมคิดถึงพี่กฤษณ์...น้ำตาไหล
ผมรักพี่..ผมไม่อยากทำอย่างนี้...แต่ร่างกายผมมันไม่ฟังคำสั่ง..

"ถ้ามึงอยากปลดปล่อยมึงต้องขอร้องกู"

ผมกัดริมฝีปากล่าง สู้กับความเสียวปนทรมาน ในใจคิดถึงพี่กฤษณ์..หรือว่า..พี่เองก็โดนแบบนี้เหมือนกัน
หรือผมควรรอฟังพี่ก่อน..คงไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด

"เด็กดี"
วินด์มองผมแล้วยิ้ม ผมจ้องมันอย่างวิงวอน แต่ไม่ยอมปริปากขอร้อง

"ปล่อยกู"

"อย่าดื้อสิ.."

มันฉลาด...มันเลือกทำในที่ที่จะไม่มีใครห่วงผมมากที่สุด..ที่บ้านของผม บนโซฟาในห้องของผม
ร่างสูงตรงหน้าปลดกางเกงตัวเองลง ก่อนจะดึงแกนกลางมันออกมาให้ผมดู มันมองหน้าผมก่อนจะขยับมือเพิ่มจังหวะเร็วขึ้น

"ซี้ด..สอง..ได้มาเห็นมึงแบบนี้..กูโคตรมีอารมณ์เลยว่ะ..กูรักมึง"
"ไอ้โรคจิต!"
ผมพูด มองมันที่กำลังขยายส่วนแกนกลางขึ้นอย่างขยะเเขยง

"ก็มึงผิดเอง..ทีทำกับไอ้เหี้ยกฤษณ์นั่นได้ ทำกับกูไม่ได้รึไง มันก็เหมือนกับกูนั่นแหละ"

"มึงไม่เหมือน..อ๊ะ!!"
ผมพูด แต่ไอ้วินด์ไม่เปิดโอกาสมันใช้ส่วนใหญ่ร้อนของมัน รวบเข้ากับแกนกลางผมที่ชูชันขึ้น ก่อนจะขยับมือด้วยความเร็วและเเรง

"อ๊าา"
ผมครางเสียงหลง และดูเหมือนมันจะชอบใจ ร่างสูงเร่งจังหวะขึ้นจนผมปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาพร้อมกับมัน

ตอนที่มันสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางของผม ผมไม่ได้มีเซ็กส์กับพี่กฤษณ์นานแล้ว ผมเจ็บจนหยดน้ำตาใสๆไหลออกมาอีกครั้ง

"กูขอร้อง..มึงหยุดได้ไหม วินด์"
ผมพูดทั้งน้ำตา แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งชอบใจในใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของผม

"กูรักมึง"
วินด์พูดก่อนจะขยับนิ้วเข้าออกช่องทางด้านล่าง ผมเจ็บและไม่อยากยอมรับว่าเริ่มจะมีอารมณ์ร่วม

"กูรักพี่กฤษณ์!! กูไม่อยากให้มึง!"
ผมดิ้น พยายามขัดขืนครั้งสุดท้าย

"ทั้งๆที่มึงรักมัน ไอ้พี่กฤษณ์นั้นยังเอาคนอื่นได้ มันเหี้ยขนาดนั้นมึงยังจะรักมันอีกเหรอ!"
คนตรงหน้าเริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้น

"มันทำให้มึงร้องไห้!"

ผมส่ายหัว

"มึงต่างหากทำ..วินด์"

ผมนิ่ง..มันรู้ได้ยังไงว่าผมร้องไห้เรื่องอะไร รู้ได้ยังไงว่าพี่กฤษณ์มีอะไรกับคนอื่น มันไม่ได้เห็นภาพ มีแต่ผมที่เห็น
ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้มันฟังทั้งนั้น..

ความจริงสาดเข้ามาเหมือนกับตอนใกล้จบของนิยาย

ไอ้วินด์รู้ทุกอย่าง! เรื่องบังเอิญไม่มีจริง...

ทั้งไฟไหม้ ทั้งภาพเเบล็กเมล์ ..และอาจจะมีอีกหลายเหตุบังเอิญที่ผมไม่รู้
แต่ความจริงไม่ปราณีใคร

อย่างน้อยๆก็คนโง่อย่างผม

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก.."
เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกับสัญญาณจากสวรรค์ ..ผมไม่ได้ล็อกประตู ..และดูเหมือนไอ้วินด์จะจำได้เช่นกัน
มันกระซิบบอกผมเสียงพร่า
"บอกไปว่ามึงอยู่กับกู คุยกันอยู่"

ผมไม่มีทางทำตามที่มันบอก ผมต้องตะโกนให้คนช่วยเปิดเข้ามา
ผมไม่มีความอายเหลืออีกต่อไป ผมมีแต่ความรู้สึกผิดต่อพี่กฤษณ์ ..และความโกรธต่อคนตรงหน้า

และดูเหมือนมันก็รู้ความคิดของผม
มันยกโทรศัพท์ขึ้น ถ่ายภาพผมเอาไว้

"ถ้ามึงไม่ทำ กูจะส่งหาพี่กฤษณ์ ถ้ามึงทำ หลังจากนี้มึงจะไปคืนดีกับมันกูก็ไม่ว่า แค่ต้องมาอยู่ข้างๆกู"
ผมเม้มปาก มองมันอย่างวิงวอนเป็นครั้งสุดท้าย

"มึงไม่มีทางเลือก"

ผมพยักหน้า

"กูอยู่กับไอ้วินด์ คุยกับมันอยู่!!"
ผมพยายามเปล่งเสียงให้ดังที่สุด

"ปัง!!"
ประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรง

ไอ้ตั้มเป็นคนที่เดินเข้ามา..ผมร้องไห้..ขอบคุณที่มันเป็นอย่างที่ผมคิด..
คนรับใช้ในบ้านผมทุกคนจะเคาะประตูสามครั้งเสมอ มันเป็นหลักสากล เป็นเรื่องที่ฝึกกันจนเป็นธรรมเนียม

แต่ไอ้ตั้มไม่ใช่ มันไม่ได้เรียนหนังสือจนจบ ไม่ได้ฝึกคุณสมบัติผู้ดีหรืออะไรทั้งนั้น
มันเคาะตามอารมณ์ ถ้าผมไม่ตอบก็จะเคาะอยู่อย่างนั้น..

และหากบังเอิญผมคาดไว้ผิด มันไม่ใช่ไอ้ตั้มแต่เป็นคนรับใช้
ผมไม่ใช้คำพูดมึง-กูกับคนรับใช้ ..ได้แต่ภาวนาว่าจะมีใครสังเกตเรื่องนี้
แต่อีกอย่างที่ผมเลือกใช้คำพูดเหมือนเวลาอยู่กับไอ้ตั้ม

เพราะผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าต้องเป็นมัน

เพราะวันนี้คนที่ผมนัดมาหาไม่ใช่วินด์ แต่เป็นไอ้ตั้ม

.................................

ผมไม่รู้ว่าสภาพของผมมันทุเรศขนาดไหน น้ำตาเต็มใบหน้า เสื้อถูกปลดกระดุม กางเกงถูกดึงออก
แต่สิ่งที่ผมรับรู้ต่อมาคือภาพไอ้ตั้มวิ่งเข้ามา กระชากไอ้วินด์ออก แล้วต่อยมัน

เขาต่อยมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคน
ไอ้วินด์ได้แต่ป้องกันตัว..มันเป็นจอมบงการ เป็นคนที่ดูมีลักษณะคุณชายผู้ดี

ไม่เหมือนกุ๊ยข้างถนนแบบไอ้ตั้มที่มันชอบว่า
มันจึงสู้กุ๊ยข้างถนนไม่ได้

"ไอ้สัส!!!"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะเตะมันเป็นครั้งสุดท้าย เลือดกลบปากไอ้วินด์ มันพยายามจะคลานหนี
ไอ้ตั้มเดินตาม
"มึงจะไปไหน มึงชอบลับหลังใช่ไหม ชอบนักใช่ไหม! ไอ้เวร! กูว่าแล้วคนอย่างมึงมันสวะ "

"ตั้ม.."
ผมพูดเสียงเบา แต่ไอ้ตั้มก็ละความสนใจจากวินด์ทันที

"สอง..มึง.."
ตั้มมองผม มันเม้มปาก ก่อนจะหันไปเตะคนที่กำลังพยายามลุกขึ้นอยู่

"ไอ้เหี้ย! ออกไปซะ! อย่าเสนอหน้ากลับมาให้กูเห็นอีก บอกพ่อมึงด้วย! มีปัญหามาเคลียร์กับกูตรงๆ อย่าทำตัวเป็นสวะลอบกัด!"

"เดี๋ยว.."
ผมพูด

"อะไร?! มึงจะห้ามกูเหรอ สอง?!!"
ไอ้ตั้มหันมาถามกด้วยความโกรธ ไม่เข้าใจ

"มันถ่ายภาพกู"
ผมพูดก่อนจะหลับตา
ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงโทรศัพท์แตก
แล้วพอผมลืมตาขึ้นมา ห้องก็ว่างเปล่า

.................................

หลังจากจัดการไอ้วินด์แล้ว ตั้มก็เข้ามาหาผม มันมองผมสองสามครั้ง เม้มปาก ก่อนจะพูดว่า

"มึงเลยซึมได้แล้ว ไปอาบน้ำสัส"

"กูเจ็บ..กูไม่อยากลุก"

ไอ้ตั้มเดินมานั่งข้างๆผม ก่อนจะกอดผมไว้เเน่น
กอดคราวนี้ไม่เหมือนของไอ้วินด์ มันอบอุ่น อ่อนหวานไม่สมกับเป็นมัน..

นุ่มนวลราวกับถูกหุ้มด้วยความรัก

ผมร้องไห้

"มึงอย่าขี้แยสัส รำคาญ.."
ไอ้ตั้มพูดอย่างใจร้าย..แต่เสียงของมันสั่น ผมสูดน้ำมูก และได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่กอดผมอยู่

"มึง..? "
มึงร้องไห้เหรอ..ผมเก็บคำถามนั้นไว้ เขากอดผมแน่นขึ้น เหมือนไม่อยากให้ผมผละจากอ้อมกอดนี้มาดูใบหน้าเขา
สักพักจึงปล่อยผมออก

"กูสัญญาจะไม่ปล่อยไอ้เหี้ยวินด์ได้มาอยู่ใกล้ๆมึงอีก ถ้าฆ่ามันได้กูจะทำ"
ตั้มพูดเสียงเหี้ยม มองหน้าผม ราวกับเป็นคนละคนที่ผมเคยรู้จัก

"มึงอย่า..กูเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว..มึงไม่จำเป็นต้องแปดเปื้อนเพราะคนอย่างมัน"
ผมพูดอย่างเป็นห่วง

"ขอแค่ไม่ให้มึงเจอเรื่องแบบนี้อีก..ให้กูต้องแปดเปื้อน ต้องตกนรก กูก็ยอม"

"กูจะไม่เจอหรอก..กูเข้มเเข็งมากน่ะ..มันจะไม่ได้ใกล้กูอีกเหมือนกัน"
ผมพูด พยายามฝืนยิ้ม

"ไอ้พี่กฤษณ์ของมึงแม่ง! เป็นคนรักระยะไกลมันเป็นแบบนี้แหละ! ช่วยเหี้ยอะไรไม่ได้ ถอกกระดอทำหน้าหล่อไปวันๆ"
ไอ้ตั้มพยายามพูดให้ผมตลก แต่ผมไม่..เมื่อคิดถึงพี่กฤษณ์ก็คิดถึงความรู้สึกผิดต่อเขา

"ที่กูโทรหามึงเพราะเรื่องนี้แหละ.."
ผมพูดก่อนจะหยิบซองสีน้ำตาลให้ไอ้ตั้ม มันดูภาพเเล้วมองผม ดูไม่อยากจะเชื่อ

"สอง..มึงอย่าบอกนะว่ามึงทะเลาะกับไอ้เชี่ยกฤษณ์เพราะกระดาษสองแผ่น!"

ผมพยักหน้า รู้สึกกระดากอาย

"มึงไม่สงสัยบ้างเหรอวะว่าไอ้เหี้ยตัวไหนส่งมา! มึงควรสงสัยมันก่อนสงสัยไอ้พี่กฤษณ์ด้วยซ้ำ!!"
ผมพยักหน้ายอมรับอีกเช่นเคย..มาคิดดูดีๆก็ถูกของมัน..แต่ผมกับมันไม่เหมือนกัน
ตั้มมันไม่มีอารมณ์ร่วมกับภาพพวกนี้..มันจึงตัดสินใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลและถูกต้อง

แต่ผมมี ..ความโกรธ ความน้อยใจ ความสงสัย
มันทำให้ผมเลือกตัดสินใจผิดพลาด อารมณ์เหล่านั้นบังความคิดส่วนเป็นเหตุเป็นผลของผม

"แต่กูรู้ตัวการแล้ว.."

"ไอ้เหี้ยวินด์?"

ไอ้ตั้มพูดแทรกและผมพยักหน้ารับ

"มันไม่น่ากล้ามายุ่งกับกูอีก ..แต่กูไม่รู้จะทำยังไงดีเรื่องพี่กฤษณ์ "
ผมพูด น้ำเสียงฟังท้อเเท้สิ้นหวัง

ไอ้ตั้มตบหัวผม

"มึงจะทำอะไรล่ะ ถ้าคนรักมึงกลายเป็นเป้าหมายของผู้หญิงคนนั้น"

ผมขมวดคิ้ว

"กูไม่ให้.."

"เออ มึงต้องไป"

"ไป?"
ผมมองหน้าไอ้ตั้มอย่างสงสัย มันทำเสียงขัดใจ

"ไปขอนแก่นซะ ถ้าไม่เเสดงความเป็นเจ้าของอยู่เรื่อยๆ ใครๆมันก็อยากจะมาเอาทั้งนั้น"

ผมหน้าแดง

"มึงพูดเหมือนกูเป็นพวกผู้หญิง ขี้หึง เมียโหดอะไรประมาณนั้น กูไม่เอาหรอก!"

"ถ้างั้นมึงก็ปล่อยให้ไอ้พี่กฤษณ์นั่นอยู่กับแม่สาวคนนั้นไป กูไม่อยากเชื่อหรอก ผู้ชายกับผู้หญิงน่ะ น้ำมันกับไฟ"

"เหมือนมึงอ่ะเหรอ"
ผมพูดเเซว แต่มันไม่ขำ จ้องหน้าผมนิ่ง

"นี้ไม่ใช่เรื่องของกู"
เขาพูดก่อนจะหลบสายตาผม

"เป็นเรื่องของพวกมึงสองคน"

ผมมองไอ้ตั้มอย่างซึ้งๆก่อนจะโดนมันยกนิ้วกลางให้ ผมหัวเราะ
ไอ้ตั้มดูสบายใจขึ้นก่อนจะบอกผมว่า

"คราวนี้มึงลงไป อยู่ให้นานๆหน่อยก็ดี"

"ทำไมวะ"

"ก็ถ้ากูจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ กูจะตามลงไปด้วย อยากไปมานานแล้ว"

มันว่า ผมพยักหน้ารับ

"เออ..กูขอภาพนั่นได้ไหม"

ผมลังเล มันเห็นหน้าพี่กฤษณ์ชัด..ผมกลัวเขาจะถูกแบล็คเมล์ต่อ

"มึงเชื่อใจกูได้"

ผมยื่นซองสีน้ำตาลให้
มันมองผมสักพักจึงพูดว่า

"มึงควรไปอาบน้ำ"

ผมหัวเราะ

"กูพูดจริงๆ"



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2017 02:06:26 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
«ตอบ #31 เมื่อ21-11-2017 05:42:28 »

ดีจัง..........ตั้ม มาช่วยได้ทัน
วินด์เผยตัวไว เพราะแน่ใจว่าภาพที่ส่งมาได้ผลสินะ
แต่เหนือวินด์ ยังมีตั้ม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

สอง ทำตามที่ตั้มแนะนำน่ะถูกต้อง
แม้สอง ไม่รู้ถึงความรู้สึกของตั้ม
แต่ตั้มเป็นเพื่อนแท้ที่ตรงข้ามกับวินด์
แบบยอดเขา กับก้นเหวเลย

ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นมอมเหล้า วางยาพี่กฤษณ์หรือเปล่า
รอสองกับพี่กฤษณ์เจอกัน
เจ้าของตัวจริง ไปแสดงตัวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
«ตอบ #32 เมื่อ21-11-2017 13:13:44 »

สองต้องไปดูแลตาลุงแล้วแหละ  :hao3:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
«ตอบ #33 เมื่อ21-11-2017 19:10:38 »

จัดการการวินด์เลยค่ะคุณตำรวจ

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
«ตอบ #34 เมื่อ25-11-2017 17:09:52 »

สอง..มาเอาไอ้เพื่อนบ้าของแกไปเก็บด่วน :a5:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่16:25/11)
«ตอบ #35 เมื่อ25-11-2017 21:30:30 »


ตอนที่ 16: รักเพื่อน

'ผมสัญญาว่าจะฆ่ามันให้ได้'

ผมคิดเช่นนั้นตอนที่หันไปเห็นสองนั่งบนโซฟา เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น้ำตานองหน้า
ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง..แต่มึงจะต้องเจ็บ..เจ็บ เจ็บให้มากกว่าที่มึงทำกับคนที่กูรัก

..รัก..

ใช่ ,ผมรักเพื่อนสนิทตัวเอง

ผมรู้มานานแล้วว่ามันไม่ใช่ความรักแบบเพื่อน
เรียกว่ายังไงดีล่ะ..รู้ตั้งเเต่ตอนที่ช่วยตัวเองสมัยมัธยมต้น แล้วใบหน้าเขาก็ขึ้นมาตอนผมใกล้เสร็จนั่นแหละ

..................................

ตอนเด็กๆผมเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กที่ทำตัวไม่ดี ทั้งโดดเรียน พูดคำหยาบ ลักเล็กขโมยน้อย ไปจนถึงใช้สารเสพติด
เด็กคนอื่นๆห้อมล้อมผมเพราะนามสกุลของผม พวกเขาพร้อมที่จะทำตามทุกอย่างที่ผมบอก ทุกอย่างที่ผมต้องการ

เมื่อมีคนห้อมล้อมคุณเพราะต้องการผลประโยชน์บางสิ่งอยู่ตลอดเวลา
การหามิตรแท้เป็นเรื่องที่ยาก

..แต่ที่ยากกว่านั้นคือความเห็นที่ตรงต่อความจริง

"นาฬิกาใหม่ว่ะ พ่อกูซื้อให้ มีแค่ร้อยเรือนในโลก"

ผมพูดแล้วยกข้อมือขึ้นอวดนาฬิกาสีทอง การออกแบบเรียบหรูค่อนข้างดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่เหมาะกับเด็กม.ต้นเลยสักนิด

"เหมาะกับตั้มมากเลยนะ"

"ใส่แล้วเท่ว่ะสัส"
เพื่อนๆเรียงรายกันเข้ามาชม ผมยิ้มเล็กๆอย่างภูมิใจ แม้ในใจจะรู้ดีว่านี้ก็แค่คำกล่าวจอมปลอม
แต่ชีวิตผมไม่เคยได้รับอะไรจริงเลยสักครั้ง ผมจึงมีความสุขโดยไม่สนว่ามันจะปลอมหรือไม่

ในวงจรที่เพื่อนๆรายล้อม มีเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขามีท่าทางไม่ยินดียินร้าย
เขาเป็นคนเงียบๆ ตัวเล็ก ผมมักปรกหน้าปรกตาอยู่เสมอ เป็นเด็กประเภทที่ไม่ค่อยมีใครอยากคบเท่าไหร่นัก
แต่คนในห้องเรียนก็ให้ความเคารพและไม่กลั่นแกล้งเขา

อาจเพราะนามสกุลของเขา
หรือไม่ก็เพราะเขาไม่ยอมสนิทชิดเชื้อกับใคร

"เฮ้ย นายคิดว่าไงน่ะ"
ผมยื่นข้อมือไปหาเพื่อนใหม่..ผมได้ยินชื่อเขามานาน แต่เราไม่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน นี้เป็นครั้งแรก
ที่ผมได้พบกับ 'คนดัง' เด็กชายผู้มาจากครอบครัวที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อโรงเรียนคนหนึ่ง

แน่นอนว่าไม่นับผม

"หือ?"
เด็กชายคนนั้นเหลือบมองข้อมือผม ก่อนจะเงยหน้า เขาดูงงๆ

"นาฬิกานี่"

"เอาที่ฉันคิดจริงๆหรือสิ่งที่นายอยากฟัง"
คนตัวเล็กพูดด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ เพื่อนรอบข้างผมทึ่ง แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าพูดกับผมแบบนี้..ต่อให้เป็นเขาก็เถอะ

"สิ่งที่ฉันอยากฟัง"
ผมมองเขา. ท้าทายให้เขาพูดมัน เขาถอนหายใจ

"ไอ้นี่มันเชยเป็นบ้า"

..................................

ตอนแรกผมติดตามเขาไปในทุกที่เพราะสนใจเขา เขาแปลก ไม่เหมือนคนอื่น
ไม่เหมือนเพื่อนๆของผม เขาไม่เหมือนใครทั้งนั้น..

เขาไม่สนแม้กระทั่งจะไล่ผมไป
เเถมยังยอมรับอย่างง่ายๆว่าเป็นเพื่อนผม

ผมที่โดดเรียนเสมอเปลี่ยนมาเข้าชั้นเรียน
ผมที่ชอบทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ กลับมาทำตัวเป็นมือขวาให้เขา

และพอผมสังเกตได้ว่าเขาไม่มีทักษะทางกายภาพใดๆ ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง เล่นกีฬา ชกมวย
หรือแม้กระทั่งหยิบหนังสือจากที่สูง! ..โดยไม่รู้ตัว ผมกลายเป็นคนที่ช่วยเขาทุกอย่าง
มองจากภายนอกเหมือนกับว่าเราตัวติดกันตลอดเวลา
แต่ในเมื่อเขาไม่สนใจจะคบคนอื่น ผมเองก็ไม่สนจะไปเล่นอะไรเเบบเด็กๆเหมือนสมัยประถมเหมือนกัน

เราเลยพอใจที่จะอยู่กันอย่างนั้น

ผมรู้ ในมุมมองคุณอาจมองว่า ไอ้เด็กหนุ่มนี้มันทำตัวเหมือนเด็กติดแฟนชัดๆ!
ก็ใช่..ก็อาจจริง แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมาก

เด็กเกินกว่าจะรู้สึกตัว

..................................

หลังจากไอ้สองอาบน้ำเสร็จ มันก็ดูดีขึ้น รอยตรงบริเวณข้อมือสีแดงๆจางลงมาก
ตรงส่วนอื่น..ผมไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่กล้าจะไปขอเปิดดู

"มองไรสัส"
ไอ้สองมองมาทางผม ขมวดคิ้ว ทำสีหน้าเหมือนโมโห

มันอาจจะไม่รู้ตัว..ว่าเวลามันทำหน้าอย่างนี้ มันน่ารักมาก
ผมยักไหล่

"มองคนที่เกือบโดนเหี้ยตุ๋ย"

"ไอ้สัสสส!!"
ไอ้สองพยายามจะกระโดดทุบผม ผมหัวเราะ

"มึง! เพื่อนเหี้ย!! ..แต่ เมื่อกี้กูกลัวจริงๆนะเว้ย!"
มันพูดก่อนจะเสียงเบาขึ้น ตัวสั่นนิดๆ ผมพอเห็นอย่างนั้นก็อยากจะฆ่าไอ้เหี้ยวินด์ขึ้นมาอีกรอบ
ผมขอซองน้ำตาลที่ไอ้วินด์ส่งมาเพื่อเเบล็กเมล์พี่กฤษณ์ไว้กับตัว
ก่อนจะตัดสินใจให้คำแนะนำมันในฐานะ'เพื่อน'ที่ดีไป

ผมไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบสถานะกับไอ้พี่กฤษณ์ของมัน
ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงตัวเองที่เป็นคนรักของเขาด้วยซ้ำ

ผมรู้ผมไม่มีค่าพอ
ไม่ได้สูงส่ง ไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่ได้ใจดี ไม่ได้กล้าหาญ

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมจะเป็นที่พึ่งให้มันได้ไหม

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจ ผมพร้อมจะยอมแลกทุกอย่าง ทุกสิ่ง
ทุกอย่างจริงๆเพื่อปกป้องคนที่อยู่ตรงหน้าผมคนนี้

ผมแน่ใจว่ามันคือความรัก
และเรื่องนี้เท่านั้นที่ผมไม่แพ้ใคร

"มึงคิดว่ากูควรเล่าเรื่อง'นี้'ให้พี่กฤษณ์ฟังไหม"
ไอ้สองถามขึ้นมาเบาๆ ผมมองหน้า

"เรื่องไรวะ ..ที่ไอ้วินด์มันแบล็กเมล์พี่กฤษณ์ หรือเรื่องมันจะข่มขืนมึง"

"ทุกอย่าง"

ผมนิ่ง ผมไม่ใช่คนฉลาดนัก ชีวิตก็ใช้มาแบบลุ่มๆดอนๆ ไอ้เรื่องความรักไม่ค่อยถนัด ถ้าให้พูดจริงๆผมถนัดแค่เรื่องเซ็กส์..และคงไม่ใช่เรื่องที่จะไปแนะนำมันได้

"ไม่รู้ว่ะ คิดเองบ้างดิ"

"ควาย"

ไอ้สองมันด่าผม ผมใช้เท้าถีบมันไปทีนึง เออ โทษที กูไม่ได้ฉลาดเหมือนไอ้เหี้ยวินด์นี่หว่า!

"ถ้ากูอยากเป็นที่ปรึกษากูคงไปอยู่สำนักทนายความ"
ผมพูด มันถีบผมกลับ

"กูก็แค่ถามม..เผื่อมึงจะมีความคิดอะไรบ้าง"

"พี่กฤษณ์ของมึงนี่ ใจดีเป็นหมาเลย ถ้ามึงไม่บอก ครั้งหน้าไอ้วินด์ไปหลอกมันอีก มันจะใจดีเป็นควาย"
ผมพูด โดนถีบอีกรอบ

"มึงอย่ามาด่าพี่กฤษณ์กู!"
ไอ้สองพูดก่อนจะถีบผมรอบที่สาม ถีบกูเป็นจักรยานเลยไอ้สัส!
"ด่าที่ไหน! กูชม!!"

ไอ้สองมันบ่นอุบอิบ เมื่อเห็นเพื่อนรักร่าเริงขึ้น ผมก็ขอตัวกลับไปทำงาน ก่อนจะไปก็ไม่วายบอกมันว่าผมสั่งอาหารจากภัตตาคารไว้ให้มันเย็นนี้ สำรองโต๊ะไว้เรียบร้อย ผมโดนเพื่อนบ่นว่าชอบทำตัวเหมือนคนรวยเอาแต่ใจ ผมได้แต่หัวเราะ ...มีเงินแล้วไม่ใช้ จะมีประโยชน์อะไร

..................................

"ฉันไม่เอาด้วยหรอก"
สาวสวยร่างสูงระหงส์พูดก่อนจะเอนหลังลงบนโซฟา

"ไหนพี่บอกจะช่วยผม"
ผมร้อง มองหน้าพี่สาวด้วยความขัดใจ ริมฝีปากสีเเดงเข้มเม้มเเน่นก่อนจะเงยหน้ามองผม

"นั่นมันเรื่องการเเย่งเก้าอี้ ฉันเห็นว่ามันคุ้มค่าที่จะช่วยแก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่..ฉันไม่สนเรื่องรักๆใคร่ๆของแก"
ผู้หญิงตรงหน้าพูดก่อนจะกอดอก ผมมองพี่สาว แววตาสับสน

"..พี่ รู้?"

"ฉันไม่ได้โง่ แกตามติดเด็กนั่นตั้งเเต่ม.ต้น ฟันสาวทิ้งไปวันๆ แต่พอเด็กนั่นกลับมาก็เลิกทันที..
 ฉันคงต้องตาบอดละมั้งถึงจะมองไม่เห็น"

ผมส่ายหัว..ไม่อยากจะเชื่อ ผมรู้ว่าพี่สาวหูตากว้างไกล ..แต่สำหรับคนที่โดนตัดหางปล่อยวัดอย่างผม
คิดมาตลอดว่าการใช้ชีวิตนั้นรอดพ้นจากสายตาใครๆ..คิดมาตลอดว่าครอบครัวไม่สนใจ..

"เรา..เราเป็นเพื่อนกัน ..ผมแค่ไม่อยากให้เขาตกอยู่ในอันตรายอีก"
ผมพยายามพูด แต่ผู้หญิงตรงหน้ามองหน้าผมอย่างเฉยเมย

"ถ้าแกไม่เอาเเต่ขี้ขลาด ป่านนี้แกอาจได้สมหวังกับเด็กนั่นเเล้วเเท้ๆ"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่! อีกอย่างไอ้สองก็มีคนรักแล้วด้วย!"
ผมพยายามเถียง อยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองดูเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ..กลับไปเป็นเด็กชายที่โดนพี่สาวใจร้ายแกล้งอีกครั้ง

"พูดอย่างกับว่าถ้าเขาไม่มีคนรักแล้วแกจะสารภาพรักแน่ะ"

"พี่!!"
ผมโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยงในขณะที่พี่ตาแค่ยิ้มมุมปาก เห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ ยัยป้าปีศาจนี้!

"อีกอย่าง ถ้าตามที่แกบอก ไอ้วินด์มันคงไม่กล้าทำอะไรสองหรอกช่วงนี้ อีก 3 เดือนจะเลือกตั้งแล้วด้วย พวกนั้นระมัดระวังกันจะตายเรื่องชื่อเสียง แกหมดห่วงไปได้เลย"
พี่ตาพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งผมก็เห็นด้วย...ผมอาจจะยืดเวลาสบายใจไปได้หน่อย อย่างน้อยก็ 3 เดือนล่ะ

"แล้ว..พี่มีอะไรให้ผมช่วยบ้าง"
ผมพยายามถาม ตั้งเเต่ที่เริ่มกลับมาพูดคุยกับพี่ตา นอกจากจะปรึกษางานและปัญหาต่างๆ ผมยังได้เห็นการทำงานของพี่ตา ได้เข้าใจว่าการมีอิทธิพลนั้นส่งผลกระทบอย่างไร มองเห็นระบบที่พ่อพยายามปูทางไว้ให้พวกเราสานต่อ

มีทั้งเงิน ทั้งอำนาจ ทั้งในโลกสว่าง เเละในโลกมืด
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมากขึ้น

และรู้สึกว่าผมควรจะได้อยู่ในตำแหน่งที่ควรเป็นของผม

ตำแหน่งของพี่ตา

พี่ตาเหลือบสายตามองผมเมื่อผมเสนอตัวจะช่วย ผมพยายามซ่อนแววตาทุกอย่างไว้หลังรอยยิ้มกลบเกลื่อน
ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอหรือใช้กำลังเเย่งชิงตำแหน่งมาหรอก
แต่ผมจะค่อยๆแทรกแซง ค่อยๆช่วยเหลือ ทำให้มากที่สุด
ยังไงพ่อก็วางตำแหน่งไว้ให้ผมตรงนี้ตั้งแต่แรก จะไม่ดีกว่าหรือหากผมรับหน้าที่นี้แทน

"ไม่มีอะไรที่แกทำได้หรอก"
พี่ตาพูด แววตาเหยียดหยามตามปกติของเธอ ผมนั่งลงข้างๆ

"ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะพี่ ผมอยากเรียนรู้งาน แบบที่พ่อต้องการ"
ผมพูด พี่ตานิ่ง

"อำนาจไม่ใช่สิ่งดี"
เธอพูดแล้วเหลือบมองผม..ผมไม่สามารถปิดบังเธอได้จริงๆ แต่ไม่ได้คิดจะยอมเเพ้

"ถ้าพี่คิดว่าไม่ดีก็เอามาให้ผม พ่อต้องการอย่างนั้น ผมก็ต้องการ"
ผมพูด พยายามทำตัวให้ดูสบายที่สุด ผมไม่อยากรีบร้อน ไม่ได้อยากจะฉกฉวยอำนาจทั้งหมดมาเป็นของตน
ผมแค่ต้องการให้พี่ตา'แบ่ง'มาให้ผมบ้าง

"ฉันอยู่ที่นี้ไม่ใช่เพราะความต้องการ..ช่วงเวลาที่แกหายหัวไปไม่รู้กี่ปี..อยู่ๆกลับมาอยากได้นู่นได้นี่ จะไม่เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อยเรอะ"

"ผมรู้..ผมรู้ ผมถึงไม่ได้รีบร้อนอะไร แค่อยากให้พี่ค่อยๆสอนผม ดูแลผม พี่จะได้วางมือจากงานนี้ได้ ผมจะรับช่วงต่อเอง"
ผมพูด มองหน้าพี่ตา พยายามทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวผม
พี่ตาดูลังเล ซึ่งไม่ใช่ลักษณะปกติของเธอนัก นั่นทำให้ผมมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอีก

"นะพี่.."

พี่ตามองผม ถอนหายใจ

"แกยังไม่พร้อม"

ผมขมวดคิ้ว กำหมัดแน่น พี่แค่หวงอำนาจ..เธอแค่ไม่อยากแบ่งมันมาให้ผม เธอกลัวว่าผมอาจทำได้ดีกว่า

"ตรงไหนที่ผมไม่พร้อม"

พี่ตาลุกขึ้น ก้มหน้ามองผม

"ถ้าแกคิดว่าพร้อมจะทิ้งทุกอย่างได้จริงๆ.. ไม่ว่าครอบครัว หรือเพื่อนรัก นั่นแหละแกถึงจะพร้อม"
เธอพูดกับผม เน้นคำว่า'เพื่อนรัก'เป็นพิเศษ
แววตาของเธอไม่เหยียดหยามอีกต่อไป ทว่าหนักแน่น ราวกับคนที่ผ่านการตัดสินใจครั้งสำคัญมานับไม่ถ้วน

"ถ้าเข้าใจแล้วอย่ามาคุยกับฉันเรื่องนี้อีก"
ผมนิ่ง ยังไม่อยากยอมแพ้จริงๆตามนิสัยคนหัวดื้อ

"ฉันเองก็ทิ้งทุกอย่างมาเเล้วเหมือนกัน ถ้าแกทำได้ ฉันอาจรับไว้พิจารณา"
พี่ตาพูดแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป เธอจบบทสนทนากับผมแบบไม่อยากต่อความอีก ผมเอนตัวลงโซฟา ในใจก็คิดถึงอนาคตตัวเอง ..สารภาพว่ามีไม่กี่ครั้งในชีวิตจริงๆ ที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างโดยคิดถึงอนาคต

ผมตัดสินใจเอาภาพที่สองให้มาดูอีกครั้งเพื่อฆ่าเวลา
ผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวหันหลังให้กล้อง กล้องถ่ายมุมสูงเห็นใบหน้าคนรักของสองที่หลับตาอย่างชัดเจน
ถ้าไม่หลับตาพริ้มเพราะกำลังเคลิ้ม ก็คงเพราะยาสลบ ไม่ก็แอลกอฮอล์
ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นหนึ่งในแผนของไอ้วินด์..ไม่สิ..เป็นแผนของมันแน่ๆ

มันที่ชอบทำทุกอย่างให้ดูเป็นเรื่องบังเอิญ
ดูเป็นเรื่องไกลตัวมันที่สุด..มันจะรู้หรือเปล่านะว่าไอ้นิสัยอย่างนี้ของมัน ทำให้เมื่อผมเห็นอะไรบางอย่างที่ดูจะเข้ากันไม่ได้ แต่'บังเอิญ'ส่งผลเกี่ยวเนื่องกันเเบบประจวบเหมาะเจาะ ผมจะคิดถึงมันขึ้นมาทันที

เรียกได้ว่าเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของมันก็ว่าได้

จะว่าไปผมพึ่งเคยเห็นหน้าพี่กฤษณ์ของสองเป็นครั้งเเรก..
แต่ทำไมกันนะ..ผู้ชายในภาพถึงได้ดูคุ้นตาเหลือเกิน

"กลับมาบ้านเร็วนะวันนี้"
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น ผมหันไป เจอชายหนุ่มผิวขาวจัดผู้มีใบหน้าสะอาดหมดจด ดวงตาหยีเล็ก และมีรอยยิ้มบนใบหน้าเเทบจะตลอดเวลา..พี่ชายคนโตของผม ทายาทอันดับหนึ่งของครอบครัว พี่ชายผู้ซึ่งพ่อและเเม่ภาคภูมิใจ ชายผู้กุมอันดับหนึ่งของผู้บริหารเเถวหน้า เขาไม่ใช่นักธุรกิจเหมือนผม ไม่ใช่เจ้าแม่ผู้มีอิทธิพลเหมือนพี่ตา เเต่เป็นผู้บริหาร ผู้ซึ่งอยู่ในแสงสว่างและได้รับความเคารพ ..

เขาน่าภาคภูมิใจ..แต่ไม่ต่างกัน ผมเกลียดเขา
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำไม

"หือม์ สนิทกับยัยตาแล้ว ไม่อยากสนิทกับพี่บ้างเหรอครับ"
พี่ชายคนโตพูดก่อนจะถอดเสื้อนอกออกพาดบนโซฟา แล้วนั่งลงข้างๆผม ผมหรี่ตา ไม่อยากไว้ใจเขา

"ถ้าสนิทกับพี่แล้วได้ไปนอนใส่น้ำเกลือแบบพ่อ ผมขอเป็นศัตรูกับพี่ดีกว่า"
ผมพูด พยายามยิ้มกลับ
มันมีคนบางประเภทที่คุณจะรู้ตัวว่าสู้ยังไงก็ไม่มีทางชนะ

พี่โต๊ะเป็นคนประเภทนั้น
เขาไม่สนใจจะคุกคามผม ซึ่งเป็นเรื่องดี พี่ชายหยิบภาพที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดูโดยไม่ได้ขออนุญาต
เขาทำด้วยความเคยชินของคนมีอำนาจ

"มีคนส่งมาแบล็กเมล์ยัยตาเหรอครับ"
พี่ชายพูดแล้วยิ้มอย่างนึกสนุก แต่ผมประหลาดใจ

"เกี่ยวอะไรกับพี่ตา"
ผมถาม

"ก็ผู้ชายคนนี้เป็นจุดอ่อนของน้องตานี่นา.."
พี่ชายยิ้มตาหยีก่อนจะเอียงคอมองผม ผมขมวดคิ้ว ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

...................................

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ตอนที่ 17:สีฟ้าครามจัดจับตา

ผมเดินลงมาจากเครื่องบินชั้น first class พร้อมกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เสื้อยืดเเบรนด์เนมสีขาว กางเกงยีนส์ราคาแพง รองเท้าพละยี่ห้อดัง

แว่นตาดำถูกถอดออก

และผมก็เห็นเขา

ชายหนุ่มร่างสูง ผมดำเข้มเหมือนดวงตา โครงหน้าชัด จมูกโด่ง และริมฝีปากรับกับใบหน้า
เขายืนอยู่ตรงนั้น สวมเสื้อเชิร์ตลายหมากรุก กางเกงขาสั้น รองเท้าเเตะสีส้ม ในมือถือถุงหมูปิ้ง(?!)

เมื่อเขาเห็นผม สีหน้าดูกังวลใจ
ผมก้าวยาวๆเข้าไปหา

"กูขอโทษ"
ร่างสูงพูดเสียงอ่อยๆก่อนจะก้มหน้ามองพื้นอย่างสำนึกผิด
ผมเงียบ

ความจริงผมหายโกรธพี่กฤษณ์เเล้ว
แต่พอเห็นคนตรงหน้ามีท่าทางหงอยเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง จึงอดนึกสนุกไม่ได้

"เป็นไง สนุกไหม"
ผมถาม เสียงเย็น มองหน้าพี่กฤษณ์อย่างเอาเรื่อง

"เอ่อ..กูไม่รู้ตัว..เลยไม่รู้"
พี่กฤษณ์ตอบ มองไปทางอื่น ท่าทางเลิ่กลั่ก ผมพยายามกลั้นขำสุดชีวิต

"แล้วนั่นอะไร"
ผมถาม มองไปยังถุงหมูปิ้งในมือชายตรงหน้า

"หมูปิ้ง..เผื่อ มึงหิว เดินทางมาแต่เช้า"

"รู้ไม่ใช่เหรอกูชอบขนมเค้กอ่ะ.."
ผมถามพยายามทำสีหน้าจริงจังที่สุด

"ไปกินไหมหละ กูพาไป"
ผมกอดอก เชิดหน้า

"กับเด็กคนนั้นพาไปป้ะ"

"เด็กคนไหนอ่ะ"

"นี่มีหลายคนเหรอ กูไม่อยู่แปปเดียว "
ผมพูดเสียงเข้ม ขมวดคิ้ว.. กูจะโมโหจริงๆแล้วน่ะเนี่ย

"คนที่มึงมีเซ็กส์ด้วย ผมยาวๆสีน้ำตาล"
ผมพูด พยายามคิดถึงภาพข้างหลังของเธอจากรูปภาพพวกนั้นให้น้อยที่สุด

"..น้องไอเหรอ..ก็ เคยพาไปอยู่กับยัยแก้ว แต่ภาพนั้นมัน..กูไม่รู้เรื่องจริงๆ"

ผมพยักหน้า

"กูเข้าใจ..มันอาจไม่ใช่ความผิดมึง.."
พี่กฤษณ์มีสีหน้าดีขึ้น

"..ไม่ใช่ทั้งหมด"
เขากลับมาทำหน้าหงอย หูตกเหมือนเดิม
ผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องวินด์ให้พี่กฤษณ์ฟังเมื่อกลับไปถึงไร่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเวลาของเรา ไม่ใช่ของเรื่องมัน

ผมกวักมือเรียกพี่กฤษณ์ให้มาใกล้ๆ

"เอาหมูปิ้งเหรอ?"
เขาถามก่อนจะยกถุงหมูปิ้งให้ผม ผมรับมา ยืดตัวขึ้น ก่อนจะจูบเขาเบาๆ

"เปล่า กูแค่คิดถึงมึง"
ผมกระซิบ พี่กฤษณ์เบือนหน้าไปทางอื่น ใบหูแดง เขายกมือขึ้นจะลูบหัวผม แต่ผมจับไว้ก่อน

"มึงยังอยู่ในช่วงคาดโทษ ห้ามเเตะตัวกู"
ผมพูดก่อนจะยื่นกระเป๋าเดินทางให้ แล้วเดินนำออกไปแบบเท่ประดุจนายแบบจากนิตยสาร(จริงๆ)

..................................

"รถมึงจอดอยู่ไหนวะ"
ผมถาม หันหน้ามามองคนที่เดินตามมา พี่กฤษณ์ทำหน้าเซ็งๆ

"ไม่รู้แล้วเสือกเดินนำ จะเดินกลับเองรึไง"

"เออ งั้นกูกลับ!"
ผมพูดก่อนจะถูกดึงแขนจากคนข้างหลัง

"กูขอโทษ! งอนเป็นเด็กผู้หญิงเลยนะมึง"

"มึงชอบเด็กผู้หญิงไม่ใช่รึไง ไอ้ลุงวิตถา..."
ผมยังพูดไม่จบพี่กฤษณ์ก็ดึงผมเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะก้มหน้ามาใกล้ๆ ผมหลับตา..

"..เผี้ยะ!"

"ไอ้พี่กฤษณ์! มึงดีดหน้าผากกูทำไมม"
ผมโวยวาย หน้าแดงนิดๆ..ก็ผมคิดว่ามันจะจูบผมนี่ ใครๆก็ต้องคิดทั้งนั้น! ผมลืมไปว่านี่มันไอ้พี่กฤษณ์!
คนที่ต่อมโรแมนติกมันตายด้านไปไม่รู้กี่ชาติแล้ว!! ผมจะไปคาดหวังอะไรกับมันได้!

"ไม่รู้ ก็มึงมันน่าดีด"

"เห็นกูเป็นลูกแก้วรึไง!"

"แล้วเมื่อกี้มึงหลับตาทำไมวะ แมลงเข้าตาเหรอ"
แมลงพ่องงงง...ผมเม้มปาก หน้าแดง ไม่รู้จะโมโหหรือขำดี อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง!
ผมหงุดหงิด ดันหลังไอ้พี่กฤษณ์ให้รีบๆเดินไปขึ้นรถ

..................................

"ทำไมมานี่อ่ะ.."

ผมถามเมื่อเห็นเส้นทางที่พี่กฤษณ์ใช้ มันไม่ใช่ทางกลับไร่เลยสักนิด

"พามากินเค้ก"

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์..ไอ้พวกพูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจนี่ทำให้ผมเขินทุกทีเลยสิน่า..

"มองไรวะ กูดูแลดีใช่ปะ สนใจมาอยู่ข้างๆกูป่าว"
พี่กฤษณ์พูดยิ้มๆ ผมทำเป็นมองออกไปนอกรถ ..มึงจะทำให้กูเขินทำเหี้ยอะไรนักหนา.. นี้ไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่นนะเว้ย!

"กูก็อยู่อยู่นี่ไง"
ผมพูดเบาๆ พี่กฤษณ์ผิวปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ผมมองบรรยากาศรอบตัว ท้องฟ้าสีครามจัดจับตา แดดร้อนๆ
รถเก่าๆวิ่งไปบนถนนกว้างใหญ่ มีตึก มีบ้านเรือนที่ไม่แออัด มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ ..

แค่ช่วงเวลาเเบบนี้ที่ผมอยากจะเก็บเอาไว้ให้นานที่สุด

ผมเริ่มฮัมเพลงไปพร้อมๆกับพี่กฤษณ์
เมื่อมีใครสักคนร้องผิด เราจะหัวเราะ และดึงดันที่จะร้องต่อให้จบ

บางทีการแสดงออกทางความรักอาจไม่ใช่แค่จูบ มีเซ็กส์ หึงหวง หรือพูดหวานๆ
แต่มันอาจเป็นแค่การร้องเพลงเพี้ยนๆ ในวันที่อากาศร้อนจัด และในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีครามจัดจับตา

..................................

"กูชอบชีสเค้ก"
ผมพูดหน้าบึ้งเมื่อเห็นพี่กฤษณ์ยกเลิกชีสเค้กที่ผมสั่งออก เหลือแต่พวกเค้กผลไม้กับช็อกโกแลต

"เดี๋ยวไปชิมที่ไร่ รีวิวด้วยว่าต้องแก้ไขอะไร ยังอยู่ในรุ่นทดลอง"
พี่กฤษณ์พูดยิ้มๆ ผมเบิกตาโต

"จริงอ่ะ?!"
เขาพยักหน้า

"ที่กูโคกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ก็เรื่องชีสนี่แหละ กำลังจะเปิดเฟรนไชส์เป็นร้านชีสเค้กกับพวกนมที่มาจากผลิตภัณฑ์ในไร่ที่มีหลายจังหวัด..ตอนแรกกูไม่แน่ใจนะ แต่พอคิดถึงมึงตอนกินชีสเค้กนี่กูตกลงทันทีเลย"
ผมยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ดีใจที่พี่กฤษณ์คิดถึงตัวเอง

"ก็เมียกูชอบกิน เปิดเองกินเอง เงินทองไม่รั่วไหล"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มกว้างกว่าผมเสียอีก ผมหุบยิ้ม หน้าแดงจัดอีกครั้ง ..เมื่อไหร่กูจะเลิกอายมันเป็นสาวน้อยเสียทีวะ?!!

"ตามใจมึงละกัน เดี๋ยวถึงไร่แล้วเอามาให้กินด้วยล่ะ"
ผมไม่ปฏิเสธ(เขินสัส นี่กูยอมรับอย่างกลายๆแล้วเหรอเนี้ย?!) พี่กฤษณ์มองผมกินอย่างไม่รู้สึกรู้สา..

เอ่อ..กูเข้าใจน้องแก้วล่ะ
มึงไม่ชอบกินของหวาน แล้วเวลากูกินก็กดดันกูเหลือเกิน!

"มึงอย่ามองได้ป้ะ"

"ทำไมวะ มึงตอนกินก็ดูน่ารักออก"

กูรู้..เอ๊ย!! ไม่ใช่!! มันอึดอัด! กูชอบกิน กูมีความสุขกับของหวานของกู แต่ไม่ได้อยากกินให้มึงมอง
ผมได้คิดอีกหนึ่งอย่าง แม้จะเป็นคนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรด้วยกันเสมอ..
คราวต่อไปถ้าอยากกินขนมหวาน ผมชวนน้องแก้วมากินด้วยดีกว่า น่าจะมีความสุขกับการกินมากกว่าโดนไอ้พี่กฤษณ์มานั่งจ้องอย่างกับจิตแพทย์แบบนี้!

หลังจากกินเสร็จ ผมก็ซื้อเค้ก 1 ชิ้นไปฝากน้องแก้ว
ก่อนที่จะเดินทางกลับไปไร่ ,กลับไปบ้าน

..................................

"พี่สองงงง คิดถึงจังเลย"
เสียงแหลมนำมาก่อนตัว น้องแก้ววิ่งมาก่อนจะกระโดดกอดผม ผมเซไปชนพี่กฤษณ์ที่เข้ามารับได้พอดี
...อย่างกะในนิยาย!!

"หื้มม อย่างกะในนิยาย!!"
น้องแก้วพูด ผมอมยิ้ม เป็นคอนิยายหวานแหววด้วยเรอะเรา ตัวเล็กแค่เนี้ย ผมมองด้วยความเอ็นดู
พี่กฤษณ์ส่ายหัวก่อนจะยื่นมือไปยีหัวน้องแก้ว

"ร่าเริงขึ้นก็ดีแล้ว พี่สองจะมาอยู่นานเลยนะรอบนี้ เดี๋ยวพี่พาสองไปเก็บของก่อน"
น้องแก้วพยักหน้า ก่อนจะพูดเบาๆกับผม

"ร่าเริงขึ้นอะไรเล่า..แก้วไม่ได้เศร้าสักหน่อย..ตอนที่พี่สองไม่อยู่มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะเเยะเลยค่ะ..เดี๋ยวแก้วเล่าให้ฟังนะ"
ผมพยักหน้า ผมอยากฟังแน่นอน และไม่อยากเห็นน้องแก้วเศร้าด้วย ผมยื่นเค้กที่ซื้อมาฝากให้สาวน้อยตรงหน้า เธอยิ้มกว้างก่อนจะขอบคุณผม ผมเดินตามพี่กฤษณ์ไปขึ้นรถ ไปบ้านพักของตน

..................................

"ทำไมมาทางนี้อ่ะ"
เอาอีกแล้ว! ไอ้พี่กฤษณ์ พาออกนอกเส้นทางอยู่เรื่อย! ที่บ้านหลักมีเวลาอาหารเย็นที่ชัดเจนคือประมาณ 18.00 น.
ถ้าเขาพาผมไปเที่ยวเล่นจนทำให้ผมไม่ได้ทักทายช่วงอาหารเย็นกับคุณลุงคุณป้า ผมจะโกรธเเน่ๆ

"ก็ไปบ้านไง"
พี่กฤษณ์พูด ผมมองด้วยความสงสัย
แต่แล้วคำถามก็หายไปเมื่อรถมาถึงสถานที่เป้าหมาย บ้านของพี่กฤษณ์

"กูจะให้มึงไปนอนเรือนรับรองได้ไง"
พี่กฤษณ์พูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เขาถือข้าวของให้ผมก่อนจะเดินนำขึ้นบ้านไป

บ้านของพี่กฤษณ์เป็นบ้านสองชั้นขนาดกลาง ตกแต่งอย่างอบอุ่นและน่าอยู่
มันคือรูปแบบของบ้านพักตากอากาศที่แท้จริง
รอบๆมีทุ่งหญ้า ด้านหลังมีไร่ดอกดาวเรือง(โครงการที่พี่แกเคยคิดทำไว้) หน้าบ้านมี..ไก่ เป็นสัตว์เลี้ยง(คนอะไรเลี้ยงไก่เป็นสัตว์เลี้ยงวะ?!!!) ผมเห็นลูกจิ๊บ(ลูกไก่สีเหลืองๆ(กูจะวงเล็บอธิบายอะไรนักหนาวะ))อยู่ในไอ้คอกๆไม้สักอย่างที่สานๆกันเป็นรูปโดม

"พี่กฤษณ์!! ลูกจิ๊บนี่ชื่ออะไรวะ!"

"จิ๊บพ่อง! นั่นมันลูกเจี๊ยบ"
พี่กฤษณ์ตะโกนมาจากในบ้าน

"เออนั่นแหละ! ชื่ออะไร กูจะได้เรียกถูก!"
ผมถามพลางคิดเล่นๆว่าเราอยู่กันสองคนในบ้านที่อบอุ่น มีลูกจิ๊บลูกเจี๊ยบเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก ..ผมอมยิ้มเล็กๆ

"ชื่อไก่ต้มกับไก่ย่างว่ะ!!"
พี่กฤษณ์ตะโกนตอบ ผมหุบยิ้ม เดินเข้าบ้านไปอย่างเซ็งๆ
คนรักของผมท่าจะขาดน้ำตาลขนาดหนัก!! ใครมีคอร์สสอนรบกวนทักแชทมาทีนะครับ ผมอยากใช้บริการ!

..................................

ผมมองผ่านหน้าต่างห้องนอนไปที่ทุ่งดอกดาวเรือง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีครามจัดจับตา
ภาพที่เห็นนี้ช่างงดงามอย่างบอกไม่ถูก

สักพักไหล่ก็รู้สึกถึงน้ำหนักของคนที่มาคลอเคลีย

"มึงใช้แป้งเย็นเหรอนี่ หอมสัส"

ผมไม่พูดอะไร..กูรู้มึงติดเเป้งเย็นตรางูไอ้พี่กฤษณ์! กูเลยใช้หลังอาบน้ำไง แผนล่อมึงนั่นแหละ!(เฮ้ย เดี๋ยวๆ หลุดๆๆ)
เมื่อเห็นผมไม่ได้ขัดขืน(แล้วกูจะขัดขืนทำไม?!) พี่กฤษณ์ก็ยิ่งได้ใจ มือเริ่มซุกซนอยู่บริเวณหน้าอกผม
ลำตัวช่วงล่างก็เริ่มบดเบียดเข้ามาหนักขึ้น ผมใช้มือดันขอบหน้าต่างไว้เมื่อเริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักที่ดันมาจากด้านหลังรุนเเรงขึ้น

"เดี๋ยว"

"อะไร.."
พี่กฤษณ์พูด ยังไม่หยุดคลอเคลียผม

"กูยังไม่อยากตกหน้าต่างตาย"

..................................

ผมนอนหอบอยู่บนเตียง เปลือยเปล่า มีพี่กฤษณ์นอนทับอยู่ ส่วนใหญ่ร้อนของพี่กฤษณ์ยังคงอยู่ในตัวผม
เขาขยับตัวเบาๆ

"..พอแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทัน"
ผมมองไปที่หน้าต่างห้อง ท้องฟ้าจากสีครามจัดจับตา เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง

"พึ่งครั้งเดียวเอง.."
พี่กฤษณ์พูดเสียงพร่า เขาซุกจมูกกับซอกคอผม พยายามคลอเคลีย เหมือนโดนเสือตัวใหญ่ๆมาอ้อนยังไงยังงั้น

"มีเวลาตั้งเยอะน่..อ๊ะะ.."
ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อพี่กฤษณ์เริ่มขยับตัวอย่างหนักหน่วงขึ้น มือหนาจับสะโพกของผมเร่งจังหวะให้การสอดประสานลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมที่ตอนแรกจะห้าม กลับเปลี่ยนเป็นครางเสียงหวานแทน

"อะ..ลึกจัง..อ๊าา..พ..พี่กฤษณ์.."

"อา..สอง..พี่จะไม่ไหวแล้ว"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเพิ่มความเร็วเเละเเรงเหมือนรู้ว่าผมชอบ ผมครางไม่ได้ภาษา ในหัวว่างเปล่า
ความสุขปนทรมานระลอกแล้วระลอกเล่าผ่านไป

พี่กฤษณ์ดูจะหิวในตัวผมเหลือเกิน
ทุกๆครั้งหลังจากจบไปรอบหนึ่ง เขาจะเป็นคนเริ่มก่อน และดูไม่มีทีท่าว่าจะพอเสียที

ผมมองไปที่หน้าต่าง ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามจัดจับตา เปลี่ยนเป็นสีส้ม
พี่กฤษณ์อุ้มผมขึ้นนั่งบนตัก ก่อนจะใช้สองมือจับสะโพกผม ยกขึ้น และเเทรกช่วงลำตัวที่เเข็งชูชันเข้ามา
เมื่อเห็นผมมองไปที่หน้าต่าง พี่กฤษณ์จึงพูดข้างๆหูผมด้วยเสียงแหบพร่า

"รอบสุดท้าย กูสัญญา"

ผมใช้แขนคล้องคอพี่กฤษณ์ ก่อนจะกดน้ำหนักลงบนส่วนใหญ่ร้อน

"บอกไปว่ากูไม่สบาย.."
ผมพูดก่อนจะขยับตัวนำจังหวะให้พี่กฤษณ์

ผมไม่สนว่าท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีอะไร

เพราะผมรู้ดี..ไม่ว่ายังไง สุดท้ายวันพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะกลับมาเป็นสีแบบที่ผมชอบอีกครั้ง..

สีฟ้าครามจัดจับตา





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2017 22:36:20 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

สวัสดีค่ะ! กลับมาพบกันอีกแล้วกับแก๊งค์นิยายโรแมนติกคอเมดี้ From NYC to KK ค่ะ!! :impress2:

สำหรับตอนที่ 16 --เราได้รู้ความคิดของตั้มเพิ่มขึ้น อดีตนิดหน่อย(เก็บไว้อีกเช่นเคยค่ะ! อดีตมันเยอะ เอาพอเป็นโฆษณาก่อน!)
กับเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของเขา รวมถึงได้รู้ปมของพี่ตาเพิ่มมาอีกนิดหน่อย(?!) อย่างที่ทุกคนทราบดี
พี่ตาเคยบอกตั้ม รวมถึงตั้มก็เล่าให้เราฟังบ่อยๆว่า พี่ตากับเฮียหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน..
แต่อย่าลืมนะคะ..พี่กฤษณ์เองก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเฮียหนึ่งเหมือนกัน..แสดงว่าเรื่องนี้อาจมีsomething!
เฮียโต๊ะบอกว่าพี่กฤษณ์เป็นจุดอ่อนของพี่ตา..เอ๊ะ ยังไง?!! :z2:
ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ! ตั้มเองได้บอกสองในตอนที่ 15 ว่าครั้งนี้จะตามมาขอนแก่นด้วย! (เรื่องนี้อาจเเซ่บเว่อร์!)

ส่วนตอนที่ 17 เป็นการกลับมาของคู่รักประจำเรื่องโรแมนติกคอเมดี้(ขอบใจที่ยังจำได้!! :เฮียกฤษณ์)
มาย้ำความรักของพวกเขาค่ะ ผ่านมาหลายตอนแล้วอาจจะลืม! ความรักที่ไม่ค่อยหวือหวาเร่าร้อน แถมยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นๆแบบกวนตีนเล็กๆ(?) น่าแปลกที่ความรักประเภทนี้มักจะมั่นคงกว่ารักแบบดูดดื่ม(ทั้งจากสถิติงานวิจัยและชีวิตจริงนะคะ)
ก็เดี๋ยวมาดูกันว่าตัวจริงกลับมาแล้วจะมีใคร'กล้า'มาวอแวอีกไหม!! หนูไอคนงามจะเป็นตัวละครใช้แล้วทิ้งจริงๆเหรอ?!!
 เจ้าวินด์จะยอมถอยไปก่อนหรือ'หลุด'ไปแล้ว.. :hao3:

แต่อย่างที่เคยบอกไว้ค่ะ สัญญาเลยว่าเมื่อเป็นเจ้าวินด์แล้วเเทบจะไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเลยค่ะ! :z3:

(สารภาพว่าขณะเขียนก็อยากเขียนนิยายเฉือดเชือนคมไม่โรเเมนติกไม่คอเมดี้ โดยมีตัวเอกเป็นเจ้าตั้ม เจ้าวินด์ ที่เกลียดกันเข้ากระดูกดำ มีเจ้าโจเซฟ พี่เปรม เฮียโต๊ะ เฮียหนึ่ง เจ๊ตา มาเชือดเฉือนกันมันส์หยดติ๋งมากๆ
แต่นั่นคงเป็นเรื่องหลังจากนี้อีกนานมากค่ะ! )

สุดท้ายผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตาม :-[
ทั้งที่มาคอมเม้นต์ให้ชื่นใจอยู่เรื่อยๆ หรือเพียงกดหลงเข้ามาก็ตามทีค่ะ

ผู้เขียนเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก ทำเพราะความสนุกและความรักล้วนๆ
ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนค่ะ(ผู้เขียนมีเงินทองมากมายค่ะ ไม่รู้จะหาเอาไปทำอะไร!(ฮา))

เพียงได้เห็นนิยายที่ตัวเองแต่งโลดเเล่นอยู่ในใจ ในความคิดคนอ่าน
ทำให้สนุก ขบคิด เพลิดเพลินได้ ผู้เขียนก็ดีใจมากแล้วค่ะ

ปล.ว่างจากราวน์วอร์ดมาพิมพ์ค่ะ(หมอร้องคนไข้ร้อง!) :o12:

 :bye2:
#Anynomous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2017 02:11:45 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0


ดีจัง..........ตั้ม มาช่วยได้ทัน
วินด์เผยตัวไว เพราะแน่ใจว่าภาพที่ส่งมาได้ผลสินะ
แต่เหนือวินด์ ยังมีตั้ม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

สอง ทำตามที่ตั้มแนะนำน่ะถูกต้อง
แม้สอง ไม่รู้ถึงความรู้สึกของตั้ม
แต่ตั้มเป็นเพื่อนแท้ที่ตรงข้ามกับวินด์
แบบยอดเขา กับก้นเหวเลย

ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นมอมเหล้า วางยาพี่กฤษณ์หรือเปล่า
รอสองกับพี่กฤษณ์เจอกัน
เจ้าของตัวจริง ไปแสดงตัวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ถูกต้องเลยค่ะ! วินด์แน่ใจและเป็นประเภทมั่นใจในตัวเองสุดๆ
เเถมเราก็รู้แล้วว่าวินด์นั้น'ชอบ'เห็นน้ำตาสองมากขนาดไหน
เวลาสองทำอย่างนั้น เขาจึง'หลุด'ค่ะ!  :z3:

ตั้มนี่ตรงข้ามกับวินด์จริงๆนะคะ เป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกันมาก(ไม่ใช่ในความหมายโรเเมนติก!) พวกเขาเดินเกมกันได้ดีทั้งคู่ค่ะ แต่สังเกตดู ในขณะที่วินด์จะคิดว่าตัวเองฉลาด บงการใครๆได้ คู่ควร ตั้มจะคิดว่าตัวเองโง่ ด้อยค่า เดินทางผิด อะไรแบบนี้ตลอดค่ะ (แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าพวกเขาฉลาดกันทั้งคู่นั่นแหละ ตัดสินใจได้ดีแบบที่ถ้าผู้เขียนเจอกับตัวอาจไปต่อไม่ถูกด้วยซ้ำ)

ความรักของพวกเขามีมากมายจริงค่ะ แต่สุดขั้วไปคนละเเบบ
ส่วนไอ้พี่กฤษณ์พระเอกตัวจริงก็ไม่ค่อยรู้หนาวรู้ร้อนอะไรค่ะ เป็นพวกเหนือดราม่าทั้งปวง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน! :laugh:

สองต้องไปดูแลตาลุงแล้วแหละ  :hao3:

จัดไปค่ะ!! ไม่รู้ใครจะดูแลใคร แต่พอสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วรู้ทันที เรื่องนี้เป็นโรแมนติกคอเมดี้นี่นา! ไม่ใช่ดราม่าแอคชั่น!!(ตัดภาพไปที่เกมการเมืองของตั้มกับวินด์) o18

จัดการการวินด์เลยค่ะคุณตำรวจ

อยากทำมากค่ะ! แต่วินด์เป็นตัวละครที่ฉลาดจัด ทำอะไรหาหลักฐานยากมากค่ะ :angry2:
ต่อให้มีหลักฐานก็ยังยากจะจับตัวได้เหมือนเดิม..มีแค่พวกนอกกฎหมายเหมือนกันเท่านั้นเเหละค่ะที่พอจะสู้ได้(เศร้า)

สอง..มาเอาไอ้เพื่อนบ้าของแกไปเก็บด่วน :a5:

เรียกว่าบิดเบี้ยวเเบบเพี้ยนๆคงไม่พอแล้วล่ะค่ะ ..วางใจไม่ได้เลยนะ เจ้าวินด์คนนี้! :z3:

#Anynomous

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
«ตอบ #39 เมื่อ29-11-2017 23:09:27 »


ตอนที่ 18:แผนการ

ผมลืมตาตื่นมาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเตือนไว้เพื่อปลุกของพี่กฤษณ์
ส่วนเจ้าของโทรศัพท์นั้นนอนหลับอย่างสบายใจ แขนหนักๆทับตัวผม(เขาเรียกว่ากอดไหม?)
ขาหนักๆก็ทับผมเหมือนกัน...มึงคิดว่ากูเป็นเบาะนอนหรือไง?!!

"พี่กฤษณ์..พี่กฤษณ์..ไอ้พี่กฤษณ์ ลุก"
ผมพูดก่อนจะผลักตัวของพี่กฤษณ์ออก แต่ไอ้เสือตัวใหญ่นี้ไม่ยอม เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด ก่อนจะงึมงำๆอะไรสักอย่าง

"..หือ ว่าไงนะ"

"ขอหน่อยได้ป่าวรอบนึง"

"สัส!"
ผมพูดก่อนจะใช้เท้าถีบไอ้พี่กฤษณ์แล้วลุกไปเข้าห้องน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเดินเข้าห้องมาดูเเละเห็นว่าเขายังนอนอยู่ที่เดิม..

"ลุกๆ อย่าขี้เกียจ!"
ผมพูดอย่างจริงจัง เริ่มดุขึ้น เนื่องจากเวลาทานอาหารของเรือนหลักคือ 8.00 น.
และผมไม่อยากพลาด(จริงๆ...)

"นะครับ..น้องสองง"
ไอ้พี่กฤษณ์ยังงัวเงีย เขายกแขนขึ้นน้อยๆอย่างมีความหวัง..
ถ้ามึงอยากให้กูโผเข้ากอดแบบเด็กๆของมึง..มึงคิดผิด! ผิดมาก!
ผมกอดอก ส่ายหัว

"จะลุกไม่ลุก เมื่อวานก็ยังไม่ได้เคลียร์กันเลยนะ ..หรือไม่อยากให้กูไปเจอน้องแก้วกับลุงชัย มีความลับอะไรปิดบังหรือไง"

..ได้ผล! แหม..รีบเด้งตัวออกจากที่นอนอย่างกับติดสปริง!

"..เปล่าๆ มึงนี่..อยากคุยไรก็คุยกูจะไปห้ามได้ไง"

"อย่าให้กูรู้นะว่ามึงเริ่มกับน้องเขาก่อน"
ผมพูด มองหน้า พี่กฤษณ์ส่ายหัวจนเป็นพัดลมเบอร์ 5 (กูเปรียบเทียบอะไรของกูเนี่ย..)
ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยนะครับ นอกจากผมจะเป็นคนขี้หวงแล้ว ผมยังน่ากลัวมาก..ถ้ากูรู้ว่ามึงเป็นคนเริ่มนะไอ้พี่กฤษณ์

"อ้าว เงียบ เงียบ สงสัยง่วงง กูไปอาบน้ำละ"
ไอ้พี่กฤษณ์เดินมายีหัวผมก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป
..ดูมัน คนปกติถ้าไม่มีความลับเขาจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไหม?! อย่าให้จับได้นะ.! มึงตาย!

หลังจากพี่กฤษณ์อาบน้ำเสร็จก็ดูเหมือนเขาจะตื่น(?)มากขึ้น

"ปะ ไปกัน"
ผมพูด แต่พี่กฤษณ์หยุด..เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ขมวดคิ้ว

"มึงไปใส่เสื้อแขนยาวไป"
ผมเอียงคอ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าที่แขนมีรอยดูดจ้ำๆสีแดง..

"ร้อนสัส"

ผมพูด ส่ายหัว คือไอ้รอยเนี่ย มึงก็เป็นคนทำ แถมกูก็มีทั้งตัวแหละ ถ้าปิดแขนก็ต้องปิดคอ นี่โชคดีกูใส่กางเกงยีนส์ เลยไม่ต้องปิดขาเพิ่มอีก!

"ไม่เอา..ไปใส่"
พี่กฤษณ์พูดเสียงอ้อนๆ เหมือนจะรู้ว่าถ้าสั่งผมจะไม่ทำตาม

"แล้วคอกูต้องปิดป้ะ"

พี่กฤษณ์พยักหน้า

"เหลือแต่ห่มจีวรใส่โม่งละสัส จะได้ไม่เห็นรอย! ใครเค้าจะมาสนใจ!"
ผมพูด อาจเป็นเพราะผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็แค่รอยหลังมีเซ็กส์
ใครจะมาว่าอะไรเราได้ สิทธิใครสิทธิมันหรือเปล่าวะ?!!

"แต่กูสน"

เมื่อเห็นผมยังนิ่งเพราะถูกขัดใจ พี่กฤษณ์ก็พูดต่อ

"เห็นแล้วกูมีอารมณ์ ถ้ามึงไม่เปลี่ยนกูคงไม่ได้ทำงานว่ะวันนี้"

เขาพูดก่อนจะทำหน้าขอความเห็นใจ...ไอ้คนที่ควรขอความเห็นใจมันควรเป็นผมนี่!
ผมพยักหน้าอย่างเซ็งๆก่อนจะเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อแขนยาว หลังจากพี่กฤษณ์ตรวจดูความเรียบร้อยแล้วอนุญาตนั่นแหละ เราถึงได้เดินทางออกจากบ้าน

...................................

"ไอ้กฤษณ์นี่นะ น้องนุ่งมาไม่ดูแล ปล่อยให้ไม่สบายเสียได้ ดีนะวันนี้เป็นวันเสาร์"

ลุงชัยบ่นด้วยความระอาใจ หันไปมองพี่กฤษณ์อย่างเอาผิด วันนี้เป็นวันที่สองหลังจากเดินทางมาขอนแก่น
เรามาไม่ทันทานข้าวเย็นของเมื่อวาน จึงมาทานข้าวเช้าแทน

"ดูแลดีสุดๆแล้วลุง น้องมันดื้อเอง"
พอพี่กฤษณ์พูดแล้วมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ผมก็แทบอยากเอาหน้าซุกกับจานข้าวให้มันรู้เเล้วรู้รอด

"แต่บ้านเรานี่แขกคนมาพักอยู่เรื่อยๆเนาะ ตั้งแต่สองมา ก็มีวินด์ มีหนูไอมาอีก"
ป้าสมบัติพูดขึ้นก่อนจะยกจานอาหารมาเพิ่ม
ผมสังเกตเห็นพี่กฤษณ์มีสีหน้าเครียดขึ้น เมื่อป้าสมบัติพูดถึงไอ้วินด์และ..หนูไอ

"พี่วินด์น่ะหนูไม่ค่อยชอบเลย เเปลกๆ แข็งๆ ยังกะเเสดงละครยังไงก็ไม่รู้"
น้องแก้วพูดขึ้นก่อนจะโดนป้าสมบัติดุ

"เขาก็เป็นเด็กนอบน้อม อาจจะเงียบๆหน่อยเท่านั้นแหละ"
ป้าสมบัติรีบพูด อาจเพราะทุกคนรู้ดีว่าวินด์(เคย)เป็นเพื่อนผม เลยไม่อยากพูดอะไรตรงๆต่อหน้าผมนัก

"แต่แก้วชอบพี่ไอ! พี่สองต้องชอบพี่ไอแน่ พี่ไอสวยมาก น่ารัก ถ้าแก้วมีพี่สาวแก้วอยากมีแบบพี่ไอนี้เเหละ"
น้องแก้วพูดเจื้อยเเจ้ว พี่กฤษณ์เกือบสำลัก ผมมองหน้า

"เอ่อ..ไม่ใช่ยังงั้นนะคะพี่สอง! พี่ไอนะไม่ได้ชอบพี่กฤษณ์แบบแฟนหรอกค่ะ พี่สองสบายใจได้!"
พี่กฤษณ์พยายามพยักหน้าเห็นด้วย ผมเลิกคิ้ว..ไม่ได้ชอบแบบแฟน แต่นั่งขย่มตัวแฟนกูในห้องน้ำ
.. ถ้าชอบแบบแฟนคงจัดกันไปกลางเเจ้งเเล้วสินะ!

พี่กฤษณ์พยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง แต่ลุงๆป้าๆไม่ยอม พวกเขารายงานเรื่องพี่กฤษณ์กับน้องไอให้ผมฟังอย่างต่อเนื่อง
มีพี่กฤษณ์ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมฟังอย่างเงียบๆ ลุงป่องกับลุงชัยผลัดกันเล่าเเล้วหัวเราะขำท่าทางพี่กฤษณ์

"เอ็งนี่เป็นพวกกลัวเมียจัดสินะ! ฮ่าๆๆ"
ลุงป่องหัวเราะร่า พี่กฤษณ์บ่นงึมงำว่าผมดุ ผมมองเขาอย่างเย็นๆ แล้วเขาก็กลับไปนั่งหูตกเหมือนเดิม
นั้นยิ่งทำให้คนบนโต๊ะอาหารเฮฮาเข้าไปอีก

หลังจากทานข้าวเสร็จพี่กฤษณ์ก็ออกไปดูงานที่สำนักงาน ผมขออยู่บ้านหลักก่อน
เขาเองก็คงอยากให้ผมได้พักผ่อน จึงไม่ได้เซ้าซี้อะไร

ผมขึ้นมานั่งอยู่ในห้องกับน้องแก้ว

"นี้คือจดหมายของพี่ไอที่ทิ้งไว้ค่ะ..พี่วินด์ตอนที่รู้ว่าพี่ไอทิ้งจดหมายไว้ ดูโมโหมากเลย"
น้องแก้วพูดก่อนจะยื่นจดหมายให้ผม..ความจริงแล้ว เเม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่ผมก็ติดต่อกับน้องแก้วทางไลน์อยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นนอกจากรู้ความเคลื่อนไหวของพี่กฤษณ์จากเจ้าตัว นานๆทีผมก็ได้รู้จากน้องแก้วบ้าง

เห็นจดหมายแล้วดูโมโหอย่างนั้นเหรอ...
เขาอาจกลัวอะไรสักอย่าง..

มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กสาวที่ชื่อไอนี้จะถูกว่าจ้างมา

ผมรู้คนปกติเขาไม่ทำกัน..
แต่นี้มันไอ้วินด์..คนที่ทำได้ทุกอย่าง อย่างที่ผมเองก็นึกไม่ถึง..
ไม่อยากจะคิดว่ามันจะกล้าฉวยโอกาสทำอย่างนั้นกับผมได้ลง..ในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุด

มันอาจพูดเป็นร้อยๆครั้งว่ามันรักผม

แต่ผมขยะเเขยง

นาทีนี้แค่ให้คิดกลับไปเป็นเพื่อนมันเหมือนเดิมสำหรับผมยังทำไม่ได้
ผมไม่ใช่คนใจกว้าง ไม่ใช่พ่อพระ
ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร หรือจะโกรธหรือเปล่าที่ไอ้ตั้มทำกับมันอย่างนั้น หรืออยากจะทำอะไรกับผมมากกว่านั้น

แต่นี้ไม่ใช่ละคร แม้มันอาจจะดูเหมือนตัวร้ายจริงๆ

แต่ผมไม่ใช่นางเอก
และที่สำคัญไม่ใช่คนโง่พอที่จะโดนมันหลอกได้ซ้ำสอง

ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาปกป้อง
ผมใช้ชีวิตของตัวเองมาทั้งชีวิต ผ่านทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ร้าย
ตอนอยู่เมืองนอกก็เจอผู้คนมาหลากหลาย ทั้งเพื่อนดีเพื่อนไม่ดี
เจอทั้งคนจริงใจและคนหลอกลวง ไอ้หมอนี่กลายเป็นเพียงบทเรียนหนึ่งในชีวิตผม

และมันจะมีค่าแค่นั้น

"แต่หลังจากอ่านจดหมายเเล้วพี่วินด์ก็ไม่ได้ดูติดใจอะไรนะคะ..แก้วยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนแรกโกรธทำไม"

ผมฟังเก็บข้อมูลไป สายตาก็ไล่อ่านจดหมาย

'ถึง ทุกคน

ไอขอบคุณทุกคนที่ดูแลไออย่างดี
ไม่มีวันที่ไอจะลืมไร่แห่งนี้
มีที่ไหนอีกที่จะอบอุ่นและเรียกว่าเป็นครอบครัวได้อย่างแท้จริงเหมือนที่นี้
ทางที่ไอเลือกเดินจากมามันแสนสาหัส
เลือกเดินมาพบพี่กฤษณ์และทุกๆคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทางเลือกของไอ ขอร้องล่ะ

ช่วยอย่าลืมไอก็พอ..

ด้วยรัก

ไอ'

มันก็ดูเผินๆเหมือนจดหมายบอกลาธรรมดา..ผมขมวดคิ้ว

เธอต้องการจะบอกอะไรหรือเปล่า จะเป็นอะไรที่คนฉลาดเป็นกรดอย่างเจ้าวินด์ยังมองข้ามไปได้..

"แก้วคิดว่าไงกับจดหมายนี้..คิดว่าไอซ่อนอะไรบางอย่างไว้หรือเปล่า"
ผมถาม น้องแก้วทำตาโต

"พี่ไอจะทำอย่างนั้นไปทำไมคะ! ...ต..แต่ มันก็มีเรื่องแปลกๆอยู่"
น้องแก้วพูดก่อนจะชะงักเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอดูลังเล ไม่แน่ใจ

"เรื่องแปลกๆ?"
ผมถาม น้องแก้วพยักหน้ารับ

"คือไม่รู้แก้วคิดไปเองหรือเปล่า ตอนอ่านในใจ อ่านผ่านแวบๆก็ไม่ได้สังเกตอะไรหรอกค่ะ แต่แก้วชอบคิดถึงพี่ไอ เลยเอาจดหมายมาอ่านออกเสียงบ่อยๆ.."
เด็กหญิงนิ่ง ก่อนจะครุ่นคิด

"แล้วตอนอ่านออกเสียงมันสะดุดแปลกๆ ช่วงท้ายๆ ตรง ขอร้องละ ทุกทีเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แปลกไหมอ่ะ"
น้องแก้วถาม ขมวดคิ้ว ดูงงๆ ผมพยายามดูจดหมายอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยคที่ว่า ขอร้องล่ะ

แต่ก็มองไม่เห็นอะไร จนในที่สุด ผมจึงลองอ่านออกเสียง

'ถึง ทุกคน

ไอขอบคุณทุกคนที่ดูแลไออย่างดี
ไม่มีวันที่ไอจะลืมไร่แห่งนี้
มีที่ไหนอีกที่จะอบอุ่นและเรียกว่าเป็นครอบครัวได้อย่างแท้จริงเหมือนที่นี้
ทางที่ไอเลือกเดินจากมามันแสนสาหัส
เลือกเดินมาพบพี่กฤษณ์และทุกๆคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทางเลือกของไอ ขอร้องล่ะ

ช่วยอย่าลืมไอก็พอ..

ด้วยรัก

ไอ'

แล้วผมก็ได้พบคำตอบ..สิ่งที่ได้พบทำให้ตัวชาไปวูบหนึ่ง
การแบ่งประโยคนั่นเอง..ทุกประโยคดูเหมือนจะจบไปเป็นบรรทัดๆหมด ยกเว้นประโยคนี้ ..ทำไมไม่เขียนเริ่มต้นคำว่า ขอร้องล่ะ ลงบรรทัดใหม่.. หรือการขึ้นบรรทัดใหม่แต่ละครั้งมีความหมายอะไรสักอย่าง

..มีบางคำที่จำเป็นต้องอยู่คำแรกของทุกบรรทัด

ผมอ่านคำแรกของแต่ละบรรทัดในใจ

'ถึง ทุกคน ...ไอ ..ไม่ ..มี ..ทาง ..เลือก ..ช่วย..ด้วย ..ไอ'

ผมตกใจ..ถ้าสิ่งที่ผมคิดเป็นจริง ผู้หญิงคนนี้เองก็คงตกอยู่ในอันตรายไม่ต่างจากผมหรือพี่กฤษณ์ในอดีต
ไอ้วินด์อาจหาทางปิดปากเธอ เขาดูไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้หลักฐานที่มีสิทธิทำลายชื่อเสียงของเขานี้หลุดไป

"น้องแก้วพอจะมีภาพน้องไอไหม"
ผมถาม สีหน้าเคร่งเครียด

"เคยถ่ายไว้อยู่ค่ะ อาจไม่ค่อยชัดนะ"
น้องแก้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ผมกดส่งภาพเข้าเครื่องตัวเอง
ผมไม่รู้จักเธอมาก่อน เธอดูเหมือนสาวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ดูบอบบางแบบที่หากอยู่ในกำมือของหมาป่าแล้วคงสั่นด้วยความกลัวจนตายไปเอง..

ผมขอบใจน้องแก้วก่อนจะขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์หลังบ้าน

"ตั้ม กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อยว่ะ"

"กูเห็นล่ะ ภาพนั่นสินะ"

"อือ กูส่งภาพผู้หญิงคนนั้นแบบที่เห็นหน้าไปแล้ว มึงช่วยหาให้หน่อยสิว่าเธอเป็นใคร..กูไม่แน่ใจ บางทีเธออาจตายแล้ว"
ประโยคหลังผมพูดเสียงเบา

"ยังไม่ตายหรอก"
ไอ้ตั้มพูดกลับมา น้ำเสียงแน่ใจจนผมสงสัย

"แต่กูจะดูให้"
ผมโล่งใจไปอย่างหนึ่ง เพราะผมเองนั้นไม่ได้มีเส้นสายที่จะหาข้อมูลคนได้แบบไอ้ตั้ม(ที่ตอนนี้มันเล่าให้ฟังว่ากลับไปคุยกับพี่สาวที่มันเกลียดนักหนา)

"เออ พรุ่งนี้กูไปถึงน่ะ"
ไอ้ตั้มพูด มันมาเร็วจนผมแปลกใจ..

"พี่ตาก็จะมาด้วย พี่ตากับไอ้พี่กฤษณ์ของมึงเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน"
ผมขมวดคิ้ว ทำเป็นไม่สนใจคำว่า'เคย'ของไอ้ตั้ม..โลกกลมเหลือเกิน

...................................

"ไม่ได้ทักมานานเลยนะตา เป็นไงบ้างวะ"
พี่กฤษณ์พาผมมารับเพื่อนสนิทของเขา..และผมก็มารับเพื่อนสนิทของผม

"ก็สบายดีว่ะ แกล่ะเป็นไงมั่ง"
ผมมองพี่สิตาด้วยสายตาแปลกไป..เธอไม่ใช้แววตาเหยียดหยาม น้ำเสียงดูถูก ..ปกติรอบตัวเธอจะมีพวกลูกน้อง(ผมรู้แต่ว่าเธอบริหารธุรกิจของครอบครัวอย่างที่เคยบอก แม้จะไม่รู้ว่า'ธุรกิจ'อะไร แต่ก็พอเดาได้)
เธอที่แต่งตัวงดงาม ดูโฉบเฉี่ยวอยู่เสมอ บัดนี้กลับทำตัวเหมือนสาวห่ามๆ คนสบายๆที่'อะไรก็ได้'
แถมยังใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์อีก!

ผมเหลือบมองไอ้ตั้ม มันกลอกตากลับมา
ส่งสัญญาณประมาณว่า 'กูก็ไม่รู้เจ๊เป็นเหี้ยอะไรเหมือนกัน'

"ก็ดี เรื่อยๆ เนี้ย ไอ้สอง น้องไอ้หนึ่ง"
พี่กฤษณ์โอบไหล่ผม พี่ตาพยักหน้ารับ

"เป็นแฟนกันเหรอ ไอ้ตั้มเล่าให้ฟัง"
ผมเเทบสำลัก ไอ้ตั้มมองไปทางอื่น พี่กฤษณ์ยิ้มกว้าง

"เออ ..แล้วแกล่ะ ไม่คิดจะหาแฟนบ้างเรอะ ฉันยังอยากไปงานแต่งเพื่อนนะเว้ย"
พี่กฤษณ์พูดแซวๆ แต่พี่ตาได้แต่ยิ้ม

"ฉันรักได้แค่คนเดียวมานานแล้วว่ะ"
เธอพูดก่อนจะมองหน้าพี่กฤษณ์ด้วยสายตาลึกซึ้ง... ผมขมวดคิ้ว ไอ้ตั้มดูอึดอัดใจ

"ทำไมไม่สารภาพไอ้หนึ่งไปสักทีล่ะวะ..แกชอบตั้งแต่สมัยเรียน...จนมันมีแฟนไปแล้วเนี่ย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะส่ายหัว เดินนำเราขึ้นรถ

"มันโง่ ทำยังไงก็ไม่รู้ตัวหรอก"
พี่ตาพูดแล้วเดินตามไป ผมเดินรั้งท้ายรอไอ้ตั้ม

"เพื่อนเหี้ย! มึงจะให้พี่มึงมาแย่งแฟนกูรึไง"

"กูไม่ได้ตั้งใจ..มึงรู้ด้วยเหรอ?!"
ไอ้ตั้มพูดเสียงอ่อยๆ ...พูดซะขนาดนี้! กูไม่รู้ก็ควายล่ะ โชคดีที่ไอ้พี่กฤษณ์มันเป็นพวกตายด้าน เลยไม่รู้สึกรู้สาอะไร!
เออมีคนรักเป็นพวกไม่มีเซ้นต์ด้านความโรแมนติกก็ดีไปอีกอย่าง! สาวที่ไหนมาจีบมาทอดสะพานมันก็เอ๋อ ไม่รู้ตัว

"แล้วเรื่องเด็กที่ชื่อไอ ไปถึงไหนแล้ววะ"
ผมกระซิบถาม

"พี่กูบอกจะจัดการให้ พอพี่กูรู้ว่าเป็นไอ้พี่กฤษณ์ แค่เส้นผมข้างหลังเจ๊ยังให้คนไปสืบหามาได้..เห็นบอกว่าเจอตัวเเล้ว
พรุ่งนี้จะจับส่งมาที่นี้"

ไอ้สัส...โหดชิบหาย!! ผมมองอย่างอึ้งๆ
ถ้าเจ๊ของมึงรุกพี่กฤษณ์กูขึ้นมาเมื่อไหร่..กูจะเอาอะไรไปสู้วะ?!!

"พี่ตาจะกลับเมื่อไหร่วะ"
ผมถามเบาๆ ไอ้ตั้มส่ายหัว

"ไม่รู้ว่ะ..พอรู้ว่ากูจะมาหามึงก็บอกจะมาด้วยเลย กูก็ขัดอะไรไม่ได้"

ผมมองไอ้ตั้มอย่างขัดใจ ก่อนจะรีบเดินให้ทันพี่กฤษณ์กับพี่ตา

"พี่กฤษณ์~ สองอยากแวะซื้อเค้ก~"
ผมแทรกตัวเข้าไปอย่างนางมารร้าย ก่อนจะกอดแขนพี่กฤษณ์ไว้ พี่กฤษณ์มองผม เบิกตาโต ก่อนจะหัวเราะขำ

"ฮ่าๆๆๆ มึงหวงกูทำไมเนี่ยย ตามันเป็นเพื่อนรักกู สนิทกันจนรักกันไม่ลงล่ะ"
แหม..ทีแบบนี้ล่ะดูออกว่ากูหวง! ตอนผู้หญิงร้อยแปดทอดสะพานให้เสือกโง่กระทันหัน!!

"เนี่ย สมัยก่อนนะ กูค่อนข้างจะนักเลงนิดๆไง ไอ้หนึ่งเป็นเพื่อนที่คอยตั้งใจเรียนแทนระหว่างที่กูกับตาไปเคลียร์เรื่องวิวาทอยู่ เป็นคู่หู เป็นพี่น้อง..ส่วนมึงอ่ะ เป็นเมีย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะบิดจมูกผมอย่างมันเขี้ยว ผมหน้าเบ้ ลอบมองพี่ตา ..เธอไม่มีสีหน้าขัดใจเลยสักนิด
ไม่ได้ดูไม่พอใจผม เธอเองยังหัวเราะไปกับพี่กฤษณ์ด้วย...หัวเราะไปทั้งๆที่แววตาที่มองนั้นลึกซึ้งเหลือเกิน

ผมประหลาดใจ
แน่ใจว่ามันคือความรักแน่ และอาจไม่ใช่แบบเพื่อนด้วย

คนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยได้ แต่ไม่ได้ครอบครอง
มันจะเจ็บขนาดไหนกันนะ...

..................................

ปรากฎว่าพี่ตาไม่ได้ทำตัวน่าเป็นห่วงเลยสักนิด เธอรู้ขอบเขตของตัวเองดี และรู้ด้วยว่าผม'มอง'อยู่เสมอ
แต่เรื่องที่เธอสนิทกับพี่กฤษณ์ทำให้ผมแปลกใจ ..พวกเขาดูสนิทกันจริงๆ

เหมือนกับว่ารู้ใจกันทุกอย่าง
จนผมอดอิจฉาไม่ได้

พี่ตากับตั้มได้พักอยู่ที่เรือนรับรอง
ผมกลับบ้านพี่กฤษณ์มาพักผ่อนก่อนเวลาอาหารเย็น

ผมนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ดูไก่ต้มกับไก่ย่างเดินส่ายหัวดุ้กดิ้กไปมา
สักพักพี่กฤษณ์ก็มานั่งข้างๆ

"มึงดูสนิทกับพี่ตามาก"
ผมพูด พี่กฤษณ์พยักหน้ารับ

"ตาเป็นผู้หญิงเก่ง สมัยเรียนเป็นคนสวยมากๆ แถมยังนามสกุลดังสุดๆ ตอนแรกยัยตาก็พยายามทำทุกอย่างให้สมบรูณ์แบบเท่าที่เด็กผู้หญิงจะทำได้"
พี่กฤษณ์เงียบไปสักพักเหมือนคิดถึงความหลัง

"เธอต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล เธอต้องรับผิดชอบ ต้องสมบรูณ์แบบ ต้องเพียบพร้อม.."

"ตอนที่กูเจอตาครั้งเเรกกูยังคิดเลย ผู้หญิงอะไรสวยเป็นบ้า! เรียนก็เก่ง ดูดีทุกอย่าง."

ผมหน้าบึ้ง พี่กฤษณ์เห็นก่อนจะใช้แขนโอบตัวผมมานั่งใกล้เขามากขึ้น

"แต่กูรู้ ความจริงยัยนั่นนิสัยแย่ ทั้งเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ชอบดูถูก และบ้าอำนาจ..ยัยตานี่ลับหลังชอบแกล้งพวกเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า เป็นประมาณหัวหน้าแก๊งค์หญิงยังงั้น"

"แล้วพี่ไปสนิทกันได้ไงอ่ะ"
ผมถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์จะไม่ใช่คนที่ชอบรังแกคนอื่นเลย

"ก็ยัยนั่นมาแกล้งไอ้หนึ่งอ่ะดิ สมัยนั้นไอ้หนึ่งมันก็ตัวเล็กๆเอง เป็นเด็กเรียนง่าวๆ กูก็เลยรู้ ไอ้ความงามนั่นฉากหน้า"

"เสร็จแล้วก็ทะเลาะกันใหญ่โต ยัยนั่นไม่หยุด แต่กูก็เป็นคนพูดตรงๆ ทำอะไรก็ตรงๆ เพื่อเพื่อนกูก็สู้เหมือนกัน.."

ผมฟังเรื่องของพี่กฤษณ์เพลิน สรุปคือ พี่ตาได้มาสนิทกับพี่กฤษณ์เพราะบังเอิญพี่กฤษณ์ไปเจอพี่ตาร้องไห้ ตอนแรกว่าจะเข้าไปถากถางแต่เห็นน้ำตาแล้วใจอ่อน เลยไปปลอบแทน พอได้คุยกันถึงเข้าใจกันมากขึ้น พี่ตาก็เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกับพี่กฤษณ์และเฮียหนึ่ง ไปไหนไปกันสามคน นิสัยก็ยังแย่อยู่อย่างนั้น แต่ก็เป็นพื้นที่เดียวที่เป็นตัวของตัวเองได้

"เพราะงั้นมึงไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรเลย กูกับตาน่ะ เรารักกันแน่ แต่แบบเพื่อนจริงๆ"
ผมพยักหน้ารับ ซุกหน้าลงกับหน้าอกของพี่กฤษณ์

"กูก็ไม่อยากห่วงหรอก แต่มันก็มีหวงบ้าง มึงสนิทกันเกินอ่ะ"

"ถ้ามึงรู้สึกมันมากไปก็บอกกูเลย กูถอยได้ ตามันก็เข้าใจ"
พี่กฤษณ์พูดอย่างเป็นห่วงความรู้สึกผม ...เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกโชคดีที่มีเขาเป็นคนรัก
ใครมันใจร้ายทิ้งพี่มาได้ลงคอวะ..?! อย่ากลับมาทวงล่ะกัน!

"อีกอย่าง กูเนี่ย หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นล่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะถอนหายใจ

"เว่อสัส"

"จริงๆนะ กูอยากจับมึงแต่งงานดึงเข้าบ้านเลย มาอยู่กับกู ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ กูเลี้ยง กูดูแลได้"
พี่กฤษณ์พูด แต่ไม่มองหน้าผม กลับมองไปที่พวกไก่ต้มไก่ย่างแทน
อาจเป็นเพราะเขาเองก็รู้..มันไม่ใช่เรื่องที่จะจริงจังได้

ไม่ใช่เราไม่รักกันจริงจัง..
แต่ผมเองก็ยังมองหนทางที่เราจะอยู่ด้วยกัน โดยไม่ทิ้งภาระหน้าที่ของเราสองคนไว้ไม่ออก

ผมคิดถึงความรู้สึกที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วเห็นหน้าเขา

"กูก็เหมือนกัน"
ผมพูดเบาๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ

"เห็นแก่ตัวไปเนาะกู"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะหัวเราะ ผมไม่ตอบอะไร..ผมก็อยากเห็นแก่ตัวเหมือนกัน..อยากทิ้งทุกอย่างเเล้วมาอยู่กับเขา

"เออ..เรื่องไอ้วินด์.."
ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องโดยเล่าเรื่องไอ้วินด์ให้พี่กฤษณ์ฟัง ทั้งแผนการทั้งหมด ทั้งจดหมายของน้องไอ..
พี่กฤษณ์มีสีหน้าเคร่งเครียด จนกระทั่งถึงตอนที่ไอ้วินด์พยายามจะข่มขืนผม

"กูเข้าใจล่ะ...ในที่สุด"
พี่กฤษณ์พูด เสียงเหี้ยมจนผมนึกกลัว

"จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ก็คือมึง"

ผมเอียงคอ ไม่เข้าใจที่พี่กฤษณ์พยายามจะสื่อ

"กูคิดมาตลอดว่ามันทำเพราะนายมันสั่ง กูถึงได้เห็นใจ เข้าใจ มันอาจขัดคำสั่งไม่ได้ มันอาจเป็นเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง..แต่จริงๆแล้วไม่ใช่.."

"มันทำเพราะมันหลงมึง"
พี่กฤษณ์ไม่ใช้คำว่า 'รัก' เขาอาจเข้าใจความหมายมันดีเกินกว่าจะใช้คำนั้นได้

"มึงไม่เป็นไรนะ.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะใช้สองมือมาจับแก้มผม มือที่หนา สาก ไม่ได้นุ่มนวลเลยสักนิด
แต่เเววตาของเขา บ่งบอกทุกอย่าง ...

"กูขอโทษที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

ผมสบตาพี่กฤษณ์ นิ่ง ยาวนาน ก่อนจะยิ้มบางๆ

"แค่กูอยู่กับมึงกูก็หายแล้วว มันทำอะไรกูไม่ได้หรอก"
ผมพูดเบาๆ แต่มั่นใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ พี่กฤษณ์พยักหน้า

"กูจะไม่ปล่อยมันไว้เเน่.."

"มึงทำอะไรไม่ได้หรอก..มันมีนายใหญ่หนุนหลัง มันมีอิทธิพล"

ผมพูดด้วยความสัตย์จริง แต่พี่กฤษณ์ยิ้ม

"อีก 3 เดือนจะเลือกตั้ง..มึงรู้ไหมตอนนั้นใครมีอำนาจมากที่สุด"
ผมยิ้ม เข้าใจความคิดของเขา.. ผมตอบพี่กฤษณ์เบาๆ ทว่าหนักแน่น

"ประชาชน"

พี่กฤษณ์พยักหน้า
.................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
« ตอบ #39 เมื่อ: 29-11-2017 23:09:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
«ตอบ #40 เมื่อ29-11-2017 23:11:30 »

 

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ พี่ตาก็ฉายหนังม้วนเดียวกันกับที่ผมเล่าให้พี่กฤษณ์ก่อนหน้านี้ฟัง พี่กฤษณ์พยักหน้ารับ

"ลูกน้องของฉันตามหาตัวเด็กที่ชื่อไอเจอเเล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะพาเธอเดินทางมาที่นี้"
พี่ตาพูด

"ฉันไม่คิดว่าการจับมันเข้าคุกจะมีประโยชน์"
เธอยังคงพูดเสริม พี่กฤษณ์ส่ายหัว

"มันเป็นเด็กเกรียง ถ้ามันทำอะไรเสียหาย เกรียงก็เสียไปด้วย สั่งเผาไร่,สั่งเผาคอนโด หรือพยายามฆ่าเด็กหญิงคนหนึ่ง.."

"แกไปทำอะไรไอ้วินด์ไม่ได้หรอก.."
พี่ตาพูด สีหน้าดูกังวล

"ฉันไม่ได้จะทำ นายมันต่างหากจะทำ"
แล้วทันใดนั้นทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้าใจแผนการของพี่กฤษณ์..เราทำอะไรมันไม่ได้จริง แต่นายใหญ่มันนั่นแหละ คนที่กำหนดชีวิต และความเป็นความตายของมัน..ถ้ามันมีข่าวเสีย ถ้ามันทำให้โยงไปถึงนายใหญ่ได้

มันจะกลายเป็นตัวหมากไร้ค่า
หรือไม่ก็หมดอนาคตทางการเมืองไปเลย..

"แต่..นักการเมืองหลายคนก็มีประวัติเหลวแหลก บางคนก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำธุรกิจมืดด้วยซ้ำ ก็ยังมีอนาคตทางการเมืองได้ คนที่นี้เขาไม่ได้นิยมตรวจสอบหลักฐานกันนี่ครับ.."
ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นช่องโหว่ในแผนการ

"ก็ใช่ บางคนอาจจะเป็นอย่างนั้น..แต่คนที่รักภาพลักษณ์สุดๆอย่างไอ้วินด์ ไม่ใช่แน่.."
ไอ้ตั้มพูดขึ้นอย่างมั่นใจ เขามองพี่กฤษณ์ด้วยความชื่นชม

"แผนนี้จะสำเร็จ"
ไอ้ตั้มพูด และพี่ตาพยักหน้า

"ฉันมีเทปบันทึกหลักฐานเรื่องการเผาคอนโด.."

..................................

หลังจากหารือวางแผนกันเสร็จ ผมกับพี่กฤษณ์เดินทางกลับที่พัก
เมื่ออาบน้ำเสร็จผมก็เดินไปหยิบหนังสือจากชั้นของพี่กฤษณ์มาเล่มหนึ่ง ก่อนจะนั่งอ่านบนโซฟา
สักพักพี่กฤษณ์ก็มานอนตักผม เขาหยิบรีโมทเปิดทีวี ดูการแข่งขันบอลคู่สำคัญ

"มึงดูบอลป่าว"
พี่กฤษณ์ถาม

"ไม่อ่ะ กูอ่านหนังสือ มึงดูเลย.."
ผมพูดก่อนจะหันไปสนใจหนังสือตรงหน้า..เรื่องการท่องเที่ยวในประเทศ
พี่กฤษณ์ให้ความสนใจกับทีวีต่อ

"เยสสสส! "
 มีกูอยู่ข้างๆ แต่มีค่าแค่หมอนไว้ดูบอลถูกไหม?!...ผมเขม่นตามองคนข้างๆ แต่เขาไม่สนใจ สักพัก...

"เฮ้ย! ทำไมให้ใบแดงซาลาห์วะ?!!"
พี่กฤษณ์ลุกๆดิ้นๆอยู่บนตักผม ไม่ก็เกร็งตัวทุกครั้งที่ลิเวอร์พูลมีโอกาสจะทำเเต้ม..

กูอ่านไม่รู้เรื่องเลย! ผมลุก

"กูไปอ่านในห้องนะ"
แต่พี่กฤษณ์ใช้มือหนาจับผมไว้เเน่น

"จะไปไหนน อย่าไป.."

"กูอ่านไม่รู้เรื่องเนี่ย..เดี๋ยวดูบอลเสร็จมึงค่อยตามเข้าไป"
ผมพยายามแกะมือออก พี่กฤษณ์ไม่ยอมปล่อย เเถมยังเอาหน้ามาซุกตักผมอีก..

"งืมม ไม่เอาา นี่ความฝันกูเลยนะ ดูบอลข้างมึงเนี่ย.."

"โตเป็นควายล่ะ อย่าทำตัวเป็นเด็ก..ฮ่าๆๆ พี่กฤษณ์! กูจั๊กจี้!"
ผมหัวเราะเมื่อพี่กฤษณ์พยายามเอาจมูกมาถูไถบริเวณขาอ่อนของผม
พี่กฤษณ์งับเจ้าสองน้อยผ่านผ้าของกางเกงขาสั้นตัวบาง ผมสะดุ้ง

"มึงไปดูบอลล มันจะยิงอีกแล้วเนี่ย.."
ผมพยายามดันหัวพี่กฤษณ์ออก แต่แน่นอน ไม่(เคย)สำเร็จ

"กูก็กำลังจะยิง"
พี่กฤษณ์พูดแล้วผมก็หัวเราะ วางหนังสือลงข้างๆโซฟา ก่อนจะหยิบเจลหล่อลื่นที่อยู่ใกล้ๆกันมาแทน

..................................

พี่กฤษณ์นอนอยู่บนตัวผม จมูกยังซุกไซ้อยู่บริเวณยอดอก

"กูชอบโซฟาอ่ะ มันนุ่มดี ไม่เจ็บหลัง"
ผมพูดในขณะที่นอนร่างเปลือยเปล่า ปล่อยให้ไอ้เจ้าเสือนี่สำรวจร่างกายตามใจชอบ แบบที่พี่กฤษณ์ชอบทำหลังมีเซ็กส์เสร็จ

"ที่เตียงไม่นุ่มพอหรอ"
พี่กฤษณ์พุดเสียงงึมงำๆ ลิ้นกำลังไล่วนบริเวณท้องน้อยของผม

"มันไม่นุ่มเท่าไง มึงชอบขย่มแรงอ่ะ"
ผมพูด รู้สึกอายๆ(เล็กน้อย..ให้ได้อายหน่อยครับ! เห็นงี้ก็เหอะ!)
พี่กฤษณ์เงยหน้าขึ้นมองผม

"สรุปมึงชอบแรงหรือไม่แรง"

ผมไม่ตอบ..กูชอบแรง..แต่หลังกูไม่ได้ชอบไง!
เมื่อเห็นผมไม่ตอบพี่กฤษณ์ดูจะหมั่นเขี้ยว เขาเปลี่ยนมาดูดยอดอกผมอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องทางด้านล่างแล้วขยับเข้าๆออกๆ

ผมครางเบาๆ..มันเสียววูบวาบ..แต่มันยังไม่ใช่..
ผมไม่ต้องการนิ้ว..

"พี่กฤษณ์.."
ผมพูดเบาๆ เมื่อจังหวะเริ่มเร็วขึ้น ขาของผมหนีบเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

"อะไร..สองอยากได้อะไรครับ?"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยกเข้ากฤษณ์น้อยซึ่งขนาดไม่ได้น้อยเลยให้ผมดู..

ผมมองดูหน้าคนรัก โครงหน้าหล่อเข้มชัดเจน ผิวสีเเทนที่มีเหงื่อผุดพร่างพราว รูปร่างแข็งแรงดูสุขภาพดี ..กับเจ้ากฤษณ์น้อยที่เข้าไปอยู่ในตัวผมบ่อยๆ..

ไอ้นี่นะเหรอที่เข้าไปในตัวผม..

ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกที่เห็นภาพโป๊แล้วมีอารมณ์สุดๆก็ตอนนี้เเหละ
ไม่เคยคิดว่าเมื่อต้องมาเห็นร่างกายที่ไม่ต่างกับตัวเองสักอย่างแล้วจะมีอารมณ์ขึ้นมาได้

"สองอยากได้..พี่กฤษณ์"
พี่กฤษณ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะใส่มันเข้ามา..สารภาพว่าตั้งเเต่มาอยู่กับพี่กฤษณ์ เราไม่ค่อยได้ใช้ถุงยางเท่าไหร่ เนื่องจากมันหมดเร็วมาก..(อย่าทำตามนะเด็กๆ!!) ผมกับพี่กฤษณ์ถึงได้สัมผัสกันเเนบแน่นทุกส่วน(ทุกวันด้วย..อย่าทำตามอีกแล้ว!) พี่กฤษณ์ขยับตัวอย่างช้าๆแต่หนักหน่วงทุกครั้ง ผมแทบจะขาดใจ

"..พ..พี่กฤษณ์ เร็วกว่านี้ได้ไหมอะ.."
ผมพูด น้ำตาคลอ ข้างในรู้สึกถึงสัมผัสทุกส่วน อยากเร่งให้อารมณ์ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แต่คนข้างบนกลับไม่เร่งให้เลย

"อือ..สองชอบ..พี่กฤษณ์ขย่มเลยได้ไหม.."
ผมขอร้องแกมวิงวอน พี่กฤษณ์ที่กำลังขยับตัวออก ถอนตัวออกจนสุด

"อนุญาติแล้วนะครับ.."
เสียงห้าวพูดอย่างแหบพร่าก่อนจะใส่เข้ามาจนมิดด้าม
ผมกรีดร้อง ครางเรียกชื่อคนรัก ก่อนจะรู้ตัวว่าเป็นกับดัก บอลก็จบเสียเเล้ว

"แผนของพี่เหรอ..พี่กฤษณ์ ใจร้ายว่ะ.."

"แผนมึงน่ะสิ..บอลกูจบเเล้วเนี่ย.."

งานนี้ไม่รู้ใครหลอกใครสำเร็จ
แต่ถ้าคุณพนันไว้ข้างผม..คุณไม่มีทางเเพ้หรอก!


จบไปแล้วกับตอนที่ 18 แผนการ นี้!
สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนเฉลยปริศนาจดหมายของไอ(ในตอนที่14) :impress2:
+แผนการของพี่กฤษณ์ค่ะ!(โชคดีจังน้า มีคนคอยสนับสนุนมากมาย!)
พี่กฤษณ์แม้จะดูเอ๋อๆไปบ้างเวลามีคนมาจีบ แต่เรื่องอื่นแกพึ่งพาได้หมด อารมณ์ฝากชีวิตไว้ได้เลย (ฮ่าๆ) :กอด1:
ติดตามกันต่อไปค่ะ ว่าแผนการนี้จะสำเร็จไหม เจ้าวินด์จะรับมืออย่างไร!!
แล้วสรุปพระเอก-นายเอกจะได้อยู่ด้วยกันแบบไหนเนี่ย!! หรือจะRealisticแบบแยกๆกันอยู่ไป(ม่ายยยย) :katai1:
แล้วเรื่องนี้จะกล้าเรียกตัวเองว่าโรแมนติกคอเมดี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?!!
แล้วไอ้นิยายนอกกระเเสที่เขียนไป 18กว่าตอนแต่จำนวนวิวคนอ่านเหมือนมี3ตอนนี้จะไปจบเอาตอนไหนน?!! :o8:

โปรดติดตามตอนต่อไปค่า :bye2:

#Anynomous


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
«ตอบ #41 เมื่อ30-11-2017 03:18:00 »

ชอบคู่นี้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
«ตอบ #42 เมื่อ30-11-2017 06:58:48 »

โอยๆ..........สนุกมากกกกกกกกกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อยากอ่านต่ออีกแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:

แผนพี่กฤษณ์ ที่หื่นตลอด
หรือแผนสอง ที่วางตัวเองล่อให้พี่กฤษณ์มีอารมณ์
สุดท้ายก็ วิน-วิน ทั้งคู่ มีความสุขสุดๆ เอ่อ........คนอ่านก็ชอบ  :hao5: :sad4: :heaven

พี่ตา ร้ายมาแต่เด็กๆ เหมือนถ่ายทอดทางยีนได้นะ
(ยีนมันเจือจางลงแน่เลย จากพี่ชาย ---> พี่ตา ---> ตั้ม
เหลือมาถึงตั้มเลยได้น้อยกว่าพี่น้อง)
ทำไมตั้มพูดเหมือนที่พ่อไปนอนโรงพยาบาลเพราะพี่ชาย  o22 o22 o22

ขนาดพี่กฤษณ์ยังรู้ว่าพี่ตาร้าย
พี่ตา แอบรักพี่กฤษณ์มาตั้งแต่เรียนด้วยกัน  ดีนะที่พี่กฤษณ์ซื่อบื้อเรื่องนี้
แต่จริงๆอาจเป็นเพราะวางพี่ตาไว้แค่เพื่อนเลยไม่สนใจด้านอื่น
เฮียหนึ่ง ชอบพี่ตา  ตอนเด็กเคยโดนพี่ตาแกล้งด้วย o22
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่19)
«ตอบ #43 เมื่อ17-12-2017 23:26:58 »


ตอนที่ 19:เดินทาง

"วันนี้พี่กฤษณ์จะพาทุกคนไปเที่ยวสวนสัตว์กันน้า! เตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่ไหมคะ!"

เสียงแหลมของมัคคุเทศก์ตัวน้อยดังขึ้น ผมพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู
พี่กฤษณ์บอกแผนการไปเที่ยวสวนสัตว์เขาสวนกวางตั้งแต่เมื่อวาน
เมื่อคืนก่อนนอนเขายังบอกย้ำแก่ผมอีกว่านานๆทีจะมีโอกาสที่ทั้งเพื่อนกับครอบครัวจะพร้อมหน้า

'คนรักล่ะ!'
ผมถาม รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกมองข้าม

'มึงอยู่ส่วนครอบครัว'
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะห่มผ้าให้ผม ..เอ้อ..ถ้าหนีออกจากบ้านตามผู้ชายในคนอายุเท่านี้จะผิดไหม..ผมอยากทำ!

ผมพยายามถามพี่กฤษณ์เรื่องแผนการที่จะจัดการไอ้วินด์ แต่ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์กับพี่ตา(และอาจจะไอ้ตั้มด้วย!)
ทำงานกันอย่างลับๆ และไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งด้วยนัก

'ยังไม่มีอะไรที่มึงช่วยได้ตอนนี้..'
พี่กฤษณ์บอกก่อนจะมอบหมายงานสำคัญให้ผม..คือ การชิมชีสเค้ก!
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจล่อผมให้ออกห่างเมื่อพวกเขาทำงานกันหรือเปล่า

แต่ขอบอกว่ามันได้ผล!
ผมนั่งชิมชีสเค้กหลายๆแบบกับน้องแก้ว เขียนคำวิจารณ์ ดูข้อมูลสถิติ และรวบรวมผล
หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเฟรนไชส์และผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวใหม่ขององค์กรพี่กฤษณ์

ถือว่าการพักร้อนของผมในครั้งนี้นั้น ได้ 'ทำงานสบาย รายได้ดี' สุดๆ

"พี่ตั้ม พี่ตาเตรียมตัวมาแล้วใช่ไหมคะ!!"
น้องแก้วถามด้วยความตื่นเต้น พี่ตาพยายามยิ้มให้เหยียดน้อยที่สุด(ผมกับไอ้ตั้มกลั้นขำ) ก่อนจะตอบน้องแก้วไป

"แน่นอนจ้า~"

"แค่สวนสัตว์เอง จะไปทำไมก็ไม่รู้.."
ไอ้ตั้มพูด ก่อนจะโดนพี่ตาเหยียบเท้าอย่างเเรง

"โอ๊ยย!! พี่!! ก็มันจริงไหมเล่า!"

"อ้าวๆ เตรียมตัวพร้อมกันเเล้วใช่ไหม มาขึ้นรถเร็วทุกคน!"
พี่กฤษณ์ลงมาจากคุณนายแดงก่อนจะเดินมาถือกระเป๋าให้พี่ตากับน้องแก้ว(..แล้วกูล่ะ?)
ทุกคนเดินไปขึ้นรถกันหมด ยกเว้น..ไอ้ตั้ม

"มึงยืนทำไรวะ มาเร็ว!"
ผมตะโกนเรียก

"ให้ตายกูก็ไม่ขึ้นว่ะ! รถแม่งแอร์เจ๊ง! กูร้อน กูไม่ไป!"
ไอ้ตั้มพูด ก่อนจะโบกมือลาพวกเราตามนิสัยคนเอาแต่ใจ

"ไอ้สั.."
ผมกำลังจะด่ามันแต่เสียงพี่ตาก็เเทรกขึ้นมาก่อน

"จะขึ้นไม่ขึ้น อย่าเรื่องมาก"
น้ำเสียงดุๆกับสายตาที่เอาแต่ใจไม่แพ้กันจากพี่ตาทำเอาทุกคนอยู่ไม่สุข..สักพักไอ้ตั้มก็จำใจเดินคอตกมาขึ้นรถกับเรา ทุกคนในรถขำกันใหญ่

พอรถขับไปได้สักพัก ความร้อนระดับชิบหายก็เริ่มเกิดกับทุกคน
แต่ดูเหมือนคนที่ทนไม่ไหวคนเเรกๆจะเป็นไอ้ตั้ม..(โชคดีนะเพื่อน! กูอยู่มานาน กูมีภูมิคุ้มกัน!)

"โอยกูอยากตายย ทำไมมันร้อนงี้วะ?! ให้กูซื้อรถใหม่ให้เอาไหม"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะทำท่าเหมือนอยากร้องไห้

"ไอ้ตั้ม มึงอย่าบ่นมากได้ป้ะ กูจะร้อนตามแล้วเนี่ย!"
ผมพูดด้วยความหงุดหงิด เหงื่อไหลต่างน้ำไม่ต่างกัน วันนี้นอกจากอากาศจะเสือก(?)ร้อนสุดๆแล้ว จำนวนคนในรถที่มีถึง 5 คนยิ่งทำให้ทุกอย่างร้อนบัดซบขึ้นไปอีก

"จะอะไรนักหนาพวกแก..แค่นี้ทนไม่ได้รึไง"
พี่ตาพูดก่อนจะถอดเสื้อโค๊ทออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามที่เปียกชุ่มจนเห็นเค้าชุดชั้นใน..

เจ๊นั่นแหละที่ทนไม่ได้!!!

"ไอ้พี่กฤษณ์!! กูเห็นมึงมองกระจกนะ!"
ผมพูดเสียงเข้ม เมื่อเห็นสายตาพี่กฤษณ์มองผ่านกระจก..ไอ้สัส ลามก!

"กูก็ต้องมองไหม กูขับรถ"
พี่กฤษณ์พูดด้วยเสียงงงๆ(...ควรเชื่อดีไหมวะ?! รอบนี้ยอมให้ก่อน!)

"ว้ายย กฤษณ์ มองอะไรน่ะะ"
พี่ตาพูดอย่าง(พยายาม)เอียงอาย ก่อนจะนั่งยืดตัวตรงให้อยู่ในระดับสายตาพี่กฤษณ์มากขึ้น

ผมเอามือปิดกระจกหน้ารถ

"ไอ้สัสส ทำไรเนี่ยย"
พี่กฤษณ์ถามอย่างงงๆ(อีกแล้ว..อีกแล้ว งงเหี้ยไรนักหนา!)

"มึงมองอ่ะ!!"

"ไอ้สัสสอง! มึงเอามือออก! อยากตายห่าหมดรถรึไง!"
ไอ้ตั้มโวยวายอยู่เบาะหลัง

"มึงบอกพี่มึงใส่โค๊ทดิ!!"
ผมพูด ไม่ยอมเอามือออก

"เจ๊!! ใส่เสื้อ!!"
ไอ้ตั้มหันไปโวยวายกับพี่ตา

"ไม่ใส่ ฉันร้อน!!"
..อ้าวเจ๊..ไหนเมื่อกี้บอกให้อดทนไงวะ?!!

"ไอติมแตงโมอร่อยจังเนาะ"
อยู่ๆเสียงเล็กๆก็แทรกขึ้นมา ทุกคน(แน่นอน ยกเว้นพี่กฤษณ์) หันขวับ

น้องแก้วนั่งอยู่ข้างๆไอ้ตั้ม ใส่หูฟัง ในมือถือไอศกรีมรสเเตงโม บนตักมีกระติกน้ำแข็ง.. บนคอมีผ้าเย็นพาดคอ..

เมื่อเห็นเรามอง น้องแก้วก็ถอดหูฟังออก

"มีอะไรหรือเปล่าคะ?"

"ทำไมยัยเด็กนี้มีไอ้พวกนี้ได้ละวะ?!!!"
ไอ้ตั้มพูดขึ้นมาด้วยความงง ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือไปยังอุปกรณ์ต่างๆของน้องแก้ว

"ก็แก้วบอกแล้วไงว่าให้เตรียมตัวมา"
น้องแก้วตอบ ก่อนจะหยิบเอากระป๋องเป๊ปซี่จากกระติกน้ำแข็งมาเปิด

และดื่มต่อหน้าพวกเราทุกคน

.................................

ในที่สุดก็ถึงสวนสัตว์เขาสวนกวาง..บรรยากาศดูร่มรื่นขึ้น(เล็กน้อย) ตรงประตูทางเข้าสวนสัตว์มีน้ำตกขนาดใหญ่ที่ทำจำลอง รวมกับรูปปั้นสัตว์มากมาย

"พี่ตาใจร้ายที่สุด!!"
เสียงน้องแก้วดังออกมาก่อนจะกระโดดลงจากรถ

"เป็นเด็กเป็นเล็กต้องรู้จักเเบ่งปันสิ"
สาวสวยพูดก่อนจะถือกระป๋องเป็ปซี่เดินตามมา มีผ้าเย็นพาดคอเรียบร้อย

"ไม่เกินไปหน่อยเหรอพี่! แย่งได้แม้กระทั่งเด็กเนี่ย!"
ไอ้ตั้มพูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ พี่ตาทำท่าไม่รู้หนาวรู้ร้อน

"ฮ่าๆ ก็แบ่งปันกัน..แก้วก็รู้ว่าพี่ๆเขาไม่รู้หรอก อีกอย่างเขาก็ไม่ชินกับอากาศบ้านเราด้วย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเดินมาสมทบ

"พี่กฤษณ์ง่ะ!!!"
น้องแก้วพูด

"ไอ้พี่กฤษณ์!!"
อันนี้ผมพูด

"อะไร?!"

"มึงปกป้องกันเกินมะ"
ผมพูด

"เฮ้ย เปล่าๆ"
ไอ้พี่กฤษณ์พยายามส่ายหัว เเถมยังเดินมาจะช่วยผมถือกระเป๋าอีก...ไอ้ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะมอง!

"ขอความเห็นดิ้ตั้ม"
ผมหันหน้าไปทางไอ้ตั้ม มันพยักหน้า

"เกินไป!"

ไอ้ตั้มพูดเสริมก่อนจะโดนพี่กฤษณ์ดีดหน้าผาก มันโวยวาย พยายามจะดีดคืน แต่ไม่สำเร็จ
ผมมองไอ้ตั้มกับพี่กฤษณ์ที่เล่นกันเป็นเด็กๆอย่างขำๆ

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสนิทกันได้ค่อนข้างเร็ว
ต่างจากวันแรกๆที่มา ไอ้ตั้มดูไม่ค่อยชอบพี่กฤษณ์ ทั้งคอยจับผิด พูดจาดูถูกสารพัด(ตามนิสัยมัน)
อาจจะเป็นเพราะความเป็นผู้ใหญ่ กับนิสัยที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นของพี่กฤษณ์ ที่ทำให้เเม้ไอ้ตั้มเพื่อนผม จะเอาแต่ใจ ทำตัวเป็นเด็ก นิสัยเเย่(ถึงขั้นเหี้ย)ยังไง พี่แกก็ไม่โกรธง่ายๆ

สำหรับการเที่ยวชมสัตว์ในสวนสัตว์ มีสองทางเลือก คือ นั่งรถชมสวนไปกับเจ้าหน้าที่ หรือ เช่ารถสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งแม้จะมีราคาแพงกว่า แต่มีความเป็นอิสระมากกว่า อยากจะจอดลงตรงบริเวณไหนก็ได้ ด้วยเหตุนี้แก๊งค์ทัวร์ของเราจึงเลือกแบบหลัง แน่นอนว่าคนขับรถก็คือพี่กฤษณ์ของผมนั่นเอง

"ตรงนี้คือบริเวณสัตว์เท้ากีบ เราจะเห็นพวกกวาง พวกกวาง และก็พวกกวางนะคะ"
น้องแก้วทำตัวเป็นมัคคุเทศก์น้อยอย่างร่าเริง ผมกับพี่กฤษณ์อมยิ้มขำ แต่พี่ตากับไอ้ตั้ม ดูจะสนอกสนใจจริงๆ

"โห..กวางตัวเป็นๆ!"
พี่ตาพูดแบบทึ่งๆ..เธอดูดีใจ ชั่วแวบหนึ่งผมมองเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆในตัวเธอ
เด็กผู้หญิงที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตในแบบที่ควรมี..

"กวางแบบยังไม่ตาย.."
ไอ้ตั้มพูด ดูทึ่งนิดๆ เมื่อเห็นอาหารเดินไปมาได้..
ผมมองหน้าพี่กฤษณ์ เขาอมยิ้ม

"มึงไม่ประหลาดใจบ้างเรอะ สอง"

"กูท่องเที่ยวบ่อย เห็นมาเยอะล่ะ..แต่กูก็ชอบพวกกวางนะ ดูหน้าโง่ๆดี"

ผมบอกอย่างสบายๆ มองไปยังบรรยากาศรอบตัว ต้นไม้น้อยใหญ่สลับกันไปแบบไม่หนาแน่นนัก มีรถทัวร์ของสวนสัตว์ขับนำพวกเราไป ผมเหลือบไปมองคนข้างๆ พี่กฤษณ์หันไปมองน้องแก้วที่กำลังยื่นมือไปลูบตัวกวาง ไอ้ตั้มที่พยายามจับเขากวาง และพี่ตาที่กำลังแอบเก็บภาพเหล่านี้ ผมเห็นพี่กฤษณ์ยิ้ม

ไม่รู้ทำไมผมถึงอดยิ้มตามไม่ได้

ความวุ่นวาย เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม แสงแดดที่ลอดผ่านร่มไม้
รถที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ

อยู่ๆมือใหญ่ของพี่กฤษณ์ก็มายีหัวผมเบาๆ

"ทำหน้าน่ารักสัส"

ผมทำหน้ามุ่ย ไม่ชินกับการแสดงออกทางความรักแบบตรงๆของพี่กฤษณ์สักที

.................................

สักพักเราก็ขับมาถึงบริเวณสัตว์กินเนื้อ พวกสิงโตนอนขี้เกียจอยู่ในกรงขนาดใหญ่ที่จำลองคล้ายบ้านเกิดของมัน
เสือหลายสายพันธุ์ เสือโคร่ง เสือไซบีเรีย เสือเบงกอล พวกมันดูรำคาญนักท่องเที่ยวที่พยายามถ่ายรูปมันจากระยะไกล ผมมองสิงโตชราตัวหนึ่ง มันเคลื่อนไหวเชื่องช้า ขนตรงแผงคอสะบัดเมื่อมันเดิน ดูสง่างามและน่าเกรงขามทุกท่วงท่า มันเลิกเปลือกตาขึ้นมองผม...ห้ะ! อะไรนะ?! ผมจ้องกลับ..

อาจเพราะสัญชาตญาณนักล่าของมันที่ไม่ได้เสื่อมถอยตามอายุ
มันถึงรับรู้ว่าผมจ้องมอง

ราวกับถูกดึงดูดโดยดวงตาสีน้ำตาลหม่นคู่นั้น..

เมื่ออยู่ต่อหน้าเผ่าพันธุ์นักล่าที่เเข็งแกร่ง
สิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์ได้ตระหนักว่าตนบอบบางเพียงใด..

คงอย่างนี้ละมัง เราถึงได้ผลิตอาวุธ
สงครามที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นทำลายชีวิตมนุษย์ไปมากกว่าโดนสิงโตฆ่าในรอบ 10 ปีเสียอีก

สิงโตชราปิดเปลือกตาลง

ผมหันมาให้ความสนใจกับบรรยากาศรอบตัวอีกครั้ง
น้องแก้วกำลังวุ่นวายกับการชี้ให้พี่ตาดูลูกสิงโตเผือก ที่ดูเหมือนจะหลบอยู่ในฝูงลูกสิงโตสีเหลือง
พี่กฤษณ์เดินไปอ่านป้ายบรรยายลักษณะและถิ่นที่อยู่ของสัตว์เหล่านี้
ไอ้ตั้มง่วนกับการเก็บภาพตัวเองกับป้ายสิงโต

"มึงนี่ ดูเหมือนคิดอะไรตลอดเวลาเลยนะ"
พี่กฤษณ์เดินมาหาผมพลางพูดยิ้มๆ ผมพยักหน้ารับ

"คบกันมาตั้งนานยังไม่รู้อีกเหรอ กูน่ะคิดมากจะตาย"

ผมพูดก่อนจะยื่นขวดน้ำเย็นให้ พี่กฤษณ์รับไปดื่ม พอพูดแล้วก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ผมรู้จักกับพี่กฤษณ์มาได้เกือบจะ 1 ปีแล้วนี่หว่า! อาจเป็นเพราะมีเรื่องราวผ่านมามากมาย เวลาจึงดูเหมือนผ่านไปเร็ว.. ฝึกงานในไร่เกือบ 4 เดือน คบกันระยะไกล พี่กฤษณ์แวบไปแวบมาระหว่างกรุงเทพกับขอนแก่นก็ตั้งหลายเดือน พี่กฤษณ์ไม่ใช่คนหวานอะไรมากมาย แต่ข้อดีของเขาคือความเสมอต้นเสมอปลาย เพราะงั้น เขาทำกับผมยังไงตอนเริ่มคบ ตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน..

บางที...ผมอาจเริ่มเข้าใจ ว่าทำไมแฟนคนก่อนๆของพี่กฤษณ์ถึงปล่อยเขามา..

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนหนึ่งเหมือนเดิม แต่อีกคนต้องการมากขึ้น..
บางทีผมก็สงสัย..ระหว่างผมกับไอ้ตั้มมีอะไรต่างกันหรือเปล่า หรือน้องเเก้ว หรือพี่ตา

ก็พี่กฤษณ์ดูใจดีกับทุกคน เล่นหัวไอ้ตั้มเหมือนเล่นกับผม อ่อนโยนกับน้องแก้ว ช่วยดูแลพี่ตา
หรือพี่กฤษณ์แน่ใจแล้วเหรอว่าเขา'รัก'ผม ไอ้ความสัมพันธ์เเบบนี้เป็นพี่น้องกันก็ได้..

ผมคิดแล้วก็เริ่มรู้สึกกลัว

ถ้าพี่กฤษณ์รู้สึกตัวว่ามันไม่ใช่ล่ะ

เขายัง'รัก'ผมแบบวันแรกที่บอกกันหรือเปล่า

ผมตัวสั่นเล็กๆเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น..

"นิ่งเชียวมึง มาทำสมาธิถูกมะ"
เสียงไอ้ตั้มเเทรกเข้ามาทำลายความคิดของผม พอหันไปก็เห็นทุกคนนั่งรออยู่ในรถ เราจะเดินทางไปบริเวณอื่นต่อไป
พี่กฤษณ์กวักมือเรียกผม ผมยิ้มให้ก่อนจะวิ่งขึ้นรถ

แกล้งทำเป็นลืมความคิดที่น่ากลัวนั่นไว้ก่อน..
ความคิดที่สงสัยในความรักของพี่กฤษณ์

ผมกลัวว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้น
จุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่างที่เลวร้าย

..................................

"อี๊~ ไอ้นกเหี้ย! "
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะกระโดดโหยงเมื่อนกตัวสีฟ้าสวยเดินเอาหัวกระดกมาใกล้ๆมัน

ตอนนี้เรามาอยู่บริเวณของกรงนกขนาดใหญ่ ที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมในโดมได้ เรียกว่าสัมผัสนกกันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว

"ทั้งน่าประทับใจและขยะเเขยงในเวลาเดียวกัน"
พี่ตาพูดก่อนจะเบ้ปาก เหลือบตามองเศษขี้นกบนพื้น น้องแก้วขอออกไปรอข้างนอก (แน่ใจนะว่าเป็นนิยายเชิงท่องเที่ยว?!! : ผู้เขียน)

"พี่ไปด้วย! ไอ้นกพวกนี้แม่งน่ากลัว!"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากโดมนกไปอีกคน ผมหัวเราะขำ สักพัก มือก็ได้รับสัมผัสอบอุ่นจากพี่กฤษณ์ เขาดึงผมข้ามสะพานในกรงนกยักษ์นี้ไป

"เฮ้ย..เดี๋ยวๆ ไปไหนอ่ะ"
ผมถาม ประหลาดใจที่รู้ว่าในโดมนี้มีสะพานด้วย

"มึงกลัวเหรอ"
พี่กฤษณ์ถาม สีหน้าทะเล้น

"เปล่า"
ผมตอบ เดินตามไป แล้วผมก็พบ

ศาลาขนาดย่อมที่รอบๆเต็มไปด้วยดอกลีลาวดี กลิ่นหอมเย็นๆของมันโชยออกมาจนถึงที่ที่ผมยืนอยู่
ข้างๆเป็นบ่อน้ำที่มีหงส์สีขาวกำลังลอยตัวอย่างเกียจคร้าน บริเวณศาลามีนกยูงสองตัวรำเเพนหางอวดกัน..

"มึงรู้จักที่นี้ดีนะ"
ผมพูดก่อนจะมองพี่กฤษณ์อย่างทึ่งๆ

"กูเคยทำงานพิเศษเป็นคนทำความสะอาดกรงว่ะ .."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มเขินๆ

"จริงๆคนที่นี้เรียกศาลานี้ว่าศาลายูง เพราะนกยูงมันชอบมาอยู่ กูตั้งใจให้มึงมาดูนี่แหละ แต่วันนี้มึงโชคดีได้เห็นหงส์ขาวด้วย"

"มึงรู้เปล่าเราคบกันมาจะปีนึงแล้ว"
ผมพูด พี่กฤษณ์ทำตาโต.. เออ กูรู้แล้วว่ามึงไม่รู้!

"เอ่อ..ทำไมวะ..กูจำวันครบรอบไม่ได้นะเว้ย"
พี่กฤษณ์รีบพูดขึ้นมา ผมพยักหน้า

"เปล่าๆ กูแค่บอก..นานดีเนาะ"
ผมพูด แล้วพี่กฤษณ์ก็เคาะหน้าผากผมเบาๆ

"มีอะไรหรือเปล่า"

"เปล่า"
ผมพูด พี่กฤษณ์ยิ้ม ก่อนจะอุ้มนกยูงมาเกือบโดนหน้าผม

"กูรู้ ผู้หญิงเเม่งชอบพูดว่าเปล่าๆๆ ความจริงมีเรื่องเป็นพัน มึงบอกมาไม่งั้นนกยูงนี่ตาย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะวางนกลงข้างๆตัว..น่าแปลกที่มันเชื่องกับพี่กฤษณ์มาก..

"กูไม่ใช่ผู้หญิง"

"จะบอกไม่บอก"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะทำเสียงเหี้ยมแล้วหันไปมองนกยูงที่ทำท่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมอดขำไม่ได้

"เปล่าา จริงๆ"

"อืมม มีอะไรอย่าเก็บไว้นะเว้ย ไม่บอกกูแล้วจะบอกใคร"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะดึงผมเข้าหาตัว

"มือมึงจับนกยูงมา"
ผมพูด พยายามดันตัวออก

"กูจับมาหมดทุกนกแล้ว"
พี่กฤษณ์พูดแล้วหอมแก้มผมเร็วๆหนึ่งที ฉวยโอกาสชิบหาย!!

................................

หลังจากโดนลวนลามไปเล็กน้อย(?!) ผมก็ถูกปล่อยตัวออกจากกรงนก คณะทัวร์ของเราเดินทางกันต่อไปถึงปลายทางสุดท้าย สัตว์จากแอฟริกา เราไปให้อาหารยีราฟ และดูม้าลายเดินสวนกันไปมา

ไม่ค่อยมีสาระอะไร ความบันเทิงใจล้วนๆ

เสร็จเเล้วเราก็เดินทางกลับไร่ เมื่อกลับไปถึงก็พบว่าป้าสมบัติกับลุงป่องทำอาหารไว้รอเเล้ว ลุงชัยก็พึ่งกลับจากงานพอดี ลุงป่องเปิดเหล้าของดีของแก(อีกแล้ว!) ก่อนที่เราจะสังสรรค์กัน

ทานอาหารอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่

ผมสังเกตว่าเเม้กระทั่งพี่ตาเองก็ดูอ่อนโยนขึ้นมากตั้งเเต่มาอยู่ที่นี้

หลังจากน้องแก้วขึ้นไปนอนก็เป็นเวลาของผู้ใหญ่ทั้งหลาย

อีกเช่นเคย พอเหล้าเข้าปากความลับก็ไม่มีอีกต่อไป พี่ตาเล่าเรื่องความทุกข์ทรมานใจในการดูแลกิจการ
การต้องทำเป็นเข้มเเข็งตลอดเวลา ..ลุงป่องเห็นใจจนถึงกับน้ำตาซึม ไอ้ตั้มก็พูดชื่นชมพี่กฤษณ์ยกใหญ่ บอกประมาณว่ามันไม่มีอะไรต้องห่วงเเล้ว แต่พูดสักพักก็ซึมไป..นี่ก็คงฤทธิ์แอลกอฮอล์อีกเหมือนกัน

ตัวผมที่รู้ฤทธิ์เหล้าลุงป่องดีจึงดื่มในปริมาณที่น้อยกว่าปกติมาก

แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา หลังจากสังสรรค์เสร็จ ประมาณ 4 ทุ่มกว่า(ที่นี้เขาไม่นอนดึกกันครับ)
 พี่กฤษณ์กับผมจึงไปส่งพี่ตาและตั้มกลับที่พัก แล้วเราก็เดินทางกลับบ้านของเรา

..................................

'ตุ้บ..'
พี่กฤษณ์ทิ้งตัวลงบนเตียง

"เหนื่อยชิบหาย"
เขาพูดเบาๆ ก่อนจะหลับตา ผมมองพี่กฤษณ์อย่างเห็นใจ เขาขับรถทั้งวัน คอยดูเเลพวกเรา ดูเรื่องอาหาร เรื่องจิปาถะ
ผมขยับไปนั่งขัดสมาธิข้างๆพี่กฤษณ์ที่นอนอยู่

"กูนวดให้มะ"
ผมถามก่อนจะเลื่อนมือไปบีบเบาๆบริเวณขมับเเละหมุนวนนิ้วบริเวณหางตา

"ไปเรียนมาจากไหนเนี่ย"

"หมอนวดไทยในนิวยอร์ก"
ผมพูดและพี่กฤษณ์ขำเล็กๆ ผมนวดไปสักพักก็ขยับมือไปสางผมเขาอย่างใจลอย

"ที่มึงบอกกูเป็นครอบครัวมึง แบบมึงกับน้องแก้วเหรอ"
ผมถามหยั่งเชิงเบาๆ พี่กฤษณ์ยังคงหลับตา แต่เขาส่ายหัว

"กูไม่ได้อยากมีเซ็กส์กับน้องแก้ว"

ชัดเจน! .. ผมอดยิ้มเบาๆไม่ได้ พี่กฤษณ์ยังเหมือนเดิมเสมอ ชัดเจน ซื่อตรงต่อความรู้สึก

เรื่องที่ผมคิดสงสัยจนแทบอยากร้องไห้
เขากลับตอบมันออกมาอย่างเรียบง่าย ชัดถ้อยชัดคำ

"อย่าบอกนะมึงคิดว่ากูรักมึงแบบน้อง ไอ้วันนี้ที่ซึมๆไปอ่ะ"

แถมยังฉลาดอีก!...ผมไม่ตอบ

"ไม่ได้น้องนะ..รักแบบเมีย"
พี่กฤษณ์พูดแล้วพลิกตัวมากอดผม ดึงให้ผมลงไปนอนด้วย

"ปวดข้างล่างด้วยว่ะ นวดให้หน่อย"

"สัส"
ผมพูดก่อนจะลุกนั่งอีกครั้ง

"นอนหงายดิ้"
ผมบอก

..................................

 ผมตื่นแต่เช้ามาให้อาหารไก่ต้มไก่ย่างทุกวัน จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียเเล้ว
ก็อากาศที่นี้ตอนเช้าๆดีจะตาย ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสอากาศเย็นสดชื่นตอนเช้าบ่อยนักที่กรุงเทพ
อากาศที่นั่นถ้าไม่เย็นครึ้มๆ ก็จะร้อนแบบอบอ้าวเสมอ

"ขยันว่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอามือมาลูบหัว..ไก่ต้มไก่ย่างตรงหน้าผม
คือกูควรเลิกคาดหวังอะไรพวกนี้แล้วถูกมะ?!

ผมมองคนตรงหน้าที่เปลือยกายท่อนบน เดินเอาผ้าขนหนูพาดไหล่ไปมาทั่วบ้าน
แถมยังก่อกวนลูกจิ้บลูกเจี้ยบที่ผมเลี้ยงไว้อีก

"มึงอย่ารังแกไก่ ไอ้พี่กฤษณ์!"

"กูแกล้งมันเล่นเฉยๆ มึงนี่ดุขึ้นทุกวันนะ"

พี่กฤษณ์พูดเสียงอ่อยๆ ผมเกือบหลุดขำ มีบางวันเหมือนกันที่เราจะขลุกอยู่บ้านกันทั้งวัน พี่กฤษณ์อ่านพวกรายงานเอกสาร ส่วนผมก็นั่งๆนอนๆอ่านหนังสือข้างเขา เราใช้ชีวิตกันเหมือนครอบครัวจนผมยังรู้สึกแปลกใจ

อาจเพราะมันเรียบง่าย
หรือไม่ก็เพราะผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง แบบที่ไม่เคยเป็นเมื่อคบกับคนอื่นๆ

"สองมึงทำอาหารเช้าได้ป้ะ"
พี่กฤษณ์ถามพลางเอาคางมาเกยไหล่ผม ผมพยักหน้า

"กูทำกินเองบ่อยนะสมัยเรียน อยากกินเหรอ"
พอผมพูดอย่างนั้น เขาก็ดูดีอกดีใจจนน่าหมั่นไส้ ผมเดินเข้าบ้านเพื่อไปดูวัตถุดิบที่เหลือในครัว ..มีไข่กับหมูสับ กับผักอีกนิดหน่อย

"ข้าวหน้าไข่ข้น"
ผมหันไปพูดกับพี่กฤษณ์ที่เดินตามมา เขาพยักหน้ารับ

"เดี๋ยวกูหุงข้าวเอง"
พี่กฤษณ์พูดแล้วเริ่มลงมือตักข้าวสารใส่หม้อก่อนจะเทน้ำเปล่าลง ผมหันมาสนใจกับไข่และหมูสับตรงหน้า
คิดว่าจะเริ่มจากการทอดหมูสับให้สุกก่อน เพราะไข่ข้นนั้นไม่ต้องใช้เวลานาน

...................................

หลังจากอาหารและข้าวเสร็จเรียบร้อย เราก็มานั่งกินกันบนโต๊ะอาหารในครัว
ผมมองพี่กฤษณ์ เขาก็กินข้าวเหมือนทุกๆวัน เรากินข้าวเช้าด้วยกันเป็นร้อยๆครั้ง..

แต่ครั้งนี้มีบางสิ่งพิเศษออกไป..

"อร่อยนะเนี่ย ดูทำอะไรไม่ค่อยเป็น ทำได้ขนาดนี้"
พี่กฤษณ์พูดแซวเมื่อเห็นผมจ้อง

"ของดีไม่ได้มีบ่อยๆไง"
ผมพูดก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับกรุงเทพ กลับสู่ชีวิตของผม สิ่งมากมายรอให้รับผิดชอบ

"ทำให้กินทุกวันเลยได้ปะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มให้ผม แววตานั้นซื่อตรงต่อความรู้สึกจนน่าตกใจ ..หัวใจผมสั่นไหว

"เพ้อเจ้อ"
ผมพูดก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน สักพักก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น

"ก่อนกูจะกลับกูจะทำรายงานวิจารณ์สรุปสูตรขนมที่คาดว่าถูกใจตลาดที่สุดให้นะ เผื่อมันมีประโยชน์ต่อมึงบ้าง"
ผมพูด

"หืมม ทำงานดีจริง คืนนี้ต้องให้รางวัลซะเเล้ว"
พี่กฤษณ์พูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนจะลุกไปตักข้าวเพิ่ม

"จริงๆไม่ต้องรีบก็ได้นะ เพราะมึงกลับไปรอบนี้ กูก็จะไปกับมึงด้วย"

"จริงดิ้"
ผมถาม ตาวาวด้วยความตื่นเต้น ผมได้มารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของพี่กฤษณ์แทบทุกอย่างเเล้ว
คราวนี้ถึงตาพี่กฤษณ์บ้าง..

"มาอยู่คอนโดกูนะๆ"
ผมพูดเสียงอ้อนๆ พี่กฤษณ์หัวเราะขำ

"มึงได้ใช้งานกูเป็นทาสตายพอดี"

"นะะ กูอยากให้มึงอยู่ด้วยอ่ะ กูชอบอยู่กับมึง"
ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดมาตลอดออกไป พี่กฤษณ์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะยิ้มให้ผม

"กูไปทำงาน มีบางอย่างที่กูต้องสะสาง กูอาจไม่มีเวลาอยู่กับมึงตลอด"

"ไม่เป็นไร!"
ผมรีบพูด เหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นเเม้จะมีเงื่อนไขยุ่งยากตามมา

"แถมบางครั้งกูอาจกลับดึก อาจได้เข้าไปพักกับมึงแค่แปปเดียว.."

"ก็ได้.."
ผมพูดเสียงอ่อนๆ ทำหน้าตาเศร้าที่สุดเท่าที่จะเศร้าได้

"..ก็ได้"
พี่กฤษณ์พูด ผมตักไข่ข้นใส่จานให้เขาเพิ่ม..เขายังต้องเรียนรู้อีกมากเรื่องเล่ห์เหลี่ยมคน!

หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมก็ใช้พุงพี่กฤษณ์เเทนหมอนนอนอ่านหนังสือ เเม้เจ้าตัวจะเริ่มบ่นๆบ้างเรื่องรูปร่าง(ซิกแพกส์ที่หายไปของแก) แต่ความจริงผมว่าแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน ผมรักพี่กฤษณ์เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่เพราะหุ่นเซ็กซี่สักหน่อย(แม้มันจะมีส่วนอยู่บ้าง)

อาจเพราะอากาศค่อนข้างเย็นสบาย พี่กฤษณ์จึงงีบหลับไป ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอตอนที่มีเสียงเตือนข้อความไลน์เข้าต่อเนื่อง ผมเอื้อมมือไปหยิบมาดูเพราะคิดว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญ

หน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปผม..(สัสสสสส มึงทำอะไรเนี่ย?!(เขิน))
เบื้องหลังมีไลน์เด้งขึ้น และเป็นไลน์ของไอ้ตั้ม

'..ขั้นแรกเสร็จแล้ว พวกไอ้เกรียงมันดิ้นกันใหญ่..'

'..ต่างประเทศ'

'..ถ้าได้ส่วนแบ่งน่ะ'

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ และมองพี่กฤษณ์ที่หลับอยู่
พี่ชายผมเคยบอกว่าครอบครัวจะเเบ่งปันกันไม่ว่าสุขหรือทุกข์..
ผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้กำลังทำสิ่งนี้อยู่ เขาพยายามแบ่งปันความทุกข์ไปจากผม พยายามปกป้องผม

เหมือนที่เขาเคยสัญญาไว้ตอนที่ขอคบผม..

ผมไม่รู้ว่าปลายทางที่เราสองคนเลือกเดินจะมีเส้นทางมาบรรจบกันหรือไม่
ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมและเขาเลือกในวันนั้นมันถูกต้องหรือเปล่า

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้และแน่ใจ
ผมไม่เคยเสียใจกับทางเลือกนี้

และถึงเเม้ในท้ายที่สุด เราอาจไม่ได้มีชีวิตคู่ เหมือนดังเช่นคนอื่น
แต่อย่างน้อยผมแน่ใจ เราอาจได้พบ 'คู่ชีวิต' ของกันเเละกัน

เหมือนดังเช่นผมที่พบเขา


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่19) 17/05
«ตอบ #44 เมื่อ18-12-2017 01:12:37 »

มีความซึ้ง :sad4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่19) 17/05
«ตอบ #45 เมื่อ18-12-2017 07:47:24 »

ดีใจ เห็นเครื่องบิน ✈️ 
โฮ่งๆ /หมาข้างบ้านน่ะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

โอยๆ..........สุดยอด   :m20: :m20: :m20:
ขำ.....แบบหัวเราะ ก๊ากกกกกก เกือบทั้งเรื่อง เลย / หัวเราะแข่งกับหมา
ไรท์ ตบมุก ฮากระจาย มีกล้วย(หักมุก)ด้วย ชอบมากกกกกกก
มุกมีหลายลูกเลย
จากพี่ดา "รู้จักอดทนบ้างสิ"   แล้วก็ตัวเองก็ถอดเสื้อโค้ท / ไปสวนสัตว์นะ ไม่ได้ไปขั้วโลก

น้องแก้ว "หนูบอกแล้วไงให้เตรียมพร้อม" ว่าแล้วก็ ทั้งกินแตงโม ทั้งดูดเป๊บซี่

พี่กฤษณ์      "ปวดข้างล่างด้วยว่ะ นวดให้หน่อย"
สอง            "สัส"
                 "นอนหงายดิ้"
พี่กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

พี่กฤษณ์ ทั้งดี ทั้งน่ารัก อบอุ่น เสมอต้นเสมอปลาย
อย่างนี้สองไม่ปล่อยมือพี่กฤษณ์ ให้ใครแน่  :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
«ตอบ #46 เมื่อ15-01-2018 20:00:47 »

ตอนที่ 20 : ตัวร้าย

ฉันมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้
ดีใจ..อึดอัด..เสียใจ..กังวล

ก่อนหน้านี้ ผู้ชายอีกคนที่ท่าทางวางอำนาจ กับพี่สาวผู้น่ากลัวของเขา ได้เข้ามาคุยกับฉัน
ทั้งขู่ ทั้งบังคับ ให้ฉันสารภาพเรื่องทั้งหมดไป

ทว่าฉันปิดปากเงียบ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ช่วงชีวิตที่ได้ทำงานกับนายท่านและเจ้านาย
ทำให้ฉันรู้ว่ามีหลายสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ..เลวร้ายกว่ายิ่งนัก

..ฉันไม่กลัวตาย..

ฉันบอกไปแบบนั้นตอนที่ชายผู้วางอำนาจขู่
ลูกน้องของเขายกปืนขึ้น

แต่เมื่อฉันบอกว่าไม่กลัวตาย
และฉันหมายความตามนั้นจริงๆ

พี่สาวของเขาจึงบอกให้หยุด

เธอเหลือบสายตามองฉันเหมือนเป็นริ้นไร
ปะหลาดใจที่ฉันไม่รู้สึกเย็นยะเยือก

อาจเพราะฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร
ฉันจ้องกลับไปด้วยสายตาที่ไม่ได้ต้องการจะสื่อความหมายอะไรนัก

ภาวนาให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว
เป็นความตาย..เป็นอะไรก็ได้ ขอทีเถิด..

'ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กลัวตายจริงๆ..ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวตอบคำถามกฤษณ์เองแล้วกันนะ
ว่าทำไมถึงได้ทำอย่างนั้น'
ผู้หญิงใบหน้าสะสวยเอ่ยวาจาเรียบๆก่อนจะยิ้มมุมปาก

เธอช่างรู้ว่าทำอย่างไรฉันถึงจะจนมุม

 ..พี่กฤษณ์..
เพียงเเค่ได้ยินชื่อของเขาก็เหมือนก้อนสะอื้นมาจุกที่ลำคอฉัน
คนไม่กี่คนในชีวิตของฉันที่ผ่านเข้ามา และไม่ฉกฉวยเอาชีวิตไป

ไม่กี่คนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังโชคดีที่ได้มีชีวิต

..ได้มาพบเขา

ก่อนที่จะได้คิดถึงเรื่องที่ตนไม่มีทางเลือก เรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจมากที่สุด

ชายคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน

ดวงตาสีดำสนิทนั้นราวกับจะมองทะลุตัวฉัน ฉันหลบตาเขา ริมฝีปากสั่นน้อยๆ
สักพักหลังจากความเงียบผ่านไป

อยู่ๆมือหนาก็ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน

"ไม่เป็นไรนะ"

เขาพูดเพียงเท่านั้น น้ำเสียงไม่ได้อ่อนหวาน ไม่มีกอด ไม่มีอะไรนอกจากลูบหัวแบบที่เคยทำ
แต่อยู่ๆฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงกว่าที่จำได้

ไหล่ของเขากว้างเหลือเกิน..

ฉันสะอึกสะอื้นก่อนจะโผกอดพี่กฤษณ์..
ลำแขนแกร่งโอบตัวฉันไว้เบาๆ..

"ไอไม่ได้ตั้งใจ..ฮึก..ไอ ไอไม่มีทางเลือก เขาบังคับไอ.."
และหลังจากนั้นเรื่องราวก็พรั่งพรูออกจากปากฉัน

ทั้งหมดนี้มาจากอ้อมกอดของเขา
ที่บังคับให้ฉันเล่า..แบบที่กระบอกปืนไม่เคยทำได้

..................................

"พี่ไอ~! แก้วคิดถึงจังง"
เด็กสาวตัวน้อยที่ชื่อแก้ววิ่งมากอดฉัน ฉันจำเธอได้ดี แววตาใสซื่อแก่นแก้ว นิสัยร่าเริง
เธอเหมือนน้องสาวตัวน้อยที่ฉันไม่เคยมี

"พี่กฤษณ์บอกว่าพี่ไอจะมาเป็นเด็กฝึกงานที่นี้ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเหรอคะ..แก้วดีใจจังเลย"
ฉันยิ้มให้เธออย่างอ่อนเพลียก่อนจะพยักหน้ารับ..พี่กฤษณ์..

ขอบคุณมากนะคะ..

ฉันยังกลัวนายท่านเเละเจ้านายอยู่..
แต่เมื่อได้ฟังคำมั่นสัญญาของพี่กฤษณ์ และเเววตาของเขาที่มองฉัน
ตอนที่บอกว่าจะปกป้องฉัน..

เขาทำให้ฉันเชื่อ

ถ้าหากว่าจะมีใครสักคนที่สามารถยืนหยัดสู้กับอำนาจที่อยุติธรรมทั้งหลายได้
ฉันคิดว่าคนคนนั้นคือเขา..

แต่ต่อให้ไม่ได้..
ฉันก็อยากจะลอง'เชื่อ'ดูสักครั้ง

เหมือนเจ้าหญิงที่ท้ายที่สุดจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย..
เหมือนเจ้าหญิงในนิทานสำหรับเด็ก..ที่แม่เคยอ่านให้ฉันฟัง..
ในคืนที่พ่อโมโหทุบตี คืนที่พี่ชายเมายาแล้วข่มขืน คืนที่ฉันต้องถูกบังคับให้ขายตัวเป็นครั้งเเรก

นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยเชื่อว่าจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาว

แต่พอได้พบกับพี่กฤษณ์
ฉันคิดว่าคนคนนั้นอาจมีจริง

การกลับมาของฉันครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
ถ้าเทียบกับสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันไม่สมควรได้รับมันด้วยซ้ำ

ทุกคนในบ้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

พวกเขาอาจไม่รู้

ฉันเหลือบมองพี่กฤษณ์ที่กำลังยิ้มและพูดคุยกับคนรักของเขา
..เขาอาจไม่ได้บอกคนอื่นๆ เรื่องคืนนั้น

พี่กฤษณ์เป็นคนแบบนั้น

...................................

หลังจากทานอาหารเช้าร่วมกันอันเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของบ้านเสร็จ
ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

ฉันเก็บจาน ถ้วย ช้อนส้อม เตรียมไปล้างในห้องครัว
ขณะที่กำลังเก็บอยู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

"เดี๋ยวผมช่วย"

ฉันเงยหน้ามอง เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลอ่อนๆ ท่าทางไม่แยแสอะไรยืนอยู่ตรงหน้า

..เขาเป็นคนรักของพี่กฤษณ์

พี่กฤษณ์บอกฉัน น้องแก้วก็บอก

สารภาพว่าได้ยินตอนแรกฉันประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
พี่กฤษณ์ไม่ได้มีทีท่าเหมือนคนที่จะรักผู้ชายเป็นแฟนได้

แต่พอมาคิดๆดู คนจะรักเพศไหนก็ไม่จำเป็นต้องมีทีท่าแบบไหนเป็นพิเศษ
นี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่งานของฉันไม่สำเร็จ..

"คุณสองไม่ต้องทำหรอกค่ะ ไอทำเองได้"
ฉันบอกไปเบาๆเมื่อเขาดึงจานออกไปจากมือฉัน

"เออก็จริง ปกติผมก็ไม่ได้ทำ พึ่งนึกขึ้นได้ตอนเห็นคุณทำนี่แหละ"
คนตรงหน้าพูดแล้วส่งจานคืนให้ฉันอย่างรวดเร็ว...
แต่เมื่อฉันเดินเข้ามาในครัว เขาก็เดินตามมาด้วย

"พี่กฤษณ์เล่าให้ผมฟังแล้ว เรื่องที่คุณโดนวินด์บังคับ"

"ฉันไม่มีทางเลือก"
 ฉันก้มหน้า เลี่ยงไม่สบสายตาเขา พยายามหันไปทำธุระจุกจิกอย่างการเรียงจาน เทเศษอาหาร เปิดน้ำ

"ไม่จริง มีวิธีเป็นร้อยที่จะทำตามคำสั่งเขาแบบไม่ต้องเอาตัวเข้าเเลก แต่คุณทำ"
เขาพูดก่อนจะยักไหล่

"ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณโกหก แต่คุณก็เห็นแล้วว่าพี่กฤษณ์เป็นคนยังไง คุณเห็นเขาใจดีด้วย คุณเลยคิดว่าจะเอาเปรียบเขาได้?"

ที่ฉันโกหกเพราะฉันหลงรักพี่กฤษณ์จริงๆนะสิ...ฉันคิดอย่างเจ็บปวด

"..ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะ คุณสอง.."
ฉันพูดเสียงสั่นนิดๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกคนตรงหน้าคุกคาม

"ถ้าคุณคิดว่าไอ้ความน่าสงสาร ประวัติชีวิตน้ำเน่า มันจะใช้ได้กับทุกคน คุณคิดผิด.."
เขาพูดก่อนจะเปิดตู้วางจาน ถ้วย แล้วหยิบมันขึ้นมา

"พี่กฤษณ์ใจดี แต่ผมไม่ และผมไม่ Give a shit ด้วยว่าคุณจะน่าสงสารยังไง
 ..อย่าล้ำเส้น อย่าแตะต้อง ไม่งั้นแม้แต่ความสงสารจากพี่กฤษณ์คุณก็จะไม่ได้มันอีก"

เขาวางถ้วยจานที่ยังสะอาดเอี่ยมลงไปในอ่างล้างจานที่ฉันเตรียมไว้

"ล้างให้สะอาดนะครับ น้องไอ..งานพวกนี้พี่ไม่ถนัด"
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเทพบุตร ส่งรอยยิ้มหวานมาให้ฉัน
ก่อนจะหันหลังเดินออกจากครัวไป

ดูเหมือนว่าคนรักของพี่กฤษณ์คนนี้..จะไม่ใช่ 'นางเอก' อย่างที่ฉันคิดไว้เสียเเล้ว

..................................

จริงอยู่ที่ฉันหลงรักพี่กฤษณ์..ฉันมองเขาเป็นอัศวินที่มาช่วยฉัน
แต่..ฉันก็รู้ตัวฉันดี รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะใด

ฉันไม่อาจอาจเอื้อม ดีใจ กับการใจดีเล็กๆน้อยๆของเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 'เจ้าของ' เขายังอยู่ข้างๆแบบนี้

คุณสอง..ถึงแม้เขาจะใจร้ายกับฉันไปบ้าง แต่นอกเหนือจากการ'เตือน'ในวันนั้นแล้ว
เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะคุกคามฉันมากนัก

แต่ในสายตาของฉันพวกเขาดูเหมือนพี่น้องที่สนิทกันมากกว่าคนรัก
ฉันมองดูภาพพวกเขาหยอกล้อกัน มีทั้งเสียงหัวเราะ การโหวกเหวกโวยวาย
 ช่างดูเป็นครอบครัวที่สนุกสนานเหลือเกิน

"หนูไอนี้เรียบร้อยดีจริงๆเลยนะ พูดน้อยคำ ทำงานเก่ง สุภาพอีกต่างหาก"
ป้าสมบัติพูดชมขณะนั่งพับผ้าอยู่ข้างๆฉัน
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ฉันก็ได้ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง จนตอนนี้สนิทกับป้าสมบัติที่สุด เธอทำให้ฉันคิดถึงแม่ที่บ้าน...
แม่ที่ไม่รู้ว่ารอคอยการกลับไปของฉันอยู่ไหม

"ไอแค่ไม่มีเรื่องจะพูดนะจ่ะป้า..ทำงานก็ทำให้ไม่คิดอะไรดี"
ฉันพูด สายตายังเหม่อมองไปที่พี่กฤษณ์กับคุณสอง

"เอ้อ นี่ พอดี กระดุมเสื้อคุณสองเขาหลุด ไอเย็บเป็นไหม ช่วยป้าหน่อยนะ"

"ได้ค่ะ"
ฉันรับคำก่อนจะหยิบเสื้อนอนราคาเเพงมาเพื่อเย็บกระดุมกลับ
มันไม่ใช่งานที่ยากลำบากนัก ไม่นานฉันก็ทำเสร็จ

"ขอบคุณน้องไอดิสอง น้องเย็บกระดุมกลับให้"
พี่กฤษณ์เดินมาก่อนจะหันไปยิ้มอย่างขี้เล่นให้กับคนข้างๆ คุณสองส่ายหัว

"มึงดิต้องขอบคุณ มึงทำหลุดอ่ะ"

พี่กฤษณ์มองหน้าฉันก่อนจะหลุดหัวเราะ

"เออ พี่ทำจริงๆว่ะ.. ขอบคุณนะน้องไอ ว่างๆสอนเจ้าสองหน่อยดิ มันจะได้ทำอะไรพวกนี้เป็นบ้าง"

"กูมีเงิน จ้างเอาก็ได้"
คุณสองพูดอย่างไม่ยี่หระ พวกเขาดูเข้ากันจนฉันอดยิ้มไม่ได้..

นี่คือความรักหรือเปล่านะ..

เจ็บปวดที่เขารักคนอื่น แต่ก็สุขใจที่เห็นเขามีความสุข

ฉันมองรอยยิ้มพี่กฤษณ์
แค่ได้มองอยู่ในมุมนี้ฉันก็พอใจแล้ว

..................................

ไม่นานนักพี่กฤษณ์ก็ต้องเดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพ
ทั้งคุณสองและเพื่อนของเขาก็ไปด้วย

ฉันที่อยู่ที่นี้เมื่อเวลาผ่านไปก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของไร่แห่งนี้มากขึ้น
วันเวลาดูผ่านไปเชื่องช้า เรียบง่าย และสงบสุข

ทุกวันตอนเย็นน้องแก้วมักจะมานอนเล่นอยู่ห้องฉัน
ให้ฉันทำผมให้ ถ่ายรูป เล่นแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆกัน

น้องอยู่ในวัยแรกรุ่น และมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้ฉันฟัง
ประสบการณ์ในโรงเรียนและเพื่อนๆที่ฉันไม่เคยได้พบ

"แล้วมาร์คก็บอกกับเพื่อนแก้วว่า เขาแอบชอบแก้วอยู่อ่ะพี่ไอ..เขาบอกไม่ให้เพื่อนแก้วบอกแก้ว!"
น้องสาวตัวน้อยของฉันโวยวาย

"นิ่งๆก่อนนะแก้ว เดี๋ยวที่รีดผมโดนคอ.."
ฉันพูด พยายามกลั้นขำ ..แสดงว่าเพื่อนแก้วบอกแก้วแล้วใช่ไหมเนี่ย..

"แต่แก้วไม่ได้ชอบมาร์คไง หมอนั่นชอบทำตัวขี้แอ็ค..แบบ ดีดกีตาร์ติ๊งๆ หน้าห้องไรงี้ "
น้องแก้วยังคงเล่าต่อเสียงเจื้อยแจ้ว

"โอย ที่พี่ฟังมาทุกวัน ไม่ยักเห็นน้องแก้วชอบใครสักคน"
ฉันพูด กลั้นขำ น้องแก้วเป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักเลยทีเดียว เธอมีความเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก ฉลาด ฉะฉาน เป็นทั้งหัวหน้าห้อง ทั้งนักกีฬา ไม่แปลกที่เด็กๆผู้ชายจะชอบเธอ

"ก็แก้วชอบพี่ไออ่า..พี่ไอสวยน่ารัก"
น้องแก้วพูดก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อย ฉันบิดแก้มเธอด้วยความหมั่นเขี้ยวไปทีหนึ่ง

"แหม..เสร็จแล้วค่ะ คุณหนู"
น้องแก้วมองฉันก่อนจะทำหน้ามุ่ย

"จริงๆนะพี่ไอ ถ้าพี่ไอแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าสวยๆ พี่ไอสวยไม่แพ้เน็ตไอดอลเลยนะ! ผิวขาว ตาโต ปากเล็กๆง่ะ"

ฉันส่ายหัว ความงามนั่นอันตราย ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ชีวิตฉันถึงได้ลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"หืมม ไม่เอาก็ไม่เอา พี่ไอไปกินของหวานกันไหมคะพรุ่งนี้ พี่ไอไปรับแก้วที่โรงเรียนนะ"
น้องแก้วคะยั้นคะยอ ปกติจะมีคนขับรถไปรับน้องแก้วเเทนพี่กฤษณ์ ฉันจะขอติดรถเขาไปด้วย ไม่ได้ออกไปไหนนานแล้วเหมือนกัน

"ก็ได้จ้ะ"
ฉันตกลงรับปาก

.................................

ฉันมองบรรยากาศรอบตัว นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ออกมานั่งรถเล่นเเบบนี้
โชคดีที่พี่สิงห์เป็นคนใจดี ฉันขอติดรถมารับน้องแก้วเเล้วเขาก็ตอบตกลง

"ร้อนไหมน้องไอ พี่เด็กบ้านๆ~ พี่คนจนๆ .."
พี่สิงห์หันมาถามพลางร้องเพลง ฉันหลุดขำ
พี่สิงห์เป็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหมาะแก่การทำงานเก็บดอกรายวันมากกว่ารับส่งเด็กผู้หญิง
เขาชวนฉันคุยสัพเพเหระ ฉันซึ่งค่อนข้างเงียบๆได้แต่นั่งฟัง ตลอดระยะการเดินทาง ทำให้รู้จักเรื่องราวของพี่สิงห์เกือบทั้งชีวิตเลยทีเดียว

เป็นต้นว่า พี่สิงห์เป็นลูกคนโต มีน้องสาวสองคน พี่แกเรียนจบช่างยนต์ ตอนแรกก็ล่องลอยไม่มีงานไปเรื่อยๆ จนได้ไปเจอลุงชัยที่งาน Car expo.. ตอนนั้นพี่สิงห์ไปวิเคราะห์เครื่องยนต์โม้ให้เศรษฐีแถวนั้นฟัง หนึ่งในนั้นมีลุงชัยด้วย จบงานแกสนใจ เลยได้คุยกันยาว ลุงชัยเห็นพี่สิงห์หน่วยก้านดี เป็นคนขยัน เลยชวนให้มาทำงานด้วย ...

"ครอบครัวนี้เนี่ย เขาเหมือนรับเลี้ยงคนทำบุญทำทานนี่แหละ"
พี่สิงห์เล่าให้ฉันฟังว่า มีคนงานหลายคนที่ทำงานที่ไร่ เข้ามาในลักษณะเดียวกันกับพี่สิงห์ อาจเพราะเเบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมากกว่าบริษัทหรือองค์กรอะไรสักอย่าง
พวกคนงานต่างรักและเคารพครอบครัวลุงชัยเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือจากใจ
ไม่ใช่เพราะตำแหน่งหรือความเกรงกลัว

ฉันเองก็เช่นกัน แม้จะมาอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์และความอบอุ่นที่มีในไร่มาโดยตลอด
ทำให้คิดไปว่า หรือที่นี้จะเป็นที่ที่ฉันเรียกว่า 'บ้าน' ได้เต็มปากเต็มคำสักที

..................................

เมื่อมาถึงโรงเรียนของน้องแก้ว ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย
ระหว่างที่ฉันกับพี่สิงห์นั่งรอน้องแก้วเรียนเสร็จอยู่ในศาลา

สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นใบหน้าคุ้นเคย ผู้ชายสองสามคน เดินวนไปมาในบริเวณที่ควรเป็นที่จอดรถของผู้ปกครองคนอื่นๆ ใบหน้าคนเหล่านั้นทำให้ฉันตัวเเข็งขึ้นมา

...คนของเจ้านาย..ไม่สิ..อดีตเจ้านาย
คนของคุณวินด์..

ฉันรู้จักพวกมันแต่ละคนดี
ถ้ามันปรากฎตัวที่ไหน ไม่เคยมีด้วยเจตนาดีเลยสักครั้ง..

และนี้คือโรงเรียนน้องแก้ว..

เจ้านาย..คุณคิดจะทำอะไรกันเเน่..?

"เป็นอะไรเหรอน้องไอ เหงื่อตกเชียว"
พี่สิงห์ถามขึ้นด้วยภาษาท้องถิ่น..ฉันส่ายหัว ตายังคงจ้องไปที่คนเหล่านั้น
พี่สิงห์หันมองตาม

"เอ..คนของหัวหน้านี่..แค่พี่คนเดียวยังไม่พอหรือไง.."
พี่สิงห์พูดก่อนจะยิ้มให้ฉัน

"หัวหน้าไม่ค่อยเชื่อใจเราเท่าไหร่เลยว่าไหม...น้องไอ"
ฉันมองหน้าพี่สิงห์ รู้สึกเย็นยะเยือก...

ทั้งๆที่รอยยิ้มนั้นอบอุ่นใจดีเหลือเกิน

..................................

"พี่สิงห์~ พี่ไอ?! มาจริงๆด้วยย"
น้องแก้วเดินยิ้มกว้างมาแต่ไกล ฉันยืนตัวเกร็งอยู่ข้างๆพี่สิงห์
ความจริงที่พึ่งได้รับรู้นั้นทำให้ฉันตกใจไม่น้อย

พี่สิงห์เป็นหนอนบ่อนไส้อย่างนั้นหรือ..?

คุณวินด์คิดจะขู่บังคับพี่กฤษณ์โดยใช้น้องแก้วอย่างนั้นหรือ?
ทำไมถึงได้ส่งคนมาติดตามน้องแก้ว?
แล้วเจ้านายเลิกตามล่าฉันเเล้วหรือ? หรือคิดได้เเล้วว่าทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์..

ฉันไม่เคยเข้าใจความคิดของเจ้านายเลยสักครั้ง

เขานั้นเพียบพร้อมสมบรูณ์แบบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในการกระทำของเขา
เหมือนชีวิตเขานั้นไม่เคยเติมเต็ม

เหมือนเขาโหยหาอะไรบางสิ่งอยู่เสมอ

อยากจะกด..อยากจะเหยียบย่ำ..อยากจะทำลาย
เขาเคยทำมันมาเเล้วกับชีวิตพี่กฤษณ์และคุณสอง

แต่กับน้องแก้ว..ฉันจะไม่ยอม
ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือชิ้นใดของเขาอีก

ฉันมองพี่สิงห์ที่ยกกระเป๋าให้น้องแก้ว มองคนของเจ้านายที่มองพวกเราจากที่ไกลๆ
ในตอนนั้นเองที่ฉันตัดสินใจว่า

แม้ว่าโลกนี้จะไม่เคยยุติธรรม
แม้ว่าในชีวิตของฉันเองก็ไม่เคยได้รับความเห็นใจใดๆจากเจ้าชายขี่ม้าขาว หรืออัศวิน
แต่ฉันไม่จำเป็นต้องเอาแต่รอคอย ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ก้มหน้าสมเพชโชคชะตา

ฉันอาจเป็นอัศวินของใครบางคนก็ได้
เพียงแค่ฉันลุกขึ้นมาทำบางสิ่ง

..บางสิ่งที่ฉันพอจะทำได้

"น้องแก้ว วันนี้ป้าสมบัติบอกว่ามีขนมตาลทำใหม่ๆอยู่บ้านนะ"

"เอ๋..? แต่วันนี้เราสัญญาว่าจะไปกินขนมหวานกันนี่คะ"
เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย

"ก็กินอยู่บ้านเราไง..จะได้ไม่ดึกด้วย พี่สิงห์เองก็คงอยากพักผ่อนนะคะ ทำงานมาทั้งวัน"
ฉันพูดและหันไปยิ้มให้เขา

"เดี๋ยวไอโทรบอกป้าสมบัติเลยละกันเนาะ ว่าเรา'สามคน'จะกลับไปกินข้าวเย็นด้วย"
ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นกดทันทีก่อนจะมองหน้าพี่สิงห์ เขายิ้มให้ฉัน

แต่รอยยิ้มกลับไม่กว้างเท่าครั้งแรก



สวัสดีค่ะ!! :hao3:
ในที่สุดก็พอมีเวลาว่างมากขึ้นจากงานเลยได้มาพิมพ์ต๊อกๆแต๊กๆ ต่อค่ะ!
อาจจะห่างหายกันไปบ้างอยากให้เข้าใจว่า ช่วงที่คนอื่นหยุดกัน เราไม่ได้หยุดเลยค่ะ! :o12:

สำหรับตอนนี้เป็นมุมมองของสาวน้อยไอ ตัวร้ายที่ถ้าไปอยู่เรื่องอื่นอาจน่าหมั่นไส้มากกว่านี้(ฮา)
แต่จริงๆแล้วเธอไม่ใช่ตัวร้ายแบบ'stereotype'เลยสักนิด(โกหก แสดงเก่ง ขี้อ้อน หน้าอย่างหลังอย่าง อะไรเทือกนั้น)

ก็ชีวิตจริงน่ะไม่มีตัวร้ายหรอกนี่คะ มีแต่มนุษย์เหมือนกันทั้งนั้น
มีเหตุผลในการกระทำบ้าง ไม่มีบ้าง ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง

แต่ก็เพราะความเป็นมนุษย์นี่แหละค่ะ
นิยายเรื่องนี้ถึงจำเป็นต้องสนุกเข้มข้นขึ้นไปอีก!

#Anynomous


ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
«ตอบ #47 เมื่อ17-01-2018 01:38:07 »

อ่าว สิงห์เป็นหนอนบ่อนไส้หรอ ... :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
«ตอบ #48 เมื่อ17-01-2018 18:13:42 »

คิดถึง แล้วไรท์ก็มา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พี่กฤษณ์ ใจดี มีเมตตา
สอง ฉลาด ทันคน ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หวงพี่กฤษณ์สุดๆ
พี่กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ไอ ร้ายเพราะถูกบังคับ ไม่ได้อยากร้าย
แต่ดูแล้วไอ จะดี กับแก้ว เพราะแก้วไว้ใจ รัก สนิทสนมกับไอมากๆ
คนงานแบบสิงห์ ก็แอบแฝงเข้ามาในไร่ หรือถูกซื้อตัว?  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
«ตอบ #49 เมื่อ17-01-2018 18:22:30 »

อ้าว สิงห์!!!! ทำไมเป็นคนแบบนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
« ตอบ #49 เมื่อ: 17-01-2018 18:22:30 »





ออฟไลน์ Septemberry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
«ตอบ #50 เมื่อ17-01-2018 20:36:59 »

กีสสสสสสสสส มาปักหมุดไว้ก่อนนน

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
«ตอบ #51 เมื่อ18-01-2018 23:54:01 »

 o13

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

ตอนที่ 21:สีเทาขมุกขมัว

"ฉันได้ข่าวเกี่ยวกับเเกมา..ไม่ใช่เรื่องดีเลย"
ชายมีอายุซึ่งอยู่ตรงหน้าผมพูดขึ้น ผมก้มหน้า มองพื้น เหมือนที่ทำเสมอเวลาคุยกับท่าน

"ข่าวมีมูลความจริงไหมครับ"
ผมถาม และทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะดังปัง!

"จะมีหรือไม่มีคนมันก็เชื่อกันได้อยู่แล้ว!! แกต่างหาก ที่มีปัญหาแน่ๆ..รู้ไม่ใช่เหรออีกไม่นานจะถึงวันเลือกตั้ง
คู่แข่งไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตั้งใจโจมตีกันทั้งนั้น!! "
เขาพูดด้วยความเดือดดาล ผมก้มหน้านิ่ง ไม่ได้รู้สึกผิดเท่าที่ควร แต่ก็กล่าวขอโทษไป แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูลนัก นายท่านจึงยังไม่ได้เอาความกับผม..ต่อไปผมต้องระวังให้มากขึ้น..

ผมแน่ใจว่าเป็นฝีมือของไอ้ตั้ม กับพี่สาวสกปรกของมัน

...วันนั้นถ้าไอ้คนอวดดีนั่นไม่โผล่มา ผมกับสองอาจจะเข้าใจกันเเล้วเเท้ๆ...

ไอ้สวะนั่นต้องชดใช้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด..ผมสัญญา!

..................................

หลังจากที่โดนทำร้ายร่างกายโดยไอ้คนจอมอวดดี ผมก็ซมซานกลับบ้าน
แต่ก็ซมซานเพียงแค่ตัว หัวใจกลับลิงโลด

..ผมยังจำภาพของสองที่ตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ใต้ตัวผมได้ดี..
หยาดน้ำตาบนใบหน้า ช่วงล่างของเขากับช่องทางที่ผมอยากเข้าไปเหลือเกิน..
เสียงครางเบาๆของเขา ริมฝีปากที่พยายามกัดเม้มเพื่อห้ามไม่ให้เสียงนั้นออกมา

...อา...

ผมรักเขา
..มันมากกว่านั้นเสียอีก..

เมื่อก่อนผมแค่อยากอยู่ข้างๆเขาอย่างเท่าเทียม..
แต่หลังจากวันนั้นผมได้รู้ตัว

ผมต้องการเขา..
ต้องการมาก อยากได้เขามาไว้ในครอบครอง

ทำให้หลั่งน้ำตาเพื่อผม ทำเพื่อผม และรักผม

ผมคนเดียว
เพียงคนเดียวเท่านั้น

"ตืด..ตืด..ตืด.."

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ เบอร์โทรนี้ไม่คุ้นเคย..ปกติผมไม่ให้เบอร์ส่วนตัวกับใครง่ายๆ
จึงมองอย่างเฉยเมย ไม่คิดจะกดรับ

เสียงเรียกเข้ายังดังอย่างต่อเนื่อง หลังจากดังเป็นครั้งที่สาม เสียงนั้นก็เงียบไป

"ตึ๊ง.."
เปลี่ยนเป็นข้อความเข้าเเทน ..ผมกดดู

'ข่าวลือเป็นเเค่จุดเริ่มต้น ..หลังจากนี้คือของจริง'
ไฟล์ภาพที่เเนบมาเป็นภาพเด็กสาวที่ผมจ้างให้ทำงานพิเศษ..นักแสดงของผม

ผมมองภาพนั้น ไม่ผิดแน่ ..เป็นยัยโง่นั่นจริงๆ แต่ผมจัดการไปแล้วนี่นา..ยัยนี่ควรจะไม่มีปากไม่มีเสียง
อยู่ในที่ทำงานของมันนี่..ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ..

แล้วยิ่งใกล้จะถึงวันเลือกตั้งเเล้วด้วย..เสียงนายท่านลอยเข้ามาในหัวผม
..ไอ้พวกนั้นมันตั้งใจ..ผมมองแผนการออกแทบจะในทันที

มันตั้งใจปล่อยข่าวเพื่อให้กระทบกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของนายท่าน
ลำพังตัวผมเองไม่เท่าไหร่..มีคนรู้จักอยู่บ้าง แม้จะไม่มากมายนัก แต่ผมก็เป็นถึง 'บุตรบุญธรรม'ของนายท่าน
เป็นหมาก ที่จะให้เขาชักต่อ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในเกมการเมืองนี้..

นายท่านถึงได้กำชับหนักหนาตั้งแต่ผมยังเด็ก ว่าอย่าทำประวัติตนเองให้เสีย
และผมก็ทำมาได้ดีตลอด..จนกระทั่งตอนนี้..

ผมกำหมัดแน่น..ผมเดินทางมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางหันหลังกลับแน่
มันไม่มีที่ให้หันกลับไปอีกแล้ว

.................................

"ในที่สุดแกก็มาจนได้นะ.."

ผมมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเฉยชา ใบหน้าขาวตี๋ที่ปกติจะกวนอารมณ์ผมตลอดเวลา
วันนี้กลับมีรอยยิ้มเหยียดหยันแปลกๆ

คราวนี้เขามาในฐานะคนถือไพ่เหนือกว่า 'เรา'นัด ทานอาหารเย็นกันที่ภัตตาคารราคาแพงลิบแห่งนี้

ผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของไอ้ตั้มแทบจะในทันที

ไฮโซหนุ่มที่ปกติจะฉายเดี่ยว แต่งตัวเหมือนหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำราญ มาพักหลังนี้นอกจากจะเเต่งตัวสุภาพขึ้น..
ผมคิดพลางพิจารณาสูทราคาเเพงที่ตัดเย็บอย่างประณีตของเขา ..แล้วมองไปที่ชายร่างกำยำสองคนที่เดินมาด้วย
เขายังระมัดระวังตัวมากขึ้น..แสดงว่าคงเข้าไปช่วยงานธุรกิจของครอบครัวเต็มที่แล้วสินะ..

มิน่าเล่า ไอ้ท่าทางอวดดีที่เมื่อก่อนเคยมี เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นหยิ่งผยองแทน
ผมคิดในใจอย่างอดสมเพชไม่ได้

"ตอนนี้ฉันมีทุกอย่างที่ใช้ทำลายแกได้ แค่ฉันสั่งไป"
เขาพูดเรียบๆ รอยยิ้มยังอยู่บนใบหน้า

"แกต้องการอะไรจากฉัน"
ผมถามไปตรงๆ

"ไม่มากนะ ใส่ใจในเรื่องของตัวเองพอ อย่ายุ่งกับสอง พี่กฤษณ์ เด็กผู้หญิงคนนั้น เลิกขัดการยื่นตำแหน่งของฉัน อย่าคิดเผาที่คนอื่นอีก พูดง่ายๆ ทำตัวแบบที่คนดีๆเขาทำกัน"

ผมมองหน้าคนตรงหน้า

..ไอ้คนเเบบนี้เนี่ยนะ..มาบอกให้ผมทำตัวเเบบที่คนดีๆเขาทำกัน ..น่าขำ!
แล้วไอ้เงื่อนไข..เลิกขัดการยื่นตำแหน่ง มันก็ผลประโยชน์ตัวเองชัดๆไม่ใช่หรือไง

"คนที่ใช้เพื่อนตัวเองเป็นเครื่องมือนี่เป็นคนดีเเล้วหรือไง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เเม้ภายในใจความโกรธจะเริ่มคุกรุ่น

"มึงพูดให้มันดีๆนะเว้ยไอ้วินด์..นี่กูให้โอกาสเเล้วนะ"
คนตรงหน้ากดเสียงให้ต่ำเหมือนพยายามจะข่ม ผมรู้สึกสงบขึ้น

และรอยยิ้มของผมก็เผยออกมา

รอยยิ้มที่อาจไม่เหยียดหยันเท่าคนตรงหน้า
แต่มีพลังต่อตัวผมจนน่าประหลาด

"คุณอาจมองว่าผมไม่ดี ผมไม่ปฏิเสธ แต่ผมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้
มีแต่คุณที่ลากสองมาเกี่ยวข้องในเรื่องงานของคุณด้วย กี่ครั้งแล้วล่ะ ที่เขาต้องมารับผิดชอบ มาคอยดูแล ช่วยเหลือคุณ ..ก็ไม่ใช่เพราะความไร้ความสามารถของคุณเองเหรอ"

"พูดจาดีอย่างกับพวกทนาย ..ไอ้สัส.. แล้วที่มึงเผาไร่พี่กฤษณ์นี้แยกแยะเเล้วเหรอวะ?"

ผมกอดอก

"คุณอาจจะลืม ผมเป็นทนาย เมื่อผมทำงานร่างสัญญาให้เขา ผมก็ทำเต็มความสามารถของผม ส่วนเรื่องเผาไร่ คุณกำลังปรักปรำผมอยู่ ผมฟ้องคุณเดี๋ยวนี้ยังได้เลยนะครับ"

"ไอ้...สรุปมึงจะ Deal ไม่ Deal?"
เขาลุกขึ้น มองหน้าผม

"ไม่"
เมื่อผมพูดเสร็จ เขาพยักหน้า ลุกขึ้น แล้วเดินจากไป

สักพัก บริกรชายของร้านก็เดินเข้ามาหาผม

"เอ่อ...สรุปอาหารที่สั่งจะยังเอาเหมือนเดิมไหมครับ.."

ผมถอนหายใจ พยักหน้ารับตามมารยาท ..แล้วผมจะกินยังไงคนเดียวให้หมด
เงินค่าอาหารก็ต้องจ่ายเองอีก ..คนดีๆเขาทำกับคู่เจรจาของตัวเองอย่างนี้หรือไง

...................................

"วินด์!! นี้มันเรื่องอะไร !"
นายท่านโยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้าผม มันหล่นลงไปบนพื้น

'..ลูกชายว่าที่นายก ผันพันกับคดีค้ามนุษย์!! ..อ่านต่อหน้า 19...'

 "ผมไม่ทราบครับ"
ผมก้มหน้า เหมือนที่ทำเสมอมา ..แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ

"ฉันบอกแล้วใช่ไหม ให้ไปจัดการให้เรียบร้อย! แล้วนี่แกจัดการได้แค่นี้เหรอ?!! แกไปสร้างศัตรูที่ไหนไว้ ห๊ะ!!"

"ผมไม่ทราบจริงๆครับ"

"ฉันไม่ได้เลี้ยงงูมาไว้เพื่อฉกตัวเอง ฉันต้องส่งคนไปตามเก็บตามเช็ดเรื่องของแก มันใช่เรื่องไหม?!!"
นายท่านดูเดือดดาล เขามองมาทางผมด้วยความโมโห

"จนกว่าเรื่องพวกนี้จะเงียบ ตอนแรกฉันวางแผนให้แกได้ลงการเมืองในเร็วๆนี้ นี่ก็ต้องยืดออกไปอีก หรือจะให้ฉันหาคนอื่นมาแทน หา?!! ตอบมาสิ จะเอาไหม?!!"

"ไม่ครับ"
ผมส่ายหัวอย่างอ่อนล้า.. คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาได้ขนาดนี้.. หน้าของไอ้ตั้มลอยขึ้นมา ยิ่งทำให้ผมโกรธมากขึ้นอีก

"อย่าคิดว่าฉันจะถือหางแกตลอด ฉันวางใจแก แต่ของของแกทั้งหมดก็คือของฉัน ฉันจะยึดคืนเมื่อไหร่ก็ได้"

ผมนิ่ง เงียบ เห็นด้วยกับนายท่านเป็นอย่างยิ่ง

"ฉันมอบชีวิตให้แก ฉันก็เอาคืนมาได้เหมือนกัน"

ผมนิ่ง เงียบ เห็นด้วยกับนายท่านเป็นอย่างยิ่ง

"ระหว่างนี้ แกไปอยู่ต่างประเทศสัก3-4เดือนซะ อยู่แถวนี้มีแต่จะทำลายภาพลักษณ์ฉันเปล่าๆ"

"ครับ นายท่าน"
ผมโค้งรับก่อนจะขอตัวออกมา

ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่าที่คิด ความรู้สึกที่ถูกกดขี่จนชาชิน อาจทำให้ความสมเพชตัวเองของผมมันด้านชาไปแล้วก็ได้

..................................

ของเหลวสีอำไพอยู่ในแก้ว ผมขยับมือ มองมันกลิ้งไปมาในแก้วทรงสูง
มองดูผู้คนที่อยู่รอบๆ เสียงเพลงสากลเบาๆที่เป็นฉากหลัง

ผมไม่ค่อยได้มาสถานที่เริงรมย์ในยามค่ำคืนนัก
จึงไม่มีอารมณ์ร่วมกับพวกที่ไปเต้นบนฟลอร์

ทำได้มากสุดคือดื่มด่ำกับบรรยากาศครึ้มๆเเถวบาร์เท่านั้น

ความรู้สึกถูกขับไล่ไสส่งโดยคนที่เหมือนเป็นเจ้าชีวิต..
ผมที่ไม่มีอะไรจะเหนี่ยวรั้งไว้ได้เลย

เปราะบางเหลือเกิน..
เหนื่อยล้าเหลือเกิน..

ทรงผมที่ถูกเซ็ตไว้อย่างเป็นระเบียบเหมาะเเก่การทำงานเสมอถูกปล่อยลงอย่างง่ายๆ
เสื้อสูทประณีตราคาเเพงที่ใส่เสมอกลับเป็นเสื้อเชิร์ตสีขาวธรรมดาๆ

คลับนี้เป็นคลับของโรงเเรมชื่อดัง ค่อนข้างมีราคาอยู่พอสมควร
ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องจะโดนนักเลงที่ไหนก็ไม่รู้หาเรื่องเอาได้

"กริ๊ง.."
เสียงเเก้วกระทบกันเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นมอง

สาวสวยคนหนึ่งมองมาทางผมอย่างเย้ายวน ผมยิ้มน้อยๆ ไม่คิดจะทักทายหรือสานต่อความสัมพันธ์
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นหูเล่นตากับใครในชั่วโมงนี้

"คุณวินด์หรือเปล่าคะ..บังเอิญจังเลย ขอนั่งด้วยคนนะคะ"
ผมพยักหน้า ..ไม่ใช่ที่ส่วนตัวสักหน่อยนี่

...................................

พลั่ก!!

ผมถูกผลักอย่างแรงโดยใครสักคน

"เฮ้ย ไอ้เหี้ยนี่เมาแล้วเลื้อยว่ะ เมียกู ไอ้สัส"

ผมไม่พูดอะไร พยายามลุกขึ้นให้ตรงก่อน ในหัวรู้สึกเบลอๆ จับใจความอะไรไม่ได้เลย

"นี่มันลูกนักการเมืองนี่หว่า..!!"

"อ่อ ไอ้ที่มีข่าวค้ามนุษย์!"

"เหี้ยสัส คิดว่ารวยแล้วทำได้ทุกอย่างมั้ง..!!"

"..เมียกู มึงยัง ยังไม่หยุด!!"

ผมแค่กำลังพยายามจะลุกขึ้นมาแค่นั้นเอง.. แต่ก็เหมือนมีเเรงบางอย่างมาทำให้ผมล้มลงไปอีกครั้ง
สักพักแรงเหล่านั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ ..

ตรงขา ตรงท้อง ตรงหลัง..
ผมได้เเต่ขดตัวให้งอ ลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

..นี้ฝันหรือเปล่านะ..

ถ้าเป็นอย่างนั้นผมขอให้ผมตื่นมาเสียที...

ก่อนสติจะหายไปผมได้ยินเสียงใครบางคน..
เสียงที่คุ้นเคยเหลือเกิน เสียงที่ไม่ได้ยินมานานมากเเล้ว..

.................................

'ตื่น ตื่น พี่วินด์'
ผมลืมตาขึ้นในห้องขนาดใหญ่ มีเตียงหลายสิบเตียงเรียงกัน ผ้าห่มผืนบางถูกพับอย่างเป็นระเบียบ
ผมมองใบหน้าเล็กๆสีเทาเหล่านั้น ดูขมุกขมัวเหมือนมีใครเอาดินสอมาขีดทับไว้..ผมจำไม่ได้

'พวกแกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน!! ลุกไปเตรียมตัว ทำงาน ไอ้พวกขี้เกียจ!'
สตรีร่างใหญ่เดินขึ้นบันไดไม้เก่าๆที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับ
เธออ้วนเกินกว่าจะอ้างได้ว่าอดอยากเหมือนพวกเราทุกคน และเเข็งแรงพอจะตีใครก็ตามที่บ่นเรื่องนั้น

'พี่วินด์ พวกเราหิว'
ใบหน้าขมุกขมัวเล็กๆใบหน้าหนึ่งพูด

'พี่วินด์ พวกเรากลัว'
ใบหน้าอีกใบพูดขึ้น

'พวกเราหนาว..'

ฉันช่วยพวกเธอไม่ได้..ผมพยายามจะขยับตัวลุก
แต่เเข้งขากลับไร้เรี่ยวเเรงเอาเสียดื้อๆ

ฉันช่วยทุกคนไว้ไม่ได้..

'..ตื่นเถอะ ไม่งั้นจะถูกตี'

'ตื่นเถอะ..'

'ตื่น!!!'

.................................

ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อไหลเต็มตัว พอจะขยับตัวก็รู้สึกว่ามีวงแขนใครสักคนทับเอาไว้..

ผมพยายามดิ้นให้หลุด

"Hmm.. G' morni.."

"ปล่อยนะเว้ย!"
เมื่อผมหลุดมาได้ ผมหันกลับไปดู .. ใบหน้าที่นอนอยู่นั้นช่างคุ้นตาเสียจริง

ผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศก ดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนทะเลสาบ ใบหน้าที่ดูเหมือนเทพบุตรปีศาจ..

"..โจเซฟ?!!!"

"จะตกใจอะไรนักหนา"
คนตรงหน้าพูดเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะหลับตานอนต่อ

"ค..คุณมาอยู่นี้ได้ไง แล้ว ..ผมมาอยู่นี้?"

"ก็เมื่อคืน คุณโดนคนในคลับผมรุมตี เออ แล้วนี้ก็โรงเเรมผม เผื่อคุณจะจำไม่ได้ โรงเเรมดังๆส่วนใหญ่ในประเทศก็เป็นของผมทั้งนั้นแหละ คุณวินด์"
คนตรงหน้าพูดแบบไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเป็นเมื่อตอนเด็กผมคงหมั่นไส้ไปแล้วเพราะความขี้อวด แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกว่าเขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปมากกว่าจะตั้งใจอวดใครต่อใคร

"อ่า..คือ ผมขอบคุณนะ ผมไปละ"
ผมพูด รู้สึกอายนิดๆ ไม่อยากถามถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงได้มานอนห้องเดียวกัน หรือ แม้กระทั่งทำไม..เขาถึงได้กอดผม

"เดี๋ยว!"

ผมหันขวับ

"ทำไม?"

"อย่าพึ่งไป ผมอยากคุยกับคุณ แต่ผมยังง่วงอยู่ ช่วยรอสัก 1 ชม.ได้ไหม ตอนผมตื่นแล้วเราจะได้คุยกัน"

ผมกลอกตา ไม่อยากจะเชื่อ
ไอ้พวกคนเอาแต่ใจนี้มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ ตอนเด็กอย่างไรตอนโตก็อย่างนั้น

"ผมไม่มีเวลาพอจะมานั่งรอคุณหรอก ผมมีธุระต้องทำ! ไปล่ะ"

"โอเค โอเค"
ชายบนเตียงยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้

"คุณจะไปไหน"

เตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศ..ผมคิดในใจ

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ"

"ไม่ให้ไป"
ชายร่างสูงเดินมาเอาตัวขวางประตู ก่อนจะมองหน้าผม

"นี่คุณจะกวนผมใช่ไหม คุณโจเซฟ"
ผมกอดอก ไม่ตลกด้วย

"ไปทานข้าวกับผม"

"คุณกำลังจะกักขังหน่วงเหนี่ยวผมนะ คุณโจเซฟ"
ผมพูด มองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

"เราเป็นเพื่อนเก่าที่แสนดีต่อกัน! คุณจำไม่ได้แล้วเหรอ ผมคอยให้ของน่ารักๆคุณเสมอ คอยตามไปส่งที่บ้าน มาโรงเรียนพร้อมกัน เข้าชมรมเดียวกัน ผมยังอ่อนให้คุณในการเเข่งขันฟันดาบด้วย!"

"ความจำคุณท่าทางจะบิดเบือนเอามากๆเลยนะ ถ้าของน่ารักๆที่ว่าคือพวกเศษขยะ ไม้กวาด ไม้ถูพื้น คอยตามไปรับไปส่งคือการเดินคุม ทำท่าเป็นพวกนักเลงใหญ่โต เข้าชมรมเดียวกัน คุณบีบบังคับให้รุ่นน้องที่ลงชื่อก่อนลบชื่อออกจากชมรม ช่วยเรื่องฟันดาบ คุณเล็งดาบไปหาคู่ของผมจนเขาเกือบตาย"

"ขอบคุณที่ย้ำเตือน ผมไม่ควรยุ่งกับคุณอีก"
ผมพูดก่อนจะผลักเขาออกจากบริเวณประตู แล้วเดินออกไป

..................................

บ้าชิบ!!..กระเป๋าเงินผมอยู่ในโรงแรมนั่น!!
ผมวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นไปโรงเเรม

ตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเรียกแท็กซี่แล้วไม่มีเงินจ่าย!!

"ปั้กๆๆ"
ผมทุบประตูห้อง

"นอนอยู่ครับบ"
เสียงอู้อี้ภาษาอังกฤษดังออกมาจากห้อง

"ลุกมาเปิดให้ผมเดี๋ยวนี้นะโจเซฟ!"
ผมตะโกนเข้าไป

สักพักใหญ่ๆถึงได้มี 'คน' มาเปิดให้

ไอ้หมอนี่ขี้เกียจลุกถึงขนาดกดกริ่งเรียกพนักงานจากชั้นล่างมาเปิดประตูให้ผม
ทั้งที่ตัวเองอยู่ในห้องแท้ๆ!!

ผมวิ่งเข้าห้อง เปิดผ้าห่ม ดูในห้องน้ำ หากระเป๋าเงิน แต่ไม่เห็นสักที่

"ทำอะไรอ่ะคุณ"

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ นอนไปเหอะ!"
ผมพูดอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหาในห้องรับแขก หาหลังทีวี ..
แล้วผมจะขึ้นเครื่องยังไงละวะนี่ บัตรอะไรก็อยู่ในนั้นหมด!!

"ถ้าหากระเป๋าเงินละก็  อือ พอดีผมถือวิสาสะเอาบัตรคุณมาค้ำประกันน่ะ.."

"ห้ะ?!! ค้ำ? ค้ำอะไร"
ผมหันไปถาม เริ่มโมโห

"คุณคิดว่าห้องนี้ฟรีเหรอ เราต้องจ่ายคนละครึ่งนะ ผมทำธุรกิจไม่ได้เปิดห้องให้คนด้อยโอกาส"

ผมเหวอ อยากจะกระโดดต่อยคนตรงหน้าสักทีสองที ไอ้นิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ปัญญาอ่อน งี่เง่า
มันไม่โตตามอายุเลยเหรอวะ?! หรือนี่คือเวอร์ชั่นพัฒนาแล้ว?!!

"ถ้างั้นคุณเอากระเป๋าเงินมาให้ผม ผมจะจ่ายให้และไปเดี๋ยวนี้!"

"นี่ยังไม่นับค่าข้าวของพังเมื่อคืนอีก ผมนี่คิดหนักเลยว่าจะจัดการยังไง"
ในที่สุดไอ้คุณชายจอมขี้เกียจก็ลุกออกจากเตียง ก่อนจะทำหน้าน่าเห็นใจ(ซึ่งทำให้รู้สึกหมั่นไส้มากกว่า)ใส่ผม
เขาถือผ้าเช็ดตัวก่อนจะพาดใส่บ่า เดินเข้าห้องน้ำ

"เดี๋ยว! แล้วกระเป๋าเงินผมล่ะ?!!"

"โอยย ขอผมอาบน้ำก่อนได้ไหม ค่อยคุยกัน ผมปวดหัว คุณนั่งรอก่อนละกัน"

ผมขมวดคิ้ว ขัดใจ หงุดหงิด ทำไมผมต้องมาเจอคนคนเดิมที่คอยกดขี่ผมสมัยเด็ก
และเมื่อมันโตขึ้น มันก็ยังกดขี่ผมเหมือนเดิม.. ทำไมกันนะ ทำไม!

..แต่เมื่อกี้ ไม่รู้ผมตาฝาดหรือเปล่า ทำไมที่แผ่นหลังของเขาถึงได้มีรอยแผลนะ..

..................................

"Ouch! ..คุณ คุณช่วยผมหน่อยสิ"
คนตรงหน้าเดินมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า มีหยดน้ำเกาะเเพรวพราว เมื่อรวมกับรูปร่างที่ดีจนผู้ชายหลายๆคนต้องอิจฉา หน้าตาที่หล่อเหมือนเทพบุตรมาแต่ไหนแต่ไร..

หมอนี่ไปเป็นนายแบบได้เลยนะนี่ ผมคิดกับตัวเองอย่างประหลาดใจ

เขานั่งหันหลังให้ผม เผยให้เห็นรอยแผลที่หลังขนาดใหญ่ มีรอยคล้ำสีม่วง และรอยที่เป็นแผลสด มีเลือดไหลซิบๆ

"..คุณไปโดนอะไรมานี่"
ผมอุทานอย่างตกใจ..นี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนหงายไม่ได้ ต้องนอนกอดผม (ใช่เหรอ? : Anynomous)

"ก็เมื่อวาน คุณไปกวนลูกค้าผม ผมไปอุ้มคุณออกมา เขาเลยเอาขวดไวน์ฟาดหลังผมง่ะ"

ผมนิ่ง มองคนตรงหน้าอีกที..

"คุณไม่จำเป็นต้องช่วยผมขนาดนี้ คุณต้องการอะไรหรือไง"
ผมถามกลับอย่างเลือดเย็น ชีวิตของผมไม่เคยมีใครมาให้อะไรง่ายๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน

"เปล่าๆ นี่มันคลับผม โรงแรมผม คุณก็เป็นลูกค้าของผม ผมทำเท่าที่ทำได้แหละ"
เขาพูดอย่างลุกลี้ลุกลน ผมขมวดคิ้ว

"คุณไม่ควรเอาตัวเองไปให้เขาตี"

"คุณบอกตัวเองเหอะ...โอ๊ยย!! มือหนักชะมัด!!"

ผมกดผ้าก๊อซไปตรงแผลชายตรงหน้าแรงๆ

"แล้วไอ้ที่ตีคุณนั่นเป็นใคร อยู่ไหน เดี๋ยวผมจะเเจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย.."
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

"ไม่ต้องหรอก..แหะๆ พอดีหลังจากถูกตีที่หลังแล้ว ผมก็วางคุณให้พนักงานอุ้มต่อ ส่วนผมวิ่งไปเอาขวดไวน์มาตีหัวมันอีกรอบน่ะ.. เอาเข้าจริงๆตอนนี้ผมก็กลัวถูกฟ้องทำร้ายร่างกายอยู่.."

"ยังไงคุณช่วยผมด้วยละกันนะ คุณเป็นทนายนี่.."
คนตัวใหญ่พูดก่อนจะหัวเราะ ผมได้แต่นั่งทำอะไรไม่ถูก

แม้จะไม่ได้แก้ปัญหาในทางที่ดี และจนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่ทราบว่ากระเป๋าเงินผมอยู่ไหน

แต่กลับรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างแปลกๆ
คนบางคนนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

..................................

"ไอ้ข่าวในหนังสือพิมพ์นี่เป็นเรื่องจริงไหม"
คนตรงหน้าถามก่อนจะหั่นเนื้อสเต๊กให้ผม ดวงตาสีมรกตจ้องผมเหมือนคาดหวังคำตอบบางอย่าง
คำตอบที่ดี คำตอบที่เขาต้องการ

ผมรู้

แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะปั้นน้ำเป็นตัว
หรือเสเเสร้งเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง

ยิ่งเจอกับเขา มันยิ่งทำให้ผมเหนื่อยในการทำสิ่งเหล่านี้

"จริงบ้างไม่จริงบ้าง หนังสือพิมพ์เชื่อได้หรือไง"
ผมพูดก่อนจะตักเนื้อชิ้นนั้นคืน สารภาพตรงๆ ผมไม่ชอบกินเนื้อ ที่สั่งสเต๊กมาเพราะอยากกินแต่สลัด

"ผมว่าไม่จริงหรอก คุณเป็นทนายนี่ ไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟียสักหน่อย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมยิ้มกลับ

ผมก็อยากเป็นแค่ทนายเหมือนกัน..คุณรู้ไหม
ผมอยากเป็นแค่นั้น

"ถ้าไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม หน้าคุณตอนโมโหยังน่ารักกว่า"

ผมชักจะโมโหล่ะ

"กินๆไปเหอะคุณ สุดท้ายผมก็ต้องมาทานอาหารกับคุณอยู่ดี อยากได้อะไรก็ต้องได้หรือไง"
ผมพูดเปลี่ยนเรื่อง
เขายิ้มกว้าง

"ผมพอจะรู้เรื่องที่คุณโดนสั่งอยู่บ้าง กับคุณพ่อของคุณน่ะ"
เขาไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องตาม..ฉลาดเหมือนกันนี่.. ผมสะอึกเมื่อได้ยินคำว่า 'คุณพ่อ' จากปากของเขา

"คุณไม่จำเป็นต้องทำตามเขาทุกเรื่องก็ได้ ไม่ใช่หรือไง"

"อย่ายุ่งเรื่องของผม"
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหาร

"จริงๆเมื่อคืนตอนคุณเมา คุณเล่าให้ผมฟังหมดแล้วล่ะ"

ผมเบิกตาโต

"..ต..แต่ผมหลับไป"

เขายักไหล่

"คุณตื่นมาร้องไห้ ..ผมเลยถามว่ามีอะไรอยากเล่าไหม"

แย่แล้วไง..ถ้าผมโดนอัดเสียงเอาไว้ขู่อีกล่ะ ทั้งชีวิตนี้ผมจะโดนขู่โดยเทปเสียงจนตายไปเลยหรือไง
ทั้งจากไอ้ตั้ม พี่สาวมัน แล้วนี่ยังโจเซฟอีก..

"คุณคงไม่ได้กำลังขู่ผมใช่ไหม"
ผมถาม หยุดกินอาหารทันที

"ผมจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะ..คำแนะนำจากผมนะ อะไรที่ทำแล้วเหนื่อย ก็หยุด อย่าไปทำ
คุณเป็นคนดี ความสามารถก็มีมากมาย ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่ออนาคตบ้างเถอะ.."

"ผมรู้ อดีตคุณเจ็บปวด ..แต่ตอนนี้ คุณอยู่กับผมที่นี้ เราอยู่ที่ปัจจุบัน"
ผมมองหน้าเขา.. เขาดูโตขึ้นกว่าเด็กเกเรที่ผมเคยรู้จักเหลือเกิน..
ทั้งส่วนสูงที่สูงกว่าผมลิบ หรือแววตาของเขาเองก็ตาม..

ราวกับว่ามีเพียงเขาที่ก้าวออกจากตัวตนในอดีต
เหลือเพียงผมที่ยังยึดติดอยู่กับความหลัง

อดีตที่เจ็บช้ำ เป็นเบี้ยล่าง โดนรังแก
อดีตที่มีเพียงสองให้ยึดเหนี่ยว
อดีตที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าตัวเล็กๆ

"ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณได้นะ ถ้าคุณต้องการ"
เขาพูดก่อนจะตักเนื้อให้ผมอีกชิ้น

"ผมไม่ต้องการ"
ผมพูด เเละเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขาผมจึงรีบพูดต่อ

"หมายถึงเนื้อ คือ ผมไม่ชอบกินเนื้อน่ะ"

ให้ตาย..ผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้ ไม่ว่าจะในอดีต หรือปัจจุบัน

..................................

อาจจะดีเหมือนกันที่หลีกหนีออกมาจากชีวิตตรงนั้น
ตั้งแต่ได้กลับมาคบกับโจเซฟอีกครั้ง เขาทำให้ผมคิดถึงเรื่องตัวเองน้อยลงมาก
ทั้งความสมเพชตัวเอง อดีตที่น่าเศร้า

พูดตรงๆว่าแต่ละวันผมเอาแต่คิดถึงเรื่องของเขา
เขาเป็นคนที่มักจะหาปัญหามาให้ชีวิตตัวเองอยู่เสมอ

และธุรกิจของเขาก็เกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมายมากมาย
เขาถึงได้ปรึกษาผมอยู่เนืองๆ

ผมเองก็วางใจถึงขนาดให้เขาไปคุยกับคนรักสองเป็นเพื่อนผม
ผมยอมรับเรื่องที่ส่งคนไปตามติดเด็กที่ชื่อแก้วกับไอ เพราะกลัวหล่อนจะทำอะไรที่ผมไม่คาดคิดอีก
และผมบอกพี่กฤษณ์ว่าผมจะไปต่างประเทศแล้ว จะเลิกยุ่งทุกอย่าง

ผมขอให้เขาจบ ให้เขาให้อภัยผม

ผมทำตามที่โจเซฟแนะนำ

โจเซฟแนะนำให้ผมคุยกับคู่กรณีโดยตรง ไม่ต้องไปคุยกับไอ้ตั้ม เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะขู่ผมอยู่เรื่อยๆ
และคำแนะนำของเขาก็ได้ผลดี

พี่กฤษณ์มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แม้จะน่ากลัวกว่า แต่เงื่อนไขของเขาเป็นเพียงให้ผมรักษาสัญญาให้ได้
เขาเองก็แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกอย่างชัดเจน

เรื่องจึงไม่ยากสำหรับผม

ส่วนเรื่องสองนั้น ผมพยายามติดต่อกับเขาทุกช่องทาง แต่เขาไม่เคยตอบกลับ
ผมยังไม่อยากยอมแพ้

อาจเพราะยึดติดกับเขามาเกือบครึ่งชีวิต
แต่ความอยากยึดครองนั้นน้อยลง..

..................................

วันนี้เป็นวันเดินทางของผม ไม่มีคำอวยพรหรือมิตรสหายที่มารอส่งใดๆทั้งนั้น
ผมโดดเดี่ยวอยู่เสมอและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

เเม้ว่าช่วงหลังๆผมจะสนิทกับโจเซฟมากขึ้น
แต่ก็อีกเช่นเคย ผมยังคงโดดเดี่ยวเสมอมา..

"วินด์ !"
ผมหันไปตามเสียงและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยวิ่งมา

และอยู่ๆผมก็ยิ้มออกมา..
รอยยิ้มที่ไม่คิดว่าจะมีได้

"ผมอยากตามไปส่งคุณนะ แต่ติดงาน ญี่ปุ่นไม่ไกลหรอก ถ้าว่างเดี๋ยวผมไปหา"

ผมพยักหน้ารับ

"คุณไม่ต้องลำบากหรอก"

ผมพูดเมื่อเห็นกล่องนาฬิการาคาเเพงลิบในถุงที่เขามอบให้

"ไม่เลย คุณไป 4 เดือนใช่ไหม ขากลับมาก็พอดีเลยนะ"

"พอดี?"

"ผมวางแผนขยายสาขาในต่างประเทศเพิ่มน่ะ..ต้องการทนายส่วนตัวพอดี"
คนตรงหน้ายิ้ม ผมเองก็ยิ้มและแสดงความยินดีไปกับเขาด้วย

"ผมจะรอคุณนะ"
ดวงตาสีเขียวมรกตนั้นจ้องมองผม เบื้องหลังดวงตานั่นราวกับมีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่
ผมมองกลับ ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างที่ไม่เคยมอบให้ใคร
..................................

เมื่อขึ้นมานั่งบนเครื่องบิน ผมเหม่อมองไปยังปุยเมฆสีขาวที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีคราม

เครื่องบินทิ้งระยะห่างจากพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมอยากจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างลงไปเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรืออนาคต
ผมปล่อยให้ตัวเองได้มีโอกาสนอนมองท้องฟ้าเงียบๆ

ทุกครั้งที่หลับตาผมจะได้ยินเสียงปลุกให้ตื่นจากเด็กๆใบหน้าสีเทาขมุกขมัวอยู่เสมอ
แต่ครั้งนี้เมื่อผมหลับตา

กลับมีดวงตาสีเขียวมรกตชัดเจนขึ้นมาแทน

'..ผมจะรอคุณนะ'

ผมหลับไปก่อนจะรู้สึกถึงเสียงปลุกจากใบหน้าสีเทาขมุกขมัวที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เสียงบันไดลั่นเอี๊ยดอ๊าดบอกถึงน้ำหนักตัวของสุภาพสตรีร่างอ้วนที่เดินขึ้นชั้นสองมา

เสียงร้องไห้ของเด็กๆที่ถูกหญิงร่างอ้วนตี..

'..ผมจะรอคุณนะ'

เสียงเหล่านั้นหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่า

ความว่างเปล่าที่มีเพียงดวงตาสีเขียวมรกตเท่านั้นที่ชัดเจน

แม้พื้นหลังจะเป็นสีเทาขมุกขมัว


ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนมากเลยนะคะ :pig4:
ทุกคนเป็นเหมือนเเรงผลักดันและกำลังใจสำหรับผู้เขียน
ไม่ต่างจากความสนุกในการได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้เลยค่ะ!

มีคนกล่าวว่างานเขียนชิ้นหนึ่งนั้นได้ใส่จิตวิญญาณของผู้เขียนลงไปด้วย
นั่นอาจจะจริงค่ะ ขณะเขียน ผู้เขียนยังอดคิดไม่ได้ว่า
ด้วยมุมมอง และแนวคิด ปรัชญาหลายๆอย่างๆ ผู้เขียนอาจไม่สามารถเขียนเรื่องแนวนี้(Realistic +Romantic Comedy(?!))
เรื่องที่สองได้อีก (ถ้ายังมีแรงเขียนเรื่องต่อไปน่าจะเปลี่ยนแนวไปเลย! ฮ่าๆ ..ไม่แน่นะคะ)

อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี เรื่องนี้ค่อนข้างจะเน้นความสมจริงอย่างมากค่ะ
ทั้งในแง่ความนึกคิดของตัวละคร การกระทำ ผู้เขียนคิดตลอดว่าตัวละครแต่ละตัวนั้นมีเรื่องราวของตัวเอง
ประสบการณ์และสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอในชีวิต เป็นตัวกำหนดแนวคิด คำพูด และการกระทำ(รวมถึงการตัดสินใจ)ของเขา

ความตลกของเรื่องนี้(สำหรับตัวผู้เขียนเอง)
คือ การกำหนดไว้ว่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากมุมมองเดียว( 1-person) เสมอ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ ตัวร้าย พระเอก เพื่อนพระเอก มีโอกาสถูกหยิบมาเป็น 'ตัวเอก' ได้เท่าเทียมกันค่ะ!(ฮา)

ดังนั้นถ้าอยู่ๆคุณได้อ่านเรื่องในมุมมองตัวประกอบบ้าง(อย่างที่เคยทำไปแล้ว ในตอนของหนูไอ (ฮา))
อย่าโกรธผู้เขียนเลยนะคะ คิดเสียว่าเป็นการมองหลายๆมุม

ให้เห็นเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบทุกด้านยังไงละคะ


(โค้ง)

 :bye2:
Anynomous


ออฟไลน์ Pinkii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอยย ชอบมาก ไม่ไหวแล้ว :pig4: :pig4: :pig4:
ตามอ่านมานานค่ะ ไม่เคยเม้นซักที สมัครมาเพื่อการนี้เลยค่ะ :katai4:  :mew1:ตอนสีเทาๆนี้พีคคมากก
ชอบคำเปรียงเปรยแบบสีเทาๆ สีฟ้าครามจัดจับตา และอื่นๆ
ใช้ภาษาอ่านแล้วสนุก
เนื้อเรื่องก็สนุก มีปมอะไรให้ลุ้นมากมาย
ชอบทุกตัวเลยแม้กระทั่งตัวร้าย :กอด1: :ling1: :ling1:

เป็นกลจให้ผู้เขียนนะคะ :L2: เป็นนักอ่านเงามาตลอด
ขอบคุณที่ทำให้ชอบพี่กฤษณ์น้องสองได้มากขนาดนี้นะคะ :-[ :-[



ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เห็นเครื่องบินมา ดีใจเลย  :mew1: :mew1: :mew1:
แต่เสียงเครื่องบินที่ผ่านหลังคา มาลงสุวรรณภูมินี่  คนละเรื่องเดียวกันเลย
ใครจะดีใจล่ะ มีแรงสั่นสะเทือน จนประูห้องน้ำชั้นบนสั่น แถ่กๆๆๆๆๆ
จนนึกว่าผีหลอกเลยตอนบินผ่านครั้งแรกๆ

มองจากด้านของวินด์ น่าสงสารชีวิตเด็กกำพร้า (บ่ใซ่ กำมีดเด๊อ....)
ได้เห็นความทุกข์ยากของชีวิตวัยเด็ก
โตมาจากพ่อ ที่มีแต่เอาผลประโยชน์ตอบแทน
มีแต่คำพูดทวงบุญคุณ แบบสร้างได้ก็ลบได้ ให้ได้ก็เอาคืนได้
พอสอง ดีด้วยเลย เลยอยากได้มาตรอบครอง
แต่วินด์ ก็มีคนที่ใส่ใจชอบวินด์อย่างจริงใจ แม้จะเข้าหาแบบแปลกๆนะ
โจเซฟ วินด์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0


ตอนที่ 22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ

"ชั้นไหน"
ผมหันไปถามเจ้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางภูมิอกภูมิใจที่ลากผมมานอนคอนโดของตัวเองได้

"ชั้นรักเธอ"
เจ้าสองตอบแบบไม่อายคนที่อยู่ในลิฟต์ด้วยอีกสองสามคน

"เอาดีๆ"
ผมพูดก่อนจะอมยิ้ม (เขินสิครับ งานนี้)

"17"
เมื่อผมกดชั้น 17 แล้วก็อดประหลาดใจกับสายตาผู้ร่วมลิฟต์ที่มองมาทางเราไม่ได้
และผมก็ได้รับคำตอบในอีกหลายนาทีถัดมา

"ไหนห้องมึงเนี่ย"
ผมถามหลังจากออกมาจากลิฟต์

"ทั้งชั้นนี้แหละของกู"
ไอ้สองพูดก่อนจะยิ้มหวานให้ผม

"สัส ขี้อวด"

"เปล่า กูแค่ขี้เกียจใช้ทางเดินร่วมกับคนอื่น เวลารีบๆก็อาจเดินชนคนอื่นได้ จริงมะ"
คนรักของผมพูดเป็นตุเป็นตะเรื่องประโยชน์ของการซื้อคอนโดทั้งชั้น ผมส่ายหัว ไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าสิ้นเปลืองไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะขัดอะไร มันก็คงซื้อของมันตั้งนานแล้ว ขัดตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไรเล่า

หลังจากเอาข้าวของไปเก็บ ผมก็ได้มีโอกาสสังเกตสถานที่นี้อย่างจริงจัง
มันดูสะดวกสบายแบบที่คนใช้ชีวิตในเมืองต้องมี และห้องนี้ก็วิวดีสุดๆ

"แฮ่!"
มือเย็นๆมากอดคอผมก่อนจะดึงผมลงไปนั่งบนโซฟาด้วย

"เป๊ปซี่"
เจ้าสองยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้ ผมรับมาก่อนจะเปิดดื่ม

"บริการดีจังวะ มึงหวังไรป่าวเนี่ย"
ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะโดนคนตรงหน้าเหยียบเท้า

"มึงก็พูดไป มองกูเป็นคนดีๆสักวันมันยากหรอ นานๆทีแฟนจะมานอนห้องนะเว้ย"
ไอ้เจ้าสองพูดไปก็เขินผมไป ผมมองหน้ามันที่ค่อยๆแดงขึ้นแล้วหุบยิ้มไม่ได้

"มึงเลิกทำหน้างั้นสักที มีไรตลก สัส"
เจ้าสองบ่นผมอีกรอบก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

"อ้าว กูยิ้มนี่ผิดเหรอ"

"ผิด!"

"หื้ม มึงแค่เขินเหอะ"
ผมใช้หมอนตีหัวมันเบาๆ ก่อนจะแซว เจ้าตัวยิ่งไม่ยอมหันหน้ามาให้ผมดูเลย(ฮ่าๆๆ ขำเว้ย! อย่างงี้ต้องแกล้งหนักๆครับ!)

"เขินพ่อง"

"อย่าเล่นพ่อแม่เลยย พ่อกูตายละ"
ผมพูดก่อนจะขำอีกรอบ ไอ้เจ้าสองรีบหันมาขอโทษ

"กูไม่ได้ตั้งใจ กูขอโทษ พ่อกูยังไม่ตายน่ะ กูเลยนึกไม่ถึง"
มันรีบพูดเสียจนผมอดขำไม่ได้ แล้วไอ้คำแก้ตัวแบบนี้..พ่อมึงมาได้ยินจะไม่เสียใจเหรอวะ?!

เอาจริงๆ อยู่กับมันมาตั้งนาน ผมก็สังเกตมานานแล้วนะ
ว่าคนรักของผม อัตราการเข้าใจภาษาไทย กับการเรียงประโยค บางครั้งก็แปลกๆ

เป็นต้นว่า ..วันหนึ่ง เจ้าสองพูดขึ้นมาว่า "..พูดถึงปีศาจ " แล้วก็เงียบไป
คนที่บ้านผมงงเป็นไก่ตาแตก ว่าไอ้เด็กนี่มันพูดอะไร เปรียบเทียบอะไรของมัน ?!

ผมต้องมาอธิบายให้คนอื่นฟังว่า มันมาจากสำนวน "Speak of the devil and he shall come"
บางครั้งเราย่อเป็น Speak of the devil เฉยๆ แปลว่า เมื่อพูดถึงอะไร สิ่งนั้นก็มา อะไรประมาณนี้

"เย็นนี้มึงมีแผนจะทำอะไรไหม"

นั่นไง..อย่างประโยคนี้ คนปกติเขาจะถามว่า เย็นนี้จะทำอะไรไหม ใช่ไหมครับ
แต่คนรักของผม ดันใช้ภาษาที่แปลงมาจากภาษาอังกฤษอีกทีอย่าง "Do you have any plans for this evening?" ซะงั้น(ถ้าผู้อ่านทุกคนย้อนกลับไปอ่านตอนต้นๆ หรือทุกตอนที่เป็นตอนของสอง จะเข้าใจสิ่งที่พี่กฤษณ์หมายถึงแน่นอน!: Anynomous)

"พี่กฤษณ์~ เย็นนี้จะไปไหนป่าว กูถาม ไอ้สัส ตอบ"

"มึงอารมณ์แปรปรวนเหรอวะ ขึ้นต้นประโยคมาซะหวาน ลงท้ายด่ากูซะงั้น"

"ส่วนมึงก็เป็นนักวิเคราะห์ประโยคเหรอวะ ตอบมาดีๆมันจะตายรึไง"

"ไม่มี เดี๋ยวกูพาไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางเอาป้ะ"

"ร้านที่มึงชอบน่ะนะ?"
ผมพยักหน้า

"ป๊าชวนไปกินข้าวด้วย"

ผมกลืนน้ำลาย

"กูไม่ได้เตรียมของฝากมา"

"ป๊ากูไม่ได้หวังของฝากหรอก ครอบครัวกูรักมึงทั้งนั้น"

เหรอ..กูกักตัวลูกเขาไว้ที่ไร่เป็นเดือนๆ งานการก็ไม่ค่อยให้ทำ ให้นอนบนเตียงเฉยๆ(บางครั้งก็โซฟา?!)
ถ้าเขารู้จะยังรักกูอยู่ไหมวะเนี่ย.. ผมคิดอย่างวิตกนิดๆ

"สรุปไปนะ"

"กูจะตอบอย่างอื่นได้ไหมละ "
ผมพูดก่อนจะลุกจากโซฟาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

"เดี๋ยวกูจะออกไปซื้อของฝากป๊าแปป มึงจะไปด้วยไหม"
ไม่ได้ครับ จะไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างน้อยต้องมีของติดไม้ติดมือไปด้วย ไอ้เราจะไปตัวเปล่าๆก็เดี๋ยวโดนไอ้เหี้ยหนึ่งค่อนขอดอีก!

"ดึงกูขึ้นไปที"
ไอ้เจ้าสองพูดขณะที่กำลังนอนตาปรือๆอยู่โซฟา มึงขี้เกียจลุกขนาดนั้น?!

ผมเดินไปดึงมือคนรักให้ลุกขึ้นมา เมื่อเขาลุกขึ้นแล้วริมฝีปากเราก็สัมผัสกันเบาๆ

"So sweet"
เจ้าสองพูดเบาๆก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน ผมยิ้มเล็กๆ

มีแฟนน่ารักนี่มันน่ากด เอ้ย น่ากอดตลอดเวลาจริงๆ!

..................................

"ป๊าชอบดื่มไวน์มากกว่าชา"
เจ้าสองพูดเมื่อเห็นผมอ่านผลิตภัณฑ์ชาเขียว ชาชัก เหี้ยอะไรไม่รู้ที่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

"อันนี้"
เขาพูดก่อนจะเดินไปหยิบขวดไวน์ราคาแพงมาให้

"แพงไปป่าว"
เจ้าสองอ่านฉลากก่อนจะหันมามองหน้าผมตาปริบๆ
ผมยังไม่พูดอะไร จริงๆซื้อของที่พ่อของแฟนชอบ แม้จะราคาแพงลิบลิ่ว แต่ก็น่าจะคุ้มไหม?

..คุ้ม?!

คุ้มกับอะไรวะ..นี้กูกำลังคิดหาผลประโยชน์จากเขาและลูกหรือไง
แถมถ้าซื้อไอ้ไวน์แพงๆนี้แล้วกูจะมีเงินเอาไปทำอย่างอื่นไหม เท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของพนักงานสองคนรวมกันเลยนะเว้ย?!

"แพงไป"
ผมพูด รอดูว่าคนรักจะส่งสายตาผิดหวังหรือมีท่าทีอย่างไรหรือเปล่า
แต่เจ้าสองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนัก เขาแค่เดินเอาไวน์ไปเก็บก่อนจะบอกกับผมว่า

"ป๊ากูชอบก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวกับมึงเลยนะ ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวป่าว"

"งั้นเดี๋ยวกูซื้อของฝากม๊าก่อน ไอ้หนึ่งไม่ต้องเอา"
ผมพูดทีเล่นทีจริง อาจเพราะผมเองคุยกับไอ้หนึ่งประจำตอนช่วงสองไปอยู่ด้วย มันบอกว่า แค่เอาสองคืนมาก็ดีใจแล้ว(ไอ้สัส!)

..................................

หลังจากซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินทางไปบ้านของสอง
เมื่อไปถึงปรากฎว่าคนที่อยู่บ้านมีเพียงคุณแม่ของสองเท่านั้น
ดูเหมือนว่าคุณพ่อกับไอ้หนึ่งยังไม่กลับมา

"มาๆลูก เดินทางไกลเหนื่อยไหม พักก่อนนะ"
คุณแม่รีบเข้ามาจัดเเจงรับของจากผมและสอง ก่อนจะไล่ให้สองไปบอกคุณป้าแม่บ้านเอาน้ำเอาขนมมาเสิร์ฟผม

"ไม่เป็นไรครับคุณแม่"

"ได้ยังไงละจ้ะ กฤษณ์อุตส่าห์เอาอาหารเอานมมาฝาก เนี่ย คุณพ่อต้องดีใจแน่ๆ เจ้าสองไปอยู่นั่นดื้อไหม ทำงานช่วยบ้างหรือเปล่า"

"ทำครับ เขาช่วยผมได้มากเลย"
ผมคิดภาพเจ้าสองนอนอยู่บนเตียง มีผ้าคลุมอยู่ผืนเดียว แล้วอยากกัดลิ้นตัวเองตาย
นี่กูเอาน้องมันไปทำอะไรวะเนี่ย..

"ก็ดีแล้วจ่ะ แม่กลัวอยู่ว่าไปตั้งนาน จะไปเป็นภาระกฤษณ์หรือเปล่า จะอยู่ยังไง เขาเองก็โตขึ้นมากนะ กลับมาแรกๆเรากลัวเขาจะไม่เป็นโล้เป็นพายมาก"

"ม๊า! ไหงพูดงั้น"
เจ้าสองที่เดินออกมาได้ยินพอดี ถึงกับเดินหน้ามุ่ยมา

"เดี๋ยวสองพาพี่กฤษณ์ไปรอข้างบนนะ สองเอาขนมกับน้ำไปไ้ว้แล้ว"
เจ้าสองพูดก่อนจะลากแขนผมขึ้นข้างบน

นี้เป็นครั้งเเรกที่จะได้เห็นห้องของเจ้าหญิงจริงๆ(ไม่ได้ผ่านไลฟ์/วิดิโอคอล)
ผมอดตื่นเต้นนิดๆไม่ได้แฮะ

..................................

ห้องของเจ้าสองดูกว้างขวาง อบอุ่น มีโปสเตอร์นักบาสเกตบอลที่เขาชอบ
และเเน่นอน ส่วนใหญ่เป็นชั้นเก็บหนังสือ

"อ้าปากดิ้"

"กินเองได้"
ผมพูดก่อนที่จะโดนคนรักตีขาแรงๆทีหนึ่ง

"จะกินไม่กิน"
เจ้าสองทำเสียงดุ

"กิน"
ผมพูดแล้วยิ้มๆ ใช้เเขนรวบตัวคนรักไว้

"ไม่ได้กินอย่างนี้~"

"ฮ่าๆๆ"
ผมหัวเราะก่อนจะงับขนมจากมือคนรัก นี้เอ็งจะบ้าเรอะเจ้าสอง ใครจะไปกล้าทำวะ บ้านมึง แม่ก็อยู่ข้างล่าง!
กูยังพอมีสติสัมปชัญญะนะเว้ย! เห็นงี้ก็เหอะ!!

แต่อยู่ๆมือของคนตรงหน้าก็ผลักผมติดกับหัวเตียง
ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบเบาๆ

เมื่อร่างตรงหน้าค่อยๆขยับมานั่งตัก โดยหันหน้าเข้าหาผม
ผมก็หยุดจูบ ก่อนจะมองคนรักด้วยความสงสัย

"เอาจริงเหรอวะ? ตอนนี้เนี่ยนะ"

"อือ อีกตั้งนาน กว่าป๊ากับเฮียจะมา"
เจ้าสองพูด มือยังซุกซนอยู่บริเวณน้องชายของผม
..มึงไม่มีความยับยั้งชั่งใจขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เอาไงดีวะกู

กูอายุมากกว่า ควรเตือนน้องมันใช่ไหม?!
ในหัวผมเสียงระหว่างความอยากกับความยับยั้งกำลังถกเถียงกัน

แต่ดูเหมือนเจ้าตัวดีจะไม่ปล่อยให้ผมได้คิดนานนัก

"นะครับ..พี่กฤษณ์ สองอยากให้พี่กฤษณ์.."
ร่างตรงหน้าพูดก่อนคล้องคอผมเอาไว้ แล้วกดน้ำหนักตัวลงมาที่ตัก

"..ก็ได้.. อย่ายั่วกูได้ไหมเนี่ย ไอ้เด็กแสบ"
ผมบ่นเบาๆก่อนจะให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่เกิน 1 รอบ และ ห้ามรุนแรงจนเจ้าแมวนี้ส่งเสียงดังเด็ดขาด!

ให้ตาย!

..................................

"อื้อ~ พี่กฤษณ์ ~แรงกว่านี้ได้ไหมครับ"
คนที่นั่งบนตักผมครางเสียงหวานเบาๆ ผมส่ายหัว

"ไม่ได้ครับ..คนละครึ่งทางนะ น้องสอง.."
ผมพูด พยายามตั้งสติ ช่องทางด้านในของเขาบีบรัดผม เชื้อเชิญให้กระเเทกเข้าไปเเรงๆเหลือเกิน
อีกทั้งคนตรงหน้าก็ครางขอร้องผมอย่างนี้

"อ๊ะ!..ได้ไหม..นะครับ..นะ"
คนตรงหน้าสะดุ้งน้อยๆเมื่อผมกระทุ้งเข้าไปโดนจุดของเขาพอดี
ผมจับสะโพกของเขาให้ขยับก่อนจะจูบอย่างยาวนานเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา

..................................

"พอ"
ผมพูดก่อนจะเคาะหน้าผากเจ้าสองที่ทำหน้ามุ่ยอยู่บนเตียง

"มึงอ่ะ!"

"ไปอาบน้ำ จะได้ลงไปข้างล่าง กินข้าว"
ผมพูดก่อนจะส่ายหัว ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองหลวมตัวทำอะไรตามใจเจ้าสองอีกแล้ว

"ก็ได้"

"ไม่ต้องมาก็ได้ เดี๋ยวยังไงกูก็กลับคอนโดพร้อมมึงอยู่ดี กูยังไม่อยากโดนไอ้หนึ่งไล่ออกจากบ้าน"
ผมอธิบายเหตุผลจนเขายอมทำตัวเรียบร้อยเชื่อฟัง(นานๆทีมีครั้ง)

หลังจากสองอาบน้ำเสร็จ เมื่อผมตรวจดูอย่างเรียบร้อยว่าไม่มีร่องรอยอะไร(ถ้ามีก็ความผิดมึง! :เสียงเจ้าสอง)
เราก็ลงไปทานข้าวข้างล่างกัน

..................................

"ดีจังนะได้มาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน"
คุณพ่อของสองพูดขึ้น ผมยิ้ม ไอ้หนึ่งก็ยิ้ม

"ป๊าหมายความว่า สองไม่อยู่บ้านตั้งนาน ดีใจจังที่กลับมาใช่ไหมครับ"
ไอ้หนึ่งถามก่อนจะมองมาทางผม ผมอยากต่อยหน้ามันเหลือเกิน..! ยัง ยังไม่เลิกนะมึง!

"ป๊าดีใจที่พี่กฤษณ์มาทานข้าวด้วยใช่ไหมครับ"
อันนี้เจ้าสองเป็นคนพูด ก่อนจะมองหน้าพี่ชายตัวเอง ผมพยายามไม่เถียง ไม่พูดแทรกเท่าที่จะทำได้

"สองไม่สบายเหรอ ทำไมเสียงไม่ค่อยดีเลยลูก"
คุณแม่ของสองทัก ผมหน้าเเดง เจ้าสองก็ด้วย ส่วนไอ้หนึ่ง มันเหยียบเท้าผมแรงๆหนึ่งที

"เออทั้งสองอย่างแหละนะ แต่วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ก็อร่อย พ่อได้ข่าวมาว่าธุรกิจของกฤษณ์เองก็ไปได้ดีใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ

"ใช่ครับ จริงๆในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้เราไม่ควรเน้นการลงทุนเพิ่ม แต่ธุรกิจส่งออกของผมกลับกำลังไปได้สวยเชียวครับ"

"ประเทศอื่นกำลังซื้อเขามีมากกว่า ถ้าเราส่งสินค้าไปจุดนั้นได้ อะไรๆมันก็ต่อตามกันไปนั่นแหละ
ตั้งแต่สมัยลุงชัย เขายังไม่สามารถทำให้มันขยายได้ขนาดนี้เลยนะ กฤษณ์มีฝีมือจริงๆ พ่อขอชื่นชมเลย คนรุ่นใหม่นี้"

คุณพ่อของสองพูดจนผมเขิน เจ้าสองนี้นั่งหน้าบานอยู่ข้างๆ

"แหม คุณคะ ทานอาหาร อย่าพูดเรื่องงานให้มันมากนักสิคะ.."

"ยังไงผมก็ต้องพูดอยู่ดีนี่คุณ.. ผมอยากให้กฤษณ์มาช่วยงานของเราบ้างนี่นา.."
ผมเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ

"ก็บอกแล้วไงว่าผมดูแลได้!"
อยู่ๆไอ้หนึ่งก็พูดขึ้นมา

"อย่าขึ้นเสียงกับป๊านะ หนึ่ง!"
เมื่อแม่พูดเช่นนั้นหนึ่งจึงหันหน้าไปทางอื่น เเละเงียบไป เขาไม่สบตาผมแม้แต่น้อย

"จริงเหรอฮะป๊า จะให้พี่กฤษณ์มาช่วยเราเหรอ"
ส่วนเจ้าสองนั้นดีอกดีใจจนปิดไม่อยู่

ผมคิด มองชายสูงวัยตรงหน้า มองเพื่อนสนิทของตน และมองคนรักของตน

กี่ครั้งเเล้วนะ ที่ชีวิตของผมผ่านบททดสอบเช่นนี้
กี่ครั้งที่มีทางเลือก มีตัวเลือกมากมายให้ก้าวเดิน

ผมเรียนรู้ว่า บางการตัดสินใจ อาจใช้เวลาทั้งชีวิต
และบางการตัดสินใจที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วิ อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรับผิดชอบมัน

ผมไม่รู้ว่าทางเลือกไหนถูกต้อง
ไม่มีทางรู้เลย จนกว่าจะได้ทำลงไปจริงๆ

ผมยิ้ม

"ผมมีงานขององค์กรที่ต้องดูแลอยู่ครับ ลุงชัยเป็นคนเลี้ยงผมมา เขาก็เป็นเหมือนพ่อของผม ตอนนี้ผมเป็นหัวแรงหลักขององค์กร ผมคงทิ้งมันไปไม่ได้หรอกครับ ผมเห็นด้วยกับหนึ่งว่าเขามีความสามารถมากพอ จะเเก้ปัญหาอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น อีกอย่าง.."

ผมมองไปที่คนรักของผม

"ผมเชื่อมั่นในตัวของสอง เขาเองก็มีความสามารถไม่น้อยไปกว่าพี่ชาย ถ้าคุณจะพิจารณาให้เขารับผิดชอบในงานที่คุณกำลังมองอยู่ ผมยืนยันว่าในฐานะคนรัก ผมจะช่วยสนับสนุนน้องเต็มที่ ผมขอช่วยบริษัทคุณพ่อในรูปแบบนี้เเทนแล้วกันนะครับ"

ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะโดนไอ้หนึ่งเหยียบเท้าอีกครั้ง

"มันบอกให้พ่อเอาสองมาแทนตำแหน่งผมเนี่ย มึงพูดกันง่ายๆงี้เลยเหรอวะ?!!"

ผมหัวเราะขำ คุณพ่อกับคุณแม่ก็หัวเราะ

"เปล่าเว้ย กูหมายถึง เผื่อพ่อจะพิจารณาให้น้องมันได้ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น จะได้รับผิดชอบ ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของบริษัทได้ สองมันเก่งจะตาย"

"พี่กฤษณ์ ไม่ต้องมาพูดดีเลย ปกติไม่เคยเรียกสองว่าน้อง เรียกแต่ไอ้เจ้าสอง!"

"ไอ้สัส มึงเรียกน้องกูอย่างนั้นเหรอ"

"พวกมึงช่วยฟังสาระสำคัญให้มากกว่าสรรพนามได้ไหมวะ..อีกอย่าง ป๊ากับม๊าก็อยู่ กูพยายามมีมารยาทแล้วนะเว้ย"
ผมพูดเบาๆ เหยียบเท้าไอ้หนึ่งกลับ

หลังจากนั้นเราก็คุยสัพเพเหระไป บรรยากาศการทานข้าวเป็นไปอย่างสนุกสนานมากขึ้น
อบอุ่นมากขึ้น

และเมื่อถึงเวลากลับ ไอ้หนึ่งก็เดินออกมาส่งผมกับเจ้าสอง

"เอ้อ วันนี้ ขอบคุณมากนะเว้ย"
ไอ้หนึ่งพูดกับผมเบาๆ

"กูแค่ไม่อยากให้มึงอิจฉาน่ะ ถ้ากูเข้าไปแล้วเก่งเกินหน้าเกินตามึง ซึ่งก็น่าจะเป็นงั้นอยู่เเล้ว"
ผมพูดยิ้มๆ ไม่ติดใจอะไร ไอ้หนึ่งมองผมอย่างซึ้งๆ

"ช่วงนี้กูแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ ไอ้คนที่ทำงานก็ขัดแข้งขัดขากูจริงๆ กูก็ยังไม่รู้จะทำยังไง"

"เฮียเก่งอยู่แล้วนี่ฮะ ไม่นานพวกนั้นก็ต้องรู้"
เจ้าสองพูดก่อนจะมองหน้าไอ้หนึ่ง เพื่อนผมทำท่าซึ้งใจก่อนจะโผกอดน้องชาย

"เฮียรักสองที่สุดรู้ป่าว"

ผมดึงสองออกมา

"เยอะละ ไอ้สัส"

"กูเป็นพี่นะ!"

กูเป็นผัว..ผมคิดในใจ
ไม่พูดเพราะกลัวโดนไล่ออกจากบ้าน ตอนนี้ ดูจะไม่เท่เท่าไหร่

"เอาเถอะ ถ้าสองว่าเฮียจะทำได้เฮียจะทำให้ได้นะ ..สองไม่กลับมานอนบ้านบ้างเหรอ"
เจ้าหนึ่งพูดเสียงเศร้าๆจนผมหันไปมองหน้าคนรัก

"นอนนี่ไหมวันนี้ นานๆทีนะ"

"แล้วมึงละ?"

"เดี๋ยวกูกลับไปนอนคอนโดแหละ พรุ่งนี้เจอกัน"

เจ้าสองมองหน้าพี่ชาย ก่อนจะมองหน้าผม

"เฮียโตแล้ว อยู่คนเดียวได้น่า"
เขาพูดก่อนจะเดินมาทางผม เรียกเสียงโหยหวนน่าสงสารจากคนเป็นพี่ได้เป็นอย่างดี

"ไอ้กฤษณ์ เพื่อนเหี้ย! มึงจำไว้"

ผมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะขึ้นไปฝั่งคนขับ โดยมีคนรักขึ้นรถมานั่งข้างๆ

"ป๊าฝากบอกมาว่ามึงเหยียบเท้าป๊า ไอ้สัส!!"
เสียงตะโกนไล่หลังมา ผมหัวเราะ

เมื่อหันไปมองคนรักที่นั่งข้างๆ เขาก็หัวเราะ

"พี่กฤษณ์ มึงเล่นสงครามเท้ายังไงเนี่ย "
สองหัวเราะก่อนจะหันมาทางผม ผมละสายตาจากพวงมาลัยไปมองหน้าเขา รอยยิ้ม ดวงตา ใบหน้า และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา

'พระเจ้า..นี้คือความรัก'

สักพักเสียงหัวเราะก็หยุดลง เมื่อผมฉกฉวยจูบจากริมฝีปากนั้นเบาๆ
มีเพียงเสียงแตรจากรถของข้างหลัง ที่บอกให้เรารีบขับต่อ

ผมมองหน้าคนข้างๆ เขาพยายามกลั้นยิ้ม ก่อนจะหันมาทำหน้าดุใส่ผม

"อย่าทำอย่างนี้ดิสัส เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ"

"ก็มึงทำตัวน่ารัก"

"พูดงี้จอดรถมาคุยกันตัวๆป่าว เสื้อผ้าไม่เกี่ยว"
เจ้าตัวดีพูดเล่นๆ พยายามจะเเก้เขิน มึงคบกับกูมานานแค่ไหนแล้ว ไม่รู้เหรอกูคนจริงจัง!

ผมตีไฟเลี้ยวข้างทาง

"เฮ้ย!! ไม่เอา!!"

"ไม่ชอบ Out door เหรอ ที In door ล่ะบังคับกูจัง"

"Out door มันต้องแบบ น้ำตก ทะเล ธรรมชาติ งี้ป้ะ ไม่ใช่สี่แยกข้างทางที่มีคนเดินไปมา ไอ้สัส คนละเรื่องเลย!"

"เหมือนกันแหละ"
ผมพูด ปรับเบาะรถลงก่อนจะเอนตัวมองคนข้างๆสีหน้ากรุ้มกริ่ม

"ไม่เหมือน! Out door ของกูคือไปมัลดีฟส์ เช่าห้องที่เชื่อมไปชายหาด! ไม่งั้นไม่เอา"

"เรื่องมากสัส"

"มัลดีฟส์!"

"เอออ"
ผมพูดก่อนจะขยี้หัวเจ้าหญิงน้อยจอมเอาแต่ใจ ทั้งวุ่นวาย เอาแต่ใจ ทำให้ปวดหัวสุดๆ
แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้หลงรักนักหนา ..เฮ้อ ถ้ามีความสุขจนตายได้ผมคงตายไปหลายรอบเพราะไอ้เจ้าสองแล้ว

"ดีฟไม่ดีฟนะ?"

ผมพูดก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ และเขาหน้าแดงจัด
ผมบอกแล้ว คนรักของผมคิดอะไรในหัวเป็นภาษาอังกฤษก่อนเสมอ..
(Deep ที่แปลว่า ลึก ค่ะ : ผู้เขียน)

"ไอ้สัส"

คราวนี้เป็นผมที่หัวเราะทีหลังดังกว่า..

อย่าไปทำตัวน่ารักอย่างนี้พร่ำเพรื่อละ เจ้าหญิง


ออฟไลน์ Pinkii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฟินนนน  :hao6:
รู้สึกว่าความรักของพี่กฤษณ์น้องสองละเอียดอ่อนมากกก
คือมีความเป็นผู้ใหญ่ คิดถึงคนรัก คิดถึงครอบครัว หน้าที่การงานของแต่ละคนดี :-[ :mew1:
เหมือนผู้เขียนตั้งใจให้เห็นว่าความรักไม่ได้มีองค์ประกอบแค่คนสองคน o13
ตั้งแต่ตอนแรกๆที่สองได้ไปรู้จักครอบครัว การทำงานของพี่กฤษณาด้วย
มันละมุน ดีต่อใจมากๆๆๆค่ะ อยากให้มาอัพบ่อยกว่านี้ 55555 :impress2: :-[

ปลลล.เอาคู่โจเซฟวินด์มาด้วยนะคะ ชอบพระเอกไฮโซนายเอกเก็บกด  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ครอบครัวฮาเฮมาก อ่านไปอมยิ้มไป  :m20:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด