✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]  (อ่าน 27104 ครั้ง)

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



จาก NYC ถึง KK


สวัสดีค่ะ นิยายเรื่อง จาก NYC ถึง KK(?) นี้เป็นเรื่องราวของหนุ่มคุณชายหัวนอกที่ดูภายนอกอาจดูเหลาะเเหละไม่ได้เรื่องเท่าไหร่นัก(ฮา :o8: หมดชิ้นดี) ต้องมาอยู่ในต่างจังหวัดเพราะเหตุผลจำเป็น เขาได้พบเจอผู้คนที่แปลกใหม่ ได้เรียนรู้เรื่องราวของคนในชนชั้นที่หลากหลาย ได้เจอบางสิ่งที่สำคัญ มิตรภาพ ความรัก ความจริงใจบางอย่างที่โลกที่มีแต่เงินนั้นซื้อไม่ได้

ขอฝากนิยายโรแมนติกคอเมดี้กึ่งดราม่านิดๆเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยค่ะ!
(โค้ง) :z10:


Anynomous
ผู้เขียน

สารบัญ

ตอนที่ 1: From NYC to KK

ตอนที่ 2: หน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก

ตอนที่ 3: ลองลงแรง

ตอนที่ 4: ทฤษฎี 8 วิ

ตอนที่ 5: รูปแบบของความรัก

ตอนที่ 6: ความเป็นผู้ใหญ่

ตอนที่ 7: แวดวงและความคิดถึง

ตอนที่ 8: อาหารเย็นเเพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที

ตอนที่ 9: การเข้ามา

ตอนที่ 10: ความเท่าเทียม

ตอนที่ 11: เก้าอี้ว่าง

ตอนที่ 12: ที่ใดมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ

ตอนที่ 13: สายลมหยอกเย้า

ตอนที่ 14: ไอน้ำลอยตามลม

ตอนที่ 15: เพื่อนรัก

ตอนที่ 16: รักเพื่อน

ตอนที่ 17: สีฟ้าครามจัดจับตา

ตอนที่ 18: แผนการ

ตอนที่ 19: ท่องเที่ยวกับครอบครัว

ตอนที่ 20: ตัวร้าย

ตอนที่ 21: สีเทาขมุกขมัว

ตอนที่ 22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ

ตอนที่ 23: เจ้าชายน้ำแข็ง

ตอนที่ 24: สิ่งที่ได้รับ

ตอนที่ 25: Afterwards...

ตอนพิเศษ: กลับสุขใจอย่างยิ่ง 

ตอนพิเศษ: พี่ชายคนโต 

ตอนพิเศษ: ทว่ามีความสุขยิ่ง 

ตอนพิเศษ: วาเลนไทน์กับดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก 

ตอนที่ 21.01: นักเลง 

ตอนที่ 21.02: อยากได้ 



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2018 16:17:16 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่1)
«ตอบ #1 เมื่อ01-11-2017 01:00:58 »

ตอนที่ 1 : จาก New York ถึง Khonkaen

ลงจากเครื่องบินชั้นFirst class มาอย่างสง่างามประดุจเจ้าชาย แว่นกันแดดราคาแพง เสื้อผ้าดูเหมือนจะเป็นแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า
กระเป๋าเดินทางใบเล็กเพราะของที่เหลือจะส่งตามมาถึงบ้านอีกที ผมเอง ชายผู้หล่อ รวย ชีวิตสมบูรณ์แบบเพียบพร้อม(กูอวยตัวเองเหมือนคนมีปมด้อยเลยว่ะ)

สอง พงศ์พลิน สุวรรณกุล ลูกชายคนรองของครอบครัว'หลัก' ตระกูลสุวรรณกุล
หลังจากจบการศึกษาที่ม.โคลัมเบีย ในนิวยอร์ก ผมเอ้อระเหยลอยชายใช้ชีวิตวัยรุ่นช่วงปลายอยู่NY(รวมเดินทางเที่ยวไปหลายๆรัฐ)เป็นเวลาเกือบ 1 ปี จนรู้สึกอิ่มตัวและพึงพอใจ จึงเดินทางกลับมาบ้าน กลับสู่โลกความจริง
เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ชีวิตของ..อืมม ที่เฮียหนึ่งพูดเสมอ...ว่ายังไงนะ...ชีวิตของผู้ใหญ่

"ตืด ตืด ตืด..."
แหนะ พูดถึงปีศาจปีศาจก็มา

"คร้าบ ถึงแล้วคร้าบ เห็นแล้วครับบ เออกำลังจะไปขึ้นรถครับบบ"

เฮียหนึ่งโทรมาตาม บอกว่าส่งคนมารับแล้ว ห้ามเถลไถลนอกลู่นอกทาง !
จะให้ผมเป็นผู้ใหญ่ได้ไง ในเมื่อสายตาพี่มองผมเป็นเด็กๆแบบเนี้ย, ให้ตาย
ผมทำหน้าเซ็งบ่นกระปอดกระแปดเดินขึ้นรถ คนขับรถมารับกระเป๋าผมแต่ผมปฎิเสธ
ที่ไม่อยากขนอะไรมาเยอะในครั้งเดียวเพราะอยากถือเองนี้แหละโว้ย

ตลอดระยะทางผมหันซ้ายหันขวา กรุงเทพเปลี่ยนไปมากเลยแฮะ
ผมจากบ้านไปตั้งแต่ก่อนขึ้นชั้นมัธยมปลาย กลับมาบ้านบ้างนานๆที เวลาไม่เท่าไหร่ ตึกกับคอนโดพุ่งสูงขึ้นแข่งกัน
แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลย คือ รถติด ผมนั่งในรถอย่างเซ็งๆ อยู่กับพี่คนขับสองคน

"เออพี่ พอจะมีที่ท่องเที่ยวใหม่ๆแนะนำไหม"
ผมถาม หลังจากนั้นการสนทนาก็เป็นไปอย่างออกรสชาติ
เวลาที่อยู่บนท้องถนนจนถึงบ้านหลักของผมทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆเต็มเปี่ยม

"ถึงแล้วครับ คุณหนู แหม ร้ายจริงๆ นะครับ มาได้วันเดียวหาที่เที่ยวผู้หญิงซะเเล้ว"

พี่ป้อง คนขับรถพูดแซวผมขำๆ ผมก็เกือบจะขำด้วยแล้ว ถ้าพี่ชายไม่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังแล้วพูดว่า

"อย่างนั้นเหรอครับ ลุงป้อง"

ผมมองหน้าพี่ป้องด้วยสายตาวิงวอน กูถามแค่สถานที่ท่องเที่ยวทำไมต้องพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนั้นด้วยวะ

"ใช่ครับ ฮะฮะฮะ หนุ่มเพลย์บอยเหมือนกันนะเนี่ย"

อ้าว คิดเองเออเองอีก! ชิบหาย ..ผมส่งยิ้มแหยๆให้(ไอ้)พี่ป้องกับพี่ชาย ก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วเดินตัวปลิวเข้าบ้าน


............................................

"ม๊า คิดถึงจังเลยยยย" ผมเดินไปหอมแก้มหม่าม๊า

"ม๊าคิดถึงสองกว่า อุ้ย อย่าเอาหน้ามาใกล้จ้ะ เครื่องสำอางค์จะเลอะ ..แล้วนี่แต่งตัวอะไร เสื้อผ้าเนื้อราคาถูก ม๊าบอกแล้วใช่ไหมให้ซื้อของแพงๆไป มันใช้ได้นาน มือนี่อีกล่ะ ได้บำรุงบ้างไหม .."

แม่จับตัวผมพลิกซ้ายขวา จับแก้ม จับเสื้อ จับผม ตามประสาคนจู้จี้จุกจิก
ผมทำหน้ายู่แต่ก็ยอมให้เธอจัดเเจงแต่โดยดี

"ป๊ายังไม่กลับเหรอฮะ"

"เมื่อกี้ส่งเข้าไลน์ครอบครัวละว่ากำลังเดินทางมา"
เฮียพูดยิ้มๆก่อนจะเดินมาตบไหล่ผม

"เอาของขึ้นไปเก็บ เดี๋ยวเตรียมตัวลงมาทานข้าวกันนะ"
ผมพยักหน้าก่อนจะขึ้นไปชั้นบน

............................................

"ตืด ตืด ตืด..."



ผมขยับตัวมารับโทรศัพท์อย่างเกียจคร้าน

"ใครวะ"

"กูเอง ตั้ม เชี่ยสองง มึงกลับมาไม่บอกกูสักคำา"
ตั้ม เป็นเพื่อนของผมตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนมัธยมต้น

"กูว่าจะโทรไปอยู่ กูพึ่งลงจากเครื่องเนี่ย"
ผมโกหกตอแหลไปเพราะเหนื่อยเหลือเกินจากการเดินทาง เลยลืมมันไปสนิท

"พอดีล่ะ วันนี้มีปาร์ตี้อยู่โรงแรมXXX มึงมาเลยนะ กูพาเข้างานเอง มาถึงแล้วต้องเปิดตัวหน่อย ไฮโซเมืองนอก"

"เปิดตัวเหี้ยไรวะ เพื่อใคร"
ผมถาม หงุดหงิดเล็กๆเพราะความเพลีย

"เพื่อสาวๆแวดวงไฮโซ ดารา จะได้รู้จักมึงไง มึงเป็นเพื่อนกู คุณสมบัติก็เพียบพร้อม มึงเลือกได้เลยนะว่าจะคั่วใครงานนี้ "

"เออๆ แต่หลังสามทุ่มนะ กูกินข้าวกะพ่อแม่"

"เออไอ้สัส งานเริ่มจริงๆ5ทุ่มโน่นแหละ"

ตั้มนัดหมายอะไรนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป
อันที่จริงผมเองก็เป็นเด็กหัวนอกคนหนึ่ง ไอ้ตั้มแม้จะเรียนในไทยแต่ก็เรียนนานาชาติมาตั้งแต่เล็ก อยู่ในแวดวงคนร่ำรวย ผมชอบลองอะไรใหม่ๆก็จริง แต่เรื่องคั่วสาวไปทั่วไม่ได้อยู่ในความคิดผมนัก ที่ผมตอบตกลงไปเพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รู้จักสังคมของที่นี้ และเพราะเพื่อนที่ผมรู้จัก(และยังติดต่อกันอยู่) มีน้อยเหลือเกิน

หลังจากทานข้าวเสร็จได้คุยกับครอบครัว ผมก็รู้สึกว่าได้กลับมาบ้านจริงๆอีกครั้ง
ไม่มีที่ไหนที่จะรักและห่วงใยผมได้แท้จริงเท่าที่นี้ ที่'บ้าน'

เวลาประมาณ 4 ทุ่ม ผมแต่งตัวเตรียมออกไปงานปาร์ตี้ แต่เนื่องจากกุญแจรถผมไม่ได้อยู่กับตัว ผมจึงจำใจเคาะผระตูห้องพี่ชาย

"เฮีย "

"ว่าไง เข้ามาก่อนสิ"

"ไม่ล่ะ ผมแค่มาขอกุญแจรถ"

"จะไปไหนล่ะ"

"ไปปาร์ตี้ ไอ้ตั้มมันชวน "

"..."

เฮียนิ่ง ท่าทางครุ่นคิด

"อยากไปดูว่าวลสังคมเค้าไปถึงไหนกันล่ะ ผมไม่รู้เรื่องเท่าไหร่"
ผมพูดถึงเหตุผลคร่าวๆ

"ตั้ม มันมีข่าวเสียหายเยอะ ลงหนังสือพิมพ์"

"หนังสือพิมพ์ใครก็เขียนได้น่า เฮียก็รู้"

"..."

ท่ามกลางความเงียบ เราจ้องหน้ากัน ผมไม่ยอม ถ้าเฮียไม่ให้ ผมคงหาทางไปเองเหมือนเดิม และดูเหมือนเฮียจะรู้

"ที่ไหน"

"โรงแรม XXX"

"จะกลับเมื่อไหร่"

"ไม่เกินตีสาม"
...จะพยายามน่ะ

"เฮียให้ไม่เกินตีสอง"

ผมพยักหน้า ยักไหล่ เขาเดินกลับเข้าห้องก่อนจะออกมาพร้อมกุญแจรถ

"นี้ไม่ใช่กุญแจรถผมนี้.
นี้มันรถญี่ปุ่นกระป๋อง..ผมจ้องหน้าพี่ชายอย่างเอาเรื่อง

"เฮียยังไม่อยากให้สองหิ้วใครไปต่อ ไม่ใช่ในคืนแรกของการรู้จักกัน"

ผมทำหน้าเหวอจนพี่เกือบหลุดหัวเราะ

"เฮียคิดว่าตัวเองเป็นเอลซ่าและผมเป็นอันนางั้นเรอะ"

"คืออะไรรึ?"

ผมไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหัว ขืนไปอธิบายคงโดนล้อว่าโตเป็นควายยังดูการ์ตูนเด็กๆของดิสนีย์
ผมรับกุญแจมาอย่างเซ็งๆก่อนจะโบกมือไล่พี่ชายกลับห้องแล้วบึ่งรถไปโรงแรม

............................................

"มึงมาช้าจังวะ"
ไอ้ตั้มเดินมากอดคอผมก่อนกระซิบ

"กูเปิดgoogle mapมา"
ผมกระซิบตอบ

"ไอ้ห่า กูจำทางไม่ได้"

"เอาละครับบสาวๆ!"

 ไอ้ตั้มลากผมไปบนเวทีเตี้ยๆบริเวณบาร์ มันเปิดไมค์ก่อนจะพูด เสียงจ้อกแจ้กก่อนหน้านี้เงียบสนิท ผมประหม่าเล็กน้อย

"ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้คือสินค้าดีมีคุณภาพ!"

"ไอ้สัส"
ผมกระซิบพลางกัดฟันยิ้ม มันหัวเราะขำ

"เพื่อนร้ากของผม คุณชายสอง ลูกชายคนรองที่พ่อแม่รักกกที่สุดของตระกูลหลัก สุวรรณกุล คร้าบ
พึ่งจบจากNYCมา หล่อ รวย สปอร์ต! และที่สำคัญ โสดดดด"

ผมยิ้มแหยๆ กูจบจากโคลัมเบียว่ะ หล่อกับรวยกูยอมรับ แต่ตอนนี้ไม่สปอร์ต มีแต่เก๋งญี่ปุ่น!

"ดื่มฉลองการกลับมาของคุณชายสองง เชียร์"

สาวๆและหนุ่มๆในงาน ยกแก้วขึ้นดื่ม ผมโค้งเล็กๆก่อนเดินออกไปหาโซนเครื่องดื่มมาดื่มแก้เขิน
ผมเป็นเด็กนอกก็จริง สมัยเรียนที่มหาลัยก็มีปาร์ตี้ทุกวันศุกร์ก็จริง แต่บรรยากาศชวนเวียนหัวไม่เป็นธรรมชาติแบบนี้เป็นสิ่งไม่คุ้นเคย แม้ว่าจะมีสาวสวยๆนั่งอยู่กันเพียบ หลายคนหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็นบนป้ายโฆษณาระหว่างทางกลับบ้าน คงเป็นอย่างที่ไอ้ตั้มมันโม้เอาไว้ มีแต่พวกดารากับไฮโซ

ผมนั่งดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ฆ่าเวลา มองดูหากลุ่มที่พอจะเข้าไปพูดคุยด้วยได้
ไม่ทันได้อยู่คนเดียวนานนัก เหล่าสาวๆก็เดินมาทักผม

"สวัสดีค่ะ คุณสอง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ" สาวงดงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเริ่มทักผม เธอสวยจริงๆ และดูเหมือนจะรู้ตัวเสียด้วย เธอยกแก้วขึ้นน้อยๆ ผมยกชน

"ยินดีครับ คุณ..."

"อิงอิงค่ะ" สาวเจ้ายิ้มหวาน

"นี้เเพรวาเพื่อนอิงค่ะ ส่วนนี้เจน" สาวข้างหลังอีกสองคนทักทายผมด้วยรอยยิ้มสวยงาม

"คุณสองกลับมานานหรือยังคะ"

............................................

บทสนทนาวนเวียนอยู่แต่เรื่องของผม พอผมถามกลับบ้างพวกเธอมักตอบไม่ตรงคำถามเหมือนคนเบลอ
ผ่านไปได้สักพัก มีสาวๆรวมถึงหนุ่มๆมากมายแวะเวียนมาทักทายผม
คุยกันพอให้เรียกได้ว่ารู้จัก และจากไป
แต่สามสาวที่มาทักตอนแรกยังคงอยู่เป็นเพื่อนยันท้ายงาน

"อืม..อิงอิงง่วงจัง"

สาวสวยอิงอิงเริ่มมาซบผม ดูเหมือนเธอจะเมา พอดีกับที่ไอ้ตั้มเดินมา

"แหม ตาถึงนะมึง น้องอิงพึ่งเลิกกับแฟนได้ไม่ถึงวีค ประกาศลั่นในIGว่าขอเป็นโสดไปสักระยะ กูจีบน้องเขายังไม่เอากู มึงไปทำอีท่าไหนวะ"
ผมส่ายหัว กูไม่ได้ทำ กูนั่งเฉยๆ!

"น้องเมาแล้วมั้งมึง..กูว่ากูก็คงกลับได้แล้ว"

"กลับกี่คนล่ะ"

"อ้าวไอ้สัส น้องเขาก็มีเพื่อน กูก็ฝากเพื่อนเขาดูแลต่อ..."

"อุ้ย พอดี เจนกับแพรติดธุระด่วนน่ะค่ะ ฝากไปส่งอิงอิงด้วยนะคะ นี้ค่ะที่อยู่คอนโด กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋าอิงนะค้า"
ไอ้ตั้มหัวเราะลั่นพลางตบบ่าผม

"ดูแลน้องด้วยนะเว้ย"

ผมส่งสายตาด่ามันไปให้ แต่มันไม่รู้หนาวรู้ร้อน ...ธุระด่วนบ้านมึงเหรอตีสอง! ผมมองหน้ามันอย่างขัดใจ แต่มันไม่สนใจผม ยังคงพูดคุยหัวเราะคิกคักกับน้องแพรน้องเจน

"พี่มีตัวใหม่มา มาลองกันสาวๆ"
ไอ้ตั้มชวนสาวๆไปลองตัวใหม่(คาดว่าเป็นยา) ผมส่ายหัวกับความเพลย์บอยของเพื่อน
............................................

ผมกึ่งลากกึ่งแบกน้องอิงอิงขึ้นรถ ก่อนจะขับไปตามที่อยู่คอนโดที่เพื่อนเธอให้มา

"รถเก๋งเหรอนี่"

เสียงเล็กๆพูดขึ้น

"อ้าว นึกว่าเมาหลับไปแล้วเสียอีก"
ผมหันไปพูด

"พอดี..แอร์ที่รถเย็นเลยได้สตินะค่ะ...โอยย ง่วงจางง"
ผมส่ายหัวอมยิ้ม

"เดี๋ยวผมไปส่งคอนโด คุณขึ้นไปเองได้ใช่ไหม"

"ไม่มาด้วยกันเหรอคะ"

สาวเจ้าเอ่ยอย่างเชื้อชวน ผมแทบอยากพาเธอขึ้นคอนโดเดี๋ยวนั้น

"ตืด ตืด ตืด..."

...เฮีย...มึงโทรมาทำไมวะตอนนี้

"เออมีไร"

"ตอนนี้เวลาเท่าไหร่"

"เฮีย...นี้มึงBrother complexรึไง"
ผมกระซิบเบาๆกับโทรศัพท์ พลางมองสาวเจ้าแล้วยิ้มแห้งๆ
อิงอิงยิ้มหวานให้ผม

"ไม่เป็นไรค่ะ อิงอยากมีค่าในสายตาคุณ"
ว่าแล้วก็จูบผม ลิ้นร้อนซุกไซ้ปลุกอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ผมกดวางโทรศัพท์

............................................

"ไม่เอา!"

ผมส่ายหน้า ยืนขึ้น

"เฮียกับป๊าคุยกันแล้ว จะให้สองรับช่วงต่อของเครือฝั่งอุตสาหกรรมการเกษตร เพราะฉะนั้นเวลาช่วงนี้ เฮียจะให้สองไปลองศึกษางานตั้งแต่จากระดับล่างสุด ไปอยู่ในไร่ของลุงชัย เจ้าของไร่และฟาร์มวัวนมในขอนแก่น ในเครือบริษัทเรา"
เฮียก็ยืนขึ้น มีเพียงป๊าที่ยังนั่งอยู่

"ขอนแก่น?! นี้เฮียจะบ้าเรอะ ?! ผมไม่อยากไปที่ทุรกันดาร ผมจะอยู่บ้าน!!"

"สอง.."

"ไม่เอาา ไม่เอาๆๆ ผมพึ่งกลับมาเองนะ ยังไม่รู้จักสังคมที่นี้เลย ส่งผมไปต่างจังหวัดจะสร้างConnection อะไรกับใครได้ละ มีแต่วัวกับข้าวโพดงี้เหรอ"

"Connection จอมปลอมพวกนี้ จะสร้างตอนไหนก็ได้ เฮียพูดจริงๆนะสอง ถ้าอยู่ที่นี้ต่อไปน้องชายเฮียมีหวังเสียคนเเน่"
ผมส่ายหัว ไม่อยากจะเชื่อ ไม่มีใครเชื่อใจผมเลย ผมรู้ว่าไอ้ที่ทำอยู่นี้มันจอมปลอม แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ มีใครจริงจังบ้างหละ ผมดูแลตัวเองได้ ผมรู้ ผมเข้าใจแล้วว่าสังคมของไอ้ตั้มมันเป็นยังไง ผมอยู่กับมันได้

"สอง ลูกฟังป๊านะ เราไม่ได้เลี้ยงลูกมาด้วยสังคมแบบนั้น ครอบครัวเราใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานความจริง สมถะเหมือนที่ตระกูลเราทำมาตลอด  ป๊าคุยกับอาหนึ่งแล้ว เราอยากให้ลูกได้ไปหาประสบการณ์และเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานในส่วนภาคอุตสาหกรรมการเกษตร มากกว่าลอยชายไปอีกเดือนสองเดือนเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆไฮโซ ซึ่งคงไม่ได้อะไรมากนักนอกจากคอนเน็คชั่นจอมปลอม"

ผมนิ่ง สายตายังคงรั้นแต่อ่อนลง เมื่อป๊าพูดขนาดนี้มีหรือผมจะขัดได้

"ป๊ารู้ว่าลูกเข้มแข็งพอ ลูกอยู่ได้ในทุกสังคมที่ลูกต้องการ คิดซะว่าเป็นค่ายเตรียมตัวทำงานเถอะนะ"

"อีกอย่าง ที่ฟาร์มนั้นก็ไม่ได้ทุรกันดารอะไร ถ้าแกเข้มแข็งพออยู่ได้อยู่แล้วน่า"

เฮียพูดแล้วยิ้มให้ผม ผมยกนิ้วกลางไขว้หลัง หน้าบึ้งใส่

"กี่เดือน?!"

"แล้วแต่ลุงชัยจะรายงานว่าผลงานแกเป็นไง อาจจะครึ่งปีก็ยังไม่สาย ไม่ต้องรีบร้อน ยังไงแกก็ได้มาทำงานอยู่แล้วล่ะ"
เฮียพูดพลางยิ้มเล็กๆ ผมยิ้มกลับ ด้วยสายตาอาฆาต ผมเห็นประกายความสนุกแวบๆที่ดวงตาเฮีย

ไอ้พี่บ้า !!


............................................

โอยยย ร้อนชิบหายยยยย ผมเดินกระสับกระส่ายส่งสายตาอาฆาตใส่เฮีย กะว่าจะไม่พูดกับมันสักชั่วโมง
หลังจากออกจากสนามบินผมกับเฮียก็ยืนรอรถคนของลุงชัยมารับอยู่ข้างนอก ที่ต้องออกมาเพราะคนขับรถโทรมาบอกไม่มีที่จอด เขาจะวนมารับอีกที
เมื่อรถกระบะสีแดงเก่าๆคันหนึ่งเลื่อนมา เจ้าของรถออกมาทักทายพี่ชายผม

"ไอ้หนึ่ง เป็นไงบ้างวะมึง"

"เออเรื่อยๆว่ะ กูพาภาระมาฝาก เอ้า สอง แนะนำตัวซะ นี้กฤษณ์ หลานลุงชัย ลุงแกไม่มีลูก ไอ้กฤษณ์นี้แหละจะรับช่วงต่อ .."
ผมทำหน้าบึ้งใส่เฮีย ถอนหายใจ ไม่ยอมถอดแว่นตาดำ

"สอง"

"ฮ่าๆ เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย ขึ้นรถก่อนๆ มาพี่ถือกระเป๋าช่วย ขนอะไรมาเยอะแยะ"
ผมกระชากกระเป๋ากลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ เฮียหนึ่งขมวดคิ้วมองผม

"ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ละน้า เฮียถึงปล่อยไม่ได้สักที"

เฮียพูดเบาๆแต่ตั้งใจให้มันลอยมาถึงผม ผมอารมณ์เสียขึ้นกว่าเก่า

............................................

"จริงๆน้องกูเป็นเด็กดีนะ อาจดื้อๆไปบ้าง กูฝากมึงดูแลด้วยละกัน เรื่องงานในไร่ เรียนรู้ระบบองค์กรย่อย อย่าให้ขาดตกบกพร่องนะเว้ย"
เฮียฝากฝังผมเป็นมั่นเป็นเหมาะ

"เออ ไว้ใจกูได้"

คนที่ชื่อกฤษณ์พูด ผมเบะปากอยู่เบาะหลัง ขนาดแค่รถมึงยังดูแลไม่ได้ จะมาดูแลอะไรกูได้วะ?!!
 รถมึงแอร์เสียหรือไง กระบะแดงเก่าโคตรจะเก่า แอร์ก็ดูเหมือนจะเจ๊ง มึงคิดว่าอากาศที่นี้เย็นเหมือนนิวยอร์กหรือวะ
ผมหน้าแดงด้วยความร้อน เหงื่อไหลจนต้องถอดเเว่นกันแดดเช็ด

"เฮ้ย น้องมึงซึ้งว่ะ"

ซึ้งพ่อง!!

............................................

พอมาถึงไร่ มันใหญ่มาก ผม(แอบ)ตื่นเต้นเล็กน้อย ข้างหน้ามีโซนสำนักงาน ด้านหลังไร่อยู่ไกลๆเป็นโซนที่พัก ซึ่งเราต้องนั่งรถ(กระบะเเดงบุโรทั่ง)กว่าจะไปถึง เฮียพาผมไปทักทายลุงชัยก่อนฝากฝังผมให้ลุงดูแลและประเมิน ลุงชัยดูเป็นคนอารมณ์ดี แกสัญญาว่าจะช่วยดูแลผมและแนะแนวอย่างเข้มงวด

หลังจากเฮียเดินทางกลับ(แน่นอน ผมไม่ได้ไปส่ง)
ผมก็รู้สึกโหวงๆในช่องท้อง เหมือนกับตอนที่ป๊ากับม๊าไปส่งผมที่โรงเรียนมัธยมปลายเป็นครั้งแรก
ผมต้องมาอยู่ที่ห่างไกลแบบนี้ รถก็ไม่มี ...เพื่อนก็ไม่รู้จัก ...
อยู่กับใครก็ไม่รู้ ..ผมจัดของไปพลางน้ำตาซึมเล็กน้อย(ฮ่าๆ ไม่อยากเล่าเลยครับ อาย!!)
แต่คิดไปว่าเราต้องอยู่ได้  เรื่องรถเรื่องการเดินทาง อยู่ไปไม่นานคงรู้จักอะไรๆมากขึ้น

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

ผมเดินไปเปิดประตู เจอคนที่ชื่อกฤษณ์อยู่ตรงหน้า ในมือของเขามีขวดอะไรก็ไม่รู้ ผ้าเย็น พัด

"มีไรครับ"

"ยากันยุง ผ้าเย็น พัด"

เจ้าตัวพูด มองหน้าผม ไอ้ท่าทางร่าเริงสนิทสนมตอนอยู่กับเฮียมันหายไปไหนหมดวะ ไม่ได้ดูใจดีอย่างที่พูดสักนิด!

"เออ ขอบใจ"
ผมพูด หน้ามุ่ย เขาเหมือนตัวแทนพี่ชายกลายๆ ทั้งชีวิตนี้ผมรักพี่ แต่ความรักของพี่บางครั้งมันมากเกินไป จนผมอึดอัดเวลาที่ได้อยู่กับคนที่ดูเหมือนจะเป็นหูเป็นตาแทนเขา
พี่กฤษณ์เดินมาเคาะหัวผม

"ทำหน้าให้มันเอาอ่าวหน่อย ที่นี้ไม่ต้อนรับคุณหนูขี้แยนะ"

"ใครอยากมาละวะ"
ผมพูดใส่หน้า แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่อารมณ์พาไป (โทดทีครับพรี่) ด้วยความกระดากอายจึงรีบปิดประตูใส่หน้าคนตรงหน้า

"กูเอาของใส่ถุงแขวนไว้ตรงประตูนะ"
เสียงตามไล่หลังมา

............................................

"เออ ไอ้เชี่ยตั้ม มึงดูเฮียกูทำดิ แม่ง อยากให้กูเป็นชาวนาชาวไร่ก็ไม่บอก จะส่งกูไปเรียนทำไมวะ"
ผมบ่นกับมันด้วยความน้อยใจ เพื่อนเพียงคนเดียวในไทยของผม(อนาถแท้)

"กูรู้จักบาร์ดังๆที่นั้นน่า อย่าเศร้าไป"

"ไอ้ห่า กูจะออกไปไหนได้หละ อยู่ตรงไหนของเมืองกูยังไม่รู้เลย! นอกจากติดรถไอ้พี่กฤษณ์หรือคนงานไปในเมือง ซึ่งกูก็ต้องไปตอแหลตีสนิทอีก กูไม่อยากทำงั้น"

"เออมึง ทำตัวดีๆไปเดี๋ยวเฮียมึงก็ให้กลับเองแหละ คงไม่นานหรอก เฮียมึงแม่ง เผด็จการสัส"

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

"มากินข้าว!"
เสียงไอ้พี่กฤษณ์แว่วมาจากนอกห้อง

"กูไปหาไรแดกก่อน ไอ้พี่อวตารกูมาเรียกแล้วว่ะ"

ผมเรียกไอ้พี่กฤษณ์ว่า พี่ร่างอวตาร

"เออๆ โชคดีมึง"

............................................

"นี้อะไรอ่ะครับ"

ผมชี้ถามแกงอะไรสักอย่างที่มีสีเขียวเข้มแบบใบไม้ทั้งถ้วย แถมกลิ่นน่าขยะเเขยง

"นี้แกงขี้เหล็ก อร่อยนะสอง ผักขี้เหล็กนี้มีประโยชน์ หลับง่าย ถ่ายคล่อง ฮ่าๆ"
ลุงชัยพูดพลางหัวเราะ ไม่รู้ขำอะไรนักหนา บนโต้ะอาหารมีผม ลุงชัย ไอ้พีกฤษณ์ สาวน้อยวัยเรียน(เธอสวมชุดนักเรียน) พี่คนงานอีกสองสามคน

พี่กฤษณ์ตักไอ้แกงขี้เหล็กใส่จานผม ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง
"อร่อยสอง เชื่อลุง"

กูเชื่อลุง แต่ไม่เชื่อมึง!

แต่ด้วยความเกรงใจ+มารยาทที่กลับคืนมา ผมตักอาหารเข้าปากอย่างกล้าๆกลัวๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนในโต๊ะอาหารได้ไม่น้อย

อืมม...ขม เปรี้ยว ...ทำใจชอบยากแฮะ

ผมคงทำสีหน้าพะอืดพะอม คนอื่นๆถึงหัวเราะเพิ่มอีก

"อย่าแกล้งพี่สองนักสิคะ กินไข่เจียวนี้ก็ได้นะคะ แก้วทำเอง ใส่ไข่มดแดงด้วย พี่กฤษณ์เก็บมาเพื่อพี่สองเลยน้า"

ผมมองสาวน้อยแก้วอย่างมีความหวัง แต่พอได้ยินว่าไอ้พี่กฤษณ์เป็นคนเก็บมา ผมนี้ชักหวั่นๆ

ไอ้ไข่มดแดงนี้มันอร่อยเเฮะ! สรุปอาหารในวันนั้น ผมชอบไข่เจียวไข่มดแดงที่สุด อร่อยครับ คอนเฟิร์มม


"พี่สองทำไมได้มาอยู่นี่คะ"
แก้วถามขึ้นมาระหว่างเราทานอาหารอยู่

"พี่มาฝึกงานน่ะ ช่วยพี่ด้วยละกันนะ"
ผมตอบขำๆ

"ไม่ต้องห่วงครับคุณสอง เราจะช่วยสอนงานให้อย่างดีครับ"
ลุงป่อง พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้น

"ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ครับ ลุง ผมเด็กกว่า ไม่ได้มียศอะไร จะเรียกสอง เรียกไอ้สอง ได้ตามสะดวกครับ"
ผมคุยอย่างเฮฮากับลุงชัย ลุงป่อง ป้าสมบัติ น้องแก้ว ไอ้พี่กฤษณ์ พวกเขาคุยเรื่องในไร่ คุยเรื่องสัพเพเหระ ที่แต่ละคนเจอมาบ้าง โม้ประวัติบ้าง จนน้องแก้วขอตัวไปอาบน้ำนอน ลุงป่องนึกครึ้มใจจึงอาสาเปิดยาดองแมงป่องมาให้พวกเราเสพกัน

"เป๊กๆๆ เอ้า เป๊กๆๆ" ลุงป่องพูดก่อนจะตบมือทำจังหวะกลอง
ลุงชัยหัวเราะลั่นก่อนจะหยิบแก้วไปเป๊ก

"กรึ้บๆๆ เอ้า กรึ้บๆๆ" หลังจากนั้นทุกคนก็เวียนกันคนละเป๊กสองเป๊ก(แก้วเล็กๆ)

ไอ้ยาดองเหล้าขาวนี้มันแรงมากนะ แค่ครึ่งแก้วเล็กๆ ในท้องมันร้อนวูบวาบ แรงแบบไม่ได้รสชาติเหี้ยอะไรเลย

"เดี๋ยวๆ ไอสอง มึงพอเลย มากกว่านี้มึงไม่ไหวล่ะ"

เสียงไอ้พี่กฤษณ์ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ มือผมถือแก้ว

"หยุด"
แก้วโดนดึงออกจากมือไป

"ผมไหววพรี่ จริงๆ"

"ไหวพ่อง มึงคลานขอแก้วกูเนี่ยนะไหว"
เสียงลุงทั้งสองตัวต้นเรื่องหัวเราะแว่วมา

"ลุง! ไอ้หนึ่งมันให้ดูแล ไม่ใช่มอมเหล้า เล่นซะมันหมดสภาพ"
เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากจากลุงยังดังต่อเนื่อง

"มานี้เลยมึง ไป กูพากลับที่พัก"
ผมถูกลากไป ขึ้นรถ

"ไกลชิบหายไร่มึงเนี่ย"
ผมพูดแบบไม่ทันได้คิด (สุราทำให้สติสัมปชัญญะลดลงอย่างมากนะครับ เด็กๆ)

"เนี้ย กูโดนเฉดหัวออกจากบ้าน มาอยู่บ้านนอกคอกนา เพื่อนก็ไม่มี รถก็ไม่มี แอร์แม่งยังมีแค่ในสำนักงาน ยุงก็เยอะ ห้างก็ไม่มี ที่เที่ยวก็ไม่มี แม่ง กูซวยชิบหาย ป๊าม๊าไม่รักกูแล้ววว"
ผมพูดแล้วน้ำตาไหล หน้าเเดงเป็นเด็กๆ

"เดี๋ยวกูก็ได้ทำงานเป็นทาส ทำงานงกๆแล้วก็หลับไป ตื่นมาทำงานอีก จนกว่าครอบครัวจะเชื่อใจกูเหรอว่ากูอยู่ได้ด้วยตัวเอง กูดูอ่อนแอเหรอ ตลอดชีวิตที่ผ่านมากูไม่ได้พิสูจน์รึไงว่ากูอยู่เองได้ ฮึก.."
มือสากๆมายีหัวผมเหมือนผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ
ไม่มีคำพูดใดๆจากคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าผมบ่นอะไรอีกบ้างก่อนจะหลับไป

............................................

"ตื่น"
ผ้าห่มถูกดึงออก ผมพยายามยื้อไว้แต่ไม่สำเร็จ ลืมตาสู้เเสงมาได้ก็เห็นไอ้พี่กฤษณ์อยู่ตรงหน้า

"พี่เข้ามาห้องผมได้ไง?!!"
ผมร้อง พยายามดึงผ้าห่มอยู่

"นี้ห้องกู"

"ผมเข้ามาห้องพี่ได้ไง?!!!"

"มึงขอมาเอง มึงเมามาก ไม่อยากอยู่คนเดียว มึงบอกว่ามึงไม่อยากอ่อนแอ..."

"เอออ เดี๋ยวๆๆ พอแค่นั้นแหละ"

ผมพูด ไม่อยากฟัง ไอ้นิสัยสาธยายชีวิตเวลาเมานี้ผู้ชายร้อยทั้งร้อยเป็นนะคุณ แต่เวลาเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมนี้อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดิน!

"ไปอาบน้ำ กูจะพาไปดูงานในสำนักงานก่อนวันนี้"
ผมอยากม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มต่อแต่ทำไม่ได้ ส้นเท้าของไอ้(พี่)กฤษณ์ มาเขี่ยบนพุงผม

"ลุก ไม่งั้นกูเหยียบไส้แตก"

"เออไอ้สัส"
ผมชูนิ้วกลางก่อนจะงัวเงียลุกไปห้องน้ำ

"มึงไม่ล้างขี้วะ!!"
ผมตะโกนออกมาจากห้องน้ำ

"มึงเข้าทีหลังกดน้ำครั้งเดียว!"
เสียงตะโกนกลับเข้ามา

ไอ้สัส ชีวิตกูทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้?!!!!
แล้วกูต้องอยู่ล้างขี้ให้ไอ้เหี้ยนี้ตลอดไปไหมเนี้ย
เฮีย!! เฮียมึงจะรู้รึเปล่าว่าน้องมึงมาเป็นคนรับใช้เขา ผมคิดแล้วน้ำตาแทบเล็ด

"เงียบไปอย่าแอบร้องนะเว้ย อาบน้ำ! มีน้ำตาให้เห็นพ่อตบหัวทิ่ม!"
เสียงตะโกนออกมาจากด้านนอก(เหมือนรู้ใจ?)
ขนาดร้องไห้กูยังทำไม่ได้ ชีวิตกูทำเวรกรรมอะไรไว้วะ?! ไอ้ชิบหายยยย

#1

จบตอน1 ละจ้า  :hao5: ต้องรีตั้งสองรอบแหน่ะ มันเชื่อมต่อไม่ได้ :katai4:
เป็นยังไงบ้างคะ? ลักษณะนิสัยของสองที่เอาแต่ใจหน่อยๆเหมือนลูกคนเล็กที่ครอบครัวรักมาก
มาตกระกำลำบาก(ตรงไหนวะ) กับเฮียกฤษณ์ที่เข้มซะ(บางทีพี่แกก็จริงจังเกิ้น)
เขาจะสามารถพิชิตใจเฮีย เอ้ยย สามารถปรับตัวอยู่ที่ไร่อย่างมีความสุข ได้เรียนรู้งานใหม่ๆแบบที่เฮียกับป๊าคาดหวังได้หรือไม่
เพื่อนเก่าจากอดีตจะตามมามอมเมาเขาต่อหรือไม่ แวดวงไฮโซจะปล่อยให้เขาเป็นแค่ข่าวซุบซิบหรือตามจิกเขาไหม
และเขาจะได้ล้างขี้อิเฮียไปอีกกี่ตอนกัน ....

ติดตามได้ใน จาก NYC ถึง KK ค่า :really2:


TLC
Anonymous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2017 21:45:34 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่ 2 : 01/11)
«ตอบ #2 เมื่อ01-11-2017 09:52:08 »

ตอนที่ 2 : หน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก

"ไอ้กฤษณ์ กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อยว่ะ"

ไอ้หนึ่ง เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนของผมโทรมาขอร้อง เป็นเรื่องยากที่คนอย่างมันจะขอร้องใครสักคน
ทำเอาลางสังหรณ์ผมเตือนแปลกๆตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกจากโทรศัพท์

"ว่าไงวะ"

"มึงจำน้องกูได้ใช่ไหม สองน่ะ มันกลับจากนิวยอร์กแล้ว"

"เออ?"

ผมจำได้ ไอ้เด็กตัวเล็กๆที่ชอบมาวิ่งเกี่ยวแข้งเกี่ยวขาผมกับมัน กวนตีน แต่พอโดนแกล้งนิดหน่อยก็ขี้แยชิบหาย
พี่มันก็โคตรจะเอาใจ ครอบครัวก็โคตรจะพะเน้าพะนอ มันนะคือคุณหนูจริงๆ ต่างกับพี่ชายมันลิบลับ

"มึงรู้จักไฮโซตั้มใช่ไหม มันเป็นเพื่อนกัน"

"เออ? ...มีอะไรมึงรีบพูดให้ชัดเจน จะเกริ่นเหี้ยไรนักหนา"

ผมเคยเห็นในข่าวซุบซิบบ่อยๆ ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ ไฮโซตั้ม เปลี่ยนสาวควงบ่อยๆทั้งดาราเซเลป แล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ มึงเกริ่นเหี้ยอะไรนักหนา

"น้องกูมาได้วันเดียว มันชวนน้องกูไปปาร์ตี้ น้องกูไปลากสาวขึ้นห้อง ปาปารัสซีถ่ายได้และน้องกูกลายเป็น'หนุ่มปริศนา' มึงก็รู้วงการนี้มันเน่าเฟะ กูอุตส่าห์ประคบประหงมน้องกูมาแต่อ้อนแต่ออด ให้อยู่โรงเรียนดีๆ สภาพเเวดล้อมที่ดี...."

มันพล่ามเรื่องการดูแลน้องชายสุดที่รักมันอีกสามนาทีกว่าๆ ผมถือโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ ถ้ามึงพูดไม่เข้าเรื่องสักทีกูจะวางโทรศัพท์ละนะ จะไปทำงาน..

"นิวยอร์ก มันสภาพแวดล้อมดีตรงไหน เหล้ายาปาร์ตี้ ที่ไหนมันก็มีหมด นั้นเมืองเสื่อมโทรมชัดๆ เผลอๆน้องมึงถูกคนดำจับทำเมียไปแล้ว "

"ไอ้เหี้ย Racist สัส"

"เออ ประเด็นคืออะไรวะ กูขอแค่นี้"

"กูจะฝากให้มึงดูแลน้องกู เอาไปอยู่ที่ไกลๆความเจริญ ห่างจากเพื่อนตัวดีของมันก่อน ให้มันเข้มเเข็งก่อน สัก3-4เดือน หรือมากกว่านั้น ค่อยกลับมาทำงาน"
ผมส่ายหัวกับไอ้นิสัยรักแบบผิดเพี้ยนของไอ้หนึ่ง มึงเห็นน้องมึงเป็นหมอนนุ่นหรือวะ เกิดมาบอบบางและตายห่าไปรึ
คนเราถ้าพยายามอยู่ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่14-15อย่างนั้น แค่นั้นแม่งก็เข้มเเข็งพอล่ะ
ไอ้ห่านี้ทำเหมือนน้องมันเป็นเด็กอมมืออยู่ตลอด น้องมันถึงไม่โตสักที ไอ้ควาย

"น้องมึงอายุเท่าไหร่"

"23"

"ควาย โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงละ จะให้กูดูแลอีก บอกตรงๆนะ วิธีแก้ปัญหามึงนะห่วยแตก"

"เออ มึงจะช่วยหรือไม่ช่วย"

"เออ"

"ห้ามบอกเหตุผลกูให้มันรู้ด้วย กูอยากให้มันศึกษางานที่นั้นเป็นผลพลอยได้"

"สัส เงื่อนไขเยอะนะมึง"

..................................

ในตอนแรกที่ผมได้เจอเจ้าเด็กนั้น มันดูเอาแต่ใจชิบหาย เห็นได้ชัดว่าถูกบังคับมา ทำเอาผมอดขำไม่ได้
พอมาอยู่ไร่ เข้าห้องพัก ผมเลยไปแซวๆมันสักหน่อยดูสิว่ายังขี้แยเหมือนเดิมหรือเปล่า
มันโกรธมาก แสดงว่าจริง ! ซึ่งยิ้งทำให้ผมตลกมากขึ้นไปอีก

หลังจากทานอาหารเย็นด้วยกัน มันก็ดูผ่อนคลายขึ้น ยิ้ม หัวเราะ ร่าเริงกับลุงๆป้าๆและน้องสาวผม ทำให้ผมมีเวลามาสังเกตมันอย่างละเอียดอีกครั้ง หมอนี้เอาใจใส่ผู้คนดี ลักษณะภายนอกดูเป็นพวกหัวสูง แต่จริงๆนอบน้อมถ่อมตนเลยทีเดียว ไม่ค่อยเหมือนไอ้พวกไฮโซที่ผมเคยรู้จักนัก คงจริงอย่างไอ้หนึ่งมันพูด ครอบครัวมันประคบประหงมมาดีขนาดนั้น

พอทานอาหารเย็นเสร็จลุงป่องเปิดยาดองมาให้ทุกคนชิม(?) ท่าทางอยากจะรับเด็กใหม่ ผมก็เออออห่อหมกไปตามเรื่อง คอยระมัดระวังไม่ให้มันดื่มมากไป แต่แม้จะดื่มไม่มาก ยาดองของลุงเป็นของแรง แอลกอฮอล์มากกว่า60%เลยละมั้ง  ไอ้เจ้าสองเริ่มเมาโวยวาย ผมเลยพากลับที่พักก่อน

ระหว่างเดินทางกลับ มันร้องห่มร้องไห้เล่าประวัติชีวิตให้ผมฟัง บอกว่ามันรักครอบครัว เเต่ครอบครัวไม่เชื่อใจมัน คิดว่ามันโง่เหรอที่ส่งมันมาที่ไกลๆแบบนี้ ไร่แถวกรุงเทพก็มี แล้วก็เรื่องเพื่อน มันก็ไม่อยากคบอะไร แต่ไม่มีใครที่มันรู้จักอีก ที่นี้ไม่มีที่ท่องเที่ยว ไม่มีห้าง และอีกมากมาย ผมไม่พูดอะไร ไอ้พูดมากๆนะไม่ใช่นิสัยผมอย่างหนึ่ง และอีกอย่างคือ พูดไปมันคงไม่รู้เรื่อง เมาขนาดนั้น

โดยไม่รู้สึกตัว มือผมก็ไปยีเล่นบนหัวมัน ผมจอดรถเพื่อที่จะฟังมันเล่าให้จบ มันก็เอาแต่งอเเงว่าไม่อยากอยู่คนเดียว
ผมจึงพากลับมาที่พักผมแทน เพราะเป็นห่วงว่าตื่นขึ้นมาเจออาการแฮงค์จากเหล้าดีกรีแรงแล้วมันจะไปไม่ไหว

มันอ้วก เพ้อหน่อยๆ ผมคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ทำตัวอย่างกับพี่เลี้ยงเด็กเลยกู
รู้งี้แล้วคราวหลังจะห้ามสุดตัวไม่ให้มันแดกอะไรเลย กินนมปั่นจากไร่ก็พอแล้วมึงน่ะ ผมคิดแล้วส่ายหัว

"พี่กฤษณ์ ทำไรอะ"

"กูจะเปลี่ยนเสื้อให้ ยกแขนขึ้น"

"เปลี่ยนทำไม ไม่เปลี่ยน"

"มึงอ้วก อย่าพูดมาก ยกเเขนขึ้น"
ผมพูดแล้วดึงแขนมันขึ้น

"พี่กฤษณ์ มึงแม่งใจร้าย ya 're so mean, ya know ? I really hate ya guy .."
 
ผมปล่อยให้มันพูด ดึงกางเกงออกจะเปลี่ยนให้

"...pervert"

"pervert พ่อง จะมีใครดีเท่ากูอีกดูแลมึงขนาดนี้ ไปบอกพี่มึงโอนตังค์มาให้กูเลยนะ กูดูแลดียิ่งกว่าเมียอีกเนี่ย"

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ไปอาบน้ำแล้วมานอน
คืนเเรกที่มันมาก็พาเรื่องยุ่งๆมาให้ซะแล้ว กูจะดูแลมึงได้จริงๆไหมเนี่ย

..................................

"ตรงนี้คืออาหารสำนักงาน ในไร่ของเรามีส่วนที่เป็นภาคการผลิตกับภาคการควบคุม อาคารสำนักงานประกอบด้วยฝ่ายต่างๆ อำนวยการ การตลาด บัญชี.."
ผมพูดไป ลอบมองสีหน้าคนตรงหน้าไปด้วย แววตาตื่นเต้นของเจ้านี้ทำให้มันยิ่งดูเหมือนเด็กเล็กๆ

"มึงอยู่ฝ่ายไหน กูเห็นมึงถือจอบเสียมเมื่อวาน ฝ่ายการผลิตเหรอวะ"

"จริงๆกูอยู่ฝ่ายบริหาร นั่นห้องทำงาน ไปเดี๋ยวพาไปดู"

"แล้วทำไมมึงต้องมาทำงานเอง งกๆ ไม่ให้ลูกน้องคนงานทำให้วะ ไม่เคยได้ยินเหรอ ไอ้ให้เงินทำงาน ให้คนทำงาน"

"กูไปเพื่อที่จะได้เข้าใจปัญหา มันมีบางเวลาที่เราต้องลงเเรง ทุกอย่างมันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเหมือนอย่างพวกคำคมเท่ๆ หรือไอ้พวกนักพูดทำหนังสือสอนหาเงิน ทั้งๆที่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของมัน ก็คือหนังสือนั่นแหละ
กูลงไปทำงานเอง ได้เห็นบางสิ่งที่มองไม่เห็นเวลานั่งในห้องทำงาน"

"มึงเห็นอะไรวะ"

"นั่นเป็นสิ่งที่มึงต้องเรียนรู้"

ผมพูดทำเป็นปริศนาหยอกมันเล่น มันทำหน้ามุ่ย

"คร้าบอาจ้านน ให้ศิษย์ทำไรต่อคร้าบ"

"กูให้เวลา 1 วัน ศึกษางานในนี้อย่างคร่าวๆ ว่ามีรูปแบบยังไง มึงสงสัยเรื่องอะไรถามได้เลย พี่ๆเขายินดีที่จะตอบ หรือมึงจะแกร่วอยู่ในห้องทำงานกู ศึกษางานกูก็ได้ วันนี้เป็นวันเรียนรู้ด้วยตัวเอง"

ผมพูดไปอย่างนั้นเพราะวันนี้ผมมีงานเยอะจริงๆ ไม่มีเวลาดูแลมันทั้งวัน ให้มันวิ่งเล่นในนี้ยังได้มองเห็น มันตาวาว

"โอเค้ กูไปละน้า"

"เออๆ ตั้งใจล่ะ"

..................................

วันนี้ไอ้สองมันกระตือรือร้นได้ใจผมดี มันเเวบไปแวบมาระหว่างห้องทำงานผมกับงานในฝ่ายอื่นๆ ถามนู้นถามนี้กับพนักงาน แล้วก็แวบมาดูผมอีก แต่ไม่ถามอะไรผมสักคำ ช่วงบ่ายสาม ผมออกไปดูงานในไร่ กลับมาถึงสำนักงานก็ไม่เห็นเจ้าตัวดีวิ่งวุ่นซะเเล้ว แต่พอเปิดเข้าห้องทำงานถึงได้พบ

เจ้าสองนอนหลับอยู่บนโซฟารับแขกในห้องผม มันคงเหนื่อยกับการวุ่นไปศึกษานู้นนี้ทุกแผนก
ผมมีเวลาได้พิจารณาใบหน้ามันตอนหลับอย่างไม่ตั้งใจ มันนี้อย่างกับเจ้าชายน้อยๆเลยแฮะ...

น่าเอ็นดู

"ตื่น"
ผมเอามือไปยีหัวมันอีกแล้ว

"มึงกลับมาแล้วหรอ อ๊ะ กูไม่ได้ตั้งใจหลับ"
มันรีบแก้ตัวถึงพฤติกรรมที่ดูเกียจคร้าน

"ไม่เป็นไรๆ วันนี้มึงทำได้ดีมาก"
ผมพูดยิ้มๆ มันเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างให้ผม

"ฮ่าๆๆ กูเป็นใครล่ะ จะมีใครเก่งเท่ากูอีกในโลกนี้ โอ้ยย"
ผมเบิดกะโหลกมันไปทีนึง

"กูจะพาไปกินข้าว ในห้าง กูว่ามึงควรซื้ออะไรด้วย"
มันตาวาวเป็นเด็กเล็กๆ

..................................

"โอยยย มึงซ่อมแอร์รถมึงได้ไหม กูขอร้อง"
ไอ้เด็กนี้มันโวยวาย เหงื่อไหลอย่างกับน้ำ กว่าจะเดินทางเข้าเมืองต้องใช้เวลานาน
ผมนำคุณนายแดงคันเก่งของผมพามันเข้าไปในเมือง

"เดี๋ยวกูไปหาน้ำยาแอร์มาใส่ คุณนายแดงแค่ใบพัดอ่อนแรงไม่ต้องซ่อม"

"นั้นน่ะเขาเรียกซ่อมโว้ยย มึงอยู่มาได้ไงนี่ โอยยยคุณนายแดงง มึงเปิดกระจกให้กูหน่อย"

"มึงเอามือไขเอาเลย ระบบมือ"

"ไอ้สัส ไอ้เชี่ยกฤษณ์"
มันเริ่มบ่นโวยวายมาถึงผม ผมขำ

..................................

"อิอิ เย็นสบายจัง มึง มีชีสเค้กขายด้วย"

"มึงคิดว่าที่นี้บ้านนอกขนาดไหนกันวะ"

"กูไม่รู้นี่"

"จะกินไหมชีสเค้ก"
ผมถามพลางมองไปที่ชีสเค้กราคาสูงลิ่ว ไอ้นมจากฮอกไกโดนี่มันอร่อยขนาดนั้นเชียวรึ

"กินก็ได้"
แหม มึงอย่ามาตอบเหมือนจำใจต้องแดกอย่างนั้น! ตามึงนี้แทบจะเข้าไปสิงในเค้กละ ไอ้ห่า

"มึงกินปะ"

"กูไม่ชอบของหวาน"

"เออดี จะได้ไม่มีใครแย่งแดก"

มึงถามเพื่อการนี้เนี่ยนะ ไอ้สัสสอง

ผมนั่งมองมันละเมียดละไมชิ้นเค้ก 120 บาท ก้อนเล็กๆ ท่าทางมีความสุขจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ตอนอยู่บ้านกูหน้าแม่งเหมือนคนถูกบังคับตลอดเวลา พออยู่กับชีสเค้กนี้กระดี้กระด้าเลยนะมึง

"แหนะ มีมอง มีมอง อยากแดกบอกมา อ้ำๆ กินปะ"

ผมส่ายหัว มันมีกันอยู่แค่นี้ ไม่มองมึงจะให้มองหมาตัวไหนละวะ

..................................

"กูนึกว่ามึงจะพากูเข้าร้านอาหารรร"

"ก็นี้ไงร้านอาหาร ข้างๆนี้มีของเล่นด้วยนะ"
ผมพูดเพื่อหลอกล่อให้มันมากิน Food zone

"กินเสร็จแล้วไปเล่นกันป่าวมึง กูเซียนเกมพวกนี้นะกูบอกไว้เลย"
ไอ้เด็กสองติดกับผมอย่างง่ายๆ ผมหัวเราะ

"ได้ ทำให้ได้อย่างคุยละกัน"

หลังจากทานอาหารธรรมดาๆ แต่อร่อย(ผมชอบ) เราก็ไปเล่นเกมกัน
มันเก่งอย่างที่มันว่าจริงๆ และภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างมาก ผมเหลือบไปเห็น ไอ้เครื่องเล่นวัดพลังหมัด คิดในใจว่าคราวนี้แหละกูต้องชนะ กูแข็งแรงกว่า ลูกๆกล้ามเนื้อจากการทำงานหนักของพ่อ จงแสดงพลังซะ

" 6432! "
ไอ้สองพูดด้วยความภูมิใจ ไอ้เหี้ย เยอะชิบหาย กูจะยอมแพ้ไม่ได้ อายเด็กมันตาย
"มึงจับตาดูให้ดีๆนะไอ้สอง ลูกพี่มึงนี้จะสอนมึงเอง"

ปัก!!!

"8945!"
ผมหันไปยิ้มอย่างมีมาด แต่หน้าไอ้สองไม่ได้ดูดีใจด้วย

"ไอ้พี่กฤษณ์! มึง ระวัง!"

ผลั่กกก!!!
ไอ้หมัดเฮงซวยเด้งกลับอัดหน้าผม เรียกเสัยงหัวเราะจากเด็กๆในบริเวณรอบข้างรวมถึงไอ้เชี่ยสอง ที่หัวเราะดังกว่าใครเพื่อน

"ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้พี่กฤษณ์ มึงแม่ง ซูเปอร์เด๋ออะ หน้าแม่วอย่างเหวอ ฮ่าๆๆๆ"

มันหัวเราะท้องขัดท้องแข็ง ผมจับหัวมันมาซุกใต้รักแร้ แล้วล็อกคอ

"ไอ้สัสส อย่าได้ใจไปๆ"

"โอยย มึงจะฆ่ากูเหรอ ไอ้เหี้ยซกมก!"

..................................

กว่าจะเดินทางกลับไร่ก็มืดเเล้ว ผมไปส่งมันที่พัก

"ทายากันยุงด้วยนะสัส ไข้เลือดออกแดกมา ภาระกูต้องพาไปโรงบาล"
ผมพูดเตือนครั้งสุดท้ายก่อนจาก

"เออ ไอ้พี่กฤษณ์"

"ว่าไงวะ"

"วันนี้กูขอบใจมาก"
มันรีบพูดเร็วๆเหมือนเขิน ผมยีหัวมันไปทีนึง ยิ้มอย่างเอ็นดู

"วันนี้มึงทำดีไง สมควรได้รับรางวัล ทั้งตั้งใจ มุ่งมั่น กูเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ คนที่ดูไม่เอาไหนอย่างมึงทำได้ขนาดนี้ กูดีใจแล้ว"

ผมพูดก่อนจะหัวเราะ

มันชูนิ้วกลางใส่ผมก่อนจะปิดประตูห้อง

..................................

#2

จบไปแล้วจ้าสำหรับตอนสอง เฮียหนึ่งแอบมีเตี๊ยมกับเฮียกฤษณ์เพราะหวงน้องชายมากเกินไป แต่ดูท่าจะฝากฝังผิดคน เพราะไอ้คนรับฝากไม่ได้ดูแลประคบประหงมอะไรนัก เลี้ยงแบบปล่อย(?!) ในด้านความสัมพันธ์ยังค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เฮียกฤษณ์แกก็เอ็นดูน้องไปตามเรื่อง เพราะรู้จักกันมาก่อนส่วนหนึ่งบวกกับสองมันเป็นคนขยัน ตั้งใจจนเข้าตาแกนั่นแหละ :oo1:
มุมมองการเล่าเรื่องสลับกันไปในแต่ละตอนนะคะ จะพยายามเก็บรายละเอียดในส่วนอารมณ์ของแต่ละคนให้มากขึ้น พอคิดในมุมมองตัวละครจริงๆแล้ว แทบไม่มีเวลาไหนที่พวกเขาพิจารณาใบหน้ากันอย่างจริงจัง ในชีวิตจริง คนลักษณะอย่างสองคนนี้ก็ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งวิเคราะห์รูปจมูกหรือปากด้วย เรารู้สึกสนุกดีที่อิมเมจของตัวละครยังคงเป็นปริศนาค่ะ :bye2:

Anynomous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2017 10:03:09 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
«ตอบ #3 เมื่อ01-11-2017 21:22:51 »

ตอนที่ 3 : ลองลงแรง

พอได้ลองไปศึกษางานในส่วนบริหาร นี้ขนาดเป็นงานในไร่ ไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ แต่ก็มีระบบที่เป็นระเบียบ การมีแบบแผนขององค์กรทำให้พนักงานทำงานง่ายขึ้นมาก ผมประทับใจในการจัดการและบริหารของทั้งลุงชัยและพี่กฤษณ์มาก ผมได้สังเกตปัญหาที่เข้ามาในวันนั้นและการจัดการปัญหาของพี่กฤษณ์ เวลาอยู่ด้วยกันทั่วๆไปเขาก็ดูเป็นคนมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว สิ่งที่ได้มาเห็นยิ่งทำให้ผมแน่ใจมากขึ้นอีก

วันนั้นมีปัญหาในการขนส่งสินค้าไปแปรรูป แต่เขาก็จัดการมันได้อย่างไม่ลำบากนัก
เขารู้ว่าเวลาไหนควรประนีประนอมและเวลาไหนควรเด็ดขาด
ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากเรื่อง'ช่วงเวลา'ในการตัดสินใจ เหล่านี้

ด้วยเหตุนี้ แม้ผมจะอยากยุ่งวุ่นวายกับเขามากแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่สังเกตการณ์เพราะไม่อยากรบกวนเขา

หลังจากนั้น ตอนที่เขามาชมผม แม้จะเป็นแค่คำชมปนแซวก็เถอะ
แต่ผมมีความสุขมาก เพราะเเววตาเเละน้ำเสียงของเขา ดวงตาสีดำที่ทั้งจริงจังและหยอกล้อ
น้ำเสียงที่มั่นคง อบอุ่น แม้สิ่งที่พูดหลายๆครั้งจะไม่ค่อยน่าฟังนัก
เขาเป็นคนประเภทที่คุณมองก็รู้ว่าคนแบบนี้จะไม่โกหก ซึ่งว่าไปแล้วก็น่าตลกที่เราเข้ากันได้ดี
เพราะผมเป็นพวกชอบโกหก ในสังคมที่ผมจากมา การพูดเรื่องจริงมีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น

...................................

หลังจากได้กินชีสเค้ก ชีวิตก็ดูเหมือนจะง่ายดายขึ้น(มองโลกในแง่ดีจังกู ฮ่าๆ)
ทีนี้ก็มีของกินของใช้หลายอย่างเหมือนกัน ในเมืองขอนแก่นมีที่น่ามาตั้งเยอะ(เห็นตอนนั่งรถมาแวบๆ)
คงมีแต่เขตแถวบ้านไอ้พี่กฤษณ์นี้หล่ะ ที่อะไรๆก็ดูทุรกันดารไปหมด ผมคิดอย่างขำๆ ไม่เซ็งเท่าวันแรกๆที่มา

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

นี้ก็ดึกแล้วนะ ใครมาเคาะประตูวะ

"กูเอง ลุงชัยให้เอานมร้อนมาฝาก แกกลัวมึงหิวตอนดึก"

"ว๊ากกก!!! มึงเป็นใคร!!"
ผมปิดประตูทันทีด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่ไม่คุ้นเคยแถมยังแต่งตัวเหมือนโจรที่เคยเห็นในโทรทัศน์ตอนเด็กๆ

"ไอ้สัสสอง กูกฤษณ์! จะแดกไม่แดกนม!"
ผมเปิดประตู เจอหน้าไอ้พี่กฤษณ์ เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ที่เอวผูกผ้าคาดๆลายหมากรุก ที่หน้ากับลำคอทาแป้งขาว

"ไอ้พี่กฤษณ์!! มึงแต่งตัวเหี้ยอะไรของมึงเนี้ย?! แล้วหน้าเนี่ยจะไปเล่นงิ้วที่ไหน กูกลัว!!"

"นี้มันแป้งเย็นสัสสส กูร้อน เอ้า นม"

ผมขอบใจพี่กฤษณ์ และฝากขอบคุณไปถึงลุงชัยด้วย เขาช่างเอาใจใส่จริงๆ รู้ว่าผมทานข้าวเย็นมาเร็ว ก็อาจจะหิวยามดึกได้ แถมที่พักแต่ละหลังก็อยู่ไกลกันพอสมควร ในตอนกลางคืนหากไม่มีรถจะเดินทางไปไหนก็ลำบาก

...................................

"วันนี้กูจะพามึงไปศึกษาดูงานฝั่งผลิต งานในไร่"

"กูพร้อมเเล้ว!"

ผมพูด ก้าวออกจากห้องอย่างเท่ประหนึ่งนายแบบ สวมเเว่นตาดำสุดหรู ในมือกลางร่ม มีผ้าคลุมไหล่ปราด้าทับเสื้อตาข่ายระบายความร้อน กางเกงขาเดฟ รองเท้าบูตฤดูฝน

"พลั่ก!!"

"มึงตบหัวกูทำไม?!!!"

"มึงคิดว่านี้เป็นละครซิทคอมรึไงห๊ะ ไปแต่งตัวมาดีๆ เสื้อแขนยาว! กางเกงวอร์ม ขาสั้นหรือยาวก็ได้ ไป!"

"กูมีผ้าคลุม!"

"มึงต้องผูกรอบคอมึงมั้งกว่าจะลงมือทำงานได้ กูให้มึงไปลงมือปลูกข้าวโพด! ไม่ใช่ไปเดินแบบ! ไอ้สัส!!"

"ฮั่นแน่! มึงยอมรับว่ากูหล่อเหมือนนายแบบใช่มะ"

ผมหัวเราะเอิ้กอ้ากที่กวนตีนมันสำเร็จก่อนจะเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อ(แต่ไม่เปลี่ยนกางเกง คือ ผมว่ามันก็เหมือนๆกันอ่ะนะ)

...................................

ในไร่ร้อนมาก! ร้อนเหมือนอยู่ในนรก ไร่ข้าวโพดที่แม้จะสูงท่วมหัว แต่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น ไม่ได้มีร่มเงามากพอกันความร้อน

"อธิบายงานก่อนนะ แปลงนี้จะเป็นแปลงที่ใช้แรงคนในการเก็บ ไร่หนึ่งจะมีต้นข้าวโพดประมาณ 8000-9000ต้น
อย่างที่มึงเห็น ที่นี้เรามีพื้นที่หลายไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เราจะใช้เครื่องปลิดข้าวโพดในการเก็บ"

"ทำไมมึงไม่ใช่เครื่องจักรให้หมดเลยวะ"

"เครื่องจักรมันก็มีข้อเสีย มันทำงานได้ไม่ละเอียดละออ มันคัดเเยกฝักที่มีเชื้อรากับไม่มีไม่ได้ มันเก็บเอาไปรวมกันหมด มึงรู้ไหมโรคในพืชแต่ละฝักเนี่ยมันติดต่อกันได้ วันดีคืนดีเกิดซวย ข้าวโพดขึ้นราต่อกันไปหลายร้อย ก็จะเสียหายหนัก แปลงที่ใช้เเรงงานคนเก็บโดยเฉพาะ จึงเป็นแปลงที่ขึ้นชื่อว่าข้าวโพดเกรด A ของที่นี้ เพราะเป็นสินค้าคุณภาพเยี่ยมตั้งแต่สายพันธุ์ รวมไปถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว"

"โห ละเอียดละออเหลือเกิน ...แล้วกูต้องทำไงบ้างเนี่ย.."

หลังจากนั้นพี่กฤษณ์ก็แนะนำพนักงานให้ผมรู้จัก 3 คน ลุงหมาย,ลุงอ่ำ,ป้าน้อย ทุกคนดูใจดีเเละกระตือรือร้นอยากสอนผม ผมเองก็อยากเรียนเหมือนกัน

"ใช้ไม้แหลมๆแทงไปตรงปลายฝักอย่างนี้นะคะคุณสอง ...บิดนิดหน่อย อย่าให้โดนเนื้อ หักออกมาค่ะ"

"เสร็จแล้วปลอกเปลือกนะครับ เเล้วเอามาวางตรงนี้ เดี๋ยวเราจะช่วยกันแยกอีกที"

ผมพยายามทำอย่างตั้งอกตั้งใจ...ในที่สุดก็ทำได้!!

"มึงง!! กูเก็บข้าวโพด!!"
ผมตะโกนบอกไอ้พี่กฤษณ์ที่ก้มๆเงยๆอยู่เเถวรากข้าวโพดอยู่ มันหันมายิ้มให้

"เออ กูเห็นแล้ว ใช้ได้เหมือนกันนี่เรา"

ผมหันกลับมายิ้มแป้นให้คุณลุงคุณป้า

"ขอบคุณนะครับ! ผมจะช่วยทำต่อจากนี้เอง!"

จากนั้นผมก็เริ่มเก็บฝักข้าวโพดอย่างขมักเขม้น โดยมีลุงอ่ำคอยดูอยู่ใกล้ๆ(เก็บต้นถัดไป)

"เก็บฝักข้าวโพดสนุกไหมสอง"

"ก็ใช้ได้ครับ"
ผมตอบ ยังขมักเขม้นกับการเล็งยอดฝักที่จะเเทงอยู่

"ลุงก็อยากมาเก็บตลอดเหมือนกันนะ คุณกฤษณ์ คุณชัยเขาให้เงินดี"

"อ้าว แล้วลุงไม่ได้มาเก็บตลอดเหรอครับ"

" ไม่หรอก ข้าวโพดก็เหมือนพืชอื่นๆ มีฤดูเก็บเกี่ยวของมัน แต่ข้าวโพดนี้พิเศษหน่อย จะปลูกสลับกันก็ใช่ว่าจะเก็บได้ทุกฤดู...มีแค่เฉพาะในฤดูร้อนและฤดูหนาวจัดเท่านั้นที่ผลผลิตจะดีที่สุด เพราะข้าวโพดมันไม่ต้องการความชื้น..ปลายฝนต้นหนาวก็ไม่ใช่ฤดูที่ดีที่สุด.."

"งั้นก็เหนื่อยแย่สิครับลุง..ฤดูที่ทรหดเท่านั้นถึงจะดีที่สุดเรอะ เอาแต่ใจตัวเองชะมัด"

ผมพูดแล้วคิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ ฤดูที่ทรหดเท่านั้น ผลผลิตจึงจะดีที่สุด..

ผมเก็บฝักข้าวโพดไป คุยกับลุงๆและป้าไป เพลินดีเหมือนกัน

ลุงอ่ำเล่าให้ฟังว่าลูกสาวคนโตแกไปอยู่กรุงเทพ ทำงานเป็นสาวโรงงาน กลับมาบ้านครั้งหนึ่งหอบข้าวของเสื้อผ้ามาฝากเยอะเเยะ ดูแกจะภูมิใจในลูกสาวคนนี้ของแกมาก สาวโรงงานในกรุงเทพ คนในชนชั้นแรงงานที่ไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำ กลับเป็นฮีโร่สาวของพ่อ ของครอบครัว และน้องๆของเธอ..

ส่วนลุงหมายนั้นเป็นพ่อหม้าย เมียตาย เลี้ยงลูกมาด้วยตัวคนเดียว งานหลักคือเก็บขยะของเทศบาล งานรองคือมาเก็บข้าวโพดตามฤดูกาล ลูกๆกำลังเลี้ยงชั้นประถมโรงเรียนในเมือง แกอวดรูปลูกสาวสองคนให้ดู น่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่

 และป้าน้อย อดีตสาวเชียร์เบียร์จากพัทยา กลับขอนแก่นเพราะแก่เต็มที รับงานต่อไปไหว กลับมาอยู่ขอนแก่นกับลูกที่เคยเอามาฝากให้แม่แกเลี้ยง แกเล่าว่าแกเคยมีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า นอนอยู่ในคฤหาสน์ของนายฝรั่งเป็นวันๆ กินของที่ดีที่สุด ใส่ชุดที่สวยที่สุด แต่ไม่มีวันไหนเลย ที่จะมีความสุขเท่าวันที่กลับบ้าน แล้วเจอลูกชายเรียกว่า 'แม่'

ผมก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวของตัวเองกับคุณลุงคุณป้าเหมือนกัน ผมเล่าว่าผมไปเรียนต่างประเทศแต่ยังเล็ก(ป้าน้อยชมว่ามิน่าผมผิวดี!) วัฒนธรรมหรือธรรมเนียมบางอย่างของคนไทยอาจไม่ค่อยถนัด สมัยอยู่นี้ก็เรียนนานาชาติ ผมพูดไทยชัดเพราะเป็นเด็กฉลาด(ลุงๆป้าๆเห็นด้วย!) ผมเคยมีเพื่อนมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็หายไป คนที่คบกันอยู่ก็ไม่รู้ว่าเพื่อผลประโยชน์หรือเปล่า ผมใช้ชีวิตแบบไฮโซมาแต่เด็ก แต่ไม่มีวันไหนเลยที่จะมีความสุขเท่าวันที่กลับบ้าน....แล้วเจอลูกชายเรียกว่า 'แม่'

"ผลั่ก!!"

"ไอ้สัส! มึงก้อปเรื่องป้าน้อยนี้หว่า!! กูรึอุตส่าห์ตั้งใจฟัง"

ไอ้พี่กฤษณ์เดินมาตบหัวผม(จบค่ายนรกในไร่นี้แล้วกูคงต้องขอตังค์เฮียไป MRI สมองสักหน่อย โดนมึงตบทั้งวัน สัส!)

"มึงมาตอนไหนอะ"

"มาตอนลุงหมายโว้ย ไปๆ พักกินข้าว พักก่อนนะครับทุกคน"

ทุกคนตกลงและหัวเราะครื้นเครงกันใหญ่ พวกเราพักทานข้าวกล่องใต้ต้นไม้ หลังทานเสร็จไอ้พี่กฤษณ์ก็สะกิดผมก่อนจะพูดว่า

"มึงมานี่ มีอะไรจะให้ดู"

ผมเกินตามไปด้วยความสงสัยปนระเเวง(มึงเกริ่นเรื่องอะไรมาไม่เคยดีต่อกูสักอย่าง!)
เมื่อเดินไปถึงผมก็ต้องตกตะลึง

ทุ่งดอกดาวเรืองขนาดใหญ่ ดอกสีเหลืองสดมีกลีบสลับซับซ้อน กับใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้าง

"ตะลึงอ่ะดิ มึงดูหน้ากูประกอบกับฉากไว้นะ เหมือนในโปสเตอร์หนังไหม"

"เหมือนโปสเตอร์งานแสดงหมอลำค่ะคุณกฤษณ์ เขาชอบใช่ดอกดาวเรืองเป็นฉากหลัง"
ป้าน้อยที่เดินตามมาตอบ

"ป้า!!"

ผมอมยิ้ม ผมชอบงานแสดงหมอลำนะ ดนตรีสนุกดีออก ผมเคยฟังตอนเขามาแสดงในงานศิลปะหัตถกรรม
สมัยก่อนตอนไปเที่ยวกับเพื่อนก็ได้ยินบ่อยๆ

"กูชอบนะ"
ผมพูด และไอ้พี่กฤษณ์เหมือนจะสะดุดหัวทิ่ม ซึ่งน่าขันสำหรับคนอายุเเละขนาดตัวเท่านี้

"ว่าแต่ มึงจะให้กูดูแค่นี้?! ไม่เอาน่าจารย์ อย่างมึงไม่น่าแค่อยากโชว์ฉากสวยๆใช่มะ"

"เออฉลาดเหมือนกันนะ ต้นดาวเรืองสายพันธุ์ Tagetes erecta เนี่ย รากมันมีสาร α-terthienyl ช่วยลดจำนวนไส้เดือนฝอยได้ กูวางแผนจะปลูกมันแทรกๆในแปลงข้าวโพดอยู่ แต่ขอลองดูก่อน"
"มึงก็จะได้ลดพวกการใช้ยากำจัดศัตรูพืชลงใช่ปะ"

มันพยักหน้า ท่าทางอยากอวดเต็มที่...นี้ถ้ากางเกงขาเดฟไม่รัดไข่ กูโดดเตะเต็มที่!

"มึงมันเก่งงง"

มันโค้งนิดๆก่อนจะหันไปคุยกับป้าน้อย

"สอง มึงจะอยู่เก็บข้าวโพดต่อไหม กูจะไปจัดการงานในสำนักงานล่ะ"

"อยู่ๆ กูชอบ"

ผมบอก มันพยักหน้ารับ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้ผมได้ชื่นชมกับทัศนียภาพอันงดงาม แสงแดดจัด สายลมร้อน
เหงื่อที่ไหลเหนอะหนะตัว ผมเคยอยู่แต่ในห้องแอร์ อยู่แต่ในที่ที่สบาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมจะสบายใจจริงๆ นอกจากในบ้าน ...แต่ครั้งนี้มีแล้ว

...................................

"สอง ถ้าเหนื่อยไม่ไหวก็พักก่อนนะลูก"
ป้าน้อยพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"สองยังไหวครับ เป็นคนเหงื่อออกเยอะอ่ะป้า ไม่ค่อยได้ทำงานยังงี้"

"เหรอลูก อย่าฝืนนะ"

"สบายใจได้ป้า"
ผมเงยหน้าเงยตา(จะบอกก้มหน้าก้มตาก็ไม่ได้) แทงยอดฝักต่อไป ยิ่งทำไป ดวงตาเหมือนจะร้อนผ่าวๆ ผมปวดหัวตุบๆ เริ่มรู้สึกเบลอๆ

"คุณสอง?! คุณสอง?!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!"

...................................

ผมลืมตามา รู้สึกเย็นๆทั้งตัว มีถุงน้ำแข็งวางอยู่บนหัวผม ตรงรักแร้ ขาหนีบ กูกลายเป็นประติมากรรมอะไรเนี่ย

"พี่กฤษณ์ พี่สองตื่นแล้วค่า!!" เสียงเจื้อยแจ้วของน้องแก้วดังไปพร้อมกับเธอที่วิ่งออกไปเรียกผู้เป็นพี่
แต่คนที่แห่เข้ามาไม่ได้มีแค่พี่กฤษณ์ มีทั้งลุงชัย ลุงป่อง ป้าน้อย ลุงอ่ำ ลุงหมาย

"คุณสองเป็นยังไงบ้างคะ โอย หัวใจอิน้อยจะตาย"

"ไหวนะลูก ไหวๆ" ลุงป่องยกผ้าคาดเอวมาพัดๆให้ผม

"เอ็งพาน้องไปทำอะไร เจ้ากฤษณ์นี้ อ้าว! ไปไหนแล้ว?!" ลุงชัยพูดแล้วหันไปหาพี่กฤษณ์ เขาเข้ามาดูว่าผมปลอดภัยแล้วจึงออกไป เขาไม่ใช่คนที่ถนัดเรื่องพะเน้าพะนอ ผมเองก็ไม่ได้ต้องการ..

แต่อย่างน้อย มึงมาลูบหัวกูหน่อยก็ได้ไหมวะ?! ทุกคนเค้าเป็นห่วงกูเนี้ย
ผมคิดอย่างน้อยใจเล็กๆ ก่อนจะหันมาใส่ใจเรื่องตรงหน้า

"ขอบคุณนะครับทุกคน สองไม่เป็นไรแล้ว คงเป็นลมแดดเฉยๆ ดีนะเนี่ยไม่ชัก"
ผมหัวเราะให้ทุกคนใจชื้นขึ้น ซึ่งก็ดูจะได้ผล น้องแก้วเดินมาช่วยหยิบถุงน้ำแข็งออก

"พี่กฤษณ์โกรธอะไรพี่สองหรือเปล่าคะ เห็นสั่งแก้วว่าถ้าตื่นให้รีบมาบอก วิ่งเข้ามาคนแรกแท้ๆ แต่พอเห็นพี่สองขยับตัวก็เดินออกไปเลย"

"ก็น้ำแข็งที่ใช้ประคบไอ้สอง เป็นน้ำแข็งที่มันกับลุงจะก๊งเหล้ากันเย็นนี้ไง"
ลุงป่องพูด เรียกเสียงเฮฮาจากคนฟังทั้งหลาย หลังจากนั้นเมื่อแน่ใจว่าผมอยู่ได้จริงๆ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำงาน

ผมเดินเข้าไปในสำนักงาน รู้ว่าจะหาไอ้พี่กฤษณ์เจอได้ที่ไหน

"มึงเป็นไรเปล่า"

"มึงโกรธเรื่องน้ำแข็งเหรอ เดี๋ยวกูฝากลุงอ่ำซื้อมาให้พรุ่งนี้ ก๊งวันหลังยังไม่สาย กูขอโทษนะๆ"

"กูสิต้องขอโทษ"

พี่กฤษณ์พูดแล้วมองตรงมาที่ผม ดวงตาหนักแน่นนั้นทำเอาใจผมหวิวน้อยๆ

"มันไม่ใช่ความผิดมึง กูอ่อนแอเองนี่หว่า"
ผมพูดแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน แต่แววตาที่มองแต่ความจริงของเขานั้น ทำให้ภาพมายาของผมกลายเป็นละครหลอกเด็ก

"กูควรอยู่กับมึง หรืออย่างน้อย กูควรคิดให้ออก กูไม่น่าปล่อยมึงไว้ ไม่น่าเลย"

"แค่ลมแดดไหมละไอ้สัส"
ผมพูดเสียงเบา หลบตา

"มึงรู้มันอันตราย ถ้ากูประคบเย็นไม่ทัน มึงช็อก โคม่า กูจะทำยังไงวะ"

"ความผิดกูเองที่ใส่กางเกงขาเดฟ มึงเตือนแล้วแท้ๆ มันรัดไข่กูแน่นไป ไม่ได้ระบายความร้อน"
ผมพูดขำๆ พยายามช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น

เขายิ้มบางๆ ท่าทางเหนื่อยล้า ดูเหมือนชายที่ผ่านอะไรมามากเป็นครั้งแรก ไม่ได้เหมือนไอ้พี่กฤษณ์สุดกวนตีนหน้าตายคนนั้นอีกต่อไป

วันนั้นเขามาส่งผมที่ห้อง กำชับให้อย่าเปิดประตูให้ถ้าไม่ใช่คนรู้จัก เอายากันยุงมาให้เพิ่ม เอาแป้งตรางู(ผมรู้ คุณก็ใช้!)มาให้ ในถึงยังมีกระดาษโน้ต ซึ่งมีเบอร์

1) เบอร์ส่วนตัวพี่กฤษณ์
2) เบอร์บ้านพักพี่กฤษณ์
3) เบอร์ลุงชัย(ผมมีแล้ว!)
4) เบอร์ป้าแม่บ้านเรือนหลัก
5) เบอร์ลุงยาม 1
6) เบอร์ลุงยาม 2
7) เบอร์โรงพยาบาลศรีนครินทร์(?!)
8) เบอร์เฮียหนึ่ง(เพื่อ?!!)

ผมมองโน้ตแล้วส่ายหัวอย่างอ่อนใจ หวังแต่ว่าการกักกันฟูมฟักจะไม่เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น อย่างน้อยอย่าเกิดที่นี้ อย่างน้อย อย่าเกิดจากเขา คนนี้

...................................

แต่สิ่งที่ผมกลัวดูเหมือนจะเป็นจริง วันต่อๆมาผมได้รับงานให้ไปช่วยแต่ละแผนกในสำนักงานอย่างเฉพาะเจาะจง เป็นอาทิตย์!! อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าที่ไม่ได้ออกภาคสนาม
ไอ้พี่กฤษณ์ก็ยังพูดจากับผมเหมือนปกติทุกอย่าง แต่มันมีบางอย่างเปลี่ยนไป

มันดูเป็นห่วงเป็นใยผมมากกว่าเดิม
สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดหรือเปล่า

พอเริ่มอาทิตย์ที่ 4 ผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมตื่นแต่เช้า แอบเข้าไปในไร่
ไปเจอลุงอ่ำในไร่ข้าวโพดพอดี จึงขอช่วยงานลุงตรงนั้นเลย ลุงก็ไม่ว่าอะไร นึกว่าพี่กฤษณ์เป็นคนสั่งมา
ผมจึงทำเนียนอยู่ตรงนั้น ให้ได้ออกแรง ให้ได้หยุดใช้ความคิดบ้าง

เนื่องจากการทำงานด้วยกัน ผมสนิทกับป้าน้อย ลุงอ่ำ ลุงหมายมากเป็นพิเศษ
ผมแอบมาทำงานได้4-5วัน วันที่5 ไอ้ว่าที่เจ้าของไร่ก็เดินมา หน้าตาเคร่งเครียด

"มีไร กูทำงานอยู่"
ผมพูดทัก ละสายตาจากข้าวโพด มองหน้าอย่างท้าๆ

"ตุบ"
มือหนายกหมวกมาใส่หัวผม

"แดดมันร้อนสัส ใส่หมวกซะ ค่อยดูเหมือนคนเก็บข้าวโพดหน่อย"
ผมยิ้ม หันหน้ากลับไปหาข้าวโพด แต่เพราะหมวกปิดใบหน้าอยู่ จึงไม่ต้องเก็บสีหน้าดีใจไว้

"ดีจังที่มึงไม่ได้เป็นห่วงกู"

คนตรงหน้าไม่พูดอะไร แต่ใช้สายตาที่จริงจังนั้นมองผมอีกแล้ว (อย่าทำอย่างนี้!! กูไม่กล้าโกหกอะไรเลย!!)

"ก็อย่างน้อยขอมึงไว้สักคน ที่กูไม่อยากให้มองว่ากูเป็นเด็กเล็กๆ"
ผมพูด เขายักไหล่

"กูไม่ได้มองงั้นหรอก แต่มึงเข้าใจผิดอย่าง"

ผมมองหน้าเขาอย่างสงสัย

"กูเป็นห่วง"

ผมหน้าแดง แต่ไม่ใช่เพราะความร้อน
...................................

หลังจากนั้นชีวิตในไร่ของผมก็สุขสบายดี ผมสนิทกับหลายๆคน บางวันก็ก๊งเหล้ากับลุงป่อง,ไอ้พี่กฤษณ์และลุงชัย(ซึ่งผมได้รับอนุญาตให้ดื่มน้อยมากก แต่ผมไม่ขัดอะไร ประสบการณ์ครั้งแรกมันไม่สู้ดีนัก!)

ผมสลับทำงานสำนักงานและในไร่ บางครั้งพี่กฤษณ์ก็พาไปในเมือง ซึ่งสนุกดีเหมือนกัน
ผมได้ไปรับน้องแก้วจากโรงเรียนด้วย ชีวิตเด็กนักเรียนมัธยมต้นนี้ลำบากเหมือนกันนะ

"ตืด ตืด ตืด.."

"สวัสดีครับ"

"นี้ใช่เบอร์สองหรือเปล่าคะ"

"ใช่ครับ มีอะไรหรือครับ"

"สอง..นี้อิงอิงนะคะ"

ผมหัวใจกระตุกวูบ อิงอิง! ผมลืมเธอไปได้ยังไง หลังจากงานปาร์ตี้ครั้งนั้นผมก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเธออีกเลย ทั้งๆที่เเลกเบอร์กันไว้เรียบร้อย...ผมนึกว่าเธอไม่ถูกใจผมเสียอีก

"สองคะ มีปาปารัสซีถ่ายภาพเราตอนจูบกันในรถได้นะคะ มีแต่คนถามอิงอิงให้ตอบว่าคือใคร ตอนนั้นอิงเพิ่งเลิกกับเเฟนได้ไม่นาน อิงเป็นดารา อิงเสียหายนะคะ จะให้อิงทำยังไง?!"

สาวเจ้าสาธยายมายาวยืด ผมตกใจ แต่ก็ประหลาดใจและมีลางสังหรณ์แปลกๆ เรื่องก็เกิดนานแล้ว...ทำไมพึ่งมาพูด ทำไมพึ่งโทรมา...

"เอ่อ...ปกติอิงทำยังไงครับ ผมว่านานขนาดนี้เรื่องน่าจะซาแล้วนะครับ.."

"สองนี่ ไม่รับผิดชอบเลยนะคะ! เดี๋ยวอิงจะไปหาทางปิดข่าวเองค่ะ ไม่รบกวนแล้วนะคะ"

ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...

โทรมาแค่นี้เนี่ยนะ...ลางสังหรณ์ผมสะกิดเตือนแต่ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าเธอจะมาไม้ไหน
จนกระทั่งเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์นั่นแหละ

Superstar อิงอิง!! กำลังพบรักอยู่กับไฮโซหนุ่มหล่อลูกชายคนรองตระกูลสุวรรณกุล ! เผย ชายปริศนาที่จูบกับอิงอิงที่คอนโด จากบันทึกคลิปเสียง...อ่านต่อ หน้า 19

#3



สวัสดีค่ะ! ในตอนนี้สองได้ค่อยๆกลายเป็นส่วนหนึ่งของไร่(ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ o18)
ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆก็เป็นไปอย่างสนิทใจขึ้น เจ้าสองซึ่งไม่ได้เป็นคนถือตัวอะไรแต่แรกยิ่งสนิทง่าย
แต่ด้วยเหตุการณ์หลายๆอย่างก็สร้างความเป็นห่วง+ความปวดหัวให้ไอ้พี่กฤษณ์(ผู้บ่าวไทบ้าน'S Style) มิใช่น้อย :katai1:
ไหนจะดาราเจ้าบทบาทในชีวิตจริงอย่างอิงอิง ที่อยากควงสองสองจนตัวสั่นนั่นอีก

เจ้าสองจะจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร
พี่กฤษณ์ผู้รับบทบรรยายในตอนหน้าจะบรรยายเรื่องอะไร(?!!เพื่อออ?!!)

ติดตามต่อได้ในตอนหน้าค่ะ :bye2:

Anynomous

ปล. image ตัวละครก็ค่อยๆเผยทีละนิดตามความอ่อนไหวของตัวละครนะคะ (อิอิ) :bye2:


ออฟไลน์ yumsonteen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
«ตอบ #4 เมื่อ01-11-2017 21:37:55 »

ขอบคุณครับรอติดตามตอนหน้าอยู่นะครับ

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
«ตอบ #5 เมื่อ02-11-2017 01:14:58 »

ร้องไห้แรง ขอนแก่นกลายเป็นที่ทุรกันดาร 5555 โถ่ว เซ็นทรัลก็มี grab ก็มี ซับเวย์ 24 ชม ก็มีนะเฟ้ยย ใหนจะแหล่งของกินประหนึ่งโอเอซิส รอบ มหาลัยขอนแก่นอีก    คุณช๊ายยยย แกคิดผิดแล้วหละ  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
«ตอบ #6 เมื่อ02-11-2017 07:21:39 »


แจ้งข่าวการสะกดคำผิดค่ะ

สวัสดีค่ะ หลังจากที่ผู้เขียนได้อ่านสามบทที่โพสต์ลง และพบว่ามีจุดที่สะกดผิดเล็กๆน้อยๆมากมายที่คลาดสายตาไป
เนื่องจากความสะเพร่าของผู้เขียนเอง และ ความsensitive(ไวต่อการสัมผัส?)ของอุปกรณ์การพิมพ์ค่ะ

แต่หลังจากพยายามลองแก้ไขการสะกดในซาฟารีแล้ว
การแก้ไขจุดเล็กๆในโพสต์ยาวๆเป็นเรื่องที่ยากมากค่ะ พอกดลบแล้วมันลบต่อเนื่อง
ทำเอาข้อความหายเป็นแถบๆ กดยกเลิกก็ค้าง เปิดค้างไว้สักพักขึ้น Redirect... :z3:

ผู้เขียนไม่เก่งเทคโนโลยีมากนัก ต้องขออภัยด้วยและขอน้อมรับผิดไว้ในที่นี้ค่ะ
เมื่อผู้เขียนมีเวลาว่างมากกว่านี้จะเปิดโน๊ตบุ้ค พิมพ์แก้ไขดีๆอีกครั้งค่ะ ในWeb browser อย่างโครมน่าจะสะดวกกว่า

#Anynomous

(//เราเป็นนักอ่านตัวยงเช่นกันเห็นแล้วจึงอดไม่ได้ค่ะ ในนิยายตัวเอง คำว่าถุง พิมพ์เป็นถึง,แล้ว เป็น คล้าว(ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ!) แต่ที่ว่าๆมานี้ยังไม่ได้แก้นะคะ ขออภัยจริงๆค่ะ) :hao4:


ขอบคุณครับรอติดตามตอนหน้าอยู่นะครับ

ขอบคุณมากค่ะ (แหะๆ ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่สุดๆนี้เขินมากเลยค่ะ!) :ling3:

ร้องไห้แรง ขอนแก่นกลายเป็นที่ทุรกันดาร 5555 โถ่ว เซ็นทรัลก็มี grab ก็มี ซับเวย์ 24 ชม ก็มีนะเฟ้ยย ใหนจะแหล่งของกินประหนึ่งโอเอซิส รอบ มหาลัยขอนแก่นอีก    คุณช๊ายยยย แกคิดผิดแล้วหละ  :laugh: :laugh:

จริงๆค่ะ เดี๋ยวต้องให้พี่กฤษณ์พาไปเที่ยวเยอะกว่านี้แล้วค่ะ! ชีสเค้กนั้นก็ใน Central นั้นแหละค่ะ (มาอยู่ขอนแก่นแล้วจะรู้จักแค่นี้ไม่ได้! ฮ่าๆ) เดี๋ยวได้มีทริปอยู่เรื่อยๆแน่นอนค่ะ

 :bye2:
#Anynomous

ปล.วันนี้น่าจะได้มาลงตอนที่4 ประมาณเกือบ 20.00 น. (หรือ+/- 45นาทีนะคะ )

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4: 02/11)
«ตอบ #7 เมื่อ02-11-2017 18:40:56 »

ตอนที่ 4 : ทฤษฎี 8 วิ


เมื่อเสียงป้าน้อยตะโกนโหวกเหวก ผมจึงเดินออกมาดู
ภาพที่เห็นคือไอ้เจ้าสอง ที่นอนไม่ได้สติในอ้อมแขนลุงอ่ำ ป้าน้อยกำลังจัดแจงหาที่ทางให้วางเจ้าสองลง

ผมนิ่งไปชั่วขณะ

"สองเป็นอะไรครับป้า?"

"เป็นลมค่ะ คุณกฤษณ์ ตายแล้ว! ตัวร้อนมากเลยเนี้ย"
ป้าน้อยพูดแล้วเอาพัดโบกๆระบายอากาศ
ผมใช้มือสัมผัสบริเวณศรีษะ ซอกรักแร้ ต้นขา เขาร้อนไปทั้งตัว ..มันคืออาการของคนเป็นลมแดด!

"ทำยังไงดีครับ คุณกฤษณ์ ให้คุณสองนอนพักก่อนไหม"

"ไม่ได้ ..ลุงอ่ำ รบกวนไปเอาถุงใส่น้ำเเข็งในตู้แช่เย็นจากครัวในเรือนหลักให้หน่อยได้ไหมครับ 3-4 ถุง ขอด่วนที่สุดเลยนะครับ!"

ลมแดดที่เกิดจากการระบายความร้อนไม่ได้ ความร้อนที่มากเกินไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะที่อ่อนไหวต่ออุณหภูมิอย่างสมอง ปล่อยไว้เฉยๆเจ้านี้อาจชัก โคม่า หรือเสียชีวิตได้เลย
หลังจากลุงอ่ำรีบบึ่งรถออกไป ผมกับป้าน้อยช่วยกันถอดกางเกง(ซึ่งถอดยากชิบหาย!) เช็ดตัวให้เจ้าสองเพื่อระบายความร้อนในเบื้องต้นก่อน

ผมมองหน้ามันที่ยังแดงเถือกจากอุณหภูมิที่สูง หยดน้ำจากการเช็ดตัวเกาะบนเส้นผม
ในใจก็โกรธตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"คุณสองนี้น้า น้อยบอกให้พักก็ไม่พัก ..เฮ้อ "
ป้าน้อยพูดขณะยังเช็ดตัวให้สองอยู่

ทำไมผมถึงปล่อยมันให้อยู่คนเดียวนะ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อนอย่างนี้
ทั้งๆที่รู้ว่าเมื่อมันทำงานอะไรสักอย่าง มีน้อยคนที่จะหยุดคนดื้อรั้นอย่างมันได้
ทำไมผมไม่อยู่กับมัน....ทำไม

โอเค ตอนนั้นผมมีงานพอดี

...


แต่ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วลากมันมาด้วย เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

"จะว่าไป ก่อนเป็นลม คุณสองเหงื่อออกมากเลยล่ะค่ะ แต่ตอนเจ้าอ่ำอุ้มมา เหงื่องี้ไม่มีสักหยด!"

"นั้นเป็นอาการของคนเป็นลมแดดน่ะครับป้า ร่างกายเจ้าสองมันสูญเสียน้ำเกินกว่าจะเสียได้อีก ป้าเองทำงานก็ต้องระวังนะครับ ถ้าลดอุณหภูมิได้ไม่เร็วพอ ตายได้นะป้า"

ผมอธิบายอย่างง่ายๆให้ป้าน้อยเข้าใจ
เมื่อจังหวะการหายใจเริ่มช้าลง ผมก็เริ่มสบายใจขึ้น พอดีกับที่ลุงอ่ำ ลุงป่อง ลุงชัย และยัยแก้ววิ่งมาด้วย
ผมให้ไปเอาน้ำแข็งอยู่เรือนหลัก..ลุงนี้เล่นหอบคนมาทั้งเรือน!!

ผมกับยัยแก้ว(ที่อาสาอยากทำเหลือเกิน) ช่วยกันแบ่งน้ำแข็งใส่ถุง ประคบเย็นบริเวณข้อพับและศรีษะ
เมื่อน้ำแข็งละลายก็ทำซ้ำ ป้าน้อยยังคงโบกพัดของแกอยู่
ในขณะที่ทุกคนช่วยกันจำลองสถานการณ์ในขั้วโลกเหนืออย่างต่อเนื่อง น้องฟาง เลขาของผมก็โทรมาเรื่องงานเร่งด่วน ผมจึงต้องปลีกตัวไปอาคารสำนักงานก่อน (ตอนนี้เราอยู่อาคารต้อนรับ) พร้อมกับกำชับให้ยัยแก้วรีบมาเรียก หากเกิน30นาทีแล้วสองไม่ฟื้น(เพราะเท่าที่จับตัวดูอุณหภูมิลดลงมากแล้ว)

เมื่อได้ยินเสียงยัยแก้วตะโกน ผมรีบวิ่งออกจากสำนักงาน(หมดกัน ภาพลักษณ์กู!)
ภาพที่ผมเห็นยังกะเเข่งวิ่งมาราธอน ลุงอ่ำ ลุงหมาย ลุงป่อง ลุงชัย ป้าน้อย ที่ได้ยินเสียงยัยแก้วเช่นกัน วางมือจากงานของตนแล้วรีบวิ่งเข้าประตู ซึ่งมีอยู่บานเดียว

มีคนห่วงมึงเยอะนะเนี่ย

พอผมเข้าไปถึง เจ้าสองก็ดูปกติดี ยิ้มได้ หัวเราะได้ ครื้นเครงกวนตีนเหมือนปกติ
มันสบตาผมชั่วเเวบหนึ่งเท่านั้น แล้วหลบสายตาไป

...................................

นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมยอมรับว่าผมเครียดมาก เป็นห่วงมันบ่อยๆและเเทบจะตลอดเวลา
ผมสั่งให้มันมาเรียนรู้งานในสำนักงานเพื่อที่จะได้จับตาดู เพื่อที่จะได้รู้ว่ามันกำลังทำอะไร
กำลังเสี่ยงอันตรายหรือเปล่า

มีคนเคยบอกไว้ว่าความรู้สึกผิดแผดเผายิ่งกว่าไฟ
อาจจะจริง
แต่ผมกังวลว่ามันอาจมีอะไรมากกว่านั้น

ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของไอ้หนึ่งที่อยากปกป้องน้องมัน
ความห่วงใยทั้งหลายที่ผมเคยมองว่าไร้สาระ

ไอ้สองมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอยากปกป้อง
ไม่ใช่รูปร่างบอบบาง ไม่ใช่ลักษณะคุณชาย ไม่ใช่นิสัยที่เหมือนเด็ก

แต่เป็นบางสิ่งในแววตา
แววตาที่ไหววูบทุกครั้งที่ผมจ้องมองตรงๆ
แววตาที่มองดูแล้วเปราะบางเหลือเกิน..

...................................

แต่สุดท้ายด้วยความดื้อรั้นของมัน แม้แต่ผมก็ยังห้ามไม่ได้
มันขอทำงานสลับสองฝ่ายเหมือนเดิม และผมอนุญาต

มันบอกว่าไม่อยากให้ผมมองมันเป็นเด็กเล็กๆ
ซึ่งผมคิดว่ามันพูดถูก ในเมื่อคนเราต่างต้องโตขึ้น

"มึง กูช่วยพี่สันต์เดินเอกสารด้วยนะเมื่อเช้า"
เจ้าสองมันเข้ามาโม้พลางนั่งจิบไมโลบนโซฟาในห้องทำงานผม

"เออเก่งๆ"
ผมพูดพลางอ่านสรุปรายงานไป

"หึหึ ใช่มะ "
มันอวยตัวเองต่อแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภูมิใจ ดูเหมือนมันจะชอบให้ผมชมมาก นับวันยิ่งเหมือนเลี้ยงลูกหมาลูกแมวเข้าไปทุกทีกู...

"คุณกฤษณ์คะ เรื่องสัญญากับโรงงานXXX จะให้ฟางส่งเอกสารให้เขาล่วงหน้าก่อนหรือว่ายังไงคะ"
ผมละสายตาจากเอกสารมาสั่งงานกับน้องฟาง ภายในเดือนหน้าไร่เราจะทำสัญญากับโรงงานใหม่ จึงต้องเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า

หลังจากคุยงานเสร็จก็เห็นเจ้าสองนั่งหน้างออยู่บนโซฟา

"เป็นไบโพล่าร์เรอะมึง ?"

"มึงแม่ง ไม่จริงใจกับกูเลยสัส"

"อะไรของมึงวะ"

"ตอนพูดกับกูมึงไม่เงยหน้า พูดกับคุณฟางมึงเงย!"

....ไอ้สัส!!!

"มึงเสือกมาพูดตอนกูเริ่มอ่านประโยคแรกไง น้องฟางเขาพูดตอนกูอ่านบรรทัดสุดท้ายพอดี"
ผมพูดแล้วหัวเราะขำ

"คนสมัยนี้แม่ง หลอกลวง!"
มันบ่นกระปอดกระแปดตามท้องเรื่อง ผมขยับมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ
มันเดินมา

"มีไร"

ผมจ้องตามัน นิ่ง ยาวนาน...
มันปิดตาตัวเอง
"หยุดดด!"

"ฮ่าๆๆ ไอ้สัสสอง ไอ้เด็กน้อย!"
ผมแกล้งล้อเลียน มันเชิดหน้า

"จากงานวิจัย!! ถ้ามึงจ้องตากูเกิน 8 วิ มึงตกหลุมรักกู!"

"ถ้ากูจ้องตามึงเกิน 8 วิก็หมายความว่ามึงจ้องตากูเกิน 8 วิด้วยเหมือนกันนะเเหละไอ้สัส และนี้มึงปิดตา ไม่อยากตกหลุมรักกูเหรอ?"

ผมถามพลางหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นแกะมือมันออก มันพยายามอย่างยิ่งจะปิดตาต่อไป แต่ไม่สำเร็จ
..กูอยากแนะนำวิธีง่ายๆอย่างแค่หลับตาให้มึงนะไอ้สอง...แต่กลัวมึงจะฉลาด เดี๋ยวไม่น่ารัก กูเลยเงียบดีกว่า ฮ่าๆๆ

ผมเลิกแกล้งเมื่อพอใจ เอ้ย เมื่อขี้เกียจปลอบมันถ้าร้องไห้ มึงจะเอาจริงเอาจังอะไรนักหนากะอิแค่งานวิจัย นี้ไม่อยากตกหลุมรักคนแบบกูขนาดนั้นเลยเรอะ

"เออมึง กูมีเรื่องปรึกษาหน่อย"

"ว่า?"
นานๆทีครับ ทำตัวเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้หน่อยกู

"ถ้าเรื่องของมึงถูกเอาไปเล่าต่อในทางไม่ดี มึงจะทำไง"

"อะไรวะ การนินทาน่ะเรอะ?"

"ไม่เชิงอ่ะ แบบ ปล่อยข่าวให้คนอื่นเข้าใจผิดเงี้ย"

"ข่าวนั้นจริงหรือไม่จริงล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง มีคนมาถามมึงก็ปฏิเสธไป ง่ายๆ"

"ถ้ามันจริงล่ะ"

"มึงก็ยอมรับ"

"ไอ้สัส!! พูดซะง่าย มึงแม่ง .."

"ไอ้สอง ปัญหาซับซ้อนขนาดไหนถ้ามึงแยกมันออกมา มันก็เป็นส่วนย่อยๆอยู่ดี มึงแก้มันไปทีละส่วนสิ
ข่าวลือเกี่ยวกับมึง เรื่องไหนจริงก็ยอมรับ เรื่องไหนไม่จริงก็ปฏิเสธ เหตุผลมึงก็อธิบายไป ถ้ามึงไปทำอะไรที่ผิดไว้ มึงกล้าทำก็แค่กล้ารับผลนั้น ไม่ได้แปลว่ามึงเป็นคนเลวสักหน่อย ใครๆก็เคยตัดสินใจผิดพลาด"

"มันจะง่ายอย่างนั้นเลยเหรอวะ"

"ยิ่งเรื่องมันซับซ้อนเท่าไหร่ วิธีแก้ปัญหามึงยิ่งต้องเรียบง่ายเท่านั้น"

"มึงอย่าพูดให้ดูยาก กูโง่"
มันพูด และยิ้มออก ผมโล่งอก เผลอเอามือไปยีหัวมันอีกแล้ว

...................................

วันนี้ผมพาเจ้าสองมารับยัยแก้ว น้องสาวผมเรียนมัธยมต้นอยู่โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย เลยถือโอกาสพามันมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง

"พี่สอง!" ยัยแก้ววิ่งมาเรียกชื่อเจ้าสองเสียงดัง จนสาวน้อยสาวใหญ่หันกันขวับ

"ทำไมไม่เรียกพี่บ้าง หืมม์"
ผมรับกระเป๋าน้องสาวมาช่วยถือ แล้วแกล้งถามอย่างเอ็นดู

"ก็นานๆทีพี่สองมานี่ แถมพี่สองก็หล่อ เท่ แต่งตัวหยั่งกะนายแบบ "
แหม จริงใจเหลือเกินน้องสาวกู นิสัยได้กูไปเต็มๆ! ส่วนไอ้คนข้างๆผมนี้ลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!

"ถ้าพี่กฤษณ์หัดแต่งตัวเท่ๆบ้าง อาจจะหาแฟนได้ก็ได้นะคะ"
ยัยแก้วแซว ไอ้สองหัวเราะลั่น

"ก็จริงของแก้วนะ ชุดที่ดูดีมีสไตล์สุดของพี่กฤษณ์ น่าจะเป็นชุดตอนทำงานสำนักงานเนาะ"
แหม เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จงใจเรียกกูพี่กฤษณ์เสียงเล็กเสียงน้อยด้วยนะ ไอ้เด็กนี้

"จริงๆวันนี้พี่ว่าจะพาน้องแก้วน้องสองไปกินขนม ..กลับดีกว่าเนาะ คิดถึงบ้าน"

"พี่กฤษณ์เท่ที่สุด!!"
ยัยแก้ว เปลี่ยนทิศทางทันทีนะเรา ไหนละไอ้มาดคนตรงๆน่ะ

"จริงๆเสื้อเชิร์ตลายตาข่ายส้ม กางเกงยีนส์ กับรองเท้าแตะ กูว่าดูไปดูมาก็มีสไตล์อยู่นะ"
มึงก็อีกคน!!
ผมอมยิ้มในความน่ารักของเจ้าสองตัวนี้ ก่อนจะพาเด็กๆ(?)ขึ้นรถเพื่อไปกินขนมหวาน

...................................

"ร้านนี้นะ ดังมากกพี่สอง ใครมามหาลัยนี้ต้องมากิน"

"อะไรอร่อยสั่งมาเลยแก้ว พี่กฤษณ์จ่าย"

"โทสต์ชาไทยค่ะ!"

"เอา White-chocolate cake เพิ่มด้วยครับ"

ไอ้เจ้าสองกับยัยแก้วคุยเรื่องขนมหวานกันอย่างออกรสชาติ ผมนั่งฟังพวกเขาคุยกันก็สนุกไปอีกแบบ

"พี่กฤษณ์อะ ไม่ชอบของหวานเลย มากินแต่ละทีนี้ย้ากยาก มาสองคนแก้วก็กินคนเดียวตลอด ดีจังที่พี่สองมาอยู่กับเรา"
ยัยแก้วพูดแล้วยิ้มกว้าง เจ้าสองก็ยิ้ม

"พี่อยู่ตลอดไปเลยได้ไหมเนี่ย"

"ได้"
ผมพูด สักพักก็นิ่งเพราะพึ่งรู้สึกตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไป ไอ้สองกับน้องแก้วหันมา

"ได้เหรอ?! เย้ๆๆ แก้วดีใจจังเลย"
ยัยแก้วท่าทางดีอกดีใจใหญ่ ผมมองเจ้าสอง มันจ้องมองผมอยู่ก่อนหน้านี้เเล้ว

แต่ผมไม่รู้ว่ามันเกิน 8 วิ หรือยัง

...................................

"ตืด ตืด ตืด..."

"น้องกูเป็นไงบ้าง"

คำทักทายเเรกของไอ้พวกบราค่อนเขาละครับ
(Brother conflict : พวกมีปมยึดติดกับพี่ชายน้องชายมากเกินไป)

"สบายดี"
ผมเลือกคำตอบที่เรียบง่ายที่สุดเพราะรู้พิษสงเจ้าเพื่อนคนนี้เวลามันทำตัวเจ้ากี้เจ้าการดี

"สีหน้าท่าทางดูกังวลไหม? ดูอึดอัดใจไหม?"

"พอดีที่ไร่กูไม่มีจิตแพทย์ว่ะ เลยไม่รู้"

"ไอ้กฤษณ์ กูจริงจังนะเว้ย มึงจำเรื่องข่าวกับปาปารัซซี่ได้ไหม กูอุตส่าห์เอาเงินปิดปากไปรอบนึงแต่มันก็ยังหลุดได้ แถมคราวนี้มีหลักฐานคลิปเสียง ใครๆก็เชื่อล่ะว่าเเม่ดารานั่นคบอยู่กับน้องกูจริงๆ แต่เเค่นั้นยังไม่พอ ภาพในไอจียังแท็กน้องกูอยู่เรื่อยๆสร้างกระเเส นักข่าวก็อยากจะตามหาน้องกูเพื่อสัมภาษณ์เหลือเกิน โชคดีมันยังไม่รู้ว่าอยู่ไหน"

"กูบอกแล้วใช่ไหมว่ามันแก้ปัญหาไม่ได้ โลกทุกวันมันไร้พรมแดน มึงกั้นเขาถ้าเขายังอยากจะอยู่ในเเวดวงอะไรก็ตาม แค่กรุ๊ปไลน์มันก็เป็นพวกเดียวกันเเล้ว เว้นเเต่มึงจะเอาน้องมึงไปเทือกเขาหิมาลัย ไม่มีเน็ต ให้มันปฏิบัติธรรมอย่างสงบสุข"

"มึงก็พูดเข้าท่านี้หว่า.."

"ไอ้สัส! กูประชด! "

"แต่กูก็ไม่เห็นน้องมึงเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนะ กูว่าไอ้สองมันเข้มแข็งพอจะรับเรื่องพวกนี้ได้น่า มันไม่ใช่เด็กขี้เเงที่ร้องไห้ตอนเราไม่พาไปเตะบอลด้วยอีกแล้วนะ มันอยู่ที่นี้ ทำงานได้ทุกอย่าง เข้ากับคนอื่นๆได้ มันฉลาด เรียนรู้เร็วจะตาย"

"แสดงว่ามันใกล้ได้กลับบ้านแล้วสินะ"
เสียงปลายสายพูดมา ผมเงียบไปเล็กน้อย

"อืม ใกล้แล้วล่ะ"

...................................

ทุกเย็นหลังเลิกงาน ผมจะไปส่งไอ้สองกลับที่พัก รอมันอาบน้ำ พาไปกินข้าวเรือนหลัก ส่งมันกลับห้อง หรือวันไหนที่มันเมา มันมักจะอ้อนขอนอนห้องผม กิจวัตรประจำวันหลักของพวกเราเป็นประมาณนี้
 
"สอง วันนี้เดี๋ยวกูพาไปเที่ยว"
วันหนึ่งผมพูดกับไอ้สองขณะที่เราอยู่บนคุณนายแดง กำลังเดินทางกลับที่พัก

"เที่ยวไรวะ ดึกแล้วเนี่ย จะนอน"
มันพูดแล้วบิดขี้เกียจ เอนหลังลง ...มึงนี่ชักจะชินกับวิถีชาวไร่มากเกินไปแล้ว
กลับไปอยู่กรุงเทพเดี๋ยวก็ต่อไม่ติดหรอกสัส ผมอดคิดไม่ได้

"บาร์ในเมือง ของเพื่อนกู"

"พรึ่บ!"
ไอ้สองเด้งตัวขึ้นมา เลิกตาขึ้นมองผม

"มึงอนุญาต? มึงไปไหม?"

"กูจะปล่อยมึงไปคนเดียวได้ไหมล่ะ"

"อืม..."
ดูมัน มีการลังเล ไว้ท่าจริงๆ

"บาร์ชื่ออะไร?"

"บาร์ XXX"

"หื้ม ก็ได้ๆ กูก็ไม่ได้แดกเหล้าแพงๆมานานละ แดกแต่เหล้าขาวอยู่กับมึงเนี่ยย"
มันพูดแล้วยิ้มตาหยีล้อเลียน

อยากแดกแพงๆไม่บอกกูวะ กูมีปัญญาหามาให้
ผมคิดในใจอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม

ตอนลงจากรถมันไล่ให้ผมกลับไปอาบน้ำ แต่งตัวให้ดูดีมีสไตล์(เหี้ยอะไรของมึง : ผมตอบกลับไป) แล้วค่อยมารับมัน

 ...................................

"เพื่อนกูบอกว่าบาร์นี้ดังสุดในขอนแก่น มึงนี้ใช่ย่อยนะเนี่ยย"

"ของเพื่อนกู"

"ก็เห็นเพื่อนๆมึงชอบแวะเวียนมาหามึงออกบ่อย ขอให้ช่วยนี้ช่วยนั้นบ้างล่ะ แต่วันๆกูก็เห็นแต่มึงทำงานงกๆกับวิ่งไปทำธุระเรื่องสัญญาบ้าง อะไรบ้าง ไม่รู้ว่ามึงจะรู้จักพวกแวดวงคนเที่ยวไง"
มันสาธยายมาซะนาน จะบอกว่ากูไม่มีสังคมเที่ยวว่างั้นเหอะ!

"กูเนี่ย เห็นอย่างนี้สมัยก่อนเป็นเสือนะเว้ย"
ผมพูดอย่างอวดๆ ด้วยลักษณะนิสัยตรงๆ โผงผาง ค่อนข้างใจนักเลง ยิ่งตอนวัยรุ่น ผมเป็นประเภทหัวร้อนง่าย ไม่ได้นิ่งเหมือนปัจจุบัน สาวๆสมัยนั้นชอบผู้ชายเเนวนี้กันเยอะ แต่ยุคนี้ต้องอย่างไอ้คนข้างๆนี้เเหละ สาวๆชอบ
ผู้ชายนิสัยรวย!

"แล้วเดี๋ยวนี้เป็นแมวน้อยเหรอ"

กูเป็นเสือให้มึงดูก็ได้ , ผมไม่ตอบ แต่ลอบมองคนข้างๆแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

"เหี้ย! อย่ามองง"
ผมหัวเราะลั่นอย่างสะใจ ไอ้สองเเม่งบ้าจี้เรื่องมองตาชิบหาย ระยะหลังๆนี้อาการหนัก
ถ้าผมมองมันตรงๆเมื่อไหร่ มันจะเริ่มอยู่ไม่สุขไปราวๆ10นาทีนั่นแหละ

...................................

"เอ้าถึงเเล้ว ลงๆ"

"โทษนะครับ พื้นที่ตรงนี้สงวนให้สำหรับผู้มาใช้บริการเท่านั้นครับ"
พนักงานรับรถวิ่งมาเคาะกระจกคุณนายแดงของผม

"ผมมาใช้บริการ"
ผมตอบ แต่คนข้างๆหน้าชักสี

"ทำไม รถกระบะเเล้วเข้ามาที่นี้ไม่ได้รึไง คุณได้รับการอบรมมาเเบบไหน เรียกเจ้านายคุณมาคุยกับผมทีสิ"
ไอ้สองถอดเเว่นตาดำ ก้าวออกจากรถ กอดอกคุยอย่างเอาเรื่อง

"ปะ..เปล่าครับ จอดเลยครับท่าน ผมเข้าใจผิดเอง"

"ก็ดี สถานบริการนี้คงไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ใช้ใช่ไหม คราวหน้าคราวหลังนายควรเคาะเพื่อถามก่อน ไม่ใช่เคาะเพื่อไล่"
พนักงานรีบขอโทษขอโพยเเล้วเดินจากไป

"เอาเรื่องนะมึง"

"ได้ไง กระจกรถคุณนายแดงมึงเเตกแล้วจะเอาอะไรกันแดดให้หน้าหล่อๆกูล่ะ ฝ้าขึ้นพอดี"
ผมยีหัวมันเเรงๆทีนึง มันบ่นอุบอิบเรื่อง MRI สมอง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง

...................................

"ไง สบายดีไหมสุดหล่อ~"
สาวสวยร้อนแรง ลิลิน เพื่อนเจ้าของบาร์ผมคนนี้พูดทักทายผมก่อนจะจูบผมเบาๆ
เธอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมเลิกท่องเที่ยวไปสมัยเป็นวัยรุ่นตอนปลาย
เธอเป็นแฟนเก่าผม และเธอ(ในตอนนั้น)เป็นลูกเจ้าของบาร์แห่งนี้

"อืมม เรื่อยๆ ลินล่ะ"

"ก็ดีนะ ทำงานแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนไม่เคยแก่เลย เหมือนเวลาไม่เคยผ่านไป"
ประโยคหลังสาวเจ้ามองมาทางผม ผมสบตา แต่ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เหลือเพียงแต่มิตรภาพ
สะเก็ดเเผลเล็กๆบางที่เท่านั้น

"แล้วสุดหล่อคนนี้ใครกันจ้ะ?"
ลิลินหันไปถามเจ้าสองที่อยู่ข้างผม

"เด็กฝึกงานในไร่พี่กฤษณ์ครับ พอดีผมไม่เคยมาเที่ยวกลางคืนในขอนแก่น เลยขอให้แกพามา อยากลองดู"
ไอ้สองตอบสบายๆ มันพูดเรื่องจริงผสมเรื่องโกหกได้หน้าตายจนผมประหลาดใจ

"โอ้ กฤษณ์ใจดีจังนะ ไหนๆก็เป็นคนรู้จักกฤษณ์ เดี๋ยวพี่จะลดราคาให้ เดี๋ยวให้คนมาบริการให้ด้วยนะ ตามสบายเลยนะจ้ะ"

"ขอบคุณครับ"
สองพูด แต่ยังไม่ไป
จนกระทั่งลิลินเรียกสาวๆมาพาสองไปทัวร์ เจ้าสองมันจึงเดินไปพร้อมกับสาวๆเหล่านั้น ก่อนจะไปผมสบตากับมันแวบหนึ่ง ผมเห็นประกายในเเววตาไหววูบ

"แล้วเราจะทำอะไรดีละ? มาดื่มกันหน่อยไหมกฤษณ์"

...................................

ผมคุยกับลิลินหลายเรื่อง เธอบอกว่าผมดูโตขึ้นมาก ใจเย็น สุขุม ผมก็บอกว่าเธอเองก็โตขึ้นเช่นกัน 'หลายๆอย่าง'. เธอหัวเราะ
เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน หลายปีที่ไม่ได้พูดคุย

"จำได้ไหม ตรงฟลอร์นั้น กฤษณ์เคยเอาขวดเบียร์ฟาดไอ้ไทเกอร์ แล้วจับลินจูบต่อหน้ามันเลย"
เธอหัวเราะขำ หน้าเเดง

"มันลวนลามเธอนี่.."
ผมแก้ตัวถึงพฤติกรรมที่เคยทำเมื่อยังเด็ก แอลกอฮอล์ในมือเราทั้งคู่ทำให้มันออกรสชาติยิ่งขึ้น

"กฤษณ์เลยแก้เเค้นด้วยการลวนลามฉันเเทน แล้วป๊าก็มาเห็นพอดี กลายเป็นว่าป๊าเกลียดขี้หน้านายเลย
พวกนักเลงอยากแอ้มลูกสาวคนสวยของช้าน อย่าหวังเลยยย"
ลิลินยกแก้วขึ้นทำท่าขู่ ผมหัวเราะขำ

"ดีจริงๆนะ ที่ได้คุยกันอย่างนี้.."
ลิลินพูด ผมมองนาฬิกา

"ดูเวลาอีกแล้ว? อยู่กับลินน่าเบื่อขนาดนั้นเชียว"

"เปล่า..คือ"

"ไม่อยากให้เด็กในไร่นั้นกลับดึก?"

ผมพยักหน้า ลิลินหัวเราะเสียงหวาน ผมขมวดคิ้ว มีอะไรน่าตลกงั้นรึ

"น่าจะอยู่ที่Lobby Zone 3 น่ะ เด็กนั่นนะ.. ก็เวลาที่นายพูดถึงช่วงงานในไร่กับเด็กที่ชื่อสอง น้องเจ้าหนึ่งแล้ว สีหน้านายเหมือนเป็นกฤษณ์ สมัยที่ยังอยู่กับฉันเลยนี่"
ลิลินพูด ยิ้มเศร้าๆ ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าเธอจะสื่อว่าอะไร...

"คงดีกว่านี้ถ้าเธอจะพูดกับฉันตรงๆ"
ผมพูด

"ตอนนั้นก็ด้วย"

...................................

ที่ล็อบบี้ในโซน 3 ผมมองหาไม่นานก็พบเจ้าสอง ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตารื้นน้ำตานิดๆ...ซึ่งผมทายว่ามันแอบร้องไห้อีกแล้ว ..กำลังนัวเนียกับสาวน้อยพนักงานบริการคนหนึ่ง

ผมนิ่ง

ผมเดินก้าวยาวๆไปดึงมันขึ้นมา

"มึงเมา กลับ"

"ใคร?... ไม่ ! ไม่เอาไอ้พี่กฤษณ์ ไม่กลับ"
มันใช้มือเกาะสาวน้อยคนนั้นไว้ ไม่สนผม พยายามจะจูบต่อ

"เอ่อ..คุณสอง พอเถอะนะคะ ดิฉันไม่ได้ขายตั.."

ผมดึงมันขึ้นอย่างแรง

"มึงให้เกียรติน้องเขาด้วย"
เสียงผมเย็น ผมโกรธ อารมณ์บางอย่างปะทุขึ้นในใจ

"อย่ามายุ่งกับกู ไหนบอกจะปล่อยให้กูสนุกของกู ปล่อย!!"

"กูไม่เคยพูดอย่างนั้น"
ผมดึงมัน ถูลู่ถูกังไปจ่ายเงินแล้วออกมานอกร้านจนสำเร็จ มันเอาแต่งอแง

"มึงไม่บอกกูนี่ เพื่อนมึงเจ้าของร้านเป็นผู้หญิง สวยด้วย แฟนเก่ามึงด้วยย"

"มึงรู้?"

"เธอพยามบอกซะขนาดนั้น กูไม่ได้โง่!"

"มึงมันแย่ไอ้พี่กฤษณ์ ไหนมึงบอกว่าปล่อยกูอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่มึงทำ มึงปล่อย!! ...ฮึก"

"มึงแม่ง!!"
ไอ้สองพยามจะต่อยหน้าผม ผมรับหมัดไว้..แม่ง มือหนักชิบหาย

"แถมมึงยังลากกูออกมา กูกำลังจะได้จูบสาวสวยบ้าง ไม่ได้ ทีมึงทำอะ มึงทำได้!! ฮึก..แค่จูบกูยังทำไม่ได้.."

ผมมองมัน ก้มหน้าลง จูบเบาๆที่ริมฝีปากคนตรงหน้าหนึ่งที

"มึงทำได้"

ทฤษฎี 8 วินั่นท่าจะจริง...

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4:02/11)
«ตอบ #8 เมื่อ02-11-2017 21:10:39 »

จิ้มมมมม ค่ะ

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4:02/11)
«ตอบ #9 เมื่อ04-11-2017 10:28:59 »

ตอนที่ 5 : รูปแบบของความรัก

'มึงทำได้'

แววตาที่จ้องมองผมอย่างจริงจัง ริมฝีปากที่ฉกฉวยรอยจูบไปจากผม
...แผ่วเบา รวดเร็ว นุ่มนวล...

...คนอย่างมึงทำ Butterfly kiss เป็นด้วยเรอะ

ผมลืมความโกรธไปชั่วขณะ
ผมมองหน้าไอ้พี่กฤษณ์อย่างสงสัย ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงอีกต่อไป

นี้ไม่ใช่จูบแรก

ไม่ใช่จูบที่เร่าร้อน
ไม่ใช่แม้กระทั่งจูบที่นุ่มนวลที่สุดที่ผมเคยเจอ

แต่เป็นจูบที่ทำให้ใจสั่นไหวมากที่สุด

ผมที่เคยจูบและถูกจูบมาไม่รู้กี่ร้อยครั้ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้กลับกลายเป็นเหมือนเด็กเล็กๆที่ขอร้องให้เขานำทาง...

"เอ่อ..นั่นแหละนะ"
ไอ้พี่กฤษณ์พูด ถอนหายใจ แล้วมองหน้าผม

"กูชอบมึง"

ผมนิ่ง

"แบบคนรัก"
เขาพูดต่อ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด ต้องหน้าด้านได้ขนาดไหนถึงจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ได้วะ..

"แต่ตอนนี้มึงเมา พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง"
จริง ผมเมา แต่ไม่ได้เมาขนาดนั้น...

"ไว้พรุ่งนี้กูค่อยบอกอีกที ปะ กลับบ้าน"
พี่กฤษณ์จับแขนผมลากขึ้นรถ ผมเดินตาม ขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย
ระหว่างทางเราไม่พูดอะไรกันเลย ผมอยากจะคิดอะไรซับซ้อน แต่สมองไม่อนุญาต
ผมจึงตัดสินใจนอน

..................................

ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องพี่กฤษณ์
ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่เมา ผมจะตื่นมาอยู่ห้องนี้เสมอ(อย่างกับหนังแฟนตาซี!)

อยู่ๆ ความทรงจำเรื่องเมื่อคืนก็ไหลกลับมา
เรื่องที่ผมทำตัวงี่เง่าโกรธมันในบาร์
รวมถึงเรื่องการจูบ และการสารภาพรัก

ผมหน้าร้อนผ่าว

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมองพี่กฤษณ์แบบคนรัก
ก็ช่วงหลังๆมันชอบแกล้งผมนี่ คนเราก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง

สมัยยังเป็นนักเรียน ด้วยหน้าตารวมถึงความสามารถ(ไม่อยากอวดเท่าไหร่ครับ เล่าประมาณนี้พอ!)
ทำให้ผมมีแฟนหลายคน คบทีละคนบ้าง เผลอทำผิดไปคบซ้อนบ้าง ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง(แน่นอนว่าไม่ได้บอกครอบครัว) ประสบการณ์และบทเรียนทั้งนั้น

และเพราะเหตุนี้ผมถึงรู้ตัว ผมอาจเป็นคนที่น่าสนใจ อยากคบด้วย
แต่ดูจะไม่ใช่แฟนที่ดีนัก...

ประสบการณ์ทำให้ผมกลัว ถ้าพี่กฤษณ์เข้ามาและกลายเป็นอีก'บทเรียน'หนึ่งของผมล่ะ
และที่นี้ประเทศไทย... ไหนจะครอบครัว หน้าตา สถานะทางสังคม เฮียจะว่าไง ป๊าอีก ม๊าล่ะ? ลุงชัยล่ะ? พี่กฤษณ์เป็นลูกคนโตไม่ใช่เหรอ แล้วผมจะอยู่ที่นี้ตลอดไปได้เหรอ หน้าที่การงานของผมล่ะ? การดูแลธุรกิจของครอบครัวล่ะ?

ปัญหามากมายแบบที่ผมคนเดียวคงไม่มีปัญญาแก้...

แต่พอคิดภาพพี่กฤษณ์อยู่กับผู้หญิงอื่น มีครอบครัว มีลูกเล็กๆที่น่ารัก...

ให้ตาย น้ำตาผมจะไหลอีกแล้ว
นี้กูอ่อนไหวง่ายเกินไปไหม ไอ้ชิบหาย..
 
เขาบอกว่าความรักคือการสุขใจเมื่อได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข
ความรักของผมคงยังไม่มากพอ

..................................

ผมตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการทำเป็นลืม
เห็นในหนังมีออกบ่อยไป เมาเหล้า มีSex ลืม
ผมก็จะลืมบ้าง ไอ้พี่กฤษณ์เองตอนนั้นมันก็กรึ่มๆแอลกอฮอล์เหมือนกัน
มันคงตั้งสติ กลับมาคิดได้เหมือนผม เราคงทำทุกอย่างเหมือนปกติ ...เหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น

หัวใจผมเจ็บแปลบ

"ตื่นแล้วเหรอมึง"
ไอ้พี่กฤษณ์เดินเข้ามา ในมือถือผ้าเช็ดตัว เขาโยนมาให้ผม

"ไปๆ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูพาไปหาอะไรกิน นี้มันสายแล้ว เรือนหลักเขากินกันไปหมดแล้ว"

ผมหลบตาวูบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตาหยี

"ก็กูแฮงค์นี่วะ"

ไอ้พี่กฤษณ์เอามือมายีหัวผม (เพื่อ?!!!) ก่อนจะก้มหน้าลงมาจ้องตาผมแบบที่เขาชอบ

"เออ ไอ้สอง กูชอบมึงวะ แบบคนรัก"

ไอ้เหี้ย!!! นี้มึง...กูรู้ว่ามึงเป็นคนตรงๆ แต่..มึงจะไม่คิดอะไรให้มันซับซ้อนกว่านี้หน่อยเหรอวะ?!
หรือมึงคิดแล้ว?!! หรือยังไง?!  เรื่องที่กูคิดจนเกือบร้องไห้ มึงกลับพูดออกมาได้หน้าตาเฉย!!

ผมทำตาโต

"กูว่ากูเมามากจำอะไรไม่ได้เลยเมื่อคืน"

"กูรู้มึงแดกเท่าไหร่ถึงจะจำไม่ได้ ไอ้ภาวะ black out จาก alcohol intoxication มึงคิดว่ามันเกิดง่ายเหมือนในนิยายทุกเรื่องรึไง อย่ามาโกหก"

ไอ้สัสมีรู้ทัน!! เสือกฉลาดอีก..แล้วกูควรทำยังไงนี้

"มึงชอบกูแบบคนรัก?"
ผมทวนอีกครั้ง ไอ้พี่กฤษณ์พยักหน้า

"มึงรังเกียจไหม ถ้าใช่ กูจะพยามตัดใจ"

มึงเล่นถามตรงๆอีกแล้ว... นี้ไงไอ้สอง จังหวะนี้แหละ ให้พี่กฤษณ์มันตัดใจ! ชีวิตมึงต้องใช้สมองมากกว่าหัวใจนะ
มึงคิดมาแล้วไม่ใช่เหรอ? มึงต้องรอบคอบนะ สถานะทางสังคม หน้าที่การงาน ไหนจะชีวิตพี่กฤษณ์อีก ถ้ามึงอยากให้เขามีชีวิตที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น..

"ถ้าไม่ล่ะ?"

"กูจะจีบมึง"

ผมนิ่ง คิด ทุกการวิเคราะห์สรุปให้ตอบว่าใช่ ตัวเลือกที่ถูกต้อง ตัวเลือกที่ฉลาด


"ไม่"

ผมตอบ
ผมไม่ใช่คนฉลาด นอกจากโง่แล้วยังดื้อสุดๆด้วย

ผมรู้ตัวดี
พี่กฤษณ์ก็รู้

..................................
หลังจากนั้นมาเป็นอาทิตย์
แม่งไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ไม่มีคำพูดหวานๆ การกระทำที่ทำให้เขิน ไม่มีดอกไม้(กูคาดหวังอะไรอยู่วะ?!)
ไม่มี...ไม่มีเหี้ยอะไรเลย!!

ไอ้พี่กฤษณ์มันยังคงเป็นคนเดิม ไปรับ ไปส่ง คอยดูแล พากินข้าว พาเที่ยวบ้าง กวนส้นตีนผม
คุยก็คุยแบบเดิม! ไม่ได้อ่อนโยนขึ้น
(ตบหัวกูแรงเท่าเดิมด้วย!)

"พี่กฤษณ์"
ผมถามขณะที่เรานั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารข้างทาง

"อะไรวะ"

"นี่มึงจีบกูแน่เหรอวะ?"

"ก็เออดิ ไม่งั้นกูจะพามึงมากินข้าวเหรอ ต้มเลือดหมูร้านนี้แม่งโคตรอร่อย"
พี่กฤษณ์พูดแล้วชี้ไปที่อาหารตรงหน้า...ก็อร่อยจริงๆนั่นแหละ..ผมเกือบเคลิ้มตาม!
แต่ไม่ได้ๆ นี้ไม่ใช่เหตุผล! นี้มันก็ทั่วๆไปปะวะ?! ผมจ้องหน้ามันอย่างเอาเรื่อง

"มึงดู ร้านนี้ มีแต่คนมากันเป็นคู่ นี้ร้านสำหรับคู่รักนะเลยนะเว้ย"
เออ ก็จริง! พอหันไปสังเกตรอบตัวถึงได้รู้ ว่าร้านต้มเลือดหมูนี้80%ของลูกค้า มาเป็นคู่ ...ทำไมมึงต้องมากินต้มเลือดหมูกันเป็นคู่ดูกระหนุงกระหนิงด้วยวะ?! ต้มเลือดหมูเนี่ยนะ?!!

แต่ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด เพราะคู่รักพวกนั้นกระหนุงกระหนิงกันเกินไปจนผมหมั่นไส้ ตักอาหารให้กัน เรียกกันหวานๆ บอกรักกัน...ที่หนักสุดคือ ไอ้คู่โต๊ะข้างๆ..แม่งจูบกันแล้วเอาเมนูอาหารบัง!! มึงรู้ใช่ไหมว่ามันบังได้ฝั่งเดียว!!
ผมมองตาค้าง

"มองไรวะ"
ไอ้พี่กฤษณ์ละสายตาจากต้มเลือดหมูมามองตามผม ...แล้วก็มองกลับมาหาผมอีกที
เขาขมวดคิ้ว

"อย่าบอกนะว่ามึงต้องการแบบนั้น?"

"ไอ้สัส จะบ้าเรอะ! แดกไปเหอะ ไม่ถงไม่ถามแล้ว!"
ร้านนี้ชั้นสองมึงควรมีห้องพักบริการลูกค้านะ..
หลังจากทานเสร็จเราก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปจ่ายเงิน
ไอ้พี่กฤษณ์เดินมาใกล้ผม เขาก้มหน้า และ...

"จุ๊บ"

จุ๊บหน้าผากผม 1 ที

"ระดับกู ไม่ต้องปิด"
ไอ้พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมแล้วเดินไปจ่ายเงิน

...ไอ้เหี้ยยย มึงมันหน้าด้านกว่าโต๊ะข้างๆเราซะอีก!
..................................

"คุณกฤษณ์คะ ฟางส่งข้อมูลเบื้องต้นให้ในไลน์แล้วนะคะ ช่วงนี้ทำงานสบายเลยนะคะ มีคุณสองช่วยตลอด"
คุณฟางเป็นเลขาของพี่กฤษณ์ครับ เธอเป็นคนเก่ง น่ารัก มีความสามารถ ผมได้เรียนรู้งานหลายๆอย่างเกี่ยวกับเอกสารจากเธอนี้แหละ

"ไม่รู้ช่วยหรือยุ่งนะ ฮ่าๆ แต่เจ้าสองก็ทำงานดีจริงๆ ต้องขอบคุณน้องฟางที่ช่วยสอนนั่นแหละ"
ผมหน้างอ เรียกกูว่า เจ้าสอง ไอ้สอง ไอ้เหี้ยสอง ..เรียกคุณฟางว่าน้องฟาง!

"ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ คุณสองฉลาดค่ะ เรียนรู้เร็ว...งั้น ฟางลาล่ะนะคะ"

"ครับ เดินทางกลับปลอดภัยครับ"

"Goodbye ครับ คุณฟาง" อันนี้ผมพูดเอง

"มึงมีไลน์ด้วยเหรอพี่กฤษณ์"

"มีดิ ทำไมวะ"

"มึงรู้ไหม คนสมัยนี้เขาจีบกันทางไลน์"

พี่กฤษณ์เงยหน้าจากเอกสาร มองผม แล้วขำพรืด

"มึงอยากให้กูทำอะไร?"
เขาพูดพลางหัวเราะ ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน

"กูไม่ได้อยาก กูแค่บอกเฉยๆ"

พี่กฤษณ์ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน ยืดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินมาหาผม

"กูจีบมึงจริงๆสอง กูจริงจัง.."

ผมกำลังอ้าปากจะเถียง

"แต่กูจะมาจีบมึงทั้งวันไม่ได้ กูก็มีงาน มีภาระหน้าที่ มึงก็เหมือนกัน การไปรับไปส่งมึง คอยดูแลโน้นนี่เพราะกูเป็นห่วง นั่นกูก็จีบมึง แต่ที่มึงอาจจะรู้สึกธรรมดา เพราะกูก็ทำแบบนี้มาตลอด"

"กูไม่ได้รู้สึกธรรมดา กูเข้าใจๆ"
ผมรีบพูดเพราะกลัวพี่กฤษณ์เสียใจ

"กูทำอะไรหวานๆไม่เป็น กูจีบแบบคนสมัยนี้อย่างที่มึงบอกก็ไม่เป็นด้วย ..มึงจะให้กูเอาเวลาไหนไปไลน์หามึงทั้งวัน หือม์? อีกอย่าง มึงตัวเป็นๆก็อยู่กับกูตลอดอยู่เเล้ว"
ผมพยักหน้ายอมรับ ทำไมกันนะ..ผู้ชายคนนี้ ถึงได้รู้วิธีพูดได้เถรตรง ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองได้ขนาดนี้

"มึงก็เห็นแล้วกูงี่เง่า เอาแต่ใจตัวเองและจะร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆถ้าถูกตามใจ กูคบกับแฟนคนก่อนๆไม่ได้นานส่วนใหญ่ก็เพราะเเบบนี้แหละ"
ผมพูด ก้มหน้ายอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง แบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน

"กูเห็น ก็ไม่เป็นไร กูก็มีข้อพลาดเหมือนกัน ยังไงก็เรียนรู้และปรับกันไป ส่วนดีๆของมึงมีอีกเยอะ
 กูชอบมึงทั้งหมดนั่นแหละ"

ผมมองหน้าพี่กฤษณ์ และทันใดนั้นคำถามก็ผุดขึ้นมา ผมเผลอพูดไปอย่างไม่ทันยั้งคิด

"แฟนคนก่อนๆของมึงปล่อยมึงมาถึงมือกูได้ไงวะ?"

..................................

 "มึงกับน้องอิงไปถึงไหนกันแล้ววะ น้องเขาไปหามึงอยู่ขอนแก่นด้วยเหรอ เห็นแท็กในไอจีบ่อยๆ ไม่เห็นเล่าให้กูฟัง"
ไอ้ตั้มพูดกับผมผ่านวิดิโอคอล ในอ้อมแขนมันอุ้มเจ้าไซย่า(สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์) พลางขยับมือให้เจ้าหมาทักทายผมด้วย

"ไง ไซย่าคนสวย~ แท็กอะไรวะ โทษทีช่วงนี้กูยุ่งๆ แม่ง ไม่ได้เข้าไปเช็คเหี้ยอะไรเลย"

"ใช้งานมึงเยอะไปไหม ไอ้พี่กฤษณ์อะไรของมึงเนี้ย"

"ไม่ใช่ของกู!"
ผมพูด หน้าแดงเล็กน้อย ไอ้ตั้มขมวดคิ้ว

"โอ้ยไอ้สัส กูไม่ได้หมายความว่างั้น มันเป็นประโยคทั่วๆไป!"

"ก็ กูอยากทำเองแหละ มันก็สนุกดี"

"ชาวไร่ชิบหาย! มึงเข้าไปดูไอจีเดี๋ยวนี้เลย รึให้กูเปิดให้ดู นี่"
มันไม่รอผม กดเปิดไอจีสาวอิงอิง(เจ้าปัญหา!) แล้วโชว์ภาพ หลายๆภาพที่เเท็กผมมาผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยสักนิด

"เค้าเผลอคิดว่ากูเป็นเจ้าของสตาร์บัคปะวะ ?"

"ถ้างั้นเค้าก็คงคิดว่ามึงเป็นเจ้าของแชเเนล,เป็นดอกไม้,เป็นมือปริศนาในร้านอาหารแล้วล่ะสัส! สรุปไม่ใช่มึงใช่มะ?"

"กูทำไร่อยู่"
ผมพูด น้ำเสียงโกรธนิดๆขณะไล่ดูภาพ เธอต้องการอะไรจากผม สารภาพว่าคืนนั้นหลังจากจูบกันในรถ ผมขึ้นไปต่อกับเธอที่คอนโด ก็พอใจกันทั้งสองฝ่าย ผมไม่ได้บังคับเธอ แต่ที่เธอทำ มันมากเกินไป มันลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวผม
แต่ผมไม่มีที่ให้ป่าวประกาศ

ไอจีหรือแอคเคาท์ทางโซเชียลของผมล้วนแล้วแต่เป็นของส่วนบุคคล
ผมก็เล่นเหมือนคนทั่วๆไป แต่ไม่ใช่เพื่อความดังแบบพวกดารา เซเลป หรือไฮโซที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่องเหมือนไอ้ตั้ม

"กูทำอะไรผิดวะตั้ม กูไม่อยากยุ่งกับพวกนี้ น่ารำคาญ"

"มึง เอา เค้า "

"ไอ้สัส ก็เค้า ..เออ กูเริ่มก่อน แต่ไม่สิ เค้าเริ่มอ่อยกูก่อน! เป็นมึงจะทนได้หรอวะ"

ไอ้ตั้มส่ายหัว ผมถอนหายใจ นึกถึงคำปรึกษาของพี่กฤษณ์

"ช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวกูไปลบแท็กออก แจ้งว่าแท็กบุคคลผิด มีปัญหาอะไรก็ค่อยแก้ตามกันไปแล้วกัน"

"เมื่อไหร่มึงจะได้กลับวะ"
ไอ้ตั้มถาม ปล่อยเจ้าไซย่าไปวิ่งเล่น ผมใจหายวูบ ..พึ่งรู้สึกตอนนี้เองว่า ยังไม่อยากไป

"ไม่รู้ เมื่อมึงเลิกยุ่งกับกูมั้ง"
ผมแซว มันกับผมรู้กันดี ครอบครัวผมเกลียดมันจะตาย

ผมรู้ว่าใครต่อใครคิดยังไง ทุกคนที่เคยผ่านช่วงวัยรุ่น คุณๆทั้งหลาย ต้องเคยเจอบ้างล่ะ
เพื่อนบางคนที่พ่อแม่พี่บอกแล้วว่าอย่าไปคบ ไอ้เพื่อนคนนี้มันอันตราย มันจะชักจูงลูกไปในทางที่ผิด
แต่คุณก็ยังฝืนคบ ก็...เฮ้! ผมเป็นคนคบ ไม่ใช่ครอบครัวนะ!
และมันจำเป็นด้วยเหรอว่าเพื่อนรักเราจะต้องเป็นคนดีที่สุด เป็นคนที่ครอบครัวไว้ใจได้

ไอ้ตั้มเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่อดทนคบกับผม ไม่ว่าระยะใกล้หรือไกล มาเป็นเวลา 11 ปี
ผมไปเรียนต่อมัธยมปลายที่ต่างประเทศ ปกติเพื่อนเราอยู่ห่างๆกัน ต่อให้สนิทแค่ไหน ความสนิทสนมและเวลาพูดคุยก็ค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆตามระยะเวลา แต่อีก 8 ปีที่เหลือ เราคบกันแบบระยะไกลล้วนๆ(จะว่างั้นก็ไม่เชิง มันบินมาเที่ยวNYCบ่อยๆ)และยังสนิทกันอยู่เช่นเดิม

ถ้าไม่ใช่เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ ก็คงเพราะมันมีจุดประสงค์บางอย่างที่เหนียวแน่น
สิ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งสำคัญ เฮียหนึ่งไม่เคยมองเรื่องนี้ แต่ผมมอง

หลังจากนั้นผมก็คุยสัพเพเหระเรื่องงานในไร่ มันก็คุยเรื่องที่มันเองกำลังเตรียมตัวเข้าเป็นบอร์ดบริหารในบริษัท

"ถ้าบอร์ดบริหารไม่จำกัดอายุนะ ป่านนี้กูได้เข้านานละ"

"ขี้คุยชิบหายไอ้สัส"

"ก็จริง! คุณสมบัติกูพร้อมยิ่งกว่าพร้อม ไอ้ข้อเคยบริหารบริษัทหรือโรงงานมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้าน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี ผลกำไรขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นไง ไหนจะอัตราถือหุ้นอีก แม้กูจะเอาเงินครอบครัวมาก็เหอะ แม่ง ทำไมต้องอายุอย่างน้อย 35 ด้วยวะ!"

"ประสบการณ์ไง มันช่วยให้มึงตัดสินใจได้ดีขึ้น บริษัทใหญ่ขนาดนี้แถมเป็นกึ่งรัฐบาลด้วย
เขาคงไม่อยากได้บอร์ดบริหารเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ทำอะไรก็ยังมีแต่ประสบความสำเร็จหรอก เขาต้องการคนที่เคยเจอปัญหามาหลากหลาย ผ่านความกดดันได้และยังตัดสินใจได้ดี"

ผมพูด หยิบป๊อกกี้ที่ไอ้พี่กฤษณ์ซื้อให้มาเปิดกิน

"เออกูจะยอมก่อนรอบนี้ สะสมบุญไป แม่ง เซ็งชิบหาย น่าจะตายๆไปให้หมด ไอ้พวกที่บ้านกูก็เหมือนกัน.."

ไอ้ตั้มกับครอบครัวมันมีปัญหาไม่ลงรอยกันตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวมันแต่งงานกันเพราะสถานะทางสังคม อยู่ใครอยู่มัน ไอ้ตั้มเรียนไม่จบปริญญาตรีจริงๆ แต่ก็มีใบที่ซื้อมา(ซึ่งไม่ค่อยมีค่าอะไรนัก มันบอก) มันถึงมีเวลาไปทำโรงงาน ผลิตสิ่งที่ต้องใช้ในการก่อสร้างทั้งหลาย มันหาเงินใช้ได้เองตั้งแต่ม.ปลาย แต่ก็ยังต้องกลับไปพึ่งใบบุญครอบครัวอยู่เนืองๆ ผมฟังมันบ่นเรื่องครอบครัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู

"พ่อกูเรียกไปแดกข้าวแล้วว่ะ"
ผมหมายถึงไอ้พี่กฤษณ์

"เออไปเหอะ ว่างๆกูจะไปหา ไปได้ปะวะ"

"ใครจะห้ามมึงได้"
ผมตอบ ปิดวิดิโอคอล

เย็นวันนั้นหลังผมทานข้าวเสร็จ เมื่อกลับมาเช็คในไอจี
อิงอิงลบรูปที่เธออ้างเกี่ยวกับผมออกทั้งหมดและขึ้นภาพน่ารักๆภาพใหม่ ที่แท็กไอ้ตั้มแทน

..................................

"เอ้อ เย็นนี้ มึงอยากไปเที่ยวบาร์ไหม?"
พี่กฤษณ์ถามขึ้นขณะกำลังขับคุณนายแดงไปส่งผมที่บ้านพัก

"บาร์ของ'เพื่อน'มึงน่ะเหรอ?"
ผมถาม เสียงเย็น เน้นคำว่าเพื่อนมากเป็นพิเศษ

พี่กฤษณ์หันหน้ามามองผม เลิ่กลั่กหน่อยๆ
"ก็ใช่ ก็พอดีเพื่อนกูคนหนึ่งพึ่งกลับจากจีน เลยต้อนรับกันที่นั่น  เผื่อมึงอยากไปเที่ยวด้วย แต่ถ้ามึงไม่อยากไป.."

ผมคิดถึงภาพในวันนั้น ใบหน้าสะสวยร้อนแรงกำลังจูบกับคนข้างๆผม คำพูดเชื้อเชิญที่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ได้รู้ตัวเอาเสียเลย ...ถ้าผมไม่ไปแล้วไอ้พี่กฤษณ์เดินไปสะดุดหลุมที่ผู้หญิงคนนั้นขุดไว้ล่ะ

ไม่อยากให้ไปเลยเว้ย!!

แต่ผมเป็นใครล่ะ จะมีสิทธิอะไรไปหวงเขา

"กูไป"
ไอ้พี่กฤษณ์พยักหน้ารับ

"พี่กฤษณ์ มึงขอกูเป็นแฟนได้ยัง?"
ผมถาม หันไปมองคนข้างๆ พี่กฤษณ์เกือบเบรครถ

"ตกลง"

"ตกลงพ่อง! กูให้ขอ!"
ผมพูดอย่างหงุดหงิด หน้าแดงด้วยความอาย. เออ...กูติดนิสัยหน้าด้านมาจากมึงทีละนิดแล้วนะ!!

"สอง มึงเป็นแฟนกับกูนะ"
คนข้างๆปล่อยมือจากเกียร์รถ มากุมมือผม

"เออ ก็ได้"

..................................

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก.."
หลังจากผมอาบน้ำเเต่งตัวเสร็จ พี่กฤษณ์ก็จะมารับเพื่อเดินทางไปบาร์ XXX เพราะเป็นเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาของเพื่อนเก่า เวลาเริ่มงานจึงไม่ดึกนัก

"เออ.."
ผมเปิดประตูออกไป ก็พบพี่กฤษณ์ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีดำลุ่มลึก ริมฝีปากที่รับกับใบหน้า ผิวสีเเทน เสื้อเชิร์ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ ...

"ทำไมมึงแต่งตัวงี้วะ?"
ผมถาม ปกติรสนิยมการแต่งตัวไอ้พี่กฤษณ์เป็นสไตล์ลุงชัย!

"กูไม่อยากเเต่งเต็มแบบปกติไง เดี๋ยวกูหล่อเกินไป มึงจะหวง"
มึงเข้าใจอะไรผิดล่ะไอ้เชี่ยกฤษณ์! แบบนี้กูจะหวงกว่าเก่า

ก็กูมีสิทธิหวงแล้วนี่
ผมคิดอย่างมีความสุข นิสัยเอาแต่ใจไม่ใช่เรื่องที่จะแก้กันง่ายๆ

..................................

"ไอ้เสือกฤษณ์!! มึง สบายดีไหมวะ!!"
เพื่อนคนหนึ่งของพี่กฤษณ์เข้ามาทักทายเราเป็นคนแรก ก่อนจะพาเดินไปที่ชั้น VIP

"เรื่อยๆแหละว่ะ มึงเป็นไงมั่งไอ้นพ มึงมาจากเชียงใหม่เลยไหมเนี่ย"

"ก็เออดิวะ มุกดากลับมาไทยทั้งทีนะเว้ย คนสวยสุดในภาคเรา กูก็ลงทุนหน่อย มึงอย่ามาแย่งกูละกัน"

มึงไม่เห็นบอกกูว่าคนที่กลับมาเป็นผู้หญิง ผมมองหน้าพี่กฤษณ์

"แล้วนี่ใครวะ"
เพื่อนพี่กฤษณ์ถามพลางมองมาทางผม

"แฟนกูเอง"

..................................

ไอ้พี่กฤษณ์มันเป็นเสือจริงๆด้วย ดูเหมือนใครต่อใครก็อยากเข้าหา พูดคุยกับเขา
พอมาสังสรรค์กับเพื่อนเก่า พวกเขาก็มักจะคุยกันเรื่องความหลัง ทำให้ผมได้ฟังเรื่องของเขาเยอะแยะ
สมัยยังหนุ่ม(?) เขาดูจะเป็นคนที่บ้าระห่ำอยู่เหมือนกัน

ขณะวงสนทนากำลังออกรสชาติ สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่ผมคุ้นหน้าก็เดินมา

"ไง หนุ่มๆสาวๆ คุยกันออกรสชาติเชียว"
เธอชื่อลิลิน เป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่และมีเสน่ห์ ถ้าไม่ติดว่าเธอชอบส่งสายตาลึกซึ้งให้กับไอ้คนที่ชอบหัวเราะไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอยู่ข้างๆผมเนี่ย ผมคงชอบเธอมากกว่านี้

เธอขยับมานั่งข้างไอ้พี่กฤษณ์ ผมขยับมือไปจับมือที่ว่างอยู่ของพี่กฤษณ์ บีบเบาๆ เขาบีบกลับ

"ลิลิน นี้สอง แฟนผมเอง"

ผมอึ้ง เธอตกใจเหมือนทุกคนที่ได้ยิน และก็หัวเราะ คงคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่พี่กฤษณ์มองเธอนิ่งๆ เธอจึงมองกลับ

"ฉันรู้ๆ ตั้งแต่วันนั้นแล้ว"

น้ำเสียงเธอฟังเศร้า เชื้อเชิญ ในมือถือแก้วไวน์สั่นไหวเล็กน้อย

"อยากรู้ว่าเขามีดีอะไรนอกจากหน้าหล่อๆนั่น... นายก็เหมือนกัน"
เธอพูด ตัดพ้อเล็กน้อย

" กูไปเข้าห้องน้ำนะ"
ผมยื่นหน้าเข้าใกล้ไปกระซิบ แต่สายตาจับจ้องอยู่ที่ลิลิน เธอมองผม ขมวดคิ้ว

ความดีกูนะไม่ค่อยมีหรอก แต่ถ้าไอ้เรื่องนิสัยตัวร้ายละก็ กูได้คะเเนนเต็ม!

..................................

ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในรถคุณนายแดง เดินทางกลับบ้าน
วันนี้ผมไม่ค่อยได้ดื่มนัก จึงไม่เมา ส่วนพี่กฤษณ์เองก็เป็นคนประเภทที่จะยั้งตัวเองตอนดื่มเสมอ
จึงไม่ได้มีโอกาสเห็นมันเมาบ่อยนัก

"มึงนี่น่ารักจริงๆ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอามือมายีหัวผมเล่น
ผมไม่ปลื้มกับไอ้คำชมน่ารักเท่าไหร่ แต่พอออกจากปากมันแล้วฟังยังอดเขินไม่ได้

"มึง..หน้าหนากี่ชั้นวะ"
ผมจิ้มๆเข้าที่แก้มมัน

"มาวัดใกล้ๆ"

ไอ้สัส!! ผมหันหน้าไปทางอื่น ..ตั้งแต่กูตกลงคบด้วยเนี่ย คำพูดมึงชักจะลวนลามกูอยู่เรื่อยๆล่ะนะ
โชคดีที่กูไม่ค่อยสงวนเนื้อตัวเท่าไหร่ เลยไม่ถือสา!

"มานอนกับกูไหมวันนี้"
ไอ้พี่กฤษณ์ถาม ผมอึ้ง

"เป็นแฟนกันวันแรกก็จะเอาเเล้วเหรอวะ?! กูคิดถูกไหมเนี้ย?!!"

"ไม่ใช่สัส! เผื่อมึงอยากนอน ปกติตอนมึงเมามึงจะชอบอยากนอนห้องกูไง ไม่รู้เป็นเหี้ยไร"
ประโยคหลังพี่กฤษณ์มันบ่นอุบอิบ ทำไมมึงพูดเหมือนกูดูแรดๆวะ?

"เออ ก็ได้"
หรือว่ากูแรดจริง?!

คืนนั้นผมนอนห้องพี่กฤษณ์ น่าจะเป็นคืนแรกที่ได้นอนแบบมีสติครบถ้วน
 ผมปล่อยความคิดความกังวลทั้งหลายให้หลุดลอยไป ไม่สนอดีต ไม่สนอนาคต ผมอยู่กับปัจจุบัน
อยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง อ้อมกอดที่แข็งแรงพอจะปกป้องผม และไม่รัดแน่นจนเกินไป

..................................

"ตื่น"
ผ้าห่มถูกดึงออกไปอย่างโหดร้าย ผมลุกขึ้นก่อนจะยกนิ้วกลางให้ กิจวัตรดำเนินไปเหมือนอย่างปกติ
เรียบง่าย ไม่หวือหวา ทว่าสงบสุข

พี่กฤษณ์ไม่ใช่คนโรแมนติก อย่างมากที่เขาทำคือการแซวให้ผมเขิน(ซึ่งจุดประสงค์หลักคือการกลั่นแกล้ง)
เขายังคงทำทุกอย่างเหมือนปกติ ไปรับ ไปส่ง ดูแล พาไปกินข้าว

น่าแปลกที่ผมไม่ค่อยรู้สึกน้อยใจเหมือนตอนแรกๆ
อาจเพราะผมรับรู้ได้ว่าในทุกๆการกระทำของเขาทำมาจากความรัก ความเอาใจใส่
คำพูดห่ามๆกับการแซวหยอกล้อก็เพราะเป็นคนที่ทำอะไรหวานๆไม่เป็น

ผมเข้าใจเขามากขึ้น

นี้คือพัฒนาการของความรักหรือเปล่านะ..?
เข้าใจ ยอมรับที่เขาเป็น ไม่ได้คาดหวังอยากให้เป็นอย่างที่ต้องการ

ความรักของผมตอนนี้ไม่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผมเคยมีความรักที่เร่าร้อน ดูดดื่ม ยั่วยวน
เคยมีความรักที่ตื่นเต้น ต้องหลบๆซ่อนๆ
เคยมีความรักที่รู้สึกว่าตนกับคนรักดึงดูดกันเหมือนเเม่เหล็กคนละขั้ว

แต่ความรักครั้งนี้มีอะไรหลายอย่างมากกว่าความรู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อสัมผัสกัน
อะไรบางอย่างที่มั่นคงกว่านั้น

..................................

"ยินดีด้วยนะเจ้าสอง ในที่สุดก็ผ่านการประเมินแล้วนะ"
ลุงชัยพูดขึ้นระหว่างที่ทุกคนทานอาหารเช้า

"ยินดีด้วยนะคะพี่สอง!! โหยย แก้วเสียดายแย่! มาเยี่ยมเราบ่อยๆหน่อยนะคะ"
น้องแก้วพูดก่อนจะทำหน้าเศร้า

"เดี๋ยวเตรียมตัวสะสางอะไรให้เรียบร้อย อาทิตย์หน้ากลับได้เลยนะ เราคงต้องจัดงานเลี้ยงส่งเจ้าสองกันหน่อย ใช่ไหม กฤษณ์"

"ครับ"

"เดี๋ยวบอกลุงป่องเอาเหล้าที่ดีที่สุดมาด้วย ฮ่าๆๆ สองคงคิดถึงที่นี้แย่เนอะ"

ผมนิ่ง ในหัววุ่นวายไปหมด เพราะที่ผ่านมาเลือกที่จะตักตวงความสุขจากปัจจุบัน
ผมไม่คิดถึงอนาคต แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มาถึงจนได้

"สองคงคิดถึงที่นี้มาก"
ผมพูด เม้มปาก พยายามข่มสีหน้าที่ดูขี้เเยเอาไว้
พี่กฤษณ์ยื่นมือมาลูบหัวผม..

ผมลุกขึ้นพรวด เดินไปเข้าห้องน้ำ

..................................

"ตืด...ตืด...ตืด.."

โทรศัพท์เข้า ผมพยายามรีบเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็รู้สึกมีความหวังเล็กๆ

"ฮัลโหล เฮีย..สองยังไม่อยากกลับไปเท่าไหร่ ขออยู่ต่อได้ไหม เฮียก็รู้ว่าสองโง่อ่ะ ไปนั่นเดี๋ยวถูกชักจูงไปทางที่ผิดอีกจะทำไง..ไอ้ตั้.."

"เฮียรู้เรื่องสองกับไอ้กฤษณ์เเล้วนะ"
ปลายสายตอบกลับมา น้ำเสียงเย็น

"เฮียถึงได้ให้เวลา 1 อาทิตย์, จัดการให้เรียบร้อยเเล้วกลับบ้านซะ"

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากผม ปลายสายจึงพูดต่อ

"อย่าทำให้ครอบครัวเป็นห่วง"



จบไปแล้วนะคะสำหรับตอนที่ 5  o22
สำหรับตอนนี้ก็จะเป็นตอนที่เน้นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองในเเบบคู่รัก(?) ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
แต่ละคนได้ค่อยๆก้าวไปทำความรู้จักชีวิตของอีกฝ่าย รู้จักสังคมหรือเข้าใจเรื่องราวที่ได้ผ่านมา
ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่ฉาบฉวย เต็มไปด้วยความเอาใจใส่

นอกจากความรักในแบบคู่รักแล้ว
ในตอนยังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบของความรัก ความสัมพันธ์แบบเพื่อนและครอบครัวของสอง
และมุมมองที่เขามีต่อเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงมีชื่อว่า รูปแบบของความรัก ค่ะ :กอด1:

เอาใจช่วยความรักของเฮียกฤษณ์และเจ้าสองกันต่อไป
ความหน้าด้านอดทนจะช่วยให้พวกเขาผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้หรือไม่
หรือนี้จะเป็นนิยาย Realistic ที่พระเอกนายเอกต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต
แล้วเจ้าตั้มมันรักสองจริงหรือมีจุดประสงค์แอบแฝง
ยัยดาราอิงอิงไปไหนแล้ว? สองจะกลับกรุงเทพหรือไม่ ถ้ากลับแล้วจะไปอยู่สังคมยังไง

แล้วตอนต่อไปจะให้เฮียบรรยายเรื่องอะไร(?!!!)

ติดตามต่อได้ในตอนที่ 6 ค่ะ  :z3:

//โค้ง

#Anynomous

จิ้มมมมม ค่ะ

  :z13:  ง่ะ เขินจัง ขอบคุณที่ติดตามค่ะ!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2017 10:34:41 โดย Anynomous »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4:02/11)
« ตอบ #9 เมื่อ: 04-11-2017 10:28:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่6:06/11)
«ตอบ #10 เมื่อ06-11-2017 14:41:14 »


ตอนที่ 6 : ความเป็นผู้ใหญ่

ตอนที่รู้ตัวว่าชอบมัน ตอนที่มันยอมให้ผมจีบ หรือตอนที่คบกันเป็นแฟน
ผมตัดสินใจนานเเล้วว่าจะดูเเล รับผิดชอบ และรักเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นคนรักได้

สารภาพว่าตอนแรกผมตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
ทั้งชีวิต 28 ปี ผมไม่เคยตกหลุมรักผู้ชายมาก่อน แถมยังเป็นไอ้เด็กอมมือขี้แยที่ไม่มีอะไรน่ารักเลยสักนิด
ไม่ได้บอบบางอ่อนหวานเหมือนผู้หญิง ไม่ได้เซ็กซี่มีส่วนโค้งเว้าเย้ายวน

 แต่ความรักก็คือความรัก
มันไม่ได้แบ่งแยกผู้คน ไม่มีกฎเกณฑ์

เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างความรัก
มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่ต้านทานอะไรไม่ได้ (เหรอวะ?)

ผมยอมรับความจริงพอๆกับที่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง
ผมไม่ได้ปิดบังเรื่องที่คบกับเจ้าสองเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร
ตลอดชีวิตของผมได้เรียนรู้อยู่เรื่องหนึ่ง สังคมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
ผมไม่สามารถปรับตัวเองให้ถูกอกถูกใจทุกคนได้

เพราะเมื่อเรายืนอยู่ในที่ที่มีคนมากมาย
การจะหลบสายตาคนมองมันเป็นไปไม่ได้
แต่เราเลือกได้ว่าจะให้การมองของคนเหล่านั้น มีผลกระทบต่อเรามากน้อยแค่ไหน

ผมตัดสินใจโทรบอกไอ้หนึ่งด้วยตอนที่ตกลงคบกับเจ้าสองเป็นแฟน
ยังไงก็พี่มัน แถมเรายังรู้จัก สนิทกันดี
ผมไม่อยากทำตัวลับๆล่อๆเหมือนทำความผิด

"..มึงล้อเล่นใช่ไหมไอ้กฤษณ์"
ประโยคแรกของไอ้หนึ่งหลังจากผมบอกเสร็จ

"กูไม่ได้ล้อเล่น ไอ้สองมันก็ตกลง กูไม่ได้บังคับมันนะ"

"....มึง..มึงก็รู้ มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? มันไม่มีอนาคต? มึงทำอะไรเนี่ย?"

"อะไรที่เป็นไปไม่ได้วะ?"

"ก็พวกมึง ..ความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ยืนยาว มึงก็รู้ มึงโตแล้วนะเว้ย.."
"ความสัมพันธ์แบบไหนวะ กูก็รักไอ้สองมันจริงๆ น้องมันก็รักกู(ไม่งั้นไม่ตกลงหรอก กูเข้าข้างตัวเองแปป)
เรื่องยืนยาวไม่ยืนยาว มันเป็นอนาคต กูก็ไม่รู้ เวลามึงคบกับใคร มึงก็อยากจะคบให้ยาวทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เหรอวะ?"

"แต่พวกมึงเป็นผู้ชายทั้งคู่!! ไอ้สัส โอเค กูไม่รู้ว่ามึงไปเป็นเกย์ตอนไหน แต่มึงคบไปแล้วไงต่อ มึงแต่งงานไม่ได้ มีลูกไม่ได้ แล้วครอบครัวมึงกับป๊าม๊ากูจะยอมรับเหรอวะ? แล้วคนอื่นจะคิดยังไง? กูไม่อยากให้น้องกูถูกสังคมมองว่าเป็นตัวประหลาด หรือน่ารังเกียจ! มึงเข้าใจกูใช่ไหม?!"
เสียงปลายสายเริ่มพูดยาวขึ้น มีอารมณ์มากขึ้น

"ไอ้กฤษณ์?!!"

"เออ กูเข้าใจ"
ผมนิ่ง พยายามข่มอารมณ์เช่นกัน

"ไอ้หนึ่ง ที่กูคบกับน้องมึง ไม่ใช่เพราะกูอยากแต่งงาน อยากมีลูก
กูแค่รักน้องมึง อยากดูแล อยากมีมันอยู่ใกล้ๆ แบบที่คนรักกันเขาทำ ครอบครัวกูยอมรับ กูบอกแล้ว
ครอบครัวมึงกูไม่รู้ กูพึ่งบอกมึง กูอาจขึ้นไปคุยกับป๊าม๊ามึงในเร็วๆนี้ก็ได้ ถ้ามึงอนุญาต
คนอื่นจะคิดยังไงกูไม่รู้ แต่ที่มึงว่าสังคมจะมองน้องมึงอย่างนู้นอย่างนี้ มึงกลัว มึงเคยถามน้องมึงสักครั้งไหมว่ารู้สึกยังไง มึงกลัวสังคมมองน้อง? มองมึง? หรือครอบครัวมึงกันแน่? แล้วไอ้สังคมที่มึงว่าเนี้ยมันเป็นใครวะ
มองแล้วยังไงต่อ? ซุบซิบนินทา? แล้วไง หุ้นบริษัทมึงจะตกเหรอ หรือน้องมึงจะไม่มีโอกาสสืบสานงานต่อเพราะคุณสมบัติไม่พร้อม เพราะน้องมึงเป็นเกย์ อย่างนี้เหรอวะ? กูตอบมึงทุกข้อแล้ว มึงตอบกูมาบ้าง"

ผมพูด ปลายสายเงียบไป ผมไม่อยากพูดต่อเหมือนกัน ไอ้หนึ่งมันมักจะคิดว่าน้องมันอ่อนแออยู่เสมอ
ยังติดภาพเด็กขี้เเงที่ให้มันปกป้อง ผมรู้ มันรักน้องมันยิ่งกว่าใคร เผลอๆจะรักยิ่งกว่าพ่อแม่
ผมคงจะห้ามมันไม่ให้ห่วงน้องมันไม่ได้ ผมเคารพความคิดมันในฐานะพี่ชายของคนที่ผมรัก
แต่ในเรื่องการตัดสินใจ แน่นอนว่าผมต้องให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของคนที่ผมรักมากกว่า

"...กฤษณ์ มึงทำให้กูไม่มีทางเลือก เพื่อน"

" กูให้เวลามึงจัดการเรื่องต่างๆให้ถูกต้อง"
ปลายสายพูดก่อนจะวางสายไป

...................................

มันไม่บอกผมเรื่องเรียกตัวสองกลับ แต่กลับเลือกบอกลุงชัยก่อน
ตอนที่ผมเห็นสีหน้าที่พยายามอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ของเจ้าสอง หัวใจผมก็เจ็บจนอยากจะร้องไห้ตาม

นี้เหรอความถูกต้องของมึง?
นี้คือความรักของครอบครัวงั้นสิ...

ผมยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ
ผมจะต้องเข้มเเข็ง เป็นหลักให้มัน การยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตนเชื่อไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ค่านิยมของความถูกต้องมองข้ามสถานะความเป็นมนุษย์ เหลือเพียงแต่เพศสภาพและความเหมาะสม

ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ผมจะเชื่อ และจะทำให้ดูว่าผมแข็งแกร่งพอ มีคุณสมบัติมากพอจะทำให้มันยอมรับและอยู่เคียงข้างผม
มากพอจะปกป้อง ดูแลซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเวลาที่สุขหรือทุกข์

"ตามพี่สองไปหน่อยพี่"
ยัยเเก้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทุกคนในโต๊ะก็มองหน้าผมด้วยสีหน้าเห็นใจ
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้น

...................................

เจ้าสองออกจากห้องน้ำและเห็นผมยืนรออยู่ ดูจากสีหน้า และเเววตารื้นน้ำตาเหมือนจะร้องไห้อีกรอบแล้ว
ดูเหมือนผมต้องหยุดเจ้าขี้เเยนี้เสียก่อน

"ร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นเด็กเลยน่ะมึง"
มันหน้างอ เหลือบตามองผมด้วยการไม่พอใจ

"ใครจะไปใจเเข็งเหมือนมึงล่ะ นี้คงอยากไล่กูกลับใจจะขาดสินะ"
ผมใจกระตุกวูบ ไล่มึงกลับอะไรล่ะ..ถ้ากูจับมึงขังได้กูทำไปแล้ว!
แต่ผมไม่ตอบอะไร ดึงมันมาไว้ในอ้อมกอด กระชับแขนขึ้น เรากอดกันแน่น ผมได้ยินเสียงเจ้าสองสะอื้น
มันซุกหน้าลงกับอกผม พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้

"กู..กูไม่อยากไป"
มันพูดเสียงอู้อี้ ผมรอให้แน่ใจว่ามันเช็ดน้ำตากับเสื้อผมจนหมด จึงคลายวงแขน

"มึงมีหน้าที่ อย่างที่กูบอกเสมอ เราต่างมีหน้าที่ เราต่างต้องเติบโตขึ้น"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"แล้วเรื่องของเราล่ะ..มึงทำให้กูรักแล้วจะทิ้งกูง่ายๆงี้เหรอวะ มึงอยากปล่อยกูไปเหรอ"
คนตรงหน้าพูดด้วยเสียงตัดพ้อ ดูน้ำตาจะรื้นๆขึ้นมาอีกแล้ว

"กูไม่อยาก ไม่อยากปล่อยมึงไปให้ใครเลย"
ผมพูด นิ่ง ทบทวนการตัดสินใจอีกที ก่อนจะตัดสินใจถาม

"สอง กูรักมึง กูอยากดูแลมึง อยากให้มึงอยู่ข้างๆกู อยากใช้ชีวิตคู่กับมึง กูรู้สังคมจะมองยังไง แต่กูจะทำทุกวิถีทางไม่ให้มึงรู้สึกขาดอะไร กูมีทุกอย่างที่กูต้องการแล้ว และจะให้มึงทุกๆอย่างที่กูให้ได้"

ผมพูดราวกับวิงวอน มองดวงตาสีดำที่จ้องผมกลับเช่นกัน

"มึงจะยอมเป็นคู่ชีวิตกับกูไหม มึงยอมรับสายตาคนอื่นที่มองมาได้ไหม มึงยอมรับไหมถ้าครอบครัว.."
ผมยังพูดไม่จบ คนตรงหน้าก็ใช้แขนคล้องคอผม ริมฝีปากเราสัมผัสกัน ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาสัมผัสเพดานปากและผมก็ชักนำให้มันดุดันยิ่งขึ้น เราจูบกันจนไอ้สองหน้าแดง มันผลักผมออก

"คำตอบกู"
มันพูด
ผมยิ้ม ดวงตารื้นๆ นี้กูติดนิสัยขี้แยมาจากมึงแล้วเหรอเนี่ย

...................................

"กูไม่อยากกคบระยะไกล!"
เจ้าสองโวยวายขณะกำลังเก็บเสื้อผ้า

"กูย้ายงานไม่ได้หนิ" ผมบอก
"แต่เดี๋ยวกูก็ไปหาได้ มึงก็เหมือนกัน กลับบ้านก็อย่าให้เสียชื่อล่ะ เด็กกูต้องแข็งแกร่ง"
ผมพูดก่อนจะรัดคอมัน

"โอ๊ยย กูจะตายเพราะมึงก่อนเนี่ย ไอ้พี่กฤษณ์!"
ไอ้สองดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนผม

"กูว่าจะพามึงไปพักรีสอร์ทอยู่เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนนี้เป็นเขื่อนชื่อดังของขอนแก่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย"
เจ้าสองดูร่าเริงขึ้น

"มึงก็มีมุมโรแมนติกกับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย"
เจ้าสองพูดก่อนจะเอาหัวมาเคลียคลอ(มึงเป็นลูกแมวรึไง?!)หน้าอกผม

"เดี๋ยวจับกินนะไอ้สัส"
ผมพูดเสียงเจ้าเล่ห์ ก่อนจะผลักมันลงบนเตียง แล้วเอาตัวคร่อมไว้ มันดิ้นขลุกขลักพยายามเบี่ยงหน้าหลบผมที่ก้มลมจุ๊บตรงนู้นที ตรงนี้ที

"จั๊กจี้ ฮ่าๆ ไอ้พี่กฤษณ์ กูจะจัดเสร็จไหมเนี้ย เสื้อผ้า"
เมื่อแกล้งจนพอใจผมจึงปล่อยมันจัดเก็บข้าวของ ช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงท้ายๆที่เราจะได้อยู่ด้วยกันที่นี้
แต่มันจะไม่ใช่ตอนจบของเรา เพราะชีวิตยังดำเนินต่อไป

...................................

ก่อนจะไปชมธรรมชาติผมพาเจ้าสองไปกราบพระพุทธสิริสัตตราช(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) พุทธลักษณะเป็นปางสมาธิ ประทับนั่งบนพญางูใหญ่ที่ขนดตัวเป็นบัลลังก์แผ่พังพานเหนือเศียรพระ มี 7 หัว เป็นสัญลักษณ์แห่งฝนและความร่มเย็น
พระพุทธรูปประดิษฐานแถวบริเวณฝั่งซ้ายของเขื่อนอุบลรัตน์ เชื่อกันว่าเพราะมีการประดิษฐานหลวงพ่อในเขื่อนแห่งนี้ ทำให้ฝนตกตามฤดูกาลและมีน้ำเต็มเขื่อนทุกปี นอกจากนี้ท่านยังเป็นพระพุทธรูปที่จะมอบพรแห่งการเดินทางให้กับผู้มาเยือนอีกด้วย

..ขอให้เดินทางปลอดภัย ขอให้พบเจอแต่สิ่งที่ดี..

ถัดจากนั้นผมก็พาเจ้าสองมาชมธรรมชาติ ดูความงดงามของเขื่อนเสียหน่อย
แนวหินกั้นทอดยาว พื้นทรายข้างล่างตัดกับผืนน้ำที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา แดดร้อนจัดทำให้ส่งประกายระยิบระยับ
ลมร้อนพัดผ่านใบหน้าทำเอาเจ้าคนข้างๆที่ทำอย่างไรก็ไม่ชินกับความร้อนเสียที เหงื่อออกพลั่กๆ

"อย่างกับทะเล สวยนี่หว่า"
ไอ้เจ้าสองพูดก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผม เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นเป็นประกายเมื่อแดดกระทบ อย่างกับหนังโรแมนติกเลยวุ้ย..

"กูลงไปตรงนั้นได้ปะ"
มันพูดก่อนจะชี้ลงไปบริเวณด้านล่างของเขื่อน ที่ที่มีทรายขาวเป็นแนว ดูคล้ายหาดทรายจริงๆ

"อันตราย มารอดูพระอาทิตย์ตกกันดีกว่า" ผมพูด

"แต่กูร้อน"

"อดทนดิวะ"
ผมตอบก่อนตบหัวมันไปครั้งหนึ่ง มันบ่นอุบอิบก่อนจะยอมนั่งบนโขดหินข้างๆผม
เราทั้งสองนั่งมองดูขอบผืนน้ำที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ผมคิดถึงเรื่องราวต่างๆของมันเเละผมตั้งแต่วันแรก ระยะเวลาเกือบ 4 เดือน
จากความเอ็นดูแบบพี่คนโตเอ็นดูน้อง จนพัฒนามาเป็นความรัก
ผมมองคนข้างๆ สายตาเขาเหม่อไปไกลเหมือนกัน ดูไม่ออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่

ท้องฟ้าเป็นสีส้มกับลมในฤดูร้อน ดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนตัวลงอย่างเชื่องช้าเหมือนจะเกียจคร้าน
แต่เมื่อยิ่งใกล้ขอบน้ำมากเท่าไหร่ ความเร็วกลับเพิ่มขึ้น จนช่วงเวลาสุดท้ายที่ดวงอาทิตย์ลับไป
ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น ผมหันไปมองคนข้างๆ และสบตากับสายตาที่จ้องมองอยู่พอดี

ไม่มีคำพูดใดๆเอื้อนเอ่ยจากปากเรา
แต่สายตานั้นได้บ่งบอกทุกอย่าง

เมื่อผมหันกลับไปมองภาพตรงหน้า
ดวงอาทิตย์ก็หายลับไป
...................................

"ไปดูดาวกัน"
ผมพูด ที่เขื่อนแห่งนี้นอกจากตอนเช้าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นยอด
ตอนกลางคืนก็เป็นที่ดูดาวชั้นเยี่ยมเช่นกัน มีไม่กี่คนที่รู้ความลับนี้

"มึงดูเป็นด้วยเหรอ"
เจ้าสองถามผมอย่างตื่นเต้น

"กูเคยฝึกเอาไว้ตอนจีบสาวน่ะ จะได้ดูฉลาดๆ"
ผมตอบอย่างสัตย์จริง เรียกสีหน้าบึ้งตึงเล็กๆจากคนตรงหน้าได้พอๆกับที่เรียกเสียงหัวเราะจากผม

เวลา20.30น. ท้องฟ้าเปิดเหมือนเป็นใจ ทั้งๆที่ในเดือนนี้ควรจะมีฝนมาได้แล้ว แต่กลับยังร้อนและเเห้งเเล้งอยู่
แต่ก็เพราะเหตุนี้ ดวงดาวจึงเห็นชัดเต็มท้องฟ้าราวกับมีจิตรกรมือดีเเต่งเเต้มสีขาวลงบนผ้าใบดำมืด

"อย่างกับอีกโลกหนึ่ง"
คนที่นอนข้างๆผมทึ่งกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาคงไม่ได้มีโอกาสเห็นบ่อยนัก

"นั่นดาวไรวะ ใหญ่สัส"

"ดาวศุกร์ มันอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต มึงเห็นดาวดวงนั้นไหม ทิศตะวันตกประมาณ 30 องศา ดาวเสาร์ในกลุ่มดาวหญิงสาว ..มึงนี้โชคดีนะเนี้ย ได้เห็นของดี"
ผมพูด มองคนข้างๆทึ่ง

"มึงบอกกูมาตามตรง มึงศึกษาเอาไว้จีบสาวรึไปเป็นนักบินอวกาศ"
มันพูดเหน็บแนม(รึชื่นชม?) ผมหัวเราะ

"เอาไว้จีบมึงนั่นแหละ"
ผมพูด ดีดหน้าผากมันไปทีหนึ่ง มันบ่นอุบอิบประมาณว่าไม่ต้องจีบแล้ว ยิ่งทำให้ผมหมั่นเขี้ยวขึ้นไปอีก
อยากจะขย้ำๆมันตรงนี้เสียเลย

หลังจากนั้นเจ้าสองก็ถามนู้นนี้เรื่องดวงดาวไม่หยุด ผมตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่มันก็ตั้งใจฟังทุกคำพูด เหมือนอยากจะเก็บช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด

พอฟ้าเริ่มปิด เมฆเคลื่อนตัวมาบัง เราถึงได้เดินทางกลับที่พัก
...................................

พอกลับถึงห้อง ผมเข้าไปสวมกอดมันจากด้านหลังทันที จมูกก็ไซร้บริเวณลำคอ มือผมเริ่มซุกซน เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ

"...เดี๋ยวๆ "
ไอ้สองพูด พยายามจะขยับตัวออกจากวงเเขนผม มึงอย่าพึ่งขัดได้ไหมเนี่ย คนกำลังมีอารมณ์!

"อะไรวะ"
ผมงึมงำถาม มือยังไม่หยุดเลื่อน

"กูต้องเตรียมตัวก่อน!"
เมื่อเห็นผมยังไม่หยุด มันจึงถามขึ้นมาว่า

"เดี๋ยวนะ ไอ้พี่กฤษณ์ มึงเคยมีเซ็กส์กับผู้ชายไหม"
ผมส่ายหัว คงไม่ต่างกัน..

"กูฝีมือดีน่า ไม่ต้องห่วง"

"ไม่ได้! หยุด! "
อยู่ๆเจ้าสองก็ย่อตัวลง หลุดออกจากวงเเขนผม มันหันมามองผมอย่างเอาเรื่อง

"อย่าบอกนะว่ามึงไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย?! มึงบอกชอบกู จัดการทุกอย่างเหมือนมึงชินเรื่องแบบนี้มาก แต่มึงไม่ใช่เกย์?"

"ตอนนี้กูเป็นเเล้วไง"
ผมพูด ไม่เห็นมันจะมีปัญหาตรงไหน ไอ้สองขมวดคิ้ว อึ้ง ดูสับสน สักพักก็ถอนหายใจ

"คืออย่างนี้ การมีเซ็กส์ของผู้ชายด้วยกันมันไม่เหมือนชายกับหญิง ถ้ามึงทำไม่เป็นกูจะเจ็บมาก ไม่มีทางที่กูจะเสร็จ"

"มึงเคยแล้วเหรอ?"
ผมถามอย่างอึ้งๆ คิดมาตลอดว่าเจ้าสองก็เป็นเหมือนผม คือเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงมาก่อนจนมาเจอผม
มันพยักหน้า

"แน่นอน"
มันพยักหน้าอย่างอวดๆ มีอะไรน่าอวดตรงไหน?!

"แล้วกูต้องทำอะไรบ้าง"
ผมถาม

"จริงๆมึงไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ห้าม! ใส่เข้าครั้งเดียว แรงๆ เด็ดขาด มึงต้องอดทนนิดหน่อย ตอนแรกนะ
แล้วหลังจากนั้นกูสัญญาว่าจะบริการให้"

"แล้วไอ้เตรียมตัวอะไรของมึงล่ะ"

"กูต้องล้างทางเข้าก่อน โอ๊ยย มึงอย่าให้กูอธิบายหมดได้ไหมเนี่ย กูไม่ได้หน้าด้านเหมือนมึงนะเว้ย!"
เจ้าสองพูดพลางหน้าแดง

"มึงบอกวิธีมา เดี๋ยวกูช่วย กูต้องศึกษาไว้"
มันยกนิ้วกลางให้ผม

หลังจากนั้นผมก็ช่วยมัน'เตรียมตัว'อย่างทุลักทุเล ไอ้เจ้าสองมันเล่าให้ฟังถึงเรื่องแฟนคนเเรกที่เป็นผู้ชายของมัน สมัยอยู่มหาลัยปี1 ประสบการณ์มีเซ็กส์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก

"จริงๆมึงไม่ต้องช่วยก็ได้"
ไอ้สองพูด ยกมือปิดหน้า ขณะผมพยายามฉีดน้ำเข้าไปล้างทางเข้าเป็นรอบสุดท้าย

"มึงจะอายอะไร"

"โอ้ย ไอ้เหี้ยยกฤษณ์ มึงเห็นอย่างงี้มึงมีอารมณ์เหรอวะ"

"ไม่อ่ะ"
ผมตอบตรงๆ ผมรักมัน แน่ล่ะ แต่ผู้ชายเปลือยๆไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ผม หมายถึงตอนนี้น่ะนะ

"ไอ้สัส มึงแม่ง.."
ไอ้สองบ่นด่าผมเบาๆ หน้ายังไม่หายแดง ก่อนมันจะไล่ผมออกมารอข้างนอก

"กูอยากช่วยให้เสร็จ!"
ผมตะโกนเข้าไป

"มันเสร็จแล้ว! กูจะอาบน้ำ! อย่าเสือก"
เสียงดังออกมาจากห้องน้ำ น้ำเสียงดูหงุดหงิด แต่ผมอารมณ์ดีเกินกว่าจะมาคิดเรื่องเล็กน้อย

...................................

"มึงนอนลง"
สองจัดแจงที่ทางให้ผม ผมขมวดคิ้ว สงสัย

"กูจะ On top "
มันพูด หน้าแดงจัด ผมตื่นตัว แต่เลือกปล่อยให้เจ้าสองนำ
ไอ้กฤษณ์น้อยถูกมือเรียวยาวกระตุ้นจนเริ่มแข็งขึ้น ผมเอื้อมมือไปจัดการให้คนตรงหน้าเช่นกัน

"อื้อ.."
เมื่อจังหวะถูกเร่งเร้า เจ้าสองก็หยุดมือที่ทำอยู่ให้ผม เปลี่ยนไปกุมมือเร่งจังหวะผมแทน มันทิ้งน้ำหนักลงต้นขาผม
เมื่อเห็นใบหน้าตอนใกล้เสร็จของมัน สารภาพ..ผมมีอารมณ์แล้ว มากด้วย

หลังจากเจ้าสองเสร็จ มันก็ทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง ริมฝีปากนุ่มที่จูบโคนเจ้ากฤษณ์น้อย ลิ้นร้อนๆที่ไล่เลียขึ้นมา ช่วงล่างผมที่ตื่นตัวอยู่แล้วยิ่งแข็งขืนขึ้น

"..สอง มึง ไม่ จำเป็น.."
ผมพูด พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้จับมันพลิกแล้วยัดส่วนร้อนใส่ช่องทางมันเดี๋ยวนี้
มันเหลือบตาขึ้นมองผม

"ถุงยาง"
ผมยื่นมือเอาถุงยางที่เตรียมมาให้ มันใช้ปากใส่ให้ผม
พระเจ้า! มึงช่ำชองจนกูชักหึงแล้วนะ ในอดีตมึงทำให้ใครบ้างวะเนี่ย

"เจล"
ผมยื่นมือเอาเจลหล่อลื่นที่เตรียมมาให้ มันบีบลงก่อนจะทารอบน้องชายผม แล้วใช้เจลทารอบช่องทางมัน
ผมจ้องดูทุกการกระทำ
จนกระทั่งมันสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางตัวเองหนึ่งนิ้ว

"หนักปะ"
มันยังอุตส่าห์หยุดมาถาม ผมส่ายหัว..มึงนั่งมานานขนาดนี้ นั่งต่อเถอะ กูไม่ว่า!
หลังจากนั้นเจ้าสองก็สอดนิ้วเข้าเพิ่มอีก 1 นิ้ว สีหน้าดูไม่ดีนัก หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆขยับนิ้วเข้าออก
ตอนแรกๆก็ช้า หลังจากนั้นเร็วขึ้นและครางชื่อผมเบาๆ

บอกผมทีสิว่าไอ้ภาพร้อนแรงตรงหน้านี้ไม่ได้ออกมาจากหนังเอวี!

ตอนที่เจ้าสองค่อยๆยกตัวขึ้นแล้วกดน้ำหนักลงบนแกนกลางของผม ผมก็แทบทนไม่ไหวแล้ว
มันพยายามเอาตัวผมเข้าอย่างทุลักทุเล ผมก็พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้กระเเทกตัวขึ้น

"สอง..มึง..ผ่อนคลายหน่อย..สัส"
ผมกัดฟันพูดอย่างยากลำบาก ข้างในตัวเจ้าสองมันรัดแน่นจนผมปวดตุบๆ ผมมองหน้ามัน หน้าแดง ดูทรมานนิดๆ มันกัดริมฝีปากล่างอย่างพยายามข่มความเจ็บปวด...มึงแม่งโคตรเซ็กซี่!

"..อ๊ะ!!..ไอ้เชี่ยกฤษณ์!! มึงจะใหญ่ขึ้นทำไมวะ"
หลังจากนั้นสักพัก เจ้าสองก็เริ่มขยับตัว ตอนแรกก็เป็นไปอย่างช้าๆ สักพักเมื่อจังหวะเริ่มเร็วขึ้นผมจึงเปลี่ยนมาเป็นคนนำ ผมจับสะโพกของคนตรงหน้า ก่อนจะขยับกระเเทกเข้าออก เมื่อพบว่าคนตรงหน้าใบหน้าเริ่มแดงจัด ดวงตาปรือและส่งเสียงครางไม่เป็นภาษา
ผมพลิกตัวให้ร่างบางกว่าอยู่ข้างล่าง ก่อนจะเดินหน้าขยับตัวอีกครั้ง

...................................

"เจ็บ!"

"เออกูขอโทษ กูยังไม่ถนัด"
ผมก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด จริงๆผมเชี่ยวชาญในเรื่องเซ็กส์ในระดับที่ไม่เคยมีใครดูถูก
คู่นอนของผมคนแล้วคนเล่าก็ชื่นชม ผมมั่นใจในฝีมือตัวเองนะ ว่าทำให้เจ้าสองเสร็จได้แน่ๆ แต่ความมั่นใจผมถูกคนตรงหน้าทำลายเสียเกือบยับ

"ม..ไม่ใช่อย่างนั้น..มึงทำดีนะ แต่รอบท้ายๆอ่ะ มึงไม่ฟังกูเลย"
เจ้าสองพูด หน้าแดงก่ำ ผมคิดถึงรอบท้ายๆ..เออ กูขอโทษ อารมณ์มันพาไป! ผมยิ้มแหยๆ

"ไว้คราวหน้ากูแก้ไขให้"
ผมพูดก่อนจะจูบหน้าผากมัน

"มากูพาไปอาบน้ำ"
ผมพูดก่อนจะยกมันขึ้นเหมือนเด็กๆ เจ้าสองโวยวายเล็กน้อย เมื่อผ้าห่มหลุดลง ผมก็ได้เห็นร่างเปลือยเปล่า รอยแดงเป็นจ้ำๆจากรอยจูบ รอยดูดและงับนิดหน่อย(หมั่นเขี้ยว) กลับเป็นผมเองที่เห็นแล้วเขินในรอยพวกนี้

"มึงดูไว้เลย! มึงอ่ะ ตัวกูช้ำไปหมด"
มันบ่นหน้างุด แต่มันน่ารักเสียจนผมอยากจับมันทำอีกรอบ...ในห้องน้ำไง

"มึงหยุดความคิดมึงซะไอ้พี่กฤษณ์ กูไม่เอา Morning sex! "
ไอ้แมวน้อยมันฉลาดวุ้ย! ผมยิ้ม เกาหัวแล้วหัวเราะแหะๆ

"เปล่าๆ กูไม่ได้.."

ดูเหมือนว่าการพัฒนาความรักฉบับบนเตียงของเราสองคน ยังต้องใช้เวลาอีกนาน

...................................

"พี่สอง~ นี้ของขวัญจากแก้วนะคะ"
ยัยแก้วถือกล่องเล็กๆผูกโบว์น่ารัก ก่อนจะยื่นให้เจ้าสอง เสร็จแล้วน้องสาวผมก็โผกอดเจ้าตัวดี

"เดินทางปลอดภัยนะคะ กลับมาเยี่ยมพวกเราด้วยนะ ฮึก.."
ยัยแก้วร้องไห้ เจ้าสองก็น้ำตาซึมๆ

"ขอบคุณครับ พี่จะมา"

"อันนี้ของฝากจากลุง ไปดีมาดีนะเจ้าสอง เหนื่อย อยากพักก็กลับมาได้เสมอนะ ที่นี้ต้อนรับสองเสมอ"
ลุงชัยให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไร่เราไป ทั้งขนมทั้งนมอัดเม็ด คาดว่าเจ้าสองจะมีขนมให้กินไปอย่างน้อยครึ่งปี

"เหล้าขาวลุงป่องเดี๋ยวกูส่งตามไปให้ เอาขึ้นเครื่องไม่ได้"
ผมพูดเบาๆ มันหัวเราะ

"ไปดีมาดีนะลูก"
ป้าน้อยเดินมากอดเจ้าสอง มันกอดตอบ น้ำตาซึม

"นี้เป็นของที่ป้าๆลุงๆให้ ไม่ได้แพงมากมายอะไร แต่.."

"ไม่เป็นไรครับ สองขอบคุณมาก"

"ส่วนนี้เป็นของขวัญจากพี่ๆในสำนักงาน ฝากให้คุณสองค่ะ"
น้องฟางเดินมาพร้อมกับมอบกล่องของขวัญขนาดกลางให้เจ้าสอง หลังจากขอบคุณร่ำลากันเรียบร้อย เจ้าสองก็เดินหอบข้าวของมาขึ้นรถคุณนายแดง ผมพยักหน้า ก่อนจะขับพามันออกจากไร่แห่งนี้ ไปสู่สนามบิน

...................................

"นี้คือของขวัญจากกู"

ผมมอบกล่องขนาดกลางให้ มันมองผมก่อนจะเดินเข้ามา อ้าเเขนเพื่อจะกอด แต่ผมจับศรีษะคนตรงหน้าเงย
กดริมฝีปากลง ก่อนจะแทรกลิ้นลงจูบคนตรงหน้า

ดูดดื่ม เร่าร้อน ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
เจ้าสองหน้าแดง หายใจหอบตอนที่ผละออกจากผม

"สองรักพี่กฤษณ์นะ"
มันพูดเบาๆ ก้มหน้างุด แหม..ช่างน่ารัก น่าเอ็นดูอะไรเเบบนี้!

"ของที่ให้นี่จะรักษาเท่าชีวิตเลย"

"เอ่อ..ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ของธรรมดาๆเอง"

"ไม่ได้ ก็มันเป็นของที่พี่กฤษณ์ให้สองไว้ดูต่างหน้า..ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะมีโมเมนต์โรแมนติกกับเขาเหมือนกัน"

"เอ่อ..มันก็คงใช้ดูต่างหน้าได้ละนะ แต่..อืมม..เอาไว้ใช้ประโยชน์น่าจะดีกว่า"

"หือ? อะไร นาฬิกาเหรอ?!"
เจ้าสองพูดด้วยความอยากรู้ก่อนจะเปิดกล่อง

แป้งเย็นตรางู (ผมรู้ คุณก็ใช้!)

"ไอ้พี่กฤษณ์!!! "



 :hao3: สวัสดีค่ะ ผู้เขียนมีความยินดีและสนุกเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอตอนที่ 6 ความเป็นผู้ใหญ่ นี้

ในชีวิตหากเป็นเรื่องความรัก เราต่างอยากให้ตอนจบได้เป็นแฟน มีโมเมนต์หวานๆ
อยู่ด้วยกันตลอดไปอย่างมีความสุข แต่ชีวิตไม่เคยจบจนกว่าเราจะตาย บททดสอบบทเเล้วบทเล่าถูกโยนเข้ามา
เหวี่ยงและหมุนเราไปรอบๆ ทำให้เราบอบช้ำ แต่เติบโตขึ้น

พี่กฤษณ์นั้นเป็นคนที่เลือกแก้ปัญหาซับซ้อนโดยวิธีเรียบง่ายจนน่าประหลาดใจ
ทั้งๆมุมมองที่เขามีต่อโลกและการดำเนินชีวิตไม่ได้โลกสวย ไม่ได้เรียบง่าย
แต่ไอ้นิสัยมองโลกตามความเป็นจริงนี้ก็มีข้อดี ทำให้เขารู้ว่าไม่ควรยึดติดกับอะไรมากนัก
แต่ก็ซื่อสัตย์พอที่จะไม่หลอกตัวเอง

เวลาเราคิดบทของตัวละคร ทั้งการกระทำ และคำพูด
เราจะคิดจากพื้นฐานของตัวละครนั้นๆ เขามีประสบการณ์อย่างไร เติบโตมากับครอบครัวเเบบไหน เคยพบเจออะไร
คนแบบนี้จะทำอย่างไร
ถ้าเทียบกันเเล้วพี่กฤษณ์เป็นตัวละครที่เขียนบทและพฤติกรรมง่ายกว่าน้องสองค่อนข้างมากค่ะ
รายนั้นเเทบต้องเอาจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์มาเปิด
แต่ที่เทียบไม่ได้เลยคือ ตัวละครที่ซับซ้อนมีปมลึกอย่าง เจ้าตั้ม  :katai3: หรือเฮียหนึ่ง :katai1:
ซึ่งจะขนมาให้พบกันในตอนหน้า ตอนที่เจ้าสองกลับกรุงเทพเเละเจอสังคมของเขาค่ะ

สุดท้ายแล้วขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ //โค้ง
เพราะตัวเลขจำนวนคนอ่านที่(หลง)เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้แหละค่ะ
ทำให้เราสนุกกับการเขียนนิยายมากขึ้นไปอีก :bye2:

#Anynomous

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่7:07/11)
«ตอบ #11 เมื่อ07-11-2017 16:30:38 »

 ตอนที่ 7 :แวดวงและความคิดถึง

"กูคิดถึงมึงมากกก!"
เสียงไอ้ตั้ม คือเสียงแรกที่ผมได้ยินหลังออกจากgateway มันเดินมาช่วยผมถือของ ข้างๆมันคือพี่ชายของผม ที่สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

"ไหนคนขับรถ"
มันหันไปถามเฮียหนึ่ง เขาพยักหน้าไปทางพี่ป้อง(คนเดิม เพิ่มเติมคือดูเหนื่อยขึ้น!)
ไอ้ตั้มมันยื่นของให้พี่ป้องขนขึ้นรถ .. กูว่าแล้ว! อย่างมึง ช่วยกูถือได้ไม่ถึง 3 ก้าว!!

"จริงๆกูถือเองก็ได้"
ผมพูด เสียงฟังอ่อนล้าอาจเพราะพึ่งเดินทางมา (และแอบร้องไห้นิดหน่อยตอนอยู่บนเครื่อง)

"ไม่ให้มันถือจะให้มันทำอะไร? ยืนฟังกูเม้าท์งั้นเหรอ พูดไรไม่เข้าเรื่อง"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะโบกมือให้พี่ป้องเดินนำเอาของไปเลย ผมส่ายหัวเล็กๆแต่ก็ไม่รู้จะเถียงมันไปทำไม จึงเลิกพยายาม
ผมกดโทรศัพท์โทรหาพี่กฤษณ์

"ฮัลโหล กูถึงเเล้วนะ"
เฮียหนึ่งลอบมองดูผมอย่างขัดใจ ผมไม่สน ยังโกรธเรื่องที่เขาบังคับผม เขาเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ไร้สาระยิ่งกว่าผมเสียอีก เฮียจะต้องเสียใจที่ทำกับผมแบบนี้ ผมหันมาให้ความสนใจเพื่อนสนิทแทน คนที่เฮียเกลียดนักเกลียดหนา

"ไหนๆมึงกลับมาแล้ว กูก็ต้องจัดปาร์ตี้ต้อนรับกลับ มันเป็นธรรมเนียมถูกมะ"
ไอ้ตั้มพูดไม่รู้หนาวรู้ร้อน นิสัยคุณหนูเอาแต่ใจ ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะ

"มึงพอเลย ปาร์ตี้เหี้ยไรของมึงทำกูปวดประสาท"
ผมพูด คิดถึงความยุ่งยากครั้งหลังสุดที่ปาร์ตี้ของไอ้ตั้มมอบให้

"รับรอง คราวนี้กูจะสเเกนยิ่งกว่าสแกน คัดคนอย่างดีเพื่อมึง มึงกลับมาเพื่อเริ่มทำงานเลยใช่ไหมละ?"
ไอ้ตั้มมันพูดอย่างภูมิใจ(?) ที่ทำให้เฮียหนึ่งมีสีหน้าขัดใจได้ เนื่องจากไอ้ตั้มรู้เรื่องราวในชีวิตผม(เกือบ)ทุกระเบียดนิ้ว
ด้วยความที่มันเป็นคนขี้เสือก เอ๊ย! ด้วยความที่มันเป็นเพื่อนสนิท ผมจึงเล่าให้มันฟังหลายๆเรื่องอยู่แล้ว

"ว่าแต่ น้องอิงอิงเป็นไงบ้างวะ ตอนนั้นกูเห็นเปลี่ยนแท็กกูเป็นแท็กมึง คบกันแล้วเหรอวะ"
ผมถาม ไอ้ตั้มยิงฟัน ยิ้มตาหยี

"ฟันแล้วทิ้งว่ะ ผู้หญิงแบบนั้นอย่าไปสนใจเลย"
มันพูดแบบสบายๆแต่ผมขนลุกนิดๆ มึงนี่มันเหี้ยมได้ใจกูเหลือเกิน..

"เอ้อ สอง ไหนๆของมึงก็ขนไปแล้ว มึงไปกินของหวานบ้านกูก่อนไหม กูเอารถมานะ หรือ มึงจะไปกับพี่มึง"
มันถาม ยิ้มแล้วมองเฮียหนึ่ง ผมยักไหล่ มันรู้คำตอบของผมดี

.............................

"ไซย่ากั๊บ ไซย่าคนสวยย~"
ผมอ้าแขนรับเจ้าไซย่าหมารักของผมและเจ้าตั้ม  มันกระโดด พยายามจะกัดหูผม
"มันลืมมึงล่ะ"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะรีบตะครุบมันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อเพื่อนสุดหล่อของมัน(ผมเอง)

"ได้ไงวะ ไซย่ากั๊บ นี้เฮียสองนะกั๊บบ คนซื้อมึงเนี่ยย"
ผมพูดขณะที่ไซย่าเห่าใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง ไอ้ตั้มหัวเราะจนน้ำตาไหล ก่อนจะสั่งคนรับใช้เอาเจ้าไซย่าไปเก็บ(สวนหลังบ้าน)

"มึงทะเลาะเหี้ยไรกับพี่อีกวะ มันให้มึงกลับก็ดีแล้วไม่ใช่เรอะ"
ไอ้ตั้มถามขึ้นขณะมองผมนอนเอกเขนกบนโซฟาบ้านมันอย่างสบายใจราวกับเป็นบ้านตัวเอง

"กูยังไม่อยากกลับ แม่งพูดไม่รู้เรื่อง ห้ามนู้นห้ามนี้ ทำยังกะกูเป็นเด็กประถม"

"ทำไมถึงไม่อยากกลับวะ"
ไอ้ตั้มถาม ผมลังเลว่าจะบอกมันเรื่องพี่กฤษณ์ดีไหม .. แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของไอ้พี่กฤษณ์ ตอนเขาแนะนำผมกับเพื่อนๆ หรือตอนที่เขาสารภาพความรู้สึกออกมาตรงๆ การปิดบังเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทก็ดูจะไม่ยุติธรรมไปหน่อย

"กูคบกับเพื่อนเฮียอยู่ว่ะ"

"ไอ้สัส!! พี่กฤษณ์ของมึงน่ะนะ?!! "
ไอ้ตั้มดูตกใจมาก ผมพยักหน้ารับ

"ไหนมึงบอกว่ามันน่ารำคาญไง?! ไหนว่ามันชอบแกล้งมึง?! ไหนว่ามันชอบทำตัวเหมือนพ่อ?!!"

ผมยักไหล่
"มึงก็รู้กูลูกติดพ่อ"

"ไอ้สัส"
ไอ้ตั้มส่ายหัว พึมพำอะไรบางอย่าง มองหน้าผม ทึ้งหัวตัวเอง มันดูหงุดหงิดงุ่นง่านจนผมขำ

"มึงเป็นเหี้ยไร หวงเพื่อนเหรอสัส"
ผมใช้เท้าเขี่ยตูดมัน แกล้งแซวมันเล่นๆ มันหันขวับ

"มึงไม่เคยบอกกูว่ามึงชอบผู้ชายได้ด้วย!"

"กูจะรู้ไหมว่ามึงอยากรู้ ไอ้สัส"
กูชอบพี่กฤษณ์ และมันเสือกเป็นผู้ชายเองนี่หว่า!

"ปาร์ตี้กลับมาอะไรของมึงเนี่ยอย่าทำให้กูมีปัญหาอีกนะ กูไม่ชอบ"
ผมพูดเบาๆ มองหน้าเพื่อนสนิทที่ยังช็อกไม่หาย มันพยักหน้ารับ

"กูวางแผนว่าจะจัดเบาๆ ให้พวกนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงมาคุยๆกันหน่อย เผื่อมึงได้ติดต่อกับพวกเขาในอนาคต"
ผมพยักหน้ารับ ใครว่าเพื่อนผมเป็นคนไม่ดี เศรษฐีขี้เหล้าเมายา มาดูนี่!
หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป จนกระทั่งป้าเเจ่มยกขนมหวานมาเสิร์ฟนั่นแหละ

"ขอบคุณนะครับ ป้าแจ่ม จำได้เสมอเลยนะครับว่าสองชอบไอ้เนี่ยอะ"
ผมกล่าวขอบคุณพลางยิ้มเล็กๆ ป้าแจ่มเป็นคนรับใช้เก่าแก่ในบ้านไอ้ตั้ม ผมที่มาคลุกคลีกับไอ้ตั้มตั้งแต่เด็กๆ จึงพลอยได้รู้จักและสนิทกับป้าเเจ่มด้วย

"ขนมครกนะค่ะคุณสอง"

"เขาเรียกขนมครกโว้ย"
ไอ้ตั้มกับป้าเเจ่มพูดพร้อมกัน ไอ้ตั้มมองป้าเเจ่มอย่างหงุดหงิด

"ยังไงผมก็ต้องอธิบายให้สองฟังอยู่เเล้ว เป็นคนรับใช้อย่าพูดแทรกได้ไหม กลับครัวไปเลยป้า..โอ๊ยย!!"
มันร้องเสียงหลงตอนผมตีไหล่มันเเรงๆเพลี๊ยะหนึ่ง

"มึงจะเเย่งป้าเเจ่มอธิบายเรื่องขนมครกทำเหี้ยไร หาเรื่องไม่เข้าเรื่องสัส"
ผมทำสีหน้าโกรธ ผมเข้าใจดี ไอ้นิสัยมีอำนาจและใช้มันจนเคยชิน แต่นี้มันเรื่องปัญญาอ่อน แถมป้าเเจ่มยังเป็นไม่กี่คนที่อยู่ในความทรงจำวัยเด็กของพวกเราทั้งคู่ ถ้าไม่นับแม่นมไอ้ตั้มที่เสียชีวิตไปแล้วน่ะนะ..

"กูขอโทษ"

"ไปขอโทษป้าแจ่มนู่น มึงแม่งปัญญาอ่อน"
ผมบ่นก่อนจะสายหัวเบาๆ

.............................

หลังจากเล่นบาสกับไอ้ตั้มจนเหนื่อย ผมก็ขอห้องนอนพัก(ห้องบ้านมันเยอะครับ เปิดรับแขกห้องสองห้องไม่เสียหาย)
รอเย็นๆว่าจะอาบน้ำแล้วออกไปงานพร้อมไอ้ตั้มเลย

พอได้อยู่คนเดียวในหัวก็คิดเรื่องในไร่อีกครั้ง
โกรธเฮีย คิดถึงเรื่องราวในไร่ คิดถึงทุกคน โดยเฉพาะไอ้พี่กฤษณ์ นี้พึ่งห่างกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ..
ถ้าเป็นเดือนผมจะทนไหวเหรอ..เวลานี้พี่กฤษณ์น่าจะใกล้เลิกงานเเล้ว หรือไม่ก็กำลังไปรับน้องแก้ว
ผมกดโทรศัพท์

"ว่าไง"
เสียงปลายสายดังมา เสียงนุ่มทุ้มที่ผมคุ้นเคย

"เปล่า กูโทรมาเฉยๆ"
ผมพูดเพราะคิดอะไรไม่ออก กูแค่อยากได้ยินเสียงมึง..

"กูก็คิดถึงมึง"
..กูไม่ได้พูดสักคำว่าคิดถึง! แต่ก็เอาเถอะ..ผมคิดถึงพี่กฤษณ์จริงๆ คิดถึงแววตาที่มองผมด้วยความรักและหยอกล้อ
คิดถึงการกวนตีนหน้าตาย การแสดงความรักแบบไม่แคร์สื่อ คิดถึงมือหนาที่กุมมือผมไว้ คิดถึงริมฝีปาก..

ผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ..
กำลังสงสัยว่า Sex phone เป็นส่วนหนึ่งของการคบระยะไกลด้วยหรือเปล่า!

"พี่กฤษณ์.."
ผมพูดเสียงเบาพร้อมๆกับอารมณ์ที่เริ่มคุกกรุ่น

"ว่า?"

"ผมคิดถึงพี่.."
เสียงกูเซ็กซี่พอยังวะ..(ว่าแต่..คนปกติเขาเสียเวลามานั่งคิดเรื่องอะไรแบบนี้ไหม?!!)

"สอง มึงกำลังช่วยตัวเองอยู่เหรอวะ"
..ไอ้นี่ก็จริงใจกับกูเหลือเกิน! มึงจะบังคับให้กูพูดทุกอย่างเลยไหม?!!

"กูอยากให้มึงช่วยมากกว่า"

"อือ แปปๆ กูขับรถอยู่ จอดแม่งข้างทางนี้แหละ"

"เร็วๆ"

"อย่าเอาแต่ใจดิสัส..."

"อือ..พี่กฤษณ์..เร็วๆ"
ผมพูดเสียงกระเส่าเพราะกำลังขยับมือรูดขึ้นลงส่วนแกนกลางของตนอยู่..ผมไม่เคยเล่น Sex phone แต่พอจะเดาออกว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ผมเล่าสิ่งที่กำลังทำให้พี่กฤษณ์ฟังอย่างละเอียด และได้ค้นพบตัวเองในขณะนั้นว่า

ถ้าเป็นเรื่อง Sex กูเองก็หน้าด้านไม่แพ้ไอ้พี่กฤษณ์มันเลยนี่หว่า!

.............................

หลังจากเสร็จแล้วผมต้องมาทนฟังไอ้พี่กฤษณ์บ่นเรื่องความเอาแต่ใจของผมอีก

"มึงรู้ใช่ไหมคุณนายแดงกระจกแม่งอย่างใส ฟิล์มกูก็ไม่ได้ติด มึงจะรอให้เย็นก่อนไม่ได้เหรอวะ.."

ผมได้แต่หัวเราะเเหะๆตอบไป

"ก็กูคิดถึงมึงนี่"
ผมตอบเสียงอ่อยๆ

"ทำอย่างนี้บ่อยๆเดี๋ยวกูได้ลักพาตัวมึงมาขังสักวัน"
ไอ้พี่กฤษณ์พูดน้ำเสียงเหี้ยมๆ แต่ผมตาวาว

"เอาเลย! กูอยากโดนขัง ขอแรงๆนะ!"
ผมพยายามลดน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าลง แต่ไม่สำเร็จ ได้ยินเสียงปลายสายบ่นอุบอิบว่าผมเป็นพวกมาโซคิส แต่ผมไม่สนใจ กำลังมีความสุขสุดๆ

"มีความอดทนหน่อยดิวะ"
พี่กฤษณ์บ่นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

"ตอนกูบอกจะเสร็จแล้วมึงยังให้กูใส่นิ้วไปใหม่เลยนี่ มึงเองก็เหมือนกันแหละ!"

ผมเถียงอย่างไม่ยอมเเพ้ ถ้ามึงมาเล่นกับกู มึงต้องเล่นให้จบ และกูจะไม่ใช่คนแพ้ด้วย!
หลังจากนั้นเราก็เถียงเรื่องไร้สาระกันต่ออีก 2-3 ประโยค ก่อนผมจะบอกพี่กฤษณ์ถึงเรื่องงานปาร์ตี้วันนี้
พี่กฤษณ์เตือนผมให้ระมัดระวังเรื่องการดื่ม(ถ้ามึงได้มาเห็นตัวเองตอนเมา มึงจะไม่อยากดื่มอีกเลย พวกเหล้าเบียร์เนี่ย) การวางตัว ก่อนจะถามถึงเฮียหนึ่ง

"ไม่รู้ กูไม่อยากคุย"

"มึงไปคุยซะ จะทำงานเเล้วไม่ใช่เหรอ ทำตัวเป็นเด็กไปได้"
ผมหน้ามุ่ย

"พูดไปเฮียก็ไม่เข้าใจหรอก หัวโบราณจะตาย มันเเต่งงานกับกูได้มันทำไปละ!"
ผมบ่นอย่างหงุดหงิด ไม่อยากนึกถึงหน้าไอ้พี่ชายจอมบงการ

"มันเป็นห่วงมึง เหมือนพี่ที่ห่วงน้อง มึงควรไปคุย ทำให้เขาเข้าใจว่ามึงคิดยังไง ไปฟังมันด้วย มึงจะได้เข้าใจพี่มึงมากขึ้น พี่น้องกันมันตัดกันไม่ขาดหรอก"
เมื่อได้ฟังคำแนะนำจากพี่กฤษณ์ ผมก็รู้สึกอ่อนลงเล็กน้อย เขาช่างรู้วิธีทำให้ผมลดความดื้อด้านลงจริงๆ
ผมตอบรับไป บอกว่าขอเวลาสักหน่อยแล้วจะไปคุย เขาก็วางสาย เพราะต้องลงไปรับน้องแก้ว

ผมอาบน้ำ เลือกเสื้อผ้าที่ไอ้ตั้มโยนๆมาให้(ยืมมันใส่ก่อนครับ ของเอากลับบ้านหมดแล้ว) ก่อนจะลงไปนั่งรออยู่ห้องรับเเขกด้านล่าง

"อ้าว คุณสอง กลับมาแล้วจริงๆสินะคะ"

"สวัสดีครับ พี่ตา"
พี่ตา เป็นพี่สาวของไอ้ตั้ม ผมไม่ค่อยรู้จักเธอนัก รู้เพียงคร่าวๆว่าเธอเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในงานของครอบครัวเลยทีเดียว

"ป้าแจ่มคะ เอาน้ำท่ามาเสิร์ฟคุณสองหน่อย ตั้มนี่ก็เหลือเกิน เเขกเหรื่อมาไม่ดูแล"

ผมรีบโบกมือก่อนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่

"ไม่เป็นไรครับพี่ตา ผมมาได้สักพักใหญ่ๆแล้วครับ เดี๋ยวจะออกไปแล้ว รอเจ้าตั้มอยู่"
พอพูดถึงก็มาพอดี เจ้าตั้มวิ่งลงจากบันไดมาพลางจัดเเขนเสื้อให้เรียบร้อย พอเจอกับพี่สาวก็ชะงักเล็กน้อย

"คิดยังไงถึงกลับบ้านละตั้ม ได้ไปดูคุณพ่อบ้างหรือยัง?"

"อยากจะใช้บ้านให้คุ้มหน่อยน่ะ อยู่คอนโดตลอดเดี๋ยวไม่มีใครขวางหูขวางตาพี่ๆน่ะสิ ไปสอง"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะเดินนำผมไปลานจอดรถ ผมเดินออกมา โค้งบอกลาพี่ตาน้อยๆ เธอยิ้มให้ แต่ดวงตาเหยียดหยัน
 ผมยิ้มตอบ

 .............................

"มึงไม่ไปเยี่ยมคุณจิรวัฒน์หน่อยเหรอวะ"
ผมถามขึ้นในความเงียบ ดูเหมือนตั้งแต่เจอพี่สาวแล้วมันจะหงุดหงิดขึ้น 80 เท่า

"กูไม่อยากไปเจอพวกพี่ๆน้องๆประคบประหงมพ่อหวังมรดกน่ะสิ ทำเป็นดูแลตาแก่นั้นอย่างดี แต่ในใจก็หวังให้ตายๆไปซะ จริงๆกูก็หวังไม่ต่างกัน แค่ไม่ได้ต้องการมรดกเท่านั้น"

"แต่กูต้องการนะ อยากมีเพื่อนรวยว่ะ"
ผมพูด และมันหัวเราะขำ จ้องมองมาทางผม

"มึงใส่เสื้อผ้ากูแล้วดูดีนะเนี่ย"

"พูดจาเกย์สัส"

"ส่วนมึงก็เป็นเกย์สัส!" ไอ้ตั้มพูดแซว ผมหัวเราะ
"ตอนแรกกูก็กังวลนะ ว่าสังคมจะมองยังไง จะมีใครรังเกียจกูไหม คนไทยด้วยแม่ง ยิ่งแนวคิดเเปลกๆ.."

"แต่มีคนบอกกูว่า เราห้ามสายตาคนอื่นมองไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปล่อยให้มันมามีอิทธิพลต่อเรามากน้อยแค่ไหน
คนที่พูดเนี้ย แฟนกูเองง"
ผมพูดอย่างอวดๆ ไอ้ตั้มส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างหมั่นไส้

"แต่ก็ยังดีนะที่มึงอยู่ข้างๆกู จนถึงตอนนี้กูยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มคุยกับเฮียหนึ่งยังไงเลย"
ผมพูดด้วยความกังวล

"ไม่ต้องคุย มาอยู่กับกูสิ"

ไอ้สัสตั้มม! มึงนี้เป็นเพื่อนที่ดีเหลือเกิน อยู่ข้างกูเสมอในตอนที่ถูกและผิด แถมตอนกูทำอะไรผิดๆก็เสือกเห็นดีเห็นงาม
เราคงได้กอดคอกันลงนรกในสักวัน เพื่อนรัก!
ผมส่ายหัว

"กูจะไม่คุยได้ไง กูแค่ต้องการเวลา กูไม่อยากหนีปัญหา..มึงก็อีกคน อะไรจัดการไม่ได้มึงก็เลือกหนี ไม่คุย แล้วเมื่อไหร่ปัญหามันจะถูกแก้วะ ทั้งพี่มึง น้องมึง ครอบครัวมึง.."

"ไม่ต้องมาสอนกู โดยเฉพาะเรื่องนี้ อย่ายุ่ง"
มันพูด น้ำเสียงดูโกรธ ไม่มองหน้าผม ผมส่ายหัวเบาๆ ผมเชื่อใจมัน มันเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ถ้ามันจะหันไปเผชิญหน้ากับปัญหาของมัน ผมเชื่อว่ามันจะจัดการได้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พร้อมจะอยู่ข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าทิฐิของมันจะมากเกินกว่าที่ผมจะทลายได้

.............................

ในงานเลี้ยงค็อกเทล งานค่อนข้างเรียบๆ หรูหรา ไอ้ตั้มซึ่งเป็นเจ้าภาพงานอ้างว่าเป็นงานเลี้ยงสำหรับการเปิดธุรกิจคอนโดใหม่ใจกลางเมืองของมัน แขกที่ได้รับเชิญมามีแต่นักธุรกิจรุ่นใหม่แถวหน้า กับดาราเซเลปเพื่อโปรโมตงานอีกนิดๆหน่อยๆ

นักธุรกิจรุ่นใหม่แถวหน้าที่ไอ้ตั้มเชิญมาแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ
ประเภทแรกคือพวกที่รวยมาเเต่อ้อนเเต่ออดเเบบผมหรือไอ้ตั้ม จะจับงานใหม่หรืองานครอบครัวก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง มีโอกาสล้มได้หลายครั้งเพราะมีเบาะดีรองรับ มีคอนเน็คชั่นมาก่อน
ประเภทที่สองคือพวกที่จับอะไรบางอย่างแล้วกลายเป็นทอง ด้วยความสามารถ วิสัยทัศน์ การศึกษา โดยที่เริ่มจากเงินทุนจำนวนไม่มาก ค่อยๆขยายธุรกิจจนเติบโต

เหมือนคนที่คุยกับผมตอนนี้ พี่เปรม เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เขาเริ่มจากการทำตึกเพื่อให้เพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นน้องซื้อเพื่อไปเปิดคลินิค
หลังจากสังเกตว่าความต้องการเปิดคลินิคของคุณหมอทั้งหลาย เพิ่มสูงขึ้น กอปรกับการที่ตนได้ไปรู้จักผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีเครือค่ายใหญ่ จึงหันมาจับธุรกิจทำตึก ทำคอนโด ลามมาถึงที่พักอาศัยด้วย

"แล้วน้องสองนี่เคยขึ้นเครื่องบินส่วนตัวข้ามรัฐหรือยังครับ"
ผมหัวเราะขำในคำถามของพี่เปรม

"ผมจะไปทำอย่างนั้นทำไมพี่ ผมชอบเดินทางน่ะ เพราะงั้นไอ้การเก็บเกี่ยวสิ่งระหว่างทางนี้สำคัญมาก"

"พี่ก็นึกว่าคนรวยๆจะใช้แต่เครื่องบินส่วนตัว ฮ.ส่วนตัวกันเสียอีก"

อันที่จริงผมเคยใช้นะ เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว(เช่ามาครับ) คือ ในนิวยอร์กคนก็ใช้กันออกบ่อยไป รถมันติดนี่นา..

"ไปอยู่ต่างประเทศ ผมก็คนธรรมดาๆแหละพี่ มีเงินบ้างนิดหน่อย ป๊าม๊าไม่ได้สอนให้ฟุ้งเฟ้ออะไร มีแต่ในไทยนี้เเหละที่คนรวยบางคนกลัวคนอื่นไม่รู้ว่ารวย"

ผมหัวเราะขำ พี่เปรมก็หัวเราะ

"บ้านพี่นะ พ่อแม่เป็นข้าราชการ เป็นหมอหมด ตระกูลพี่ก็เหมือนกัน ข้าราชการนี้จะขยันแค่ไหนก็ได้แค่ฐานะกลางๆนะ ถ้าไม่นับพวกสายนักการเมือง บ้านเมืองเรานี้ต้องนักธุรกิจเนาะถึงจะรวย"

ผมพยักหน้ารับส่งๆ ที่ไหนก็เหมือนกันแหละพี่ ตราบใดที่โลกยังเป็นระบบทุนนิยม คนที่ยุ่งเกี่ยวกับทุนย่อมรวยกว่าเสมอ

"คุยกันออกรสชาติเลยนะครับ พี่เปรม แล้วนี่..สองเหรอ"
ผู้มาใหม่ทัก ดวงตาสีเขียวเข้มกับเส้นผมสีน้ำตาล ไอ้ท่าทางมั่นอกมั่นใจ..มีอยู่คนเดียวเท่านั้น หัวโจกของเด็กเกเร เพื่อนผมสมัยประถมและมัธยมต้น

"โจเซฟ?!"

ไอ้นี้เป็นนักธุรกิจในงานประเภทเเรกครับ.. ผมรู้จักมันมาตั้งแต่ยังอนุบาลได้เเล้วมั้ง มันเป็นคนกร่างๆ ครอบครัวทำธุรกิจโรงแรมที่มีสาขาไปทั่วประเทศ ตอนเด็กๆมันตัวโตกว่าเพื่อน ถูกเลี้ยงอย่างเอาอกเอาใจไม่ต่างจากพวกลูกคนรวยทั้งหลาย มันชอบแกล้งเด็กคนอื่นๆที่ดูจะอ่อนแอกว่ามัน ผมไม่เคยโดนมันแกล้งก็จริง แต่ความประทับใจเกี่ยวกับมันแทบจะติดลบ

มันโตขึ้นแล้วคงจะเป็นผู้เป็นคนมากยิ่งขึ้นละมั้ง..

"รู้จักกันมาก่อนเหรอ"
พี่เปรมดูตกใจเล็กๆแต่ก็ยินดีที่จะให้โจเซฟเข้าร่วมการสนทนากับเรา

"เราเคยเรียนด้วยกันสมัยเด็กนะครับ ตอนนั้นเราสนิทกันมากเลยเนาะ สองกลับมาแล้วยังติดไอ้ตั้มหนึบเหมือนตอนเด็กๆเลยนะ"
ไอ้โจพูดก่อนจะหัวเราะเริงร่า พี่เปรมดูตกใจอีกเมื่อรู้ว่าผมสนิทกับไอ้ตั้ม..เลิกตกใจทีเหอะพี่ พวกผมโตมาด้วยกันหมดนี้แหละ จะมีโรงเรียนกี่โรงเรียนกันที่พ่อแม่เราอนุญาตให้ไป!

"ติดหนึบอะไรกันล่ะโจ ผมเองก็มีเพื่อนสนิทจริงๆไม่กี่คนหรอก ใครคบได้ก็คบ คบไม่ได้ก็เขี่ยทิ้งเนาะ"
ผมหัวเราะเริงร่ากว่ามันสักสิบเท่าได้ ก่อนจะยิ้มเหยียดๆใส่ไอ้โจเซฟที่ทำหน้าตึงขึ้น

"เอ้อ พี่เปรมครับ เรื่องที่ผมอยากร่วมลงทุนกับคอนโดของพี่แถวย่านท่องเที่ยวในภาคใต้น่ะครับ ผมมีที่ดินจำนวนหนึ่ง.."
ไอ้โจเซฟพูดแล้วเหลือบตามองผมเป็นสัญญานบอกให้ผมรีบย้ายตัวเองออกจากวงสนทนานี้ ผมไม่ใช่คนหน้าด้าน และที่สำคัญไม่ได้อยากรับรู้เกี่ยวดองกับไอ้โจเท่าไหร่นัก จึงขอตัวออกมา

"ไม่สนุกเหรอสอง"
เสียงเรียบๆเอ่ยขึ้น ข้างหลังผมปรากฎตัวชายหนุ่มใบหน้าคุ้นเคย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน..

"กูวินด์"

"ไอ้วินด์! มึงเป็นไงบ้างวะ"

วินด์เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมคนหนึ่ง เป็นเด็กนักเรียนที่ได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนเพราะทุนการศึกษา
แม้จะยากจนที่สุดในห้องแต่ก็เป็นคนที่เอาอ่าว(?)ที่สุด เขาขยัน ตั้งใจ ได้เป็นหัวหน้าห้องและประธานนักเรียนตอนม.ต้น ผมไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่ เคยคุยกันไม่กี่ครั้งเองมั้ง(จำไม่ได้) เพราะผมเป็นเด็กกลางๆห้อง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ก็รู้จักและชื่นชมเขาจากพฤติกรรมของเขา

"ดี กูมาเพราะได้ข่าวว่ามึงจะมา"

ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดที่ดูมีนัยสำคัญนั้นก่อนจะถามว่า

"มึงก็อยู่ในแวดวงธุรกิจด้วยเหรอนี้ ไหนว่าจะเป็นข้าราชการ"

"มึงจำได้ด้วยเหรอ"

"มึงดังจะตาย ใครจะจำไม่ได้วะ แล้วนี่มึงทำอะไร?"

"กูเป็นทนาย ลงการเมือง ไปทางสายคุณเกรียง"
ผมพยักหน้ารับ มันก็คนหนุ่ม โปรไฟล์ดี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ถูกต้องแล้ว ผมไม่ถามเรื่องการสอบผู้พิพากษา เพราะถ้ามันมาถูกทางอีกไม่นานผู้ใหญ่คงดันมันเอง ...ว่าแต่ ผมชักสงสัยแล้วว่าไอ้ตั้มมันใช้เกณฑ์อะไรเชิญคนมาวะ

"มึงล่ะ"
มันถามเรื่องของผมบ้าง

"กูคงทำงานต่อของครอบครัวแหละ กูไม่ใช่คนเก่งนี่หว่า ปีนด้วยตัวเองคงไม่ไหว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกิดมาโชคดี กูคงเป็นง่อยอยู่แถวข้างถนนนี่หละ"
ผมพูดถ่อมตัวด้วยความสัตย์จริง คิดแล้วก็อดสมเพชตัวเองเล็กๆไม่ได้

"ไม่จริงหรอก มึงเป็นคนเก่ง คนดีด้วย มึงแตกต่างจากพวกนั้น"
แววตาของวินด์ดูหม่นๆลง ผมไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง และไอ้การถูกชมซึ่งๆหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมรับมือถนัดนัก
ผมอึดอัดจึงตั้งท่าจะขอตัวออกไป ขณะนั้นเสียงไอ้ตั้มก็แทรกเข้ามาก่อน

"สอง! มึงมาทำอะไรตรงนี้วะ"
มันมองวินด์ด้วยสายตาเหยียดๆ ก่อนจะลากผมเข้าไปในงาน ไปทำความรู้จักกับคนที่มันคิดว่าผม'สมควร'รู้จักจริงๆ

.............................

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ผมได้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของแผนกย่อย ในส่วนการผลิตสินค้า แทนหัวหน้าคนเก่าที่เกษียณไป(พอดีเหมือนเตรียมมา!)

มันเป็นแค่แผนกย่อยน่า...
แต่ทำไมต้องเป็นหัวหน้าด้วยวะ..

ผมรู้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาว่าพวกพนักงานที่เป็นลูกน้องไม่ค่อยชอบหน้าผมนัก
แต่ก็พยายามประจบประเเจงเพราะรู้ว่าผมเป็นคนสำคัญ
นั่นทำให้งานลำบากยิ่งขึ้นไปอีก พวกเขาไม่ได้เคารพผมจากใจ และไม่เชื่อว่าผมจะจัดการทุกอย่างได้

ในวันแรกๆผมท้อจนต้องโทรไปงอแงกับพี่กฤษณ์
พี่กฤษณ์มักจะรู้เสมอว่าควรพูดอะไร คำแนะนำและกำลังใจจากเขาทำให้ผมกลับมาตั้งใจพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

ผมนึกถึงการบริหารของพี่กฤษณ์
รู้ว่าตอนไหนควรยืดหยุ่น ตอนไหนควรเข้มงวด

"คุณก่อ เอกสารที่ผมให้เตรียมรายงานผมอาทิตย์ที่แล้ว ทั้งอาทิตย์คุณทำมาได้เท่านี้เหรอ?"
ผมถาม ยื่นเอกสารเล่มบางๆที่รูปแบบสวยงามให้

"ผมอยากรู้สถิติการผลิต แหล่งที่มา น้ำหนักของแหล่งที่มาของสินค้า ไม่ใช่ไอ้คำโฆษณาว่าสินค้านี้รักโลกหรือไม่รัก
เราเป็นฝ่ายนายทุน ฝ่ายการผลิต ไม่ใช่ผู้บริโภคหรือ PR ผมไม่ได้ถามหาโปรโมชั่น"
ผมพูด เสียงเรียบ ไอ้งานที่ทำมาพอให้ลูกค้าอ่านผ่านนี้ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่ผมจะรับได้เลยแม้แต่น้อย

"ที่ผมเรียกคุณมาก่อน เพราะคุณเป็นคนรับงานจากผมไป ไม่ใช่ว่าคนทั้งฝ่ายจะไม่ผิด แผนกนี้ต้องการฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง ละเอียดรอบคอบ ผมเองก็ต้องการข้อมูลจากคุณ เพื่อให้ผมทำงานได้ ผมให้เวลา 3 วัน ไปทำมาใหม่
ผมต้องการเนื้อหา ไม่ใช่รูปเล่มสวยงาม"
ผมพูดกับชายตรงหน้า เขาอายุมากกว่าผม ก้มหน้าก้มตารับคำจากผม น้ำเสียงฟังไม่ค่อยพอใจนัก
แต่ผมเองก็คนธรรมดา เรียนรู้ว่าไม่สามารถทำทุกอย่างให้ทุกคนพอใจได้
ผมคิดถึงพี่กฤษณ์ ถ้าเขามาอยู่ตรงนี้แทนผมคงทำได้ดีกว่ามาก...

ผมส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระก่อนจะหันมาสนใจเอกสารตรงหน้า

.............................

หลังจากนั้นอีกสามอาทิตย์ ผมก็ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายที่เข้มงวด ดุดันที่สุดคนหนึ่ง
ผมเอาจริงเอาจังกับการทำงานและการจัดการปัญหาต่างๆ (โดยมีที่ปรึกษาลับๆที่เท่ที่สุด(ปลื้มๆ อยากอวด!))
สลัดคราบเด็กหนุ่มหน้าอ่อนจบใหม่ออกเสียเรียบ ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกว่าเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
เป็นคุณหนูเหยาะเเหยะที่เข้ามาเพราะเส้น ทำอะไรไม่เป็น

"หัวหน้าคะ บริษัท Aeron โทรมาขอลดจำนวนสินค้าที่ส่งได้ในปีนี้ค่ะ"

"เอาสัญญามาเปิดสิ ในนั้นบอกว่าลดได้ไหม ถ้าได้ถึงเท่าไหร่ บอกเขาไปเท่านั้น"

"แล้วเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้าส่วนที่ไม่ผ่านจะให้ทำยังไงคะ"

"ไม่ผ่านจากอะไร เอารายงานมาให้ผมก่อน เดี๋ยวผมดูให้ ต้องให้คนไปติดต่อกับฝ่ายจัดการการผลิตไว้ ถ้ามันแก้ได้เราค่อยแก้ เเล้วเรียกมาตรวจอีกที"

.............................

"ไตรมาสนี้ แผนกการผลิตทำหน้าที่ได้โดดเด่น น่าพึงพอใจมาก"
รองประธานกรรมการฝ่ายบริหารซึ่งก็คือพี่ชายของผม พูดขึ้นในที่ประชุมใหญ่ มีเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะ
ผู้บริหารส่วนใหญ่ทราบดีว่าผมอยู่ในฝ่ายบริหารของแผนกการผลิต

"ผมไม่ได้พูดขึ้นเพื่อชมน้องชายของผม พงศ์พลิน แม้ว่าเขาจะทำได้ดีจริงๆก็เถอะ"
เขาพูดเเล้วเรียกเสียงหัวเราะจากที่ประชุมได้พอสมควร หลังจากนั้นชาร์ตของการสรุปในไตรมาส 3 ของบริษัทก็ฉายขึ้นบนจอ เผยให้เห็นอัตราการเติบโตของฝ่ายต่างๆ กำไรสุทธิ และปันผล

ผลกำไรสุทธิจากฝ่ายของผมเพิ่มขึ้นเกือบ 7% อย่างมีนัยสำคัญ
ผมอดภูมิใจไม่ได้ แต่นี้ยังแค่เริ่มต้น หลังประชุมเสร็จเฮียก็เดินมาหาผม

"เฮียภูมิใจในตัวสอง ขอบคุณนะที่ตั้งใจทำงาน สองทำให้ครอบครัวภูมิใจ"

"ไปขอบใจพี่กฤษณ์นู่น"
ผมพูด เบือนหน้านี้

"เลิกโกรธเฮียสักทีนะครับ..เฮียไม่อยากให้คนอื่นมองสองกับครอบครัวเราไม่ดีนิ จะคบก็คบได้แต่ห้ามเปิดเผย สังคมที่นี้ยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น. "

เฮียมองผมด้วยสายตาวิงวอน ผมขมวดคิ้ว ขัดใจกับคำพูดเฮีย..มองเราไม่ดี คบแต่ห้ามเปิดเผย..

"มีแต่คุณที่มองผมไม่ดี คนอื่นไม่เห็นว่าอะไรเลย ถ้าผมจะคบกับพี่กฤษณ์มันก็เป็นเรื่องของผม และผมจะเปิดเผยด้วย
ถ้าคุณกลัวครอบครัวอับอายนักก็รีบๆเเต่งงานมีลูกซะสิ..เป็นโสดนานๆไม่กลัวสังคมเอาไปซุบซิบนินทาว่าเป็นเกย์มั้งเหรอ? หรือว่าความจริงคุณก็.."

ผมมอง พูดจาร้ายกาจที่สุดที่ไม่คิดว่าจะพูดกับพี่ชายตนได้ คนตรงหน้าเงียบ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด

"แล้วสองจะได้รู้เมื่อโตขึ้นว่าที่เฮียทำเพราะเฮียเป็นห่วงสอง เฮียรักสองจริงๆ
มากกว่าคนที่พึ่งผ่านเข้ามานั่น.."

เฮียแม่งรู้วิธีพูดที่ทำให้ผมโกรธได้ทุกวิธีเลยว่ะ!! ถ้าพี่กฤษณ์เป็นอัจฉริยะเรื่องคำพูดที่ปรึกษา อบอุ่นใจ
เฮียก็เป็นอัจฉริยะเรื่องการพูดที่ทำให้ถูกเกลียดเหมือนกัน!!

"ถ้ารักผมจริงคุณควรปล่อยผมไป"
ผมพูดแค่นั้นและหันหน้าเดินหนีออกไป ไม่อยากพูดแล้วทำให้ทำร้ายความรู้สึกกันมากกว่านี้

เริ่มเข้าใจการหนีปัญหาของไอ้ตั้มเสียแล้วสิ

.............................

 หลังจากจบไตรมาสจะมีการกินเลี้ยงเล็กๆน้อยๆในแผนก ผมกล่าวขอบคุณทุกคนที่ทำงานหนักมาหลายอาทิตย์
กล่าวชื่นชมและบอกผลการเติบโตของฝ่ายเรา หลังจากนั้นก็ปล่อยให้พนักงานแยกย้ายไปเดินหาอะไรกินในงานตามอัธยาศัย แต่ผมกลับไม่เห็นก่อ รองฝ่ายผมที่ทำงานอย่างหนักคนหนึ่ง

"มีใครพอจะเห็นคุณก่อไหมครับ?"

"อุ้ย! คุณสอง รายนั้นนะคงไม่มาหรอกมั้งคะ ก็เเหม..เขานะไม่ชอบคุณสองจะตาย ก็ตอนแรกเขาเกือบจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแล้วนะสิค่ะ"

"รอตั้งนานเสาะ..แต่ คุณสองมาเป็นก็ดีนะคะ คุณสองเก๊งเก่ง หล่อก็หล่อ จบจากเมืองนอกเมืองนา.."
ผมยิ้มรับขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปนอกบริเวณงาน ผมอยากคุยกับเขา

จริงอย่างที่คิด ! เขายืนอยู่ตรงที่ให้สูบบุหรี่ เมื่อเห็นผม เขาก็ทำท่าจะกลับเข้าไปในงาน

"เดี๋ยว! คุณก่อ ผมมีอะไรจะคุยด้วยหน่อย"
ผมพูด และเขานิ่ง ทำท่าเหมือนรอรับคำสั่ง ท่าแบบที่เขาทำเสมอ

"ผมขอโทษ"
ผมบอก

"ผมรู้ว่าผมเข้มงวด เอาแต่ใจ เข้ามาข้ามหัวคุณก็เพราะเส้นสาย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไร้ค่า.."

"คุณสองไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมรู้ตัวดี ผมมันแค่พนักงาน เข้ามาได้ถึงระดับนี้ก็ดีเกินฝันแล้ว
ผมเป็นคนต่างจังหวัด แถมไม่ใช่คนโสด มีภาระลูกเมียต้องดูแล ถ้าให้รับงานเป็นหัวหน้าคงทำได้ไม่เต็มตัวเหมือนคุณ.."

เขาพูดพลางพ่นควันบุหรี่ออกมาน้อยๆ

"ชีวิตจริงมันเป็นยังไงผมเข้าใจดี อย่ากังวลไปเลยครับ ผมเองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก"
เขาพูดต่อพลางมองมาทางผม ผมจ้องกลับ

"ผมก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน"

ผมตอบ ปล่อยให้ควันกลืนเข้าไปเกี่ยวเส้นผม ยืนนิ่งข้างพนักงานของตนราวกับสหายที่รู้จักกันมานาน

.............................

"พี่กฤษณ์!!"
ผมกระโดดกอดร่างสูงที่ดูแข็งแกร่ง วงแขนนั้นโอบรับผมไว้ เซเล็กน้อย

"มึงเป็นเด็กหกขวบรึไงวะ"
ผมจ้องหน้าพี่กฤษณ์ ความดีใจกับสุขใจมากเกินกว่าจะใส่ใจประโยคห่ามๆเล็กๆน้อยๆนั่นได้

"ก็กูคิดถึงมึงง่ะ"
ผมเกี่ยวแขนมันไว้ ลากมันไปขึ้นรถ นี้ผมลางาน 1 วันเลยเพื่อมันน่ะเนี่ยย

"มึงไปส่งกูอยู่โรงเเรมแล้วไปทำงานเลยก็ได้นะ กูไม่อยากกวนมาก"

"โอ๊ย ทำงงทำงานอะไร มึงมา กูไม่ทำ ..โอ๊ย!"
ไอ้พี่กฤษณ์ตบหัวผมอีกแล้ว! เออกูยังให้อภัยนะ เพราะกูคิดถึง!

"อย่าทำอย่างนี้ ไม่รับผิดชอบเลยน่ะมึงนะ ..คราวนี้กูให้อภัยนะ เพราะกูคิดถึง"
นั่นน มันต้องใจตรงกันอย่างนี้!

ผมขับรถพาพี่กฤษณ์มาส่งโรงแรมก่อนจะถือวิสาสะถือข้าวของช่วยเขาขึ้นไปเก็บบนห้อง
เมื่อขึ้นถึงห้องแล้วผมก็กอดรวบตัวเขาไว้ ก่อนจะซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง

"มึงต้องพักผ่อนนะ อย่าพึ่งออกไปไหน"
ผมพูดเสียงอู้อี้ เขาดีดหน้าผากผมหนึ่งที

"ดูท่ากูจะไม่ได้พักผ่อนล่ะ"

พี่กฤษณ์พูดแล้วยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้ม

.............................

"มา กูอาบน้ำให้"

"ไม่ต้องเลยมึง.."

"อย่าดื้อสัส ยืนจะไม่ไหวอยู่แล้ว"
พี่กฤษณ์เอาคางมาเกยไหล่ผม วงแขนแกร่งกระชับท่อนบนที่เปลือยเปล่าของผม
เขากดจมูกซุกกับไหล่ผมก่อนจะไล้มัน

"ไม่เอา..กูจะอาบน้ำ"

"อืมม..ก็นี้ไง"
นี้พ่อง! มึงจะต่ออีกรอบชัดๆ! มือหนาเริ่มเลื้อยลงไปช่วงล่างของผม ปลุกเร้าอารมณ์ พี่กฤษณ์ใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือ กดวนตรงส่วนปลายของผมย้ำๆ

"อื้ออ ไม่เอา..ไอ้พี่กฤษณ์!"
ผมดุเสียงเเข็ง แต่ร่างกายไม่ฟังคำสั่ง

"ขออีกรอบนะครับ น้องสอง"
ไอ้พี่กฤษณ์กระซิบเบาๆข้างหู ก่อนที่มืออีกข้างจะลูบบริเวณบั้นท้ายผม ส่วนใหญ่ร้อนดึงดันเหมือนอยากจะเข้ามาเสียเต็มประดา ยิ่งผมขยับตัว มันก็ยิ่งถูกับตัวผมมากขึ้น
มือแกร่งที่จับส่วนล่างของผมเร่งเร้าจังหวะมากขึ้น ผมขยับช่วงล่างไปตามจังหวะที่พี่กฤษณ์เป็นคนนำ

"อือ..อ๊ะ...พี่กฤษณ์!"
ผมสะดุ้งเมื่อมือของพี่กฤษณ์เปลี่ยนมาล้วงลึกเข้าไปในช่องทางของผม
มึงแอบไปฝึกกับใครมา!!

ผมครางด้วยความเสียวเมื่อพี่กฤษณ์ขยับนิ้วไปโดนจุดอ่อนไหว
และดูเหมือนมันจะชอบใจ และชอบแกล้งผมโดยการกดวนตรงนั้นซ้ำๆเหลือเกิน

สักพักพี่กฤษณ์ก็ถอนมือออก ก่อนจะขยับตัวให้ปลายส่วนร้อนมาจ่อทางเข้าของผม
เขาค่อยๆใส่มันเข้ามา ทะนุถนอม นุ่มนวลจนผมแทบละลาย

"พี่กฤษณ์ ..เร็วกว่านี้ ได้ไหมอ่ะ"

แต่เหมือนไม่ได้ยิน พี่กฤษณ์ยังคงขยับเข้าอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วง
มันเร้าอารมณ์ผม แต่ไม่ส่งต่อและน่าหงุดหงิดพอๆกัน

"พี่กฤษณ์..อย่าแกล้งสอง..อื้ออ!"
ผมครางเสียงหลงเมื่ออยู่ๆพี่กฤษณ์ก็ขยับตัวเร็วขึ้น หนักหน่วงขึ้น

"ซี้ด..สอง..อย่ารัดพี่เเน่นนักสิครับ"
ผมคิดไม่ออกว่าจะตอบไอ้พี่กฤษณ์ว่าอย่างไร มือที่ดันผนังห้องน้ำก็ทำท่าจะเลื่อนหลุดทุกครั้งที่พี่กฤษณ์ดันตัวเข้ามา
ไอ้ผนังเหี้ยนี่ก็ลื่นชิบหาย!

"พี่กฤษณ์ครับ ...แรงกว่านี้ได้ไหม"

ดูท่าความรักฉบับบนเตียงของเราจะต้องมีการฝึกเจ้าเสือบ้าพลังนี้เพิ่มอีกนิด
เพราะลูกแมวน้อยอย่างผมดันเป็นพวกMasochist แบบที่ไอ้พี่กฤษณ์มันชอบว่านะสิ




 o22อุตส่าห์ได้เจอกัน ยังไม่ได้เขียนโมเมนต์หวานๆประสาคนรัก ก็ไปหวานบนเตียง(?)แทนซะเเล้ว
แถมยังได้รู้ความลับเรื่อง sex ของเจ้าสองอีก (ฮ่าๆ เขียนสนุกเลยต่อไป)
ตอนนี้เนื้อเรื่องหลักๆก็เป็นการใช้ชัวิตและแวดวงที่สองอยู่เสียมาก
เพื่อปูทางไปยังดราม่า เอ๊ย! ไปยังเรื่องราวสนุกๆที่จะเรียงรายกันมาต่อๆไปค่ะ

ตอนหน้ารอพบกับพี่กฤษณ์ พระเอกผู้มีสกิลพระเอกและความเด๋อเต็มเปี่ยม
เขาจะสามารถพัฒนาฝีมือให้ถูกใจน้องสองได้หรือไม่(?!!) :ruready
จะเอาชนะใจครอบครัว เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง หรือรู้จักกับแวดวงของสองในมุมมองอย่างไร :katai1:

ติดตามได้ในตอนต่อไปค่า :bye2:

#Anynomous

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่7 :07/11)
«ตอบ #13 เมื่อ07-11-2017 22:18:17 »

แนวนี้ไม่ค่อยมีคนแต่งเลยอ่ะ ยอมรับเลยว่าแต่งออกมาได้สนุกมาก สอดแทรกอะไรใว้เยอะเลย เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะ มาอัพบ่อยๆด้วย อิอิ

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่8 :08/11)
«ตอบ #14 เมื่อ08-11-2017 20:00:13 »

ตอนที่ 8 :อาหารเย็นแพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที

ช่วงนี้องค์กรของผมกำลังประสบปัญหาหนัก มันไม่หนักเหมือนสมัยลุงชัยยังเป็นหัวหลัก
ปัญหาเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ตอนนั้นเราแบกภาระหนี้เกือบ 500 ล้าน ปัญหาในครั้งนี้หนัก แม้หนักไม่เท่า แต่ซับซ้อนกว่ามาก ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่รวมถึงการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

องค์กรของผม มี 3 ภาคธุรกิจ การผลิตและการเกษตร,การค้าปลีกและบริการ และอสังหาริมทรัพย์
ไร่ของเราที่ขอนแก่นเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตและการเกษตร
ตั้งแต่มารับช่วงต่อจากลุงชัยโดยมีแกที่วางมือแล้วคอยดูแล ให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ
ผลกำไรของทั้ง 3 ภาค ลดลงจากที่ลุงเคยทำไว้ มันทำให้ผมเครียดมาก ถึงกับเคยปรึกษาลุงว่าจะพักงาน ให้ลุงมาดูแลต่อ(อีกรอบ) เลยทีเดียว แต่ลุงปฏิเสธ

"เอ็งอย่าพึ่งถอดใจสิวะ ทำธุรกิจมันมีล้มลุกคลุกคลานอยู่แล้ว เศรษฐกิจโลกช่วงนี้มันก็ไม่ดี บ้านเรามีปัญหาการเมืองที่ไม่มั่นคงอีก เอ็งแค่เข้ามารับช่วงต่อจากข้าในเวลาที่มันลำบากเท่านั้น.."

ลุงยังให้เหตุผลเพิ่มอีกว่าแก่ๆอย่างลุงดูเหมือนจะไม่ทันโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวันนี้เสียเเล้ว
การส่งไม้ต่อให้คนหนุ่มอย่างผมเป็นวิธีที่จะช่วยให้องค์กรเราก้าวผ่านวิกฤตที่มากับโลกรวดเร็วนี้ได้

เหมือนจะดี..แต่มันคือการโยนหมูร้อนมาให้กูดีๆนี่เอง!

แต่ผมไม่ได้โกรธอะไรลุงจริงๆหรอกนะครับ

ผมกับน้องสาวเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง คุณพ่อคุณแม่เป็นข้าราชการ ท่านเป็นคนฉลาด มีการศึกษาสูง
ประกอบอาชีพที่ต้องดูแลรักษาผู้คน ..แต่กลับรักษาชีวิตตนไว้ไม่ได้

พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิต ตอนที่ผมอายุ 15 ปี ครอบครัวที่เคยอบอุ่น อยู่ๆกลับขาดหลักค้ำจุนไป
ผมต้องยืนหยัดเพื่อยัยแก้ว เป็นพี่ชายที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เด็กอายุ 15 ปีจะเข้มเเข็งได้
โชคดีที่ลุงชัยยื่นมือมาอุปการะ ลุงดูแลพวกเราเหมือนเป็นลูกแท้ๆ แถมยังจะยกสิ่งที่แกก่อร่างสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง มูลค่าหลายพันล้านนี้ให้ผมอีก

ไม่ซึ้งใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
และด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ (กูเกิดยุคไหนวะเนี่ย คนอ่านรู้หมด ฮ่าๆ)

ผมจึงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะสืบต่องานของลุง และทำให้มันเติบโตขึ้นให้ได้

ผมตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับบริษัทของญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ในการแปรรูปสินค้าเป็นแบบใหม่
อยากจะลองเน้นขนส่งสินค้าแปรรูปที่ทำกำไรได้สูง อย่าง ชีส

ผมจึงเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารถึงการปรับเปลี่ยนนี้ สถานที่จัดคือโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ
เพราะน่าจะสะดวกต่อคณะกรรมการบริหารที่เดินทางมาจากแต่ละจังหวัด และจำเป็นต้องหาที่พัก
มากกว่าในสำนักงานหลักสาขากรุงเทพ

 "พี่กฤษณ์!!"
คนตรงหน้าทำหน้าทะเล้นก่อนจะกระโดดมากอดผม ผมพยายามรับเจ้าสองไว้ แต่ด้วยน้ำหนักของมัน(ซึ่งไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ) ทำให้ผมเซเล็กน้อย

"มึงคิดว่ามึงเป็นเด็ก 6 ขวบรึไง"

เออ ท่ามกลางเรื่องที่ผมหนักใจทั้งหมด พอได้เห็นมันก็รู้ว่าไม่มีอะไรจะหนักใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
แค่เห็นหน้ามันผมก็สบายใจขึ้น..

"ก็กูคิดถึงมึงง่ะ.."
เจ้าสองพูดเสียงออดอ้อน ทำไมมึงถึงได้น่ารักอย่างนี้นะ ถ้าไม่ติดเรื่องสิทธิมนุษยชน ผมอยากจับมันขังไว้ข้างๆผมตลอดไป ไม่ปล่อยให้ไปไหน ไม่ปล่อยให้ใครยุ่งเลย..ผมคิดแล้วขำกับความคิดเด็กๆของตน

ทำให้กูหลงขนาดนี้ รับผิดชอบด้วยนะเว้ย!

...................................

หลังจากคลุกอยู่กับเจ้าสองจนถึงเย็น ผมอาบน้ำอาบท่าให้มันก่อนจะอุ้มมันมานอนอยู่บนเตียง

"ขนม"
มันพูด ยื่นมือมา ผมหยิบขนมของฝากจากไร่(ฮ่าๆ ไม่ลงทุนเลยกู)ให้

"เป๊ปซี่"
ผมเดินไปเปิดตู้เย็น โยนน้ำอัดลมกระป๋องให้

"รีโมท"

"มึงกะจะไม่ขยับตัวเลยถูกมะ"
ผมหันไปถาม ขณะยื่นรีโมททีวีให้เจ้าคนที่นอนเป็นเจ้าหญิง(?)บนเตียง

"มึงทำให้กูขยับตัวไม่ได้! มึงต้องรับผิดชอบสิ"
เจ้าสองพูดก่อนจะเชิดหน้า หยิบขนมเข้าปาก

"คร้าบ เจ้าหญิง! ก็เจ้าหญิงบอกให้ผมทำแรงๆนี่ครับ.."

"ผลั่ก!!"
เจ้าหญิงน้อยปาหมอนมาใส่ผม หน้าแดงก่ำ ผมหัวเราะ

"มึงหน้าด้านสัส!"

"ส่วนมึงก็มาโซคิสต์สัส กูอุตส่าห์จะอ่อนโยน.."

"มึงไม่ต้องพูดเลย!!"

ผมหัวเราะก่อนจะโดดไปนอนตักมัน แล้วเอาหัวมุดพุงมันอย่างหมั่นเขี้ยว

"โอ๊ยย!! มึงคิดว่าตัวเองเป็นลูกหมาน้อยรึไง หนักสัส ไอ้พี่กฤษณ์!"

"มึงพักนะ กูออกไปทำธุระแปป เดี๋ยวกลับมา"
ผมพูดก่อนจะลุกไปแต่งตัว

"ไปหาใคร ชายหรือหญิง จะกลับกี่โมง อย่าให้กูรู้นะว่ามึงมีกิ๊ก"
มันพูดเสียงเข้มๆ ผมหัวเราะก๊าก

"มึงเป็นเมียหึงโหดในหนังสือพิมพ์เหรอวะไอ้สอง ฮ่าๆๆ กูไม่กล้าหรอก..ไม่กล้าทำต่อหน้า"
ผมพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มือก็คอยรับหมอน,หมอนข้าง,ถุงเท้า(?),กางเกงใน(?!!) ที่ไอ้สองโยนมาหาผมอย่างต่อเนื่อง

"ชาย กลับ ไม่เกิน 4 ทุ่ม จะกินอะไรเดี๋ยวกูซื้อกลับมา"
ผมพูด หันหน้าไปถามเจ้าคนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย

"ไม่ต้องๆ ทำธุระไป กูอยากกินไรเดี๋ยวโทรสั่งเอาเอง"

...................................

ผมมากินข้าวเย็นกับไอ้หนึ่งครับ..ภัตตาคารอาหารทะเลหรูหราบนโรงแรมสูง รสนิยมไอ้หนึ่งมันล่ะ

"น้องกูไม่ยอมคุยกับกูเลย"

ไอ้หนึ่งพูดก่อนจะทำสายตาน่าสงสารประดุจหมาถูกทิ้งส่งมาให้ผม

"กูบอกมันแล้วนะ ให้คุยกับมึงดีๆ มึงให้เวลามันหน่อย"

"เป็นเดือนละ กูโกรธน้อง โกรธมึงด้วย แต่กูทนไม่ไหวแล้ว กูกลัวน้องกูเลิกรักกู"

"มึงนี่เป็นเด็กมากกว่าน้องมึงซะอีกนะ..มึงหายโกรธกูแล้วเรอะ ถึงได้ยอมมาคุยกับกูอย่างนี้"
ผมถามอีกฝ่ายตรงๆ ไอ้หนึ่งหลบตาผม

"ก็มึงปล่อยน้องกูกลับ ไม่ได้ยุยงให้มันเกลียดกู กูรู้จักมึงมานาน พอมาคิดๆดูแล้วมึงก็คงดูแลน้องกูได้จริงๆ
อีกอย่าง ต่อให้พวกมึงฝืนคบ คบระยะไกลก็คงทำได้ไม่นานหรอก...แอ๊ก!"
ผมเอาส้อมจิ้มแขนมัน

"สัส"
ผมพูด ไม่สนบริกรที่ดูตกใจในมารยาทของผมที่ไม่เข้ากับไอ้คุณชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

"กูจริงจัง"
ผมพูด ก่อนจะหันมาสนใจเนื้อปลาบด(?!)ตรงหน้า ผมเข้าใจไอ้หนึ่ง คนเป็นพี่ ร้อยทั้งร้อยก็ห่วงและหวงน้องทั้งนั้น
ผมก็เป็นพี่คนหนึ่ง ผมไม่ได้คาดหวังให้มันมาเข้าใจอะไรมากมาย แค่มันไม่กีดกันผมกับคนรักมากจนเกินไป เเค่นั้นก็พอ และมันกับผม เราต่างโตๆกันแล้ว(เหมือนที่มันชอบพูด) มีหน้าที่และสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย
มากกว่าจะมานั่งเสียเวลาคิดแผนกีดกันความรักของน้องชาย ส่วนผมเองก็ไม่มีเวลามานั่งคิดแผนลักพาตัวคนรักออกมาจากครอบครัว(แม้ลึกๆแล้วอยากจะทำก็เหอะ!)

"เออ เรื่องที่มึงขอคำปรึกษามา ที่จะทำธุรกิจกับบริษัทต่างประเทศ กูหามือกฎหมายดีๆได้แล้วนะ"
ผมพยักหน้ารับ 'มือกฎหมายดีๆ' ที่ผมกับไอ้หนึ่งรู้กัน ไม่ใช่แค่คนที่มีความสามารถ แต่ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้
เพราะงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ไม่ว่าสัญญาจะโปร่งใสหรือไม่ การรักษาความลับเป็นเรื่องจำเป็น

"ชื่อวินด์ เป็นเด็กสายเกรียง "

"กูไม่อยากเอาพวกที่มีเอี่ยวกับการเมือง"
ผมพูด ขมวดคิ้ว

"ใครมันก็มีเอี่ยวกับการเมืองทั้งนั้นแหละ เด็กมันมีความเป็นมืออาชีพพอ"

"กูต้องการคนมีประสบการณ์"
ผมพูด ยังไม่พอใจ ..เผื่อหลายคนยังไม่รู้ ผมเป็นคนมาตรฐานสูง โดยเฉพาะในเรื่องงาน

"วินด์จบกฎหมายจากมหาวิทยาลัย K ในโตเกียว ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง กำลังเรียนป.โท รัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ม.C ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้บริษัท K.Kingarden .."

ผมเหลือกตา

"เด็กมึง?"

"เปล่าๆ ก็เห็นมึงว่าจะติดต่อกับบริษัทญี่ปุ่นด้วยหนิ มันจบกฎหมายจากนั่น และน้องมันก็เก่งจริงๆ กูเห็นคนดีมีความสามารถ กูอยากสนับสนุน"

ผมพยักหน้า ทำเป็นมองข้ามบริษัทที่เด็กคนนั้นทำงานให้..บริษัทของคุณเกรียง นักการเมืองใหญ่ผู้มีอิทธิพลต่อวงการการเมืองไทย ถ้าไม่เห็นว่าไอ้หนึ่งเป็นคนแนะนำมา ผมคงไม่ค่อยอยากให้เด็กคนนี้มามีเอี่ยวกับธุรกิจของผมนัก
ไม่ใช่เรื่องที่เขาทำงานให้นักการเมืองอย่างเดียว แต่ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ในฐานะอะไร ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจลงการเมืองในอนาคต มันคงไม่ดีนักหากธุรกิจภาคเอกชนถูกมองว่าเลือกข้าง..

ไม่ใช่ว่าข้างไหนดีหรือไม่ดี
แต่ในมุมมองนักธุรกิจ ผมต้องการผลประโยชน์ที่ดีที่สุดต่อตัวเองและองค์กร
แม้ว่าการกระทำที่ดูเหมือนเลือกข้างในเวลานี้ไม่ใช่หนทางที่ฉลาดนัก
ผมได้แต่หวังว่าผมจะใช้งานเขาได้ฉลาดพอ

หลังจากทานอาหารเสร็จ คุยธุระเสร็จ ผมก็อดทนฟังไอ้หนึ่งค่อนเเขะผมเรื่องความรักระหว่างผมกับน้องมัน
ไอ้ประโยคเด็กๆแบบ คอยดูเหอะ คบกันได้ไม่นานหรอก หรือ มันเห็นคนอื่นดีกว่าพี่มันนน
ผมอดทนฟัง (แม้ว่าคนอื่นที่มันพูดจะเป็นผมเอง) ไม่ค่อยต่อล้อต่อเถียง อาจเพราะไอ้พูดมากๆไม่ใช่นิสัยผมส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือผมรู้จักมันดีเกินกว่าจะเสียเวลาโต้เถียงไร้สาระ

"เอ้อ น้องมึงนอนอยู่ห้องกู มีอะไรจะฝากบอกไหม"
ผมพูดยิ้มๆก่อนจากกัน มองดูสีหน้ากึ่งโมโหกึ่งขัดใจของไอ้หนึ่ง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะ

"บอกมันกลับบ้านด้วย ทุกคนรอ!"

"อืม..แล้วก็ อย่าพากูมากินนี้อีกนะ ปลาบดนี่ควรให้แมวแดก"
ผมพูดด้วยความสัตย์จริง

"มันคือ Yellow fin tuna tartar ต่างหากละเว้ย"

ผมยักไหล่ ในใจคิดว่าคงต้องแวะซื้อก๋วยเตี๋ยวข้างทางอีกตามเคย อาหารเย็นแพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที

...................................

ผมกำลังแกะก๋วยเตี๋ยวถุงให้ตัวเองกับเจ้าสองกิน

"พี่มึงฝากบอกให้กลับบ้านหน่อย"

"มึงไปเจอเฮียหนึ่งมาเหรอ"

ผมพยักหน้า

"มันสบายดีปะ"

"อยากรู้ก็ไปดูเอง"
มันตีผมดังเพลี้ยะ!(เจ็บสัส)

"มันเลิกโกรธมึงล่ะ กลับบ้านได้เเล้ว พ่อเเม่มึงอีก ว่างๆพากูไปด้วยสิ"
ผมพูด ลอบมองคนตรงหน้า เจ้าสองมองหน้าผมอึ้งๆ

"มึงอยากไป?"

"แน่นอน ..อาจเพราะกูไม่มีพ่อเเม่ด้วยมั้ง กูเลยลืมนึกไป ..กูอยู่ตัวคนเดียวจนชิน กูเลยไม่ค่อยได้สนสายตาใคร
แต่มึงไม่ใช่ ครอบครัวรักมึงมาก พวกเขาเป็นห่วงมึง"

"กูก็อยากกลับบ้าน"
เจ้าสองพูดก่อนจะเอนตัวลงมานอนตักผม(เฮ้อ ไอ้หนึ่งเพื่อนรัก! มึงเชิญอิจฉาให้ดิ้นตายไปเลยนะ )

"ไอ้พี่กฤษณ์ อย่า ทำ ก๋วยเตี๋ยว หก ใส่ หัว กู"

"เอาหัวออกไป"
ผมพูด มันลุกขึ้น เอาหมอนตีผมด้วยสาเหตุที่ผมไม่เข้าใจ

...................................

คฤหาสน์ในละครหลังข่าว...ผมขี้เกียจอธิบายความอลังการของบ้านมัน ดูเหมือนว่าบ้านเเถบนี้จะเป็นเหมือนกันหมด
สนามหน้าบ้าน สวนวน ลานน้ำพุ โรง(ลาน?)จอดรถ บ้าน สระว่ายน้ำ สนามหลังบ้าน

เจ้าสองเดินฉับๆเข้าบ้าน คนรับใช้วิ่งกุลีกุจอมาช่วยถือของให้
คนขับรถเอารถไปเก็บให้ คนรับใช้วิ่งเอาน้ำผลไม้กับขนมครก(?)มาเสิร์ฟให้

ผมละนับถือจริงๆ ไอ้คนที่เกิดในสภาพเเวดล้อมแบบนี้เเล้วยังโตมาไม่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจได้

"ป๊ากับม๊ากำลังมา กูไลน์ไปแปปเดียวก็จะมาแล้ว สงสัยคิดถึงกูมาก"
ไอ้สองพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่ผม..เอ่อ..ถ้าคุณยังจำความรู้สึกตอนพบพ่อแม่แฟนครั้งแรกได้ คุณจะเข้าใจความรู้สึกผมตอนนี้ คูณความวิตกกังวลเข้าไปอีกประมาณ 10 เท่า

กูดูดีพอยังวะ? กูดูพึ่งพาได้ใช่ไหม? กูโอเคไหมเนี่ย?

"พี่กฤษณ์? มึงโอเคไหม"

ผมพยักหน้า

ไอ้สองหัวเราะ

"มึงไม่ต้องกลัวนะ ป๊ากูใจดี!"
แฟนคนแรกกูก็พูดแบบนี้แหละ! พ่อมันเอาไม้ไล่ตีกูตอนกูเลิกกับลูกสาวเขา!

"กูโอเค"
ผมพยายามพูด แต่ผมโกหกไม่เก่ง

"มึงจะโอเค"
เจ้าสองพูดก่อนจะเอามือสองข้างมาแนบกับใบหน้าผม

...................................

"ป๊า ม๊า นี่พี่กฤษณ์ คนรักสอง เฮียคงเล่าให้ฟังแล้วใช่ปะ"

เชี่ยยย!!.. เป็นกูเองที่รู้สึกทำหน้าไม่ถูก เอางี้เลยเหรอวะ ?!! กูอุตส่าห์ซ้อมพูด 'สวัสดีครับ ผมชื่อกฤษณะ ไตรวงศานุพัฒน์" เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร..'ประมาณ 10 รอบ

ผมโค้งทำความเคารพ มองหน้าคุณพ่อคุณแม่ของเจ้าสอง
ผมรู้จักพ่อเจ้าสองมาก่อน เขาเป็นผู้นำของกลุ่มผู้บริหารหลักของกองทุนและธุรกิจในเครือสุวรรณกุล
ทายาทสายตรงของสุวรรณกุล ดวงตาสีดำหม่นๆ จ้องมองผม ริ้วรอยบนใบหน้าบอกถึงการผ่านประสบการณ์มามาก
เขาให้ความรู้สึกเหมือนสิงโตชรา มีอำนาจ สงบนิ่ง แต่ไม่ได้หมดเขี้ยวเล็บ
คุณหญิงของบ้านสุวรรณกุล เธอเป็นผู้หญิงที่งดงาม ท่าทางเจ้ากี้เจ้าการคล้ายกับเจ้าหนึ่ง เธอมองหน้าผม สีหน้าดูอึ้งๆ

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมกฤษณะ ไตรวงศานุพัฒน์"
บทพูดที่ซ้อมไว้อย่างดิบดี ถูกตัดทอนเหลือเพียงชื่อกับนามสกุล
ไม่ต้องแนะนำตัวให้มากหรอก ถ้าเขาอยากรู้ เขาจะรู้เอง ..คนตรงหน้าผมทั้งสองคนให้ความรู้สึกเช่นนั้น

"อืม..ไหนๆก็มาแล้ว มาทานข้าวเย็นด้วยกันหน่อยไหมกฤษณ์"
คุณพ่อของสองเอ่ยชวน ผมยิ้มรับคำ บททดสอบบทใหม่เริ่มขึ้นแล้ว..

...................................

"แสดงว่าตอนนี้ก็รับช่วงต่อจากลุงชัย ดูแลงานในไร่"
คุณพ่อของสองพูดก่อนจะลงมือตักอาหาร เจ้าสองเหลือบตามามองผมเป็นระยะๆ

"ดูแลทั้งองค์กรครับ ไร่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตและการเกษตร"

"ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีเลยนะ จะทำยังไงล่ะ"

"องค์กรคงต้องวางแผนตั้งรับครับ ผมยังไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจตอนนี้เลยไม่ได้วางแผนเติบโตไว้ และคงปรับฐานธุรกิจให้แคบลง.."

"ปัญหาช่วงนี้ซับซ้อนเนาะ..ปรับฐานยังไง ปรับลดพนักงานหรือ"

"คิดว่าจะเปลี่ยนรูปแบบให้พนักงานคนหนึ่งทำได้หลายหน้าที่แทนครับ"

"นี้ป๊าคิดว่าตัวเองสัมภาษณ์งานอยู่เหรอ ป๊ากำลังทำให้พี่กฤษณ์อึดอัดน่ะ!"

"อึดอัดอะไร ตอบคำถามสบายๆ พี่กฤษณ์ของสองเก่งอยู่แล้วหนิ"
ไอ้หนึ่งพูด ยิ้มให้ผม ผมยิ้มกลับ (ทีใครทีมันนะเอ็ง!)

"ที่ผมมากรุงเทพครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อประชุมรูปแบบการตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงนิดๆหน่อยๆขององค์กรนะครับ"
ผมเลี่ยงไม่พูดเรื่องแนวทางสินค้าแปรรูปไว้ ไอ้นิสัยรักษาผลประโยชน์ให้องค์กรมันติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออด
โทษทีนะครับพ่อ!

"อีกส่วนล่ะ?"

"ผมคิดถึงสองน่ะครับ"
ผมพูด หน้าตาย ไอ้หนึ่งสำลักข้าวกระทันหัน เจ้าสองก้มหน้างุด คุณหญิงหน้าแดง ส่วนป๊าเจ้าสองจ้องผมเขม็ง

"ชอบเจ้าสองตรงไหนล่ะ"

"ทุกตรงแหละครับ"
ผมตอบไปตามความสัตย์จริง ดวงตาสีดำหม่นจ้องผมเขม็ง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป ผมจ้องตอบ
อาจเป็นเพราะว่าการพูดความจริง เป็นส่วนหนึ่งที่ผมถนัดที่สุด

หลังจากนั้นเราก็รับประทานอาหารกันต่อ ด้วยบรรยากาศที่สบายใจมากขึ้น เจ้าสองพยายามพูดอวดผมให้ครอบครัวมันฟัง ไอ้หนึ่งพยายามขัดเเทบทุกอย่าง ส่วนผมก็พูดบ้าง เเต่ไม่มากนัก

บทสนทนาที่เหลือก็เป็นประมาณนี้

"นี้เป็นไวน์จากไร่ของผมที่เชียงใหม่ ไวน์องุ่น 25 ปี กลิ่นน้ำผึ้งแตะจมูกนิดหน่อยครับ.."
นี้คือผม

"เออ..ดีๆ..จริงๆฉันก็อยากสนับสนุนไวน์ไทยมากกว่าของฝรั่งนะ.."
นี้คือคุณพ่อ

"ให้เหล้าเท่ากับเเช่ง"
นี้คือ(ไอ้เชี่ย)หนึ่ง

"เฮีย!!"
นี้คือเจ้าสอง

"ฮ่ะๆๆ หนึ่ง อย่าแกล้งน้องสิลูก!"
นี้คือคุณเเม่

หลังจากผมวนลูปบทสนทนาประเภทนี้ได้สัก 3-4 รอบ เราก็รับประทานอาหารเสร็จ
ผมกล่าวขอบคุณครอบครัวของสอง ก่อนจะขอตัวกลับ เจ้าสองดื้ออยากมาด้วย แต่ผมห้ามไว้
ในที่สุดผมก็พามันกลับมาหาครอบครัวได้ ผมอยากให้มันใช้เวลากับครอบครัวให้มากเสียก่อน

อีกอย่าง ครอบครัวของเจ้าสองก็น่ารัก ทุกคนดูรักกันเเละรักเจ้าสองจากใจจริง
ผมเชื่อว่าความรักเหล่านี้ไม่มีทางทำร้ายคนรักของผมแน่นอน

...................................

ผมนั่งอยู่ในห้อง กำลังอ่านเอกสารและสัญญาทั้งหลาย
เตรียมตัวสำหรับการประชุมการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวันพรุ่งนี้

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเดินไปดู มองลอดตาแมวก่อนจะเปิดประตู

คนรักของผมยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทางเหนื่อยหอบ ในมือถือถุงก๋วยเตี๋ยว

"ป๊าให้ซื้อมาฝาก เขาบอกว่าพี่กฤษณ์ไม่ค่อยได้กิน"



 :hao3:จบตอน 8 อาหารเย็นแพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที ..

 เอาใจช่วยพี่กฤษณ์และน้องสองกันต่อไป :katai1:
ตัวละครใหม่ๆนักธุรกิจ/นักการเมืองทั้งหลายจะมาสร้างความปวดหัวหรือเกี่ยวดองชีวิตน้องสองพี่กฤษณ์อย่างไร
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ! :bye2:


แนวนี้ไม่ค่อยมีคนแต่งเลยอ่ะ ยอมรับเลยว่าแต่งออกมาได้สนุกมาก สอดแทรกอะไรใว้เยอะเลย เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะ มาอัพบ่อยๆด้วย อิอิ

ขอบคุณมากนะคะ มีกำลังใจขึ้นมากเลย! (ว่าแต่ แนวนี้มันแนวอะไรหว่า..ไม่ใช่ว่ามีอยู่ทั่วไปในนี้เหรอคะ นิยายรักคอเมดี้ :katai1:) ผู้เขียนตอนเขียนสนุกมากกเลยค่ะ! ได้รู้ว่าผู้อ่านสนุกตอนอ่านด้วยยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านจากใจจริงค่ะ(โค้ง) :bye2:

#Anynomous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2017 21:08:32 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่8 :08/11)
«ตอบ #15 เมื่อ08-11-2017 21:15:49 »

นิยายแนวการใช้ชีวิตอ่า ปกติเจอแต่แบบ มาถึงฟัดกันเลย5555 เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่9 :09/11)
«ตอบ #16 เมื่อ09-11-2017 14:50:27 »

ตอนที่ 9: การเข้ามา

"ไอ้กฤษณ์กลับไปแล้วเหรอ"

เฮียหนึ่งถามเมื่อเห็นผมเดินลากขาเข้าบ้านอย่างซังกะตาย ผมพยักหน้ารับ
พี่กฤษณ์ไม่ยอมให้ผมไปนอนด้วย! อยากนอนด้วย!

"ป๊าอยากคุยด้วยนะ เฮียด้วย"
ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินเปลี่ยนทิศทาง พาตัวเองไปยังห้องทำงานของป๊า เคียงข้างเฮียหนึ่ง

"ป๊าคงไม่ได้เรียกสองมาห้ามไม่ให้คบกับพี่กฤษณ์ใช่ไหมฮะ"
ผมรีบถามดักทาง ป๊าส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ

"เฮียหนึ่งเล่าให้ป๊าฟังตั้งนานแล้ว เรื่องพี่กฤษณ์ของสองเนี่ย แต่ป๊ายังไม่เชื่อถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา"
ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะ เหลือบตาไปมองเฮียหนึ่ง ป๊าทำถูกแล้ว..เรื่องพี่กฤษณ์ที่ออกจากปากเฮีย เชื่อได้ที่ไหนกัน!
ทำตัวอย่างกับนางอิจฉาในละคร!!

"เขาคงดูแลสองได้จริงๆอย่างที่เฮียหนึ่งว่า.."

..เฮียหนึ่งนี่นะ?! บอกว่าพี่กฤษณ์จะดูแลผมได้.. ผมมองหน้าพี่ชายอึ้งๆ เขาไม่ได้มองผม แต่กลับมองไปข้างหน้า
พี่ชายจอมเจ้ากี้เจ้าการ นักบงการชั้นยอด คนที่ปากร้าย ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครเสมอยกเว้นน้องชาย
..บางทีนี้อาจเป็นความรักของพี่น้อง อย่างที่พี่กฤษณ์ว่า
ความรักที่เเท้จริงจะไม่ทำลายกัน เฮียอยากเห็นผมมีความสุข แต่ในใจก็คงเป็นห่วงผมยิ่งกว่าใคร

"เพราะได้คุยกับพี่กฤษณ์เหรอฮะ ป๊าถึงรู้?"

"เปล่า ..เพราะได้มองตาเขาต่างหาก และเห็นสายตาที่เขามองลูก ป๊าถึงรู้"
ผมยิ้ม อยากเข้าไปกอดป๊าเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ

"ขอบคุณนะครับ ..ตอนแรกสองคิดว่าป๊าจะโกรธซะอีก สองเข้าใจว่าคนรุ่นป๊าอาจไม่ค่อยชิน คงจะอายด้วย ถ้าสองมีคนรักเป็นผู้ชาย"
ผมพูด ก้มหน้า ไม่กล้าสบตาป๊าตรงๆ

"ตอนแรกก็ตกใจอยู่ แต่เพราะเฮียหนึ่งมาเล่าให้ฟังตั้งนานแล้ว เลยหายตกใจไปเยอะ"
ป๊าพูดพลางหัวเราะ

"อีกอย่าง พี่กฤษณ์ของสองนั่นเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถจริงๆ วิสัยทัศน์กว้างไกล ฉลาด ซื่อตรง ป๊าเเพ้คนนิสัยซื่อตรงมาแต่ไหนแต่ไร.."

"สองก็ด้วย!"

เฮียหนึ่งกระเเอม

"เพราะงั้นแทนที่จะขอบคุณป๊าไปขอบคุณเฮียเถอะ พูดยืนยันให้พี่กฤษณ์ของสองจนป๊าสงสัยว่ารับสินบนมาหรือเปล่า"
ผมหัวเราะ หลังจากนั้นป๊าก็บอกให้ผมหาซื้อก๋วยเตี๋ยวไปฝากพี่กฤษณ์ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้ทานอะไร (ป๊าทำให้พี่กฤษณ์อึดอัดจนกินอะไรไม่ลง! ,ผมต่อว่า และป๊าหัวเราะ)

..................................

เฮียหนึ่งเป็นคนขับรถไปส่งผม เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง ผมซึ่งเลิกโกรธเฮียไปนาน(หลายชั่วโมง)แล้ว
จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะกลับไปเป็นน้องชายที่น่ารัก(?)ของเฮียคนเดิม

"ขอบคุณนะเฮีย"
ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"ขอบคุณทำไม เฮียไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไงคบระยะไกลก็ไปได้ไม่นานหรอก เฮียเลยขี้เกียจขัดขวาง"
คนข้างๆพูดถ้อยคำร้ายกาจออกมา แต่ผมไม่โกรธอีกแล้ว ผมเข้าใจ

"เฮียนี่ทำตัวเป็นเด็กไม่เปลี่ยนเลยน้า ตอนเด็กๆเราแย่งไอติมช็อกโกแลตกัน เพราะเฮียเเรงเยอะกว่า ถึงได้ชนะสองทุกที"
ผมพูด คิดถึงความหลัง

"ก็ถ้าเฮียอยากชนะเฮียจะชนะทุกทีนี่"
พี่ชายผมพูด ทำเสียงร้ายกาจ ผมส่ายหัว

"แต่หลังจากนั้นในตู้เย็นบ้านจะเต็มไปด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตนี่ฮะ เฮียรู้สึกผิดเลยให้ป้าเเม่บ้านซื้อไอศกรีมไว้เต็มไปหมด ตอนนั้นสองไม่รู้ว่าเป็นเฮีย นึกไปว่าเป็นเพราะป้าเเม่บ้านใจดี"

"มารู้ตอนหลังที่เฮียโดนป๊าดุเรื่องใช้เงินฟุ่มเฟือยนั่นเเหละ"
ผมพูด มองไปที่คนข้างๆ เขาไม่พูดอะไร ดูเหมือนเขาเองก็กำลังคิดถึงความหลังเช่นกัน

"รู้อะไรไหมเฮีย สองรักพี่กฤษณ์นะ เขาอาจพึ่งผ่านมาในชีวิตสองก็จริง แต่สองก็รักเขาเหมือนที่คนรักจะรักได้ เขาเป็นคนที่จะเเบ่งไอศกรีมช็อกโกแลตให้สอง หรืออาจยกให้เลยด้วยซ้ำ ..แต่คนที่รักสองพอที่จะยอมโดนดุเรื่องไอศกรีม คนที่เป็นห่วงสองและบ้าพอที่จะสั่งไอศกรีมมาเก็บไว้เป็นลัง คือเฮีย"

ความรักของพี่น้องเเละคนรักนั้นเทียบกันไม่ได้
ไม่ใช่ว่าฝ่ายใดเเข็งแกร่งกว่า
แต่เป็นเพราะความรักที่มีนั้นอยู่คนละรูปแบบกัน

แม้ว่าจะเเตกต่างกันหลายอย่าง แต่ความรักที่ดีนั้นเหมือนกันเสมอ
มันไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน

"สองรักเฮียนะ , แต่อยากกินไอติมพี่กฤษณ์มากกว่า"
ผมพูดก่อนจะโดดลงจากรถ หัวเราะระหว่างที่วิ่งหนีเสียงตะโกนสาปแช่งพี่กฤษณ์ที่ไล่ตามหลังมา

..................................

ตอนที่ผมมายืนอยู่หน้าห้องพี่กฤษณ์พร้อมถุงก๋วยเตี๋ยว
เหนื่อยหอบ แต่สุขใจ

หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ผมก็นั่งดูพี่กฤษณ์อ่านเอกสารอย่างขมักเขม้น
เขาดูเคร่งเครียด คงเป็นอะไรสักอย่างที่สำคัญ..

ผมลุกไปชงกาแฟก่อนจะยกมาให้พี่กฤษณ์(วุ้ย! เป็นแฟนที่น่ารักจังเลยกู!)

"ประชุมเรื่องสำคัญเหรอ"
ผมถาม พยายาม(?)แทรกตัวเข้าไประหว่างพี่กฤษณ์กับเอกสารของเขา(กูจะทำไปทำไมวะ?)

"อืม กูว่าจะลงทุนกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เน้นเรื่องสินค้าแปรรูปมากขึ้น"

"ไหนมึงบอกว่าเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่เหมาะแก่การเติบโต"

"ไม่ได้จะเติบโต กูแค่หาช่องทางในการสร้างกำไรใหม่ๆ ..ตั้งแต่กูมารับช่วงต่อแทนลุงชัย กำไรมันลดลง"
พี่กฤษณ์พูด สีหน้าดูเคร่งเครียด

"ไม่มีธุรกิจไหนที่เป็นบวกตลอด มันขึ้นลงตามปัจจัย บางเรื่องมึงกำหนดได้ บางเรื่องไม่.."

"มึงไม่ควรเครียดกับเรื่องที่กำหนดไม่ได้"
ผมพูด แนบริมฝีปากไปที่เจ้ากฤษณ์น้อย

"พรุ่งนี้กูมีประชุม"
พี่กฤษณ์พูด ยกเอกสารขึ้นมาอ่าน

"ก็อ่านไป"
ผมเหลือบตาขึ้นมองคนรัก เขาส่ายหัว วางเอกสารลง

..................................

ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยรอยแดงๆเต็มตัว เป็นปกติไปเสียเเล้ว พี่กฤษณ์ชอบจูบ เล่นกับร่างกายผม ส่วนผมก็ชอบให้เขาทำอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเริ่มทำบางอย่างที่รุนเเรง ผมจะถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายขึ้นไปอีก

ผมได้ค้นพบหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเองเพิ่มขึ้นเมื่อมาคบกับพี่กฤษณ์

เป็นต้นว่า ผมเป็นพวกไม่รู้จักพอ แถมยังไม่มีความอดทน

"สอง..กูจะไปอาบน้ำ"
พี่กฤษณ์พูดเสียงทุ้มๆ ผมไม่สน ก้มหน้าใช้ลิ้นโลมเลียกฤษณ์น้อย ซึ่งตอนนี้กำลังเติบโตขึ้น
ผมอมส่วนแข็งขืนของพี่กฤษณ์ไว้ในปาก ก่อนจะเพิ่มจังหวะการขยับให้ดุดันยิ่งขึ้น

เจ้านี้ที่อยู่ในตัวผม...
พี่กฤษณ์จับหัวผมเพื่อเร่งจังหวะ

"สอง..กูจะเสร็จ.."

ผมหยุด เอาปากออกและลุกขึ้นมอง

"ไปอาบน้ำสิ"

พี่กฤษณ์มองหน้าผม ยิ้ม

"น้องสองชอบแบบนี้ใช่ไหมครับ.."
น้ำเสียงทุ้มนั้นแหบพร่า บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ประทุขึ้น

"ถุงยางหมดไปแล้วนะน้องสอง.."

พี่กฤษณ์พูดก่อนจะจับผมลุกขึ้น ดันไปชิดกับผนังห้อง ปลายนิ้วแทรกเข้ามาทางช่องทางด้านล่าง
พี่กฤษณ์รู้ทุกจุดของผม แต่เขาไม่เสียเวลาแกล้งต่ออีกแล้ว
ส่วนใหญ่ร้อนถูกดันเข้าช่องทางที่ชินกับการรับขนาดของพี่กฤษณ์มากขึ้น
ผมพยายามเกาะเกี่ยวพี่กฤษณ์เอาไว้ในขณะที่สะโพกขยับสอดคล้องไปตามจังหวะที่พี่กฤษณ์นำ
เมื่อจังหวะดุดันเร่งเร้าขึ้น ผมก็ครางด้วยเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากตนเองด้วยซ้ำ

"อะ..อ๊า!! ..พี่กฤษณ์.."
ของเหลวใสพุ่งออกจากแกนกลางตัวผม เลอะหน้าท้องพี่กฤษณ์
เมื่อผมเสร็จ พี่กฤษณ์กระทุ้งตัวผมอีกสองสามครั้ง ก่อนจะปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเข้ามาในตัวผม
ผมรู้สึกถึงมันจึงหน้าแดงน้อยๆ เมื่อของเหลวนั้นไหลลงมาจากช่องทางด้านล่าง

ดูเหมือนพี่กฤษณ์เองก็รู้สึกเช่นกัน

"ให้กูอาบน้ำให้นะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะจูบหน้าผากผมเบาๆ

ผมส่ายหัว

"มึงอาบเลย รีบไปประชุม กูอยากนอนก่อน"

หลังจากอาบน้ำเสร็จ พี่กฤษณ์ก็ตรวจดูจนแน่ใจว่าผมไม่เป็นอะไร แค่อยากนอนเพราะเหนื่อยเเค่นั้น
ผมจูบอวยพรขอให้เขาโชคดีกับการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ ผมรู้ว่าเขาเป็นคนเก่ง
เขาจะต้องทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

"พี่กฤษณ์.."
ผมพูด ขณะมือยังคล้องคอคนรัก

"หือม์?"

"มีแต่ในฤดูที่ทรหดเท่านั้น ผลผลิตถึงจะดีที่สุด"
ผมพูดเบาๆ เขายิ้ม

"กูจะรีบกลับมา"
เขาหันกลับมามองผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกจากประตูไป

ผมนอนมองเพดาน ในใจคิดว่าถ้าผมได้อยู่เคียงข้างพี่กฤษณ์อย่างนี้ตลอดไป
ชีวิตผมคงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ความรักทำให้คนเป็นได้ขนาดนี้เชียวรึ..
ความรักช่างน่ากลัว
..................................

ช่วงเย็นพี่กฤษณ์พาผมไปทานอาหารที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจะไม่ใช่วิถีของพี่แกเลย
แถมอาหารที่สั่งมาล่วงหน้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดผม!

ไอ้พี่กฤษณ์ มีมุมโรแมนติกกับเค้าด้วย!
สงสัยไปแอบถามเฮียมา..

"ความจริงกูก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นะ ไอ้ภัตตาคารหรูหราแบบนี้ แต่คนที่แนะนำและช่วยโทรสั่งให้เนี่ย เขาดูอยากจะช่วยจริงๆ ..อะ นั่นไง"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะพยักหน้าไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในร้านคนใหม่
ชายร่างสูง ดวงตาสีดำ ใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน..

"วินด์?"
วินด์เดินไปนั่งโต๊ะที่เขาจองไว้เพื่อตัวเอง เป็นโต๊ะที่อยู่ในมุมจะมองเห็นเราได้ถนัด
ผู้ชายคนนี้อันตราย..สัญชาตญาณบางอย่างของผมร้องเตือน

คนปกติเขาไม่มานั่งทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์แบบนี้นะเว้ย!

แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลยสักนิด

"มึงรู้จักด้วยเหรอ มันเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายคนใหม่ของบริษัทกู เฮียมึงแหละเเนะนำมา
กูคุยกับมันคร่าวๆแล้วก็เป็นคนหนุ่มที่ใช้ได้ดี"

พอพี่กฤษณ์พูดขึ้นมาอย่างนี้ ผมก็พึ่งตระหนักว่า ผมไม่ควรไปตัดสินคนที่ผมไม่ได้รู้จักดีว่าเขาเป็นคนอันตราย
ก็สมัยเรียนเขามีประวัติและผลการเรียนเยี่ยมยอด ความมุมานะพยายามแม้จะเป็นคนยากจนยังเป็นภาพติดตาของผม ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้จักเขาดีขนาดนั้น ได้เห็นเขาเติบโตขึ้น มีอาชีพที่ดี ยังน่าชื่นชมกว่าไอ้โจเซฟเยอะ

ผมยิ้มให้
เขายิ้มตอบ จ้องตาผม ผ่านไหล่ของพี่กฤษณ์..
ประกายบางอย่างคุกรุ่นในดวงตา มันปรากฎขึ้นเพียงเเวบเดียว ก่อนจะเลือนหายไป

..................................

พี่กฤษณ์กลับขอนแก่นไปแล้ว..
ผมวนกลับสู่ชีวิตเดิมๆ ครอบครัว งาน เพื่อน

"ไอ้สอง! เหม่อไรนักหนาวะ"
ไอ้ตั้มถามก่อนจะชกไหล่ผมเบาๆ มันพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ฟัง

"มึงน่าจะเห็นใจกู..คอนโดที่เปิดใหม่ก็ไฟไหม้ กล้องวงจรปิดเจ๊ง ซวยชิบหาย"
มันบ่นอย่างหัวเสีย

"ลอบวางเพลิงเหรอมึง ได้เงินประกันปะ"
ผมพูดไปแบบไม่ทันคิด

"ประกันห่าเหวอะไรล่ะ คนงานเเม่งแอบทอดปลา..แล้วไปทำเหี้ยไรไม่รู้ ไฟไหม้จากชั้นล่าง กูรับสวัสดิการพนักงาน แต่ไม่ได้เพราะเพลิงไหม้จากอุบัติเหตุ..แถมถ้าสาวไปสาวมา กูอาจถูกฟ้องเพราะคอนโดไม่มีระบบป้องกันอัคคีภัยที่ดีอีก
ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไรนักหนา!"

ไอ้ตั้มบ่นมาเสียยาวยืด ผมรับฟัง ในใจคิดสงสารเพื่อน แต่ในเมื่อเป็นอุบัติเหตุมันก็สุดวิสัยจริงๆ

"เอาเถอะมึง คอนโดเสียหายไปหน่อยก็ซ่อมใหม่ได้ มึงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"
ไอ้ตั้มมองผมก่อนจะทำหน้าซึ้งใจ

"กูรักมึง มีมึงคนเดียวนี่แหละที่ถามถึงชีวิตกู"
มันพูดก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆผม ผมใช้มือผลักออก

"จะอ้วกสัส"
มันทำเสียงขัดใจก่อนจะวนรถเข้าไปจอดที่บริษัทของผม (ผมออกไปทานข้าวเที่ยงกับไอ้ตั้มมันครับ)

"ตั้งใจทำงานมึง"

"เออๆ มึงด้วย"
ผมพูดอย่างขอไปทีเหมือนเด็กเบื่อเพื่อน ก่อนจะก้าวลงจากรถไอ้ตั้ม

ขณะกำลังเดินเข้าอาคาร ผมก็ได้ยินเสียงๆหนึ่ง

"ยังติดไอ้ตั้มหนึบเลยนะ"

"เชี่ย!..อย่าโผล่มาเหมือนผีดิวะ.."
ผมพูดด้วยความตกใจก่อนจะหันมาพบกับคนรู้จัก..วินด์
เขายิ้มเล็กๆ

"มึงมาทำไรแถวนี้เนี่ย"
ผมพูดก่อนจะมองมันที่ถือถุงกาแฟราคาถูกๆ ไอ้เสื้อผ้าท่าทางหรูหรานั่น..ไม่ได้เข้ากับของที่มึงถือเลยสักนิด!!

"กูเอากาแฟมาให้ พอดีกูผ่านมา"

"ผ่านมาไกลมากสัส ..คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้"
ผมพูดก่อนจะขอบอกขอบใจแล้วรับกาแฟถุงมา..

"ร้านเฮียแปะ?!"
มันพยักหน้า

"มึงรู้ด้วยเหรอว่ากูชอบ?!"
ผมตกใจ สารภาพว่าชักกลัวไอ้คนตรงหน้า มึงเป็นสตอล์กเกอร์ถูกไหม?!!

"กูก็ชอบร้านนี้ กูเห็นมึงแวะซื้อบ่อยๆ"

"อ่ออ"
ผมเออออ(อ่านว่า เออ-ออ) ก่อนจะไล่มันกลับไปทำงานอะไรก็ตามที่มันทำอยู่

..................................

ช่วงระยะหลังๆมานี้ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า
ผมกับวินด์(บังเอิญ)เจอกันบ่อยขึ้น

ที่ร้านกาแฟ ที่ร้านอาหาร ที่ห้างสรรพสินค้า ที่ร้านหนังสือ

เอาเป็นว่าถ้าผมวางแผนจะออกไปไหนเสาร์อาทิตย์
จะต้องบังเอิญไปเจอมันอยู่ร่ำไป

ที่หนักกว่านั้นคือ
ในวันไหนที่ผมนัดไปกินข้าวเที่ยงกับไอ้ตั้ม
แล้ว(บังเอิญ)ไอ้ตั้มติดธุระด่วน มาไม่ได้

ผมจะบังเอิญไปเจอมัน เดินแกร่วไปแกร่วมาเเถวลานจอดรถ
รอรับผมไปกินข้าว ที่ร้านอาหารที่บังเอิญเป็นร้านที่ผมชอบ ที่มันบังเอิญจองได้พอดี

เช่นวันนี้

"วินด์"
ผมพูด มองมันที่พยายามหั่นเนื้อติดซี่โครงอย่างทุลักทุเล

"มึงกำลังทำอะไร?"
มันเงยหน้ามามองผม

"หั่นซี่โครงแกะ?"

"ไม่ใช่สัส..ที่มึงมายุ่งวุ่นวายในชีวิตกูเนี่ย มึงพยายามทำอะไร มึงต้องการอะไร"

"กูยุ่งวุ่นวายเหรอ"
มันถาม น้ำเสียงฟังเศร้าเล็กน้อย

"ก็ไม่เชิง แต่มันแปลกๆ อยู่ๆมึงก็มา มาทำนู้นนี้ พากูไปนู้นนี้"

"มันแค่บังเอิญ!"
มันพูดก่อนจะละสายตาจากซี่โครงแกะมามองผม

"บังเอิญ?...โคตรพ่อโคตรแม่จะบังเอิญเนี่ยนะ มึงไปหลอกควายเหอะวินด์ กูต้องการความจริง"
ผมพูด ตัดสินใจหั่นเนื้อแกะในจานตนเองยกให้คนตรงหน้า

"ขอบคุณ..เออ..กูแค่อยากเป็นเพื่อนกับมึง"

"ห้ะ?!"
ผมมองหน้ามันด้วยความงง โตกันเป็นควายแล้วมึงยังทำตัวเหมือนมีปมด้อยเรื่องเพื่อนเลยนะ!

"จริงๆกูอยากสนิทกับมึง ก็มึงเป็นคนใจดี ตั้งแต่เด็กๆแล้ว มึงคอยช่วยเพื่อนท้ายห้อง คอยให้กำลังใจคนที่โดนไอ้โจรังแก แต่ใครจะเข้าใกล้มึงตอนเด็กๆมันเป็นไปไม่ได้.."

"มาอยู่นี้นี่เอง"
ไอ้ตั้มปรากฎตัวอยู่ข้างหลังวินด์ เขาหน้าตึง หันไปมองผู้มาใหม่
ตั้มมองอาหารในจานวินด์ และมองอาหารจานผม

"ถ้ามึงกินไม่เป็นไม่น่าพาสองมากิน เสียของว่ะ"

"ไอ้ตั้ม! ทำไมมึงพูดแบบนั้น?!"
ผมขึ้นเสียง ไม่ชอบเห็นพฤติกรรมดูถูกคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาจากเพื่อนรักของตน

"กูพูดเรื่องจริงมันผิดเรอะ น้องๆ ขอเก้าอี้เพิ่มอีกตัวตรงนี้ "

"ไร้มารยาท"

"มึงพูดว่าอะไรนะ?!"
ไอ้ตั้มจ้องวินด์อย่างเอาเรื่อง ผมมองเพื่อนสองคนที่ทำพฤติกรรมเหมือนเด็ก 6 ขวบแล้วถอนหายใจ

"ตั้ม มึงไร้มารยาทจริงๆ วินด์มันก็เพื่อนกูนะ กูกับมันแค่มากินข้าว มึงบอกว่าติดธุระด่วน"

"ส่วนวินด์ กูก็มองมึงเป็นเพื่อนอยู่แล้ว มึงอย่าพยายามให้มันมากเกิน ถ้าเป็นมึงมึงอยากมีเพื่อนเป็นคนโรคจิตสตอล์กเกอร์ไหม?"
ผมถาม มองวินด์ดุๆ มันก้มหน้า ดูสำนึกผิด

"นี้มึงถึงขนาดแอบติดตามเพื่อนกูเป็นสตอล์กเกอร์เลยเหรอ?! ไอ้สัส โรคจิต!"
ไอ้ตั้มได้ทีรีบรุมด่าวินด์กับผม(มึงนี้มันคนฉลาดแกมโกงชิบหาย สัสตั้ม!)

"ก็ยังดีกว่ามึง คนส่วนใหญ่บอกว่าสองติดมึง แต่กูรู้มันไม่ใช่ มึงติดไอ้สอง แถมยังกีดกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ด้วย! มึงมันโรคจิต! พวกคนรวยไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้ปกติรึไงวะ?!"
ไอ้ตั้มมองผมท่าทางเลิ่กลั่ก เหมือนพยายามหาข้อแก้ตัวอะไรบางอย่าง

"กูรู้"
ผมพูด ทำสีหน้าเหนื่อยใจ

"มึงรู้?!"
ไอ้ตั้มกับไอ้วินด์พูดพร้อมกัน มันเข้ากันเสียจนผมอดขำไม่ได้

"มึงคิดว่ากูโง่นักหนารึไงวะ กูเข้าใจอารมณ์เด็กๆหวงเพื่อนสนิทดี ตอนนั้นกูก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่มีเพื่อนสนิทสุดๆไว้คนก็ดี ที่เหลือก็คบพอรู้จักกันไป"

ครอบครัวกูอบอุ่นดี! กูไม่รู้สึกขาดความรักอะไร ผมคิดก่อนจะมองหน้าเพื่อนทั้งสองแบบขำๆ
ไหนๆก็ไหนๆแล้วมาทำความรู้จักกันดีกว่า!

..................................

หลังจากนั้นผมก็สนิทกับวินด์มากขึ้น
เขาค่อยๆแทรกตัวเข้ามาระหว่างผมกับตั้มได้อย่างแนบเนียน(แบบที่ไอ้ตั้มไม่ได้พอใจนัก)
ผมค้นพบว่าเขาเป็นคนฉลาด มีความรู้มาก พูดคุยได้หลากหลายเรื่อง
เขาใจเย็นกว่าตั้ม คอยห้ามปรามผม ให้คำปรึกษาบ้างเมื่อจำเป็น

เขาเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดีแบบที่ครอบครัวของผมชอบ
เฮียหนึ่งเอ็นดูไอ้วินด์ ป๊าม๊าก็เหมือนกัน

ไม่นานนักเราก็สนิทกัน
แต่ในตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า หากย้อนเวลาได้ผมคงเลือกเชื่อสัญชาตญาณตนเองมากกว่า

สัญชาตญาณที่บอกว่า...ผู้ชายคนนี้อันตราย



 :a5:

"เอ็งคิดจะทำอะไรของเอ็ง ไอ้วินด์!!"
--เสียงพี่กฤษณ์เมื่ออ่านถึงตอนนี้

นิยายแนวการใช้ชีวิตอ่า ปกติเจอแต่แบบ มาถึงฟัดกันเลย5555 เป็นกำลังใจให้นะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ! ผู้เขียนมีพลังขึ้น10เท่าเลย (ฮ่าๆ เขินจัง><)

#Anynomous :bye2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2017 15:13:55 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่10 :10/11)
«ตอบ #17 เมื่อ10-11-2017 16:08:14 »


ตอนที่ 10 : ความเท่าเทียม

ผมมาถึงห้องเรียนก่อนเวลาเรียนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเสมอ
เพื่อมาทำอะไรหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือการ'เก็บกวาด' เจ้าสิ่งนี้

บนโต๊ะเรียนเต็มไปด้วยเศษขยะ สมุดบันทึกที่โดนฉีก รอยคำเขียนด่าหยาบคาย
โชคดีที่ของส่วนใหญ่อยู่ในล็อกเกอร์..
ผมคิดในใจอย่างเบื่อหน่าย ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดข้าวของที่โดนทำลาย
คัดแยกพวกที่ยังใช้ได้ออกจากพวกที่กลายเป็น'ขยะ'จริงๆ

การกลั่นแกล้งที่ดูเหมือนอยู่ในละครหลังข่าวที่เด็กผู้หญิงชอบดู
ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยอสุรกายตัวน้อย ลูกคุณหนูเอาแต่ใจ เด็กๆที่คิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่มาตั้งแต่เกิด

ผมซึ่งเป็นเด็กธรรมดาๆ
ธรรมดาที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะธรรมดาได้
ตกเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งไร้เหตุผลที่ดูจะไร้ที่สิ้นสุดนี้

ผมเข้าโรงเรียนนี้มาได้ด้วยทุนการศึกษาจาก'นายใหญ่'
ผมเป็นเด็กอุปการะของท่าน ผมถูกชุบชีวิตมาจากบ้านเด็กกำพร้า
ผมไม่รู้จักพ่อแม่ ไม่รู้จักครอบครัว รู้เพียงแต่วิธีเอาชีวิตรอด

..ถ้าไม่เเข็งแกร่ง ก็ต้องตาย..

และในโลกปัจจุบันนี้ สิ่งที่ทำให้มนุษย์แข็งแกร่งไม่ใช่ความเเข็งเเรงจากกล้ามเนื้อ
แต่คืออำนาจ เงินทอง และสติปัญญา

ผมเข้ามาเรียนและตั้งใจขวนขวายหาความรู้จริงๆ
และในที่ที่เด็กส่วนใหญ่เรียนกันเล่นๆแบบนี้ การเป็นที่หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากนัก

"ฮ่าๆ ดูสิว่าใครกำลังเก็บขยะ ทำหน้าที่ดีจังนะหัวหน้าห้อง"
เด็กชายผู้มาใหม่ส่งเสียงเย้ยหยัน ดวงตาสีเขียวมรกตส่งประกายดูสนุกสนาน
ผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนเมื่อต้องแสงแดดก็ดูสวยงาม

เขาเหมือนทูตสวรรค์ตัวน้อยๆ
มีเพียงแต่นิสัยที่ดูเหมือนจะถูกส่งมาจากนรก!

"ทำไมถึงพูดอย่างนั้นละโจ สงสารวินด์ออก"
เด็กผู้หญิงที่พึ่งเดินเข้าห้องมา ส่งสายตามองผมด้วยความเห็นใจ
ผมไม่ได้รับอะไรมากกว่านั้น แต่ผมเข้าใจดี
ในโรงเรียนนี้มีการแบ่งลำดับชั้นอยู่ ชื่อตระกูล สายตรงหรือสายหลัก พ่อแม่ทำงานอะไร มีตำแหน่งอะไร
บริจาคเงินให้โรงเรียนปีละเท่าไหร่.. ของเหล่านี้เป็นเหมือนความภาคภูมิใจของอสุรกายน้อยๆเหล่านี้

ผมซึ่งไม่มีทั้งหมดที่กล่าวมา จึงถูกจัดให้อยู่ในลำดับล่างสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ผมผ่านโลกมาเกินกว่าจะมาสนใจ หรือ น้อยใจ ในเรื่องเด็กๆแบบนี้

เกมของเด็กๆ ปล่อยให้คุณหนูทั้งหลายเล่นไปเถอะ..

ทุกวันการก้มหน้าก้มตายอมรับการกลั่นแกล้ง
การพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างคุ้มค่าที่สุด
ตั้งใจเรียนที่สุด..มีความรับผิดชอบที่สุด
อย่าไปสนเกมเด็กๆพวกนั้น..นั่นเป็นสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองเสมอ

ปกติเด็กพวกนี้จะกลั่นแกล้งผมลับหลัง
พวกเขาเองก็กลัวการมีปัญหาหากโดนจับได้ตรงๆเหมือนกัน
เป็นต้นว่า ขโมยของ,ทำลายข้าวของ , รื้อล็อกเกอร์
แต่ช่วงหลังๆมานี้ดูเหมือนการกลั่นแกล้งจะหนักขึ้น และเริ่มเป็นการกลั่นแกล้งแบบซึ่งๆหน้า

ตั้งแต่ผมถูกลงเสียงให้ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียน

ผมได้คะเเนนสูงสุดในทุกรายวิชา ผลการเรียนยอดเยี่ยมรวมกับการประพฤติที่ดีเลิศ
บุคลิกภาพเเละหน้าตาที่ดูดี น่าเชื่อถือ ผมเหนือกว่าอสุรกายน้อยเหล่านี้ในทุกๆด้าน
ยกเว้นเรื่องสถานะ ซึ่งบังเอิญเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในนี้

"ยินดีด้วยกับตำแหน่งประธานนักเรียนนะ วินด์"
ไอ้โจเซฟพูดกับผมก่อนจะเดินเอาถังใส่น้ำยาทำความสะอาดมาราดลงบนโต๊ะเรียนของผม
เรียกเสียงหัวเราะจากลูกสมุนอีกสองคนของเขา

"ขอบคุณโจซะสิ สำหรับการทำความสะอาดโต๊ะใหม่ไง ฮ่าๆ"

ผมส่ายหัวเล็กๆ ไม่ต่อปากต่อคำ
ผมรู้ดีว่าความเงียบเป็นการต่อกรที่ดีที่สุด ที่ผมทำได้
แต่เเล้วผมก็ได้ยินเสียง

"ผลั่ก!!"
เด็กชายคนหนึ่งเดินมาทางโจเซฟ และใช้ไม้ถูพื้นด้านนุ่มๆ ฟาดหัวเขา

ผมอึ้ง
เพื่อนร่วมห้องก็เหมือนกัน

ผมมองเด็กชายคนนั้น เขาเป็นเด็กกลางๆห้อง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เขาไม่ค่อยพูดมากนัก
เเละมักจะดูเฉื่อยชาอยู่เสมอ เส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาตลอดก็ช่วยลดความเด่นของเขาไปได้อีก
ผมจึงไม่ได้สังเกตเขามากนัก

แต่ดูเหมือนอสุรกายน้อยร่วมห้องของผมส่วนใหญ่หวาดกลัวเขา

"วันนี้ฉันเป็นเวรทำความสะอาด อย่าเอาความยุ่งยากมาให้ได้ไหม"
เสียงนั้นพูดก่อนจะเหลือบมองโจเซฟอย่างเย็นชา ผมไม่เคยเห็นใครกล้าต่อกรกับโจเซฟมาก่อน
แต่โจเซฟนั้น แม้ว่าตนจะทำผิด แต่คนอย่างเขาไม่ยอมเสียหน้าแบบนี้เเน่ ไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนเกือบทั้งห้องแบบนี้

"โต๊ะใครก็ให้มันทำสิ!"
โจเซฟพูด ชี้นิ้วมาทางผม ผมก้มหน้ารับ ยื่นมือไปหยิบไม้ถูพื้น

"นายโง่รึไง ถ้าอยากเป็นคนใช้นักจะมาเรียนทำไม"
ร่างเล็กกระชากไม้ถูพื้นออกจากมือผม มองผมด้วยสีหน้าโกรธ

"มันไม่ใช่เรื่องของนาย! สอง นี้เป็นเรื่องของฉันกับวินด์ ถ้านายยังยุ่งไม่เข้าเรื่อง.."
โจเซฟโวยวาย ท่าทางกร่างเเบบที่เขาชอบทำ..ผมเริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าคนที่ชื่อสองนี่เเล้วสิ

"ฉัน? จะทำไม? นายจะทำอะไร"
ร่างเล็กตรงหน้ากอดอก สายตาเหลือบมองโจเซฟเหมือนมองริ้นไร ไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
เขาดูเหมือนพวกที่ชินชากับการใช้อำนาจเหลือเกิน..เป็นคนที่ดูเหมือนว่าทุกคนต้องยอมสยบให้เขา

และด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาดู'มีอำนาจ'จริงๆ
พวกคุณหนูร่ำรวยเป็นแบบนี้ทุกคนไหมนะ..

ผมมองโจเซฟ
..บางคนก็ไม่

โจเซฟฮึดฮัดก่อนจะรับไม้ถูพื้นจากเด็กที่ชื่อสองมา และลงมือถูพื้นอย่างอิดออด
ปากก็บ่นพึมพำถึงการแก้เเค้น
แต่ตอนนี้ผมไม่สนโจเซฟ..ผมสนเขา

ร่างเล็กเดินเอื่อยๆกลับโต๊ะของตัวเอง
ก้มลงอ่านอะไรบางอย่าง ผมกลับมาปรกหน้าปรกตาอีกครั้ง

ตั้งแต่นั้นมาผมก็คอยสังเกตเขาอยู่เสมอ
เด็กชายเฉื่อยชา นิสัยจืดจางจนน่าหัวเราะ เรียนกลางๆ และมักจะหลับในห้องเรียนเสมอ
วิชาที่เขาทำได้แย่ที่สุดคือวิชาพละ เขาแทบไม่ใช้พละกำลังและดูเหมือนจะใช้มันไม่เป็น
เขามักจะตัวติดกันกับเพื่อนสนิทของเขา เด็กชายหน้าตี๋ที่มีนิสัยห้าวๆ

ผมแอบติดตามจนกระทั่งรู้ว่าเขาเข้าเรียนชมรมฟันดาบ
และโดยไม่รู้ตัว ผมก็ลงชื่อสมัครชมรมฟันดาบไปแล้ว

ผมได้ใกล้ชิดกับเขาที่สุดในชมรมฟันดาบนี้
เพราะเพื่อนสนิทของเขาไม่ได้เข้าชมรม แต่เขาก็ยังคงเป็นเด็กเฉื่อยชาเหมือนเดิม
ผมลอบมองเขาเเทบจะตลอดเวลา บางทีเขามองผมบ้าง เเละเมื่อสายตาเราประสานกัน

เขาก็ยิ้ม

เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ เขายิ้มแบบซื่อตรงที่สุดเท่าที่เด็กชายคนหนึ่งจะยิ้มให้ผมได้
ไม่มีความสงสารในแววตา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ
เป็นรอยยิ้มแบบเด็กๆ รอยยิ้มแบบเพื่อน

ผมผู้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียกใครว่าเพื่อนอย่างเต็มปากเต็มคำนัก

ตกหลุมรักรอยยิ้มนั้น

................................

วันหนึ่งในการซ้อมแข่งขันฟันดาบประเภทคู่
ผมได้โอกาสจึงรีบไปชวนเขา(ผู้ที่ดูเหมือนว่าแค่ถือดาบก็จะล้มลงแล้ว)ให้มาเป็นคู่กัน

"เค"
คำตอบรับช่างเรียบง่าย แต่หัวใจผมพองโต
เราจะได้สนิทกันขึ้นอีก

หลังจากนั้นผมก็ได้ใกล้ชิดเขามากขึ้นจริงๆ ผมช่วยสอนกระบวนท่าต่างๆในการฟันดาบให้เขา
และเขาดูทึ่งทุกครั้งที่ผมทำท่าได้เหมือนอาจารย์เป้ะๆ ราวกับถอดแบบมา

และวันแห่งการแข่งขันก็มาถึง
ไม่รู้ว่าซวยหรือโชคดี คู่แรกที่เราต้องเจอเป็นโจเซฟและลูกสมุนของเขา(ดูเหมือนว่าไอ้เวรโจเซฟจะเข้าชมรมดาบมาเพื่อตามรังควานผม)

ในครึ่งแรกผมกับสองทำได้ดี เราผลัดกันรุก รับ จากฝั่งตรงข้าม
คะเเนนไม่ห่างกันมาก
แต่พอครึ่งหลัง ดูเหมือนว่าโจเซฟจะเดินเกมรุกที่ดุดันไปทางสองมากขึ้น
และสองก็ดูเหมือนใกล้จะหมดแรงเต็มที่

และผมก็สังเกตเห็น..ปลายดาบของโจเซฟกับการเล็งตำแหน่งใต้คางของสอง
ทำไมถึงเลือกตำแหน่งที่อันตรายอย่างนั้น...

ไม่สิ.. ผมตระหนักถึงอันตรายบางอย่าง
เขาตั้งใจ!

สองหันมามองผม เราสบตากันแวบเดียวเท่านั้น
แต่เหมือนผมจะเข้าใจ..

"มนุษย์ต่างดาว!"
ร่างบางข้างๆพูดก่อนจะหันปลายดาบไปด้านหลัง โจเซฟและลูกสมุนหันไป
จังหวะนั้นเองที่ผมกับสอง ยื่นปลายดาบเข้าประชิดโจเซฟ

"รุกฆาต!"
เราพูดพร้อมกัน หันมามองหน้ากัน
แล้วหัวเราะ

................................

ทีมของเราถูกปรับตก แพ้โดยไม่นับคะแนนเพราะเล่นนอกกติกา
ผมนั่งอยู่ข้างๆเขา ก่อนจะรู้สึกได้ว่าควรพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบ

"นายไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาซะเลยนะ"

เมื่อพูดไปแล้ว ผมแทบอยากกัดปากตัวเอง! โอกาสดีๆอย่างนี้ทำไมถึงได้เลือกพูดเรื่องแบบนี้วะ ไอ้วินด์!!

"เกมที่จะฆ่ากันจริงๆมันใช่กีฬาที่ไหน"
ร่างเล็กพูดก่อนจะหันมามองผม

"และถ้าฉันกำลังจะตาย ฉันไม่สนหรอกว่าการเอาชีวิตรอดของฉัน มันจะไปตรงกับบทบัญญัติการละเล่นอย่างยุติธรรมของใครหรือเปล่า"

เราเงียบกันทั้งคู่ เขาไม่ใช่คนพูดมาก ผมก็เหมือนกัน
สักพักเขาจึงพูดว่า

"วินด์ ฉันชื่นชมนายจากใจ นายเป็นคนเก่งจริงๆ นายมีความสามารถ มันไม่ผิดนะถ้านายจะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองบ้าง"

"แม้มันจะไม่ยุติธรรม?"
ผมถาม

"โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม"
เขาตอบ

................................

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับสองอีก เราถูกกาหัวไม่ให้เข้าชมรมกีฬา
ผมโดนนายท่านดุเรื่องที่ผมทำให้ประวัติตัวเองด่างพร้อย

สองเข้าชมรมเปียโน
ผมซึ่งสอบเปียโนไม่ผ่านเลือกเข้าชมรมประวัติศาสตร์แทน

พอขึ้นมัธยมปลายสองก็ย้ายไปเรียนต่างประเทศ
ผมยังคงเรียนอยู่ในไทย ตั้งใจเรียน รับผิดชอบชีวิต ทำทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา
โจเซฟเองก็ไปเรียนต่างประเทศ ชีวิตของผมง่ายขึ้นมาก
ดูเหมือนว่าพอขึ้นม.ปลาย แม้กระทั่งอสุรกายน้อยทั้งหลายยังเติบโตขึ้น
การกลั่นแกล้งกันแบบเด็กๆแทบไม่เหลือแล้ว

เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ดูจะชอบเด็กผู้ชายแบบผม
ผมถึงขนาดมีแฟนเป็นคุณหนูจากครอบครัวร่ำรวยถึง 2 คน
แต่ไม่มีใครทำให้ผมลืมรอยยิ้มนั้น

ไม่มี

................................

"ถ้ามีใครรู้ว่าประธานนักเรียนแอบมาสูบบุหรี่ คงจะขำดีว่ะ"
เสียงๆหนึ่งพูดก่อนจะก้าวมา จุดบุหรี่สูบข้างๆผม

เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่มักจะอยู่กับสองตลอดเวลา

ผมไม่สนใจ ปล่อยให้ควันบุหรี่อ้อยอิ่งวนรอบๆ มองเขาที่ดูเสพติดเจ้าสิ่งนี้ไม่ต่างจากผม

"มองเหี้ยไรวะ"

"สอง"
ผมพูด มองเขา

"มึงบ้าเรอะสัส สองมันอยู่นิวยอร์คนู่น"

"สองจะกลับเมื่อไหร่"

"มึงจะรู้ไปทำไม เพื่อนรึก็ไม่ใช่"
ไอ้หนุ่มหน้าตี๋มองผมอย่างเหยียดๆ ผมเห็นด้วยกับมันส่วนหนึ่ง จึงไม่ปริปากต่อ
ตราบใดที่ผมยังเป็นไอ้วินด์ คนจนๆ ไม่มีสถานะอะไรอย่างนี้ คงไม่มีวันที่ผมจะได้เข้าไปอยู่ในแวดวงของเขา

..น้อยใจ หลงใหล อิจฉา..

ความรู้สึกร้อนๆไหลเวียนทั่วร่างกาย ความรู้สึกที่ผมพยายามปฏิเสธ

'...โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม..'
อาจจริงอย่างที่เขาพูด ผมจะยอมทำทุกอย่าง ทุกอย่าง แม้จะสกปรกหรือเล่นไม่ซื่อ
ผมจะยอมทำ ขอเพียงให้ผมได้ขึ้นไปอยู่ตรงนั้น

อยู่ข้างๆเขาได้..
อยู่ในสถานะที่เท่าเทียม

................................

"วินด์ มึงรู้ปะหนังสือเล่มนี้ ดีมาก"
ร่างบางเดินมาโยนหนังสือในมือให้ผม ผมรับมันไปเปิดดูคร่าวๆ

ปรัชญาของเพลโต..

"มึงอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ"

"อ้ะ..แน่น้อน ตอนกูทำThesisจบ กูใช้หลักปรัชญานี่แหละอ้างการบริหาร
 ..แต่มึงรู้ปะ เอาเข้าจริงเเล้วการบริหารจริงๆ กูแทบไม่ได้ใช้เรื่องที่เรียนมาเลย"
สองบ่นอย่างเซ็งๆก่อนจะทิ้งตัวจมปุกในเก้าอี้นวมในบ้านผม

คฤหาสน์ที่ใช้เงินจำนวนมหาศาลซื้อ..
ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการ..ผมมองร่างบางตรงหน้า มองดวงตาสีดำขลับ มองเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน
จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางสวยน่าสัมผัส

ผมมีทุกอย่างยกเว้นเขา..
แต่อีกไม่นานหรอก..อีกไม่นาน

"นิ่งไปอีกแล้วนะสัส ไม่อยากคุยก็บอกดิวะ กูอุตส่าห์เจียดเวลาอันมีค่ามาบ้านมึงเนี่ย"
คนตรงหน้าทำหน้ามุ่ย

"เปล่าๆ กูคิดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ"
ผมโกหกไป

"ช่วงนี้ธุรกิจของไอ้ตั้มดูไปได้ไม่ดีเลย ตั้งเเต่ไฟไหม้คอนโดใหม่มัน อสังหาที่ซื้อไว้เก็งกำไรก็ราคาตกยับ
มึงว่ามันไปเหยียบตาปลาใครเข้าหรือเปล่าวะ .."

สองบ่นด้วยความกังวลใจ ผมพยักหน้าเห็นใจ
สองเล่าให้ผมฟังและเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เขายังฉลาดเหมือนเดิม..
ธุรกิจของไอ้ตั้มมันล้ำเส้นธุรกิจของนายท่านผม และการเติบโตของมันที่ดูเหมือนจะสามารถเข้ามาเเย่งตำแหน่งในบอร์ดบริหารที่นายท่านสำรองไว้ให้'เด็ก'ของเขาได้อย่างง่ายๆ ...ไอ้คนรวยจอมอวดดีที่เรียนไม่จบด้วยซ้ำ
ด้วยความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากพนักงานหิวเงินของไอ้ตั้ม
แผนที่ผมวางไว้จึงสำเร็จอย่างไม่ยากลำบากนัก ผู้ศึกษากฎหมายทุกคนรู้ช่องโหว่จากกฎหมายดี
เเละผมที่ถูกสอนมาให้รู้จักใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เหล่านั้น
ก็ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม

"มึงคิดมากไปสอง อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ ไอ้ตั้มมันต้องเรียนรู้การรับมือเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย
ไม่งั้นมันจะเติบโตได้ยังไงถ้าไม่หัดล้มบ้าง"
ผมพูดเป็นการเป็นงาน มองสองด้วยสายตาอ่อนโยน

"ก็จริงของมึง..แต่กูยังไม่อยากวางใจหรอกนะ"
มันบ่นอุบอิบก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ

"เพลโตก็ดี แต่อย่างมึงน่าจะอ่านโสกราตีส"
ผมพูดก่อนจะยื่นหนังสือ 'สนทนากับโสกราตีส' ให้ สองรับไว้อย่างสนใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือข้างๆผม

ผมลอบมองคนข้างๆ ผมที่ตกลงมาปรกหน้าทำให้ผมคิดถึงอดีตอีกครั้ง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็คงจะทำเหมือนเดิม
ผมยอมเล่นสกปรกทุกอย่าง เพียงแค่ได้นั่งอยู่ข้างเขาคนนี้
อย่างเท่าเทียม

................................

ตั้มถูกลอบทำร้าย ..นี้เป็นบทเรียนสั่งสอนคนอวดดีว่าอย่าริอาจเสนอชื่อตัวเองเข้าบอร์ดบริหารอีก
สถานะของเขาในตอนนี้ดูไม่มั่นคงเสียจนคณะกรรมการไม่อยากเสียเวลาพิจารณาคุณสมบัติของเขาด้วยซ้ำ
วันนี้ผมกับสองมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
เมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิท คนที่นอนบนเตียงก็ดูดีใจขึ้น แต่เมื่อผมก้าวมายืนข้างๆ ใบหน้าที่กำลังยิ้มก็หุบลงอย่างรวดเร็ว

"มึงพามันมาทำไมวะ"
ไอ้ตั้มหันไปพูดกับสองอย่างหงุดหงิด

"เจ็บจะตายอยู่แล้วอย่าพูดมาก ไอ้วินด์ก็เพื่อนไหมล่ะ กูเล่าให้มันฟัง มันก็เป็นห่วงมึง"
นางฟ้าของผมช่วยพูดเพื่อผมขนาดนี้ ผมมองสองอย่างซึ้งๆ แต่เขาไม่สนใจผมเท่าไหร่นัก

"มันมาดูว่ากูตายหรือยังต่างหาก"
มึงพูดถูก ตั้ม..เพราะกูสั่งลูกน้องไว้ว่าห้ามเอาถึงตาย..กูแค่จะสั่งสอน ไม่ได้อยากมีปัญหา
ผมมองมัน นิ่ง รู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"พูดกับมึงแล้วกูอยากตาย ..อ่ะ ช็อกโกแลต กูซื้อมาฝาก"
สองพูดก่อนจะยื่นกล่องช็อกโกแลตราคาแพงให้ ไอ้ตั้มรับมาท่าทางตาวาว..ทำตัวเป็นเด็กๆนะมึง ปัญญาอ่อน

"กูรักมึง"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะส่งสายตาซึ้งใส่สอง(ของผม) ผมหงุดหงิด

"แผลมึงดีขึ้นหรือยัง..คราวหลังมึงต้องมีบอร์ดี้การ์ดแล้วนะ..โดนแทงท้องอย่างนั้น มันกะเอาถึงตายนะเว้ย"

"ไม่ต้องห่วง กูจัดการได้..โอ๊ย!"
สองตีเเขนไอ้ตั้มไปแรงๆทีหนึ่ง

"มึงเลิกพูดอย่างนี้สักที..มึงจัดการได้..มึงทำไม่ได้ พวกนี้มันมืออาชีพ มึงคิดว่าตัวเองเป็นหมัดดาวเหนือรึไง"
แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเห็น น้ำตาร่วงลงจากดวงตาคู่สวย สองพยายามหันหน้าไปทางอื่นแต่ไม่ทัน
ผมไม่เคยรู้ว่าเขามีมุมแบบนี้ ..ผู้ใหญ่ที่เสียน้ำตาให้เพื่อนอย่างนั้นเหรอ..

"สอง! กูขอโทษ..มึงอย่าขี้เเยสิสัส กูไม่เป็นไรๆ"
ไอ้ตั้มรีบปลอบอย่างลุกลี้ลุกลน ดูเหมือนมันเองจะคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของสองดี..
มีเเต่ผมที่ไม่รู้..น่าแปลก ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากปลอบใจสองเหมือนไอ้ตั้ม

ผมเพียงเเต่อยากเห็นน้ำตาจากดวงตาคู่นั้นอีก
อยากเห็นคนอย่างเขาในมุมที่อ่อนแอ..

"มาเถอะ"
ผมพูด ดึงสองให้หันหน้ามา ผมอยากเห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้เหลือเกิน

น่าเสียดาย..น้ำตาหยุดไหลไปแล้ว
ผมมองไอ้ตั้มด้วยความโกรธ ประกายบางอย่างคุกรุ่นขึ้นในแววตา ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

"ได้เวลากลับเเล้ว"
ผมพูด ดูนาฬิกา วันนี้เป็นวันพุธ สองมีทำงานต่อในช่วงบ่าย ผมก็มี
สองพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำออกไป ผมตามไป กำลังจะปิดประตู

"เดี๋ยว"
ผมค้างประตูไว้ หันหน้าไปมองคนบนเตียง

"รอหางมึงโผล่เมื่อไหร่ กูลากมันออกมาเเน่.."
ไอ้ตั้มพูดกับผมเสียงเย็น

ผมยิ้มให้เขา ก่อนจะปิดประตู




 :hao3: สวัสดีค่ะ! ตอนนี้ก็เป็นตอนในมุมมองของตัวละครหนุ่มสุดเเสบ ทนายผู้มากความสามารถ เด็กนักการเมือง
อย่าง วินด์ นะคะ ,วินด์ก็เป็นตัวละครหนึ่งที่เขียนได้สนุกไม่แพ้เจ้าตั้ม :katai3:(กลายเป็นลูกรักคนเขียนไปซะแล้ว)เลยค่ะ

อย่างหนึ่งที่น่าสนุกของวินด์คือเขาเป็นคนที่ไม่สนเรื่องถูกต้องดีงามทั้งหลายนี่แหละค่ะ
เขามีความสุดโต่ง ความหลงใหลที่บิดเบี้ยว และความอิจฉาริษยาที่พยายามจะปิด

ทำให้ผู้เขียนอดตื่นเต้นกับพฤติกรรมที่เขาจะทำแต่ละอย่างไม่ได้
ขอรับรองเลยว่าแทบจะไม่มีเรื่องดีๆเลยล่ะค่ะ!! :z3:

ความวายป่วงจากความเพี้ยน(?)ของวินด์จะมีมากน้อยแค่ไหน
แล้วเจ้าสองจะรู้ตัวหรือไม่?! เจ้าตั้มจะรับมืออย่างไร?! เฮียกฤษณ์จะมีบทหรือไม่?!
และเรื่องนี้จะยังเรียกตัวเองว่า โรแมนติกคอเมดี้ ได้อยู่หรือไม่?!! :z6:

ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ :bye2:

#Anynomous

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่10 :10/11)
«ตอบ #18 เมื่อ11-11-2017 14:09:10 »

โอย.......สนุกกกกกก ชอบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชอบมาก ไรท์ เขียนได้ไหลลื่น

ตั้ม ก็น่าจะชอบสองเกินเพื่อน
ตั้มไม่บอกเพราะคิดว่าสองชอบหญิง
ไม่ชอบตั้มที่เปิดตัวสอง ตอนสองกลับมา
มันเชิญชวนให้คนไม่ดีเข้าหาสอง แล้วก็ใช่จริงๆ

ก็คิดว่ากฤษณ์ สองต้องชอบกัน
เจอโจ เจอวินด์ ทั้งสองคนนี้ทำให้คิดว่าคิดไรๆกับสอง
แล้ววินด์ก็โผล่มาตามติดเพื่อเจอสองตลอด

ให้คิดว่าวินด์จะทำอะไรร้ายๆกับกฤษณ์หรือเปล่า เพราะเป็นศัตรูหัวใจ
กับตั้ม ต่างคนต่างเห็นหางกัน แต่ตั้มไม่มีอิทธิพลน่ะสิ
อยากอ่านตอนใหม่แล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
«ตอบ #19 เมื่อ12-11-2017 23:58:43 »

ตอนที่ 11: เก้าอี้ว่าง

"คุณหนูคะ ป้าเเจ่มเอาผลไม้มาให้ วางไว้ตรงนี้นะคะ"

ผมพยักหน้ารับ ไอ้แผลเวรนี้ก็ปวดชิบหาย! ใช่ว่าผมจะไม่ได้กลิ่นเสียเลยว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แต่ชีวิตจริงไม่ใช่การ์ตูน ผมคงเดินโทงๆไปหาไอ้หมอนั่นแล้วพูดเท่ๆอย่าง 'กูรู้ตัวคนร้ายแล้วล่ะ' หรือ 'มึงคือฆาตกรร'
อะไรเทือกนั้นไม่ได้ มิหนำซ้ำ ไอ้คนที่จ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ผมอยู่นี้เป็นคนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เสียด้วย

หรือผมจะยอมแพ้ในเกมนี้ดี

การยอมแพ้ก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง
รู้ว่าเวลาไหนควรเดินหน้า เวลาไหนควรถอยก็สำคัญ

ผมส่ายหัวกับตัวเอง ..จริงๆถ้าผมไม่ดื้อ อยากพิสูจน์ตัวเองว่ายืนด้วยตัวเองได้นักหนาละก็
เรื่องคงจะง่ายกว่านี้

ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วเวลานี้ผมควรถอย

ผมไม่ใช่คนโง่ คำเตือนในรูปแบบมีดนี้มักมาก่อนในรูปแบบกระสุนเสมอ
แต่ตอนที่ได้เห็นแววตาไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตอนมองเพื่อนผม
ตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มไม่ยี่หระของมันที่ดึงเจ้าสองที่พึ่งร้องไห้เข้าหาตัวเอง..

ผมรู้ทันทีว่าเพื่อนรักของผมไม่เหมาะที่จะเล่นเกมนี้
พอๆกับที่รู้ในทันทีว่าคนที่ต้องเข้าร่วมเล่นคนต่อไปคือผม

ไม่เช่นนั้นผมคงต้องสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดไปแน่ๆ
สัญชาตญาณผมบอกเช่นนั้น และผมก็เชื่อ

..................................

ผมเรียกเลขาส่วนตัวมาที่โรงพยาบาล เมื่อคิดจะเข้าร่วมเกมนี้ผมจะชักช้าไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างแล้วสถานการณ์ดำเนินไปเข้าทางไอ้วินด์กับนายใหญ่ของมันขึ้นเรื่อยๆ
ผมที่เสียเปรียบอยู่แล้วจะไม่มีทางสู้ได้เลย

"เรื่องของพนักงานทำไฟไหม้ที่ฉันให้ไปติดตามเป็นยังไงบ้าง"

"ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยครับ..พนักงานยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุชัดเจน"

ผมขมวดคิ้ว ตั้งท่าจะทวนคำสั่งอีกรอบ แต่เลขาของผมซึ่งทำงานกับผมมานานรู้ใจผม เขาพูดขึ้นมาก่อนว่า

"ผมยัดเงินให้เขาตามที่ท่านบอกแล้ว บอกว่าจะให้มากกว่าคนที่จ้างเขา10เท่า ..แต่เขาก็ไม่ยอมบอกครับ
เขาบอกว่าเงินไม่มีประโยชน์ถ้าเขาตาย.."

ผมพยักหน้ารับ ..ผู้ว่าจ้างไม่ใช่เเค่มีเงิน แต่มีอำนาจ และดูจะเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ที่หนุนหลังอยู่เสียด้วย
ทุกอย่างสนับสนุนข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของผม
นายใหญ่ของวินด์จ้องเล่นงานผม อาจเกี่ยวกับเรื่องการเสนอชื่อเข้าบอร์ดบริหาร ผมไม่แปลกใจทำไมเขาถึงหวงเก้าอี้นั้นนักหนา บริษัทพลังงานรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้สูงสุดของประเทศไทย บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับที่ 95 ของโลก.. เก้าอี้ในบอร์ดบริหารนั้นปกติแล้ว 1 คนนั่งได้ที่เดียว
แต่ถ้าอยากนั่งได้หลายๆที่ เป็นเรื่องทราบกันดีว่าต้องหาทางเอาคนของตัวเองเข้าไปนั่งในนั้นเอง
เมื่อก่อนในบอร์ดบริหารมีรายชื่อคนในครอบครัวผมถึงสองคน(ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากแล้ว รวมกับหุ้นที่ครอบครัวเราถือไว้ เกือบถึงสัดส่วนสูงสุดที่จะผูกขาดหุ้นได้) คือพ่อของผมและพี่ชายคนโต

แต่ตาแก่นั่นไปนอนพักร้อนอยู่ในโรงพยาบาล เก้าอี้ถูกนับว่างอีก 1 ที่
เกมเก้าอี้ดนตรีที่มีเดิมพันสูงจึงเริ่มขึ้น

..................................

แม้ผมจะมีนามสกุลที่ทรงอิทธิพล แต่ไอ้วินด์และนายใหญ่ของมันก็รู้ดีพอกับคนอื่นๆ
ผมมันคนที่ถูกตัดหางปล่อยวัด เพราะฉะนั้นแทนที่จะจ้องเล่นงานพี่ชาย พี่สาว หรือน้องสาวผม
เล่นงานหมาจรจัดแบบผมน่าจะง่ายกว่า

พวกเขาคิดถูก

แต่ก็เพราะผมเป็นหมาจรจัด ผมถึงไม่มีอะไรต้องเสีย
ผมยอมเล่นเกมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ผมไม่ต้องห่วงหน้าตาครอบครัว ผมไม่ต้องกลัวว่ามันจะใช้ใครมาขู่
ผมไม่มีคนรัก ผมไม่มีครอบครัว ถ้าเขาจะขู่ผมให้จนตรอก ผมจะสู้ และผมเป็นประเภทกัดไม่ปล่อยเสียด้วย

เพราะฉะนั้นถึงแม้ตาแก่นั่นจะออกจากบอร์ดบริหารนานแล้ว
แต่เก้าอี้นั้นยังคงว่างอยู่เสมอ

ผมคิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่พวกเขายังทำอะไรผมไม่ได้
ตราบเท่าที่พวกเขาไม่กล้าจะทำอะไร

จนกระทั่งเขากลับมา..

ผมไม่ใช่หมาจรจัดอีกต่อไป
แต่กลายเป็น'ไอ้เชี่ยตั้ม'
เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีสิ่งสำคัญให้ปกป้อง

...................................
ตอนแรกผมยังมองไม่เห็นปัญหานี้ จนกระทั่งสงครามเย็นยืดเยื้อไปหลายเดือน
วันที่สองกลับจากขอนแก่น ในงานเลี้ยงเปิดตัวคอนโดใหม่ของผม แขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฎตัว..
เขาทักทายและพยายามจะสนิทชิดเชื้อกับสอง เขารู้ว่าสองคือสิ่งสำคัญของผม

สิ่งที่เขาจะใช้กดดันผมได้
สิ่งที่ผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง

หลังจากนั้นก็จริงดังคาด เมื่อผมรู้ว่ามันรู้จุดอ่อนของผม การฝืนเล่นในเกมที่ไม่มีทางชนะนั้นไม่ต่างกับคนโง่
ผมจึงยอมถอย เพียงเพื่อไม่ให้เขาได้รับอันตราย

แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ พวกมันกลับไม่ถอย
วินด์เข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับสอง
อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ผมต้องติดธุระด่วน..
เรื่องบังเอิญลวงโลกที่มันสร้างขึ้นเพื่อให้ได้เจอสอง..

ผมไม่รู้ว่านายมันมีจุดประสงค์อะไร..ถึงได้ส่งมันมาวนเวียนรอบตัวสอง
ผมคิดอย่างอื่นไม่ออกนอกจากการประกาศสงคราม

จึงตัดสินใจ'ลอง'ส่งชื่อไปอีกรอบ
และ'มีด'คือคำตอบที่ได้รับกลับมา

จากคำบอกเล่าของเลขาส่วนตัวและข้อมูลที่ผมได้รับ(รวมถึง'คำตอบ')
ผมถึงได้เข้าใจว่า มีแค่เงินอย่างเดียว ผมปกป้องเขาไม่ได้

นี้อาจเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งในชีวิต
นับตั้งแต่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านตอนอายุ 14

ผมอาจต้องละทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อเขา

ผมอาจต้องกลับ'บ้าน'

..................................

'ก๊อก ก๊อก ก๊อก'
ผมเคาะประตู 3 ครั้งก่อนจะพูดขออนุญาตเบาๆเเล้วเปิดเข้าไป
ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลที่ตกแต่งราวกับโรงเเรมหรูระดับ 5 ดาว

ร่างของตาแก่นอนอยู่บนเตียง เมื่อผมยังเด็ก เวลาเห็นพ่อ จะเห็นว่ามีบอดี้การ์ดอย่างน้อย 2 คนอยู่กับเขาเสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน ...แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่บางอย่างไม่เคยเปลี่ยนไป

"คุณท่านครับ..คุณหนู..คุณหนูตั้มมาเยี่ยมครับ"
บอดี้การ์ดร่างยักษ์เดินไปโค้งกระซิบบอกเจ้านายด้วยเสียงที่ไม่เบานัก
ร่างบนเตียงขยับตัวลุกขึ้นทันทีโดยมีบอดี้การ์ดคนที่เหลือช่วยพยุง

"ตั้ม?"

"อือ..เอามะม่วงมาให้"
ผมพูด รู้สึกแปลกๆราวกับพ่อเป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จัก ใบหน้าเขาดูเหนื่อยล้า ดูแก่ขึ้นกว่าที่ผมจำได้
ผมจำได้ว่าเราทะเลาะกันบ่อยมาก ในความทรงจำของผมมีแต่ใบหน้าของเขาในตอนที่เกรี้ยวกราด ไม่เคยเห็นใบหน้าตอนเหนื่อยล้าเช่นนี้

"หึ..ซมซานกลับมาแล้วสินะ..มีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ"
พ่อพูดก่อนจะยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าเย้ยหยัน..ค่อยคุ้นเคยขึ้นมาหน่อย
ผมยังไม่พูดอะไร กำลังคิดอยู่ว่าจะเรียบเรียงประโยคอย่างไรไม่ให้ดูเป็นการขอความช่วยเหลือมากที่สุด

"ถ้าเป็นเรื่องไอ้เกรียง ไปคุยกับพี่สาวของแก"
พ่อพูดโดยไม่รอให้ผมอธิบาย แบบที่เขาชอบทำเสมอ แต่คำพูดของคนอย่างเขาน้อยครั้งจะเป็นเรื่องเล่นๆ
ผมเกลียดพ่อแต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขาเป็นคนฉลาด

ถ้าพี่ชายคนโตของผมเป็นคนดูแลธุรกิจด้านสว่าง พี่สาวคนโตของผม 'สิตา' ก็เป็นคนดูแลธุรกิจ'ด้านมืด'ของครอบครัว
(จริงๆหน้าที่นี้ควรเป็นของผม ถ้าผมไม่ชิงแตกหักกับพ่อแม่ หนีออกจากบ้านมาเสียก่อน)
พี่ตามีนิสัยไม่ต่างจากคนในครอบครัวผม ไม่ต่างจากพ่อ หรือแม่ ก่อนที่ผมจะหนีออกจากบ้าน ผมก็เกลียดเธอพอๆกับที่มนุษย์เกลียดโรคระบาด และเเน่ใจว่าเธอก็เกลียดผมไม่ต่างกัน ตลอดหลายปีมานี้ผมพูดกับเธอไม่น่าเกิน 20 ประโยค ..ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้พ่อบอกให้ผมไปขอความช่วยเหลือจากเธอ

อย่างไรก็ตามผมมันคนไม่มีทางสู้ เมื่อเลือกทิ้งศักดิ์ศรีไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเล่นตัวอีก
ผมจะแบกหน้าไปหายัยตาดูสักครั้ง...

ก็ถ้าไอ้วินด์มันยอมเล่นสกปรกทุกอย่างเพื่อจะทำร้ายคนสำคัญของผม
ผมก็จะยอมละทิ้งทุกอย่างที่มี เพื่อปกป้องเขาเหมือนกัน

มาดูกันว่าเกมนี้ใครจะชนะ

..................................

"ตกลง"

พี่ตาตอบอย่างง่ายดายด้วยแววตาเหยียดหยามสมกับเป็นเธอ
เธอไม่พูดต่อว่าผม แต่แววตาเธอบอกทุกอย่าง... ฉันบอกแล้ว คนอย่างแกมันจะไปได้สักกี่น้ำ...
พี่ตาเองก็เหมือนพ่อ จากธุรกิจที่เธอรับผิดชอบ ทำให้เธอจำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดอยู่รอบตัวเสมอ และดูเหมือนจะมีมากกว่าพ่อเสียด้วยซ้ำ

"พรุ่งนี้พาฉันไปหาคนงานของแก"

ร่างสูงเพรียวระหงส์ลุกจากเก้าอี้หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด

"มันไม่ยอมพูด..ผมมาขอให้พี่ช่วยหาวิธีอื่น"
ผมกัดฟันพูดขอร้อง แต่พี่ตาไม่ฟัง เธอก็ไม่ต่างจากพ่อ อย่างที่ผมบอก เชื่อมั่นในความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังความเห็นใครก็ตามที่เธอเห็นว่าไม่สมควรฟัง..เธอไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือที่ดี แต่เป็นจอมเผด็จการที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ
ผมคิดถูกหรือเปล่านะที่เชื่อตาแก่นั่น...

"มันจะพูด, วันนี้หมดเวลานัดพบของแกแล้ว พรุ่งนี้ก็มาตามนัดด้วย ฉันไม่ชอบรอ"
พี่ตาพูดก่อนจะผายมือไปที่ประตูทางออก ผมอยากจะอ้าปากเถียง แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้
ยอมทิ้งทุกอย่าง ยอมโดนเหยียดหยาม

อย่างที่ผมบอก มันมีเวลาที่เราต้องเรียนรู้ที่จะยอม

..................................

ผมนำพี่ตากับคนของเธอมายังที่พักของพนักงาน เมื่อเห็นผม พนักงานผู้นั้นก็ตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้ ผมไม่ใช่นายใหญ่ของที่นี้ แต่เป็นผู้หญิงข้างๆผมคนนี้ต่างหาก

"เอาละ ฉันจะไม่พูดพล่ามทำเพลงนะ บอกมาซะว่าใครจ้างแก"

พี่ตาพูดกับพนักงานของผม แววตาและน้ำเสียงเหยียดหยามอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอบาดลึกลงในหัวใจของคนฟังเสมอ ดูเหมือนครั้งนี้ก็ด้วย

"ผมไม่บอก..ต่อให้เอาเงินฟาดหัวผมมากกว่านั้นสิบเท่าผมก็ไม่บอก"
ชายคนนั้นดูโกรธขึ้นเมื่อพูดกับพี่ตา..

"แกยอมรับว่ามีคนฟาดหัวแกเรอะ ถึงได้บอกว่าถ้าฉันให้สิบเท่าของเงินนั่นจะไม่บอก"
พี่ตาพูดน้ำเสียงสบายๆ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฎขึ้นมา ชายพนักงานดูโกรธขึงยิ่งขึ้น

"จะไม่มีสิบเท่าสำหรับแก"

"ถ้าได้เงินแล้วฉันตายจะเอาเงินไปทำไม ฉันไม่ได้โง่!"
ชายผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงลุกลี้ลุกลนขึ้น แต่พี่ตายังคงยิ้มเหมือนเดิม

"ถ้างั้นก็เลือกเอา จะตายตอนนี้หรือค่อยไปตายหลังจากบอก"

กระบอกปืนเก็บเสียงในมือคนของพี่ตาจ่อไปที่ชายตรงหน้า
ผมเหลือบสายตามองหน้าพี่สาว เธอดูไม่ต่างกับในเวลาปกติ ดูชินชาเหลือเกิน

ชายผู้นั้นยกมือขึ้นช้าๆ

"แกฉลาด"
ร่างเพรียวระหงส์ก้มหน้ามอง ใบหน้างดงามยิ้มเย้ยหยันอย่างผู้ชนะ
..................................

ผมได้ไฟล์เสียงสารภาพของพนักงานชายมา
ผมเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยเห็นเธอในมุมนี้มาก่อน

"แกจะทำอะไรกับไฟล์เสียงนั้นล่ะ"
พี่ตานั่งอยู่ข้างผมในรถตู้ของเธอ สายตากับน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิม แต่ผมมองเธอต่างออกไป
ผมรู้มาตลอด พ่อนั้นฉลาด พี่ชายคนโตก็เต็มไปด้วยความสามารถ แต่พี่สาว..เธอแข็งแกร่ง

ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครในครอบครัวที่พึ่งพาได้มาตลอด
จนกระทั่งตอนนี้

"ผมไม่รู้"
ผมตัดสินใจพูดแสดงความอ่อนแอออกไป
ไม่รู้อยู่ๆทำไมผมถึงรู้สึกขึ้นมาได้ว่าผมเป็นน้องชาย ไม่ได้ตัวคนเดียว ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แก้ได้ทุกอย่าง

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอทำให้ผมเห็นว่าเธอนั้นพึ่งพาได้
อีกส่วนคงเป็นเพราะผมคิดไม่ออกจริงๆ

"เฮ้อ"
เธอถอนหายใจก่อนจะยิ้มให้ผม

"เป็นคำตอบที่ใช้ได้ ..ถ้าแกตอบว่าจะเอาไปประจาน แจ้งตำรวจ ขึ้นโรงขึ้นศาล ..ฉันคงอดไม่ได้ที่จะไล่แกออกจากบ้านอีกรอบ"

ผมยักไหล่

"ถ้าแกคิดว่าจัดการเองไม่ได้ เอาข้อมูลนั่นให้ฉัน ฉันรู้ว่าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดยังไง"
พี่ตาพูดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบของจากลิ้นชักในรถ

"นี่ช็อกโกแลต ของเยี่ยมไข้แก ,ฉันไม่มีเวลาเอาไปให้สักที"

ผมยื่นเครื่องบันทึกเสียงให้พี่ตา
เธอยื่นช็อกโกแลตให้ผม

..................................

ผมกลับมาอยู่บ้าน และได้คุยกับพี่ตามากขึ้น เธอเป็นคนให้คำแนะนำผมเกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่งในสงครามเก้าอี้ดนตรีนี้ ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าคำแนะนำของเธอฉลาดและให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แม้เราจะสนิทกันมากขึ้นแต่เธอก็ยังคงเป็นสิตาคนเดิม คำพูดเหยียดหยามกับแววตาที่ทำให้คนอื่นรู้สึกด้อยกว่ายังมีอยู่เช่นเดิม แต่ผมเริ่มชิน ดูเหมือนมันเป็นนิสัยที่แก้ไม่ได้ของเธอไปเสียแล้ว

เราเริ่มสนิทกันถึงขนาดเธอเล่าเรื่องเฮียหนึ่ง พี่ชายของสองให้ผมฟัง(เธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเขา)
เธอรู้ว่าผมให้ความสำคัญกับสองมาก และเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับการให้ความสำคัญคนอื่นมากเกินไป

"นี้เป็นเหตุผลที่พี่ไม่มีคนรักหรือเปล่า"
ผมถามเธอ

"มันเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ให้ความสำคัญกับความรัก..แต่แกไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น"

ผมไม่ถามต่อว่าแล้วทำไมเธอถึงฝืนตัวเอง เธอรับหน้าที่ดูแลธุรกิจด้านมืดทั้งๆที่ควรจะเป็นผม นั้นเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะตอบคำถามทั้งหมด งานของเธอมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าจะให้ผิดพลาดเพราะมีจุดอ่อนอย่าง คนรัก

"..ถ้าเราจัดการค่อยๆวางมือจากธุรกิจมืด เปลี่ยนมาทำด้านที่สว่างทีละน้อย เหมือนครอบครัวสอง เราก็อยู่ได้นะ..พี่คิดว่าไง"

"ถ้าวันไหนฉันอยากตกงาน จะรับพิจารณาข้อเสนอละกัน"

..................................

"เฮ้อ.."

คนข้างๆผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน วันนี้เป็นวันเสาร์ เจ้าสองมาเล่นบาสอยู่บ้านผมก่อนจะขอทำตัวเฉื่อยชาอยู่ยาว ผมไม่ปฏิเสธ แค่เห็นมันมาคนเดียว(ไม่มีไอ้เวรวินด์) และมาหาผม ผมก็ดีใจมากเเล้ว
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านๆมาผมขลุกอยู่กับพี่ตา ยุ่งอยู่กับการก่อสงครามเย็นกับไอ้วินด์และนายใหญ่ของมัน

ผมยื่นมือไปลูบหัวมัน

"มึงเป็นไรป่าววะ"

มันหันขวับ ปฏิกิริยาแรงกว่าที่ผมคิด...ผมล้ำเส้นอะไรไปหรือเปล่านะ

"อย่าทำอย่างงี้!"
มันหน้าเบ้ ผมตบหัวมันไปหนึ่งที

"อ่อนโยนไม่ชอบหรอสัส เป็นเหี้ยไรวะ..หรือไอ้วินด์ไม่มา มึงเลยหงุดหงิด"
ผมพูดทำเป็นแซว แต่ถ้ามึงตอบว่าโกรธเพราะมันไม่มาจริงๆ กูนี้เเหละจะโกรธมึง

"ไม่ใช่สัส..แต่พูดถึงไอ้วินด์แล้วก็สงสาร หลังจากมึงโดนแทงไปได้อาทิตย์นึง ไอ้วินด์ก็โดนลูกหลงคนไล่ยิงกัน..คนเก็บดอกกับลูกหนี้เขาไล่ยิงกันแท้ๆ ไอ้เหี้ยนี่เสล่อไปรับลูกกระสุนแทน ดีนะไม่โดนจุดสำคัญ.."

ผมพยักหน้าด้วยความเห็นใจ(?)

"กูเห็นช่วงนั้นมึงก็เข้าๆออกๆเย็บไหมตัดไหมแผลอยู่โรงพยาบาล..เลยไม่ได้บอกเรื่องนี้"

ผมยักไหล่

"บอกไปกูก็ไม่ได้สงสารมันอยู่ดี ไอ้เหี้ยนั่น"
ผมลอยหน้าลอยตาพูด ก่อนจะโดนไอ้สองตีที่ไหล่แรงๆทีหนึ่ง

"มึงก็อีกคน กูยังคุยกับวินด์อยู่เลยว่ามึงไปเหยียบตาปลาใครเข้าหรือเปล่า"

"ถ้ากูเหยียบตาปลา ไอ้เหี้ยวินด์ก็เหยียบทั้งหัวแล้วล่ะ โดนลูกปืนขนาดนั้น"
ผมพูดก่อนจะหัวเราะร่า ไอ้สองส่ายหัวก่อนจะบ่น

"ทำเป็นเล่นไปนะมึงน่ะ..ไอ้วินด์มันแค่บังเอิญเว้ย เขาเก็บหนี้กัน มันยืนโง่ๆ ..แต่มึงน่ะ เขาแทงจริง!"
ผมยิ้มให้สอง..ก็วินด์มันชอบเรื่องบังเอิญ กูกับพี่กูเลยจัดให้ เอาให้บังเอิญแบบสุดๆไปเลยไง โรแมนติกถึงใจดีไหมละ

"แค่มึงเป็นห่วงกู กูเอาชนะได้ทุกคนในโลกนั่นแหละ"
ผมพูด และมันเป็นเรื่องจริง มันยิ้ม

"จะอ้วกสัส"

"สรุปมึงเป็นไร ไม่บอกกูจะเรียกไซย่ามาแดกหัวมึงเดี๋ยวนี้เลย"
มันหัวเราะก่อนจะยอมบอกผม

"ก็..เรื่องพี่กฤษณ์น่ะ.."
ผมทำสีหน้าขัดใจ แต่ก็อดทนฟังมันพูด
ผมอดทนฟังมาตั้งแต่ยังไม่คบกัน จนคบกัน จนต้องห่างกัน

เรื่องอะไรจะอดทนต่อไม่ได้
ขอแค่ได้อยู่ข้างมึงแบบนี้ จะให้กูอดทนเพื่อเหี้ยอะไรก็บอกมาเลย
กูทำได้หมดแหละ จริงๆ

"กูเล่าให้มึงฟังเเล้วใช่ไหม วินด์มันได้ไปช่วยบริษัทพี่กฤษณ์ร่างสัญญา..ตอนนี้มันก็อยู่ขอนแก่นเเล้ว มันจะทำงานอยู่นั้นตั้ง2-3อาทิตย์แน่ะ.."

"แล้ว?"

"กูก็แค่อยากไปด้วย เฮียไม่ให้ไปง่ะ กูต้องทำงาน"
ไอ้สองพูดก่อนจะหน้างอเป็นเด็กๆ..

"มึงพูดมีประเด็นนะ..คนอย่างไอ้เหี้ยวินด์ ไปไหนชิบหายที่นั่น"
ผมพูดและหมายความตามนั้นจริงๆ ไอ้สองหัวเราะเพราะคิดว่าผมล้อเล่น

"ไม่รู้ดิ..เฮ้อ ตั้ม กูมีลางสังหรณ์แปลกๆว่าพี่กฤษณ์จะต้องการกูว่ะ"

"มึงคิดถึงมันมากไปมั้ง ไอ้พี่กฤษณ์ของมึงนี่.."

ผมพูดและอดอิจฉาไอ้เหี้ยที่ชื่อกฤษณ์นี้ไม่ได้ ..อยากรู้เหลือเกินมึงมีดีอะไรวะ สองถึงได้ติดมึงเหมือนเด็กติดขนมหวานขนาดนี้ ..

"อือ มึงอาจพูดถูก เฮ้อ.."
เมื่อเห็นมันเศร้าผมก็ทนอยู่เฉยๆไม่ได้นานนัก
ผมลุกขึ้นเดินไปปล่อยไซย่าจากกรงหลังบ้าน

เจ้าไซย่าเป็นหมาฉลาด มันรู้หน้าที่ตัวเองดี
มันวิ่งนำผมออกไป แล้วไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากในบ้าน

ผมยิ้ม เดินไปในครัว หยิบขนมครกที่สั่งให้ป้าเเจ่มทำเผื่อไว้
ก่อนจะเดินตามเสียงหัวเราะนั้นไป

 


 :hao3:สวัสดีค่ะ! ขนาดเจ้าวินด์ยังมีตอนของตัวเอง! แล้วตัวเอก(?)ที่โผล่มาตั้งเเต่ต้นอย่างเจ้าตั้มมจะไม่มีได้อย่างไร :z2:
ในตอนที่ 11 เก้าอี้ว่าง นี้ เป็นตอนที่เล่าเรื่องราวของตั้มอย่างคร่าวๆ (จริงๆที่ไม่ย้อนอดีตเหมือนวินด์เพราะปมของเจ้าตั้มมันซับซ้อนมากค่ะ ไทม์ไลน์ช่วงวัยรุ่นก็ยาวเหยียดน่าสนใจ(และสนุกสุดๆ ฮ่าๆ) หากเอาลงคงจะไม่ได้ชื่อตอนว่า เก้าอี้ว่าง เป็นแน่แท้)
และการชิงตำแหน่งเก้าอี้ว่าง ที่เจ้าตั้มเคยบ่นให้สองฟังในบทต้นๆ เป็นตอนที่คลายปมว่าทำไมเจ้าตั้มถึงได้ดูเกลียดวินด์นัก
ทั้งในตอนงานปาร์ตี้(วินด์มาแบบSurprise+เจ้าสองยังบ่นว่าไอ้ตั้มมันใช้เกณฑ์อะไร) และหลังจากนั้น ..

ทั้งตัวละครใหม่(ซือเจ๊โหด)ทั้งปูทางทั้งผูกปมมากมายก่ายกองอย่างนี้ มาติดตามกันว่าผู้เขียนจะขมวดได้หมดหรือไม่?!! :katai1:
เจ้าวินด์จะไปไร่พร้อมความชิบหายวายป่วงอย่างที่เจ้าตั้มทำนายไว้หรือไม่?!! :z3:
ลางสังหรณ์ของเจ้าสองจะเเม่นหรือไม่?!และเฮียกฤษณ์จะรับมือสายลมแรงนี้อย่างไร?!!

ตอนหน้ามาลุ้นส่งกำลังใจให้เฮียกฤษณ์กันค่ะ :bye2:

#Anynomous

โอย.......สนุกกกกกก ชอบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชอบมาก ไรท์ เขียนได้ไหลลื่น

ตั้ม ก็น่าจะชอบสองเกินเพื่อน
ตั้มไม่บอกเพราะคิดว่าสองชอบหญิง
ไม่ชอบตั้มที่เปิดตัวสอง ตอนสองกลับมา
มันเชิญชวนให้คนไม่ดีเข้าหาสอง แล้วก็ใช่จริงๆ

ก็คิดว่ากฤษณ์ สองต้องชอบกัน
เจอโจ เจอวินด์ ทั้งสองคนนี้ทำให้คิดว่าคิดไรๆกับสอง
แล้ววินด์ก็โผล่มาตามติดเพื่อเจอสองตลอด

ให้คิดว่าวินด์จะทำอะไรร้ายๆกับกฤษณ์หรือเปล่า เพราะเป็นศัตรูหัวใจ
กับตั้ม ต่างคนต่างเห็นหางกัน แต่ตั้มไม่มีอิทธิพลน่ะสิ
อยากอ่านตอนใหม่แล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ  :กอด1: อ่านเเล้วรู้สึกว่าผู้อ่านตื่นเต้นกับสนุกไปกับเนื้อเรื่องจริงๆ
จนเราเเค่อ่านคอมเม้นต์ยังสนุกไปด้วยเลยค่ะ  :-[
ตั้มไม่มีอิทธิพลและรู้ตัวอย่างชัดเจนตอนที่โดนไล่ต้อนนี้เเหละค่ะ จนต้องซมซานกลับไปบ้าน
สำหรับคนที่ถือศักดิ์ศรี หัวดื้อแบบตั้ม เป็นอะไรที่ยอมสุดๆแล้วเพื่อเพื่อนคนนี้...
(เขา'ไม่กล้า'พูดถึงเจ้าสองในฐานะคนแอบรักเลยสักครั้งนะคะ..)

ส่วนวินด์กับพี่กฤษณ์นั้นเดี๋ยวต้องติดตามกันว่าตอนหน้าเขาจะทำอะไรชั่วร้าย(?!!)หรือไม่
ตั้มที่สั่งคนมาแทงเพราะมีปัญหาเรื่องธุรกิจกับนายยังพอเข้าใจได้..แต่พี่กฤษณ์นี่อารมณ์ล้วนๆ รอดูว่าเจ้าวินด์จะพอมีสติยั้งคิดกับเขาไหม :laugh:

สุดท้ายขอบคุณมากเลยค่ะ
ผู้เขียนเมื่อเขียนเรื่องสนุกและมีความสุขมากๆ
ได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันนี้กลับมา ชื่นใจมากๆเลยละค่ะ!!(โค้ง)

#Anynomous  :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 00:11:57 โดย Anynomous »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-11-2017 23:58:43 »





ออฟไลน์ yayee2

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +554/-2
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
«ตอบ #20 เมื่อ13-11-2017 15:50:03 »

เข้ามาอ่านเพราะชือคนเขียน และคำว่าขอนแก่น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเช่นเคยจากผู้เขียนนามนี้ อยากเสพมานานแหละ นิยายที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิงเช่นนี้น่ะ ขอบอกกว่าชอบมาก รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
«ตอบ #21 เมื่อ13-11-2017 21:18:37 »

สิตา ทำงานด้านมืดมานานซะจนหน้าตาแววตา มันไปสายดาร์กไปแล้ว
สายตาคงมองคน แบบสแกนว่าคนที่มาหา มีค่าแค่ไหน
จะมีประโยชน์กับตัวเองมากน้อยอย่างไร
แล้วถ้าทำอะไรตุกติก ไม่ซื่อนี่ ตายง่ายมากกกกก
แม้แต้น้องชาย ยังถูกมองแบบนั้น

ตั้ม กลับไปซบอกกับครอบครัวน่ะถูกต้อง
เพราะคนที่ตัวเองปะทะ มันเกินลิมิตตัวเอง
แล้ววินด์ก็เจอลูกเล่นไปแล้ว สมน้ำสมเนื้อจริงๆ  เล่นมาก็เล่นกลับ  :z6: :z6: :z6:

สอง นี่เป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุข
เพราะความเป็นคนดี คิดบวก ร่าเริง ไม่สนใจเรื่องฐานะของคนที่คุยด้วย
ตั้ม วินด์ ต่างก็อยากอยู่เคียงข้างสอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
«ตอบ #22 เมื่อ14-11-2017 15:26:36 »

สนุกมากรออ่านต่อเลย o13 o13 :pig4:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่12 :15/11)
«ตอบ #23 เมื่อ15-11-2017 10:16:53 »

ตอนที่ 12: ที่ใดมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ

หลังจากการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงผ่านไปได้ด้วยดี คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นด้วย และลงมติให้ผ่าน
ผมกลับมาเตรียมการทำสัญญาอยู่ขอนแก่นสักระยะหนึ่ง ไอ้งานประเภทตรวจดูเอกสารเบื้องต้น, ดูคุณสมบัติของบริษัท , เตรียมร่างสัญญา
หลังจากนั้นเจ้าคนหนุ่ม ทนายมือดี ที่ไอ้หนึ่งยืนยันให้นักหนาก็เดินทางมาถึง

"สวัสดีครับ พี่กฤษณ์"

ไอ้หนุ่มตรงหน้าโค้งให้ผมน้อยๆก่อนจะไหว้อย่างมีมารยาท(ทำไมกูพูดจาเหมือนลุงแก่ๆเข้าไปทุกวันวะ?!)

"เออๆ ไหว้พระเถอะ"
นั่น! พูดไม่ทันขาดคำ โชว์แก่อีกแล้วกู..

"มาๆ พี่ถือของช่วย"

"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ"
บร๊ะ ไอ้เด็กนี้ มันมีมารยาทดูเป็นผู้ดีจนผมชักเกร็งเเล้วเนี่ย..พวกจบกฎหมายมันเป็นอย่างนี้กันทุกคนไหมวะ?!

"ไอ้วินด์ บ้านพักมึงอยู่หลังนี้ พึ่งเดินทางมา พักก่อน เดี๋ยวตอนเย็นกูมารับไปกินข้าวอยู่เรือนหลัก"
ผมอธิบายเรื่องสถานที่ให้มันฟังคร่าวๆ ไอ้วินด์พยักหน้ารับหงึกหงัก มันดูเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่เหมือนเจ้าสอง..เอ้อ พูดแล้วก็คิดถึงมันแฮะ..

ผมกับเจ้าสองแม้จะอยู่ไกลกัน แต่เราก็โทรคุยกันและเล่นเซ็กส์วิดิโอคอลกันอยู่เสมอ(..ว่าไงนะ!?...มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับหน้าด้านๆหรือเปล่า? โทษทีกูแก่แล้ว หูไม่ค่อยได้ยิน!)
เจ้าสองมักจะโทรมาเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องเพื่อนบ้าง เรื่องที่ทำงานบ้าง ผมก็แลกเปลี่ยนเรื่องของตัวเองกับมันเหมือนกัน(แต่ส่วนใหญ่แล้วจะฟังมากกว่าครับ ไม่ใช่อะไร พูดแทรกไม่ค่อยทัน!)

คิดถึงมึงชิบหายเลยไอ้ลูกแมว...

ถ้าทำสัญญาเสร็จผมว่าจะพามันไปเที่ยวทะเล
ไปกันเเค่สองคน ไปกินกุ้งหอยปูปลา ดำน้ำดูปะการังอะไรเทือกๆนั้น
มันจะได้เลิกว่าผมเป็นคนไม่โรเเมนติกกับเขาสักที...

ผมคิดอย่างเพ้อๆก่อนจะลงจากรถเเล้วเดินเข้าสำนักงาน

"คุณกฤษณ์ หน้าตาอารมณ์ดีจังนะคะ พึ่งคุยกับคุณสองมาเหรอ"
น้องฟางแซวเมื่อเห็นผมดูอารมณ์ดี ผมหัวเราะก่อนจะพูดประมาณว่า เป็นธรรมดาของคนรักกัน
น้องฟางดูจะชอบความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าสองเป็นพิเศษถึงขนาดเคยขอภาพผมกับเจ้าสองเอาไปแต่ง Photoshop ทำสติ๊กเกอร์..เห็นบอกว่าขอเอาไปเขียนเป็นนิยายหรืออะไรนี่แหละ..เออ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนแบบนี้ก็มี!

..................................
พอช่วงเย็นๆหน่อย ผมก็ไปรับไอ้วินด์เพื่อพาไปกินข้าวเย็น

"อันที่จริงไม่ต้องลำบากเรื่องข้าวเย็นก็ได้นะพี่ ผมหากินเองได้"

"ไร่ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้ นอกจากขโมยข้าวโพดในไร่กูกับจับยุงมาทอดแดก มึงจะหาอะไรกินอีกได้วะ"

"หนูปิ้งไง"

"ไอ้สัส!"
ผมพูดก่อนจะหัวเราะ แต่ไอ้วินด์ไม่หัวเราะด้วย ผมเลิกคิ้วมอง

"มึงพูดจริงเรอะ"

ไอ้วินด์พยักหน้ารับ

"ผมกินอะไรก็ได้พี่ ขอแค่มีให้กินก็ดีแล้ว ผมใช้ชีวิตมาแบบนั้นแหละ"

ผมมองคนข้างๆอย่างชัดๆอีกที รูปร่างหน้าตาก็ดูดีภูมิฐานนี่หว่า..เรียนก็จบเมืองนอกเมืองนา คำพูดคำจาดูเป็นผู้ดี ไหงพูดเหมือนใช้ชีวิตมาอย่างขอทานเลยวะ กินหนูปิ้งงี้ ขอแค่มีกินงี้..

"ทำไมว่าอย่างนั้นวะ"
ผมสงสัยจึงอดถามไม่ได้

"ผมน่ะเป็นคนจนพี่ เป็นเด็กกำพร้า โตมาในบ้านเด็กกำพร้าแท้ๆเลย โชคดีมีคุณเกรียงมาอุปการะ ถึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานดีๆกับเขา.."
แววตามันดูหม่นๆตอนพูดเรื่องนี้ จนผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ ผมยื่นมือไป เผลอยีหัวมันแรงๆทีหนึ่ง

"ผมไม่เป็นไรพี่ มันผ่านมาแล้ว ผมเข้มเเข็งก็เพราะชีวิตช่วงที่ลำบากนั่นแหละ มันให้บทเรียนผมเยอะ"

"เออกูรู้ กูก็เด็กกำพร้าคนหนึ่ง"
ผมเข้าใจความรู้สึกที่ไม่มีพ่อแม่ดี ความรู้สึกเคว้งคว้างที่ไม่มีที่จะอยู่ มองไปทางไหนก็ไม่มีที่ให้ยืน ไม่มีใครที่รู้จักหรือจะเดินไปซบได้

"พี่ด้วยเหรอ?"
ไอ้วินด์ถามก่อนจะหันมามองหน้าผม

"เออดิวะ กูจะโกหกทำไมล่ะ"

"เปล่า พี่ดูไม่เหมือนเด็กกำพร้า"
มันพูดก่อนจะมองไปทางอื่น

"อะไรที่ไม่เหมือนวะ"
ผมถาม

"แววตามั้ง"
มันพูดก่อนจะเหม่อมองไปยังทุ่งข้าวโพดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

"ไอ้วินด์ มึงอายุเท่าไหร่แล้ว"

"24 พี่ ทำไมเหรอ"

"24 ปีแล้ว ทิ้งอดีตไปซะบ้างมึง อยู่กับปัจจุบันให้มากๆ"

..ไม่ว่ามึงจะเป็นเด็กกำพร้าหรือไม่ มึงไม่ควรแบกแววตาอมทุกข์อย่างนั้นไว้จน 24 ปี..
ผมเงียบ มันก็เงียบ เมื่อขับรถไปสักพักมันถึงได้พูดขึ้นมาว่า

"ผมทิ้งอดีตไปไม่ได้หรอกพี่ ถ้าทำอย่างนั้น ผมจะไม่เหลืออะไรเลย"

ผมหันไปมองมัน แววตามันยังเหม่อมองไปที่ไร่สองข้างทาง

"สัส พูดจายังกะพระเอกหนังเศร้า"

ผมพูด และมันหัวเราะขำ
..................................

"เอ้า เฮ..ไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมเราเท่าไหร่เนาะ"
ลุงชัยหัวเราะลั่นก่อนจะตบหลังไอ้วินด์ดังป๊าบ ยัยแก้วแนะนำตัวเองกับผู้มาใหม่ ลุงป่องโม้เรื่องยาดอง
ผมมองไอ้วินด์ที่ทำตัวไม่ค่อยถูกแล้วก็ยิ้ม อย่างน้อยช่วงเวลาที่มาอยู่ที่นี้ก็อยากให้มันรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว
มันทำตัวเหมือนผู้ใหญ่นักหนา ทั้งระมัดระวังตัว ถ่อมตน กั้นแบ่งพื้นที่ระหว่างมันกับคนอื่นเเทบจะตลอดเวลา

หวังว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้จะช่วยละลายน้ำแข็งที่มันมีอยู่ได้
ไอ้เเววตาหม่นๆที่มันแบกมาถึง 24 ปีจะได้หม่นน้อยลงหน่อย
หวังว่านะ..

ไอ้วินด์มันกินได้ทุกอย่างอย่างที่มันพูดจริงๆ..
พูดแล้วก็อดคิดถึงไอ้แมวน้อยของผมไม่ได้ รายนั้นกินได้บ้างไม่ได้บ้าง แถมยังเลือกกินสุดๆ มีอาหารมากมายแดกได้แต่ไข่มดแดง! แต่..มันน่ารัก ผมให้อภัย!

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ผมก็ขับรถไปส่งไอ้วินด์ที่บ้านพัก
ก่อนจะขนยาจุดกันยุง แป้งเย็น ของใช้จำเป็นเล็กๆน้อยๆให้

"ระมัดระวังนะมึง อย่าเปิดประตูให้คนไม่รู้จัก"

"ครับ ขอบคุณครับพี่"
คนหนุ่มตรงหน้ากล่าวขอบคุณหลังรับของ ยิ้มน้อยๆให้ผมก่อนจะปิดประตู

..................................

"ไอ้วินด์ไปถึงนั่นแล้วใช่ป่าว"
เสียงคนรักของผมลอดผ่านวิดิโอคอลเข้ามา แต่ภาพที่เห็นมีแต่หมอนกับที่นอน
เจ้าสองตั้งไอแพดทิ้งไว้บนเตียงระหว่างที่เดินไปหยิบหนังสือ

"อือ ถึงเเล้ว กูพึ่งไปส่งมันอยู่ที่พักมานี่"

พอคบกันได้สักระยะผมถึงได้ค้นพบว่าคนรักของผมเป็นพวกหนอนหนังสือ
ทั้งๆที่ลักษณะภายนอกมันดูเป็นหนุ่มเที่ยว เพลย์บอยมากกว่า
แต่ในทุกๆเย็น เวลาประมาณนี้ (18.00-19.00) หากเจ้าสองวิดิโอคอลมาหาผม จะพบว่ามีหนังสือติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ มันเคยบอกว่า แม้แต่มันเองก็ต้านทาน'ความเป็นเอเชีย'ไม่ไหว
พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะว่าอยากได้เกรดดีๆจึงถูกสถานการณ์บังคับให้อ่านหนังสือเสมอ
และเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ถูกนับเป็นพวก 'เด็กเนิร์ดเอเชีย' ไปอีกคน

"วันนี้หนังสือเรื่องอะไรที่มาแย่งความสนใจจากเมียกูเนี่ย"
ผมพูดแซวมันเล่นๆ เจ้าสองหน้าแดง ก่อนจะยื่นหนังสือใส่กล้องให้ผมดู
'สนทนากับโสกราตีส' ..

"ใครเมียมึง ไอ้พี่กฤษณ์ ..แม่งโคตรมั่ว"
ไอ้สองพูดก่อนจะทำหน้าเบ้ ผมหัวเราะร่า

"สนุกเรอะ ไอ้หนังสือปรัชญานี่"
ผมถามก่อนจะนึกทวนเรื่องของนักปรัชญาโสกราตีส..เขาเป็นนักปรัชญาผู้เป็นอาจารย์ของเพลโต เป็นคนแรกๆที่มีการบันทึกไว้ถึงความโดดเด่นในเรื่องการถกปรัชญาโดยใช้บทสนทนาถาม-ตอบ ผมเคยอ่านแนวคิดด้านปรัชญาการปกครองของเขามาบ้างสมัยเรียน แต่เมื่อจบมาทำงานแล้วแทบไม่ได้ใช้ปรัชญาพวกนี้เลย ทำให้ผมไม่ได้สนใจจะศึกษาต่อมากนัก

"ก็กลางๆนะ อ่านได้เรื่อยๆ..พี่กฤษณ์มึงกินข้าวเเล้วใช่ไหม ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจะดึก"
ไอ้เจ้าสองมันโบกมือไล่ผมก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของมันต่อ..

ภาพที่เห็นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคงจะดีไม่น้อย
ถ้าทุกเย็นผมได้นั่งทำงาน นั่งดูบอล หรือนอนตักคนรักของผมตอนที่เขาอ่านหนังสือ..
ได้อยู่ข้างๆเขาจริงๆ ..

ผมส่ายหัวไล่ความคิดเอาแต่ใจ
ใช่ว่าผมจะไม่อยากเก็บเขาไว้ข้างตัว
แต่เวลานี้เราต่างมีหน้าที่ มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ผมไม่อาจเห็นแก่ตัวโดยการรั้งเขาไว้ได้

ไม่ใช่ในตอนนี้

ผมอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาเเต่งตัว ขณะที่กำลังใส่กางเกงบ็อกเซอร์ก็ได้ยินเสียงลอดมาจากวิดิโอคอล

"พี่กฤษณ์~มึงเซ็กซี่อ่ะ"

ผมหันไป เห็นหน้าเจ้าสองที่พยายามทำเสียงเล็กเสียงน้อย มองผมตาวาว
ผมขำพรืด

"มึงเห็นซิกแพ็กกูแล้วมีอารมณ์อ่ะดิ"

"แดกข้าวเหนียวเยอะไปป่าวมึง"

"สัส"
ผมมองดูพุงตัวเอง ..เออ อาจจะจริง!

"เออกูไม่ค่อยได้ทำงานที่ต้องใช้แรงว่ะช่วงนี้"
ผมบ่นกับมัน เจ้าสองหัวเราะขำ

"เอาเฮียกะเพื่อนกูเป็นตัวอย่างดิ สุขภาพกับหุ่นเขาคุมกันตลอด เข้าฟิตเนสทุกอาทิตย์ มึงควรทำนะ"

"กูก็ทำไร่ไง กูวิ่งทุกเช้าอยู่แล้ว จะเข้าไปทำไมวะ เสียตังค์"
ผมบ่นไปตามท้องเรื่อง ผมก็เป็นคนดูแลสุขภาพอยู่หรอก หุ่นก็จัดว่าใช้ได้ตามประสาคนชอบใช้แรงงาน แต่ไอ้จะให้ไปเสียเงินให้ฟิตเนสเพื่อให้ได้หุ่นงามๆเหมือนพวกนายแบบ ผมก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร เลยรู้สึกว่าสิ้นเปลืองมากกว่า

แต่เอ..หรือไอ้สองมันชอบวะ
หรือกูจะลองทำดู

"หรือไม่มึงก็มาออกกำลังกายกับกูบ่อยๆ"

เจ้าสองพูดแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม..

"วิดิโอคอลก็ออกกำลังกายได้"
ผมพูดก่อนจะดึงบ็อกเซอร์ลง

..................................

"อ๊ะ..อ๊า...พี่กฤษณ์..."
ร่างตรงหน้านั่งเอาหลังพิงหัวเตียง เสื้อเชิร์ตชุดนอนถูกปลดกระดุมเปลือยลงให้เห็นหัวไหล่กับหน้าอกขาว
ดวงตาปรือกับริมฝีปากที่เม้มน้อยๆบ่งบอกถึงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสักพักริมฝีปากนั้นก็ครางเรียกชื่อผมเสียงหวาน


ผมกลืนน้ำลาย..ได้โปรดเลื่อนไอเเพดลงอีกนิดที่รักกก

"สอง..มึงเลื่อนไอแพดลงหน่อยดิ"
ผมพูดเสียงพร่า มือก็ค่อยๆปลุกไอ้กฤษณ์น้อยขึ้น

"อือ..อื้อ"
ใบหน้าของเจ้าสองดูบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ไหล่สั่นไหว ยอดอกสีชมพูชูชันขึ้นตามอารมณ์ เขาครางชื่อผมเบาๆ

"ไม่เอาอ่ะ..กูอาย"

"มึงจะอายอะไรวะ กูเห็นมาหมดแล้ว"
ผมพูด สูดปากเบาๆเมื่อไอ้กฤษณ์น้อยโตขึ้นเรื่อยๆ ..แค่มึงเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆ แม่งก็ดูเซ็กซี่เร้าอารมณ์ชิบหาย!
ผมขยับตัวเข้าใกล้หน้าจอ ก่อนจะจับไอ้กฤษณ์น้อย(ซึ่งตอนนี้ใหญ่แล้ว)ให้เจ้าแมวน้อยดู

"เนี่ย กูยังไม่อายเลย...อยากเข้าไปในตัวมึงจะแย่อยู่แล้ว ดูดิ"

"กฤษณ์น้อยรักน้องสองคับ"
ผมจับเจ้ากฤษณ์น้อยส่ายหัวดุ๊กดิ๊กทักทาย(กูยังจะมีอารมณ์มาเล่นอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ?!)

"อะ..ไอ้สัส!"
ไอ้นี้เสือกมีอารมณ์เล่นด้วยอีก! สรุปใครปกติวะเราสองคนเนี่ย?

..................................

หลังจากการถามสารทุกข์สุขดิบ ทำกิจกรรมออกกำลังกายเสร็จ ผมกับเจ้าแมวน้อยสองก็แยกย้ายกันไปนอน

"ตืด ตืด ตืด"

ใครโทรมาเวลานี้วะ..คนจะหลับจะนอน
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ เห็นเป็นเบอร์ลุงชัย จึงกดรับ

"มีอะไรหรือลุง ไม่ก๊งนา จะนอนแล้ว.."

"ไอ้กฤษณ์ ! ที่ไร่ข้าวโพด 2 ไฟไหม้ ควันโขมงเลย ข้าโทรเรียกนักดับเพลิงเเล้ว เอ็งรีบมาด่วนเลย.."
ผมตื่นทันที..รีบลุกออกจากที่นอน สวมเสื้อคลุม ก่อนจะขึ้นคุณนายแดง บึ่งไปยังไร่ข้าวโพดหมายเลข 2

..................................

ปรากฎว่าสิ่งที่ไหม้ไม่ใช่ไร่ข้าวโพด แต่เป็นกองเปลือกข้าวโพดของไร่
กองเปลือกข้าวโพดนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ในวันที่อากาศแห้งเช่นวันนี้

"สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ?"
ผมถามพนักงานด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าเปลวไฟยังไม่มีทีท่าจะดับลง

"ปกติไหม้ใหญ่ขนาดนี้เราต้องใช้เวลาสักชั่วโมงกว่าครับ ถึงจะดับหมด แล้วต้องติดตามดูต่อด้วย เปลือกข้าวโพดสุมกันเป็นกอง ถ้าเชื้อเพลิงอยู่ข้างใต้จากการเสียดสีเพราะความแห้งของอากาศ แม้จะดับไฟหมดแล้วก็ยังมีโอกาสคุกรุ่นติดขึ้นมาได้.."
หัวหน้าพนักงานดับเพลิงพูด ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความกังวล
ประเมินมูลค่าความเสียหาย..น่าจะระดับกลางๆ แต่ความยุ่งยากนี่สิ..แถมยังเป็นช่วงเวลาทำสัญญาด้วย
ผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นไร่ที่มีโอกาสเกิดไฟไหม้หรอกน่ะ มันหมายความว่าอะไรหลายๆอย่าง...

เป็นต้นว่า ไร่ของผมยังมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ ระบบป้องกันอัคคีภัยไม่ดีพอ
และ..ผมคิดอย่างไม่อยากจะยอมรับนัก..

ผมยังบริหารได้ไม่ดีพอ

ผมมองภาพควันไฟคุกรุ่นตรงหน้า ความร้อนจากเปลวไฟแผ่มาประทะใบหน้าของผม
เปลวไฟทำให้คืนหนาวเหน็บนี้อบอุ่นขึ้น.. แต่ผมกลับไม่รู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด

ผ่านไป 30 นาทีกว่าๆ เปลวไฟก็มอดดับลงจนหมด
ผมมองดูซากกองเปลือกข้าวโพด ในใจก็คิดว่าชีวิตคงโยนบททดสอบอีกบทมาให้เสียเเล้ว

"ดีจังนะครับที่ดับได้เร็ว.."
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างๆผม..วินด์นั่นเอง
ผมไม่รู้ว่าเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

"อืม..แต่ก็ทำเอากูเครียดไปเลยนะ.."

ไอ้วินด์พยักหน้าอย่างเห็นใจ

"ช่วงทำสัญญาด้วย..แต่ไม่ต้องห่วงนะครับพี่กฤษณ์ ผมจะช่วยพี่ให้ดีที่สุด"

ลุงชัยเดินมาก่อนจะตบหลังผม

"เออแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก เอ็งจำสมัยไฟป่าไหม้ไร่ข้าได้ไหม ข้ายังผ่านมาได้..อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้
ช่วงนี้อากาศมันก็แห้งขึ้นมากด้วย..สงสัยน้ำที่พรมไว้จะไม่พอ"

ผมไม่พูดอะไร ผมซึ้งใจที่ทั้งลุงชัยทั้งไอ้วินด์มาช่วยปลอบ แต่สถานการณ์ของผมกับลุงไม่เหมือนกัน
ตอนไฟป่าครั้งนั้นเสียหายมูลค่ามากกว่าก็จริง แต่เป็นมูลค่าเต็มตัว ไม่ต้องแลกกับภาพลักษณ์หรือสิ่งอื่น
แต่ในยุคของผม การเกิดไฟป่าในไร่ที่ควรจะมีมาตรฐาน เป็นเรื่องยอมรับได้ยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้

"คิดในแง่ดี..อย่างน้อยไอ้วินด์ยังวิ่งโร่มาบอกข้าทัน..ข้าถึงได้โทรบอกเอ็ง"

ผมเลิกคิ้วมอง ..วินด์นะหรือ ใช่..บ้านพักของเขาอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด แต่วิ่งจากบ้านพักไปเรือนหลัก..
มันเป็นระยะทางที่ไกลมาก..

"มันเป็นฮีโร่ของงานนี้เลยนะเว้ย"
ลุงชัยพูดพลางตบหลังไอ้วินด์ มันหัวเราะน้อยๆ ..ผมกำลังจะขอบคุณไอ้วินด์ แต่ก็รู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ

..เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง..

เป็นอะไรบางอย่างที่ผมอาจมองข้ามไป และอาจมีมากกว่าหนึ่งอย่างด้วย

ผมคิดถึงเรื่องลุงโทรหาผม..ไอ้วินด์วิ่งโร่ไปหาลุง
ทำไม..?

..ทำไมไอ้วินด์ไม่โทร?

ผมเก็บความสงสัยนี้ไว้..
รวมถึงเก็บคำขอบคุณไว้ด้วย

..................................

พอเริ่มวันเเห่งการทำงาน พนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ก็เริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็ง รวมถึงไอ้วินด์ด้วย
มันตั้งใจทำงานยิ่งกว่าใครๆ จนผมอดชื่นชมไม่ได้ สมเเล้วที่ไอ้หนึ่งแนะนำมา

"เอ้า ถึงเวลาพักเที่ยงเเล้ว พักได้ๆ"
ผมเดินไปหาไอ้วินด์ที่นั่งขมวดคิ้วดูเอกสารอยู่บนโต๊ะ

"มึงจะทำหน้าที่คุ้มเกินเงินไปแล้ว"
ผมตบไหล่ชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะชวนเขาไปกินข้าวเที่ยงในไร่

"ผมขอกินในสำนักงานดีกว่าครับ ผมไม่ค่อยถูกกับเเมลงที่นี้สักเท่าไหร่"
ผมมองหน้ามัน มองคอ ก็จริงดังมันว่า ซอกคอมีรอยแดงเหมือนเเมลงกัด ข้อมือก็เช่นกัน

"กูมียากันยุงเพียบเลยนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวเย็นนี้กูเอาไปให้เพิ่ม"

"ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมแพ้ยาจุดกันยุงของพี่นั่นแหละ พวกแมลงถึงได้มากัด"

ผมส่ายหัวในความดื้อด้านของคนตรงหน้า เขาไม่บอก ไม่ยอมรับทั้งการช่วยเหลือ และไม่ยอมที่จะร้องขอ
ผมไม่ใช่จิตแพทย์ ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์
ตอนแรกคิดว่าเราอาจสนิทกันได้ง่ายๆ
แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด กำแพงของเขาสูงกว่าที่ผมคาดไว้

..................................

เวลาการทำโครงการล่วงเลยไป ในที่สุดสัญญาก็เสร็จสมบรูณ์ ทั้งๆที่ยังไม่ถึง 3 สัปดาห์ด้วยซ้ำ

"โอ้โห งานเสร็จเร็วอย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อยจริงไหมไอ้ป่อง"
ลุงชัยพูดก่อนจะหัวเราะอย่างครื้นเครง หลังจากผมเล่าเรื่องความคืบหน้าของงานให้ฟังระหว่างที่เราทานอาหารเย็น
ลุงป่องก็หัวเราะตาม รายนั้นเป็นพวกบ้าจี้ เห็นดีเห็นงามด้วยไปเสียหมด

"ข้ามีของดีพอดีเลยว่ะ"

"เอ็งก็พอดีมีทุกวันนั้นแหละ ฮ่าๆๆ"
ลุงชัยกับลุงป่องแซวกันไปมา ผมฟังเเล้วยังอดขำไม่ได้ ไอ้วินด์ก็เช่นกัน
หลังทานอาหารเสร็จ สมาคมชายฉกรรจ์หลังไร่จึงเริ่มตั้งวงเหล้ากัน
และอย่างที่ทุกคนรู้ ในวงเหล้ามักมีเรื่องเล่าเสมอ

ลุงป่องเริ่มโม้ถึงอดีตการเป็นนักเลงหัวไม้อันดับ 1 ในขอนแก่น (ผมฟังมาเป็นสิบๆรอบ และสารภาพตามตรง ไม่อยากจะเชื่อนัก)

"สมัยก่อนนี่นะ..ไอ้ชัยมันมีศัตรูเยอะเพราะธุรกิจมันนี่แหละ มันถึงได้จ้างข้าให้มาคอยดูแล..ตอนนั้นข้าเป็นถึงมือขวาของลูกพี่ใหญ่แห่งคุ้มอิสานนะเว่ย"

"เอ็งตกงาน ข้าสงสารเลยช่วย"

"ไอ้ชัย!!"

เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นเรื่อยๆ ลุงสองคนโม้อดีต พูดไม่ตรงกันสักอย่างจนแยกไม่ออกว่าใครพูดจริงพูดเล่น
ผมเหลือบตาดูไอ้วินด์ มันยังดื่มอย่างเงียบๆ นั่งฟัง คอยหัวเราะบ้างเมื่อมีโอกาส

"อย่าแดกเยอะน่ะมึง ของมันเเรงนะ"
ผมพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง มันพยักหน้ารับ

..................................

"กูบอกแล้วไม่เชื่อฟัง"
ผมพูดกับคนข้างๆที่นอนหมดสภาพอยู่บนเบาะรถผม
มันส่ายหัว

"อย่ามาสอนกู"

อ้าว! ไอ้เหี้ยนี่.. ผมคิดก่อนจะขำเล็กน้อย ไอ้พวกคนกรุงนี่เหมือนกันหมดเลยนะ คิดว่าจะรับความแรงเหล้าพื้นบ้านได้
ถ้ากินเท่ากับปริมาณปกติที่กินอยู่เสมอ สำหรับเหล้าลุงป่อง ไม่เห็นมีใครเคยรอดสักราย

"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
ไอ้หนุ่มข้างๆเริ่มบ่นพึมพำ ผมพยักหน้ารับ คิดถึงเรื่องของผมกับสอง

"มันก็ปกติของคนรักกันนั่นแหละ.."

"..กูอยากได้ กูต้องได้"
 มันพึมพำอะไรพวกนี้อยู่พักใหญ่ๆ ดูท่าไอ้หมอนี่จะมีปัญหาความรักแฮะ ผมปล่อยให้มันได้พูดระบาย
ส่วนตัวเองก็ขับรถไปยังที่พักมันเรื่อยๆ
(จะพามันไปดูแลอยู่ที่พักผมไม่ได้ครับ..ผมไม่ใช่คนโสดอีกต่อไป สร่างเมาเเล้วเราอาจตายคู่ได้..เมียผมดุมาก!)

พอถึงบ้านพักของมันผมก็จัดการลากมันเข้าที่พัก
หาน้ำมาวางไว้ใกล้ๆให้ พยายามจะหายาจุดกันยุงมาจุดให้ พอนึกขึ้นได้ว่าไอ้วินด์มันแพ้ยากันยุงก็ดันหากล่องเจอพอดี

ในกล่องว่างเปล่า

..................................

"กูบอกแล้วว่าไฟไหม้ไร่มึงไม่ใช่อุบัติเหตุ"
คนรักของผมพูดผ่านวิดิโอคอลมา เจ้าสองกำลังนั่งกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ในห้อง

"มึงอาจว่ากูอ่านคินดะอิจิยอดนักสืบมากไป แต่ทุกอย่างมันบังเอิญเกินไป"
ผมเล่าเรื่องไฟไหม้กองเปลือกข้าวโพดให้เจ้าสองฟัง มันแสดงความเห็นว่าอาจเป็นการลอบวางเพลิงตั้งแต่เเรก
แต่ผมในตอนนั้นยังไม่อยากจะเชื่อ ผมคิดว่าความรู้สึกผิดและอยากรับผิดชอบของผมมันมากเกินกว่าจะมองว่าเป็นฝีมือคนอื่น

ผมมาคิดทบทวนเรื่องนี้ดีๆอีกที เมื่อตัดความรู้สึกออกเหลือแต่ข้อมูลเเล้ว
กลับพบว่ามันไม่สมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว

ทั้งความโชคดีในความโชคร้ายที่ไฟดับได้เร็วกว่าเวลากำหนด
เปลวไฟไม่คุกรุ่นจากข้างในหรือ.. ทั้งเรื่องการวิ่งของไอ้วินด์..ทำไมไม่โทรศัพท์หาหรือ

และกล่องยาจุดกันยุงที่ว่างเปล่ากับรอยเเมลงที่ซอกคอ

มันไม่ได้จุดใช้ยากันยุง

อาจจะไม่ได้จุดใช้เพื่อกันเเมลง

แต่ไอ้วินด์นี้นะ? .. มันจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เราไม่รู้จักกันมาก่อน มันเองก็ตั้งใจทำสัญญาให้ผมอย่างดี
ความไม่สมเหตุสมผลนี้ชี้ให้ผมสงสัยไอ้วินด์เป็นอันดับเเรก

แต่ทำไมกันล่ะ..

มีจิ๊กซอว์บางชิ้นหล่นหายไป
มันอาจเป็นชิ้นที่สำคัญ

"พอจะคิดออกไหมว่ามีใครอยากให้ธุรกิจมึงล้มบ้าง มึงไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนหรือเปล่า"
เจ้าสองละสายตาจากโทรทัศน์มาถามผมด้วยความเป็นห่วง
ผมตัดสินใจเล่าสมมติฐานของตนให้คนรักฟัง ทั้งเรื่องระยะเวลาดับไฟ ลักษณะไฟ การใช้ยากันยุง และพฤติกรรมของไอ้วินด์

"เอ่อ..แต่กูไม่ได้หมายความว่าเพื่อนมึงจะเป็นคนร้ายนะ"
ผมรีบพูดเมื่อเห็นมันขมวดคิ้ว ยังไงมันก็เพื่อนกัน กูพูดไปจะโดนหาว่ามองอะไรในแง่ร้ายไหมเนี่ย

"ไม่ๆ..มึงก็พูดถูก..ไอ้วินด์..กับเรื่องบังเอิญเหรอ.."
ประโยคหลังดูเหมือนเจ้าสองจะพึมพำกับตัวเอง

"ถ้าไฟที่เกิดจากการเสียดสีเพราะความแห้งของอากาศ มันจะคุกรุ่นในกองเปลือกข้าวโพด ใช้เวลาดับนานใช่ไหม..แต่ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ ถ้าเเหล่งกำเนิดไฟมาจากข้างนอกไม่ใช่ข้างใน ไฟที่ลามจากข้างนอกไปรอบๆจะดับง่ายกว่าใช่ไหม"

เจ้าสองพูด สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ผมมองหน้าคนรัก ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่คิด

"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.."
ผมพูด มองเจ้าสองที่มองผมกลับด้วยสายตาที่อธิบายไม่ได้

"เช่นยาจุดกันยุง"
ร่างบางพูดก่อนจะกดปิดโทรทัศน์




 o18สวัสดีค่ะ! มาได้แค่สองอาทิตย์ เจ้าสายลม(Wind)ก็พัดเอาสะเก็ดไฟไปไหม้ทุ่งเสียเเล้ว..
ร้อนถึงเจ้าสองกับเฮีย ต้องมานั่งทำตัวเป็นยอดนักสืบ.. :serius2:

พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป?!
ไอ้ที่พอรู้แล้วไม่มีหลักฐานนี่จะมีประโยชน์หรือไม่?!!(ฮ่าๆ..เข้าใจเลือกสถานการณ์ไฟไหม้นะเจ้าวินด์! หลักฐงหลักฐานหายหมด!)
ขนาดมา 2 อาทิตย์ ไร่ยังไหม้ ...แล้วอีก 1 อาทิตย์ที่เหลือจะไม่ชิบหายวายป่วงกันไปเลยหรือ?!! :z3:

ความแซ่บของเจ้าวินด์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ นี้เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น!!
เจ้าสองจะมาหาเฮียกฤษณ์หรือไม่?! หรือพวกเขาจะต้องเล่น sex video call ไปจนแก่เฒ่า!! :o12:

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ!

 :bye2:
#Anynomous


เข้ามาอ่านเพราะชือคนเขียน และคำว่าขอนแก่น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเช่นเคยจากผู้เขียนนามนี้ อยากเสพมานานแหละ นิยายที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิงเช่นนี้น่ะ ขอบอกกว่าชอบมาก รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ

ขอบคุณมากค่ะ(โค้ง) แต่ผู้เขียนนั้นไม่ใช่นักเขียนที่มีชื่ออะไรหรอกนะคะ :hao5:(ฮา) เรื่อง From NYC to KK นี้เป็นโรแมนติกคอเมดี้(ยังยืนยันอยู่อีกเรอะ?!!) สาระอาจมีไม่มากนัก..แต่ผู้เขียนเชื่อในความเป็นมนุษย์ของตัวละครทั้งหลาย ที่จะขนความซับซ้อน ความบันเทิงมาให้พวกเราได้อ่านกันแน่นอนค่ะ! o18

สิตา ทำงานด้านมืดมานานซะจนหน้าตาแววตา มันไปสายดาร์กไปแล้ว
สายตาคงมองคน แบบสแกนว่าคนที่มาหา มีค่าแค่ไหน
จะมีประโยชน์กับตัวเองมากน้อยอย่างไร
แล้วถ้าทำอะไรตุกติก ไม่ซื่อนี่ ตายง่ายมากกกกก
แม้แต้น้องชาย ยังถูกมองแบบนั้น

ตั้ม กลับไปซบอกกับครอบครัวน่ะถูกต้อง
เพราะคนที่ตัวเองปะทะ มันเกินลิมิตตัวเอง
แล้ววินด์ก็เจอลูกเล่นไปแล้ว สมน้ำสมเนื้อจริงๆ  เล่นมาก็เล่นกลับ  :z6: :z6: :z6:

สอง นี่เป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุข
เพราะความเป็นคนดี คิดบวก ร่าเริง ไม่สนใจเรื่องฐานะของคนที่คุยด้วย
ตั้ม วินด์ ต่างก็อยากอยู่เคียงข้างสอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

คุณ Magnolia วิเคราะห์ตัวละครได้น่าสนใจมากค่ะ
(น่าจะเป็นนักเขียนที่ยอดเยี่ยมใช่ไหมคะ..เราไม่รู้จักเรื่องของคุณเลย แนะนำให้เราอ่านบ้างได้ไหมคะ)

ตอนนี้เจ้าตั้มก็มี Back up แล้ว น่าจะเคลื่อนไหวอะไรได้เยอะกว่าเมื่อก่อนค่ะ
พอจะเเก้เกมกันได้สมน้ำสมเนื้อ..ถ้าได้กลับมาแย่งชิงกันต่อ เขียนแยกเป็นเนื้อเรื่องแอคชั่นแนวเฉือนคมคงสนุกน่าดู! o18
แม้เรื่องนี้จะเป็น Romantic comedy(เอ็งยังจะยืนยันสินะ?!!)  แต่เราคิดภาพตอนสองฝั่งนี้เฉือนคมกันแบบฮาๆไม่ออกเลยล่ะค่ะ ยิ่งเขียนยิ่งมีแต่จะเข้มข้นขึ้น :laugh:

สองเป็นคนน่ารักค่ะ พื้นฐานครอบครัวดี อบอุ่น
ตั้มกับวินด์เป็นพวกหิวโหยความรักความเมตตาค่ะ! :laugh:

สนุกมากรออ่านต่อเลย o13 o13 :pig4:

ขอบคุณมากนะคะ! ผู้เขียนเองก็รอเวลาว่างจากการทำงานเพื่อมาอัพเช่นกันค่ะ  :-[
เวลาเพิ่มแต่ละตอน ก็เหมือนได้คุยกับคนอ่านเพิ่มขึ้น :hao5: ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ มีกำลังใจขึ้นมากมายเลยค่ะ!

 :bye2:
#Anynomous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2017 10:55:13 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่12 :15/11)
«ตอบ #24 เมื่อ15-11-2017 21:19:21 »

ไรท์ เยี่ยมเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนเคยได้รับประสบการณ์ตรงในไร่จริงๆ
แต่คนอ่าน แค่อ่านเยอะ ไร้น้ำยาเรื่องการเขียน
ชื่นชมคนที่สามารถเขียนเรื่องได้ อัจฉริยะจริงๆ  :mew1: :mew1: :mew1:
เพราะต้องสามารถวางพล็อตเรื่อง ด้านภาษา การผูกเรื่อง ฯลฯ

วินด์ เล่นพี่กฤษณ์แล้ว

พี่กฤษณ์ ฉลาดมาก คิดถึงความไม่สมเหตุสมผลได้
แล้วที่วิดิโอคอลออกกำลังกายให้ได้ซิกส์แพคกับสอง
เล่าสู่กันฟังหลังเรียบร้อยรร.ทั้งคู่ สองวิเคราะห์ได้เจ๋งมาก
โดยมีความบังเอิญเป็นตัวตั้ง อะจ๊ากกกกก
เซนส์สองแรงไม่เบา ที่เห็นแววตาวินด์วันก่อน

สอง ให้ข้อคิดเยี่ยมไม่แพ้คินดะอิจิเลย
"แหล่งกำเนิดจากภายใน......ดับยาก"
"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.....ดับง่าย"
ยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นนักอ่านปรัชญาโสกราตีส ใครแนะนำให้อ่านนะ  กร๊ากกกก

"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
"..กูอยากได้ กูต้องได้"
นี่ไง เพราะอยากได้สอง เลยทำให้วินด์ ทดลองวางเพลิง
ทดสอบประสิทธิภาพการดับไฟของกฤษณ์
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่12 :15/11)
«ตอบ #25 เมื่อ16-11-2017 12:23:53 »

เหมือนวินด์จะเป็นคนดี แต่จริงๆคือไม่เลยสินะ วินด์คงรู้เรื่องสองมีแฟนแล้วแน่นอน  :a5:

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่13 :16/11)
«ตอบ #26 เมื่อ16-11-2017 14:17:32 »

ตอนที่ 13: สายลมหยอกเย้า

ใจจริงผมไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แรกเริ่มเดิมทีผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับเขา
แต่เขาบังคับให้ผมต้องทำ เขาเป็นคนเริ่มก่อน

สองคิดว่าผมจะไม่สังเกตรอยแดงๆตามคอของเขา
ตามมือ ซอกแขน ทุกครั้งที่เขากลับจากไปพักที่ขอนแก่น
หรือทุกครั้งที่พี่กฤษณ์มาหา

พวกเขาเป็นคนรักกัน

ผมรู้ตั้งเเต่วันเเรกที่ได้เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน

มันทำให้ผมโกรธ

ผมไม่อาจยอมรับไอ้คนที่มาเป็นคนรักของสองได้
มันไม่มีอะไรคู่ควร..มันเเทบไม่มีอะไรต่างจากผม

เด็กกำพร้าเหมือนกัน ได้รับการอุปการะเหมือนกัน

ผมยอมรับไม่ได้

ลึกๆแล้วเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้งที่ต้องยอมรับความจริงว่า จริงๆคนอย่างผมก็เป็นคนรักของเขาได้
โดยไม่ต้องมีสถานะเท่าเทียม
แล้วที่ผมพยายามดิ้นรนทั้งหมดมันเพื่ออะไรกันเล่า

เมื่อสิ่งที่พยายามทำมา สิ่งที่คิดว่าเป็นเป้าหมาย มันหายไปกับตา
เคว้งคว้าง..เคว้งคว้างเหลือเกิน

ผมที่ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวมากนัก

แตกหัก และไม่อาจต่อได้อีก

................................

"นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ"

เสียงทุ้มๆของเจ้าของไร่ดังขึ้นข้างหลัง ...ไอ้คนที่ผมไม่อยากจะเจอที่สุด
ผมมาทำงานที่ไร่ได้เกือบสองอาทิตย์กว่า ได้รับการดูแลอย่าง..เกือบจะเรียกว่าดี ได้ จากชายคนนี้

คนรักของสอง..พี่กฤษณ์

ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ มีความเป็นผู้ชายและมีน้ำใจอย่างยิ่ง
เขาเป็นคนซื่อตรง เป็นคนดี เป็นผู้ชายประเภทที่คุณเดาได้เลยว่าตอนเด็กๆเขาต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็ก
เป็นฮีโร่ของเพื่อนๆในห้อง..เป็นคนที่รักความยุติธรรมและจะไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า

คนที่ดูเหมือนเส้นแบ่งระหว่างฐานะชาติกำเนิดจะทำอะไรเขาไม่ได้
คนอย่างเขาจะไม่มีวันได้รับการเหยียดหยามแม้จะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันกับผม

..เขาเป็นคนประเภทที่ผมเกลียด

ผมซ่อนความเกลียดชังในดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปยิ้มให้เขา

"เปล่าพี่ คิดถึงบ้านนิดหน่อย"
ผมพูดไปให้เหมือนคนปกติเมื่อเวลาไกลบ้าน..ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สิ่งที่ผมเรียกว่าบ้านได้ เป็นเพียงคฤหาสน์หรูหราที่ใช้เงินสกปรกซื้อ ซึ่งผมจะไปนอนบ้านก็ต่อเมื่อรู้ว่าสองจะมาหาในวันถัดไปเท่านั้น..

ผมแค่อยากทำให้เขาประทับใจ
หรือไม่ก็รู้สึกสบายใจ..เพราะอยู่ในบ้านที่มีขนาดใหญ่พอๆกับบ้านของเขา

ผมไม่รู้ว่าคนรวย'จริงๆ'เขาคิดกันยังไงหรอก
ผมเดาไว้ก่อนว่าสองน่าจะพอใจ น่าจะสบายใจเมื่ออยู่'บ้าน'ผม

"อ้อ เรอะ.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเดินมานั่งข้างๆผม

"บ้านที่อยู่กับคุณเกรียงนะเหรอ.."
ผมเลิกคิ้ว ..พี่กฤษณ์คงคิดว่าคุณเกรียงเป็นเหมือนตาลุงที่ชื่อชัยนั่น..
นายท่านรับอุปการะผม แต่ไม่ได้รับเลี้ยงดูเป็นลูก.. เขาให้เงิน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผมได้มีการศึกษาที่ดี
ผมตอบแทนเขาด้วยการเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์

และคนรับใช้ไม่เคยพักบ้านเดียวกับเจ้านาย

ผมรู้สถานะตัวเองดี
นายท่านก็รู้

"เปล่า..บ้านของผมจริงๆน่ะ"
ผมพูดแค่นี้เพราะไม่อยากต่อความยาว ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์จะไม่ใช่คนพูดมาก
เขาทำเพียงแต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆผม

"มึงรู้ไหม..ไฟไหม้ครั้งนี้ กูว่ามันเป็นอีกหนึ่งบททดสอบ"
อยู่ๆพี่กฤษณ์ก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องไฟไหม้..ท่ามกลางความเงียบ

ไม่มีทางหรอกน่า..เขาไม่มีทางรู้
ผมทำงานอย่างฉลาดและรอบคอบเสมอ
แผนการทุกอย่างของผมมีแผนสำรอง..และหากบังเอิญเขารู้ขึ้นมาจริงๆ
เขาก็จะหาหลักฐานมาไม่ได้

สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่ตีหน้าซื่อ
มันเป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว ผมจึงไม่กังวลมากนัก

แต่พี่กฤษณ์ไม่ได้คาดคั้นเรื่องไฟไหม้ต่ออย่างที่ผมคิด ดวงตาเขาเหม่อไปไกล เหมือนคิดถึงอดีต

"พ่อแม่กูเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตอนนั้นกูก็เหลือแค่ตัวกูกับน้องสองคน.."

"กูที่ตอนนั้นอยากร้องไห้แทบตาย พอเห็นน้ำตาของน้อง ก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะต้องเข้มเเข็ง..ก็ถ้ากูร้องไห้แล้วใครจะปลอบยัยแก้วล่ะวะ.."

"กูถูกลุงชัยรับมาเลี้ยง แต่ก็อย่างที่มึงเห็น กูต้องช่วยทุกอย่าง กูทำงานทุกอย่างในไร่เท่าที่จะทำได้..ลุงชัยแกก็ดี แต่ไม่มีใครให้ความรู้สึกเหมือนพ่อ ไม่มี"

อย่างน้อยพี่กฤษณ์ก็เคยรับรู้ความรู้สึกของการมีพ่อ ผมไม่มี
ผมไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากใครทั้งนั้น ไม่มีพ่อ ไม่มีเเม่
ไม่มีคำดุด่ากวดขัน แต่ก็ไม่มีคำชมเชยด้วยความรักเช่นกัน

ถ้าพี่กฤษณ์เคยได้รับความรู้สึกนั้นแล้วว่างเปล่า เขาก็เหมือนคนที่มีแก้ว แต่ไม่มีน้ำ
ผมผู้ซึ่งไม่เคยได้รับแม้แต่ความรู้สึกประเภทใด ผมเหมือนคนที่ไม่มีแม้แต่เเก้วที่จะใส่น้ำ

"กูว่าเราเหมือนกัน"

ไม่ เราไม่เหมือน

ผมคิด จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เเท้จริงเป็นครั้งแรก
ความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยาและอารมณ์บางอย่างผสมปนเปกันไป

แต่สายตาที่มองกลับมา..
มีแต่ความอ่อนโยน แววตาจริงจังและซื่อตรง

เขาเหมือนกำเเพงที่จะโอบรับสิ่งที่ผ่านเข้ามา

บางอย่างปะทุขึ้นในตัวผม
ราวกับจะระเบิด...ผมเจ็บปวด ผมต้องการใครสักคน
ใครสักคนที่จะมารับความเจ็บปวดนี้ไว้

แบ่งมันไป

"เราไม่เหมือน"
ผมพูด ไม่หลบสายตาอีกต่อไป

พี่กฤษณ์เลิกคิ้วมอง

"พี่เคยมีพ่อ ผมไม่มี ผมไม่เคยได้รับแม้แต่ความรักด้วยซ้ำ แล้วไอ้ไร่ลวงโลก ชีวิตชนบทแบบนี้ ผมก็ไม่มี
ผมไม่ได้เรียนโรงเรียนจนๆตามมีตามเกิด แต่เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด ผมโดนดูถูก โดนด่า โดนแกล้งเพราะเป็นเด็กกำพร้าจนๆ ในโรงเรียนพวกคนรวย แต่พี่ไม่เคย เราไม่เหมือนกัน ..อย่ามาพูดว่าพี่เหมือนผมอีก"

ผมพูดด้วยความเร็ว รู้สึกร้อนผ่าว ..ผมไม่ได้พูดตามความรู้สึกจริงๆมานานแค่ไหนแล้วนะ..

"ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน"

ร่างสูงพูดก่อนจะเอนตัวลงกับเเคร่ไม้

อ้าว...พี่ยอมรับง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ..
"กูเคยโดนแกล้งเพราะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน"
อยู่ๆพี่กฤษณ์พูดขึ้น ผมมอง ไม่อยากจะเชื่อ

"แต่กูไม่เคยยอมเเพ้เพราะแค่กูเป็นเด็กกำพร้า"

"กูไม่เคยยอมให้ใครมารังแก ตอนเด็กๆถ้าใครแกล้งกู มันจะเจอหนักกว่ากูสิบเท่า..
กูเป็นคนแบบนั้นแหละ"
พี่กฤษณ์จ้องหน้าผม นัยตาแฝงความหมายบางอย่าง

"กูไม่ใช่คนดีอะไร แน่นอน กูขาดอะไรตั้งมากมาย กูอิจฉาคนที่มีครอบครัวเพียบพร้อม อิจฉาคนที่มีทุกอย่างที่เขาต้องการ"

ผมนิ่ง..ผม..ผมก็เหมือนกัน..หรือเปล่านะ..ผมไม่อยากยอมรับนักว่าอิจฉาพวกมัน แต่คนตรงหน้ากลับพูดบางอย่างออกมาได้อย่างซื่อตรง..ซื่อตรงเหมือนกับดวงตาของเขา

ดวงตาที่ดูเหมือนจะมองทะลุตัวตนของผม

"มึงรู้ไหมในช่วงชีวิตวัยรุ่น มีอยู่ช่วงหนึ่งกูพยายามจะเข้าสังคมกับพวกคนรวยๆ ใช้ชีวิตโก้หรู ทำทุกอย่างแบบคนรวยเขาทำกัน ตอนสมัยนั้นกูอยู่กับไอ้หนึ่งมันนั่นแหละ.."

ผมก็ทำ..ผมทำอยู่ ทำเสมอ ..กินอาหารแบบที่คนรวยๆกิน มีบ้านแบบที่คนรวยๆอยู่ สวมเสื้อผ้า ไปฝึกเทนนิส ฝึกกอล์ฟ ฝึกดื่มเเชมเปญ..

"กูทำทุกอย่าง ฝึกทุกอย่าง..ถึงขนาดได้แฟนสาวไฮโซมาด้วย..ถ้าบอกชื่อมึงต้องรู้จักแน่นอน
แต่มันเหนื่อย...มันเหนื่อยมาก"

"กูทำทรงผมเรียบร้อยโก้หรู แต่มันไม่สบายเหมือนผมกระเซิงหลังสระเสร็จ ..กูฝึกวิธีดื่มแชมเปญ..แต่กูก็เสือกหิวก่อนทุกครั้งเมื่อถึงขั้น'ดมกลิ่น' ..กูใส่เสื้อแบรนด์เนมราคาแพง กางเกง เข็มขัด รองเท้า..และกูต้องมาคอยระวังว่ามันจะเปื้อนหรือเปล่า..กูขับรถที่แพงที่สุด รุ่นใหม่ล่าสุด ..แต่ไม่สามารถเรียกมันว่ารถคู่ใจได้.."

ผมฟังพี่กฤษณ์เล่า..เหมือนกับเขากำลังเล่าเรื่องของผมยังไงยังงั้น..

"รู้ไหมวันไหนที่กูได้สติ.."

ผมมองพี่กฤษณ์ เหมือนท้าทายให้เขาต่อเรื่องที่เล่าให้จบ

"เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งนั่นแหละ..แค่กูตื่นเช้า มาส่องกระจก กูก็ได้เห็น"

พี่กฤษณ์หยุดเล่าเรื่อง ..ความเงียบเนิ่นนาน..เขามองดูดาวบนท้องฟ้า


"จบแล้วเหรอพี่?"

"เออสิวะ"

"แล้วพี่เห็นอะไร?"
ผมอดถามไม่ได้ด้วยความสงสัย..มันจะจบได้ไง มึงเล่นเล่าต่อประโยคค้างแบบนี้!

พี่กฤษณ์ขมวดคิ้วมองผม

"มึงส่องกระจก มึงจะเห็นอะไรล่ะ , ถ้าไม่ใช่ตัวเอง"

เราต่างเงียบไปทั้งคู่ พี่กฤษณ์ดูดาวบนท้องฟ้าต่อ ผมครุ่นคิดถึงเรื่องตัวเอง

เมื่อเรามองกระจก การเห็นภาพตัวเองเป็นสิ่งที่ง่าย
แต่การมองเห็นตัวเองจริงๆนั้นยาก..

คุณรู้ใช่ไหมว่าผมหมายความว่าอะไร

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์

บางทีผู้ชายคนนี้อาจไม่ต่างอะไรจากผม
เขาอาจเคยทำผิดซ้ำเเล้วซ้ำเล่าเหมือนกัน เขาอาจเคยอิจฉาริษยาเพื่อนผู้ร่ำรวยเหมือนกัน
เขาอาจเคยพยายามปีนป่ายจนได้มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

แต่ทำไมกันนะ..ทำไมแววตา
แววตาของเขาถึงไม่เหมือนคนที่เคยผ่านความเจ็บปวด ความอยุติธรรม ความสิ้นหวัง

ทำไมแววตาของเขาไม่เหมือนผม

"โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม"
ผมพูดเบาๆ ..เจ้าของประโยคนี้เป็นคนที่มอบรอยยิ้มซื่อตรงที่สุดให้ผมคนแรก
ประโยคนี้คือแรงบันดาลใจในชีวิตของผม มันผลักดันให้ผมลุกขึ้นทำอะไรหลายๆอย่าง

พี่กฤษณ์พยักหน้า

"แต่มีทางเลือกเสมอ"

ผมมองหน้าเขา

"ผมไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน"

ผมพูดก่อนจะลุกยืนขึ้น เดินกลับที่พัก ..
ในใจไม่อยากยอมรับว่าผู้ชายคนนี้แข็งแกร่ง เขาเข้มแข็งเกินกว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไฟไหม้จะทำร้ายเขาได้
เป็นตัวของตัวเองเกินกว่าการทำลายภาพลักษณ์จะทำร้ายเขาได้

แต่ความซื่อตรงของเขานี่สิ..
ความเจ้าเล่ห์ของผมจะทำร้ายเขาได้

ทำได้แน่นอน..

ผมคิดในใจด้วยความลิงโลด ไม่สนเสียงเตือนบางอย่างที่ดังขึ้นในหัว
มันบอกว่านี้อาจเป็นทางเลือกที่ผิด..ผมควรมองกระจกเสียที

แต่ผมไม่สน , ผมไม่มีทางเลือก

................................

แผนการขั้นต่อไปของผมคือการทำให้สองเลิกไว้ใจพี่กฤษณ์
เมื่ออยู่ห่างไกลกัน สิ่งหนึ่งที่คนรักกลัว คือการเข้ามาของมือที่สาม..

ผมมีเงิน ผมมีอำนาจ และมีลูกน้องที่คอยรับคำสั่ง การวางแผนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก

"พี่กฤษณ์ ที่ขอนแก่นนี้พอจะมีแหล่งเที่ยวกลางคืนไหนแนะนำไหมครับ"
ผมถามขึ้นระหว่างพักกลางวัน

งานของผมเสร็จแล้ว..งานร่างสัญญาซับซ้อนปริมาณมากเสร็จภายในสองอาทิตย์
ผลงานของผมดีเลิศเสมอ และผมรู้ตัวดี
แม้ผมจะเกลียดพี่กฤษณ์ แต่การเล่นตุกติกในสัญญาที่มี'ชื่อ'ผมเป็นคนทำ
ไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ผมจึงทำงานอย่างเต็มความสามารถ

แน่นอน ผมมีแผนการมากมายในหัว แต่บางอย่างผมไม่เลือกที่จะทำ
ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดี

เพียงแต่ผมไม่ใช่คนโง่

สำหรับผมแล้ว เวลาและจังหวะในแผนการสำคัญมาก
ถ้าแผนของผมถูกเปิดเผยหรือถูกจับได้ว่าบงการ

ผมคงไม่สามารถยืนข้างๆเขาได้อีก

ผมจะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะสกปรกหรือต่ำช้า
ขอเพียงได้อยู่ข้างๆเขาตอนร้องไห้

ได้เห็นใบหน้าตอนนั้น

"มีสิ..หืมม มึงสนใจด้วยเหรอ เห็นมึงเคร่งเครียดทำแต่งาน"

"งานผมเสร็จแล้วนี่พี่..ผมว่างอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์"

ผมรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ผมจะใช้ประโยชน์จากความใจดี ความมีน้ำใจของเขา

"เออมีที่รู้จักอยู่ ของเพื่อนกูเอง เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูพาไปละกัน เย็นนี้เลยเรอะ"

นั่นไง..ผมบอกแล้ว!
แต่เย็นนี้ยังไม่ได้..ผมต้องใช้เวลาในการเตรียมการ

"พรุ่งนี้ละกันพี่..เย็นนี้ขอกินข้าวกับลุงชัยก่อน..ว่าแต่ บาร์ชื่ออะไรเหรอพี่"

"บาร์ XXX ดีนะ อยู่ในโรงแรม บรรยากาศดี เหล้าดี สาวสวยๆเยอะ มึงอาจได้เจอคนที่ถูกใจ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะแซวๆ ผมยิ้ม..ไม่มีวัน ผมไม่มีที่ว่างในใจมากมายนัก และถ้าหากมี มันก็เต็มไปนานแล้ว

พอได้ชื่อบาร์มา ผมก็โทรสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมจัดการตามแผน

ส่วนที่เหลือก็ทำเพียงแค่เฝ้ารอให้ถึงเวลาการแสดง..
งานละครที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพี่กฤษณ์เป็นนักแสดงนำ ผมเป็นผู้กำกับ
และแน่นอน...มีคุณเป็นผู้ชม

................................

เราเดินทางมาถึงบาร์ XXX พี่กฤษณ์พาผมไปนั่งในโซนที่ค่อนข้างเงียบสงบ เขาทักทายกับหญิงสาวสวยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการของบาร์แห่งนี้...

"อ้าว กฤษณ์ นี่อย่าบอกนะว่าเลิกกับเด็กคนนั้นเเล้วน่ะ"
หญิงสาวสวยคนนั้นเอ่ยขึ้นพลางมองมาที่ผม..เด็กคนนั้น..? เธอหมายถึงสองใช่ไหม
เธอรู้เรื่องของเขาดี..แสดงว่าผู้หญิงคนนี้คือ'เพื่อน'เจ้าของบาร์ที่พี่กฤษณ์พูดถึง ผมสรุปสถานะของคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

"ยัง! นี้เป็นเด็กที่ไอ้หนึ่งหามาให้ช่วยงานกฎหมายบริษัทผม เขาอยากมาเที่ยว"

"หือม์ ..เจ้าหนึ่งนำเรื่องยุ่งมาให้เสมอเลยน้า..ไป เดี๋ยวฉันให้พนักงานพาไปโต๊ะที่จองไว้"

พนักงานสาวสวยเดินนำผมกับพี่กฤษณ์ไปโต๊ะที่จอง พี่กฤษณ์สั่งเหล้าราคาแพงขวดหนึ่งมา

"สนับสนุนเพื่อนหน่อย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมพยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร ในใจกำลังนับเวลาถอยหลัง

สำหรับละครฉากแรก

................................

สักพักก็มีสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งเดินมา เธอนั่งโต๊ะข้างๆเรา สายตาดูพะว้าพะวงเหมือนหาใครสักคนอยู่
กลุ่มผู้ชายที่เหนื่อยจากการเต้น ดูท่ากำลังเมาได้ที่ เมื่อเห็นสาวน้อยนั่งอยู่คนเดียว จึงเดินมาหาเธอ

"ว่าไงจ้ะ สาวสวย~ มาคนเดียวเหรอ"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูด แล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างๆเธอ เพื่อนในกลุ่มชายผู้นั้นก็ทำแบบเดียวกัน

"ปะ..เปล่าค่ะ..ฉันมารอเพื่อนค่ะ"
สาวน้อยดูตกใจ เธอทำอะไรไม่ถูก เมื่อมือของชายหนุ่มเหล่านั้นเริ่มลวนลาม และสายตาพวกเขาที่มองเธอก็ดูน่าขยะเเขยงเหลือเกิน

"ถ้าผัวมีผัวน้องต้องมา...ผัวไม่มาแปลว่าผัวไม่มี"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มร้องเพลงขึ้น คนอื่นๆเฮตามกันดังลั่น

"ข..ขอโทษนะคะ! ได้โปรดออกไปด้วยเถอะค่ะ!! ขอร้องนะคะ"
สาวน้อยพยายามตะโกน แต่เสียงหวานๆเล็กๆนั้นไม่ดังพอจะเรียกความสนใจจากพนักงาน ยาม หรือคนอื่นๆ

แต่แน่นอน..มันดังพอที่จะเรียกความสนใจจากโต๊ะข้างๆ

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์

เขาขมวดคิ้ว จ้องชายหนุ่มพวกนั้นเขม็ง สีหน้าดูเคร่งเครียด

ผมยิ้มเบาๆ

................................

พี่กฤษณ์ลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะนั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า

"ถ้าผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย ควรจะพอได้แล้วไหมวะ"

สายตาของพี่กฤษณ์จ้องมองพวกเขา เหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังคุยกับเด็กตัวเล็กๆ
กลุ่มชายหนุ่มหันมามองหน้าพี่กฤษณ์ ก่อนที่คนซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มพูดขึ้นว่า

"เสือกไรวะลุง"

"อ้าว ไอ้เด็กนี่! กูไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะ กูแค่มาเตือน มึงเป็นลูกค้า แต่สาวน้อยนั่นก็ลูกค้า ถ้ามึงลวนลามเขาได้โดนเตะโด่งออกจากบาร์นี้แน่"

"มึงจะเตะพวกกูเหรอ?!!"
พวกคนหนุ่มโหวกเหวกโวยวาย

"มันเป็นสำนวนสัส!! รปภ.ต่างหาก กูแค่มาเตือน ดูดิ เขามองกันใหญ่แล้ว"
พี่กฤษณ์พูดพลางชี้ไปที่รปภ.ที่กำลังมองมายังกลุ่มนี้อย่างสงสัย...

แย่ละสิ..เรื่องชักไม่เป็นไปอย่างที่ผมต้องการเสียแล้ว
พี่กฤษณ์เป็นตัวละครประเภทฮีโร่ แต่ไม่ใช่ฮีโร่เลือดร้อนรักความยุติธรรมอย่างที่ผมคาดไว้
เขาเป็นฮีโร่ประเภทชอบทำตัวเป็นลุงแก่ๆสอนลูกหลานนี่หว่า!

ทั้งใจเย็น และฉลาด..

ไม่ได้การแล้ว

หนึ่งในชายกลุ่มนั้นมองมาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ
ผมกำหมัดเบาๆ พยักหน้าให้สัญญาณ

และทันใดนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนขึ้นตามแผนว่า

"ไอ้เหี้ยนี้หาเรื่องเราว่ะ!! รุมมัน!!"

"กูหาเรื่องตอนไหนวะ เด็กเวร!"
พี่กฤษณ์ตะโกนขึ้นด้วยความงง ก่อนจะโดนหมัดกระเเทกใบหน้า เขาหันกลับมา สวนหมัดกลับ

มันต้องอย่างนี้...ฮีโร่ของผม

................................

"โอ๊ยย เจ็บสัส! ลิน!! จะฆ่ากันหรือไง"
พี่กฤษณ์นั่งหน้าปูดบวมโดยมีพี่สาวที่ชื่อลิลิน(พี่เจ้าของบาร์) ทายาใส่บริเวณรอยที่มีเลือด

"จะฆ่าน่ะสิ..ไม่ใช่เด็กๆแล้วน่ะ กฤษณ์"
สาวเจ้าขมวดคิ้วยุ่ง มองพี่กฤษณ์ดเวยสายตาเป็นห่วง...หือม์ สายตาแบบนั้น..

หรือผมจะได้ตัวละครเพิ่มอีกตัวนะ

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน
เบิกบานใจยิ่ง...แม้ภายนอกจะเรียบเฉย

บอกเเล้วเรื่องตีหน้าซื่อนี้งานถนัด..

"กูยังไม่ได้ทำอะไรพวกแม่งเลย เด็กเปรต"
พี่กฤษณ์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะโดนสาวเจ้าตีแขนดังเพลี้ยะ

"เรียกรปภ.ก่อนเข้าไปหาสิ ทีหลังน่ะ..จะเป็นฮีโร่ขนาดไหน 1 ต่อ 6 มันไม่ชนะหรอกน่ะ ใช้สมองซะบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่กล้ามเนื้อ"
พี่ลิลินสายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะปิดผ้าก๊อซเป็นครั้งสุดท้าย

"ก็ใครจะไปรู้ละวะ อยู่ๆไอ้เด็กนั่นคนหนึ่งก็คลั่งขึ้นมา เพื่อนมันก็เฮตามกันหมด..แม่ง พี้ยามากันป่าววะ
เธอตรวจยาบ้างปะเนี่ย บาร์นี้เนี่ย..โอ๊ยยย"

พี่กฤษณ์ร้องอย่างโอดโอยเมื่อโดนสาวเจ้าบิดเเขนอย่างหมั่นเขี้ยว

เมื่อลิลินเดินแยกตัวไปดูแลบาร์ต่อเเล้ว ตัวละครหลักอีกตัวของผมก็เข้ามา

"เอ่อ..ขอบคุณมากนะคะ..ไอไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี..คุณต้องเจ็บเพราะไอ.."

พี่กฤษณ์หันมาเห็นสาวน้อยยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ..ไอ้นิสัยผู้ชายนี่..ร้อยทั้งร้อย เห็นน้ำตาผู้หญิงแล้วจะตกใจ
แล้วกับพี่กฤษณ์..ซึ่งมีน้องสาว และรักน้องสุดหัวใจด้วยเเล้ว..

ผมลอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่กฤษณ์

ชายหนุ่มผู้ดูเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยที่กำลังร้องไห้
คงกำลังพยายามคิดอย่างหนักว่าจะหยุดเธออย่างไรดี..

"เอ่อ..ไม่เป็นไรๆ เนี่ยปกติ! สมัยหนุ่มๆพี่น่ะ 1 ต่อ 10 ก็เคยมาแล้ว"
พี่กฤษณ์รีบพูดโบกไม้โบกมือ

"แต่อยู่ฝ่าย 10 อ่ะนะ..ฮ่าๆๆๆ"
พอไม่มีใครขำมุกสมัยพระเจ้าเหา..พี่เเกเลยเล่นเองขำเองซะงั้น
เรียกเสียงหัวเราะจากสาวน้อยตรงหน้าได้ เขามองเธอและยิ้ม

"เพื่อนน้องมายังล่ะ"

สาวน้อยหลบตาก่อนจะหันไปทางอื่น

"เอ่อ..ความจริง หนูมาคนเดียวค่ะ..หนูหนีออกจากบ้านมา"

พี่กฤษณ์ขมวดคิ้ว มองสาวน้อยตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอดูบอบบางเหลือเกิน(..ก็แน่ล่ะ ผมคัดนักแสดงมาอย่างดี!)
ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยสาวน้อยคนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้

"เฮ้ย กลับบ้านเหอะ พ่อแม่เป็นห่วงนะรู้ไหม"
นั่นไง..โชว์ความเป็นฮีโร่ประเภทลุงอีกแล้ว..ผมกลั้นขำ

"หนูไม่กลับ อย่ามายุ่งกับชีวิตหนู"
สาวน้อยโวยวายหันหน้าไปทางอื่น

"ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ยุ่งรู้ไหมจะเป็นไงตอนนี้"
พี่กฤษณ์ขึ้นเสียงดุ แต่แววตาดูอ่อนโยน เหมือนมองน้องสาวของเขา
เมื่อเห็นสาวเจ้าไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนใจ พี่กฤษณ์จึงถามขึ้นว่า

"แล้วจะไปไหนต่อล่ะเรา"

"ไม่รู้"
สาวเจ้าพูดแล้วแก้มป่องๆ ผมขมวดคิ้ว มองเธอ..อย่าเล่นนอกบทสิยัยนี่..

"ไปที่ที่มีคนต้องการหนูมั้ง!"
เธอรีบพูดเมื่อเห็นสายตาผม..เออดี เล่นนอกบทบ่อยๆค่าจ้งค่าจ้างไม่ต้องเอาน่ะ..ผมมองเธอพยายามส่งกระเเสจิต(กูเริ่มจะขำตัวเองล่ะ)

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์ ..เอาดิ..ถึงคิวมึงเเล้วพี่กฤษณ์ พ่อฮีโร่ใหญ่

"เอาชื่อ เบอร์โทรพ่อแม่มา พี่จะโทรหาเดี๋ยวนี้"

ไม่ใช่แบบนั้น!!..มึงต้องให้เขาไปอยู่ด้วยสิ..ผมมองด้วยความขัดใจ แล้วมองสาวน้อยตรงหน้า
ท่าทางเลิ่กลั่กเพราะไม่ใช่บทที่ซ้อมกันไว้..เป็นนักแสดงต้องมีไหวพริบ มึงทำไม่ได้ มึงจบ!

ผมมองไปที่สาวน้อยตรงหน้าอย่างกดดัน และเธอรู้ตัว

"ไม่มีวัน! หนูจะไม่มีวันบอกใครเรื่องนี้ หนูไม่อยากกลับไปที่นรกนั่นอีก! พ่อขายหนูแลกกับหนี้พนัน ส่วนแม่ก็ไม่สนใจว่าหนูจะเป็นตายร้ายดี หนูสู้หนีออกมาตายเอาดาบหน้าดีกว่ากลับไปนรกนั่น"

เออ..มึงเล่นคุ้มมาก..สงสัยดูละครบ่อย! ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

"เอ่อ..เอาอย่างนี้ดีไหม"
ผมพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน..ไม่งั้นเนื้อเรื่องไม่เดินครับ

"น้องมาอยู่ที่ไร่เราก่อน ให้เวลาเขาได้คิด..เขาน่าสงสารนะพี่..เราค่อยหาทางบอกให้เขากลับบ้านอีกทีก็ได้"
ผมพูดพลางมองหน้าพี่กฤษณ์

"อีกอย่าง น้องเขาดูอายุใกล้เคียงกับยัยแก้ว น่าจะเปิดใจคุยกันได้มากกว่า เราอาจรู้ว่าเขามีปัญหาอะไร"

พี่กฤษณ์เม้มปาก ดูชั่งใจ มองหน้าผม(ซึ่งพยายามพยักหน้ายืนยัน)

"เอางั้นก็ได้..มึงเองก็ใจดีเหมือนกันน่ะ มีพัฒนาการขึ้นน่ะเนี่ย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมหลบสายตา

อีกอย่างที่ผมเกลียดเกี่ยวกับเขาคือการพยายามทำตัวเป็นเหมือนพี่ชายผม
 ทำตัวเป็นพึ่งพาได้ ทำตัวเป็นชื่นชม ให้กำลังใจ

ไอ้ของพรรค์นี้ผมไม่ต้องการ
แต่ผมก็หันกลับไปยิ้มให้

ก็บอกเเล้วว่างานตีหน้าซื่อนี่ของถนัด

................................

ขณะที่กำลังเดินขึ้นรถกันสามคน
ผมซึ่งเดินอยู่หลังสุดลอบยิ้มอย่างสุขใจ

ละครเรื่องนี้ยังไม่จบ ระยะเวลาฉายคือ 1 อาทิตย์ที่เหลือ
มีพี่กฤษณ์เป็นนักแสดงนำ ยัยไอเป็นนักแสดงสมทบหญิง ผมเป็นผู้กำกับ

และแน่นอน ..อีกเช่นเคย

มีคุณเป็นผู้ชม

ถ้าคุณยังสนใจน่ะนะ...




สวัสดีค่ะ!! กลับมาพบกับทนายหนุ่มสุดแสบผู้หิวโหยความรักความเมตตากันอีกครั้ง! :laugh:
ในมุมมองวินด์นี้อย่างที่บอกค่ะ หมอนี่มันสุดโต่ง บิดเบี้ยว พฤติกรรมคาดเดาได้ยาก
แถมยังฉลาดเป็นกรด! ไอ้พวกตัวร้ายดาดๆ แผนตื้นๆนี้หลบไปเลยค่ะ :z6:

วินด์นั้นทั้งฉลาด ล้ำลึก ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองสุดๆ
เพราะงั้นคนอย่างเขาไม่มีวันหมดท่าง่ายๆแน่นอนค่ะ(เรียกเจ้าตั้มมาขอนแก่นเร้ว!มาช่วยพี่กฤษณ์หน่อยย! :katai3:)

มาเอาใจช่วยพี่กฤษณ์กับน้องสองกันนะคะ
ความเชื่อใจจะทำให้เขาผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้หรือไม่?!
แผนของวินด์จะสำเร็จหรือไม่?!!
พี่กฤษณ์จะทำตัวให้สมกับเป็นคนหนุ่มเท่ๆเมื่อไหร่?!!!(อายุก็ไม่ได้มากมายน่ะ เเต่เฮียชอบทำตัวแก่ๆอ่ะ ไม่รู้เป็นไร! :laugh:)

โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ!!
 :bye2:

#Anynomous


ไรท์ เยี่ยมเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนเคยได้รับประสบการณ์ตรงในไร่จริงๆ
แต่คนอ่าน แค่อ่านเยอะ ไร้น้ำยาเรื่องการเขียน
ชื่นชมคนที่สามารถเขียนเรื่องได้ อัจฉริยะจริงๆ  :mew1: :mew1: :mew1:
เพราะต้องสามารถวางพล็อตเรื่อง ด้านภาษา การผูกเรื่อง ฯลฯ

วินด์ เล่นพี่กฤษณ์แล้ว

พี่กฤษณ์ ฉลาดมาก คิดถึงความไม่สมเหตุสมผลได้
แล้วที่วิดิโอคอลออกกำลังกายให้ได้ซิกส์แพคกับสอง
เล่าสู่กันฟังหลังเรียบร้อยรร.ทั้งคู่ สองวิเคราะห์ได้เจ๋งมาก
โดยมีความบังเอิญเป็นตัวตั้ง อะจ๊ากกกกก
เซนส์สองแรงไม่เบา ที่เห็นแววตาวินด์วันก่อน

สอง ให้ข้อคิดเยี่ยมไม่แพ้คินดะอิจิเลย
"แหล่งกำเนิดจากภายใน......ดับยาก"
"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.....ดับง่าย"
ยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นนักอ่านปรัชญาโสกราตีส ใครแนะนำให้อ่านนะ  กร๊ากกกก

"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
"..กูอยากได้ กูต้องได้"
นี่ไง เพราะอยากได้สอง เลยทำให้วินด์ ทดลองวางเพลิง
ทดสอบประสิทธิภาพการดับไฟของกฤษณ์
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากค่ะคุณ Magnolia! ประสบการณ์ในไร่ของเรานั้นได้มาตอนติดตามอาจารย์ไปออกชุมชนคัดกรองผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับ ที่อ.เวียงเก่า จังหวัดขอนแก่นค่ะ(เราเรียนแพทย์ค่ะ) ทำให้ได้แรงบันดาลใจเรื่องฉาก และการเขียนเรื่องนี้ส่วนหนึ่งด้วยค่ะ

เฮียกฤษณ์กับสองไม่ใช่คนโง่ค่ะ(ตัวละครหลักของเราส่วนใหญ่ฉลาดในมุมมองที่แตกต่างกันค่ะ บางคนฉลาดในการใช้ชีวิต บางคนฉลาดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางคนฉลาดที่รู้จักตัวเอง บางคนก็กำลังเรียนรู้)

ส่วนการใช้หนังสือปรัชญาโสกราตีสที่วินด์แนะนำมาแก้ปัญหาที่วินด์ก่อ เป็นกิมมิคที่เราซ่อนไว้เองค่ะ o18
ที่เราชอบพูดว่าสนุกกับการแต่งนิยายเพราะเราชอบซ่อนอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไว้เเหละค่ะ :laugh:
(มีเยอะมากนะคะ เกือบทุกตอนเลย ฮ่าๆๆ บางอย่างต้องเก็บไว้ก่อน!)

ยินดีที่ได้ทราบว่ามีผู้อ่านพบและเข้าใจอารมณ์ขันนี้นะคะ :กอด1:

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้ค่ะ!
เราอาจจะอัพช้าบ้าง วันเว้น หรือสองวันเว้น (หรือสาม!)
ต้องขออภัยด้วยนะคะ อัตราการอัพขึ้นกับเวลาที่ว่างค่ะ!(ฮา) :o12:

ปล.แต่ไม่มีเทค่ะ เรามีความรับผิดชอบมาก(?!!) :laugh:
#Anynomous

เหมือนวินด์จะเป็นคนดี แต่จริงๆคือไม่เลยสินะ วินด์คงรู้เรื่องสองมีแฟนแล้วแน่นอน  :a5:

ถูกต้องเเล้วค่ะ!! เจ้าวินด์ดูภายนอกนั้นสุภาพ เรียบร้อย เป็นชายหนุ่มนิสัยดีนอบน้อมถ่อมตนค่ะ! o18
แต่ถ้าใครเคยอ่านตอนของวินด์(ตั้งแต่อดีต-ตอน:ความเท่าเทียม)กับตอนล่าสุดนี้ก็จะรู้ค่ะ ว่าเจ้านี้มันบิดเบี้ยว+เพี้ยนสุดติ่ง โหยหาความรักความเมตตาอย่างมากค่ะ! :laugh:

#Anynomous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2017 14:59:12 โดย Anynomous »

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่13 :16/11)
«ตอบ #27 เมื่อ16-11-2017 18:31:07 »

ว้าวววว เพิ่งเห็น

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่13 :16/11)
«ตอบ #28 เมื่อ16-11-2017 20:56:33 »

ระวังไว้นะวินด์ ระวังตาลุง(กฤษต์)ไว้ให้ดี ถ้าลุงแกได้โอกาสเอาคืนเมื่อไหร่จะหาว่าไม่เตือน //รึเปล่า ? 5555555

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่14 :16/11)
«ตอบ #29 เมื่อ20-11-2017 22:11:36 »

ตอนที่ 14 : ไอน้ำลอยตามลม

ผมมองสาวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นมาตลอดทาง ข้างๆมีชายหนุ่มที่ทำหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย

..นี่เอ็งไม่คิดจะปลอบน้องเขาหน่อยเรอะ!! ไอ้วินด์!! นั่งเเข็งเป็นหินเชียว!!

"น้องไอครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวไปถึงบ้านพี่ไปคิดทบทวนดูดีๆก่อน ยังไงก็พ่อแม่เรา มันอาจมีวิธีอื่นนะ.."
ผมพูดขึ้นเบาๆ เหลือบตามองสาวน้อยผ่านกระจกหน้ารถ เธอพยักหน้ารับ

"แต่ไอไม่คิดเลยว่าพ่อจะขายไอใช้หนี้พนัน..แม่ไม่สนไอมาแต่ไหนแต่ไร แต่พ่อน่ะไม่ใช่..พ่อเคยดีกับไอมากจนกระทั่งมาติดเหล้า ติดการพนัน..ฮึก.."

สาวน้อยที่ผมมองเห็นนั้นช่างบอบบาง เธอยังเป็นเด็กสาวอยู่เเท้ๆ อายุน่าจะไม่ห่างจากยัยแก้วมากนัก..แต่ต้องมาเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้

"ไออายุเท่าไหร่เเล้วครับ อยู่โรงเรียนอะไร บอกพี่ได้ไหม.."

"อะ..เอ่อ..18ค่ะ ..ไอไม่บอกโรงเรียนนะ..เดี๋ยวพี่จะโทรไปฟ้องคุณครู"
สาวน้อยทำหน้ามุ่ย ผมยิ้มให้เธอ ..

"ไออายุมากกว่าน้องสาวพี่ตั้งสามปีเเน่ะ แต่หน้าเด็กเท่ากันเลยนะเนี่ย..ยัยแก้วต้องชอบใจแน่ๆ พี่ชื่อพี่กฤษณ์นะ ส่วนคนนั้นคือพี่วินด์"

ผมพูดถึงยัยแก้ว พยายามเบี่ยงเบนความสนใจเธอจากเรื่องเศร้าโศก เด็กสาวตัวคนเดียว หนีออกจากบ้าน ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ถ้าโชคร้ายเจอคนไม่ดี อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ จริงๆผมยังคิดไม่ออกว่าจะช่วยเหลือเธออย่างไร ไอ้การส่งเธอกลับบ้านมันก็ได้อยู่หรอก แต่สำหรับสาวน้อยที่ตอนนี้บ้านไม่ต่างกับนรก ผมไม่แน่ใจว่าการส่งกลับบ้านจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่ จึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของไอ้วินด์ก่อน

สำหรับวินด์ อย่างที่ผมรู้และค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเป็นคนวางเพลิงไร่ของผม แต่สิ่งที่ผมยังไม่แน่ใจคือเป้าหมายและเเรงจูงใจของเขา เหมือนยังมีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่อาจคาดเดาได้

มีจิ๊กซอว์บางชิ้นที่ผมทำหล่นหาย

ผมสันนิษฐานเบื้องต้นว่าอาจเกี่ยวกับผู้รับอุปการะวินด์ นายเกรียง นักการเมืองใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล
ถ้าไม่งั้นคนอย่างวินด์ ซึ่งดูเป็นเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบ คงไม่อยู่ๆลุกขึ้นมาเผาบ้านคนอื่นเล่นๆ
ผมลองถามวินด์อย่างอ้อมๆเรื่องนี้ และทราบว่าเขาเคารพนายเกรียงมาก ไม่แน่เขาอาจเป็นประเภทบุญคุณต้องทดแทนเหมือนผม..เขาอาจถูกใช้ให้ทำอะไรบางอย่าง

ในโลกธุรกิจหรือแม้กระทั่งการทำงานทั่วๆไป ความจริงที่มองเห็นอาจมีอะไรมากกว่านั้น
ปัญหาบางอย่างก็ไม่อาจแก้ไขได้แม้จะรู้ความจริง

ผมรู้ดีว่าการไล่หมาให้จนตรอกนั้นอันตราย
ผมเองก็ไม่อาจเอาองค์กรไปเสี่ยงกับผู้มีอิทธิพลเหนือกว่า
จึงเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้

ทำเป็นไม่รู้
รอเวลาเอาจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายมาประกบ

เเละหากมีครั้งต่อไป ตอนนั้นผมจะพร้อม ไม่ว่าจะเป็นวินด์หรือเจ้านายของมัน
ไม่ว่าจะเล็งเป้ามาที่ตัวผมหรือองค์กร ผมจะไม่ยอมโดนรังแกฝ่ายเดียวแน่

ผมสู้มาตลอดชีวิต

และไฟไหม้ครั้งเดียวมันหยุดผมไม่ได้

..................................

สองคิดเรื่องวินด์ได้เร็วพอๆกับผม ผมเล่าให้คนรักฟังเรื่องสมมติฐานเบื้องต้น
เขาโกรธมาก แต่ก็ฉลาดเกินกว่าจะทำตัวโผงผาง เขาบอกว่าเขาเชี่ยวชาญด้านการเเสดงละครมากกว่าผม
ผมไม่แน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่ผมก็วางใจ เพราะเขาอยู่ไกลผมมาก และจะปลอดภัยจากสิ่งที่ผมเผชิญอยู่

สองบอกผมว่าเขาจะปรึกษากับเพื่อนของเขา ให้ช่วยสืบหาสาเหตุของการกระทำของวินด์
ถ้าสมมติฐานเรื่องนายเกรียงเขม่นผมเป็นจริง ผมจะต้องรับมือกับอะไรหลายอย่าง

สารภาพตามตรง..ลึกๆผมไม่แน่ใจว่าจะรับไหว
แต่พอสองยิ้มให้ผมและบอกว่า

 'ถ้าเวลานั้นมาถึง กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง'

ตอนนั้นผมก็รู้
แค่มีเขาอยู่ข้างๆผมก็พร้อมจะรับมือกับปัญหา
ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่ซับซ้อน หรือเกินกำลังผมมากแค่ไหน

ผมจะผ่านมันไปได้ ผ่าน..เพื่อได้กลับมาเห็นรอยยิ้มของเขา

..................................

"เอ้า ถึงเเล้ว"
ผมจอดคุณนายแดงไว้หน้าเรือนหลักก่อนจะเดินนำพาไอเข้าไป

"โห..นี่อย่าบอกนะว่าที่เราขับเข้ามาทั้งหมดเป็นของพี่กฤษณ์หมดเลยน่ะค่ะ"
สาวน้อยส่งเสียงออกมาพลางมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น ผมยิ้มด้วยความเอ็นดู ดีใจที่เห็นเธอร่าเริงขึ้น

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้..พี่เป็นคนดูแลไร่นี้ต่อจากคุณลุงน่ะ..แต่มันก็เป็นทั้งที่ทำงาน และที่พักของพนักงานคนอื่นๆเหมือนกัน"

ผมพาเธอเข้าไปเรือนหลัก โชคดีที่ลุงชัยยังไม่นอน ลุงชัยบ่นผมเรื่องที่ทำตัวใจดีเกินไป เก็บลูกหมาลูกแมวข้างทางมาเลี้ยง ลุงยังไม่ว่า..นี้ลูกคน ใครที่ไหนก็ไม่รู้ พ่อแม่จะเป็นห่วงหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่พอน้องไอเริ่มมีน้ำตารื้นๆ ลุงก็เงียบไป บอกให้ป้าสมบัติที่เป็นแม่ครัวและแม่บ้าน มาพาน้องไปห้องพักของแขกในเรือนหลัก

ผมขับรถไปส่งวินด์อยู่บ้านพัก ก่อนจะกลับไปนอน

..................................

"พี่กฤษณ์ตื่นเช้าจังนะคะ"
เสียงหวานเล็กๆดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นสาวน้อยดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อนมัดเปียสองข้าง เธอดูบอบบางและอ่อนหวานราวกับจะล้มลงได้ทุกวินาที แต่สีหน้าเธอดูร่าเริ่งขึ้นกว่าเมื่อวานมาก

"พี่ต้องมาทานข้าวอยู่เรือนหลักทุกวัน คนที่นี้ทานอาหารกันเช้า ตื่นเช้า นอนเร็ว พี่ก็ชินไปแล้ว..น้องไอก็เหมือนกัน
ดูเหมือนจะอยู่ที่นี้ได้น่ะเนี่ย.."
ผมยิ้มก่อนจะมองนาฬิกา ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกติ๊งต๊องของยัยแก้วมาจากในบ้าน

"ยัยแก้วน่าจะยังไม่ตื่น..ถ้าตื่นเเล้วพี่จะเเนะนำให้รู้จัก น่าจะสนิทกันเร็วนะ ยัยแก้วน่ะแก่นจริงๆ"
ผมพูดแล้วยิ้มขำๆ คิดถึงวีรกรรมของน้องสาว

"พี่กฤษณ์ดูเป็นพี่ชายที่ดีจังนะคะ เวลาพูดถึงน้องสาว พี่ดูมีความสุขทุกครั้งเลย.."
น้องไอยิ้มบางๆให้ผม ก่อนจะทำหน้าเศร้า

"ถ้าไอมีพี่ชายแบบพี่กฤษณ์ ไอคงทนอยู่ในบ้านนั้นได้ ..คงมีใครปกป้องไอจากเรื่องเลวร้าย"

ผมลูบหัวน้องไออย่างเบามือ สัมผัสเส้นผมลื่นๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ แววตาเศร้าๆ ทำให้ผมสงสารเธอจับใจ

"คิดเสียว่าพี่เป็นพี่ชายไอคนหนึ่งก็ได้นะ"

น้องไอพยักหน้าก่อนจะโผเข้ากอดผม ผมตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยกมือลูบหลังสาวน้อยเบาๆ

บางทีเด็กผู้หญิงก็ต้องการการปลอบโยน
ผมคิดถึงน้องสาวตัวเอง..ยัยแก้วก็เคยโผกอดผมแบบนี้บ่อยๆ

คงไม่ต่างอะไรกัน

..................................

"หื้ม! พี่ไอนี่ส้วยยสวย อยู่ม.6โรงเรียนไหนอ่ะ แก้วอยู่สาธิตมข. สวยอย่างงี้เป็นเซเลปแหงๆ เอาเฟซบุ้คมาดูเลย"
ยัยแก้วพูดไปขณะที่ข้าวยังเต็มปาก ผมยิ้มเอ็นดู อยากดุเรื่องมารยาทของน้องสาว แต่ก็อยากฟังคำตอบของน้องไอด้วย จึงเงียบฟังก่อน

"โอย..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกแก้ว..พ..พี่ไม่อยากบอกโรงเรียนอ่ะ..เดี๋ยวพี่กฤษณ์จะโทรไปฟ้องคุณครู"
น้องไอยิ้มเอียงอายเล็กๆ ดูมีมารยาทเรียบร้อย ช่างผิดกับยัยแก้วของผมราวฟ้ากับเหว!

"โอ๊ย พี่กฤษณ์ใจดีจะตาย พี่ไม่ทำงั้นหรอก ใช่มะ พี่กฤษณ์! สัญญามาา"
ยัยแก้วมองผมอย่างคาดคั้น ผมยักไหล่

"พี่กฤษณ์!! ช่างเหอะ แก้วไปแอบถามเอาทีหลังก็ได้ ตอนพี่กฤษณ์ไม่อยู่ด้วยย"

"ตามใจ"
ผมว่า ก่อนจะอมยิ้มขำๆ

"พี่ไอตัวเล็กมากก กินเยอะๆน้า"
ยัยแก้วกุลีกุจอตักอาหารให้น้องไอจนพูนจาน เรียกเสียงหัวเราะจากลุงชัย ลุงป่องและป้าสมบัติได้

"พี่วินด์มาอยู่ไม่หนุกเลย นั่งแข็งเป็นหินตั้งแต่เช้าจรดเย็น แก้วถามอะไรก็ไม่พูด แก้วละคิดถึงพี่สอง ถ้าพี่สองมาจะแนะนำให้รู้จักนะพี่ไอ ครอบครัวใหญ่สนุกมากๆ"
ยัยแก้วพูดด้วยท่าทางร่าเริง ทั้งโต๊ะดูเหมือนจะมียัยแก้วพูดจ้อๆอยู่คนเดียว ด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็กมาก น้องสาวผมจึงค่อนข้างขี้เหงาและชอบการสนทนากับครอบครัวใหญ่ๆมากเป็นพิเศษ

"เอ้ากินๆบ้างแก้ว ลมเข้าปากเดี๋ยวจะอิ่มซะก่อน"
ลุงชัยตักอาหารใส่จานยัยแก้วก่อนจะหัวเราะขำหลานสาว

..................................

วันนี้วันเสาร์ แต่ผมก็ยังมีงานที่น้องไปตรวจดู

"ไอไปด้วยได้ไหมคะพี่กฤษณ์"
สาวน้อยไอรีบเดินมาหาผมเมื่อเห็นผมจะขึ้นรถ

"อยู่กับยัยแก้วไม่สนุกกว่าเหรอ พี่จะไปดูงานแปปเดียว เดี๋ยวก็กลับมาน่ะ"

"นะคะ..ไอแค่..แค่ไปด้วยเฉยๆ จะไม่รบกวนอะไรเลยนะคะ ไอสัญญา"
สาวน้อยยกมือขึ้นสามนิ้วทำเอาผมเกือบหลุดขำด้วยความเอ็นดู

"นี่ไม่ได้มาทัศนศึกษานะ ได้แค่วันนี้เท่านั้นนะ วันจันทร์ถึงศุกร์พี่ทำงานจริงๆ ถ้ายังดื้ออยากมาพี่จะดุแล้ว"
ผมพูดเสียงเข้ม แต่ก็ยอมให้น้องไอมาด้วย ผมแพ้ทางคนไม่กี่ประเภท และสาวน้อยบอบบางที่อายุใกล้เคียงกับน้องสาวก็เป็นหนึ่งในนั้น

"เย้! พี่กฤษณ์ใจดีที่สุดเล้ย"
น้องไอยิ้มกว้างก่อนจะกอดแขนผมเอาไว้ ผมหัวเราะ

"เอ้า จะขึ้นรถหรือจะมาเกาะแกะพี่กัน ไปๆ จะไปไหม"

"ไปค่าาา"
เสียงแก่นแก้วดังขึ้น ยัยแก้ววิ่งมาจองเบาะหน้าในคุณนายแดง

"วันนี้พี่กฤษณ์ไปดูงานแล้วพาพวกเราไปเที่ยวด้วย! พี่ไอจะได้หายเศร้า!"
ยัยแก้วพูดเสียงดัง ผมไม่รู้ว่าน้องสาวไปรู้มาจากไหนว่าน้องไอเศร้า แต่เดาว่าแค่เห็นหน้าตาก็คงรู้แล้ว..

"เอ่อ..น้องแก้ว พี่กฤษณ์จะไปดูงานเฉยๆนะคะวันนี้ ไม่ได้พาพี่ไปเที่ยว เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แก้วทำการบ้านอยู่นี้ไม่ดีกว่าเหรอ"
น้องไอพูดขึ้น ยัยแก้วกอดอก

"ไม่เอาอ่ะ! แก้วรู้พี่ไอชอบพี่กฤษณ์ล่ะสิ!"

"ปะ..เปล่านะ! เอาที่ไหนมาพูดแก้ว!"
น้องไอพูดแล้วหน้าแดง หลบตาผม ผมหัวเราะ

"ไม่ได้นะพี่ไอ พี่กฤษณ์มีแฟนแล้ว!!"
ยัยแก้วรีบพูด ทำตัวเจ้ากี้เจ้าการเหมือนเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม แบบที่น้องสาวตัวเล็กๆชอบทำ

"ใช่ พี่มีแฟนแล้ว"
ผมพูด ยิ้มเอ็นดูเด็กๆสองคน

"ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไงเล่า"
คราวนี้น้องไอไม่หน้าแดงแล้ว เธอพูดก่อนจะทำหน้ามุ่ย ยัยแก้วหัวเราะร่า

"อิอิ หมดหวังแล้วว แก้วรู้น่า..ก็ทุกคนที่พี่กฤษณ์ดูแล จะชอบพี่กฤษณ์หมดเลยนี่ ~"

"แก้วด้วยเหรอ"
ผมแซวน้องสาว ก่อนจะทำปากเป็นรูปจุ๊บๆใส่น้องสาวตัวดี

"อี๋ ~~ แก้วไม่ชอบลุงแก่ๆอ่ะ! หัวยุ่งทุกเช้า ถ้ากลับจากงานไร่ก็เหงื่อเย้อะเยอะ วันดีคืนดีลืมโกนหนวดก็ดูสกปร๊ก สกปรก แต่งตัวก็ไทบ๊าน ไทบ้าน อี๊"

เออ...ขอบใจมาก น้องรัก! พูดซะกูหมดชิ้นดีเลย! จริงใจเหลือเกิน!!
ผมคิดอย่างเซ็งๆก่อนจะเบิกกะโหลกยัยแก้วเบาๆไปครั้งหนึ่ง น้องไอหัวเราะขำ

"แต่ไอก็ชอบอยู่ดี"
เธอพูดเบาๆก่อนจะมองหน้าผมผ่านกระจกหน้ารถ ผมยิ้มร่า

ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ ...
คิดว่าคำว่าชอบของเธอนั้นมีความหมายแบบเด็กๆทั่วไป..

ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าผมแพ้ทางคนแบบนี้

..................................

น้องไอมาอยู่กับเราได้อาทิตย์หนึ่งเเล้ว เธอดูร่าเริงขึ้นมาก แต่บางครั้งแววตาอ่อนหวานเศร้าสร้อยก็ปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ ผมเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เธอสนิทกับยัยแก้วและยังทำตัวเป็นน้องสาวที่อ่อนหวานน่ารักต่อผมและครอบครัว ครอบครัวของผม ลุงชัย ลุงป่อง ป้าสมบัติ ต่างก็เอ็นดูเธอเช่นกัน

วันนี้เป็นวันศุกร์อีกครั้ง และพรุ่งนี้ตามกำหนดการ วินด์จะต้องกลับกรุงเทพ
เราจึงดื่มสังสรรค์กันเป็นครั้งสุดท้าย มีผม ลุงชัย ลุงป่อง และวินด์(แน่นอนว่าเราไล่เด็กๆไปนอนเรียบร้อย)
วินด์ยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม แต่ครอบครัวผมก็เอ็นดูเขา เขาเหมือนเด็กเล็กๆที่พยายามสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับคนอื่น แต่เขาไม่ได้ทำตัวเลวร้ายเอาแต่ใจ แค่เป็นคนเงียบๆเท่านั้น

เราดื่มสังสรรค์กันจนดึก คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ เวลาเมาเรื่องเล่าไหลมาพร้อมกับเหล้าเสมอ
ผมจึงเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวและเหล้าแรงๆของลุงป่อง แต่ก็ไม่ลืมที่จะระมัดระวังไม่ให้เกินขีดจำกัดของตนเอง

เพราะผมต้องขับรถไปส่งเจ้าวินด์
คงไม่ดีนักหากเราสองคนจะลงไปนอนกองกันในไร่ข้าวโพด หากรถเสียหลักพุ่งลงทุ่งกลายเป็นโกโก้ครั๊นซ์ไป

แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ ดูเหมือนเหล้าที่ลุงป่องนำมาวันนี้จะดีกรีแรงกว่าปกติมาก
ผมที่ปกติจะดื่มแค่ให้รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ วันนี้เมากว่าวันอื่น

ก่อนจะกลับจึงต้องแวะเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสียก่อน

และขณะที่กำลังจะเปิดไฟห้องน้ำ ก็มีมือเล็กๆมากอดผมจากด้านหลัง
กลิ่นหอมอ่อนๆกับส่วนนุ่มๆที่ดันหลังผมอยู่..

"พี่กฤษณ์.."

"หือม์ ..ไอ ยังไม่นอนหรอครับ"
ผมพูด เบลอนิดๆ พยายามคิดให้ออกว่าน้องสาวคนนี้มากอดผมทำไม

"..ไอฝันร้ายค่ะ"
สาวน้อยดันผมเข้าห้องน้ำก่อนจะล็อกประตู ผมเอียงคอมอง สงสัย กำลังประมวลผลว่าเธอกำลังทำอะไร

"ไออยากให้พี่กฤษณ์อยู่ข้างๆไอ.."
ไอดันผมชิดประตู ผมมองสาวน้อยตรงหน้า ชุดนอนสายเดี่ยวบางเบา มันบางเสียจนผมเห็นหัวจุกสีชมพูเต่งตึงข้างใต้ชุดนั้น สาวเจ้าขยับตัวเข้าหาผม ดึงสายบางๆของชุดลง ก่อนจะเอาหน้าอกเต่งตึงราวกับสาวแรกแย้มมาชิดกับหน้าอกผม

"ไอ..อย่าทำอย่างนี้"
ผมพูด พยายามดันเธอออก ผมเข้าใจแล้วว่าเธอพยายามจะทำอะไร แต่สาวน้อยที่อยู่ๆก็ดูจะมีเรี่ยวเเรงมหาศาล
เธอเกาะรัดผมไว้ มือเล็กๆล้วงเข้าไปกระตุ้นส่วนอ่อนไหว

"แต่..พี่กฤษณ์ก็แข็งนี่คะ...ให้ไอช่วยนะ.."
สาวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่มีความเอียงอายแบบที่เธอมักเป็นเสมอ..

มันเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ..ผู้ชายร้อยทั้งร้อย ต่อให้มีลูกมีเมียแล้วก็เถอะ..ต่อให้เป็นผมก็เถอะ
ได้เห็นภาพตรงหน้า สาวน้อยร่างบาง ตัวเล็ก ชุดนอนบางๆจะหลุดไม่หลุดแหล่ ยอดอกสีชมพูชูชัน..

ผมก็มีอารมณ์จริงๆ

แต่..ผมมีความยับยั้งชั่งใจมากพอ
ผมมีคนรักแล้วก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือเธอเหมือนน้องสาว ผมไม่อาจทนรับความรู้สึกผิดหลังจากนี้ได้

ผมดันเธอออก

"ไอ..หยุด"
ผมพูด เสียงเข้มขึ้น มองหน้าเธอ แรงผู้ชายนั้นเยอะกว่าอยู่แล้ว ผมผลักเธอออกและกำลังจะหันไปเปิดประตูห้องน้ำ

"ไอไม่หยุด"
เสียงหวานๆนั้นฟังน่ากลัว ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง แทงเข้ามาที่ไหล่ซ้าย

"ไอขอโทษนะคะพี่กฤษณ์.."
เสียงนั้นหวานปนเศร้า แต่สติผมเริ่มหลุดลอย

"เขาบอกว่าไอไม่มีทางเลือก.."

..................................

วันถัดมาผมตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง
ปวดหัวไปหมด และเมื่อดูนาฬิกาก็เป็นเวลาเที่ยงกว่า
ไฟลท์บินของไอ้วินด์มันล่วงบ่ายนี่หว่า..

ผมรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างลวกๆ

น้ำเย็นเรียกสติและความทรงจำบางอย่างกลับมา
ผมตัวชา..

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อ..ผมเห็นภาพน้องไอ รู้สึกว่าเธอกอดผม
แล้วหลังจากนั้นล่ะ..หลังจากนั้น..

ผมคิดให้ตายก็คิดไม่ออก ปวดหัวราวกับจะระเบิด

เอาเถอะ..ยังไงเราก็มีเรื่องต้องคุยกัน
ยังไงผมจะถามเธอให้ได้

..................................

แต่ผิดคาด...เมื่อผมมาถึงเรือนหลัก ทุกคนก็ดูวุ่นวายกันไปหมด

"พี่ไอหายไป!"
ยัยแก้วรีบวิ่งมารายงานสถานการณ์ให้ผมฟังคนแรก

"พี่ไอเขียนจดหมายไว้..ทุกคนเป็นห่วงกันหมด"
ผมขมวดคิ้ว หัวที่ปวดตุบๆอยู่แล้วยิ่งรู้สึกราวกับจะระเบิด ยัยแก้วยื่นจดหมายให้ผมอ่าน

'ถึง ทุกคน

ไอขอบคุณทุกคนที่ดูแลไออย่างดี
ไม่มีวันที่ไอจะลืมไร่แห่งนี้
มีที่ไหนอีกที่จะอบอุ่นและเรียกว่าเป็นครอบครัวได้อย่างแท้จริงเหมือนที่นี้
ทางที่ไอเลือกเดินจากมามันแสนสาหัส
เลือกเดินมาพบพี่กฤษณ์และทุกๆคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทางเลือกของไอ ขอร้องล่ะ

ช่วยอย่าลืมไอก็พอ..

ด้วยรัก

ไอ'

"ทุกคนกำลังหากันอยู่ ลุงชัยบอกว่าน่าจะไปได้ไม่ไกล...แก้วกลัวพี่ไอกลับไปเจอพ่อใจร้ายอีกจังเลยค่ะ"

ผมมองหน้าแก้ว

"พี่ก็กลัว"
ผมพูดทั้งที่ในหัวยังปวดตุ้บๆ

"ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ.."
เสียงเรียบๆของวินด์ดังขึ้น

"ไอหนีไปน่ะ"
ผมพูด และวินด์ยักไหล่

"เด็กนั่นใจแตก.. หนีออกจากบ้านครั้งหนึ่งมาแล้ว คิดจะหนีอีกก็ไม่แปลก อยากจะไปก็ไป"

"อย่ามาพูดถึงพี่ไอแบบนั้นน่ะ! คนใจร้าย!!"
ยัยแก้วตะโกน กำกระดาษไว้แน่น

"แล้วนั่นอะไร"
วินด์ถาม เอียงคอสงสัย

"พี่ไอไม่มีทางอยากให้พี่อ่านมัน!"
ยัยแก้วพูดแล้วทำท่าจะวิ่งหนีไป แต่อยู่ๆวินด์ก็ก้าวยาวๆไปคว้าข้อมือน้องสาวผม

"ส่งมันมา"
วินด์พูดเสียงเหี้ยม ผมเดินไป

"มันจะมากไปแล้วน่ะมึง อย่าทำน้องกู"
ผมจ้องหน้ามัน จับเเขนมันไว้ ยัยแก้วสะบัดมือวินด์ออก

"..ผมแค่อยากรู้ว่ามันคืออะไร"
วินด์หลบตาผม ก่อนจะกลับมาสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม ชั่วเเวบหนึ่งนั้น..

ผมรู้สึกถึงความอันตราย

"จดหมายจากไอน่ะ แค่จดหมายบอกลา"

"ขอผมดูหน่อยได้ไหม"

"ขอพี่ดูนะ..แก้ว"
วินด์หันไปพูดกับแก้ว น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น แต่แก้วไม่มีที่ท่าอยากจะให้เขาดู

"พี่ก็เป็นห่วงน้องไอเหมือนกัน"
วินด์พูดด้วยท่าทีอ่อนโยนขึ้น แก้วจึงยอมยื่นกระดาษให้วินด์อ่าน อ่านได้ไม่นานวินด์ก็ถอนหายใจ

"ช่างเป็นสาวน้อยที่น่าเศร้า"
เขาพูดก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินออกไปรอหน้าบ้าน

"แปลกไหม..หนูไม่รู้สึกว่าพี่วินด์เศร้า"
แก้วพูด มองหน้าผม

"ไม่แปลก, พี่ก็คิดอย่างนั้น"
ผมบอกน้องสาว หัวยังคงปวดตุบๆ

..................................

ผมไปส่งวินด์ที่สนามบิน หลังจากขอบคุณและร่ำลากันเล็กน้อย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
วินด์ไม่ได้ป็อปปูล่าร์เหมือนสอง ไม่มีใครมาส่งเขานอกจากผม แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้สนใจนัก

หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับไร่
กลับมาสู่ชีวิตปกติตามเดิม ไม่มีวินด์ ไม่มีไอ
ทุกวันเงียบสงบ เรียบง่ายอีกเช่นเคย

แต่ในใจผมกลับไม่รู้สึกสงบนัก

เรื่องนี้มีบางอย่างที่ติดใจผมอยู่
ทั้งเรื่องของวินด์ และการจากไปของไอ
คืนสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? แล้วจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของวินด์คืออะไร?

เหตุการณ์หลายอย่างบังเอิญจนดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกัน

ทั้งการที่ผมเมา เหล้าที่อยู่ๆก็แรงกว่าปกติ การเจอไอหน้าห้องน้ำ การหายวูบไปของความทรงจำหลังจากนั้น
จดหมายของไอ ท่าทีของวินด์ที่อยู่ๆก็เเข็งกร้าวขึ้น ท่าทางไม่ยี่หระกับการจากไปของไอ..

ไม่มีใครจะตอบข้อสงสัยของผมได้
พวกเขาจากไปหมดแล้ว..

น่าแปลกอีกเช่นเคย..
พวกเขาจากไปพร้อมกัน ราวกับตัวละครที่ถูกตั้งลำดับการออกจากฉากเอาไว้..

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ
แอลกอฮอล์จากเมื่อคืนท่าจะยังไม่หมดฤทธิ์..

แต่ผมไม่อาจวางใจ

ความเงียบนี้มันเหมือนสัญญาณเตือนก่อนพายุจะมา
เมื่อลมสงบ อาจหมายถึงการเตรียมก่อเค้าของพายุรุนเเรง..

สายลมนั้นไม่น่าวางใจ
มันไม่หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ไม่อ่อนโยนเหมือนสายน้ำ ทว่าลื่นไหลจับตัวได้ยาก

สายลมนั้นอันตราย



สวัสดีค่ะ! ตอนที่ 14 นี้ก็เข้มข้นอีกเช่นเคยย(คิดเองเออเองหรือเปล่านะ?!!) :impress2:
ในตอนนี้เราได้รับรู้มุมมองของพี่กฤษณ์ จะเห็นว่าเวลาวินด์ทำอะไรร้ายๆ ทั้งพี่กฤษณ์ทั้งตั้มจะคิดถึงนายใหญ่ของวินด์คนแรกเลยค่ะ! เพราะพวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าวินด์คิดกับสองเกินเพื่อนไปมากกก(แบบบิดเบี้ยวซะด้วย!) :hao3:

ถ้ารู้ตรงนี้คงจะเข้าใจเรื่องต่างๆที่วินด์ทำเหมือนเราคนอ่านเข้าใจนั่นแหละค่ะ
แต่จะว่าไปก็ดีสำหรับวินด์ พอคนอื่นๆไม่รู้เป้าหมายจริงๆก็ยากที่จะทำอะไรกับเขาก่อน
(ยกเว้นยัยเจ๊ตานั่นแหละ ที่อยากทำไรก็ทำได้)

มาติดตามกันว่า'พายุ'อะไรจะมา?!! o22
แล้วพี่กฤษณ์จะรับมืออย่างไร?!! เจ้าสองจะยังอยู่เคียงข้างตามสัญญาหรือไม่..! :hao4:
และเรื่องนี้เป็นโรเเมนติกคอเมดี้จริงๆหรือ?!! :katai1:

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ!
ตอนนี้เขียน'สนุก'มากเลยย มีใครหาอะไรเจอหรือเปล่านะ?! o18

#Anynomous

 

ว้าวววว เพิ่งเห็น

เห็นอะไรเน้อ ><\\

ระวังไว้นะวินด์ ระวังตาลุง(กฤษต์)ไว้ให้ดี ถ้าลุงแกได้โอกาสเอาคืนเมื่อไหร่จะหาว่าไม่เตือน //รึเปล่า ? 5555555

ตอนนี้ลุงรับเละค่ะ!(ฮา) หาช่องทางเอาคืนยากเพราะไอ้เจ้าวินด์นี่จับตัวได้ยากสุดๆ
ทำอะไรชั่วๆไว้ถ้าไม่แนบเนียนก็ไม่มีหลักฐานให้ชี้ตัว แผนสองแผนสามนางล้ำเกิน
ลุงแก เอ๊ย! พี่กฤษณ์เป็นคนตรงๆ แถมยังเป็นคนใจดีสุดๆ แพ้ทางไอ้พวกเจ้าเล่ห์ปลาไหลแบบนี้แหละค่ะ
มาเอาใจช่วยลุงให้พ้นภัยพายุกันนะคะ!

 :bye2:

#Anynomous


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2017 22:35:44 โดย Anynomous »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด