พิมพ์หน้านี้ - ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Anynomous ที่ 01-11-2017 00:37:26

หัวข้อ: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 01-11-2017 00:37:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



จาก NYC ถึง KK

(http://i64.tinypic.com/2usjztz.jpg)(http://i64.tinypic.com/23hqa9d.jpg)

สวัสดีค่ะ นิยายเรื่อง จาก NYC ถึง KK(?) นี้เป็นเรื่องราวของหนุ่มคุณชายหัวนอกที่ดูภายนอกอาจดูเหลาะเเหละไม่ได้เรื่องเท่าไหร่นัก(ฮา :o8: หมดชิ้นดี) ต้องมาอยู่ในต่างจังหวัดเพราะเหตุผลจำเป็น เขาได้พบเจอผู้คนที่แปลกใหม่ ได้เรียนรู้เรื่องราวของคนในชนชั้นที่หลากหลาย ได้เจอบางสิ่งที่สำคัญ มิตรภาพ ความรัก ความจริงใจบางอย่างที่โลกที่มีแต่เงินนั้นซื้อไม่ได้

ขอฝากนิยายโรแมนติกคอเมดี้กึ่งดราม่านิดๆเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยค่ะ!
(โค้ง) :z10:


Anynomous
ผู้เขียน

สารบัญ

ตอนที่ 1: From NYC to KK  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 2: หน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 3: ลองลงแรง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 4: ทฤษฎี 8 วิ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 5: รูปแบบของความรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 6: ความเป็นผู้ใหญ่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 7: แวดวงและความคิดถึง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 8: อาหารเย็นเเพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 9: การเข้ามา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 10: ความเท่าเทียม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 11: เก้าอี้ว่าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 12: ที่ใดมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 13: สายลมหยอกเย้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 14: ไอน้ำลอยตามลม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.0)

ตอนที่ 15: เพื่อนรัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 16: รักเพื่อน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 17: สีฟ้าครามจัดจับตา  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 18: แผนการ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 19: ท่องเที่ยวกับครอบครัว  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 20: ตัวร้าย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 21: สีเทาขมุกขมัว  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.30)

ตอนที่ 23: เจ้าชายน้ำแข็ง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนที่ 24: สิ่งที่ได้รับ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนที่ 25: Afterwards...  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนพิเศษ: กลับสุขใจอย่างยิ่ง   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนพิเศษ: พี่ชายคนโต   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนพิเศษ: ทว่ามีความสุขยิ่ง   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนพิเศษ: วาเลนไทน์กับดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนที่ 21.01: นักเลง   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)

ตอนที่ 21.02: อยากได้   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63359.60)



หัวข้อ: Re: จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่1)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 01-11-2017 01:00:58
ตอนที่ 1 : จาก New York ถึง Khonkaen

ลงจากเครื่องบินชั้นFirst class มาอย่างสง่างามประดุจเจ้าชาย แว่นกันแดดราคาแพง เสื้อผ้าดูเหมือนจะเป็นแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า
กระเป๋าเดินทางใบเล็กเพราะของที่เหลือจะส่งตามมาถึงบ้านอีกที ผมเอง ชายผู้หล่อ รวย ชีวิตสมบูรณ์แบบเพียบพร้อม(กูอวยตัวเองเหมือนคนมีปมด้อยเลยว่ะ)

สอง พงศ์พลิน สุวรรณกุล ลูกชายคนรองของครอบครัว'หลัก' ตระกูลสุวรรณกุล
หลังจากจบการศึกษาที่ม.โคลัมเบีย ในนิวยอร์ก ผมเอ้อระเหยลอยชายใช้ชีวิตวัยรุ่นช่วงปลายอยู่NY(รวมเดินทางเที่ยวไปหลายๆรัฐ)เป็นเวลาเกือบ 1 ปี จนรู้สึกอิ่มตัวและพึงพอใจ จึงเดินทางกลับมาบ้าน กลับสู่โลกความจริง
เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ชีวิตของ..อืมม ที่เฮียหนึ่งพูดเสมอ...ว่ายังไงนะ...ชีวิตของผู้ใหญ่

"ตืด ตืด ตืด..."
แหนะ พูดถึงปีศาจปีศาจก็มา

"คร้าบ ถึงแล้วคร้าบ เห็นแล้วครับบ เออกำลังจะไปขึ้นรถครับบบ"

เฮียหนึ่งโทรมาตาม บอกว่าส่งคนมารับแล้ว ห้ามเถลไถลนอกลู่นอกทาง !
จะให้ผมเป็นผู้ใหญ่ได้ไง ในเมื่อสายตาพี่มองผมเป็นเด็กๆแบบเนี้ย, ให้ตาย
ผมทำหน้าเซ็งบ่นกระปอดกระแปดเดินขึ้นรถ คนขับรถมารับกระเป๋าผมแต่ผมปฎิเสธ
ที่ไม่อยากขนอะไรมาเยอะในครั้งเดียวเพราะอยากถือเองนี้แหละโว้ย

ตลอดระยะทางผมหันซ้ายหันขวา กรุงเทพเปลี่ยนไปมากเลยแฮะ
ผมจากบ้านไปตั้งแต่ก่อนขึ้นชั้นมัธยมปลาย กลับมาบ้านบ้างนานๆที เวลาไม่เท่าไหร่ ตึกกับคอนโดพุ่งสูงขึ้นแข่งกัน
แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลย คือ รถติด ผมนั่งในรถอย่างเซ็งๆ อยู่กับพี่คนขับสองคน

"เออพี่ พอจะมีที่ท่องเที่ยวใหม่ๆแนะนำไหม"
ผมถาม หลังจากนั้นการสนทนาก็เป็นไปอย่างออกรสชาติ
เวลาที่อยู่บนท้องถนนจนถึงบ้านหลักของผมทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆเต็มเปี่ยม

"ถึงแล้วครับ คุณหนู แหม ร้ายจริงๆ นะครับ มาได้วันเดียวหาที่เที่ยวผู้หญิงซะเเล้ว"

พี่ป้อง คนขับรถพูดแซวผมขำๆ ผมก็เกือบจะขำด้วยแล้ว ถ้าพี่ชายไม่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังแล้วพูดว่า

"อย่างนั้นเหรอครับ ลุงป้อง"

ผมมองหน้าพี่ป้องด้วยสายตาวิงวอน กูถามแค่สถานที่ท่องเที่ยวทำไมต้องพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนั้นด้วยวะ

"ใช่ครับ ฮะฮะฮะ หนุ่มเพลย์บอยเหมือนกันนะเนี่ย"

อ้าว คิดเองเออเองอีก! ชิบหาย ..ผมส่งยิ้มแหยๆให้(ไอ้)พี่ป้องกับพี่ชาย ก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วเดินตัวปลิวเข้าบ้าน


............................................

"ม๊า คิดถึงจังเลยยยย" ผมเดินไปหอมแก้มหม่าม๊า

"ม๊าคิดถึงสองกว่า อุ้ย อย่าเอาหน้ามาใกล้จ้ะ เครื่องสำอางค์จะเลอะ ..แล้วนี่แต่งตัวอะไร เสื้อผ้าเนื้อราคาถูก ม๊าบอกแล้วใช่ไหมให้ซื้อของแพงๆไป มันใช้ได้นาน มือนี่อีกล่ะ ได้บำรุงบ้างไหม .."

แม่จับตัวผมพลิกซ้ายขวา จับแก้ม จับเสื้อ จับผม ตามประสาคนจู้จี้จุกจิก
ผมทำหน้ายู่แต่ก็ยอมให้เธอจัดเเจงแต่โดยดี

"ป๊ายังไม่กลับเหรอฮะ"

"เมื่อกี้ส่งเข้าไลน์ครอบครัวละว่ากำลังเดินทางมา"
เฮียพูดยิ้มๆก่อนจะเดินมาตบไหล่ผม

"เอาของขึ้นไปเก็บ เดี๋ยวเตรียมตัวลงมาทานข้าวกันนะ"
ผมพยักหน้าก่อนจะขึ้นไปชั้นบน

............................................

"ตืด ตืด ตืด..."



ผมขยับตัวมารับโทรศัพท์อย่างเกียจคร้าน

"ใครวะ"

"กูเอง ตั้ม เชี่ยสองง มึงกลับมาไม่บอกกูสักคำา"
ตั้ม เป็นเพื่อนของผมตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนมัธยมต้น

"กูว่าจะโทรไปอยู่ กูพึ่งลงจากเครื่องเนี่ย"
ผมโกหกตอแหลไปเพราะเหนื่อยเหลือเกินจากการเดินทาง เลยลืมมันไปสนิท

"พอดีล่ะ วันนี้มีปาร์ตี้อยู่โรงแรมXXX มึงมาเลยนะ กูพาเข้างานเอง มาถึงแล้วต้องเปิดตัวหน่อย ไฮโซเมืองนอก"

"เปิดตัวเหี้ยไรวะ เพื่อใคร"
ผมถาม หงุดหงิดเล็กๆเพราะความเพลีย

"เพื่อสาวๆแวดวงไฮโซ ดารา จะได้รู้จักมึงไง มึงเป็นเพื่อนกู คุณสมบัติก็เพียบพร้อม มึงเลือกได้เลยนะว่าจะคั่วใครงานนี้ "

"เออๆ แต่หลังสามทุ่มนะ กูกินข้าวกะพ่อแม่"

"เออไอ้สัส งานเริ่มจริงๆ5ทุ่มโน่นแหละ"

ตั้มนัดหมายอะไรนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป
อันที่จริงผมเองก็เป็นเด็กหัวนอกคนหนึ่ง ไอ้ตั้มแม้จะเรียนในไทยแต่ก็เรียนนานาชาติมาตั้งแต่เล็ก อยู่ในแวดวงคนร่ำรวย ผมชอบลองอะไรใหม่ๆก็จริง แต่เรื่องคั่วสาวไปทั่วไม่ได้อยู่ในความคิดผมนัก ที่ผมตอบตกลงไปเพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รู้จักสังคมของที่นี้ และเพราะเพื่อนที่ผมรู้จัก(และยังติดต่อกันอยู่) มีน้อยเหลือเกิน

หลังจากทานข้าวเสร็จได้คุยกับครอบครัว ผมก็รู้สึกว่าได้กลับมาบ้านจริงๆอีกครั้ง
ไม่มีที่ไหนที่จะรักและห่วงใยผมได้แท้จริงเท่าที่นี้ ที่'บ้าน'

เวลาประมาณ 4 ทุ่ม ผมแต่งตัวเตรียมออกไปงานปาร์ตี้ แต่เนื่องจากกุญแจรถผมไม่ได้อยู่กับตัว ผมจึงจำใจเคาะผระตูห้องพี่ชาย

"เฮีย "

"ว่าไง เข้ามาก่อนสิ"

"ไม่ล่ะ ผมแค่มาขอกุญแจรถ"

"จะไปไหนล่ะ"

"ไปปาร์ตี้ ไอ้ตั้มมันชวน "

"..."

เฮียนิ่ง ท่าทางครุ่นคิด

"อยากไปดูว่าวลสังคมเค้าไปถึงไหนกันล่ะ ผมไม่รู้เรื่องเท่าไหร่"
ผมพูดถึงเหตุผลคร่าวๆ

"ตั้ม มันมีข่าวเสียหายเยอะ ลงหนังสือพิมพ์"

"หนังสือพิมพ์ใครก็เขียนได้น่า เฮียก็รู้"

"..."

ท่ามกลางความเงียบ เราจ้องหน้ากัน ผมไม่ยอม ถ้าเฮียไม่ให้ ผมคงหาทางไปเองเหมือนเดิม และดูเหมือนเฮียจะรู้

"ที่ไหน"

"โรงแรม XXX"

"จะกลับเมื่อไหร่"

"ไม่เกินตีสาม"
...จะพยายามน่ะ

"เฮียให้ไม่เกินตีสอง"

ผมพยักหน้า ยักไหล่ เขาเดินกลับเข้าห้องก่อนจะออกมาพร้อมกุญแจรถ

"นี้ไม่ใช่กุญแจรถผมนี้.
นี้มันรถญี่ปุ่นกระป๋อง..ผมจ้องหน้าพี่ชายอย่างเอาเรื่อง

"เฮียยังไม่อยากให้สองหิ้วใครไปต่อ ไม่ใช่ในคืนแรกของการรู้จักกัน"

ผมทำหน้าเหวอจนพี่เกือบหลุดหัวเราะ

"เฮียคิดว่าตัวเองเป็นเอลซ่าและผมเป็นอันนางั้นเรอะ"

"คืออะไรรึ?"

ผมไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหัว ขืนไปอธิบายคงโดนล้อว่าโตเป็นควายยังดูการ์ตูนเด็กๆของดิสนีย์
ผมรับกุญแจมาอย่างเซ็งๆก่อนจะโบกมือไล่พี่ชายกลับห้องแล้วบึ่งรถไปโรงแรม

............................................

"มึงมาช้าจังวะ"
ไอ้ตั้มเดินมากอดคอผมก่อนกระซิบ

"กูเปิดgoogle mapมา"
ผมกระซิบตอบ

"ไอ้ห่า กูจำทางไม่ได้"

"เอาละครับบสาวๆ!"

 ไอ้ตั้มลากผมไปบนเวทีเตี้ยๆบริเวณบาร์ มันเปิดไมค์ก่อนจะพูด เสียงจ้อกแจ้กก่อนหน้านี้เงียบสนิท ผมประหม่าเล็กน้อย

"ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้คือสินค้าดีมีคุณภาพ!"

"ไอ้สัส"
ผมกระซิบพลางกัดฟันยิ้ม มันหัวเราะขำ

"เพื่อนร้ากของผม คุณชายสอง ลูกชายคนรองที่พ่อแม่รักกกที่สุดของตระกูลหลัก สุวรรณกุล คร้าบ
พึ่งจบจากNYCมา หล่อ รวย สปอร์ต! และที่สำคัญ โสดดดด"

ผมยิ้มแหยๆ กูจบจากโคลัมเบียว่ะ หล่อกับรวยกูยอมรับ แต่ตอนนี้ไม่สปอร์ต มีแต่เก๋งญี่ปุ่น!

"ดื่มฉลองการกลับมาของคุณชายสองง เชียร์"

สาวๆและหนุ่มๆในงาน ยกแก้วขึ้นดื่ม ผมโค้งเล็กๆก่อนเดินออกไปหาโซนเครื่องดื่มมาดื่มแก้เขิน
ผมเป็นเด็กนอกก็จริง สมัยเรียนที่มหาลัยก็มีปาร์ตี้ทุกวันศุกร์ก็จริง แต่บรรยากาศชวนเวียนหัวไม่เป็นธรรมชาติแบบนี้เป็นสิ่งไม่คุ้นเคย แม้ว่าจะมีสาวสวยๆนั่งอยู่กันเพียบ หลายคนหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็นบนป้ายโฆษณาระหว่างทางกลับบ้าน คงเป็นอย่างที่ไอ้ตั้มมันโม้เอาไว้ มีแต่พวกดารากับไฮโซ

ผมนั่งดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ฆ่าเวลา มองดูหากลุ่มที่พอจะเข้าไปพูดคุยด้วยได้
ไม่ทันได้อยู่คนเดียวนานนัก เหล่าสาวๆก็เดินมาทักผม

"สวัสดีค่ะ คุณสอง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ" สาวงดงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเริ่มทักผม เธอสวยจริงๆ และดูเหมือนจะรู้ตัวเสียด้วย เธอยกแก้วขึ้นน้อยๆ ผมยกชน

"ยินดีครับ คุณ..."

"อิงอิงค่ะ" สาวเจ้ายิ้มหวาน

"นี้เเพรวาเพื่อนอิงค่ะ ส่วนนี้เจน" สาวข้างหลังอีกสองคนทักทายผมด้วยรอยยิ้มสวยงาม

"คุณสองกลับมานานหรือยังคะ"

............................................

บทสนทนาวนเวียนอยู่แต่เรื่องของผม พอผมถามกลับบ้างพวกเธอมักตอบไม่ตรงคำถามเหมือนคนเบลอ
ผ่านไปได้สักพัก มีสาวๆรวมถึงหนุ่มๆมากมายแวะเวียนมาทักทายผม
คุยกันพอให้เรียกได้ว่ารู้จัก และจากไป
แต่สามสาวที่มาทักตอนแรกยังคงอยู่เป็นเพื่อนยันท้ายงาน

"อืม..อิงอิงง่วงจัง"

สาวสวยอิงอิงเริ่มมาซบผม ดูเหมือนเธอจะเมา พอดีกับที่ไอ้ตั้มเดินมา

"แหม ตาถึงนะมึง น้องอิงพึ่งเลิกกับแฟนได้ไม่ถึงวีค ประกาศลั่นในIGว่าขอเป็นโสดไปสักระยะ กูจีบน้องเขายังไม่เอากู มึงไปทำอีท่าไหนวะ"
ผมส่ายหัว กูไม่ได้ทำ กูนั่งเฉยๆ!

"น้องเมาแล้วมั้งมึง..กูว่ากูก็คงกลับได้แล้ว"

"กลับกี่คนล่ะ"

"อ้าวไอ้สัส น้องเขาก็มีเพื่อน กูก็ฝากเพื่อนเขาดูแลต่อ..."

"อุ้ย พอดี เจนกับแพรติดธุระด่วนน่ะค่ะ ฝากไปส่งอิงอิงด้วยนะคะ นี้ค่ะที่อยู่คอนโด กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋าอิงนะค้า"
ไอ้ตั้มหัวเราะลั่นพลางตบบ่าผม

"ดูแลน้องด้วยนะเว้ย"

ผมส่งสายตาด่ามันไปให้ แต่มันไม่รู้หนาวรู้ร้อน ...ธุระด่วนบ้านมึงเหรอตีสอง! ผมมองหน้ามันอย่างขัดใจ แต่มันไม่สนใจผม ยังคงพูดคุยหัวเราะคิกคักกับน้องแพรน้องเจน

"พี่มีตัวใหม่มา มาลองกันสาวๆ"
ไอ้ตั้มชวนสาวๆไปลองตัวใหม่(คาดว่าเป็นยา) ผมส่ายหัวกับความเพลย์บอยของเพื่อน
............................................

ผมกึ่งลากกึ่งแบกน้องอิงอิงขึ้นรถ ก่อนจะขับไปตามที่อยู่คอนโดที่เพื่อนเธอให้มา

"รถเก๋งเหรอนี่"

เสียงเล็กๆพูดขึ้น

"อ้าว นึกว่าเมาหลับไปแล้วเสียอีก"
ผมหันไปพูด

"พอดี..แอร์ที่รถเย็นเลยได้สตินะค่ะ...โอยย ง่วงจางง"
ผมส่ายหัวอมยิ้ม

"เดี๋ยวผมไปส่งคอนโด คุณขึ้นไปเองได้ใช่ไหม"

"ไม่มาด้วยกันเหรอคะ"

สาวเจ้าเอ่ยอย่างเชื้อชวน ผมแทบอยากพาเธอขึ้นคอนโดเดี๋ยวนั้น

"ตืด ตืด ตืด..."

...เฮีย...มึงโทรมาทำไมวะตอนนี้

"เออมีไร"

"ตอนนี้เวลาเท่าไหร่"

"เฮีย...นี้มึงBrother complexรึไง"
ผมกระซิบเบาๆกับโทรศัพท์ พลางมองสาวเจ้าแล้วยิ้มแห้งๆ
อิงอิงยิ้มหวานให้ผม

"ไม่เป็นไรค่ะ อิงอยากมีค่าในสายตาคุณ"
ว่าแล้วก็จูบผม ลิ้นร้อนซุกไซ้ปลุกอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ผมกดวางโทรศัพท์

............................................

"ไม่เอา!"

ผมส่ายหน้า ยืนขึ้น

"เฮียกับป๊าคุยกันแล้ว จะให้สองรับช่วงต่อของเครือฝั่งอุตสาหกรรมการเกษตร เพราะฉะนั้นเวลาช่วงนี้ เฮียจะให้สองไปลองศึกษางานตั้งแต่จากระดับล่างสุด ไปอยู่ในไร่ของลุงชัย เจ้าของไร่และฟาร์มวัวนมในขอนแก่น ในเครือบริษัทเรา"
เฮียก็ยืนขึ้น มีเพียงป๊าที่ยังนั่งอยู่

"ขอนแก่น?! นี้เฮียจะบ้าเรอะ ?! ผมไม่อยากไปที่ทุรกันดาร ผมจะอยู่บ้าน!!"

"สอง.."

"ไม่เอาา ไม่เอาๆๆ ผมพึ่งกลับมาเองนะ ยังไม่รู้จักสังคมที่นี้เลย ส่งผมไปต่างจังหวัดจะสร้างConnection อะไรกับใครได้ละ มีแต่วัวกับข้าวโพดงี้เหรอ"

"Connection จอมปลอมพวกนี้ จะสร้างตอนไหนก็ได้ เฮียพูดจริงๆนะสอง ถ้าอยู่ที่นี้ต่อไปน้องชายเฮียมีหวังเสียคนเเน่"
ผมส่ายหัว ไม่อยากจะเชื่อ ไม่มีใครเชื่อใจผมเลย ผมรู้ว่าไอ้ที่ทำอยู่นี้มันจอมปลอม แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ มีใครจริงจังบ้างหละ ผมดูแลตัวเองได้ ผมรู้ ผมเข้าใจแล้วว่าสังคมของไอ้ตั้มมันเป็นยังไง ผมอยู่กับมันได้

"สอง ลูกฟังป๊านะ เราไม่ได้เลี้ยงลูกมาด้วยสังคมแบบนั้น ครอบครัวเราใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานความจริง สมถะเหมือนที่ตระกูลเราทำมาตลอด  ป๊าคุยกับอาหนึ่งแล้ว เราอยากให้ลูกได้ไปหาประสบการณ์และเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานในส่วนภาคอุตสาหกรรมการเกษตร มากกว่าลอยชายไปอีกเดือนสองเดือนเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆไฮโซ ซึ่งคงไม่ได้อะไรมากนักนอกจากคอนเน็คชั่นจอมปลอม"

ผมนิ่ง สายตายังคงรั้นแต่อ่อนลง เมื่อป๊าพูดขนาดนี้มีหรือผมจะขัดได้

"ป๊ารู้ว่าลูกเข้มแข็งพอ ลูกอยู่ได้ในทุกสังคมที่ลูกต้องการ คิดซะว่าเป็นค่ายเตรียมตัวทำงานเถอะนะ"

"อีกอย่าง ที่ฟาร์มนั้นก็ไม่ได้ทุรกันดารอะไร ถ้าแกเข้มแข็งพออยู่ได้อยู่แล้วน่า"

เฮียพูดแล้วยิ้มให้ผม ผมยกนิ้วกลางไขว้หลัง หน้าบึ้งใส่

"กี่เดือน?!"

"แล้วแต่ลุงชัยจะรายงานว่าผลงานแกเป็นไง อาจจะครึ่งปีก็ยังไม่สาย ไม่ต้องรีบร้อน ยังไงแกก็ได้มาทำงานอยู่แล้วล่ะ"
เฮียพูดพลางยิ้มเล็กๆ ผมยิ้มกลับ ด้วยสายตาอาฆาต ผมเห็นประกายความสนุกแวบๆที่ดวงตาเฮีย

ไอ้พี่บ้า !!


............................................

โอยยย ร้อนชิบหายยยยย ผมเดินกระสับกระส่ายส่งสายตาอาฆาตใส่เฮีย กะว่าจะไม่พูดกับมันสักชั่วโมง
หลังจากออกจากสนามบินผมกับเฮียก็ยืนรอรถคนของลุงชัยมารับอยู่ข้างนอก ที่ต้องออกมาเพราะคนขับรถโทรมาบอกไม่มีที่จอด เขาจะวนมารับอีกที
เมื่อรถกระบะสีแดงเก่าๆคันหนึ่งเลื่อนมา เจ้าของรถออกมาทักทายพี่ชายผม

"ไอ้หนึ่ง เป็นไงบ้างวะมึง"

"เออเรื่อยๆว่ะ กูพาภาระมาฝาก เอ้า สอง แนะนำตัวซะ นี้กฤษณ์ หลานลุงชัย ลุงแกไม่มีลูก ไอ้กฤษณ์นี้แหละจะรับช่วงต่อ .."
ผมทำหน้าบึ้งใส่เฮีย ถอนหายใจ ไม่ยอมถอดแว่นตาดำ

"สอง"

"ฮ่าๆ เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย ขึ้นรถก่อนๆ มาพี่ถือกระเป๋าช่วย ขนอะไรมาเยอะแยะ"
ผมกระชากกระเป๋ากลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ เฮียหนึ่งขมวดคิ้วมองผม

"ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ละน้า เฮียถึงปล่อยไม่ได้สักที"

เฮียพูดเบาๆแต่ตั้งใจให้มันลอยมาถึงผม ผมอารมณ์เสียขึ้นกว่าเก่า

............................................

"จริงๆน้องกูเป็นเด็กดีนะ อาจดื้อๆไปบ้าง กูฝากมึงดูแลด้วยละกัน เรื่องงานในไร่ เรียนรู้ระบบองค์กรย่อย อย่าให้ขาดตกบกพร่องนะเว้ย"
เฮียฝากฝังผมเป็นมั่นเป็นเหมาะ

"เออ ไว้ใจกูได้"

คนที่ชื่อกฤษณ์พูด ผมเบะปากอยู่เบาะหลัง ขนาดแค่รถมึงยังดูแลไม่ได้ จะมาดูแลอะไรกูได้วะ?!!
 รถมึงแอร์เสียหรือไง กระบะแดงเก่าโคตรจะเก่า แอร์ก็ดูเหมือนจะเจ๊ง มึงคิดว่าอากาศที่นี้เย็นเหมือนนิวยอร์กหรือวะ
ผมหน้าแดงด้วยความร้อน เหงื่อไหลจนต้องถอดเเว่นกันแดดเช็ด

"เฮ้ย น้องมึงซึ้งว่ะ"

ซึ้งพ่อง!!

............................................

พอมาถึงไร่ มันใหญ่มาก ผม(แอบ)ตื่นเต้นเล็กน้อย ข้างหน้ามีโซนสำนักงาน ด้านหลังไร่อยู่ไกลๆเป็นโซนที่พัก ซึ่งเราต้องนั่งรถ(กระบะเเดงบุโรทั่ง)กว่าจะไปถึง เฮียพาผมไปทักทายลุงชัยก่อนฝากฝังผมให้ลุงดูแลและประเมิน ลุงชัยดูเป็นคนอารมณ์ดี แกสัญญาว่าจะช่วยดูแลผมและแนะแนวอย่างเข้มงวด

หลังจากเฮียเดินทางกลับ(แน่นอน ผมไม่ได้ไปส่ง)
ผมก็รู้สึกโหวงๆในช่องท้อง เหมือนกับตอนที่ป๊ากับม๊าไปส่งผมที่โรงเรียนมัธยมปลายเป็นครั้งแรก
ผมต้องมาอยู่ที่ห่างไกลแบบนี้ รถก็ไม่มี ...เพื่อนก็ไม่รู้จัก ...
อยู่กับใครก็ไม่รู้ ..ผมจัดของไปพลางน้ำตาซึมเล็กน้อย(ฮ่าๆ ไม่อยากเล่าเลยครับ อาย!!)
แต่คิดไปว่าเราต้องอยู่ได้  เรื่องรถเรื่องการเดินทาง อยู่ไปไม่นานคงรู้จักอะไรๆมากขึ้น

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

ผมเดินไปเปิดประตู เจอคนที่ชื่อกฤษณ์อยู่ตรงหน้า ในมือของเขามีขวดอะไรก็ไม่รู้ ผ้าเย็น พัด

"มีไรครับ"

"ยากันยุง ผ้าเย็น พัด"

เจ้าตัวพูด มองหน้าผม ไอ้ท่าทางร่าเริงสนิทสนมตอนอยู่กับเฮียมันหายไปไหนหมดวะ ไม่ได้ดูใจดีอย่างที่พูดสักนิด!

"เออ ขอบใจ"
ผมพูด หน้ามุ่ย เขาเหมือนตัวแทนพี่ชายกลายๆ ทั้งชีวิตนี้ผมรักพี่ แต่ความรักของพี่บางครั้งมันมากเกินไป จนผมอึดอัดเวลาที่ได้อยู่กับคนที่ดูเหมือนจะเป็นหูเป็นตาแทนเขา
พี่กฤษณ์เดินมาเคาะหัวผม

"ทำหน้าให้มันเอาอ่าวหน่อย ที่นี้ไม่ต้อนรับคุณหนูขี้แยนะ"

"ใครอยากมาละวะ"
ผมพูดใส่หน้า แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่อารมณ์พาไป (โทดทีครับพรี่) ด้วยความกระดากอายจึงรีบปิดประตูใส่หน้าคนตรงหน้า

"กูเอาของใส่ถุงแขวนไว้ตรงประตูนะ"
เสียงตามไล่หลังมา

............................................

"เออ ไอ้เชี่ยตั้ม มึงดูเฮียกูทำดิ แม่ง อยากให้กูเป็นชาวนาชาวไร่ก็ไม่บอก จะส่งกูไปเรียนทำไมวะ"
ผมบ่นกับมันด้วยความน้อยใจ เพื่อนเพียงคนเดียวในไทยของผม(อนาถแท้)

"กูรู้จักบาร์ดังๆที่นั้นน่า อย่าเศร้าไป"

"ไอ้ห่า กูจะออกไปไหนได้หละ อยู่ตรงไหนของเมืองกูยังไม่รู้เลย! นอกจากติดรถไอ้พี่กฤษณ์หรือคนงานไปในเมือง ซึ่งกูก็ต้องไปตอแหลตีสนิทอีก กูไม่อยากทำงั้น"

"เออมึง ทำตัวดีๆไปเดี๋ยวเฮียมึงก็ให้กลับเองแหละ คงไม่นานหรอก เฮียมึงแม่ง เผด็จการสัส"

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

"มากินข้าว!"
เสียงไอ้พี่กฤษณ์แว่วมาจากนอกห้อง

"กูไปหาไรแดกก่อน ไอ้พี่อวตารกูมาเรียกแล้วว่ะ"

ผมเรียกไอ้พี่กฤษณ์ว่า พี่ร่างอวตาร

"เออๆ โชคดีมึง"

............................................

"นี้อะไรอ่ะครับ"

ผมชี้ถามแกงอะไรสักอย่างที่มีสีเขียวเข้มแบบใบไม้ทั้งถ้วย แถมกลิ่นน่าขยะเเขยง

"นี้แกงขี้เหล็ก อร่อยนะสอง ผักขี้เหล็กนี้มีประโยชน์ หลับง่าย ถ่ายคล่อง ฮ่าๆ"
ลุงชัยพูดพลางหัวเราะ ไม่รู้ขำอะไรนักหนา บนโต้ะอาหารมีผม ลุงชัย ไอ้พีกฤษณ์ สาวน้อยวัยเรียน(เธอสวมชุดนักเรียน) พี่คนงานอีกสองสามคน

พี่กฤษณ์ตักไอ้แกงขี้เหล็กใส่จานผม ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง
"อร่อยสอง เชื่อลุง"

กูเชื่อลุง แต่ไม่เชื่อมึง!

แต่ด้วยความเกรงใจ+มารยาทที่กลับคืนมา ผมตักอาหารเข้าปากอย่างกล้าๆกลัวๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนในโต๊ะอาหารได้ไม่น้อย

อืมม...ขม เปรี้ยว ...ทำใจชอบยากแฮะ

ผมคงทำสีหน้าพะอืดพะอม คนอื่นๆถึงหัวเราะเพิ่มอีก

"อย่าแกล้งพี่สองนักสิคะ กินไข่เจียวนี้ก็ได้นะคะ แก้วทำเอง ใส่ไข่มดแดงด้วย พี่กฤษณ์เก็บมาเพื่อพี่สองเลยน้า"

ผมมองสาวน้อยแก้วอย่างมีความหวัง แต่พอได้ยินว่าไอ้พี่กฤษณ์เป็นคนเก็บมา ผมนี้ชักหวั่นๆ

ไอ้ไข่มดแดงนี้มันอร่อยเเฮะ! สรุปอาหารในวันนั้น ผมชอบไข่เจียวไข่มดแดงที่สุด อร่อยครับ คอนเฟิร์มม


"พี่สองทำไมได้มาอยู่นี่คะ"
แก้วถามขึ้นมาระหว่างเราทานอาหารอยู่

"พี่มาฝึกงานน่ะ ช่วยพี่ด้วยละกันนะ"
ผมตอบขำๆ

"ไม่ต้องห่วงครับคุณสอง เราจะช่วยสอนงานให้อย่างดีครับ"
ลุงป่อง พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้น

"ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ครับ ลุง ผมเด็กกว่า ไม่ได้มียศอะไร จะเรียกสอง เรียกไอ้สอง ได้ตามสะดวกครับ"
ผมคุยอย่างเฮฮากับลุงชัย ลุงป่อง ป้าสมบัติ น้องแก้ว ไอ้พี่กฤษณ์ พวกเขาคุยเรื่องในไร่ คุยเรื่องสัพเพเหระ ที่แต่ละคนเจอมาบ้าง โม้ประวัติบ้าง จนน้องแก้วขอตัวไปอาบน้ำนอน ลุงป่องนึกครึ้มใจจึงอาสาเปิดยาดองแมงป่องมาให้พวกเราเสพกัน

"เป๊กๆๆ เอ้า เป๊กๆๆ" ลุงป่องพูดก่อนจะตบมือทำจังหวะกลอง
ลุงชัยหัวเราะลั่นก่อนจะหยิบแก้วไปเป๊ก

"กรึ้บๆๆ เอ้า กรึ้บๆๆ" หลังจากนั้นทุกคนก็เวียนกันคนละเป๊กสองเป๊ก(แก้วเล็กๆ)

ไอ้ยาดองเหล้าขาวนี้มันแรงมากนะ แค่ครึ่งแก้วเล็กๆ ในท้องมันร้อนวูบวาบ แรงแบบไม่ได้รสชาติเหี้ยอะไรเลย

"เดี๋ยวๆ ไอสอง มึงพอเลย มากกว่านี้มึงไม่ไหวล่ะ"

เสียงไอ้พี่กฤษณ์ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ มือผมถือแก้ว

"หยุด"
แก้วโดนดึงออกจากมือไป

"ผมไหววพรี่ จริงๆ"

"ไหวพ่อง มึงคลานขอแก้วกูเนี่ยนะไหว"
เสียงลุงทั้งสองตัวต้นเรื่องหัวเราะแว่วมา

"ลุง! ไอ้หนึ่งมันให้ดูแล ไม่ใช่มอมเหล้า เล่นซะมันหมดสภาพ"
เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากจากลุงยังดังต่อเนื่อง

"มานี้เลยมึง ไป กูพากลับที่พัก"
ผมถูกลากไป ขึ้นรถ

"ไกลชิบหายไร่มึงเนี่ย"
ผมพูดแบบไม่ทันได้คิด (สุราทำให้สติสัมปชัญญะลดลงอย่างมากนะครับ เด็กๆ)

"เนี้ย กูโดนเฉดหัวออกจากบ้าน มาอยู่บ้านนอกคอกนา เพื่อนก็ไม่มี รถก็ไม่มี แอร์แม่งยังมีแค่ในสำนักงาน ยุงก็เยอะ ห้างก็ไม่มี ที่เที่ยวก็ไม่มี แม่ง กูซวยชิบหาย ป๊าม๊าไม่รักกูแล้ววว"
ผมพูดแล้วน้ำตาไหล หน้าเเดงเป็นเด็กๆ

"เดี๋ยวกูก็ได้ทำงานเป็นทาส ทำงานงกๆแล้วก็หลับไป ตื่นมาทำงานอีก จนกว่าครอบครัวจะเชื่อใจกูเหรอว่ากูอยู่ได้ด้วยตัวเอง กูดูอ่อนแอเหรอ ตลอดชีวิตที่ผ่านมากูไม่ได้พิสูจน์รึไงว่ากูอยู่เองได้ ฮึก.."
มือสากๆมายีหัวผมเหมือนผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ
ไม่มีคำพูดใดๆจากคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าผมบ่นอะไรอีกบ้างก่อนจะหลับไป

............................................

"ตื่น"
ผ้าห่มถูกดึงออก ผมพยายามยื้อไว้แต่ไม่สำเร็จ ลืมตาสู้เเสงมาได้ก็เห็นไอ้พี่กฤษณ์อยู่ตรงหน้า

"พี่เข้ามาห้องผมได้ไง?!!"
ผมร้อง พยายามดึงผ้าห่มอยู่

"นี้ห้องกู"

"ผมเข้ามาห้องพี่ได้ไง?!!!"

"มึงขอมาเอง มึงเมามาก ไม่อยากอยู่คนเดียว มึงบอกว่ามึงไม่อยากอ่อนแอ..."

"เอออ เดี๋ยวๆๆ พอแค่นั้นแหละ"

ผมพูด ไม่อยากฟัง ไอ้นิสัยสาธยายชีวิตเวลาเมานี้ผู้ชายร้อยทั้งร้อยเป็นนะคุณ แต่เวลาเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมนี้อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดิน!

"ไปอาบน้ำ กูจะพาไปดูงานในสำนักงานก่อนวันนี้"
ผมอยากม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มต่อแต่ทำไม่ได้ ส้นเท้าของไอ้(พี่)กฤษณ์ มาเขี่ยบนพุงผม

"ลุก ไม่งั้นกูเหยียบไส้แตก"

"เออไอ้สัส"
ผมชูนิ้วกลางก่อนจะงัวเงียลุกไปห้องน้ำ

"มึงไม่ล้างขี้วะ!!"
ผมตะโกนออกมาจากห้องน้ำ

"มึงเข้าทีหลังกดน้ำครั้งเดียว!"
เสียงตะโกนกลับเข้ามา

ไอ้สัส ชีวิตกูทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้?!!!!
แล้วกูต้องอยู่ล้างขี้ให้ไอ้เหี้ยนี้ตลอดไปไหมเนี้ย
เฮีย!! เฮียมึงจะรู้รึเปล่าว่าน้องมึงมาเป็นคนรับใช้เขา ผมคิดแล้วน้ำตาแทบเล็ด

"เงียบไปอย่าแอบร้องนะเว้ย อาบน้ำ! มีน้ำตาให้เห็นพ่อตบหัวทิ่ม!"
เสียงตะโกนออกมาจากด้านนอก(เหมือนรู้ใจ?)
ขนาดร้องไห้กูยังทำไม่ได้ ชีวิตกูทำเวรกรรมอะไรไว้วะ?! ไอ้ชิบหายยยย

#1

จบตอน1 ละจ้า  :hao5: ต้องรีตั้งสองรอบแหน่ะ มันเชื่อมต่อไม่ได้ :katai4:
เป็นยังไงบ้างคะ? ลักษณะนิสัยของสองที่เอาแต่ใจหน่อยๆเหมือนลูกคนเล็กที่ครอบครัวรักมาก
มาตกระกำลำบาก(ตรงไหนวะ) กับเฮียกฤษณ์ที่เข้มซะ(บางทีพี่แกก็จริงจังเกิ้น)
เขาจะสามารถพิชิตใจเฮีย เอ้ยย สามารถปรับตัวอยู่ที่ไร่อย่างมีความสุข ได้เรียนรู้งานใหม่ๆแบบที่เฮียกับป๊าคาดหวังได้หรือไม่
เพื่อนเก่าจากอดีตจะตามมามอมเมาเขาต่อหรือไม่ แวดวงไฮโซจะปล่อยให้เขาเป็นแค่ข่าวซุบซิบหรือตามจิกเขาไหม
และเขาจะได้ล้างขี้อิเฮียไปอีกกี่ตอนกัน ....

ติดตามได้ใน จาก NYC ถึง KK ค่า :really2:


TLC
Anonymous
หัวข้อ: Re: จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่ 2 : 01/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 01-11-2017 09:52:08
ตอนที่ 2 : หน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก

"ไอ้กฤษณ์ กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อยว่ะ"

ไอ้หนึ่ง เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนของผมโทรมาขอร้อง เป็นเรื่องยากที่คนอย่างมันจะขอร้องใครสักคน
ทำเอาลางสังหรณ์ผมเตือนแปลกๆตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกจากโทรศัพท์

"ว่าไงวะ"

"มึงจำน้องกูได้ใช่ไหม สองน่ะ มันกลับจากนิวยอร์กแล้ว"

"เออ?"

ผมจำได้ ไอ้เด็กตัวเล็กๆที่ชอบมาวิ่งเกี่ยวแข้งเกี่ยวขาผมกับมัน กวนตีน แต่พอโดนแกล้งนิดหน่อยก็ขี้แยชิบหาย
พี่มันก็โคตรจะเอาใจ ครอบครัวก็โคตรจะพะเน้าพะนอ มันนะคือคุณหนูจริงๆ ต่างกับพี่ชายมันลิบลับ

"มึงรู้จักไฮโซตั้มใช่ไหม มันเป็นเพื่อนกัน"

"เออ? ...มีอะไรมึงรีบพูดให้ชัดเจน จะเกริ่นเหี้ยไรนักหนา"

ผมเคยเห็นในข่าวซุบซิบบ่อยๆ ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ ไฮโซตั้ม เปลี่ยนสาวควงบ่อยๆทั้งดาราเซเลป แล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ มึงเกริ่นเหี้ยอะไรนักหนา

"น้องกูมาได้วันเดียว มันชวนน้องกูไปปาร์ตี้ น้องกูไปลากสาวขึ้นห้อง ปาปารัสซีถ่ายได้และน้องกูกลายเป็น'หนุ่มปริศนา' มึงก็รู้วงการนี้มันเน่าเฟะ กูอุตส่าห์ประคบประหงมน้องกูมาแต่อ้อนแต่ออด ให้อยู่โรงเรียนดีๆ สภาพเเวดล้อมที่ดี...."

มันพล่ามเรื่องการดูแลน้องชายสุดที่รักมันอีกสามนาทีกว่าๆ ผมถือโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ ถ้ามึงพูดไม่เข้าเรื่องสักทีกูจะวางโทรศัพท์ละนะ จะไปทำงาน..

"นิวยอร์ก มันสภาพแวดล้อมดีตรงไหน เหล้ายาปาร์ตี้ ที่ไหนมันก็มีหมด นั้นเมืองเสื่อมโทรมชัดๆ เผลอๆน้องมึงถูกคนดำจับทำเมียไปแล้ว "

"ไอ้เหี้ย Racist สัส"

"เออ ประเด็นคืออะไรวะ กูขอแค่นี้"

"กูจะฝากให้มึงดูแลน้องกู เอาไปอยู่ที่ไกลๆความเจริญ ห่างจากเพื่อนตัวดีของมันก่อน ให้มันเข้มเเข็งก่อน สัก3-4เดือน หรือมากกว่านั้น ค่อยกลับมาทำงาน"
ผมส่ายหัวกับไอ้นิสัยรักแบบผิดเพี้ยนของไอ้หนึ่ง มึงเห็นน้องมึงเป็นหมอนนุ่นหรือวะ เกิดมาบอบบางและตายห่าไปรึ
คนเราถ้าพยายามอยู่ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่14-15อย่างนั้น แค่นั้นแม่งก็เข้มเเข็งพอล่ะ
ไอ้ห่านี้ทำเหมือนน้องมันเป็นเด็กอมมืออยู่ตลอด น้องมันถึงไม่โตสักที ไอ้ควาย

"น้องมึงอายุเท่าไหร่"

"23"

"ควาย โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงละ จะให้กูดูแลอีก บอกตรงๆนะ วิธีแก้ปัญหามึงนะห่วยแตก"

"เออ มึงจะช่วยหรือไม่ช่วย"

"เออ"

"ห้ามบอกเหตุผลกูให้มันรู้ด้วย กูอยากให้มันศึกษางานที่นั้นเป็นผลพลอยได้"

"สัส เงื่อนไขเยอะนะมึง"

..................................

ในตอนแรกที่ผมได้เจอเจ้าเด็กนั้น มันดูเอาแต่ใจชิบหาย เห็นได้ชัดว่าถูกบังคับมา ทำเอาผมอดขำไม่ได้
พอมาอยู่ไร่ เข้าห้องพัก ผมเลยไปแซวๆมันสักหน่อยดูสิว่ายังขี้แยเหมือนเดิมหรือเปล่า
มันโกรธมาก แสดงว่าจริง ! ซึ่งยิ้งทำให้ผมตลกมากขึ้นไปอีก

หลังจากทานอาหารเย็นด้วยกัน มันก็ดูผ่อนคลายขึ้น ยิ้ม หัวเราะ ร่าเริงกับลุงๆป้าๆและน้องสาวผม ทำให้ผมมีเวลามาสังเกตมันอย่างละเอียดอีกครั้ง หมอนี้เอาใจใส่ผู้คนดี ลักษณะภายนอกดูเป็นพวกหัวสูง แต่จริงๆนอบน้อมถ่อมตนเลยทีเดียว ไม่ค่อยเหมือนไอ้พวกไฮโซที่ผมเคยรู้จักนัก คงจริงอย่างไอ้หนึ่งมันพูด ครอบครัวมันประคบประหงมมาดีขนาดนั้น

พอทานอาหารเย็นเสร็จลุงป่องเปิดยาดองมาให้ทุกคนชิม(?) ท่าทางอยากจะรับเด็กใหม่ ผมก็เออออห่อหมกไปตามเรื่อง คอยระมัดระวังไม่ให้มันดื่มมากไป แต่แม้จะดื่มไม่มาก ยาดองของลุงเป็นของแรง แอลกอฮอล์มากกว่า60%เลยละมั้ง  ไอ้เจ้าสองเริ่มเมาโวยวาย ผมเลยพากลับที่พักก่อน

ระหว่างเดินทางกลับ มันร้องห่มร้องไห้เล่าประวัติชีวิตให้ผมฟัง บอกว่ามันรักครอบครัว เเต่ครอบครัวไม่เชื่อใจมัน คิดว่ามันโง่เหรอที่ส่งมันมาที่ไกลๆแบบนี้ ไร่แถวกรุงเทพก็มี แล้วก็เรื่องเพื่อน มันก็ไม่อยากคบอะไร แต่ไม่มีใครที่มันรู้จักอีก ที่นี้ไม่มีที่ท่องเที่ยว ไม่มีห้าง และอีกมากมาย ผมไม่พูดอะไร ไอ้พูดมากๆนะไม่ใช่นิสัยผมอย่างหนึ่ง และอีกอย่างคือ พูดไปมันคงไม่รู้เรื่อง เมาขนาดนั้น

โดยไม่รู้สึกตัว มือผมก็ไปยีเล่นบนหัวมัน ผมจอดรถเพื่อที่จะฟังมันเล่าให้จบ มันก็เอาแต่งอเเงว่าไม่อยากอยู่คนเดียว
ผมจึงพากลับมาที่พักผมแทน เพราะเป็นห่วงว่าตื่นขึ้นมาเจออาการแฮงค์จากเหล้าดีกรีแรงแล้วมันจะไปไม่ไหว

มันอ้วก เพ้อหน่อยๆ ผมคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ทำตัวอย่างกับพี่เลี้ยงเด็กเลยกู
รู้งี้แล้วคราวหลังจะห้ามสุดตัวไม่ให้มันแดกอะไรเลย กินนมปั่นจากไร่ก็พอแล้วมึงน่ะ ผมคิดแล้วส่ายหัว

"พี่กฤษณ์ ทำไรอะ"

"กูจะเปลี่ยนเสื้อให้ ยกแขนขึ้น"

"เปลี่ยนทำไม ไม่เปลี่ยน"

"มึงอ้วก อย่าพูดมาก ยกเเขนขึ้น"
ผมพูดแล้วดึงแขนมันขึ้น

"พี่กฤษณ์ มึงแม่งใจร้าย ya 're so mean, ya know ? I really hate ya guy .."
 
ผมปล่อยให้มันพูด ดึงกางเกงออกจะเปลี่ยนให้

"...pervert"

"pervert พ่อง จะมีใครดีเท่ากูอีกดูแลมึงขนาดนี้ ไปบอกพี่มึงโอนตังค์มาให้กูเลยนะ กูดูแลดียิ่งกว่าเมียอีกเนี่ย"

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ไปอาบน้ำแล้วมานอน
คืนเเรกที่มันมาก็พาเรื่องยุ่งๆมาให้ซะแล้ว กูจะดูแลมึงได้จริงๆไหมเนี่ย

..................................

"ตรงนี้คืออาหารสำนักงาน ในไร่ของเรามีส่วนที่เป็นภาคการผลิตกับภาคการควบคุม อาคารสำนักงานประกอบด้วยฝ่ายต่างๆ อำนวยการ การตลาด บัญชี.."
ผมพูดไป ลอบมองสีหน้าคนตรงหน้าไปด้วย แววตาตื่นเต้นของเจ้านี้ทำให้มันยิ่งดูเหมือนเด็กเล็กๆ

"มึงอยู่ฝ่ายไหน กูเห็นมึงถือจอบเสียมเมื่อวาน ฝ่ายการผลิตเหรอวะ"

"จริงๆกูอยู่ฝ่ายบริหาร นั่นห้องทำงาน ไปเดี๋ยวพาไปดู"

"แล้วทำไมมึงต้องมาทำงานเอง งกๆ ไม่ให้ลูกน้องคนงานทำให้วะ ไม่เคยได้ยินเหรอ ไอ้ให้เงินทำงาน ให้คนทำงาน"

"กูไปเพื่อที่จะได้เข้าใจปัญหา มันมีบางเวลาที่เราต้องลงเเรง ทุกอย่างมันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเหมือนอย่างพวกคำคมเท่ๆ หรือไอ้พวกนักพูดทำหนังสือสอนหาเงิน ทั้งๆที่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของมัน ก็คือหนังสือนั่นแหละ
กูลงไปทำงานเอง ได้เห็นบางสิ่งที่มองไม่เห็นเวลานั่งในห้องทำงาน"

"มึงเห็นอะไรวะ"

"นั่นเป็นสิ่งที่มึงต้องเรียนรู้"

ผมพูดทำเป็นปริศนาหยอกมันเล่น มันทำหน้ามุ่ย

"คร้าบอาจ้านน ให้ศิษย์ทำไรต่อคร้าบ"

"กูให้เวลา 1 วัน ศึกษางานในนี้อย่างคร่าวๆ ว่ามีรูปแบบยังไง มึงสงสัยเรื่องอะไรถามได้เลย พี่ๆเขายินดีที่จะตอบ หรือมึงจะแกร่วอยู่ในห้องทำงานกู ศึกษางานกูก็ได้ วันนี้เป็นวันเรียนรู้ด้วยตัวเอง"

ผมพูดไปอย่างนั้นเพราะวันนี้ผมมีงานเยอะจริงๆ ไม่มีเวลาดูแลมันทั้งวัน ให้มันวิ่งเล่นในนี้ยังได้มองเห็น มันตาวาว

"โอเค้ กูไปละน้า"

"เออๆ ตั้งใจล่ะ"

..................................

วันนี้ไอ้สองมันกระตือรือร้นได้ใจผมดี มันเเวบไปแวบมาระหว่างห้องทำงานผมกับงานในฝ่ายอื่นๆ ถามนู้นถามนี้กับพนักงาน แล้วก็แวบมาดูผมอีก แต่ไม่ถามอะไรผมสักคำ ช่วงบ่ายสาม ผมออกไปดูงานในไร่ กลับมาถึงสำนักงานก็ไม่เห็นเจ้าตัวดีวิ่งวุ่นซะเเล้ว แต่พอเปิดเข้าห้องทำงานถึงได้พบ

เจ้าสองนอนหลับอยู่บนโซฟารับแขกในห้องผม มันคงเหนื่อยกับการวุ่นไปศึกษานู้นนี้ทุกแผนก
ผมมีเวลาได้พิจารณาใบหน้ามันตอนหลับอย่างไม่ตั้งใจ มันนี้อย่างกับเจ้าชายน้อยๆเลยแฮะ...

น่าเอ็นดู

"ตื่น"
ผมเอามือไปยีหัวมันอีกแล้ว

"มึงกลับมาแล้วหรอ อ๊ะ กูไม่ได้ตั้งใจหลับ"
มันรีบแก้ตัวถึงพฤติกรรมที่ดูเกียจคร้าน

"ไม่เป็นไรๆ วันนี้มึงทำได้ดีมาก"
ผมพูดยิ้มๆ มันเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างให้ผม

"ฮ่าๆๆ กูเป็นใครล่ะ จะมีใครเก่งเท่ากูอีกในโลกนี้ โอ้ยย"
ผมเบิดกะโหลกมันไปทีนึง

"กูจะพาไปกินข้าว ในห้าง กูว่ามึงควรซื้ออะไรด้วย"
มันตาวาวเป็นเด็กเล็กๆ

..................................

"โอยยย มึงซ่อมแอร์รถมึงได้ไหม กูขอร้อง"
ไอ้เด็กนี้มันโวยวาย เหงื่อไหลอย่างกับน้ำ กว่าจะเดินทางเข้าเมืองต้องใช้เวลานาน
ผมนำคุณนายแดงคันเก่งของผมพามันเข้าไปในเมือง

"เดี๋ยวกูไปหาน้ำยาแอร์มาใส่ คุณนายแดงแค่ใบพัดอ่อนแรงไม่ต้องซ่อม"

"นั้นน่ะเขาเรียกซ่อมโว้ยย มึงอยู่มาได้ไงนี่ โอยยยคุณนายแดงง มึงเปิดกระจกให้กูหน่อย"

"มึงเอามือไขเอาเลย ระบบมือ"

"ไอ้สัส ไอ้เชี่ยกฤษณ์"
มันเริ่มบ่นโวยวายมาถึงผม ผมขำ

..................................

"อิอิ เย็นสบายจัง มึง มีชีสเค้กขายด้วย"

"มึงคิดว่าที่นี้บ้านนอกขนาดไหนกันวะ"

"กูไม่รู้นี่"

"จะกินไหมชีสเค้ก"
ผมถามพลางมองไปที่ชีสเค้กราคาสูงลิ่ว ไอ้นมจากฮอกไกโดนี่มันอร่อยขนาดนั้นเชียวรึ

"กินก็ได้"
แหม มึงอย่ามาตอบเหมือนจำใจต้องแดกอย่างนั้น! ตามึงนี้แทบจะเข้าไปสิงในเค้กละ ไอ้ห่า

"มึงกินปะ"

"กูไม่ชอบของหวาน"

"เออดี จะได้ไม่มีใครแย่งแดก"

มึงถามเพื่อการนี้เนี่ยนะ ไอ้สัสสอง

ผมนั่งมองมันละเมียดละไมชิ้นเค้ก 120 บาท ก้อนเล็กๆ ท่าทางมีความสุขจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ตอนอยู่บ้านกูหน้าแม่งเหมือนคนถูกบังคับตลอดเวลา พออยู่กับชีสเค้กนี้กระดี้กระด้าเลยนะมึง

"แหนะ มีมอง มีมอง อยากแดกบอกมา อ้ำๆ กินปะ"

ผมส่ายหัว มันมีกันอยู่แค่นี้ ไม่มองมึงจะให้มองหมาตัวไหนละวะ

..................................

"กูนึกว่ามึงจะพากูเข้าร้านอาหารรร"

"ก็นี้ไงร้านอาหาร ข้างๆนี้มีของเล่นด้วยนะ"
ผมพูดเพื่อหลอกล่อให้มันมากิน Food zone

"กินเสร็จแล้วไปเล่นกันป่าวมึง กูเซียนเกมพวกนี้นะกูบอกไว้เลย"
ไอ้เด็กสองติดกับผมอย่างง่ายๆ ผมหัวเราะ

"ได้ ทำให้ได้อย่างคุยละกัน"

หลังจากทานอาหารธรรมดาๆ แต่อร่อย(ผมชอบ) เราก็ไปเล่นเกมกัน
มันเก่งอย่างที่มันว่าจริงๆ และภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างมาก ผมเหลือบไปเห็น ไอ้เครื่องเล่นวัดพลังหมัด คิดในใจว่าคราวนี้แหละกูต้องชนะ กูแข็งแรงกว่า ลูกๆกล้ามเนื้อจากการทำงานหนักของพ่อ จงแสดงพลังซะ

" 6432! "
ไอ้สองพูดด้วยความภูมิใจ ไอ้เหี้ย เยอะชิบหาย กูจะยอมแพ้ไม่ได้ อายเด็กมันตาย
"มึงจับตาดูให้ดีๆนะไอ้สอง ลูกพี่มึงนี้จะสอนมึงเอง"

ปัก!!!

"8945!"
ผมหันไปยิ้มอย่างมีมาด แต่หน้าไอ้สองไม่ได้ดูดีใจด้วย

"ไอ้พี่กฤษณ์! มึง ระวัง!"

ผลั่กกก!!!
ไอ้หมัดเฮงซวยเด้งกลับอัดหน้าผม เรียกเสัยงหัวเราะจากเด็กๆในบริเวณรอบข้างรวมถึงไอ้เชี่ยสอง ที่หัวเราะดังกว่าใครเพื่อน

"ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้พี่กฤษณ์ มึงแม่ง ซูเปอร์เด๋ออะ หน้าแม่วอย่างเหวอ ฮ่าๆๆๆ"

มันหัวเราะท้องขัดท้องแข็ง ผมจับหัวมันมาซุกใต้รักแร้ แล้วล็อกคอ

"ไอ้สัสส อย่าได้ใจไปๆ"

"โอยย มึงจะฆ่ากูเหรอ ไอ้เหี้ยซกมก!"

..................................

กว่าจะเดินทางกลับไร่ก็มืดเเล้ว ผมไปส่งมันที่พัก

"ทายากันยุงด้วยนะสัส ไข้เลือดออกแดกมา ภาระกูต้องพาไปโรงบาล"
ผมพูดเตือนครั้งสุดท้ายก่อนจาก

"เออ ไอ้พี่กฤษณ์"

"ว่าไงวะ"

"วันนี้กูขอบใจมาก"
มันรีบพูดเร็วๆเหมือนเขิน ผมยีหัวมันไปทีนึง ยิ้มอย่างเอ็นดู

"วันนี้มึงทำดีไง สมควรได้รับรางวัล ทั้งตั้งใจ มุ่งมั่น กูเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ คนที่ดูไม่เอาไหนอย่างมึงทำได้ขนาดนี้ กูดีใจแล้ว"

ผมพูดก่อนจะหัวเราะ

มันชูนิ้วกลางใส่ผมก่อนจะปิดประตูห้อง

..................................

#2

จบไปแล้วจ้าสำหรับตอนสอง เฮียหนึ่งแอบมีเตี๊ยมกับเฮียกฤษณ์เพราะหวงน้องชายมากเกินไป แต่ดูท่าจะฝากฝังผิดคน เพราะไอ้คนรับฝากไม่ได้ดูแลประคบประหงมอะไรนัก เลี้ยงแบบปล่อย(?!) ในด้านความสัมพันธ์ยังค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เฮียกฤษณ์แกก็เอ็นดูน้องไปตามเรื่อง เพราะรู้จักกันมาก่อนส่วนหนึ่งบวกกับสองมันเป็นคนขยัน ตั้งใจจนเข้าตาแกนั่นแหละ :oo1:
มุมมองการเล่าเรื่องสลับกันไปในแต่ละตอนนะคะ จะพยายามเก็บรายละเอียดในส่วนอารมณ์ของแต่ละคนให้มากขึ้น พอคิดในมุมมองตัวละครจริงๆแล้ว แทบไม่มีเวลาไหนที่พวกเขาพิจารณาใบหน้ากันอย่างจริงจัง ในชีวิตจริง คนลักษณะอย่างสองคนนี้ก็ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งวิเคราะห์รูปจมูกหรือปากด้วย เรารู้สึกสนุกดีที่อิมเมจของตัวละครยังคงเป็นปริศนาค่ะ :bye2:

Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 01-11-2017 21:22:51
ตอนที่ 3 : ลองลงแรง

พอได้ลองไปศึกษางานในส่วนบริหาร นี้ขนาดเป็นงานในไร่ ไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ แต่ก็มีระบบที่เป็นระเบียบ การมีแบบแผนขององค์กรทำให้พนักงานทำงานง่ายขึ้นมาก ผมประทับใจในการจัดการและบริหารของทั้งลุงชัยและพี่กฤษณ์มาก ผมได้สังเกตปัญหาที่เข้ามาในวันนั้นและการจัดการปัญหาของพี่กฤษณ์ เวลาอยู่ด้วยกันทั่วๆไปเขาก็ดูเป็นคนมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว สิ่งที่ได้มาเห็นยิ่งทำให้ผมแน่ใจมากขึ้นอีก

วันนั้นมีปัญหาในการขนส่งสินค้าไปแปรรูป แต่เขาก็จัดการมันได้อย่างไม่ลำบากนัก
เขารู้ว่าเวลาไหนควรประนีประนอมและเวลาไหนควรเด็ดขาด
ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากเรื่อง'ช่วงเวลา'ในการตัดสินใจ เหล่านี้

ด้วยเหตุนี้ แม้ผมจะอยากยุ่งวุ่นวายกับเขามากแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่สังเกตการณ์เพราะไม่อยากรบกวนเขา

หลังจากนั้น ตอนที่เขามาชมผม แม้จะเป็นแค่คำชมปนแซวก็เถอะ
แต่ผมมีความสุขมาก เพราะเเววตาเเละน้ำเสียงของเขา ดวงตาสีดำที่ทั้งจริงจังและหยอกล้อ
น้ำเสียงที่มั่นคง อบอุ่น แม้สิ่งที่พูดหลายๆครั้งจะไม่ค่อยน่าฟังนัก
เขาเป็นคนประเภทที่คุณมองก็รู้ว่าคนแบบนี้จะไม่โกหก ซึ่งว่าไปแล้วก็น่าตลกที่เราเข้ากันได้ดี
เพราะผมเป็นพวกชอบโกหก ในสังคมที่ผมจากมา การพูดเรื่องจริงมีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น

...................................

หลังจากได้กินชีสเค้ก ชีวิตก็ดูเหมือนจะง่ายดายขึ้น(มองโลกในแง่ดีจังกู ฮ่าๆ)
ทีนี้ก็มีของกินของใช้หลายอย่างเหมือนกัน ในเมืองขอนแก่นมีที่น่ามาตั้งเยอะ(เห็นตอนนั่งรถมาแวบๆ)
คงมีแต่เขตแถวบ้านไอ้พี่กฤษณ์นี้หล่ะ ที่อะไรๆก็ดูทุรกันดารไปหมด ผมคิดอย่างขำๆ ไม่เซ็งเท่าวันแรกๆที่มา

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

นี้ก็ดึกแล้วนะ ใครมาเคาะประตูวะ

"กูเอง ลุงชัยให้เอานมร้อนมาฝาก แกกลัวมึงหิวตอนดึก"

"ว๊ากกก!!! มึงเป็นใคร!!"
ผมปิดประตูทันทีด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่ไม่คุ้นเคยแถมยังแต่งตัวเหมือนโจรที่เคยเห็นในโทรทัศน์ตอนเด็กๆ

"ไอ้สัสสอง กูกฤษณ์! จะแดกไม่แดกนม!"
ผมเปิดประตู เจอหน้าไอ้พี่กฤษณ์ เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ที่เอวผูกผ้าคาดๆลายหมากรุก ที่หน้ากับลำคอทาแป้งขาว

"ไอ้พี่กฤษณ์!! มึงแต่งตัวเหี้ยอะไรของมึงเนี้ย?! แล้วหน้าเนี่ยจะไปเล่นงิ้วที่ไหน กูกลัว!!"

"นี้มันแป้งเย็นสัสสส กูร้อน เอ้า นม"

ผมขอบใจพี่กฤษณ์ และฝากขอบคุณไปถึงลุงชัยด้วย เขาช่างเอาใจใส่จริงๆ รู้ว่าผมทานข้าวเย็นมาเร็ว ก็อาจจะหิวยามดึกได้ แถมที่พักแต่ละหลังก็อยู่ไกลกันพอสมควร ในตอนกลางคืนหากไม่มีรถจะเดินทางไปไหนก็ลำบาก

...................................

"วันนี้กูจะพามึงไปศึกษาดูงานฝั่งผลิต งานในไร่"

"กูพร้อมเเล้ว!"

ผมพูด ก้าวออกจากห้องอย่างเท่ประหนึ่งนายแบบ สวมเเว่นตาดำสุดหรู ในมือกลางร่ม มีผ้าคลุมไหล่ปราด้าทับเสื้อตาข่ายระบายความร้อน กางเกงขาเดฟ รองเท้าบูตฤดูฝน

"พลั่ก!!"

"มึงตบหัวกูทำไม?!!!"

"มึงคิดว่านี้เป็นละครซิทคอมรึไงห๊ะ ไปแต่งตัวมาดีๆ เสื้อแขนยาว! กางเกงวอร์ม ขาสั้นหรือยาวก็ได้ ไป!"

"กูมีผ้าคลุม!"

"มึงต้องผูกรอบคอมึงมั้งกว่าจะลงมือทำงานได้ กูให้มึงไปลงมือปลูกข้าวโพด! ไม่ใช่ไปเดินแบบ! ไอ้สัส!!"

"ฮั่นแน่! มึงยอมรับว่ากูหล่อเหมือนนายแบบใช่มะ"

ผมหัวเราะเอิ้กอ้ากที่กวนตีนมันสำเร็จก่อนจะเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อ(แต่ไม่เปลี่ยนกางเกง คือ ผมว่ามันก็เหมือนๆกันอ่ะนะ)

...................................

ในไร่ร้อนมาก! ร้อนเหมือนอยู่ในนรก ไร่ข้าวโพดที่แม้จะสูงท่วมหัว แต่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น ไม่ได้มีร่มเงามากพอกันความร้อน

"อธิบายงานก่อนนะ แปลงนี้จะเป็นแปลงที่ใช้แรงคนในการเก็บ ไร่หนึ่งจะมีต้นข้าวโพดประมาณ 8000-9000ต้น
อย่างที่มึงเห็น ที่นี้เรามีพื้นที่หลายไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เราจะใช้เครื่องปลิดข้าวโพดในการเก็บ"

"ทำไมมึงไม่ใช่เครื่องจักรให้หมดเลยวะ"

"เครื่องจักรมันก็มีข้อเสีย มันทำงานได้ไม่ละเอียดละออ มันคัดเเยกฝักที่มีเชื้อรากับไม่มีไม่ได้ มันเก็บเอาไปรวมกันหมด มึงรู้ไหมโรคในพืชแต่ละฝักเนี่ยมันติดต่อกันได้ วันดีคืนดีเกิดซวย ข้าวโพดขึ้นราต่อกันไปหลายร้อย ก็จะเสียหายหนัก แปลงที่ใช้เเรงงานคนเก็บโดยเฉพาะ จึงเป็นแปลงที่ขึ้นชื่อว่าข้าวโพดเกรด A ของที่นี้ เพราะเป็นสินค้าคุณภาพเยี่ยมตั้งแต่สายพันธุ์ รวมไปถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว"

"โห ละเอียดละออเหลือเกิน ...แล้วกูต้องทำไงบ้างเนี่ย.."

หลังจากนั้นพี่กฤษณ์ก็แนะนำพนักงานให้ผมรู้จัก 3 คน ลุงหมาย,ลุงอ่ำ,ป้าน้อย ทุกคนดูใจดีเเละกระตือรือร้นอยากสอนผม ผมเองก็อยากเรียนเหมือนกัน

"ใช้ไม้แหลมๆแทงไปตรงปลายฝักอย่างนี้นะคะคุณสอง ...บิดนิดหน่อย อย่าให้โดนเนื้อ หักออกมาค่ะ"

"เสร็จแล้วปลอกเปลือกนะครับ เเล้วเอามาวางตรงนี้ เดี๋ยวเราจะช่วยกันแยกอีกที"

ผมพยายามทำอย่างตั้งอกตั้งใจ...ในที่สุดก็ทำได้!!

"มึงง!! กูเก็บข้าวโพด!!"
ผมตะโกนบอกไอ้พี่กฤษณ์ที่ก้มๆเงยๆอยู่เเถวรากข้าวโพดอยู่ มันหันมายิ้มให้

"เออ กูเห็นแล้ว ใช้ได้เหมือนกันนี่เรา"

ผมหันกลับมายิ้มแป้นให้คุณลุงคุณป้า

"ขอบคุณนะครับ! ผมจะช่วยทำต่อจากนี้เอง!"

จากนั้นผมก็เริ่มเก็บฝักข้าวโพดอย่างขมักเขม้น โดยมีลุงอ่ำคอยดูอยู่ใกล้ๆ(เก็บต้นถัดไป)

"เก็บฝักข้าวโพดสนุกไหมสอง"

"ก็ใช้ได้ครับ"
ผมตอบ ยังขมักเขม้นกับการเล็งยอดฝักที่จะเเทงอยู่

"ลุงก็อยากมาเก็บตลอดเหมือนกันนะ คุณกฤษณ์ คุณชัยเขาให้เงินดี"

"อ้าว แล้วลุงไม่ได้มาเก็บตลอดเหรอครับ"

" ไม่หรอก ข้าวโพดก็เหมือนพืชอื่นๆ มีฤดูเก็บเกี่ยวของมัน แต่ข้าวโพดนี้พิเศษหน่อย จะปลูกสลับกันก็ใช่ว่าจะเก็บได้ทุกฤดู...มีแค่เฉพาะในฤดูร้อนและฤดูหนาวจัดเท่านั้นที่ผลผลิตจะดีที่สุด เพราะข้าวโพดมันไม่ต้องการความชื้น..ปลายฝนต้นหนาวก็ไม่ใช่ฤดูที่ดีที่สุด.."

"งั้นก็เหนื่อยแย่สิครับลุง..ฤดูที่ทรหดเท่านั้นถึงจะดีที่สุดเรอะ เอาแต่ใจตัวเองชะมัด"

ผมพูดแล้วคิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ ฤดูที่ทรหดเท่านั้น ผลผลิตจึงจะดีที่สุด..

ผมเก็บฝักข้าวโพดไป คุยกับลุงๆและป้าไป เพลินดีเหมือนกัน

ลุงอ่ำเล่าให้ฟังว่าลูกสาวคนโตแกไปอยู่กรุงเทพ ทำงานเป็นสาวโรงงาน กลับมาบ้านครั้งหนึ่งหอบข้าวของเสื้อผ้ามาฝากเยอะเเยะ ดูแกจะภูมิใจในลูกสาวคนนี้ของแกมาก สาวโรงงานในกรุงเทพ คนในชนชั้นแรงงานที่ไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำ กลับเป็นฮีโร่สาวของพ่อ ของครอบครัว และน้องๆของเธอ..

ส่วนลุงหมายนั้นเป็นพ่อหม้าย เมียตาย เลี้ยงลูกมาด้วยตัวคนเดียว งานหลักคือเก็บขยะของเทศบาล งานรองคือมาเก็บข้าวโพดตามฤดูกาล ลูกๆกำลังเลี้ยงชั้นประถมโรงเรียนในเมือง แกอวดรูปลูกสาวสองคนให้ดู น่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่

 และป้าน้อย อดีตสาวเชียร์เบียร์จากพัทยา กลับขอนแก่นเพราะแก่เต็มที รับงานต่อไปไหว กลับมาอยู่ขอนแก่นกับลูกที่เคยเอามาฝากให้แม่แกเลี้ยง แกเล่าว่าแกเคยมีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า นอนอยู่ในคฤหาสน์ของนายฝรั่งเป็นวันๆ กินของที่ดีที่สุด ใส่ชุดที่สวยที่สุด แต่ไม่มีวันไหนเลย ที่จะมีความสุขเท่าวันที่กลับบ้าน แล้วเจอลูกชายเรียกว่า 'แม่'

ผมก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวของตัวเองกับคุณลุงคุณป้าเหมือนกัน ผมเล่าว่าผมไปเรียนต่างประเทศแต่ยังเล็ก(ป้าน้อยชมว่ามิน่าผมผิวดี!) วัฒนธรรมหรือธรรมเนียมบางอย่างของคนไทยอาจไม่ค่อยถนัด สมัยอยู่นี้ก็เรียนนานาชาติ ผมพูดไทยชัดเพราะเป็นเด็กฉลาด(ลุงๆป้าๆเห็นด้วย!) ผมเคยมีเพื่อนมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็หายไป คนที่คบกันอยู่ก็ไม่รู้ว่าเพื่อผลประโยชน์หรือเปล่า ผมใช้ชีวิตแบบไฮโซมาแต่เด็ก แต่ไม่มีวันไหนเลยที่จะมีความสุขเท่าวันที่กลับบ้าน....แล้วเจอลูกชายเรียกว่า 'แม่'

"ผลั่ก!!"

"ไอ้สัส! มึงก้อปเรื่องป้าน้อยนี้หว่า!! กูรึอุตส่าห์ตั้งใจฟัง"

ไอ้พี่กฤษณ์เดินมาตบหัวผม(จบค่ายนรกในไร่นี้แล้วกูคงต้องขอตังค์เฮียไป MRI สมองสักหน่อย โดนมึงตบทั้งวัน สัส!)

"มึงมาตอนไหนอะ"

"มาตอนลุงหมายโว้ย ไปๆ พักกินข้าว พักก่อนนะครับทุกคน"

ทุกคนตกลงและหัวเราะครื้นเครงกันใหญ่ พวกเราพักทานข้าวกล่องใต้ต้นไม้ หลังทานเสร็จไอ้พี่กฤษณ์ก็สะกิดผมก่อนจะพูดว่า

"มึงมานี่ มีอะไรจะให้ดู"

ผมเกินตามไปด้วยความสงสัยปนระเเวง(มึงเกริ่นเรื่องอะไรมาไม่เคยดีต่อกูสักอย่าง!)
เมื่อเดินไปถึงผมก็ต้องตกตะลึง

ทุ่งดอกดาวเรืองขนาดใหญ่ ดอกสีเหลืองสดมีกลีบสลับซับซ้อน กับใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้าง

"ตะลึงอ่ะดิ มึงดูหน้ากูประกอบกับฉากไว้นะ เหมือนในโปสเตอร์หนังไหม"

"เหมือนโปสเตอร์งานแสดงหมอลำค่ะคุณกฤษณ์ เขาชอบใช่ดอกดาวเรืองเป็นฉากหลัง"
ป้าน้อยที่เดินตามมาตอบ

"ป้า!!"

ผมอมยิ้ม ผมชอบงานแสดงหมอลำนะ ดนตรีสนุกดีออก ผมเคยฟังตอนเขามาแสดงในงานศิลปะหัตถกรรม
สมัยก่อนตอนไปเที่ยวกับเพื่อนก็ได้ยินบ่อยๆ

"กูชอบนะ"
ผมพูด และไอ้พี่กฤษณ์เหมือนจะสะดุดหัวทิ่ม ซึ่งน่าขันสำหรับคนอายุเเละขนาดตัวเท่านี้

"ว่าแต่ มึงจะให้กูดูแค่นี้?! ไม่เอาน่าจารย์ อย่างมึงไม่น่าแค่อยากโชว์ฉากสวยๆใช่มะ"

"เออฉลาดเหมือนกันนะ ต้นดาวเรืองสายพันธุ์ Tagetes erecta เนี่ย รากมันมีสาร α-terthienyl ช่วยลดจำนวนไส้เดือนฝอยได้ กูวางแผนจะปลูกมันแทรกๆในแปลงข้าวโพดอยู่ แต่ขอลองดูก่อน"
"มึงก็จะได้ลดพวกการใช้ยากำจัดศัตรูพืชลงใช่ปะ"

มันพยักหน้า ท่าทางอยากอวดเต็มที่...นี้ถ้ากางเกงขาเดฟไม่รัดไข่ กูโดดเตะเต็มที่!

"มึงมันเก่งงง"

มันโค้งนิดๆก่อนจะหันไปคุยกับป้าน้อย

"สอง มึงจะอยู่เก็บข้าวโพดต่อไหม กูจะไปจัดการงานในสำนักงานล่ะ"

"อยู่ๆ กูชอบ"

ผมบอก มันพยักหน้ารับ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้ผมได้ชื่นชมกับทัศนียภาพอันงดงาม แสงแดดจัด สายลมร้อน
เหงื่อที่ไหลเหนอะหนะตัว ผมเคยอยู่แต่ในห้องแอร์ อยู่แต่ในที่ที่สบาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมจะสบายใจจริงๆ นอกจากในบ้าน ...แต่ครั้งนี้มีแล้ว

...................................

"สอง ถ้าเหนื่อยไม่ไหวก็พักก่อนนะลูก"
ป้าน้อยพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"สองยังไหวครับ เป็นคนเหงื่อออกเยอะอ่ะป้า ไม่ค่อยได้ทำงานยังงี้"

"เหรอลูก อย่าฝืนนะ"

"สบายใจได้ป้า"
ผมเงยหน้าเงยตา(จะบอกก้มหน้าก้มตาก็ไม่ได้) แทงยอดฝักต่อไป ยิ่งทำไป ดวงตาเหมือนจะร้อนผ่าวๆ ผมปวดหัวตุบๆ เริ่มรู้สึกเบลอๆ

"คุณสอง?! คุณสอง?!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!"

...................................

ผมลืมตามา รู้สึกเย็นๆทั้งตัว มีถุงน้ำแข็งวางอยู่บนหัวผม ตรงรักแร้ ขาหนีบ กูกลายเป็นประติมากรรมอะไรเนี่ย

"พี่กฤษณ์ พี่สองตื่นแล้วค่า!!" เสียงเจื้อยแจ้วของน้องแก้วดังไปพร้อมกับเธอที่วิ่งออกไปเรียกผู้เป็นพี่
แต่คนที่แห่เข้ามาไม่ได้มีแค่พี่กฤษณ์ มีทั้งลุงชัย ลุงป่อง ป้าน้อย ลุงอ่ำ ลุงหมาย

"คุณสองเป็นยังไงบ้างคะ โอย หัวใจอิน้อยจะตาย"

"ไหวนะลูก ไหวๆ" ลุงป่องยกผ้าคาดเอวมาพัดๆให้ผม

"เอ็งพาน้องไปทำอะไร เจ้ากฤษณ์นี้ อ้าว! ไปไหนแล้ว?!" ลุงชัยพูดแล้วหันไปหาพี่กฤษณ์ เขาเข้ามาดูว่าผมปลอดภัยแล้วจึงออกไป เขาไม่ใช่คนที่ถนัดเรื่องพะเน้าพะนอ ผมเองก็ไม่ได้ต้องการ..

แต่อย่างน้อย มึงมาลูบหัวกูหน่อยก็ได้ไหมวะ?! ทุกคนเค้าเป็นห่วงกูเนี้ย
ผมคิดอย่างน้อยใจเล็กๆ ก่อนจะหันมาใส่ใจเรื่องตรงหน้า

"ขอบคุณนะครับทุกคน สองไม่เป็นไรแล้ว คงเป็นลมแดดเฉยๆ ดีนะเนี่ยไม่ชัก"
ผมหัวเราะให้ทุกคนใจชื้นขึ้น ซึ่งก็ดูจะได้ผล น้องแก้วเดินมาช่วยหยิบถุงน้ำแข็งออก

"พี่กฤษณ์โกรธอะไรพี่สองหรือเปล่าคะ เห็นสั่งแก้วว่าถ้าตื่นให้รีบมาบอก วิ่งเข้ามาคนแรกแท้ๆ แต่พอเห็นพี่สองขยับตัวก็เดินออกไปเลย"

"ก็น้ำแข็งที่ใช้ประคบไอ้สอง เป็นน้ำแข็งที่มันกับลุงจะก๊งเหล้ากันเย็นนี้ไง"
ลุงป่องพูด เรียกเสียงเฮฮาจากคนฟังทั้งหลาย หลังจากนั้นเมื่อแน่ใจว่าผมอยู่ได้จริงๆ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำงาน

ผมเดินเข้าไปในสำนักงาน รู้ว่าจะหาไอ้พี่กฤษณ์เจอได้ที่ไหน

"มึงเป็นไรเปล่า"

"มึงโกรธเรื่องน้ำแข็งเหรอ เดี๋ยวกูฝากลุงอ่ำซื้อมาให้พรุ่งนี้ ก๊งวันหลังยังไม่สาย กูขอโทษนะๆ"

"กูสิต้องขอโทษ"

พี่กฤษณ์พูดแล้วมองตรงมาที่ผม ดวงตาหนักแน่นนั้นทำเอาใจผมหวิวน้อยๆ

"มันไม่ใช่ความผิดมึง กูอ่อนแอเองนี่หว่า"
ผมพูดแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน แต่แววตาที่มองแต่ความจริงของเขานั้น ทำให้ภาพมายาของผมกลายเป็นละครหลอกเด็ก

"กูควรอยู่กับมึง หรืออย่างน้อย กูควรคิดให้ออก กูไม่น่าปล่อยมึงไว้ ไม่น่าเลย"

"แค่ลมแดดไหมละไอ้สัส"
ผมพูดเสียงเบา หลบตา

"มึงรู้มันอันตราย ถ้ากูประคบเย็นไม่ทัน มึงช็อก โคม่า กูจะทำยังไงวะ"

"ความผิดกูเองที่ใส่กางเกงขาเดฟ มึงเตือนแล้วแท้ๆ มันรัดไข่กูแน่นไป ไม่ได้ระบายความร้อน"
ผมพูดขำๆ พยายามช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น

เขายิ้มบางๆ ท่าทางเหนื่อยล้า ดูเหมือนชายที่ผ่านอะไรมามากเป็นครั้งแรก ไม่ได้เหมือนไอ้พี่กฤษณ์สุดกวนตีนหน้าตายคนนั้นอีกต่อไป

วันนั้นเขามาส่งผมที่ห้อง กำชับให้อย่าเปิดประตูให้ถ้าไม่ใช่คนรู้จัก เอายากันยุงมาให้เพิ่ม เอาแป้งตรางู(ผมรู้ คุณก็ใช้!)มาให้ ในถึงยังมีกระดาษโน้ต ซึ่งมีเบอร์

1) เบอร์ส่วนตัวพี่กฤษณ์
2) เบอร์บ้านพักพี่กฤษณ์
3) เบอร์ลุงชัย(ผมมีแล้ว!)
4) เบอร์ป้าแม่บ้านเรือนหลัก
5) เบอร์ลุงยาม 1
6) เบอร์ลุงยาม 2
7) เบอร์โรงพยาบาลศรีนครินทร์(?!)
8) เบอร์เฮียหนึ่ง(เพื่อ?!!)

ผมมองโน้ตแล้วส่ายหัวอย่างอ่อนใจ หวังแต่ว่าการกักกันฟูมฟักจะไม่เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น อย่างน้อยอย่าเกิดที่นี้ อย่างน้อย อย่าเกิดจากเขา คนนี้

...................................

แต่สิ่งที่ผมกลัวดูเหมือนจะเป็นจริง วันต่อๆมาผมได้รับงานให้ไปช่วยแต่ละแผนกในสำนักงานอย่างเฉพาะเจาะจง เป็นอาทิตย์!! อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าที่ไม่ได้ออกภาคสนาม
ไอ้พี่กฤษณ์ก็ยังพูดจากับผมเหมือนปกติทุกอย่าง แต่มันมีบางอย่างเปลี่ยนไป

มันดูเป็นห่วงเป็นใยผมมากกว่าเดิม
สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดหรือเปล่า

พอเริ่มอาทิตย์ที่ 4 ผมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมตื่นแต่เช้า แอบเข้าไปในไร่
ไปเจอลุงอ่ำในไร่ข้าวโพดพอดี จึงขอช่วยงานลุงตรงนั้นเลย ลุงก็ไม่ว่าอะไร นึกว่าพี่กฤษณ์เป็นคนสั่งมา
ผมจึงทำเนียนอยู่ตรงนั้น ให้ได้ออกแรง ให้ได้หยุดใช้ความคิดบ้าง

เนื่องจากการทำงานด้วยกัน ผมสนิทกับป้าน้อย ลุงอ่ำ ลุงหมายมากเป็นพิเศษ
ผมแอบมาทำงานได้4-5วัน วันที่5 ไอ้ว่าที่เจ้าของไร่ก็เดินมา หน้าตาเคร่งเครียด

"มีไร กูทำงานอยู่"
ผมพูดทัก ละสายตาจากข้าวโพด มองหน้าอย่างท้าๆ

"ตุบ"
มือหนายกหมวกมาใส่หัวผม

"แดดมันร้อนสัส ใส่หมวกซะ ค่อยดูเหมือนคนเก็บข้าวโพดหน่อย"
ผมยิ้ม หันหน้ากลับไปหาข้าวโพด แต่เพราะหมวกปิดใบหน้าอยู่ จึงไม่ต้องเก็บสีหน้าดีใจไว้

"ดีจังที่มึงไม่ได้เป็นห่วงกู"

คนตรงหน้าไม่พูดอะไร แต่ใช้สายตาที่จริงจังนั้นมองผมอีกแล้ว (อย่าทำอย่างนี้!! กูไม่กล้าโกหกอะไรเลย!!)

"ก็อย่างน้อยขอมึงไว้สักคน ที่กูไม่อยากให้มองว่ากูเป็นเด็กเล็กๆ"
ผมพูด เขายักไหล่

"กูไม่ได้มองงั้นหรอก แต่มึงเข้าใจผิดอย่าง"

ผมมองหน้าเขาอย่างสงสัย

"กูเป็นห่วง"

ผมหน้าแดง แต่ไม่ใช่เพราะความร้อน
...................................

หลังจากนั้นชีวิตในไร่ของผมก็สุขสบายดี ผมสนิทกับหลายๆคน บางวันก็ก๊งเหล้ากับลุงป่อง,ไอ้พี่กฤษณ์และลุงชัย(ซึ่งผมได้รับอนุญาตให้ดื่มน้อยมากก แต่ผมไม่ขัดอะไร ประสบการณ์ครั้งแรกมันไม่สู้ดีนัก!)

ผมสลับทำงานสำนักงานและในไร่ บางครั้งพี่กฤษณ์ก็พาไปในเมือง ซึ่งสนุกดีเหมือนกัน
ผมได้ไปรับน้องแก้วจากโรงเรียนด้วย ชีวิตเด็กนักเรียนมัธยมต้นนี้ลำบากเหมือนกันนะ

"ตืด ตืด ตืด.."

"สวัสดีครับ"

"นี้ใช่เบอร์สองหรือเปล่าคะ"

"ใช่ครับ มีอะไรหรือครับ"

"สอง..นี้อิงอิงนะคะ"

ผมหัวใจกระตุกวูบ อิงอิง! ผมลืมเธอไปได้ยังไง หลังจากงานปาร์ตี้ครั้งนั้นผมก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเธออีกเลย ทั้งๆที่เเลกเบอร์กันไว้เรียบร้อย...ผมนึกว่าเธอไม่ถูกใจผมเสียอีก

"สองคะ มีปาปารัสซีถ่ายภาพเราตอนจูบกันในรถได้นะคะ มีแต่คนถามอิงอิงให้ตอบว่าคือใคร ตอนนั้นอิงเพิ่งเลิกกับเเฟนได้ไม่นาน อิงเป็นดารา อิงเสียหายนะคะ จะให้อิงทำยังไง?!"

สาวเจ้าสาธยายมายาวยืด ผมตกใจ แต่ก็ประหลาดใจและมีลางสังหรณ์แปลกๆ เรื่องก็เกิดนานแล้ว...ทำไมพึ่งมาพูด ทำไมพึ่งโทรมา...

"เอ่อ...ปกติอิงทำยังไงครับ ผมว่านานขนาดนี้เรื่องน่าจะซาแล้วนะครับ.."

"สองนี่ ไม่รับผิดชอบเลยนะคะ! เดี๋ยวอิงจะไปหาทางปิดข่าวเองค่ะ ไม่รบกวนแล้วนะคะ"

ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...

โทรมาแค่นี้เนี่ยนะ...ลางสังหรณ์ผมสะกิดเตือนแต่ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าเธอจะมาไม้ไหน
จนกระทั่งเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์นั่นแหละ

Superstar อิงอิง!! กำลังพบรักอยู่กับไฮโซหนุ่มหล่อลูกชายคนรองตระกูลสุวรรณกุล ! เผย ชายปริศนาที่จูบกับอิงอิงที่คอนโด จากบันทึกคลิปเสียง...อ่านต่อ หน้า 19

#3



สวัสดีค่ะ! ในตอนนี้สองได้ค่อยๆกลายเป็นส่วนหนึ่งของไร่(ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ o18)
ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆก็เป็นไปอย่างสนิทใจขึ้น เจ้าสองซึ่งไม่ได้เป็นคนถือตัวอะไรแต่แรกยิ่งสนิทง่าย
แต่ด้วยเหตุการณ์หลายๆอย่างก็สร้างความเป็นห่วง+ความปวดหัวให้ไอ้พี่กฤษณ์(ผู้บ่าวไทบ้าน'S Style) มิใช่น้อย :katai1:
ไหนจะดาราเจ้าบทบาทในชีวิตจริงอย่างอิงอิง ที่อยากควงสองสองจนตัวสั่นนั่นอีก

เจ้าสองจะจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร
พี่กฤษณ์ผู้รับบทบรรยายในตอนหน้าจะบรรยายเรื่องอะไร(?!!เพื่อออ?!!)

ติดตามต่อได้ในตอนหน้าค่ะ :bye2:

Anynomous

ปล. image ตัวละครก็ค่อยๆเผยทีละนิดตามความอ่อนไหวของตัวละครนะคะ (อิอิ) :bye2:

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yumsonteen ที่ 01-11-2017 21:37:55
ขอบคุณครับรอติดตามตอนหน้าอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 02-11-2017 01:14:58
ร้องไห้แรง ขอนแก่นกลายเป็นที่ทุรกันดาร 5555 โถ่ว เซ็นทรัลก็มี grab ก็มี ซับเวย์ 24 ชม ก็มีนะเฟ้ยย ใหนจะแหล่งของกินประหนึ่งโอเอซิส รอบ มหาลัยขอนแก่นอีก    คุณช๊ายยยย แกคิดผิดแล้วหละ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่3:01/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 02-11-2017 07:21:39

แจ้งข่าวการสะกดคำผิดค่ะ

สวัสดีค่ะ หลังจากที่ผู้เขียนได้อ่านสามบทที่โพสต์ลง และพบว่ามีจุดที่สะกดผิดเล็กๆน้อยๆมากมายที่คลาดสายตาไป
เนื่องจากความสะเพร่าของผู้เขียนเอง และ ความsensitive(ไวต่อการสัมผัส?)ของอุปกรณ์การพิมพ์ค่ะ

แต่หลังจากพยายามลองแก้ไขการสะกดในซาฟารีแล้ว
การแก้ไขจุดเล็กๆในโพสต์ยาวๆเป็นเรื่องที่ยากมากค่ะ พอกดลบแล้วมันลบต่อเนื่อง
ทำเอาข้อความหายเป็นแถบๆ กดยกเลิกก็ค้าง เปิดค้างไว้สักพักขึ้น Redirect... :z3:

ผู้เขียนไม่เก่งเทคโนโลยีมากนัก ต้องขออภัยด้วยและขอน้อมรับผิดไว้ในที่นี้ค่ะ
เมื่อผู้เขียนมีเวลาว่างมากกว่านี้จะเปิดโน๊ตบุ้ค พิมพ์แก้ไขดีๆอีกครั้งค่ะ ในWeb browser อย่างโครมน่าจะสะดวกกว่า

#Anynomous

(//เราเป็นนักอ่านตัวยงเช่นกันเห็นแล้วจึงอดไม่ได้ค่ะ ในนิยายตัวเอง คำว่าถุง พิมพ์เป็นถึง,แล้ว เป็น คล้าว(ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ!) แต่ที่ว่าๆมานี้ยังไม่ได้แก้นะคะ ขออภัยจริงๆค่ะ) :hao4:


ขอบคุณครับรอติดตามตอนหน้าอยู่นะครับ

ขอบคุณมากค่ะ (แหะๆ ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่สุดๆนี้เขินมากเลยค่ะ!) :ling3:

ร้องไห้แรง ขอนแก่นกลายเป็นที่ทุรกันดาร 5555 โถ่ว เซ็นทรัลก็มี grab ก็มี ซับเวย์ 24 ชม ก็มีนะเฟ้ยย ใหนจะแหล่งของกินประหนึ่งโอเอซิส รอบ มหาลัยขอนแก่นอีก    คุณช๊ายยยย แกคิดผิดแล้วหละ  :laugh: :laugh:

จริงๆค่ะ เดี๋ยวต้องให้พี่กฤษณ์พาไปเที่ยวเยอะกว่านี้แล้วค่ะ! ชีสเค้กนั้นก็ใน Central นั้นแหละค่ะ (มาอยู่ขอนแก่นแล้วจะรู้จักแค่นี้ไม่ได้! ฮ่าๆ) เดี๋ยวได้มีทริปอยู่เรื่อยๆแน่นอนค่ะ

 :bye2:
#Anynomous

ปล.วันนี้น่าจะได้มาลงตอนที่4 ประมาณเกือบ 20.00 น. (หรือ+/- 45นาทีนะคะ )
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4: 02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 02-11-2017 18:40:56
ตอนที่ 4 : ทฤษฎี 8 วิ


เมื่อเสียงป้าน้อยตะโกนโหวกเหวก ผมจึงเดินออกมาดู
ภาพที่เห็นคือไอ้เจ้าสอง ที่นอนไม่ได้สติในอ้อมแขนลุงอ่ำ ป้าน้อยกำลังจัดแจงหาที่ทางให้วางเจ้าสองลง

ผมนิ่งไปชั่วขณะ

"สองเป็นอะไรครับป้า?"

"เป็นลมค่ะ คุณกฤษณ์ ตายแล้ว! ตัวร้อนมากเลยเนี้ย"
ป้าน้อยพูดแล้วเอาพัดโบกๆระบายอากาศ
ผมใช้มือสัมผัสบริเวณศรีษะ ซอกรักแร้ ต้นขา เขาร้อนไปทั้งตัว ..มันคืออาการของคนเป็นลมแดด!

"ทำยังไงดีครับ คุณกฤษณ์ ให้คุณสองนอนพักก่อนไหม"

"ไม่ได้ ..ลุงอ่ำ รบกวนไปเอาถุงใส่น้ำเเข็งในตู้แช่เย็นจากครัวในเรือนหลักให้หน่อยได้ไหมครับ 3-4 ถุง ขอด่วนที่สุดเลยนะครับ!"

ลมแดดที่เกิดจากการระบายความร้อนไม่ได้ ความร้อนที่มากเกินไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะที่อ่อนไหวต่ออุณหภูมิอย่างสมอง ปล่อยไว้เฉยๆเจ้านี้อาจชัก โคม่า หรือเสียชีวิตได้เลย
หลังจากลุงอ่ำรีบบึ่งรถออกไป ผมกับป้าน้อยช่วยกันถอดกางเกง(ซึ่งถอดยากชิบหาย!) เช็ดตัวให้เจ้าสองเพื่อระบายความร้อนในเบื้องต้นก่อน

ผมมองหน้ามันที่ยังแดงเถือกจากอุณหภูมิที่สูง หยดน้ำจากการเช็ดตัวเกาะบนเส้นผม
ในใจก็โกรธตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"คุณสองนี้น้า น้อยบอกให้พักก็ไม่พัก ..เฮ้อ "
ป้าน้อยพูดขณะยังเช็ดตัวให้สองอยู่

ทำไมผมถึงปล่อยมันให้อยู่คนเดียวนะ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อนอย่างนี้
ทั้งๆที่รู้ว่าเมื่อมันทำงานอะไรสักอย่าง มีน้อยคนที่จะหยุดคนดื้อรั้นอย่างมันได้
ทำไมผมไม่อยู่กับมัน....ทำไม

โอเค ตอนนั้นผมมีงานพอดี

...


แต่ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วลากมันมาด้วย เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

"จะว่าไป ก่อนเป็นลม คุณสองเหงื่อออกมากเลยล่ะค่ะ แต่ตอนเจ้าอ่ำอุ้มมา เหงื่องี้ไม่มีสักหยด!"

"นั้นเป็นอาการของคนเป็นลมแดดน่ะครับป้า ร่างกายเจ้าสองมันสูญเสียน้ำเกินกว่าจะเสียได้อีก ป้าเองทำงานก็ต้องระวังนะครับ ถ้าลดอุณหภูมิได้ไม่เร็วพอ ตายได้นะป้า"

ผมอธิบายอย่างง่ายๆให้ป้าน้อยเข้าใจ
เมื่อจังหวะการหายใจเริ่มช้าลง ผมก็เริ่มสบายใจขึ้น พอดีกับที่ลุงอ่ำ ลุงป่อง ลุงชัย และยัยแก้ววิ่งมาด้วย
ผมให้ไปเอาน้ำแข็งอยู่เรือนหลัก..ลุงนี้เล่นหอบคนมาทั้งเรือน!!

ผมกับยัยแก้ว(ที่อาสาอยากทำเหลือเกิน) ช่วยกันแบ่งน้ำแข็งใส่ถุง ประคบเย็นบริเวณข้อพับและศรีษะ
เมื่อน้ำแข็งละลายก็ทำซ้ำ ป้าน้อยยังคงโบกพัดของแกอยู่
ในขณะที่ทุกคนช่วยกันจำลองสถานการณ์ในขั้วโลกเหนืออย่างต่อเนื่อง น้องฟาง เลขาของผมก็โทรมาเรื่องงานเร่งด่วน ผมจึงต้องปลีกตัวไปอาคารสำนักงานก่อน (ตอนนี้เราอยู่อาคารต้อนรับ) พร้อมกับกำชับให้ยัยแก้วรีบมาเรียก หากเกิน30นาทีแล้วสองไม่ฟื้น(เพราะเท่าที่จับตัวดูอุณหภูมิลดลงมากแล้ว)

เมื่อได้ยินเสียงยัยแก้วตะโกน ผมรีบวิ่งออกจากสำนักงาน(หมดกัน ภาพลักษณ์กู!)
ภาพที่ผมเห็นยังกะเเข่งวิ่งมาราธอน ลุงอ่ำ ลุงหมาย ลุงป่อง ลุงชัย ป้าน้อย ที่ได้ยินเสียงยัยแก้วเช่นกัน วางมือจากงานของตนแล้วรีบวิ่งเข้าประตู ซึ่งมีอยู่บานเดียว

มีคนห่วงมึงเยอะนะเนี่ย

พอผมเข้าไปถึง เจ้าสองก็ดูปกติดี ยิ้มได้ หัวเราะได้ ครื้นเครงกวนตีนเหมือนปกติ
มันสบตาผมชั่วเเวบหนึ่งเท่านั้น แล้วหลบสายตาไป

...................................

นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมยอมรับว่าผมเครียดมาก เป็นห่วงมันบ่อยๆและเเทบจะตลอดเวลา
ผมสั่งให้มันมาเรียนรู้งานในสำนักงานเพื่อที่จะได้จับตาดู เพื่อที่จะได้รู้ว่ามันกำลังทำอะไร
กำลังเสี่ยงอันตรายหรือเปล่า

มีคนเคยบอกไว้ว่าความรู้สึกผิดแผดเผายิ่งกว่าไฟ
อาจจะจริง
แต่ผมกังวลว่ามันอาจมีอะไรมากกว่านั้น

ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของไอ้หนึ่งที่อยากปกป้องน้องมัน
ความห่วงใยทั้งหลายที่ผมเคยมองว่าไร้สาระ

ไอ้สองมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอยากปกป้อง
ไม่ใช่รูปร่างบอบบาง ไม่ใช่ลักษณะคุณชาย ไม่ใช่นิสัยที่เหมือนเด็ก

แต่เป็นบางสิ่งในแววตา
แววตาที่ไหววูบทุกครั้งที่ผมจ้องมองตรงๆ
แววตาที่มองดูแล้วเปราะบางเหลือเกิน..

...................................

แต่สุดท้ายด้วยความดื้อรั้นของมัน แม้แต่ผมก็ยังห้ามไม่ได้
มันขอทำงานสลับสองฝ่ายเหมือนเดิม และผมอนุญาต

มันบอกว่าไม่อยากให้ผมมองมันเป็นเด็กเล็กๆ
ซึ่งผมคิดว่ามันพูดถูก ในเมื่อคนเราต่างต้องโตขึ้น

"มึง กูช่วยพี่สันต์เดินเอกสารด้วยนะเมื่อเช้า"
เจ้าสองมันเข้ามาโม้พลางนั่งจิบไมโลบนโซฟาในห้องทำงานผม

"เออเก่งๆ"
ผมพูดพลางอ่านสรุปรายงานไป

"หึหึ ใช่มะ "
มันอวยตัวเองต่อแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภูมิใจ ดูเหมือนมันจะชอบให้ผมชมมาก นับวันยิ่งเหมือนเลี้ยงลูกหมาลูกแมวเข้าไปทุกทีกู...

"คุณกฤษณ์คะ เรื่องสัญญากับโรงงานXXX จะให้ฟางส่งเอกสารให้เขาล่วงหน้าก่อนหรือว่ายังไงคะ"
ผมละสายตาจากเอกสารมาสั่งงานกับน้องฟาง ภายในเดือนหน้าไร่เราจะทำสัญญากับโรงงานใหม่ จึงต้องเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า

หลังจากคุยงานเสร็จก็เห็นเจ้าสองนั่งหน้างออยู่บนโซฟา

"เป็นไบโพล่าร์เรอะมึง ?"

"มึงแม่ง ไม่จริงใจกับกูเลยสัส"

"อะไรของมึงวะ"

"ตอนพูดกับกูมึงไม่เงยหน้า พูดกับคุณฟางมึงเงย!"

....ไอ้สัส!!!

"มึงเสือกมาพูดตอนกูเริ่มอ่านประโยคแรกไง น้องฟางเขาพูดตอนกูอ่านบรรทัดสุดท้ายพอดี"
ผมพูดแล้วหัวเราะขำ

"คนสมัยนี้แม่ง หลอกลวง!"
มันบ่นกระปอดกระแปดตามท้องเรื่อง ผมขยับมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ
มันเดินมา

"มีไร"

ผมจ้องตามัน นิ่ง ยาวนาน...
มันปิดตาตัวเอง
"หยุดดด!"

"ฮ่าๆๆ ไอ้สัสสอง ไอ้เด็กน้อย!"
ผมแกล้งล้อเลียน มันเชิดหน้า

"จากงานวิจัย!! ถ้ามึงจ้องตากูเกิน 8 วิ มึงตกหลุมรักกู!"

"ถ้ากูจ้องตามึงเกิน 8 วิก็หมายความว่ามึงจ้องตากูเกิน 8 วิด้วยเหมือนกันนะเเหละไอ้สัส และนี้มึงปิดตา ไม่อยากตกหลุมรักกูเหรอ?"

ผมถามพลางหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นแกะมือมันออก มันพยายามอย่างยิ่งจะปิดตาต่อไป แต่ไม่สำเร็จ
..กูอยากแนะนำวิธีง่ายๆอย่างแค่หลับตาให้มึงนะไอ้สอง...แต่กลัวมึงจะฉลาด เดี๋ยวไม่น่ารัก กูเลยเงียบดีกว่า ฮ่าๆๆ

ผมเลิกแกล้งเมื่อพอใจ เอ้ย เมื่อขี้เกียจปลอบมันถ้าร้องไห้ มึงจะเอาจริงเอาจังอะไรนักหนากะอิแค่งานวิจัย นี้ไม่อยากตกหลุมรักคนแบบกูขนาดนั้นเลยเรอะ

"เออมึง กูมีเรื่องปรึกษาหน่อย"

"ว่า?"
นานๆทีครับ ทำตัวเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้หน่อยกู

"ถ้าเรื่องของมึงถูกเอาไปเล่าต่อในทางไม่ดี มึงจะทำไง"

"อะไรวะ การนินทาน่ะเรอะ?"

"ไม่เชิงอ่ะ แบบ ปล่อยข่าวให้คนอื่นเข้าใจผิดเงี้ย"

"ข่าวนั้นจริงหรือไม่จริงล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง มีคนมาถามมึงก็ปฏิเสธไป ง่ายๆ"

"ถ้ามันจริงล่ะ"

"มึงก็ยอมรับ"

"ไอ้สัส!! พูดซะง่าย มึงแม่ง .."

"ไอ้สอง ปัญหาซับซ้อนขนาดไหนถ้ามึงแยกมันออกมา มันก็เป็นส่วนย่อยๆอยู่ดี มึงแก้มันไปทีละส่วนสิ
ข่าวลือเกี่ยวกับมึง เรื่องไหนจริงก็ยอมรับ เรื่องไหนไม่จริงก็ปฏิเสธ เหตุผลมึงก็อธิบายไป ถ้ามึงไปทำอะไรที่ผิดไว้ มึงกล้าทำก็แค่กล้ารับผลนั้น ไม่ได้แปลว่ามึงเป็นคนเลวสักหน่อย ใครๆก็เคยตัดสินใจผิดพลาด"

"มันจะง่ายอย่างนั้นเลยเหรอวะ"

"ยิ่งเรื่องมันซับซ้อนเท่าไหร่ วิธีแก้ปัญหามึงยิ่งต้องเรียบง่ายเท่านั้น"

"มึงอย่าพูดให้ดูยาก กูโง่"
มันพูด และยิ้มออก ผมโล่งอก เผลอเอามือไปยีหัวมันอีกแล้ว

...................................

วันนี้ผมพาเจ้าสองมารับยัยแก้ว น้องสาวผมเรียนมัธยมต้นอยู่โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย เลยถือโอกาสพามันมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง

"พี่สอง!" ยัยแก้ววิ่งมาเรียกชื่อเจ้าสองเสียงดัง จนสาวน้อยสาวใหญ่หันกันขวับ

"ทำไมไม่เรียกพี่บ้าง หืมม์"
ผมรับกระเป๋าน้องสาวมาช่วยถือ แล้วแกล้งถามอย่างเอ็นดู

"ก็นานๆทีพี่สองมานี่ แถมพี่สองก็หล่อ เท่ แต่งตัวหยั่งกะนายแบบ "
แหม จริงใจเหลือเกินน้องสาวกู นิสัยได้กูไปเต็มๆ! ส่วนไอ้คนข้างๆผมนี้ลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!

"ถ้าพี่กฤษณ์หัดแต่งตัวเท่ๆบ้าง อาจจะหาแฟนได้ก็ได้นะคะ"
ยัยแก้วแซว ไอ้สองหัวเราะลั่น

"ก็จริงของแก้วนะ ชุดที่ดูดีมีสไตล์สุดของพี่กฤษณ์ น่าจะเป็นชุดตอนทำงานสำนักงานเนาะ"
แหม เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จงใจเรียกกูพี่กฤษณ์เสียงเล็กเสียงน้อยด้วยนะ ไอ้เด็กนี้

"จริงๆวันนี้พี่ว่าจะพาน้องแก้วน้องสองไปกินขนม ..กลับดีกว่าเนาะ คิดถึงบ้าน"

"พี่กฤษณ์เท่ที่สุด!!"
ยัยแก้ว เปลี่ยนทิศทางทันทีนะเรา ไหนละไอ้มาดคนตรงๆน่ะ

"จริงๆเสื้อเชิร์ตลายตาข่ายส้ม กางเกงยีนส์ กับรองเท้าแตะ กูว่าดูไปดูมาก็มีสไตล์อยู่นะ"
มึงก็อีกคน!!
ผมอมยิ้มในความน่ารักของเจ้าสองตัวนี้ ก่อนจะพาเด็กๆ(?)ขึ้นรถเพื่อไปกินขนมหวาน

...................................

"ร้านนี้นะ ดังมากกพี่สอง ใครมามหาลัยนี้ต้องมากิน"

"อะไรอร่อยสั่งมาเลยแก้ว พี่กฤษณ์จ่าย"

"โทสต์ชาไทยค่ะ!"

"เอา White-chocolate cake เพิ่มด้วยครับ"

ไอ้เจ้าสองกับยัยแก้วคุยเรื่องขนมหวานกันอย่างออกรสชาติ ผมนั่งฟังพวกเขาคุยกันก็สนุกไปอีกแบบ

"พี่กฤษณ์อะ ไม่ชอบของหวานเลย มากินแต่ละทีนี้ย้ากยาก มาสองคนแก้วก็กินคนเดียวตลอด ดีจังที่พี่สองมาอยู่กับเรา"
ยัยแก้วพูดแล้วยิ้มกว้าง เจ้าสองก็ยิ้ม

"พี่อยู่ตลอดไปเลยได้ไหมเนี่ย"

"ได้"
ผมพูด สักพักก็นิ่งเพราะพึ่งรู้สึกตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไป ไอ้สองกับน้องแก้วหันมา

"ได้เหรอ?! เย้ๆๆ แก้วดีใจจังเลย"
ยัยแก้วท่าทางดีอกดีใจใหญ่ ผมมองเจ้าสอง มันจ้องมองผมอยู่ก่อนหน้านี้เเล้ว

แต่ผมไม่รู้ว่ามันเกิน 8 วิ หรือยัง

...................................

"ตืด ตืด ตืด..."

"น้องกูเป็นไงบ้าง"

คำทักทายเเรกของไอ้พวกบราค่อนเขาละครับ
(Brother conflict : พวกมีปมยึดติดกับพี่ชายน้องชายมากเกินไป)

"สบายดี"
ผมเลือกคำตอบที่เรียบง่ายที่สุดเพราะรู้พิษสงเจ้าเพื่อนคนนี้เวลามันทำตัวเจ้ากี้เจ้าการดี

"สีหน้าท่าทางดูกังวลไหม? ดูอึดอัดใจไหม?"

"พอดีที่ไร่กูไม่มีจิตแพทย์ว่ะ เลยไม่รู้"

"ไอ้กฤษณ์ กูจริงจังนะเว้ย มึงจำเรื่องข่าวกับปาปารัซซี่ได้ไหม กูอุตส่าห์เอาเงินปิดปากไปรอบนึงแต่มันก็ยังหลุดได้ แถมคราวนี้มีหลักฐานคลิปเสียง ใครๆก็เชื่อล่ะว่าเเม่ดารานั่นคบอยู่กับน้องกูจริงๆ แต่เเค่นั้นยังไม่พอ ภาพในไอจียังแท็กน้องกูอยู่เรื่อยๆสร้างกระเเส นักข่าวก็อยากจะตามหาน้องกูเพื่อสัมภาษณ์เหลือเกิน โชคดีมันยังไม่รู้ว่าอยู่ไหน"

"กูบอกแล้วใช่ไหมว่ามันแก้ปัญหาไม่ได้ โลกทุกวันมันไร้พรมแดน มึงกั้นเขาถ้าเขายังอยากจะอยู่ในเเวดวงอะไรก็ตาม แค่กรุ๊ปไลน์มันก็เป็นพวกเดียวกันเเล้ว เว้นเเต่มึงจะเอาน้องมึงไปเทือกเขาหิมาลัย ไม่มีเน็ต ให้มันปฏิบัติธรรมอย่างสงบสุข"

"มึงก็พูดเข้าท่านี้หว่า.."

"ไอ้สัส! กูประชด! "

"แต่กูก็ไม่เห็นน้องมึงเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนะ กูว่าไอ้สองมันเข้มแข็งพอจะรับเรื่องพวกนี้ได้น่า มันไม่ใช่เด็กขี้เเงที่ร้องไห้ตอนเราไม่พาไปเตะบอลด้วยอีกแล้วนะ มันอยู่ที่นี้ ทำงานได้ทุกอย่าง เข้ากับคนอื่นๆได้ มันฉลาด เรียนรู้เร็วจะตาย"

"แสดงว่ามันใกล้ได้กลับบ้านแล้วสินะ"
เสียงปลายสายพูดมา ผมเงียบไปเล็กน้อย

"อืม ใกล้แล้วล่ะ"

...................................

ทุกเย็นหลังเลิกงาน ผมจะไปส่งไอ้สองกลับที่พัก รอมันอาบน้ำ พาไปกินข้าวเรือนหลัก ส่งมันกลับห้อง หรือวันไหนที่มันเมา มันมักจะอ้อนขอนอนห้องผม กิจวัตรประจำวันหลักของพวกเราเป็นประมาณนี้
 
"สอง วันนี้เดี๋ยวกูพาไปเที่ยว"
วันหนึ่งผมพูดกับไอ้สองขณะที่เราอยู่บนคุณนายแดง กำลังเดินทางกลับที่พัก

"เที่ยวไรวะ ดึกแล้วเนี่ย จะนอน"
มันพูดแล้วบิดขี้เกียจ เอนหลังลง ...มึงนี่ชักจะชินกับวิถีชาวไร่มากเกินไปแล้ว
กลับไปอยู่กรุงเทพเดี๋ยวก็ต่อไม่ติดหรอกสัส ผมอดคิดไม่ได้

"บาร์ในเมือง ของเพื่อนกู"

"พรึ่บ!"
ไอ้สองเด้งตัวขึ้นมา เลิกตาขึ้นมองผม

"มึงอนุญาต? มึงไปไหม?"

"กูจะปล่อยมึงไปคนเดียวได้ไหมล่ะ"

"อืม..."
ดูมัน มีการลังเล ไว้ท่าจริงๆ

"บาร์ชื่ออะไร?"

"บาร์ XXX"

"หื้ม ก็ได้ๆ กูก็ไม่ได้แดกเหล้าแพงๆมานานละ แดกแต่เหล้าขาวอยู่กับมึงเนี่ยย"
มันพูดแล้วยิ้มตาหยีล้อเลียน

อยากแดกแพงๆไม่บอกกูวะ กูมีปัญญาหามาให้
ผมคิดในใจอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม

ตอนลงจากรถมันไล่ให้ผมกลับไปอาบน้ำ แต่งตัวให้ดูดีมีสไตล์(เหี้ยอะไรของมึง : ผมตอบกลับไป) แล้วค่อยมารับมัน

 ...................................

"เพื่อนกูบอกว่าบาร์นี้ดังสุดในขอนแก่น มึงนี้ใช่ย่อยนะเนี่ยย"

"ของเพื่อนกู"

"ก็เห็นเพื่อนๆมึงชอบแวะเวียนมาหามึงออกบ่อย ขอให้ช่วยนี้ช่วยนั้นบ้างล่ะ แต่วันๆกูก็เห็นแต่มึงทำงานงกๆกับวิ่งไปทำธุระเรื่องสัญญาบ้าง อะไรบ้าง ไม่รู้ว่ามึงจะรู้จักพวกแวดวงคนเที่ยวไง"
มันสาธยายมาซะนาน จะบอกว่ากูไม่มีสังคมเที่ยวว่างั้นเหอะ!

"กูเนี่ย เห็นอย่างนี้สมัยก่อนเป็นเสือนะเว้ย"
ผมพูดอย่างอวดๆ ด้วยลักษณะนิสัยตรงๆ โผงผาง ค่อนข้างใจนักเลง ยิ่งตอนวัยรุ่น ผมเป็นประเภทหัวร้อนง่าย ไม่ได้นิ่งเหมือนปัจจุบัน สาวๆสมัยนั้นชอบผู้ชายเเนวนี้กันเยอะ แต่ยุคนี้ต้องอย่างไอ้คนข้างๆนี้เเหละ สาวๆชอบ
ผู้ชายนิสัยรวย!

"แล้วเดี๋ยวนี้เป็นแมวน้อยเหรอ"

กูเป็นเสือให้มึงดูก็ได้ , ผมไม่ตอบ แต่ลอบมองคนข้างๆแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

"เหี้ย! อย่ามองง"
ผมหัวเราะลั่นอย่างสะใจ ไอ้สองเเม่งบ้าจี้เรื่องมองตาชิบหาย ระยะหลังๆนี้อาการหนัก
ถ้าผมมองมันตรงๆเมื่อไหร่ มันจะเริ่มอยู่ไม่สุขไปราวๆ10นาทีนั่นแหละ

...................................

"เอ้าถึงเเล้ว ลงๆ"

"โทษนะครับ พื้นที่ตรงนี้สงวนให้สำหรับผู้มาใช้บริการเท่านั้นครับ"
พนักงานรับรถวิ่งมาเคาะกระจกคุณนายแดงของผม

"ผมมาใช้บริการ"
ผมตอบ แต่คนข้างๆหน้าชักสี

"ทำไม รถกระบะเเล้วเข้ามาที่นี้ไม่ได้รึไง คุณได้รับการอบรมมาเเบบไหน เรียกเจ้านายคุณมาคุยกับผมทีสิ"
ไอ้สองถอดเเว่นตาดำ ก้าวออกจากรถ กอดอกคุยอย่างเอาเรื่อง

"ปะ..เปล่าครับ จอดเลยครับท่าน ผมเข้าใจผิดเอง"

"ก็ดี สถานบริการนี้คงไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ใช้ใช่ไหม คราวหน้าคราวหลังนายควรเคาะเพื่อถามก่อน ไม่ใช่เคาะเพื่อไล่"
พนักงานรีบขอโทษขอโพยเเล้วเดินจากไป

"เอาเรื่องนะมึง"

"ได้ไง กระจกรถคุณนายแดงมึงเเตกแล้วจะเอาอะไรกันแดดให้หน้าหล่อๆกูล่ะ ฝ้าขึ้นพอดี"
ผมยีหัวมันเเรงๆทีนึง มันบ่นอุบอิบเรื่อง MRI สมอง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง

...................................

"ไง สบายดีไหมสุดหล่อ~"
สาวสวยร้อนแรง ลิลิน เพื่อนเจ้าของบาร์ผมคนนี้พูดทักทายผมก่อนจะจูบผมเบาๆ
เธอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมเลิกท่องเที่ยวไปสมัยเป็นวัยรุ่นตอนปลาย
เธอเป็นแฟนเก่าผม และเธอ(ในตอนนั้น)เป็นลูกเจ้าของบาร์แห่งนี้

"อืมม เรื่อยๆ ลินล่ะ"

"ก็ดีนะ ทำงานแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนไม่เคยแก่เลย เหมือนเวลาไม่เคยผ่านไป"
ประโยคหลังสาวเจ้ามองมาทางผม ผมสบตา แต่ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เหลือเพียงแต่มิตรภาพ
สะเก็ดเเผลเล็กๆบางที่เท่านั้น

"แล้วสุดหล่อคนนี้ใครกันจ้ะ?"
ลิลินหันไปถามเจ้าสองที่อยู่ข้างผม

"เด็กฝึกงานในไร่พี่กฤษณ์ครับ พอดีผมไม่เคยมาเที่ยวกลางคืนในขอนแก่น เลยขอให้แกพามา อยากลองดู"
ไอ้สองตอบสบายๆ มันพูดเรื่องจริงผสมเรื่องโกหกได้หน้าตายจนผมประหลาดใจ

"โอ้ กฤษณ์ใจดีจังนะ ไหนๆก็เป็นคนรู้จักกฤษณ์ เดี๋ยวพี่จะลดราคาให้ เดี๋ยวให้คนมาบริการให้ด้วยนะ ตามสบายเลยนะจ้ะ"

"ขอบคุณครับ"
สองพูด แต่ยังไม่ไป
จนกระทั่งลิลินเรียกสาวๆมาพาสองไปทัวร์ เจ้าสองมันจึงเดินไปพร้อมกับสาวๆเหล่านั้น ก่อนจะไปผมสบตากับมันแวบหนึ่ง ผมเห็นประกายในเเววตาไหววูบ

"แล้วเราจะทำอะไรดีละ? มาดื่มกันหน่อยไหมกฤษณ์"

...................................

ผมคุยกับลิลินหลายเรื่อง เธอบอกว่าผมดูโตขึ้นมาก ใจเย็น สุขุม ผมก็บอกว่าเธอเองก็โตขึ้นเช่นกัน 'หลายๆอย่าง'. เธอหัวเราะ
เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน หลายปีที่ไม่ได้พูดคุย

"จำได้ไหม ตรงฟลอร์นั้น กฤษณ์เคยเอาขวดเบียร์ฟาดไอ้ไทเกอร์ แล้วจับลินจูบต่อหน้ามันเลย"
เธอหัวเราะขำ หน้าเเดง

"มันลวนลามเธอนี่.."
ผมแก้ตัวถึงพฤติกรรมที่เคยทำเมื่อยังเด็ก แอลกอฮอล์ในมือเราทั้งคู่ทำให้มันออกรสชาติยิ่งขึ้น

"กฤษณ์เลยแก้เเค้นด้วยการลวนลามฉันเเทน แล้วป๊าก็มาเห็นพอดี กลายเป็นว่าป๊าเกลียดขี้หน้านายเลย
พวกนักเลงอยากแอ้มลูกสาวคนสวยของช้าน อย่าหวังเลยยย"
ลิลินยกแก้วขึ้นทำท่าขู่ ผมหัวเราะขำ

"ดีจริงๆนะ ที่ได้คุยกันอย่างนี้.."
ลิลินพูด ผมมองนาฬิกา

"ดูเวลาอีกแล้ว? อยู่กับลินน่าเบื่อขนาดนั้นเชียว"

"เปล่า..คือ"

"ไม่อยากให้เด็กในไร่นั้นกลับดึก?"

ผมพยักหน้า ลิลินหัวเราะเสียงหวาน ผมขมวดคิ้ว มีอะไรน่าตลกงั้นรึ

"น่าจะอยู่ที่Lobby Zone 3 น่ะ เด็กนั่นนะ.. ก็เวลาที่นายพูดถึงช่วงงานในไร่กับเด็กที่ชื่อสอง น้องเจ้าหนึ่งแล้ว สีหน้านายเหมือนเป็นกฤษณ์ สมัยที่ยังอยู่กับฉันเลยนี่"
ลิลินพูด ยิ้มเศร้าๆ ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าเธอจะสื่อว่าอะไร...

"คงดีกว่านี้ถ้าเธอจะพูดกับฉันตรงๆ"
ผมพูด

"ตอนนั้นก็ด้วย"

...................................

ที่ล็อบบี้ในโซน 3 ผมมองหาไม่นานก็พบเจ้าสอง ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตารื้นน้ำตานิดๆ...ซึ่งผมทายว่ามันแอบร้องไห้อีกแล้ว ..กำลังนัวเนียกับสาวน้อยพนักงานบริการคนหนึ่ง

ผมนิ่ง

ผมเดินก้าวยาวๆไปดึงมันขึ้นมา

"มึงเมา กลับ"

"ใคร?... ไม่ ! ไม่เอาไอ้พี่กฤษณ์ ไม่กลับ"
มันใช้มือเกาะสาวน้อยคนนั้นไว้ ไม่สนผม พยายามจะจูบต่อ

"เอ่อ..คุณสอง พอเถอะนะคะ ดิฉันไม่ได้ขายตั.."

ผมดึงมันขึ้นอย่างแรง

"มึงให้เกียรติน้องเขาด้วย"
เสียงผมเย็น ผมโกรธ อารมณ์บางอย่างปะทุขึ้นในใจ

"อย่ามายุ่งกับกู ไหนบอกจะปล่อยให้กูสนุกของกู ปล่อย!!"

"กูไม่เคยพูดอย่างนั้น"
ผมดึงมัน ถูลู่ถูกังไปจ่ายเงินแล้วออกมานอกร้านจนสำเร็จ มันเอาแต่งอแง

"มึงไม่บอกกูนี่ เพื่อนมึงเจ้าของร้านเป็นผู้หญิง สวยด้วย แฟนเก่ามึงด้วยย"

"มึงรู้?"

"เธอพยามบอกซะขนาดนั้น กูไม่ได้โง่!"

"มึงมันแย่ไอ้พี่กฤษณ์ ไหนมึงบอกว่าปล่อยกูอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่มึงทำ มึงปล่อย!! ...ฮึก"

"มึงแม่ง!!"
ไอ้สองพยามจะต่อยหน้าผม ผมรับหมัดไว้..แม่ง มือหนักชิบหาย

"แถมมึงยังลากกูออกมา กูกำลังจะได้จูบสาวสวยบ้าง ไม่ได้ ทีมึงทำอะ มึงทำได้!! ฮึก..แค่จูบกูยังทำไม่ได้.."

ผมมองมัน ก้มหน้าลง จูบเบาๆที่ริมฝีปากคนตรงหน้าหนึ่งที

"มึงทำได้"

ทฤษฎี 8 วินั่นท่าจะจริง...
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4:02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 02-11-2017 21:10:39
จิ้มมมมม ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่4:02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 04-11-2017 10:28:59
ตอนที่ 5 : รูปแบบของความรัก

'มึงทำได้'

แววตาที่จ้องมองผมอย่างจริงจัง ริมฝีปากที่ฉกฉวยรอยจูบไปจากผม
...แผ่วเบา รวดเร็ว นุ่มนวล...

...คนอย่างมึงทำ Butterfly kiss เป็นด้วยเรอะ

ผมลืมความโกรธไปชั่วขณะ
ผมมองหน้าไอ้พี่กฤษณ์อย่างสงสัย ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงอีกต่อไป

นี้ไม่ใช่จูบแรก

ไม่ใช่จูบที่เร่าร้อน
ไม่ใช่แม้กระทั่งจูบที่นุ่มนวลที่สุดที่ผมเคยเจอ

แต่เป็นจูบที่ทำให้ใจสั่นไหวมากที่สุด

ผมที่เคยจูบและถูกจูบมาไม่รู้กี่ร้อยครั้ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้กลับกลายเป็นเหมือนเด็กเล็กๆที่ขอร้องให้เขานำทาง...

"เอ่อ..นั่นแหละนะ"
ไอ้พี่กฤษณ์พูด ถอนหายใจ แล้วมองหน้าผม

"กูชอบมึง"

ผมนิ่ง

"แบบคนรัก"
เขาพูดต่อ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด ต้องหน้าด้านได้ขนาดไหนถึงจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ได้วะ..

"แต่ตอนนี้มึงเมา พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง"
จริง ผมเมา แต่ไม่ได้เมาขนาดนั้น...

"ไว้พรุ่งนี้กูค่อยบอกอีกที ปะ กลับบ้าน"
พี่กฤษณ์จับแขนผมลากขึ้นรถ ผมเดินตาม ขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย
ระหว่างทางเราไม่พูดอะไรกันเลย ผมอยากจะคิดอะไรซับซ้อน แต่สมองไม่อนุญาต
ผมจึงตัดสินใจนอน

..................................

ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องพี่กฤษณ์
ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่เมา ผมจะตื่นมาอยู่ห้องนี้เสมอ(อย่างกับหนังแฟนตาซี!)

อยู่ๆ ความทรงจำเรื่องเมื่อคืนก็ไหลกลับมา
เรื่องที่ผมทำตัวงี่เง่าโกรธมันในบาร์
รวมถึงเรื่องการจูบ และการสารภาพรัก

ผมหน้าร้อนผ่าว

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมองพี่กฤษณ์แบบคนรัก
ก็ช่วงหลังๆมันชอบแกล้งผมนี่ คนเราก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง

สมัยยังเป็นนักเรียน ด้วยหน้าตารวมถึงความสามารถ(ไม่อยากอวดเท่าไหร่ครับ เล่าประมาณนี้พอ!)
ทำให้ผมมีแฟนหลายคน คบทีละคนบ้าง เผลอทำผิดไปคบซ้อนบ้าง ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง(แน่นอนว่าไม่ได้บอกครอบครัว) ประสบการณ์และบทเรียนทั้งนั้น

และเพราะเหตุนี้ผมถึงรู้ตัว ผมอาจเป็นคนที่น่าสนใจ อยากคบด้วย
แต่ดูจะไม่ใช่แฟนที่ดีนัก...

ประสบการณ์ทำให้ผมกลัว ถ้าพี่กฤษณ์เข้ามาและกลายเป็นอีก'บทเรียน'หนึ่งของผมล่ะ
และที่นี้ประเทศไทย... ไหนจะครอบครัว หน้าตา สถานะทางสังคม เฮียจะว่าไง ป๊าอีก ม๊าล่ะ? ลุงชัยล่ะ? พี่กฤษณ์เป็นลูกคนโตไม่ใช่เหรอ แล้วผมจะอยู่ที่นี้ตลอดไปได้เหรอ หน้าที่การงานของผมล่ะ? การดูแลธุรกิจของครอบครัวล่ะ?

ปัญหามากมายแบบที่ผมคนเดียวคงไม่มีปัญญาแก้...

แต่พอคิดภาพพี่กฤษณ์อยู่กับผู้หญิงอื่น มีครอบครัว มีลูกเล็กๆที่น่ารัก...

ให้ตาย น้ำตาผมจะไหลอีกแล้ว
นี้กูอ่อนไหวง่ายเกินไปไหม ไอ้ชิบหาย..
 
เขาบอกว่าความรักคือการสุขใจเมื่อได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข
ความรักของผมคงยังไม่มากพอ

..................................

ผมตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการทำเป็นลืม
เห็นในหนังมีออกบ่อยไป เมาเหล้า มีSex ลืม
ผมก็จะลืมบ้าง ไอ้พี่กฤษณ์เองตอนนั้นมันก็กรึ่มๆแอลกอฮอล์เหมือนกัน
มันคงตั้งสติ กลับมาคิดได้เหมือนผม เราคงทำทุกอย่างเหมือนปกติ ...เหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น

หัวใจผมเจ็บแปลบ

"ตื่นแล้วเหรอมึง"
ไอ้พี่กฤษณ์เดินเข้ามา ในมือถือผ้าเช็ดตัว เขาโยนมาให้ผม

"ไปๆ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูพาไปหาอะไรกิน นี้มันสายแล้ว เรือนหลักเขากินกันไปหมดแล้ว"

ผมหลบตาวูบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตาหยี

"ก็กูแฮงค์นี่วะ"

ไอ้พี่กฤษณ์เอามือมายีหัวผม (เพื่อ?!!!) ก่อนจะก้มหน้าลงมาจ้องตาผมแบบที่เขาชอบ

"เออ ไอ้สอง กูชอบมึงวะ แบบคนรัก"

ไอ้เหี้ย!!! นี้มึง...กูรู้ว่ามึงเป็นคนตรงๆ แต่..มึงจะไม่คิดอะไรให้มันซับซ้อนกว่านี้หน่อยเหรอวะ?!
หรือมึงคิดแล้ว?!! หรือยังไง?!  เรื่องที่กูคิดจนเกือบร้องไห้ มึงกลับพูดออกมาได้หน้าตาเฉย!!

ผมทำตาโต

"กูว่ากูเมามากจำอะไรไม่ได้เลยเมื่อคืน"

"กูรู้มึงแดกเท่าไหร่ถึงจะจำไม่ได้ ไอ้ภาวะ black out จาก alcohol intoxication มึงคิดว่ามันเกิดง่ายเหมือนในนิยายทุกเรื่องรึไง อย่ามาโกหก"

ไอ้สัสมีรู้ทัน!! เสือกฉลาดอีก..แล้วกูควรทำยังไงนี้

"มึงชอบกูแบบคนรัก?"
ผมทวนอีกครั้ง ไอ้พี่กฤษณ์พยักหน้า

"มึงรังเกียจไหม ถ้าใช่ กูจะพยามตัดใจ"

มึงเล่นถามตรงๆอีกแล้ว... นี้ไงไอ้สอง จังหวะนี้แหละ ให้พี่กฤษณ์มันตัดใจ! ชีวิตมึงต้องใช้สมองมากกว่าหัวใจนะ
มึงคิดมาแล้วไม่ใช่เหรอ? มึงต้องรอบคอบนะ สถานะทางสังคม หน้าที่การงาน ไหนจะชีวิตพี่กฤษณ์อีก ถ้ามึงอยากให้เขามีชีวิตที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น..

"ถ้าไม่ล่ะ?"

"กูจะจีบมึง"

ผมนิ่ง คิด ทุกการวิเคราะห์สรุปให้ตอบว่าใช่ ตัวเลือกที่ถูกต้อง ตัวเลือกที่ฉลาด


"ไม่"

ผมตอบ
ผมไม่ใช่คนฉลาด นอกจากโง่แล้วยังดื้อสุดๆด้วย

ผมรู้ตัวดี
พี่กฤษณ์ก็รู้

..................................
หลังจากนั้นมาเป็นอาทิตย์
แม่งไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ไม่มีคำพูดหวานๆ การกระทำที่ทำให้เขิน ไม่มีดอกไม้(กูคาดหวังอะไรอยู่วะ?!)
ไม่มี...ไม่มีเหี้ยอะไรเลย!!

ไอ้พี่กฤษณ์มันยังคงเป็นคนเดิม ไปรับ ไปส่ง คอยดูแล พากินข้าว พาเที่ยวบ้าง กวนส้นตีนผม
คุยก็คุยแบบเดิม! ไม่ได้อ่อนโยนขึ้น
(ตบหัวกูแรงเท่าเดิมด้วย!)

"พี่กฤษณ์"
ผมถามขณะที่เรานั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารข้างทาง

"อะไรวะ"

"นี่มึงจีบกูแน่เหรอวะ?"

"ก็เออดิ ไม่งั้นกูจะพามึงมากินข้าวเหรอ ต้มเลือดหมูร้านนี้แม่งโคตรอร่อย"
พี่กฤษณ์พูดแล้วชี้ไปที่อาหารตรงหน้า...ก็อร่อยจริงๆนั่นแหละ..ผมเกือบเคลิ้มตาม!
แต่ไม่ได้ๆ นี้ไม่ใช่เหตุผล! นี้มันก็ทั่วๆไปปะวะ?! ผมจ้องหน้ามันอย่างเอาเรื่อง

"มึงดู ร้านนี้ มีแต่คนมากันเป็นคู่ นี้ร้านสำหรับคู่รักนะเลยนะเว้ย"
เออ ก็จริง! พอหันไปสังเกตรอบตัวถึงได้รู้ ว่าร้านต้มเลือดหมูนี้80%ของลูกค้า มาเป็นคู่ ...ทำไมมึงต้องมากินต้มเลือดหมูกันเป็นคู่ดูกระหนุงกระหนิงด้วยวะ?! ต้มเลือดหมูเนี่ยนะ?!!

แต่ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด เพราะคู่รักพวกนั้นกระหนุงกระหนิงกันเกินไปจนผมหมั่นไส้ ตักอาหารให้กัน เรียกกันหวานๆ บอกรักกัน...ที่หนักสุดคือ ไอ้คู่โต๊ะข้างๆ..แม่งจูบกันแล้วเอาเมนูอาหารบัง!! มึงรู้ใช่ไหมว่ามันบังได้ฝั่งเดียว!!
ผมมองตาค้าง

"มองไรวะ"
ไอ้พี่กฤษณ์ละสายตาจากต้มเลือดหมูมามองตามผม ...แล้วก็มองกลับมาหาผมอีกที
เขาขมวดคิ้ว

"อย่าบอกนะว่ามึงต้องการแบบนั้น?"

"ไอ้สัส จะบ้าเรอะ! แดกไปเหอะ ไม่ถงไม่ถามแล้ว!"
ร้านนี้ชั้นสองมึงควรมีห้องพักบริการลูกค้านะ..
หลังจากทานเสร็จเราก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปจ่ายเงิน
ไอ้พี่กฤษณ์เดินมาใกล้ผม เขาก้มหน้า และ...

"จุ๊บ"

จุ๊บหน้าผากผม 1 ที

"ระดับกู ไม่ต้องปิด"
ไอ้พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมแล้วเดินไปจ่ายเงิน

...ไอ้เหี้ยยย มึงมันหน้าด้านกว่าโต๊ะข้างๆเราซะอีก!
..................................

"คุณกฤษณ์คะ ฟางส่งข้อมูลเบื้องต้นให้ในไลน์แล้วนะคะ ช่วงนี้ทำงานสบายเลยนะคะ มีคุณสองช่วยตลอด"
คุณฟางเป็นเลขาของพี่กฤษณ์ครับ เธอเป็นคนเก่ง น่ารัก มีความสามารถ ผมได้เรียนรู้งานหลายๆอย่างเกี่ยวกับเอกสารจากเธอนี้แหละ

"ไม่รู้ช่วยหรือยุ่งนะ ฮ่าๆ แต่เจ้าสองก็ทำงานดีจริงๆ ต้องขอบคุณน้องฟางที่ช่วยสอนนั่นแหละ"
ผมหน้างอ เรียกกูว่า เจ้าสอง ไอ้สอง ไอ้เหี้ยสอง ..เรียกคุณฟางว่าน้องฟาง!

"ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ คุณสองฉลาดค่ะ เรียนรู้เร็ว...งั้น ฟางลาล่ะนะคะ"

"ครับ เดินทางกลับปลอดภัยครับ"

"Goodbye ครับ คุณฟาง" อันนี้ผมพูดเอง

"มึงมีไลน์ด้วยเหรอพี่กฤษณ์"

"มีดิ ทำไมวะ"

"มึงรู้ไหม คนสมัยนี้เขาจีบกันทางไลน์"

พี่กฤษณ์เงยหน้าจากเอกสาร มองผม แล้วขำพรืด

"มึงอยากให้กูทำอะไร?"
เขาพูดพลางหัวเราะ ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน

"กูไม่ได้อยาก กูแค่บอกเฉยๆ"

พี่กฤษณ์ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน ยืดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินมาหาผม

"กูจีบมึงจริงๆสอง กูจริงจัง.."

ผมกำลังอ้าปากจะเถียง

"แต่กูจะมาจีบมึงทั้งวันไม่ได้ กูก็มีงาน มีภาระหน้าที่ มึงก็เหมือนกัน การไปรับไปส่งมึง คอยดูแลโน้นนี่เพราะกูเป็นห่วง นั่นกูก็จีบมึง แต่ที่มึงอาจจะรู้สึกธรรมดา เพราะกูก็ทำแบบนี้มาตลอด"

"กูไม่ได้รู้สึกธรรมดา กูเข้าใจๆ"
ผมรีบพูดเพราะกลัวพี่กฤษณ์เสียใจ

"กูทำอะไรหวานๆไม่เป็น กูจีบแบบคนสมัยนี้อย่างที่มึงบอกก็ไม่เป็นด้วย ..มึงจะให้กูเอาเวลาไหนไปไลน์หามึงทั้งวัน หือม์? อีกอย่าง มึงตัวเป็นๆก็อยู่กับกูตลอดอยู่เเล้ว"
ผมพยักหน้ายอมรับ ทำไมกันนะ..ผู้ชายคนนี้ ถึงได้รู้วิธีพูดได้เถรตรง ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองได้ขนาดนี้

"มึงก็เห็นแล้วกูงี่เง่า เอาแต่ใจตัวเองและจะร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆถ้าถูกตามใจ กูคบกับแฟนคนก่อนๆไม่ได้นานส่วนใหญ่ก็เพราะเเบบนี้แหละ"
ผมพูด ก้มหน้ายอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง แบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน

"กูเห็น ก็ไม่เป็นไร กูก็มีข้อพลาดเหมือนกัน ยังไงก็เรียนรู้และปรับกันไป ส่วนดีๆของมึงมีอีกเยอะ
 กูชอบมึงทั้งหมดนั่นแหละ"

ผมมองหน้าพี่กฤษณ์ และทันใดนั้นคำถามก็ผุดขึ้นมา ผมเผลอพูดไปอย่างไม่ทันยั้งคิด

"แฟนคนก่อนๆของมึงปล่อยมึงมาถึงมือกูได้ไงวะ?"

..................................

 "มึงกับน้องอิงไปถึงไหนกันแล้ววะ น้องเขาไปหามึงอยู่ขอนแก่นด้วยเหรอ เห็นแท็กในไอจีบ่อยๆ ไม่เห็นเล่าให้กูฟัง"
ไอ้ตั้มพูดกับผมผ่านวิดิโอคอล ในอ้อมแขนมันอุ้มเจ้าไซย่า(สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์) พลางขยับมือให้เจ้าหมาทักทายผมด้วย

"ไง ไซย่าคนสวย~ แท็กอะไรวะ โทษทีช่วงนี้กูยุ่งๆ แม่ง ไม่ได้เข้าไปเช็คเหี้ยอะไรเลย"

"ใช้งานมึงเยอะไปไหม ไอ้พี่กฤษณ์อะไรของมึงเนี้ย"

"ไม่ใช่ของกู!"
ผมพูด หน้าแดงเล็กน้อย ไอ้ตั้มขมวดคิ้ว

"โอ้ยไอ้สัส กูไม่ได้หมายความว่างั้น มันเป็นประโยคทั่วๆไป!"

"ก็ กูอยากทำเองแหละ มันก็สนุกดี"

"ชาวไร่ชิบหาย! มึงเข้าไปดูไอจีเดี๋ยวนี้เลย รึให้กูเปิดให้ดู นี่"
มันไม่รอผม กดเปิดไอจีสาวอิงอิง(เจ้าปัญหา!) แล้วโชว์ภาพ หลายๆภาพที่เเท็กผมมาผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยสักนิด

"เค้าเผลอคิดว่ากูเป็นเจ้าของสตาร์บัคปะวะ ?"

"ถ้างั้นเค้าก็คงคิดว่ามึงเป็นเจ้าของแชเเนล,เป็นดอกไม้,เป็นมือปริศนาในร้านอาหารแล้วล่ะสัส! สรุปไม่ใช่มึงใช่มะ?"

"กูทำไร่อยู่"
ผมพูด น้ำเสียงโกรธนิดๆขณะไล่ดูภาพ เธอต้องการอะไรจากผม สารภาพว่าคืนนั้นหลังจากจูบกันในรถ ผมขึ้นไปต่อกับเธอที่คอนโด ก็พอใจกันทั้งสองฝ่าย ผมไม่ได้บังคับเธอ แต่ที่เธอทำ มันมากเกินไป มันลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวผม
แต่ผมไม่มีที่ให้ป่าวประกาศ

ไอจีหรือแอคเคาท์ทางโซเชียลของผมล้วนแล้วแต่เป็นของส่วนบุคคล
ผมก็เล่นเหมือนคนทั่วๆไป แต่ไม่ใช่เพื่อความดังแบบพวกดารา เซเลป หรือไฮโซที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่องเหมือนไอ้ตั้ม

"กูทำอะไรผิดวะตั้ม กูไม่อยากยุ่งกับพวกนี้ น่ารำคาญ"

"มึง เอา เค้า "

"ไอ้สัส ก็เค้า ..เออ กูเริ่มก่อน แต่ไม่สิ เค้าเริ่มอ่อยกูก่อน! เป็นมึงจะทนได้หรอวะ"

ไอ้ตั้มส่ายหัว ผมถอนหายใจ นึกถึงคำปรึกษาของพี่กฤษณ์

"ช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวกูไปลบแท็กออก แจ้งว่าแท็กบุคคลผิด มีปัญหาอะไรก็ค่อยแก้ตามกันไปแล้วกัน"

"เมื่อไหร่มึงจะได้กลับวะ"
ไอ้ตั้มถาม ปล่อยเจ้าไซย่าไปวิ่งเล่น ผมใจหายวูบ ..พึ่งรู้สึกตอนนี้เองว่า ยังไม่อยากไป

"ไม่รู้ เมื่อมึงเลิกยุ่งกับกูมั้ง"
ผมแซว มันกับผมรู้กันดี ครอบครัวผมเกลียดมันจะตาย

ผมรู้ว่าใครต่อใครคิดยังไง ทุกคนที่เคยผ่านช่วงวัยรุ่น คุณๆทั้งหลาย ต้องเคยเจอบ้างล่ะ
เพื่อนบางคนที่พ่อแม่พี่บอกแล้วว่าอย่าไปคบ ไอ้เพื่อนคนนี้มันอันตราย มันจะชักจูงลูกไปในทางที่ผิด
แต่คุณก็ยังฝืนคบ ก็...เฮ้! ผมเป็นคนคบ ไม่ใช่ครอบครัวนะ!
และมันจำเป็นด้วยเหรอว่าเพื่อนรักเราจะต้องเป็นคนดีที่สุด เป็นคนที่ครอบครัวไว้ใจได้

ไอ้ตั้มเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่อดทนคบกับผม ไม่ว่าระยะใกล้หรือไกล มาเป็นเวลา 11 ปี
ผมไปเรียนต่อมัธยมปลายที่ต่างประเทศ ปกติเพื่อนเราอยู่ห่างๆกัน ต่อให้สนิทแค่ไหน ความสนิทสนมและเวลาพูดคุยก็ค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆตามระยะเวลา แต่อีก 8 ปีที่เหลือ เราคบกันแบบระยะไกลล้วนๆ(จะว่างั้นก็ไม่เชิง มันบินมาเที่ยวNYCบ่อยๆ)และยังสนิทกันอยู่เช่นเดิม

ถ้าไม่ใช่เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ ก็คงเพราะมันมีจุดประสงค์บางอย่างที่เหนียวแน่น
สิ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งสำคัญ เฮียหนึ่งไม่เคยมองเรื่องนี้ แต่ผมมอง

หลังจากนั้นผมก็คุยสัพเพเหระเรื่องงานในไร่ มันก็คุยเรื่องที่มันเองกำลังเตรียมตัวเข้าเป็นบอร์ดบริหารในบริษัท

"ถ้าบอร์ดบริหารไม่จำกัดอายุนะ ป่านนี้กูได้เข้านานละ"

"ขี้คุยชิบหายไอ้สัส"

"ก็จริง! คุณสมบัติกูพร้อมยิ่งกว่าพร้อม ไอ้ข้อเคยบริหารบริษัทหรือโรงงานมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้าน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี ผลกำไรขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นไง ไหนจะอัตราถือหุ้นอีก แม้กูจะเอาเงินครอบครัวมาก็เหอะ แม่ง ทำไมต้องอายุอย่างน้อย 35 ด้วยวะ!"

"ประสบการณ์ไง มันช่วยให้มึงตัดสินใจได้ดีขึ้น บริษัทใหญ่ขนาดนี้แถมเป็นกึ่งรัฐบาลด้วย
เขาคงไม่อยากได้บอร์ดบริหารเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ทำอะไรก็ยังมีแต่ประสบความสำเร็จหรอก เขาต้องการคนที่เคยเจอปัญหามาหลากหลาย ผ่านความกดดันได้และยังตัดสินใจได้ดี"

ผมพูด หยิบป๊อกกี้ที่ไอ้พี่กฤษณ์ซื้อให้มาเปิดกิน

"เออกูจะยอมก่อนรอบนี้ สะสมบุญไป แม่ง เซ็งชิบหาย น่าจะตายๆไปให้หมด ไอ้พวกที่บ้านกูก็เหมือนกัน.."

ไอ้ตั้มกับครอบครัวมันมีปัญหาไม่ลงรอยกันตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวมันแต่งงานกันเพราะสถานะทางสังคม อยู่ใครอยู่มัน ไอ้ตั้มเรียนไม่จบปริญญาตรีจริงๆ แต่ก็มีใบที่ซื้อมา(ซึ่งไม่ค่อยมีค่าอะไรนัก มันบอก) มันถึงมีเวลาไปทำโรงงาน ผลิตสิ่งที่ต้องใช้ในการก่อสร้างทั้งหลาย มันหาเงินใช้ได้เองตั้งแต่ม.ปลาย แต่ก็ยังต้องกลับไปพึ่งใบบุญครอบครัวอยู่เนืองๆ ผมฟังมันบ่นเรื่องครอบครัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู

"พ่อกูเรียกไปแดกข้าวแล้วว่ะ"
ผมหมายถึงไอ้พี่กฤษณ์

"เออไปเหอะ ว่างๆกูจะไปหา ไปได้ปะวะ"

"ใครจะห้ามมึงได้"
ผมตอบ ปิดวิดิโอคอล

เย็นวันนั้นหลังผมทานข้าวเสร็จ เมื่อกลับมาเช็คในไอจี
อิงอิงลบรูปที่เธออ้างเกี่ยวกับผมออกทั้งหมดและขึ้นภาพน่ารักๆภาพใหม่ ที่แท็กไอ้ตั้มแทน

..................................

"เอ้อ เย็นนี้ มึงอยากไปเที่ยวบาร์ไหม?"
พี่กฤษณ์ถามขึ้นขณะกำลังขับคุณนายแดงไปส่งผมที่บ้านพัก

"บาร์ของ'เพื่อน'มึงน่ะเหรอ?"
ผมถาม เสียงเย็น เน้นคำว่าเพื่อนมากเป็นพิเศษ

พี่กฤษณ์หันหน้ามามองผม เลิ่กลั่กหน่อยๆ
"ก็ใช่ ก็พอดีเพื่อนกูคนหนึ่งพึ่งกลับจากจีน เลยต้อนรับกันที่นั่น  เผื่อมึงอยากไปเที่ยวด้วย แต่ถ้ามึงไม่อยากไป.."

ผมคิดถึงภาพในวันนั้น ใบหน้าสะสวยร้อนแรงกำลังจูบกับคนข้างๆผม คำพูดเชื้อเชิญที่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ได้รู้ตัวเอาเสียเลย ...ถ้าผมไม่ไปแล้วไอ้พี่กฤษณ์เดินไปสะดุดหลุมที่ผู้หญิงคนนั้นขุดไว้ล่ะ

ไม่อยากให้ไปเลยเว้ย!!

แต่ผมเป็นใครล่ะ จะมีสิทธิอะไรไปหวงเขา

"กูไป"
ไอ้พี่กฤษณ์พยักหน้ารับ

"พี่กฤษณ์ มึงขอกูเป็นแฟนได้ยัง?"
ผมถาม หันไปมองคนข้างๆ พี่กฤษณ์เกือบเบรครถ

"ตกลง"

"ตกลงพ่อง! กูให้ขอ!"
ผมพูดอย่างหงุดหงิด หน้าแดงด้วยความอาย. เออ...กูติดนิสัยหน้าด้านมาจากมึงทีละนิดแล้วนะ!!

"สอง มึงเป็นแฟนกับกูนะ"
คนข้างๆปล่อยมือจากเกียร์รถ มากุมมือผม

"เออ ก็ได้"

..................................

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก.."
หลังจากผมอาบน้ำเเต่งตัวเสร็จ พี่กฤษณ์ก็จะมารับเพื่อเดินทางไปบาร์ XXX เพราะเป็นเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาของเพื่อนเก่า เวลาเริ่มงานจึงไม่ดึกนัก

"เออ.."
ผมเปิดประตูออกไป ก็พบพี่กฤษณ์ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีดำลุ่มลึก ริมฝีปากที่รับกับใบหน้า ผิวสีเเทน เสื้อเชิร์ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ ...

"ทำไมมึงแต่งตัวงี้วะ?"
ผมถาม ปกติรสนิยมการแต่งตัวไอ้พี่กฤษณ์เป็นสไตล์ลุงชัย!

"กูไม่อยากเเต่งเต็มแบบปกติไง เดี๋ยวกูหล่อเกินไป มึงจะหวง"
มึงเข้าใจอะไรผิดล่ะไอ้เชี่ยกฤษณ์! แบบนี้กูจะหวงกว่าเก่า

ก็กูมีสิทธิหวงแล้วนี่
ผมคิดอย่างมีความสุข นิสัยเอาแต่ใจไม่ใช่เรื่องที่จะแก้กันง่ายๆ

..................................

"ไอ้เสือกฤษณ์!! มึง สบายดีไหมวะ!!"
เพื่อนคนหนึ่งของพี่กฤษณ์เข้ามาทักทายเราเป็นคนแรก ก่อนจะพาเดินไปที่ชั้น VIP

"เรื่อยๆแหละว่ะ มึงเป็นไงมั่งไอ้นพ มึงมาจากเชียงใหม่เลยไหมเนี่ย"

"ก็เออดิวะ มุกดากลับมาไทยทั้งทีนะเว้ย คนสวยสุดในภาคเรา กูก็ลงทุนหน่อย มึงอย่ามาแย่งกูละกัน"

มึงไม่เห็นบอกกูว่าคนที่กลับมาเป็นผู้หญิง ผมมองหน้าพี่กฤษณ์

"แล้วนี่ใครวะ"
เพื่อนพี่กฤษณ์ถามพลางมองมาทางผม

"แฟนกูเอง"

..................................

ไอ้พี่กฤษณ์มันเป็นเสือจริงๆด้วย ดูเหมือนใครต่อใครก็อยากเข้าหา พูดคุยกับเขา
พอมาสังสรรค์กับเพื่อนเก่า พวกเขาก็มักจะคุยกันเรื่องความหลัง ทำให้ผมได้ฟังเรื่องของเขาเยอะแยะ
สมัยยังหนุ่ม(?) เขาดูจะเป็นคนที่บ้าระห่ำอยู่เหมือนกัน

ขณะวงสนทนากำลังออกรสชาติ สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่ผมคุ้นหน้าก็เดินมา

"ไง หนุ่มๆสาวๆ คุยกันออกรสชาติเชียว"
เธอชื่อลิลิน เป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่และมีเสน่ห์ ถ้าไม่ติดว่าเธอชอบส่งสายตาลึกซึ้งให้กับไอ้คนที่ชอบหัวเราะไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอยู่ข้างๆผมเนี่ย ผมคงชอบเธอมากกว่านี้

เธอขยับมานั่งข้างไอ้พี่กฤษณ์ ผมขยับมือไปจับมือที่ว่างอยู่ของพี่กฤษณ์ บีบเบาๆ เขาบีบกลับ

"ลิลิน นี้สอง แฟนผมเอง"

ผมอึ้ง เธอตกใจเหมือนทุกคนที่ได้ยิน และก็หัวเราะ คงคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่พี่กฤษณ์มองเธอนิ่งๆ เธอจึงมองกลับ

"ฉันรู้ๆ ตั้งแต่วันนั้นแล้ว"

น้ำเสียงเธอฟังเศร้า เชื้อเชิญ ในมือถือแก้วไวน์สั่นไหวเล็กน้อย

"อยากรู้ว่าเขามีดีอะไรนอกจากหน้าหล่อๆนั่น... นายก็เหมือนกัน"
เธอพูด ตัดพ้อเล็กน้อย

" กูไปเข้าห้องน้ำนะ"
ผมยื่นหน้าเข้าใกล้ไปกระซิบ แต่สายตาจับจ้องอยู่ที่ลิลิน เธอมองผม ขมวดคิ้ว

ความดีกูนะไม่ค่อยมีหรอก แต่ถ้าไอ้เรื่องนิสัยตัวร้ายละก็ กูได้คะเเนนเต็ม!

..................................

ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในรถคุณนายแดง เดินทางกลับบ้าน
วันนี้ผมไม่ค่อยได้ดื่มนัก จึงไม่เมา ส่วนพี่กฤษณ์เองก็เป็นคนประเภทที่จะยั้งตัวเองตอนดื่มเสมอ
จึงไม่ได้มีโอกาสเห็นมันเมาบ่อยนัก

"มึงนี่น่ารักจริงๆ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอามือมายีหัวผมเล่น
ผมไม่ปลื้มกับไอ้คำชมน่ารักเท่าไหร่ แต่พอออกจากปากมันแล้วฟังยังอดเขินไม่ได้

"มึง..หน้าหนากี่ชั้นวะ"
ผมจิ้มๆเข้าที่แก้มมัน

"มาวัดใกล้ๆ"

ไอ้สัส!! ผมหันหน้าไปทางอื่น ..ตั้งแต่กูตกลงคบด้วยเนี่ย คำพูดมึงชักจะลวนลามกูอยู่เรื่อยๆล่ะนะ
โชคดีที่กูไม่ค่อยสงวนเนื้อตัวเท่าไหร่ เลยไม่ถือสา!

"มานอนกับกูไหมวันนี้"
ไอ้พี่กฤษณ์ถาม ผมอึ้ง

"เป็นแฟนกันวันแรกก็จะเอาเเล้วเหรอวะ?! กูคิดถูกไหมเนี้ย?!!"

"ไม่ใช่สัส! เผื่อมึงอยากนอน ปกติตอนมึงเมามึงจะชอบอยากนอนห้องกูไง ไม่รู้เป็นเหี้ยไร"
ประโยคหลังพี่กฤษณ์มันบ่นอุบอิบ ทำไมมึงพูดเหมือนกูดูแรดๆวะ?

"เออ ก็ได้"
หรือว่ากูแรดจริง?!

คืนนั้นผมนอนห้องพี่กฤษณ์ น่าจะเป็นคืนแรกที่ได้นอนแบบมีสติครบถ้วน
 ผมปล่อยความคิดความกังวลทั้งหลายให้หลุดลอยไป ไม่สนอดีต ไม่สนอนาคต ผมอยู่กับปัจจุบัน
อยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง อ้อมกอดที่แข็งแรงพอจะปกป้องผม และไม่รัดแน่นจนเกินไป

..................................

"ตื่น"
ผ้าห่มถูกดึงออกไปอย่างโหดร้าย ผมลุกขึ้นก่อนจะยกนิ้วกลางให้ กิจวัตรดำเนินไปเหมือนอย่างปกติ
เรียบง่าย ไม่หวือหวา ทว่าสงบสุข

พี่กฤษณ์ไม่ใช่คนโรแมนติก อย่างมากที่เขาทำคือการแซวให้ผมเขิน(ซึ่งจุดประสงค์หลักคือการกลั่นแกล้ง)
เขายังคงทำทุกอย่างเหมือนปกติ ไปรับ ไปส่ง ดูแล พาไปกินข้าว

น่าแปลกที่ผมไม่ค่อยรู้สึกน้อยใจเหมือนตอนแรกๆ
อาจเพราะผมรับรู้ได้ว่าในทุกๆการกระทำของเขาทำมาจากความรัก ความเอาใจใส่
คำพูดห่ามๆกับการแซวหยอกล้อก็เพราะเป็นคนที่ทำอะไรหวานๆไม่เป็น

ผมเข้าใจเขามากขึ้น

นี้คือพัฒนาการของความรักหรือเปล่านะ..?
เข้าใจ ยอมรับที่เขาเป็น ไม่ได้คาดหวังอยากให้เป็นอย่างที่ต้องการ

ความรักของผมตอนนี้ไม่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผมเคยมีความรักที่เร่าร้อน ดูดดื่ม ยั่วยวน
เคยมีความรักที่ตื่นเต้น ต้องหลบๆซ่อนๆ
เคยมีความรักที่รู้สึกว่าตนกับคนรักดึงดูดกันเหมือนเเม่เหล็กคนละขั้ว

แต่ความรักครั้งนี้มีอะไรหลายอย่างมากกว่าความรู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อสัมผัสกัน
อะไรบางอย่างที่มั่นคงกว่านั้น

..................................

"ยินดีด้วยนะเจ้าสอง ในที่สุดก็ผ่านการประเมินแล้วนะ"
ลุงชัยพูดขึ้นระหว่างที่ทุกคนทานอาหารเช้า

"ยินดีด้วยนะคะพี่สอง!! โหยย แก้วเสียดายแย่! มาเยี่ยมเราบ่อยๆหน่อยนะคะ"
น้องแก้วพูดก่อนจะทำหน้าเศร้า

"เดี๋ยวเตรียมตัวสะสางอะไรให้เรียบร้อย อาทิตย์หน้ากลับได้เลยนะ เราคงต้องจัดงานเลี้ยงส่งเจ้าสองกันหน่อย ใช่ไหม กฤษณ์"

"ครับ"

"เดี๋ยวบอกลุงป่องเอาเหล้าที่ดีที่สุดมาด้วย ฮ่าๆๆ สองคงคิดถึงที่นี้แย่เนอะ"

ผมนิ่ง ในหัววุ่นวายไปหมด เพราะที่ผ่านมาเลือกที่จะตักตวงความสุขจากปัจจุบัน
ผมไม่คิดถึงอนาคต แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มาถึงจนได้

"สองคงคิดถึงที่นี้มาก"
ผมพูด เม้มปาก พยายามข่มสีหน้าที่ดูขี้เเยเอาไว้
พี่กฤษณ์ยื่นมือมาลูบหัวผม..

ผมลุกขึ้นพรวด เดินไปเข้าห้องน้ำ

..................................

"ตืด...ตืด...ตืด.."

โทรศัพท์เข้า ผมพยายามรีบเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็รู้สึกมีความหวังเล็กๆ

"ฮัลโหล เฮีย..สองยังไม่อยากกลับไปเท่าไหร่ ขออยู่ต่อได้ไหม เฮียก็รู้ว่าสองโง่อ่ะ ไปนั่นเดี๋ยวถูกชักจูงไปทางที่ผิดอีกจะทำไง..ไอ้ตั้.."

"เฮียรู้เรื่องสองกับไอ้กฤษณ์เเล้วนะ"
ปลายสายตอบกลับมา น้ำเสียงเย็น

"เฮียถึงได้ให้เวลา 1 อาทิตย์, จัดการให้เรียบร้อยเเล้วกลับบ้านซะ"

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากผม ปลายสายจึงพูดต่อ

"อย่าทำให้ครอบครัวเป็นห่วง"



จบไปแล้วนะคะสำหรับตอนที่ 5  o22
สำหรับตอนนี้ก็จะเป็นตอนที่เน้นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองในเเบบคู่รัก(?) ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
แต่ละคนได้ค่อยๆก้าวไปทำความรู้จักชีวิตของอีกฝ่าย รู้จักสังคมหรือเข้าใจเรื่องราวที่ได้ผ่านมา
ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่ฉาบฉวย เต็มไปด้วยความเอาใจใส่

นอกจากความรักในแบบคู่รักแล้ว
ในตอนยังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบของความรัก ความสัมพันธ์แบบเพื่อนและครอบครัวของสอง
และมุมมองที่เขามีต่อเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงมีชื่อว่า รูปแบบของความรัก ค่ะ :กอด1:

เอาใจช่วยความรักของเฮียกฤษณ์และเจ้าสองกันต่อไป
ความหน้าด้านอดทนจะช่วยให้พวกเขาผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้หรือไม่
หรือนี้จะเป็นนิยาย Realistic ที่พระเอกนายเอกต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต
แล้วเจ้าตั้มมันรักสองจริงหรือมีจุดประสงค์แอบแฝง
ยัยดาราอิงอิงไปไหนแล้ว? สองจะกลับกรุงเทพหรือไม่ ถ้ากลับแล้วจะไปอยู่สังคมยังไง

แล้วตอนต่อไปจะให้เฮียบรรยายเรื่องอะไร(?!!!)

ติดตามต่อได้ในตอนที่ 6 ค่ะ  :z3:

//โค้ง

#Anynomous

จิ้มมมมม ค่ะ

  :z13:  ง่ะ เขินจัง ขอบคุณที่ติดตามค่ะ!

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่6:06/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 06-11-2017 14:41:14

ตอนที่ 6 : ความเป็นผู้ใหญ่

ตอนที่รู้ตัวว่าชอบมัน ตอนที่มันยอมให้ผมจีบ หรือตอนที่คบกันเป็นแฟน
ผมตัดสินใจนานเเล้วว่าจะดูเเล รับผิดชอบ และรักเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นคนรักได้

สารภาพว่าตอนแรกผมตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
ทั้งชีวิต 28 ปี ผมไม่เคยตกหลุมรักผู้ชายมาก่อน แถมยังเป็นไอ้เด็กอมมือขี้แยที่ไม่มีอะไรน่ารักเลยสักนิด
ไม่ได้บอบบางอ่อนหวานเหมือนผู้หญิง ไม่ได้เซ็กซี่มีส่วนโค้งเว้าเย้ายวน

 แต่ความรักก็คือความรัก
มันไม่ได้แบ่งแยกผู้คน ไม่มีกฎเกณฑ์

เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างความรัก
มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่ต้านทานอะไรไม่ได้ (เหรอวะ?)

ผมยอมรับความจริงพอๆกับที่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง
ผมไม่ได้ปิดบังเรื่องที่คบกับเจ้าสองเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร
ตลอดชีวิตของผมได้เรียนรู้อยู่เรื่องหนึ่ง สังคมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
ผมไม่สามารถปรับตัวเองให้ถูกอกถูกใจทุกคนได้

เพราะเมื่อเรายืนอยู่ในที่ที่มีคนมากมาย
การจะหลบสายตาคนมองมันเป็นไปไม่ได้
แต่เราเลือกได้ว่าจะให้การมองของคนเหล่านั้น มีผลกระทบต่อเรามากน้อยแค่ไหน

ผมตัดสินใจโทรบอกไอ้หนึ่งด้วยตอนที่ตกลงคบกับเจ้าสองเป็นแฟน
ยังไงก็พี่มัน แถมเรายังรู้จัก สนิทกันดี
ผมไม่อยากทำตัวลับๆล่อๆเหมือนทำความผิด

"..มึงล้อเล่นใช่ไหมไอ้กฤษณ์"
ประโยคแรกของไอ้หนึ่งหลังจากผมบอกเสร็จ

"กูไม่ได้ล้อเล่น ไอ้สองมันก็ตกลง กูไม่ได้บังคับมันนะ"

"....มึง..มึงก็รู้ มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? มันไม่มีอนาคต? มึงทำอะไรเนี่ย?"

"อะไรที่เป็นไปไม่ได้วะ?"

"ก็พวกมึง ..ความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ยืนยาว มึงก็รู้ มึงโตแล้วนะเว้ย.."
"ความสัมพันธ์แบบไหนวะ กูก็รักไอ้สองมันจริงๆ น้องมันก็รักกู(ไม่งั้นไม่ตกลงหรอก กูเข้าข้างตัวเองแปป)
เรื่องยืนยาวไม่ยืนยาว มันเป็นอนาคต กูก็ไม่รู้ เวลามึงคบกับใคร มึงก็อยากจะคบให้ยาวทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เหรอวะ?"

"แต่พวกมึงเป็นผู้ชายทั้งคู่!! ไอ้สัส โอเค กูไม่รู้ว่ามึงไปเป็นเกย์ตอนไหน แต่มึงคบไปแล้วไงต่อ มึงแต่งงานไม่ได้ มีลูกไม่ได้ แล้วครอบครัวมึงกับป๊าม๊ากูจะยอมรับเหรอวะ? แล้วคนอื่นจะคิดยังไง? กูไม่อยากให้น้องกูถูกสังคมมองว่าเป็นตัวประหลาด หรือน่ารังเกียจ! มึงเข้าใจกูใช่ไหม?!"
เสียงปลายสายเริ่มพูดยาวขึ้น มีอารมณ์มากขึ้น

"ไอ้กฤษณ์?!!"

"เออ กูเข้าใจ"
ผมนิ่ง พยายามข่มอารมณ์เช่นกัน

"ไอ้หนึ่ง ที่กูคบกับน้องมึง ไม่ใช่เพราะกูอยากแต่งงาน อยากมีลูก
กูแค่รักน้องมึง อยากดูแล อยากมีมันอยู่ใกล้ๆ แบบที่คนรักกันเขาทำ ครอบครัวกูยอมรับ กูบอกแล้ว
ครอบครัวมึงกูไม่รู้ กูพึ่งบอกมึง กูอาจขึ้นไปคุยกับป๊าม๊ามึงในเร็วๆนี้ก็ได้ ถ้ามึงอนุญาต
คนอื่นจะคิดยังไงกูไม่รู้ แต่ที่มึงว่าสังคมจะมองน้องมึงอย่างนู้นอย่างนี้ มึงกลัว มึงเคยถามน้องมึงสักครั้งไหมว่ารู้สึกยังไง มึงกลัวสังคมมองน้อง? มองมึง? หรือครอบครัวมึงกันแน่? แล้วไอ้สังคมที่มึงว่าเนี้ยมันเป็นใครวะ
มองแล้วยังไงต่อ? ซุบซิบนินทา? แล้วไง หุ้นบริษัทมึงจะตกเหรอ หรือน้องมึงจะไม่มีโอกาสสืบสานงานต่อเพราะคุณสมบัติไม่พร้อม เพราะน้องมึงเป็นเกย์ อย่างนี้เหรอวะ? กูตอบมึงทุกข้อแล้ว มึงตอบกูมาบ้าง"

ผมพูด ปลายสายเงียบไป ผมไม่อยากพูดต่อเหมือนกัน ไอ้หนึ่งมันมักจะคิดว่าน้องมันอ่อนแออยู่เสมอ
ยังติดภาพเด็กขี้เเงที่ให้มันปกป้อง ผมรู้ มันรักน้องมันยิ่งกว่าใคร เผลอๆจะรักยิ่งกว่าพ่อแม่
ผมคงจะห้ามมันไม่ให้ห่วงน้องมันไม่ได้ ผมเคารพความคิดมันในฐานะพี่ชายของคนที่ผมรัก
แต่ในเรื่องการตัดสินใจ แน่นอนว่าผมต้องให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของคนที่ผมรักมากกว่า

"...กฤษณ์ มึงทำให้กูไม่มีทางเลือก เพื่อน"

" กูให้เวลามึงจัดการเรื่องต่างๆให้ถูกต้อง"
ปลายสายพูดก่อนจะวางสายไป

...................................

มันไม่บอกผมเรื่องเรียกตัวสองกลับ แต่กลับเลือกบอกลุงชัยก่อน
ตอนที่ผมเห็นสีหน้าที่พยายามอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ของเจ้าสอง หัวใจผมก็เจ็บจนอยากจะร้องไห้ตาม

นี้เหรอความถูกต้องของมึง?
นี้คือความรักของครอบครัวงั้นสิ...

ผมยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ
ผมจะต้องเข้มเเข็ง เป็นหลักให้มัน การยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตนเชื่อไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ค่านิยมของความถูกต้องมองข้ามสถานะความเป็นมนุษย์ เหลือเพียงแต่เพศสภาพและความเหมาะสม

ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ผมจะเชื่อ และจะทำให้ดูว่าผมแข็งแกร่งพอ มีคุณสมบัติมากพอจะทำให้มันยอมรับและอยู่เคียงข้างผม
มากพอจะปกป้อง ดูแลซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเวลาที่สุขหรือทุกข์

"ตามพี่สองไปหน่อยพี่"
ยัยเเก้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทุกคนในโต๊ะก็มองหน้าผมด้วยสีหน้าเห็นใจ
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้น

...................................

เจ้าสองออกจากห้องน้ำและเห็นผมยืนรออยู่ ดูจากสีหน้า และเเววตารื้นน้ำตาเหมือนจะร้องไห้อีกรอบแล้ว
ดูเหมือนผมต้องหยุดเจ้าขี้เเยนี้เสียก่อน

"ร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นเด็กเลยน่ะมึง"
มันหน้างอ เหลือบตามองผมด้วยการไม่พอใจ

"ใครจะไปใจเเข็งเหมือนมึงล่ะ นี้คงอยากไล่กูกลับใจจะขาดสินะ"
ผมใจกระตุกวูบ ไล่มึงกลับอะไรล่ะ..ถ้ากูจับมึงขังได้กูทำไปแล้ว!
แต่ผมไม่ตอบอะไร ดึงมันมาไว้ในอ้อมกอด กระชับแขนขึ้น เรากอดกันแน่น ผมได้ยินเสียงเจ้าสองสะอื้น
มันซุกหน้าลงกับอกผม พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้

"กู..กูไม่อยากไป"
มันพูดเสียงอู้อี้ ผมรอให้แน่ใจว่ามันเช็ดน้ำตากับเสื้อผมจนหมด จึงคลายวงแขน

"มึงมีหน้าที่ อย่างที่กูบอกเสมอ เราต่างมีหน้าที่ เราต่างต้องเติบโตขึ้น"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"แล้วเรื่องของเราล่ะ..มึงทำให้กูรักแล้วจะทิ้งกูง่ายๆงี้เหรอวะ มึงอยากปล่อยกูไปเหรอ"
คนตรงหน้าพูดด้วยเสียงตัดพ้อ ดูน้ำตาจะรื้นๆขึ้นมาอีกแล้ว

"กูไม่อยาก ไม่อยากปล่อยมึงไปให้ใครเลย"
ผมพูด นิ่ง ทบทวนการตัดสินใจอีกที ก่อนจะตัดสินใจถาม

"สอง กูรักมึง กูอยากดูแลมึง อยากให้มึงอยู่ข้างๆกู อยากใช้ชีวิตคู่กับมึง กูรู้สังคมจะมองยังไง แต่กูจะทำทุกวิถีทางไม่ให้มึงรู้สึกขาดอะไร กูมีทุกอย่างที่กูต้องการแล้ว และจะให้มึงทุกๆอย่างที่กูให้ได้"

ผมพูดราวกับวิงวอน มองดวงตาสีดำที่จ้องผมกลับเช่นกัน

"มึงจะยอมเป็นคู่ชีวิตกับกูไหม มึงยอมรับสายตาคนอื่นที่มองมาได้ไหม มึงยอมรับไหมถ้าครอบครัว.."
ผมยังพูดไม่จบ คนตรงหน้าก็ใช้แขนคล้องคอผม ริมฝีปากเราสัมผัสกัน ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาสัมผัสเพดานปากและผมก็ชักนำให้มันดุดันยิ่งขึ้น เราจูบกันจนไอ้สองหน้าแดง มันผลักผมออก

"คำตอบกู"
มันพูด
ผมยิ้ม ดวงตารื้นๆ นี้กูติดนิสัยขี้แยมาจากมึงแล้วเหรอเนี่ย

...................................

"กูไม่อยากกคบระยะไกล!"
เจ้าสองโวยวายขณะกำลังเก็บเสื้อผ้า

"กูย้ายงานไม่ได้หนิ" ผมบอก
"แต่เดี๋ยวกูก็ไปหาได้ มึงก็เหมือนกัน กลับบ้านก็อย่าให้เสียชื่อล่ะ เด็กกูต้องแข็งแกร่ง"
ผมพูดก่อนจะรัดคอมัน

"โอ๊ยย กูจะตายเพราะมึงก่อนเนี่ย ไอ้พี่กฤษณ์!"
ไอ้สองดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนผม

"กูว่าจะพามึงไปพักรีสอร์ทอยู่เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนนี้เป็นเขื่อนชื่อดังของขอนแก่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย"
เจ้าสองดูร่าเริงขึ้น

"มึงก็มีมุมโรแมนติกกับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย"
เจ้าสองพูดก่อนจะเอาหัวมาเคลียคลอ(มึงเป็นลูกแมวรึไง?!)หน้าอกผม

"เดี๋ยวจับกินนะไอ้สัส"
ผมพูดเสียงเจ้าเล่ห์ ก่อนจะผลักมันลงบนเตียง แล้วเอาตัวคร่อมไว้ มันดิ้นขลุกขลักพยายามเบี่ยงหน้าหลบผมที่ก้มลมจุ๊บตรงนู้นที ตรงนี้ที

"จั๊กจี้ ฮ่าๆ ไอ้พี่กฤษณ์ กูจะจัดเสร็จไหมเนี้ย เสื้อผ้า"
เมื่อแกล้งจนพอใจผมจึงปล่อยมันจัดเก็บข้าวของ ช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงท้ายๆที่เราจะได้อยู่ด้วยกันที่นี้
แต่มันจะไม่ใช่ตอนจบของเรา เพราะชีวิตยังดำเนินต่อไป

...................................

ก่อนจะไปชมธรรมชาติผมพาเจ้าสองไปกราบพระพุทธสิริสัตตราช(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) พุทธลักษณะเป็นปางสมาธิ ประทับนั่งบนพญางูใหญ่ที่ขนดตัวเป็นบัลลังก์แผ่พังพานเหนือเศียรพระ มี 7 หัว เป็นสัญลักษณ์แห่งฝนและความร่มเย็น
พระพุทธรูปประดิษฐานแถวบริเวณฝั่งซ้ายของเขื่อนอุบลรัตน์ เชื่อกันว่าเพราะมีการประดิษฐานหลวงพ่อในเขื่อนแห่งนี้ ทำให้ฝนตกตามฤดูกาลและมีน้ำเต็มเขื่อนทุกปี นอกจากนี้ท่านยังเป็นพระพุทธรูปที่จะมอบพรแห่งการเดินทางให้กับผู้มาเยือนอีกด้วย

..ขอให้เดินทางปลอดภัย ขอให้พบเจอแต่สิ่งที่ดี..

ถัดจากนั้นผมก็พาเจ้าสองมาชมธรรมชาติ ดูความงดงามของเขื่อนเสียหน่อย
แนวหินกั้นทอดยาว พื้นทรายข้างล่างตัดกับผืนน้ำที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา แดดร้อนจัดทำให้ส่งประกายระยิบระยับ
ลมร้อนพัดผ่านใบหน้าทำเอาเจ้าคนข้างๆที่ทำอย่างไรก็ไม่ชินกับความร้อนเสียที เหงื่อออกพลั่กๆ

"อย่างกับทะเล สวยนี่หว่า"
ไอ้เจ้าสองพูดก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผม เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นเป็นประกายเมื่อแดดกระทบ อย่างกับหนังโรแมนติกเลยวุ้ย..

"กูลงไปตรงนั้นได้ปะ"
มันพูดก่อนจะชี้ลงไปบริเวณด้านล่างของเขื่อน ที่ที่มีทรายขาวเป็นแนว ดูคล้ายหาดทรายจริงๆ

"อันตราย มารอดูพระอาทิตย์ตกกันดีกว่า" ผมพูด

"แต่กูร้อน"

"อดทนดิวะ"
ผมตอบก่อนตบหัวมันไปครั้งหนึ่ง มันบ่นอุบอิบก่อนจะยอมนั่งบนโขดหินข้างๆผม
เราทั้งสองนั่งมองดูขอบผืนน้ำที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ผมคิดถึงเรื่องราวต่างๆของมันเเละผมตั้งแต่วันแรก ระยะเวลาเกือบ 4 เดือน
จากความเอ็นดูแบบพี่คนโตเอ็นดูน้อง จนพัฒนามาเป็นความรัก
ผมมองคนข้างๆ สายตาเขาเหม่อไปไกลเหมือนกัน ดูไม่ออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่

ท้องฟ้าเป็นสีส้มกับลมในฤดูร้อน ดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนตัวลงอย่างเชื่องช้าเหมือนจะเกียจคร้าน
แต่เมื่อยิ่งใกล้ขอบน้ำมากเท่าไหร่ ความเร็วกลับเพิ่มขึ้น จนช่วงเวลาสุดท้ายที่ดวงอาทิตย์ลับไป
ชั่วอึดใจหนึ่งนั้น ผมหันไปมองคนข้างๆ และสบตากับสายตาที่จ้องมองอยู่พอดี

ไม่มีคำพูดใดๆเอื้อนเอ่ยจากปากเรา
แต่สายตานั้นได้บ่งบอกทุกอย่าง

เมื่อผมหันกลับไปมองภาพตรงหน้า
ดวงอาทิตย์ก็หายลับไป
...................................

"ไปดูดาวกัน"
ผมพูด ที่เขื่อนแห่งนี้นอกจากตอนเช้าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นยอด
ตอนกลางคืนก็เป็นที่ดูดาวชั้นเยี่ยมเช่นกัน มีไม่กี่คนที่รู้ความลับนี้

"มึงดูเป็นด้วยเหรอ"
เจ้าสองถามผมอย่างตื่นเต้น

"กูเคยฝึกเอาไว้ตอนจีบสาวน่ะ จะได้ดูฉลาดๆ"
ผมตอบอย่างสัตย์จริง เรียกสีหน้าบึ้งตึงเล็กๆจากคนตรงหน้าได้พอๆกับที่เรียกเสียงหัวเราะจากผม

เวลา20.30น. ท้องฟ้าเปิดเหมือนเป็นใจ ทั้งๆที่ในเดือนนี้ควรจะมีฝนมาได้แล้ว แต่กลับยังร้อนและเเห้งเเล้งอยู่
แต่ก็เพราะเหตุนี้ ดวงดาวจึงเห็นชัดเต็มท้องฟ้าราวกับมีจิตรกรมือดีเเต่งเเต้มสีขาวลงบนผ้าใบดำมืด

"อย่างกับอีกโลกหนึ่ง"
คนที่นอนข้างๆผมทึ่งกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาคงไม่ได้มีโอกาสเห็นบ่อยนัก

"นั่นดาวไรวะ ใหญ่สัส"

"ดาวศุกร์ มันอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต มึงเห็นดาวดวงนั้นไหม ทิศตะวันตกประมาณ 30 องศา ดาวเสาร์ในกลุ่มดาวหญิงสาว ..มึงนี้โชคดีนะเนี้ย ได้เห็นของดี"
ผมพูด มองคนข้างๆทึ่ง

"มึงบอกกูมาตามตรง มึงศึกษาเอาไว้จีบสาวรึไปเป็นนักบินอวกาศ"
มันพูดเหน็บแนม(รึชื่นชม?) ผมหัวเราะ

"เอาไว้จีบมึงนั่นแหละ"
ผมพูด ดีดหน้าผากมันไปทีหนึ่ง มันบ่นอุบอิบประมาณว่าไม่ต้องจีบแล้ว ยิ่งทำให้ผมหมั่นเขี้ยวขึ้นไปอีก
อยากจะขย้ำๆมันตรงนี้เสียเลย

หลังจากนั้นเจ้าสองก็ถามนู้นนี้เรื่องดวงดาวไม่หยุด ผมตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่มันก็ตั้งใจฟังทุกคำพูด เหมือนอยากจะเก็บช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด

พอฟ้าเริ่มปิด เมฆเคลื่อนตัวมาบัง เราถึงได้เดินทางกลับที่พัก
...................................

พอกลับถึงห้อง ผมเข้าไปสวมกอดมันจากด้านหลังทันที จมูกก็ไซร้บริเวณลำคอ มือผมเริ่มซุกซน เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ

"...เดี๋ยวๆ "
ไอ้สองพูด พยายามจะขยับตัวออกจากวงเเขนผม มึงอย่าพึ่งขัดได้ไหมเนี่ย คนกำลังมีอารมณ์!

"อะไรวะ"
ผมงึมงำถาม มือยังไม่หยุดเลื่อน

"กูต้องเตรียมตัวก่อน!"
เมื่อเห็นผมยังไม่หยุด มันจึงถามขึ้นมาว่า

"เดี๋ยวนะ ไอ้พี่กฤษณ์ มึงเคยมีเซ็กส์กับผู้ชายไหม"
ผมส่ายหัว คงไม่ต่างกัน..

"กูฝีมือดีน่า ไม่ต้องห่วง"

"ไม่ได้! หยุด! "
อยู่ๆเจ้าสองก็ย่อตัวลง หลุดออกจากวงเเขนผม มันหันมามองผมอย่างเอาเรื่อง

"อย่าบอกนะว่ามึงไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย?! มึงบอกชอบกู จัดการทุกอย่างเหมือนมึงชินเรื่องแบบนี้มาก แต่มึงไม่ใช่เกย์?"

"ตอนนี้กูเป็นเเล้วไง"
ผมพูด ไม่เห็นมันจะมีปัญหาตรงไหน ไอ้สองขมวดคิ้ว อึ้ง ดูสับสน สักพักก็ถอนหายใจ

"คืออย่างนี้ การมีเซ็กส์ของผู้ชายด้วยกันมันไม่เหมือนชายกับหญิง ถ้ามึงทำไม่เป็นกูจะเจ็บมาก ไม่มีทางที่กูจะเสร็จ"

"มึงเคยแล้วเหรอ?"
ผมถามอย่างอึ้งๆ คิดมาตลอดว่าเจ้าสองก็เป็นเหมือนผม คือเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงมาก่อนจนมาเจอผม
มันพยักหน้า

"แน่นอน"
มันพยักหน้าอย่างอวดๆ มีอะไรน่าอวดตรงไหน?!

"แล้วกูต้องทำอะไรบ้าง"
ผมถาม

"จริงๆมึงไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ห้าม! ใส่เข้าครั้งเดียว แรงๆ เด็ดขาด มึงต้องอดทนนิดหน่อย ตอนแรกนะ
แล้วหลังจากนั้นกูสัญญาว่าจะบริการให้"

"แล้วไอ้เตรียมตัวอะไรของมึงล่ะ"

"กูต้องล้างทางเข้าก่อน โอ๊ยย มึงอย่าให้กูอธิบายหมดได้ไหมเนี่ย กูไม่ได้หน้าด้านเหมือนมึงนะเว้ย!"
เจ้าสองพูดพลางหน้าแดง

"มึงบอกวิธีมา เดี๋ยวกูช่วย กูต้องศึกษาไว้"
มันยกนิ้วกลางให้ผม

หลังจากนั้นผมก็ช่วยมัน'เตรียมตัว'อย่างทุลักทุเล ไอ้เจ้าสองมันเล่าให้ฟังถึงเรื่องแฟนคนเเรกที่เป็นผู้ชายของมัน สมัยอยู่มหาลัยปี1 ประสบการณ์มีเซ็กส์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก

"จริงๆมึงไม่ต้องช่วยก็ได้"
ไอ้สองพูด ยกมือปิดหน้า ขณะผมพยายามฉีดน้ำเข้าไปล้างทางเข้าเป็นรอบสุดท้าย

"มึงจะอายอะไร"

"โอ้ย ไอ้เหี้ยยกฤษณ์ มึงเห็นอย่างงี้มึงมีอารมณ์เหรอวะ"

"ไม่อ่ะ"
ผมตอบตรงๆ ผมรักมัน แน่ล่ะ แต่ผู้ชายเปลือยๆไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ผม หมายถึงตอนนี้น่ะนะ

"ไอ้สัส มึงแม่ง.."
ไอ้สองบ่นด่าผมเบาๆ หน้ายังไม่หายแดง ก่อนมันจะไล่ผมออกมารอข้างนอก

"กูอยากช่วยให้เสร็จ!"
ผมตะโกนเข้าไป

"มันเสร็จแล้ว! กูจะอาบน้ำ! อย่าเสือก"
เสียงดังออกมาจากห้องน้ำ น้ำเสียงดูหงุดหงิด แต่ผมอารมณ์ดีเกินกว่าจะมาคิดเรื่องเล็กน้อย

...................................

"มึงนอนลง"
สองจัดแจงที่ทางให้ผม ผมขมวดคิ้ว สงสัย

"กูจะ On top "
มันพูด หน้าแดงจัด ผมตื่นตัว แต่เลือกปล่อยให้เจ้าสองนำ
ไอ้กฤษณ์น้อยถูกมือเรียวยาวกระตุ้นจนเริ่มแข็งขึ้น ผมเอื้อมมือไปจัดการให้คนตรงหน้าเช่นกัน

"อื้อ.."
เมื่อจังหวะถูกเร่งเร้า เจ้าสองก็หยุดมือที่ทำอยู่ให้ผม เปลี่ยนไปกุมมือเร่งจังหวะผมแทน มันทิ้งน้ำหนักลงต้นขาผม
เมื่อเห็นใบหน้าตอนใกล้เสร็จของมัน สารภาพ..ผมมีอารมณ์แล้ว มากด้วย

หลังจากเจ้าสองเสร็จ มันก็ทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง ริมฝีปากนุ่มที่จูบโคนเจ้ากฤษณ์น้อย ลิ้นร้อนๆที่ไล่เลียขึ้นมา ช่วงล่างผมที่ตื่นตัวอยู่แล้วยิ่งแข็งขืนขึ้น

"..สอง มึง ไม่ จำเป็น.."
ผมพูด พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้จับมันพลิกแล้วยัดส่วนร้อนใส่ช่องทางมันเดี๋ยวนี้
มันเหลือบตาขึ้นมองผม

"ถุงยาง"
ผมยื่นมือเอาถุงยางที่เตรียมมาให้ มันใช้ปากใส่ให้ผม
พระเจ้า! มึงช่ำชองจนกูชักหึงแล้วนะ ในอดีตมึงทำให้ใครบ้างวะเนี่ย

"เจล"
ผมยื่นมือเอาเจลหล่อลื่นที่เตรียมมาให้ มันบีบลงก่อนจะทารอบน้องชายผม แล้วใช้เจลทารอบช่องทางมัน
ผมจ้องดูทุกการกระทำ
จนกระทั่งมันสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางตัวเองหนึ่งนิ้ว

"หนักปะ"
มันยังอุตส่าห์หยุดมาถาม ผมส่ายหัว..มึงนั่งมานานขนาดนี้ นั่งต่อเถอะ กูไม่ว่า!
หลังจากนั้นเจ้าสองก็สอดนิ้วเข้าเพิ่มอีก 1 นิ้ว สีหน้าดูไม่ดีนัก หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆขยับนิ้วเข้าออก
ตอนแรกๆก็ช้า หลังจากนั้นเร็วขึ้นและครางชื่อผมเบาๆ

บอกผมทีสิว่าไอ้ภาพร้อนแรงตรงหน้านี้ไม่ได้ออกมาจากหนังเอวี!

ตอนที่เจ้าสองค่อยๆยกตัวขึ้นแล้วกดน้ำหนักลงบนแกนกลางของผม ผมก็แทบทนไม่ไหวแล้ว
มันพยายามเอาตัวผมเข้าอย่างทุลักทุเล ผมก็พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้กระเเทกตัวขึ้น

"สอง..มึง..ผ่อนคลายหน่อย..สัส"
ผมกัดฟันพูดอย่างยากลำบาก ข้างในตัวเจ้าสองมันรัดแน่นจนผมปวดตุบๆ ผมมองหน้ามัน หน้าแดง ดูทรมานนิดๆ มันกัดริมฝีปากล่างอย่างพยายามข่มความเจ็บปวด...มึงแม่งโคตรเซ็กซี่!

"..อ๊ะ!!..ไอ้เชี่ยกฤษณ์!! มึงจะใหญ่ขึ้นทำไมวะ"
หลังจากนั้นสักพัก เจ้าสองก็เริ่มขยับตัว ตอนแรกก็เป็นไปอย่างช้าๆ สักพักเมื่อจังหวะเริ่มเร็วขึ้นผมจึงเปลี่ยนมาเป็นคนนำ ผมจับสะโพกของคนตรงหน้า ก่อนจะขยับกระเเทกเข้าออก เมื่อพบว่าคนตรงหน้าใบหน้าเริ่มแดงจัด ดวงตาปรือและส่งเสียงครางไม่เป็นภาษา
ผมพลิกตัวให้ร่างบางกว่าอยู่ข้างล่าง ก่อนจะเดินหน้าขยับตัวอีกครั้ง

...................................

"เจ็บ!"

"เออกูขอโทษ กูยังไม่ถนัด"
ผมก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด จริงๆผมเชี่ยวชาญในเรื่องเซ็กส์ในระดับที่ไม่เคยมีใครดูถูก
คู่นอนของผมคนแล้วคนเล่าก็ชื่นชม ผมมั่นใจในฝีมือตัวเองนะ ว่าทำให้เจ้าสองเสร็จได้แน่ๆ แต่ความมั่นใจผมถูกคนตรงหน้าทำลายเสียเกือบยับ

"ม..ไม่ใช่อย่างนั้น..มึงทำดีนะ แต่รอบท้ายๆอ่ะ มึงไม่ฟังกูเลย"
เจ้าสองพูด หน้าแดงก่ำ ผมคิดถึงรอบท้ายๆ..เออ กูขอโทษ อารมณ์มันพาไป! ผมยิ้มแหยๆ

"ไว้คราวหน้ากูแก้ไขให้"
ผมพูดก่อนจะจูบหน้าผากมัน

"มากูพาไปอาบน้ำ"
ผมพูดก่อนจะยกมันขึ้นเหมือนเด็กๆ เจ้าสองโวยวายเล็กน้อย เมื่อผ้าห่มหลุดลง ผมก็ได้เห็นร่างเปลือยเปล่า รอยแดงเป็นจ้ำๆจากรอยจูบ รอยดูดและงับนิดหน่อย(หมั่นเขี้ยว) กลับเป็นผมเองที่เห็นแล้วเขินในรอยพวกนี้

"มึงดูไว้เลย! มึงอ่ะ ตัวกูช้ำไปหมด"
มันบ่นหน้างุด แต่มันน่ารักเสียจนผมอยากจับมันทำอีกรอบ...ในห้องน้ำไง

"มึงหยุดความคิดมึงซะไอ้พี่กฤษณ์ กูไม่เอา Morning sex! "
ไอ้แมวน้อยมันฉลาดวุ้ย! ผมยิ้ม เกาหัวแล้วหัวเราะแหะๆ

"เปล่าๆ กูไม่ได้.."

ดูเหมือนว่าการพัฒนาความรักฉบับบนเตียงของเราสองคน ยังต้องใช้เวลาอีกนาน

...................................

"พี่สอง~ นี้ของขวัญจากแก้วนะคะ"
ยัยแก้วถือกล่องเล็กๆผูกโบว์น่ารัก ก่อนจะยื่นให้เจ้าสอง เสร็จแล้วน้องสาวผมก็โผกอดเจ้าตัวดี

"เดินทางปลอดภัยนะคะ กลับมาเยี่ยมพวกเราด้วยนะ ฮึก.."
ยัยแก้วร้องไห้ เจ้าสองก็น้ำตาซึมๆ

"ขอบคุณครับ พี่จะมา"

"อันนี้ของฝากจากลุง ไปดีมาดีนะเจ้าสอง เหนื่อย อยากพักก็กลับมาได้เสมอนะ ที่นี้ต้อนรับสองเสมอ"
ลุงชัยให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไร่เราไป ทั้งขนมทั้งนมอัดเม็ด คาดว่าเจ้าสองจะมีขนมให้กินไปอย่างน้อยครึ่งปี

"เหล้าขาวลุงป่องเดี๋ยวกูส่งตามไปให้ เอาขึ้นเครื่องไม่ได้"
ผมพูดเบาๆ มันหัวเราะ

"ไปดีมาดีนะลูก"
ป้าน้อยเดินมากอดเจ้าสอง มันกอดตอบ น้ำตาซึม

"นี้เป็นของที่ป้าๆลุงๆให้ ไม่ได้แพงมากมายอะไร แต่.."

"ไม่เป็นไรครับ สองขอบคุณมาก"

"ส่วนนี้เป็นของขวัญจากพี่ๆในสำนักงาน ฝากให้คุณสองค่ะ"
น้องฟางเดินมาพร้อมกับมอบกล่องของขวัญขนาดกลางให้เจ้าสอง หลังจากขอบคุณร่ำลากันเรียบร้อย เจ้าสองก็เดินหอบข้าวของมาขึ้นรถคุณนายแดง ผมพยักหน้า ก่อนจะขับพามันออกจากไร่แห่งนี้ ไปสู่สนามบิน

...................................

"นี้คือของขวัญจากกู"

ผมมอบกล่องขนาดกลางให้ มันมองผมก่อนจะเดินเข้ามา อ้าเเขนเพื่อจะกอด แต่ผมจับศรีษะคนตรงหน้าเงย
กดริมฝีปากลง ก่อนจะแทรกลิ้นลงจูบคนตรงหน้า

ดูดดื่ม เร่าร้อน ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
เจ้าสองหน้าแดง หายใจหอบตอนที่ผละออกจากผม

"สองรักพี่กฤษณ์นะ"
มันพูดเบาๆ ก้มหน้างุด แหม..ช่างน่ารัก น่าเอ็นดูอะไรเเบบนี้!

"ของที่ให้นี่จะรักษาเท่าชีวิตเลย"

"เอ่อ..ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ของธรรมดาๆเอง"

"ไม่ได้ ก็มันเป็นของที่พี่กฤษณ์ให้สองไว้ดูต่างหน้า..ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะมีโมเมนต์โรแมนติกกับเขาเหมือนกัน"

"เอ่อ..มันก็คงใช้ดูต่างหน้าได้ละนะ แต่..อืมม..เอาไว้ใช้ประโยชน์น่าจะดีกว่า"

"หือ? อะไร นาฬิกาเหรอ?!"
เจ้าสองพูดด้วยความอยากรู้ก่อนจะเปิดกล่อง

แป้งเย็นตรางู (ผมรู้ คุณก็ใช้!)

"ไอ้พี่กฤษณ์!!! "



 :hao3: สวัสดีค่ะ ผู้เขียนมีความยินดีและสนุกเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอตอนที่ 6 ความเป็นผู้ใหญ่ นี้

ในชีวิตหากเป็นเรื่องความรัก เราต่างอยากให้ตอนจบได้เป็นแฟน มีโมเมนต์หวานๆ
อยู่ด้วยกันตลอดไปอย่างมีความสุข แต่ชีวิตไม่เคยจบจนกว่าเราจะตาย บททดสอบบทเเล้วบทเล่าถูกโยนเข้ามา
เหวี่ยงและหมุนเราไปรอบๆ ทำให้เราบอบช้ำ แต่เติบโตขึ้น

พี่กฤษณ์นั้นเป็นคนที่เลือกแก้ปัญหาซับซ้อนโดยวิธีเรียบง่ายจนน่าประหลาดใจ
ทั้งๆมุมมองที่เขามีต่อโลกและการดำเนินชีวิตไม่ได้โลกสวย ไม่ได้เรียบง่าย
แต่ไอ้นิสัยมองโลกตามความเป็นจริงนี้ก็มีข้อดี ทำให้เขารู้ว่าไม่ควรยึดติดกับอะไรมากนัก
แต่ก็ซื่อสัตย์พอที่จะไม่หลอกตัวเอง

เวลาเราคิดบทของตัวละคร ทั้งการกระทำ และคำพูด
เราจะคิดจากพื้นฐานของตัวละครนั้นๆ เขามีประสบการณ์อย่างไร เติบโตมากับครอบครัวเเบบไหน เคยพบเจออะไร
คนแบบนี้จะทำอย่างไร
ถ้าเทียบกันเเล้วพี่กฤษณ์เป็นตัวละครที่เขียนบทและพฤติกรรมง่ายกว่าน้องสองค่อนข้างมากค่ะ
รายนั้นเเทบต้องเอาจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์มาเปิด
แต่ที่เทียบไม่ได้เลยคือ ตัวละครที่ซับซ้อนมีปมลึกอย่าง เจ้าตั้ม  :katai3: หรือเฮียหนึ่ง :katai1:
ซึ่งจะขนมาให้พบกันในตอนหน้า ตอนที่เจ้าสองกลับกรุงเทพเเละเจอสังคมของเขาค่ะ

สุดท้ายแล้วขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ //โค้ง
เพราะตัวเลขจำนวนคนอ่านที่(หลง)เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้แหละค่ะ
ทำให้เราสนุกกับการเขียนนิยายมากขึ้นไปอีก :bye2:

#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่7:07/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 07-11-2017 16:30:38
 ตอนที่ 7 :แวดวงและความคิดถึง

"กูคิดถึงมึงมากกก!"
เสียงไอ้ตั้ม คือเสียงแรกที่ผมได้ยินหลังออกจากgateway มันเดินมาช่วยผมถือของ ข้างๆมันคือพี่ชายของผม ที่สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

"ไหนคนขับรถ"
มันหันไปถามเฮียหนึ่ง เขาพยักหน้าไปทางพี่ป้อง(คนเดิม เพิ่มเติมคือดูเหนื่อยขึ้น!)
ไอ้ตั้มมันยื่นของให้พี่ป้องขนขึ้นรถ .. กูว่าแล้ว! อย่างมึง ช่วยกูถือได้ไม่ถึง 3 ก้าว!!

"จริงๆกูถือเองก็ได้"
ผมพูด เสียงฟังอ่อนล้าอาจเพราะพึ่งเดินทางมา (และแอบร้องไห้นิดหน่อยตอนอยู่บนเครื่อง)

"ไม่ให้มันถือจะให้มันทำอะไร? ยืนฟังกูเม้าท์งั้นเหรอ พูดไรไม่เข้าเรื่อง"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะโบกมือให้พี่ป้องเดินนำเอาของไปเลย ผมส่ายหัวเล็กๆแต่ก็ไม่รู้จะเถียงมันไปทำไม จึงเลิกพยายาม
ผมกดโทรศัพท์โทรหาพี่กฤษณ์

"ฮัลโหล กูถึงเเล้วนะ"
เฮียหนึ่งลอบมองดูผมอย่างขัดใจ ผมไม่สน ยังโกรธเรื่องที่เขาบังคับผม เขาเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ไร้สาระยิ่งกว่าผมเสียอีก เฮียจะต้องเสียใจที่ทำกับผมแบบนี้ ผมหันมาให้ความสนใจเพื่อนสนิทแทน คนที่เฮียเกลียดนักเกลียดหนา

"ไหนๆมึงกลับมาแล้ว กูก็ต้องจัดปาร์ตี้ต้อนรับกลับ มันเป็นธรรมเนียมถูกมะ"
ไอ้ตั้มพูดไม่รู้หนาวรู้ร้อน นิสัยคุณหนูเอาแต่ใจ ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะ

"มึงพอเลย ปาร์ตี้เหี้ยไรของมึงทำกูปวดประสาท"
ผมพูด คิดถึงความยุ่งยากครั้งหลังสุดที่ปาร์ตี้ของไอ้ตั้มมอบให้

"รับรอง คราวนี้กูจะสเเกนยิ่งกว่าสแกน คัดคนอย่างดีเพื่อมึง มึงกลับมาเพื่อเริ่มทำงานเลยใช่ไหมละ?"
ไอ้ตั้มมันพูดอย่างภูมิใจ(?) ที่ทำให้เฮียหนึ่งมีสีหน้าขัดใจได้ เนื่องจากไอ้ตั้มรู้เรื่องราวในชีวิตผม(เกือบ)ทุกระเบียดนิ้ว
ด้วยความที่มันเป็นคนขี้เสือก เอ๊ย! ด้วยความที่มันเป็นเพื่อนสนิท ผมจึงเล่าให้มันฟังหลายๆเรื่องอยู่แล้ว

"ว่าแต่ น้องอิงอิงเป็นไงบ้างวะ ตอนนั้นกูเห็นเปลี่ยนแท็กกูเป็นแท็กมึง คบกันแล้วเหรอวะ"
ผมถาม ไอ้ตั้มยิงฟัน ยิ้มตาหยี

"ฟันแล้วทิ้งว่ะ ผู้หญิงแบบนั้นอย่าไปสนใจเลย"
มันพูดแบบสบายๆแต่ผมขนลุกนิดๆ มึงนี่มันเหี้ยมได้ใจกูเหลือเกิน..

"เอ้อ สอง ไหนๆของมึงก็ขนไปแล้ว มึงไปกินของหวานบ้านกูก่อนไหม กูเอารถมานะ หรือ มึงจะไปกับพี่มึง"
มันถาม ยิ้มแล้วมองเฮียหนึ่ง ผมยักไหล่ มันรู้คำตอบของผมดี

.............................

"ไซย่ากั๊บ ไซย่าคนสวยย~"
ผมอ้าแขนรับเจ้าไซย่าหมารักของผมและเจ้าตั้ม  มันกระโดด พยายามจะกัดหูผม
"มันลืมมึงล่ะ"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะรีบตะครุบมันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อเพื่อนสุดหล่อของมัน(ผมเอง)

"ได้ไงวะ ไซย่ากั๊บ นี้เฮียสองนะกั๊บบ คนซื้อมึงเนี่ยย"
ผมพูดขณะที่ไซย่าเห่าใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง ไอ้ตั้มหัวเราะจนน้ำตาไหล ก่อนจะสั่งคนรับใช้เอาเจ้าไซย่าไปเก็บ(สวนหลังบ้าน)

"มึงทะเลาะเหี้ยไรกับพี่อีกวะ มันให้มึงกลับก็ดีแล้วไม่ใช่เรอะ"
ไอ้ตั้มถามขึ้นขณะมองผมนอนเอกเขนกบนโซฟาบ้านมันอย่างสบายใจราวกับเป็นบ้านตัวเอง

"กูยังไม่อยากกลับ แม่งพูดไม่รู้เรื่อง ห้ามนู้นห้ามนี้ ทำยังกะกูเป็นเด็กประถม"

"ทำไมถึงไม่อยากกลับวะ"
ไอ้ตั้มถาม ผมลังเลว่าจะบอกมันเรื่องพี่กฤษณ์ดีไหม .. แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของไอ้พี่กฤษณ์ ตอนเขาแนะนำผมกับเพื่อนๆ หรือตอนที่เขาสารภาพความรู้สึกออกมาตรงๆ การปิดบังเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทก็ดูจะไม่ยุติธรรมไปหน่อย

"กูคบกับเพื่อนเฮียอยู่ว่ะ"

"ไอ้สัส!! พี่กฤษณ์ของมึงน่ะนะ?!! "
ไอ้ตั้มดูตกใจมาก ผมพยักหน้ารับ

"ไหนมึงบอกว่ามันน่ารำคาญไง?! ไหนว่ามันชอบแกล้งมึง?! ไหนว่ามันชอบทำตัวเหมือนพ่อ?!!"

ผมยักไหล่
"มึงก็รู้กูลูกติดพ่อ"

"ไอ้สัส"
ไอ้ตั้มส่ายหัว พึมพำอะไรบางอย่าง มองหน้าผม ทึ้งหัวตัวเอง มันดูหงุดหงิดงุ่นง่านจนผมขำ

"มึงเป็นเหี้ยไร หวงเพื่อนเหรอสัส"
ผมใช้เท้าเขี่ยตูดมัน แกล้งแซวมันเล่นๆ มันหันขวับ

"มึงไม่เคยบอกกูว่ามึงชอบผู้ชายได้ด้วย!"

"กูจะรู้ไหมว่ามึงอยากรู้ ไอ้สัส"
กูชอบพี่กฤษณ์ และมันเสือกเป็นผู้ชายเองนี่หว่า!

"ปาร์ตี้กลับมาอะไรของมึงเนี่ยอย่าทำให้กูมีปัญหาอีกนะ กูไม่ชอบ"
ผมพูดเบาๆ มองหน้าเพื่อนสนิทที่ยังช็อกไม่หาย มันพยักหน้ารับ

"กูวางแผนว่าจะจัดเบาๆ ให้พวกนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงมาคุยๆกันหน่อย เผื่อมึงได้ติดต่อกับพวกเขาในอนาคต"
ผมพยักหน้ารับ ใครว่าเพื่อนผมเป็นคนไม่ดี เศรษฐีขี้เหล้าเมายา มาดูนี่!
หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป จนกระทั่งป้าเเจ่มยกขนมหวานมาเสิร์ฟนั่นแหละ

"ขอบคุณนะครับ ป้าแจ่ม จำได้เสมอเลยนะครับว่าสองชอบไอ้เนี่ยอะ"
ผมกล่าวขอบคุณพลางยิ้มเล็กๆ ป้าแจ่มเป็นคนรับใช้เก่าแก่ในบ้านไอ้ตั้ม ผมที่มาคลุกคลีกับไอ้ตั้มตั้งแต่เด็กๆ จึงพลอยได้รู้จักและสนิทกับป้าเเจ่มด้วย

"ขนมครกนะค่ะคุณสอง"

"เขาเรียกขนมครกโว้ย"
ไอ้ตั้มกับป้าเเจ่มพูดพร้อมกัน ไอ้ตั้มมองป้าเเจ่มอย่างหงุดหงิด

"ยังไงผมก็ต้องอธิบายให้สองฟังอยู่เเล้ว เป็นคนรับใช้อย่าพูดแทรกได้ไหม กลับครัวไปเลยป้า..โอ๊ยย!!"
มันร้องเสียงหลงตอนผมตีไหล่มันเเรงๆเพลี๊ยะหนึ่ง

"มึงจะเเย่งป้าเเจ่มอธิบายเรื่องขนมครกทำเหี้ยไร หาเรื่องไม่เข้าเรื่องสัส"
ผมทำสีหน้าโกรธ ผมเข้าใจดี ไอ้นิสัยมีอำนาจและใช้มันจนเคยชิน แต่นี้มันเรื่องปัญญาอ่อน แถมป้าเเจ่มยังเป็นไม่กี่คนที่อยู่ในความทรงจำวัยเด็กของพวกเราทั้งคู่ ถ้าไม่นับแม่นมไอ้ตั้มที่เสียชีวิตไปแล้วน่ะนะ..

"กูขอโทษ"

"ไปขอโทษป้าแจ่มนู่น มึงแม่งปัญญาอ่อน"
ผมบ่นก่อนจะสายหัวเบาๆ

.............................

หลังจากเล่นบาสกับไอ้ตั้มจนเหนื่อย ผมก็ขอห้องนอนพัก(ห้องบ้านมันเยอะครับ เปิดรับแขกห้องสองห้องไม่เสียหาย)
รอเย็นๆว่าจะอาบน้ำแล้วออกไปงานพร้อมไอ้ตั้มเลย

พอได้อยู่คนเดียวในหัวก็คิดเรื่องในไร่อีกครั้ง
โกรธเฮีย คิดถึงเรื่องราวในไร่ คิดถึงทุกคน โดยเฉพาะไอ้พี่กฤษณ์ นี้พึ่งห่างกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ..
ถ้าเป็นเดือนผมจะทนไหวเหรอ..เวลานี้พี่กฤษณ์น่าจะใกล้เลิกงานเเล้ว หรือไม่ก็กำลังไปรับน้องแก้ว
ผมกดโทรศัพท์

"ว่าไง"
เสียงปลายสายดังมา เสียงนุ่มทุ้มที่ผมคุ้นเคย

"เปล่า กูโทรมาเฉยๆ"
ผมพูดเพราะคิดอะไรไม่ออก กูแค่อยากได้ยินเสียงมึง..

"กูก็คิดถึงมึง"
..กูไม่ได้พูดสักคำว่าคิดถึง! แต่ก็เอาเถอะ..ผมคิดถึงพี่กฤษณ์จริงๆ คิดถึงแววตาที่มองผมด้วยความรักและหยอกล้อ
คิดถึงการกวนตีนหน้าตาย การแสดงความรักแบบไม่แคร์สื่อ คิดถึงมือหนาที่กุมมือผมไว้ คิดถึงริมฝีปาก..

ผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ..
กำลังสงสัยว่า Sex phone เป็นส่วนหนึ่งของการคบระยะไกลด้วยหรือเปล่า!

"พี่กฤษณ์.."
ผมพูดเสียงเบาพร้อมๆกับอารมณ์ที่เริ่มคุกกรุ่น

"ว่า?"

"ผมคิดถึงพี่.."
เสียงกูเซ็กซี่พอยังวะ..(ว่าแต่..คนปกติเขาเสียเวลามานั่งคิดเรื่องอะไรแบบนี้ไหม?!!)

"สอง มึงกำลังช่วยตัวเองอยู่เหรอวะ"
..ไอ้นี่ก็จริงใจกับกูเหลือเกิน! มึงจะบังคับให้กูพูดทุกอย่างเลยไหม?!!

"กูอยากให้มึงช่วยมากกว่า"

"อือ แปปๆ กูขับรถอยู่ จอดแม่งข้างทางนี้แหละ"

"เร็วๆ"

"อย่าเอาแต่ใจดิสัส..."

"อือ..พี่กฤษณ์..เร็วๆ"
ผมพูดเสียงกระเส่าเพราะกำลังขยับมือรูดขึ้นลงส่วนแกนกลางของตนอยู่..ผมไม่เคยเล่น Sex phone แต่พอจะเดาออกว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ผมเล่าสิ่งที่กำลังทำให้พี่กฤษณ์ฟังอย่างละเอียด และได้ค้นพบตัวเองในขณะนั้นว่า

ถ้าเป็นเรื่อง Sex กูเองก็หน้าด้านไม่แพ้ไอ้พี่กฤษณ์มันเลยนี่หว่า!

.............................

หลังจากเสร็จแล้วผมต้องมาทนฟังไอ้พี่กฤษณ์บ่นเรื่องความเอาแต่ใจของผมอีก

"มึงรู้ใช่ไหมคุณนายแดงกระจกแม่งอย่างใส ฟิล์มกูก็ไม่ได้ติด มึงจะรอให้เย็นก่อนไม่ได้เหรอวะ.."

ผมได้แต่หัวเราะเเหะๆตอบไป

"ก็กูคิดถึงมึงนี่"
ผมตอบเสียงอ่อยๆ

"ทำอย่างนี้บ่อยๆเดี๋ยวกูได้ลักพาตัวมึงมาขังสักวัน"
ไอ้พี่กฤษณ์พูดน้ำเสียงเหี้ยมๆ แต่ผมตาวาว

"เอาเลย! กูอยากโดนขัง ขอแรงๆนะ!"
ผมพยายามลดน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าลง แต่ไม่สำเร็จ ได้ยินเสียงปลายสายบ่นอุบอิบว่าผมเป็นพวกมาโซคิส แต่ผมไม่สนใจ กำลังมีความสุขสุดๆ

"มีความอดทนหน่อยดิวะ"
พี่กฤษณ์บ่นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

"ตอนกูบอกจะเสร็จแล้วมึงยังให้กูใส่นิ้วไปใหม่เลยนี่ มึงเองก็เหมือนกันแหละ!"

ผมเถียงอย่างไม่ยอมเเพ้ ถ้ามึงมาเล่นกับกู มึงต้องเล่นให้จบ และกูจะไม่ใช่คนแพ้ด้วย!
หลังจากนั้นเราก็เถียงเรื่องไร้สาระกันต่ออีก 2-3 ประโยค ก่อนผมจะบอกพี่กฤษณ์ถึงเรื่องงานปาร์ตี้วันนี้
พี่กฤษณ์เตือนผมให้ระมัดระวังเรื่องการดื่ม(ถ้ามึงได้มาเห็นตัวเองตอนเมา มึงจะไม่อยากดื่มอีกเลย พวกเหล้าเบียร์เนี่ย) การวางตัว ก่อนจะถามถึงเฮียหนึ่ง

"ไม่รู้ กูไม่อยากคุย"

"มึงไปคุยซะ จะทำงานเเล้วไม่ใช่เหรอ ทำตัวเป็นเด็กไปได้"
ผมหน้ามุ่ย

"พูดไปเฮียก็ไม่เข้าใจหรอก หัวโบราณจะตาย มันเเต่งงานกับกูได้มันทำไปละ!"
ผมบ่นอย่างหงุดหงิด ไม่อยากนึกถึงหน้าไอ้พี่ชายจอมบงการ

"มันเป็นห่วงมึง เหมือนพี่ที่ห่วงน้อง มึงควรไปคุย ทำให้เขาเข้าใจว่ามึงคิดยังไง ไปฟังมันด้วย มึงจะได้เข้าใจพี่มึงมากขึ้น พี่น้องกันมันตัดกันไม่ขาดหรอก"
เมื่อได้ฟังคำแนะนำจากพี่กฤษณ์ ผมก็รู้สึกอ่อนลงเล็กน้อย เขาช่างรู้วิธีทำให้ผมลดความดื้อด้านลงจริงๆ
ผมตอบรับไป บอกว่าขอเวลาสักหน่อยแล้วจะไปคุย เขาก็วางสาย เพราะต้องลงไปรับน้องแก้ว

ผมอาบน้ำ เลือกเสื้อผ้าที่ไอ้ตั้มโยนๆมาให้(ยืมมันใส่ก่อนครับ ของเอากลับบ้านหมดแล้ว) ก่อนจะลงไปนั่งรออยู่ห้องรับเเขกด้านล่าง

"อ้าว คุณสอง กลับมาแล้วจริงๆสินะคะ"

"สวัสดีครับ พี่ตา"
พี่ตา เป็นพี่สาวของไอ้ตั้ม ผมไม่ค่อยรู้จักเธอนัก รู้เพียงคร่าวๆว่าเธอเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในงานของครอบครัวเลยทีเดียว

"ป้าแจ่มคะ เอาน้ำท่ามาเสิร์ฟคุณสองหน่อย ตั้มนี่ก็เหลือเกิน เเขกเหรื่อมาไม่ดูแล"

ผมรีบโบกมือก่อนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่

"ไม่เป็นไรครับพี่ตา ผมมาได้สักพักใหญ่ๆแล้วครับ เดี๋ยวจะออกไปแล้ว รอเจ้าตั้มอยู่"
พอพูดถึงก็มาพอดี เจ้าตั้มวิ่งลงจากบันไดมาพลางจัดเเขนเสื้อให้เรียบร้อย พอเจอกับพี่สาวก็ชะงักเล็กน้อย

"คิดยังไงถึงกลับบ้านละตั้ม ได้ไปดูคุณพ่อบ้างหรือยัง?"

"อยากจะใช้บ้านให้คุ้มหน่อยน่ะ อยู่คอนโดตลอดเดี๋ยวไม่มีใครขวางหูขวางตาพี่ๆน่ะสิ ไปสอง"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะเดินนำผมไปลานจอดรถ ผมเดินออกมา โค้งบอกลาพี่ตาน้อยๆ เธอยิ้มให้ แต่ดวงตาเหยียดหยัน
 ผมยิ้มตอบ

 .............................

"มึงไม่ไปเยี่ยมคุณจิรวัฒน์หน่อยเหรอวะ"
ผมถามขึ้นในความเงียบ ดูเหมือนตั้งแต่เจอพี่สาวแล้วมันจะหงุดหงิดขึ้น 80 เท่า

"กูไม่อยากไปเจอพวกพี่ๆน้องๆประคบประหงมพ่อหวังมรดกน่ะสิ ทำเป็นดูแลตาแก่นั้นอย่างดี แต่ในใจก็หวังให้ตายๆไปซะ จริงๆกูก็หวังไม่ต่างกัน แค่ไม่ได้ต้องการมรดกเท่านั้น"

"แต่กูต้องการนะ อยากมีเพื่อนรวยว่ะ"
ผมพูด และมันหัวเราะขำ จ้องมองมาทางผม

"มึงใส่เสื้อผ้ากูแล้วดูดีนะเนี่ย"

"พูดจาเกย์สัส"

"ส่วนมึงก็เป็นเกย์สัส!" ไอ้ตั้มพูดแซว ผมหัวเราะ
"ตอนแรกกูก็กังวลนะ ว่าสังคมจะมองยังไง จะมีใครรังเกียจกูไหม คนไทยด้วยแม่ง ยิ่งแนวคิดเเปลกๆ.."

"แต่มีคนบอกกูว่า เราห้ามสายตาคนอื่นมองไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปล่อยให้มันมามีอิทธิพลต่อเรามากน้อยแค่ไหน
คนที่พูดเนี้ย แฟนกูเองง"
ผมพูดอย่างอวดๆ ไอ้ตั้มส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างหมั่นไส้

"แต่ก็ยังดีนะที่มึงอยู่ข้างๆกู จนถึงตอนนี้กูยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มคุยกับเฮียหนึ่งยังไงเลย"
ผมพูดด้วยความกังวล

"ไม่ต้องคุย มาอยู่กับกูสิ"

ไอ้สัสตั้มม! มึงนี้เป็นเพื่อนที่ดีเหลือเกิน อยู่ข้างกูเสมอในตอนที่ถูกและผิด แถมตอนกูทำอะไรผิดๆก็เสือกเห็นดีเห็นงาม
เราคงได้กอดคอกันลงนรกในสักวัน เพื่อนรัก!
ผมส่ายหัว

"กูจะไม่คุยได้ไง กูแค่ต้องการเวลา กูไม่อยากหนีปัญหา..มึงก็อีกคน อะไรจัดการไม่ได้มึงก็เลือกหนี ไม่คุย แล้วเมื่อไหร่ปัญหามันจะถูกแก้วะ ทั้งพี่มึง น้องมึง ครอบครัวมึง.."

"ไม่ต้องมาสอนกู โดยเฉพาะเรื่องนี้ อย่ายุ่ง"
มันพูด น้ำเสียงดูโกรธ ไม่มองหน้าผม ผมส่ายหัวเบาๆ ผมเชื่อใจมัน มันเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ถ้ามันจะหันไปเผชิญหน้ากับปัญหาของมัน ผมเชื่อว่ามันจะจัดการได้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พร้อมจะอยู่ข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าทิฐิของมันจะมากเกินกว่าที่ผมจะทลายได้

.............................

ในงานเลี้ยงค็อกเทล งานค่อนข้างเรียบๆ หรูหรา ไอ้ตั้มซึ่งเป็นเจ้าภาพงานอ้างว่าเป็นงานเลี้ยงสำหรับการเปิดธุรกิจคอนโดใหม่ใจกลางเมืองของมัน แขกที่ได้รับเชิญมามีแต่นักธุรกิจรุ่นใหม่แถวหน้า กับดาราเซเลปเพื่อโปรโมตงานอีกนิดๆหน่อยๆ

นักธุรกิจรุ่นใหม่แถวหน้าที่ไอ้ตั้มเชิญมาแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ
ประเภทแรกคือพวกที่รวยมาเเต่อ้อนเเต่ออดเเบบผมหรือไอ้ตั้ม จะจับงานใหม่หรืองานครอบครัวก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง มีโอกาสล้มได้หลายครั้งเพราะมีเบาะดีรองรับ มีคอนเน็คชั่นมาก่อน
ประเภทที่สองคือพวกที่จับอะไรบางอย่างแล้วกลายเป็นทอง ด้วยความสามารถ วิสัยทัศน์ การศึกษา โดยที่เริ่มจากเงินทุนจำนวนไม่มาก ค่อยๆขยายธุรกิจจนเติบโต

เหมือนคนที่คุยกับผมตอนนี้ พี่เปรม เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เขาเริ่มจากการทำตึกเพื่อให้เพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นน้องซื้อเพื่อไปเปิดคลินิค
หลังจากสังเกตว่าความต้องการเปิดคลินิคของคุณหมอทั้งหลาย เพิ่มสูงขึ้น กอปรกับการที่ตนได้ไปรู้จักผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีเครือค่ายใหญ่ จึงหันมาจับธุรกิจทำตึก ทำคอนโด ลามมาถึงที่พักอาศัยด้วย

"แล้วน้องสองนี่เคยขึ้นเครื่องบินส่วนตัวข้ามรัฐหรือยังครับ"
ผมหัวเราะขำในคำถามของพี่เปรม

"ผมจะไปทำอย่างนั้นทำไมพี่ ผมชอบเดินทางน่ะ เพราะงั้นไอ้การเก็บเกี่ยวสิ่งระหว่างทางนี้สำคัญมาก"

"พี่ก็นึกว่าคนรวยๆจะใช้แต่เครื่องบินส่วนตัว ฮ.ส่วนตัวกันเสียอีก"

อันที่จริงผมเคยใช้นะ เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว(เช่ามาครับ) คือ ในนิวยอร์กคนก็ใช้กันออกบ่อยไป รถมันติดนี่นา..

"ไปอยู่ต่างประเทศ ผมก็คนธรรมดาๆแหละพี่ มีเงินบ้างนิดหน่อย ป๊าม๊าไม่ได้สอนให้ฟุ้งเฟ้ออะไร มีแต่ในไทยนี้เเหละที่คนรวยบางคนกลัวคนอื่นไม่รู้ว่ารวย"

ผมหัวเราะขำ พี่เปรมก็หัวเราะ

"บ้านพี่นะ พ่อแม่เป็นข้าราชการ เป็นหมอหมด ตระกูลพี่ก็เหมือนกัน ข้าราชการนี้จะขยันแค่ไหนก็ได้แค่ฐานะกลางๆนะ ถ้าไม่นับพวกสายนักการเมือง บ้านเมืองเรานี้ต้องนักธุรกิจเนาะถึงจะรวย"

ผมพยักหน้ารับส่งๆ ที่ไหนก็เหมือนกันแหละพี่ ตราบใดที่โลกยังเป็นระบบทุนนิยม คนที่ยุ่งเกี่ยวกับทุนย่อมรวยกว่าเสมอ

"คุยกันออกรสชาติเลยนะครับ พี่เปรม แล้วนี่..สองเหรอ"
ผู้มาใหม่ทัก ดวงตาสีเขียวเข้มกับเส้นผมสีน้ำตาล ไอ้ท่าทางมั่นอกมั่นใจ..มีอยู่คนเดียวเท่านั้น หัวโจกของเด็กเกเร เพื่อนผมสมัยประถมและมัธยมต้น

"โจเซฟ?!"

ไอ้นี้เป็นนักธุรกิจในงานประเภทเเรกครับ.. ผมรู้จักมันมาตั้งแต่ยังอนุบาลได้เเล้วมั้ง มันเป็นคนกร่างๆ ครอบครัวทำธุรกิจโรงแรมที่มีสาขาไปทั่วประเทศ ตอนเด็กๆมันตัวโตกว่าเพื่อน ถูกเลี้ยงอย่างเอาอกเอาใจไม่ต่างจากพวกลูกคนรวยทั้งหลาย มันชอบแกล้งเด็กคนอื่นๆที่ดูจะอ่อนแอกว่ามัน ผมไม่เคยโดนมันแกล้งก็จริง แต่ความประทับใจเกี่ยวกับมันแทบจะติดลบ

มันโตขึ้นแล้วคงจะเป็นผู้เป็นคนมากยิ่งขึ้นละมั้ง..

"รู้จักกันมาก่อนเหรอ"
พี่เปรมดูตกใจเล็กๆแต่ก็ยินดีที่จะให้โจเซฟเข้าร่วมการสนทนากับเรา

"เราเคยเรียนด้วยกันสมัยเด็กนะครับ ตอนนั้นเราสนิทกันมากเลยเนาะ สองกลับมาแล้วยังติดไอ้ตั้มหนึบเหมือนตอนเด็กๆเลยนะ"
ไอ้โจพูดก่อนจะหัวเราะเริงร่า พี่เปรมดูตกใจอีกเมื่อรู้ว่าผมสนิทกับไอ้ตั้ม..เลิกตกใจทีเหอะพี่ พวกผมโตมาด้วยกันหมดนี้แหละ จะมีโรงเรียนกี่โรงเรียนกันที่พ่อแม่เราอนุญาตให้ไป!

"ติดหนึบอะไรกันล่ะโจ ผมเองก็มีเพื่อนสนิทจริงๆไม่กี่คนหรอก ใครคบได้ก็คบ คบไม่ได้ก็เขี่ยทิ้งเนาะ"
ผมหัวเราะเริงร่ากว่ามันสักสิบเท่าได้ ก่อนจะยิ้มเหยียดๆใส่ไอ้โจเซฟที่ทำหน้าตึงขึ้น

"เอ้อ พี่เปรมครับ เรื่องที่ผมอยากร่วมลงทุนกับคอนโดของพี่แถวย่านท่องเที่ยวในภาคใต้น่ะครับ ผมมีที่ดินจำนวนหนึ่ง.."
ไอ้โจเซฟพูดแล้วเหลือบตามองผมเป็นสัญญานบอกให้ผมรีบย้ายตัวเองออกจากวงสนทนานี้ ผมไม่ใช่คนหน้าด้าน และที่สำคัญไม่ได้อยากรับรู้เกี่ยวดองกับไอ้โจเท่าไหร่นัก จึงขอตัวออกมา

"ไม่สนุกเหรอสอง"
เสียงเรียบๆเอ่ยขึ้น ข้างหลังผมปรากฎตัวชายหนุ่มใบหน้าคุ้นเคย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน..

"กูวินด์"

"ไอ้วินด์! มึงเป็นไงบ้างวะ"

วินด์เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมคนหนึ่ง เป็นเด็กนักเรียนที่ได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนเพราะทุนการศึกษา
แม้จะยากจนที่สุดในห้องแต่ก็เป็นคนที่เอาอ่าว(?)ที่สุด เขาขยัน ตั้งใจ ได้เป็นหัวหน้าห้องและประธานนักเรียนตอนม.ต้น ผมไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่ เคยคุยกันไม่กี่ครั้งเองมั้ง(จำไม่ได้) เพราะผมเป็นเด็กกลางๆห้อง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ก็รู้จักและชื่นชมเขาจากพฤติกรรมของเขา

"ดี กูมาเพราะได้ข่าวว่ามึงจะมา"

ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดที่ดูมีนัยสำคัญนั้นก่อนจะถามว่า

"มึงก็อยู่ในแวดวงธุรกิจด้วยเหรอนี้ ไหนว่าจะเป็นข้าราชการ"

"มึงจำได้ด้วยเหรอ"

"มึงดังจะตาย ใครจะจำไม่ได้วะ แล้วนี่มึงทำอะไร?"

"กูเป็นทนาย ลงการเมือง ไปทางสายคุณเกรียง"
ผมพยักหน้ารับ มันก็คนหนุ่ม โปรไฟล์ดี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ถูกต้องแล้ว ผมไม่ถามเรื่องการสอบผู้พิพากษา เพราะถ้ามันมาถูกทางอีกไม่นานผู้ใหญ่คงดันมันเอง ...ว่าแต่ ผมชักสงสัยแล้วว่าไอ้ตั้มมันใช้เกณฑ์อะไรเชิญคนมาวะ

"มึงล่ะ"
มันถามเรื่องของผมบ้าง

"กูคงทำงานต่อของครอบครัวแหละ กูไม่ใช่คนเก่งนี่หว่า ปีนด้วยตัวเองคงไม่ไหว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกิดมาโชคดี กูคงเป็นง่อยอยู่แถวข้างถนนนี่หละ"
ผมพูดถ่อมตัวด้วยความสัตย์จริง คิดแล้วก็อดสมเพชตัวเองเล็กๆไม่ได้

"ไม่จริงหรอก มึงเป็นคนเก่ง คนดีด้วย มึงแตกต่างจากพวกนั้น"
แววตาของวินด์ดูหม่นๆลง ผมไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง และไอ้การถูกชมซึ่งๆหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมรับมือถนัดนัก
ผมอึดอัดจึงตั้งท่าจะขอตัวออกไป ขณะนั้นเสียงไอ้ตั้มก็แทรกเข้ามาก่อน

"สอง! มึงมาทำอะไรตรงนี้วะ"
มันมองวินด์ด้วยสายตาเหยียดๆ ก่อนจะลากผมเข้าไปในงาน ไปทำความรู้จักกับคนที่มันคิดว่าผม'สมควร'รู้จักจริงๆ

.............................
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่7 (50% กำลังพยายามลงต่อค่ะ รีเน็ตแปป):07/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 07-11-2017 16:35:34
ผมได้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของแผนกย่อย ในส่วนการผลิตสินค้า แทนหัวหน้าคนเก่าที่เกษียณไป(พอดีเหมือนเตรียมมา!)

มันเป็นแค่แผนกย่อยน่า...
แต่ทำไมต้องเป็นหัวหน้าด้วยวะ..

ผมรู้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาว่าพวกพนักงานที่เป็นลูกน้องไม่ค่อยชอบหน้าผมนัก
แต่ก็พยายามประจบประเเจงเพราะรู้ว่าผมเป็นคนสำคัญ
นั่นทำให้งานลำบากยิ่งขึ้นไปอีก พวกเขาไม่ได้เคารพผมจากใจ และไม่เชื่อว่าผมจะจัดการทุกอย่างได้

ในวันแรกๆผมท้อจนต้องโทรไปงอแงกับพี่กฤษณ์
พี่กฤษณ์มักจะรู้เสมอว่าควรพูดอะไร คำแนะนำและกำลังใจจากเขาทำให้ผมกลับมาตั้งใจพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

ผมนึกถึงการบริหารของพี่กฤษณ์
รู้ว่าตอนไหนควรยืดหยุ่น ตอนไหนควรเข้มงวด

"คุณก่อ เอกสารที่ผมให้เตรียมรายงานผมอาทิตย์ที่แล้ว ทั้งอาทิตย์คุณทำมาได้เท่านี้เหรอ?"
ผมถาม ยื่นเอกสารเล่มบางๆที่รูปแบบสวยงามให้

"ผมอยากรู้สถิติการผลิต แหล่งที่มา น้ำหนักของแหล่งที่มาของสินค้า ไม่ใช่ไอ้คำโฆษณาว่าสินค้านี้รักโลกหรือไม่รัก
เราเป็นฝ่ายนายทุน ฝ่ายการผลิต ไม่ใช่ผู้บริโภคหรือ PR ผมไม่ได้ถามหาโปรโมชั่น"
ผมพูด เสียงเรียบ ไอ้งานที่ทำมาพอให้ลูกค้าอ่านผ่านนี้ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่ผมจะรับได้เลยแม้แต่น้อย

"ที่ผมเรียกคุณมาก่อน เพราะคุณเป็นคนรับงานจากผมไป ไม่ใช่ว่าคนทั้งฝ่ายจะไม่ผิด แผนกนี้ต้องการฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง ละเอียดรอบคอบ ผมเองก็ต้องการข้อมูลจากคุณ เพื่อให้ผมทำงานได้ ผมให้เวลา 3 วัน ไปทำมาใหม่
ผมต้องการเนื้อหา ไม่ใช่รูปเล่มสวยงาม"
ผมพูดกับชายตรงหน้า เขาอายุมากกว่าผม ก้มหน้าก้มตารับคำจากผม น้ำเสียงฟังไม่ค่อยพอใจนัก
แต่ผมเองก็คนธรรมดา เรียนรู้ว่าไม่สามารถทำทุกอย่างให้ทุกคนพอใจได้
ผมคิดถึงพี่กฤษณ์ ถ้าเขามาอยู่ตรงนี้แทนผมคงทำได้ดีกว่ามาก...

ผมส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระก่อนจะหันมาสนใจเอกสารตรงหน้า

.............................

หลังจากนั้นอีกสามอาทิตย์ ผมก็ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายที่เข้มงวด ดุดันที่สุดคนหนึ่ง
ผมเอาจริงเอาจังกับการทำงานและการจัดการปัญหาต่างๆ (โดยมีที่ปรึกษาลับๆที่เท่ที่สุด(ปลื้มๆ อยากอวด!))
สลัดคราบเด็กหนุ่มหน้าอ่อนจบใหม่ออกเสียเรียบ ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกว่าเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
เป็นคุณหนูเหยาะเเหยะที่เข้ามาเพราะเส้น ทำอะไรไม่เป็น

"หัวหน้าคะ บริษัท Aeron โทรมาขอลดจำนวนสินค้าที่ส่งได้ในปีนี้ค่ะ"

"เอาสัญญามาเปิดสิ ในนั้นบอกว่าลดได้ไหม ถ้าได้ถึงเท่าไหร่ บอกเขาไปเท่านั้น"

"แล้วเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้าส่วนที่ไม่ผ่านจะให้ทำยังไงคะ"

"ไม่ผ่านจากอะไร เอารายงานมาให้ผมก่อน เดี๋ยวผมดูให้ ต้องให้คนไปติดต่อกับฝ่ายจัดการการผลิตไว้ ถ้ามันแก้ได้เราค่อยแก้ เเล้วเรียกมาตรวจอีกที"

.............................

"ไตรมาสนี้ แผนกการผลิตทำหน้าที่ได้โดดเด่น น่าพึงพอใจมาก"
รองประธานกรรมการฝ่ายบริหารซึ่งก็คือพี่ชายของผม พูดขึ้นในที่ประชุมใหญ่ มีเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะ
ผู้บริหารส่วนใหญ่ทราบดีว่าผมอยู่ในฝ่ายบริหารของแผนกการผลิต

"ผมไม่ได้พูดขึ้นเพื่อชมน้องชายของผม พงศ์พลิน แม้ว่าเขาจะทำได้ดีจริงๆก็เถอะ"
เขาพูดเเล้วเรียกเสียงหัวเราะจากที่ประชุมได้พอสมควร หลังจากนั้นชาร์ตของการสรุปในไตรมาส 3 ของบริษัทก็ฉายขึ้นบนจอ เผยให้เห็นอัตราการเติบโตของฝ่ายต่างๆ กำไรสุทธิ และปันผล

ผลกำไรสุทธิจากฝ่ายของผมเพิ่มขึ้นเกือบ 7% อย่างมีนัยสำคัญ
ผมอดภูมิใจไม่ได้ แต่นี้ยังแค่เริ่มต้น หลังประชุมเสร็จเฮียก็เดินมาหาผม

"เฮียภูมิใจในตัวสอง ขอบคุณนะที่ตั้งใจทำงาน สองทำให้ครอบครัวภูมิใจ"

"ไปขอบใจพี่กฤษณ์นู่น"
ผมพูด เบือนหน้านี้

"เลิกโกรธเฮียสักทีนะครับ..เฮียไม่อยากให้คนอื่นมองสองกับครอบครัวเราไม่ดีนิ จะคบก็คบได้แต่ห้ามเปิดเผย สังคมที่นี้ยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น. "

เฮียมองผมด้วยสายตาวิงวอน ผมขมวดคิ้ว ขัดใจกับคำพูดเฮีย..มองเราไม่ดี คบแต่ห้ามเปิดเผย..

"มีแต่คุณที่มองผมไม่ดี คนอื่นไม่เห็นว่าอะไรเลย ถ้าผมจะคบกับพี่กฤษณ์มันก็เป็นเรื่องของผม และผมจะเปิดเผยด้วย
ถ้าคุณกลัวครอบครัวอับอายนักก็รีบๆเเต่งงานมีลูกซะสิ..เป็นโสดนานๆไม่กลัวสังคมเอาไปซุบซิบนินทาว่าเป็นเกย์มั้งเหรอ? หรือว่าความจริงคุณก็.."

ผมมอง พูดจาร้ายกาจที่สุดที่ไม่คิดว่าจะพูดกับพี่ชายตนได้ คนตรงหน้าเงียบ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด

"แล้วสองจะได้รู้เมื่อโตขึ้นว่าที่เฮียทำเพราะเฮียเป็นห่วงสอง เฮียรักสองจริงๆ
มากกว่าคนที่พึ่งผ่านเข้ามานั่น.."

เฮียแม่งรู้วิธีพูดที่ทำให้ผมโกรธได้ทุกวิธีเลยว่ะ!! ถ้าพี่กฤษณ์เป็นอัจฉริยะเรื่องคำพูดที่ปรึกษา อบอุ่นใจ
เฮียก็เป็นอัจฉริยะเรื่องการพูดที่ทำให้ถูกเกลียดเหมือนกัน!!

"ถ้ารักผมจริงคุณควรปล่อยผมไป"
ผมพูดแค่นั้นและหันหน้าเดินหนีออกไป ไม่อยากพูดแล้วทำให้ทำร้ายความรู้สึกกันมากกว่านี้

เริ่มเข้าใจการหนีปัญหาของไอ้ตั้มเสียแล้วสิ

.............................

 หลังจากจบไตรมาสจะมีการกินเลี้ยงเล็กๆน้อยๆในแผนก ผมกล่าวขอบคุณทุกคนที่ทำงานหนักมาหลายอาทิตย์
กล่าวชื่นชมและบอกผลการเติบโตของฝ่ายเรา หลังจากนั้นก็ปล่อยให้พนักงานแยกย้ายไปเดินหาอะไรกินในงานตามอัธยาศัย แต่ผมกลับไม่เห็นก่อ รองฝ่ายผมที่ทำงานอย่างหนักคนหนึ่ง

"มีใครพอจะเห็นคุณก่อไหมครับ?"

"อุ้ย! คุณสอง รายนั้นนะคงไม่มาหรอกมั้งคะ ก็เเหม..เขานะไม่ชอบคุณสองจะตาย ก็ตอนแรกเขาเกือบจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแล้วนะสิค่ะ"

"รอตั้งนานเสาะ..แต่ คุณสองมาเป็นก็ดีนะคะ คุณสองเก๊งเก่ง หล่อก็หล่อ จบจากเมืองนอกเมืองนา.."
ผมยิ้มรับขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปนอกบริเวณงาน ผมอยากคุยกับเขา

จริงอย่างที่คิด ! เขายืนอยู่ตรงที่ให้สูบบุหรี่ เมื่อเห็นผม เขาก็ทำท่าจะกลับเข้าไปในงาน

"เดี๋ยว! คุณก่อ ผมมีอะไรจะคุยด้วยหน่อย"
ผมพูด และเขานิ่ง ทำท่าเหมือนรอรับคำสั่ง ท่าแบบที่เขาทำเสมอ

"ผมขอโทษ"
ผมบอก

"ผมรู้ว่าผมเข้มงวด เอาแต่ใจ เข้ามาข้ามหัวคุณก็เพราะเส้นสาย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไร้ค่า.."

"คุณสองไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมรู้ตัวดี ผมมันแค่พนักงาน เข้ามาได้ถึงระดับนี้ก็ดีเกินฝันแล้ว
ผมเป็นคนต่างจังหวัด แถมไม่ใช่คนโสด มีภาระลูกเมียต้องดูแล ถ้าให้รับงานเป็นหัวหน้าคงทำได้ไม่เต็มตัวเหมือนคุณ.."

เขาพูดพลางพ่นควันบุหรี่ออกมาน้อยๆ

"ชีวิตจริงมันเป็นยังไงผมเข้าใจดี อย่ากังวลไปเลยครับ ผมเองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก"
เขาพูดต่อพลางมองมาทางผม ผมจ้องกลับ

"ผมก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน"

ผมตอบ ปล่อยให้ควันกลืนเข้าไปเกี่ยวเส้นผม ยืนนิ่งข้างพนักงานของตนราวกับสหายที่รู้จักกันมานาน

.............................

"พี่กฤษณ์!!"
ผมกระโดดกอดร่างสูงที่ดูแข็งแกร่ง วงแขนนั้นโอบรับผมไว้ เซเล็กน้อย

"มึงเป็นเด็กหกขวบรึไงวะ"
ผมจ้องหน้าพี่กฤษณ์ ความดีใจกับสุขใจมากเกินกว่าจะใส่ใจประโยคห่ามๆเล็กๆน้อยๆนั่นได้

"ก็กูคิดถึงมึงง่ะ"
ผมเกี่ยวแขนมันไว้ ลากมันไปขึ้นรถ นี้ผมลางาน 1 วันเลยเพื่อมันน่ะเนี่ยย

"มึงไปส่งกูอยู่โรงเเรมแล้วไปทำงานเลยก็ได้นะ กูไม่อยากกวนมาก"

"โอ๊ย ทำงงทำงานอะไร มึงมา กูไม่ทำ ..โอ๊ย!"
ไอ้พี่กฤษณ์ตบหัวผมอีกแล้ว! เออกูยังให้อภัยนะ เพราะกูคิดถึง!

"อย่าทำอย่างนี้ ไม่รับผิดชอบเลยน่ะมึงนะ ..คราวนี้กูให้อภัยนะ เพราะกูคิดถึง"
นั่นน มันต้องใจตรงกันอย่างนี้!

ผมขับรถพาพี่กฤษณ์มาส่งโรงแรมก่อนจะถือวิสาสะถือข้าวของช่วยเขาขึ้นไปเก็บบนห้อง
เมื่อขึ้นถึงห้องแล้วผมก็กอดรวบตัวเขาไว้ ก่อนจะซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง

"มึงต้องพักผ่อนนะ อย่าพึ่งออกไปไหน"
ผมพูดเสียงอู้อี้ เขาดีดหน้าผากผมหนึ่งที

"ดูท่ากูจะไม่ได้พักผ่อนล่ะ"

พี่กฤษณ์พูดแล้วยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้ม

.............................

"มา กูอาบน้ำให้"

"ไม่ต้องเลยมึง.."

"อย่าดื้อสัส ยืนจะไม่ไหวอยู่แล้ว"
พี่กฤษณ์เอาคางมาเกยไหล่ผม วงแขนแกร่งกระชับท่อนบนที่เปลือยเปล่าของผม
เขากดจมูกซุกกับไหล่ผมก่อนจะไล้มัน

"ไม่เอา..กูจะอาบน้ำ"

"อืมม..ก็นี้ไง"
นี้พ่อง! มึงจะต่ออีกรอบชัดๆ! มือหนาเริ่มเลื้อยลงไปช่วงล่างของผม ปลุกเร้าอารมณ์ พี่กฤษณ์ใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือ กดวนตรงส่วนปลายของผมย้ำๆ

"อื้ออ ไม่เอา..ไอ้พี่กฤษณ์!"
ผมดุเสียงเเข็ง แต่ร่างกายไม่ฟังคำสั่ง

"ขออีกรอบนะครับ น้องสอง"
ไอ้พี่กฤษณ์กระซิบเบาๆข้างหู ก่อนที่มืออีกข้างจะลูบบริเวณบั้นท้ายผม ส่วนใหญ่ร้อนดึงดันเหมือนอยากจะเข้ามาเสียเต็มประดา ยิ่งผมขยับตัว มันก็ยิ่งถูกับตัวผมมากขึ้น
มือแกร่งที่จับส่วนล่างของผมเร่งเร้าจังหวะมากขึ้น ผมขยับช่วงล่างไปตามจังหวะที่พี่กฤษณ์เป็นคนนำ

"อือ..อ๊ะ...พี่กฤษณ์!"
ผมสะดุ้งเมื่อมือของพี่กฤษณ์เปลี่ยนมาล้วงลึกเข้าไปในช่องทางของผม
มึงแอบไปฝึกกับใครมา!!

ผมครางด้วยความเสียวเมื่อพี่กฤษณ์ขยับนิ้วไปโดนจุดอ่อนไหว
และดูเหมือนมันจะชอบใจ และชอบแกล้งผมโดยการกดวนตรงนั้นซ้ำๆเหลือเกิน

สักพักพี่กฤษณ์ก็ถอนมือออก ก่อนจะขยับตัวให้ปลายส่วนร้อนมาจ่อทางเข้าของผม
เขาค่อยๆใส่มันเข้ามา ทะนุถนอม นุ่มนวลจนผมแทบละลาย

"พี่กฤษณ์ ..เร็วกว่านี้ ได้ไหมอ่ะ"

แต่เหมือนไม่ได้ยิน พี่กฤษณ์ยังคงขยับเข้าอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วง
มันเร้าอารมณ์ผม แต่ไม่ส่งต่อและน่าหงุดหงิดพอๆกัน

"พี่กฤษณ์..อย่าแกล้งสอง..อื้ออ!"
ผมครางเสียงหลงเมื่ออยู่ๆพี่กฤษณ์ก็ขยับตัวเร็วขึ้น หนักหน่วงขึ้น

"ซี้ด..สอง..อย่ารัดพี่เเน่นนักสิครับ"
ผมคิดไม่ออกว่าจะตอบไอ้พี่กฤษณ์ว่าอย่างไร มือที่ดันผนังห้องน้ำก็ทำท่าจะเลื่อนหลุดทุกครั้งที่พี่กฤษณ์ดันตัวเข้ามา
ไอ้ผนังเหี้ยนี่ก็ลื่นชิบหาย!

"พี่กฤษณ์ครับ ...แรงกว่านี้ได้ไหม"

ดูท่าความรักฉบับบนเตียงของเราจะต้องมีการฝึกเจ้าเสือบ้าพลังนี้เพิ่มอีกนิด
เพราะลูกแมวน้อยอย่างผมดันเป็นพวกMasochist แบบที่ไอ้พี่กฤษณ์มันชอบว่านะสิ




 o22อุตส่าห์ได้เจอกัน ยังไม่ได้เขียนโมเมนต์หวานๆประสาคนรัก ก็ไปหวานบนเตียง(?)แทนซะเเล้ว
แถมยังได้รู้ความลับเรื่อง sex ของเจ้าสองอีก (ฮ่าๆ เขียนสนุกเลยต่อไป)
ตอนนี้เนื้อเรื่องหลักๆก็เป็นการใช้ชัวิตและแวดวงที่สองอยู่เสียมาก
เพื่อปูทางไปยังดราม่า เอ๊ย! ไปยังเรื่องราวสนุกๆที่จะเรียงรายกันมาต่อๆไปค่ะ

ตอนหน้ารอพบกับพี่กฤษณ์ พระเอกผู้มีสกิลพระเอกและความเด๋อเต็มเปี่ยม
เขาจะสามารถพัฒนาฝีมือให้ถูกใจน้องสองได้หรือไม่(?!!) :ruready
จะเอาชนะใจครอบครัว เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง หรือรู้จักกับแวดวงของสองในมุมมองอย่างไร :katai1:

ติดตามได้ในตอนต่อไปค่า :bye2:

#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่7 :07/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-11-2017 22:18:17
แนวนี้ไม่ค่อยมีคนแต่งเลยอ่ะ ยอมรับเลยว่าแต่งออกมาได้สนุกมาก สอดแทรกอะไรใว้เยอะเลย เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะ มาอัพบ่อยๆด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่8 :08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 08-11-2017 20:00:13
ตอนที่ 8 :อาหารเย็นแพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที

ช่วงนี้องค์กรของผมกำลังประสบปัญหาหนัก มันไม่หนักเหมือนสมัยลุงชัยยังเป็นหัวหลัก
ปัญหาเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ตอนนั้นเราแบกภาระหนี้เกือบ 500 ล้าน ปัญหาในครั้งนี้หนัก แม้หนักไม่เท่า แต่ซับซ้อนกว่ามาก ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่รวมถึงการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

องค์กรของผม มี 3 ภาคธุรกิจ การผลิตและการเกษตร,การค้าปลีกและบริการ และอสังหาริมทรัพย์
ไร่ของเราที่ขอนแก่นเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตและการเกษตร
ตั้งแต่มารับช่วงต่อจากลุงชัยโดยมีแกที่วางมือแล้วคอยดูแล ให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ
ผลกำไรของทั้ง 3 ภาค ลดลงจากที่ลุงเคยทำไว้ มันทำให้ผมเครียดมาก ถึงกับเคยปรึกษาลุงว่าจะพักงาน ให้ลุงมาดูแลต่อ(อีกรอบ) เลยทีเดียว แต่ลุงปฏิเสธ

"เอ็งอย่าพึ่งถอดใจสิวะ ทำธุรกิจมันมีล้มลุกคลุกคลานอยู่แล้ว เศรษฐกิจโลกช่วงนี้มันก็ไม่ดี บ้านเรามีปัญหาการเมืองที่ไม่มั่นคงอีก เอ็งแค่เข้ามารับช่วงต่อจากข้าในเวลาที่มันลำบากเท่านั้น.."

ลุงยังให้เหตุผลเพิ่มอีกว่าแก่ๆอย่างลุงดูเหมือนจะไม่ทันโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวันนี้เสียเเล้ว
การส่งไม้ต่อให้คนหนุ่มอย่างผมเป็นวิธีที่จะช่วยให้องค์กรเราก้าวผ่านวิกฤตที่มากับโลกรวดเร็วนี้ได้

เหมือนจะดี..แต่มันคือการโยนหมูร้อนมาให้กูดีๆนี่เอง!

แต่ผมไม่ได้โกรธอะไรลุงจริงๆหรอกนะครับ

ผมกับน้องสาวเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง คุณพ่อคุณแม่เป็นข้าราชการ ท่านเป็นคนฉลาด มีการศึกษาสูง
ประกอบอาชีพที่ต้องดูแลรักษาผู้คน ..แต่กลับรักษาชีวิตตนไว้ไม่ได้

พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิต ตอนที่ผมอายุ 15 ปี ครอบครัวที่เคยอบอุ่น อยู่ๆกลับขาดหลักค้ำจุนไป
ผมต้องยืนหยัดเพื่อยัยแก้ว เป็นพี่ชายที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เด็กอายุ 15 ปีจะเข้มเเข็งได้
โชคดีที่ลุงชัยยื่นมือมาอุปการะ ลุงดูแลพวกเราเหมือนเป็นลูกแท้ๆ แถมยังจะยกสิ่งที่แกก่อร่างสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง มูลค่าหลายพันล้านนี้ให้ผมอีก

ไม่ซึ้งใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
และด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ (กูเกิดยุคไหนวะเนี่ย คนอ่านรู้หมด ฮ่าๆ)

ผมจึงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะสืบต่องานของลุง และทำให้มันเติบโตขึ้นให้ได้

ผมตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับบริษัทของญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ในการแปรรูปสินค้าเป็นแบบใหม่
อยากจะลองเน้นขนส่งสินค้าแปรรูปที่ทำกำไรได้สูง อย่าง ชีส

ผมจึงเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารถึงการปรับเปลี่ยนนี้ สถานที่จัดคือโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ
เพราะน่าจะสะดวกต่อคณะกรรมการบริหารที่เดินทางมาจากแต่ละจังหวัด และจำเป็นต้องหาที่พัก
มากกว่าในสำนักงานหลักสาขากรุงเทพ

 "พี่กฤษณ์!!"
คนตรงหน้าทำหน้าทะเล้นก่อนจะกระโดดมากอดผม ผมพยายามรับเจ้าสองไว้ แต่ด้วยน้ำหนักของมัน(ซึ่งไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ) ทำให้ผมเซเล็กน้อย

"มึงคิดว่ามึงเป็นเด็ก 6 ขวบรึไง"

เออ ท่ามกลางเรื่องที่ผมหนักใจทั้งหมด พอได้เห็นมันก็รู้ว่าไม่มีอะไรจะหนักใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
แค่เห็นหน้ามันผมก็สบายใจขึ้น..

"ก็กูคิดถึงมึงง่ะ.."
เจ้าสองพูดเสียงออดอ้อน ทำไมมึงถึงได้น่ารักอย่างนี้นะ ถ้าไม่ติดเรื่องสิทธิมนุษยชน ผมอยากจับมันขังไว้ข้างๆผมตลอดไป ไม่ปล่อยให้ไปไหน ไม่ปล่อยให้ใครยุ่งเลย..ผมคิดแล้วขำกับความคิดเด็กๆของตน

ทำให้กูหลงขนาดนี้ รับผิดชอบด้วยนะเว้ย!

...................................

หลังจากคลุกอยู่กับเจ้าสองจนถึงเย็น ผมอาบน้ำอาบท่าให้มันก่อนจะอุ้มมันมานอนอยู่บนเตียง

"ขนม"
มันพูด ยื่นมือมา ผมหยิบขนมของฝากจากไร่(ฮ่าๆ ไม่ลงทุนเลยกู)ให้

"เป๊ปซี่"
ผมเดินไปเปิดตู้เย็น โยนน้ำอัดลมกระป๋องให้

"รีโมท"

"มึงกะจะไม่ขยับตัวเลยถูกมะ"
ผมหันไปถาม ขณะยื่นรีโมททีวีให้เจ้าคนที่นอนเป็นเจ้าหญิง(?)บนเตียง

"มึงทำให้กูขยับตัวไม่ได้! มึงต้องรับผิดชอบสิ"
เจ้าสองพูดก่อนจะเชิดหน้า หยิบขนมเข้าปาก

"คร้าบ เจ้าหญิง! ก็เจ้าหญิงบอกให้ผมทำแรงๆนี่ครับ.."

"ผลั่ก!!"
เจ้าหญิงน้อยปาหมอนมาใส่ผม หน้าแดงก่ำ ผมหัวเราะ

"มึงหน้าด้านสัส!"

"ส่วนมึงก็มาโซคิสต์สัส กูอุตส่าห์จะอ่อนโยน.."

"มึงไม่ต้องพูดเลย!!"

ผมหัวเราะก่อนจะโดดไปนอนตักมัน แล้วเอาหัวมุดพุงมันอย่างหมั่นเขี้ยว

"โอ๊ยย!! มึงคิดว่าตัวเองเป็นลูกหมาน้อยรึไง หนักสัส ไอ้พี่กฤษณ์!"

"มึงพักนะ กูออกไปทำธุระแปป เดี๋ยวกลับมา"
ผมพูดก่อนจะลุกไปแต่งตัว

"ไปหาใคร ชายหรือหญิง จะกลับกี่โมง อย่าให้กูรู้นะว่ามึงมีกิ๊ก"
มันพูดเสียงเข้มๆ ผมหัวเราะก๊าก

"มึงเป็นเมียหึงโหดในหนังสือพิมพ์เหรอวะไอ้สอง ฮ่าๆๆ กูไม่กล้าหรอก..ไม่กล้าทำต่อหน้า"
ผมพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มือก็คอยรับหมอน,หมอนข้าง,ถุงเท้า(?),กางเกงใน(?!!) ที่ไอ้สองโยนมาหาผมอย่างต่อเนื่อง

"ชาย กลับ ไม่เกิน 4 ทุ่ม จะกินอะไรเดี๋ยวกูซื้อกลับมา"
ผมพูด หันหน้าไปถามเจ้าคนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย

"ไม่ต้องๆ ทำธุระไป กูอยากกินไรเดี๋ยวโทรสั่งเอาเอง"

...................................

ผมมากินข้าวเย็นกับไอ้หนึ่งครับ..ภัตตาคารอาหารทะเลหรูหราบนโรงแรมสูง รสนิยมไอ้หนึ่งมันล่ะ

"น้องกูไม่ยอมคุยกับกูเลย"

ไอ้หนึ่งพูดก่อนจะทำสายตาน่าสงสารประดุจหมาถูกทิ้งส่งมาให้ผม

"กูบอกมันแล้วนะ ให้คุยกับมึงดีๆ มึงให้เวลามันหน่อย"

"เป็นเดือนละ กูโกรธน้อง โกรธมึงด้วย แต่กูทนไม่ไหวแล้ว กูกลัวน้องกูเลิกรักกู"

"มึงนี่เป็นเด็กมากกว่าน้องมึงซะอีกนะ..มึงหายโกรธกูแล้วเรอะ ถึงได้ยอมมาคุยกับกูอย่างนี้"
ผมถามอีกฝ่ายตรงๆ ไอ้หนึ่งหลบตาผม

"ก็มึงปล่อยน้องกูกลับ ไม่ได้ยุยงให้มันเกลียดกู กูรู้จักมึงมานาน พอมาคิดๆดูแล้วมึงก็คงดูแลน้องกูได้จริงๆ
อีกอย่าง ต่อให้พวกมึงฝืนคบ คบระยะไกลก็คงทำได้ไม่นานหรอก...แอ๊ก!"
ผมเอาส้อมจิ้มแขนมัน

"สัส"
ผมพูด ไม่สนบริกรที่ดูตกใจในมารยาทของผมที่ไม่เข้ากับไอ้คุณชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

"กูจริงจัง"
ผมพูด ก่อนจะหันมาสนใจเนื้อปลาบด(?!)ตรงหน้า ผมเข้าใจไอ้หนึ่ง คนเป็นพี่ ร้อยทั้งร้อยก็ห่วงและหวงน้องทั้งนั้น
ผมก็เป็นพี่คนหนึ่ง ผมไม่ได้คาดหวังให้มันมาเข้าใจอะไรมากมาย แค่มันไม่กีดกันผมกับคนรักมากจนเกินไป เเค่นั้นก็พอ และมันกับผม เราต่างโตๆกันแล้ว(เหมือนที่มันชอบพูด) มีหน้าที่และสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย
มากกว่าจะมานั่งเสียเวลาคิดแผนกีดกันความรักของน้องชาย ส่วนผมเองก็ไม่มีเวลามานั่งคิดแผนลักพาตัวคนรักออกมาจากครอบครัว(แม้ลึกๆแล้วอยากจะทำก็เหอะ!)

"เออ เรื่องที่มึงขอคำปรึกษามา ที่จะทำธุรกิจกับบริษัทต่างประเทศ กูหามือกฎหมายดีๆได้แล้วนะ"
ผมพยักหน้ารับ 'มือกฎหมายดีๆ' ที่ผมกับไอ้หนึ่งรู้กัน ไม่ใช่แค่คนที่มีความสามารถ แต่ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้
เพราะงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ไม่ว่าสัญญาจะโปร่งใสหรือไม่ การรักษาความลับเป็นเรื่องจำเป็น

"ชื่อวินด์ เป็นเด็กสายเกรียง "

"กูไม่อยากเอาพวกที่มีเอี่ยวกับการเมือง"
ผมพูด ขมวดคิ้ว

"ใครมันก็มีเอี่ยวกับการเมืองทั้งนั้นแหละ เด็กมันมีความเป็นมืออาชีพพอ"

"กูต้องการคนมีประสบการณ์"
ผมพูด ยังไม่พอใจ ..เผื่อหลายคนยังไม่รู้ ผมเป็นคนมาตรฐานสูง โดยเฉพาะในเรื่องงาน

"วินด์จบกฎหมายจากมหาวิทยาลัย K ในโตเกียว ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง กำลังเรียนป.โท รัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ม.C ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้บริษัท K.Kingarden .."

ผมเหลือกตา

"เด็กมึง?"

"เปล่าๆ ก็เห็นมึงว่าจะติดต่อกับบริษัทญี่ปุ่นด้วยหนิ มันจบกฎหมายจากนั่น และน้องมันก็เก่งจริงๆ กูเห็นคนดีมีความสามารถ กูอยากสนับสนุน"

ผมพยักหน้า ทำเป็นมองข้ามบริษัทที่เด็กคนนั้นทำงานให้..บริษัทของคุณเกรียง นักการเมืองใหญ่ผู้มีอิทธิพลต่อวงการการเมืองไทย ถ้าไม่เห็นว่าไอ้หนึ่งเป็นคนแนะนำมา ผมคงไม่ค่อยอยากให้เด็กคนนี้มามีเอี่ยวกับธุรกิจของผมนัก
ไม่ใช่เรื่องที่เขาทำงานให้นักการเมืองอย่างเดียว แต่ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ในฐานะอะไร ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจลงการเมืองในอนาคต มันคงไม่ดีนักหากธุรกิจภาคเอกชนถูกมองว่าเลือกข้าง..

ไม่ใช่ว่าข้างไหนดีหรือไม่ดี
แต่ในมุมมองนักธุรกิจ ผมต้องการผลประโยชน์ที่ดีที่สุดต่อตัวเองและองค์กร
แม้ว่าการกระทำที่ดูเหมือนเลือกข้างในเวลานี้ไม่ใช่หนทางที่ฉลาดนัก
ผมได้แต่หวังว่าผมจะใช้งานเขาได้ฉลาดพอ

หลังจากทานอาหารเสร็จ คุยธุระเสร็จ ผมก็อดทนฟังไอ้หนึ่งค่อนเเขะผมเรื่องความรักระหว่างผมกับน้องมัน
ไอ้ประโยคเด็กๆแบบ คอยดูเหอะ คบกันได้ไม่นานหรอก หรือ มันเห็นคนอื่นดีกว่าพี่มันนน
ผมอดทนฟัง (แม้ว่าคนอื่นที่มันพูดจะเป็นผมเอง) ไม่ค่อยต่อล้อต่อเถียง อาจเพราะไอ้พูดมากๆไม่ใช่นิสัยผมส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือผมรู้จักมันดีเกินกว่าจะเสียเวลาโต้เถียงไร้สาระ

"เอ้อ น้องมึงนอนอยู่ห้องกู มีอะไรจะฝากบอกไหม"
ผมพูดยิ้มๆก่อนจากกัน มองดูสีหน้ากึ่งโมโหกึ่งขัดใจของไอ้หนึ่ง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะ

"บอกมันกลับบ้านด้วย ทุกคนรอ!"

"อืม..แล้วก็ อย่าพากูมากินนี้อีกนะ ปลาบดนี่ควรให้แมวแดก"
ผมพูดด้วยความสัตย์จริง

"มันคือ Yellow fin tuna tartar ต่างหากละเว้ย"

ผมยักไหล่ ในใจคิดว่าคงต้องแวะซื้อก๋วยเตี๋ยวข้างทางอีกตามเคย อาหารเย็นแพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที

...................................

ผมกำลังแกะก๋วยเตี๋ยวถุงให้ตัวเองกับเจ้าสองกิน

"พี่มึงฝากบอกให้กลับบ้านหน่อย"

"มึงไปเจอเฮียหนึ่งมาเหรอ"

ผมพยักหน้า

"มันสบายดีปะ"

"อยากรู้ก็ไปดูเอง"
มันตีผมดังเพลี้ยะ!(เจ็บสัส)

"มันเลิกโกรธมึงล่ะ กลับบ้านได้เเล้ว พ่อเเม่มึงอีก ว่างๆพากูไปด้วยสิ"
ผมพูด ลอบมองคนตรงหน้า เจ้าสองมองหน้าผมอึ้งๆ

"มึงอยากไป?"

"แน่นอน ..อาจเพราะกูไม่มีพ่อเเม่ด้วยมั้ง กูเลยลืมนึกไป ..กูอยู่ตัวคนเดียวจนชิน กูเลยไม่ค่อยได้สนสายตาใคร
แต่มึงไม่ใช่ ครอบครัวรักมึงมาก พวกเขาเป็นห่วงมึง"

"กูก็อยากกลับบ้าน"
เจ้าสองพูดก่อนจะเอนตัวลงมานอนตักผม(เฮ้อ ไอ้หนึ่งเพื่อนรัก! มึงเชิญอิจฉาให้ดิ้นตายไปเลยนะ )

"ไอ้พี่กฤษณ์ อย่า ทำ ก๋วยเตี๋ยว หก ใส่ หัว กู"

"เอาหัวออกไป"
ผมพูด มันลุกขึ้น เอาหมอนตีผมด้วยสาเหตุที่ผมไม่เข้าใจ

...................................

คฤหาสน์ในละครหลังข่าว...ผมขี้เกียจอธิบายความอลังการของบ้านมัน ดูเหมือนว่าบ้านเเถบนี้จะเป็นเหมือนกันหมด
สนามหน้าบ้าน สวนวน ลานน้ำพุ โรง(ลาน?)จอดรถ บ้าน สระว่ายน้ำ สนามหลังบ้าน

เจ้าสองเดินฉับๆเข้าบ้าน คนรับใช้วิ่งกุลีกุจอมาช่วยถือของให้
คนขับรถเอารถไปเก็บให้ คนรับใช้วิ่งเอาน้ำผลไม้กับขนมครก(?)มาเสิร์ฟให้

ผมละนับถือจริงๆ ไอ้คนที่เกิดในสภาพเเวดล้อมแบบนี้เเล้วยังโตมาไม่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจได้

"ป๊ากับม๊ากำลังมา กูไลน์ไปแปปเดียวก็จะมาแล้ว สงสัยคิดถึงกูมาก"
ไอ้สองพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่ผม..เอ่อ..ถ้าคุณยังจำความรู้สึกตอนพบพ่อแม่แฟนครั้งแรกได้ คุณจะเข้าใจความรู้สึกผมตอนนี้ คูณความวิตกกังวลเข้าไปอีกประมาณ 10 เท่า

กูดูดีพอยังวะ? กูดูพึ่งพาได้ใช่ไหม? กูโอเคไหมเนี่ย?

"พี่กฤษณ์? มึงโอเคไหม"

ผมพยักหน้า

ไอ้สองหัวเราะ

"มึงไม่ต้องกลัวนะ ป๊ากูใจดี!"
แฟนคนแรกกูก็พูดแบบนี้แหละ! พ่อมันเอาไม้ไล่ตีกูตอนกูเลิกกับลูกสาวเขา!

"กูโอเค"
ผมพยายามพูด แต่ผมโกหกไม่เก่ง

"มึงจะโอเค"
เจ้าสองพูดก่อนจะเอามือสองข้างมาแนบกับใบหน้าผม

...................................

"ป๊า ม๊า นี่พี่กฤษณ์ คนรักสอง เฮียคงเล่าให้ฟังแล้วใช่ปะ"

เชี่ยยย!!.. เป็นกูเองที่รู้สึกทำหน้าไม่ถูก เอางี้เลยเหรอวะ ?!! กูอุตส่าห์ซ้อมพูด 'สวัสดีครับ ผมชื่อกฤษณะ ไตรวงศานุพัฒน์" เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร..'ประมาณ 10 รอบ

ผมโค้งทำความเคารพ มองหน้าคุณพ่อคุณแม่ของเจ้าสอง
ผมรู้จักพ่อเจ้าสองมาก่อน เขาเป็นผู้นำของกลุ่มผู้บริหารหลักของกองทุนและธุรกิจในเครือสุวรรณกุล
ทายาทสายตรงของสุวรรณกุล ดวงตาสีดำหม่นๆ จ้องมองผม ริ้วรอยบนใบหน้าบอกถึงการผ่านประสบการณ์มามาก
เขาให้ความรู้สึกเหมือนสิงโตชรา มีอำนาจ สงบนิ่ง แต่ไม่ได้หมดเขี้ยวเล็บ
คุณหญิงของบ้านสุวรรณกุล เธอเป็นผู้หญิงที่งดงาม ท่าทางเจ้ากี้เจ้าการคล้ายกับเจ้าหนึ่ง เธอมองหน้าผม สีหน้าดูอึ้งๆ

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมกฤษณะ ไตรวงศานุพัฒน์"
บทพูดที่ซ้อมไว้อย่างดิบดี ถูกตัดทอนเหลือเพียงชื่อกับนามสกุล
ไม่ต้องแนะนำตัวให้มากหรอก ถ้าเขาอยากรู้ เขาจะรู้เอง ..คนตรงหน้าผมทั้งสองคนให้ความรู้สึกเช่นนั้น

"อืม..ไหนๆก็มาแล้ว มาทานข้าวเย็นด้วยกันหน่อยไหมกฤษณ์"
คุณพ่อของสองเอ่ยชวน ผมยิ้มรับคำ บททดสอบบทใหม่เริ่มขึ้นแล้ว..

...................................

"แสดงว่าตอนนี้ก็รับช่วงต่อจากลุงชัย ดูแลงานในไร่"
คุณพ่อของสองพูดก่อนจะลงมือตักอาหาร เจ้าสองเหลือบตามามองผมเป็นระยะๆ

"ดูแลทั้งองค์กรครับ ไร่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตและการเกษตร"

"ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีเลยนะ จะทำยังไงล่ะ"

"องค์กรคงต้องวางแผนตั้งรับครับ ผมยังไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจตอนนี้เลยไม่ได้วางแผนเติบโตไว้ และคงปรับฐานธุรกิจให้แคบลง.."

"ปัญหาช่วงนี้ซับซ้อนเนาะ..ปรับฐานยังไง ปรับลดพนักงานหรือ"

"คิดว่าจะเปลี่ยนรูปแบบให้พนักงานคนหนึ่งทำได้หลายหน้าที่แทนครับ"

"นี้ป๊าคิดว่าตัวเองสัมภาษณ์งานอยู่เหรอ ป๊ากำลังทำให้พี่กฤษณ์อึดอัดน่ะ!"

"อึดอัดอะไร ตอบคำถามสบายๆ พี่กฤษณ์ของสองเก่งอยู่แล้วหนิ"
ไอ้หนึ่งพูด ยิ้มให้ผม ผมยิ้มกลับ (ทีใครทีมันนะเอ็ง!)

"ที่ผมมากรุงเทพครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อประชุมรูปแบบการตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงนิดๆหน่อยๆขององค์กรนะครับ"
ผมเลี่ยงไม่พูดเรื่องแนวทางสินค้าแปรรูปไว้ ไอ้นิสัยรักษาผลประโยชน์ให้องค์กรมันติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออด
โทษทีนะครับพ่อ!

"อีกส่วนล่ะ?"

"ผมคิดถึงสองน่ะครับ"
ผมพูด หน้าตาย ไอ้หนึ่งสำลักข้าวกระทันหัน เจ้าสองก้มหน้างุด คุณหญิงหน้าแดง ส่วนป๊าเจ้าสองจ้องผมเขม็ง

"ชอบเจ้าสองตรงไหนล่ะ"

"ทุกตรงแหละครับ"
ผมตอบไปตามความสัตย์จริง ดวงตาสีดำหม่นจ้องผมเขม็ง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป ผมจ้องตอบ
อาจเป็นเพราะว่าการพูดความจริง เป็นส่วนหนึ่งที่ผมถนัดที่สุด

หลังจากนั้นเราก็รับประทานอาหารกันต่อ ด้วยบรรยากาศที่สบายใจมากขึ้น เจ้าสองพยายามพูดอวดผมให้ครอบครัวมันฟัง ไอ้หนึ่งพยายามขัดเเทบทุกอย่าง ส่วนผมก็พูดบ้าง เเต่ไม่มากนัก

บทสนทนาที่เหลือก็เป็นประมาณนี้

"นี้เป็นไวน์จากไร่ของผมที่เชียงใหม่ ไวน์องุ่น 25 ปี กลิ่นน้ำผึ้งแตะจมูกนิดหน่อยครับ.."
นี้คือผม

"เออ..ดีๆ..จริงๆฉันก็อยากสนับสนุนไวน์ไทยมากกว่าของฝรั่งนะ.."
นี้คือคุณพ่อ

"ให้เหล้าเท่ากับเเช่ง"
นี้คือ(ไอ้เชี่ย)หนึ่ง

"เฮีย!!"
นี้คือเจ้าสอง

"ฮ่ะๆๆ หนึ่ง อย่าแกล้งน้องสิลูก!"
นี้คือคุณเเม่

หลังจากผมวนลูปบทสนทนาประเภทนี้ได้สัก 3-4 รอบ เราก็รับประทานอาหารเสร็จ
ผมกล่าวขอบคุณครอบครัวของสอง ก่อนจะขอตัวกลับ เจ้าสองดื้ออยากมาด้วย แต่ผมห้ามไว้
ในที่สุดผมก็พามันกลับมาหาครอบครัวได้ ผมอยากให้มันใช้เวลากับครอบครัวให้มากเสียก่อน

อีกอย่าง ครอบครัวของเจ้าสองก็น่ารัก ทุกคนดูรักกันเเละรักเจ้าสองจากใจจริง
ผมเชื่อว่าความรักเหล่านี้ไม่มีทางทำร้ายคนรักของผมแน่นอน

...................................

ผมนั่งอยู่ในห้อง กำลังอ่านเอกสารและสัญญาทั้งหลาย
เตรียมตัวสำหรับการประชุมการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวันพรุ่งนี้

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเดินไปดู มองลอดตาแมวก่อนจะเปิดประตู

คนรักของผมยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทางเหนื่อยหอบ ในมือถือถุงก๋วยเตี๋ยว

"ป๊าให้ซื้อมาฝาก เขาบอกว่าพี่กฤษณ์ไม่ค่อยได้กิน"



 :hao3:จบตอน 8 อาหารเย็นแพงๆแม่งไม่เคยอิ่มท้องสักที ..

 เอาใจช่วยพี่กฤษณ์และน้องสองกันต่อไป :katai1:
ตัวละครใหม่ๆนักธุรกิจ/นักการเมืองทั้งหลายจะมาสร้างความปวดหัวหรือเกี่ยวดองชีวิตน้องสองพี่กฤษณ์อย่างไร
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ! :bye2:


แนวนี้ไม่ค่อยมีคนแต่งเลยอ่ะ ยอมรับเลยว่าแต่งออกมาได้สนุกมาก สอดแทรกอะไรใว้เยอะเลย เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะ มาอัพบ่อยๆด้วย อิอิ

ขอบคุณมากนะคะ มีกำลังใจขึ้นมากเลย! (ว่าแต่ แนวนี้มันแนวอะไรหว่า..ไม่ใช่ว่ามีอยู่ทั่วไปในนี้เหรอคะ นิยายรักคอเมดี้ :katai1:) ผู้เขียนตอนเขียนสนุกมากกเลยค่ะ! ได้รู้ว่าผู้อ่านสนุกตอนอ่านด้วยยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านจากใจจริงค่ะ(โค้ง) :bye2:

#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่8 :08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-11-2017 21:15:49
นิยายแนวการใช้ชีวิตอ่า ปกติเจอแต่แบบ มาถึงฟัดกันเลย5555 เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่9 :09/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 09-11-2017 14:50:27
ตอนที่ 9: การเข้ามา

"ไอ้กฤษณ์กลับไปแล้วเหรอ"

เฮียหนึ่งถามเมื่อเห็นผมเดินลากขาเข้าบ้านอย่างซังกะตาย ผมพยักหน้ารับ
พี่กฤษณ์ไม่ยอมให้ผมไปนอนด้วย! อยากนอนด้วย!

"ป๊าอยากคุยด้วยนะ เฮียด้วย"
ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินเปลี่ยนทิศทาง พาตัวเองไปยังห้องทำงานของป๊า เคียงข้างเฮียหนึ่ง

"ป๊าคงไม่ได้เรียกสองมาห้ามไม่ให้คบกับพี่กฤษณ์ใช่ไหมฮะ"
ผมรีบถามดักทาง ป๊าส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ

"เฮียหนึ่งเล่าให้ป๊าฟังตั้งนานแล้ว เรื่องพี่กฤษณ์ของสองเนี่ย แต่ป๊ายังไม่เชื่อถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา"
ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะ เหลือบตาไปมองเฮียหนึ่ง ป๊าทำถูกแล้ว..เรื่องพี่กฤษณ์ที่ออกจากปากเฮีย เชื่อได้ที่ไหนกัน!
ทำตัวอย่างกับนางอิจฉาในละคร!!

"เขาคงดูแลสองได้จริงๆอย่างที่เฮียหนึ่งว่า.."

..เฮียหนึ่งนี่นะ?! บอกว่าพี่กฤษณ์จะดูแลผมได้.. ผมมองหน้าพี่ชายอึ้งๆ เขาไม่ได้มองผม แต่กลับมองไปข้างหน้า
พี่ชายจอมเจ้ากี้เจ้าการ นักบงการชั้นยอด คนที่ปากร้าย ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครเสมอยกเว้นน้องชาย
..บางทีนี้อาจเป็นความรักของพี่น้อง อย่างที่พี่กฤษณ์ว่า
ความรักที่เเท้จริงจะไม่ทำลายกัน เฮียอยากเห็นผมมีความสุข แต่ในใจก็คงเป็นห่วงผมยิ่งกว่าใคร

"เพราะได้คุยกับพี่กฤษณ์เหรอฮะ ป๊าถึงรู้?"

"เปล่า ..เพราะได้มองตาเขาต่างหาก และเห็นสายตาที่เขามองลูก ป๊าถึงรู้"
ผมยิ้ม อยากเข้าไปกอดป๊าเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ

"ขอบคุณนะครับ ..ตอนแรกสองคิดว่าป๊าจะโกรธซะอีก สองเข้าใจว่าคนรุ่นป๊าอาจไม่ค่อยชิน คงจะอายด้วย ถ้าสองมีคนรักเป็นผู้ชาย"
ผมพูด ก้มหน้า ไม่กล้าสบตาป๊าตรงๆ

"ตอนแรกก็ตกใจอยู่ แต่เพราะเฮียหนึ่งมาเล่าให้ฟังตั้งนานแล้ว เลยหายตกใจไปเยอะ"
ป๊าพูดพลางหัวเราะ

"อีกอย่าง พี่กฤษณ์ของสองนั่นเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถจริงๆ วิสัยทัศน์กว้างไกล ฉลาด ซื่อตรง ป๊าเเพ้คนนิสัยซื่อตรงมาแต่ไหนแต่ไร.."

"สองก็ด้วย!"

เฮียหนึ่งกระเเอม

"เพราะงั้นแทนที่จะขอบคุณป๊าไปขอบคุณเฮียเถอะ พูดยืนยันให้พี่กฤษณ์ของสองจนป๊าสงสัยว่ารับสินบนมาหรือเปล่า"
ผมหัวเราะ หลังจากนั้นป๊าก็บอกให้ผมหาซื้อก๋วยเตี๋ยวไปฝากพี่กฤษณ์ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้ทานอะไร (ป๊าทำให้พี่กฤษณ์อึดอัดจนกินอะไรไม่ลง! ,ผมต่อว่า และป๊าหัวเราะ)

..................................

เฮียหนึ่งเป็นคนขับรถไปส่งผม เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง ผมซึ่งเลิกโกรธเฮียไปนาน(หลายชั่วโมง)แล้ว
จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะกลับไปเป็นน้องชายที่น่ารัก(?)ของเฮียคนเดิม

"ขอบคุณนะเฮีย"
ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"ขอบคุณทำไม เฮียไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไงคบระยะไกลก็ไปได้ไม่นานหรอก เฮียเลยขี้เกียจขัดขวาง"
คนข้างๆพูดถ้อยคำร้ายกาจออกมา แต่ผมไม่โกรธอีกแล้ว ผมเข้าใจ

"เฮียนี่ทำตัวเป็นเด็กไม่เปลี่ยนเลยน้า ตอนเด็กๆเราแย่งไอติมช็อกโกแลตกัน เพราะเฮียเเรงเยอะกว่า ถึงได้ชนะสองทุกที"
ผมพูด คิดถึงความหลัง

"ก็ถ้าเฮียอยากชนะเฮียจะชนะทุกทีนี่"
พี่ชายผมพูด ทำเสียงร้ายกาจ ผมส่ายหัว

"แต่หลังจากนั้นในตู้เย็นบ้านจะเต็มไปด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตนี่ฮะ เฮียรู้สึกผิดเลยให้ป้าเเม่บ้านซื้อไอศกรีมไว้เต็มไปหมด ตอนนั้นสองไม่รู้ว่าเป็นเฮีย นึกไปว่าเป็นเพราะป้าเเม่บ้านใจดี"

"มารู้ตอนหลังที่เฮียโดนป๊าดุเรื่องใช้เงินฟุ่มเฟือยนั่นเเหละ"
ผมพูด มองไปที่คนข้างๆ เขาไม่พูดอะไร ดูเหมือนเขาเองก็กำลังคิดถึงความหลังเช่นกัน

"รู้อะไรไหมเฮีย สองรักพี่กฤษณ์นะ เขาอาจพึ่งผ่านมาในชีวิตสองก็จริง แต่สองก็รักเขาเหมือนที่คนรักจะรักได้ เขาเป็นคนที่จะเเบ่งไอศกรีมช็อกโกแลตให้สอง หรืออาจยกให้เลยด้วยซ้ำ ..แต่คนที่รักสองพอที่จะยอมโดนดุเรื่องไอศกรีม คนที่เป็นห่วงสองและบ้าพอที่จะสั่งไอศกรีมมาเก็บไว้เป็นลัง คือเฮีย"

ความรักของพี่น้องเเละคนรักนั้นเทียบกันไม่ได้
ไม่ใช่ว่าฝ่ายใดเเข็งแกร่งกว่า
แต่เป็นเพราะความรักที่มีนั้นอยู่คนละรูปแบบกัน

แม้ว่าจะเเตกต่างกันหลายอย่าง แต่ความรักที่ดีนั้นเหมือนกันเสมอ
มันไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน

"สองรักเฮียนะ , แต่อยากกินไอติมพี่กฤษณ์มากกว่า"
ผมพูดก่อนจะโดดลงจากรถ หัวเราะระหว่างที่วิ่งหนีเสียงตะโกนสาปแช่งพี่กฤษณ์ที่ไล่ตามหลังมา

..................................

ตอนที่ผมมายืนอยู่หน้าห้องพี่กฤษณ์พร้อมถุงก๋วยเตี๋ยว
เหนื่อยหอบ แต่สุขใจ

หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ผมก็นั่งดูพี่กฤษณ์อ่านเอกสารอย่างขมักเขม้น
เขาดูเคร่งเครียด คงเป็นอะไรสักอย่างที่สำคัญ..

ผมลุกไปชงกาแฟก่อนจะยกมาให้พี่กฤษณ์(วุ้ย! เป็นแฟนที่น่ารักจังเลยกู!)

"ประชุมเรื่องสำคัญเหรอ"
ผมถาม พยายาม(?)แทรกตัวเข้าไประหว่างพี่กฤษณ์กับเอกสารของเขา(กูจะทำไปทำไมวะ?)

"อืม กูว่าจะลงทุนกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เน้นเรื่องสินค้าแปรรูปมากขึ้น"

"ไหนมึงบอกว่าเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่เหมาะแก่การเติบโต"

"ไม่ได้จะเติบโต กูแค่หาช่องทางในการสร้างกำไรใหม่ๆ ..ตั้งแต่กูมารับช่วงต่อแทนลุงชัย กำไรมันลดลง"
พี่กฤษณ์พูด สีหน้าดูเคร่งเครียด

"ไม่มีธุรกิจไหนที่เป็นบวกตลอด มันขึ้นลงตามปัจจัย บางเรื่องมึงกำหนดได้ บางเรื่องไม่.."

"มึงไม่ควรเครียดกับเรื่องที่กำหนดไม่ได้"
ผมพูด แนบริมฝีปากไปที่เจ้ากฤษณ์น้อย

"พรุ่งนี้กูมีประชุม"
พี่กฤษณ์พูด ยกเอกสารขึ้นมาอ่าน

"ก็อ่านไป"
ผมเหลือบตาขึ้นมองคนรัก เขาส่ายหัว วางเอกสารลง

..................................

ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยรอยแดงๆเต็มตัว เป็นปกติไปเสียเเล้ว พี่กฤษณ์ชอบจูบ เล่นกับร่างกายผม ส่วนผมก็ชอบให้เขาทำอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเริ่มทำบางอย่างที่รุนเเรง ผมจะถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายขึ้นไปอีก

ผมได้ค้นพบหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเองเพิ่มขึ้นเมื่อมาคบกับพี่กฤษณ์

เป็นต้นว่า ผมเป็นพวกไม่รู้จักพอ แถมยังไม่มีความอดทน

"สอง..กูจะไปอาบน้ำ"
พี่กฤษณ์พูดเสียงทุ้มๆ ผมไม่สน ก้มหน้าใช้ลิ้นโลมเลียกฤษณ์น้อย ซึ่งตอนนี้กำลังเติบโตขึ้น
ผมอมส่วนแข็งขืนของพี่กฤษณ์ไว้ในปาก ก่อนจะเพิ่มจังหวะการขยับให้ดุดันยิ่งขึ้น

เจ้านี้ที่อยู่ในตัวผม...
พี่กฤษณ์จับหัวผมเพื่อเร่งจังหวะ

"สอง..กูจะเสร็จ.."

ผมหยุด เอาปากออกและลุกขึ้นมอง

"ไปอาบน้ำสิ"

พี่กฤษณ์มองหน้าผม ยิ้ม

"น้องสองชอบแบบนี้ใช่ไหมครับ.."
น้ำเสียงทุ้มนั้นแหบพร่า บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ประทุขึ้น

"ถุงยางหมดไปแล้วนะน้องสอง.."

พี่กฤษณ์พูดก่อนจะจับผมลุกขึ้น ดันไปชิดกับผนังห้อง ปลายนิ้วแทรกเข้ามาทางช่องทางด้านล่าง
พี่กฤษณ์รู้ทุกจุดของผม แต่เขาไม่เสียเวลาแกล้งต่ออีกแล้ว
ส่วนใหญ่ร้อนถูกดันเข้าช่องทางที่ชินกับการรับขนาดของพี่กฤษณ์มากขึ้น
ผมพยายามเกาะเกี่ยวพี่กฤษณ์เอาไว้ในขณะที่สะโพกขยับสอดคล้องไปตามจังหวะที่พี่กฤษณ์นำ
เมื่อจังหวะดุดันเร่งเร้าขึ้น ผมก็ครางด้วยเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากตนเองด้วยซ้ำ

"อะ..อ๊า!! ..พี่กฤษณ์.."
ของเหลวใสพุ่งออกจากแกนกลางตัวผม เลอะหน้าท้องพี่กฤษณ์
เมื่อผมเสร็จ พี่กฤษณ์กระทุ้งตัวผมอีกสองสามครั้ง ก่อนจะปล่อยของเหลวอุ่นร้อนเข้ามาในตัวผม
ผมรู้สึกถึงมันจึงหน้าแดงน้อยๆ เมื่อของเหลวนั้นไหลลงมาจากช่องทางด้านล่าง

ดูเหมือนพี่กฤษณ์เองก็รู้สึกเช่นกัน

"ให้กูอาบน้ำให้นะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะจูบหน้าผากผมเบาๆ

ผมส่ายหัว

"มึงอาบเลย รีบไปประชุม กูอยากนอนก่อน"

หลังจากอาบน้ำเสร็จ พี่กฤษณ์ก็ตรวจดูจนแน่ใจว่าผมไม่เป็นอะไร แค่อยากนอนเพราะเหนื่อยเเค่นั้น
ผมจูบอวยพรขอให้เขาโชคดีกับการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ ผมรู้ว่าเขาเป็นคนเก่ง
เขาจะต้องทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

"พี่กฤษณ์.."
ผมพูด ขณะมือยังคล้องคอคนรัก

"หือม์?"

"มีแต่ในฤดูที่ทรหดเท่านั้น ผลผลิตถึงจะดีที่สุด"
ผมพูดเบาๆ เขายิ้ม

"กูจะรีบกลับมา"
เขาหันกลับมามองผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกจากประตูไป

ผมนอนมองเพดาน ในใจคิดว่าถ้าผมได้อยู่เคียงข้างพี่กฤษณ์อย่างนี้ตลอดไป
ชีวิตผมคงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ความรักทำให้คนเป็นได้ขนาดนี้เชียวรึ..
ความรักช่างน่ากลัว
..................................

ช่วงเย็นพี่กฤษณ์พาผมไปทานอาหารที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจะไม่ใช่วิถีของพี่แกเลย
แถมอาหารที่สั่งมาล่วงหน้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดผม!

ไอ้พี่กฤษณ์ มีมุมโรแมนติกกับเค้าด้วย!
สงสัยไปแอบถามเฮียมา..

"ความจริงกูก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นะ ไอ้ภัตตาคารหรูหราแบบนี้ แต่คนที่แนะนำและช่วยโทรสั่งให้เนี่ย เขาดูอยากจะช่วยจริงๆ ..อะ นั่นไง"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะพยักหน้าไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในร้านคนใหม่
ชายร่างสูง ดวงตาสีดำ ใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน..

"วินด์?"
วินด์เดินไปนั่งโต๊ะที่เขาจองไว้เพื่อตัวเอง เป็นโต๊ะที่อยู่ในมุมจะมองเห็นเราได้ถนัด
ผู้ชายคนนี้อันตราย..สัญชาตญาณบางอย่างของผมร้องเตือน

คนปกติเขาไม่มานั่งทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์แบบนี้นะเว้ย!

แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลยสักนิด

"มึงรู้จักด้วยเหรอ มันเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายคนใหม่ของบริษัทกู เฮียมึงแหละเเนะนำมา
กูคุยกับมันคร่าวๆแล้วก็เป็นคนหนุ่มที่ใช้ได้ดี"

พอพี่กฤษณ์พูดขึ้นมาอย่างนี้ ผมก็พึ่งตระหนักว่า ผมไม่ควรไปตัดสินคนที่ผมไม่ได้รู้จักดีว่าเขาเป็นคนอันตราย
ก็สมัยเรียนเขามีประวัติและผลการเรียนเยี่ยมยอด ความมุมานะพยายามแม้จะเป็นคนยากจนยังเป็นภาพติดตาของผม ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้จักเขาดีขนาดนั้น ได้เห็นเขาเติบโตขึ้น มีอาชีพที่ดี ยังน่าชื่นชมกว่าไอ้โจเซฟเยอะ

ผมยิ้มให้
เขายิ้มตอบ จ้องตาผม ผ่านไหล่ของพี่กฤษณ์..
ประกายบางอย่างคุกรุ่นในดวงตา มันปรากฎขึ้นเพียงเเวบเดียว ก่อนจะเลือนหายไป

..................................

พี่กฤษณ์กลับขอนแก่นไปแล้ว..
ผมวนกลับสู่ชีวิตเดิมๆ ครอบครัว งาน เพื่อน

"ไอ้สอง! เหม่อไรนักหนาวะ"
ไอ้ตั้มถามก่อนจะชกไหล่ผมเบาๆ มันพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ฟัง

"มึงน่าจะเห็นใจกู..คอนโดที่เปิดใหม่ก็ไฟไหม้ กล้องวงจรปิดเจ๊ง ซวยชิบหาย"
มันบ่นอย่างหัวเสีย

"ลอบวางเพลิงเหรอมึง ได้เงินประกันปะ"
ผมพูดไปแบบไม่ทันคิด

"ประกันห่าเหวอะไรล่ะ คนงานเเม่งแอบทอดปลา..แล้วไปทำเหี้ยไรไม่รู้ ไฟไหม้จากชั้นล่าง กูรับสวัสดิการพนักงาน แต่ไม่ได้เพราะเพลิงไหม้จากอุบัติเหตุ..แถมถ้าสาวไปสาวมา กูอาจถูกฟ้องเพราะคอนโดไม่มีระบบป้องกันอัคคีภัยที่ดีอีก
ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไรนักหนา!"

ไอ้ตั้มบ่นมาเสียยาวยืด ผมรับฟัง ในใจคิดสงสารเพื่อน แต่ในเมื่อเป็นอุบัติเหตุมันก็สุดวิสัยจริงๆ

"เอาเถอะมึง คอนโดเสียหายไปหน่อยก็ซ่อมใหม่ได้ มึงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"
ไอ้ตั้มมองผมก่อนจะทำหน้าซึ้งใจ

"กูรักมึง มีมึงคนเดียวนี่แหละที่ถามถึงชีวิตกู"
มันพูดก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆผม ผมใช้มือผลักออก

"จะอ้วกสัส"
มันทำเสียงขัดใจก่อนจะวนรถเข้าไปจอดที่บริษัทของผม (ผมออกไปทานข้าวเที่ยงกับไอ้ตั้มมันครับ)

"ตั้งใจทำงานมึง"

"เออๆ มึงด้วย"
ผมพูดอย่างขอไปทีเหมือนเด็กเบื่อเพื่อน ก่อนจะก้าวลงจากรถไอ้ตั้ม

ขณะกำลังเดินเข้าอาคาร ผมก็ได้ยินเสียงๆหนึ่ง

"ยังติดไอ้ตั้มหนึบเลยนะ"

"เชี่ย!..อย่าโผล่มาเหมือนผีดิวะ.."
ผมพูดด้วยความตกใจก่อนจะหันมาพบกับคนรู้จัก..วินด์
เขายิ้มเล็กๆ

"มึงมาทำไรแถวนี้เนี่ย"
ผมพูดก่อนจะมองมันที่ถือถุงกาแฟราคาถูกๆ ไอ้เสื้อผ้าท่าทางหรูหรานั่น..ไม่ได้เข้ากับของที่มึงถือเลยสักนิด!!

"กูเอากาแฟมาให้ พอดีกูผ่านมา"

"ผ่านมาไกลมากสัส ..คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้"
ผมพูดก่อนจะขอบอกขอบใจแล้วรับกาแฟถุงมา..

"ร้านเฮียแปะ?!"
มันพยักหน้า

"มึงรู้ด้วยเหรอว่ากูชอบ?!"
ผมตกใจ สารภาพว่าชักกลัวไอ้คนตรงหน้า มึงเป็นสตอล์กเกอร์ถูกไหม?!!

"กูก็ชอบร้านนี้ กูเห็นมึงแวะซื้อบ่อยๆ"

"อ่ออ"
ผมเออออ(อ่านว่า เออ-ออ) ก่อนจะไล่มันกลับไปทำงานอะไรก็ตามที่มันทำอยู่

..................................

ช่วงระยะหลังๆมานี้ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า
ผมกับวินด์(บังเอิญ)เจอกันบ่อยขึ้น

ที่ร้านกาแฟ ที่ร้านอาหาร ที่ห้างสรรพสินค้า ที่ร้านหนังสือ

เอาเป็นว่าถ้าผมวางแผนจะออกไปไหนเสาร์อาทิตย์
จะต้องบังเอิญไปเจอมันอยู่ร่ำไป

ที่หนักกว่านั้นคือ
ในวันไหนที่ผมนัดไปกินข้าวเที่ยงกับไอ้ตั้ม
แล้ว(บังเอิญ)ไอ้ตั้มติดธุระด่วน มาไม่ได้

ผมจะบังเอิญไปเจอมัน เดินแกร่วไปแกร่วมาเเถวลานจอดรถ
รอรับผมไปกินข้าว ที่ร้านอาหารที่บังเอิญเป็นร้านที่ผมชอบ ที่มันบังเอิญจองได้พอดี

เช่นวันนี้

"วินด์"
ผมพูด มองมันที่พยายามหั่นเนื้อติดซี่โครงอย่างทุลักทุเล

"มึงกำลังทำอะไร?"
มันเงยหน้ามามองผม

"หั่นซี่โครงแกะ?"

"ไม่ใช่สัส..ที่มึงมายุ่งวุ่นวายในชีวิตกูเนี่ย มึงพยายามทำอะไร มึงต้องการอะไร"

"กูยุ่งวุ่นวายเหรอ"
มันถาม น้ำเสียงฟังเศร้าเล็กน้อย

"ก็ไม่เชิง แต่มันแปลกๆ อยู่ๆมึงก็มา มาทำนู้นนี้ พากูไปนู้นนี้"

"มันแค่บังเอิญ!"
มันพูดก่อนจะละสายตาจากซี่โครงแกะมามองผม

"บังเอิญ?...โคตรพ่อโคตรแม่จะบังเอิญเนี่ยนะ มึงไปหลอกควายเหอะวินด์ กูต้องการความจริง"
ผมพูด ตัดสินใจหั่นเนื้อแกะในจานตนเองยกให้คนตรงหน้า

"ขอบคุณ..เออ..กูแค่อยากเป็นเพื่อนกับมึง"

"ห้ะ?!"
ผมมองหน้ามันด้วยความงง โตกันเป็นควายแล้วมึงยังทำตัวเหมือนมีปมด้อยเรื่องเพื่อนเลยนะ!

"จริงๆกูอยากสนิทกับมึง ก็มึงเป็นคนใจดี ตั้งแต่เด็กๆแล้ว มึงคอยช่วยเพื่อนท้ายห้อง คอยให้กำลังใจคนที่โดนไอ้โจรังแก แต่ใครจะเข้าใกล้มึงตอนเด็กๆมันเป็นไปไม่ได้.."

"มาอยู่นี้นี่เอง"
ไอ้ตั้มปรากฎตัวอยู่ข้างหลังวินด์ เขาหน้าตึง หันไปมองผู้มาใหม่
ตั้มมองอาหารในจานวินด์ และมองอาหารจานผม

"ถ้ามึงกินไม่เป็นไม่น่าพาสองมากิน เสียของว่ะ"

"ไอ้ตั้ม! ทำไมมึงพูดแบบนั้น?!"
ผมขึ้นเสียง ไม่ชอบเห็นพฤติกรรมดูถูกคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาจากเพื่อนรักของตน

"กูพูดเรื่องจริงมันผิดเรอะ น้องๆ ขอเก้าอี้เพิ่มอีกตัวตรงนี้ "

"ไร้มารยาท"

"มึงพูดว่าอะไรนะ?!"
ไอ้ตั้มจ้องวินด์อย่างเอาเรื่อง ผมมองเพื่อนสองคนที่ทำพฤติกรรมเหมือนเด็ก 6 ขวบแล้วถอนหายใจ

"ตั้ม มึงไร้มารยาทจริงๆ วินด์มันก็เพื่อนกูนะ กูกับมันแค่มากินข้าว มึงบอกว่าติดธุระด่วน"

"ส่วนวินด์ กูก็มองมึงเป็นเพื่อนอยู่แล้ว มึงอย่าพยายามให้มันมากเกิน ถ้าเป็นมึงมึงอยากมีเพื่อนเป็นคนโรคจิตสตอล์กเกอร์ไหม?"
ผมถาม มองวินด์ดุๆ มันก้มหน้า ดูสำนึกผิด

"นี้มึงถึงขนาดแอบติดตามเพื่อนกูเป็นสตอล์กเกอร์เลยเหรอ?! ไอ้สัส โรคจิต!"
ไอ้ตั้มได้ทีรีบรุมด่าวินด์กับผม(มึงนี้มันคนฉลาดแกมโกงชิบหาย สัสตั้ม!)

"ก็ยังดีกว่ามึง คนส่วนใหญ่บอกว่าสองติดมึง แต่กูรู้มันไม่ใช่ มึงติดไอ้สอง แถมยังกีดกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ด้วย! มึงมันโรคจิต! พวกคนรวยไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้ปกติรึไงวะ?!"
ไอ้ตั้มมองผมท่าทางเลิ่กลั่ก เหมือนพยายามหาข้อแก้ตัวอะไรบางอย่าง

"กูรู้"
ผมพูด ทำสีหน้าเหนื่อยใจ

"มึงรู้?!"
ไอ้ตั้มกับไอ้วินด์พูดพร้อมกัน มันเข้ากันเสียจนผมอดขำไม่ได้

"มึงคิดว่ากูโง่นักหนารึไงวะ กูเข้าใจอารมณ์เด็กๆหวงเพื่อนสนิทดี ตอนนั้นกูก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่มีเพื่อนสนิทสุดๆไว้คนก็ดี ที่เหลือก็คบพอรู้จักกันไป"

ครอบครัวกูอบอุ่นดี! กูไม่รู้สึกขาดความรักอะไร ผมคิดก่อนจะมองหน้าเพื่อนทั้งสองแบบขำๆ
ไหนๆก็ไหนๆแล้วมาทำความรู้จักกันดีกว่า!

..................................

หลังจากนั้นผมก็สนิทกับวินด์มากขึ้น
เขาค่อยๆแทรกตัวเข้ามาระหว่างผมกับตั้มได้อย่างแนบเนียน(แบบที่ไอ้ตั้มไม่ได้พอใจนัก)
ผมค้นพบว่าเขาเป็นคนฉลาด มีความรู้มาก พูดคุยได้หลากหลายเรื่อง
เขาใจเย็นกว่าตั้ม คอยห้ามปรามผม ให้คำปรึกษาบ้างเมื่อจำเป็น

เขาเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดีแบบที่ครอบครัวของผมชอบ
เฮียหนึ่งเอ็นดูไอ้วินด์ ป๊าม๊าก็เหมือนกัน

ไม่นานนักเราก็สนิทกัน
แต่ในตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า หากย้อนเวลาได้ผมคงเลือกเชื่อสัญชาตญาณตนเองมากกว่า

สัญชาตญาณที่บอกว่า...ผู้ชายคนนี้อันตราย



 :a5:

"เอ็งคิดจะทำอะไรของเอ็ง ไอ้วินด์!!"
--เสียงพี่กฤษณ์เมื่ออ่านถึงตอนนี้

นิยายแนวการใช้ชีวิตอ่า ปกติเจอแต่แบบ มาถึงฟัดกันเลย5555 เป็นกำลังใจให้นะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ! ผู้เขียนมีพลังขึ้น10เท่าเลย (ฮ่าๆ เขินจัง><)

#Anynomous :bye2:

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่10 :10/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 10-11-2017 16:08:14

ตอนที่ 10 : ความเท่าเทียม

ผมมาถึงห้องเรียนก่อนเวลาเรียนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเสมอ
เพื่อมาทำอะไรหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือการ'เก็บกวาด' เจ้าสิ่งนี้

บนโต๊ะเรียนเต็มไปด้วยเศษขยะ สมุดบันทึกที่โดนฉีก รอยคำเขียนด่าหยาบคาย
โชคดีที่ของส่วนใหญ่อยู่ในล็อกเกอร์..
ผมคิดในใจอย่างเบื่อหน่าย ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดข้าวของที่โดนทำลาย
คัดแยกพวกที่ยังใช้ได้ออกจากพวกที่กลายเป็น'ขยะ'จริงๆ

การกลั่นแกล้งที่ดูเหมือนอยู่ในละครหลังข่าวที่เด็กผู้หญิงชอบดู
ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยอสุรกายตัวน้อย ลูกคุณหนูเอาแต่ใจ เด็กๆที่คิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่มาตั้งแต่เกิด

ผมซึ่งเป็นเด็กธรรมดาๆ
ธรรมดาที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะธรรมดาได้
ตกเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งไร้เหตุผลที่ดูจะไร้ที่สิ้นสุดนี้

ผมเข้าโรงเรียนนี้มาได้ด้วยทุนการศึกษาจาก'นายใหญ่'
ผมเป็นเด็กอุปการะของท่าน ผมถูกชุบชีวิตมาจากบ้านเด็กกำพร้า
ผมไม่รู้จักพ่อแม่ ไม่รู้จักครอบครัว รู้เพียงแต่วิธีเอาชีวิตรอด

..ถ้าไม่เเข็งแกร่ง ก็ต้องตาย..

และในโลกปัจจุบันนี้ สิ่งที่ทำให้มนุษย์แข็งแกร่งไม่ใช่ความเเข็งเเรงจากกล้ามเนื้อ
แต่คืออำนาจ เงินทอง และสติปัญญา

ผมเข้ามาเรียนและตั้งใจขวนขวายหาความรู้จริงๆ
และในที่ที่เด็กส่วนใหญ่เรียนกันเล่นๆแบบนี้ การเป็นที่หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากนัก

"ฮ่าๆ ดูสิว่าใครกำลังเก็บขยะ ทำหน้าที่ดีจังนะหัวหน้าห้อง"
เด็กชายผู้มาใหม่ส่งเสียงเย้ยหยัน ดวงตาสีเขียวมรกตส่งประกายดูสนุกสนาน
ผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนเมื่อต้องแสงแดดก็ดูสวยงาม

เขาเหมือนทูตสวรรค์ตัวน้อยๆ
มีเพียงแต่นิสัยที่ดูเหมือนจะถูกส่งมาจากนรก!

"ทำไมถึงพูดอย่างนั้นละโจ สงสารวินด์ออก"
เด็กผู้หญิงที่พึ่งเดินเข้าห้องมา ส่งสายตามองผมด้วยความเห็นใจ
ผมไม่ได้รับอะไรมากกว่านั้น แต่ผมเข้าใจดี
ในโรงเรียนนี้มีการแบ่งลำดับชั้นอยู่ ชื่อตระกูล สายตรงหรือสายหลัก พ่อแม่ทำงานอะไร มีตำแหน่งอะไร
บริจาคเงินให้โรงเรียนปีละเท่าไหร่.. ของเหล่านี้เป็นเหมือนความภาคภูมิใจของอสุรกายน้อยๆเหล่านี้

ผมซึ่งไม่มีทั้งหมดที่กล่าวมา จึงถูกจัดให้อยู่ในลำดับล่างสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ผมผ่านโลกมาเกินกว่าจะมาสนใจ หรือ น้อยใจ ในเรื่องเด็กๆแบบนี้

เกมของเด็กๆ ปล่อยให้คุณหนูทั้งหลายเล่นไปเถอะ..

ทุกวันการก้มหน้าก้มตายอมรับการกลั่นแกล้ง
การพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างคุ้มค่าที่สุด
ตั้งใจเรียนที่สุด..มีความรับผิดชอบที่สุด
อย่าไปสนเกมเด็กๆพวกนั้น..นั่นเป็นสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองเสมอ

ปกติเด็กพวกนี้จะกลั่นแกล้งผมลับหลัง
พวกเขาเองก็กลัวการมีปัญหาหากโดนจับได้ตรงๆเหมือนกัน
เป็นต้นว่า ขโมยของ,ทำลายข้าวของ , รื้อล็อกเกอร์
แต่ช่วงหลังๆมานี้ดูเหมือนการกลั่นแกล้งจะหนักขึ้น และเริ่มเป็นการกลั่นแกล้งแบบซึ่งๆหน้า

ตั้งแต่ผมถูกลงเสียงให้ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียน

ผมได้คะเเนนสูงสุดในทุกรายวิชา ผลการเรียนยอดเยี่ยมรวมกับการประพฤติที่ดีเลิศ
บุคลิกภาพเเละหน้าตาที่ดูดี น่าเชื่อถือ ผมเหนือกว่าอสุรกายน้อยเหล่านี้ในทุกๆด้าน
ยกเว้นเรื่องสถานะ ซึ่งบังเอิญเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในนี้

"ยินดีด้วยกับตำแหน่งประธานนักเรียนนะ วินด์"
ไอ้โจเซฟพูดกับผมก่อนจะเดินเอาถังใส่น้ำยาทำความสะอาดมาราดลงบนโต๊ะเรียนของผม
เรียกเสียงหัวเราะจากลูกสมุนอีกสองคนของเขา

"ขอบคุณโจซะสิ สำหรับการทำความสะอาดโต๊ะใหม่ไง ฮ่าๆ"

ผมส่ายหัวเล็กๆ ไม่ต่อปากต่อคำ
ผมรู้ดีว่าความเงียบเป็นการต่อกรที่ดีที่สุด ที่ผมทำได้
แต่เเล้วผมก็ได้ยินเสียง

"ผลั่ก!!"
เด็กชายคนหนึ่งเดินมาทางโจเซฟ และใช้ไม้ถูพื้นด้านนุ่มๆ ฟาดหัวเขา

ผมอึ้ง
เพื่อนร่วมห้องก็เหมือนกัน

ผมมองเด็กชายคนนั้น เขาเป็นเด็กกลางๆห้อง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เขาไม่ค่อยพูดมากนัก
เเละมักจะดูเฉื่อยชาอยู่เสมอ เส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาตลอดก็ช่วยลดความเด่นของเขาไปได้อีก
ผมจึงไม่ได้สังเกตเขามากนัก

แต่ดูเหมือนอสุรกายน้อยร่วมห้องของผมส่วนใหญ่หวาดกลัวเขา

"วันนี้ฉันเป็นเวรทำความสะอาด อย่าเอาความยุ่งยากมาให้ได้ไหม"
เสียงนั้นพูดก่อนจะเหลือบมองโจเซฟอย่างเย็นชา ผมไม่เคยเห็นใครกล้าต่อกรกับโจเซฟมาก่อน
แต่โจเซฟนั้น แม้ว่าตนจะทำผิด แต่คนอย่างเขาไม่ยอมเสียหน้าแบบนี้เเน่ ไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนเกือบทั้งห้องแบบนี้

"โต๊ะใครก็ให้มันทำสิ!"
โจเซฟพูด ชี้นิ้วมาทางผม ผมก้มหน้ารับ ยื่นมือไปหยิบไม้ถูพื้น

"นายโง่รึไง ถ้าอยากเป็นคนใช้นักจะมาเรียนทำไม"
ร่างเล็กกระชากไม้ถูพื้นออกจากมือผม มองผมด้วยสีหน้าโกรธ

"มันไม่ใช่เรื่องของนาย! สอง นี้เป็นเรื่องของฉันกับวินด์ ถ้านายยังยุ่งไม่เข้าเรื่อง.."
โจเซฟโวยวาย ท่าทางกร่างเเบบที่เขาชอบทำ..ผมเริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าคนที่ชื่อสองนี่เเล้วสิ

"ฉัน? จะทำไม? นายจะทำอะไร"
ร่างเล็กตรงหน้ากอดอก สายตาเหลือบมองโจเซฟเหมือนมองริ้นไร ไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
เขาดูเหมือนพวกที่ชินชากับการใช้อำนาจเหลือเกิน..เป็นคนที่ดูเหมือนว่าทุกคนต้องยอมสยบให้เขา

และด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาดู'มีอำนาจ'จริงๆ
พวกคุณหนูร่ำรวยเป็นแบบนี้ทุกคนไหมนะ..

ผมมองโจเซฟ
..บางคนก็ไม่

โจเซฟฮึดฮัดก่อนจะรับไม้ถูพื้นจากเด็กที่ชื่อสองมา และลงมือถูพื้นอย่างอิดออด
ปากก็บ่นพึมพำถึงการแก้เเค้น
แต่ตอนนี้ผมไม่สนโจเซฟ..ผมสนเขา

ร่างเล็กเดินเอื่อยๆกลับโต๊ะของตัวเอง
ก้มลงอ่านอะไรบางอย่าง ผมกลับมาปรกหน้าปรกตาอีกครั้ง

ตั้งแต่นั้นมาผมก็คอยสังเกตเขาอยู่เสมอ
เด็กชายเฉื่อยชา นิสัยจืดจางจนน่าหัวเราะ เรียนกลางๆ และมักจะหลับในห้องเรียนเสมอ
วิชาที่เขาทำได้แย่ที่สุดคือวิชาพละ เขาแทบไม่ใช้พละกำลังและดูเหมือนจะใช้มันไม่เป็น
เขามักจะตัวติดกันกับเพื่อนสนิทของเขา เด็กชายหน้าตี๋ที่มีนิสัยห้าวๆ

ผมแอบติดตามจนกระทั่งรู้ว่าเขาเข้าเรียนชมรมฟันดาบ
และโดยไม่รู้ตัว ผมก็ลงชื่อสมัครชมรมฟันดาบไปแล้ว

ผมได้ใกล้ชิดกับเขาที่สุดในชมรมฟันดาบนี้
เพราะเพื่อนสนิทของเขาไม่ได้เข้าชมรม แต่เขาก็ยังคงเป็นเด็กเฉื่อยชาเหมือนเดิม
ผมลอบมองเขาเเทบจะตลอดเวลา บางทีเขามองผมบ้าง เเละเมื่อสายตาเราประสานกัน

เขาก็ยิ้ม

เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ เขายิ้มแบบซื่อตรงที่สุดเท่าที่เด็กชายคนหนึ่งจะยิ้มให้ผมได้
ไม่มีความสงสารในแววตา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ
เป็นรอยยิ้มแบบเด็กๆ รอยยิ้มแบบเพื่อน

ผมผู้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียกใครว่าเพื่อนอย่างเต็มปากเต็มคำนัก

ตกหลุมรักรอยยิ้มนั้น

................................

วันหนึ่งในการซ้อมแข่งขันฟันดาบประเภทคู่
ผมได้โอกาสจึงรีบไปชวนเขา(ผู้ที่ดูเหมือนว่าแค่ถือดาบก็จะล้มลงแล้ว)ให้มาเป็นคู่กัน

"เค"
คำตอบรับช่างเรียบง่าย แต่หัวใจผมพองโต
เราจะได้สนิทกันขึ้นอีก

หลังจากนั้นผมก็ได้ใกล้ชิดเขามากขึ้นจริงๆ ผมช่วยสอนกระบวนท่าต่างๆในการฟันดาบให้เขา
และเขาดูทึ่งทุกครั้งที่ผมทำท่าได้เหมือนอาจารย์เป้ะๆ ราวกับถอดแบบมา

และวันแห่งการแข่งขันก็มาถึง
ไม่รู้ว่าซวยหรือโชคดี คู่แรกที่เราต้องเจอเป็นโจเซฟและลูกสมุนของเขา(ดูเหมือนว่าไอ้เวรโจเซฟจะเข้าชมรมดาบมาเพื่อตามรังควานผม)

ในครึ่งแรกผมกับสองทำได้ดี เราผลัดกันรุก รับ จากฝั่งตรงข้าม
คะเเนนไม่ห่างกันมาก
แต่พอครึ่งหลัง ดูเหมือนว่าโจเซฟจะเดินเกมรุกที่ดุดันไปทางสองมากขึ้น
และสองก็ดูเหมือนใกล้จะหมดแรงเต็มที่

และผมก็สังเกตเห็น..ปลายดาบของโจเซฟกับการเล็งตำแหน่งใต้คางของสอง
ทำไมถึงเลือกตำแหน่งที่อันตรายอย่างนั้น...

ไม่สิ.. ผมตระหนักถึงอันตรายบางอย่าง
เขาตั้งใจ!

สองหันมามองผม เราสบตากันแวบเดียวเท่านั้น
แต่เหมือนผมจะเข้าใจ..

"มนุษย์ต่างดาว!"
ร่างบางข้างๆพูดก่อนจะหันปลายดาบไปด้านหลัง โจเซฟและลูกสมุนหันไป
จังหวะนั้นเองที่ผมกับสอง ยื่นปลายดาบเข้าประชิดโจเซฟ

"รุกฆาต!"
เราพูดพร้อมกัน หันมามองหน้ากัน
แล้วหัวเราะ

................................

ทีมของเราถูกปรับตก แพ้โดยไม่นับคะแนนเพราะเล่นนอกกติกา
ผมนั่งอยู่ข้างๆเขา ก่อนจะรู้สึกได้ว่าควรพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบ

"นายไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาซะเลยนะ"

เมื่อพูดไปแล้ว ผมแทบอยากกัดปากตัวเอง! โอกาสดีๆอย่างนี้ทำไมถึงได้เลือกพูดเรื่องแบบนี้วะ ไอ้วินด์!!

"เกมที่จะฆ่ากันจริงๆมันใช่กีฬาที่ไหน"
ร่างเล็กพูดก่อนจะหันมามองผม

"และถ้าฉันกำลังจะตาย ฉันไม่สนหรอกว่าการเอาชีวิตรอดของฉัน มันจะไปตรงกับบทบัญญัติการละเล่นอย่างยุติธรรมของใครหรือเปล่า"

เราเงียบกันทั้งคู่ เขาไม่ใช่คนพูดมาก ผมก็เหมือนกัน
สักพักเขาจึงพูดว่า

"วินด์ ฉันชื่นชมนายจากใจ นายเป็นคนเก่งจริงๆ นายมีความสามารถ มันไม่ผิดนะถ้านายจะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองบ้าง"

"แม้มันจะไม่ยุติธรรม?"
ผมถาม

"โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม"
เขาตอบ

................................

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับสองอีก เราถูกกาหัวไม่ให้เข้าชมรมกีฬา
ผมโดนนายท่านดุเรื่องที่ผมทำให้ประวัติตัวเองด่างพร้อย

สองเข้าชมรมเปียโน
ผมซึ่งสอบเปียโนไม่ผ่านเลือกเข้าชมรมประวัติศาสตร์แทน

พอขึ้นมัธยมปลายสองก็ย้ายไปเรียนต่างประเทศ
ผมยังคงเรียนอยู่ในไทย ตั้งใจเรียน รับผิดชอบชีวิต ทำทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา
โจเซฟเองก็ไปเรียนต่างประเทศ ชีวิตของผมง่ายขึ้นมาก
ดูเหมือนว่าพอขึ้นม.ปลาย แม้กระทั่งอสุรกายน้อยทั้งหลายยังเติบโตขึ้น
การกลั่นแกล้งกันแบบเด็กๆแทบไม่เหลือแล้ว

เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ดูจะชอบเด็กผู้ชายแบบผม
ผมถึงขนาดมีแฟนเป็นคุณหนูจากครอบครัวร่ำรวยถึง 2 คน
แต่ไม่มีใครทำให้ผมลืมรอยยิ้มนั้น

ไม่มี

................................

"ถ้ามีใครรู้ว่าประธานนักเรียนแอบมาสูบบุหรี่ คงจะขำดีว่ะ"
เสียงๆหนึ่งพูดก่อนจะก้าวมา จุดบุหรี่สูบข้างๆผม

เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่มักจะอยู่กับสองตลอดเวลา

ผมไม่สนใจ ปล่อยให้ควันบุหรี่อ้อยอิ่งวนรอบๆ มองเขาที่ดูเสพติดเจ้าสิ่งนี้ไม่ต่างจากผม

"มองเหี้ยไรวะ"

"สอง"
ผมพูด มองเขา

"มึงบ้าเรอะสัส สองมันอยู่นิวยอร์คนู่น"

"สองจะกลับเมื่อไหร่"

"มึงจะรู้ไปทำไม เพื่อนรึก็ไม่ใช่"
ไอ้หนุ่มหน้าตี๋มองผมอย่างเหยียดๆ ผมเห็นด้วยกับมันส่วนหนึ่ง จึงไม่ปริปากต่อ
ตราบใดที่ผมยังเป็นไอ้วินด์ คนจนๆ ไม่มีสถานะอะไรอย่างนี้ คงไม่มีวันที่ผมจะได้เข้าไปอยู่ในแวดวงของเขา

..น้อยใจ หลงใหล อิจฉา..

ความรู้สึกร้อนๆไหลเวียนทั่วร่างกาย ความรู้สึกที่ผมพยายามปฏิเสธ

'...โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม..'
อาจจริงอย่างที่เขาพูด ผมจะยอมทำทุกอย่าง ทุกอย่าง แม้จะสกปรกหรือเล่นไม่ซื่อ
ผมจะยอมทำ ขอเพียงให้ผมได้ขึ้นไปอยู่ตรงนั้น

อยู่ข้างๆเขาได้..
อยู่ในสถานะที่เท่าเทียม

................................

"วินด์ มึงรู้ปะหนังสือเล่มนี้ ดีมาก"
ร่างบางเดินมาโยนหนังสือในมือให้ผม ผมรับมันไปเปิดดูคร่าวๆ

ปรัชญาของเพลโต..

"มึงอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ"

"อ้ะ..แน่น้อน ตอนกูทำThesisจบ กูใช้หลักปรัชญานี่แหละอ้างการบริหาร
 ..แต่มึงรู้ปะ เอาเข้าจริงเเล้วการบริหารจริงๆ กูแทบไม่ได้ใช้เรื่องที่เรียนมาเลย"
สองบ่นอย่างเซ็งๆก่อนจะทิ้งตัวจมปุกในเก้าอี้นวมในบ้านผม

คฤหาสน์ที่ใช้เงินจำนวนมหาศาลซื้อ..
ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการ..ผมมองร่างบางตรงหน้า มองดวงตาสีดำขลับ มองเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน
จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางสวยน่าสัมผัส

ผมมีทุกอย่างยกเว้นเขา..
แต่อีกไม่นานหรอก..อีกไม่นาน

"นิ่งไปอีกแล้วนะสัส ไม่อยากคุยก็บอกดิวะ กูอุตส่าห์เจียดเวลาอันมีค่ามาบ้านมึงเนี่ย"
คนตรงหน้าทำหน้ามุ่ย

"เปล่าๆ กูคิดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ"
ผมโกหกไป

"ช่วงนี้ธุรกิจของไอ้ตั้มดูไปได้ไม่ดีเลย ตั้งเเต่ไฟไหม้คอนโดใหม่มัน อสังหาที่ซื้อไว้เก็งกำไรก็ราคาตกยับ
มึงว่ามันไปเหยียบตาปลาใครเข้าหรือเปล่าวะ .."

สองบ่นด้วยความกังวลใจ ผมพยักหน้าเห็นใจ
สองเล่าให้ผมฟังและเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เขายังฉลาดเหมือนเดิม..
ธุรกิจของไอ้ตั้มมันล้ำเส้นธุรกิจของนายท่านผม และการเติบโตของมันที่ดูเหมือนจะสามารถเข้ามาเเย่งตำแหน่งในบอร์ดบริหารที่นายท่านสำรองไว้ให้'เด็ก'ของเขาได้อย่างง่ายๆ ...ไอ้คนรวยจอมอวดดีที่เรียนไม่จบด้วยซ้ำ
ด้วยความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากพนักงานหิวเงินของไอ้ตั้ม
แผนที่ผมวางไว้จึงสำเร็จอย่างไม่ยากลำบากนัก ผู้ศึกษากฎหมายทุกคนรู้ช่องโหว่จากกฎหมายดี
เเละผมที่ถูกสอนมาให้รู้จักใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เหล่านั้น
ก็ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม

"มึงคิดมากไปสอง อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ ไอ้ตั้มมันต้องเรียนรู้การรับมือเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย
ไม่งั้นมันจะเติบโตได้ยังไงถ้าไม่หัดล้มบ้าง"
ผมพูดเป็นการเป็นงาน มองสองด้วยสายตาอ่อนโยน

"ก็จริงของมึง..แต่กูยังไม่อยากวางใจหรอกนะ"
มันบ่นอุบอิบก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ

"เพลโตก็ดี แต่อย่างมึงน่าจะอ่านโสกราตีส"
ผมพูดก่อนจะยื่นหนังสือ 'สนทนากับโสกราตีส' ให้ สองรับไว้อย่างสนใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือข้างๆผม

ผมลอบมองคนข้างๆ ผมที่ตกลงมาปรกหน้าทำให้ผมคิดถึงอดีตอีกครั้ง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็คงจะทำเหมือนเดิม
ผมยอมเล่นสกปรกทุกอย่าง เพียงแค่ได้นั่งอยู่ข้างเขาคนนี้
อย่างเท่าเทียม

................................

ตั้มถูกลอบทำร้าย ..นี้เป็นบทเรียนสั่งสอนคนอวดดีว่าอย่าริอาจเสนอชื่อตัวเองเข้าบอร์ดบริหารอีก
สถานะของเขาในตอนนี้ดูไม่มั่นคงเสียจนคณะกรรมการไม่อยากเสียเวลาพิจารณาคุณสมบัติของเขาด้วยซ้ำ
วันนี้ผมกับสองมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
เมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิท คนที่นอนบนเตียงก็ดูดีใจขึ้น แต่เมื่อผมก้าวมายืนข้างๆ ใบหน้าที่กำลังยิ้มก็หุบลงอย่างรวดเร็ว

"มึงพามันมาทำไมวะ"
ไอ้ตั้มหันไปพูดกับสองอย่างหงุดหงิด

"เจ็บจะตายอยู่แล้วอย่าพูดมาก ไอ้วินด์ก็เพื่อนไหมล่ะ กูเล่าให้มันฟัง มันก็เป็นห่วงมึง"
นางฟ้าของผมช่วยพูดเพื่อผมขนาดนี้ ผมมองสองอย่างซึ้งๆ แต่เขาไม่สนใจผมเท่าไหร่นัก

"มันมาดูว่ากูตายหรือยังต่างหาก"
มึงพูดถูก ตั้ม..เพราะกูสั่งลูกน้องไว้ว่าห้ามเอาถึงตาย..กูแค่จะสั่งสอน ไม่ได้อยากมีปัญหา
ผมมองมัน นิ่ง รู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"พูดกับมึงแล้วกูอยากตาย ..อ่ะ ช็อกโกแลต กูซื้อมาฝาก"
สองพูดก่อนจะยื่นกล่องช็อกโกแลตราคาแพงให้ ไอ้ตั้มรับมาท่าทางตาวาว..ทำตัวเป็นเด็กๆนะมึง ปัญญาอ่อน

"กูรักมึง"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะส่งสายตาซึ้งใส่สอง(ของผม) ผมหงุดหงิด

"แผลมึงดีขึ้นหรือยัง..คราวหลังมึงต้องมีบอร์ดี้การ์ดแล้วนะ..โดนแทงท้องอย่างนั้น มันกะเอาถึงตายนะเว้ย"

"ไม่ต้องห่วง กูจัดการได้..โอ๊ย!"
สองตีเเขนไอ้ตั้มไปแรงๆทีหนึ่ง

"มึงเลิกพูดอย่างนี้สักที..มึงจัดการได้..มึงทำไม่ได้ พวกนี้มันมืออาชีพ มึงคิดว่าตัวเองเป็นหมัดดาวเหนือรึไง"
แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเห็น น้ำตาร่วงลงจากดวงตาคู่สวย สองพยายามหันหน้าไปทางอื่นแต่ไม่ทัน
ผมไม่เคยรู้ว่าเขามีมุมแบบนี้ ..ผู้ใหญ่ที่เสียน้ำตาให้เพื่อนอย่างนั้นเหรอ..

"สอง! กูขอโทษ..มึงอย่าขี้เเยสิสัส กูไม่เป็นไรๆ"
ไอ้ตั้มรีบปลอบอย่างลุกลี้ลุกลน ดูเหมือนมันเองจะคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของสองดี..
มีเเต่ผมที่ไม่รู้..น่าแปลก ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากปลอบใจสองเหมือนไอ้ตั้ม

ผมเพียงเเต่อยากเห็นน้ำตาจากดวงตาคู่นั้นอีก
อยากเห็นคนอย่างเขาในมุมที่อ่อนแอ..

"มาเถอะ"
ผมพูด ดึงสองให้หันหน้ามา ผมอยากเห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้เหลือเกิน

น่าเสียดาย..น้ำตาหยุดไหลไปแล้ว
ผมมองไอ้ตั้มด้วยความโกรธ ประกายบางอย่างคุกรุ่นขึ้นในแววตา ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

"ได้เวลากลับเเล้ว"
ผมพูด ดูนาฬิกา วันนี้เป็นวันพุธ สองมีทำงานต่อในช่วงบ่าย ผมก็มี
สองพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำออกไป ผมตามไป กำลังจะปิดประตู

"เดี๋ยว"
ผมค้างประตูไว้ หันหน้าไปมองคนบนเตียง

"รอหางมึงโผล่เมื่อไหร่ กูลากมันออกมาเเน่.."
ไอ้ตั้มพูดกับผมเสียงเย็น

ผมยิ้มให้เขา ก่อนจะปิดประตู




 :hao3: สวัสดีค่ะ! ตอนนี้ก็เป็นตอนในมุมมองของตัวละครหนุ่มสุดเเสบ ทนายผู้มากความสามารถ เด็กนักการเมือง
อย่าง วินด์ นะคะ ,วินด์ก็เป็นตัวละครหนึ่งที่เขียนได้สนุกไม่แพ้เจ้าตั้ม :katai3:(กลายเป็นลูกรักคนเขียนไปซะแล้ว)เลยค่ะ

อย่างหนึ่งที่น่าสนุกของวินด์คือเขาเป็นคนที่ไม่สนเรื่องถูกต้องดีงามทั้งหลายนี่แหละค่ะ
เขามีความสุดโต่ง ความหลงใหลที่บิดเบี้ยว และความอิจฉาริษยาที่พยายามจะปิด

ทำให้ผู้เขียนอดตื่นเต้นกับพฤติกรรมที่เขาจะทำแต่ละอย่างไม่ได้
ขอรับรองเลยว่าแทบจะไม่มีเรื่องดีๆเลยล่ะค่ะ!! :z3:

ความวายป่วงจากความเพี้ยน(?)ของวินด์จะมีมากน้อยแค่ไหน
แล้วเจ้าสองจะรู้ตัวหรือไม่?! เจ้าตั้มจะรับมืออย่างไร?! เฮียกฤษณ์จะมีบทหรือไม่?!
และเรื่องนี้จะยังเรียกตัวเองว่า โรแมนติกคอเมดี้ ได้อยู่หรือไม่?!! :z6:

ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ :bye2:

#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่10 :10/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-11-2017 14:09:10
โอย.......สนุกกกกกก ชอบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชอบมาก ไรท์ เขียนได้ไหลลื่น

ตั้ม ก็น่าจะชอบสองเกินเพื่อน
ตั้มไม่บอกเพราะคิดว่าสองชอบหญิง
ไม่ชอบตั้มที่เปิดตัวสอง ตอนสองกลับมา
มันเชิญชวนให้คนไม่ดีเข้าหาสอง แล้วก็ใช่จริงๆ

ก็คิดว่ากฤษณ์ สองต้องชอบกัน
เจอโจ เจอวินด์ ทั้งสองคนนี้ทำให้คิดว่าคิดไรๆกับสอง
แล้ววินด์ก็โผล่มาตามติดเพื่อเจอสองตลอด

ให้คิดว่าวินด์จะทำอะไรร้ายๆกับกฤษณ์หรือเปล่า เพราะเป็นศัตรูหัวใจ
กับตั้ม ต่างคนต่างเห็นหางกัน แต่ตั้มไม่มีอิทธิพลน่ะสิ
อยากอ่านตอนใหม่แล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 12-11-2017 23:58:43
ตอนที่ 11: เก้าอี้ว่าง

"คุณหนูคะ ป้าเเจ่มเอาผลไม้มาให้ วางไว้ตรงนี้นะคะ"

ผมพยักหน้ารับ ไอ้แผลเวรนี้ก็ปวดชิบหาย! ใช่ว่าผมจะไม่ได้กลิ่นเสียเลยว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แต่ชีวิตจริงไม่ใช่การ์ตูน ผมคงเดินโทงๆไปหาไอ้หมอนั่นแล้วพูดเท่ๆอย่าง 'กูรู้ตัวคนร้ายแล้วล่ะ' หรือ 'มึงคือฆาตกรร'
อะไรเทือกนั้นไม่ได้ มิหนำซ้ำ ไอ้คนที่จ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ผมอยู่นี้เป็นคนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เสียด้วย

หรือผมจะยอมแพ้ในเกมนี้ดี

การยอมแพ้ก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง
รู้ว่าเวลาไหนควรเดินหน้า เวลาไหนควรถอยก็สำคัญ

ผมส่ายหัวกับตัวเอง ..จริงๆถ้าผมไม่ดื้อ อยากพิสูจน์ตัวเองว่ายืนด้วยตัวเองได้นักหนาละก็
เรื่องคงจะง่ายกว่านี้

ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วเวลานี้ผมควรถอย

ผมไม่ใช่คนโง่ คำเตือนในรูปแบบมีดนี้มักมาก่อนในรูปแบบกระสุนเสมอ
แต่ตอนที่ได้เห็นแววตาไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตอนมองเพื่อนผม
ตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มไม่ยี่หระของมันที่ดึงเจ้าสองที่พึ่งร้องไห้เข้าหาตัวเอง..

ผมรู้ทันทีว่าเพื่อนรักของผมไม่เหมาะที่จะเล่นเกมนี้
พอๆกับที่รู้ในทันทีว่าคนที่ต้องเข้าร่วมเล่นคนต่อไปคือผม

ไม่เช่นนั้นผมคงต้องสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดไปแน่ๆ
สัญชาตญาณผมบอกเช่นนั้น และผมก็เชื่อ

..................................

ผมเรียกเลขาส่วนตัวมาที่โรงพยาบาล เมื่อคิดจะเข้าร่วมเกมนี้ผมจะชักช้าไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างแล้วสถานการณ์ดำเนินไปเข้าทางไอ้วินด์กับนายใหญ่ของมันขึ้นเรื่อยๆ
ผมที่เสียเปรียบอยู่แล้วจะไม่มีทางสู้ได้เลย

"เรื่องของพนักงานทำไฟไหม้ที่ฉันให้ไปติดตามเป็นยังไงบ้าง"

"ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยครับ..พนักงานยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุชัดเจน"

ผมขมวดคิ้ว ตั้งท่าจะทวนคำสั่งอีกรอบ แต่เลขาของผมซึ่งทำงานกับผมมานานรู้ใจผม เขาพูดขึ้นมาก่อนว่า

"ผมยัดเงินให้เขาตามที่ท่านบอกแล้ว บอกว่าจะให้มากกว่าคนที่จ้างเขา10เท่า ..แต่เขาก็ไม่ยอมบอกครับ
เขาบอกว่าเงินไม่มีประโยชน์ถ้าเขาตาย.."

ผมพยักหน้ารับ ..ผู้ว่าจ้างไม่ใช่เเค่มีเงิน แต่มีอำนาจ และดูจะเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ที่หนุนหลังอยู่เสียด้วย
ทุกอย่างสนับสนุนข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของผม
นายใหญ่ของวินด์จ้องเล่นงานผม อาจเกี่ยวกับเรื่องการเสนอชื่อเข้าบอร์ดบริหาร ผมไม่แปลกใจทำไมเขาถึงหวงเก้าอี้นั้นนักหนา บริษัทพลังงานรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้สูงสุดของประเทศไทย บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับที่ 95 ของโลก.. เก้าอี้ในบอร์ดบริหารนั้นปกติแล้ว 1 คนนั่งได้ที่เดียว
แต่ถ้าอยากนั่งได้หลายๆที่ เป็นเรื่องทราบกันดีว่าต้องหาทางเอาคนของตัวเองเข้าไปนั่งในนั้นเอง
เมื่อก่อนในบอร์ดบริหารมีรายชื่อคนในครอบครัวผมถึงสองคน(ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากแล้ว รวมกับหุ้นที่ครอบครัวเราถือไว้ เกือบถึงสัดส่วนสูงสุดที่จะผูกขาดหุ้นได้) คือพ่อของผมและพี่ชายคนโต

แต่ตาแก่นั่นไปนอนพักร้อนอยู่ในโรงพยาบาล เก้าอี้ถูกนับว่างอีก 1 ที่
เกมเก้าอี้ดนตรีที่มีเดิมพันสูงจึงเริ่มขึ้น

..................................

แม้ผมจะมีนามสกุลที่ทรงอิทธิพล แต่ไอ้วินด์และนายใหญ่ของมันก็รู้ดีพอกับคนอื่นๆ
ผมมันคนที่ถูกตัดหางปล่อยวัด เพราะฉะนั้นแทนที่จะจ้องเล่นงานพี่ชาย พี่สาว หรือน้องสาวผม
เล่นงานหมาจรจัดแบบผมน่าจะง่ายกว่า

พวกเขาคิดถูก

แต่ก็เพราะผมเป็นหมาจรจัด ผมถึงไม่มีอะไรต้องเสีย
ผมยอมเล่นเกมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ผมไม่ต้องห่วงหน้าตาครอบครัว ผมไม่ต้องกลัวว่ามันจะใช้ใครมาขู่
ผมไม่มีคนรัก ผมไม่มีครอบครัว ถ้าเขาจะขู่ผมให้จนตรอก ผมจะสู้ และผมเป็นประเภทกัดไม่ปล่อยเสียด้วย

เพราะฉะนั้นถึงแม้ตาแก่นั่นจะออกจากบอร์ดบริหารนานแล้ว
แต่เก้าอี้นั้นยังคงว่างอยู่เสมอ

ผมคิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่พวกเขายังทำอะไรผมไม่ได้
ตราบเท่าที่พวกเขาไม่กล้าจะทำอะไร

จนกระทั่งเขากลับมา..

ผมไม่ใช่หมาจรจัดอีกต่อไป
แต่กลายเป็น'ไอ้เชี่ยตั้ม'
เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีสิ่งสำคัญให้ปกป้อง

...................................
ตอนแรกผมยังมองไม่เห็นปัญหานี้ จนกระทั่งสงครามเย็นยืดเยื้อไปหลายเดือน
วันที่สองกลับจากขอนแก่น ในงานเลี้ยงเปิดตัวคอนโดใหม่ของผม แขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฎตัว..
เขาทักทายและพยายามจะสนิทชิดเชื้อกับสอง เขารู้ว่าสองคือสิ่งสำคัญของผม

สิ่งที่เขาจะใช้กดดันผมได้
สิ่งที่ผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง

หลังจากนั้นก็จริงดังคาด เมื่อผมรู้ว่ามันรู้จุดอ่อนของผม การฝืนเล่นในเกมที่ไม่มีทางชนะนั้นไม่ต่างกับคนโง่
ผมจึงยอมถอย เพียงเพื่อไม่ให้เขาได้รับอันตราย

แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ พวกมันกลับไม่ถอย
วินด์เข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับสอง
อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ผมต้องติดธุระด่วน..
เรื่องบังเอิญลวงโลกที่มันสร้างขึ้นเพื่อให้ได้เจอสอง..

ผมไม่รู้ว่านายมันมีจุดประสงค์อะไร..ถึงได้ส่งมันมาวนเวียนรอบตัวสอง
ผมคิดอย่างอื่นไม่ออกนอกจากการประกาศสงคราม

จึงตัดสินใจ'ลอง'ส่งชื่อไปอีกรอบ
และ'มีด'คือคำตอบที่ได้รับกลับมา

จากคำบอกเล่าของเลขาส่วนตัวและข้อมูลที่ผมได้รับ(รวมถึง'คำตอบ')
ผมถึงได้เข้าใจว่า มีแค่เงินอย่างเดียว ผมปกป้องเขาไม่ได้

นี้อาจเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งในชีวิต
นับตั้งแต่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านตอนอายุ 14

ผมอาจต้องละทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อเขา

ผมอาจต้องกลับ'บ้าน'

..................................

'ก๊อก ก๊อก ก๊อก'
ผมเคาะประตู 3 ครั้งก่อนจะพูดขออนุญาตเบาๆเเล้วเปิดเข้าไป
ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลที่ตกแต่งราวกับโรงเเรมหรูระดับ 5 ดาว

ร่างของตาแก่นอนอยู่บนเตียง เมื่อผมยังเด็ก เวลาเห็นพ่อ จะเห็นว่ามีบอดี้การ์ดอย่างน้อย 2 คนอยู่กับเขาเสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน ...แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่บางอย่างไม่เคยเปลี่ยนไป

"คุณท่านครับ..คุณหนู..คุณหนูตั้มมาเยี่ยมครับ"
บอดี้การ์ดร่างยักษ์เดินไปโค้งกระซิบบอกเจ้านายด้วยเสียงที่ไม่เบานัก
ร่างบนเตียงขยับตัวลุกขึ้นทันทีโดยมีบอดี้การ์ดคนที่เหลือช่วยพยุง

"ตั้ม?"

"อือ..เอามะม่วงมาให้"
ผมพูด รู้สึกแปลกๆราวกับพ่อเป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จัก ใบหน้าเขาดูเหนื่อยล้า ดูแก่ขึ้นกว่าที่ผมจำได้
ผมจำได้ว่าเราทะเลาะกันบ่อยมาก ในความทรงจำของผมมีแต่ใบหน้าของเขาในตอนที่เกรี้ยวกราด ไม่เคยเห็นใบหน้าตอนเหนื่อยล้าเช่นนี้

"หึ..ซมซานกลับมาแล้วสินะ..มีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ"
พ่อพูดก่อนจะยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าเย้ยหยัน..ค่อยคุ้นเคยขึ้นมาหน่อย
ผมยังไม่พูดอะไร กำลังคิดอยู่ว่าจะเรียบเรียงประโยคอย่างไรไม่ให้ดูเป็นการขอความช่วยเหลือมากที่สุด

"ถ้าเป็นเรื่องไอ้เกรียง ไปคุยกับพี่สาวของแก"
พ่อพูดโดยไม่รอให้ผมอธิบาย แบบที่เขาชอบทำเสมอ แต่คำพูดของคนอย่างเขาน้อยครั้งจะเป็นเรื่องเล่นๆ
ผมเกลียดพ่อแต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขาเป็นคนฉลาด

ถ้าพี่ชายคนโตของผมเป็นคนดูแลธุรกิจด้านสว่าง พี่สาวคนโตของผม 'สิตา' ก็เป็นคนดูแลธุรกิจ'ด้านมืด'ของครอบครัว
(จริงๆหน้าที่นี้ควรเป็นของผม ถ้าผมไม่ชิงแตกหักกับพ่อแม่ หนีออกจากบ้านมาเสียก่อน)
พี่ตามีนิสัยไม่ต่างจากคนในครอบครัวผม ไม่ต่างจากพ่อ หรือแม่ ก่อนที่ผมจะหนีออกจากบ้าน ผมก็เกลียดเธอพอๆกับที่มนุษย์เกลียดโรคระบาด และเเน่ใจว่าเธอก็เกลียดผมไม่ต่างกัน ตลอดหลายปีมานี้ผมพูดกับเธอไม่น่าเกิน 20 ประโยค ..ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้พ่อบอกให้ผมไปขอความช่วยเหลือจากเธอ

อย่างไรก็ตามผมมันคนไม่มีทางสู้ เมื่อเลือกทิ้งศักดิ์ศรีไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเล่นตัวอีก
ผมจะแบกหน้าไปหายัยตาดูสักครั้ง...

ก็ถ้าไอ้วินด์มันยอมเล่นสกปรกทุกอย่างเพื่อจะทำร้ายคนสำคัญของผม
ผมก็จะยอมละทิ้งทุกอย่างที่มี เพื่อปกป้องเขาเหมือนกัน

มาดูกันว่าเกมนี้ใครจะชนะ

..................................

"ตกลง"

พี่ตาตอบอย่างง่ายดายด้วยแววตาเหยียดหยามสมกับเป็นเธอ
เธอไม่พูดต่อว่าผม แต่แววตาเธอบอกทุกอย่าง... ฉันบอกแล้ว คนอย่างแกมันจะไปได้สักกี่น้ำ...
พี่ตาเองก็เหมือนพ่อ จากธุรกิจที่เธอรับผิดชอบ ทำให้เธอจำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดอยู่รอบตัวเสมอ และดูเหมือนจะมีมากกว่าพ่อเสียด้วยซ้ำ

"พรุ่งนี้พาฉันไปหาคนงานของแก"

ร่างสูงเพรียวระหงส์ลุกจากเก้าอี้หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด

"มันไม่ยอมพูด..ผมมาขอให้พี่ช่วยหาวิธีอื่น"
ผมกัดฟันพูดขอร้อง แต่พี่ตาไม่ฟัง เธอก็ไม่ต่างจากพ่อ อย่างที่ผมบอก เชื่อมั่นในความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังความเห็นใครก็ตามที่เธอเห็นว่าไม่สมควรฟัง..เธอไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือที่ดี แต่เป็นจอมเผด็จการที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ
ผมคิดถูกหรือเปล่านะที่เชื่อตาแก่นั่น...

"มันจะพูด, วันนี้หมดเวลานัดพบของแกแล้ว พรุ่งนี้ก็มาตามนัดด้วย ฉันไม่ชอบรอ"
พี่ตาพูดก่อนจะผายมือไปที่ประตูทางออก ผมอยากจะอ้าปากเถียง แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้
ยอมทิ้งทุกอย่าง ยอมโดนเหยียดหยาม

อย่างที่ผมบอก มันมีเวลาที่เราต้องเรียนรู้ที่จะยอม

..................................

ผมนำพี่ตากับคนของเธอมายังที่พักของพนักงาน เมื่อเห็นผม พนักงานผู้นั้นก็ตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้ ผมไม่ใช่นายใหญ่ของที่นี้ แต่เป็นผู้หญิงข้างๆผมคนนี้ต่างหาก

"เอาละ ฉันจะไม่พูดพล่ามทำเพลงนะ บอกมาซะว่าใครจ้างแก"

พี่ตาพูดกับพนักงานของผม แววตาและน้ำเสียงเหยียดหยามอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอบาดลึกลงในหัวใจของคนฟังเสมอ ดูเหมือนครั้งนี้ก็ด้วย

"ผมไม่บอก..ต่อให้เอาเงินฟาดหัวผมมากกว่านั้นสิบเท่าผมก็ไม่บอก"
ชายคนนั้นดูโกรธขึ้นเมื่อพูดกับพี่ตา..

"แกยอมรับว่ามีคนฟาดหัวแกเรอะ ถึงได้บอกว่าถ้าฉันให้สิบเท่าของเงินนั่นจะไม่บอก"
พี่ตาพูดน้ำเสียงสบายๆ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฎขึ้นมา ชายพนักงานดูโกรธขึงยิ่งขึ้น

"จะไม่มีสิบเท่าสำหรับแก"

"ถ้าได้เงินแล้วฉันตายจะเอาเงินไปทำไม ฉันไม่ได้โง่!"
ชายผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงลุกลี้ลุกลนขึ้น แต่พี่ตายังคงยิ้มเหมือนเดิม

"ถ้างั้นก็เลือกเอา จะตายตอนนี้หรือค่อยไปตายหลังจากบอก"

กระบอกปืนเก็บเสียงในมือคนของพี่ตาจ่อไปที่ชายตรงหน้า
ผมเหลือบสายตามองหน้าพี่สาว เธอดูไม่ต่างกับในเวลาปกติ ดูชินชาเหลือเกิน

ชายผู้นั้นยกมือขึ้นช้าๆ

"แกฉลาด"
ร่างเพรียวระหงส์ก้มหน้ามอง ใบหน้างดงามยิ้มเย้ยหยันอย่างผู้ชนะ
..................................

ผมได้ไฟล์เสียงสารภาพของพนักงานชายมา
ผมเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยเห็นเธอในมุมนี้มาก่อน

"แกจะทำอะไรกับไฟล์เสียงนั้นล่ะ"
พี่ตานั่งอยู่ข้างผมในรถตู้ของเธอ สายตากับน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิม แต่ผมมองเธอต่างออกไป
ผมรู้มาตลอด พ่อนั้นฉลาด พี่ชายคนโตก็เต็มไปด้วยความสามารถ แต่พี่สาว..เธอแข็งแกร่ง

ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครในครอบครัวที่พึ่งพาได้มาตลอด
จนกระทั่งตอนนี้

"ผมไม่รู้"
ผมตัดสินใจพูดแสดงความอ่อนแอออกไป
ไม่รู้อยู่ๆทำไมผมถึงรู้สึกขึ้นมาได้ว่าผมเป็นน้องชาย ไม่ได้ตัวคนเดียว ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แก้ได้ทุกอย่าง

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอทำให้ผมเห็นว่าเธอนั้นพึ่งพาได้
อีกส่วนคงเป็นเพราะผมคิดไม่ออกจริงๆ

"เฮ้อ"
เธอถอนหายใจก่อนจะยิ้มให้ผม

"เป็นคำตอบที่ใช้ได้ ..ถ้าแกตอบว่าจะเอาไปประจาน แจ้งตำรวจ ขึ้นโรงขึ้นศาล ..ฉันคงอดไม่ได้ที่จะไล่แกออกจากบ้านอีกรอบ"

ผมยักไหล่

"ถ้าแกคิดว่าจัดการเองไม่ได้ เอาข้อมูลนั่นให้ฉัน ฉันรู้ว่าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดยังไง"
พี่ตาพูดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบของจากลิ้นชักในรถ

"นี่ช็อกโกแลต ของเยี่ยมไข้แก ,ฉันไม่มีเวลาเอาไปให้สักที"

ผมยื่นเครื่องบันทึกเสียงให้พี่ตา
เธอยื่นช็อกโกแลตให้ผม

..................................

ผมกลับมาอยู่บ้าน และได้คุยกับพี่ตามากขึ้น เธอเป็นคนให้คำแนะนำผมเกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่งในสงครามเก้าอี้ดนตรีนี้ ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าคำแนะนำของเธอฉลาดและให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แม้เราจะสนิทกันมากขึ้นแต่เธอก็ยังคงเป็นสิตาคนเดิม คำพูดเหยียดหยามกับแววตาที่ทำให้คนอื่นรู้สึกด้อยกว่ายังมีอยู่เช่นเดิม แต่ผมเริ่มชิน ดูเหมือนมันเป็นนิสัยที่แก้ไม่ได้ของเธอไปเสียแล้ว

เราเริ่มสนิทกันถึงขนาดเธอเล่าเรื่องเฮียหนึ่ง พี่ชายของสองให้ผมฟัง(เธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเขา)
เธอรู้ว่าผมให้ความสำคัญกับสองมาก และเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับการให้ความสำคัญคนอื่นมากเกินไป

"นี้เป็นเหตุผลที่พี่ไม่มีคนรักหรือเปล่า"
ผมถามเธอ

"มันเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ให้ความสำคัญกับความรัก..แต่แกไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น"

ผมไม่ถามต่อว่าแล้วทำไมเธอถึงฝืนตัวเอง เธอรับหน้าที่ดูแลธุรกิจด้านมืดทั้งๆที่ควรจะเป็นผม นั้นเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะตอบคำถามทั้งหมด งานของเธอมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าจะให้ผิดพลาดเพราะมีจุดอ่อนอย่าง คนรัก

"..ถ้าเราจัดการค่อยๆวางมือจากธุรกิจมืด เปลี่ยนมาทำด้านที่สว่างทีละน้อย เหมือนครอบครัวสอง เราก็อยู่ได้นะ..พี่คิดว่าไง"

"ถ้าวันไหนฉันอยากตกงาน จะรับพิจารณาข้อเสนอละกัน"

..................................

"เฮ้อ.."

คนข้างๆผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน วันนี้เป็นวันเสาร์ เจ้าสองมาเล่นบาสอยู่บ้านผมก่อนจะขอทำตัวเฉื่อยชาอยู่ยาว ผมไม่ปฏิเสธ แค่เห็นมันมาคนเดียว(ไม่มีไอ้เวรวินด์) และมาหาผม ผมก็ดีใจมากเเล้ว
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านๆมาผมขลุกอยู่กับพี่ตา ยุ่งอยู่กับการก่อสงครามเย็นกับไอ้วินด์และนายใหญ่ของมัน

ผมยื่นมือไปลูบหัวมัน

"มึงเป็นไรป่าววะ"

มันหันขวับ ปฏิกิริยาแรงกว่าที่ผมคิด...ผมล้ำเส้นอะไรไปหรือเปล่านะ

"อย่าทำอย่างงี้!"
มันหน้าเบ้ ผมตบหัวมันไปหนึ่งที

"อ่อนโยนไม่ชอบหรอสัส เป็นเหี้ยไรวะ..หรือไอ้วินด์ไม่มา มึงเลยหงุดหงิด"
ผมพูดทำเป็นแซว แต่ถ้ามึงตอบว่าโกรธเพราะมันไม่มาจริงๆ กูนี้เเหละจะโกรธมึง

"ไม่ใช่สัส..แต่พูดถึงไอ้วินด์แล้วก็สงสาร หลังจากมึงโดนแทงไปได้อาทิตย์นึง ไอ้วินด์ก็โดนลูกหลงคนไล่ยิงกัน..คนเก็บดอกกับลูกหนี้เขาไล่ยิงกันแท้ๆ ไอ้เหี้ยนี่เสล่อไปรับลูกกระสุนแทน ดีนะไม่โดนจุดสำคัญ.."

ผมพยักหน้าด้วยความเห็นใจ(?)

"กูเห็นช่วงนั้นมึงก็เข้าๆออกๆเย็บไหมตัดไหมแผลอยู่โรงพยาบาล..เลยไม่ได้บอกเรื่องนี้"

ผมยักไหล่

"บอกไปกูก็ไม่ได้สงสารมันอยู่ดี ไอ้เหี้ยนั่น"
ผมลอยหน้าลอยตาพูด ก่อนจะโดนไอ้สองตีที่ไหล่แรงๆทีหนึ่ง

"มึงก็อีกคน กูยังคุยกับวินด์อยู่เลยว่ามึงไปเหยียบตาปลาใครเข้าหรือเปล่า"

"ถ้ากูเหยียบตาปลา ไอ้เหี้ยวินด์ก็เหยียบทั้งหัวแล้วล่ะ โดนลูกปืนขนาดนั้น"
ผมพูดก่อนจะหัวเราะร่า ไอ้สองส่ายหัวก่อนจะบ่น

"ทำเป็นเล่นไปนะมึงน่ะ..ไอ้วินด์มันแค่บังเอิญเว้ย เขาเก็บหนี้กัน มันยืนโง่ๆ ..แต่มึงน่ะ เขาแทงจริง!"
ผมยิ้มให้สอง..ก็วินด์มันชอบเรื่องบังเอิญ กูกับพี่กูเลยจัดให้ เอาให้บังเอิญแบบสุดๆไปเลยไง โรแมนติกถึงใจดีไหมละ

"แค่มึงเป็นห่วงกู กูเอาชนะได้ทุกคนในโลกนั่นแหละ"
ผมพูด และมันเป็นเรื่องจริง มันยิ้ม

"จะอ้วกสัส"

"สรุปมึงเป็นไร ไม่บอกกูจะเรียกไซย่ามาแดกหัวมึงเดี๋ยวนี้เลย"
มันหัวเราะก่อนจะยอมบอกผม

"ก็..เรื่องพี่กฤษณ์น่ะ.."
ผมทำสีหน้าขัดใจ แต่ก็อดทนฟังมันพูด
ผมอดทนฟังมาตั้งแต่ยังไม่คบกัน จนคบกัน จนต้องห่างกัน

เรื่องอะไรจะอดทนต่อไม่ได้
ขอแค่ได้อยู่ข้างมึงแบบนี้ จะให้กูอดทนเพื่อเหี้ยอะไรก็บอกมาเลย
กูทำได้หมดแหละ จริงๆ

"กูเล่าให้มึงฟังเเล้วใช่ไหม วินด์มันได้ไปช่วยบริษัทพี่กฤษณ์ร่างสัญญา..ตอนนี้มันก็อยู่ขอนแก่นเเล้ว มันจะทำงานอยู่นั้นตั้ง2-3อาทิตย์แน่ะ.."

"แล้ว?"

"กูก็แค่อยากไปด้วย เฮียไม่ให้ไปง่ะ กูต้องทำงาน"
ไอ้สองพูดก่อนจะหน้างอเป็นเด็กๆ..

"มึงพูดมีประเด็นนะ..คนอย่างไอ้เหี้ยวินด์ ไปไหนชิบหายที่นั่น"
ผมพูดและหมายความตามนั้นจริงๆ ไอ้สองหัวเราะเพราะคิดว่าผมล้อเล่น

"ไม่รู้ดิ..เฮ้อ ตั้ม กูมีลางสังหรณ์แปลกๆว่าพี่กฤษณ์จะต้องการกูว่ะ"

"มึงคิดถึงมันมากไปมั้ง ไอ้พี่กฤษณ์ของมึงนี่.."

ผมพูดและอดอิจฉาไอ้เหี้ยที่ชื่อกฤษณ์นี้ไม่ได้ ..อยากรู้เหลือเกินมึงมีดีอะไรวะ สองถึงได้ติดมึงเหมือนเด็กติดขนมหวานขนาดนี้ ..

"อือ มึงอาจพูดถูก เฮ้อ.."
เมื่อเห็นมันเศร้าผมก็ทนอยู่เฉยๆไม่ได้นานนัก
ผมลุกขึ้นเดินไปปล่อยไซย่าจากกรงหลังบ้าน

เจ้าไซย่าเป็นหมาฉลาด มันรู้หน้าที่ตัวเองดี
มันวิ่งนำผมออกไป แล้วไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากในบ้าน

ผมยิ้ม เดินไปในครัว หยิบขนมครกที่สั่งให้ป้าเเจ่มทำเผื่อไว้
ก่อนจะเดินตามเสียงหัวเราะนั้นไป

 


 :hao3:สวัสดีค่ะ! ขนาดเจ้าวินด์ยังมีตอนของตัวเอง! แล้วตัวเอก(?)ที่โผล่มาตั้งเเต่ต้นอย่างเจ้าตั้มมจะไม่มีได้อย่างไร :z2:
ในตอนที่ 11 เก้าอี้ว่าง นี้ เป็นตอนที่เล่าเรื่องราวของตั้มอย่างคร่าวๆ (จริงๆที่ไม่ย้อนอดีตเหมือนวินด์เพราะปมของเจ้าตั้มมันซับซ้อนมากค่ะ ไทม์ไลน์ช่วงวัยรุ่นก็ยาวเหยียดน่าสนใจ(และสนุกสุดๆ ฮ่าๆ) หากเอาลงคงจะไม่ได้ชื่อตอนว่า เก้าอี้ว่าง เป็นแน่แท้)
และการชิงตำแหน่งเก้าอี้ว่าง ที่เจ้าตั้มเคยบ่นให้สองฟังในบทต้นๆ เป็นตอนที่คลายปมว่าทำไมเจ้าตั้มถึงได้ดูเกลียดวินด์นัก
ทั้งในตอนงานปาร์ตี้(วินด์มาแบบSurprise+เจ้าสองยังบ่นว่าไอ้ตั้มมันใช้เกณฑ์อะไร) และหลังจากนั้น ..

ทั้งตัวละครใหม่(ซือเจ๊โหด)ทั้งปูทางทั้งผูกปมมากมายก่ายกองอย่างนี้ มาติดตามกันว่าผู้เขียนจะขมวดได้หมดหรือไม่?!! :katai1:
เจ้าวินด์จะไปไร่พร้อมความชิบหายวายป่วงอย่างที่เจ้าตั้มทำนายไว้หรือไม่?!! :z3:
ลางสังหรณ์ของเจ้าสองจะเเม่นหรือไม่?!และเฮียกฤษณ์จะรับมือสายลมแรงนี้อย่างไร?!!

ตอนหน้ามาลุ้นส่งกำลังใจให้เฮียกฤษณ์กันค่ะ :bye2:

#Anynomous

โอย.......สนุกกกกกก ชอบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชอบมาก ไรท์ เขียนได้ไหลลื่น

ตั้ม ก็น่าจะชอบสองเกินเพื่อน
ตั้มไม่บอกเพราะคิดว่าสองชอบหญิง
ไม่ชอบตั้มที่เปิดตัวสอง ตอนสองกลับมา
มันเชิญชวนให้คนไม่ดีเข้าหาสอง แล้วก็ใช่จริงๆ

ก็คิดว่ากฤษณ์ สองต้องชอบกัน
เจอโจ เจอวินด์ ทั้งสองคนนี้ทำให้คิดว่าคิดไรๆกับสอง
แล้ววินด์ก็โผล่มาตามติดเพื่อเจอสองตลอด

ให้คิดว่าวินด์จะทำอะไรร้ายๆกับกฤษณ์หรือเปล่า เพราะเป็นศัตรูหัวใจ
กับตั้ม ต่างคนต่างเห็นหางกัน แต่ตั้มไม่มีอิทธิพลน่ะสิ
อยากอ่านตอนใหม่แล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ  :กอด1: อ่านเเล้วรู้สึกว่าผู้อ่านตื่นเต้นกับสนุกไปกับเนื้อเรื่องจริงๆ
จนเราเเค่อ่านคอมเม้นต์ยังสนุกไปด้วยเลยค่ะ  :-[
ตั้มไม่มีอิทธิพลและรู้ตัวอย่างชัดเจนตอนที่โดนไล่ต้อนนี้เเหละค่ะ จนต้องซมซานกลับไปบ้าน
สำหรับคนที่ถือศักดิ์ศรี หัวดื้อแบบตั้ม เป็นอะไรที่ยอมสุดๆแล้วเพื่อเพื่อนคนนี้...
(เขา'ไม่กล้า'พูดถึงเจ้าสองในฐานะคนแอบรักเลยสักครั้งนะคะ..)

ส่วนวินด์กับพี่กฤษณ์นั้นเดี๋ยวต้องติดตามกันว่าตอนหน้าเขาจะทำอะไรชั่วร้าย(?!!)หรือไม่
ตั้มที่สั่งคนมาแทงเพราะมีปัญหาเรื่องธุรกิจกับนายยังพอเข้าใจได้..แต่พี่กฤษณ์นี่อารมณ์ล้วนๆ รอดูว่าเจ้าวินด์จะพอมีสติยั้งคิดกับเขาไหม :laugh:

สุดท้ายขอบคุณมากเลยค่ะ
ผู้เขียนเมื่อเขียนเรื่องสนุกและมีความสุขมากๆ
ได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันนี้กลับมา ชื่นใจมากๆเลยละค่ะ!!(โค้ง)

#Anynomous  :bye2:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-11-2017 15:50:03
เข้ามาอ่านเพราะชือคนเขียน และคำว่าขอนแก่น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเช่นเคยจากผู้เขียนนามนี้ อยากเสพมานานแหละ นิยายที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิงเช่นนี้น่ะ ขอบอกกว่าชอบมาก รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-11-2017 21:18:37
สิตา ทำงานด้านมืดมานานซะจนหน้าตาแววตา มันไปสายดาร์กไปแล้ว
สายตาคงมองคน แบบสแกนว่าคนที่มาหา มีค่าแค่ไหน
จะมีประโยชน์กับตัวเองมากน้อยอย่างไร
แล้วถ้าทำอะไรตุกติก ไม่ซื่อนี่ ตายง่ายมากกกกก
แม้แต้น้องชาย ยังถูกมองแบบนั้น

ตั้ม กลับไปซบอกกับครอบครัวน่ะถูกต้อง
เพราะคนที่ตัวเองปะทะ มันเกินลิมิตตัวเอง
แล้ววินด์ก็เจอลูกเล่นไปแล้ว สมน้ำสมเนื้อจริงๆ  เล่นมาก็เล่นกลับ  :z6: :z6: :z6:

สอง นี่เป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุข
เพราะความเป็นคนดี คิดบวก ร่าเริง ไม่สนใจเรื่องฐานะของคนที่คุยด้วย
ตั้ม วินด์ ต่างก็อยากอยู่เคียงข้างสอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่11 :12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 14-11-2017 15:26:36
สนุกมากรออ่านต่อเลย o13 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่12 :15/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 15-11-2017 10:16:53
ตอนที่ 12: ที่ใดมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ

หลังจากการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงผ่านไปได้ด้วยดี คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นด้วย และลงมติให้ผ่าน
ผมกลับมาเตรียมการทำสัญญาอยู่ขอนแก่นสักระยะหนึ่ง ไอ้งานประเภทตรวจดูเอกสารเบื้องต้น, ดูคุณสมบัติของบริษัท , เตรียมร่างสัญญา
หลังจากนั้นเจ้าคนหนุ่ม ทนายมือดี ที่ไอ้หนึ่งยืนยันให้นักหนาก็เดินทางมาถึง

"สวัสดีครับ พี่กฤษณ์"

ไอ้หนุ่มตรงหน้าโค้งให้ผมน้อยๆก่อนจะไหว้อย่างมีมารยาท(ทำไมกูพูดจาเหมือนลุงแก่ๆเข้าไปทุกวันวะ?!)

"เออๆ ไหว้พระเถอะ"
นั่น! พูดไม่ทันขาดคำ โชว์แก่อีกแล้วกู..

"มาๆ พี่ถือของช่วย"

"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ"
บร๊ะ ไอ้เด็กนี้ มันมีมารยาทดูเป็นผู้ดีจนผมชักเกร็งเเล้วเนี่ย..พวกจบกฎหมายมันเป็นอย่างนี้กันทุกคนไหมวะ?!

"ไอ้วินด์ บ้านพักมึงอยู่หลังนี้ พึ่งเดินทางมา พักก่อน เดี๋ยวตอนเย็นกูมารับไปกินข้าวอยู่เรือนหลัก"
ผมอธิบายเรื่องสถานที่ให้มันฟังคร่าวๆ ไอ้วินด์พยักหน้ารับหงึกหงัก มันดูเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่เหมือนเจ้าสอง..เอ้อ พูดแล้วก็คิดถึงมันแฮะ..

ผมกับเจ้าสองแม้จะอยู่ไกลกัน แต่เราก็โทรคุยกันและเล่นเซ็กส์วิดิโอคอลกันอยู่เสมอ(..ว่าไงนะ!?...มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับหน้าด้านๆหรือเปล่า? โทษทีกูแก่แล้ว หูไม่ค่อยได้ยิน!)
เจ้าสองมักจะโทรมาเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องเพื่อนบ้าง เรื่องที่ทำงานบ้าง ผมก็แลกเปลี่ยนเรื่องของตัวเองกับมันเหมือนกัน(แต่ส่วนใหญ่แล้วจะฟังมากกว่าครับ ไม่ใช่อะไร พูดแทรกไม่ค่อยทัน!)

คิดถึงมึงชิบหายเลยไอ้ลูกแมว...

ถ้าทำสัญญาเสร็จผมว่าจะพามันไปเที่ยวทะเล
ไปกันเเค่สองคน ไปกินกุ้งหอยปูปลา ดำน้ำดูปะการังอะไรเทือกๆนั้น
มันจะได้เลิกว่าผมเป็นคนไม่โรเเมนติกกับเขาสักที...

ผมคิดอย่างเพ้อๆก่อนจะลงจากรถเเล้วเดินเข้าสำนักงาน

"คุณกฤษณ์ หน้าตาอารมณ์ดีจังนะคะ พึ่งคุยกับคุณสองมาเหรอ"
น้องฟางแซวเมื่อเห็นผมดูอารมณ์ดี ผมหัวเราะก่อนจะพูดประมาณว่า เป็นธรรมดาของคนรักกัน
น้องฟางดูจะชอบความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าสองเป็นพิเศษถึงขนาดเคยขอภาพผมกับเจ้าสองเอาไปแต่ง Photoshop ทำสติ๊กเกอร์..เห็นบอกว่าขอเอาไปเขียนเป็นนิยายหรืออะไรนี่แหละ..เออ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนแบบนี้ก็มี!

..................................
พอช่วงเย็นๆหน่อย ผมก็ไปรับไอ้วินด์เพื่อพาไปกินข้าวเย็น

"อันที่จริงไม่ต้องลำบากเรื่องข้าวเย็นก็ได้นะพี่ ผมหากินเองได้"

"ไร่ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้ นอกจากขโมยข้าวโพดในไร่กูกับจับยุงมาทอดแดก มึงจะหาอะไรกินอีกได้วะ"

"หนูปิ้งไง"

"ไอ้สัส!"
ผมพูดก่อนจะหัวเราะ แต่ไอ้วินด์ไม่หัวเราะด้วย ผมเลิกคิ้วมอง

"มึงพูดจริงเรอะ"

ไอ้วินด์พยักหน้ารับ

"ผมกินอะไรก็ได้พี่ ขอแค่มีให้กินก็ดีแล้ว ผมใช้ชีวิตมาแบบนั้นแหละ"

ผมมองคนข้างๆอย่างชัดๆอีกที รูปร่างหน้าตาก็ดูดีภูมิฐานนี่หว่า..เรียนก็จบเมืองนอกเมืองนา คำพูดคำจาดูเป็นผู้ดี ไหงพูดเหมือนใช้ชีวิตมาอย่างขอทานเลยวะ กินหนูปิ้งงี้ ขอแค่มีกินงี้..

"ทำไมว่าอย่างนั้นวะ"
ผมสงสัยจึงอดถามไม่ได้

"ผมน่ะเป็นคนจนพี่ เป็นเด็กกำพร้า โตมาในบ้านเด็กกำพร้าแท้ๆเลย โชคดีมีคุณเกรียงมาอุปการะ ถึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานดีๆกับเขา.."
แววตามันดูหม่นๆตอนพูดเรื่องนี้ จนผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ ผมยื่นมือไป เผลอยีหัวมันแรงๆทีหนึ่ง

"ผมไม่เป็นไรพี่ มันผ่านมาแล้ว ผมเข้มเเข็งก็เพราะชีวิตช่วงที่ลำบากนั่นแหละ มันให้บทเรียนผมเยอะ"

"เออกูรู้ กูก็เด็กกำพร้าคนหนึ่ง"
ผมเข้าใจความรู้สึกที่ไม่มีพ่อแม่ดี ความรู้สึกเคว้งคว้างที่ไม่มีที่จะอยู่ มองไปทางไหนก็ไม่มีที่ให้ยืน ไม่มีใครที่รู้จักหรือจะเดินไปซบได้

"พี่ด้วยเหรอ?"
ไอ้วินด์ถามก่อนจะหันมามองหน้าผม

"เออดิวะ กูจะโกหกทำไมล่ะ"

"เปล่า พี่ดูไม่เหมือนเด็กกำพร้า"
มันพูดก่อนจะมองไปทางอื่น

"อะไรที่ไม่เหมือนวะ"
ผมถาม

"แววตามั้ง"
มันพูดก่อนจะเหม่อมองไปยังทุ่งข้าวโพดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

"ไอ้วินด์ มึงอายุเท่าไหร่แล้ว"

"24 พี่ ทำไมเหรอ"

"24 ปีแล้ว ทิ้งอดีตไปซะบ้างมึง อยู่กับปัจจุบันให้มากๆ"

..ไม่ว่ามึงจะเป็นเด็กกำพร้าหรือไม่ มึงไม่ควรแบกแววตาอมทุกข์อย่างนั้นไว้จน 24 ปี..
ผมเงียบ มันก็เงียบ เมื่อขับรถไปสักพักมันถึงได้พูดขึ้นมาว่า

"ผมทิ้งอดีตไปไม่ได้หรอกพี่ ถ้าทำอย่างนั้น ผมจะไม่เหลืออะไรเลย"

ผมหันไปมองมัน แววตามันยังเหม่อมองไปที่ไร่สองข้างทาง

"สัส พูดจายังกะพระเอกหนังเศร้า"

ผมพูด และมันหัวเราะขำ
..................................

"เอ้า เฮ..ไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมเราเท่าไหร่เนาะ"
ลุงชัยหัวเราะลั่นก่อนจะตบหลังไอ้วินด์ดังป๊าบ ยัยแก้วแนะนำตัวเองกับผู้มาใหม่ ลุงป่องโม้เรื่องยาดอง
ผมมองไอ้วินด์ที่ทำตัวไม่ค่อยถูกแล้วก็ยิ้ม อย่างน้อยช่วงเวลาที่มาอยู่ที่นี้ก็อยากให้มันรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว
มันทำตัวเหมือนผู้ใหญ่นักหนา ทั้งระมัดระวังตัว ถ่อมตน กั้นแบ่งพื้นที่ระหว่างมันกับคนอื่นเเทบจะตลอดเวลา

หวังว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้จะช่วยละลายน้ำแข็งที่มันมีอยู่ได้
ไอ้เเววตาหม่นๆที่มันแบกมาถึง 24 ปีจะได้หม่นน้อยลงหน่อย
หวังว่านะ..

ไอ้วินด์มันกินได้ทุกอย่างอย่างที่มันพูดจริงๆ..
พูดแล้วก็อดคิดถึงไอ้แมวน้อยของผมไม่ได้ รายนั้นกินได้บ้างไม่ได้บ้าง แถมยังเลือกกินสุดๆ มีอาหารมากมายแดกได้แต่ไข่มดแดง! แต่..มันน่ารัก ผมให้อภัย!

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ผมก็ขับรถไปส่งไอ้วินด์ที่บ้านพัก
ก่อนจะขนยาจุดกันยุง แป้งเย็น ของใช้จำเป็นเล็กๆน้อยๆให้

"ระมัดระวังนะมึง อย่าเปิดประตูให้คนไม่รู้จัก"

"ครับ ขอบคุณครับพี่"
คนหนุ่มตรงหน้ากล่าวขอบคุณหลังรับของ ยิ้มน้อยๆให้ผมก่อนจะปิดประตู

..................................

"ไอ้วินด์ไปถึงนั่นแล้วใช่ป่าว"
เสียงคนรักของผมลอดผ่านวิดิโอคอลเข้ามา แต่ภาพที่เห็นมีแต่หมอนกับที่นอน
เจ้าสองตั้งไอแพดทิ้งไว้บนเตียงระหว่างที่เดินไปหยิบหนังสือ

"อือ ถึงเเล้ว กูพึ่งไปส่งมันอยู่ที่พักมานี่"

พอคบกันได้สักระยะผมถึงได้ค้นพบว่าคนรักของผมเป็นพวกหนอนหนังสือ
ทั้งๆที่ลักษณะภายนอกมันดูเป็นหนุ่มเที่ยว เพลย์บอยมากกว่า
แต่ในทุกๆเย็น เวลาประมาณนี้ (18.00-19.00) หากเจ้าสองวิดิโอคอลมาหาผม จะพบว่ามีหนังสือติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ มันเคยบอกว่า แม้แต่มันเองก็ต้านทาน'ความเป็นเอเชีย'ไม่ไหว
พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะว่าอยากได้เกรดดีๆจึงถูกสถานการณ์บังคับให้อ่านหนังสือเสมอ
และเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ถูกนับเป็นพวก 'เด็กเนิร์ดเอเชีย' ไปอีกคน

"วันนี้หนังสือเรื่องอะไรที่มาแย่งความสนใจจากเมียกูเนี่ย"
ผมพูดแซวมันเล่นๆ เจ้าสองหน้าแดง ก่อนจะยื่นหนังสือใส่กล้องให้ผมดู
'สนทนากับโสกราตีส' ..

"ใครเมียมึง ไอ้พี่กฤษณ์ ..แม่งโคตรมั่ว"
ไอ้สองพูดก่อนจะทำหน้าเบ้ ผมหัวเราะร่า

"สนุกเรอะ ไอ้หนังสือปรัชญานี่"
ผมถามก่อนจะนึกทวนเรื่องของนักปรัชญาโสกราตีส..เขาเป็นนักปรัชญาผู้เป็นอาจารย์ของเพลโต เป็นคนแรกๆที่มีการบันทึกไว้ถึงความโดดเด่นในเรื่องการถกปรัชญาโดยใช้บทสนทนาถาม-ตอบ ผมเคยอ่านแนวคิดด้านปรัชญาการปกครองของเขามาบ้างสมัยเรียน แต่เมื่อจบมาทำงานแล้วแทบไม่ได้ใช้ปรัชญาพวกนี้เลย ทำให้ผมไม่ได้สนใจจะศึกษาต่อมากนัก

"ก็กลางๆนะ อ่านได้เรื่อยๆ..พี่กฤษณ์มึงกินข้าวเเล้วใช่ไหม ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจะดึก"
ไอ้เจ้าสองมันโบกมือไล่ผมก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของมันต่อ..

ภาพที่เห็นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคงจะดีไม่น้อย
ถ้าทุกเย็นผมได้นั่งทำงาน นั่งดูบอล หรือนอนตักคนรักของผมตอนที่เขาอ่านหนังสือ..
ได้อยู่ข้างๆเขาจริงๆ ..

ผมส่ายหัวไล่ความคิดเอาแต่ใจ
ใช่ว่าผมจะไม่อยากเก็บเขาไว้ข้างตัว
แต่เวลานี้เราต่างมีหน้าที่ มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ผมไม่อาจเห็นแก่ตัวโดยการรั้งเขาไว้ได้

ไม่ใช่ในตอนนี้

ผมอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาเเต่งตัว ขณะที่กำลังใส่กางเกงบ็อกเซอร์ก็ได้ยินเสียงลอดมาจากวิดิโอคอล

"พี่กฤษณ์~มึงเซ็กซี่อ่ะ"

ผมหันไป เห็นหน้าเจ้าสองที่พยายามทำเสียงเล็กเสียงน้อย มองผมตาวาว
ผมขำพรืด

"มึงเห็นซิกแพ็กกูแล้วมีอารมณ์อ่ะดิ"

"แดกข้าวเหนียวเยอะไปป่าวมึง"

"สัส"
ผมมองดูพุงตัวเอง ..เออ อาจจะจริง!

"เออกูไม่ค่อยได้ทำงานที่ต้องใช้แรงว่ะช่วงนี้"
ผมบ่นกับมัน เจ้าสองหัวเราะขำ

"เอาเฮียกะเพื่อนกูเป็นตัวอย่างดิ สุขภาพกับหุ่นเขาคุมกันตลอด เข้าฟิตเนสทุกอาทิตย์ มึงควรทำนะ"

"กูก็ทำไร่ไง กูวิ่งทุกเช้าอยู่แล้ว จะเข้าไปทำไมวะ เสียตังค์"
ผมบ่นไปตามท้องเรื่อง ผมก็เป็นคนดูแลสุขภาพอยู่หรอก หุ่นก็จัดว่าใช้ได้ตามประสาคนชอบใช้แรงงาน แต่ไอ้จะให้ไปเสียเงินให้ฟิตเนสเพื่อให้ได้หุ่นงามๆเหมือนพวกนายแบบ ผมก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร เลยรู้สึกว่าสิ้นเปลืองมากกว่า

แต่เอ..หรือไอ้สองมันชอบวะ
หรือกูจะลองทำดู

"หรือไม่มึงก็มาออกกำลังกายกับกูบ่อยๆ"

เจ้าสองพูดแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม..

"วิดิโอคอลก็ออกกำลังกายได้"
ผมพูดก่อนจะดึงบ็อกเซอร์ลง

..................................

"อ๊ะ..อ๊า...พี่กฤษณ์..."
ร่างตรงหน้านั่งเอาหลังพิงหัวเตียง เสื้อเชิร์ตชุดนอนถูกปลดกระดุมเปลือยลงให้เห็นหัวไหล่กับหน้าอกขาว
ดวงตาปรือกับริมฝีปากที่เม้มน้อยๆบ่งบอกถึงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสักพักริมฝีปากนั้นก็ครางเรียกชื่อผมเสียงหวาน


ผมกลืนน้ำลาย..ได้โปรดเลื่อนไอเเพดลงอีกนิดที่รักกก

"สอง..มึงเลื่อนไอแพดลงหน่อยดิ"
ผมพูดเสียงพร่า มือก็ค่อยๆปลุกไอ้กฤษณ์น้อยขึ้น

"อือ..อื้อ"
ใบหน้าของเจ้าสองดูบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ไหล่สั่นไหว ยอดอกสีชมพูชูชันขึ้นตามอารมณ์ เขาครางชื่อผมเบาๆ

"ไม่เอาอ่ะ..กูอาย"

"มึงจะอายอะไรวะ กูเห็นมาหมดแล้ว"
ผมพูด สูดปากเบาๆเมื่อไอ้กฤษณ์น้อยโตขึ้นเรื่อยๆ ..แค่มึงเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆ แม่งก็ดูเซ็กซี่เร้าอารมณ์ชิบหาย!
ผมขยับตัวเข้าใกล้หน้าจอ ก่อนจะจับไอ้กฤษณ์น้อย(ซึ่งตอนนี้ใหญ่แล้ว)ให้เจ้าแมวน้อยดู

"เนี่ย กูยังไม่อายเลย...อยากเข้าไปในตัวมึงจะแย่อยู่แล้ว ดูดิ"

"กฤษณ์น้อยรักน้องสองคับ"
ผมจับเจ้ากฤษณ์น้อยส่ายหัวดุ๊กดิ๊กทักทาย(กูยังจะมีอารมณ์มาเล่นอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ?!)

"อะ..ไอ้สัส!"
ไอ้นี้เสือกมีอารมณ์เล่นด้วยอีก! สรุปใครปกติวะเราสองคนเนี่ย?

..................................

หลังจากการถามสารทุกข์สุขดิบ ทำกิจกรรมออกกำลังกายเสร็จ ผมกับเจ้าแมวน้อยสองก็แยกย้ายกันไปนอน

"ตืด ตืด ตืด"

ใครโทรมาเวลานี้วะ..คนจะหลับจะนอน
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ เห็นเป็นเบอร์ลุงชัย จึงกดรับ

"มีอะไรหรือลุง ไม่ก๊งนา จะนอนแล้ว.."

"ไอ้กฤษณ์ ! ที่ไร่ข้าวโพด 2 ไฟไหม้ ควันโขมงเลย ข้าโทรเรียกนักดับเพลิงเเล้ว เอ็งรีบมาด่วนเลย.."
ผมตื่นทันที..รีบลุกออกจากที่นอน สวมเสื้อคลุม ก่อนจะขึ้นคุณนายแดง บึ่งไปยังไร่ข้าวโพดหมายเลข 2

..................................

ปรากฎว่าสิ่งที่ไหม้ไม่ใช่ไร่ข้าวโพด แต่เป็นกองเปลือกข้าวโพดของไร่
กองเปลือกข้าวโพดนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ในวันที่อากาศแห้งเช่นวันนี้

"สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ?"
ผมถามพนักงานด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าเปลวไฟยังไม่มีทีท่าจะดับลง

"ปกติไหม้ใหญ่ขนาดนี้เราต้องใช้เวลาสักชั่วโมงกว่าครับ ถึงจะดับหมด แล้วต้องติดตามดูต่อด้วย เปลือกข้าวโพดสุมกันเป็นกอง ถ้าเชื้อเพลิงอยู่ข้างใต้จากการเสียดสีเพราะความแห้งของอากาศ แม้จะดับไฟหมดแล้วก็ยังมีโอกาสคุกรุ่นติดขึ้นมาได้.."
หัวหน้าพนักงานดับเพลิงพูด ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความกังวล
ประเมินมูลค่าความเสียหาย..น่าจะระดับกลางๆ แต่ความยุ่งยากนี่สิ..แถมยังเป็นช่วงเวลาทำสัญญาด้วย
ผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นไร่ที่มีโอกาสเกิดไฟไหม้หรอกน่ะ มันหมายความว่าอะไรหลายๆอย่าง...

เป็นต้นว่า ไร่ของผมยังมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ ระบบป้องกันอัคคีภัยไม่ดีพอ
และ..ผมคิดอย่างไม่อยากจะยอมรับนัก..

ผมยังบริหารได้ไม่ดีพอ

ผมมองภาพควันไฟคุกรุ่นตรงหน้า ความร้อนจากเปลวไฟแผ่มาประทะใบหน้าของผม
เปลวไฟทำให้คืนหนาวเหน็บนี้อบอุ่นขึ้น.. แต่ผมกลับไม่รู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด

ผ่านไป 30 นาทีกว่าๆ เปลวไฟก็มอดดับลงจนหมด
ผมมองดูซากกองเปลือกข้าวโพด ในใจก็คิดว่าชีวิตคงโยนบททดสอบอีกบทมาให้เสียเเล้ว

"ดีจังนะครับที่ดับได้เร็ว.."
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างๆผม..วินด์นั่นเอง
ผมไม่รู้ว่าเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

"อืม..แต่ก็ทำเอากูเครียดไปเลยนะ.."

ไอ้วินด์พยักหน้าอย่างเห็นใจ

"ช่วงทำสัญญาด้วย..แต่ไม่ต้องห่วงนะครับพี่กฤษณ์ ผมจะช่วยพี่ให้ดีที่สุด"

ลุงชัยเดินมาก่อนจะตบหลังผม

"เออแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก เอ็งจำสมัยไฟป่าไหม้ไร่ข้าได้ไหม ข้ายังผ่านมาได้..อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้
ช่วงนี้อากาศมันก็แห้งขึ้นมากด้วย..สงสัยน้ำที่พรมไว้จะไม่พอ"

ผมไม่พูดอะไร ผมซึ้งใจที่ทั้งลุงชัยทั้งไอ้วินด์มาช่วยปลอบ แต่สถานการณ์ของผมกับลุงไม่เหมือนกัน
ตอนไฟป่าครั้งนั้นเสียหายมูลค่ามากกว่าก็จริง แต่เป็นมูลค่าเต็มตัว ไม่ต้องแลกกับภาพลักษณ์หรือสิ่งอื่น
แต่ในยุคของผม การเกิดไฟป่าในไร่ที่ควรจะมีมาตรฐาน เป็นเรื่องยอมรับได้ยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้

"คิดในแง่ดี..อย่างน้อยไอ้วินด์ยังวิ่งโร่มาบอกข้าทัน..ข้าถึงได้โทรบอกเอ็ง"

ผมเลิกคิ้วมอง ..วินด์นะหรือ ใช่..บ้านพักของเขาอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด แต่วิ่งจากบ้านพักไปเรือนหลัก..
มันเป็นระยะทางที่ไกลมาก..

"มันเป็นฮีโร่ของงานนี้เลยนะเว้ย"
ลุงชัยพูดพลางตบหลังไอ้วินด์ มันหัวเราะน้อยๆ ..ผมกำลังจะขอบคุณไอ้วินด์ แต่ก็รู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ

..เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง..

เป็นอะไรบางอย่างที่ผมอาจมองข้ามไป และอาจมีมากกว่าหนึ่งอย่างด้วย

ผมคิดถึงเรื่องลุงโทรหาผม..ไอ้วินด์วิ่งโร่ไปหาลุง
ทำไม..?

..ทำไมไอ้วินด์ไม่โทร?

ผมเก็บความสงสัยนี้ไว้..
รวมถึงเก็บคำขอบคุณไว้ด้วย

..................................

พอเริ่มวันเเห่งการทำงาน พนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ก็เริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็ง รวมถึงไอ้วินด์ด้วย
มันตั้งใจทำงานยิ่งกว่าใครๆ จนผมอดชื่นชมไม่ได้ สมเเล้วที่ไอ้หนึ่งแนะนำมา

"เอ้า ถึงเวลาพักเที่ยงเเล้ว พักได้ๆ"
ผมเดินไปหาไอ้วินด์ที่นั่งขมวดคิ้วดูเอกสารอยู่บนโต๊ะ

"มึงจะทำหน้าที่คุ้มเกินเงินไปแล้ว"
ผมตบไหล่ชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะชวนเขาไปกินข้าวเที่ยงในไร่

"ผมขอกินในสำนักงานดีกว่าครับ ผมไม่ค่อยถูกกับเเมลงที่นี้สักเท่าไหร่"
ผมมองหน้ามัน มองคอ ก็จริงดังมันว่า ซอกคอมีรอยแดงเหมือนเเมลงกัด ข้อมือก็เช่นกัน

"กูมียากันยุงเพียบเลยนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวเย็นนี้กูเอาไปให้เพิ่ม"

"ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมแพ้ยาจุดกันยุงของพี่นั่นแหละ พวกแมลงถึงได้มากัด"

ผมส่ายหัวในความดื้อด้านของคนตรงหน้า เขาไม่บอก ไม่ยอมรับทั้งการช่วยเหลือ และไม่ยอมที่จะร้องขอ
ผมไม่ใช่จิตแพทย์ ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์
ตอนแรกคิดว่าเราอาจสนิทกันได้ง่ายๆ
แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด กำแพงของเขาสูงกว่าที่ผมคาดไว้

..................................

เวลาการทำโครงการล่วงเลยไป ในที่สุดสัญญาก็เสร็จสมบรูณ์ ทั้งๆที่ยังไม่ถึง 3 สัปดาห์ด้วยซ้ำ

"โอ้โห งานเสร็จเร็วอย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อยจริงไหมไอ้ป่อง"
ลุงชัยพูดก่อนจะหัวเราะอย่างครื้นเครง หลังจากผมเล่าเรื่องความคืบหน้าของงานให้ฟังระหว่างที่เราทานอาหารเย็น
ลุงป่องก็หัวเราะตาม รายนั้นเป็นพวกบ้าจี้ เห็นดีเห็นงามด้วยไปเสียหมด

"ข้ามีของดีพอดีเลยว่ะ"

"เอ็งก็พอดีมีทุกวันนั้นแหละ ฮ่าๆๆ"
ลุงชัยกับลุงป่องแซวกันไปมา ผมฟังเเล้วยังอดขำไม่ได้ ไอ้วินด์ก็เช่นกัน
หลังทานอาหารเสร็จ สมาคมชายฉกรรจ์หลังไร่จึงเริ่มตั้งวงเหล้ากัน
และอย่างที่ทุกคนรู้ ในวงเหล้ามักมีเรื่องเล่าเสมอ

ลุงป่องเริ่มโม้ถึงอดีตการเป็นนักเลงหัวไม้อันดับ 1 ในขอนแก่น (ผมฟังมาเป็นสิบๆรอบ และสารภาพตามตรง ไม่อยากจะเชื่อนัก)

"สมัยก่อนนี่นะ..ไอ้ชัยมันมีศัตรูเยอะเพราะธุรกิจมันนี่แหละ มันถึงได้จ้างข้าให้มาคอยดูแล..ตอนนั้นข้าเป็นถึงมือขวาของลูกพี่ใหญ่แห่งคุ้มอิสานนะเว่ย"

"เอ็งตกงาน ข้าสงสารเลยช่วย"

"ไอ้ชัย!!"

เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นเรื่อยๆ ลุงสองคนโม้อดีต พูดไม่ตรงกันสักอย่างจนแยกไม่ออกว่าใครพูดจริงพูดเล่น
ผมเหลือบตาดูไอ้วินด์ มันยังดื่มอย่างเงียบๆ นั่งฟัง คอยหัวเราะบ้างเมื่อมีโอกาส

"อย่าแดกเยอะน่ะมึง ของมันเเรงนะ"
ผมพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง มันพยักหน้ารับ

..................................

"กูบอกแล้วไม่เชื่อฟัง"
ผมพูดกับคนข้างๆที่นอนหมดสภาพอยู่บนเบาะรถผม
มันส่ายหัว

"อย่ามาสอนกู"

อ้าว! ไอ้เหี้ยนี่.. ผมคิดก่อนจะขำเล็กน้อย ไอ้พวกคนกรุงนี่เหมือนกันหมดเลยนะ คิดว่าจะรับความแรงเหล้าพื้นบ้านได้
ถ้ากินเท่ากับปริมาณปกติที่กินอยู่เสมอ สำหรับเหล้าลุงป่อง ไม่เห็นมีใครเคยรอดสักราย

"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
ไอ้หนุ่มข้างๆเริ่มบ่นพึมพำ ผมพยักหน้ารับ คิดถึงเรื่องของผมกับสอง

"มันก็ปกติของคนรักกันนั่นแหละ.."

"..กูอยากได้ กูต้องได้"
 มันพึมพำอะไรพวกนี้อยู่พักใหญ่ๆ ดูท่าไอ้หมอนี่จะมีปัญหาความรักแฮะ ผมปล่อยให้มันได้พูดระบาย
ส่วนตัวเองก็ขับรถไปยังที่พักมันเรื่อยๆ
(จะพามันไปดูแลอยู่ที่พักผมไม่ได้ครับ..ผมไม่ใช่คนโสดอีกต่อไป สร่างเมาเเล้วเราอาจตายคู่ได้..เมียผมดุมาก!)

พอถึงบ้านพักของมันผมก็จัดการลากมันเข้าที่พัก
หาน้ำมาวางไว้ใกล้ๆให้ พยายามจะหายาจุดกันยุงมาจุดให้ พอนึกขึ้นได้ว่าไอ้วินด์มันแพ้ยากันยุงก็ดันหากล่องเจอพอดี

ในกล่องว่างเปล่า

..................................

"กูบอกแล้วว่าไฟไหม้ไร่มึงไม่ใช่อุบัติเหตุ"
คนรักของผมพูดผ่านวิดิโอคอลมา เจ้าสองกำลังนั่งกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ในห้อง

"มึงอาจว่ากูอ่านคินดะอิจิยอดนักสืบมากไป แต่ทุกอย่างมันบังเอิญเกินไป"
ผมเล่าเรื่องไฟไหม้กองเปลือกข้าวโพดให้เจ้าสองฟัง มันแสดงความเห็นว่าอาจเป็นการลอบวางเพลิงตั้งแต่เเรก
แต่ผมในตอนนั้นยังไม่อยากจะเชื่อ ผมคิดว่าความรู้สึกผิดและอยากรับผิดชอบของผมมันมากเกินกว่าจะมองว่าเป็นฝีมือคนอื่น

ผมมาคิดทบทวนเรื่องนี้ดีๆอีกที เมื่อตัดความรู้สึกออกเหลือแต่ข้อมูลเเล้ว
กลับพบว่ามันไม่สมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว

ทั้งความโชคดีในความโชคร้ายที่ไฟดับได้เร็วกว่าเวลากำหนด
เปลวไฟไม่คุกรุ่นจากข้างในหรือ.. ทั้งเรื่องการวิ่งของไอ้วินด์..ทำไมไม่โทรศัพท์หาหรือ

และกล่องยาจุดกันยุงที่ว่างเปล่ากับรอยเเมลงที่ซอกคอ

มันไม่ได้จุดใช้ยากันยุง

อาจจะไม่ได้จุดใช้เพื่อกันเเมลง

แต่ไอ้วินด์นี้นะ? .. มันจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เราไม่รู้จักกันมาก่อน มันเองก็ตั้งใจทำสัญญาให้ผมอย่างดี
ความไม่สมเหตุสมผลนี้ชี้ให้ผมสงสัยไอ้วินด์เป็นอันดับเเรก

แต่ทำไมกันล่ะ..

มีจิ๊กซอว์บางชิ้นหล่นหายไป
มันอาจเป็นชิ้นที่สำคัญ

"พอจะคิดออกไหมว่ามีใครอยากให้ธุรกิจมึงล้มบ้าง มึงไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนหรือเปล่า"
เจ้าสองละสายตาจากโทรทัศน์มาถามผมด้วยความเป็นห่วง
ผมตัดสินใจเล่าสมมติฐานของตนให้คนรักฟัง ทั้งเรื่องระยะเวลาดับไฟ ลักษณะไฟ การใช้ยากันยุง และพฤติกรรมของไอ้วินด์

"เอ่อ..แต่กูไม่ได้หมายความว่าเพื่อนมึงจะเป็นคนร้ายนะ"
ผมรีบพูดเมื่อเห็นมันขมวดคิ้ว ยังไงมันก็เพื่อนกัน กูพูดไปจะโดนหาว่ามองอะไรในแง่ร้ายไหมเนี่ย

"ไม่ๆ..มึงก็พูดถูก..ไอ้วินด์..กับเรื่องบังเอิญเหรอ.."
ประโยคหลังดูเหมือนเจ้าสองจะพึมพำกับตัวเอง

"ถ้าไฟที่เกิดจากการเสียดสีเพราะความแห้งของอากาศ มันจะคุกรุ่นในกองเปลือกข้าวโพด ใช้เวลาดับนานใช่ไหม..แต่ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ ถ้าเเหล่งกำเนิดไฟมาจากข้างนอกไม่ใช่ข้างใน ไฟที่ลามจากข้างนอกไปรอบๆจะดับง่ายกว่าใช่ไหม"

เจ้าสองพูด สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ผมมองหน้าคนรัก ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่คิด

"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.."
ผมพูด มองเจ้าสองที่มองผมกลับด้วยสายตาที่อธิบายไม่ได้

"เช่นยาจุดกันยุง"
ร่างบางพูดก่อนจะกดปิดโทรทัศน์




 o18สวัสดีค่ะ! มาได้แค่สองอาทิตย์ เจ้าสายลม(Wind)ก็พัดเอาสะเก็ดไฟไปไหม้ทุ่งเสียเเล้ว..
ร้อนถึงเจ้าสองกับเฮีย ต้องมานั่งทำตัวเป็นยอดนักสืบ.. :serius2:

พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป?!
ไอ้ที่พอรู้แล้วไม่มีหลักฐานนี่จะมีประโยชน์หรือไม่?!!(ฮ่าๆ..เข้าใจเลือกสถานการณ์ไฟไหม้นะเจ้าวินด์! หลักฐงหลักฐานหายหมด!)
ขนาดมา 2 อาทิตย์ ไร่ยังไหม้ ...แล้วอีก 1 อาทิตย์ที่เหลือจะไม่ชิบหายวายป่วงกันไปเลยหรือ?!! :z3:

ความแซ่บของเจ้าวินด์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ นี้เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น!!
เจ้าสองจะมาหาเฮียกฤษณ์หรือไม่?! หรือพวกเขาจะต้องเล่น sex video call ไปจนแก่เฒ่า!! :o12:

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ!

 :bye2:
#Anynomous


เข้ามาอ่านเพราะชือคนเขียน และคำว่าขอนแก่น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเช่นเคยจากผู้เขียนนามนี้ อยากเสพมานานแหละ นิยายที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิงเช่นนี้น่ะ ขอบอกกว่าชอบมาก รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ

ขอบคุณมากค่ะ(โค้ง) แต่ผู้เขียนนั้นไม่ใช่นักเขียนที่มีชื่ออะไรหรอกนะคะ :hao5:(ฮา) เรื่อง From NYC to KK นี้เป็นโรแมนติกคอเมดี้(ยังยืนยันอยู่อีกเรอะ?!!) สาระอาจมีไม่มากนัก..แต่ผู้เขียนเชื่อในความเป็นมนุษย์ของตัวละครทั้งหลาย ที่จะขนความซับซ้อน ความบันเทิงมาให้พวกเราได้อ่านกันแน่นอนค่ะ! o18

สิตา ทำงานด้านมืดมานานซะจนหน้าตาแววตา มันไปสายดาร์กไปแล้ว
สายตาคงมองคน แบบสแกนว่าคนที่มาหา มีค่าแค่ไหน
จะมีประโยชน์กับตัวเองมากน้อยอย่างไร
แล้วถ้าทำอะไรตุกติก ไม่ซื่อนี่ ตายง่ายมากกกกก
แม้แต้น้องชาย ยังถูกมองแบบนั้น

ตั้ม กลับไปซบอกกับครอบครัวน่ะถูกต้อง
เพราะคนที่ตัวเองปะทะ มันเกินลิมิตตัวเอง
แล้ววินด์ก็เจอลูกเล่นไปแล้ว สมน้ำสมเนื้อจริงๆ  เล่นมาก็เล่นกลับ  :z6: :z6: :z6:

สอง นี่เป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุข
เพราะความเป็นคนดี คิดบวก ร่าเริง ไม่สนใจเรื่องฐานะของคนที่คุยด้วย
ตั้ม วินด์ ต่างก็อยากอยู่เคียงข้างสอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

คุณ Magnolia วิเคราะห์ตัวละครได้น่าสนใจมากค่ะ
(น่าจะเป็นนักเขียนที่ยอดเยี่ยมใช่ไหมคะ..เราไม่รู้จักเรื่องของคุณเลย แนะนำให้เราอ่านบ้างได้ไหมคะ)

ตอนนี้เจ้าตั้มก็มี Back up แล้ว น่าจะเคลื่อนไหวอะไรได้เยอะกว่าเมื่อก่อนค่ะ
พอจะเเก้เกมกันได้สมน้ำสมเนื้อ..ถ้าได้กลับมาแย่งชิงกันต่อ เขียนแยกเป็นเนื้อเรื่องแอคชั่นแนวเฉือนคมคงสนุกน่าดู! o18
แม้เรื่องนี้จะเป็น Romantic comedy(เอ็งยังจะยืนยันสินะ?!!)  แต่เราคิดภาพตอนสองฝั่งนี้เฉือนคมกันแบบฮาๆไม่ออกเลยล่ะค่ะ ยิ่งเขียนยิ่งมีแต่จะเข้มข้นขึ้น :laugh:

สองเป็นคนน่ารักค่ะ พื้นฐานครอบครัวดี อบอุ่น
ตั้มกับวินด์เป็นพวกหิวโหยความรักความเมตตาค่ะ! :laugh:

สนุกมากรออ่านต่อเลย o13 o13 :pig4:

ขอบคุณมากนะคะ! ผู้เขียนเองก็รอเวลาว่างจากการทำงานเพื่อมาอัพเช่นกันค่ะ  :-[
เวลาเพิ่มแต่ละตอน ก็เหมือนได้คุยกับคนอ่านเพิ่มขึ้น :hao5: ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ มีกำลังใจขึ้นมากมายเลยค่ะ!

 :bye2:
#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่12 :15/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-11-2017 21:19:21
ไรท์ เยี่ยมเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนเคยได้รับประสบการณ์ตรงในไร่จริงๆ
แต่คนอ่าน แค่อ่านเยอะ ไร้น้ำยาเรื่องการเขียน
ชื่นชมคนที่สามารถเขียนเรื่องได้ อัจฉริยะจริงๆ  :mew1: :mew1: :mew1:
เพราะต้องสามารถวางพล็อตเรื่อง ด้านภาษา การผูกเรื่อง ฯลฯ

วินด์ เล่นพี่กฤษณ์แล้ว

พี่กฤษณ์ ฉลาดมาก คิดถึงความไม่สมเหตุสมผลได้
แล้วที่วิดิโอคอลออกกำลังกายให้ได้ซิกส์แพคกับสอง
เล่าสู่กันฟังหลังเรียบร้อยรร.ทั้งคู่ สองวิเคราะห์ได้เจ๋งมาก
โดยมีความบังเอิญเป็นตัวตั้ง อะจ๊ากกกกก
เซนส์สองแรงไม่เบา ที่เห็นแววตาวินด์วันก่อน

สอง ให้ข้อคิดเยี่ยมไม่แพ้คินดะอิจิเลย
"แหล่งกำเนิดจากภายใน......ดับยาก"
"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.....ดับง่าย"
ยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นนักอ่านปรัชญาโสกราตีส ใครแนะนำให้อ่านนะ  กร๊ากกกก

"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
"..กูอยากได้ กูต้องได้"
นี่ไง เพราะอยากได้สอง เลยทำให้วินด์ ทดลองวางเพลิง
ทดสอบประสิทธิภาพการดับไฟของกฤษณ์
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่12 :15/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 16-11-2017 12:23:53
เหมือนวินด์จะเป็นคนดี แต่จริงๆคือไม่เลยสินะ วินด์คงรู้เรื่องสองมีแฟนแล้วแน่นอน  :a5:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่13 :16/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 16-11-2017 14:17:32
ตอนที่ 13: สายลมหยอกเย้า

ใจจริงผมไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แรกเริ่มเดิมทีผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับเขา
แต่เขาบังคับให้ผมต้องทำ เขาเป็นคนเริ่มก่อน

สองคิดว่าผมจะไม่สังเกตรอยแดงๆตามคอของเขา
ตามมือ ซอกแขน ทุกครั้งที่เขากลับจากไปพักที่ขอนแก่น
หรือทุกครั้งที่พี่กฤษณ์มาหา

พวกเขาเป็นคนรักกัน

ผมรู้ตั้งเเต่วันเเรกที่ได้เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน

มันทำให้ผมโกรธ

ผมไม่อาจยอมรับไอ้คนที่มาเป็นคนรักของสองได้
มันไม่มีอะไรคู่ควร..มันเเทบไม่มีอะไรต่างจากผม

เด็กกำพร้าเหมือนกัน ได้รับการอุปการะเหมือนกัน

ผมยอมรับไม่ได้

ลึกๆแล้วเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้งที่ต้องยอมรับความจริงว่า จริงๆคนอย่างผมก็เป็นคนรักของเขาได้
โดยไม่ต้องมีสถานะเท่าเทียม
แล้วที่ผมพยายามดิ้นรนทั้งหมดมันเพื่ออะไรกันเล่า

เมื่อสิ่งที่พยายามทำมา สิ่งที่คิดว่าเป็นเป้าหมาย มันหายไปกับตา
เคว้งคว้าง..เคว้งคว้างเหลือเกิน

ผมที่ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวมากนัก

แตกหัก และไม่อาจต่อได้อีก

................................

"นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ"

เสียงทุ้มๆของเจ้าของไร่ดังขึ้นข้างหลัง ...ไอ้คนที่ผมไม่อยากจะเจอที่สุด
ผมมาทำงานที่ไร่ได้เกือบสองอาทิตย์กว่า ได้รับการดูแลอย่าง..เกือบจะเรียกว่าดี ได้ จากชายคนนี้

คนรักของสอง..พี่กฤษณ์

ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ มีความเป็นผู้ชายและมีน้ำใจอย่างยิ่ง
เขาเป็นคนซื่อตรง เป็นคนดี เป็นผู้ชายประเภทที่คุณเดาได้เลยว่าตอนเด็กๆเขาต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็ก
เป็นฮีโร่ของเพื่อนๆในห้อง..เป็นคนที่รักความยุติธรรมและจะไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า

คนที่ดูเหมือนเส้นแบ่งระหว่างฐานะชาติกำเนิดจะทำอะไรเขาไม่ได้
คนอย่างเขาจะไม่มีวันได้รับการเหยียดหยามแม้จะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันกับผม

..เขาเป็นคนประเภทที่ผมเกลียด

ผมซ่อนความเกลียดชังในดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปยิ้มให้เขา

"เปล่าพี่ คิดถึงบ้านนิดหน่อย"
ผมพูดไปให้เหมือนคนปกติเมื่อเวลาไกลบ้าน..ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สิ่งที่ผมเรียกว่าบ้านได้ เป็นเพียงคฤหาสน์หรูหราที่ใช้เงินสกปรกซื้อ ซึ่งผมจะไปนอนบ้านก็ต่อเมื่อรู้ว่าสองจะมาหาในวันถัดไปเท่านั้น..

ผมแค่อยากทำให้เขาประทับใจ
หรือไม่ก็รู้สึกสบายใจ..เพราะอยู่ในบ้านที่มีขนาดใหญ่พอๆกับบ้านของเขา

ผมไม่รู้ว่าคนรวย'จริงๆ'เขาคิดกันยังไงหรอก
ผมเดาไว้ก่อนว่าสองน่าจะพอใจ น่าจะสบายใจเมื่ออยู่'บ้าน'ผม

"อ้อ เรอะ.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเดินมานั่งข้างๆผม

"บ้านที่อยู่กับคุณเกรียงนะเหรอ.."
ผมเลิกคิ้ว ..พี่กฤษณ์คงคิดว่าคุณเกรียงเป็นเหมือนตาลุงที่ชื่อชัยนั่น..
นายท่านรับอุปการะผม แต่ไม่ได้รับเลี้ยงดูเป็นลูก.. เขาให้เงิน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผมได้มีการศึกษาที่ดี
ผมตอบแทนเขาด้วยการเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์

และคนรับใช้ไม่เคยพักบ้านเดียวกับเจ้านาย

ผมรู้สถานะตัวเองดี
นายท่านก็รู้

"เปล่า..บ้านของผมจริงๆน่ะ"
ผมพูดแค่นี้เพราะไม่อยากต่อความยาว ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์จะไม่ใช่คนพูดมาก
เขาทำเพียงแต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆผม

"มึงรู้ไหม..ไฟไหม้ครั้งนี้ กูว่ามันเป็นอีกหนึ่งบททดสอบ"
อยู่ๆพี่กฤษณ์ก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องไฟไหม้..ท่ามกลางความเงียบ

ไม่มีทางหรอกน่า..เขาไม่มีทางรู้
ผมทำงานอย่างฉลาดและรอบคอบเสมอ
แผนการทุกอย่างของผมมีแผนสำรอง..และหากบังเอิญเขารู้ขึ้นมาจริงๆ
เขาก็จะหาหลักฐานมาไม่ได้

สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่ตีหน้าซื่อ
มันเป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว ผมจึงไม่กังวลมากนัก

แต่พี่กฤษณ์ไม่ได้คาดคั้นเรื่องไฟไหม้ต่ออย่างที่ผมคิด ดวงตาเขาเหม่อไปไกล เหมือนคิดถึงอดีต

"พ่อแม่กูเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตอนนั้นกูก็เหลือแค่ตัวกูกับน้องสองคน.."

"กูที่ตอนนั้นอยากร้องไห้แทบตาย พอเห็นน้ำตาของน้อง ก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะต้องเข้มเเข็ง..ก็ถ้ากูร้องไห้แล้วใครจะปลอบยัยแก้วล่ะวะ.."

"กูถูกลุงชัยรับมาเลี้ยง แต่ก็อย่างที่มึงเห็น กูต้องช่วยทุกอย่าง กูทำงานทุกอย่างในไร่เท่าที่จะทำได้..ลุงชัยแกก็ดี แต่ไม่มีใครให้ความรู้สึกเหมือนพ่อ ไม่มี"

อย่างน้อยพี่กฤษณ์ก็เคยรับรู้ความรู้สึกของการมีพ่อ ผมไม่มี
ผมไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากใครทั้งนั้น ไม่มีพ่อ ไม่มีเเม่
ไม่มีคำดุด่ากวดขัน แต่ก็ไม่มีคำชมเชยด้วยความรักเช่นกัน

ถ้าพี่กฤษณ์เคยได้รับความรู้สึกนั้นแล้วว่างเปล่า เขาก็เหมือนคนที่มีแก้ว แต่ไม่มีน้ำ
ผมผู้ซึ่งไม่เคยได้รับแม้แต่ความรู้สึกประเภทใด ผมเหมือนคนที่ไม่มีแม้แต่เเก้วที่จะใส่น้ำ

"กูว่าเราเหมือนกัน"

ไม่ เราไม่เหมือน

ผมคิด จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เเท้จริงเป็นครั้งแรก
ความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยาและอารมณ์บางอย่างผสมปนเปกันไป

แต่สายตาที่มองกลับมา..
มีแต่ความอ่อนโยน แววตาจริงจังและซื่อตรง

เขาเหมือนกำเเพงที่จะโอบรับสิ่งที่ผ่านเข้ามา

บางอย่างปะทุขึ้นในตัวผม
ราวกับจะระเบิด...ผมเจ็บปวด ผมต้องการใครสักคน
ใครสักคนที่จะมารับความเจ็บปวดนี้ไว้

แบ่งมันไป

"เราไม่เหมือน"
ผมพูด ไม่หลบสายตาอีกต่อไป

พี่กฤษณ์เลิกคิ้วมอง

"พี่เคยมีพ่อ ผมไม่มี ผมไม่เคยได้รับแม้แต่ความรักด้วยซ้ำ แล้วไอ้ไร่ลวงโลก ชีวิตชนบทแบบนี้ ผมก็ไม่มี
ผมไม่ได้เรียนโรงเรียนจนๆตามมีตามเกิด แต่เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด ผมโดนดูถูก โดนด่า โดนแกล้งเพราะเป็นเด็กกำพร้าจนๆ ในโรงเรียนพวกคนรวย แต่พี่ไม่เคย เราไม่เหมือนกัน ..อย่ามาพูดว่าพี่เหมือนผมอีก"

ผมพูดด้วยความเร็ว รู้สึกร้อนผ่าว ..ผมไม่ได้พูดตามความรู้สึกจริงๆมานานแค่ไหนแล้วนะ..

"ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน"

ร่างสูงพูดก่อนจะเอนตัวลงกับเเคร่ไม้

อ้าว...พี่ยอมรับง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ..
"กูเคยโดนแกล้งเพราะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน"
อยู่ๆพี่กฤษณ์พูดขึ้น ผมมอง ไม่อยากจะเชื่อ

"แต่กูไม่เคยยอมเเพ้เพราะแค่กูเป็นเด็กกำพร้า"

"กูไม่เคยยอมให้ใครมารังแก ตอนเด็กๆถ้าใครแกล้งกู มันจะเจอหนักกว่ากูสิบเท่า..
กูเป็นคนแบบนั้นแหละ"
พี่กฤษณ์จ้องหน้าผม นัยตาแฝงความหมายบางอย่าง

"กูไม่ใช่คนดีอะไร แน่นอน กูขาดอะไรตั้งมากมาย กูอิจฉาคนที่มีครอบครัวเพียบพร้อม อิจฉาคนที่มีทุกอย่างที่เขาต้องการ"

ผมนิ่ง..ผม..ผมก็เหมือนกัน..หรือเปล่านะ..ผมไม่อยากยอมรับนักว่าอิจฉาพวกมัน แต่คนตรงหน้ากลับพูดบางอย่างออกมาได้อย่างซื่อตรง..ซื่อตรงเหมือนกับดวงตาของเขา

ดวงตาที่ดูเหมือนจะมองทะลุตัวตนของผม

"มึงรู้ไหมในช่วงชีวิตวัยรุ่น มีอยู่ช่วงหนึ่งกูพยายามจะเข้าสังคมกับพวกคนรวยๆ ใช้ชีวิตโก้หรู ทำทุกอย่างแบบคนรวยเขาทำกัน ตอนสมัยนั้นกูอยู่กับไอ้หนึ่งมันนั่นแหละ.."

ผมก็ทำ..ผมทำอยู่ ทำเสมอ ..กินอาหารแบบที่คนรวยๆกิน มีบ้านแบบที่คนรวยๆอยู่ สวมเสื้อผ้า ไปฝึกเทนนิส ฝึกกอล์ฟ ฝึกดื่มเเชมเปญ..

"กูทำทุกอย่าง ฝึกทุกอย่าง..ถึงขนาดได้แฟนสาวไฮโซมาด้วย..ถ้าบอกชื่อมึงต้องรู้จักแน่นอน
แต่มันเหนื่อย...มันเหนื่อยมาก"

"กูทำทรงผมเรียบร้อยโก้หรู แต่มันไม่สบายเหมือนผมกระเซิงหลังสระเสร็จ ..กูฝึกวิธีดื่มแชมเปญ..แต่กูก็เสือกหิวก่อนทุกครั้งเมื่อถึงขั้น'ดมกลิ่น' ..กูใส่เสื้อแบรนด์เนมราคาแพง กางเกง เข็มขัด รองเท้า..และกูต้องมาคอยระวังว่ามันจะเปื้อนหรือเปล่า..กูขับรถที่แพงที่สุด รุ่นใหม่ล่าสุด ..แต่ไม่สามารถเรียกมันว่ารถคู่ใจได้.."

ผมฟังพี่กฤษณ์เล่า..เหมือนกับเขากำลังเล่าเรื่องของผมยังไงยังงั้น..

"รู้ไหมวันไหนที่กูได้สติ.."

ผมมองพี่กฤษณ์ เหมือนท้าทายให้เขาต่อเรื่องที่เล่าให้จบ

"เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งนั่นแหละ..แค่กูตื่นเช้า มาส่องกระจก กูก็ได้เห็น"

พี่กฤษณ์หยุดเล่าเรื่อง ..ความเงียบเนิ่นนาน..เขามองดูดาวบนท้องฟ้า


"จบแล้วเหรอพี่?"

"เออสิวะ"

"แล้วพี่เห็นอะไร?"
ผมอดถามไม่ได้ด้วยความสงสัย..มันจะจบได้ไง มึงเล่นเล่าต่อประโยคค้างแบบนี้!

พี่กฤษณ์ขมวดคิ้วมองผม

"มึงส่องกระจก มึงจะเห็นอะไรล่ะ , ถ้าไม่ใช่ตัวเอง"

เราต่างเงียบไปทั้งคู่ พี่กฤษณ์ดูดาวบนท้องฟ้าต่อ ผมครุ่นคิดถึงเรื่องตัวเอง

เมื่อเรามองกระจก การเห็นภาพตัวเองเป็นสิ่งที่ง่าย
แต่การมองเห็นตัวเองจริงๆนั้นยาก..

คุณรู้ใช่ไหมว่าผมหมายความว่าอะไร

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์

บางทีผู้ชายคนนี้อาจไม่ต่างอะไรจากผม
เขาอาจเคยทำผิดซ้ำเเล้วซ้ำเล่าเหมือนกัน เขาอาจเคยอิจฉาริษยาเพื่อนผู้ร่ำรวยเหมือนกัน
เขาอาจเคยพยายามปีนป่ายจนได้มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

แต่ทำไมกันนะ..ทำไมแววตา
แววตาของเขาถึงไม่เหมือนคนที่เคยผ่านความเจ็บปวด ความอยุติธรรม ความสิ้นหวัง

ทำไมแววตาของเขาไม่เหมือนผม

"โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม"
ผมพูดเบาๆ ..เจ้าของประโยคนี้เป็นคนที่มอบรอยยิ้มซื่อตรงที่สุดให้ผมคนแรก
ประโยคนี้คือแรงบันดาลใจในชีวิตของผม มันผลักดันให้ผมลุกขึ้นทำอะไรหลายๆอย่าง

พี่กฤษณ์พยักหน้า

"แต่มีทางเลือกเสมอ"

ผมมองหน้าเขา

"ผมไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน"

ผมพูดก่อนจะลุกยืนขึ้น เดินกลับที่พัก ..
ในใจไม่อยากยอมรับว่าผู้ชายคนนี้แข็งแกร่ง เขาเข้มแข็งเกินกว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไฟไหม้จะทำร้ายเขาได้
เป็นตัวของตัวเองเกินกว่าการทำลายภาพลักษณ์จะทำร้ายเขาได้

แต่ความซื่อตรงของเขานี่สิ..
ความเจ้าเล่ห์ของผมจะทำร้ายเขาได้

ทำได้แน่นอน..

ผมคิดในใจด้วยความลิงโลด ไม่สนเสียงเตือนบางอย่างที่ดังขึ้นในหัว
มันบอกว่านี้อาจเป็นทางเลือกที่ผิด..ผมควรมองกระจกเสียที

แต่ผมไม่สน , ผมไม่มีทางเลือก

................................

แผนการขั้นต่อไปของผมคือการทำให้สองเลิกไว้ใจพี่กฤษณ์
เมื่ออยู่ห่างไกลกัน สิ่งหนึ่งที่คนรักกลัว คือการเข้ามาของมือที่สาม..

ผมมีเงิน ผมมีอำนาจ และมีลูกน้องที่คอยรับคำสั่ง การวางแผนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก

"พี่กฤษณ์ ที่ขอนแก่นนี้พอจะมีแหล่งเที่ยวกลางคืนไหนแนะนำไหมครับ"
ผมถามขึ้นระหว่างพักกลางวัน

งานของผมเสร็จแล้ว..งานร่างสัญญาซับซ้อนปริมาณมากเสร็จภายในสองอาทิตย์
ผลงานของผมดีเลิศเสมอ และผมรู้ตัวดี
แม้ผมจะเกลียดพี่กฤษณ์ แต่การเล่นตุกติกในสัญญาที่มี'ชื่อ'ผมเป็นคนทำ
ไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก ผมจึงทำงานอย่างเต็มความสามารถ

แน่นอน ผมมีแผนการมากมายในหัว แต่บางอย่างผมไม่เลือกที่จะทำ
ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดี

เพียงแต่ผมไม่ใช่คนโง่

สำหรับผมแล้ว เวลาและจังหวะในแผนการสำคัญมาก
ถ้าแผนของผมถูกเปิดเผยหรือถูกจับได้ว่าบงการ

ผมคงไม่สามารถยืนข้างๆเขาได้อีก

ผมจะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะสกปรกหรือต่ำช้า
ขอเพียงได้อยู่ข้างๆเขาตอนร้องไห้

ได้เห็นใบหน้าตอนนั้น

"มีสิ..หืมม มึงสนใจด้วยเหรอ เห็นมึงเคร่งเครียดทำแต่งาน"

"งานผมเสร็จแล้วนี่พี่..ผมว่างอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์"

ผมรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ผมจะใช้ประโยชน์จากความใจดี ความมีน้ำใจของเขา

"เออมีที่รู้จักอยู่ ของเพื่อนกูเอง เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูพาไปละกัน เย็นนี้เลยเรอะ"

นั่นไง..ผมบอกแล้ว!
แต่เย็นนี้ยังไม่ได้..ผมต้องใช้เวลาในการเตรียมการ

"พรุ่งนี้ละกันพี่..เย็นนี้ขอกินข้าวกับลุงชัยก่อน..ว่าแต่ บาร์ชื่ออะไรเหรอพี่"

"บาร์ XXX ดีนะ อยู่ในโรงแรม บรรยากาศดี เหล้าดี สาวสวยๆเยอะ มึงอาจได้เจอคนที่ถูกใจ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะแซวๆ ผมยิ้ม..ไม่มีวัน ผมไม่มีที่ว่างในใจมากมายนัก และถ้าหากมี มันก็เต็มไปนานแล้ว

พอได้ชื่อบาร์มา ผมก็โทรสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมจัดการตามแผน

ส่วนที่เหลือก็ทำเพียงแค่เฝ้ารอให้ถึงเวลาการแสดง..
งานละครที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพี่กฤษณ์เป็นนักแสดงนำ ผมเป็นผู้กำกับ
และแน่นอน...มีคุณเป็นผู้ชม

................................

เราเดินทางมาถึงบาร์ XXX พี่กฤษณ์พาผมไปนั่งในโซนที่ค่อนข้างเงียบสงบ เขาทักทายกับหญิงสาวสวยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการของบาร์แห่งนี้...

"อ้าว กฤษณ์ นี่อย่าบอกนะว่าเลิกกับเด็กคนนั้นเเล้วน่ะ"
หญิงสาวสวยคนนั้นเอ่ยขึ้นพลางมองมาที่ผม..เด็กคนนั้น..? เธอหมายถึงสองใช่ไหม
เธอรู้เรื่องของเขาดี..แสดงว่าผู้หญิงคนนี้คือ'เพื่อน'เจ้าของบาร์ที่พี่กฤษณ์พูดถึง ผมสรุปสถานะของคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

"ยัง! นี้เป็นเด็กที่ไอ้หนึ่งหามาให้ช่วยงานกฎหมายบริษัทผม เขาอยากมาเที่ยว"

"หือม์ ..เจ้าหนึ่งนำเรื่องยุ่งมาให้เสมอเลยน้า..ไป เดี๋ยวฉันให้พนักงานพาไปโต๊ะที่จองไว้"

พนักงานสาวสวยเดินนำผมกับพี่กฤษณ์ไปโต๊ะที่จอง พี่กฤษณ์สั่งเหล้าราคาแพงขวดหนึ่งมา

"สนับสนุนเพื่อนหน่อย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมพยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไร ในใจกำลังนับเวลาถอยหลัง

สำหรับละครฉากแรก

................................

สักพักก็มีสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งเดินมา เธอนั่งโต๊ะข้างๆเรา สายตาดูพะว้าพะวงเหมือนหาใครสักคนอยู่
กลุ่มผู้ชายที่เหนื่อยจากการเต้น ดูท่ากำลังเมาได้ที่ เมื่อเห็นสาวน้อยนั่งอยู่คนเดียว จึงเดินมาหาเธอ

"ว่าไงจ้ะ สาวสวย~ มาคนเดียวเหรอ"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูด แล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างๆเธอ เพื่อนในกลุ่มชายผู้นั้นก็ทำแบบเดียวกัน

"ปะ..เปล่าค่ะ..ฉันมารอเพื่อนค่ะ"
สาวน้อยดูตกใจ เธอทำอะไรไม่ถูก เมื่อมือของชายหนุ่มเหล่านั้นเริ่มลวนลาม และสายตาพวกเขาที่มองเธอก็ดูน่าขยะเเขยงเหลือเกิน

"ถ้าผัวมีผัวน้องต้องมา...ผัวไม่มาแปลว่าผัวไม่มี"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มร้องเพลงขึ้น คนอื่นๆเฮตามกันดังลั่น

"ข..ขอโทษนะคะ! ได้โปรดออกไปด้วยเถอะค่ะ!! ขอร้องนะคะ"
สาวน้อยพยายามตะโกน แต่เสียงหวานๆเล็กๆนั้นไม่ดังพอจะเรียกความสนใจจากพนักงาน ยาม หรือคนอื่นๆ

แต่แน่นอน..มันดังพอที่จะเรียกความสนใจจากโต๊ะข้างๆ

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์

เขาขมวดคิ้ว จ้องชายหนุ่มพวกนั้นเขม็ง สีหน้าดูเคร่งเครียด

ผมยิ้มเบาๆ

................................

พี่กฤษณ์ลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะนั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า

"ถ้าผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย ควรจะพอได้แล้วไหมวะ"

สายตาของพี่กฤษณ์จ้องมองพวกเขา เหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังคุยกับเด็กตัวเล็กๆ
กลุ่มชายหนุ่มหันมามองหน้าพี่กฤษณ์ ก่อนที่คนซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มพูดขึ้นว่า

"เสือกไรวะลุง"

"อ้าว ไอ้เด็กนี่! กูไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะ กูแค่มาเตือน มึงเป็นลูกค้า แต่สาวน้อยนั่นก็ลูกค้า ถ้ามึงลวนลามเขาได้โดนเตะโด่งออกจากบาร์นี้แน่"

"มึงจะเตะพวกกูเหรอ?!!"
พวกคนหนุ่มโหวกเหวกโวยวาย

"มันเป็นสำนวนสัส!! รปภ.ต่างหาก กูแค่มาเตือน ดูดิ เขามองกันใหญ่แล้ว"
พี่กฤษณ์พูดพลางชี้ไปที่รปภ.ที่กำลังมองมายังกลุ่มนี้อย่างสงสัย...

แย่ละสิ..เรื่องชักไม่เป็นไปอย่างที่ผมต้องการเสียแล้ว
พี่กฤษณ์เป็นตัวละครประเภทฮีโร่ แต่ไม่ใช่ฮีโร่เลือดร้อนรักความยุติธรรมอย่างที่ผมคาดไว้
เขาเป็นฮีโร่ประเภทชอบทำตัวเป็นลุงแก่ๆสอนลูกหลานนี่หว่า!

ทั้งใจเย็น และฉลาด..

ไม่ได้การแล้ว

หนึ่งในชายกลุ่มนั้นมองมาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ
ผมกำหมัดเบาๆ พยักหน้าให้สัญญาณ

และทันใดนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนขึ้นตามแผนว่า

"ไอ้เหี้ยนี้หาเรื่องเราว่ะ!! รุมมัน!!"

"กูหาเรื่องตอนไหนวะ เด็กเวร!"
พี่กฤษณ์ตะโกนขึ้นด้วยความงง ก่อนจะโดนหมัดกระเเทกใบหน้า เขาหันกลับมา สวนหมัดกลับ

มันต้องอย่างนี้...ฮีโร่ของผม

................................

"โอ๊ยย เจ็บสัส! ลิน!! จะฆ่ากันหรือไง"
พี่กฤษณ์นั่งหน้าปูดบวมโดยมีพี่สาวที่ชื่อลิลิน(พี่เจ้าของบาร์) ทายาใส่บริเวณรอยที่มีเลือด

"จะฆ่าน่ะสิ..ไม่ใช่เด็กๆแล้วน่ะ กฤษณ์"
สาวเจ้าขมวดคิ้วยุ่ง มองพี่กฤษณ์ดเวยสายตาเป็นห่วง...หือม์ สายตาแบบนั้น..

หรือผมจะได้ตัวละครเพิ่มอีกตัวนะ

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน
เบิกบานใจยิ่ง...แม้ภายนอกจะเรียบเฉย

บอกเเล้วเรื่องตีหน้าซื่อนี้งานถนัด..

"กูยังไม่ได้ทำอะไรพวกแม่งเลย เด็กเปรต"
พี่กฤษณ์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะโดนสาวเจ้าตีแขนดังเพลี้ยะ

"เรียกรปภ.ก่อนเข้าไปหาสิ ทีหลังน่ะ..จะเป็นฮีโร่ขนาดไหน 1 ต่อ 6 มันไม่ชนะหรอกน่ะ ใช้สมองซะบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่กล้ามเนื้อ"
พี่ลิลินสายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะปิดผ้าก๊อซเป็นครั้งสุดท้าย

"ก็ใครจะไปรู้ละวะ อยู่ๆไอ้เด็กนั่นคนหนึ่งก็คลั่งขึ้นมา เพื่อนมันก็เฮตามกันหมด..แม่ง พี้ยามากันป่าววะ
เธอตรวจยาบ้างปะเนี่ย บาร์นี้เนี่ย..โอ๊ยยย"

พี่กฤษณ์ร้องอย่างโอดโอยเมื่อโดนสาวเจ้าบิดเเขนอย่างหมั่นเขี้ยว

เมื่อลิลินเดินแยกตัวไปดูแลบาร์ต่อเเล้ว ตัวละครหลักอีกตัวของผมก็เข้ามา

"เอ่อ..ขอบคุณมากนะคะ..ไอไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี..คุณต้องเจ็บเพราะไอ.."

พี่กฤษณ์หันมาเห็นสาวน้อยยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ..ไอ้นิสัยผู้ชายนี่..ร้อยทั้งร้อย เห็นน้ำตาผู้หญิงแล้วจะตกใจ
แล้วกับพี่กฤษณ์..ซึ่งมีน้องสาว และรักน้องสุดหัวใจด้วยเเล้ว..

ผมลอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่กฤษณ์

ชายหนุ่มผู้ดูเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยที่กำลังร้องไห้
คงกำลังพยายามคิดอย่างหนักว่าจะหยุดเธออย่างไรดี..

"เอ่อ..ไม่เป็นไรๆ เนี่ยปกติ! สมัยหนุ่มๆพี่น่ะ 1 ต่อ 10 ก็เคยมาแล้ว"
พี่กฤษณ์รีบพูดโบกไม้โบกมือ

"แต่อยู่ฝ่าย 10 อ่ะนะ..ฮ่าๆๆๆ"
พอไม่มีใครขำมุกสมัยพระเจ้าเหา..พี่เเกเลยเล่นเองขำเองซะงั้น
เรียกเสียงหัวเราะจากสาวน้อยตรงหน้าได้ เขามองเธอและยิ้ม

"เพื่อนน้องมายังล่ะ"

สาวน้อยหลบตาก่อนจะหันไปทางอื่น

"เอ่อ..ความจริง หนูมาคนเดียวค่ะ..หนูหนีออกจากบ้านมา"

พี่กฤษณ์ขมวดคิ้ว มองสาวน้อยตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอดูบอบบางเหลือเกิน(..ก็แน่ล่ะ ผมคัดนักแสดงมาอย่างดี!)
ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยสาวน้อยคนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้

"เฮ้ย กลับบ้านเหอะ พ่อแม่เป็นห่วงนะรู้ไหม"
นั่นไง..โชว์ความเป็นฮีโร่ประเภทลุงอีกแล้ว..ผมกลั้นขำ

"หนูไม่กลับ อย่ามายุ่งกับชีวิตหนู"
สาวน้อยโวยวายหันหน้าไปทางอื่น

"ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ยุ่งรู้ไหมจะเป็นไงตอนนี้"
พี่กฤษณ์ขึ้นเสียงดุ แต่แววตาดูอ่อนโยน เหมือนมองน้องสาวของเขา
เมื่อเห็นสาวเจ้าไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนใจ พี่กฤษณ์จึงถามขึ้นว่า

"แล้วจะไปไหนต่อล่ะเรา"

"ไม่รู้"
สาวเจ้าพูดแล้วแก้มป่องๆ ผมขมวดคิ้ว มองเธอ..อย่าเล่นนอกบทสิยัยนี่..

"ไปที่ที่มีคนต้องการหนูมั้ง!"
เธอรีบพูดเมื่อเห็นสายตาผม..เออดี เล่นนอกบทบ่อยๆค่าจ้งค่าจ้างไม่ต้องเอาน่ะ..ผมมองเธอพยายามส่งกระเเสจิต(กูเริ่มจะขำตัวเองล่ะ)

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์ ..เอาดิ..ถึงคิวมึงเเล้วพี่กฤษณ์ พ่อฮีโร่ใหญ่

"เอาชื่อ เบอร์โทรพ่อแม่มา พี่จะโทรหาเดี๋ยวนี้"

ไม่ใช่แบบนั้น!!..มึงต้องให้เขาไปอยู่ด้วยสิ..ผมมองด้วยความขัดใจ แล้วมองสาวน้อยตรงหน้า
ท่าทางเลิ่กลั่กเพราะไม่ใช่บทที่ซ้อมกันไว้..เป็นนักแสดงต้องมีไหวพริบ มึงทำไม่ได้ มึงจบ!

ผมมองไปที่สาวน้อยตรงหน้าอย่างกดดัน และเธอรู้ตัว

"ไม่มีวัน! หนูจะไม่มีวันบอกใครเรื่องนี้ หนูไม่อยากกลับไปที่นรกนั่นอีก! พ่อขายหนูแลกกับหนี้พนัน ส่วนแม่ก็ไม่สนใจว่าหนูจะเป็นตายร้ายดี หนูสู้หนีออกมาตายเอาดาบหน้าดีกว่ากลับไปนรกนั่น"

เออ..มึงเล่นคุ้มมาก..สงสัยดูละครบ่อย! ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

"เอ่อ..เอาอย่างนี้ดีไหม"
ผมพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน..ไม่งั้นเนื้อเรื่องไม่เดินครับ

"น้องมาอยู่ที่ไร่เราก่อน ให้เวลาเขาได้คิด..เขาน่าสงสารนะพี่..เราค่อยหาทางบอกให้เขากลับบ้านอีกทีก็ได้"
ผมพูดพลางมองหน้าพี่กฤษณ์

"อีกอย่าง น้องเขาดูอายุใกล้เคียงกับยัยแก้ว น่าจะเปิดใจคุยกันได้มากกว่า เราอาจรู้ว่าเขามีปัญหาอะไร"

พี่กฤษณ์เม้มปาก ดูชั่งใจ มองหน้าผม(ซึ่งพยายามพยักหน้ายืนยัน)

"เอางั้นก็ได้..มึงเองก็ใจดีเหมือนกันน่ะ มีพัฒนาการขึ้นน่ะเนี่ย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมหลบสายตา

อีกอย่างที่ผมเกลียดเกี่ยวกับเขาคือการพยายามทำตัวเป็นเหมือนพี่ชายผม
 ทำตัวเป็นพึ่งพาได้ ทำตัวเป็นชื่นชม ให้กำลังใจ

ไอ้ของพรรค์นี้ผมไม่ต้องการ
แต่ผมก็หันกลับไปยิ้มให้

ก็บอกเเล้วว่างานตีหน้าซื่อนี่ของถนัด

................................

ขณะที่กำลังเดินขึ้นรถกันสามคน
ผมซึ่งเดินอยู่หลังสุดลอบยิ้มอย่างสุขใจ

ละครเรื่องนี้ยังไม่จบ ระยะเวลาฉายคือ 1 อาทิตย์ที่เหลือ
มีพี่กฤษณ์เป็นนักแสดงนำ ยัยไอเป็นนักแสดงสมทบหญิง ผมเป็นผู้กำกับ

และแน่นอน ..อีกเช่นเคย

มีคุณเป็นผู้ชม

ถ้าคุณยังสนใจน่ะนะ...




สวัสดีค่ะ!! กลับมาพบกับทนายหนุ่มสุดแสบผู้หิวโหยความรักความเมตตากันอีกครั้ง! :laugh:
ในมุมมองวินด์นี้อย่างที่บอกค่ะ หมอนี่มันสุดโต่ง บิดเบี้ยว พฤติกรรมคาดเดาได้ยาก
แถมยังฉลาดเป็นกรด! ไอ้พวกตัวร้ายดาดๆ แผนตื้นๆนี้หลบไปเลยค่ะ :z6:

วินด์นั้นทั้งฉลาด ล้ำลึก ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองสุดๆ
เพราะงั้นคนอย่างเขาไม่มีวันหมดท่าง่ายๆแน่นอนค่ะ(เรียกเจ้าตั้มมาขอนแก่นเร้ว!มาช่วยพี่กฤษณ์หน่อยย! :katai3:)

มาเอาใจช่วยพี่กฤษณ์กับน้องสองกันนะคะ
ความเชื่อใจจะทำให้เขาผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้หรือไม่?!
แผนของวินด์จะสำเร็จหรือไม่?!!
พี่กฤษณ์จะทำตัวให้สมกับเป็นคนหนุ่มเท่ๆเมื่อไหร่?!!!(อายุก็ไม่ได้มากมายน่ะ เเต่เฮียชอบทำตัวแก่ๆอ่ะ ไม่รู้เป็นไร! :laugh:)

โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ!!
 :bye2:

#Anynomous


ไรท์ เยี่ยมเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนเคยได้รับประสบการณ์ตรงในไร่จริงๆ
แต่คนอ่าน แค่อ่านเยอะ ไร้น้ำยาเรื่องการเขียน
ชื่นชมคนที่สามารถเขียนเรื่องได้ อัจฉริยะจริงๆ  :mew1: :mew1: :mew1:
เพราะต้องสามารถวางพล็อตเรื่อง ด้านภาษา การผูกเรื่อง ฯลฯ

วินด์ เล่นพี่กฤษณ์แล้ว

พี่กฤษณ์ ฉลาดมาก คิดถึงความไม่สมเหตุสมผลได้
แล้วที่วิดิโอคอลออกกำลังกายให้ได้ซิกส์แพคกับสอง
เล่าสู่กันฟังหลังเรียบร้อยรร.ทั้งคู่ สองวิเคราะห์ได้เจ๋งมาก
โดยมีความบังเอิญเป็นตัวตั้ง อะจ๊ากกกกก
เซนส์สองแรงไม่เบา ที่เห็นแววตาวินด์วันก่อน

สอง ให้ข้อคิดเยี่ยมไม่แพ้คินดะอิจิเลย
"แหล่งกำเนิดจากภายใน......ดับยาก"
"แหล่งกำเนิดจากภายนอก.....ดับง่าย"
ยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นนักอ่านปรัชญาโสกราตีส ใครแนะนำให้อ่านนะ  กร๊ากกกก

"มันไม่ผิดใช่ไหม ถ้ามึงรักใครมึงก็จะอยากไ้ด้เขา อยากได้มากๆ .."
"..กูอยากได้ กูต้องได้"
นี่ไง เพราะอยากได้สอง เลยทำให้วินด์ ทดลองวางเพลิง
ทดสอบประสิทธิภาพการดับไฟของกฤษณ์
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากค่ะคุณ Magnolia! ประสบการณ์ในไร่ของเรานั้นได้มาตอนติดตามอาจารย์ไปออกชุมชนคัดกรองผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับ ที่อ.เวียงเก่า จังหวัดขอนแก่นค่ะ(เราเรียนแพทย์ค่ะ) ทำให้ได้แรงบันดาลใจเรื่องฉาก และการเขียนเรื่องนี้ส่วนหนึ่งด้วยค่ะ

เฮียกฤษณ์กับสองไม่ใช่คนโง่ค่ะ(ตัวละครหลักของเราส่วนใหญ่ฉลาดในมุมมองที่แตกต่างกันค่ะ บางคนฉลาดในการใช้ชีวิต บางคนฉลาดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางคนฉลาดที่รู้จักตัวเอง บางคนก็กำลังเรียนรู้)

ส่วนการใช้หนังสือปรัชญาโสกราตีสที่วินด์แนะนำมาแก้ปัญหาที่วินด์ก่อ เป็นกิมมิคที่เราซ่อนไว้เองค่ะ o18
ที่เราชอบพูดว่าสนุกกับการแต่งนิยายเพราะเราชอบซ่อนอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไว้เเหละค่ะ :laugh:
(มีเยอะมากนะคะ เกือบทุกตอนเลย ฮ่าๆๆ บางอย่างต้องเก็บไว้ก่อน!)

ยินดีที่ได้ทราบว่ามีผู้อ่านพบและเข้าใจอารมณ์ขันนี้นะคะ :กอด1:

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้ค่ะ!
เราอาจจะอัพช้าบ้าง วันเว้น หรือสองวันเว้น (หรือสาม!)
ต้องขออภัยด้วยนะคะ อัตราการอัพขึ้นกับเวลาที่ว่างค่ะ!(ฮา) :o12:

ปล.แต่ไม่มีเทค่ะ เรามีความรับผิดชอบมาก(?!!) :laugh:
#Anynomous

เหมือนวินด์จะเป็นคนดี แต่จริงๆคือไม่เลยสินะ วินด์คงรู้เรื่องสองมีแฟนแล้วแน่นอน  :a5:

ถูกต้องเเล้วค่ะ!! เจ้าวินด์ดูภายนอกนั้นสุภาพ เรียบร้อย เป็นชายหนุ่มนิสัยดีนอบน้อมถ่อมตนค่ะ! o18
แต่ถ้าใครเคยอ่านตอนของวินด์(ตั้งแต่อดีต-ตอน:ความเท่าเทียม)กับตอนล่าสุดนี้ก็จะรู้ค่ะ ว่าเจ้านี้มันบิดเบี้ยว+เพี้ยนสุดติ่ง โหยหาความรักความเมตตาอย่างมากค่ะ! :laugh:

#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่13 :16/11)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 16-11-2017 18:31:07
ว้าวววว เพิ่งเห็น
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่13 :16/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 16-11-2017 20:56:33
ระวังไว้นะวินด์ ระวังตาลุง(กฤษต์)ไว้ให้ดี ถ้าลุงแกได้โอกาสเอาคืนเมื่อไหร่จะหาว่าไม่เตือน //รึเปล่า ? 5555555
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่14 :16/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 20-11-2017 22:11:36
ตอนที่ 14 : ไอน้ำลอยตามลม

ผมมองสาวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นมาตลอดทาง ข้างๆมีชายหนุ่มที่ทำหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย

..นี่เอ็งไม่คิดจะปลอบน้องเขาหน่อยเรอะ!! ไอ้วินด์!! นั่งเเข็งเป็นหินเชียว!!

"น้องไอครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวไปถึงบ้านพี่ไปคิดทบทวนดูดีๆก่อน ยังไงก็พ่อแม่เรา มันอาจมีวิธีอื่นนะ.."
ผมพูดขึ้นเบาๆ เหลือบตามองสาวน้อยผ่านกระจกหน้ารถ เธอพยักหน้ารับ

"แต่ไอไม่คิดเลยว่าพ่อจะขายไอใช้หนี้พนัน..แม่ไม่สนไอมาแต่ไหนแต่ไร แต่พ่อน่ะไม่ใช่..พ่อเคยดีกับไอมากจนกระทั่งมาติดเหล้า ติดการพนัน..ฮึก.."

สาวน้อยที่ผมมองเห็นนั้นช่างบอบบาง เธอยังเป็นเด็กสาวอยู่เเท้ๆ อายุน่าจะไม่ห่างจากยัยแก้วมากนัก..แต่ต้องมาเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้

"ไออายุเท่าไหร่เเล้วครับ อยู่โรงเรียนอะไร บอกพี่ได้ไหม.."

"อะ..เอ่อ..18ค่ะ ..ไอไม่บอกโรงเรียนนะ..เดี๋ยวพี่จะโทรไปฟ้องคุณครู"
สาวน้อยทำหน้ามุ่ย ผมยิ้มให้เธอ ..

"ไออายุมากกว่าน้องสาวพี่ตั้งสามปีเเน่ะ แต่หน้าเด็กเท่ากันเลยนะเนี่ย..ยัยแก้วต้องชอบใจแน่ๆ พี่ชื่อพี่กฤษณ์นะ ส่วนคนนั้นคือพี่วินด์"

ผมพูดถึงยัยแก้ว พยายามเบี่ยงเบนความสนใจเธอจากเรื่องเศร้าโศก เด็กสาวตัวคนเดียว หนีออกจากบ้าน ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ถ้าโชคร้ายเจอคนไม่ดี อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ จริงๆผมยังคิดไม่ออกว่าจะช่วยเหลือเธออย่างไร ไอ้การส่งเธอกลับบ้านมันก็ได้อยู่หรอก แต่สำหรับสาวน้อยที่ตอนนี้บ้านไม่ต่างกับนรก ผมไม่แน่ใจว่าการส่งกลับบ้านจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่ จึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของไอ้วินด์ก่อน

สำหรับวินด์ อย่างที่ผมรู้และค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเป็นคนวางเพลิงไร่ของผม แต่สิ่งที่ผมยังไม่แน่ใจคือเป้าหมายและเเรงจูงใจของเขา เหมือนยังมีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่อาจคาดเดาได้

มีจิ๊กซอว์บางชิ้นที่ผมทำหล่นหาย

ผมสันนิษฐานเบื้องต้นว่าอาจเกี่ยวกับผู้รับอุปการะวินด์ นายเกรียง นักการเมืองใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล
ถ้าไม่งั้นคนอย่างวินด์ ซึ่งดูเป็นเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบ คงไม่อยู่ๆลุกขึ้นมาเผาบ้านคนอื่นเล่นๆ
ผมลองถามวินด์อย่างอ้อมๆเรื่องนี้ และทราบว่าเขาเคารพนายเกรียงมาก ไม่แน่เขาอาจเป็นประเภทบุญคุณต้องทดแทนเหมือนผม..เขาอาจถูกใช้ให้ทำอะไรบางอย่าง

ในโลกธุรกิจหรือแม้กระทั่งการทำงานทั่วๆไป ความจริงที่มองเห็นอาจมีอะไรมากกว่านั้น
ปัญหาบางอย่างก็ไม่อาจแก้ไขได้แม้จะรู้ความจริง

ผมรู้ดีว่าการไล่หมาให้จนตรอกนั้นอันตราย
ผมเองก็ไม่อาจเอาองค์กรไปเสี่ยงกับผู้มีอิทธิพลเหนือกว่า
จึงเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้

ทำเป็นไม่รู้
รอเวลาเอาจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายมาประกบ

เเละหากมีครั้งต่อไป ตอนนั้นผมจะพร้อม ไม่ว่าจะเป็นวินด์หรือเจ้านายของมัน
ไม่ว่าจะเล็งเป้ามาที่ตัวผมหรือองค์กร ผมจะไม่ยอมโดนรังแกฝ่ายเดียวแน่

ผมสู้มาตลอดชีวิต

และไฟไหม้ครั้งเดียวมันหยุดผมไม่ได้

..................................

สองคิดเรื่องวินด์ได้เร็วพอๆกับผม ผมเล่าให้คนรักฟังเรื่องสมมติฐานเบื้องต้น
เขาโกรธมาก แต่ก็ฉลาดเกินกว่าจะทำตัวโผงผาง เขาบอกว่าเขาเชี่ยวชาญด้านการเเสดงละครมากกว่าผม
ผมไม่แน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่ผมก็วางใจ เพราะเขาอยู่ไกลผมมาก และจะปลอดภัยจากสิ่งที่ผมเผชิญอยู่

สองบอกผมว่าเขาจะปรึกษากับเพื่อนของเขา ให้ช่วยสืบหาสาเหตุของการกระทำของวินด์
ถ้าสมมติฐานเรื่องนายเกรียงเขม่นผมเป็นจริง ผมจะต้องรับมือกับอะไรหลายอย่าง

สารภาพตามตรง..ลึกๆผมไม่แน่ใจว่าจะรับไหว
แต่พอสองยิ้มให้ผมและบอกว่า

 'ถ้าเวลานั้นมาถึง กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง'

ตอนนั้นผมก็รู้
แค่มีเขาอยู่ข้างๆผมก็พร้อมจะรับมือกับปัญหา
ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่ซับซ้อน หรือเกินกำลังผมมากแค่ไหน

ผมจะผ่านมันไปได้ ผ่าน..เพื่อได้กลับมาเห็นรอยยิ้มของเขา

..................................

"เอ้า ถึงเเล้ว"
ผมจอดคุณนายแดงไว้หน้าเรือนหลักก่อนจะเดินนำพาไอเข้าไป

"โห..นี่อย่าบอกนะว่าที่เราขับเข้ามาทั้งหมดเป็นของพี่กฤษณ์หมดเลยน่ะค่ะ"
สาวน้อยส่งเสียงออกมาพลางมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น ผมยิ้มด้วยความเอ็นดู ดีใจที่เห็นเธอร่าเริงขึ้น

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้..พี่เป็นคนดูแลไร่นี้ต่อจากคุณลุงน่ะ..แต่มันก็เป็นทั้งที่ทำงาน และที่พักของพนักงานคนอื่นๆเหมือนกัน"

ผมพาเธอเข้าไปเรือนหลัก โชคดีที่ลุงชัยยังไม่นอน ลุงชัยบ่นผมเรื่องที่ทำตัวใจดีเกินไป เก็บลูกหมาลูกแมวข้างทางมาเลี้ยง ลุงยังไม่ว่า..นี้ลูกคน ใครที่ไหนก็ไม่รู้ พ่อแม่จะเป็นห่วงหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่พอน้องไอเริ่มมีน้ำตารื้นๆ ลุงก็เงียบไป บอกให้ป้าสมบัติที่เป็นแม่ครัวและแม่บ้าน มาพาน้องไปห้องพักของแขกในเรือนหลัก

ผมขับรถไปส่งวินด์อยู่บ้านพัก ก่อนจะกลับไปนอน

..................................

"พี่กฤษณ์ตื่นเช้าจังนะคะ"
เสียงหวานเล็กๆดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นสาวน้อยดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อนมัดเปียสองข้าง เธอดูบอบบางและอ่อนหวานราวกับจะล้มลงได้ทุกวินาที แต่สีหน้าเธอดูร่าเริ่งขึ้นกว่าเมื่อวานมาก

"พี่ต้องมาทานข้าวอยู่เรือนหลักทุกวัน คนที่นี้ทานอาหารกันเช้า ตื่นเช้า นอนเร็ว พี่ก็ชินไปแล้ว..น้องไอก็เหมือนกัน
ดูเหมือนจะอยู่ที่นี้ได้น่ะเนี่ย.."
ผมยิ้มก่อนจะมองนาฬิกา ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกติ๊งต๊องของยัยแก้วมาจากในบ้าน

"ยัยแก้วน่าจะยังไม่ตื่น..ถ้าตื่นเเล้วพี่จะเเนะนำให้รู้จัก น่าจะสนิทกันเร็วนะ ยัยแก้วน่ะแก่นจริงๆ"
ผมพูดแล้วยิ้มขำๆ คิดถึงวีรกรรมของน้องสาว

"พี่กฤษณ์ดูเป็นพี่ชายที่ดีจังนะคะ เวลาพูดถึงน้องสาว พี่ดูมีความสุขทุกครั้งเลย.."
น้องไอยิ้มบางๆให้ผม ก่อนจะทำหน้าเศร้า

"ถ้าไอมีพี่ชายแบบพี่กฤษณ์ ไอคงทนอยู่ในบ้านนั้นได้ ..คงมีใครปกป้องไอจากเรื่องเลวร้าย"

ผมลูบหัวน้องไออย่างเบามือ สัมผัสเส้นผมลื่นๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ แววตาเศร้าๆ ทำให้ผมสงสารเธอจับใจ

"คิดเสียว่าพี่เป็นพี่ชายไอคนหนึ่งก็ได้นะ"

น้องไอพยักหน้าก่อนจะโผเข้ากอดผม ผมตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยกมือลูบหลังสาวน้อยเบาๆ

บางทีเด็กผู้หญิงก็ต้องการการปลอบโยน
ผมคิดถึงน้องสาวตัวเอง..ยัยแก้วก็เคยโผกอดผมแบบนี้บ่อยๆ

คงไม่ต่างอะไรกัน

..................................

"หื้ม! พี่ไอนี่ส้วยยสวย อยู่ม.6โรงเรียนไหนอ่ะ แก้วอยู่สาธิตมข. สวยอย่างงี้เป็นเซเลปแหงๆ เอาเฟซบุ้คมาดูเลย"
ยัยแก้วพูดไปขณะที่ข้าวยังเต็มปาก ผมยิ้มเอ็นดู อยากดุเรื่องมารยาทของน้องสาว แต่ก็อยากฟังคำตอบของน้องไอด้วย จึงเงียบฟังก่อน

"โอย..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกแก้ว..พ..พี่ไม่อยากบอกโรงเรียนอ่ะ..เดี๋ยวพี่กฤษณ์จะโทรไปฟ้องคุณครู"
น้องไอยิ้มเอียงอายเล็กๆ ดูมีมารยาทเรียบร้อย ช่างผิดกับยัยแก้วของผมราวฟ้ากับเหว!

"โอ๊ย พี่กฤษณ์ใจดีจะตาย พี่ไม่ทำงั้นหรอก ใช่มะ พี่กฤษณ์! สัญญามาา"
ยัยแก้วมองผมอย่างคาดคั้น ผมยักไหล่

"พี่กฤษณ์!! ช่างเหอะ แก้วไปแอบถามเอาทีหลังก็ได้ ตอนพี่กฤษณ์ไม่อยู่ด้วยย"

"ตามใจ"
ผมว่า ก่อนจะอมยิ้มขำๆ

"พี่ไอตัวเล็กมากก กินเยอะๆน้า"
ยัยแก้วกุลีกุจอตักอาหารให้น้องไอจนพูนจาน เรียกเสียงหัวเราะจากลุงชัย ลุงป่องและป้าสมบัติได้

"พี่วินด์มาอยู่ไม่หนุกเลย นั่งแข็งเป็นหินตั้งแต่เช้าจรดเย็น แก้วถามอะไรก็ไม่พูด แก้วละคิดถึงพี่สอง ถ้าพี่สองมาจะแนะนำให้รู้จักนะพี่ไอ ครอบครัวใหญ่สนุกมากๆ"
ยัยแก้วพูดด้วยท่าทางร่าเริง ทั้งโต๊ะดูเหมือนจะมียัยแก้วพูดจ้อๆอยู่คนเดียว ด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็กมาก น้องสาวผมจึงค่อนข้างขี้เหงาและชอบการสนทนากับครอบครัวใหญ่ๆมากเป็นพิเศษ

"เอ้ากินๆบ้างแก้ว ลมเข้าปากเดี๋ยวจะอิ่มซะก่อน"
ลุงชัยตักอาหารใส่จานยัยแก้วก่อนจะหัวเราะขำหลานสาว

..................................

วันนี้วันเสาร์ แต่ผมก็ยังมีงานที่น้องไปตรวจดู

"ไอไปด้วยได้ไหมคะพี่กฤษณ์"
สาวน้อยไอรีบเดินมาหาผมเมื่อเห็นผมจะขึ้นรถ

"อยู่กับยัยแก้วไม่สนุกกว่าเหรอ พี่จะไปดูงานแปปเดียว เดี๋ยวก็กลับมาน่ะ"

"นะคะ..ไอแค่..แค่ไปด้วยเฉยๆ จะไม่รบกวนอะไรเลยนะคะ ไอสัญญา"
สาวน้อยยกมือขึ้นสามนิ้วทำเอาผมเกือบหลุดขำด้วยความเอ็นดู

"นี่ไม่ได้มาทัศนศึกษานะ ได้แค่วันนี้เท่านั้นนะ วันจันทร์ถึงศุกร์พี่ทำงานจริงๆ ถ้ายังดื้ออยากมาพี่จะดุแล้ว"
ผมพูดเสียงเข้ม แต่ก็ยอมให้น้องไอมาด้วย ผมแพ้ทางคนไม่กี่ประเภท และสาวน้อยบอบบางที่อายุใกล้เคียงกับน้องสาวก็เป็นหนึ่งในนั้น

"เย้! พี่กฤษณ์ใจดีที่สุดเล้ย"
น้องไอยิ้มกว้างก่อนจะกอดแขนผมเอาไว้ ผมหัวเราะ

"เอ้า จะขึ้นรถหรือจะมาเกาะแกะพี่กัน ไปๆ จะไปไหม"

"ไปค่าาา"
เสียงแก่นแก้วดังขึ้น ยัยแก้ววิ่งมาจองเบาะหน้าในคุณนายแดง

"วันนี้พี่กฤษณ์ไปดูงานแล้วพาพวกเราไปเที่ยวด้วย! พี่ไอจะได้หายเศร้า!"
ยัยแก้วพูดเสียงดัง ผมไม่รู้ว่าน้องสาวไปรู้มาจากไหนว่าน้องไอเศร้า แต่เดาว่าแค่เห็นหน้าตาก็คงรู้แล้ว..

"เอ่อ..น้องแก้ว พี่กฤษณ์จะไปดูงานเฉยๆนะคะวันนี้ ไม่ได้พาพี่ไปเที่ยว เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แก้วทำการบ้านอยู่นี้ไม่ดีกว่าเหรอ"
น้องไอพูดขึ้น ยัยแก้วกอดอก

"ไม่เอาอ่ะ! แก้วรู้พี่ไอชอบพี่กฤษณ์ล่ะสิ!"

"ปะ..เปล่านะ! เอาที่ไหนมาพูดแก้ว!"
น้องไอพูดแล้วหน้าแดง หลบตาผม ผมหัวเราะ

"ไม่ได้นะพี่ไอ พี่กฤษณ์มีแฟนแล้ว!!"
ยัยแก้วรีบพูด ทำตัวเจ้ากี้เจ้าการเหมือนเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม แบบที่น้องสาวตัวเล็กๆชอบทำ

"ใช่ พี่มีแฟนแล้ว"
ผมพูด ยิ้มเอ็นดูเด็กๆสองคน

"ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไงเล่า"
คราวนี้น้องไอไม่หน้าแดงแล้ว เธอพูดก่อนจะทำหน้ามุ่ย ยัยแก้วหัวเราะร่า

"อิอิ หมดหวังแล้วว แก้วรู้น่า..ก็ทุกคนที่พี่กฤษณ์ดูแล จะชอบพี่กฤษณ์หมดเลยนี่ ~"

"แก้วด้วยเหรอ"
ผมแซวน้องสาว ก่อนจะทำปากเป็นรูปจุ๊บๆใส่น้องสาวตัวดี

"อี๋ ~~ แก้วไม่ชอบลุงแก่ๆอ่ะ! หัวยุ่งทุกเช้า ถ้ากลับจากงานไร่ก็เหงื่อเย้อะเยอะ วันดีคืนดีลืมโกนหนวดก็ดูสกปร๊ก สกปรก แต่งตัวก็ไทบ๊าน ไทบ้าน อี๊"

เออ...ขอบใจมาก น้องรัก! พูดซะกูหมดชิ้นดีเลย! จริงใจเหลือเกิน!!
ผมคิดอย่างเซ็งๆก่อนจะเบิกกะโหลกยัยแก้วเบาๆไปครั้งหนึ่ง น้องไอหัวเราะขำ

"แต่ไอก็ชอบอยู่ดี"
เธอพูดเบาๆก่อนจะมองหน้าผมผ่านกระจกหน้ารถ ผมยิ้มร่า

ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ ...
คิดว่าคำว่าชอบของเธอนั้นมีความหมายแบบเด็กๆทั่วไป..

ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าผมแพ้ทางคนแบบนี้

..................................

น้องไอมาอยู่กับเราได้อาทิตย์หนึ่งเเล้ว เธอดูร่าเริงขึ้นมาก แต่บางครั้งแววตาอ่อนหวานเศร้าสร้อยก็ปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ ผมเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เธอสนิทกับยัยแก้วและยังทำตัวเป็นน้องสาวที่อ่อนหวานน่ารักต่อผมและครอบครัว ครอบครัวของผม ลุงชัย ลุงป่อง ป้าสมบัติ ต่างก็เอ็นดูเธอเช่นกัน

วันนี้เป็นวันศุกร์อีกครั้ง และพรุ่งนี้ตามกำหนดการ วินด์จะต้องกลับกรุงเทพ
เราจึงดื่มสังสรรค์กันเป็นครั้งสุดท้าย มีผม ลุงชัย ลุงป่อง และวินด์(แน่นอนว่าเราไล่เด็กๆไปนอนเรียบร้อย)
วินด์ยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม แต่ครอบครัวผมก็เอ็นดูเขา เขาเหมือนเด็กเล็กๆที่พยายามสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับคนอื่น แต่เขาไม่ได้ทำตัวเลวร้ายเอาแต่ใจ แค่เป็นคนเงียบๆเท่านั้น

เราดื่มสังสรรค์กันจนดึก คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ เวลาเมาเรื่องเล่าไหลมาพร้อมกับเหล้าเสมอ
ผมจึงเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวและเหล้าแรงๆของลุงป่อง แต่ก็ไม่ลืมที่จะระมัดระวังไม่ให้เกินขีดจำกัดของตนเอง

เพราะผมต้องขับรถไปส่งเจ้าวินด์
คงไม่ดีนักหากเราสองคนจะลงไปนอนกองกันในไร่ข้าวโพด หากรถเสียหลักพุ่งลงทุ่งกลายเป็นโกโก้ครั๊นซ์ไป

แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ ดูเหมือนเหล้าที่ลุงป่องนำมาวันนี้จะดีกรีแรงกว่าปกติมาก
ผมที่ปกติจะดื่มแค่ให้รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ วันนี้เมากว่าวันอื่น

ก่อนจะกลับจึงต้องแวะเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสียก่อน

และขณะที่กำลังจะเปิดไฟห้องน้ำ ก็มีมือเล็กๆมากอดผมจากด้านหลัง
กลิ่นหอมอ่อนๆกับส่วนนุ่มๆที่ดันหลังผมอยู่..

"พี่กฤษณ์.."

"หือม์ ..ไอ ยังไม่นอนหรอครับ"
ผมพูด เบลอนิดๆ พยายามคิดให้ออกว่าน้องสาวคนนี้มากอดผมทำไม

"..ไอฝันร้ายค่ะ"
สาวน้อยดันผมเข้าห้องน้ำก่อนจะล็อกประตู ผมเอียงคอมอง สงสัย กำลังประมวลผลว่าเธอกำลังทำอะไร

"ไออยากให้พี่กฤษณ์อยู่ข้างๆไอ.."
ไอดันผมชิดประตู ผมมองสาวน้อยตรงหน้า ชุดนอนสายเดี่ยวบางเบา มันบางเสียจนผมเห็นหัวจุกสีชมพูเต่งตึงข้างใต้ชุดนั้น สาวเจ้าขยับตัวเข้าหาผม ดึงสายบางๆของชุดลง ก่อนจะเอาหน้าอกเต่งตึงราวกับสาวแรกแย้มมาชิดกับหน้าอกผม

"ไอ..อย่าทำอย่างนี้"
ผมพูด พยายามดันเธอออก ผมเข้าใจแล้วว่าเธอพยายามจะทำอะไร แต่สาวน้อยที่อยู่ๆก็ดูจะมีเรี่ยวเเรงมหาศาล
เธอเกาะรัดผมไว้ มือเล็กๆล้วงเข้าไปกระตุ้นส่วนอ่อนไหว

"แต่..พี่กฤษณ์ก็แข็งนี่คะ...ให้ไอช่วยนะ.."
สาวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่มีความเอียงอายแบบที่เธอมักเป็นเสมอ..

มันเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ..ผู้ชายร้อยทั้งร้อย ต่อให้มีลูกมีเมียแล้วก็เถอะ..ต่อให้เป็นผมก็เถอะ
ได้เห็นภาพตรงหน้า สาวน้อยร่างบาง ตัวเล็ก ชุดนอนบางๆจะหลุดไม่หลุดแหล่ ยอดอกสีชมพูชูชัน..

ผมก็มีอารมณ์จริงๆ

แต่..ผมมีความยับยั้งชั่งใจมากพอ
ผมมีคนรักแล้วก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือเธอเหมือนน้องสาว ผมไม่อาจทนรับความรู้สึกผิดหลังจากนี้ได้

ผมดันเธอออก

"ไอ..หยุด"
ผมพูด เสียงเข้มขึ้น มองหน้าเธอ แรงผู้ชายนั้นเยอะกว่าอยู่แล้ว ผมผลักเธอออกและกำลังจะหันไปเปิดประตูห้องน้ำ

"ไอไม่หยุด"
เสียงหวานๆนั้นฟังน่ากลัว ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง แทงเข้ามาที่ไหล่ซ้าย

"ไอขอโทษนะคะพี่กฤษณ์.."
เสียงนั้นหวานปนเศร้า แต่สติผมเริ่มหลุดลอย

"เขาบอกว่าไอไม่มีทางเลือก.."

..................................

วันถัดมาผมตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง
ปวดหัวไปหมด และเมื่อดูนาฬิกาก็เป็นเวลาเที่ยงกว่า
ไฟลท์บินของไอ้วินด์มันล่วงบ่ายนี่หว่า..

ผมรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างลวกๆ

น้ำเย็นเรียกสติและความทรงจำบางอย่างกลับมา
ผมตัวชา..

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อ..ผมเห็นภาพน้องไอ รู้สึกว่าเธอกอดผม
แล้วหลังจากนั้นล่ะ..หลังจากนั้น..

ผมคิดให้ตายก็คิดไม่ออก ปวดหัวราวกับจะระเบิด

เอาเถอะ..ยังไงเราก็มีเรื่องต้องคุยกัน
ยังไงผมจะถามเธอให้ได้

..................................

แต่ผิดคาด...เมื่อผมมาถึงเรือนหลัก ทุกคนก็ดูวุ่นวายกันไปหมด

"พี่ไอหายไป!"
ยัยแก้วรีบวิ่งมารายงานสถานการณ์ให้ผมฟังคนแรก

"พี่ไอเขียนจดหมายไว้..ทุกคนเป็นห่วงกันหมด"
ผมขมวดคิ้ว หัวที่ปวดตุบๆอยู่แล้วยิ่งรู้สึกราวกับจะระเบิด ยัยแก้วยื่นจดหมายให้ผมอ่าน

'ถึง ทุกคน

ไอขอบคุณทุกคนที่ดูแลไออย่างดี
ไม่มีวันที่ไอจะลืมไร่แห่งนี้
มีที่ไหนอีกที่จะอบอุ่นและเรียกว่าเป็นครอบครัวได้อย่างแท้จริงเหมือนที่นี้
ทางที่ไอเลือกเดินจากมามันแสนสาหัส
เลือกเดินมาพบพี่กฤษณ์และทุกๆคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทางเลือกของไอ ขอร้องล่ะ

ช่วยอย่าลืมไอก็พอ..

ด้วยรัก

ไอ'

"ทุกคนกำลังหากันอยู่ ลุงชัยบอกว่าน่าจะไปได้ไม่ไกล...แก้วกลัวพี่ไอกลับไปเจอพ่อใจร้ายอีกจังเลยค่ะ"

ผมมองหน้าแก้ว

"พี่ก็กลัว"
ผมพูดทั้งที่ในหัวยังปวดตุ้บๆ

"ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ.."
เสียงเรียบๆของวินด์ดังขึ้น

"ไอหนีไปน่ะ"
ผมพูด และวินด์ยักไหล่

"เด็กนั่นใจแตก.. หนีออกจากบ้านครั้งหนึ่งมาแล้ว คิดจะหนีอีกก็ไม่แปลก อยากจะไปก็ไป"

"อย่ามาพูดถึงพี่ไอแบบนั้นน่ะ! คนใจร้าย!!"
ยัยแก้วตะโกน กำกระดาษไว้แน่น

"แล้วนั่นอะไร"
วินด์ถาม เอียงคอสงสัย

"พี่ไอไม่มีทางอยากให้พี่อ่านมัน!"
ยัยแก้วพูดแล้วทำท่าจะวิ่งหนีไป แต่อยู่ๆวินด์ก็ก้าวยาวๆไปคว้าข้อมือน้องสาวผม

"ส่งมันมา"
วินด์พูดเสียงเหี้ยม ผมเดินไป

"มันจะมากไปแล้วน่ะมึง อย่าทำน้องกู"
ผมจ้องหน้ามัน จับเเขนมันไว้ ยัยแก้วสะบัดมือวินด์ออก

"..ผมแค่อยากรู้ว่ามันคืออะไร"
วินด์หลบตาผม ก่อนจะกลับมาสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม ชั่วเเวบหนึ่งนั้น..

ผมรู้สึกถึงความอันตราย

"จดหมายจากไอน่ะ แค่จดหมายบอกลา"

"ขอผมดูหน่อยได้ไหม"

"ขอพี่ดูนะ..แก้ว"
วินด์หันไปพูดกับแก้ว น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น แต่แก้วไม่มีที่ท่าอยากจะให้เขาดู

"พี่ก็เป็นห่วงน้องไอเหมือนกัน"
วินด์พูดด้วยท่าทีอ่อนโยนขึ้น แก้วจึงยอมยื่นกระดาษให้วินด์อ่าน อ่านได้ไม่นานวินด์ก็ถอนหายใจ

"ช่างเป็นสาวน้อยที่น่าเศร้า"
เขาพูดก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินออกไปรอหน้าบ้าน

"แปลกไหม..หนูไม่รู้สึกว่าพี่วินด์เศร้า"
แก้วพูด มองหน้าผม

"ไม่แปลก, พี่ก็คิดอย่างนั้น"
ผมบอกน้องสาว หัวยังคงปวดตุบๆ

..................................

ผมไปส่งวินด์ที่สนามบิน หลังจากขอบคุณและร่ำลากันเล็กน้อย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
วินด์ไม่ได้ป็อปปูล่าร์เหมือนสอง ไม่มีใครมาส่งเขานอกจากผม แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้สนใจนัก

หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับไร่
กลับมาสู่ชีวิตปกติตามเดิม ไม่มีวินด์ ไม่มีไอ
ทุกวันเงียบสงบ เรียบง่ายอีกเช่นเคย

แต่ในใจผมกลับไม่รู้สึกสงบนัก

เรื่องนี้มีบางอย่างที่ติดใจผมอยู่
ทั้งเรื่องของวินด์ และการจากไปของไอ
คืนสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? แล้วจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของวินด์คืออะไร?

เหตุการณ์หลายอย่างบังเอิญจนดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกัน

ทั้งการที่ผมเมา เหล้าที่อยู่ๆก็แรงกว่าปกติ การเจอไอหน้าห้องน้ำ การหายวูบไปของความทรงจำหลังจากนั้น
จดหมายของไอ ท่าทีของวินด์ที่อยู่ๆก็เเข็งกร้าวขึ้น ท่าทางไม่ยี่หระกับการจากไปของไอ..

ไม่มีใครจะตอบข้อสงสัยของผมได้
พวกเขาจากไปหมดแล้ว..

น่าแปลกอีกเช่นเคย..
พวกเขาจากไปพร้อมกัน ราวกับตัวละครที่ถูกตั้งลำดับการออกจากฉากเอาไว้..

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ
แอลกอฮอล์จากเมื่อคืนท่าจะยังไม่หมดฤทธิ์..

แต่ผมไม่อาจวางใจ

ความเงียบนี้มันเหมือนสัญญาณเตือนก่อนพายุจะมา
เมื่อลมสงบ อาจหมายถึงการเตรียมก่อเค้าของพายุรุนเเรง..

สายลมนั้นไม่น่าวางใจ
มันไม่หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ไม่อ่อนโยนเหมือนสายน้ำ ทว่าลื่นไหลจับตัวได้ยาก

สายลมนั้นอันตราย



สวัสดีค่ะ! ตอนที่ 14 นี้ก็เข้มข้นอีกเช่นเคยย(คิดเองเออเองหรือเปล่านะ?!!) :impress2:
ในตอนนี้เราได้รับรู้มุมมองของพี่กฤษณ์ จะเห็นว่าเวลาวินด์ทำอะไรร้ายๆ ทั้งพี่กฤษณ์ทั้งตั้มจะคิดถึงนายใหญ่ของวินด์คนแรกเลยค่ะ! เพราะพวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าวินด์คิดกับสองเกินเพื่อนไปมากกก(แบบบิดเบี้ยวซะด้วย!) :hao3:

ถ้ารู้ตรงนี้คงจะเข้าใจเรื่องต่างๆที่วินด์ทำเหมือนเราคนอ่านเข้าใจนั่นแหละค่ะ
แต่จะว่าไปก็ดีสำหรับวินด์ พอคนอื่นๆไม่รู้เป้าหมายจริงๆก็ยากที่จะทำอะไรกับเขาก่อน
(ยกเว้นยัยเจ๊ตานั่นแหละ ที่อยากทำไรก็ทำได้)

มาติดตามกันว่า'พายุ'อะไรจะมา?!! o22
แล้วพี่กฤษณ์จะรับมืออย่างไร?!! เจ้าสองจะยังอยู่เคียงข้างตามสัญญาหรือไม่..! :hao4:
และเรื่องนี้เป็นโรเเมนติกคอเมดี้จริงๆหรือ?!! :katai1:

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ!
ตอนนี้เขียน'สนุก'มากเลยย มีใครหาอะไรเจอหรือเปล่านะ?! o18

#Anynomous

 

ว้าวววว เพิ่งเห็น

เห็นอะไรเน้อ ><\\

ระวังไว้นะวินด์ ระวังตาลุง(กฤษต์)ไว้ให้ดี ถ้าลุงแกได้โอกาสเอาคืนเมื่อไหร่จะหาว่าไม่เตือน //รึเปล่า ? 5555555

ตอนนี้ลุงรับเละค่ะ!(ฮา) หาช่องทางเอาคืนยากเพราะไอ้เจ้าวินด์นี่จับตัวได้ยากสุดๆ
ทำอะไรชั่วๆไว้ถ้าไม่แนบเนียนก็ไม่มีหลักฐานให้ชี้ตัว แผนสองแผนสามนางล้ำเกิน
ลุงแก เอ๊ย! พี่กฤษณ์เป็นคนตรงๆ แถมยังเป็นคนใจดีสุดๆ แพ้ทางไอ้พวกเจ้าเล่ห์ปลาไหลแบบนี้แหละค่ะ
มาเอาใจช่วยลุงให้พ้นภัยพายุกันนะคะ!

 :bye2:

#Anynomous


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่14:20/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 21-11-2017 01:52:30
ตอนที่ 15: เพื่อนรัก

ผมมองภาพที่เอาออกมาจากซองสีน้ำตาล มันจ่าหน้าซองถึงผม

ภาพนั้นเป็นภาพพี่กฤษณ์...ภาพถ่ายจากมุมสูง
แม้ผมจะเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่ผมก็รู้ ห้องน้ำนั่นห้องน้ำในเรือนหลัก
ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอหันหลังให้กล้อง โค้งตัวคร่อมพี่กฤษณ์ กำลังทำ'อะไรบางอย่าง'บริเวณกางเกงพี่กฤษณ์

ภาพถัดมาเป็นภาพตอนที่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปนั่งบนตัวพี่กฤษณ์
ภาพถ่ายจากมุมหลังอีกเช่นเคย เห็นหน้าพี่กฤษณ์ชัด เขาหลับตา แต่ไม่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น

ผมนิ่ง
พยายามจะคิดหาอะไรบางอย่างเพื่อแก้ตัวเเทนพี่กฤษณ์
ผมหน้าชา ในใจก็คิดแต่ว่าผมจะเชื่อใจเขา คนอย่างเขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น

มันไม่ยากใช่ไหมที่จะหาความจริง

ผมกดโทรศัพท์หาพี่กฤษณ์
ระหว่างที่รอเขารับสายไม่กี่วินั้นยาวนานดังชั่วกัปชั่วกัลป์

"ไง"
เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูดังขึ้น ผมเม้มริมฝีปาก พยายามคิดในแง่ดีที่สุด

"พี่กฤษณ์..พี่บอกสองมาตามตรงนะ ..พี่ได้ไปมีเซ็กส์กับใครตอนที่ไม่ได้อยู่กับสองหรือเปล่า"
ผมพูดเร็วๆ ในใจก็กลัว ไม่อยากได้ยินประโยคถัดไป ได้แต่หวังว่านี้จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด

"..."
ตอบว่าใช่ ผมอาจไม่รู้สึกเจ็บเท่าความเงียบ ความรู้สึกตอนนี้มันชาไปหมด..ความรู้สึกของคนที่โดนหักหลังค่อยๆเอ่อขึ้นมา..แต่ผมจะยัง ผมจะยังเชื่อใจเขา

"ทำไมเงียบ?"
ผมถามต่อ แต่น้ำเสียงเริ่มเบาลง ใจสั่น

"..กู กูไม่แน่ใจ"

"มึงไม่แน่ใจ? โอเค..มันตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แค่เคยกับไม่เคย"

"เปล่า..มันมีวันที่..กูเมา"
พี่กฤษณ์พูดเสียงเบา ผมเม้มปาก

"กูก็มีวันที่เมา กูยอมรับ กูไม่ใช่ผู้หญิง แถมไม่ได้อยู่กับมึงตลอด มึงก็ผู้ชายคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม มันจะง่ายกว่านี้ถ้ามึงบอกกูตรงๆว่ามึงไม่พอ ไหนว่ามึงเป็นคนตรงๆไงวะ มึงไม่แน่ใจเรื่องอะไร"
ผมถาม เสียงประโยคท้ายๆเริ่มสั่น

"กูไม่ได้.."
พี่กฤษณ์พยายามจะพูด แต่น้ำเสียงอึกอัก มันไม่เหมือนกับเขาที่ผมรู้จัก เขาที่พูดจาตรงไปตรงมาเสมอ

"กูยอมได้..มึงจะไปนอนกับคนอื่น ถ้ามึงต้องการ อย่างน้อย..ฮึก..มึงบอกกู..กูไม่ดีพอเหรอ ..ไหนมึงบอกให้กูเชื่อใจ.."
น้ำตาผลไหลออกมาราวกับอัดอั้นมันไว้..มันเป็นแบบนี้ใช่ไหม การคบกันระยะไกล..ถ้ามีใครสักคนที่อดทนไม่มากพอ
และผมไม่อยากจะเชื่อว่าคนนั้นจะเป็นพี่กฤษณ์ คนรักของผม

คนที่ผมคิดว่าจะอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิตได้..

คนที่คิดว่าแค่มีอยู่ข้างๆก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว..

มันทรมาน ผมเจ็บปวดเกินกว่าจะยอมรับอะไรตอนนี้ เจ็บปวดเกินกว่าจะถือสายฟังความเงียบที่ชวนอึดอัด
ผมกดวางสายไป ทิ้งตัวลงบนโซฟา และร้องไห้

.................................

"กริ๊งง.."
โทรศัพท์บ้านดังขึ้น ต่อสายมาจากป้อมยามหน้าบ้านผม ผมกดรับ เปิดเสียงเอาไว้

"คุณสองครับ คุณวินด์มาหาครับ บอกว่านัดคุณสองไว้แล้ว"
ลุงยามหน้าประตูรายงาน

ตั้งเเต่ตอนที่รู้ว่าวินด์ไม่ประสงค์ดีกับพี่กฤษณ์ ผมก็โกรธมาก พยายามหาจุดประสงค์ที่เเท้จริงของมัน
โดยมีไอ้ตั้มที่รับปากว่าจะช่วยด้วยอีกคน ..
ผมถอยห่างจากวินด์เพราะรู้สึกว่ามันอันตราย เเละความจริงวันนี้ผมก็ไม่ได้นัดมันไว้

"เขานัดไว้..ให้เข้ามา"
ผมพูดด้วยเสียงอ่อนแรง ขอแค่ใคร..ใครก็ได้

.................................

วินด์มาพร้อมรอยยิ้ม เขาบอกผมว่าที่ไร่นั้นสนุกมาก พี่กฤษณ์อ่อนโยน ดูแลทุกคนดี และยังเล่าว่าพี่กฤษณ์ได้ช่วยเหลือเด็กสาวคนหนึ่ง

"เขาเท่มากน่ะ"
วินด์พูดก่อนจะขมวดคิ้วมองผม

"เป็นอะไรหรือเปล่าสอง"
ผมส่ายหัว เม้มปาก ไม่อยากได้ยินชื่อพี่กฤษณ์ เรื่องในไร่ หรืออะไรก็ตามจากปากคนตรงหน้า

"มึงจะกลับได้ยัง"
ผมถาม น้ำเสียงฟังอ่อนแรง

"มึงเป็นอะไรมึงบอกกู กูอยู่ข้างๆมึงเสมอนะ"
คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน วินด์กอดผมไว้เเน่น ผมร้องไห้
มือของคนตรงหน้าไม่หนาสากเหมือนพี่กฤษณ์ แต่นุ่มนวล อ่อนโยน เขาใช้นิ้วมือปาดน้ำตาให้ผม

"ฮึก..วินด์..กูไม่อยาก ให้มึงเห็น"
ผมพูด พยายามใช้เเขนเสื้อเช็ดน้ำตา แต่โดนคนตรงหน้าจับเเขนเอาไว้ มือของเขาเเข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดมาก

"ปะ..ปล่อย"

"ไม่เป็นไร มึงจะไม่เป็นไร"
วินด์ไม่ปล่อยมือและผมก็ไม่รู้สึกอยากดิ้นหนีอีก

"สอง..ให้กูดูแลมึงนะ"
ร่างสูงพูดก่อนจะก้มหน้าลงมา และจูบผม

เขาจูบเก่งจนผมเกือบละลาย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังไม่จางหาย แต่หัวใจผมอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดอะไรออก
ทั้งเรื่องที่คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนมาจูบ ทั้งเรื่องที่โดนคนรักหักหลัง

บางทีผมอาจแค่ต้องปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสถานการณ์
บางทีมันอาจจะดี...

เมื่อเห็นผมไม่ขัดขืน ร่างสูงก็รวบข้อมือผมไว้ ก่อนจะใช้เนคไทมัดมัน ผมเบิกตากว้าง ตกใจ

"สอง..เป็นของกูนะ"

วินด์แกะกระดุมเสื้อเชิร์ตของผมออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวเนียน เขาใช้ลิ้นดุนดันยอดอกของผม ก่อนจะขบกัดมัน

"อ๊ะ! ไม่.."
ผมพยายามเบี่ยงตัวออก แต่วินด์นั้นเเรงเยอะกว่า เขาดึงกางเกงผมลง และทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง...
ส่วนกลางของผมถูกครอบโดยริมฝีปากของวินด์ เขาอมมัน ดูด ใช้ลิ้นดุนดัน เพิ่มจังหวะเร่งเร้า..

ผมที่ตอนแรกร้องห้ามกลับมาร้องครางแบบห้ามไม่อยู่

"อ๊ะะ..อื้ออ..ไม่เอา..วินด์"

"แต่ร่างกายมึงไม่โกหก"
วินด์ถอนริมฝีปากออก ส่วนใจกลางผมตั้งชูชัน ..ทรมาน.. ผมคิดถึงพี่กฤษณ์...น้ำตาไหล
ผมรักพี่..ผมไม่อยากทำอย่างนี้...แต่ร่างกายผมมันไม่ฟังคำสั่ง..

"ถ้ามึงอยากปลดปล่อยมึงต้องขอร้องกู"

ผมกัดริมฝีปากล่าง สู้กับความเสียวปนทรมาน ในใจคิดถึงพี่กฤษณ์..หรือว่า..พี่เองก็โดนแบบนี้เหมือนกัน
หรือผมควรรอฟังพี่ก่อน..คงไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด

"เด็กดี"
วินด์มองผมแล้วยิ้ม ผมจ้องมันอย่างวิงวอน แต่ไม่ยอมปริปากขอร้อง

"ปล่อยกู"

"อย่าดื้อสิ.."

มันฉลาด...มันเลือกทำในที่ที่จะไม่มีใครห่วงผมมากที่สุด..ที่บ้านของผม บนโซฟาในห้องของผม
ร่างสูงตรงหน้าปลดกางเกงตัวเองลง ก่อนจะดึงแกนกลางมันออกมาให้ผมดู มันมองหน้าผมก่อนจะขยับมือเพิ่มจังหวะเร็วขึ้น

"ซี้ด..สอง..ได้มาเห็นมึงแบบนี้..กูโคตรมีอารมณ์เลยว่ะ..กูรักมึง"
"ไอ้โรคจิต!"
ผมพูด มองมันที่กำลังขยายส่วนแกนกลางขึ้นอย่างขยะเเขยง

"ก็มึงผิดเอง..ทีทำกับไอ้เหี้ยกฤษณ์นั่นได้ ทำกับกูไม่ได้รึไง มันก็เหมือนกับกูนั่นแหละ"

"มึงไม่เหมือน..อ๊ะ!!"
ผมพูด แต่ไอ้วินด์ไม่เปิดโอกาสมันใช้ส่วนใหญ่ร้อนของมัน รวบเข้ากับแกนกลางผมที่ชูชันขึ้น ก่อนจะขยับมือด้วยความเร็วและเเรง

"อ๊าา"
ผมครางเสียงหลง และดูเหมือนมันจะชอบใจ ร่างสูงเร่งจังหวะขึ้นจนผมปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาพร้อมกับมัน

ตอนที่มันสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางของผม ผมไม่ได้มีเซ็กส์กับพี่กฤษณ์นานแล้ว ผมเจ็บจนหยดน้ำตาใสๆไหลออกมาอีกครั้ง

"กูขอร้อง..มึงหยุดได้ไหม วินด์"
ผมพูดทั้งน้ำตา แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งชอบใจในใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของผม

"กูรักมึง"
วินด์พูดก่อนจะขยับนิ้วเข้าออกช่องทางด้านล่าง ผมเจ็บและไม่อยากยอมรับว่าเริ่มจะมีอารมณ์ร่วม

"กูรักพี่กฤษณ์!! กูไม่อยากให้มึง!"
ผมดิ้น พยายามขัดขืนครั้งสุดท้าย

"ทั้งๆที่มึงรักมัน ไอ้พี่กฤษณ์นั้นยังเอาคนอื่นได้ มันเหี้ยขนาดนั้นมึงยังจะรักมันอีกเหรอ!"
คนตรงหน้าเริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้น

"มันทำให้มึงร้องไห้!"

ผมส่ายหัว

"มึงต่างหากทำ..วินด์"

ผมนิ่ง..มันรู้ได้ยังไงว่าผมร้องไห้เรื่องอะไร รู้ได้ยังไงว่าพี่กฤษณ์มีอะไรกับคนอื่น มันไม่ได้เห็นภาพ มีแต่ผมที่เห็น
ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้มันฟังทั้งนั้น..

ความจริงสาดเข้ามาเหมือนกับตอนใกล้จบของนิยาย

ไอ้วินด์รู้ทุกอย่าง! เรื่องบังเอิญไม่มีจริง...

ทั้งไฟไหม้ ทั้งภาพเเบล็กเมล์ ..และอาจจะมีอีกหลายเหตุบังเอิญที่ผมไม่รู้
แต่ความจริงไม่ปราณีใคร

อย่างน้อยๆก็คนโง่อย่างผม

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก.."
เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกับสัญญาณจากสวรรค์ ..ผมไม่ได้ล็อกประตู ..และดูเหมือนไอ้วินด์จะจำได้เช่นกัน
มันกระซิบบอกผมเสียงพร่า
"บอกไปว่ามึงอยู่กับกู คุยกันอยู่"

ผมไม่มีทางทำตามที่มันบอก ผมต้องตะโกนให้คนช่วยเปิดเข้ามา
ผมไม่มีความอายเหลืออีกต่อไป ผมมีแต่ความรู้สึกผิดต่อพี่กฤษณ์ ..และความโกรธต่อคนตรงหน้า

และดูเหมือนมันก็รู้ความคิดของผม
มันยกโทรศัพท์ขึ้น ถ่ายภาพผมเอาไว้

"ถ้ามึงไม่ทำ กูจะส่งหาพี่กฤษณ์ ถ้ามึงทำ หลังจากนี้มึงจะไปคืนดีกับมันกูก็ไม่ว่า แค่ต้องมาอยู่ข้างๆกู"
ผมเม้มปาก มองมันอย่างวิงวอนเป็นครั้งสุดท้าย

"มึงไม่มีทางเลือก"

ผมพยักหน้า

"กูอยู่กับไอ้วินด์ คุยกับมันอยู่!!"
ผมพยายามเปล่งเสียงให้ดังที่สุด

"ปัง!!"
ประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรง

ไอ้ตั้มเป็นคนที่เดินเข้ามา..ผมร้องไห้..ขอบคุณที่มันเป็นอย่างที่ผมคิด..
คนรับใช้ในบ้านผมทุกคนจะเคาะประตูสามครั้งเสมอ มันเป็นหลักสากล เป็นเรื่องที่ฝึกกันจนเป็นธรรมเนียม

แต่ไอ้ตั้มไม่ใช่ มันไม่ได้เรียนหนังสือจนจบ ไม่ได้ฝึกคุณสมบัติผู้ดีหรืออะไรทั้งนั้น
มันเคาะตามอารมณ์ ถ้าผมไม่ตอบก็จะเคาะอยู่อย่างนั้น..

และหากบังเอิญผมคาดไว้ผิด มันไม่ใช่ไอ้ตั้มแต่เป็นคนรับใช้
ผมไม่ใช้คำพูดมึง-กูกับคนรับใช้ ..ได้แต่ภาวนาว่าจะมีใครสังเกตเรื่องนี้
แต่อีกอย่างที่ผมเลือกใช้คำพูดเหมือนเวลาอยู่กับไอ้ตั้ม

เพราะผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าต้องเป็นมัน

เพราะวันนี้คนที่ผมนัดมาหาไม่ใช่วินด์ แต่เป็นไอ้ตั้ม

.................................

ผมไม่รู้ว่าสภาพของผมมันทุเรศขนาดไหน น้ำตาเต็มใบหน้า เสื้อถูกปลดกระดุม กางเกงถูกดึงออก
แต่สิ่งที่ผมรับรู้ต่อมาคือภาพไอ้ตั้มวิ่งเข้ามา กระชากไอ้วินด์ออก แล้วต่อยมัน

เขาต่อยมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคน
ไอ้วินด์ได้แต่ป้องกันตัว..มันเป็นจอมบงการ เป็นคนที่ดูมีลักษณะคุณชายผู้ดี

ไม่เหมือนกุ๊ยข้างถนนแบบไอ้ตั้มที่มันชอบว่า
มันจึงสู้กุ๊ยข้างถนนไม่ได้

"ไอ้สัส!!!"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะเตะมันเป็นครั้งสุดท้าย เลือดกลบปากไอ้วินด์ มันพยายามจะคลานหนี
ไอ้ตั้มเดินตาม
"มึงจะไปไหน มึงชอบลับหลังใช่ไหม ชอบนักใช่ไหม! ไอ้เวร! กูว่าแล้วคนอย่างมึงมันสวะ "

"ตั้ม.."
ผมพูดเสียงเบา แต่ไอ้ตั้มก็ละความสนใจจากวินด์ทันที

"สอง..มึง.."
ตั้มมองผม มันเม้มปาก ก่อนจะหันไปเตะคนที่กำลังพยายามลุกขึ้นอยู่

"ไอ้เหี้ย! ออกไปซะ! อย่าเสนอหน้ากลับมาให้กูเห็นอีก บอกพ่อมึงด้วย! มีปัญหามาเคลียร์กับกูตรงๆ อย่าทำตัวเป็นสวะลอบกัด!"

"เดี๋ยว.."
ผมพูด

"อะไร?! มึงจะห้ามกูเหรอ สอง?!!"
ไอ้ตั้มหันมาถามกด้วยความโกรธ ไม่เข้าใจ

"มันถ่ายภาพกู"
ผมพูดก่อนจะหลับตา
ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงโทรศัพท์แตก
แล้วพอผมลืมตาขึ้นมา ห้องก็ว่างเปล่า

.................................

หลังจากจัดการไอ้วินด์แล้ว ตั้มก็เข้ามาหาผม มันมองผมสองสามครั้ง เม้มปาก ก่อนจะพูดว่า

"มึงเลยซึมได้แล้ว ไปอาบน้ำสัส"

"กูเจ็บ..กูไม่อยากลุก"

ไอ้ตั้มเดินมานั่งข้างๆผม ก่อนจะกอดผมไว้เเน่น
กอดคราวนี้ไม่เหมือนของไอ้วินด์ มันอบอุ่น อ่อนหวานไม่สมกับเป็นมัน..

นุ่มนวลราวกับถูกหุ้มด้วยความรัก

ผมร้องไห้

"มึงอย่าขี้แยสัส รำคาญ.."
ไอ้ตั้มพูดอย่างใจร้าย..แต่เสียงของมันสั่น ผมสูดน้ำมูก และได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่กอดผมอยู่

"มึง..? "
มึงร้องไห้เหรอ..ผมเก็บคำถามนั้นไว้ เขากอดผมแน่นขึ้น เหมือนไม่อยากให้ผมผละจากอ้อมกอดนี้มาดูใบหน้าเขา
สักพักจึงปล่อยผมออก

"กูสัญญาจะไม่ปล่อยไอ้เหี้ยวินด์ได้มาอยู่ใกล้ๆมึงอีก ถ้าฆ่ามันได้กูจะทำ"
ตั้มพูดเสียงเหี้ยม มองหน้าผม ราวกับเป็นคนละคนที่ผมเคยรู้จัก

"มึงอย่า..กูเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว..มึงไม่จำเป็นต้องแปดเปื้อนเพราะคนอย่างมัน"
ผมพูดอย่างเป็นห่วง

"ขอแค่ไม่ให้มึงเจอเรื่องแบบนี้อีก..ให้กูต้องแปดเปื้อน ต้องตกนรก กูก็ยอม"

"กูจะไม่เจอหรอก..กูเข้มเเข็งมากน่ะ..มันจะไม่ได้ใกล้กูอีกเหมือนกัน"
ผมพูด พยายามฝืนยิ้ม

"ไอ้พี่กฤษณ์ของมึงแม่ง! เป็นคนรักระยะไกลมันเป็นแบบนี้แหละ! ช่วยเหี้ยอะไรไม่ได้ ถอกกระดอทำหน้าหล่อไปวันๆ"
ไอ้ตั้มพยายามพูดให้ผมตลก แต่ผมไม่..เมื่อคิดถึงพี่กฤษณ์ก็คิดถึงความรู้สึกผิดต่อเขา

"ที่กูโทรหามึงเพราะเรื่องนี้แหละ.."
ผมพูดก่อนจะหยิบซองสีน้ำตาลให้ไอ้ตั้ม มันดูภาพเเล้วมองผม ดูไม่อยากจะเชื่อ

"สอง..มึงอย่าบอกนะว่ามึงทะเลาะกับไอ้เชี่ยกฤษณ์เพราะกระดาษสองแผ่น!"

ผมพยักหน้า รู้สึกกระดากอาย

"มึงไม่สงสัยบ้างเหรอวะว่าไอ้เหี้ยตัวไหนส่งมา! มึงควรสงสัยมันก่อนสงสัยไอ้พี่กฤษณ์ด้วยซ้ำ!!"
ผมพยักหน้ายอมรับอีกเช่นเคย..มาคิดดูดีๆก็ถูกของมัน..แต่ผมกับมันไม่เหมือนกัน
ตั้มมันไม่มีอารมณ์ร่วมกับภาพพวกนี้..มันจึงตัดสินใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลและถูกต้อง

แต่ผมมี ..ความโกรธ ความน้อยใจ ความสงสัย
มันทำให้ผมเลือกตัดสินใจผิดพลาด อารมณ์เหล่านั้นบังความคิดส่วนเป็นเหตุเป็นผลของผม

"แต่กูรู้ตัวการแล้ว.."

"ไอ้เหี้ยวินด์?"

ไอ้ตั้มพูดแทรกและผมพยักหน้ารับ

"มันไม่น่ากล้ามายุ่งกับกูอีก ..แต่กูไม่รู้จะทำยังไงดีเรื่องพี่กฤษณ์ "
ผมพูด น้ำเสียงฟังท้อเเท้สิ้นหวัง

ไอ้ตั้มตบหัวผม

"มึงจะทำอะไรล่ะ ถ้าคนรักมึงกลายเป็นเป้าหมายของผู้หญิงคนนั้น"

ผมขมวดคิ้ว

"กูไม่ให้.."

"เออ มึงต้องไป"

"ไป?"
ผมมองหน้าไอ้ตั้มอย่างสงสัย มันทำเสียงขัดใจ

"ไปขอนแก่นซะ ถ้าไม่เเสดงความเป็นเจ้าของอยู่เรื่อยๆ ใครๆมันก็อยากจะมาเอาทั้งนั้น"

ผมหน้าแดง

"มึงพูดเหมือนกูเป็นพวกผู้หญิง ขี้หึง เมียโหดอะไรประมาณนั้น กูไม่เอาหรอก!"

"ถ้างั้นมึงก็ปล่อยให้ไอ้พี่กฤษณ์นั่นอยู่กับแม่สาวคนนั้นไป กูไม่อยากเชื่อหรอก ผู้ชายกับผู้หญิงน่ะ น้ำมันกับไฟ"

"เหมือนมึงอ่ะเหรอ"
ผมพูดเเซว แต่มันไม่ขำ จ้องหน้าผมนิ่ง

"นี้ไม่ใช่เรื่องของกู"
เขาพูดก่อนจะหลบสายตาผม

"เป็นเรื่องของพวกมึงสองคน"

ผมมองไอ้ตั้มอย่างซึ้งๆก่อนจะโดนมันยกนิ้วกลางให้ ผมหัวเราะ
ไอ้ตั้มดูสบายใจขึ้นก่อนจะบอกผมว่า

"คราวนี้มึงลงไป อยู่ให้นานๆหน่อยก็ดี"

"ทำไมวะ"

"ก็ถ้ากูจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ กูจะตามลงไปด้วย อยากไปมานานแล้ว"

มันว่า ผมพยักหน้ารับ

"เออ..กูขอภาพนั่นได้ไหม"

ผมลังเล มันเห็นหน้าพี่กฤษณ์ชัด..ผมกลัวเขาจะถูกแบล็คเมล์ต่อ

"มึงเชื่อใจกูได้"

ผมยื่นซองสีน้ำตาลให้
มันมองผมสักพักจึงพูดว่า

"มึงควรไปอาบน้ำ"

ผมหัวเราะ

"กูพูดจริงๆ"



หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-11-2017 05:42:28
ดีจัง..........ตั้ม มาช่วยได้ทัน
วินด์เผยตัวไว เพราะแน่ใจว่าภาพที่ส่งมาได้ผลสินะ
แต่เหนือวินด์ ยังมีตั้ม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

สอง ทำตามที่ตั้มแนะนำน่ะถูกต้อง
แม้สอง ไม่รู้ถึงความรู้สึกของตั้ม
แต่ตั้มเป็นเพื่อนแท้ที่ตรงข้ามกับวินด์
แบบยอดเขา กับก้นเหวเลย

ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นมอมเหล้า วางยาพี่กฤษณ์หรือเปล่า
รอสองกับพี่กฤษณ์เจอกัน
เจ้าของตัวจริง ไปแสดงตัวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 21-11-2017 13:13:44
สองต้องไปดูแลตาลุงแล้วแหละ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-11-2017 19:10:38
จัดการการวินด์เลยค่ะคุณตำรวจ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่15:21/11)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 25-11-2017 17:09:52
สอง..มาเอาไอ้เพื่อนบ้าของแกไปเก็บด่วน :a5:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่16:25/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 25-11-2017 21:30:30

ตอนที่ 16: รักเพื่อน

'ผมสัญญาว่าจะฆ่ามันให้ได้'

ผมคิดเช่นนั้นตอนที่หันไปเห็นสองนั่งบนโซฟา เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น้ำตานองหน้า
ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง..แต่มึงจะต้องเจ็บ..เจ็บ เจ็บให้มากกว่าที่มึงทำกับคนที่กูรัก

..รัก..

ใช่ ,ผมรักเพื่อนสนิทตัวเอง

ผมรู้มานานแล้วว่ามันไม่ใช่ความรักแบบเพื่อน
เรียกว่ายังไงดีล่ะ..รู้ตั้งเเต่ตอนที่ช่วยตัวเองสมัยมัธยมต้น แล้วใบหน้าเขาก็ขึ้นมาตอนผมใกล้เสร็จนั่นแหละ

..................................

ตอนเด็กๆผมเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กที่ทำตัวไม่ดี ทั้งโดดเรียน พูดคำหยาบ ลักเล็กขโมยน้อย ไปจนถึงใช้สารเสพติด
เด็กคนอื่นๆห้อมล้อมผมเพราะนามสกุลของผม พวกเขาพร้อมที่จะทำตามทุกอย่างที่ผมบอก ทุกอย่างที่ผมต้องการ

เมื่อมีคนห้อมล้อมคุณเพราะต้องการผลประโยชน์บางสิ่งอยู่ตลอดเวลา
การหามิตรแท้เป็นเรื่องที่ยาก

..แต่ที่ยากกว่านั้นคือความเห็นที่ตรงต่อความจริง

"นาฬิกาใหม่ว่ะ พ่อกูซื้อให้ มีแค่ร้อยเรือนในโลก"

ผมพูดแล้วยกข้อมือขึ้นอวดนาฬิกาสีทอง การออกแบบเรียบหรูค่อนข้างดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่เหมาะกับเด็กม.ต้นเลยสักนิด

"เหมาะกับตั้มมากเลยนะ"

"ใส่แล้วเท่ว่ะสัส"
เพื่อนๆเรียงรายกันเข้ามาชม ผมยิ้มเล็กๆอย่างภูมิใจ แม้ในใจจะรู้ดีว่านี้ก็แค่คำกล่าวจอมปลอม
แต่ชีวิตผมไม่เคยได้รับอะไรจริงเลยสักครั้ง ผมจึงมีความสุขโดยไม่สนว่ามันจะปลอมหรือไม่

ในวงจรที่เพื่อนๆรายล้อม มีเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขามีท่าทางไม่ยินดียินร้าย
เขาเป็นคนเงียบๆ ตัวเล็ก ผมมักปรกหน้าปรกตาอยู่เสมอ เป็นเด็กประเภทที่ไม่ค่อยมีใครอยากคบเท่าไหร่นัก
แต่คนในห้องเรียนก็ให้ความเคารพและไม่กลั่นแกล้งเขา

อาจเพราะนามสกุลของเขา
หรือไม่ก็เพราะเขาไม่ยอมสนิทชิดเชื้อกับใคร

"เฮ้ย นายคิดว่าไงน่ะ"
ผมยื่นข้อมือไปหาเพื่อนใหม่..ผมได้ยินชื่อเขามานาน แต่เราไม่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน นี้เป็นครั้งแรก
ที่ผมได้พบกับ 'คนดัง' เด็กชายผู้มาจากครอบครัวที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อโรงเรียนคนหนึ่ง

แน่นอนว่าไม่นับผม

"หือ?"
เด็กชายคนนั้นเหลือบมองข้อมือผม ก่อนจะเงยหน้า เขาดูงงๆ

"นาฬิกานี่"

"เอาที่ฉันคิดจริงๆหรือสิ่งที่นายอยากฟัง"
คนตัวเล็กพูดด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ เพื่อนรอบข้างผมทึ่ง แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าพูดกับผมแบบนี้..ต่อให้เป็นเขาก็เถอะ

"สิ่งที่ฉันอยากฟัง"
ผมมองเขา. ท้าทายให้เขาพูดมัน เขาถอนหายใจ

"ไอ้นี่มันเชยเป็นบ้า"

..................................

ตอนแรกผมติดตามเขาไปในทุกที่เพราะสนใจเขา เขาแปลก ไม่เหมือนคนอื่น
ไม่เหมือนเพื่อนๆของผม เขาไม่เหมือนใครทั้งนั้น..

เขาไม่สนแม้กระทั่งจะไล่ผมไป
เเถมยังยอมรับอย่างง่ายๆว่าเป็นเพื่อนผม

ผมที่โดดเรียนเสมอเปลี่ยนมาเข้าชั้นเรียน
ผมที่ชอบทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ กลับมาทำตัวเป็นมือขวาให้เขา

และพอผมสังเกตได้ว่าเขาไม่มีทักษะทางกายภาพใดๆ ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง เล่นกีฬา ชกมวย
หรือแม้กระทั่งหยิบหนังสือจากที่สูง! ..โดยไม่รู้ตัว ผมกลายเป็นคนที่ช่วยเขาทุกอย่าง
มองจากภายนอกเหมือนกับว่าเราตัวติดกันตลอดเวลา
แต่ในเมื่อเขาไม่สนใจจะคบคนอื่น ผมเองก็ไม่สนจะไปเล่นอะไรเเบบเด็กๆเหมือนสมัยประถมเหมือนกัน

เราเลยพอใจที่จะอยู่กันอย่างนั้น

ผมรู้ ในมุมมองคุณอาจมองว่า ไอ้เด็กหนุ่มนี้มันทำตัวเหมือนเด็กติดแฟนชัดๆ!
ก็ใช่..ก็อาจจริง แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมาก

เด็กเกินกว่าจะรู้สึกตัว

..................................

หลังจากไอ้สองอาบน้ำเสร็จ มันก็ดูดีขึ้น รอยตรงบริเวณข้อมือสีแดงๆจางลงมาก
ตรงส่วนอื่น..ผมไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่กล้าจะไปขอเปิดดู

"มองไรสัส"
ไอ้สองมองมาทางผม ขมวดคิ้ว ทำสีหน้าเหมือนโมโห

มันอาจจะไม่รู้ตัว..ว่าเวลามันทำหน้าอย่างนี้ มันน่ารักมาก
ผมยักไหล่

"มองคนที่เกือบโดนเหี้ยตุ๋ย"

"ไอ้สัสสส!!"
ไอ้สองพยายามจะกระโดดทุบผม ผมหัวเราะ

"มึง! เพื่อนเหี้ย!! ..แต่ เมื่อกี้กูกลัวจริงๆนะเว้ย!"
มันพูดก่อนจะเสียงเบาขึ้น ตัวสั่นนิดๆ ผมพอเห็นอย่างนั้นก็อยากจะฆ่าไอ้เหี้ยวินด์ขึ้นมาอีกรอบ
ผมขอซองน้ำตาลที่ไอ้วินด์ส่งมาเพื่อเเบล็กเมล์พี่กฤษณ์ไว้กับตัว
ก่อนจะตัดสินใจให้คำแนะนำมันในฐานะ'เพื่อน'ที่ดีไป

ผมไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบสถานะกับไอ้พี่กฤษณ์ของมัน
ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงตัวเองที่เป็นคนรักของเขาด้วยซ้ำ

ผมรู้ผมไม่มีค่าพอ
ไม่ได้สูงส่ง ไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่ได้ใจดี ไม่ได้กล้าหาญ

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมจะเป็นที่พึ่งให้มันได้ไหม

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจ ผมพร้อมจะยอมแลกทุกอย่าง ทุกสิ่ง
ทุกอย่างจริงๆเพื่อปกป้องคนที่อยู่ตรงหน้าผมคนนี้

ผมแน่ใจว่ามันคือความรัก
และเรื่องนี้เท่านั้นที่ผมไม่แพ้ใคร

"มึงคิดว่ากูควรเล่าเรื่อง'นี้'ให้พี่กฤษณ์ฟังไหม"
ไอ้สองถามขึ้นมาเบาๆ ผมมองหน้า

"เรื่องไรวะ ..ที่ไอ้วินด์มันแบล็กเมล์พี่กฤษณ์ หรือเรื่องมันจะข่มขืนมึง"

"ทุกอย่าง"

ผมนิ่ง ผมไม่ใช่คนฉลาดนัก ชีวิตก็ใช้มาแบบลุ่มๆดอนๆ ไอ้เรื่องความรักไม่ค่อยถนัด ถ้าให้พูดจริงๆผมถนัดแค่เรื่องเซ็กส์..และคงไม่ใช่เรื่องที่จะไปแนะนำมันได้

"ไม่รู้ว่ะ คิดเองบ้างดิ"

"ควาย"

ไอ้สองมันด่าผม ผมใช้เท้าถีบมันไปทีนึง เออ โทษที กูไม่ได้ฉลาดเหมือนไอ้เหี้ยวินด์นี่หว่า!

"ถ้ากูอยากเป็นที่ปรึกษากูคงไปอยู่สำนักทนายความ"
ผมพูด มันถีบผมกลับ

"กูก็แค่ถามม..เผื่อมึงจะมีความคิดอะไรบ้าง"

"พี่กฤษณ์ของมึงนี่ ใจดีเป็นหมาเลย ถ้ามึงไม่บอก ครั้งหน้าไอ้วินด์ไปหลอกมันอีก มันจะใจดีเป็นควาย"
ผมพูด โดนถีบอีกรอบ

"มึงอย่ามาด่าพี่กฤษณ์กู!"
ไอ้สองพูดก่อนจะถีบผมรอบที่สาม ถีบกูเป็นจักรยานเลยไอ้สัส!
"ด่าที่ไหน! กูชม!!"

ไอ้สองมันบ่นอุบอิบ เมื่อเห็นเพื่อนรักร่าเริงขึ้น ผมก็ขอตัวกลับไปทำงาน ก่อนจะไปก็ไม่วายบอกมันว่าผมสั่งอาหารจากภัตตาคารไว้ให้มันเย็นนี้ สำรองโต๊ะไว้เรียบร้อย ผมโดนเพื่อนบ่นว่าชอบทำตัวเหมือนคนรวยเอาแต่ใจ ผมได้แต่หัวเราะ ...มีเงินแล้วไม่ใช้ จะมีประโยชน์อะไร

..................................

"ฉันไม่เอาด้วยหรอก"
สาวสวยร่างสูงระหงส์พูดก่อนจะเอนหลังลงบนโซฟา

"ไหนพี่บอกจะช่วยผม"
ผมร้อง มองหน้าพี่สาวด้วยความขัดใจ ริมฝีปากสีเเดงเข้มเม้มเเน่นก่อนจะเงยหน้ามองผม

"นั่นมันเรื่องการเเย่งเก้าอี้ ฉันเห็นว่ามันคุ้มค่าที่จะช่วยแก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่..ฉันไม่สนเรื่องรักๆใคร่ๆของแก"
ผู้หญิงตรงหน้าพูดก่อนจะกอดอก ผมมองพี่สาว แววตาสับสน

"..พี่ รู้?"

"ฉันไม่ได้โง่ แกตามติดเด็กนั่นตั้งเเต่ม.ต้น ฟันสาวทิ้งไปวันๆ แต่พอเด็กนั่นกลับมาก็เลิกทันที..
 ฉันคงต้องตาบอดละมั้งถึงจะมองไม่เห็น"

ผมส่ายหัว..ไม่อยากจะเชื่อ ผมรู้ว่าพี่สาวหูตากว้างไกล ..แต่สำหรับคนที่โดนตัดหางปล่อยวัดอย่างผม
คิดมาตลอดว่าการใช้ชีวิตนั้นรอดพ้นจากสายตาใครๆ..คิดมาตลอดว่าครอบครัวไม่สนใจ..

"เรา..เราเป็นเพื่อนกัน ..ผมแค่ไม่อยากให้เขาตกอยู่ในอันตรายอีก"
ผมพยายามพูด แต่ผู้หญิงตรงหน้ามองหน้าผมอย่างเฉยเมย

"ถ้าแกไม่เอาเเต่ขี้ขลาด ป่านนี้แกอาจได้สมหวังกับเด็กนั่นเเล้วเเท้ๆ"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่! อีกอย่างไอ้สองก็มีคนรักแล้วด้วย!"
ผมพยายามเถียง อยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองดูเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ..กลับไปเป็นเด็กชายที่โดนพี่สาวใจร้ายแกล้งอีกครั้ง

"พูดอย่างกับว่าถ้าเขาไม่มีคนรักแล้วแกจะสารภาพรักแน่ะ"

"พี่!!"
ผมโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยงในขณะที่พี่ตาแค่ยิ้มมุมปาก เห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ ยัยป้าปีศาจนี้!

"อีกอย่าง ถ้าตามที่แกบอก ไอ้วินด์มันคงไม่กล้าทำอะไรสองหรอกช่วงนี้ อีก 3 เดือนจะเลือกตั้งแล้วด้วย พวกนั้นระมัดระวังกันจะตายเรื่องชื่อเสียง แกหมดห่วงไปได้เลย"
พี่ตาพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งผมก็เห็นด้วย...ผมอาจจะยืดเวลาสบายใจไปได้หน่อย อย่างน้อยก็ 3 เดือนล่ะ

"แล้ว..พี่มีอะไรให้ผมช่วยบ้าง"
ผมพยายามถาม ตั้งเเต่ที่เริ่มกลับมาพูดคุยกับพี่ตา นอกจากจะปรึกษางานและปัญหาต่างๆ ผมยังได้เห็นการทำงานของพี่ตา ได้เข้าใจว่าการมีอิทธิพลนั้นส่งผลกระทบอย่างไร มองเห็นระบบที่พ่อพยายามปูทางไว้ให้พวกเราสานต่อ

มีทั้งเงิน ทั้งอำนาจ ทั้งในโลกสว่าง เเละในโลกมืด
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมากขึ้น

และรู้สึกว่าผมควรจะได้อยู่ในตำแหน่งที่ควรเป็นของผม

ตำแหน่งของพี่ตา

พี่ตาเหลือบสายตามองผมเมื่อผมเสนอตัวจะช่วย ผมพยายามซ่อนแววตาทุกอย่างไว้หลังรอยยิ้มกลบเกลื่อน
ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอหรือใช้กำลังเเย่งชิงตำแหน่งมาหรอก
แต่ผมจะค่อยๆแทรกแซง ค่อยๆช่วยเหลือ ทำให้มากที่สุด
ยังไงพ่อก็วางตำแหน่งไว้ให้ผมตรงนี้ตั้งแต่แรก จะไม่ดีกว่าหรือหากผมรับหน้าที่นี้แทน

"ไม่มีอะไรที่แกทำได้หรอก"
พี่ตาพูด แววตาเหยียดหยามตามปกติของเธอ ผมนั่งลงข้างๆ

"ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะพี่ ผมอยากเรียนรู้งาน แบบที่พ่อต้องการ"
ผมพูด พี่ตานิ่ง

"อำนาจไม่ใช่สิ่งดี"
เธอพูดแล้วเหลือบมองผม..ผมไม่สามารถปิดบังเธอได้จริงๆ แต่ไม่ได้คิดจะยอมเเพ้

"ถ้าพี่คิดว่าไม่ดีก็เอามาให้ผม พ่อต้องการอย่างนั้น ผมก็ต้องการ"
ผมพูด พยายามทำตัวให้ดูสบายที่สุด ผมไม่อยากรีบร้อน ไม่ได้อยากจะฉกฉวยอำนาจทั้งหมดมาเป็นของตน
ผมแค่ต้องการให้พี่ตา'แบ่ง'มาให้ผมบ้าง

"ฉันอยู่ที่นี้ไม่ใช่เพราะความต้องการ..ช่วงเวลาที่แกหายหัวไปไม่รู้กี่ปี..อยู่ๆกลับมาอยากได้นู่นได้นี่ จะไม่เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อยเรอะ"

"ผมรู้..ผมรู้ ผมถึงไม่ได้รีบร้อนอะไร แค่อยากให้พี่ค่อยๆสอนผม ดูแลผม พี่จะได้วางมือจากงานนี้ได้ ผมจะรับช่วงต่อเอง"
ผมพูด มองหน้าพี่ตา พยายามทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวผม
พี่ตาดูลังเล ซึ่งไม่ใช่ลักษณะปกติของเธอนัก นั่นทำให้ผมมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอีก

"นะพี่.."

พี่ตามองผม ถอนหายใจ

"แกยังไม่พร้อม"

ผมขมวดคิ้ว กำหมัดแน่น พี่แค่หวงอำนาจ..เธอแค่ไม่อยากแบ่งมันมาให้ผม เธอกลัวว่าผมอาจทำได้ดีกว่า

"ตรงไหนที่ผมไม่พร้อม"

พี่ตาลุกขึ้น ก้มหน้ามองผม

"ถ้าแกคิดว่าพร้อมจะทิ้งทุกอย่างได้จริงๆ.. ไม่ว่าครอบครัว หรือเพื่อนรัก นั่นแหละแกถึงจะพร้อม"
เธอพูดกับผม เน้นคำว่า'เพื่อนรัก'เป็นพิเศษ
แววตาของเธอไม่เหยียดหยามอีกต่อไป ทว่าหนักแน่น ราวกับคนที่ผ่านการตัดสินใจครั้งสำคัญมานับไม่ถ้วน

"ถ้าเข้าใจแล้วอย่ามาคุยกับฉันเรื่องนี้อีก"
ผมนิ่ง ยังไม่อยากยอมแพ้จริงๆตามนิสัยคนหัวดื้อ

"ฉันเองก็ทิ้งทุกอย่างมาเเล้วเหมือนกัน ถ้าแกทำได้ ฉันอาจรับไว้พิจารณา"
พี่ตาพูดแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป เธอจบบทสนทนากับผมแบบไม่อยากต่อความอีก ผมเอนตัวลงโซฟา ในใจก็คิดถึงอนาคตตัวเอง ..สารภาพว่ามีไม่กี่ครั้งในชีวิตจริงๆ ที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างโดยคิดถึงอนาคต

ผมตัดสินใจเอาภาพที่สองให้มาดูอีกครั้งเพื่อฆ่าเวลา
ผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวหันหลังให้กล้อง กล้องถ่ายมุมสูงเห็นใบหน้าคนรักของสองที่หลับตาอย่างชัดเจน
ถ้าไม่หลับตาพริ้มเพราะกำลังเคลิ้ม ก็คงเพราะยาสลบ ไม่ก็แอลกอฮอล์
ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นหนึ่งในแผนของไอ้วินด์..ไม่สิ..เป็นแผนของมันแน่ๆ

มันที่ชอบทำทุกอย่างให้ดูเป็นเรื่องบังเอิญ
ดูเป็นเรื่องไกลตัวมันที่สุด..มันจะรู้หรือเปล่านะว่าไอ้นิสัยอย่างนี้ของมัน ทำให้เมื่อผมเห็นอะไรบางอย่างที่ดูจะเข้ากันไม่ได้ แต่'บังเอิญ'ส่งผลเกี่ยวเนื่องกันเเบบประจวบเหมาะเจาะ ผมจะคิดถึงมันขึ้นมาทันที

เรียกได้ว่าเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของมันก็ว่าได้

จะว่าไปผมพึ่งเคยเห็นหน้าพี่กฤษณ์ของสองเป็นครั้งเเรก..
แต่ทำไมกันนะ..ผู้ชายในภาพถึงได้ดูคุ้นตาเหลือเกิน

"กลับมาบ้านเร็วนะวันนี้"
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น ผมหันไป เจอชายหนุ่มผิวขาวจัดผู้มีใบหน้าสะอาดหมดจด ดวงตาหยีเล็ก และมีรอยยิ้มบนใบหน้าเเทบจะตลอดเวลา..พี่ชายคนโตของผม ทายาทอันดับหนึ่งของครอบครัว พี่ชายผู้ซึ่งพ่อและเเม่ภาคภูมิใจ ชายผู้กุมอันดับหนึ่งของผู้บริหารเเถวหน้า เขาไม่ใช่นักธุรกิจเหมือนผม ไม่ใช่เจ้าแม่ผู้มีอิทธิพลเหมือนพี่ตา เเต่เป็นผู้บริหาร ผู้ซึ่งอยู่ในแสงสว่างและได้รับความเคารพ ..

เขาน่าภาคภูมิใจ..แต่ไม่ต่างกัน ผมเกลียดเขา
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำไม

"หือม์ สนิทกับยัยตาแล้ว ไม่อยากสนิทกับพี่บ้างเหรอครับ"
พี่ชายคนโตพูดก่อนจะถอดเสื้อนอกออกพาดบนโซฟา แล้วนั่งลงข้างๆผม ผมหรี่ตา ไม่อยากไว้ใจเขา

"ถ้าสนิทกับพี่แล้วได้ไปนอนใส่น้ำเกลือแบบพ่อ ผมขอเป็นศัตรูกับพี่ดีกว่า"
ผมพูด พยายามยิ้มกลับ
มันมีคนบางประเภทที่คุณจะรู้ตัวว่าสู้ยังไงก็ไม่มีทางชนะ

พี่โต๊ะเป็นคนประเภทนั้น
เขาไม่สนใจจะคุกคามผม ซึ่งเป็นเรื่องดี พี่ชายหยิบภาพที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดูโดยไม่ได้ขออนุญาต
เขาทำด้วยความเคยชินของคนมีอำนาจ

"มีคนส่งมาแบล็กเมล์ยัยตาเหรอครับ"
พี่ชายพูดแล้วยิ้มอย่างนึกสนุก แต่ผมประหลาดใจ

"เกี่ยวอะไรกับพี่ตา"
ผมถาม

"ก็ผู้ชายคนนี้เป็นจุดอ่อนของน้องตานี่นา.."
พี่ชายยิ้มตาหยีก่อนจะเอียงคอมองผม ผมขมวดคิ้ว ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

...................................
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่16และตอนที่17) :25/11
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 25-11-2017 21:31:38
ตอนที่ 17:สีฟ้าครามจัดจับตา

ผมเดินลงมาจากเครื่องบินชั้น first class พร้อมกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เสื้อยืดเเบรนด์เนมสีขาว กางเกงยีนส์ราคาแพง รองเท้าพละยี่ห้อดัง

แว่นตาดำถูกถอดออก

และผมก็เห็นเขา

ชายหนุ่มร่างสูง ผมดำเข้มเหมือนดวงตา โครงหน้าชัด จมูกโด่ง และริมฝีปากรับกับใบหน้า
เขายืนอยู่ตรงนั้น สวมเสื้อเชิร์ตลายหมากรุก กางเกงขาสั้น รองเท้าเเตะสีส้ม ในมือถือถุงหมูปิ้ง(?!)

เมื่อเขาเห็นผม สีหน้าดูกังวลใจ
ผมก้าวยาวๆเข้าไปหา

"กูขอโทษ"
ร่างสูงพูดเสียงอ่อยๆก่อนจะก้มหน้ามองพื้นอย่างสำนึกผิด
ผมเงียบ

ความจริงผมหายโกรธพี่กฤษณ์เเล้ว
แต่พอเห็นคนตรงหน้ามีท่าทางหงอยเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง จึงอดนึกสนุกไม่ได้

"เป็นไง สนุกไหม"
ผมถาม เสียงเย็น มองหน้าพี่กฤษณ์อย่างเอาเรื่อง

"เอ่อ..กูไม่รู้ตัว..เลยไม่รู้"
พี่กฤษณ์ตอบ มองไปทางอื่น ท่าทางเลิ่กลั่ก ผมพยายามกลั้นขำสุดชีวิต

"แล้วนั่นอะไร"
ผมถาม มองไปยังถุงหมูปิ้งในมือชายตรงหน้า

"หมูปิ้ง..เผื่อ มึงหิว เดินทางมาแต่เช้า"

"รู้ไม่ใช่เหรอกูชอบขนมเค้กอ่ะ.."
ผมถามพยายามทำสีหน้าจริงจังที่สุด

"ไปกินไหมหละ กูพาไป"
ผมกอดอก เชิดหน้า

"กับเด็กคนนั้นพาไปป้ะ"

"เด็กคนไหนอ่ะ"

"นี่มีหลายคนเหรอ กูไม่อยู่แปปเดียว "
ผมพูดเสียงเข้ม ขมวดคิ้ว.. กูจะโมโหจริงๆแล้วน่ะเนี่ย

"คนที่มึงมีเซ็กส์ด้วย ผมยาวๆสีน้ำตาล"
ผมพูด พยายามคิดถึงภาพข้างหลังของเธอจากรูปภาพพวกนั้นให้น้อยที่สุด

"..น้องไอเหรอ..ก็ เคยพาไปอยู่กับยัยแก้ว แต่ภาพนั้นมัน..กูไม่รู้เรื่องจริงๆ"

ผมพยักหน้า

"กูเข้าใจ..มันอาจไม่ใช่ความผิดมึง.."
พี่กฤษณ์มีสีหน้าดีขึ้น

"..ไม่ใช่ทั้งหมด"
เขากลับมาทำหน้าหงอย หูตกเหมือนเดิม
ผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องวินด์ให้พี่กฤษณ์ฟังเมื่อกลับไปถึงไร่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเวลาของเรา ไม่ใช่ของเรื่องมัน

ผมกวักมือเรียกพี่กฤษณ์ให้มาใกล้ๆ

"เอาหมูปิ้งเหรอ?"
เขาถามก่อนจะยกถุงหมูปิ้งให้ผม ผมรับมา ยืดตัวขึ้น ก่อนจะจูบเขาเบาๆ

"เปล่า กูแค่คิดถึงมึง"
ผมกระซิบ พี่กฤษณ์เบือนหน้าไปทางอื่น ใบหูแดง เขายกมือขึ้นจะลูบหัวผม แต่ผมจับไว้ก่อน

"มึงยังอยู่ในช่วงคาดโทษ ห้ามเเตะตัวกู"
ผมพูดก่อนจะยื่นกระเป๋าเดินทางให้ แล้วเดินนำออกไปแบบเท่ประดุจนายแบบจากนิตยสาร(จริงๆ)

..................................

"รถมึงจอดอยู่ไหนวะ"
ผมถาม หันหน้ามามองคนที่เดินตามมา พี่กฤษณ์ทำหน้าเซ็งๆ

"ไม่รู้แล้วเสือกเดินนำ จะเดินกลับเองรึไง"

"เออ งั้นกูกลับ!"
ผมพูดก่อนจะถูกดึงแขนจากคนข้างหลัง

"กูขอโทษ! งอนเป็นเด็กผู้หญิงเลยนะมึง"

"มึงชอบเด็กผู้หญิงไม่ใช่รึไง ไอ้ลุงวิตถา..."
ผมยังพูดไม่จบพี่กฤษณ์ก็ดึงผมเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะก้มหน้ามาใกล้ๆ ผมหลับตา..

"..เผี้ยะ!"

"ไอ้พี่กฤษณ์! มึงดีดหน้าผากกูทำไมม"
ผมโวยวาย หน้าแดงนิดๆ..ก็ผมคิดว่ามันจะจูบผมนี่ ใครๆก็ต้องคิดทั้งนั้น! ผมลืมไปว่านี่มันไอ้พี่กฤษณ์!
คนที่ต่อมโรแมนติกมันตายด้านไปไม่รู้กี่ชาติแล้ว!! ผมจะไปคาดหวังอะไรกับมันได้!

"ไม่รู้ ก็มึงมันน่าดีด"

"เห็นกูเป็นลูกแก้วรึไง!"

"แล้วเมื่อกี้มึงหลับตาทำไมวะ แมลงเข้าตาเหรอ"
แมลงพ่องงงง...ผมเม้มปาก หน้าแดง ไม่รู้จะโมโหหรือขำดี อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง!
ผมหงุดหงิด ดันหลังไอ้พี่กฤษณ์ให้รีบๆเดินไปขึ้นรถ

..................................

"ทำไมมานี่อ่ะ.."

ผมถามเมื่อเห็นเส้นทางที่พี่กฤษณ์ใช้ มันไม่ใช่ทางกลับไร่เลยสักนิด

"พามากินเค้ก"

ผมเหลือบมองพี่กฤษณ์..ไอ้พวกพูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจนี่ทำให้ผมเขินทุกทีเลยสิน่า..

"มองไรวะ กูดูแลดีใช่ปะ สนใจมาอยู่ข้างๆกูป่าว"
พี่กฤษณ์พูดยิ้มๆ ผมทำเป็นมองออกไปนอกรถ ..มึงจะทำให้กูเขินทำเหี้ยอะไรนักหนา.. นี้ไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่นนะเว้ย!

"กูก็อยู่อยู่นี่ไง"
ผมพูดเบาๆ พี่กฤษณ์ผิวปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ผมมองบรรยากาศรอบตัว ท้องฟ้าสีครามจัดจับตา แดดร้อนๆ
รถเก่าๆวิ่งไปบนถนนกว้างใหญ่ มีตึก มีบ้านเรือนที่ไม่แออัด มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ ..

แค่ช่วงเวลาเเบบนี้ที่ผมอยากจะเก็บเอาไว้ให้นานที่สุด

ผมเริ่มฮัมเพลงไปพร้อมๆกับพี่กฤษณ์
เมื่อมีใครสักคนร้องผิด เราจะหัวเราะ และดึงดันที่จะร้องต่อให้จบ

บางทีการแสดงออกทางความรักอาจไม่ใช่แค่จูบ มีเซ็กส์ หึงหวง หรือพูดหวานๆ
แต่มันอาจเป็นแค่การร้องเพลงเพี้ยนๆ ในวันที่อากาศร้อนจัด และในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีครามจัดจับตา

..................................

"กูชอบชีสเค้ก"
ผมพูดหน้าบึ้งเมื่อเห็นพี่กฤษณ์ยกเลิกชีสเค้กที่ผมสั่งออก เหลือแต่พวกเค้กผลไม้กับช็อกโกแลต

"เดี๋ยวไปชิมที่ไร่ รีวิวด้วยว่าต้องแก้ไขอะไร ยังอยู่ในรุ่นทดลอง"
พี่กฤษณ์พูดยิ้มๆ ผมเบิกตาโต

"จริงอ่ะ?!"
เขาพยักหน้า

"ที่กูโคกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ก็เรื่องชีสนี่แหละ กำลังจะเปิดเฟรนไชส์เป็นร้านชีสเค้กกับพวกนมที่มาจากผลิตภัณฑ์ในไร่ที่มีหลายจังหวัด..ตอนแรกกูไม่แน่ใจนะ แต่พอคิดถึงมึงตอนกินชีสเค้กนี่กูตกลงทันทีเลย"
ผมยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ดีใจที่พี่กฤษณ์คิดถึงตัวเอง

"ก็เมียกูชอบกิน เปิดเองกินเอง เงินทองไม่รั่วไหล"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มกว้างกว่าผมเสียอีก ผมหุบยิ้ม หน้าแดงจัดอีกครั้ง ..เมื่อไหร่กูจะเลิกอายมันเป็นสาวน้อยเสียทีวะ?!!

"ตามใจมึงละกัน เดี๋ยวถึงไร่แล้วเอามาให้กินด้วยล่ะ"
ผมไม่ปฏิเสธ(เขินสัส นี่กูยอมรับอย่างกลายๆแล้วเหรอเนี้ย?!) พี่กฤษณ์มองผมกินอย่างไม่รู้สึกรู้สา..

เอ่อ..กูเข้าใจน้องแก้วล่ะ
มึงไม่ชอบกินของหวาน แล้วเวลากูกินก็กดดันกูเหลือเกิน!

"มึงอย่ามองได้ป้ะ"

"ทำไมวะ มึงตอนกินก็ดูน่ารักออก"

กูรู้..เอ๊ย!! ไม่ใช่!! มันอึดอัด! กูชอบกิน กูมีความสุขกับของหวานของกู แต่ไม่ได้อยากกินให้มึงมอง
ผมได้คิดอีกหนึ่งอย่าง แม้จะเป็นคนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรด้วยกันเสมอ..
คราวต่อไปถ้าอยากกินขนมหวาน ผมชวนน้องแก้วมากินด้วยดีกว่า น่าจะมีความสุขกับการกินมากกว่าโดนไอ้พี่กฤษณ์มานั่งจ้องอย่างกับจิตแพทย์แบบนี้!

หลังจากกินเสร็จ ผมก็ซื้อเค้ก 1 ชิ้นไปฝากน้องแก้ว
ก่อนที่จะเดินทางกลับไปไร่ ,กลับไปบ้าน

..................................

"พี่สองงงง คิดถึงจังเลย"
เสียงแหลมนำมาก่อนตัว น้องแก้ววิ่งมาก่อนจะกระโดดกอดผม ผมเซไปชนพี่กฤษณ์ที่เข้ามารับได้พอดี
...อย่างกะในนิยาย!!

"หื้มม อย่างกะในนิยาย!!"
น้องแก้วพูด ผมอมยิ้ม เป็นคอนิยายหวานแหววด้วยเรอะเรา ตัวเล็กแค่เนี้ย ผมมองด้วยความเอ็นดู
พี่กฤษณ์ส่ายหัวก่อนจะยื่นมือไปยีหัวน้องแก้ว

"ร่าเริงขึ้นก็ดีแล้ว พี่สองจะมาอยู่นานเลยนะรอบนี้ เดี๋ยวพี่พาสองไปเก็บของก่อน"
น้องแก้วพยักหน้า ก่อนจะพูดเบาๆกับผม

"ร่าเริงขึ้นอะไรเล่า..แก้วไม่ได้เศร้าสักหน่อย..ตอนที่พี่สองไม่อยู่มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะเเยะเลยค่ะ..เดี๋ยวแก้วเล่าให้ฟังนะ"
ผมพยักหน้า ผมอยากฟังแน่นอน และไม่อยากเห็นน้องแก้วเศร้าด้วย ผมยื่นเค้กที่ซื้อมาฝากให้สาวน้อยตรงหน้า เธอยิ้มกว้างก่อนจะขอบคุณผม ผมเดินตามพี่กฤษณ์ไปขึ้นรถ ไปบ้านพักของตน

..................................

"ทำไมมาทางนี้อ่ะ"
เอาอีกแล้ว! ไอ้พี่กฤษณ์ พาออกนอกเส้นทางอยู่เรื่อย! ที่บ้านหลักมีเวลาอาหารเย็นที่ชัดเจนคือประมาณ 18.00 น.
ถ้าเขาพาผมไปเที่ยวเล่นจนทำให้ผมไม่ได้ทักทายช่วงอาหารเย็นกับคุณลุงคุณป้า ผมจะโกรธเเน่ๆ

"ก็ไปบ้านไง"
พี่กฤษณ์พูด ผมมองด้วยความสงสัย
แต่แล้วคำถามก็หายไปเมื่อรถมาถึงสถานที่เป้าหมาย บ้านของพี่กฤษณ์

"กูจะให้มึงไปนอนเรือนรับรองได้ไง"
พี่กฤษณ์พูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เขาถือข้าวของให้ผมก่อนจะเดินนำขึ้นบ้านไป

บ้านของพี่กฤษณ์เป็นบ้านสองชั้นขนาดกลาง ตกแต่งอย่างอบอุ่นและน่าอยู่
มันคือรูปแบบของบ้านพักตากอากาศที่แท้จริง
รอบๆมีทุ่งหญ้า ด้านหลังมีไร่ดอกดาวเรือง(โครงการที่พี่แกเคยคิดทำไว้) หน้าบ้านมี..ไก่ เป็นสัตว์เลี้ยง(คนอะไรเลี้ยงไก่เป็นสัตว์เลี้ยงวะ?!!!) ผมเห็นลูกจิ๊บ(ลูกไก่สีเหลืองๆ(กูจะวงเล็บอธิบายอะไรนักหนาวะ))อยู่ในไอ้คอกๆไม้สักอย่างที่สานๆกันเป็นรูปโดม

"พี่กฤษณ์!! ลูกจิ๊บนี่ชื่ออะไรวะ!"

"จิ๊บพ่อง! นั่นมันลูกเจี๊ยบ"
พี่กฤษณ์ตะโกนมาจากในบ้าน

"เออนั่นแหละ! ชื่ออะไร กูจะได้เรียกถูก!"
ผมถามพลางคิดเล่นๆว่าเราอยู่กันสองคนในบ้านที่อบอุ่น มีลูกจิ๊บลูกเจี๊ยบเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก ..ผมอมยิ้มเล็กๆ

"ชื่อไก่ต้มกับไก่ย่างว่ะ!!"
พี่กฤษณ์ตะโกนตอบ ผมหุบยิ้ม เดินเข้าบ้านไปอย่างเซ็งๆ
คนรักของผมท่าจะขาดน้ำตาลขนาดหนัก!! ใครมีคอร์สสอนรบกวนทักแชทมาทีนะครับ ผมอยากใช้บริการ!

..................................

ผมมองผ่านหน้าต่างห้องนอนไปที่ทุ่งดอกดาวเรือง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีครามจัดจับตา
ภาพที่เห็นนี้ช่างงดงามอย่างบอกไม่ถูก

สักพักไหล่ก็รู้สึกถึงน้ำหนักของคนที่มาคลอเคลีย

"มึงใช้แป้งเย็นเหรอนี่ หอมสัส"

ผมไม่พูดอะไร..กูรู้มึงติดเเป้งเย็นตรางูไอ้พี่กฤษณ์! กูเลยใช้หลังอาบน้ำไง แผนล่อมึงนั่นแหละ!(เฮ้ย เดี๋ยวๆ หลุดๆๆ)
เมื่อเห็นผมไม่ได้ขัดขืน(แล้วกูจะขัดขืนทำไม?!) พี่กฤษณ์ก็ยิ่งได้ใจ มือเริ่มซุกซนอยู่บริเวณหน้าอกผม
ลำตัวช่วงล่างก็เริ่มบดเบียดเข้ามาหนักขึ้น ผมใช้มือดันขอบหน้าต่างไว้เมื่อเริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักที่ดันมาจากด้านหลังรุนเเรงขึ้น

"เดี๋ยว"

"อะไร.."
พี่กฤษณ์พูด ยังไม่หยุดคลอเคลียผม

"กูยังไม่อยากตกหน้าต่างตาย"

..................................

ผมนอนหอบอยู่บนเตียง เปลือยเปล่า มีพี่กฤษณ์นอนทับอยู่ ส่วนใหญ่ร้อนของพี่กฤษณ์ยังคงอยู่ในตัวผม
เขาขยับตัวเบาๆ

"..พอแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทัน"
ผมมองไปที่หน้าต่างห้อง ท้องฟ้าจากสีครามจัดจับตา เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง

"พึ่งครั้งเดียวเอง.."
พี่กฤษณ์พูดเสียงพร่า เขาซุกจมูกกับซอกคอผม พยายามคลอเคลีย เหมือนโดนเสือตัวใหญ่ๆมาอ้อนยังไงยังงั้น

"มีเวลาตั้งเยอะน่..อ๊ะะ.."
ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อพี่กฤษณ์เริ่มขยับตัวอย่างหนักหน่วงขึ้น มือหนาจับสะโพกของผมเร่งจังหวะให้การสอดประสานลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมที่ตอนแรกจะห้าม กลับเปลี่ยนเป็นครางเสียงหวานแทน

"อะ..ลึกจัง..อ๊าา..พ..พี่กฤษณ์.."

"อา..สอง..พี่จะไม่ไหวแล้ว"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเพิ่มความเร็วเเละเเรงเหมือนรู้ว่าผมชอบ ผมครางไม่ได้ภาษา ในหัวว่างเปล่า
ความสุขปนทรมานระลอกแล้วระลอกเล่าผ่านไป

พี่กฤษณ์ดูจะหิวในตัวผมเหลือเกิน
ทุกๆครั้งหลังจากจบไปรอบหนึ่ง เขาจะเป็นคนเริ่มก่อน และดูไม่มีทีท่าว่าจะพอเสียที

ผมมองไปที่หน้าต่าง ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามจัดจับตา เปลี่ยนเป็นสีส้ม
พี่กฤษณ์อุ้มผมขึ้นนั่งบนตัก ก่อนจะใช้สองมือจับสะโพกผม ยกขึ้น และเเทรกช่วงลำตัวที่เเข็งชูชันเข้ามา
เมื่อเห็นผมมองไปที่หน้าต่าง พี่กฤษณ์จึงพูดข้างๆหูผมด้วยเสียงแหบพร่า

"รอบสุดท้าย กูสัญญา"

ผมใช้แขนคล้องคอพี่กฤษณ์ ก่อนจะกดน้ำหนักลงบนส่วนใหญ่ร้อน

"บอกไปว่ากูไม่สบาย.."
ผมพูดก่อนจะขยับตัวนำจังหวะให้พี่กฤษณ์

ผมไม่สนว่าท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีอะไร

เพราะผมรู้ดี..ไม่ว่ายังไง สุดท้ายวันพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะกลับมาเป็นสีแบบที่ผมชอบอีกครั้ง..

สีฟ้าครามจัดจับตา





หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่16และตอนที่17) :25/11
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 25-11-2017 22:07:42
(http://i64.tinypic.com/2usjztz.jpg)

สวัสดีค่ะ! กลับมาพบกันอีกแล้วกับแก๊งค์นิยายโรแมนติกคอเมดี้ From NYC to KK ค่ะ!! :impress2:

สำหรับตอนที่ 16 --เราได้รู้ความคิดของตั้มเพิ่มขึ้น อดีตนิดหน่อย(เก็บไว้อีกเช่นเคยค่ะ! อดีตมันเยอะ เอาพอเป็นโฆษณาก่อน!)
กับเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของเขา รวมถึงได้รู้ปมของพี่ตาเพิ่มมาอีกนิดหน่อย(?!) อย่างที่ทุกคนทราบดี
พี่ตาเคยบอกตั้ม รวมถึงตั้มก็เล่าให้เราฟังบ่อยๆว่า พี่ตากับเฮียหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน..
แต่อย่าลืมนะคะ..พี่กฤษณ์เองก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเฮียหนึ่งเหมือนกัน..แสดงว่าเรื่องนี้อาจมีsomething!
เฮียโต๊ะบอกว่าพี่กฤษณ์เป็นจุดอ่อนของพี่ตา..เอ๊ะ ยังไง?!! :z2:
ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ! ตั้มเองได้บอกสองในตอนที่ 15 ว่าครั้งนี้จะตามมาขอนแก่นด้วย! (เรื่องนี้อาจเเซ่บเว่อร์!)

ส่วนตอนที่ 17 เป็นการกลับมาของคู่รักประจำเรื่องโรแมนติกคอเมดี้(ขอบใจที่ยังจำได้!! :เฮียกฤษณ์)
มาย้ำความรักของพวกเขาค่ะ ผ่านมาหลายตอนแล้วอาจจะลืม! ความรักที่ไม่ค่อยหวือหวาเร่าร้อน แถมยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นๆแบบกวนตีนเล็กๆ(?) น่าแปลกที่ความรักประเภทนี้มักจะมั่นคงกว่ารักแบบดูดดื่ม(ทั้งจากสถิติงานวิจัยและชีวิตจริงนะคะ)
ก็เดี๋ยวมาดูกันว่าตัวจริงกลับมาแล้วจะมีใคร'กล้า'มาวอแวอีกไหม!! หนูไอคนงามจะเป็นตัวละครใช้แล้วทิ้งจริงๆเหรอ?!!
 เจ้าวินด์จะยอมถอยไปก่อนหรือ'หลุด'ไปแล้ว.. :hao3:

แต่อย่างที่เคยบอกไว้ค่ะ สัญญาเลยว่าเมื่อเป็นเจ้าวินด์แล้วเเทบจะไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเลยค่ะ! :z3:

(สารภาพว่าขณะเขียนก็อยากเขียนนิยายเฉือดเชือนคมไม่โรเเมนติกไม่คอเมดี้ โดยมีตัวเอกเป็นเจ้าตั้ม เจ้าวินด์ ที่เกลียดกันเข้ากระดูกดำ มีเจ้าโจเซฟ พี่เปรม เฮียโต๊ะ เฮียหนึ่ง เจ๊ตา มาเชือดเฉือนกันมันส์หยดติ๋งมากๆ
แต่นั่นคงเป็นเรื่องหลังจากนี้อีกนานมากค่ะ! )

สุดท้ายผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตาม :-[
ทั้งที่มาคอมเม้นต์ให้ชื่นใจอยู่เรื่อยๆ หรือเพียงกดหลงเข้ามาก็ตามทีค่ะ

ผู้เขียนเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก ทำเพราะความสนุกและความรักล้วนๆ
ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนค่ะ(ผู้เขียนมีเงินทองมากมายค่ะ ไม่รู้จะหาเอาไปทำอะไร!(ฮา))

เพียงได้เห็นนิยายที่ตัวเองแต่งโลดเเล่นอยู่ในใจ ในความคิดคนอ่าน
ทำให้สนุก ขบคิด เพลิดเพลินได้ ผู้เขียนก็ดีใจมากแล้วค่ะ

ปล.ว่างจากราวน์วอร์ดมาพิมพ์ค่ะ(หมอร้องคนไข้ร้อง!) :o12:

 :bye2:
#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่16และตอนที่17) :25/11
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 25-11-2017 22:13:01


ดีจัง..........ตั้ม มาช่วยได้ทัน
วินด์เผยตัวไว เพราะแน่ใจว่าภาพที่ส่งมาได้ผลสินะ
แต่เหนือวินด์ ยังมีตั้ม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

สอง ทำตามที่ตั้มแนะนำน่ะถูกต้อง
แม้สอง ไม่รู้ถึงความรู้สึกของตั้ม
แต่ตั้มเป็นเพื่อนแท้ที่ตรงข้ามกับวินด์
แบบยอดเขา กับก้นเหวเลย

ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นมอมเหล้า วางยาพี่กฤษณ์หรือเปล่า
รอสองกับพี่กฤษณ์เจอกัน
เจ้าของตัวจริง ไปแสดงตัวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ถูกต้องเลยค่ะ! วินด์แน่ใจและเป็นประเภทมั่นใจในตัวเองสุดๆ
เเถมเราก็รู้แล้วว่าวินด์นั้น'ชอบ'เห็นน้ำตาสองมากขนาดไหน
เวลาสองทำอย่างนั้น เขาจึง'หลุด'ค่ะ!  :z3:

ตั้มนี่ตรงข้ามกับวินด์จริงๆนะคะ เป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกันมาก(ไม่ใช่ในความหมายโรเเมนติก!) พวกเขาเดินเกมกันได้ดีทั้งคู่ค่ะ แต่สังเกตดู ในขณะที่วินด์จะคิดว่าตัวเองฉลาด บงการใครๆได้ คู่ควร ตั้มจะคิดว่าตัวเองโง่ ด้อยค่า เดินทางผิด อะไรแบบนี้ตลอดค่ะ (แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าพวกเขาฉลาดกันทั้งคู่นั่นแหละ ตัดสินใจได้ดีแบบที่ถ้าผู้เขียนเจอกับตัวอาจไปต่อไม่ถูกด้วยซ้ำ)

ความรักของพวกเขามีมากมายจริงค่ะ แต่สุดขั้วไปคนละเเบบ
ส่วนไอ้พี่กฤษณ์พระเอกตัวจริงก็ไม่ค่อยรู้หนาวรู้ร้อนอะไรค่ะ เป็นพวกเหนือดราม่าทั้งปวง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน! :laugh:

สองต้องไปดูแลตาลุงแล้วแหละ  :hao3:

จัดไปค่ะ!! ไม่รู้ใครจะดูแลใคร แต่พอสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วรู้ทันที เรื่องนี้เป็นโรแมนติกคอเมดี้นี่นา! ไม่ใช่ดราม่าแอคชั่น!!(ตัดภาพไปที่เกมการเมืองของตั้มกับวินด์) o18

จัดการการวินด์เลยค่ะคุณตำรวจ

อยากทำมากค่ะ! แต่วินด์เป็นตัวละครที่ฉลาดจัด ทำอะไรหาหลักฐานยากมากค่ะ :angry2:
ต่อให้มีหลักฐานก็ยังยากจะจับตัวได้เหมือนเดิม..มีแค่พวกนอกกฎหมายเหมือนกันเท่านั้นเเหละค่ะที่พอจะสู้ได้(เศร้า)

สอง..มาเอาไอ้เพื่อนบ้าของแกไปเก็บด่วน :a5:

เรียกว่าบิดเบี้ยวเเบบเพี้ยนๆคงไม่พอแล้วล่ะค่ะ ..วางใจไม่ได้เลยนะ เจ้าวินด์คนนี้! :z3:

#Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 29-11-2017 23:09:27

ตอนที่ 18:แผนการ

ผมลืมตาตื่นมาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเตือนไว้เพื่อปลุกของพี่กฤษณ์
ส่วนเจ้าของโทรศัพท์นั้นนอนหลับอย่างสบายใจ แขนหนักๆทับตัวผม(เขาเรียกว่ากอดไหม?)
ขาหนักๆก็ทับผมเหมือนกัน...มึงคิดว่ากูเป็นเบาะนอนหรือไง?!!

"พี่กฤษณ์..พี่กฤษณ์..ไอ้พี่กฤษณ์ ลุก"
ผมพูดก่อนจะผลักตัวของพี่กฤษณ์ออก แต่ไอ้เสือตัวใหญ่นี้ไม่ยอม เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด ก่อนจะงึมงำๆอะไรสักอย่าง

"..หือ ว่าไงนะ"

"ขอหน่อยได้ป่าวรอบนึง"

"สัส!"
ผมพูดก่อนจะใช้เท้าถีบไอ้พี่กฤษณ์แล้วลุกไปเข้าห้องน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเดินเข้าห้องมาดูเเละเห็นว่าเขายังนอนอยู่ที่เดิม..

"ลุกๆ อย่าขี้เกียจ!"
ผมพูดอย่างจริงจัง เริ่มดุขึ้น เนื่องจากเวลาทานอาหารของเรือนหลักคือ 8.00 น.
และผมไม่อยากพลาด(จริงๆ...)

"นะครับ..น้องสองง"
ไอ้พี่กฤษณ์ยังงัวเงีย เขายกแขนขึ้นน้อยๆอย่างมีความหวัง..
ถ้ามึงอยากให้กูโผเข้ากอดแบบเด็กๆของมึง..มึงคิดผิด! ผิดมาก!
ผมกอดอก ส่ายหัว

"จะลุกไม่ลุก เมื่อวานก็ยังไม่ได้เคลียร์กันเลยนะ ..หรือไม่อยากให้กูไปเจอน้องแก้วกับลุงชัย มีความลับอะไรปิดบังหรือไง"

..ได้ผล! แหม..รีบเด้งตัวออกจากที่นอนอย่างกับติดสปริง!

"..เปล่าๆ มึงนี่..อยากคุยไรก็คุยกูจะไปห้ามได้ไง"

"อย่าให้กูรู้นะว่ามึงเริ่มกับน้องเขาก่อน"
ผมพูด มองหน้า พี่กฤษณ์ส่ายหัวจนเป็นพัดลมเบอร์ 5 (กูเปรียบเทียบอะไรของกูเนี่ย..)
ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยนะครับ นอกจากผมจะเป็นคนขี้หวงแล้ว ผมยังน่ากลัวมาก..ถ้ากูรู้ว่ามึงเป็นคนเริ่มนะไอ้พี่กฤษณ์

"อ้าว เงียบ เงียบ สงสัยง่วงง กูไปอาบน้ำละ"
ไอ้พี่กฤษณ์เดินมายีหัวผมก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป
..ดูมัน คนปกติถ้าไม่มีความลับเขาจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไหม?! อย่าให้จับได้นะ.! มึงตาย!

หลังจากพี่กฤษณ์อาบน้ำเสร็จก็ดูเหมือนเขาจะตื่น(?)มากขึ้น

"ปะ ไปกัน"
ผมพูด แต่พี่กฤษณ์หยุด..เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ขมวดคิ้ว

"มึงไปใส่เสื้อแขนยาวไป"
ผมเอียงคอ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าที่แขนมีรอยดูดจ้ำๆสีแดง..

"ร้อนสัส"

ผมพูด ส่ายหัว คือไอ้รอยเนี่ย มึงก็เป็นคนทำ แถมกูก็มีทั้งตัวแหละ ถ้าปิดแขนก็ต้องปิดคอ นี่โชคดีกูใส่กางเกงยีนส์ เลยไม่ต้องปิดขาเพิ่มอีก!

"ไม่เอา..ไปใส่"
พี่กฤษณ์พูดเสียงอ้อนๆ เหมือนจะรู้ว่าถ้าสั่งผมจะไม่ทำตาม

"แล้วคอกูต้องปิดป้ะ"

พี่กฤษณ์พยักหน้า

"เหลือแต่ห่มจีวรใส่โม่งละสัส จะได้ไม่เห็นรอย! ใครเค้าจะมาสนใจ!"
ผมพูด อาจเป็นเพราะผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็แค่รอยหลังมีเซ็กส์
ใครจะมาว่าอะไรเราได้ สิทธิใครสิทธิมันหรือเปล่าวะ?!!

"แต่กูสน"

เมื่อเห็นผมยังนิ่งเพราะถูกขัดใจ พี่กฤษณ์ก็พูดต่อ

"เห็นแล้วกูมีอารมณ์ ถ้ามึงไม่เปลี่ยนกูคงไม่ได้ทำงานว่ะวันนี้"

เขาพูดก่อนจะทำหน้าขอความเห็นใจ...ไอ้คนที่ควรขอความเห็นใจมันควรเป็นผมนี่!
ผมพยักหน้าอย่างเซ็งๆก่อนจะเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อแขนยาว หลังจากพี่กฤษณ์ตรวจดูความเรียบร้อยแล้วอนุญาตนั่นแหละ เราถึงได้เดินทางออกจากบ้าน

...................................

"ไอ้กฤษณ์นี่นะ น้องนุ่งมาไม่ดูแล ปล่อยให้ไม่สบายเสียได้ ดีนะวันนี้เป็นวันเสาร์"

ลุงชัยบ่นด้วยความระอาใจ หันไปมองพี่กฤษณ์อย่างเอาผิด วันนี้เป็นวันที่สองหลังจากเดินทางมาขอนแก่น
เรามาไม่ทันทานข้าวเย็นของเมื่อวาน จึงมาทานข้าวเช้าแทน

"ดูแลดีสุดๆแล้วลุง น้องมันดื้อเอง"
พอพี่กฤษณ์พูดแล้วมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ผมก็แทบอยากเอาหน้าซุกกับจานข้าวให้มันรู้เเล้วรู้รอด

"แต่บ้านเรานี่แขกคนมาพักอยู่เรื่อยๆเนาะ ตั้งแต่สองมา ก็มีวินด์ มีหนูไอมาอีก"
ป้าสมบัติพูดขึ้นก่อนจะยกจานอาหารมาเพิ่ม
ผมสังเกตเห็นพี่กฤษณ์มีสีหน้าเครียดขึ้น เมื่อป้าสมบัติพูดถึงไอ้วินด์และ..หนูไอ

"พี่วินด์น่ะหนูไม่ค่อยชอบเลย เเปลกๆ แข็งๆ ยังกะเเสดงละครยังไงก็ไม่รู้"
น้องแก้วพูดขึ้นก่อนจะโดนป้าสมบัติดุ

"เขาก็เป็นเด็กนอบน้อม อาจจะเงียบๆหน่อยเท่านั้นแหละ"
ป้าสมบัติรีบพูด อาจเพราะทุกคนรู้ดีว่าวินด์(เคย)เป็นเพื่อนผม เลยไม่อยากพูดอะไรตรงๆต่อหน้าผมนัก

"แต่แก้วชอบพี่ไอ! พี่สองต้องชอบพี่ไอแน่ พี่ไอสวยมาก น่ารัก ถ้าแก้วมีพี่สาวแก้วอยากมีแบบพี่ไอนี้เเหละ"
น้องแก้วพูดเจื้อยเเจ้ว พี่กฤษณ์เกือบสำลัก ผมมองหน้า

"เอ่อ..ไม่ใช่ยังงั้นนะคะพี่สอง! พี่ไอนะไม่ได้ชอบพี่กฤษณ์แบบแฟนหรอกค่ะ พี่สองสบายใจได้!"
พี่กฤษณ์พยายามพยักหน้าเห็นด้วย ผมเลิกคิ้ว..ไม่ได้ชอบแบบแฟน แต่นั่งขย่มตัวแฟนกูในห้องน้ำ
.. ถ้าชอบแบบแฟนคงจัดกันไปกลางเเจ้งเเล้วสินะ!

พี่กฤษณ์พยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง แต่ลุงๆป้าๆไม่ยอม พวกเขารายงานเรื่องพี่กฤษณ์กับน้องไอให้ผมฟังอย่างต่อเนื่อง
มีพี่กฤษณ์ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมฟังอย่างเงียบๆ ลุงป่องกับลุงชัยผลัดกันเล่าเเล้วหัวเราะขำท่าทางพี่กฤษณ์

"เอ็งนี่เป็นพวกกลัวเมียจัดสินะ! ฮ่าๆๆ"
ลุงป่องหัวเราะร่า พี่กฤษณ์บ่นงึมงำว่าผมดุ ผมมองเขาอย่างเย็นๆ แล้วเขาก็กลับไปนั่งหูตกเหมือนเดิม
นั้นยิ่งทำให้คนบนโต๊ะอาหารเฮฮาเข้าไปอีก

หลังจากทานข้าวเสร็จพี่กฤษณ์ก็ออกไปดูงานที่สำนักงาน ผมขออยู่บ้านหลักก่อน
เขาเองก็คงอยากให้ผมได้พักผ่อน จึงไม่ได้เซ้าซี้อะไร

ผมขึ้นมานั่งอยู่ในห้องกับน้องแก้ว

"นี้คือจดหมายของพี่ไอที่ทิ้งไว้ค่ะ..พี่วินด์ตอนที่รู้ว่าพี่ไอทิ้งจดหมายไว้ ดูโมโหมากเลย"
น้องแก้วพูดก่อนจะยื่นจดหมายให้ผม..ความจริงแล้ว เเม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่ผมก็ติดต่อกับน้องแก้วทางไลน์อยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นนอกจากรู้ความเคลื่อนไหวของพี่กฤษณ์จากเจ้าตัว นานๆทีผมก็ได้รู้จากน้องแก้วบ้าง

เห็นจดหมายแล้วดูโมโหอย่างนั้นเหรอ...
เขาอาจกลัวอะไรสักอย่าง..

มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กสาวที่ชื่อไอนี้จะถูกว่าจ้างมา

ผมรู้คนปกติเขาไม่ทำกัน..
แต่นี้มันไอ้วินด์..คนที่ทำได้ทุกอย่าง อย่างที่ผมเองก็นึกไม่ถึง..
ไม่อยากจะคิดว่ามันจะกล้าฉวยโอกาสทำอย่างนั้นกับผมได้ลง..ในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุด

มันอาจพูดเป็นร้อยๆครั้งว่ามันรักผม

แต่ผมขยะเเขยง

นาทีนี้แค่ให้คิดกลับไปเป็นเพื่อนมันเหมือนเดิมสำหรับผมยังทำไม่ได้
ผมไม่ใช่คนใจกว้าง ไม่ใช่พ่อพระ
ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร หรือจะโกรธหรือเปล่าที่ไอ้ตั้มทำกับมันอย่างนั้น หรืออยากจะทำอะไรกับผมมากกว่านั้น

แต่นี้ไม่ใช่ละคร แม้มันอาจจะดูเหมือนตัวร้ายจริงๆ

แต่ผมไม่ใช่นางเอก
และที่สำคัญไม่ใช่คนโง่พอที่จะโดนมันหลอกได้ซ้ำสอง

ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาปกป้อง
ผมใช้ชีวิตของตัวเองมาทั้งชีวิต ผ่านทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ร้าย
ตอนอยู่เมืองนอกก็เจอผู้คนมาหลากหลาย ทั้งเพื่อนดีเพื่อนไม่ดี
เจอทั้งคนจริงใจและคนหลอกลวง ไอ้หมอนี่กลายเป็นเพียงบทเรียนหนึ่งในชีวิตผม

และมันจะมีค่าแค่นั้น

"แต่หลังจากอ่านจดหมายเเล้วพี่วินด์ก็ไม่ได้ดูติดใจอะไรนะคะ..แก้วยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนแรกโกรธทำไม"

ผมฟังเก็บข้อมูลไป สายตาก็ไล่อ่านจดหมาย

'ถึง ทุกคน

ไอขอบคุณทุกคนที่ดูแลไออย่างดี
ไม่มีวันที่ไอจะลืมไร่แห่งนี้
มีที่ไหนอีกที่จะอบอุ่นและเรียกว่าเป็นครอบครัวได้อย่างแท้จริงเหมือนที่นี้
ทางที่ไอเลือกเดินจากมามันแสนสาหัส
เลือกเดินมาพบพี่กฤษณ์และทุกๆคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทางเลือกของไอ ขอร้องล่ะ

ช่วยอย่าลืมไอก็พอ..

ด้วยรัก

ไอ'

มันก็ดูเผินๆเหมือนจดหมายบอกลาธรรมดา..ผมขมวดคิ้ว

เธอต้องการจะบอกอะไรหรือเปล่า จะเป็นอะไรที่คนฉลาดเป็นกรดอย่างเจ้าวินด์ยังมองข้ามไปได้..

"แก้วคิดว่าไงกับจดหมายนี้..คิดว่าไอซ่อนอะไรบางอย่างไว้หรือเปล่า"
ผมถาม น้องแก้วทำตาโต

"พี่ไอจะทำอย่างนั้นไปทำไมคะ! ...ต..แต่ มันก็มีเรื่องแปลกๆอยู่"
น้องแก้วพูดก่อนจะชะงักเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอดูลังเล ไม่แน่ใจ

"เรื่องแปลกๆ?"
ผมถาม น้องแก้วพยักหน้ารับ

"คือไม่รู้แก้วคิดไปเองหรือเปล่า ตอนอ่านในใจ อ่านผ่านแวบๆก็ไม่ได้สังเกตอะไรหรอกค่ะ แต่แก้วชอบคิดถึงพี่ไอ เลยเอาจดหมายมาอ่านออกเสียงบ่อยๆ.."
เด็กหญิงนิ่ง ก่อนจะครุ่นคิด

"แล้วตอนอ่านออกเสียงมันสะดุดแปลกๆ ช่วงท้ายๆ ตรง ขอร้องละ ทุกทีเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แปลกไหมอ่ะ"
น้องแก้วถาม ขมวดคิ้ว ดูงงๆ ผมพยายามดูจดหมายอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยคที่ว่า ขอร้องล่ะ

แต่ก็มองไม่เห็นอะไร จนในที่สุด ผมจึงลองอ่านออกเสียง

'ถึง ทุกคน

ไอขอบคุณทุกคนที่ดูแลไออย่างดี
ไม่มีวันที่ไอจะลืมไร่แห่งนี้
มีที่ไหนอีกที่จะอบอุ่นและเรียกว่าเป็นครอบครัวได้อย่างแท้จริงเหมือนที่นี้
ทางที่ไอเลือกเดินจากมามันแสนสาหัส
เลือกเดินมาพบพี่กฤษณ์และทุกๆคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในทางเลือกของไอ ขอร้องล่ะ

ช่วยอย่าลืมไอก็พอ..

ด้วยรัก

ไอ'

แล้วผมก็ได้พบคำตอบ..สิ่งที่ได้พบทำให้ตัวชาไปวูบหนึ่ง
การแบ่งประโยคนั่นเอง..ทุกประโยคดูเหมือนจะจบไปเป็นบรรทัดๆหมด ยกเว้นประโยคนี้ ..ทำไมไม่เขียนเริ่มต้นคำว่า ขอร้องล่ะ ลงบรรทัดใหม่.. หรือการขึ้นบรรทัดใหม่แต่ละครั้งมีความหมายอะไรสักอย่าง

..มีบางคำที่จำเป็นต้องอยู่คำแรกของทุกบรรทัด

ผมอ่านคำแรกของแต่ละบรรทัดในใจ

'ถึง ทุกคน ...ไอ ..ไม่ ..มี ..ทาง ..เลือก ..ช่วย..ด้วย ..ไอ'

ผมตกใจ..ถ้าสิ่งที่ผมคิดเป็นจริง ผู้หญิงคนนี้เองก็คงตกอยู่ในอันตรายไม่ต่างจากผมหรือพี่กฤษณ์ในอดีต
ไอ้วินด์อาจหาทางปิดปากเธอ เขาดูไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้หลักฐานที่มีสิทธิทำลายชื่อเสียงของเขานี้หลุดไป

"น้องแก้วพอจะมีภาพน้องไอไหม"
ผมถาม สีหน้าเคร่งเครียด

"เคยถ่ายไว้อยู่ค่ะ อาจไม่ค่อยชัดนะ"
น้องแก้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ผมกดส่งภาพเข้าเครื่องตัวเอง
ผมไม่รู้จักเธอมาก่อน เธอดูเหมือนสาวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ดูบอบบางแบบที่หากอยู่ในกำมือของหมาป่าแล้วคงสั่นด้วยความกลัวจนตายไปเอง..

ผมขอบใจน้องแก้วก่อนจะขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์หลังบ้าน

"ตั้ม กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อยว่ะ"

"กูเห็นล่ะ ภาพนั่นสินะ"

"อือ กูส่งภาพผู้หญิงคนนั้นแบบที่เห็นหน้าไปแล้ว มึงช่วยหาให้หน่อยสิว่าเธอเป็นใคร..กูไม่แน่ใจ บางทีเธออาจตายแล้ว"
ประโยคหลังผมพูดเสียงเบา

"ยังไม่ตายหรอก"
ไอ้ตั้มพูดกลับมา น้ำเสียงแน่ใจจนผมสงสัย

"แต่กูจะดูให้"
ผมโล่งใจไปอย่างหนึ่ง เพราะผมเองนั้นไม่ได้มีเส้นสายที่จะหาข้อมูลคนได้แบบไอ้ตั้ม(ที่ตอนนี้มันเล่าให้ฟังว่ากลับไปคุยกับพี่สาวที่มันเกลียดนักหนา)

"เออ พรุ่งนี้กูไปถึงน่ะ"
ไอ้ตั้มพูด มันมาเร็วจนผมแปลกใจ..

"พี่ตาก็จะมาด้วย พี่ตากับไอ้พี่กฤษณ์ของมึงเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน"
ผมขมวดคิ้ว ทำเป็นไม่สนใจคำว่า'เคย'ของไอ้ตั้ม..โลกกลมเหลือเกิน

...................................

"ไม่ได้ทักมานานเลยนะตา เป็นไงบ้างวะ"
พี่กฤษณ์พาผมมารับเพื่อนสนิทของเขา..และผมก็มารับเพื่อนสนิทของผม

"ก็สบายดีว่ะ แกล่ะเป็นไงมั่ง"
ผมมองพี่สิตาด้วยสายตาแปลกไป..เธอไม่ใช้แววตาเหยียดหยาม น้ำเสียงดูถูก ..ปกติรอบตัวเธอจะมีพวกลูกน้อง(ผมรู้แต่ว่าเธอบริหารธุรกิจของครอบครัวอย่างที่เคยบอก แม้จะไม่รู้ว่า'ธุรกิจ'อะไร แต่ก็พอเดาได้)
เธอที่แต่งตัวงดงาม ดูโฉบเฉี่ยวอยู่เสมอ บัดนี้กลับทำตัวเหมือนสาวห่ามๆ คนสบายๆที่'อะไรก็ได้'
แถมยังใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์อีก!

ผมเหลือบมองไอ้ตั้ม มันกลอกตากลับมา
ส่งสัญญาณประมาณว่า 'กูก็ไม่รู้เจ๊เป็นเหี้ยอะไรเหมือนกัน'

"ก็ดี เรื่อยๆ เนี้ย ไอ้สอง น้องไอ้หนึ่ง"
พี่กฤษณ์โอบไหล่ผม พี่ตาพยักหน้ารับ

"เป็นแฟนกันเหรอ ไอ้ตั้มเล่าให้ฟัง"
ผมเเทบสำลัก ไอ้ตั้มมองไปทางอื่น พี่กฤษณ์ยิ้มกว้าง

"เออ ..แล้วแกล่ะ ไม่คิดจะหาแฟนบ้างเรอะ ฉันยังอยากไปงานแต่งเพื่อนนะเว้ย"
พี่กฤษณ์พูดแซวๆ แต่พี่ตาได้แต่ยิ้ม

"ฉันรักได้แค่คนเดียวมานานแล้วว่ะ"
เธอพูดก่อนจะมองหน้าพี่กฤษณ์ด้วยสายตาลึกซึ้ง... ผมขมวดคิ้ว ไอ้ตั้มดูอึดอัดใจ

"ทำไมไม่สารภาพไอ้หนึ่งไปสักทีล่ะวะ..แกชอบตั้งแต่สมัยเรียน...จนมันมีแฟนไปแล้วเนี่ย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะส่ายหัว เดินนำเราขึ้นรถ

"มันโง่ ทำยังไงก็ไม่รู้ตัวหรอก"
พี่ตาพูดแล้วเดินตามไป ผมเดินรั้งท้ายรอไอ้ตั้ม

"เพื่อนเหี้ย! มึงจะให้พี่มึงมาแย่งแฟนกูรึไง"

"กูไม่ได้ตั้งใจ..มึงรู้ด้วยเหรอ?!"
ไอ้ตั้มพูดเสียงอ่อยๆ ...พูดซะขนาดนี้! กูไม่รู้ก็ควายล่ะ โชคดีที่ไอ้พี่กฤษณ์มันเป็นพวกตายด้าน เลยไม่รู้สึกรู้สาอะไร!
เออมีคนรักเป็นพวกไม่มีเซ้นต์ด้านความโรแมนติกก็ดีไปอีกอย่าง! สาวที่ไหนมาจีบมาทอดสะพานมันก็เอ๋อ ไม่รู้ตัว

"แล้วเรื่องเด็กที่ชื่อไอ ไปถึงไหนแล้ววะ"
ผมกระซิบถาม

"พี่กูบอกจะจัดการให้ พอพี่กูรู้ว่าเป็นไอ้พี่กฤษณ์ แค่เส้นผมข้างหลังเจ๊ยังให้คนไปสืบหามาได้..เห็นบอกว่าเจอตัวเเล้ว
พรุ่งนี้จะจับส่งมาที่นี้"

ไอ้สัส...โหดชิบหาย!! ผมมองอย่างอึ้งๆ
ถ้าเจ๊ของมึงรุกพี่กฤษณ์กูขึ้นมาเมื่อไหร่..กูจะเอาอะไรไปสู้วะ?!!

"พี่ตาจะกลับเมื่อไหร่วะ"
ผมถามเบาๆ ไอ้ตั้มส่ายหัว

"ไม่รู้ว่ะ..พอรู้ว่ากูจะมาหามึงก็บอกจะมาด้วยเลย กูก็ขัดอะไรไม่ได้"

ผมมองไอ้ตั้มอย่างขัดใจ ก่อนจะรีบเดินให้ทันพี่กฤษณ์กับพี่ตา

"พี่กฤษณ์~ สองอยากแวะซื้อเค้ก~"
ผมแทรกตัวเข้าไปอย่างนางมารร้าย ก่อนจะกอดแขนพี่กฤษณ์ไว้ พี่กฤษณ์มองผม เบิกตาโต ก่อนจะหัวเราะขำ

"ฮ่าๆๆๆ มึงหวงกูทำไมเนี่ยย ตามันเป็นเพื่อนรักกู สนิทกันจนรักกันไม่ลงล่ะ"
แหม..ทีแบบนี้ล่ะดูออกว่ากูหวง! ตอนผู้หญิงร้อยแปดทอดสะพานให้เสือกโง่กระทันหัน!!

"เนี่ย สมัยก่อนนะ กูค่อนข้างจะนักเลงนิดๆไง ไอ้หนึ่งเป็นเพื่อนที่คอยตั้งใจเรียนแทนระหว่างที่กูกับตาไปเคลียร์เรื่องวิวาทอยู่ เป็นคู่หู เป็นพี่น้อง..ส่วนมึงอ่ะ เป็นเมีย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะบิดจมูกผมอย่างมันเขี้ยว ผมหน้าเบ้ ลอบมองพี่ตา ..เธอไม่มีสีหน้าขัดใจเลยสักนิด
ไม่ได้ดูไม่พอใจผม เธอเองยังหัวเราะไปกับพี่กฤษณ์ด้วย...หัวเราะไปทั้งๆที่แววตาที่มองนั้นลึกซึ้งเหลือเกิน

ผมประหลาดใจ
แน่ใจว่ามันคือความรักแน่ และอาจไม่ใช่แบบเพื่อนด้วย

คนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยได้ แต่ไม่ได้ครอบครอง
มันจะเจ็บขนาดไหนกันนะ...

..................................

ปรากฎว่าพี่ตาไม่ได้ทำตัวน่าเป็นห่วงเลยสักนิด เธอรู้ขอบเขตของตัวเองดี และรู้ด้วยว่าผม'มอง'อยู่เสมอ
แต่เรื่องที่เธอสนิทกับพี่กฤษณ์ทำให้ผมแปลกใจ ..พวกเขาดูสนิทกันจริงๆ

เหมือนกับว่ารู้ใจกันทุกอย่าง
จนผมอดอิจฉาไม่ได้

พี่ตากับตั้มได้พักอยู่ที่เรือนรับรอง
ผมกลับบ้านพี่กฤษณ์มาพักผ่อนก่อนเวลาอาหารเย็น

ผมนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ดูไก่ต้มกับไก่ย่างเดินส่ายหัวดุ้กดิ้กไปมา
สักพักพี่กฤษณ์ก็มานั่งข้างๆ

"มึงดูสนิทกับพี่ตามาก"
ผมพูด พี่กฤษณ์พยักหน้ารับ

"ตาเป็นผู้หญิงเก่ง สมัยเรียนเป็นคนสวยมากๆ แถมยังนามสกุลดังสุดๆ ตอนแรกยัยตาก็พยายามทำทุกอย่างให้สมบรูณ์แบบเท่าที่เด็กผู้หญิงจะทำได้"
พี่กฤษณ์เงียบไปสักพักเหมือนคิดถึงความหลัง

"เธอต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล เธอต้องรับผิดชอบ ต้องสมบรูณ์แบบ ต้องเพียบพร้อม.."

"ตอนที่กูเจอตาครั้งเเรกกูยังคิดเลย ผู้หญิงอะไรสวยเป็นบ้า! เรียนก็เก่ง ดูดีทุกอย่าง."

ผมหน้าบึ้ง พี่กฤษณ์เห็นก่อนจะใช้แขนโอบตัวผมมานั่งใกล้เขามากขึ้น

"แต่กูรู้ ความจริงยัยนั่นนิสัยแย่ ทั้งเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ชอบดูถูก และบ้าอำนาจ..ยัยตานี่ลับหลังชอบแกล้งพวกเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า เป็นประมาณหัวหน้าแก๊งค์หญิงยังงั้น"

"แล้วพี่ไปสนิทกันได้ไงอ่ะ"
ผมถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์จะไม่ใช่คนที่ชอบรังแกคนอื่นเลย

"ก็ยัยนั่นมาแกล้งไอ้หนึ่งอ่ะดิ สมัยนั้นไอ้หนึ่งมันก็ตัวเล็กๆเอง เป็นเด็กเรียนง่าวๆ กูก็เลยรู้ ไอ้ความงามนั่นฉากหน้า"

"เสร็จแล้วก็ทะเลาะกันใหญ่โต ยัยนั่นไม่หยุด แต่กูก็เป็นคนพูดตรงๆ ทำอะไรก็ตรงๆ เพื่อเพื่อนกูก็สู้เหมือนกัน.."

ผมฟังเรื่องของพี่กฤษณ์เพลิน สรุปคือ พี่ตาได้มาสนิทกับพี่กฤษณ์เพราะบังเอิญพี่กฤษณ์ไปเจอพี่ตาร้องไห้ ตอนแรกว่าจะเข้าไปถากถางแต่เห็นน้ำตาแล้วใจอ่อน เลยไปปลอบแทน พอได้คุยกันถึงเข้าใจกันมากขึ้น พี่ตาก็เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกับพี่กฤษณ์และเฮียหนึ่ง ไปไหนไปกันสามคน นิสัยก็ยังแย่อยู่อย่างนั้น แต่ก็เป็นพื้นที่เดียวที่เป็นตัวของตัวเองได้

"เพราะงั้นมึงไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรเลย กูกับตาน่ะ เรารักกันแน่ แต่แบบเพื่อนจริงๆ"
ผมพยักหน้ารับ ซุกหน้าลงกับหน้าอกของพี่กฤษณ์

"กูก็ไม่อยากห่วงหรอก แต่มันก็มีหวงบ้าง มึงสนิทกันเกินอ่ะ"

"ถ้ามึงรู้สึกมันมากไปก็บอกกูเลย กูถอยได้ ตามันก็เข้าใจ"
พี่กฤษณ์พูดอย่างเป็นห่วงความรู้สึกผม ...เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกโชคดีที่มีเขาเป็นคนรัก
ใครมันใจร้ายทิ้งพี่มาได้ลงคอวะ..?! อย่ากลับมาทวงล่ะกัน!

"อีกอย่าง กูเนี่ย หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นล่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะถอนหายใจ

"เว่อสัส"

"จริงๆนะ กูอยากจับมึงแต่งงานดึงเข้าบ้านเลย มาอยู่กับกู ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ กูเลี้ยง กูดูแลได้"
พี่กฤษณ์พูด แต่ไม่มองหน้าผม กลับมองไปที่พวกไก่ต้มไก่ย่างแทน
อาจเป็นเพราะเขาเองก็รู้..มันไม่ใช่เรื่องที่จะจริงจังได้

ไม่ใช่เราไม่รักกันจริงจัง..
แต่ผมเองก็ยังมองหนทางที่เราจะอยู่ด้วยกัน โดยไม่ทิ้งภาระหน้าที่ของเราสองคนไว้ไม่ออก

ผมคิดถึงความรู้สึกที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วเห็นหน้าเขา

"กูก็เหมือนกัน"
ผมพูดเบาๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ

"เห็นแก่ตัวไปเนาะกู"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะหัวเราะ ผมไม่ตอบอะไร..ผมก็อยากเห็นแก่ตัวเหมือนกัน..อยากทิ้งทุกอย่างเเล้วมาอยู่กับเขา

"เออ..เรื่องไอ้วินด์.."
ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องโดยเล่าเรื่องไอ้วินด์ให้พี่กฤษณ์ฟัง ทั้งแผนการทั้งหมด ทั้งจดหมายของน้องไอ..
พี่กฤษณ์มีสีหน้าเคร่งเครียด จนกระทั่งถึงตอนที่ไอ้วินด์พยายามจะข่มขืนผม

"กูเข้าใจล่ะ...ในที่สุด"
พี่กฤษณ์พูด เสียงเหี้ยมจนผมนึกกลัว

"จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ก็คือมึง"

ผมเอียงคอ ไม่เข้าใจที่พี่กฤษณ์พยายามจะสื่อ

"กูคิดมาตลอดว่ามันทำเพราะนายมันสั่ง กูถึงได้เห็นใจ เข้าใจ มันอาจขัดคำสั่งไม่ได้ มันอาจเป็นเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง..แต่จริงๆแล้วไม่ใช่.."

"มันทำเพราะมันหลงมึง"
พี่กฤษณ์ไม่ใช้คำว่า 'รัก' เขาอาจเข้าใจความหมายมันดีเกินกว่าจะใช้คำนั้นได้

"มึงไม่เป็นไรนะ.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะใช้สองมือมาจับแก้มผม มือที่หนา สาก ไม่ได้นุ่มนวลเลยสักนิด
แต่เเววตาของเขา บ่งบอกทุกอย่าง ...

"กูขอโทษที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

ผมสบตาพี่กฤษณ์ นิ่ง ยาวนาน ก่อนจะยิ้มบางๆ

"แค่กูอยู่กับมึงกูก็หายแล้วว มันทำอะไรกูไม่ได้หรอก"
ผมพูดเบาๆ แต่มั่นใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ พี่กฤษณ์พยักหน้า

"กูจะไม่ปล่อยมันไว้เเน่.."

"มึงทำอะไรไม่ได้หรอก..มันมีนายใหญ่หนุนหลัง มันมีอิทธิพล"

ผมพูดด้วยความสัตย์จริง แต่พี่กฤษณ์ยิ้ม

"อีก 3 เดือนจะเลือกตั้ง..มึงรู้ไหมตอนนั้นใครมีอำนาจมากที่สุด"
ผมยิ้ม เข้าใจความคิดของเขา.. ผมตอบพี่กฤษณ์เบาๆ ทว่าหนักแน่น

"ประชาชน"

พี่กฤษณ์พยักหน้า
.................................
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 29-11-2017 23:11:30
 

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ พี่ตาก็ฉายหนังม้วนเดียวกันกับที่ผมเล่าให้พี่กฤษณ์ก่อนหน้านี้ฟัง พี่กฤษณ์พยักหน้ารับ

"ลูกน้องของฉันตามหาตัวเด็กที่ชื่อไอเจอเเล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะพาเธอเดินทางมาที่นี้"
พี่ตาพูด

"ฉันไม่คิดว่าการจับมันเข้าคุกจะมีประโยชน์"
เธอยังคงพูดเสริม พี่กฤษณ์ส่ายหัว

"มันเป็นเด็กเกรียง ถ้ามันทำอะไรเสียหาย เกรียงก็เสียไปด้วย สั่งเผาไร่,สั่งเผาคอนโด หรือพยายามฆ่าเด็กหญิงคนหนึ่ง.."

"แกไปทำอะไรไอ้วินด์ไม่ได้หรอก.."
พี่ตาพูด สีหน้าดูกังวล

"ฉันไม่ได้จะทำ นายมันต่างหากจะทำ"
แล้วทันใดนั้นทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้าใจแผนการของพี่กฤษณ์..เราทำอะไรมันไม่ได้จริง แต่นายใหญ่มันนั่นแหละ คนที่กำหนดชีวิต และความเป็นความตายของมัน..ถ้ามันมีข่าวเสีย ถ้ามันทำให้โยงไปถึงนายใหญ่ได้

มันจะกลายเป็นตัวหมากไร้ค่า
หรือไม่ก็หมดอนาคตทางการเมืองไปเลย..

"แต่..นักการเมืองหลายคนก็มีประวัติเหลวแหลก บางคนก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำธุรกิจมืดด้วยซ้ำ ก็ยังมีอนาคตทางการเมืองได้ คนที่นี้เขาไม่ได้นิยมตรวจสอบหลักฐานกันนี่ครับ.."
ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นช่องโหว่ในแผนการ

"ก็ใช่ บางคนอาจจะเป็นอย่างนั้น..แต่คนที่รักภาพลักษณ์สุดๆอย่างไอ้วินด์ ไม่ใช่แน่.."
ไอ้ตั้มพูดขึ้นอย่างมั่นใจ เขามองพี่กฤษณ์ด้วยความชื่นชม

"แผนนี้จะสำเร็จ"
ไอ้ตั้มพูด และพี่ตาพยักหน้า

"ฉันมีเทปบันทึกหลักฐานเรื่องการเผาคอนโด.."

..................................

หลังจากหารือวางแผนกันเสร็จ ผมกับพี่กฤษณ์เดินทางกลับที่พัก
เมื่ออาบน้ำเสร็จผมก็เดินไปหยิบหนังสือจากชั้นของพี่กฤษณ์มาเล่มหนึ่ง ก่อนจะนั่งอ่านบนโซฟา
สักพักพี่กฤษณ์ก็มานอนตักผม เขาหยิบรีโมทเปิดทีวี ดูการแข่งขันบอลคู่สำคัญ

"มึงดูบอลป่าว"
พี่กฤษณ์ถาม

"ไม่อ่ะ กูอ่านหนังสือ มึงดูเลย.."
ผมพูดก่อนจะหันไปสนใจหนังสือตรงหน้า..เรื่องการท่องเที่ยวในประเทศ
พี่กฤษณ์ให้ความสนใจกับทีวีต่อ

"เยสสสส! "
 มีกูอยู่ข้างๆ แต่มีค่าแค่หมอนไว้ดูบอลถูกไหม?!...ผมเขม่นตามองคนข้างๆ แต่เขาไม่สนใจ สักพัก...

"เฮ้ย! ทำไมให้ใบแดงซาลาห์วะ?!!"
พี่กฤษณ์ลุกๆดิ้นๆอยู่บนตักผม ไม่ก็เกร็งตัวทุกครั้งที่ลิเวอร์พูลมีโอกาสจะทำเเต้ม..

กูอ่านไม่รู้เรื่องเลย! ผมลุก

"กูไปอ่านในห้องนะ"
แต่พี่กฤษณ์ใช้มือหนาจับผมไว้เเน่น

"จะไปไหนน อย่าไป.."

"กูอ่านไม่รู้เรื่องเนี่ย..เดี๋ยวดูบอลเสร็จมึงค่อยตามเข้าไป"
ผมพยายามแกะมือออก พี่กฤษณ์ไม่ยอมปล่อย เเถมยังเอาหน้ามาซุกตักผมอีก..

"งืมม ไม่เอาา นี่ความฝันกูเลยนะ ดูบอลข้างมึงเนี่ย.."

"โตเป็นควายล่ะ อย่าทำตัวเป็นเด็ก..ฮ่าๆๆ พี่กฤษณ์! กูจั๊กจี้!"
ผมหัวเราะเมื่อพี่กฤษณ์พยายามเอาจมูกมาถูไถบริเวณขาอ่อนของผม
พี่กฤษณ์งับเจ้าสองน้อยผ่านผ้าของกางเกงขาสั้นตัวบาง ผมสะดุ้ง

"มึงไปดูบอลล มันจะยิงอีกแล้วเนี่ย.."
ผมพยายามดันหัวพี่กฤษณ์ออก แต่แน่นอน ไม่(เคย)สำเร็จ

"กูก็กำลังจะยิง"
พี่กฤษณ์พูดแล้วผมก็หัวเราะ วางหนังสือลงข้างๆโซฟา ก่อนจะหยิบเจลหล่อลื่นที่อยู่ใกล้ๆกันมาแทน

..................................

พี่กฤษณ์นอนอยู่บนตัวผม จมูกยังซุกไซ้อยู่บริเวณยอดอก

"กูชอบโซฟาอ่ะ มันนุ่มดี ไม่เจ็บหลัง"
ผมพูดในขณะที่นอนร่างเปลือยเปล่า ปล่อยให้ไอ้เจ้าเสือนี่สำรวจร่างกายตามใจชอบ แบบที่พี่กฤษณ์ชอบทำหลังมีเซ็กส์เสร็จ

"ที่เตียงไม่นุ่มพอหรอ"
พี่กฤษณ์พุดเสียงงึมงำๆ ลิ้นกำลังไล่วนบริเวณท้องน้อยของผม

"มันไม่นุ่มเท่าไง มึงชอบขย่มแรงอ่ะ"
ผมพูด รู้สึกอายๆ(เล็กน้อย..ให้ได้อายหน่อยครับ! เห็นงี้ก็เหอะ!)
พี่กฤษณ์เงยหน้าขึ้นมองผม

"สรุปมึงชอบแรงหรือไม่แรง"

ผมไม่ตอบ..กูชอบแรง..แต่หลังกูไม่ได้ชอบไง!
เมื่อเห็นผมไม่ตอบพี่กฤษณ์ดูจะหมั่นเขี้ยว เขาเปลี่ยนมาดูดยอดอกผมอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องทางด้านล่างแล้วขยับเข้าๆออกๆ

ผมครางเบาๆ..มันเสียววูบวาบ..แต่มันยังไม่ใช่..
ผมไม่ต้องการนิ้ว..

"พี่กฤษณ์.."
ผมพูดเบาๆ เมื่อจังหวะเริ่มเร็วขึ้น ขาของผมหนีบเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

"อะไร..สองอยากได้อะไรครับ?"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยกเข้ากฤษณ์น้อยซึ่งขนาดไม่ได้น้อยเลยให้ผมดู..

ผมมองดูหน้าคนรัก โครงหน้าหล่อเข้มชัดเจน ผิวสีเเทนที่มีเหงื่อผุดพร่างพราว รูปร่างแข็งแรงดูสุขภาพดี ..กับเจ้ากฤษณ์น้อยที่เข้าไปอยู่ในตัวผมบ่อยๆ..

ไอ้นี่นะเหรอที่เข้าไปในตัวผม..

ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกที่เห็นภาพโป๊แล้วมีอารมณ์สุดๆก็ตอนนี้เเหละ
ไม่เคยคิดว่าเมื่อต้องมาเห็นร่างกายที่ไม่ต่างกับตัวเองสักอย่างแล้วจะมีอารมณ์ขึ้นมาได้

"สองอยากได้..พี่กฤษณ์"
พี่กฤษณ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะใส่มันเข้ามา..สารภาพว่าตั้งเเต่มาอยู่กับพี่กฤษณ์ เราไม่ค่อยได้ใช้ถุงยางเท่าไหร่ เนื่องจากมันหมดเร็วมาก..(อย่าทำตามนะเด็กๆ!!) ผมกับพี่กฤษณ์ถึงได้สัมผัสกันเเนบแน่นทุกส่วน(ทุกวันด้วย..อย่าทำตามอีกแล้ว!) พี่กฤษณ์ขยับตัวอย่างช้าๆแต่หนักหน่วงทุกครั้ง ผมแทบจะขาดใจ

"..พ..พี่กฤษณ์ เร็วกว่านี้ได้ไหมอะ.."
ผมพูด น้ำตาคลอ ข้างในรู้สึกถึงสัมผัสทุกส่วน อยากเร่งให้อารมณ์ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แต่คนข้างบนกลับไม่เร่งให้เลย

"อือ..สองชอบ..พี่กฤษณ์ขย่มเลยได้ไหม.."
ผมขอร้องแกมวิงวอน พี่กฤษณ์ที่กำลังขยับตัวออก ถอนตัวออกจนสุด

"อนุญาติแล้วนะครับ.."
เสียงห้าวพูดอย่างแหบพร่าก่อนจะใส่เข้ามาจนมิดด้าม
ผมกรีดร้อง ครางเรียกชื่อคนรัก ก่อนจะรู้ตัวว่าเป็นกับดัก บอลก็จบเสียเเล้ว

"แผนของพี่เหรอ..พี่กฤษณ์ ใจร้ายว่ะ.."

"แผนมึงน่ะสิ..บอลกูจบเเล้วเนี่ย.."

งานนี้ไม่รู้ใครหลอกใครสำเร็จ
แต่ถ้าคุณพนันไว้ข้างผม..คุณไม่มีทางเเพ้หรอก!


จบไปแล้วกับตอนที่ 18 แผนการ นี้!
สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนเฉลยปริศนาจดหมายของไอ(ในตอนที่14) :impress2:
+แผนการของพี่กฤษณ์ค่ะ!(โชคดีจังน้า มีคนคอยสนับสนุนมากมาย!)
พี่กฤษณ์แม้จะดูเอ๋อๆไปบ้างเวลามีคนมาจีบ แต่เรื่องอื่นแกพึ่งพาได้หมด อารมณ์ฝากชีวิตไว้ได้เลย (ฮ่าๆ) :กอด1:
ติดตามกันต่อไปค่ะ ว่าแผนการนี้จะสำเร็จไหม เจ้าวินด์จะรับมืออย่างไร!!
แล้วสรุปพระเอก-นายเอกจะได้อยู่ด้วยกันแบบไหนเนี่ย!! หรือจะRealisticแบบแยกๆกันอยู่ไป(ม่ายยยย) :katai1:
แล้วเรื่องนี้จะกล้าเรียกตัวเองว่าโรแมนติกคอเมดี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?!!
แล้วไอ้นิยายนอกกระเเสที่เขียนไป 18กว่าตอนแต่จำนวนวิวคนอ่านเหมือนมี3ตอนนี้จะไปจบเอาตอนไหนน?!! :o8:

โปรดติดตามตอนต่อไปค่า :bye2:

#Anynomous

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-11-2017 03:18:00
ชอบคู่นี้
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่18) 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-11-2017 06:58:48
โอยๆ..........สนุกมากกกกกกกกกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อยากอ่านต่ออีกแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:

แผนพี่กฤษณ์ ที่หื่นตลอด
หรือแผนสอง ที่วางตัวเองล่อให้พี่กฤษณ์มีอารมณ์
สุดท้ายก็ วิน-วิน ทั้งคู่ มีความสุขสุดๆ เอ่อ........คนอ่านก็ชอบ  :hao5: :sad4: :heaven

พี่ตา ร้ายมาแต่เด็กๆ เหมือนถ่ายทอดทางยีนได้นะ
(ยีนมันเจือจางลงแน่เลย จากพี่ชาย ---> พี่ตา ---> ตั้ม
เหลือมาถึงตั้มเลยได้น้อยกว่าพี่น้อง)
ทำไมตั้มพูดเหมือนที่พ่อไปนอนโรงพยาบาลเพราะพี่ชาย  o22 o22 o22

ขนาดพี่กฤษณ์ยังรู้ว่าพี่ตาร้าย
พี่ตา แอบรักพี่กฤษณ์มาตั้งแต่เรียนด้วยกัน  ดีนะที่พี่กฤษณ์ซื่อบื้อเรื่องนี้
แต่จริงๆอาจเป็นเพราะวางพี่ตาไว้แค่เพื่อนเลยไม่สนใจด้านอื่น
เฮียหนึ่ง ชอบพี่ตา  ตอนเด็กเคยโดนพี่ตาแกล้งด้วย o22
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่19)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 17-12-2017 23:26:58

ตอนที่ 19:เดินทาง

"วันนี้พี่กฤษณ์จะพาทุกคนไปเที่ยวสวนสัตว์กันน้า! เตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่ไหมคะ!"

เสียงแหลมของมัคคุเทศก์ตัวน้อยดังขึ้น ผมพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู
พี่กฤษณ์บอกแผนการไปเที่ยวสวนสัตว์เขาสวนกวางตั้งแต่เมื่อวาน
เมื่อคืนก่อนนอนเขายังบอกย้ำแก่ผมอีกว่านานๆทีจะมีโอกาสที่ทั้งเพื่อนกับครอบครัวจะพร้อมหน้า

'คนรักล่ะ!'
ผมถาม รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกมองข้าม

'มึงอยู่ส่วนครอบครัว'
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะห่มผ้าให้ผม ..เอ้อ..ถ้าหนีออกจากบ้านตามผู้ชายในคนอายุเท่านี้จะผิดไหม..ผมอยากทำ!

ผมพยายามถามพี่กฤษณ์เรื่องแผนการที่จะจัดการไอ้วินด์ แต่ดูเหมือนว่าพี่กฤษณ์กับพี่ตา(และอาจจะไอ้ตั้มด้วย!)
ทำงานกันอย่างลับๆ และไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งด้วยนัก

'ยังไม่มีอะไรที่มึงช่วยได้ตอนนี้..'
พี่กฤษณ์บอกก่อนจะมอบหมายงานสำคัญให้ผม..คือ การชิมชีสเค้ก!
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจล่อผมให้ออกห่างเมื่อพวกเขาทำงานกันหรือเปล่า

แต่ขอบอกว่ามันได้ผล!
ผมนั่งชิมชีสเค้กหลายๆแบบกับน้องแก้ว เขียนคำวิจารณ์ ดูข้อมูลสถิติ และรวบรวมผล
หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเฟรนไชส์และผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวใหม่ขององค์กรพี่กฤษณ์

ถือว่าการพักร้อนของผมในครั้งนี้นั้น ได้ 'ทำงานสบาย รายได้ดี' สุดๆ

"พี่ตั้ม พี่ตาเตรียมตัวมาแล้วใช่ไหมคะ!!"
น้องแก้วถามด้วยความตื่นเต้น พี่ตาพยายามยิ้มให้เหยียดน้อยที่สุด(ผมกับไอ้ตั้มกลั้นขำ) ก่อนจะตอบน้องแก้วไป

"แน่นอนจ้า~"

"แค่สวนสัตว์เอง จะไปทำไมก็ไม่รู้.."
ไอ้ตั้มพูด ก่อนจะโดนพี่ตาเหยียบเท้าอย่างเเรง

"โอ๊ยย!! พี่!! ก็มันจริงไหมเล่า!"

"อ้าวๆ เตรียมตัวพร้อมกันเเล้วใช่ไหม มาขึ้นรถเร็วทุกคน!"
พี่กฤษณ์ลงมาจากคุณนายแดงก่อนจะเดินมาถือกระเป๋าให้พี่ตากับน้องแก้ว(..แล้วกูล่ะ?)
ทุกคนเดินไปขึ้นรถกันหมด ยกเว้น..ไอ้ตั้ม

"มึงยืนทำไรวะ มาเร็ว!"
ผมตะโกนเรียก

"ให้ตายกูก็ไม่ขึ้นว่ะ! รถแม่งแอร์เจ๊ง! กูร้อน กูไม่ไป!"
ไอ้ตั้มพูด ก่อนจะโบกมือลาพวกเราตามนิสัยคนเอาแต่ใจ

"ไอ้สั.."
ผมกำลังจะด่ามันแต่เสียงพี่ตาก็เเทรกขึ้นมาก่อน

"จะขึ้นไม่ขึ้น อย่าเรื่องมาก"
น้ำเสียงดุๆกับสายตาที่เอาแต่ใจไม่แพ้กันจากพี่ตาทำเอาทุกคนอยู่ไม่สุข..สักพักไอ้ตั้มก็จำใจเดินคอตกมาขึ้นรถกับเรา ทุกคนในรถขำกันใหญ่

พอรถขับไปได้สักพัก ความร้อนระดับชิบหายก็เริ่มเกิดกับทุกคน
แต่ดูเหมือนคนที่ทนไม่ไหวคนเเรกๆจะเป็นไอ้ตั้ม..(โชคดีนะเพื่อน! กูอยู่มานาน กูมีภูมิคุ้มกัน!)

"โอยกูอยากตายย ทำไมมันร้อนงี้วะ?! ให้กูซื้อรถใหม่ให้เอาไหม"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะทำท่าเหมือนอยากร้องไห้

"ไอ้ตั้ม มึงอย่าบ่นมากได้ป้ะ กูจะร้อนตามแล้วเนี่ย!"
ผมพูดด้วยความหงุดหงิด เหงื่อไหลต่างน้ำไม่ต่างกัน วันนี้นอกจากอากาศจะเสือก(?)ร้อนสุดๆแล้ว จำนวนคนในรถที่มีถึง 5 คนยิ่งทำให้ทุกอย่างร้อนบัดซบขึ้นไปอีก

"จะอะไรนักหนาพวกแก..แค่นี้ทนไม่ได้รึไง"
พี่ตาพูดก่อนจะถอดเสื้อโค๊ทออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามที่เปียกชุ่มจนเห็นเค้าชุดชั้นใน..

เจ๊นั่นแหละที่ทนไม่ได้!!!

"ไอ้พี่กฤษณ์!! กูเห็นมึงมองกระจกนะ!"
ผมพูดเสียงเข้ม เมื่อเห็นสายตาพี่กฤษณ์มองผ่านกระจก..ไอ้สัส ลามก!

"กูก็ต้องมองไหม กูขับรถ"
พี่กฤษณ์พูดด้วยเสียงงงๆ(...ควรเชื่อดีไหมวะ?! รอบนี้ยอมให้ก่อน!)

"ว้ายย กฤษณ์ มองอะไรน่ะะ"
พี่ตาพูดอย่าง(พยายาม)เอียงอาย ก่อนจะนั่งยืดตัวตรงให้อยู่ในระดับสายตาพี่กฤษณ์มากขึ้น

ผมเอามือปิดกระจกหน้ารถ

"ไอ้สัสส ทำไรเนี่ยย"
พี่กฤษณ์ถามอย่างงงๆ(อีกแล้ว..อีกแล้ว งงเหี้ยไรนักหนา!)

"มึงมองอ่ะ!!"

"ไอ้สัสสอง! มึงเอามือออก! อยากตายห่าหมดรถรึไง!"
ไอ้ตั้มโวยวายอยู่เบาะหลัง

"มึงบอกพี่มึงใส่โค๊ทดิ!!"
ผมพูด ไม่ยอมเอามือออก

"เจ๊!! ใส่เสื้อ!!"
ไอ้ตั้มหันไปโวยวายกับพี่ตา

"ไม่ใส่ ฉันร้อน!!"
..อ้าวเจ๊..ไหนเมื่อกี้บอกให้อดทนไงวะ?!!

"ไอติมแตงโมอร่อยจังเนาะ"
อยู่ๆเสียงเล็กๆก็แทรกขึ้นมา ทุกคน(แน่นอน ยกเว้นพี่กฤษณ์) หันขวับ

น้องแก้วนั่งอยู่ข้างๆไอ้ตั้ม ใส่หูฟัง ในมือถือไอศกรีมรสเเตงโม บนตักมีกระติกน้ำแข็ง.. บนคอมีผ้าเย็นพาดคอ..

เมื่อเห็นเรามอง น้องแก้วก็ถอดหูฟังออก

"มีอะไรหรือเปล่าคะ?"

"ทำไมยัยเด็กนี้มีไอ้พวกนี้ได้ละวะ?!!!"
ไอ้ตั้มพูดขึ้นมาด้วยความงง ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือไปยังอุปกรณ์ต่างๆของน้องแก้ว

"ก็แก้วบอกแล้วไงว่าให้เตรียมตัวมา"
น้องแก้วตอบ ก่อนจะหยิบเอากระป๋องเป๊ปซี่จากกระติกน้ำแข็งมาเปิด

และดื่มต่อหน้าพวกเราทุกคน

.................................

ในที่สุดก็ถึงสวนสัตว์เขาสวนกวาง..บรรยากาศดูร่มรื่นขึ้น(เล็กน้อย) ตรงประตูทางเข้าสวนสัตว์มีน้ำตกขนาดใหญ่ที่ทำจำลอง รวมกับรูปปั้นสัตว์มากมาย

"พี่ตาใจร้ายที่สุด!!"
เสียงน้องแก้วดังออกมาก่อนจะกระโดดลงจากรถ

"เป็นเด็กเป็นเล็กต้องรู้จักเเบ่งปันสิ"
สาวสวยพูดก่อนจะถือกระป๋องเป็ปซี่เดินตามมา มีผ้าเย็นพาดคอเรียบร้อย

"ไม่เกินไปหน่อยเหรอพี่! แย่งได้แม้กระทั่งเด็กเนี่ย!"
ไอ้ตั้มพูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ พี่ตาทำท่าไม่รู้หนาวรู้ร้อน

"ฮ่าๆ ก็แบ่งปันกัน..แก้วก็รู้ว่าพี่ๆเขาไม่รู้หรอก อีกอย่างเขาก็ไม่ชินกับอากาศบ้านเราด้วย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเดินมาสมทบ

"พี่กฤษณ์ง่ะ!!!"
น้องแก้วพูด

"ไอ้พี่กฤษณ์!!"
อันนี้ผมพูด

"อะไร?!"

"มึงปกป้องกันเกินมะ"
ผมพูด

"เฮ้ย เปล่าๆ"
ไอ้พี่กฤษณ์พยายามส่ายหัว เเถมยังเดินมาจะช่วยผมถือกระเป๋าอีก...ไอ้ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะมอง!

"ขอความเห็นดิ้ตั้ม"
ผมหันหน้าไปทางไอ้ตั้ม มันพยักหน้า

"เกินไป!"

ไอ้ตั้มพูดเสริมก่อนจะโดนพี่กฤษณ์ดีดหน้าผาก มันโวยวาย พยายามจะดีดคืน แต่ไม่สำเร็จ
ผมมองไอ้ตั้มกับพี่กฤษณ์ที่เล่นกันเป็นเด็กๆอย่างขำๆ

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสนิทกันได้ค่อนข้างเร็ว
ต่างจากวันแรกๆที่มา ไอ้ตั้มดูไม่ค่อยชอบพี่กฤษณ์ ทั้งคอยจับผิด พูดจาดูถูกสารพัด(ตามนิสัยมัน)
อาจจะเป็นเพราะความเป็นผู้ใหญ่ กับนิสัยที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นของพี่กฤษณ์ ที่ทำให้เเม้ไอ้ตั้มเพื่อนผม จะเอาแต่ใจ ทำตัวเป็นเด็ก นิสัยเเย่(ถึงขั้นเหี้ย)ยังไง พี่แกก็ไม่โกรธง่ายๆ

สำหรับการเที่ยวชมสัตว์ในสวนสัตว์ มีสองทางเลือก คือ นั่งรถชมสวนไปกับเจ้าหน้าที่ หรือ เช่ารถสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งแม้จะมีราคาแพงกว่า แต่มีความเป็นอิสระมากกว่า อยากจะจอดลงตรงบริเวณไหนก็ได้ ด้วยเหตุนี้แก๊งค์ทัวร์ของเราจึงเลือกแบบหลัง แน่นอนว่าคนขับรถก็คือพี่กฤษณ์ของผมนั่นเอง

"ตรงนี้คือบริเวณสัตว์เท้ากีบ เราจะเห็นพวกกวาง พวกกวาง และก็พวกกวางนะคะ"
น้องแก้วทำตัวเป็นมัคคุเทศก์น้อยอย่างร่าเริง ผมกับพี่กฤษณ์อมยิ้มขำ แต่พี่ตากับไอ้ตั้ม ดูจะสนอกสนใจจริงๆ

"โห..กวางตัวเป็นๆ!"
พี่ตาพูดแบบทึ่งๆ..เธอดูดีใจ ชั่วแวบหนึ่งผมมองเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆในตัวเธอ
เด็กผู้หญิงที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตในแบบที่ควรมี..

"กวางแบบยังไม่ตาย.."
ไอ้ตั้มพูด ดูทึ่งนิดๆ เมื่อเห็นอาหารเดินไปมาได้..
ผมมองหน้าพี่กฤษณ์ เขาอมยิ้ม

"มึงไม่ประหลาดใจบ้างเรอะ สอง"

"กูท่องเที่ยวบ่อย เห็นมาเยอะล่ะ..แต่กูก็ชอบพวกกวางนะ ดูหน้าโง่ๆดี"

ผมบอกอย่างสบายๆ มองไปยังบรรยากาศรอบตัว ต้นไม้น้อยใหญ่สลับกันไปแบบไม่หนาแน่นนัก มีรถทัวร์ของสวนสัตว์ขับนำพวกเราไป ผมเหลือบไปมองคนข้างๆ พี่กฤษณ์หันไปมองน้องแก้วที่กำลังยื่นมือไปลูบตัวกวาง ไอ้ตั้มที่พยายามจับเขากวาง และพี่ตาที่กำลังแอบเก็บภาพเหล่านี้ ผมเห็นพี่กฤษณ์ยิ้ม

ไม่รู้ทำไมผมถึงอดยิ้มตามไม่ได้

ความวุ่นวาย เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม แสงแดดที่ลอดผ่านร่มไม้
รถที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ

อยู่ๆมือใหญ่ของพี่กฤษณ์ก็มายีหัวผมเบาๆ

"ทำหน้าน่ารักสัส"

ผมทำหน้ามุ่ย ไม่ชินกับการแสดงออกทางความรักแบบตรงๆของพี่กฤษณ์สักที

.................................

สักพักเราก็ขับมาถึงบริเวณสัตว์กินเนื้อ พวกสิงโตนอนขี้เกียจอยู่ในกรงขนาดใหญ่ที่จำลองคล้ายบ้านเกิดของมัน
เสือหลายสายพันธุ์ เสือโคร่ง เสือไซบีเรีย เสือเบงกอล พวกมันดูรำคาญนักท่องเที่ยวที่พยายามถ่ายรูปมันจากระยะไกล ผมมองสิงโตชราตัวหนึ่ง มันเคลื่อนไหวเชื่องช้า ขนตรงแผงคอสะบัดเมื่อมันเดิน ดูสง่างามและน่าเกรงขามทุกท่วงท่า มันเลิกเปลือกตาขึ้นมองผม...ห้ะ! อะไรนะ?! ผมจ้องกลับ..

อาจเพราะสัญชาตญาณนักล่าของมันที่ไม่ได้เสื่อมถอยตามอายุ
มันถึงรับรู้ว่าผมจ้องมอง

ราวกับถูกดึงดูดโดยดวงตาสีน้ำตาลหม่นคู่นั้น..

เมื่ออยู่ต่อหน้าเผ่าพันธุ์นักล่าที่เเข็งแกร่ง
สิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์ได้ตระหนักว่าตนบอบบางเพียงใด..

คงอย่างนี้ละมัง เราถึงได้ผลิตอาวุธ
สงครามที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นทำลายชีวิตมนุษย์ไปมากกว่าโดนสิงโตฆ่าในรอบ 10 ปีเสียอีก

สิงโตชราปิดเปลือกตาลง

ผมหันมาให้ความสนใจกับบรรยากาศรอบตัวอีกครั้ง
น้องแก้วกำลังวุ่นวายกับการชี้ให้พี่ตาดูลูกสิงโตเผือก ที่ดูเหมือนจะหลบอยู่ในฝูงลูกสิงโตสีเหลือง
พี่กฤษณ์เดินไปอ่านป้ายบรรยายลักษณะและถิ่นที่อยู่ของสัตว์เหล่านี้
ไอ้ตั้มง่วนกับการเก็บภาพตัวเองกับป้ายสิงโต

"มึงนี่ ดูเหมือนคิดอะไรตลอดเวลาเลยนะ"
พี่กฤษณ์เดินมาหาผมพลางพูดยิ้มๆ ผมพยักหน้ารับ

"คบกันมาตั้งนานยังไม่รู้อีกเหรอ กูน่ะคิดมากจะตาย"

ผมพูดก่อนจะยื่นขวดน้ำเย็นให้ พี่กฤษณ์รับไปดื่ม พอพูดแล้วก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ผมรู้จักกับพี่กฤษณ์มาได้เกือบจะ 1 ปีแล้วนี่หว่า! อาจเป็นเพราะมีเรื่องราวผ่านมามากมาย เวลาจึงดูเหมือนผ่านไปเร็ว.. ฝึกงานในไร่เกือบ 4 เดือน คบกันระยะไกล พี่กฤษณ์แวบไปแวบมาระหว่างกรุงเทพกับขอนแก่นก็ตั้งหลายเดือน พี่กฤษณ์ไม่ใช่คนหวานอะไรมากมาย แต่ข้อดีของเขาคือความเสมอต้นเสมอปลาย เพราะงั้น เขาทำกับผมยังไงตอนเริ่มคบ ตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน..

บางที...ผมอาจเริ่มเข้าใจ ว่าทำไมแฟนคนก่อนๆของพี่กฤษณ์ถึงปล่อยเขามา..

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนหนึ่งเหมือนเดิม แต่อีกคนต้องการมากขึ้น..
บางทีผมก็สงสัย..ระหว่างผมกับไอ้ตั้มมีอะไรต่างกันหรือเปล่า หรือน้องเเก้ว หรือพี่ตา

ก็พี่กฤษณ์ดูใจดีกับทุกคน เล่นหัวไอ้ตั้มเหมือนเล่นกับผม อ่อนโยนกับน้องแก้ว ช่วยดูแลพี่ตา
หรือพี่กฤษณ์แน่ใจแล้วเหรอว่าเขา'รัก'ผม ไอ้ความสัมพันธ์เเบบนี้เป็นพี่น้องกันก็ได้..

ผมคิดแล้วก็เริ่มรู้สึกกลัว

ถ้าพี่กฤษณ์รู้สึกตัวว่ามันไม่ใช่ล่ะ

เขายัง'รัก'ผมแบบวันแรกที่บอกกันหรือเปล่า

ผมตัวสั่นเล็กๆเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น..

"นิ่งเชียวมึง มาทำสมาธิถูกมะ"
เสียงไอ้ตั้มเเทรกเข้ามาทำลายความคิดของผม พอหันไปก็เห็นทุกคนนั่งรออยู่ในรถ เราจะเดินทางไปบริเวณอื่นต่อไป
พี่กฤษณ์กวักมือเรียกผม ผมยิ้มให้ก่อนจะวิ่งขึ้นรถ

แกล้งทำเป็นลืมความคิดที่น่ากลัวนั่นไว้ก่อน..
ความคิดที่สงสัยในความรักของพี่กฤษณ์

ผมกลัวว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้น
จุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่างที่เลวร้าย

..................................

"อี๊~ ไอ้นกเหี้ย! "
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะกระโดดโหยงเมื่อนกตัวสีฟ้าสวยเดินเอาหัวกระดกมาใกล้ๆมัน

ตอนนี้เรามาอยู่บริเวณของกรงนกขนาดใหญ่ ที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมในโดมได้ เรียกว่าสัมผัสนกกันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว

"ทั้งน่าประทับใจและขยะเเขยงในเวลาเดียวกัน"
พี่ตาพูดก่อนจะเบ้ปาก เหลือบตามองเศษขี้นกบนพื้น น้องแก้วขอออกไปรอข้างนอก (แน่ใจนะว่าเป็นนิยายเชิงท่องเที่ยว?!! : ผู้เขียน)

"พี่ไปด้วย! ไอ้นกพวกนี้แม่งน่ากลัว!"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากโดมนกไปอีกคน ผมหัวเราะขำ สักพัก มือก็ได้รับสัมผัสอบอุ่นจากพี่กฤษณ์ เขาดึงผมข้ามสะพานในกรงนกยักษ์นี้ไป

"เฮ้ย..เดี๋ยวๆ ไปไหนอ่ะ"
ผมถาม ประหลาดใจที่รู้ว่าในโดมนี้มีสะพานด้วย

"มึงกลัวเหรอ"
พี่กฤษณ์ถาม สีหน้าทะเล้น

"เปล่า"
ผมตอบ เดินตามไป แล้วผมก็พบ

ศาลาขนาดย่อมที่รอบๆเต็มไปด้วยดอกลีลาวดี กลิ่นหอมเย็นๆของมันโชยออกมาจนถึงที่ที่ผมยืนอยู่
ข้างๆเป็นบ่อน้ำที่มีหงส์สีขาวกำลังลอยตัวอย่างเกียจคร้าน บริเวณศาลามีนกยูงสองตัวรำเเพนหางอวดกัน..

"มึงรู้จักที่นี้ดีนะ"
ผมพูดก่อนจะมองพี่กฤษณ์อย่างทึ่งๆ

"กูเคยทำงานพิเศษเป็นคนทำความสะอาดกรงว่ะ .."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มเขินๆ

"จริงๆคนที่นี้เรียกศาลานี้ว่าศาลายูง เพราะนกยูงมันชอบมาอยู่ กูตั้งใจให้มึงมาดูนี่แหละ แต่วันนี้มึงโชคดีได้เห็นหงส์ขาวด้วย"

"มึงรู้เปล่าเราคบกันมาจะปีนึงแล้ว"
ผมพูด พี่กฤษณ์ทำตาโต.. เออ กูรู้แล้วว่ามึงไม่รู้!

"เอ่อ..ทำไมวะ..กูจำวันครบรอบไม่ได้นะเว้ย"
พี่กฤษณ์รีบพูดขึ้นมา ผมพยักหน้า

"เปล่าๆ กูแค่บอก..นานดีเนาะ"
ผมพูด แล้วพี่กฤษณ์ก็เคาะหน้าผากผมเบาๆ

"มีอะไรหรือเปล่า"

"เปล่า"
ผมพูด พี่กฤษณ์ยิ้ม ก่อนจะอุ้มนกยูงมาเกือบโดนหน้าผม

"กูรู้ ผู้หญิงเเม่งชอบพูดว่าเปล่าๆๆ ความจริงมีเรื่องเป็นพัน มึงบอกมาไม่งั้นนกยูงนี่ตาย"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะวางนกลงข้างๆตัว..น่าแปลกที่มันเชื่องกับพี่กฤษณ์มาก..

"กูไม่ใช่ผู้หญิง"

"จะบอกไม่บอก"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะทำเสียงเหี้ยมแล้วหันไปมองนกยูงที่ทำท่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมอดขำไม่ได้

"เปล่าา จริงๆ"

"อืมม มีอะไรอย่าเก็บไว้นะเว้ย ไม่บอกกูแล้วจะบอกใคร"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะดึงผมเข้าหาตัว

"มือมึงจับนกยูงมา"
ผมพูด พยายามดันตัวออก

"กูจับมาหมดทุกนกแล้ว"
พี่กฤษณ์พูดแล้วหอมแก้มผมเร็วๆหนึ่งที ฉวยโอกาสชิบหาย!!

................................

หลังจากโดนลวนลามไปเล็กน้อย(?!) ผมก็ถูกปล่อยตัวออกจากกรงนก คณะทัวร์ของเราเดินทางกันต่อไปถึงปลายทางสุดท้าย สัตว์จากแอฟริกา เราไปให้อาหารยีราฟ และดูม้าลายเดินสวนกันไปมา

ไม่ค่อยมีสาระอะไร ความบันเทิงใจล้วนๆ

เสร็จเเล้วเราก็เดินทางกลับไร่ เมื่อกลับไปถึงก็พบว่าป้าสมบัติกับลุงป่องทำอาหารไว้รอเเล้ว ลุงชัยก็พึ่งกลับจากงานพอดี ลุงป่องเปิดเหล้าของดีของแก(อีกแล้ว!) ก่อนที่เราจะสังสรรค์กัน

ทานอาหารอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่

ผมสังเกตว่าเเม้กระทั่งพี่ตาเองก็ดูอ่อนโยนขึ้นมากตั้งเเต่มาอยู่ที่นี้

หลังจากน้องแก้วขึ้นไปนอนก็เป็นเวลาของผู้ใหญ่ทั้งหลาย

อีกเช่นเคย พอเหล้าเข้าปากความลับก็ไม่มีอีกต่อไป พี่ตาเล่าเรื่องความทุกข์ทรมานใจในการดูแลกิจการ
การต้องทำเป็นเข้มเเข็งตลอดเวลา ..ลุงป่องเห็นใจจนถึงกับน้ำตาซึม ไอ้ตั้มก็พูดชื่นชมพี่กฤษณ์ยกใหญ่ บอกประมาณว่ามันไม่มีอะไรต้องห่วงเเล้ว แต่พูดสักพักก็ซึมไป..นี่ก็คงฤทธิ์แอลกอฮอล์อีกเหมือนกัน

ตัวผมที่รู้ฤทธิ์เหล้าลุงป่องดีจึงดื่มในปริมาณที่น้อยกว่าปกติมาก

แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา หลังจากสังสรรค์เสร็จ ประมาณ 4 ทุ่มกว่า(ที่นี้เขาไม่นอนดึกกันครับ)
 พี่กฤษณ์กับผมจึงไปส่งพี่ตาและตั้มกลับที่พัก แล้วเราก็เดินทางกลับบ้านของเรา

..................................

'ตุ้บ..'
พี่กฤษณ์ทิ้งตัวลงบนเตียง

"เหนื่อยชิบหาย"
เขาพูดเบาๆ ก่อนจะหลับตา ผมมองพี่กฤษณ์อย่างเห็นใจ เขาขับรถทั้งวัน คอยดูเเลพวกเรา ดูเรื่องอาหาร เรื่องจิปาถะ
ผมขยับไปนั่งขัดสมาธิข้างๆพี่กฤษณ์ที่นอนอยู่

"กูนวดให้มะ"
ผมถามก่อนจะเลื่อนมือไปบีบเบาๆบริเวณขมับเเละหมุนวนนิ้วบริเวณหางตา

"ไปเรียนมาจากไหนเนี่ย"

"หมอนวดไทยในนิวยอร์ก"
ผมพูดและพี่กฤษณ์ขำเล็กๆ ผมนวดไปสักพักก็ขยับมือไปสางผมเขาอย่างใจลอย

"ที่มึงบอกกูเป็นครอบครัวมึง แบบมึงกับน้องแก้วเหรอ"
ผมถามหยั่งเชิงเบาๆ พี่กฤษณ์ยังคงหลับตา แต่เขาส่ายหัว

"กูไม่ได้อยากมีเซ็กส์กับน้องแก้ว"

ชัดเจน! .. ผมอดยิ้มเบาๆไม่ได้ พี่กฤษณ์ยังเหมือนเดิมเสมอ ชัดเจน ซื่อตรงต่อความรู้สึก

เรื่องที่ผมคิดสงสัยจนแทบอยากร้องไห้
เขากลับตอบมันออกมาอย่างเรียบง่าย ชัดถ้อยชัดคำ

"อย่าบอกนะมึงคิดว่ากูรักมึงแบบน้อง ไอ้วันนี้ที่ซึมๆไปอ่ะ"

แถมยังฉลาดอีก!...ผมไม่ตอบ

"ไม่ได้น้องนะ..รักแบบเมีย"
พี่กฤษณ์พูดแล้วพลิกตัวมากอดผม ดึงให้ผมลงไปนอนด้วย

"ปวดข้างล่างด้วยว่ะ นวดให้หน่อย"

"สัส"
ผมพูดก่อนจะลุกนั่งอีกครั้ง

"นอนหงายดิ้"
ผมบอก

..................................

 ผมตื่นแต่เช้ามาให้อาหารไก่ต้มไก่ย่างทุกวัน จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียเเล้ว
ก็อากาศที่นี้ตอนเช้าๆดีจะตาย ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสอากาศเย็นสดชื่นตอนเช้าบ่อยนักที่กรุงเทพ
อากาศที่นั่นถ้าไม่เย็นครึ้มๆ ก็จะร้อนแบบอบอ้าวเสมอ

"ขยันว่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอามือมาลูบหัว..ไก่ต้มไก่ย่างตรงหน้าผม
คือกูควรเลิกคาดหวังอะไรพวกนี้แล้วถูกมะ?!

ผมมองคนตรงหน้าที่เปลือยกายท่อนบน เดินเอาผ้าขนหนูพาดไหล่ไปมาทั่วบ้าน
แถมยังก่อกวนลูกจิ้บลูกเจี้ยบที่ผมเลี้ยงไว้อีก

"มึงอย่ารังแกไก่ ไอ้พี่กฤษณ์!"

"กูแกล้งมันเล่นเฉยๆ มึงนี่ดุขึ้นทุกวันนะ"

พี่กฤษณ์พูดเสียงอ่อยๆ ผมเกือบหลุดขำ มีบางวันเหมือนกันที่เราจะขลุกอยู่บ้านกันทั้งวัน พี่กฤษณ์อ่านพวกรายงานเอกสาร ส่วนผมก็นั่งๆนอนๆอ่านหนังสือข้างเขา เราใช้ชีวิตกันเหมือนครอบครัวจนผมยังรู้สึกแปลกใจ

อาจเพราะมันเรียบง่าย
หรือไม่ก็เพราะผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง แบบที่ไม่เคยเป็นเมื่อคบกับคนอื่นๆ

"สองมึงทำอาหารเช้าได้ป้ะ"
พี่กฤษณ์ถามพลางเอาคางมาเกยไหล่ผม ผมพยักหน้า

"กูทำกินเองบ่อยนะสมัยเรียน อยากกินเหรอ"
พอผมพูดอย่างนั้น เขาก็ดูดีอกดีใจจนน่าหมั่นไส้ ผมเดินเข้าบ้านเพื่อไปดูวัตถุดิบที่เหลือในครัว ..มีไข่กับหมูสับ กับผักอีกนิดหน่อย

"ข้าวหน้าไข่ข้น"
ผมหันไปพูดกับพี่กฤษณ์ที่เดินตามมา เขาพยักหน้ารับ

"เดี๋ยวกูหุงข้าวเอง"
พี่กฤษณ์พูดแล้วเริ่มลงมือตักข้าวสารใส่หม้อก่อนจะเทน้ำเปล่าลง ผมหันมาสนใจกับไข่และหมูสับตรงหน้า
คิดว่าจะเริ่มจากการทอดหมูสับให้สุกก่อน เพราะไข่ข้นนั้นไม่ต้องใช้เวลานาน

...................................

หลังจากอาหารและข้าวเสร็จเรียบร้อย เราก็มานั่งกินกันบนโต๊ะอาหารในครัว
ผมมองพี่กฤษณ์ เขาก็กินข้าวเหมือนทุกๆวัน เรากินข้าวเช้าด้วยกันเป็นร้อยๆครั้ง..

แต่ครั้งนี้มีบางสิ่งพิเศษออกไป..

"อร่อยนะเนี่ย ดูทำอะไรไม่ค่อยเป็น ทำได้ขนาดนี้"
พี่กฤษณ์พูดแซวเมื่อเห็นผมจ้อง

"ของดีไม่ได้มีบ่อยๆไง"
ผมพูดก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับกรุงเทพ กลับสู่ชีวิตของผม สิ่งมากมายรอให้รับผิดชอบ

"ทำให้กินทุกวันเลยได้ปะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะยิ้มให้ผม แววตานั้นซื่อตรงต่อความรู้สึกจนน่าตกใจ ..หัวใจผมสั่นไหว

"เพ้อเจ้อ"
ผมพูดก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน สักพักก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น

"ก่อนกูจะกลับกูจะทำรายงานวิจารณ์สรุปสูตรขนมที่คาดว่าถูกใจตลาดที่สุดให้นะ เผื่อมันมีประโยชน์ต่อมึงบ้าง"
ผมพูด

"หืมม ทำงานดีจริง คืนนี้ต้องให้รางวัลซะเเล้ว"
พี่กฤษณ์พูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนจะลุกไปตักข้าวเพิ่ม

"จริงๆไม่ต้องรีบก็ได้นะ เพราะมึงกลับไปรอบนี้ กูก็จะไปกับมึงด้วย"

"จริงดิ้"
ผมถาม ตาวาวด้วยความตื่นเต้น ผมได้มารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของพี่กฤษณ์แทบทุกอย่างเเล้ว
คราวนี้ถึงตาพี่กฤษณ์บ้าง..

"มาอยู่คอนโดกูนะๆ"
ผมพูดเสียงอ้อนๆ พี่กฤษณ์หัวเราะขำ

"มึงได้ใช้งานกูเป็นทาสตายพอดี"

"นะะ กูอยากให้มึงอยู่ด้วยอ่ะ กูชอบอยู่กับมึง"
ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดมาตลอดออกไป พี่กฤษณ์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะยิ้มให้ผม

"กูไปทำงาน มีบางอย่างที่กูต้องสะสาง กูอาจไม่มีเวลาอยู่กับมึงตลอด"

"ไม่เป็นไร!"
ผมรีบพูด เหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นเเม้จะมีเงื่อนไขยุ่งยากตามมา

"แถมบางครั้งกูอาจกลับดึก อาจได้เข้าไปพักกับมึงแค่แปปเดียว.."

"ก็ได้.."
ผมพูดเสียงอ่อนๆ ทำหน้าตาเศร้าที่สุดเท่าที่จะเศร้าได้

"..ก็ได้"
พี่กฤษณ์พูด ผมตักไข่ข้นใส่จานให้เขาเพิ่ม..เขายังต้องเรียนรู้อีกมากเรื่องเล่ห์เหลี่ยมคน!

หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมก็ใช้พุงพี่กฤษณ์เเทนหมอนนอนอ่านหนังสือ เเม้เจ้าตัวจะเริ่มบ่นๆบ้างเรื่องรูปร่าง(ซิกแพกส์ที่หายไปของแก) แต่ความจริงผมว่าแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน ผมรักพี่กฤษณ์เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่เพราะหุ่นเซ็กซี่สักหน่อย(แม้มันจะมีส่วนอยู่บ้าง)

อาจเพราะอากาศค่อนข้างเย็นสบาย พี่กฤษณ์จึงงีบหลับไป ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอตอนที่มีเสียงเตือนข้อความไลน์เข้าต่อเนื่อง ผมเอื้อมมือไปหยิบมาดูเพราะคิดว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญ

หน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปผม..(สัสสสสส มึงทำอะไรเนี่ย?!(เขิน))
เบื้องหลังมีไลน์เด้งขึ้น และเป็นไลน์ของไอ้ตั้ม

'..ขั้นแรกเสร็จแล้ว พวกไอ้เกรียงมันดิ้นกันใหญ่..'

'..ต่างประเทศ'

'..ถ้าได้ส่วนแบ่งน่ะ'

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ และมองพี่กฤษณ์ที่หลับอยู่
พี่ชายผมเคยบอกว่าครอบครัวจะเเบ่งปันกันไม่ว่าสุขหรือทุกข์..
ผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้กำลังทำสิ่งนี้อยู่ เขาพยายามแบ่งปันความทุกข์ไปจากผม พยายามปกป้องผม

เหมือนที่เขาเคยสัญญาไว้ตอนที่ขอคบผม..

ผมไม่รู้ว่าปลายทางที่เราสองคนเลือกเดินจะมีเส้นทางมาบรรจบกันหรือไม่
ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมและเขาเลือกในวันนั้นมันถูกต้องหรือเปล่า

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้และแน่ใจ
ผมไม่เคยเสียใจกับทางเลือกนี้

และถึงเเม้ในท้ายที่สุด เราอาจไม่ได้มีชีวิตคู่ เหมือนดังเช่นคนอื่น
แต่อย่างน้อยผมแน่ใจ เราอาจได้พบ 'คู่ชีวิต' ของกันเเละกัน

เหมือนดังเช่นผมที่พบเขา

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่19) 17/05
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-12-2017 01:12:37
มีความซึ้ง :sad4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่19) 17/05
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-12-2017 07:47:24
ดีใจ เห็นเครื่องบิน ✈️ 
โฮ่งๆ /หมาข้างบ้านน่ะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

โอยๆ..........สุดยอด   :m20: :m20: :m20:
ขำ.....แบบหัวเราะ ก๊ากกกกกก เกือบทั้งเรื่อง เลย / หัวเราะแข่งกับหมา
ไรท์ ตบมุก ฮากระจาย มีกล้วย(หักมุก)ด้วย ชอบมากกกกกกก
มุกมีหลายลูกเลย
จากพี่ดา "รู้จักอดทนบ้างสิ"   แล้วก็ตัวเองก็ถอดเสื้อโค้ท / ไปสวนสัตว์นะ ไม่ได้ไปขั้วโลก

น้องแก้ว "หนูบอกแล้วไงให้เตรียมพร้อม" ว่าแล้วก็ ทั้งกินแตงโม ทั้งดูดเป๊บซี่

พี่กฤษณ์      "ปวดข้างล่างด้วยว่ะ นวดให้หน่อย"
สอง            "สัส"
                 "นอนหงายดิ้"
พี่กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

พี่กฤษณ์ ทั้งดี ทั้งน่ารัก อบอุ่น เสมอต้นเสมอปลาย
อย่างนี้สองไม่ปล่อยมือพี่กฤษณ์ ให้ใครแน่  :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 15-01-2018 20:00:47
ตอนที่ 20 : ตัวร้าย

ฉันมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้
ดีใจ..อึดอัด..เสียใจ..กังวล

ก่อนหน้านี้ ผู้ชายอีกคนที่ท่าทางวางอำนาจ กับพี่สาวผู้น่ากลัวของเขา ได้เข้ามาคุยกับฉัน
ทั้งขู่ ทั้งบังคับ ให้ฉันสารภาพเรื่องทั้งหมดไป

ทว่าฉันปิดปากเงียบ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ช่วงชีวิตที่ได้ทำงานกับนายท่านและเจ้านาย
ทำให้ฉันรู้ว่ามีหลายสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ..เลวร้ายกว่ายิ่งนัก

..ฉันไม่กลัวตาย..

ฉันบอกไปแบบนั้นตอนที่ชายผู้วางอำนาจขู่
ลูกน้องของเขายกปืนขึ้น

แต่เมื่อฉันบอกว่าไม่กลัวตาย
และฉันหมายความตามนั้นจริงๆ

พี่สาวของเขาจึงบอกให้หยุด

เธอเหลือบสายตามองฉันเหมือนเป็นริ้นไร
ปะหลาดใจที่ฉันไม่รู้สึกเย็นยะเยือก

อาจเพราะฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร
ฉันจ้องกลับไปด้วยสายตาที่ไม่ได้ต้องการจะสื่อความหมายอะไรนัก

ภาวนาให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว
เป็นความตาย..เป็นอะไรก็ได้ ขอทีเถิด..

'ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กลัวตายจริงๆ..ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวตอบคำถามกฤษณ์เองแล้วกันนะ
ว่าทำไมถึงได้ทำอย่างนั้น'
ผู้หญิงใบหน้าสะสวยเอ่ยวาจาเรียบๆก่อนจะยิ้มมุมปาก

เธอช่างรู้ว่าทำอย่างไรฉันถึงจะจนมุม

 ..พี่กฤษณ์..
เพียงเเค่ได้ยินชื่อของเขาก็เหมือนก้อนสะอื้นมาจุกที่ลำคอฉัน
คนไม่กี่คนในชีวิตของฉันที่ผ่านเข้ามา และไม่ฉกฉวยเอาชีวิตไป

ไม่กี่คนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังโชคดีที่ได้มีชีวิต

..ได้มาพบเขา

ก่อนที่จะได้คิดถึงเรื่องที่ตนไม่มีทางเลือก เรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจมากที่สุด

ชายคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน

ดวงตาสีดำสนิทนั้นราวกับจะมองทะลุตัวฉัน ฉันหลบตาเขา ริมฝีปากสั่นน้อยๆ
สักพักหลังจากความเงียบผ่านไป

อยู่ๆมือหนาก็ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน

"ไม่เป็นไรนะ"

เขาพูดเพียงเท่านั้น น้ำเสียงไม่ได้อ่อนหวาน ไม่มีกอด ไม่มีอะไรนอกจากลูบหัวแบบที่เคยทำ
แต่อยู่ๆฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงกว่าที่จำได้

ไหล่ของเขากว้างเหลือเกิน..

ฉันสะอึกสะอื้นก่อนจะโผกอดพี่กฤษณ์..
ลำแขนแกร่งโอบตัวฉันไว้เบาๆ..

"ไอไม่ได้ตั้งใจ..ฮึก..ไอ ไอไม่มีทางเลือก เขาบังคับไอ.."
และหลังจากนั้นเรื่องราวก็พรั่งพรูออกจากปากฉัน

ทั้งหมดนี้มาจากอ้อมกอดของเขา
ที่บังคับให้ฉันเล่า..แบบที่กระบอกปืนไม่เคยทำได้

..................................

"พี่ไอ~! แก้วคิดถึงจังง"
เด็กสาวตัวน้อยที่ชื่อแก้ววิ่งมากอดฉัน ฉันจำเธอได้ดี แววตาใสซื่อแก่นแก้ว นิสัยร่าเริง
เธอเหมือนน้องสาวตัวน้อยที่ฉันไม่เคยมี

"พี่กฤษณ์บอกว่าพี่ไอจะมาเป็นเด็กฝึกงานที่นี้ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเหรอคะ..แก้วดีใจจังเลย"
ฉันยิ้มให้เธออย่างอ่อนเพลียก่อนจะพยักหน้ารับ..พี่กฤษณ์..

ขอบคุณมากนะคะ..

ฉันยังกลัวนายท่านเเละเจ้านายอยู่..
แต่เมื่อได้ฟังคำมั่นสัญญาของพี่กฤษณ์ และเเววตาของเขาที่มองฉัน
ตอนที่บอกว่าจะปกป้องฉัน..

เขาทำให้ฉันเชื่อ

ถ้าหากว่าจะมีใครสักคนที่สามารถยืนหยัดสู้กับอำนาจที่อยุติธรรมทั้งหลายได้
ฉันคิดว่าคนคนนั้นคือเขา..

แต่ต่อให้ไม่ได้..
ฉันก็อยากจะลอง'เชื่อ'ดูสักครั้ง

เหมือนเจ้าหญิงที่ท้ายที่สุดจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย..
เหมือนเจ้าหญิงในนิทานสำหรับเด็ก..ที่แม่เคยอ่านให้ฉันฟัง..
ในคืนที่พ่อโมโหทุบตี คืนที่พี่ชายเมายาแล้วข่มขืน คืนที่ฉันต้องถูกบังคับให้ขายตัวเป็นครั้งเเรก

นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยเชื่อว่าจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาว

แต่พอได้พบกับพี่กฤษณ์
ฉันคิดว่าคนคนนั้นอาจมีจริง

การกลับมาของฉันครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
ถ้าเทียบกับสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันไม่สมควรได้รับมันด้วยซ้ำ

ทุกคนในบ้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

พวกเขาอาจไม่รู้

ฉันเหลือบมองพี่กฤษณ์ที่กำลังยิ้มและพูดคุยกับคนรักของเขา
..เขาอาจไม่ได้บอกคนอื่นๆ เรื่องคืนนั้น

พี่กฤษณ์เป็นคนแบบนั้น

...................................

หลังจากทานอาหารเช้าร่วมกันอันเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของบ้านเสร็จ
ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

ฉันเก็บจาน ถ้วย ช้อนส้อม เตรียมไปล้างในห้องครัว
ขณะที่กำลังเก็บอยู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

"เดี๋ยวผมช่วย"

ฉันเงยหน้ามอง เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลอ่อนๆ ท่าทางไม่แยแสอะไรยืนอยู่ตรงหน้า

..เขาเป็นคนรักของพี่กฤษณ์

พี่กฤษณ์บอกฉัน น้องแก้วก็บอก

สารภาพว่าได้ยินตอนแรกฉันประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
พี่กฤษณ์ไม่ได้มีทีท่าเหมือนคนที่จะรักผู้ชายเป็นแฟนได้

แต่พอมาคิดๆดู คนจะรักเพศไหนก็ไม่จำเป็นต้องมีทีท่าแบบไหนเป็นพิเศษ
นี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่งานของฉันไม่สำเร็จ..

"คุณสองไม่ต้องทำหรอกค่ะ ไอทำเองได้"
ฉันบอกไปเบาๆเมื่อเขาดึงจานออกไปจากมือฉัน

"เออก็จริง ปกติผมก็ไม่ได้ทำ พึ่งนึกขึ้นได้ตอนเห็นคุณทำนี่แหละ"
คนตรงหน้าพูดแล้วส่งจานคืนให้ฉันอย่างรวดเร็ว...
แต่เมื่อฉันเดินเข้ามาในครัว เขาก็เดินตามมาด้วย

"พี่กฤษณ์เล่าให้ผมฟังแล้ว เรื่องที่คุณโดนวินด์บังคับ"

"ฉันไม่มีทางเลือก"
 ฉันก้มหน้า เลี่ยงไม่สบสายตาเขา พยายามหันไปทำธุระจุกจิกอย่างการเรียงจาน เทเศษอาหาร เปิดน้ำ

"ไม่จริง มีวิธีเป็นร้อยที่จะทำตามคำสั่งเขาแบบไม่ต้องเอาตัวเข้าเเลก แต่คุณทำ"
เขาพูดก่อนจะยักไหล่

"ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณโกหก แต่คุณก็เห็นแล้วว่าพี่กฤษณ์เป็นคนยังไง คุณเห็นเขาใจดีด้วย คุณเลยคิดว่าจะเอาเปรียบเขาได้?"

ที่ฉันโกหกเพราะฉันหลงรักพี่กฤษณ์จริงๆนะสิ...ฉันคิดอย่างเจ็บปวด

"..ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะ คุณสอง.."
ฉันพูดเสียงสั่นนิดๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกคนตรงหน้าคุกคาม

"ถ้าคุณคิดว่าไอ้ความน่าสงสาร ประวัติชีวิตน้ำเน่า มันจะใช้ได้กับทุกคน คุณคิดผิด.."
เขาพูดก่อนจะเปิดตู้วางจาน ถ้วย แล้วหยิบมันขึ้นมา

"พี่กฤษณ์ใจดี แต่ผมไม่ และผมไม่ Give a shit ด้วยว่าคุณจะน่าสงสารยังไง
 ..อย่าล้ำเส้น อย่าแตะต้อง ไม่งั้นแม้แต่ความสงสารจากพี่กฤษณ์คุณก็จะไม่ได้มันอีก"

เขาวางถ้วยจานที่ยังสะอาดเอี่ยมลงไปในอ่างล้างจานที่ฉันเตรียมไว้

"ล้างให้สะอาดนะครับ น้องไอ..งานพวกนี้พี่ไม่ถนัด"
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเทพบุตร ส่งรอยยิ้มหวานมาให้ฉัน
ก่อนจะหันหลังเดินออกจากครัวไป

ดูเหมือนว่าคนรักของพี่กฤษณ์คนนี้..จะไม่ใช่ 'นางเอก' อย่างที่ฉันคิดไว้เสียเเล้ว

..................................

จริงอยู่ที่ฉันหลงรักพี่กฤษณ์..ฉันมองเขาเป็นอัศวินที่มาช่วยฉัน
แต่..ฉันก็รู้ตัวฉันดี รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะใด

ฉันไม่อาจอาจเอื้อม ดีใจ กับการใจดีเล็กๆน้อยๆของเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 'เจ้าของ' เขายังอยู่ข้างๆแบบนี้

คุณสอง..ถึงแม้เขาจะใจร้ายกับฉันไปบ้าง แต่นอกเหนือจากการ'เตือน'ในวันนั้นแล้ว
เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะคุกคามฉันมากนัก

แต่ในสายตาของฉันพวกเขาดูเหมือนพี่น้องที่สนิทกันมากกว่าคนรัก
ฉันมองดูภาพพวกเขาหยอกล้อกัน มีทั้งเสียงหัวเราะ การโหวกเหวกโวยวาย
 ช่างดูเป็นครอบครัวที่สนุกสนานเหลือเกิน

"หนูไอนี้เรียบร้อยดีจริงๆเลยนะ พูดน้อยคำ ทำงานเก่ง สุภาพอีกต่างหาก"
ป้าสมบัติพูดชมขณะนั่งพับผ้าอยู่ข้างๆฉัน
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ฉันก็ได้ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง จนตอนนี้สนิทกับป้าสมบัติที่สุด เธอทำให้ฉันคิดถึงแม่ที่บ้าน...
แม่ที่ไม่รู้ว่ารอคอยการกลับไปของฉันอยู่ไหม

"ไอแค่ไม่มีเรื่องจะพูดนะจ่ะป้า..ทำงานก็ทำให้ไม่คิดอะไรดี"
ฉันพูด สายตายังเหม่อมองไปที่พี่กฤษณ์กับคุณสอง

"เอ้อ นี่ พอดี กระดุมเสื้อคุณสองเขาหลุด ไอเย็บเป็นไหม ช่วยป้าหน่อยนะ"

"ได้ค่ะ"
ฉันรับคำก่อนจะหยิบเสื้อนอนราคาเเพงมาเพื่อเย็บกระดุมกลับ
มันไม่ใช่งานที่ยากลำบากนัก ไม่นานฉันก็ทำเสร็จ

"ขอบคุณน้องไอดิสอง น้องเย็บกระดุมกลับให้"
พี่กฤษณ์เดินมาก่อนจะหันไปยิ้มอย่างขี้เล่นให้กับคนข้างๆ คุณสองส่ายหัว

"มึงดิต้องขอบคุณ มึงทำหลุดอ่ะ"

พี่กฤษณ์มองหน้าฉันก่อนจะหลุดหัวเราะ

"เออ พี่ทำจริงๆว่ะ.. ขอบคุณนะน้องไอ ว่างๆสอนเจ้าสองหน่อยดิ มันจะได้ทำอะไรพวกนี้เป็นบ้าง"

"กูมีเงิน จ้างเอาก็ได้"
คุณสองพูดอย่างไม่ยี่หระ พวกเขาดูเข้ากันจนฉันอดยิ้มไม่ได้..

นี่คือความรักหรือเปล่านะ..

เจ็บปวดที่เขารักคนอื่น แต่ก็สุขใจที่เห็นเขามีความสุข

ฉันมองรอยยิ้มพี่กฤษณ์
แค่ได้มองอยู่ในมุมนี้ฉันก็พอใจแล้ว

..................................

ไม่นานนักพี่กฤษณ์ก็ต้องเดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพ
ทั้งคุณสองและเพื่อนของเขาก็ไปด้วย

ฉันที่อยู่ที่นี้เมื่อเวลาผ่านไปก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของไร่แห่งนี้มากขึ้น
วันเวลาดูผ่านไปเชื่องช้า เรียบง่าย และสงบสุข

ทุกวันตอนเย็นน้องแก้วมักจะมานอนเล่นอยู่ห้องฉัน
ให้ฉันทำผมให้ ถ่ายรูป เล่นแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆกัน

น้องอยู่ในวัยแรกรุ่น และมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้ฉันฟัง
ประสบการณ์ในโรงเรียนและเพื่อนๆที่ฉันไม่เคยได้พบ

"แล้วมาร์คก็บอกกับเพื่อนแก้วว่า เขาแอบชอบแก้วอยู่อ่ะพี่ไอ..เขาบอกไม่ให้เพื่อนแก้วบอกแก้ว!"
น้องสาวตัวน้อยของฉันโวยวาย

"นิ่งๆก่อนนะแก้ว เดี๋ยวที่รีดผมโดนคอ.."
ฉันพูด พยายามกลั้นขำ ..แสดงว่าเพื่อนแก้วบอกแก้วแล้วใช่ไหมเนี่ย..

"แต่แก้วไม่ได้ชอบมาร์คไง หมอนั่นชอบทำตัวขี้แอ็ค..แบบ ดีดกีตาร์ติ๊งๆ หน้าห้องไรงี้ "
น้องแก้วยังคงเล่าต่อเสียงเจื้อยแจ้ว

"โอย ที่พี่ฟังมาทุกวัน ไม่ยักเห็นน้องแก้วชอบใครสักคน"
ฉันพูด กลั้นขำ น้องแก้วเป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักเลยทีเดียว เธอมีความเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก ฉลาด ฉะฉาน เป็นทั้งหัวหน้าห้อง ทั้งนักกีฬา ไม่แปลกที่เด็กๆผู้ชายจะชอบเธอ

"ก็แก้วชอบพี่ไออ่า..พี่ไอสวยน่ารัก"
น้องแก้วพูดก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อย ฉันบิดแก้มเธอด้วยความหมั่นเขี้ยวไปทีหนึ่ง

"แหม..เสร็จแล้วค่ะ คุณหนู"
น้องแก้วมองฉันก่อนจะทำหน้ามุ่ย

"จริงๆนะพี่ไอ ถ้าพี่ไอแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าสวยๆ พี่ไอสวยไม่แพ้เน็ตไอดอลเลยนะ! ผิวขาว ตาโต ปากเล็กๆง่ะ"

ฉันส่ายหัว ความงามนั่นอันตราย ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ชีวิตฉันถึงได้ลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"หืมม ไม่เอาก็ไม่เอา พี่ไอไปกินของหวานกันไหมคะพรุ่งนี้ พี่ไอไปรับแก้วที่โรงเรียนนะ"
น้องแก้วคะยั้นคะยอ ปกติจะมีคนขับรถไปรับน้องแก้วเเทนพี่กฤษณ์ ฉันจะขอติดรถเขาไปด้วย ไม่ได้ออกไปไหนนานแล้วเหมือนกัน

"ก็ได้จ้ะ"
ฉันตกลงรับปาก

.................................

ฉันมองบรรยากาศรอบตัว นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ออกมานั่งรถเล่นเเบบนี้
โชคดีที่พี่สิงห์เป็นคนใจดี ฉันขอติดรถมารับน้องแก้วเเล้วเขาก็ตอบตกลง

"ร้อนไหมน้องไอ พี่เด็กบ้านๆ~ พี่คนจนๆ .."
พี่สิงห์หันมาถามพลางร้องเพลง ฉันหลุดขำ
พี่สิงห์เป็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหมาะแก่การทำงานเก็บดอกรายวันมากกว่ารับส่งเด็กผู้หญิง
เขาชวนฉันคุยสัพเพเหระ ฉันซึ่งค่อนข้างเงียบๆได้แต่นั่งฟัง ตลอดระยะการเดินทาง ทำให้รู้จักเรื่องราวของพี่สิงห์เกือบทั้งชีวิตเลยทีเดียว

เป็นต้นว่า พี่สิงห์เป็นลูกคนโต มีน้องสาวสองคน พี่แกเรียนจบช่างยนต์ ตอนแรกก็ล่องลอยไม่มีงานไปเรื่อยๆ จนได้ไปเจอลุงชัยที่งาน Car expo.. ตอนนั้นพี่สิงห์ไปวิเคราะห์เครื่องยนต์โม้ให้เศรษฐีแถวนั้นฟัง หนึ่งในนั้นมีลุงชัยด้วย จบงานแกสนใจ เลยได้คุยกันยาว ลุงชัยเห็นพี่สิงห์หน่วยก้านดี เป็นคนขยัน เลยชวนให้มาทำงานด้วย ...

"ครอบครัวนี้เนี่ย เขาเหมือนรับเลี้ยงคนทำบุญทำทานนี่แหละ"
พี่สิงห์เล่าให้ฉันฟังว่า มีคนงานหลายคนที่ทำงานที่ไร่ เข้ามาในลักษณะเดียวกันกับพี่สิงห์ อาจเพราะเเบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมากกว่าบริษัทหรือองค์กรอะไรสักอย่าง
พวกคนงานต่างรักและเคารพครอบครัวลุงชัยเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือจากใจ
ไม่ใช่เพราะตำแหน่งหรือความเกรงกลัว

ฉันเองก็เช่นกัน แม้จะมาอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์และความอบอุ่นที่มีในไร่มาโดยตลอด
ทำให้คิดไปว่า หรือที่นี้จะเป็นที่ที่ฉันเรียกว่า 'บ้าน' ได้เต็มปากเต็มคำสักที

..................................

เมื่อมาถึงโรงเรียนของน้องแก้ว ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย
ระหว่างที่ฉันกับพี่สิงห์นั่งรอน้องแก้วเรียนเสร็จอยู่ในศาลา

สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นใบหน้าคุ้นเคย ผู้ชายสองสามคน เดินวนไปมาในบริเวณที่ควรเป็นที่จอดรถของผู้ปกครองคนอื่นๆ ใบหน้าคนเหล่านั้นทำให้ฉันตัวเเข็งขึ้นมา

...คนของเจ้านาย..ไม่สิ..อดีตเจ้านาย
คนของคุณวินด์..

ฉันรู้จักพวกมันแต่ละคนดี
ถ้ามันปรากฎตัวที่ไหน ไม่เคยมีด้วยเจตนาดีเลยสักครั้ง..

และนี้คือโรงเรียนน้องแก้ว..

เจ้านาย..คุณคิดจะทำอะไรกันเเน่..?

"เป็นอะไรเหรอน้องไอ เหงื่อตกเชียว"
พี่สิงห์ถามขึ้นด้วยภาษาท้องถิ่น..ฉันส่ายหัว ตายังคงจ้องไปที่คนเหล่านั้น
พี่สิงห์หันมองตาม

"เอ..คนของหัวหน้านี่..แค่พี่คนเดียวยังไม่พอหรือไง.."
พี่สิงห์พูดก่อนจะยิ้มให้ฉัน

"หัวหน้าไม่ค่อยเชื่อใจเราเท่าไหร่เลยว่าไหม...น้องไอ"
ฉันมองหน้าพี่สิงห์ รู้สึกเย็นยะเยือก...

ทั้งๆที่รอยยิ้มนั้นอบอุ่นใจดีเหลือเกิน

..................................

"พี่สิงห์~ พี่ไอ?! มาจริงๆด้วยย"
น้องแก้วเดินยิ้มกว้างมาแต่ไกล ฉันยืนตัวเกร็งอยู่ข้างๆพี่สิงห์
ความจริงที่พึ่งได้รับรู้นั้นทำให้ฉันตกใจไม่น้อย

พี่สิงห์เป็นหนอนบ่อนไส้อย่างนั้นหรือ..?

คุณวินด์คิดจะขู่บังคับพี่กฤษณ์โดยใช้น้องแก้วอย่างนั้นหรือ?
ทำไมถึงได้ส่งคนมาติดตามน้องแก้ว?
แล้วเจ้านายเลิกตามล่าฉันเเล้วหรือ? หรือคิดได้เเล้วว่าทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์..

ฉันไม่เคยเข้าใจความคิดของเจ้านายเลยสักครั้ง

เขานั้นเพียบพร้อมสมบรูณ์แบบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในการกระทำของเขา
เหมือนชีวิตเขานั้นไม่เคยเติมเต็ม

เหมือนเขาโหยหาอะไรบางสิ่งอยู่เสมอ

อยากจะกด..อยากจะเหยียบย่ำ..อยากจะทำลาย
เขาเคยทำมันมาเเล้วกับชีวิตพี่กฤษณ์และคุณสอง

แต่กับน้องแก้ว..ฉันจะไม่ยอม
ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือชิ้นใดของเขาอีก

ฉันมองพี่สิงห์ที่ยกกระเป๋าให้น้องแก้ว มองคนของเจ้านายที่มองพวกเราจากที่ไกลๆ
ในตอนนั้นเองที่ฉันตัดสินใจว่า

แม้ว่าโลกนี้จะไม่เคยยุติธรรม
แม้ว่าในชีวิตของฉันเองก็ไม่เคยได้รับความเห็นใจใดๆจากเจ้าชายขี่ม้าขาว หรืออัศวิน
แต่ฉันไม่จำเป็นต้องเอาแต่รอคอย ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ก้มหน้าสมเพชโชคชะตา

ฉันอาจเป็นอัศวินของใครบางคนก็ได้
เพียงแค่ฉันลุกขึ้นมาทำบางสิ่ง

..บางสิ่งที่ฉันพอจะทำได้

"น้องแก้ว วันนี้ป้าสมบัติบอกว่ามีขนมตาลทำใหม่ๆอยู่บ้านนะ"

"เอ๋..? แต่วันนี้เราสัญญาว่าจะไปกินขนมหวานกันนี่คะ"
เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย

"ก็กินอยู่บ้านเราไง..จะได้ไม่ดึกด้วย พี่สิงห์เองก็คงอยากพักผ่อนนะคะ ทำงานมาทั้งวัน"
ฉันพูดและหันไปยิ้มให้เขา

"เดี๋ยวไอโทรบอกป้าสมบัติเลยละกันเนาะ ว่าเรา'สามคน'จะกลับไปกินข้าวเย็นด้วย"
ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นกดทันทีก่อนจะมองหน้าพี่สิงห์ เขายิ้มให้ฉัน

แต่รอยยิ้มกลับไม่กว้างเท่าครั้งแรก



สวัสดีค่ะ!! :hao3:
ในที่สุดก็พอมีเวลาว่างมากขึ้นจากงานเลยได้มาพิมพ์ต๊อกๆแต๊กๆ ต่อค่ะ!
อาจจะห่างหายกันไปบ้างอยากให้เข้าใจว่า ช่วงที่คนอื่นหยุดกัน เราไม่ได้หยุดเลยค่ะ! :o12:

สำหรับตอนนี้เป็นมุมมองของสาวน้อยไอ ตัวร้ายที่ถ้าไปอยู่เรื่องอื่นอาจน่าหมั่นไส้มากกว่านี้(ฮา)
แต่จริงๆแล้วเธอไม่ใช่ตัวร้ายแบบ'stereotype'เลยสักนิด(โกหก แสดงเก่ง ขี้อ้อน หน้าอย่างหลังอย่าง อะไรเทือกนั้น)

ก็ชีวิตจริงน่ะไม่มีตัวร้ายหรอกนี่คะ มีแต่มนุษย์เหมือนกันทั้งนั้น
มีเหตุผลในการกระทำบ้าง ไม่มีบ้าง ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง

แต่ก็เพราะความเป็นมนุษย์นี่แหละค่ะ
นิยายเรื่องนี้ถึงจำเป็นต้องสนุกเข้มข้นขึ้นไปอีก!

#Anynomous

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 17-01-2018 01:38:07
อ่าว สิงห์เป็นหนอนบ่อนไส้หรอ ... :katai1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-01-2018 18:13:42
คิดถึง แล้วไรท์ก็มา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พี่กฤษณ์ ใจดี มีเมตตา
สอง ฉลาด ทันคน ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หวงพี่กฤษณ์สุดๆ
พี่กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ไอ ร้ายเพราะถูกบังคับ ไม่ได้อยากร้าย
แต่ดูแล้วไอ จะดี กับแก้ว เพราะแก้วไว้ใจ รัก สนิทสนมกับไอมากๆ
คนงานแบบสิงห์ ก็แอบแฝงเข้ามาในไร่ หรือถูกซื้อตัว?  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-01-2018 18:22:30
อ้าว สิงห์!!!! ทำไมเป็นคนแบบนี้
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
เริ่มหัวข้อโดย: Septemberry ที่ 17-01-2018 20:36:59
กีสสสสสสสสส มาปักหมุดไว้ก่อนนน
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่20) 15/01
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 18-01-2018 23:54:01
 o13
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่21: สีเทาขมุกขมัว) 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 27-01-2018 13:14:16

ตอนที่ 21:สีเทาขมุกขมัว

"ฉันได้ข่าวเกี่ยวกับเเกมา..ไม่ใช่เรื่องดีเลย"
ชายมีอายุซึ่งอยู่ตรงหน้าผมพูดขึ้น ผมก้มหน้า มองพื้น เหมือนที่ทำเสมอเวลาคุยกับท่าน

"ข่าวมีมูลความจริงไหมครับ"
ผมถาม และทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะดังปัง!

"จะมีหรือไม่มีคนมันก็เชื่อกันได้อยู่แล้ว!! แกต่างหาก ที่มีปัญหาแน่ๆ..รู้ไม่ใช่เหรออีกไม่นานจะถึงวันเลือกตั้ง
คู่แข่งไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตั้งใจโจมตีกันทั้งนั้น!! "
เขาพูดด้วยความเดือดดาล ผมก้มหน้านิ่ง ไม่ได้รู้สึกผิดเท่าที่ควร แต่ก็กล่าวขอโทษไป แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูลนัก นายท่านจึงยังไม่ได้เอาความกับผม..ต่อไปผมต้องระวังให้มากขึ้น..

ผมแน่ใจว่าเป็นฝีมือของไอ้ตั้ม กับพี่สาวสกปรกของมัน

...วันนั้นถ้าไอ้คนอวดดีนั่นไม่โผล่มา ผมกับสองอาจจะเข้าใจกันเเล้วเเท้ๆ...

ไอ้สวะนั่นต้องชดใช้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด..ผมสัญญา!

..................................

หลังจากที่โดนทำร้ายร่างกายโดยไอ้คนจอมอวดดี ผมก็ซมซานกลับบ้าน
แต่ก็ซมซานเพียงแค่ตัว หัวใจกลับลิงโลด

..ผมยังจำภาพของสองที่ตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ใต้ตัวผมได้ดี..
หยาดน้ำตาบนใบหน้า ช่วงล่างของเขากับช่องทางที่ผมอยากเข้าไปเหลือเกิน..
เสียงครางเบาๆของเขา ริมฝีปากที่พยายามกัดเม้มเพื่อห้ามไม่ให้เสียงนั้นออกมา

...อา...

ผมรักเขา
..มันมากกว่านั้นเสียอีก..

เมื่อก่อนผมแค่อยากอยู่ข้างๆเขาอย่างเท่าเทียม..
แต่หลังจากวันนั้นผมได้รู้ตัว

ผมต้องการเขา..
ต้องการมาก อยากได้เขามาไว้ในครอบครอง

ทำให้หลั่งน้ำตาเพื่อผม ทำเพื่อผม และรักผม

ผมคนเดียว
เพียงคนเดียวเท่านั้น

"ตืด..ตืด..ตืด.."

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ เบอร์โทรนี้ไม่คุ้นเคย..ปกติผมไม่ให้เบอร์ส่วนตัวกับใครง่ายๆ
จึงมองอย่างเฉยเมย ไม่คิดจะกดรับ

เสียงเรียกเข้ายังดังอย่างต่อเนื่อง หลังจากดังเป็นครั้งที่สาม เสียงนั้นก็เงียบไป

"ตึ๊ง.."
เปลี่ยนเป็นข้อความเข้าเเทน ..ผมกดดู

'ข่าวลือเป็นเเค่จุดเริ่มต้น ..หลังจากนี้คือของจริง'
ไฟล์ภาพที่เเนบมาเป็นภาพเด็กสาวที่ผมจ้างให้ทำงานพิเศษ..นักแสดงของผม

ผมมองภาพนั้น ไม่ผิดแน่ ..เป็นยัยโง่นั่นจริงๆ แต่ผมจัดการไปแล้วนี่นา..ยัยนี่ควรจะไม่มีปากไม่มีเสียง
อยู่ในที่ทำงานของมันนี่..ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ..

แล้วยิ่งใกล้จะถึงวันเลือกตั้งเเล้วด้วย..เสียงนายท่านลอยเข้ามาในหัวผม
..ไอ้พวกนั้นมันตั้งใจ..ผมมองแผนการออกแทบจะในทันที

มันตั้งใจปล่อยข่าวเพื่อให้กระทบกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของนายท่าน
ลำพังตัวผมเองไม่เท่าไหร่..มีคนรู้จักอยู่บ้าง แม้จะไม่มากมายนัก แต่ผมก็เป็นถึง 'บุตรบุญธรรม'ของนายท่าน
เป็นหมาก ที่จะให้เขาชักต่อ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในเกมการเมืองนี้..

นายท่านถึงได้กำชับหนักหนาตั้งแต่ผมยังเด็ก ว่าอย่าทำประวัติตนเองให้เสีย
และผมก็ทำมาได้ดีตลอด..จนกระทั่งตอนนี้..

ผมกำหมัดแน่น..ผมเดินทางมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางหันหลังกลับแน่
มันไม่มีที่ให้หันกลับไปอีกแล้ว

.................................

"ในที่สุดแกก็มาจนได้นะ.."

ผมมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเฉยชา ใบหน้าขาวตี๋ที่ปกติจะกวนอารมณ์ผมตลอดเวลา
วันนี้กลับมีรอยยิ้มเหยียดหยันแปลกๆ

คราวนี้เขามาในฐานะคนถือไพ่เหนือกว่า 'เรา'นัด ทานอาหารเย็นกันที่ภัตตาคารราคาแพงลิบแห่งนี้

ผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของไอ้ตั้มแทบจะในทันที

ไฮโซหนุ่มที่ปกติจะฉายเดี่ยว แต่งตัวเหมือนหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำราญ มาพักหลังนี้นอกจากจะเเต่งตัวสุภาพขึ้น..
ผมคิดพลางพิจารณาสูทราคาเเพงที่ตัดเย็บอย่างประณีตของเขา ..แล้วมองไปที่ชายร่างกำยำสองคนที่เดินมาด้วย
เขายังระมัดระวังตัวมากขึ้น..แสดงว่าคงเข้าไปช่วยงานธุรกิจของครอบครัวเต็มที่แล้วสินะ..

มิน่าเล่า ไอ้ท่าทางอวดดีที่เมื่อก่อนเคยมี เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นหยิ่งผยองแทน
ผมคิดในใจอย่างอดสมเพชไม่ได้

"ตอนนี้ฉันมีทุกอย่างที่ใช้ทำลายแกได้ แค่ฉันสั่งไป"
เขาพูดเรียบๆ รอยยิ้มยังอยู่บนใบหน้า

"แกต้องการอะไรจากฉัน"
ผมถามไปตรงๆ

"ไม่มากนะ ใส่ใจในเรื่องของตัวเองพอ อย่ายุ่งกับสอง พี่กฤษณ์ เด็กผู้หญิงคนนั้น เลิกขัดการยื่นตำแหน่งของฉัน อย่าคิดเผาที่คนอื่นอีก พูดง่ายๆ ทำตัวแบบที่คนดีๆเขาทำกัน"

ผมมองหน้าคนตรงหน้า

..ไอ้คนเเบบนี้เนี่ยนะ..มาบอกให้ผมทำตัวเเบบที่คนดีๆเขาทำกัน ..น่าขำ!
แล้วไอ้เงื่อนไข..เลิกขัดการยื่นตำแหน่ง มันก็ผลประโยชน์ตัวเองชัดๆไม่ใช่หรือไง

"คนที่ใช้เพื่อนตัวเองเป็นเครื่องมือนี่เป็นคนดีเเล้วหรือไง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เเม้ภายในใจความโกรธจะเริ่มคุกรุ่น

"มึงพูดให้มันดีๆนะเว้ยไอ้วินด์..นี่กูให้โอกาสเเล้วนะ"
คนตรงหน้ากดเสียงให้ต่ำเหมือนพยายามจะข่ม ผมรู้สึกสงบขึ้น

และรอยยิ้มของผมก็เผยออกมา

รอยยิ้มที่อาจไม่เหยียดหยันเท่าคนตรงหน้า
แต่มีพลังต่อตัวผมจนน่าประหลาด

"คุณอาจมองว่าผมไม่ดี ผมไม่ปฏิเสธ แต่ผมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้
มีแต่คุณที่ลากสองมาเกี่ยวข้องในเรื่องงานของคุณด้วย กี่ครั้งแล้วล่ะ ที่เขาต้องมารับผิดชอบ มาคอยดูแล ช่วยเหลือคุณ ..ก็ไม่ใช่เพราะความไร้ความสามารถของคุณเองเหรอ"

"พูดจาดีอย่างกับพวกทนาย ..ไอ้สัส.. แล้วที่มึงเผาไร่พี่กฤษณ์นี้แยกแยะเเล้วเหรอวะ?"

ผมกอดอก

"คุณอาจจะลืม ผมเป็นทนาย เมื่อผมทำงานร่างสัญญาให้เขา ผมก็ทำเต็มความสามารถของผม ส่วนเรื่องเผาไร่ คุณกำลังปรักปรำผมอยู่ ผมฟ้องคุณเดี๋ยวนี้ยังได้เลยนะครับ"

"ไอ้...สรุปมึงจะ Deal ไม่ Deal?"
เขาลุกขึ้น มองหน้าผม

"ไม่"
เมื่อผมพูดเสร็จ เขาพยักหน้า ลุกขึ้น แล้วเดินจากไป

สักพัก บริกรชายของร้านก็เดินเข้ามาหาผม

"เอ่อ...สรุปอาหารที่สั่งจะยังเอาเหมือนเดิมไหมครับ.."

ผมถอนหายใจ พยักหน้ารับตามมารยาท ..แล้วผมจะกินยังไงคนเดียวให้หมด
เงินค่าอาหารก็ต้องจ่ายเองอีก ..คนดีๆเขาทำกับคู่เจรจาของตัวเองอย่างนี้หรือไง

...................................

"วินด์!! นี้มันเรื่องอะไร !"
นายท่านโยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้าผม มันหล่นลงไปบนพื้น

'..ลูกชายว่าที่นายก ผันพันกับคดีค้ามนุษย์!! ..อ่านต่อหน้า 19...'

 "ผมไม่ทราบครับ"
ผมก้มหน้า เหมือนที่ทำเสมอมา ..แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ

"ฉันบอกแล้วใช่ไหม ให้ไปจัดการให้เรียบร้อย! แล้วนี่แกจัดการได้แค่นี้เหรอ?!! แกไปสร้างศัตรูที่ไหนไว้ ห๊ะ!!"

"ผมไม่ทราบจริงๆครับ"

"ฉันไม่ได้เลี้ยงงูมาไว้เพื่อฉกตัวเอง ฉันต้องส่งคนไปตามเก็บตามเช็ดเรื่องของแก มันใช่เรื่องไหม?!!"
นายท่านดูเดือดดาล เขามองมาทางผมด้วยความโมโห

"จนกว่าเรื่องพวกนี้จะเงียบ ตอนแรกฉันวางแผนให้แกได้ลงการเมืองในเร็วๆนี้ นี่ก็ต้องยืดออกไปอีก หรือจะให้ฉันหาคนอื่นมาแทน หา?!! ตอบมาสิ จะเอาไหม?!!"

"ไม่ครับ"
ผมส่ายหัวอย่างอ่อนล้า.. คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาได้ขนาดนี้.. หน้าของไอ้ตั้มลอยขึ้นมา ยิ่งทำให้ผมโกรธมากขึ้นอีก

"อย่าคิดว่าฉันจะถือหางแกตลอด ฉันวางใจแก แต่ของของแกทั้งหมดก็คือของฉัน ฉันจะยึดคืนเมื่อไหร่ก็ได้"

ผมนิ่ง เงียบ เห็นด้วยกับนายท่านเป็นอย่างยิ่ง

"ฉันมอบชีวิตให้แก ฉันก็เอาคืนมาได้เหมือนกัน"

ผมนิ่ง เงียบ เห็นด้วยกับนายท่านเป็นอย่างยิ่ง

"ระหว่างนี้ แกไปอยู่ต่างประเทศสัก3-4เดือนซะ อยู่แถวนี้มีแต่จะทำลายภาพลักษณ์ฉันเปล่าๆ"

"ครับ นายท่าน"
ผมโค้งรับก่อนจะขอตัวออกมา

ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่าที่คิด ความรู้สึกที่ถูกกดขี่จนชาชิน อาจทำให้ความสมเพชตัวเองของผมมันด้านชาไปแล้วก็ได้

..................................

ของเหลวสีอำไพอยู่ในแก้ว ผมขยับมือ มองมันกลิ้งไปมาในแก้วทรงสูง
มองดูผู้คนที่อยู่รอบๆ เสียงเพลงสากลเบาๆที่เป็นฉากหลัง

ผมไม่ค่อยได้มาสถานที่เริงรมย์ในยามค่ำคืนนัก
จึงไม่มีอารมณ์ร่วมกับพวกที่ไปเต้นบนฟลอร์

ทำได้มากสุดคือดื่มด่ำกับบรรยากาศครึ้มๆเเถวบาร์เท่านั้น

ความรู้สึกถูกขับไล่ไสส่งโดยคนที่เหมือนเป็นเจ้าชีวิต..
ผมที่ไม่มีอะไรจะเหนี่ยวรั้งไว้ได้เลย

เปราะบางเหลือเกิน..
เหนื่อยล้าเหลือเกิน..

ทรงผมที่ถูกเซ็ตไว้อย่างเป็นระเบียบเหมาะเเก่การทำงานเสมอถูกปล่อยลงอย่างง่ายๆ
เสื้อสูทประณีตราคาเเพงที่ใส่เสมอกลับเป็นเสื้อเชิร์ตสีขาวธรรมดาๆ

คลับนี้เป็นคลับของโรงเเรมชื่อดัง ค่อนข้างมีราคาอยู่พอสมควร
ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องจะโดนนักเลงที่ไหนก็ไม่รู้หาเรื่องเอาได้

"กริ๊ง.."
เสียงเเก้วกระทบกันเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นมอง

สาวสวยคนหนึ่งมองมาทางผมอย่างเย้ายวน ผมยิ้มน้อยๆ ไม่คิดจะทักทายหรือสานต่อความสัมพันธ์
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นหูเล่นตากับใครในชั่วโมงนี้

"คุณวินด์หรือเปล่าคะ..บังเอิญจังเลย ขอนั่งด้วยคนนะคะ"
ผมพยักหน้า ..ไม่ใช่ที่ส่วนตัวสักหน่อยนี่

...................................

พลั่ก!!

ผมถูกผลักอย่างแรงโดยใครสักคน

"เฮ้ย ไอ้เหี้ยนี่เมาแล้วเลื้อยว่ะ เมียกู ไอ้สัส"

ผมไม่พูดอะไร พยายามลุกขึ้นให้ตรงก่อน ในหัวรู้สึกเบลอๆ จับใจความอะไรไม่ได้เลย

"นี่มันลูกนักการเมืองนี่หว่า..!!"

"อ่อ ไอ้ที่มีข่าวค้ามนุษย์!"

"เหี้ยสัส คิดว่ารวยแล้วทำได้ทุกอย่างมั้ง..!!"

"..เมียกู มึงยัง ยังไม่หยุด!!"

ผมแค่กำลังพยายามจะลุกขึ้นมาแค่นั้นเอง.. แต่ก็เหมือนมีเเรงบางอย่างมาทำให้ผมล้มลงไปอีกครั้ง
สักพักแรงเหล่านั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ ..

ตรงขา ตรงท้อง ตรงหลัง..
ผมได้เเต่ขดตัวให้งอ ลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

..นี้ฝันหรือเปล่านะ..

ถ้าเป็นอย่างนั้นผมขอให้ผมตื่นมาเสียที...

ก่อนสติจะหายไปผมได้ยินเสียงใครบางคน..
เสียงที่คุ้นเคยเหลือเกิน เสียงที่ไม่ได้ยินมานานมากเเล้ว..

.................................

'ตื่น ตื่น พี่วินด์'
ผมลืมตาขึ้นในห้องขนาดใหญ่ มีเตียงหลายสิบเตียงเรียงกัน ผ้าห่มผืนบางถูกพับอย่างเป็นระเบียบ
ผมมองใบหน้าเล็กๆสีเทาเหล่านั้น ดูขมุกขมัวเหมือนมีใครเอาดินสอมาขีดทับไว้..ผมจำไม่ได้

'พวกแกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน!! ลุกไปเตรียมตัว ทำงาน ไอ้พวกขี้เกียจ!'
สตรีร่างใหญ่เดินขึ้นบันไดไม้เก่าๆที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับ
เธออ้วนเกินกว่าจะอ้างได้ว่าอดอยากเหมือนพวกเราทุกคน และเเข็งแรงพอจะตีใครก็ตามที่บ่นเรื่องนั้น

'พี่วินด์ พวกเราหิว'
ใบหน้าขมุกขมัวเล็กๆใบหน้าหนึ่งพูด

'พี่วินด์ พวกเรากลัว'
ใบหน้าอีกใบพูดขึ้น

'พวกเราหนาว..'

ฉันช่วยพวกเธอไม่ได้..ผมพยายามจะขยับตัวลุก
แต่เเข้งขากลับไร้เรี่ยวเเรงเอาเสียดื้อๆ

ฉันช่วยทุกคนไว้ไม่ได้..

'..ตื่นเถอะ ไม่งั้นจะถูกตี'

'ตื่นเถอะ..'

'ตื่น!!!'

.................................

ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อไหลเต็มตัว พอจะขยับตัวก็รู้สึกว่ามีวงแขนใครสักคนทับเอาไว้..

ผมพยายามดิ้นให้หลุด

"Hmm.. G' morni.."

"ปล่อยนะเว้ย!"
เมื่อผมหลุดมาได้ ผมหันกลับไปดู .. ใบหน้าที่นอนอยู่นั้นช่างคุ้นตาเสียจริง

ผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศก ดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนทะเลสาบ ใบหน้าที่ดูเหมือนเทพบุตรปีศาจ..

"..โจเซฟ?!!!"

"จะตกใจอะไรนักหนา"
คนตรงหน้าพูดเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะหลับตานอนต่อ

"ค..คุณมาอยู่นี้ได้ไง แล้ว ..ผมมาอยู่นี้?"

"ก็เมื่อคืน คุณโดนคนในคลับผมรุมตี เออ แล้วนี้ก็โรงเเรมผม เผื่อคุณจะจำไม่ได้ โรงเเรมดังๆส่วนใหญ่ในประเทศก็เป็นของผมทั้งนั้นแหละ คุณวินด์"
คนตรงหน้าพูดแบบไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเป็นเมื่อตอนเด็กผมคงหมั่นไส้ไปแล้วเพราะความขี้อวด แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกว่าเขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปมากกว่าจะตั้งใจอวดใครต่อใคร

"อ่า..คือ ผมขอบคุณนะ ผมไปละ"
ผมพูด รู้สึกอายนิดๆ ไม่อยากถามถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงได้มานอนห้องเดียวกัน หรือ แม้กระทั่งทำไม..เขาถึงได้กอดผม

"เดี๋ยว!"

ผมหันขวับ

"ทำไม?"

"อย่าพึ่งไป ผมอยากคุยกับคุณ แต่ผมยังง่วงอยู่ ช่วยรอสัก 1 ชม.ได้ไหม ตอนผมตื่นแล้วเราจะได้คุยกัน"

ผมกลอกตา ไม่อยากจะเชื่อ
ไอ้พวกคนเอาแต่ใจนี้มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ ตอนเด็กอย่างไรตอนโตก็อย่างนั้น

"ผมไม่มีเวลาพอจะมานั่งรอคุณหรอก ผมมีธุระต้องทำ! ไปล่ะ"

"โอเค โอเค"
ชายบนเตียงยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้

"คุณจะไปไหน"

เตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศ..ผมคิดในใจ

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ"

"ไม่ให้ไป"
ชายร่างสูงเดินมาเอาตัวขวางประตู ก่อนจะมองหน้าผม

"นี่คุณจะกวนผมใช่ไหม คุณโจเซฟ"
ผมกอดอก ไม่ตลกด้วย

"ไปทานข้าวกับผม"

"คุณกำลังจะกักขังหน่วงเหนี่ยวผมนะ คุณโจเซฟ"
ผมพูด มองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

"เราเป็นเพื่อนเก่าที่แสนดีต่อกัน! คุณจำไม่ได้แล้วเหรอ ผมคอยให้ของน่ารักๆคุณเสมอ คอยตามไปส่งที่บ้าน มาโรงเรียนพร้อมกัน เข้าชมรมเดียวกัน ผมยังอ่อนให้คุณในการเเข่งขันฟันดาบด้วย!"

"ความจำคุณท่าทางจะบิดเบือนเอามากๆเลยนะ ถ้าของน่ารักๆที่ว่าคือพวกเศษขยะ ไม้กวาด ไม้ถูพื้น คอยตามไปรับไปส่งคือการเดินคุม ทำท่าเป็นพวกนักเลงใหญ่โต เข้าชมรมเดียวกัน คุณบีบบังคับให้รุ่นน้องที่ลงชื่อก่อนลบชื่อออกจากชมรม ช่วยเรื่องฟันดาบ คุณเล็งดาบไปหาคู่ของผมจนเขาเกือบตาย"

"ขอบคุณที่ย้ำเตือน ผมไม่ควรยุ่งกับคุณอีก"
ผมพูดก่อนจะผลักเขาออกจากบริเวณประตู แล้วเดินออกไป

..................................

บ้าชิบ!!..กระเป๋าเงินผมอยู่ในโรงแรมนั่น!!
ผมวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นไปโรงเเรม

ตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเรียกแท็กซี่แล้วไม่มีเงินจ่าย!!

"ปั้กๆๆ"
ผมทุบประตูห้อง

"นอนอยู่ครับบ"
เสียงอู้อี้ภาษาอังกฤษดังออกมาจากห้อง

"ลุกมาเปิดให้ผมเดี๋ยวนี้นะโจเซฟ!"
ผมตะโกนเข้าไป

สักพักใหญ่ๆถึงได้มี 'คน' มาเปิดให้

ไอ้หมอนี่ขี้เกียจลุกถึงขนาดกดกริ่งเรียกพนักงานจากชั้นล่างมาเปิดประตูให้ผม
ทั้งที่ตัวเองอยู่ในห้องแท้ๆ!!

ผมวิ่งเข้าห้อง เปิดผ้าห่ม ดูในห้องน้ำ หากระเป๋าเงิน แต่ไม่เห็นสักที่

"ทำอะไรอ่ะคุณ"

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ นอนไปเหอะ!"
ผมพูดอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหาในห้องรับแขก หาหลังทีวี ..
แล้วผมจะขึ้นเครื่องยังไงละวะนี่ บัตรอะไรก็อยู่ในนั้นหมด!!

"ถ้าหากระเป๋าเงินละก็  อือ พอดีผมถือวิสาสะเอาบัตรคุณมาค้ำประกันน่ะ.."

"ห้ะ?!! ค้ำ? ค้ำอะไร"
ผมหันไปถาม เริ่มโมโห

"คุณคิดว่าห้องนี้ฟรีเหรอ เราต้องจ่ายคนละครึ่งนะ ผมทำธุรกิจไม่ได้เปิดห้องให้คนด้อยโอกาส"

ผมเหวอ อยากจะกระโดดต่อยคนตรงหน้าสักทีสองที ไอ้นิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ปัญญาอ่อน งี่เง่า
มันไม่โตตามอายุเลยเหรอวะ?! หรือนี่คือเวอร์ชั่นพัฒนาแล้ว?!!

"ถ้างั้นคุณเอากระเป๋าเงินมาให้ผม ผมจะจ่ายให้และไปเดี๋ยวนี้!"

"นี่ยังไม่นับค่าข้าวของพังเมื่อคืนอีก ผมนี่คิดหนักเลยว่าจะจัดการยังไง"
ในที่สุดไอ้คุณชายจอมขี้เกียจก็ลุกออกจากเตียง ก่อนจะทำหน้าน่าเห็นใจ(ซึ่งทำให้รู้สึกหมั่นไส้มากกว่า)ใส่ผม
เขาถือผ้าเช็ดตัวก่อนจะพาดใส่บ่า เดินเข้าห้องน้ำ

"เดี๋ยว! แล้วกระเป๋าเงินผมล่ะ?!!"

"โอยย ขอผมอาบน้ำก่อนได้ไหม ค่อยคุยกัน ผมปวดหัว คุณนั่งรอก่อนละกัน"

ผมขมวดคิ้ว ขัดใจ หงุดหงิด ทำไมผมต้องมาเจอคนคนเดิมที่คอยกดขี่ผมสมัยเด็ก
และเมื่อมันโตขึ้น มันก็ยังกดขี่ผมเหมือนเดิม.. ทำไมกันนะ ทำไม!

..แต่เมื่อกี้ ไม่รู้ผมตาฝาดหรือเปล่า ทำไมที่แผ่นหลังของเขาถึงได้มีรอยแผลนะ..

..................................

"Ouch! ..คุณ คุณช่วยผมหน่อยสิ"
คนตรงหน้าเดินมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า มีหยดน้ำเกาะเเพรวพราว เมื่อรวมกับรูปร่างที่ดีจนผู้ชายหลายๆคนต้องอิจฉา หน้าตาที่หล่อเหมือนเทพบุตรมาแต่ไหนแต่ไร..

หมอนี่ไปเป็นนายแบบได้เลยนะนี่ ผมคิดกับตัวเองอย่างประหลาดใจ

เขานั่งหันหลังให้ผม เผยให้เห็นรอยแผลที่หลังขนาดใหญ่ มีรอยคล้ำสีม่วง และรอยที่เป็นแผลสด มีเลือดไหลซิบๆ

"..คุณไปโดนอะไรมานี่"
ผมอุทานอย่างตกใจ..นี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนหงายไม่ได้ ต้องนอนกอดผม (ใช่เหรอ? : Anynomous)

"ก็เมื่อวาน คุณไปกวนลูกค้าผม ผมไปอุ้มคุณออกมา เขาเลยเอาขวดไวน์ฟาดหลังผมง่ะ"

ผมนิ่ง มองคนตรงหน้าอีกที..

"คุณไม่จำเป็นต้องช่วยผมขนาดนี้ คุณต้องการอะไรหรือไง"
ผมถามกลับอย่างเลือดเย็น ชีวิตของผมไม่เคยมีใครมาให้อะไรง่ายๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน

"เปล่าๆ นี่มันคลับผม โรงแรมผม คุณก็เป็นลูกค้าของผม ผมทำเท่าที่ทำได้แหละ"
เขาพูดอย่างลุกลี้ลุกลน ผมขมวดคิ้ว

"คุณไม่ควรเอาตัวเองไปให้เขาตี"

"คุณบอกตัวเองเหอะ...โอ๊ยย!! มือหนักชะมัด!!"

ผมกดผ้าก๊อซไปตรงแผลชายตรงหน้าแรงๆ

"แล้วไอ้ที่ตีคุณนั่นเป็นใคร อยู่ไหน เดี๋ยวผมจะเเจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย.."
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

"ไม่ต้องหรอก..แหะๆ พอดีหลังจากถูกตีที่หลังแล้ว ผมก็วางคุณให้พนักงานอุ้มต่อ ส่วนผมวิ่งไปเอาขวดไวน์มาตีหัวมันอีกรอบน่ะ.. เอาเข้าจริงๆตอนนี้ผมก็กลัวถูกฟ้องทำร้ายร่างกายอยู่.."

"ยังไงคุณช่วยผมด้วยละกันนะ คุณเป็นทนายนี่.."
คนตัวใหญ่พูดก่อนจะหัวเราะ ผมได้แต่นั่งทำอะไรไม่ถูก

แม้จะไม่ได้แก้ปัญหาในทางที่ดี และจนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่ทราบว่ากระเป๋าเงินผมอยู่ไหน

แต่กลับรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างแปลกๆ
คนบางคนนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

..................................

"ไอ้ข่าวในหนังสือพิมพ์นี่เป็นเรื่องจริงไหม"
คนตรงหน้าถามก่อนจะหั่นเนื้อสเต๊กให้ผม ดวงตาสีมรกตจ้องผมเหมือนคาดหวังคำตอบบางอย่าง
คำตอบที่ดี คำตอบที่เขาต้องการ

ผมรู้

แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะปั้นน้ำเป็นตัว
หรือเสเเสร้งเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง

ยิ่งเจอกับเขา มันยิ่งทำให้ผมเหนื่อยในการทำสิ่งเหล่านี้

"จริงบ้างไม่จริงบ้าง หนังสือพิมพ์เชื่อได้หรือไง"
ผมพูดก่อนจะตักเนื้อชิ้นนั้นคืน สารภาพตรงๆ ผมไม่ชอบกินเนื้อ ที่สั่งสเต๊กมาเพราะอยากกินแต่สลัด

"ผมว่าไม่จริงหรอก คุณเป็นทนายนี่ ไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟียสักหน่อย"
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม ผมยิ้มกลับ

ผมก็อยากเป็นแค่ทนายเหมือนกัน..คุณรู้ไหม
ผมอยากเป็นแค่นั้น

"ถ้าไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม หน้าคุณตอนโมโหยังน่ารักกว่า"

ผมชักจะโมโหล่ะ

"กินๆไปเหอะคุณ สุดท้ายผมก็ต้องมาทานอาหารกับคุณอยู่ดี อยากได้อะไรก็ต้องได้หรือไง"
ผมพูดเปลี่ยนเรื่อง
เขายิ้มกว้าง

"ผมพอจะรู้เรื่องที่คุณโดนสั่งอยู่บ้าง กับคุณพ่อของคุณน่ะ"
เขาไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องตาม..ฉลาดเหมือนกันนี่.. ผมสะอึกเมื่อได้ยินคำว่า 'คุณพ่อ' จากปากของเขา

"คุณไม่จำเป็นต้องทำตามเขาทุกเรื่องก็ได้ ไม่ใช่หรือไง"

"อย่ายุ่งเรื่องของผม"
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหาร

"จริงๆเมื่อคืนตอนคุณเมา คุณเล่าให้ผมฟังหมดแล้วล่ะ"

ผมเบิกตาโต

"..ต..แต่ผมหลับไป"

เขายักไหล่

"คุณตื่นมาร้องไห้ ..ผมเลยถามว่ามีอะไรอยากเล่าไหม"

แย่แล้วไง..ถ้าผมโดนอัดเสียงเอาไว้ขู่อีกล่ะ ทั้งชีวิตนี้ผมจะโดนขู่โดยเทปเสียงจนตายไปเลยหรือไง
ทั้งจากไอ้ตั้ม พี่สาวมัน แล้วนี่ยังโจเซฟอีก..

"คุณคงไม่ได้กำลังขู่ผมใช่ไหม"
ผมถาม หยุดกินอาหารทันที

"ผมจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะ..คำแนะนำจากผมนะ อะไรที่ทำแล้วเหนื่อย ก็หยุด อย่าไปทำ
คุณเป็นคนดี ความสามารถก็มีมากมาย ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่ออนาคตบ้างเถอะ.."

"ผมรู้ อดีตคุณเจ็บปวด ..แต่ตอนนี้ คุณอยู่กับผมที่นี้ เราอยู่ที่ปัจจุบัน"
ผมมองหน้าเขา.. เขาดูโตขึ้นกว่าเด็กเกเรที่ผมเคยรู้จักเหลือเกิน..
ทั้งส่วนสูงที่สูงกว่าผมลิบ หรือแววตาของเขาเองก็ตาม..

ราวกับว่ามีเพียงเขาที่ก้าวออกจากตัวตนในอดีต
เหลือเพียงผมที่ยังยึดติดอยู่กับความหลัง

อดีตที่เจ็บช้ำ เป็นเบี้ยล่าง โดนรังแก
อดีตที่มีเพียงสองให้ยึดเหนี่ยว
อดีตที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าตัวเล็กๆ

"ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณได้นะ ถ้าคุณต้องการ"
เขาพูดก่อนจะตักเนื้อให้ผมอีกชิ้น

"ผมไม่ต้องการ"
ผมพูด เเละเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขาผมจึงรีบพูดต่อ

"หมายถึงเนื้อ คือ ผมไม่ชอบกินเนื้อน่ะ"

ให้ตาย..ผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้ ไม่ว่าจะในอดีต หรือปัจจุบัน

..................................

อาจจะดีเหมือนกันที่หลีกหนีออกมาจากชีวิตตรงนั้น
ตั้งแต่ได้กลับมาคบกับโจเซฟอีกครั้ง เขาทำให้ผมคิดถึงเรื่องตัวเองน้อยลงมาก
ทั้งความสมเพชตัวเอง อดีตที่น่าเศร้า

พูดตรงๆว่าแต่ละวันผมเอาแต่คิดถึงเรื่องของเขา
เขาเป็นคนที่มักจะหาปัญหามาให้ชีวิตตัวเองอยู่เสมอ

และธุรกิจของเขาก็เกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมายมากมาย
เขาถึงได้ปรึกษาผมอยู่เนืองๆ

ผมเองก็วางใจถึงขนาดให้เขาไปคุยกับคนรักสองเป็นเพื่อนผม
ผมยอมรับเรื่องที่ส่งคนไปตามติดเด็กที่ชื่อแก้วกับไอ เพราะกลัวหล่อนจะทำอะไรที่ผมไม่คาดคิดอีก
และผมบอกพี่กฤษณ์ว่าผมจะไปต่างประเทศแล้ว จะเลิกยุ่งทุกอย่าง

ผมขอให้เขาจบ ให้เขาให้อภัยผม

ผมทำตามที่โจเซฟแนะนำ

โจเซฟแนะนำให้ผมคุยกับคู่กรณีโดยตรง ไม่ต้องไปคุยกับไอ้ตั้ม เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะขู่ผมอยู่เรื่อยๆ
และคำแนะนำของเขาก็ได้ผลดี

พี่กฤษณ์มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แม้จะน่ากลัวกว่า แต่เงื่อนไขของเขาเป็นเพียงให้ผมรักษาสัญญาให้ได้
เขาเองก็แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกอย่างชัดเจน

เรื่องจึงไม่ยากสำหรับผม

ส่วนเรื่องสองนั้น ผมพยายามติดต่อกับเขาทุกช่องทาง แต่เขาไม่เคยตอบกลับ
ผมยังไม่อยากยอมแพ้

อาจเพราะยึดติดกับเขามาเกือบครึ่งชีวิต
แต่ความอยากยึดครองนั้นน้อยลง..

..................................

วันนี้เป็นวันเดินทางของผม ไม่มีคำอวยพรหรือมิตรสหายที่มารอส่งใดๆทั้งนั้น
ผมโดดเดี่ยวอยู่เสมอและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

เเม้ว่าช่วงหลังๆผมจะสนิทกับโจเซฟมากขึ้น
แต่ก็อีกเช่นเคย ผมยังคงโดดเดี่ยวเสมอมา..

"วินด์ !"
ผมหันไปตามเสียงและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยวิ่งมา

และอยู่ๆผมก็ยิ้มออกมา..
รอยยิ้มที่ไม่คิดว่าจะมีได้

"ผมอยากตามไปส่งคุณนะ แต่ติดงาน ญี่ปุ่นไม่ไกลหรอก ถ้าว่างเดี๋ยวผมไปหา"

ผมพยักหน้ารับ

"คุณไม่ต้องลำบากหรอก"

ผมพูดเมื่อเห็นกล่องนาฬิการาคาเเพงลิบในถุงที่เขามอบให้

"ไม่เลย คุณไป 4 เดือนใช่ไหม ขากลับมาก็พอดีเลยนะ"

"พอดี?"

"ผมวางแผนขยายสาขาในต่างประเทศเพิ่มน่ะ..ต้องการทนายส่วนตัวพอดี"
คนตรงหน้ายิ้ม ผมเองก็ยิ้มและแสดงความยินดีไปกับเขาด้วย

"ผมจะรอคุณนะ"
ดวงตาสีเขียวมรกตนั้นจ้องมองผม เบื้องหลังดวงตานั่นราวกับมีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่
ผมมองกลับ ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างที่ไม่เคยมอบให้ใคร
..................................

เมื่อขึ้นมานั่งบนเครื่องบิน ผมเหม่อมองไปยังปุยเมฆสีขาวที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีคราม

เครื่องบินทิ้งระยะห่างจากพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมอยากจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างลงไปเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรืออนาคต
ผมปล่อยให้ตัวเองได้มีโอกาสนอนมองท้องฟ้าเงียบๆ

ทุกครั้งที่หลับตาผมจะได้ยินเสียงปลุกให้ตื่นจากเด็กๆใบหน้าสีเทาขมุกขมัวอยู่เสมอ
แต่ครั้งนี้เมื่อผมหลับตา

กลับมีดวงตาสีเขียวมรกตชัดเจนขึ้นมาแทน

'..ผมจะรอคุณนะ'

ผมหลับไปก่อนจะรู้สึกถึงเสียงปลุกจากใบหน้าสีเทาขมุกขมัวที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เสียงบันไดลั่นเอี๊ยดอ๊าดบอกถึงน้ำหนักตัวของสุภาพสตรีร่างอ้วนที่เดินขึ้นชั้นสองมา

เสียงร้องไห้ของเด็กๆที่ถูกหญิงร่างอ้วนตี..

'..ผมจะรอคุณนะ'

เสียงเหล่านั้นหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่า

ความว่างเปล่าที่มีเพียงดวงตาสีเขียวมรกตเท่านั้นที่ชัดเจน

แม้พื้นหลังจะเป็นสีเทาขมุกขมัว

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่21: สีเทาขมุกขมัว) 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 27-01-2018 13:41:25
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนมากเลยนะคะ :pig4:
ทุกคนเป็นเหมือนเเรงผลักดันและกำลังใจสำหรับผู้เขียน
ไม่ต่างจากความสนุกในการได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้เลยค่ะ!

มีคนกล่าวว่างานเขียนชิ้นหนึ่งนั้นได้ใส่จิตวิญญาณของผู้เขียนลงไปด้วย
นั่นอาจจะจริงค่ะ ขณะเขียน ผู้เขียนยังอดคิดไม่ได้ว่า
ด้วยมุมมอง และแนวคิด ปรัชญาหลายๆอย่างๆ ผู้เขียนอาจไม่สามารถเขียนเรื่องแนวนี้(Realistic +Romantic Comedy(?!))
เรื่องที่สองได้อีก (ถ้ายังมีแรงเขียนเรื่องต่อไปน่าจะเปลี่ยนแนวไปเลย! ฮ่าๆ ..ไม่แน่นะคะ)

อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี เรื่องนี้ค่อนข้างจะเน้นความสมจริงอย่างมากค่ะ
ทั้งในแง่ความนึกคิดของตัวละคร การกระทำ ผู้เขียนคิดตลอดว่าตัวละครแต่ละตัวนั้นมีเรื่องราวของตัวเอง
ประสบการณ์และสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอในชีวิต เป็นตัวกำหนดแนวคิด คำพูด และการกระทำ(รวมถึงการตัดสินใจ)ของเขา

ความตลกของเรื่องนี้(สำหรับตัวผู้เขียนเอง)
คือ การกำหนดไว้ว่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากมุมมองเดียว( 1-person) เสมอ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ ตัวร้าย พระเอก เพื่อนพระเอก มีโอกาสถูกหยิบมาเป็น 'ตัวเอก' ได้เท่าเทียมกันค่ะ!(ฮา)

ดังนั้นถ้าอยู่ๆคุณได้อ่านเรื่องในมุมมองตัวประกอบบ้าง(อย่างที่เคยทำไปแล้ว ในตอนของหนูไอ (ฮา))
อย่าโกรธผู้เขียนเลยนะคะ คิดเสียว่าเป็นการมองหลายๆมุม

ให้เห็นเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบทุกด้านยังไงละคะ


(โค้ง)

 :bye2:
Anynomous

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่21: สีเทาขมุกขมัว) 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 27-01-2018 22:33:44
โอยย ชอบมาก ไม่ไหวแล้ว :pig4: :pig4: :pig4:
ตามอ่านมานานค่ะ ไม่เคยเม้นซักที สมัครมาเพื่อการนี้เลยค่ะ :katai4:  :mew1:ตอนสีเทาๆนี้พีคคมากก
ชอบคำเปรียงเปรยแบบสีเทาๆ สีฟ้าครามจัดจับตา และอื่นๆ
ใช้ภาษาอ่านแล้วสนุก
เนื้อเรื่องก็สนุก มีปมอะไรให้ลุ้นมากมาย
ชอบทุกตัวเลยแม้กระทั่งตัวร้าย :กอด1: :ling1: :ling1:

เป็นกลจให้ผู้เขียนนะคะ :L2: เป็นนักอ่านเงามาตลอด
ขอบคุณที่ทำให้ชอบพี่กฤษณ์น้องสองได้มากขนาดนี้นะคะ :-[ :-[


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่21: สีเทาขมุกขมัว) 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-01-2018 23:56:51
เห็นเครื่องบินมา ดีใจเลย  :mew1: :mew1: :mew1:
แต่เสียงเครื่องบินที่ผ่านหลังคา มาลงสุวรรณภูมินี่  คนละเรื่องเดียวกันเลย
ใครจะดีใจล่ะ มีแรงสั่นสะเทือน จนประูห้องน้ำชั้นบนสั่น แถ่กๆๆๆๆๆ
จนนึกว่าผีหลอกเลยตอนบินผ่านครั้งแรกๆ

มองจากด้านของวินด์ น่าสงสารชีวิตเด็กกำพร้า (บ่ใซ่ กำมีดเด๊อ....)
ได้เห็นความทุกข์ยากของชีวิตวัยเด็ก
โตมาจากพ่อ ที่มีแต่เอาผลประโยชน์ตอบแทน
มีแต่คำพูดทวงบุญคุณ แบบสร้างได้ก็ลบได้ ให้ได้ก็เอาคืนได้
พอสอง ดีด้วยเลย เลยอยากได้มาตรอบครอง
แต่วินด์ ก็มีคนที่ใส่ใจชอบวินด์อย่างจริงใจ แม้จะเข้าหาแบบแปลกๆนะ
โจเซฟ วินด์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ) 28/01
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 28-01-2018 00:06:52


ตอนที่ 22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ

"ชั้นไหน"
ผมหันไปถามเจ้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางภูมิอกภูมิใจที่ลากผมมานอนคอนโดของตัวเองได้

"ชั้นรักเธอ"
เจ้าสองตอบแบบไม่อายคนที่อยู่ในลิฟต์ด้วยอีกสองสามคน

"เอาดีๆ"
ผมพูดก่อนจะอมยิ้ม (เขินสิครับ งานนี้)

"17"
เมื่อผมกดชั้น 17 แล้วก็อดประหลาดใจกับสายตาผู้ร่วมลิฟต์ที่มองมาทางเราไม่ได้
และผมก็ได้รับคำตอบในอีกหลายนาทีถัดมา

"ไหนห้องมึงเนี่ย"
ผมถามหลังจากออกมาจากลิฟต์

"ทั้งชั้นนี้แหละของกู"
ไอ้สองพูดก่อนจะยิ้มหวานให้ผม

"สัส ขี้อวด"

"เปล่า กูแค่ขี้เกียจใช้ทางเดินร่วมกับคนอื่น เวลารีบๆก็อาจเดินชนคนอื่นได้ จริงมะ"
คนรักของผมพูดเป็นตุเป็นตะเรื่องประโยชน์ของการซื้อคอนโดทั้งชั้น ผมส่ายหัว ไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าสิ้นเปลืองไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะขัดอะไร มันก็คงซื้อของมันตั้งนานแล้ว ขัดตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไรเล่า

หลังจากเอาข้าวของไปเก็บ ผมก็ได้มีโอกาสสังเกตสถานที่นี้อย่างจริงจัง
มันดูสะดวกสบายแบบที่คนใช้ชีวิตในเมืองต้องมี และห้องนี้ก็วิวดีสุดๆ

"แฮ่!"
มือเย็นๆมากอดคอผมก่อนจะดึงผมลงไปนั่งบนโซฟาด้วย

"เป๊ปซี่"
เจ้าสองยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้ ผมรับมาก่อนจะเปิดดื่ม

"บริการดีจังวะ มึงหวังไรป่าวเนี่ย"
ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะโดนคนตรงหน้าเหยียบเท้า

"มึงก็พูดไป มองกูเป็นคนดีๆสักวันมันยากหรอ นานๆทีแฟนจะมานอนห้องนะเว้ย"
ไอ้เจ้าสองพูดไปก็เขินผมไป ผมมองหน้ามันที่ค่อยๆแดงขึ้นแล้วหุบยิ้มไม่ได้

"มึงเลิกทำหน้างั้นสักที มีไรตลก สัส"
เจ้าสองบ่นผมอีกรอบก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

"อ้าว กูยิ้มนี่ผิดเหรอ"

"ผิด!"

"หื้ม มึงแค่เขินเหอะ"
ผมใช้หมอนตีหัวมันเบาๆ ก่อนจะแซว เจ้าตัวยิ่งไม่ยอมหันหน้ามาให้ผมดูเลย(ฮ่าๆๆ ขำเว้ย! อย่างงี้ต้องแกล้งหนักๆครับ!)

"เขินพ่อง"

"อย่าเล่นพ่อแม่เลยย พ่อกูตายละ"
ผมพูดก่อนจะขำอีกรอบ ไอ้เจ้าสองรีบหันมาขอโทษ

"กูไม่ได้ตั้งใจ กูขอโทษ พ่อกูยังไม่ตายน่ะ กูเลยนึกไม่ถึง"
มันรีบพูดเสียจนผมอดขำไม่ได้ แล้วไอ้คำแก้ตัวแบบนี้..พ่อมึงมาได้ยินจะไม่เสียใจเหรอวะ?!

เอาจริงๆ อยู่กับมันมาตั้งนาน ผมก็สังเกตมานานแล้วนะ
ว่าคนรักของผม อัตราการเข้าใจภาษาไทย กับการเรียงประโยค บางครั้งก็แปลกๆ

เป็นต้นว่า ..วันหนึ่ง เจ้าสองพูดขึ้นมาว่า "..พูดถึงปีศาจ " แล้วก็เงียบไป
คนที่บ้านผมงงเป็นไก่ตาแตก ว่าไอ้เด็กนี่มันพูดอะไร เปรียบเทียบอะไรของมัน ?!

ผมต้องมาอธิบายให้คนอื่นฟังว่า มันมาจากสำนวน "Speak of the devil and he shall come"
บางครั้งเราย่อเป็น Speak of the devil เฉยๆ แปลว่า เมื่อพูดถึงอะไร สิ่งนั้นก็มา อะไรประมาณนี้

"เย็นนี้มึงมีแผนจะทำอะไรไหม"

นั่นไง..อย่างประโยคนี้ คนปกติเขาจะถามว่า เย็นนี้จะทำอะไรไหม ใช่ไหมครับ
แต่คนรักของผม ดันใช้ภาษาที่แปลงมาจากภาษาอังกฤษอีกทีอย่าง "Do you have any plans for this evening?" ซะงั้น(ถ้าผู้อ่านทุกคนย้อนกลับไปอ่านตอนต้นๆ หรือทุกตอนที่เป็นตอนของสอง จะเข้าใจสิ่งที่พี่กฤษณ์หมายถึงแน่นอน!: Anynomous)

"พี่กฤษณ์~ เย็นนี้จะไปไหนป่าว กูถาม ไอ้สัส ตอบ"

"มึงอารมณ์แปรปรวนเหรอวะ ขึ้นต้นประโยคมาซะหวาน ลงท้ายด่ากูซะงั้น"

"ส่วนมึงก็เป็นนักวิเคราะห์ประโยคเหรอวะ ตอบมาดีๆมันจะตายรึไง"

"ไม่มี เดี๋ยวกูพาไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางเอาป้ะ"

"ร้านที่มึงชอบน่ะนะ?"
ผมพยักหน้า

"ป๊าชวนไปกินข้าวด้วย"

ผมกลืนน้ำลาย

"กูไม่ได้เตรียมของฝากมา"

"ป๊ากูไม่ได้หวังของฝากหรอก ครอบครัวกูรักมึงทั้งนั้น"

เหรอ..กูกักตัวลูกเขาไว้ที่ไร่เป็นเดือนๆ งานการก็ไม่ค่อยให้ทำ ให้นอนบนเตียงเฉยๆ(บางครั้งก็โซฟา?!)
ถ้าเขารู้จะยังรักกูอยู่ไหมวะเนี่ย.. ผมคิดอย่างวิตกนิดๆ

"สรุปไปนะ"

"กูจะตอบอย่างอื่นได้ไหมละ "
ผมพูดก่อนจะลุกจากโซฟาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

"เดี๋ยวกูจะออกไปซื้อของฝากป๊าแปป มึงจะไปด้วยไหม"
ไม่ได้ครับ จะไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างน้อยต้องมีของติดไม้ติดมือไปด้วย ไอ้เราจะไปตัวเปล่าๆก็เดี๋ยวโดนไอ้เหี้ยหนึ่งค่อนขอดอีก!

"ดึงกูขึ้นไปที"
ไอ้เจ้าสองพูดขณะที่กำลังนอนตาปรือๆอยู่โซฟา มึงขี้เกียจลุกขนาดนั้น?!

ผมเดินไปดึงมือคนรักให้ลุกขึ้นมา เมื่อเขาลุกขึ้นแล้วริมฝีปากเราก็สัมผัสกันเบาๆ

"So sweet"
เจ้าสองพูดเบาๆก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน ผมยิ้มเล็กๆ

มีแฟนน่ารักนี่มันน่ากด เอ้ย น่ากอดตลอดเวลาจริงๆ!

..................................

"ป๊าชอบดื่มไวน์มากกว่าชา"
เจ้าสองพูดเมื่อเห็นผมอ่านผลิตภัณฑ์ชาเขียว ชาชัก เหี้ยอะไรไม่รู้ที่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

"อันนี้"
เขาพูดก่อนจะเดินไปหยิบขวดไวน์ราคาแพงมาให้

"แพงไปป่าว"
เจ้าสองอ่านฉลากก่อนจะหันมามองหน้าผมตาปริบๆ
ผมยังไม่พูดอะไร จริงๆซื้อของที่พ่อของแฟนชอบ แม้จะราคาแพงลิบลิ่ว แต่ก็น่าจะคุ้มไหม?

..คุ้ม?!

คุ้มกับอะไรวะ..นี้กูกำลังคิดหาผลประโยชน์จากเขาและลูกหรือไง
แถมถ้าซื้อไอ้ไวน์แพงๆนี้แล้วกูจะมีเงินเอาไปทำอย่างอื่นไหม เท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของพนักงานสองคนรวมกันเลยนะเว้ย?!

"แพงไป"
ผมพูด รอดูว่าคนรักจะส่งสายตาผิดหวังหรือมีท่าทีอย่างไรหรือเปล่า
แต่เจ้าสองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนัก เขาแค่เดินเอาไวน์ไปเก็บก่อนจะบอกกับผมว่า

"ป๊ากูชอบก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวกับมึงเลยนะ ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวป่าว"

"งั้นเดี๋ยวกูซื้อของฝากม๊าก่อน ไอ้หนึ่งไม่ต้องเอา"
ผมพูดทีเล่นทีจริง อาจเพราะผมเองคุยกับไอ้หนึ่งประจำตอนช่วงสองไปอยู่ด้วย มันบอกว่า แค่เอาสองคืนมาก็ดีใจแล้ว(ไอ้สัส!)

..................................

หลังจากซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินทางไปบ้านของสอง
เมื่อไปถึงปรากฎว่าคนที่อยู่บ้านมีเพียงคุณแม่ของสองเท่านั้น
ดูเหมือนว่าคุณพ่อกับไอ้หนึ่งยังไม่กลับมา

"มาๆลูก เดินทางไกลเหนื่อยไหม พักก่อนนะ"
คุณแม่รีบเข้ามาจัดเเจงรับของจากผมและสอง ก่อนจะไล่ให้สองไปบอกคุณป้าแม่บ้านเอาน้ำเอาขนมมาเสิร์ฟผม

"ไม่เป็นไรครับคุณแม่"

"ได้ยังไงละจ้ะ กฤษณ์อุตส่าห์เอาอาหารเอานมมาฝาก เนี่ย คุณพ่อต้องดีใจแน่ๆ เจ้าสองไปอยู่นั่นดื้อไหม ทำงานช่วยบ้างหรือเปล่า"

"ทำครับ เขาช่วยผมได้มากเลย"
ผมคิดภาพเจ้าสองนอนอยู่บนเตียง มีผ้าคลุมอยู่ผืนเดียว แล้วอยากกัดลิ้นตัวเองตาย
นี่กูเอาน้องมันไปทำอะไรวะเนี่ย..

"ก็ดีแล้วจ่ะ แม่กลัวอยู่ว่าไปตั้งนาน จะไปเป็นภาระกฤษณ์หรือเปล่า จะอยู่ยังไง เขาเองก็โตขึ้นมากนะ กลับมาแรกๆเรากลัวเขาจะไม่เป็นโล้เป็นพายมาก"

"ม๊า! ไหงพูดงั้น"
เจ้าสองที่เดินออกมาได้ยินพอดี ถึงกับเดินหน้ามุ่ยมา

"เดี๋ยวสองพาพี่กฤษณ์ไปรอข้างบนนะ สองเอาขนมกับน้ำไปไ้ว้แล้ว"
เจ้าสองพูดก่อนจะลากแขนผมขึ้นข้างบน

นี้เป็นครั้งเเรกที่จะได้เห็นห้องของเจ้าหญิงจริงๆ(ไม่ได้ผ่านไลฟ์/วิดิโอคอล)
ผมอดตื่นเต้นนิดๆไม่ได้แฮะ

..................................

ห้องของเจ้าสองดูกว้างขวาง อบอุ่น มีโปสเตอร์นักบาสเกตบอลที่เขาชอบ
และเเน่นอน ส่วนใหญ่เป็นชั้นเก็บหนังสือ

"อ้าปากดิ้"

"กินเองได้"
ผมพูดก่อนที่จะโดนคนรักตีขาแรงๆทีหนึ่ง

"จะกินไม่กิน"
เจ้าสองทำเสียงดุ

"กิน"
ผมพูดแล้วยิ้มๆ ใช้เเขนรวบตัวคนรักไว้

"ไม่ได้กินอย่างนี้~"

"ฮ่าๆๆ"
ผมหัวเราะก่อนจะงับขนมจากมือคนรัก นี้เอ็งจะบ้าเรอะเจ้าสอง ใครจะไปกล้าทำวะ บ้านมึง แม่ก็อยู่ข้างล่าง!
กูยังพอมีสติสัมปชัญญะนะเว้ย! เห็นงี้ก็เหอะ!!

แต่อยู่ๆมือของคนตรงหน้าก็ผลักผมติดกับหัวเตียง
ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบเบาๆ

เมื่อร่างตรงหน้าค่อยๆขยับมานั่งตัก โดยหันหน้าเข้าหาผม
ผมก็หยุดจูบ ก่อนจะมองคนรักด้วยความสงสัย

"เอาจริงเหรอวะ? ตอนนี้เนี่ยนะ"

"อือ อีกตั้งนาน กว่าป๊ากับเฮียจะมา"
เจ้าสองพูด มือยังซุกซนอยู่บริเวณน้องชายของผม
..มึงไม่มีความยับยั้งชั่งใจขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เอาไงดีวะกู

กูอายุมากกว่า ควรเตือนน้องมันใช่ไหม?!
ในหัวผมเสียงระหว่างความอยากกับความยับยั้งกำลังถกเถียงกัน

แต่ดูเหมือนเจ้าตัวดีจะไม่ปล่อยให้ผมได้คิดนานนัก

"นะครับ..พี่กฤษณ์ สองอยากให้พี่กฤษณ์.."
ร่างตรงหน้าพูดก่อนคล้องคอผมเอาไว้ แล้วกดน้ำหนักตัวลงมาที่ตัก

"..ก็ได้.. อย่ายั่วกูได้ไหมเนี่ย ไอ้เด็กแสบ"
ผมบ่นเบาๆก่อนจะให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่เกิน 1 รอบ และ ห้ามรุนแรงจนเจ้าแมวนี้ส่งเสียงดังเด็ดขาด!

ให้ตาย!

..................................

"อื้อ~ พี่กฤษณ์ ~แรงกว่านี้ได้ไหมครับ"
คนที่นั่งบนตักผมครางเสียงหวานเบาๆ ผมส่ายหัว

"ไม่ได้ครับ..คนละครึ่งทางนะ น้องสอง.."
ผมพูด พยายามตั้งสติ ช่องทางด้านในของเขาบีบรัดผม เชื้อเชิญให้กระเเทกเข้าไปเเรงๆเหลือเกิน
อีกทั้งคนตรงหน้าก็ครางขอร้องผมอย่างนี้

"อ๊ะ!..ได้ไหม..นะครับ..นะ"
คนตรงหน้าสะดุ้งน้อยๆเมื่อผมกระทุ้งเข้าไปโดนจุดของเขาพอดี
ผมจับสะโพกของเขาให้ขยับก่อนจะจูบอย่างยาวนานเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา

..................................

"พอ"
ผมพูดก่อนจะเคาะหน้าผากเจ้าสองที่ทำหน้ามุ่ยอยู่บนเตียง

"มึงอ่ะ!"

"ไปอาบน้ำ จะได้ลงไปข้างล่าง กินข้าว"
ผมพูดก่อนจะส่ายหัว ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองหลวมตัวทำอะไรตามใจเจ้าสองอีกแล้ว

"ก็ได้"

"ไม่ต้องมาก็ได้ เดี๋ยวยังไงกูก็กลับคอนโดพร้อมมึงอยู่ดี กูยังไม่อยากโดนไอ้หนึ่งไล่ออกจากบ้าน"
ผมอธิบายเหตุผลจนเขายอมทำตัวเรียบร้อยเชื่อฟัง(นานๆทีมีครั้ง)

หลังจากสองอาบน้ำเสร็จ เมื่อผมตรวจดูอย่างเรียบร้อยว่าไม่มีร่องรอยอะไร(ถ้ามีก็ความผิดมึง! :เสียงเจ้าสอง)
เราก็ลงไปทานข้าวข้างล่างกัน

..................................

"ดีจังนะได้มาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน"
คุณพ่อของสองพูดขึ้น ผมยิ้ม ไอ้หนึ่งก็ยิ้ม

"ป๊าหมายความว่า สองไม่อยู่บ้านตั้งนาน ดีใจจังที่กลับมาใช่ไหมครับ"
ไอ้หนึ่งถามก่อนจะมองมาทางผม ผมอยากต่อยหน้ามันเหลือเกิน..! ยัง ยังไม่เลิกนะมึง!

"ป๊าดีใจที่พี่กฤษณ์มาทานข้าวด้วยใช่ไหมครับ"
อันนี้เจ้าสองเป็นคนพูด ก่อนจะมองหน้าพี่ชายตัวเอง ผมพยายามไม่เถียง ไม่พูดแทรกเท่าที่จะทำได้

"สองไม่สบายเหรอ ทำไมเสียงไม่ค่อยดีเลยลูก"
คุณแม่ของสองทัก ผมหน้าเเดง เจ้าสองก็ด้วย ส่วนไอ้หนึ่ง มันเหยียบเท้าผมแรงๆหนึ่งที

"เออทั้งสองอย่างแหละนะ แต่วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ก็อร่อย พ่อได้ข่าวมาว่าธุรกิจของกฤษณ์เองก็ไปได้ดีใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ

"ใช่ครับ จริงๆในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้เราไม่ควรเน้นการลงทุนเพิ่ม แต่ธุรกิจส่งออกของผมกลับกำลังไปได้สวยเชียวครับ"

"ประเทศอื่นกำลังซื้อเขามีมากกว่า ถ้าเราส่งสินค้าไปจุดนั้นได้ อะไรๆมันก็ต่อตามกันไปนั่นแหละ
ตั้งแต่สมัยลุงชัย เขายังไม่สามารถทำให้มันขยายได้ขนาดนี้เลยนะ กฤษณ์มีฝีมือจริงๆ พ่อขอชื่นชมเลย คนรุ่นใหม่นี้"

คุณพ่อของสองพูดจนผมเขิน เจ้าสองนี้นั่งหน้าบานอยู่ข้างๆ

"แหม คุณคะ ทานอาหาร อย่าพูดเรื่องงานให้มันมากนักสิคะ.."

"ยังไงผมก็ต้องพูดอยู่ดีนี่คุณ.. ผมอยากให้กฤษณ์มาช่วยงานของเราบ้างนี่นา.."
ผมเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ

"ก็บอกแล้วไงว่าผมดูแลได้!"
อยู่ๆไอ้หนึ่งก็พูดขึ้นมา

"อย่าขึ้นเสียงกับป๊านะ หนึ่ง!"
เมื่อแม่พูดเช่นนั้นหนึ่งจึงหันหน้าไปทางอื่น เเละเงียบไป เขาไม่สบตาผมแม้แต่น้อย

"จริงเหรอฮะป๊า จะให้พี่กฤษณ์มาช่วยเราเหรอ"
ส่วนเจ้าสองนั้นดีอกดีใจจนปิดไม่อยู่

ผมคิด มองชายสูงวัยตรงหน้า มองเพื่อนสนิทของตน และมองคนรักของตน

กี่ครั้งเเล้วนะ ที่ชีวิตของผมผ่านบททดสอบเช่นนี้
กี่ครั้งที่มีทางเลือก มีตัวเลือกมากมายให้ก้าวเดิน

ผมเรียนรู้ว่า บางการตัดสินใจ อาจใช้เวลาทั้งชีวิต
และบางการตัดสินใจที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วิ อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรับผิดชอบมัน

ผมไม่รู้ว่าทางเลือกไหนถูกต้อง
ไม่มีทางรู้เลย จนกว่าจะได้ทำลงไปจริงๆ

ผมยิ้ม

"ผมมีงานขององค์กรที่ต้องดูแลอยู่ครับ ลุงชัยเป็นคนเลี้ยงผมมา เขาก็เป็นเหมือนพ่อของผม ตอนนี้ผมเป็นหัวแรงหลักขององค์กร ผมคงทิ้งมันไปไม่ได้หรอกครับ ผมเห็นด้วยกับหนึ่งว่าเขามีความสามารถมากพอ จะเเก้ปัญหาอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น อีกอย่าง.."

ผมมองไปที่คนรักของผม

"ผมเชื่อมั่นในตัวของสอง เขาเองก็มีความสามารถไม่น้อยไปกว่าพี่ชาย ถ้าคุณจะพิจารณาให้เขารับผิดชอบในงานที่คุณกำลังมองอยู่ ผมยืนยันว่าในฐานะคนรัก ผมจะช่วยสนับสนุนน้องเต็มที่ ผมขอช่วยบริษัทคุณพ่อในรูปแบบนี้เเทนแล้วกันนะครับ"

ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะโดนไอ้หนึ่งเหยียบเท้าอีกครั้ง

"มันบอกให้พ่อเอาสองมาแทนตำแหน่งผมเนี่ย มึงพูดกันง่ายๆงี้เลยเหรอวะ?!!"

ผมหัวเราะขำ คุณพ่อกับคุณแม่ก็หัวเราะ

"เปล่าเว้ย กูหมายถึง เผื่อพ่อจะพิจารณาให้น้องมันได้ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น จะได้รับผิดชอบ ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของบริษัทได้ สองมันเก่งจะตาย"

"พี่กฤษณ์ ไม่ต้องมาพูดดีเลย ปกติไม่เคยเรียกสองว่าน้อง เรียกแต่ไอ้เจ้าสอง!"

"ไอ้สัส มึงเรียกน้องกูอย่างนั้นเหรอ"

"พวกมึงช่วยฟังสาระสำคัญให้มากกว่าสรรพนามได้ไหมวะ..อีกอย่าง ป๊ากับม๊าก็อยู่ กูพยายามมีมารยาทแล้วนะเว้ย"
ผมพูดเบาๆ เหยียบเท้าไอ้หนึ่งกลับ

หลังจากนั้นเราก็คุยสัพเพเหระไป บรรยากาศการทานข้าวเป็นไปอย่างสนุกสนานมากขึ้น
อบอุ่นมากขึ้น

และเมื่อถึงเวลากลับ ไอ้หนึ่งก็เดินออกมาส่งผมกับเจ้าสอง

"เอ้อ วันนี้ ขอบคุณมากนะเว้ย"
ไอ้หนึ่งพูดกับผมเบาๆ

"กูแค่ไม่อยากให้มึงอิจฉาน่ะ ถ้ากูเข้าไปแล้วเก่งเกินหน้าเกินตามึง ซึ่งก็น่าจะเป็นงั้นอยู่เเล้ว"
ผมพูดยิ้มๆ ไม่ติดใจอะไร ไอ้หนึ่งมองผมอย่างซึ้งๆ

"ช่วงนี้กูแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ ไอ้คนที่ทำงานก็ขัดแข้งขัดขากูจริงๆ กูก็ยังไม่รู้จะทำยังไง"

"เฮียเก่งอยู่แล้วนี่ฮะ ไม่นานพวกนั้นก็ต้องรู้"
เจ้าสองพูดก่อนจะมองหน้าไอ้หนึ่ง เพื่อนผมทำท่าซึ้งใจก่อนจะโผกอดน้องชาย

"เฮียรักสองที่สุดรู้ป่าว"

ผมดึงสองออกมา

"เยอะละ ไอ้สัส"

"กูเป็นพี่นะ!"

กูเป็นผัว..ผมคิดในใจ
ไม่พูดเพราะกลัวโดนไล่ออกจากบ้าน ตอนนี้ ดูจะไม่เท่เท่าไหร่

"เอาเถอะ ถ้าสองว่าเฮียจะทำได้เฮียจะทำให้ได้นะ ..สองไม่กลับมานอนบ้านบ้างเหรอ"
เจ้าหนึ่งพูดเสียงเศร้าๆจนผมหันไปมองหน้าคนรัก

"นอนนี่ไหมวันนี้ นานๆทีนะ"

"แล้วมึงละ?"

"เดี๋ยวกูกลับไปนอนคอนโดแหละ พรุ่งนี้เจอกัน"

เจ้าสองมองหน้าพี่ชาย ก่อนจะมองหน้าผม

"เฮียโตแล้ว อยู่คนเดียวได้น่า"
เขาพูดก่อนจะเดินมาทางผม เรียกเสียงโหยหวนน่าสงสารจากคนเป็นพี่ได้เป็นอย่างดี

"ไอ้กฤษณ์ เพื่อนเหี้ย! มึงจำไว้"

ผมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะขึ้นไปฝั่งคนขับ โดยมีคนรักขึ้นรถมานั่งข้างๆ

"ป๊าฝากบอกมาว่ามึงเหยียบเท้าป๊า ไอ้สัส!!"
เสียงตะโกนไล่หลังมา ผมหัวเราะ

เมื่อหันไปมองคนรักที่นั่งข้างๆ เขาก็หัวเราะ

"พี่กฤษณ์ มึงเล่นสงครามเท้ายังไงเนี่ย "
สองหัวเราะก่อนจะหันมาทางผม ผมละสายตาจากพวงมาลัยไปมองหน้าเขา รอยยิ้ม ดวงตา ใบหน้า และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา

'พระเจ้า..นี้คือความรัก'

สักพักเสียงหัวเราะก็หยุดลง เมื่อผมฉกฉวยจูบจากริมฝีปากนั้นเบาๆ
มีเพียงเสียงแตรจากรถของข้างหลัง ที่บอกให้เรารีบขับต่อ

ผมมองหน้าคนข้างๆ เขาพยายามกลั้นยิ้ม ก่อนจะหันมาทำหน้าดุใส่ผม

"อย่าทำอย่างนี้ดิสัส เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ"

"ก็มึงทำตัวน่ารัก"

"พูดงี้จอดรถมาคุยกันตัวๆป่าว เสื้อผ้าไม่เกี่ยว"
เจ้าตัวดีพูดเล่นๆ พยายามจะเเก้เขิน มึงคบกับกูมานานแค่ไหนแล้ว ไม่รู้เหรอกูคนจริงจัง!

ผมตีไฟเลี้ยวข้างทาง

"เฮ้ย!! ไม่เอา!!"

"ไม่ชอบ Out door เหรอ ที In door ล่ะบังคับกูจัง"

"Out door มันต้องแบบ น้ำตก ทะเล ธรรมชาติ งี้ป้ะ ไม่ใช่สี่แยกข้างทางที่มีคนเดินไปมา ไอ้สัส คนละเรื่องเลย!"

"เหมือนกันแหละ"
ผมพูด ปรับเบาะรถลงก่อนจะเอนตัวมองคนข้างๆสีหน้ากรุ้มกริ่ม

"ไม่เหมือน! Out door ของกูคือไปมัลดีฟส์ เช่าห้องที่เชื่อมไปชายหาด! ไม่งั้นไม่เอา"

"เรื่องมากสัส"

"มัลดีฟส์!"

"เอออ"
ผมพูดก่อนจะขยี้หัวเจ้าหญิงน้อยจอมเอาแต่ใจ ทั้งวุ่นวาย เอาแต่ใจ ทำให้ปวดหัวสุดๆ
แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้หลงรักนักหนา ..เฮ้อ ถ้ามีความสุขจนตายได้ผมคงตายไปหลายรอบเพราะไอ้เจ้าสองแล้ว

"ดีฟไม่ดีฟนะ?"

ผมพูดก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ และเขาหน้าแดงจัด
ผมบอกแล้ว คนรักของผมคิดอะไรในหัวเป็นภาษาอังกฤษก่อนเสมอ..
(Deep ที่แปลว่า ลึก ค่ะ : ผู้เขียน)

"ไอ้สัส"

คราวนี้เป็นผมที่หัวเราะทีหลังดังกว่า..

อย่าไปทำตัวน่ารักอย่างนี้พร่ำเพรื่อละ เจ้าหญิง

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ) 28/01
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 28-01-2018 10:58:10
ฟินนนน  :hao6:
รู้สึกว่าความรักของพี่กฤษณ์น้องสองละเอียดอ่อนมากกก
คือมีความเป็นผู้ใหญ่ คิดถึงคนรัก คิดถึงครอบครัว หน้าที่การงานของแต่ละคนดี :-[ :mew1:
เหมือนผู้เขียนตั้งใจให้เห็นว่าความรักไม่ได้มีองค์ประกอบแค่คนสองคน o13
ตั้งแต่ตอนแรกๆที่สองได้ไปรู้จักครอบครัว การทำงานของพี่กฤษณาด้วย
มันละมุน ดีต่อใจมากๆๆๆค่ะ อยากให้มาอัพบ่อยกว่านี้ 55555 :impress2: :-[

ปลลล.เอาคู่โจเซฟวินด์มาด้วยนะคะ ชอบพระเอกไฮโซนายเอกเก็บกด  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ) 28/01
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-01-2018 13:48:27
ครอบครัวฮาเฮมาก อ่านไปอมยิ้มไป  :m20:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ) 28/01
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 28-01-2018 18:15:13
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่22: เจ้าหญิงน้อยเอาแต่ใจ) 28/01
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2018 18:50:00
เจ้าหญิงสอง น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
อ่อยเอง เขินเอง

พี่กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พี่หนึ่ง พี่ติดน้อง น่าสงสาร  :hao5:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่23: เจ้าชายน้ำแข็ง(NC)) 31/01
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 31-01-2018 22:41:24

ตอนที่ 23: เจ้าชายน้ำเเข็ง

"..ตื่นเช้าจัง"
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นจากข้างหลังก่อนที่น้ำหนักของหน้าและคางของพี่กฤษณ์จะมาเกยอยู่ที่ไหล่ของผม

อาจเป็นเพราะความเคยชิน
ไม่ก็ผีแม่บ้านแม่เรือนเข้าสิง

เพราะตอนที่ไปอยู่กับพี่กฤษณ์ที่บ้านไร่ พี่แกชอบอ้อนให้ผมทำอาหารเช้า
เมื่อเขามาอยู่ที่คอนโดผม ผมจึงยังติดนิสัยตื่นมาทำอาหารเช้าอยู่ดี..

ความจริงผมว่ามันก็น่ารักดีออก
แถมทำอาหารก็ไม่ได้ยาก พี่กฤษณ์เองก็เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย
เรียกว่าทำอะไรไปพี่แกกินได้หมด ไม่บ่นสักคำ..

ถ้าอยู่กันไปนานๆนี่จะไม่โดนผมขุนจนอ้วนเลยเหรอ
ซิคพงซิคแพกค์ที่พี่แกเคยมี(ปัจจุบันไม่มีแล้วครับ ฮ่าๆ เห็นบ่นอยู่ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ!)
อีกไม่นานได้กลายเป็น 'พุง' จริงๆแน่

ผมคิดแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

"ไปอาบน้ำรอ"
ผมพูดเบาๆก่อนจะให้ความสนใจกับการหั่นแครอทตรงหน้าต่อ

"ไม่เอาอ่ะ กูหิว"
พี่กฤษณ์พูดก่อนที่มือซึ่งโอบเอวผมอยู่จะค่อยๆเลื่อนลงไปข้างล่าง

"เดี๋ยวทำอาหารเสร็จก่อน ..ไหนว่าวันนี้มีงาน"
ผมพูดในขณะที่มือซุกซนของเขายังไม่หยุด มือหนาของพี่กฤษณ์ลูบต้นขาของผมผ่านกางเกงขาสั้นตัวบาง..

"งานอะไร..ตอนบ่ายนู่น"
เสียงของคนข้างหลังเริ่มเปลี่ยนนิดๆ เขาดันลำตัวเข้ามาแนบชิดกับผมมากขึ้น
ก่อนจะถูไถเจ้ากฤษณ์น้อยดันร่องข้างหลังผมเบาๆ สัมผัสจากพี่กฤษณ์ทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์ร่วมนิดๆ

"นะ..กูอยากอ่ะ"

กูจะปฏิเสธได้ไหมล่ะ..ผมคิด

"เตียงไหม"
ผมถาม

"ไม่เอา..อยากเอามึงตรงนี้..มึงยั่วอ่ะ"

"ยั่วเหี้ยไร กูทำอาหาร มึงน่ะหื่น..อื้ออ.."

ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะเผลอครางเมื่อนิ้วมือสากที่กดหมุนวนอยู่บริเวณทางเข้าเคลื่อนตัวเข้าไปด้านใน
มืออีกข้างของพี่กฤษณ์ก็เร่งเร้าปลุกแกนกลางของผม..

"เดี๋ยวๆ พี่กฤษณ์ แปปๆ"

"อะไรวะ.."

พี่กฤษณ์หยุดด้วยความขัดใจ ผมก้มลงเล็กน้อยก่อนจะใช้ข้อศอกยันเคาเตอร์ทำอาหาร
เพื่อรองรับแรงอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้..

"ไอ้สอง.."

"อะไร? ทำต่อดิ"
ผมหันไปถามพี่กฤษณ์ที่ยังคงหยุดด้วยความสงสัย

"ตั้งใจยั่วพี่ใช่ไหมครับ.."

ต..ตั้งใจ? ตั้งใจยังไงวะ? ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิด วิเคราะห์สถานการณ์ใดๆ(แล้วนี่กูจะมาวิเคราะห์ทำไม?!)
เจ้ากฤษณ์น้อยที่ตอนนี้ใหญ่ได้ที่ก็เริ่มเข้ามาในทางเข้าของผม

"จะกินละนะ.."
เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างๆหูก่อนจะเริ่มขยับตัว

พี่กฤษณ์รู้จักร่างกายของผมเป็นอย่างดี ทุกจังหวะเน้นของเขาทำให้ผมเผลอครางออกมาอย่างน่าอาย

"อ๊ะ!!..พ..พี่กฤษณ์ ..เบาๆ หน่อย..สิครับ"
ผมถึงกับต้องร้องขอให้เขาลดความเเรงลง เนื่องจากข้อศอกที่ใช้ค้ำยันตัวอยู่นั้นเเทบจะรับน้ำหนักไม่ไหว

"..ปกติ เห็นแต่ขอ...ให้แรงๆ"
เสียงนุ่มลึกที่ตอนนี้ค่อนข้างแตกพร่าพูดโดยไม่ได้ลดความแรงเลยสักนิด เสียงเนื้อกระทบสลับกับเสียงครางของผมยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"อะ..เจ็บข้อศอกอ่า.."
ผมพูด พยายามไม่ให้ฟันกระทบกัน ความรู้สึกทรมานปนเสียวซ่านที่ทะลักเข้ามาเรื่อยๆทำให้ผมแทบจะยืนไม่ไหว
พี่กฤษณ์ใช้วงแขนแกร่งรวบเอวผมเข้าไปชิดกับเขา ผมทิ้งน้ำหนักลงไปที่เเขนของพี่กฤษณ์..รู้สึกสบายขึ้นที่ไม่ต้องรับน้ำหนักตัวเอง แต่ก็ทรมานมากขึ้นเพราะส่วนใหญ่ร้อนนั้นเข้ามาลึกมากขึ้น

"..ซี้ด...สอง..แรงๆได้เเล้วใช่ไหม.."
ร่างสูงสูดปากถามโดยไม่รอสัญญาณจากผม

หลังจากนั้นจังหวะของพี่กฤษณ์ก็ทำให้ผมกรีดร้อง..เรียกได้เเต่ชื่อของเขา

ชื่อของเขาเพียงคนเดียว..

..................................

"กูกินอาหารเวฟได้"
พี่กฤษณ์พูดด้วยเสียงสำนึกผิดเล็กๆ

"ก็คงต้องงั้นแหละ"
ผมหันไปทำหน้าดุๆใส่..เตียงดีๆมีไม่ชอบ เล่นท่ายากแต่เช้า
ใครจะไปมีแรงยืนทำนู้นทำนี้ให้มึงละวะ?!

"อืมม..กูขอโทษ..ก็มึงเซ็กซี่อ่ะ..ความฝันของผู้ชายเลยนะเว้ย เมียใส่ผ้ากันเปื้อนทำอาหาร มีเซ็กส์ตอนเช้า"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะกอดผม แล้วเอาจมูกมาดมตรงซอกคอ(มึงเป็นหมาถูกมะ)

ผมพยักหน้า

"กูเข้าใจ กูก็ผู้ชาย"

เอาเข้าจริงแล้วผมว่าผมเข้าใจความคิดหื่นๆของพี่กฤษณ์ดีนะ ..อาจเพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่
หรือไม่ก็เพราะเราสนิทกันมาก่อนจะมาเป็นคนรัก..
แถมด้วยวัฒนธรรมที่ผมเติบโตมา ทำให้ผมไม่ค่อยอายในเรื่องเซ็กส์ไม่ต่างจากเขานัก

พูดตรงๆก็คือหน้าด้านนั่นแหละ

"เอ้อ เย็นนี้ไอ้ตั้มชวนกูไปปาร์ตี้มันว่ะ"
พี่กฤษณ์พูดขึ้นระหว่างทานข้าว

"กูมันเลยวัยปาร์ตี้อะไรแบบนั้นละ"
เขาบ่นให้ผมฟัง

"มึงสนิทกับไอ้ตั้มเกินหน้าเกินตากูแล้วนะ.."
ผมพูดแล้วแกล้งมองอย่างจับผิด พี่กฤษณ์หัวเราะ

"มันก็ให้มาชวนมึงนี่แหละ..มันบอกว่าปาร์ตี้ครั้งล่าสุดของมันที่มึงไป มึงไม่อยากไปอีกเลย
แต่ครั้งนี้มันขอแก้ตัว"

"กูไม่ชอบปาร์ตี้ กูอยากอยู่บ้านอ่านหนังสือ"
ผมพูดก่อนจะทำหน้ากวนตีนใส่ พี่กฤษณ์ดีดหน้าผากผมเบาๆ

"ตามใจมึงละกัน แต่กูว่าจะลองไปดู มันอุตส่าห์ชวน ..กูก็นานๆทีด้วย"

"พี่กฤษณ์!"
ผมหน้ามุ่ย แต่ดูเหมือนพี่แกจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร..

ใช้สามัญสำนึกคิดดิวะ?! คนบ้าอะไรไปงานปาร์ตี้แล้วทิ้งเมียไว้บ้าน!

อุ่ย..โทษทีครับ! ลืมตัวไป

ใช้สามัญสำนึกคิดดิวะ?! คนบ้าอะไรไปงานปาร์ตี้แล้วทิ้งกูไว้ที่บ้าน!

"อะไร..กูไม่บังคับมึงหรอก อยู่นี่ก็ดีเหมือนกัน กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง"

แล้วมึงไปฉายเดี่ยวอยู่นั่นกูไม่ต้องเป็นห่วงเลยถูกมะ?
ไหนจะสิงสาราสัตว์ที่ไอ้ตั้มหามาไว้ในงานอีก

พวกเหี้ยนั่นก็ไว้ใจไม่ได้สักคน!
มึงก็ไม่ใช่คนบ้านๆ หน้าตาก็ดี ถึงจะดูเด๋อๆไปบ้าง แต่กูก็หวงของกูมะ?!

ทั้งหมดนี้ผมคิดในใจครับ..

"เออเดี๋ยวกูไปด้วย"
ผมพูดก่อนจะถอนหายใจ

.................................

เมื่อเวลาเย็นมาถึง..งานเลี้ยงจัดอยู่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมดังอีกเช่นเคย(รสนิยมไอ้ตั้มมันน่ะนะ)
ผมกับพี่กฤษณ์เดินเข้าไปในงาน และไอ้ตั้มก็ปรี่เข้ามาทักทายเราคนแรกๆ

"..ไอ้สอง ว่าแล้วมึงต้องมา!.. พี่กฤษณ์..แต่งตัวอะไรของพี่เนี่ย"
ไอ้ตั้มมองพี่กฤษณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า.. เสื้อคลุมลายหมากรุกกับเสื้อเชิร์ตแจกฟรีของหมู่บ้าน กางเกงขาสามส่วนกับรองเท้าคัชชู ที่หน้ามีแป้งขาวๆแปะไว้ตรงแก้ม..

"ก็จริงอยู่ที่ตีมงานมันแต่งแบบCasual..แต่นี้มันโคตรจะcasualไปหน่อยไหมพี่ แต่งแบบนี้ใส่ชุดนอนมาเหอะ"

"สอง! มึงก็ไม่ช่วยดูให้พี่กฤษณ์เลยเหรอวะ?!"

"อันนี้แหละคือกูช่วยดูแล้ว..ก็ถ้าให้พี่แกแต่งตัวปกติแบบที่มึงบอก กูจะเป็นห่วงจนไม่ได้ทำอะไรเลยนะสิ"

ผมพูดก่อนจะกอดอก ผมไม่ได้เว่อร์เกินจริงนะ..ลองย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าๆ.. เอ๊ย! ลองคิดทบทวนดูสิ ในอดีต
พี่กฤษณ์แม่งเป็นคนที่ขี้อ่อยโดยธรรมชาติ แม้ท่าทางจะซื่อๆดูเอ๋อๆ แต่เมื่อได้คุยด้วย สาวๆที่ไหนก็ตกหลุมรัก
ถ้าผมไม่ป้องกันไว้ก่อนแล้วต้องมาเสียใจทีหลังนี้ผมจะโทษใครได้ล่ะ!

"กูว่าพี่กฤษณ์ควรจะห่วงมึงมากกว่า..ไม่เข้าใจพวกมึงสองคนจริงๆ"
ไอ้ตั้มพูดก่อนจะส่ายหัว..มึงต้องลองมีความรักนะตั้ม! มึงจะเข้าใจ!!

แต่เมื่อเริ่มงานไปได้สักระยะก็ดูเหมือนจะจริงอย่างที่ไอ้ตั้มพูด..

ก็พี่กฤษณ์ดันหลุดเข้าไปอยู่ในวงสนุ้กเกอร์ ซึ่งมีแต่ชายล้วนๆ ทำให้ผมคลายความห่วงไปได้มาก
ส่วนผมที่ตอนนี้รายล้อมไปด้วยผู้หญิง ทั้งสาวๆไฮโซและดารานี่สิ..กำลังตกที่นั่งลำบากไปซะงั้น

"คุณสองนี้คุยด้วยแล้วสนุกดีนะคะ.."

"ใช่ค่ะ แล้วคุณสองวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไหมถ้าได้เลื่อนตำแหน่งขึ้น"

"ยังไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอกครับ"
ผมคุยไป ดวงตาก็จับจ้องไปที่กลุ่มโต๊ะสนุกเกอร์แทบจะตลอดเวลา(ก็แฟนกูอยู่นั่น! จะให้มองอะไร?!)

"อื้ม~แล้ว คุณสอง..คิกๆ โทษนะคะ ..มีคนรู้ใจหรือยังคะ"
สาวใจกล้าคนหนึ่งถามขึ้น และสาวๆที่นั่งรายล้อมอยู่ก็ดูตั้งอกตั้งใจฟังคำตอบเหลือเกิน

"มีคนรักแล้วครับ"
ผมพูดก่อนจะยิ้มให้พวกเธอ

"โห..แล้วอยู่กับผู้หญิงเยอะอย่างนี้..แฟนไม่หึงแย่เหรอคะ"

ผมมองพี่กฤษณ์ที่หัวเราะเฮฮา ชนแก้วเหล้ากับคนข้างๆ..ไม่ได้สนใจมองผมสักนิด!

"ไม่หรอกครับ"

"โอ๊ย..ไม่จริงหรอกค่ะ คุณสองนี้ต้องเข้าสังคมอยู่เสมอ เจอผู้หญิงสวยๆตั้งมาก ถ้าดิวเป็นแฟนคุณสอง ดิวต้องหึงทุกวันแน่เลย"

ผมมองพี่กฤษณ์ที่กำลังเล็งลูกสนุกเกอร์บนโต๊ะ..
พร้อมกับเเก๊งค์ชายโฉดข้างหลังที่ส่งเสียงเชียร์

"ไม่มีทางหรอกครับ..เขาไม่ค่อยสนใจ..เรื่องนี้"

"ไม่จริงหรอก คนรักที่ไหนก็ต้องคิดทั้งนั้นแหละค่ะ"

"ใช่ค่ะ ขนาดนัทเอง แฟนอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แค่ถ่ายละครนะ ยังอดหึงไม่ได้เลย..ก็รักมากนี่นะ"

รักมาก..? งั้นเหรอ.. ผมคิดถึงตัวเอง..ผมก็เคยหึงพี่กฤษณ์อยู่บ่อยๆ งอนบ้าง บ่นบ้าง..
แต่..พอมาสังเกตดีๆแล้ว.. พี่แก แทบจะไม่ ไม่เคยหึงผมเลยนี่หว่า!!

มึงหวงกูบ้างป้ะเนี่ย ห๊ะ!!

คิดแล้วก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้แฮะ

ไอ้พี่กฤษณ์! ไม่อยากมองแล้ว! ไอ้คนบ้า กูรายล้อมด้วยสาวๆขนาดนี้ไม่คิดจะหวงกูบ้าง!
ซื่อบื้อที่สุด.. ผมคิดก่อนจะละสายตาจากโต๊ะสนุกเกอร์..

.................................

เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ ทั้งกินอาหารอร่อยๆ และดื่มเครื่องดื่ม(พอเป็นพิธีครับ..สภาพผมตอนเมามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไอ้เราก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ที่ไปงานทุกงานต้องดื่มจนเมาหัวราน้ำ..เอาตรงๆมันค่อนข้างทุเรศด้วยแหละ ผมจึงยึดหลักการดื่มของพี่กฤษณ์มาใช้..คือเอาพอกรึ่มๆ(ศัพท์พี่แก)ก็พอ!)
ได้คุยกับเต้นบ้างนิดหน่อย ผมกับสาวๆทั้งวงก็มานั่งพักอยู่บ้างสระน้ำ

หลังจากที่ได้คุยกันสักระยะผมก็รู้สึกว่าคุยกับพวกเธอก็สนุกดี
อาจเพราะพวกเธอรู้ว่าผมมีคนรักแล้ว จึงไม่ได้จีบหรือรุกอะไรมากมาย
เราคุยกันเหมือนเพื่อน ได้เเลกเปลี่ยนเรื่องราวนู้นนี้
ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายฟังสาวๆเมาท์คนในวงการบันเทิงและไฮโซมากกว่า

บางคนก็รู้จัก แต่ส่วนใหญ่ไม่หรอกครับ
ฟังไปเพลินๆ

ขณะที่นั่งฟังเพลงกันอยู่ก็มีมือหนาอุ่นๆมายีหัวผม..

ไม่ต้องบอกว่าใคร! คนชอบทำอย่างนี้มีอยู่คนเดียว!

"กลับกัน"
เสียงนุ่มทุ้มของพี่แกเรียก ก่อนจะดันหลังผมให้ลุก

ผมบอกลาสาวๆในวงก่อนจะเดินตามพี่กฤษณ์ไป

"มึงไม่หึงกูเลยนะ"
ผมเกาะเเขนพี่กฤษณ์ก่อนจะกระซิบเรื่องที่คิดทั้งงาน

"หึงดิ..แต่ให้กูทำไงวะ"
พี่กฤษณ์โน้มตัวมากระซิบข้างหูผม

"จะดึงมึงออกมาก็ไม่ได้ จะไปโวยวายก็ไม่ใช่นิสัย กูเลยคิดออกแค่ลูบหัวว่ะ โทษที"

ผมหัวเราะพรืด ก่อนจะซุกหน้าซบกับแขนพี่กฤษณ์

"มึงแม่งบ้า"

"กูรู้"

"สนุกเกอร์สนุกป่าว"

"กูเล่นเพราะตอนเล็งตำแหน่งมันจะมองเห็นมึงพอดี"

"..."

"แต่เอาเข้าจริงกูชอบกีฬาที่ใช้กำลังมากกว่าว่ะ"
ผมหน้าแดง

"ไม่ใช่งั้น! กูหมายถึงกีฬาจริงๆ ไม่ใช่เซ็กส์"

"กูรู้อยู่น่า"
ผมพูดแก้ตัว แม้ตอนแรกจะคิดแบบนั้นจริงก็เหอะ

หลังจากเราขึ้นมาบนรถเพื่อที่จะเดินทางกลับ ผมจึงถามพี่กฤษณ์อีกเรื่องที่คิดมาตลอดเช่นกัน

"กูสังเกตว่ามึงไม่ค่อยหวงกูเท่าไหร่..กูดูพึ่งพาตัวเองได้ใช่มะ"

"เปล่า"
พี่กฤษณ์ว่า

"ส่วนใหญ่เพราะกูไม่ค่อยได้สังเกตนั่นแหละ"

"ไอ้พี่กฤษณ์!"

"กูเชื่อใจไง โตๆกันแล้ว บางทีกูก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่น"

ประโยคแรกมาซะดิบดี..ประโยคถัดมาทำเอาหมดอารมณ์ไปเลย พี่กฤษณ์ก็ยังเป็นพี่กฤษณ์อยู่วันยังค่ำ..

ไร้ความโรแมนติก ไม่มีความอ่อนไหวซะจนบางทีก็สงสัยว่านี้คนรักหรือเพื่อน!
แต่ก็ไม่รู้ทำไม..ไอ้คนที่ดูๆไปก็เย็นชาอย่างกับเจ้าชายน้ำเเข็งนี้ ถึงไม่เคยทำให้ผมเสียใจ..
ทั้งคอยดูแล ใส่ใจ(ตามฉบับพี่แก) เป็นทั้งคนรัก และที่ปรึกษา มั่นคง พึ่งพาได้..

และเเววตาที่มองผมก็ซื่อตรงเช่นนี้เสมอตั้งเเต่วันเเรกที่เราเจอกัน
จนกระทั่งวันนี้..

"พี่กฤษณ์ หันหน้ามาหน่อยดิ"

"ทำไมวะ"

"อยากมองตา"

"อะไรของมึง.. กูขับรถอยู่ "

ผมถอนหายใจ มองไปยังข้างทางด้วยความเซ็ง..
ให้มันได้อย่างงี้ดิวะ..ไอ้พี่กฤษณ์!!


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่24 : สิ่งที่ได้รับ)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 04-02-2018 15:22:27

ตอนที่ 24: สิ่งที่ได้รับ

"งือ"
ผมพยายามจะเคลียคลอพี่กฤษณ์ต่อสักหน่อย แต่ไม่เคยสำเร็จ
ไม่มีสักวันที่เขาจะไม่รีบตื่น ไปทำกิจวัตรประจำวันอะไรก็ตามที่เขาต้องทำ

โอเค ผมรู้ เขามีความรับผิดชอบ
ตอนที่อยู่ที่ไร่ผมยังเข้าใจ เขามีตาราง มีเวลางานของเขา

แต่กับที่นี้! จะนอนต่ออีก 10 นาทีมันจะเป็นอะไรไป!

"อย่าพึ่งลุกได้ป่าว หนาวอ่ะ"
ผมพูดอ้อนๆ ก่อนจะใช้มือกอดพุง(?)เขาเอาไว้
พี่กฤษณ์ใช้มือหนายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะเอาผ้าห่มมาวางทับผม(คือ วางทับจริงๆน่ะครับ ไม่ได้ห่ม!)

"เออ แล้วแต่"
ผมพูดอย่างงอนๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละคนเรา ขอแค่ 5-6 นาทีก็ไม่ได้

"ทำไมวะ ให้กูปิดแอร์ป่าว มึงไม่สบายเรอะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะจับหน้าผากผม

"จับแรงขนาดนี้มึงไม่สั่นหัวกูไปเลยล่ะ..โอ๊ยย!"
ผมร้องลั่นเมื่อพี่กฤษณ์ทำจริง เสร็จแล้วยังหัวเราะขำผมด้วยนะ..จิตใจคนเรา! ชั่วร้ายจัด!

"มาอาบน้ำกับกูป่าว"
พี่กฤษณ์ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ

"ไม่เอา! กูเหนื่อย!"

"ฮ่าๆๆ เหนื่อยอะไรของมึง แค่อาบน้ำ!"

ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดม่าน

"กูรู้ไม่ใช่แค่นั้นหรอก! มึงหื่นจะตาย!"
ผมตะโกนเข้าไปแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่กฤษณ์ดังเเว่วออกมา

................................

"หืมม์ อาหารเช้าฝีมือเจ้าหญิง มีแรงทำด้วยเว้ย"
พี่กฤษณ์พูดแซว และไอ้หน้าของผมนี่มันจะแดงง่ายไปไหนวะ?!!
กูอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว!!

"กูมีแรงทำแน่ มึงเหอะ มีแรงกินหรือเปล่า"
ผมพูดก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น..โอยย ทำไม ทำไมภาพเมื่อคืนถึงขึ้นมาในหัวรัวๆแบบนี้วะ

สอง!! นี้มึงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นแล้วนะเว้ย!

"เฮ้ย เจ้าหญิง กินข้าวครับบ ? เดี๋ยวนั่งทำหน้าแดงเหม่อไปนานๆเข้าจะไม่ให้กินนะ"
ไอ้คนตรงหน้าพูดก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม

"ใครเจ้าหญิง?! กูเจ้าชายเว้ย หล่อมากด้วย!"
ผมพูดก่อนจะตักเบค่อนเข้าปาก

"ฮ่าๆ เออๆ แล้ววันนี้มึงไม่ต้องทำงานเรอะ"

"ทำดิ..ใครจะไปอยากหยุดก็หยุดได้ วันลาพักผ่อนกูก็หมดไปแล้วด้วย"

วันลาพักผ่อนทั้งปีของกูด้วย! ..แต่ผมไม่พูดต่อ

"งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วกูไปส่งที่ทำงาน ตอนเที่ยงเดี๋ยวไปรับ ตอนเย็นด้วย อย่าเถลไถล"

คุมยิ่งกว่าพ่อกูอีกนะเนี่ย..ผมพยักหน้ารับ

"แล้วมึงจะไปไหนต่อหลังจากส่งกู"

"ทำงานดิ ก็บอกแล้วว่ามานี่มีงาน ไม่ได้มาว่างๆ"

"ครับบครับ ท่านประธาน"
ผมพูดก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้า เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน

...................................

"สวัสดีครับ คุณสอง ใช่ไหมครับ..ผมกานต์ เป็นพนักงานใหม่นะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ หัวหน้า"
ชายหนุ่มที่ดูท่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมเอ่ยขึ้น ก่อนจะโค้งทำความเคารพผมน้อยๆ
ผมพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้เขาไปทำงาน

"อืม ผมอ่านประวัติของคุณแล้วล่ะ เกียรตินิยมจากมหาลัยมีชื่อ ท่าทางก็ดูมีความรับผิดชอบ ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ใจร้ายกับพนักงาน เเค่เป็นคนเข้มงวด ถามคนในแผนกดูได้"

ผมเอ่ยยิ้มๆ เรียกรอยยิ้มจากคุณลุง คุณป้า พี่น้องพนักงานในแผนกได้เป็นอย่างดี

ก็คำว่า 'เข้มงวด' ของผม มันหมายถึง เด็ดขาด ถูกต้อง มีเหตุผล
และทุกคนในแผนก ก็รู้ซึ้งถึงคำนี้ดีนะสิ

แต่หลังจากที่บอกไปเช่นนั้น ดูเหมือนว่าพนักงานใหม่ของเราจะเข้าใจคำนี้เป็นอย่างดี
เขาจึงไม่ก่อปัญหาอะไรให้แก่ผมและเเผนกของเรานัก

...................................

"บุหรี่ไหมครับหัวหน้า"
ชายหนุ่มตรงหน้ายื่นไฟแช็กมาให้ผม

"ไม่ล่ะ ผมแค่มาเข้าห้องน้ำ"
ผมพูดก่อนจะเดินไปทางประตูห้องน้ำ

"คนที่มารับมาส่งหัวหน้านี้ 'เพื่อนสนิท' เหรอครับ"
เขาถาม ก่อนจะยิ้มให้ผม ควันจากบุหรี่ลอยบังระหว่างหน้าเรา

ผมหยุด ยืนรอให้ควันจางหายไป เพื่อที่จะได้เห็นหน้าเขาชัดเจนขึ้น

"เปล่า แฟน"

ผมพูด ก่อนจะมองหน้าเขา แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

..................................

'หัวหน้าครับ เย็นนี้เจอกันอยู่คลับ XXX ไหมครับ'
ข้อความไลน์เด้งขึ้นมา

ผมเหลือบมอง บนตักมีพี่กฤษณ์ที่นอนเคี้ยวขนมแก้มตุ่ยอยู่

'..ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบเที่ยว ขอบคุณ'

ผมส่งข้อความตอบกลับไปแค่นั้น และไม่สนใจอีก

ไอ้นี่ชักจะลามปาม..ถ้าไม่ติดว่าผมต้องรักษาภาพลักษณ์ในการเป็นหัวหน้าอยู่บ้าง
คือแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ได้ ผมคงได้ด่ามันเข้าตรงๆ สักวัน!

..................................

"หัวหน้าสนใจผมสักวันไหมครับ"
อยู่ๆไอ้เจ้าพนักงานที่ชื่อกานต์ก็เดินมาหาผมระหว่างพัก พร้อมสีหน้ากรุ้มกริ่มคาดเดาได้ยาก

"สนใจ? สนใจอะไร"
ผมวงเล็บคำว่า ไอ้สัส ไว้ตามหลัง ก่อนจะตีหน้าเรียบถาม

"แหม หัวหน้า ผมเข้าใจดี วงการอย่างเราๆมันก็เปลี่ยนคู่ไปเรื่อย เขาถึงได้เรียกว่า Aquarium ไง ..เท่าที่ผมดู สเป็กต์หัวหน้าก็ใกล้เคียงผมอยู่นะ ..หรือไง นี่ผมพูดตรงๆเลย"

"คุณกานต์ นี่คุณกำลังดูถูกผม และคนรักของผมอยู่นะ"
ผมพูดเรียบๆ

ผมไม่เข้าใจ..ประเทศไทยพยายามเสนอตนว่าเป็นประเทศที่เปิดกว้างกับเพศทางเลือก แต่สังคมของเพศทางเลือกกลับมีแต่เรื่องที่ทำให้ดูถูกกันเอง อย่างนั้นเหรอ?

ถ้ามองเห็นและยอมรับอย่างแท้จริงว่าเราต่างเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ
ที่มีสิทธิ์จะรักใครก็ได้ ไม่ใช่แค่การจับคู่กันเพื่อหาคู่นอนคลายความอยากไปวันๆ

ไอ้การดูถูกประเภทนี้คงไม่เกิดขึ้น

"คนรักเหรอครับ เรียก Partner ดีกว่าไหม.. โตๆกันแล้ว"
เขาพูดก่อนจะขยิบตา ผมยิ้มให้ มองไปที่สภาพรอบตัว สถานที่ทำงาน ไอ้สอง ที่นี้ที่ทำงาน...

"คลับ XXX ใช่ไหม ..เจอกันเย็นนี้"
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะส่งรอยยิ้มเย็นเยือกไปให้

แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สังเกต

..................................

"เอาจริง? คิดไงให้กูพาไปบาร์เกย์วะ?"
พี่กฤษณ์ถามขณะขับรถก่อนจะมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

"กูแค่นัดคนไว้ มีเรื่องต้องเคลียร์น่ะ"
ผมตอบเรียบๆ

"คนประเภทไหนวะ นัดเคลียร์เรื่องที่คลับที่บาร์ ให้กูลงไปด้วยไหม"
พี่กฤษณ์ถาม ผมส่ายหัว อยากคุยเองมากกว่า

เมื่อมาถึงคลับที่นัดหมาย ผมเดินเข้าไปด้านใน
เเละไม่นานนักก็มองเห็น พนักงาน..ไม่สิ มองเห็นกานต์

เขายืนอยู่ตรงนั้น หัวเราะกับเพื่อนๆ ส่วนเเขนก็โอบเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งเอาไว้

เมื่อเห็นผม เขาก็ผละออกจากวงเพื่อนมาดึงตัวผมไปทันที

"นี้หัวหน้าผมเอง บอกแล้วว่าหล่อ"

หลายคนมองหน้าผม บางคนกลืนน้ำลายดังเอื้อก

"หล่อจริง..ไปหามาได้จากไหนเนี่ย"

"ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวก่อนละกัน คุณกานต์"
ผมพูดก่อนจะลากข้อมือกานต์ให้ตามผมมา ท่ามกลางเสียงเเซวของเพื่อนเขา

"คืนนี้แค่ผมคนเดียวเหรอครับ หัวหน้า"

"อยู่ข้างนอกแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าหรือลูกน้อง ไอ้สัส"
ผมพูด

"เฮ้ย! ฮ่าๆ คุณสองนี่มีมุมตลกๆน่ารักแบบนี้ด้วยเหรอครับ แล้วคู่คุณเขาไม่มาเหรอ"

"เอาน่ะ ผมขอพูดตรงๆเลย ผมเป็นเกย์จริงแหละ แฟนผมเป็นผู้ชาย แต่ไม่ใช่ว่าผมจะนอนกับใครก็ได้
ผมไม่รู้ว่าไอ้วงการ ที่คุณว่าน่ะ มันหมายถึงอะไร แต่ผมเป็นคนธรรมดาที่ต้องปกป้องตัวเองและคนรัก"

"แหม หัวหน้า พูดซะสวยเลย ไม่รู้จริงๆเหรอครับ.."
เจ้าตัวยังยิ้มกรุ้มกริ่ม มือก็เริ่มจับไม้จับมือผม

ผมดันมือเขาออก

"กานต์ การกระทำและคำพูดคุณช่วงไม่กี่วันมานี้ มันดูถูกตัวผม คนรัก ตัวคุณ และวงการอะไรของคุณด้วย
ผมคงไม่มีหน้าไปบอกคุณว่าอะไรถูกไม่ถูก แต่อย่าล้ำเส้นผม ผมพูดในฐานะคนธรรมดา ไม่ใช่เจ้านาย"

"ดูถูก?! หัวหน้า หัวหน้าเเค่ต้องยอมรับความจริงให้ได้สิครับบ เดี๋ยวนี้ใครๆเขาก็รู้ คบกันไปก็ไม่ยืด สู้เอาเงินมาซื้อดีกว่า ตามใจหัวหน้าเลยครับถ้าไม่อยากมีเซ็กส์กับผม ก็ปฏิเสธตรงๆก็ได้นี่.."

"..หัวหน้าพูดจาอ้อมค้อมไม่ยอมปฏิเสธสักที หรือจริงๆก็หวังความตื่นเต้นเร้าใจจากผมอยู่ครับ หือม์"
กานต์เอามือมาเสยปอยผมของผมขึ้นไป

"เยอะล่ะไอ้สัส"

ผมหันไปเจอกับร่างสูงของพี่กฤษณ์

"อ้าว ขอโทษทีครับ 'คู่'ของหัวหน้ามาด้วยเหรอ.. เอาไว้วันหลังละกันนะ"
เขาพูดเเล้วส่งยิ้มทีเล่นทีจริงก่อนจะเดินจากไป

พี่กฤษณ์ใช้มือดันหลังผมเบาๆ

"ไปเหอะ เดี๋ยวกูพาไปกินก๋วยเตี๋ยวมื้อดึก"

.................................

"ไหนอธิบายดิ้ว่าเคลียร์แบบไหนเค้ายืนจับแขน เสยผมให้กันด้วย"
พี่กฤษณ์พูดขณะที่ดวงตามองไปที่ถนน

ผมที่ตอนนี้รู้สึก..ไม่รู้สิครับ รู้สึก 'เฟล' มากๆ(ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้จะหาภาษาไทยอะไรมาอธิบาย)
ผมรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเศร้าแปลกๆ กับเพศทางเลือกและมุมมองที่ผมได้รับรู้มาวันนี้

จริงอยู่ที่ผมเริ่มจากการเป็นผู้ชาย แบบที่ใครๆเขาเรียก เเมนเเท้ๆ
แล้วไอ้อากัปกิริยาก็ไม่ได้เหมือนผู้หญิงตรงไหน แต่เมื่อผมมาชอบผู้ชาย มีแฟนเป็นผู้ชาย
ผมก็เรียกตัวเองว่า 'เกย์' ตามสังคมเรียก

ซึ่งผมกับพี่กฤษณ์ก็ไม่ได้ serious หรือรู้สึกว่ามันแปลกอะไรตรงไหน
มันเเค่คำจำกัดความใช่ไหมครับ ก็เหมือนคำจำกัดความเพศสภาพใดสภาพหนึ่งเท่านั้น

เเต่พอได้มาเห็นมุมมองของ 'เกย์' เหมือนกัน
ที่เขาคิดว่าความรักแบบของเรา ไม่สามารถยั่งยืนได้เหมือน ชายหญิงปกติ
มันทำให้ผมประหลาดใจมาก

ก็หากเรายอมรับว่าเพศเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของบุคคล
ความรักก็เป็นเพียงทางเลือก

ความสัมพันธ์ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?

หากคุณเป็นคู่รักชายหญิงที่อยู่ๆมีคนเดินมาบอกว่า
'มามีเซ็กส์หมู่กับกูไหม ยังไงมึงก็คบกันได้ไม่นานหรอก มึงคู่รักชายหญิงนี่'
คุณรู้สึกว่ามันแปลกไหมครับ ?  ไอ้คนเดินมาถามคงโดนด่าเรื่องจริยธรรม ตรรกะผิดเพี้ยนจนกระเจิง

แล้วถ้ายอมรับว่าทั้งหมดนี้เท่าเทียมกันจริงๆ
ทำไมมุมมองที่มีแต่ต่อละเพศสภาพและความสัมพันธ์

ถึงไม่เท่าเทียมกันบ้าง?

"เป็นไรเปล่าวะ?"

พี่กฤษณ์ถามเบาๆเมื่อเห็นผมยังคงเงียบ

"เมื่อกี้ทำไมมึงตามเข้าไป"
ผมเปลี่ยนไปถามเเทน

"จะปล่อยมึงเข้าไปคนเดียวได้ไง เคลียร์กับใครก็ไม่รู้ กูก็ห่วงดิวะ"
พี่กฤษณ์พูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์เล็กน้อย

"แล้วสรุปเคลียร์อะไรกัน ทำไมท่าทางไอ้เหี้ยนั่นกวนส้นตีนชิบหาย"

"หึง?"

"อย่าเปลี่ยนเรื่อง เคลียร์อะไร?"
เมื่อเห็นผมเงียบ พี่กฤษณ์จึงไม่เซ้าซี้ต่อ

"พี่กฤษณ์ มึงอายที่ต้องไปบาร์เกย์ไหม"
อยู่ๆผมก็ถามขึ้น

"อายดิสัส"
เขาก็ช่างตอบตรงได้สมกับเป็นตัวเองเหลือเกิน

"ทำไม"

"หื้ม มันพูดยากว่ะ ถ้ากูเป็นเกย์มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นกูอาจจะชินมั้ง แต่ด้วยวัฒนธรรม อะไรหลายๆอย่างที่กูโตมา มันก็ทำให้กูอาย ก็เหมือนที่กูยังกลัวกระเทยควายนั่นแหละ"

"มึงเหยียด"

"เฮ้ย กูไม่ได้เหยียด! กูแค่กลัว!"

"มันเหมือนกันแหละ ถ้ากูเป็นกระเทยควายบ้างมึงจะยังรักกูไหม"

"กูรักมึง กูไม่สนว่ามึงจะเป็นอะไร"

"ถ้างั้น..ถ้าตอนแรก กูเข้าหามึงในลักษณะกระเทยควายเลย มึงตีความไปแล้วว่าไม่ชอบคนแบบนี้ มึงจะได้รู้จัก ได้รักตัวกูจริงๆไหม

ผมถาม มองหน้า พี่กฤษณ์เงียบ

"มันต่างอะไรกับคนที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ตัดสินหนังสือจากปก"

"โอเค โอเค กูยอม แต่..กูยังเป็นมนุษย์นะเว้ย ไม่ใช่พระอรหันต์ สอง มึงจะหวังสังคมอุดมคติที่ทุกคนเข้าใจคนอื่นบนพื้นฐานความเท่าเทียมร้อยเปอร์เซ็นต์มันเป็นไปไม่ได้.."

"คือ กูจะว่าไงดีล่ะ .. คนเรามันมีอคติกันอยู่แล้ว กูก็ด้วย มึงก็ด้วย จะมากน้อยก็ตามแต่ละคน ไม่ใช่หน้าที่มึงที่ต้องไปบังคับคนนู้นคนนี้ให้คิดเหมือนมึง.. โอเค กูยอมรับ ความเท่าเทียม ทุกคนเเม่งก็พูดกันแต่เรื่องนี้ ถ้ามีใครสักคนไม่เห็นด้วยขึ้นมา แปลว่าเขาเลวเหรอวะ? "

"การที่กูกลัวผู้ชายที่มีลักษณะเหมือนกระเทยควายถ้ามาลูบกู นี้กูเลวไหม? กูมีอคติก็จากประสบการณ์กู
สมัยปีหนึ่งกูเคยโดนกระเทยควายดึงไข่ นี่ความผิดกูไหม"
พี่กฤษณ์พูดเล่าประสบการณ์ก่อนจะหัวเราะ ผมส่ายหัวเบาๆ

"มันผิดแหละ กูรู้"
พี่กฤษณ์พูด

"กูไม่ควรไปคิดว่ากระเทยควายทุกคนเป็นอย่างนั้น และถ้ามึงจะมองดีๆ แค่คำพูดที่ว่า กระเทยควาย มันก็เหยียดแล้ว"

"แต่กูจะทำไงได้ละสอง กูไม่ใช่คนสมบรูณ์แบบ ที่กูทำได้ก็แค่ไม่ไปพูดดูถูกหรือไปบอกให้เขาเลิกเป็นแบบนั้น เเค่นั้นเอง"

ผมนั่งฟังเงียบๆก่อนจะเล่าเรื่องมุมมองที่ไปเจอมาวันนี้ให้พี่กฤษณ์ฟัง

 "ไอ้ห่านั่นอาจมีอคติจากประสบการณ์ของมันเหมือนกูก็ได้.."
พี่กฤษณ์แสดงความเห็นอย่างใจกว้าง

"แต่การคุกคามนี่คนละเรื่อง ...ถ้ามึงให้มันจับมือถือแขนอีก กูโกรธนะ.."

"อืออ"
ผมพูดเบาๆก่อนจะเอาคางเกยโต๊ะก๋วยเตี๋ยว
เขาดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ

"สอง มึงน่ะคาดหวังมากไปนะ จะให้สังคมเข้าใจ ให้คนอื่นคิดเหมือนมึง หรือวัฒนธรรมเเบบนิวยอร์กของมึง
มันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ทั้งหมด"

"คิดมากๆเข้าก็เหนื่อยเปล่าๆ"

"กูก็พยามอยู่ กูเป็นคนคิดมากอ่ะ มึงก็รู้"
ผมพูด เริ่มรู้สึกดีขึ้น

"อืมม งั้นกูกินก่อนนะ กูหิวล่ะ"
ผมมองหน้าพี่กฤษณ์ที่ดูหิวโหยจริงๆแล้วก็อดขำไม่ได้

หลังจากความรู้สึกเสียใจประหลาดๆเริ่มจางหายไป
ผมก็ก้มหน้าก้มตารับรสชาติของอาหารตรงหน้า

มันอร่อยจริงๆ และผมเองก็รู้สึกขอบคุณชายที่อยู่ตรงหน้า
ผู้ยอมเปิดใจพูดกับผมตรงๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรือไม่

และคำพูดของเขาก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นได้ทุกครั้ง..

...................................

"พรุ่งนี้กูจะไปคุยกับไอ้วินด์"
พี่กฤษณ์พูดหลังจากที่ปิดไฟตรงหัวเตียง ผมพยักหน้ารับในความมืด

"มึงอยากไปด้วยไหม"

"กูเห็น..มึงกับไอ้ตั้ม จัดการเรื่องต่างๆแทน..กู ไม่รู้สิ มันเหมือนเป็นเรื่องธุรกิจ การชิงไหวพริบของพวกมึง ไม่ใช่เรื่องของกูมานานแล้ว"

"ใครว่า..พวกกูทำก็เพราะมึง"

"กูรู้..แต่..กูยังไม่อยากเจอหน้ามัน"
ผมลืมตาในความมืด ความทรงจำพวกนั้นไม่ใช่สิ่งรื่นรมย์
พี่กฤษณ์ยกวงแขนขึ้นโอบผมไว้ ผมหลับตาลง

"งั้นเดี๋ยวกูจัดการให้.."

เสียงทุ้มของพี่กฤษณ์กระซิบราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเงียบหายไป
สักพักเมื่อรับรู้ถึงจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอยาวนาน ผมจึงค่อยๆลุกออกจากเตียง

เดินไปเปิดโคมไฟตรงชั้นหนังสือ ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าธรรมดาๆที่ปะปนอยู่ในชั้นวางหนังสือหลายสิบเล่มของผม

ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ยาวนาน
มีเพียงเเสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมที่ก่อให้เกิดเงาอันสั่นไหวเมื่อผมขยับมือ

....

วันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กระทบความเชื่อและบางสิ่งที่ผมยึดถือ
ผมได้เรียนรู้ว่าผมไม่อาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งใจได้เสมอไป

ทุกคนที่เข้าใจ ทุกคนที่ยอมรับ

ผมอาจโชคดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย
ตรงที่ครอบครัวนั้นรักและคอยสนับสนุนในทุกด้าน

แต่กับสังคมไม่เหมือนกัน
ผู้คนเติบโตมาอย่างหลากหลาย พวกเขามีรูปแบบ วิถีชีวิต และแนวคิดของตนเอง
บางอย่างถูกใจผม บางอย่างไม่

พี่กฤษณ์บอกว่าผมไม่ควรไปตีค่าว่ามันถูกต้องหรือไม่..

ไอ้พูดพล่อยๆเท่ๆแบบนั้นใครก็พูดได้
หรือประโยคถูกใจไม่ถูกต้องอะไรนั่นใครก็พูดได้

แต่มีน้อยคนที่จะหยุดพิจารณาคำว่า'ถูกต้อง'อย่างจริงจัง..

ท้ายที่สุดแล้ว หากมันลำบากนัก อย่าเที่ยวไปตัดสินคนอื่นเลยจะดีกว่า
เพราะกรอบของคำว่าถูกต้องนั้นอาจกว้างกว่าที่เรามองเห็น

เหมือนตอนที่ผมตัดสินใจคบกับพี่กฤษณ์ครั้งแรก
ผมคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย สิ่งที่สังคมมอง..ผมจะต้องทำอย่างไร
ภาพลักษณ์จะรักษาอย่างไร? ครอบครัวจะโดนดูถูกหรือไม่? ที่นี้ประเทศไทย?

แต่พอมาวันนี้ วันที่ผมโดนดูถูกจริงๆ เรื่องพวกนี้กลับเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย
เพียงคำพูดที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป..

ผมที่มีพี่กฤษณ์ยืนอยู่ข้างๆ มีเพื่อนที่รักและเข้าใจ มีครอบครัวที่คอยสนับสนุน
กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ... ล้มบ้าง สะดุดบ้าง หยุดพักบ้าง

แต่ไม่เคยหันหลังกลับ ไม่เคยเสียดายทุกสิ่งที่ได้เลือกและตัดสินใจมา..

การเดินทางจากนิวยอร์กมาถึงขอนแก่นนี้มีความหมาย
มันทำให้ผมมองชีวิตเเละความรักด้วยดวงตาที่แตกต่างออกไป

ไม่ใช่ในความหมายเมื่อยังเยาว์วัย
ทว่าลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซับซ้อนน้อยลง

ไม่ใช่เเค่เรื่องของพี่กฤษณ์ แต่รวมถึงเรื่องครอบครัว เรื่องเพื่อน เรื่องงาน ..

มันคือชีวิต

นี้ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้น
และคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในช่วงชีวิตที่ยังเหลือ

แต่เป็นครั้งที่น่าประทับใจ..
และมีความหมายต่อผมอย่างยิ่ง



...ผมจรดปากกาอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยกขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าไม่มีคำใดจะบรรยายลงอีกแล้ว

ผมปิดสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าก่อนจะยัดมันเข้าไปรวมกับหนังสือบนชั้น


เมื่ออยู่บนนั้น มันช่างดูธรรมดาเหลือเกิน








✈️ From  New York to  Khonkaen

จบ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่24 : สิ่งที่ได้รับ)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 04-02-2018 15:26:26
 ...Afterward

"ทำอะไรอยู่น่ะ..แก้ว"
ชายผู้หนึ่งเดินมาอยู่ข้างหลังฉันก่อนจะรวบตัวฉันเข้าไปกอด

"..พอดีวันนี้ทำความสะอาดบ้านน่ะสิมาร์ค..พวกเด็กๆต้องวุ่นวายแน่เลยถ้ารู้ว่าแก้วขึ้นมาทำความสะอาดบ้านป๊ากฤษณ์ของพวกเขา.."

"เด็กพวกนั้นมันแสบ..แล้วนี้อ่านอะไรอยู่"
คนรักของฉันพูดพลางมองสมุดสีฟ้า ซึ่งตอนนี้ซีดจางจนมองตัวอักษรที่หน้าปกแทบไม่เห็น

"เรื่องราวธรรมดาๆ แต่มันมหัศจรรย์มากเลย..ไม่น่าเชื่อ พวกเขาจะยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้"
ฉันพูดก่อนจะยิ้มให้คนรัก..ฉันไม่เคยรับรู้เรื่องราวความรัก หรือชีวิตของพวกเขาในมุมมองเช่นนี้มาก่อน

ตอนเด็กๆก็แค่เพียงมีความสุขกับความรักเท่านั้น..

"ว่าแต่ เมื่อไหร่เฮียกฤษณ์เฮียสองจะกลับมาจากจีนเนี่ย..ประชุมธุรกิจครั้งนี้คงสำคัญน่าดู มาร์ครับมือไอ้เด็กแสบพวกนั้นจะไม่ไหวแล้วนะ"
คนรักของฉันพูดก่อนจะทำหน้ามุ่ยกึ่งล้อเลียนใส่ฉัน ฉันหัวเราะในความติ๊งต๊องของเขา

ไม่นานเด็กๆสุดซนที่มาร์คพูดถึง ก็วิ่งโร่ขึ้นบ้านมา

เด็กชายคนโตสุดผู้มีหน้าตาจิ้มลิ้มหน้ารัก ดูอ้วนท้วนสมบรูณ์วิ่งมาเกาะเอวฉัน
ก่อนจะซุกหน้าเข้ากอดพลางพูดเสียงอู้อี้เป็นภาษาต่างประเทศ



"เมื่อไหร่แดดดี๊จะกลับไทยยยยยย"


"พี่แก้ว อย่าปล่อยให้เจ้าเฟ่ยเเต๊ะอั๋งดิ"
เสียงไม่พอใจนี้มาจากเจ้าตัวเเสบหมายเลขสอง เด็กชายผู้ตัวสูงกว่าพี่ชายร่างจ้ำม่ำ หน้าตาละม้ายคล้ายพี่ชายของฉันราวกับถอดกันมา

"พูดให้มันดีๆนะผิงผิง แดดดี๊กลับมาโดนแน่"
เจ้าตัวเเสบหมายเลขหนึ่งพูดก่อนจะแลบลิ้นให้น้องชาย ..

"ไอ้อ้วนเฟ่ย!"
เจ้าตัวเเสบหมายเลขสองกระโดดขึ้นหมายจะเตะเด็กชายที่ยืนเกาะเอวฉันอยู่(หนู!! ลูกกกก!!!)
แต่มาร์ค..คนรักของฉันรีบกระโดดมาขวางทางไว้ก่อน

"ฮึก แง้งงงงงง~"
เด็กหญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มที่เดินเตาะเเตะตามขึ้นมาร้องไห้เสียงดังลั่น
เด็กชายทั้งสองเมื่อเห็นน้องสาวร้องไห้จึงรีบวิ่งเข้าไปกอดน้อง พาน้องเล่น พร้อมกับทำท่าตลกๆอีกมากมาย..

ฉันมองเจ้าสามคนที่เล่นด้วยกันแล้วยิ้มออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน(เป็นอย่างยิ่ง)

"พี่แก้วอ่านอะไรร"
เจ้าหมูน้อยเฟ่ยมองสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าซีดในมือของฉัน..ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะบอกว่า

"เรื่องของแดดดี้ของอาเฟ่ยนั่นแหละ.."

"แดดดี้สองเป็นสวีทฮาร์ทของแดดดี้กฤษณ์ เฟ่ยรู้..."

"แดดดี้เคยอ่านให้ฟังนะ แต่อ้วนเฟ่ยหลับ กินมากไปจนหลับ ไม่รู้เรื่อง"

"ผิง ไม่มีน้ำใจเลยนะ"

"หมูปิ้งเมื่อวันก่อนนี้ไงน้ำใจ"

"ฮึก..แง้งงงงงงง"

ฉันหันไปมองหน้าคนรัก เขายกมือขึ้นอย่างยอมแพ้

"ถ้าเราแต่งงานมาร์คขอมีลูกสาวแค่คนเดียวนะ..ขอลูกสาว"


ฉันพยักหน้า เห็นด้วยกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

 
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่24 : สิ่งที่ได้รับ)
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 04-02-2018 15:41:32
(http://i65.tinypic.com/12693jp.jpg)

สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน และขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนสุดท้ายค่ะ!
ผู้เขียนมีความสนุก ความภูมิใจ ที่ได้นำเสนอเรื่องราวความรักและชีวิตผ่านนิยายเรื่อง จาก New York สู่ Khonkaen เป็นอย่างมากค่ะ

ก่อนเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนตั้งใจจะถ่ายถอดเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ที่สมจริงที่สุด คือมีทั้งสุข ทุกข์ และการดำเนินต่อไปของชีวิต ทั้งเรียบง่าย ซับซ้อน ปะปนกันไปในแต่ละช่วงเวลา

เมือ่นิยายเรื่องนี้มาถึงจุดที่ผู้เขียนต้องการเเล้ว ผู้เขียนต้องบอกเลยว่า ..ใจหายนิดๆ แต่สุขใจมากกว่า..
เเม้เรื่องนี้จะจบไป แต่หลายสิ่งหลายอย่างยังดำเนินต่อไป เหมือนกับชีวิตของเรา

ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านทุกท่าน จะได้รับบางสิ่งกลับไป จากการอ่านผลงานชิ้นนี้
แต่หากไม่ได้รับอะไรกลับไปเลย อย่างน้อยๆก็ขอให้ได้รับความสนุกสนาน

 เพียงเท่านี้ ในฐานะผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเเล้วค่ะ

(โค้ง)

 :bye2:
Anynomous
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-02-2018 16:48:03
สอง กับมุมมองชายรักชาย รักชายคนเดียวเท่านั้น รักแล้วไม่แปรเปลี่ยน  :mew1: :mew1: :mew1:

ส่วน มุมมองของกานต์ พนักงานคนใหม่ วงการนี้ไม่แน่นอน ไม่มีใครจริงใจ จริงจังกันหรอก
ดังนั้นก็สนุกๆกันไป ใช้เงินซื้อก็ได้
แสดงว่ากานต์ ไม่เคยเจอคู่ที่รักกันจริง คู่ของตัวเองก็ไม่จริงใจ  :serius2:
ก็เลยใช้ชีวิตแบบที่เห็น แล้วเข้าใจว่าคู่ของสองก็คงเหมือนที่ตัวเองสัมผัสมา

ก็เหมือนคำพังเพยที่ว่า
"สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย"
ก็คงนานาจิตตัง หรือเปล่า
กฤษณ์ สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์ ให้ความสุขคนอ่าน 
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 04-02-2018 16:55:26
 :hao5: :hao5: สงสัยว่านานๆมาทีเลยรู้สึกว่าสั้นไปหน่อย แต่อ่านรวมๆแล้วยาวพอให้ซึ้งเลยค่ะ   :z3:
ขอบคุณคุณanonymousมากค่ะ เป็นเรื่องที่ประทับใจจนต้องสมัครมาคอมเม้น พอคอมเม้นเท่านั้นแหละ จบเลย 55555  :m31:
ขอรวมๆความประทับใจไว้ตรงนี้นะคะ  :L1:

เนื้อเรื่องเรียบง่ายเลยทำให้คิดตามได้แบบไม่ขัด ตัวละครมีเหตุผล และตัดสินใจสมเหตุสมผล ไม่ยืดเยื้อ ร้ายก็ไม่ใช่ร้ายไม่รู้เรื่อง
ดีก็ไม่ใช่ดีจนหมด มีสอดแทรกแนวคิด การใช้ชีวิต มุมมอง มีแหย่สังคม การเมือง เรื่องเพศ
ส่วนด้านภาษาอาจจะกระชับไปนะคะ ไม่ค่อยมีบรรยายหรือใช้ภาษาสวยๆ เหมือนดูหนังที่ตัดไปมามากกว่าอ่านนิยาย  :a5:


ปลล. อยากอ่านตอนพิเศษของครอบครัวพี่กฤษณ์น้องสองกับเด็กๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-02-2018 19:57:08
 :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 06-02-2018 18:06:59
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ
เป็นนิยายฟีลกู๊ดที่ธรรมดาๆ
แต่มีเสน่ห์ในตัวมากๆเลย
อยากอ่านตอนพิเศษของบรรดาลูกๆมาก
ผุดมาโค้งสุดท้ายให้อยากรู้
หลงเด็กๆมากเลย
หวังว่าคนเขียนจะเห็นใจ
มาลงตอนพิเศษของเด็กให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 06-02-2018 19:32:45
สะดุดตาตรงชื่อเรื่องค่ะเริ่มแรกนึกว่าจะเป็นromantic+comedyเฉยๆซะอีกแต่พออ่านไปเรื่อยๆแล้วมีdramaด้วยสนุกดีค่ะต้วละครมีความหลากหลายดีเราอยากอ่านเรื่องของวินด์ต่อนะน่าติดตามแล้วก็ตั้มอีกคนหาคนมาเข้าใจเขาหน่อยอยากให้ตั้มสมหวังจริงๆขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 07-02-2018 00:24:10
ขอบคุณมากค่ะ เป็นเรื่องสมจริงตามที่คุณคนเขียนตั้งใจไว้นะ เพราะชีวิตก็แบบนี้ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอนที่25 : Afterward) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 07-02-2018 11:12:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: กลับสุขใจอย่างยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 08-02-2018 09:15:26

ตอน : กลับสุขใจอย่างยิ่ง

"แด๊ดดี๊กิดค้าบบ เจ้าผิงแกล้งน้องเหมยค้าบบ"

เด็กชายตัวอ้วนจ้ำม้ำวิ่งออกมาด้วยท่าทางร่าเริงผิดปกติ ก่อนจะกระโดดกอดผม

..มิติใหม่แห่งการฟ้องน้องชายวุ้ย..

"โอเคครับเฟ่ย ..เดี๋ยวพ่อตามไป เฟ่ยในฐานะพี่คนโตไปดูแลสถานการณ์แทนพ่อก่อนนะครับ.."

ผมกวาดสายตามองเอกสารในมืออย่างคร่าวๆก่อนจะจัดวางไว้บนโต๊ะทำงาน
เมื่อเห็นเจ้าลูกชายตัวดีกระโดดโลดเต้นออกจากห้องทำงานไปก็ได้แต่ส่ายหัว..

วันนี้วันเสาร์ เจ้าสองติดประชุมจนถึงบ่าย ..ผมต้องอยู่บ้านดูแลเจ้าตัวแสบสามตัว
ซึ่งมีคนใดคนหนึ่งวิ่งมาฟ้องอีกคนทุกๆ 1 ชั่วโมง..

พอเรื่องงานไว้เเค่นี้ก่อนละกันเรา..พักไปอยู่กับลูกๆบ้าง
เดี๋ยวได้โตไปเป็นเด็กมีปัญหา ไอ้พวกสังคมจะหาว่าไม่รับผิดชอบอีก!

ผมเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น..

ผมกับสองเลือกซื้อบ้านขนาดกลางๆที่มีสวน และอยู่ใจกลางกรุงเทพ..
ขอบอกว่าตอนตัดสินใจซื้อนั้นคิดแล้วคิดอีกสุดๆ .. ก็บ้านแบบEco-houseแต่ใจกลางกรุงเทพ
มันเเพงกว่าคอนโดหรือแฟลตสะดวกสบายเสียอีก!

แต่ที่ตัดสินใจซื้อก็เพราะเจ้าสามทหารเสือของเรา
สองอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนนานาชาติดีๆ ส่วนผมก็อยากให้ลูกได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและไม่ฟุ้งเฟ้อวัตถุนิยมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป..

เราก็เลยลงเอยกันที่บ้านหลังดี สภาพเเวดล้อมผ่าน ความสะดวกสบายปานกลาง ใช้ได้!

ขอบอกเลยว่างานดูแลเจ้าสามคนนี้ลำบากสุดๆ..

ถ้ามีอะไรในชีวิตที่ผมเคยคิดว่าลำบาก เป็นปัญหา..
เมื่อเทียบกับเจ้าลูกลิงพวกนี้เเล้ว เทียบไม่ติดเลยทีเดียว!

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นเจ้าผิงตัวเเสบกำลังดึงผมน้องสาวอยู่..

"อาผิง.. ลูกกำลังทำอะไรน่ะ.."

"แด๊ดดี้ ผิงแกล้งเหมยยย"

"เปล่านะฮะ!"

ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วจึงเห็น..ยางมัดผมหลากสีเล็กๆที่พันผมเด็กหญิงอายุ 4 ขวบเอาไว้.. มันยุ่งเหยิง
และดูท่าจะเจ็บน่าดู..

"ไหนเล่าให้พ่อฟังสิ"
ผมพูดก่อนจะจับมืออาผิงออกจากหัวน้องสาวอย่างเบามือ

"เหม่ยเหมยอยากเล่นเป็นเจ้าหญิง เลยให้ผมมัดผมให้..ต..แต่ ผมมัดไม่เป็น.. แล้ว มัน..ผิด"
ระหว่างที่พูดเจ้าตัวดีก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้..

"ผมบอกแล้วว่าให้ปล่อยผมยาว"
เฟ่ยพูดขึ้นก่อนจะมองหน้าน้องสาวอย่างเห็นใจ..

"เอ้อ..โอเค ไม่เป็นไรหรอกลูก เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้นะ..ไม่ต้องร้องนะคะ เหมย พี่ผิงไม่ได้ตั้งใจ"
ผมหันไปพูดกับลูกสาวคนเล็ก ผู้ยังคงร้องไห้กระซิกกระซิก

"..ฮึก..เหมยไม่ร้อง นะ.. I didn't mean to harm you.."
ลูกชายตัวเล็กของผมกลับเป็นฝ่ายร้องไห้เสียเอง..

"เอาอย่างนี้ดีกว่า..เดี๋ยวพ่อจะสอนวิธีแกะยางมัดผมแบบไม่เจ็บให้.. มันง่ายมากเลยนะ"

"ใครอยากเรียนบ้าง ยกมือ!"
ผมพูดก่อนจะได้รับเสียงตอบรับจากนักเรียนทั้งสามเป็นอย่างดี..

หลังจากนั้นผมก็สอนวิธีดึงตรงโคนผมก่อนค่อยดึงยาง ให้ลูกๆทั้งสาม โดยมีผมของตุ๊กตาบาร์บี้ของเหม่ยเหมยเป็นต้นเเบบ.. เด็กๆกระตือรือร้นที่จะเรียนเป็นอย่างมาก และในไม่ช้า พวกเขาก็ผ่านหลักสูตรการดึงยางออกโดยไม่เจ็บหัว ที่รับรองโดยผม(ฮ่าๆ หลอกเด็กนี่งานถนัดครับ!)

หลังจากที่เจ้าผิงได้ทดสอบภาคปฏิบัติกับหัวน้องสาวจนสำเร็จเรียบร้อย
เด็กๆก็มีท่าทีเหนื่อยอ่อนจากบทเรียนกันเสียเต็มประดา

"ทำไมบ้านเราไม่มีแม่นมฮะแด๊ดดี้ บ้านของอเล็กซ์มี"
อาเฟ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ขณะที่เรานอนแผ่หลาอยู่ในห้องนั่งเล่น

"ริชชี่ก็มี"
ผิงผิงพูดขึ้น

"บีน่ามี"
เหม่ยเหมยก็พูดเช่นกัน

"เรามีพ่ออยู่แล้วไงครับ..มีทั้งพ่อกฤษณ์ แด๊ดดี้สอง ..หรือเด็กๆอยากให้คนอื่นดูแลเเทนพ่อเหรออ พ่อน้อยใจแล้วน้า"
ผมพูดก่อนจะเเกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อย

"ไม่อาวอ่ะ"

"อาทิตย์ที่แล้วริชชี่บอกบ้านเราแปลก"
ผิงผิงบอกก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

"แปลกยังไงเหรอผิง"
เจ้าเฟ่ยถาม

"ริชชี่บอกบ้านเรามีพ่อสองคน แต่ไม่มีเเม่เลย เป็นไปได้ยังไง.."

"หื้ม ไม่เห็นจะเเปลก เจ๋งดีออก ..แด๊ดดี๊สองบอกว่าบางครอบครัวก็มีพ่อคนเดียว บางครอบครัวมีแค่เเม่ บางครอบครัวมีพ่อเเม่ บ้างครอบครัวมีพ่อพ่อ บางครอบครัวมีแม่แม่ ..ครอบครัวมีหลายแบบนะผิง"

เจ้าอ้วนเฟ่ยพูดด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน...ไปจำคำพูดใครมาหนอ เจ้าลูกคนนี้..
ผมนอนฟังเเล้วอมยิ้ม..

"แต่ครอบครัวส่วนใหญ่มีพ่อกับเเม่.."

"เราแค่เป็นส่วนน้อย แด๊ดดี้บอก ส่วนน้อยแปลว่ามีน้อย ไม่ได้แปลว่าแปลก"

"ผิงจะไปบอกริชชี่อย่างนี้นะ"

"อื้อ บอกไปตามนี้นะ..และถ้ามีคนว่านาย มาบอกพี่ ..พี่จะจัดการให้นะ"

หือม์..ผมเหลือบมองเจ้าเด็กที่นอนพุงพลุ้ยอยู่ข้างๆ..
เป็นพี่ชายที่เอาการเอางานอยู่เหมือนกันนะนี่..

ถึงเเม้อาเฟ่ยจะห่างกับน้องชายแค่ 2 ปี แต่นั่นคงมากพอที่จะทำให้เขารู้จักสิ่งต่างๆ..
ผมอดมองเขาอย่างภูมิใจไม่ได้

"เหม่ยเหมยด้วยนะ.."

แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากอาหมวยคนเล็ก..เพราะหนูน้อยหลับไปก่อนแล้ว

"น้องหลับเเล้วล่ะ ..ไปต่อกันดั้มกันไหม"

"เอาดิ"

"พ่อไปด้วย."

และกองทัพ 1 แม่ทัพกับสองทหารเสือจึงค่อยๆย่องไปเอาโมเดลกันดั้มในห้องนอนมาต่อ..

..................................

"พี่กฤษณ์.. ทำไมบ้านถึงได้รกแบบนี้?! เศษยางนี้คืออะไร? เล่นดีดยางกันหรือไง แด๊ดดี้บอกเเล้วใช่ไหมไม่ให้เล่นกันอันตราย..แล้วนี้ลูกกินข้าวกันหรือยัง?!"

เจ้าสองเดินมองสภาพรอบห้องนั่งเล่นแล้วขมวดคิ้วจนยุ่ง

ชิบหาย!! ผมพาเด็กๆกินคอนเฟลกซ์แทนข้าวเที่ยงไปแล้วอะดิ...

"อย่าบอกนะ ว่ากินคอนเฟลกซ์แทนข้าวเที่ยง.."

ไม่อยากฟังก็จะไม่พูดจ้า...เก๊ากัวเเล้ว...
ผมพยักหน้า..

เจ้าสองมองผมอย่างดุๆทีหนึ่งก่อนจะพูดว่า

"เอ้า ใครอยากเรียนทำอาหารกับเเด๊ดดี้บ้างครับ~"

เจ้าสามทหารเสือยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน..
ผมอดอมยิ้มไม่ได้..ก็มันเล่นใช้มุกเดียวกันกับผมเลยนี่หว่า!

"ยิ้มไร พี่กฤษณ์.. พาลูกเก็บของเล่นก่อนเลยนะ.. เดี๋ยวเเด๊ดดี้เก็บของแปปนึงนะครับ"

ผมตะเบะมือรับคำสั่ง ก่อนจะพาเด็กๆเก็บของเล่นให้เรียบร้อย
เจ้าตัวยุ่งกระดี๊กระด๊ากันยกใหญ่ เพราะจะได้เข้าครัวกับเเด๊ดดี้สอง คุณพ่อผู้'น่ารัก' ของพวกเขา..

ส่วนบทยักษ์มาร เวลาดุลูก โยนมาให้กูตลอด!
ผมคิดในใจอย่างเซ็งๆ ..

เออการเป็นครอบครัว มันก็รวมถึงการแบ่งหน้าที่อะไรหลายๆอย่างด้วยแหละเนาะ..

ผมมองเจ้าสามทหารเสือที่วิ่งวุ่นอยู่ในห้องครัว
มองตัวเองที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาก๊วย ในมือถือตะกร้าของเล่น..

ไม่ได้หล่อเร้าใจเหมือนสมัยหนุ่มๆ..
แต่สภาพเหมือนตาลุงพ่อบ้านที่เหน็ดเหนื่อยจากลูกๆ..

ไม่ใช่พระเอกในนิยายรักที่แสนจะเท่ ทำอะไรน่าประทับใจเสมอ
แต่เป็นเพียง 'พ่อ'

พ่อธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง..

และถึงจะเป็นเช่นนั้น ผมกลับสุขใจอย่างยิ่ง



หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: กลับสุขใจอย่างยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 08-02-2018 09:19:00

ตอน : พี่ชายคนโต

"แด๊ดดี้ไม่อยู่ 1 อาทิตย์..อาเฟ่ยเป็นพี่คนโต ดูเเลน้องๆแทนแดดดี๊นะครับ"

แด๊ดดี้สองหมอบหมายภารกิจสำคัญให้แก่ผม

"แน่นอนค้าบ"

ผมตะเบะ ทำท่าเหมือนกับที่แดดดี๊กิดทำประจำเวลาแดดดี้สองพูดอะไรยาวๆ

ผม เฟ่ย อายุ 7 ขวบ เป็นพี่คนโตของบ้านนี้เองครับ! แน่นอน พี่คนโต ทั้งเท่ ดูเป็นหนุ่ม เข้มเเข็งสุดๆ
ผมคิดแล้วอมยิ้มอย่างภูมิใจ..เเม้จะเป็นเจ้าผิงน้องชายที่ห่างกัน 2 ปีของผม ก็ต้องอยู่ในความดูเเลของผม..
น้องสาวตัวเล็กของผม เหม่ยเหมย ก็เหมือนกัน...

ผมคิดภาพตัวเองยืนเท่ๆเหมือนแด๊ดดี้กิด แล้วพาน้องๆตัวเล็กๆทำสวนหลังบ้าน..ทำอาหาร..ต่อกันดั้ม..
ผมเป็นเจ้าของบ้านเลยน้าา~ แค่คิดก็มีความสุขเเล้ววว

"อาเฟ่ย ลูกยิ้มอะไรน่ะ จัดกระเป๋าตัวเองหรือยังครับ?"
แดดดี้กิดถาม ก่อนจะมองผมด้วยสีหน้าสงสัย

"จัดกระเป๋าเหรอฮะ?"

"นี่ลูกคงไม่คิดว่าเราจะปล่อยให้ลูกๆสามคนอยู่บ้านกันเองใช่ไหม?"
แดดดี้กิดถามก่อนจะหัวเราะเสียยกใหญ่....อ้าววว นี้ผมเข้าใจผิดหรอกเหรอ

"เราต้องไปอยู่บ้านแดดดี้กิดที่ขอนแก่นเหมือนตอนซัมเมอร์เหรอฮะ! ผิงชอบที่นั่น~ ผิงชอบพี่แก้ว"
เจ้าผิงผิงรีบถามขึ้นอย่างดีใจ

"เอ๋..แต่เราเปิดเทอมอยู่เลยนี่ฮะ.."
ผมถามขึ้นอย่างสงสัย

"ลูกจะไปอยู่กับปู่กับย่า"
แดดดี้สองพูด และนั่นก็ทำให้เราสามคนหน้ายู่..เหม่ยเหมยเองก็เกือบจะร้องไห้ออกมา..(แม้ส่วนใหญ่น้องสาวผมจะร้องไห้อยู่เเล้วก็เหอะ)

บ้านปู่กับย่าไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกฮะ แต่พวกเราไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่
มันใหญ่เกินไป ไม่มีของเล่นและคนก็น้อยมากกกๆๆๆๆ ไม่เหมือนบ้านของเรา..

บ้านเราเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาๆ แต่มีสวนกว้างใหญ่อยู่หลังบ้าน
แดดดี้กิดบอกว่า หาบ้านมีสวนใจกลางกรุงเทพแบบเรายาก ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
ก็บ้านเพื่อนของผมแทบทุกคนมีสวนหมดเลยนี่ แถมสวนของทุกคนก็ใหญ่กว่าบ้านผมเสียอีก

แดดดี้สองเคยถามผมว่าอยากไปอยู่บ้านหลังใหญ่ๆเเบบเพื่อนๆบ้างไหม
แต่ผมกับน้องๆไม่สนใจบ้านหลังใหญ่ๆแบบนั้นหรอก

ก็พวกเราต้องไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่าเกือบทุกอาทิตย์
เรารู้ดีว่าบ้านหลังใหญ่มากๆๆๆๆๆๆน่ะไม่สนุกหรอก
เราวิ่งไล่จับกันก็ไม่สนุก เล่นซ่อนแอบก็หากันไม่เจอ ของเล่นก็ไม่มี เเถมคุณปู่คุณย่าก็ดูเหงามากๆๆๆ
ผมกับน้องๆลงความเห็นว่า เพราะบ้านของคุณปู่คุณย่าใหญ่เกินไป พวกท่านถึงเหงา
ลองได้มาอยู่บ้านของพวกเราสิ แค่วิ่งก็ชนกันเเล้วว ตู้เสื้อผ้าของผมก็ต้องแบ่งใช้กับเจ้าผิง
เราทะเลาะกันเรื่องแย่งป้อมปราการบ่อยมากๆๆๆ

มันเหนื่อยสุดๆๆ น้องชอบข่วนผมด้วย
แต่มันก็สนุกดี

ผมเดินขาลากเข้าห้องไปเก็บเสื้อผ้า โดยมีแดดดี้กิดคอยดันหลังอยู่

"เอ้า เจ้ารถไฟเฟ่ย ฉึกฉัก ฉึกฉัก~"

"รถไฟแดดดี้กิด~ ฉีกฉัก ฉึกฉัก~ "
เจ้าผิงเองก็ต่อหลังแดดดี้กิดมาเป็นขบวนรถไฟ

"รถไฟจะจัดของเสร็จไหมครับ..พี่กฤษณ์..อย่าพาลูกเล่นเพลิน"

เสียงแด๊ดดี้สองดังขึ้น เขาอุ้มเหม่ยเหมยพร้อมกับตะกร้าของเหม่ยเหมย
เพราะน้องเป็นเด็กผู้หญิง แล้วยังอายุน้อยที่สุด แด๊ดดี้เลยต้องจัดของให้น้องก่อน..

ผมเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าก่อนจะทิ้งตัวลงบนกองเสื้อผ้าดัง ตุ้บ!

"เฟ่ยเหนื่อยยย"

"เมื่อกี้ใครบอกแดดดี้สองว่าจะดูแลน้องๆได้ครับ ลุกเร็วกัปตัน!"
แดดดี้กิดพูดก่อนจะโอบพุงผมแล้วยกขึ้น มันทำให้ผมจั้กจี้ ผมชอบเวลาแดดดี้ทำแบบนี้ที่สุด >~<

"ผิงจะจัดเสร็จแล้วนะ~ ..เฟ่ยจัดหรือยัง"

เจ้าผิงพูดจบแล้วการแข่งขันของเราก็เริ่มขึ้น...

"นี้กางเกงในผิง!"

"ของพี่ตั่งหาก"

"แบทแมนของผิง"

"มันมีสองตัว! อันนี้ของพี่"

เราเถียงกันได้ 3-4 นาที ผมก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ผมใส่กางเกงในเเบทเเมน..งั้นตัวนี้ก็เป็นของผิงน่ะสิ!

"..เอ้อ..เฮียนึกออกละ นี้ของผิง พี่ใส่กางเกงในเเบทเเมนน่ะวันนี้"
ผมพูดอย่างอายๆ ส่วนน้องชายก็ยังคงขมวดคิ้วขัดใจ

"เฟ่ยขอโทษนะผิง"

ผมพูดกับน้องอย่างรู้สึกผิด พอดีกับที่เเดดดี้สองเดินเข้ามา

"ดีมากครับ..เราเข้าใจผิด เราก็ยอมรับ และขอโทษน้อง..เข้าใจผิดกันเฉยๆ พี่น้องกันให้อภัยกันได้ไหมครับ"

"ได้ฮะ"

ผิงผิงมองหน้าผมก่อนจะยิ้มกว้างให้ ผมเองก็ยิ้มกลับไปเช่นกัน

เมื่อจัดของเสร็จ แดดดี้สองก็มาตรวจความเรียบร้อยของเราทุกคน(รวมแดดดี้กิดด้วย!)
ก่อนที่เราจะโดดแข่งกันขึ้นรถ แล้วออกเดินทาง!

...................................

"ป๊ากับม๊า..สองฝากดูแลเด็กๆด้วยนะครับ"

แดดดี้สองพูดกับคุณปู่คุณย่า ในขณะที่เรากอดแข้งกอดขาแดดดี้ยุกยิกยุกยิก
หลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แดดดี้กิดกับแดดดี้สองก็กอดเราทั้งสามคนก่อนจะบอกลา..

ผมเศร้านิดๆ แต่ก็รู้ว่าจะขี้เเยไม่ได้
ก็ผมเป็นพี่คนโตนี่นา..

...................................

ตอนเช้าวันจันทร์คุณปู่ให้พี่คนขับรถส่วนตัวของท่านขับมาส่งพวกเราไปโรงเรียน
โดยมีคุณปู่นั่งมาด้วย

คุณปู่กับคุณย่ารักพวกเรามากๆๆๆๆ
ผมยังจำงานวันเกิดอายุ 6 ขวบของผมได้
คุณปู่คุณย่ารู้ว่าผมชอบขนมหวานมากกกก ท่านจึงสั่งขนมหวานฝีมือเชฟขนมหวานอิตาลีชื่อดังมาส่งให้ผมที่บ้านในปริมาณที่ผมกับน้องๆแบ่งกันกินเป็นอาทิตย์ยังไม่หมด!
ท่านบอกกับแดดดี้กิดว่า เพราะว่าเราเป็นหลาน ท่านจึงชอบเผลอตามใจทุกที
แดดดี้กิดไม่ชอบให้ท่านทำอย่างนี้ แต่ผมชอบ! น้องๆของผมก็ชอบ!

เมื่อมาถึงโรงเรียนพวกเราสามคนก็กอดลาคุณปู่
ก่อนที่พี่นิ่ม พี่เลี้ยงเด็กที่คุณปู่จ้างมาเพื่อดูแลพวกเราโดยเฉพาะจะพาน้องเหม่ยเหมยไปส่งที่ห้อง

ผมกับอาผิงแยกกันตรงทางเดินขึ้นห้อง

"ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีนะ ผิง"

ผมพูดแบบที่แดดดี้บอกพวกเราตอนเช้าเสมอ
น้องชายของผมเอียงคอ ก่อนจะพูดกลับมาว่า

"ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีนะ เฟ่ย"

..................................

"เฟ่ยย วันนี้ใครมาส่ง รถเท่จัง"

"เหมือนไอร่อนแมน"

"ช่ายย เหมือนเปี้ยบบ"

พวกเพื่อนๆของผมมารุมถาม..เอ๋..รถของคุณปู่อะนะเท่?! เห็นมีแต่ทรงยั่งงี้เต็มลานจอด..ดูเเก่ๆยังไงก็มิรู้

"คุณปู่น่ะ"

"เราเคยเห็นปู่เฟ่ยในทีวีด้วย!"

"เป็นดาราเหรอ?"

ผมขมวดคิ้ว..

"ไม่น่านะ..คุณปู่ดูไม่ค่อยชอบการแสดงหรอก คุณปู่เฟ่ยทำงานบริษัทน่ะ"

"คุณปู่ของเราเป็นCEO รถเเบบปู่เฟ่ยนะมีเป็นสิบๆคันจอดอยู่บ้านที่อเมริกา"
อเล็กซ์ เพื่อนร่วมห้องที่สุดเเสนจะรวยของผมเอ่ยขึ้น

"โหหหห..."
ทุกคนตื่นเต้นกับเรื่องของอเล็กซ์..รวมถึงผมด้วย!

"บ้านของเราก็ใหญ่มากๆๆๆด้วย บ้านเฟ่ยละเท่าไหน"
อเล็กซ์ถามก่อนจะจิ้มจึ้กลงมาที่พุงกลมๆของผม

"บ้านสองชั้น มีสวนหลังบ้านน่ะ"

"บ้านเราก็มีสวน ใหญ่มากๆๆๆๆ"

"โหหหห"
ทุกคนโห รวมถึงผมซึ่งโหตามด้วย..ไม่รู้ทำไมเหมือนกันฮะ..ได้ร้องไปพร้อมเพื่อน มันสนุกดี!

"สวนบ้านเรามีต้นไม้ประจำตัวเราด้วย! แดดดี้กิดพาเราปลูก"

"โหหหห"

เมื่อได้ยินเพื่อน 'โหหห' ผมก็ชักได้ใจ ..

"มีแปลงดอกไม้ที่เรากับน้องชายปลูกเป็นของขวัญวันเกิดน้องสาวด้วย!"

"โหหหห"

"มีนกฟลามิงโก้ขาหักด้วย!"

"โหหหห"

"มีปลาคาร์ฟ 12 ตัว ชื่อ แมวน้ำ,กุ๊งกิ๊ง,ออเรนจ์,เรนเดียร์,สุภัทรา,มะลิ,ใบเตย,หยดหมึก,ใบเงิน,ทองดี,มาร์ชเมลโล่,และก็...เหม่ยเหมย!"

"โหหหห"

จริงๆปลาคาร์ฟบ้านผมมี 11 ตัว แต่ผมเผลอนับน้องสาวไปด้วย แม้จะมานึกได้ทีหลังก็แก้ไม่ทันซะเเล้วง่ะ

"ยอมแล้ว! บ้านนายเจ๋งกว่าจริงๆ"
อเล็กซ์ยกมือขึ้นก่อนจะยอมถอยทัพกลับไป...หื้มม

ผมกับอเล็กซ์เป็นผู้นำในกลุ่มเด็กชายด้วยกันทั้งคู่
เราเรียนเก่งพอๆกัน แต่ผมแพ้เขานิดหน่อยเรื่องกีฬา เขาบอกว่าเพราะว่าผมตัวอ้วนเลยวิ่งช้า เขาไม่ถือเรื่องนี้
เขาจึงบอกว่าพวกเราเสมอกัน..ผมคิดว่าเสมอกันก็เท่ดี เลยไม่ได้เถียงอะไร

หลังจากเรียนเสร็จ ผมกับอเล็กซ์เดินไปซื้อไอศกรีมในโรงอาหารมาแบ่งกันกิน ผมเห็นน้องชายนั่งอยู่คนเดียวในโรงอาหารจึงเดินเข้าไปหา

"ไม่ไปเล่นกับเพื่อนเหรออาผิง"

"ริชชี่ไม่ให้เล่นด้วย"
น้องชายผมตอบก่อนจะเม้มริมฝีปาก...

"ผมบอกริชชี่แบบที่เฟ่ยบอก ครอบครัวเราไม่แปลก แต่ริชชี่บอกว่าแปลก..เขาบอกว่าผมเป็นตัวประหลาด"

"แปลก? แปลกเรื่องอะไรอ่ะ"
อเล็กซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆผมถามขึ้น

"ที่ครอบครัวเรามีพ่อสองคนไง"
ผมบอกอเล็กซ์ไปอย่างนั้น และเขาก็ร้อง 'อ๋ออออ'

"ไม่เห็นแปลกนะผิง คุณลุงของพี่ก็มีสวีทฮาร์ทเป็นผู้ชาย ลุงยังมีลูกเหมือนกัน"
อเล็กซ์พูดกับน้องชายผม ผมเห็นสีหน้าของน้องยังไม่ดีขึ้น...จะดีขึ้นได้ยังไงล่ะ เพื่อนๆไม่ให้เล่นด้วยยั่งงี้

"เอาไงดีเฟ่ย"

อเล็กซ์ชวนผมนั่งลง และเราก็กำลังสนใจปัญหานี้อย่างจริงจัง
จากประสบการณ์ของผม เด็กๆผู้ชายจะมีผู้นำกลุ่มเสมอ เหมือนผมกับอเล็กซ์..ถ้าผู้นำว่าไง เด็กส่วนใหญ่ก็ว่าตาม..

"ถ้าเราทำให้เจ้าหนูริชชี่ยอมให้เฟ่ยเข้ากลุ่มได้ล่ะ?"
อเล็กซ์ถาม ..

"เข้ากลุ่มเเต่ถ้าโดนว่า สู้ไม่เข้ายังจะดีกว่า"
ผมส่ายหัว ไม่ค่อยเห็นด้วย

"งั้นไปเล่นกับคนอื่น ไม่ต้องเล่นกับริชชี่"
อเล็กซ์พูด และผมเองก็เห็นด้วย

"แต่..คนอื่นที่เหลือก็มีเเต่เด็กผู้หญิง.."

"เล่นกับเด็กผู้หญิงไปก่อน..เด็กผู้หญิงไม่น่ากลัวหรอก"
ผมพูดปลอบใจน้องไว้ก่อนแม้จะไม่แน่ใจนักว่าเด็กผู้หญิงไม่น่ากลัวจริงหรือไม่

"งั้นระหว่างนี้พี่กับเฟ่ยจะคิดหาทางช่วยให้นะ"
อเล็กซ์พูดอย่างใจดี ก่อนจะเเบ่งไอศกรีมให้น้องชายผมถึงครึ่งหนึ่ง

.................................

"วันนี้เป็นยังไงบ้าง"

ผมถามน้องๆแบบที่แด๊ดดี้ถามเราก่อนนอนเสมอ ขณะกำลังหรี่ไฟโคมสีทองให้อ่อนลง

"..ผมโดนรังแกนิดหน่อยฮะ..ผมคิดถึงแด๊ดดี้กิดแด๊ดดี้สองด้วย ริชชี่เป็นเพื่อนผม แต่เขาเลิกเล่นกับผม"

"พี่กับอเล็กซ์ก็เคยเลิกเล่นกันนะ แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ไม่นานก็กลับมาเล่นด้วยกันเองแหละ..อย่าคิดมากไปเลย"
ผมบอกน้องชายก่อนจะห่มผ้าให้น้อง แบบที่แด๊ดดี้ชอบทำกับพวกเรา

"แล้วเหม่ยเหมยล่ะ"

"เหม่ยเหมยชอบกินส้มมากค่ะ คุณครูพาวาดรูปส้ม"
น้องสาวตัวน้อยนอนอยู่ตรงกลาง เธอวาดมือเป็นรูปส้มในอากาศ

"พี่ก็ชอบกินส้ม"

"เฟ่ยชอบกินทุกอย่าง"

"ง่าา มันก็จริง"

เราคุยกันเรื่องเพื่อนๆ เรื่องโรงเรียน แล้วก็มาคุยเรื่องเเด๊ดดี้
หลังจากเหม่ยเหมยหลับ เสียงของน้องชายก็ดังขึ้นในความเงียบ

"พี่ว่าเราประหลาดไหม"

ผมเงียบ ...สักพักจึงตอบน้องไปว่า



"เราแตกต่าง"



"แดดดี้บอกว่าทุกคนก็แตกต่าง"

"ถ้าเหมือนกันหมดคงน่าเบื่อแย่..ผิงผิงชอบอะไรอะไรน่าเบื่อไหมล่ะ"



"ไม่หรอก"



"นั่นล่ะ"



"..พี่"




"หือ?"



"..พี่ว่าแดดดี้จะกลับมาเมื่อไหร่?"



"..อาทิตย์หน้า ..คือวันจันทร์หน้าน่ะ แดดดี้บอก"





"..พี่"




"..."




"..พี่"




"..ว่าไง"




"วันนี้ขอบคุณนะ"




"..."




"..พี่"





"..."




"..ผิงรักพี่เฟ่ยนะ.. รักแดดดี้กิด แดดดี้สอง รักเหม่ยเหมยด้วย"




"..."




พี่ก็รักผิงนะ.. รักแดดดี้กิด แดดดี้สอง รักเหม่ยเหมยด้วย..

ผมคิดในใจ ก่อนจะผล็อยหลับไป..


ถึงจะอ้วนพุงกลมไปหน่อย แต่ผมเป็นพี่ชายที่ดีใช่ไหมฮะ

แด๊ดดี้...



หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: กลับสุขใจอย่างยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 08-02-2018 12:14:50
เด็กๆถูกเลี้ยงมาดีมากกกก  :กอด1: :กอด1:
หนูเฟ่ยเป็นเด็กดีมากก อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศโรงเรียนนานาชาติ ทำไมรวยกันอย่างงี้ลูกก
แบ่งมาให้ป้าบ้าง :hao6: :hao6:
มาต่อไวๆนะคะ  :z3: คิดถึงเด็กๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: กลับสุขใจอย่างยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-02-2018 12:59:17
เด็กๆถูกเลี้ยงมาดีมากกกก  :กอด1: :กอด1:
หนูเฟ่ยเป็นเด็กดีมากก อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศโรงเรียนนานาชาติ ทำไมรวยกันอย่างงี้ลูกก
แบ่งมาให้ป้าบ้าง :hao6: :hao6:
มาต่อไวๆนะคะ  :z3: คิดถึงเด็กๆ  :กอด1:

ชอบมากกกกกก
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: กลับสุขใจอย่างยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 08-02-2018 17:55:26
สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน Anynomous เองค่ะ! :pig4:

ตอนพิเศษที่ผู้เขียนจะทยอยนำมาลงต่อไป
จะเป็นตอนพิเศษเกี่ยวกับครอบครัวของพี่กฤษณ์กับสอง,ตอนของวินด์กับโจเซฟ และตอนของตั้ม สลับกันไปค่ะ

ช่วงเวลาไม่ได้ต่อเนื่องกัน (แต่ผู้เขียนจะบอกระยะเวลาไว้ในแต่ละตอนอยู่ค่ะ)

สำหรับแนวคิด Gay marriage นั้น ผู้เขียนเขียนมาจากประสบการณ์ในฐานะหลานสาวคนหนึ่งค่ะ
ญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งคู่ คบกันมาตั้งเเต่สมัยเรียน อยู่ด้วยกันมาตั้งเเต่ผู้เขียนยังไม่เกิด จนตอนนี้จะเกษียณอายุราชการแล้วค่ะ! (ตอนเด็กๆผู้เขียนนึกว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกัน และเป็นญาติผู้เขียนทั้งสองคนค่ะ (ฮา..ใสซื่อจริง))

ดังนั้นการที่ผู้เขียนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ว่าเพศไหน ก็สามารถมีความรักที่ยืนยาวไปจนถึงบั้นปลายชีวิตได้
ไม่ใช่เพราะเป็นพวก Romanticism แต่เป็นเพราะผู้เขียนได้เห็นตัวอย่างแบบ Realistic นั่นเองค่ะ(คุณอาใจดีทั้งคู่ และผู้เขียนสนิทมากค่ะ เพราะท่านชอบตามใจผู้เขียน ตั้งแต่เด็กๆนั่นเองง)

สุดท้ายผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ว่าจะเพียงหลงเข้ามา(ฮา)หรือชอบเรื่องราวที่ผู้เขียนถ่ายทอดนี้อีกครั้งค่ะ
รวมถึงคำชม คำตำหนิ ข้อคิดเห็น ความประทับใจต่างๆ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีค่ะ(โค้ง)

 :bye2:

Anynomous

ปล 1. ตอบคำถาม : ผู้เขียนไม่ได้คิดเรื่องตีพิมพ์ค่ะ ที่เขียนเพราะอยากเขียน เป็นเพียงงานอดิเรกค่ะ
ปล 2. : ตอนนี้มีงานเขียนเรื่องสั้นในนี้(งานอดิเรกอีกเช่นกัน) : ✈️ เมื่อผมสบตากับปีศาจ กับเร็วๆนี้วางแผนจะเขียนนิยายพีเรียดดราม่าแข่งขันระหว่างตระกูลค่ะ

หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: กลับสุขใจอย่างยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 09-02-2018 02:05:12

(http://i67.tinypic.com/2d80wfq.jpg)

ตอน : ทว่ามีความสุขยิ่ง

ผมคนต้มยำกุ้งในหม้อ ก่อนจะเหลือบสายตาไปดูความเรียบร้อยในห้องนั่งเล่น
เมื่อเห็นลูกๆกำลังนอนกลิ้งเกลือก(ขอใช้คำนี้กับเจ้าพวกลูกลิงนะครับ!)ทำการบ้านโดยมีพี่กฤษณ์คอยดูแลอยู่ ผมก็เบาใจขึ้น(นิดหน่อย..)

ก็แหงล่ะ เด็กวัยกำลังซน จะปล่อยให้หลุดพ้นสายตาไปไม่ได้
ผมที่เป็นคนคิดมากอยู่แล้ว พอมีลูกๆ ยิ่งทำให้คิดมากเข้าไปอีก..

จะสะดุดล้มอะไรหรือเปล่า จะเล่นอะไรอันตรายหรือเปล่า
ระวังมือเปียกไฟจะช็อต ระวังลื่น ดูน้องอย่าให้กลืนลูกปัด
อย่าไปเล่นแถวบ่อปลาคาร์ฟคนเดียว ...โอ๊ย และอื่นๆอีกเยอะบรรยายไม่หมด!

ห่วงตัวเองยังไม่เคยห่วงเท่านี้!

ลูกอยู่กับพี่กฤษณ์ผมก็วางใจได้แค่ครึ่งหนึ่ง
เพราะรายนั้นก็ชอบพาลูกเล่นอะไรห่ามๆ ปีนต้นไม้บ้าง เกมทำสงครามกระดาษบ้าง

เล่นแต่ละทีนี้ทั้งรกทั้งวุ่นวายบ้านสุดๆ
แถมพี่กฤษณ์ก็ไม่ค่อยมีเซ้นต์ด้านความละเอียดอ่อน จุดเล็กๆน้อยๆที่จะเป็นอันตรายต่อลูกได้แกก็มองข้ามไป
เราทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆบ่อยๆก็เรื่องพวกนี้นี่แหละ

'สอง เอ็งเนี่ยคิดมากไป..'

'พี่น่ะคิดน้อยไป'

อ้อ ลืมบอกไปครับ..ตั้งแต่เรามีลูกเนี่ย ไอ้พวกคำหยาบต่างๆที่เคยใช้ด่าเพื่อนฝูง มันลดไปกว่าครึ่ง
ยิ่งอยู่ในบ้านทั้งผมและพี่กฤษณ์ ก็ใช้คำพูดเพราะๆสุภาพ เพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูก

(จริงๆจะว่าเพราะ,สุภาพหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะหลายๆครั้ง(ส่วนใหญ่)เราก็พูดภาษาอังกฤษในบ้านไปเลย
ไม่ใช่ไม่อนุรักษ์ความเป็นไทยอะไรน่ะครับ แต่เด็กๆสามารถเรียนรู้ได้หลายภาษาตั้งเเต่เยาว์วัย
พอไปโรงเรียนเขาก็ต้องใช้ประจำอยู่แล้วด้วย สภาพเเวดล้อมที่เราหาให้เขาเป็นแบบนั้น เราจึงต้องส่งเสริมเขาในทุกๆด้านไปด้วย)


อย่างการทำอาหารเหมือนกัน..

เมื่อก่อนผมก็ทำเป็นไม่กี่อย่าง แรกๆตอนผมกับพี่กฤษณ์อยู่ด้วยกันใหม่ๆ
พี่กฤษณ์ได้กินแต่ข้าวหน้าไข่ข้นกับเบค่อนย่าง จนน้ำหนักขึ้น 4 กิโลใน 1 เดือน( กลายเป็นเสี่ยกฤษณ์ 5555)
และเขาขอร้องให้ผมทำอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะเขาก็อยากกินอาหารในบ้านฝีมือผมมากกว่าซื้อข้างนอก

ผมที่ตอนนั้นยุ่งกับงานสุดๆ จึงไปฝึกการทำอาหารพวกผัดผัก ผัดปลาอะไรเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
ภาวะโภชนาการของพี่กฤษณ์จึงดีขึ้นบ้าง(รวมถึงตั้งโปรแกรมออกกำลังกายให้พี่แกด้วย)

แต่พอเราวางแผนว่าจะมีลูก

เชื่อไหมครับว่าผมลงทุนไปเรียนทำอาหารทุกเสาร์อาทิตย์เลย..

คิดดูแล้วกันว่ารักใครมากกว่า! ลูกหรือพ่อมัน(ฮา!)

เมื่อต้มยำกุ้งเสร็จพร้อมไข่เจียว ผมก็เรียกทั้งลูกทั้งพ่อมาช่วยกันเตรียมจาน,ตักข้าว

สารภาพว่าตอนแรกผมไม่ชินเท่าไหร่
เพราะบ้านเรามีขนาดค่อนข้างเล็ก ห้องครัวกับห้องอาหารจึงเป็นห้องเดียวกัน
คือมีโต๊ะอาหารอยู่แถวที่ทำอาหารเลย..ผมมองว่ามันไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่พี่กฤษณ์บอกว่า บ้านใครๆเขาก็ทำกัน
ผมจึงโอเค.. (ใครๆไหนวะ..ขนาดบ้านพี่กฤษณ์ ห้องครัวกับห้องทานข้าวยังแยกกันเลย!)

"โหหห แดดดี้สองทำต้มยำกุ้งง"

"เหม่ยเหมยชอบล็อบสเตอร์"

"นี้ไม่ใช่ล็อบสเตอร์ครับ นี้คือ Shrimps (กุ้ง)"

"ล็อบสเตอร์คือกุ้งตัวใหญ่! ใช่ไหมฮะแด๊ดดี้"

"อืม..คืออย่างงี้นะลูก ล็อบสเตอร์กับกุ้งเป็นสัตว์คนละชนิดกัน หน้าตามันคล้ายกัน แต่กุ้งชอบว่ายน้ำ ในขณะที่ล็อบสเตอร์ชอบเดินครับ.."

ล็อบสเตอร์เป็นสัตว์ที่อยู่ในสายวิวัฒนาการระหว่างกุ้งกับปู..แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่ผมบอกพวกเขาเมื่อโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หากพวกเขายังสงสัยน่ะนะ!

หลังจากอาเฟ่ยช่วยพ่อกฤษณ์ตักข้าวใส่จานทุกคนจนเรียบร้อย
เราก็กล่าวขอบคุณมื้ออาหาร ก่อนจะลงมือทานข้าว..

และตามธรรมเนียมครอบครัว ไม่ว่าจะมาจากฝั่งครอบครัวผม หรือครอบครัวพี่กฤษณ์
เวลาทานข้าวจะเป็นเวลาของครอบครัวเสมอ..

ลูกๆจะเล่าเรื่องต่างๆของพวกเขาให้เราฟัง
ผมกับพี่กฤษณ์ค้นพบว่า เราสามารถฟังพวกเขาคุยจ้อถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนานทั้งวันโดยไม่เบื่อเลยสักนิด
สิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ ได้เรียนรู้ ได้สำรวจ

แมลงที่ค้นพบชนิดใหม่ๆ คุณครูที่ใจดีและใจร้าย
เพื่อนๆที่ชื่นชมและกลั่นแกล้ง การบ้านที่น่าสนุกและน่าเบื่อ
กันดั้มกับของเล่น เทรนด์การแต่งตัวของเด็กๆสมัยนี้ ชมรมกีฬาและดนตรี
บาร์บี้และเจ้าหญิง ...

หลังจากทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลาที่เด็กๆต้องอาบน้ำ ฟังนิทาน ส่งเข้านอน..

(พี่กฤษณ์เคยบอกผมว่าอยากให้สอนลูกล้างจาน แต่ผมจะรอให้โตกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวจานแตกบาดมือ แพ้น้ำยาล้างจาน นู้นนี้นั่นโน้น โอ๊ย...สารพัดเรื่องที่กลัว!...ส่วนป๊าก็เสนอให้เอาคนรับใช้จากที่บ้านมาอยู่ด้วย.. แต่ใครจะอยากให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ในบ้านกับลูกตลอด 24 ชั่วโมงล่ะ..จะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้.. โอย..กลัว!

(วิตกจริตเกินไปล่ะ! ไอ่สอง : เสียงพี่กฤษณ์))

เวลาอาบน้ำ ผมจะเป็นคนคอยดูแลลูกๆทุกคนเอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด
แม้ว่าในบ้านเราจะเปลี่ยนพื้นห้องน้ำให้เป็นกันลื่น แต่อ่างอาบน้ำที่เด็กๆชอบ เวลาเปิดน้ำจนเต็มยังมีความสูงมากกว่าลูกสาวคนเล็กของผมอยู่..ผมเลยต้องดูแลทุกขั้นตอน..ตั้งแต่ให้เจ้าสองแสบอาบให้เสร็จก่อน แล้วปล่อยให้เด็กๆไปแต่งตัว .. ส่วนผมก็อาบน้ำให้เหม่ยเหมยต่อ

ระหว่างที่เราอาบน้ำกัน งานล้างจานเลยตกเป็นของพี่กฤษณ์ไปโดยสมบรูณ์..

นับวันพี่แกยิ่งเหมือนตาลุงเข้าไปทุกทีแฮะ..ล้างจาน ถูบ้าน กวาดบ้าน ดูแลลูก ทำสวน!
แต่ผมเองก็ไม่ต่างกัน.. ทำอาหาร กวาดบ้าน จัดของ ดูแลลูก ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน! ขอบอกเลยว่างานสุดท้ายผมดุมาก(เหรออออ : เสียงพี่กฤษณ์)

และถึงแม้จะโดนไอ้ตั้มแซวบ่อยๆว่าผมโหดและพี่กฤษณ์เป็นลุงกลัวเมีย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลยครับ..เพราะผมกับพี่กฤษณ์แบ่งกันทำงานมากกว่า
ผมไม่เคยคิดอยากจะใช้พี่กฤษณ์งกๆ และไม่ค่อยอินกับการข่มเหงคนรักแบบในละครน้ำเน่าเสียด้วย..

ผมว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่แฟร์หรอกนะถ้ามีเเค่ฝ่ายเดียวที่ต้องทำทุกอย่าง

ในเมื่อก่อนอยู่ด้วยกัน ตอนคบกัน ก็สัญญากันไว้ว่าจะเเบ่งปันทั้งสุขและทุกข์
พี่กฤษณ์ที่เป็นคนรักษาสัญญา แกก็ทำของแกแบบนั้น แถมยังชอบทำเกือบทุกอย่างเเทนผม
มันจึงดูเหมือนแกเป็นพ่อบ้านที่โดนผมใช้งานสารพัด..ทำให้ไอ้ตั้มหยิบมาแซวเป็นประจำ

ทั้งที่จริงๆแกทำของแกเอง!

ตั้งเเต่คบกันบ้ายังไง ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยน ..
คอยโอบอุ้ม แบกรับ ..เหมือนกับว่าจะปกป้องเราได้อยู่เสมอ..

และตอนนี้แผ่นหลังของเขาได้ปกป้องอีกสามชีวิตน้อยๆเพิ่มขึ้นด้วย..

หลังจากอาบน้ำให้เด็กๆเสร็จ
ลูกๆสุดแสบซึ่งตอนนี้ตัวหอมไปด้วยแป้งฟุ้งก็เดินต่อเเถวกันเข้าห้องนอนเหมือนแพนด้าตัวน้อย

ห้องนอนในบ้านเรามีแค่สองห้อง(ในอนาคตตอนเหม่ยเหมยโตเป็นสาวเราต้องวางแผนแยกห้องแน่ครับ..)
ห้องหนึ่งเป็นของพี่กฤษณ์กับผม
อีกห้องที่ใหญ่กว่าเป็นของเด็กๆ

ลูกๆของผมนอนในเตียงบ้าน(คุณปู่โดนออดอ้อนให้ซื้อให้หลานเป็นของขวัญวันคริสมาสต์!)
เป็นเตียงขนาดสองชั้นที่ดัดเเปลงเป็นรูปบ้าน(มีบันไดขึ้นไปชั้นสอง) และถูกออกแบบมาเฉพาะให้มีสามเตียงย่อย

หลังจากลูกๆปีนขึ้นไปนอนเรียบร้อย ผมก็หรี่โคมไฟลง ก่อนจะเริ่มเล่านิทานให้ลูกๆฟัง

นิทานส่วนใหญ่ก็จำมาจากการ์ตูนดิสนีย์บ้าง แต่งเองบ้าง นิทานกริมม์บ้าง นิทานพื้นบ้านบ้าง
บางวันนึกครึ้มอกครึ้มใจหน่อยก็เอาหนังสือเล่มสีฟ้ามาอ่านให้ลูกฟังบ้าง..

แต่พอถึงตอนโรเเมนติกเด็กๆมักจะ

"Ewwww.. แดดดี้สองทำยังงั้นจริงๆเหรอฮะ.."

"แหวะะ.."

มีแค่ลูกสาวคนเดียวที่กระพริบตาปริบๆ อยากฟังเรื่องในเล่มสีฟ้า..

พูดง่ายๆคือเด็กๆไม่ค่อยอินกันหรอกครับ.. ถ้าเลือกได้พวกแกอยากฟังการ์ตูนมากกว่า
ก็ตามวัยนั่นแหละนะ..(สรุป..เหม่ยเหมยโตสุด!(ฮา))

หลังจากเล่านิทานจบไปเรื่องสองเรื่อง เด็กๆก็หลับกันเรียบร้อยครับ

ผมจูบราตรีสวัสดิ์ลูกๆ ก่อนจะปิดไฟโคม

เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ!

..................................

ผมลากร่างกายอันเหนื่อยล้าออกจากห้องน้ำมาในชุดคลุมก่อนนอน

ในแต่ละวันที่ผ่านไปมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ทั้งปัญหาที่ต้องจัดการ งานในบริษัท ผู้คนที่ต้องพบเจอ..

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ความเหนื่อยจากงานทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง(..เพราะมาเหนื่อยกับเจ้าพวกนี้เเทน!)

"ลูกหลับเเล้วเหรอ"
พี่กฤษณ์ถามก่อนจะกอดผมจากด้านหลัง

"อื้อ ..เหนื่อยชะมัด"

"เป็นยังไงบ้าง"
พี่กฤษณ์กับผมมักจะคุยกันก่อนนอนเสมอ ส่วนใหญ่ก็เรื่องลูกๆ ไม่ก็เรื่องงาน
เราให้คำปรึกษากันเเละกัน..ผมค้นพบว่าหากเรามีคู่ชีวิตที่เข้าใจเรื่องสายงานของเรา ชีวิตเราจะสะดวกสบายขึ้นมาก
เราสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือซึ่งกันเเละกัน

"ช่วงนี้สองยังไม่ค่อยมีอะไรหรอก..พี่กฤษณ์ล่ะ เรื่องอสังหาที่ถนนXXX สรุปให้พุฒิจัดการให้เเล้วใช่ไหม..?"

"อื้อ เขาจะเป็นธุระให้..พี่ก็จะตามดูๆนั่นล่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะซุกไซ้ซอกคอของผม

"ลูกกินนมนอนแล้ว..พี่ยังไม่ได้กินเลย.."

"กินเกินอะไรเล่า หมดมุกนั่นเเล้วตั้งเเต่เหมยหย่านมขวด!"
ผมพูดก่อนจะขำเบาๆ มุกนี้พี่แกเล่นตั้งเเต่ลูกยังต้องนอนดูดนม..คิดดูความหื่น!

"น่า.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะปลดสายเสื้อคลุมผมออก เผยให้เห็นผิวขาวเปลือยภายใต้ผ้าคลุม

"..หืม..ร้ายนะเรา..ทำไมไม่ใส่เสื้อนอนครับ..อยากให้พี่กินใช่ไหม"
พี่กฤษณ์ดันตัวผมลงที่นอนก่อนจะโน้มตัวลงหอมแก้มผมฟอดใหญ่..

เอ้อ..ข้อดีอีกอย่างของการที่เราไม่พูดคำหยาบในบ้าน..
คือเวลามีเซ็กส์มันโรแมนติกขึ้น!(ผมไม่รู้สึกว่าโดนด่าอีกต่อไป(ฮา))

แล้วพี่แกก็'ดูด'นม อย่างที่ว่าไว้จริงๆ

"..อือ..ดูดพอยัง..พี่กฤษณ์.."

พี่กฤษณ์ใช้ลิ้นดุนดัน ทั้งดูด ทั้งเลียอย่างหนักหน่วง จนยอดอกของผมชูชันขึ้นมา มันรู้สึกหวาบหวาม ผมเจ็บยอดอกนิดๆ แต่รู้สึกตึงๆมากกว่า ช่วงล่างของผมก็ปวดหน่วงไปหมด..

เดี๋ยวนี้ผมเวลาถูกกระตุ้นเล็กๆน้อยๆก็อยากให้พี่แกใส่เข้าไปเเล้วอ่ะ..
ไม่ต้องอารัมภบทมากก็ได้..งื้ออ ทรมาน!

พี่กฤษณ์เหมือนไม่ได้ยิน ยังคงดูดหน้าอกผมเสียงจ๊วบจ๊าบอยู่อย่างเมามัน

"..พี่กฤษณ์..พอละมั้ง..น้ำนมก็ไม่มีนะ"

"หืมม์ ทีลูกยังได้กินเยอะกว่าพี่"

"แล้วพี่จะกินเเต่นมสองเหรอ.."

"งั้นสองมากินนมพี่.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอาเจ้ากฤษณ์น้อย(ที่ขนาดไม่ได้น้อยเลย) ซึ่งตอนนี้มีน้ำสีขาวขุ่นเยิ้มอยู่ตรงปลายมาถูเบาๆกับหน้าท้องผม

"นมบ้าอะไร..ทุเรศ"

"จะกินไม่กิน"
ร่างสูงพูดก่อนจะใช้ส่วนห้วค่อยๆแทรกเข้าสู่ช่องทางของผม ก่อนจะค้างไว้อย่างนั้น..

"จะกินไหมครับ..ไหนขอร้องพี่สิ"
ผมรับรู้ถึงของอุ่นร้อนคุ้นเคยที่กดน้ำหนักลงตรงทางเข้า ทำเอาช่องทางด้านล่างของผมเต้นตุบๆ
ผมมองพี่กฤษณ์ด้วยสายตาวิงวอน..

"อือ..พี่กฤษณ์..กินครั..อ๊ะ!!!"

ยังพูดไม่ทันจบ ร่างสูงก็กระเเทกลำตัวเข้ามา เนื้อร้อนขยับเข้าออกเป็นจังหวะที่สอดรับประสานกัน
ผมพยายามเก็บเสียงเพราะกลัวลูกๆจะตื่น

แต่กับคนที่ไม่ได้คิดอะไรละเอียดอ่อนอย่างนั้นกลับเร่งเอาเร่งเอา

"อะ..อ..พี่กฤษณ์..เบาหน่อย"

"..ลูก..จะ..ตื่น"

และเมื่อผมพูดจบก็ดูเหมือนพี่แกจะคิดได้(พึ่งคิดได้) จึงลดความเร็วลงก่อนที่ในท้ายที่สุดจะเหลือเพียงนอนกอดผมนิ่งๆ

หอบเหนื่อย..ทว่าสุขใจ

"..มีลูกก็ลำบากเหมือนกันเนาะ"
พี่กฤษณ์กระซิบ ผมพยักหน้ารับเบาๆ

"แผนที่วางไว้ว่าจะสร้างห้องแยกให้เหม่ยเหมยตอนโตเป็นสาว
เรารีบสร้างแล้วให้เด็กๆย้ายไปอยู่นั่นกันก่อนดีไหม"
พี่กฤษณ์พูดอย่างติดตลก และผมหัวเราะ

"หรือไม่เราก็นานๆทีมีเซ็กส์ หรือเอาลูกไปฝากให้ปู่ย่าดูให้"

"แล้วบอกลูกว่าแดดดี้ไปทำงาน"

"หรือไม่เราก็สร้างห้องสตูดิโอในบ้าน มันเก็บเสียง.."

"แล้วพี่จะให้สองไปนอนบนไหน บนเปียโนตอนมีเซ็กส์เหรอ"

เราคุยกันเรื่องไร้สาระต่ออีกสามสี่ประโยค ก่อนที่พี่กฤษณ์จะหรี่ไฟโคม
เมื่อไฟดับลง และอ้อมเเขนแกร่งก็กอดผมแน่นยิ่งขึ้น

ผมปล่อยให้ตัวเองหลับตาลง

คืนนี้เป็นคืนที่เหน็ดเหนื่อยเช่นเคย
ทว่ามีความสุขยิ่ง..
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: ทว่ามีความสุขยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-02-2018 10:02:21
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบมากๆเลย
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: ทว่ามีความสุขยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chemeng ที่ 09-02-2018 10:29:23
เพิ่งได้เข้ามาอ่านครับ ยอมรับเลยว่าหลงเสน่ห์ในความตรงๆ ซื่อๆ ของพี่กฤษณ์เหลือเกิน
 :haun4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: ทว่ามีความสุขยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 09-02-2018 12:58:34
เพิ่งจะเห็นว่ามีตอนพิเศษ(ทว่ามีความสุขยิ่ง)ยังหวานกันอยู่เหมือนเดิมเด็กๆน่ารักมากค่ะแล้วจะรออ่านตอนของตั้มนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน: ทว่ามีความสุขยิ่ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 11-02-2018 00:44:29
ตายแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ นาน ๆทีได้เข้าเล้า เจอเรื่องนี้ในหมวดจบแล้วว่าจะอ่านเรื่อย ๆแก้เครียดจากงาน สรุปเป็นว่าอ่านจบภายในวันเดียว(่ฮ่า ๆ)

เปิดเรื่องมาตลกคอมเมดี้ผู้ใหญ่ลีนางมามาก ไป ๆมา ๆกลายเป็นตัวละครเริ่มมีปมดราม่าชีวิต แต่ทำไมอ่านแล้วรู้สึกสมู้ทมาก ๆ
ชอบทุกตัวละคร ชอบพี่กฤษณ์ เจ้าสอง ชอบลำดับพัฒนาความสัมพันธ์ในส่วนของความรัก ชีวิตคู่ จนเห็นว่ามีลูกลิงเพิ่มเข้ามาตอนเสริม น่ารักมาก ๆ

ที่ชอบที่สุดคงเป็น(พระรอง)เจ้าตั้ม สองพี่น้องบ้านนี้แอบรักเพื่อนสนิทกันหมดเลย  รออ่านภาค Spin off หรือตอนพิเศษเล็ก ๆของโจเซฟกับวินด์ อยากรู้ว่าตอนเด็กกับตอนโตโจเซฟคิดอะไร555

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา อิ่มเอมหัวใจมาก ภาษาเหมือนปรับมาเรื่อย ๆจนเข้ารูปเข้ารอย(เยี่ยม ๆคนแต่ง)
รอและจะติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆไปนะคะ <3
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.01 : นักเลง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 11-02-2018 10:37:06

ตอนที่ 21.01: นักเลง


ผมนั่งเล่นเกมกดอยู่บนโต๊ะ

มิสเตอร์อดัมพล่ามเรื่องตรีโกณมิติ แต่ผมไม่ได้สนใจฟังนัก
ก็ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องรู้ว่าเราจะมองจากยอดหอคอยในมุมเท่าไหร่ จึงจะเห็นเสาธงนี่

พูดกันตรงๆ ผมไม่สนว่าไอ้เสาธงเวรนั่นมันจะมีอยู่หรือไม่ด้วยซ้ำ

บทเรียนงี่เง่า
คนตั้งใจเรียนก็มีแต่คนโง่

คนโง่..ผมเหลือบตาไปมองไอ้คนข้างๆที่ตั้งอกตั้งใจเรียนเสียจนเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

แหม..พ่อนักเรียนดีเด่น!

สอบได้ที่ 1 เสมอ.. ความประพฤติไม่เคยขาดตกบกพร่อง..
ไอ้ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั่นไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็ขัดใจชะมัด..

..วินด์..

ไอ้หมอนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องย้ายที่นั่งมานั่งหน้า แม้จะเกลียดการทำตัวเป็นเด็กหน้าห้องมากแค่ไหน

อยากรู้ว่ามันทำอะไรบ้าง..อยากเห็นหน้า..

ก็ผมสนใจหมอนี้นี่

ทำไงได้..เพื่อนร่วมห้องที่มีอยู่ไม่ถึง 20 คน .. อยู่ด้วยกันมาตั้งเเต่เด็กกว่าครึ่ง
อย่างไอ้คนตระกูลสุวรรณกุลที่แอบหลับในคาบตลอดนั่นไง.. หรือจะไอ้ตาตี่ที่ชอบทำท่าเป็นนักเลงเดี่ยวคนนั้น
เรารู้จักกันมานาน ผ่านชื่อเสียงของครอบครัวเเละชื่อเสียงของแต่ละคน..

แล้วก็ไอ้พวกเพื่อนที่คอยชื่นชมผม..

มันก็เหมือนๆเดิม ซ้ำๆเดิม..

จนกระทั่งผมขึ้นเกรด 7 ..และได้เจอกับเขา..



"ขอโทษนะครับ..ห้องปฐมนิเทศสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นไปทางไหนเหรอครับ"
ผมหันไป เหลือบมองเด็กชายผู้มาใหม่ ..ดวงตาสีดำจ้องมองผมผ่านใบหน้าราบเรียบ

ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ชื่นชม สงสัย..

ไม่มีท่าทีอะไรทั้งนั้น..เขาไม่รู้หรือไงว่าผมเป็นใคร

"เอ่อ..ขอโทษนะครับ.. คุณพอจะรู้ไหมว่าห้องปฐมนิเทศสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นไปทางไหน?"
เขาเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ..ผมพยักหน้า

ก่อนจะนึกอยากทำลายสีหน้าราบเรียบนั่นทิ้งซะ

ไอ้ท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึกนั่น..

"เดินตรงไป จะเห็นอาคารรูปตัวยู ขึ้นบันไดไป ชั้นสอง เดินตามทางเชื่อมตึกจะไปถึง"
ผมบอกทางไปห้องเก็บอุปกรณ์การแสดงของชมรมละครเพลง ก่อนจะยิ้มกริ่ม

เขาขอบคุณ แล้วเดินจากไป..

ผมเดินไปอีกทางเพื่อไปยังห้องปฐมนิเทศของนักเรียนชั้นมัธยมต้น..



"โจเซฟ ถ้านั่งจ้องหน้าวินด์ทำให้เธอเรียนเก่งได้เหมือนเขา ครูจะไม่ว่าเลยนะ"

มิสเตอร์อดัมพูดขึ้นด้วยความเหลืออด.. ผมยักไหล่

"ถ้าจ้องหน้าครู ผมจะโง่เหมือนครูไหมละฮะ"
ผมพูดแล้วเพื่อนร่วมห้องก็โห่แซว มิสเตอร์อดัมส่ายหน้า ผมจ้องเขากลับอย่างท้าทาย..

ไม่ว่าใครหน้าไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น..

แม้กระทั่งคุณครูก็ไม่กล้าดุผมมากนัก..เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของครอบครัวผม
มันเป็นอย่างนี้มาตั้งเเต่เด็กๆ ..จนผมไม่รู้ว่าจะประพฤติตัวเป็นเด็กดีไปเพื่ออะไร..

ในเมื่อต่อให้ทำตัวเหลวเเหลกอย่างไรก็ได้รับคำชมอยู่ดี

..และวินด์ก็ยังไม่สนใจผม

เขาจ้องไปที่กระดานราวกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้
จ้องไปที่มิสเตอร์อดัมเหมือนว่าเขากำลังจะพูดสิ่งสำคัญที่สุดในโลกออกมา

ผมถอนหายใจ ยอมแพ้ต่อมิสเตอร์อดัมและตรีโกณมิติ
หันมาสนใจเกมกดในมือต่อ

...................................

"ตุบ"

ผมกับเเก๊งค์เพื่อนๆของผม อันประกอบด้วย พอร์ชและมาร์คัส เดินมายังโต๊ะอาหารที่วินด์นั่งอยู่
ก่อนจะวางจานลงไป

และเด็กชายผมดำก็ลุกขึ้น

"จะไปไหน"
ผมถาม เสียงห้าว(แม่นมผมบอกว่าเป็นเพราะผมแตกเนื้อหนุ่ม..บ้าชะมัด!)

"ผมอิ่มแล้ว"
วินด์พูดก่อนจะมองจานอาหารของตน มันลดลงไปไม่ถึงครึ่ง

มาร์คัสมองผม เขาคอยดูว่าผมจะทำอย่างไรต่อ..

"นั่งลง นายต้องอยู่คอยเก็บจานให้พวกเราสามคน"
ผมพูด ทำท่าวางอำนาจ รอให้เขาโต้เถียง

"ตกลง"
เด็กชายผมดำมองผมด้วยแววตาสีดำไร้ความรู้สึก ก่อนจะนั่งลงเงียบๆ

เขาไม่เถียง ไม่สู้ ..ไม่ทำอะไรทั้งนั้น..
มันยิ่งทำให้ผมขัดใจ..

วิธีตอบโต้ของเขามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ได้รับความสนใจขึ้นไปอีก

..สำหรับคนที่ทุกอย่างหมุนรอบตัวผมมาตั้งเเต่เด็ก
การที่เขาทำแบบนี้ ทำให้ผมแทบคลั่ง..

นับตั้งเเต่นั้นผมจะหาโอกาสกลั่นแกล้งเขาอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะรูปแบบไหน..

เอาขยะไปยัดใต้โต๊ะ ยัดในล็อกเกอร์ ใช้ให้ทำเวรให้ ขังไว้ในห้องน้ำ..
และอื่นๆอีกสารพัด..

แต่ไม่มีคำขอร้องกลับคืนมา..
เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากวิงวอน

กลับใช้ชีวิตไปตามปกติเหมือนการกลั่นแกล้งของผมมันไร้ค่า

"นี่..โจเซฟ..ฉันว่าเราพอดีไหมวะ..ไอ้วินด์มันดูไม่ได้สนใจเลย ต่อให้เราจะฆ่ามันอยู่แล้วก็เหอะ"
พอร์ชพูดกับผมในวันหนึ่ง

"หมอนั่นน่าเบื่อออก เราก็ไม่ใช่เด็กประถมแล้วนะ..ทำตัวหล่อๆไปให้สาวๆกรี้ดยังจะดีกว่า"
มาร์คัสพูด

ผมฟังเพื่อนรักทั้งสอง..ทำตัวหล่อๆไปให้สาวๆกรี้ดอย่างนั้นเหรอ..

แล้วใบหน้าเรียบเฉยของวินด์ก็โผล่ขึ้นมา

..ถ้าหมอนั่นยิ้มให้ผมบ้าง คงจะดีไม่น้อย

ผมพยักหน้าให้เพื่อนทั้งสอง

"..ก็ตามใจ"

ส่วนตัวผมนั้นมีแผนในใจ..
มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าผมเข้าหาเขาโดยวิธีอื่น..

...................................

แต่เขาไม่สนใจผม!

ยิ่งช่วงหลังๆความสนใจของเขาทั้งหมดพุ่งไปอยู่ที่ไอ้เด็กผมปรกหน้าปรกตาที่ดูเหมือนจะไม่โตสักทีนั่น!
ที่ผมรู้ก็เพราะว่าผมสนใจเขาอยู่ตลอด!

ไม่เข้าใจเลย..ทำไม..
หงุดหงิด..หงุดหงิดเว้ยย!!

"ปัง!!"
ผมเตะโต๊ะของวินด์จนล้ม หนังสือกับสมุดหล่นออกมาจากใต้โต๊ะของเขา
แต่ผมไม่สนใจ อะไรก็ได้..ใครก็ได้

ผมต้องระบายมันออกไป ความโกรธนี้..

"รำคาญว่ะ คนจะหลับจะนอน"
เสียงเรียบๆเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินมาเก็บหนังสือกับโต๊ะขึ้นให้วินด์..
เจ้าของโต๊ะไม่อยู่ในห้อง..มันยังช่วยกันขนาดนี้..

นี้ไปสนิทกันตอนไหน..ทำไมผมไม่รู้?!

"อย่ามายุ่ง ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง"
ผมพูดก่อนจะมองคนร่างเล็กที่ยักไหล่ไม่รู้หนาวไม่รู้ร้อน..

"ไปเตะโต๊ะที่บ้านนายสิ ถึงจะเป็นเรื่องของนายคนเดียว"

"คิดว่าเป็นตระกูลใหญ่ในไทยแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ"
ผมผลักเขา ร่างเล็กเซน้อยๆ แต่ยังคงยืนอยู่

"นอกจากลำดับตระกูลแล้วไม่มีอย่างอื่นคุ้มกะลาหัวนายรึไง โจเซฟ"
หน็อย..ไอ้สล็อทจอมขี้เกียจ..มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมนักนี่...มาเรียนก็แค่เอาคอนเนคชั่นในอนาคตไม่ใช่หรือไง!

"ไอ้นี่!!"
ผมเงื้อหมัดจะต่อยหน้าคุณหนูๆของมัน และเกือบจะทำสำเร็จแล้ว..

ถ้าวินด์ไม่เข้ามาขวางเสียก่อน

..และนั่นเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมเห็น
ในแววตาของเขามีมากกว่าความว่างเปล่า..

มันเกรี้ยดกราด
ลึกล้ำ..ไม่เหมือนเด็กอายุ 13

และชั่วครู่หนึ่งนั้น..ผมหวาดกลัว

"อย่ายุ่งกับสอง"

วินด์พูดกับผม..ส่วนสูงเขาไม่ต่างจากผมนัก..ถือว่าสูงในมาตรฐานเด็กไทย เมื่อเขาพูด ดวงตาสีดำนั้นจ้องผมอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้..

ไม่เหมือนกับตอนที่ผมทำร้ายเขา..

และนั่นยิ่งทำให้โทสะของผม ซึ่งไม่รู้มาจากไหน
คุกรุ่นยิ่งขึ้นอีก..

"แม่งเอ๊ย!!!"
ผมพูดก่อนจะเหวี่ยงหมัดออกไป

"ผลั่ก!!"
แรงหมัดจากวินด์มาถึงผมก่อน..และรสชาติของเลือดเค็มๆก็ออกมาที่ปาก

"ไอ้วินด์ มึงทำอะไรวะ?!"
มาร์คัสเพื่อนผมรีบกระโดดเข้ามา ส่วนพอร์ชก็เข้าไปต่อยวินด์..
ทางด้านสองผมเห็นแวบๆว่ามีเด็กชายร่างสูงผิวขาวมาลากเขาออกจากวงก่อน..

"เฮ้ยพวกมึง อย่าทำมัน"
ผมพูดกับพอร์ชเเละมาร์คัสที่กำลังรุมวินด์อยู่

และเขาดูไม่ยอมอีกต่อไป

"กูจะทำเอง"

ผมพูดก่อนจะดึงแขนวินด์ขึ้น แล้วลากเขาออกไป

...................................

"ปล่อย"

"ปล่อยนะเว้ยย!"

"ไม่"
ผมพูดก่อนจะเหวี่ยงเขาลงในห้องเก็บอุปกรณ์พละ

"มึงเป็นบ้าอะไร"
วินด์พูดก่อนจะเงยหน้าถามผม แววตาของเขามีแต่ความเจ็บปวด

อยู่ๆผมก็เจ็บเหมือนกัน...

"มึงน่ะสิบ้า..ต่อยกูทำไม"
ผมถาม มือยังลูบปากที่มีเลือดซิบ

"กูไม่ฆ่ามึงก็ดีแล้ว"
วินด์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ..แบบที่ผมไม่คิดว่าเด็ก 13 จะพูดได้

"หึ..มึงไม่เคยเเม้แต่จะสู้..กูแตะไอ้สองนิดหน่อย..ถึงกับร้องเลยเหรอวะ"
ผมแค่นเสียงหัวเราะ ทั้งโกรธ ทั้งไม่เข้าใจ ..แต่ก็อยากจะเหยียบย่ำ อยากจะทำลายไอ้ท่าทางเหนือกว่านั้นทิ้งซะ

"ลองมึงทำอีกสิ..กูจะทำให้ดู ว่า 'สู้' ของจริงน่ะเป็นยังไง.."
วินด์พูดก่อนจะ'ยิ้ม'ให้ผม

อา..ให้ตาย ผมไม่ได้ต้องการรอยยิ้มแบบนี้

"แต่ไอ้พวกลูกคุณหนูคงจะไม่รู้จักหรอกมั้ง..'สู้'แบบพวกสวะน่ะ"
วินด์ยังคงพูดต่อ แววตาทั้งเจ็บปวดและเหยียดหยาม

ผมไม่รู้ว่าแววตาเหยียดหยามนั้นมองมาที่ผม หรือมองไปที่ตัวเขาเองกันแน่..
ก็เพราะตอนทำสีหน้าเช่นนั้นเขาดูเจ็บปวดเหลือเกิน..

ผมที่คาดหวังจะได้เห็นสีหน้าที่หลากหลายของเขา..
มันมากเกินกว่าที่ผมจะคาดคิด..

ผมเม้มปาก

"ถ้ามึงคิดว่าทำอะไรกูได้ก็ทำเลย..มึงมันก็แค่ลูกนักการเมืองกระจอกๆ ครอบครัวกูใหญ่กว่าเยอะ"
เมื่อหาอะไรเถียงสู้ไม่ได้ ผมก็ยกลำดับชั้นทางครอบครัวขึ้นอ้าง
แต่วินด์ไม่สนใจ.. เขายัง'ยิ้ม'ให้ผม

ไม่มีเสียงตอบรับ.. แววตาของวินด์กลับไปราบเรียบดังเก่า
เมื่อผมพูดถึง'ครอบครัว'ของเขา

"กูไปได้ยัง"
ร่างบางกว่าพยายามยันตัวเองขึ้นจะเบาะยิม

ผมดึงเเขนเขาให้ยืนขึ้น

"มึง..เจ็บอะไรมากไหม"
ผมพยายามมองหารอยช้ำที่แขนและขาของเขา

วินด์ส่ายหัว

"เพื่อนมึงต่อยไม่เป็น..มึงก็เหมือนกัน..ต่อยไม่ใช่แค่การเหวี่ยงหมัดส่งๆ"

"มึงแค่อยากต่อยเพราะมึงมันนักเลง"
วินด์พูดกับผมก่อนจะเดินออกจากห้องเก็บอุปกรณ์พละไป




"มึงต่างหากที่นักเลง"

ผมพูดตามหลัง กลอกตา..มือจับปากที่เลือดเริ่มแห้ง


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.01: นักเลง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-02-2018 10:59:08
 :L2: :L1: :pig4:

เขามาอ่านตอนพิเศษเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.01: นักเลง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 11-02-2018 11:49:12

ตอนที่ 21.02 :อยากได้

"Hey honey..เหม่ออะไรอยู่คะ..ช่วงนี้เหนื่อยเหรอ"

สาวสวยผู้มีทรวดทรงเย้ายวนเดินมา ก่อนจะใช้วงแขนของเธอคล้องคอผม
ผมจูบเธอก่อนจะผละออก

"เปล่าหรอก เจน.."
ผมโกหกเจนนิเฟอร์ แฟนสาวของผมไป.. ช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมกระวนกระวาย ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ว่างทีไรก็คิดถึงแต่ใบหน้าของคนดื้อรั้น ..แววตาโศกเศร้าแปลกๆของเขา มันดึงดูดผมไม่ต่างจากเมื่อยังเด็ก

..ตอนเด็กๆก็แค่คิดอยากจะเเกล้ง..

ผมเหลือบมองข้อความในโทรศัพท์

'..ถ้าถึงที่พักแล้วคุณไลน์ตอบผมด้วยนะ'

ผ่านไป8ชม.แล้ว..เขายังไม่ตอบผมกลับเลย

หรือผมจะส่งสติ๊กเกอร์ไปดีไหมนะ..

"หืมม โจ..นี่คุณกล้ามีกิ๊กหรอคะ"
เจนนี่พูดก่อนจะบดเบียดช่วงบนเข้าหาผม ผมละสายตาจากโทรศัพท์..

"เพื่อนน่ะ"
ผมพูดก่อนจะใช้ฝ่ามือขยำเนินอกตรงหน้าแรงๆหนึ่งที สาวเจ้าหัวเราะ

"ไม่เอาแล้วน้า..เจนเหนื่อย..เดี๋ยวเลขาคุณเข้ามาเจออีก..ครั้งที่แล้วเจนอายมากเลยรู้ไหม"
เจนนี่หัวเราะก่อนจะบิดจมูกผมเบาๆ ผมเองก็หัวเราะ

ผมกับเจนนี่..หรือเจนนิเฟอร์ คบกันมาตั้งแต่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่อังกฤษ
(ผมเรียนที่ไทยจนถึงแค่มัธยมต้น และครอบครัวก็ส่งไปเรียนต่างประเทศเหมือนหลายๆครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นผม)

เธอเป็นสาวไฮโซ ครอบครัวเรารู้จักกัน
และแวดวงสังคมเราก็ไม่ต่างกัน

ด้วยเเรงเชียร์จากเพื่อน ครอบครัว และความเหมาะสม (และผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอมีเสน่ห์ เซ็กซี่ เย้ายวนใจขนาดไหน) ผมจึงคบกับเธอ..

ใครๆก็บอกว่าเราเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันมากที่สุด

..มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

--ตึ้ง~--

'ผมถึงแล้วล่ะ โทษทีไม่ได้ตอบ หาที่พักยากมากเลย. T^T'

ผมยิ้มเมื่ออ่านข้อความของเขา..วินด์ถูกสั่งให้ไป'พัก'งานอยู่ญี่ปุ่น
เขาเรียนจบกฎหมายที่นั่น..ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง.. ที่โตได..มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

ไอ้เพื่อนของผมคนนี้นี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย..

คนบ้าอะไรเก่งชิบหาย!

จริงๆด้วยความสามารถและอะไรหลายๆอย่าง เขาไม่ควรมาเป็นแค่'ลูกรัก'นักการเมืองด้วยซ้ำ
ผมมองในมุมมองคนนอกยังรู้ว่าคนอย่างเขาควรไปได้ไกลกว่านี้..

บริษัทระดับโลกมากมายคงอยากจะซื้อตัว..

แต่ทำไมกันนะ..ทำไมเขาถึงได้'ยึดติด'กับ'พ่อ'ของเขาเหลือเกิน..

"ขมวดคิ้วอีกแล้วว หื้ม เอาเป็นว่าเจนไม่กวนแล้วดีกว่า..เดี๋ยวช่วงบ่ายเจนจะไปช่วยแคลร์เลือกซื้อเสื้อผ้าให้เจ้าหนูอเล็กซ์ด้วยย"
แฟนสาวของผมพูดก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างน่ารัก ผมจูบเธออีกรอบก่อนที่มือจะค่อยๆซุกซนไปตามแผ่นหลังของเธอ

"นี่แนะ..ตีมือเลย~ อดใจไว้นะ..เจอกันเย็นนี้ค่ะ ที่รัก"
เจนนี่พูดก่อนจะขยิบตาให้ผม ผมยิ้ม..

เมื่อเธอออกจากห้องไป ผมจึงกลับมาให้ความสนใจกับข้อความในไลน์ต่อ

'..ที่พักเหรอ..คุณอยู่ไหนนี่ ผมมีเพื่อนที่ญี่ปุ่น โรงเเรมของผมมีสาขาที่นั่นด้วย..'

..ให้ผมช่วยไหม
ผมไม่ได้พิมพ์ต่อ แต่รอเขาตอบ..

..แถวโตไดน่ะ ผมเช่าห้องอยู่ ไม่กี่เดือนหรอก คุณไม่ต้องห่วง

โตไดเหรอ..ไปทำอะไรตรงนั้น?! จะกลับไปเรียนอีกหรือไง
ผมขำก่อนจะส่งสติ้กเกอร์ล้อเลียนไปให้

ผมถนัดแถวนี้มากกว่านี่..นี้มันถิ่นของผม..ฤดูใบไม้ผลิก็สมมติเอาว่าเป็นแคนาดา O_o?!
เจ้าตัวส่งสติ้กเกอร์เศร้าสร้อยมาให้ผม..

ผมสังเกตว่าวินด์ติดการใช้ Emoticon แสดงอารมณ์บ่อยมาก
ซึ่งน่าขำ เพราะในชีวิตจริง เขาเเทบไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าเลย

น่ารักดีเหมือนกันนี่นา...

ถ่ายรูปห้องให้ดูหน่อย

ผมเผลอพิมพ์ส่งไป ..ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่า

มันอาจไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม..

แต่สักพัก เจ้าตัวก็ส่งภาพกลับมา

..ในภาพเป็นห้องสะอาดสะอ้านขนาดเล็ก ดูแล้วน่าจะ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ.. ไม่มีทีวี ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายนัก..ผมขัดใจ..

ไปเข้าค่ายทุรกันดารหรือไง คุณจะอยู่ได้เหรอ

ใครจะไปรวยเหมือนคุณล่ะ ผมต้องอยู่ตั้งสามเดือน ค่าครองชีพที่นี้เเพงอย่างกับอะไรดี ไม่ไปเช่าแคปซูลนอนก็บุญล่ะ O^O

แล้วนี่คุณจะอยู่ทำอะไรตั้งสามเดือน

หึหึ..ไม่อยากจะอวดน่ะ แต่Professor ที่นี้เขาติดต่อให้ผมมาเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนน่ะสิ..
ว่าเเล้วเขาก็ส่งสติ๊กเกอร์'หรูหรา..ข้าเยี่ยมที่สุด!'มาให้ ..ผมหัวเราะอีกครั้ง

แหมม เก่งครับเก่ง เก่งมากเลย ไอ้เด็กเก็บกด

O_o?!!

..คุณเลิกใช้Emoticonได้ไหมนี่...มันดูน่ารักเกินไปแล้ว!!

ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นไหม..ก็เขาไปเรียนที่นั่นช่วงมหาลัย..
หรือมันจะเกี่ยวข้องกับความแบ๊วส่วนตัวของเขาเอง ในแบบแปลกๆ เพี้ยนๆ ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ?

หรือไอ้พวกคนอัจฉริยะมันต๊องแบบนี้?!

อ้ะ นี่ผมกวนเวลางานคุณหรือเปล่า

กวน..ผมคิดในใจ ก่อนจะมองเลขาที่ยืนรอรายงานผมอยู่

ไม่หรอกก ช่วงนี้ผมว่าง

"คุณโจเซฟคะ?"

"ไม่เห็นรึไงว่าผมยุ่งอยู่"
ผมพูดกับเลขา และเธอก็มองผมอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะวางรายงานไว้บนโต๊ะ

..ก็แค่ดูแลโรงแรมกับสาขา..มันจะไปมีอะไรนักหนา?!

แต่ผมไม่ว่างซะเเล้วล่ะ..เดี๋ยวจะออกไปดูหนังสือแบบเรียนก่อน ต้องเตรียมตัวสอน *~*

อ่าว..ไหงเป็นงั้น..

ก็เขามีความรับผิดชอบแตกต่างจากผมลิบลับ!!

ผมกดโทรศัพท์..

"อื้อ..ว่าไง"
เสียงของเขาผ่านมาตามโทรศัพท์..และผมคิดอะไรไม่ออกเลย

"เปล่า..ผมลองโทรดู"

"อ๋อ..โทรก็ได้นะ.. ผมก็ขี้เกียจพิมพ์ ..ว่าแต่ คุณว่างจริงๆใช่ไหมเนี่ย"

"ว่าง"

"อืมม ..เอ่อ.. คุณอยากดูห้องสมุดของที่นี้ไหม"

นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่า..ว่าเขาพยายามต่อบทสนทนากับผม?
ไม่ใช่ว่าหลอกให้หัวใจผมพองโตคนเดียวหรอกนะ?

"อยาก"

ผมพูด ..แล้วสักพักเขาก็เปลี่ยนเป็นวิดิโอคอล

ผมมองเขาผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้มีรอยยิ้มกว้าง..
เหมือนกับว่าที่นั่นเป็นที่ของเขา..อย่างที่เขาบอกจริงๆ

"นี่ Professor yamada.. "
เขาหันไปพูดภาษาญี่ปุ่นกับคนหนุ่มที่ชื่อยามาดะนั่น..มีชื่อผมหลุดมาให้ได้ยินด้วย คงกำลังแนะนำตัวผม..

ว่าแต่..ไอ้ศาสตราจารย์ยามาดะนี้ ไหงหน้าตาละอ่อนกว่าผมอีกละวะ?!

"ผมนึกว่าศาสตราจารย์จะมีอายุกว่านี้เสียอีก"

"เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม..เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะ..ถ้าผมไม่ได้กลับไปทำงานที่ไทย..ผมก็คงอยู่ในตำแหน่งของเขา"

ร่างสูงพูดก่อนจะยิ้มให้ผม..ผมมองเห็นแววตาเขาไม่ชัดเพราะภาพมันค่อนข้างเบลอ
แต่ต่อให้เห็นชัดก็คงไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรอยู่ดี..

เขาเหมือนสุนัขจิ้งจอก

ปราดเปรียว อิสระ ฉลาด เจ้าเล่ห์.. ทว่าโดดเดี่ยว

"คุณคงไม่ได้พักในห้องแคบๆนั่นกับProfessor Yamada ใช่ไหม"
ผมถาม ขมวดคิ้ว

"ไม่หรอก ผมเกรงใจเขาน่ะ! แค่นี้เขาก็ช่วยผมมากพอแล้ว"
ว่าแล้ววินด์ก็พาผมเดินทางไปดูห้องสมุดของโตได โดยมีไอ้ศาสตราจารย์หน้าละอ่อนตามมาด้วย

พวกเขาดูสนุกสนานที่ได้อยู่ท่ามกลางตำราคร่ำครึเหล่านั้นเสียจริง..

ผมหาวหวอด

"คุณเบื่อแล้วเหรอ"

"สุดๆ"
ผมพูด ..ถ้าไม่ติดว่าได้เห็นหน้าคุณ ผมคงกดปิดไปแล้ว

"งั้นผมไปล่ะ"

---ตื้ดดด---

มันกดปิดจริงๆครับทุกคน!

โอ้...ไม่เคยมีใครกล้าทำกับผมอย่างนี้มาก่อน..

ไม่สนใจ ไม่ไยดี
ไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น...

..เขายังไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด!

ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันไปตวาดเลขาที่ยืนมองอยู่

"ไม่มีงานทำเรอะ!"

(เลขา: แล้วเจ้านายนั่งดูไลฟ์สดเที่ยวญี่ปุ่นนี่มีงานมากเลยนะคะ!)

"..ขะ..ขอโทษค่ะ คุณโจเซฟ"

เลขารีบก้มหน้าก้มตาจัดเเจงงานของเธอต่อไป โดยมีผมที่นั่งมองอยู่

"นี่..หาวันว่างของฉันแล้วจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ทีสิ"

"ได้ค่ะ"

ผมยิ้มอย่างพึงพอใจ..

ผมคือโจเซฟ ถ้าผมอยากได้อะไร..ผมจะต้องได้


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.02: อยากได้) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 11-02-2018 12:40:56
เข้ามากรีดร้องงงง :z3: :katai1: :katai1:
ทำไมตอนไหนที่มีวินด์ แค่มีชื่อโผล่มาก็ได้กลิ่นความปวดตับ ดราม่าซะเเล้ว :katai1:
โจเซฟมีแฟนแล้ว มีแฟนแล้วนะ... :z3: :z3:

ว่าแต่ หนูอเล็กซ์ ลูกเพื่อนเจนนี่ใช่เด็กคนเดียวกันกับอเล็กซ์..เพื่อนหนูผิงป่าวน้อ o13
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.02: อยากได้) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-02-2018 15:47:13
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.02: อยากได้) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 12-02-2018 00:12:08
อยากให้โจเซฟขโมยวินด์ออกจากพ่ออุปถัมภ์จังเลย ไม่ต้องกลับไปไทยอีก TT
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน21.02: อยากได้) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 13-02-2018 10:00:59
และแล้วตอนพิเศษของวินด์กับโจเซฟก็มา :mew1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน☘️ Valentine 's and a big big bouquet ) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 14-02-2018 15:43:31
ตอน : วาเลนไทน์กับ'ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก'


...วันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว...

จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ชอบ St.valentines อะไรมากมายนัก..
แต่วันนั้นมันวันแห่งความรัก คู่รัก นกร้องจิ๊บๆนี่..

แม้แต่ช็อกโกแลตสักเเท่งยังไม่มีใครเอามาให้ผม!

ผมเหลือบมองไปที่อเล็กซ์..สติ้กเกอร์รูปหัวใจเล็กๆติดเต็มเสื้อของเขา..

ในล็อกเกอร์ก็มีจดหมายสีชมพู..

ทำไม.. ทำไมม?!!

"นี่..อาเฟ่ย เอาสติ๊กเกอร์ของฉันไปไหม"
อเล็กซ์พูดก่อนจะเเปะสติ๊กเกอร์หัวใจสีชมพูดวงเล็กๆที่ปกเสื้อของผมอย่างใจดี

ผมขอบคุณเขาก่อนจะรีบปิดล็อกเกอร์ตัวเองด้วยความอับอาย..

ผมมีเพื่อนผู้ชายเยอะ..แต่เด็กผู้ชายเขาไม่ให้ของกันในวันวาเลนไทน์นี่..
แถมผมยังไม่ใช่คนที่ฮ็อตในหมู่เด็กผู้หญิงเหมือนอเล็กซ์..

ก็ผมไม่ได้เท่ หุ่นดี เก่งกีฬาเหมือนเขา..
นอกจากอ้วนตุ้มตุ้ยแล้วยังชอบกินแต่ขนมหวาน..

ใครจะมาชอบคนอย่างผมกัน!

.......

ผมเห็นเจ้าผิงกับริชชี่เดินผ่านไปพร้อมกับหอบของขวัญที่ได้จากเพื่อนๆพี่ๆไปด้วย..
เจ้าสองคนนั้นก็ทั้งหล่อ เท่ สูง หุ่นดี..

เดินคู่กันยังกะนายเเบบจากนิตยสารเด็กก็ไม่ปาน!!

ดูมุมไหนก็สมาร์ทกว่าคนอย่างผมเยอะ..

นี้ยังไม่นับรวมเหม่ยเหมย สาวน้อยน่ารักที่สุดในชั้นอนุบาล..
ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย ผมเป็นลอนมัดแกละสองข้างดูน่ารัก..

เธอไม่ค่อยได้ของขวัญวันวาเลนไทน์เพราะเธอยังเด็ก..

ก็เด็กๆชั้นอนุบาลน่ะไม่สนวันวาเลนไทน์กันหรอกนี่ฮะ..
แต่ถ้าเธอโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย..

คงจะไม่มีทางเป็นเหมือนผมแน่..



"อาเฟ่ย..ตื่นครับลูก"

เสียงของแด๊ดดี้สองกับมืออุ่นๆมาลูบแก้มผม..

ผมแกล้งหลับตาต่อ..

"อย่ามาเนียน เจ้าเฟ่ย ลุก!"
คราวนี้เป็นเสียงของแดดดี้กิด..โอยยย ให้ตายเหอะ...

แดดดี้กิดรู้ทันผมทุกที!!

"..ผมไม่ไปได้ไหมฮะ..ยังไงวันนี้ก็ไม่มีเรียน.."

"หือม์?"

"ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมไงฮะ..นะ..ขอเฟ่ยอยู่บ้านนะฮะ แดดดี้สองง~"

ผมพูดก่อนจะเอาหน้าซุกลงไปในอ้อมกอดของแดดดี้สอง..ก็แดดดี้สองใจอ่อนง่ายกว่าแดดดี้กฤษณ์อะจิ!

รายนั้นอ่ะ..ทั้งดุทั้งขนขาเยอะ! ขออะไรก็ไม่ค่อยได้หรอกฮะ..

"อื้มม..เอาไงดี..พี่กฤษณ์.."

"..พี่อีกล่ะ..เฟ่ยครับ.."
คราวนี้แดดดี้กฤษณ์พูดด้วยเสียงอ่อนขึ้น

"ทำไมลูกไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ...มีอะไรหรือเปล่า..ไหนเล่าให้พ่อฟัง"

ผมยังคงซุกหน้าในอ้อมกอดแดดดี้สอง พูดเสียงอู้อี้

"เฟ่ยแค่ไม่อยากไป..ไม่เห็นจะมีสาระอะไรนี่ฮะ ...ยังไงก็ไม่มีใครให้อะไรเฟ่ยอยู่แล้ว
เฟ่ยก็ไม่ได้อยากได้หรอก..แต่อย่างน้องผิงหรือเหม่ยเหมย..ก็ยังได้อะไรตั้งเยอะตั้งเเยะ.."


แดดดี้เงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า

"..ลูกจะเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง..ไม่ไปโรงเรียนไม่ได้นะครับ..ความรับผิดชอบกับการถูกชื่นชอบมันคนละส่วนกัน.."

"ไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป!"
ผมเริ่มร้อง กอดเเดดดี้สองไว้แน่น..

"ลูก ต้อง ไป"

และผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...

แดดดี้กิดดึงผมออกอย่างโหดร้าย(?)ก่อนจะลาก(?)ผมเข้าไปอาบน้ำ แต่งตัว และบังคับให้ทานอาหารเช้าอย่างทารุณ(?)

ผมเม้มปากแน่น..

"ไม่กิน! ไม่ไป!"

"เฟ่ย..แค่วันเดียวเองนะ..เดี๋ยวก็พรุ่งนี้แล้วลูก.. บางครั้งหนูต้องทนกับสิ่งที่หนูไม่ชอบ..แดดดี้เคยบอกใช่ไหมครับ"

ผมพยักหน้า..แต่...แต่..



วันนั้นผมไปโรงเรียนทั้งน้ำตา...

..................................

และทั้งวันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากทุกปี..
อเล็กซ์ได้ของขวัญมากมาย..เขาแบ่งสติ๊กเกอร์หัวใจให้ผม 1 ดวง
เจ้าเด็กริชชี่กับผิงผิงได้ของขวัญมากมาย

แถมปีนี้เหม่ยเหมยก็ได้ของขวัญด้วย!!

ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดและน้ำตาซึมนิดๆในคาบโฮมรูมอยู่นั้น..

มิสซิสฟิโอน่าก็หอบช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกกกกเข้ามาในห้อง
เด็กๆทุกคนตกตะลึงและเอาแต่ทายกันว่าช่อดอกไม้นั้นเป็นของใคร

จนกระทั่งมิสซิสฟิโอน่านำมันมาวางไว้ตรงหน้าผม..


ผมมองช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกกกกอย่างไม่ค่อยไว้ใจ..

"ของผมจริงๆเหรอฮะ..?"

"เฮ้ อ่านดูสิ..มีจดหมายให้นายด้วย"
อเล็กซ์พูดก่อนจะดึงจดหมายที่แนบมากับช่อดอกไม้ ..และผมอ่านมัน




"ถึง อาเฟ่ย ลูกรัก..

พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้ว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กที่ได้รับขนมในวันวาเลนไทน์เยอะหรือไม่..
ลูกยังคงเป็นที่รักของพวกเรา และเราทั้งสองรักลูกมากกว่าช่อดอกไม้ทั้งหมดในโลกรวมกัน..

ไม่ใช่แค่เฉพาะวันนี้..แต่ในทุกๆวัน..

ลูกจะยังเป็นเจ้าชายน้อยๆของเราเสมอ..


รัก

Daddys "




...................................

และตั้งแต่นั้นมา...ทุกๆปีในวันวาเลนไทน์

จะมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกกก พร้อมการ์ดจากพ่อที่เขียนบอกผม ว่าพวกเขารักผมมากเพียงใด..

ทุกๆปีหลังจากนั้น..

แม้ผมจะโตขึ้น..กลายเป็นหนุ่ม
ตัวสูงขึ้น...ผอมลง..

เริ่มมีสาวๆมาให้ของขวัญมากขึ้น..

หรือแม้กระทั่งในที่สุด..ผมก็มีจำนวนของขวัญในวันวาเลนไทน์มากพอๆกับอเล็กซ์..

แต่ช่อดอกไม้ที่ใหญ่มากกกกกช่อนั้น...ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เสมอ...



"พ่อมึงส่งดอกไม้ให้อีกแล้วเหรอวะ ไอ้เจ้าชายน้อย"

อเล็กซ์ถามก่อนจะนั่งลงข้างๆผม

"เออ..กูบอกแล้วว่าไม่ต้อง..อายชิบ..อายุ18แต่ต้องมาได้ดอกไม้จากพ่อนี้แม่ง..."

ผมพูดก่อนจะทำท่าไม่สนใจช่อดอกไม้และการ์ดที่วางอยู่ตรงหน้า..

ก็คนโตเป็นหนุ่มที่ไหนเขาอยากได้ดอกไม้จากพ่อตัวเองกัน!!

อเล็กซ์ยักไหล่

"เอาสติ๊กเกอร์หัวใจไหม กูให้ ดวงนึง"

"ไอ้สัส ขยะเเขยง"

ผมพูดแล้วเราสองคนก็หัวเราะ..
ผมมองหน้าอเล็กซ์ก่อนจะคิดถึงสติ๊กเกอร์หัวใจที่เขาแบ่งมาติดให้ผมทุกๆปี จนกระทั่งเราอายุ 12..

จริงๆวันวาเลนไทน์สำหรับคนโสดก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นล่ะมั้ง..คิดว่านะ


หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 14-02-2018 16:00:18
โถ...อาเฟ่ย555+น่ารักจริงๆเลยครอบครัวนี้
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-02-2018 22:09:55
 :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-02-2018 22:38:39
 :กอด1: :L2: :L1: :pig4:

ชอบความผูกพันแบบนี้ อบอุ่น ยาวนาน
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 15-02-2018 04:08:04
เรื่องนี้น่าร้าาาก :mew1: :mew1: ชอบมากๆเลย ไม่หน่วง และตัวละครค่อนข้างมีเหตุผล เนื้อเรื่องถูกจริตเราสุดๆ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2018 04:33:25
ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เด็กๆกับแดดดี้สอง พ่อกิต น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 15-02-2018 08:36:56
 :z3: ลูกกก ป้าจิ้นหนูกับอเล็กกกกกซ์

ขอบคุณนะคะ ชอบๆเรื่องนี้ :katai2-1: วันวาเลนไทน์ไม่ได้แค่วันแห่งความรักของคนหนุ่มสาว
ชอบตรงที่บอกว่า ในนั้นเขียนบอกว่า..พวกเขารักผมมากเพียงใด..

ซึ้งง่ะ   :o12:  ครอบครัวรักหนูมากนะลูก เป็นเด็กดีนะครับ :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน ☘️ :ช่อดอกไม้ช่อใหญ่มากกกก) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 17-02-2018 18:46:01
หนุ่มน้อยกับวาเลนไทน์ เจ้าเฟ่ยน่าร๊าก
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน 21.03: ฟองสบู่) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 03-03-2018 21:26:27


ตอนที่ 21.03 : ฟองสบู่

บรรยากาศในร้านกาแฟแบบ Out-door ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติสุดๆ..

มันสวยขนาดนี้เลยเหรอนี่..

ที่ญี่ปุ่นมีธรรมชาติที่สวยงาม แม้ผมจะไม่เคยดื่มด่ำกับมันมากนัก
อาจเพราะเเต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้มีเวลาสังเกต..

ภาพของญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวมอง กับคนที่อยู่ที่นี้จริงๆนั้นแตกต่างกัน..

ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศสบายๆสวยงาม เดินไปไหนก็จะเห็นแต่ต้นซากุระ ขนมอร่อยๆ
เพื่อนบ้านมีมิตรไมตรีต่อกัน..

สังคมที่นี้เคร่งครัด มีระเบียบวินัย และรักษากฎเสมอ
สังคมมีกฎของมัน ..อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ออกไป


"แล้วพอคุณขวัญ เลขาของผมเห็นผมเอาแต่ดูไลฟ์ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นก็บ่นผมใหญ่เลย.."

ร่างสูงยิ้มกว้างก่อนจะบ่นพึมพำว่า 'บ้าชะมัด' ผมหัวเราะเบาๆ

"คุณต้องแบ่งเวลาสิ โจเซฟ ..ผมยังไม่เคยไลฟ์หน้าคุณให้นักศึกษาดูเลยนะ"

ผมพูดก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม พลางมองเขา ..ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราคุยกันได้สนิทใจแบบนี้

..ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน..

จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนเปิดเผย ไอ้เรื่องจะรับใครเข้ามาในชีวิตนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของผม
และคนที่เข้ามาในชีวิตของผมส่วนใหญ่ก็เพราะมีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องต่อกันเท่านั้น..

ผมรอบคอบ เจ้าวางแผน เเละเคร่งครัดต่อตัวเองอยู่เสมอ..
แตกต่างจากคนตรงหน้าลิบลับ..

"เฮ้อ.."
โจเซฟเหยียดเเขนออกวางบนโต๊ะก่อนจะเอาคางเกยเเขนตัวเองไว้

"ก็ผมคิดถึงคุณนี่"

ผมเงียบ มองเขา ก่อนจะละสายตาออก..

"ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้"

"ก็มันจริง..นี่ คุณไม่สนใจไปทำงานให้บริษัทระดับโลกหรืออะไรทำนองนั้นมั่งเหรอ.."
โจเซฟเงยหน้ามองผม ผมส่ายหัว

"ทำไมอ่ะ..ความสามารถอย่างคุณนี่ไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะนะ"

ผมเลิกคิ้ว มองเขา

"คุณคิดงั้นเหรอ"

"แน่นอน..ผมชอบคุณนะ "

ผมเงียบอีกครั้ง..อาจเป็นเพราะเขาถูกเลี้ยงมาโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง..คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ
อยากจะพูดอะไรก็พูด..

เขาไม่จำเป็นต้องสนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร..

ตัวเขาเองอาจจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดตัวเองจริงๆด้วยซ้ำ..

ผมไม่ควรเก็บคำพูดของเขามาคิดจริงจังสินะ...

และอาจเพราะว่าผมเป็นคนเงียบๆ การสนทนาส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องของเขา

โจเซฟมักจะมีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
และเขาก็ดูมีความสุขในการได้คุยกับผม..

เอาวะ..ยังไงงานของผมก็มักเป็นงานที่ปรึกษาอยู่แล้ว..
จะรับปรึกษาไอ้คุณชายฝรั่งสักคนจะเป็นไรไป..

"คุณเปรม.."

ผมพูดขึ้น

"หมอเปรมอะนะ?"

"อื้ม ที่คุณจะทำโครงการร่วมกับเขา..เริ่มปีหน้าใช่ไหม"

โจเซฟพยักหน้า..ผมเคาะนิ้วคำนวนบางอย่างในใจ..

"คุณอย่าลืมนะว่าปีหน้าจะเป็นปีแรกที่บังคับใช้พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง..คุณเปรมเป็นเจ้าของที่ ส่วนคุณลงทุนในส่วนอสังหา ผมเข้าใจว่าในสัญญาร่างคงแบ่งสัดส่วนหุ้นกันชัดเจนอยู่แล้ว..แต่อย่าลืมว่าระหว่างที่ทยอยสร้าง ที่ดินเปล่าๆภาษีจะเพิ่มขึ้นทุกปี"

"เพิ่มขึ้นทุกปีงั้นเหรอ?"

ผมพยักหน้า

"กฎหมายฉบับใหม่กันพวกกว้านซื้อที่ดินเปล่าๆเอาไว้เยอะๆและเก็บนานๆน่ะ..แต่ผมคำนวนเเล้วไม่น่าเกิน 3% ..คุณกับคุณเปรมจะเก็บส่วนที่ดินเปล่าไว้เกิน 7 ปีไหมล่ะ.."

"ยังไม่แน่ใจหรอก..บางโครงการมันก็ต้องใช้เวลา.. 3 %...เยอะชะมัด!"


"เอาเป็นว่า..คุณต้องคุยกับคุณเปรมดีๆ ระบุไปในสัญญาด้วยว่าภาษีที่ดินเปล่า ต้องเป็นส่วนของเขาที่ออก เพราะที่ดินเปล่าเป็นของเขา..หรือคุณอยากจะรับภาระด้วยก็ตามใจ"

ผมมองเขายิ้มๆ เขาใช้มือจับแก้วกาเเฟผมก่อนจะทำหน้ายู่

"เพดานของไอ้กฎหมายนี้มันกี่ % อ่ะ"

"5"

"งั้นที่ดินเปล่าผมตั้งเยอะอยู่ต่างจังหวัด..กะว่าจะทำพวกอสังหาตึกแถว..ผมควรทำไงดี..นี้มันบีบบังคับคนรวยชัดๆ"

โจเซฟร้องโอดโอยก่อนจะหมุนแก้วกาเเฟผม ผมดีดมือเขาดังเพี้ยะ..

"คุณคิดว่ากฎหมายทำอะไรพวกคุณได้จริงๆเหรอ..ติ๊งต๊องน่า.."

"แล้วผมต้องทำไง?"

ผมยิ้มหวานให้เขา

"รู้ไหม ..ค่าปรึกษาของผมชั่วโมงละเท่าไหร่"

ผมพูดก่อนจะยิ้ม เขายิ่งร้องโอดโอยเข้าไปอีก...คราวนี้ผมหัวเราะ..

และอยู่ๆเขาก็มองหน้าผม ..นิ่ง

"มีอะไร?.."

"คุณ..หัวเราะเหรอ"

เอ..นี้มันคิดว่าผมเป็นตัวอะไรเรอะ?
ผมหัวเราะมันผิดตรงไหน??

"คุณสนใจมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ผมไหม"
ร่างสูงตรงหน้าถามก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างคาสโนว่า..

ไม่อยากยอมรับ..แต่ไอ้หมอนี่มันหล่อจังวะ..

ผมมองเขากลับอย่างดุๆ

"ผมมีงานทำมากมาย!..ไม่มีเวลาว่างมาตามติดคุณหรอก"

..หรือเวลาว่างให้คุณมาตามติดกันแน่นะ?..ดูจากการที่เขาชักจะตามติดผมไปทุกแห่งอย่างนี้..

คิดแล้วมันคุ้นๆ..ลางสังหรณ์ผมก็ร้องเตือนแปลกๆ..
พ่อเทพบุตรนี่เคยทำให้ชีวิตตอนม.ต้นของผมเกือบย่อยยับมาแล้ว..

แล้วชีวิตของผมตอนนี้ล่ะ..?!

เขาเริ่มขยับตัวมาใกล้ผมเรื่อยๆ..
ตั้งเเต่วันที่ผม'บังเอิญ'ไปกินเหล้าในโรงแรมของเขา

เรื่อยมาจนถึงวันนี้...

จนถึงญี่ปุ่น..

จนถึงที่นี้...


นี่จะเป็นสัญญาณของ'ความชิบหาย'บางอย่าง..หรือเปล่านะ?



หลังจากดื่มกาแฟเสร็จ..(ผมยอมให้คำปรึกษาเจ้าหมอนี้ไปฟรีๆแบบที่ไม่เคยมีในเวลาปกติ!)
โจเซฟก็ชวนผมไปพักในโรงแรมของเพื่อนเขาที่อยู่เเถวมหาลัย..

"ไม่ล่ะ..ผมต้องอยู่อีกตั้ง 3 เดือน.."

ใครจะไปมีปัญญาจ่าย..โรงแรมหรูขนาดนั้น!..ประโยคหลังนี้ผมละไว้

"น่า..เดี๋ยวผมจ่ายแบบเหมาให้เลย..ถือซะว่าเป็นค่าปรึกษาเมื่อกี้..คำแนะนำคุณช่วยประหยัดเงินผมไปได้เกือบ500ล้านเลยนะ..นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก"

มันก็จริง..แต่..ผมไม่อยากรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณใคร..
ผมไม่ชอบการติดค้าง ไม่ชอบการผูกมัด.. ไม่ชอบสัญญา..

"นะ..? นะครับ วินด์"

ผมมองหน้าเขา ..มองผู้ชายตัวใหญ่ที่เกาะเเขนผมก่อนจะก้มเอาหน้าผากมาชนเเขนผม

"เออ..ถ้าคุณว่าอย่างนั้น.."

"เป็นอันว่าตกลง!"

โจเซฟพูดก่อนจะกระดี๊กระด๊ากดโทรศัพท์ต่อสายให้รถจากโรงแรมมารับ..

"คุณต้องไปเก็บของที่ที่พักก่อนไหม?"

ผมพยักหน้า

"งั้นเดี๋ยวให้รถของโรงแรมพาไปที่พักก่อน..ออกนอกเส้นทางนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับไปเก็บของเเล้วจะนั่งรถประจำทางไป..ผมรู้จักโรงแรมนั้นอยู่"

"มันจะลำบากคุณไหม"

ผมยักไหล่

"ถ้าคุณสั่งอย่างนั้นมันจะลำบากคนอื่น.."

อย่างที่ผมบอก..ที่ญี่ปุ่นมีกฎของเขา..คุณแค่ต้องรู้จักเคารพ
เคารพในกฎหมาย เคารพในสิทธิ..

ซึ่งจะว่าไปก็เป็นตลกร้าย

เพราะตั้งแต่ผมจบมา ได้ทำงาน

งานของผมถ้าไม่เกี่ยวกับพวกนอกกฎหมาย ..ก็มักจะเป็นงานหาช่องโหว่ของกฎหมาย..
ไม่ได้เคารพกฎหมาย หรือเคารพสิทธิของใครต่อใครอย่างที่ผมชอบอ้างเลยสักนิด..

หลังจากขอปลีกตัวออกมาจากโจเซฟสำเร็จ
ผมก็ขึ้นรถประจำทางของมหาวิทยาลัย เพื่อเดินทางไปยังที่พัก..

"ตืด..ตืด...ตืด"

เสียงโทรศัพท์เข้า ผมเหลือบตามอง เมื่อพบว่าเป็นเบอร์เลขาของนายท่าน ผมก็เกร็งเล็กน้อย...

นายท่านแค่ต้องการให้ผมไปไกลหูไกลตา เพื่อจะไม่สามารถสร้างเรื่องให้รำคาญใจเขาได้..
แต่เขาก็ไม่สามารถ'พัก'งานให้กับผมได้จริงๆ..

เพราะนอกจากผมแล้ว นายท่านไม่ได้ไว้ใจให้คนอื่นดูแลงานให้เขาเลย..

ถ้าผมเป็นนายท่านผมก็คงไม่ไว้ใจเหมือนกัน

ไม่ว่าจะพวกลิ่วล้อขี้ประจบสอพลอ
หรือแม้กระทั่งลูกชายแท้ๆ..เด็กมีปัญหาที่ถูกส่งไปให้พ้นหูพ้นตาอยู่อเมริกา..

พี่อาทิตย์..

พี่อาทิตย์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายท่านจำเป็นต้องมีผม..
พี่อาทิตย์เป็นลูกชายแท้ๆเพียงหนึ่งเดียว

แต่พฤติกรรมและนิสัยเหลวแหลกจนแม้กระทั่งพ่อแท้ๆยังทนไม่ไหว..

ตอนที่นายท่านรับอุปการะผมมาจากบ้านเด็กกำพร้าวันแรก
ก็เป็นวันเดียวกับที่พี่อาทิตย์ถูกประกันตัวออกจากคุกเยาวชนข้อหาเสพยา..

ก่อนจะถูกส่งตัวไปเมืองนอก..

และเขาไม่เคยกลับมาอีกเลย..

ไม่เคย ไม่เลยจริงๆ

..ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ผมยังไม่สงสัยอะไรเท่าไหร่..
แต่เมื่อโตขึ้น ผมกลับเริ่มคิดว่า..

หรือจริงๆพี่อาทิตย์ตายไปตั้งเเต่วันนั้นแล้วนะ..?

เพราะนับแต่นั้นผมไม่เคยเห็นเขาอีกเลย..

ไม่เลยสักครั้ง..

ความคิดที่ว่า..แม้แต่ลูกแท้ๆเขายังสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย
ทำให้ผมในวัย 14 ปีขนลุกเกรียว..

มันฝังใจผมมาตั้งแต่ตอนนั้น..

หากขัดใจเขา..ผมก็มีสิทธิตายได้เหมือนกัน..

"วินด์พูดครับ"

"คุณวินด์..เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ! อาบอบนวดของของเราถูกตำรวจบุกและพบการค้าประเวณี..
เจ้าของมันไม่ยอมรับผิดกะจะโยนให้เราลูกเดียว.. อีกแค่อาทิตย์เดียวจะเลือกตั้งเเล้วด้วย..
คุณท่านเครียดจนต้องเข้าโรงพยาบาลเลยค่ะ..จริงๆท่านสั่งไม่ให้ดิฉันติดต่อคุณมา..แต่ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรเเล้วจริงๆ

ดิฉันไม่รู้ว่ามีใครที่ยังเชื่อใจได้เหลืออีกบ้าง.."

ปลายสายพูดเสียงค่อยลงเหมือนระเเวดระวัง..

ผมขมวดคิ้ว..ไม่มีทางที่อยู่ๆจะถูกตำรวจจับแน่..เรามีสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ถ้าไม่จำเป็นพวกเขาไม่อยากชวนทะเลาะหรอก..

แต่ก็เพราะเป็นเวลานี้..เวลาที่นายท่านอ่อนแอ ผมก็อยู่ต่างประเทศ..
เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการจะลงมือทำอะไรสักอย่าง..

และคนที่รู้ก็ต้องเป็นคนวงในพอควร..
เพราะข่าวการออกนอกประเทศของผมนั้นค่อนข้างเงียบ..

"โอเคครับ..คุณศศิธร..ใจเย็นก่อน.. เจ้าของอาบอบนวดอาจจะซักทอดมาถึงเรา..แต่คำพูดของเขาไม่มีหลักฐานอะไรที่จริง ในสัญญาตอนที่ผมเขียนนั้น ไม่มีรายชื่อใคร หรืออะไร ที่จะเกี่ยวข้องกับเราเลยแม้แต่น้อย ผมมั่นใจว่าผมไม่พลาดเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนั้น.."

"ดังนั้นในชั้นศาลเรามีน้ำหนักกว่า.."

"..แต่ คุณวินด์คะ.. พวกเขามีชื่อคนที่เกี่ยวข้อง..คนที่ลงนาม"

"ใคร?"






"คุณอาทิตย์ค่ะ"



สิ้นเสียงนั้นผมตัวเย็นไปทั้งตัว..เป็นไปไม่ได้..พี่อาทิตย์..เขาไม่เคยกลับมา..เขาไม่น่าจะมีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำ..

"...นายท่านรู้หรือยัง?"

"..นายท่านถึงได้เข้าโรงพยาบาลไงคะ..ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรเเล้ว..คุณวินด์อยู่ที่นั้นไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ..
ระวังตัวด้วยนะคะ.."

"ไม่มีปัญหาครับ..คุณศศิธรครับ..หากมีเรื่องอะไรรบกวนติดต่อผมให้เร็วที่สุดนะครับ..แล้วก็..ผมขอข้อมูลการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของนายท่านด้วยนะครับ..ส่งมาให้ผมภายในวันนี้"

ผมพูดอย่างเคร่งเครียด..ก่อนที่เลขาจะวางสายไป..

ผมกดโทรศัพท์ไปหาหัวหน้าบอดี้การ์ดส่วนตัวของผมที่อยู่ไทย



"โยฮันเนสพูดครับ หัวหน้า"

"ฉัน วินด์นะ โยฮันเนส เพิ่มกำลังคุ้มกันให้กับคุณเกรียงเป็นสองเท่า..หากมีผู้ชายที่อ้างว่าเป็นลูกชายของเขา ชื่ออาทิตย์ ปรากฎตัวขึ้น ให้'จับตาดู'เขา และรีบติดต่อฉันมาทันที เข้าใจไหม.."

ผมสั่งโยฮันเนสไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

"ครับ..หัวหน้า..ว่าแต่ หัวหน้าจะกลับเมื่อไหร่ครับ..สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีเลยครับ.."

"...3 เดือน.."

"ไม่นานไปเหรอครับหัวหน้า"

"มันเป็นคำสั่งนายท่าน..ฉันต้องทำตาม..อย่าถามอะไรล้ำเส้นนัก โยฮันเนส"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น มันเป็นปกติที่ผมจะต้องย้ำเตือนสถานะของเขาอยู่เสมอ..

ต้องแยกให้ชัดเจน..ลูกน้องคือลูกน้อง หัวหน้าคือหัวหน้า
ไม่มีเพื่อน ไม่มีสนิทหรือไม่สนิท ไม่มีการล้ำเส้น

"ขอโทษครับ..แล้ว..หัวหน้าต้องการให้ผมส่งลูกน้องไปคุ้มกันไหมครับ.."

"ไม่เป็นไร..นายดูแลนายท่านให้ดีเถอะ"
ผมพูดก่อนจะกดวางสาย

แล้วถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ

...................................

"ไปสระว่ายน้ำกันวินด์~"

โจเซฟพูดก่อนจะสวมกอดผมจากด้านหลัง..
กล้ามเนื้อของเขาทำให้ผมอึดอัดเล็กน้อย

ผมทำหน้าตึงก่อนจะดันตัวเขาออกไป

พฤติกรรมถึงเนื้อต้องตัวของเขาเป็นสิ่งที่ผมเริ่มชินอีกอย่าง..
เขาเป็นคนแสดงออกชัดเจนในทุกๆเรื่อง

อาจเป็นเพราะรู้ว่าไม่มีใครจะขัดเขาได้..

"ไม่ไป..ผมเหนื่อย"

ผมตอบไปตามความจริง ช่วงนี้ผมมีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน
กอปรกับผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบสังสรรค์

ไอ้ครั้นจะให้ไปดื่ม เต้น ฟังเพลง ..ถ้าไม่ใช่ตอนที่เศร้าจริงๆผมไม่ทำหรอก..

"คุณก็พักผ่อนบ้างสิ..คุณแบกทุกอย่างไว้ไม่ได้หรอกนะ.."

"ไม่"

"น่า..มาเถอะ..ผมจะพาทำอะไรสนุกๆ.. คุณเคยเห็นปาร์ตี้ฟองสบู่หรือยัง เวลาเล่นแสงไฟมันจะเป็นสีรุ้งด้วยนะ
ไปดูกันเหอะะะ"

จากนั้นโจเซฟก็พูดข้อดีและความสนุกน่าประทับใจมากมายที่เขาเคยได้รับจาก 'ปาร์ตี้ฟองสบู่'

"เราสามารถอาบน้ำในปาร์ตี้ได้เหรอ?"
ผมถาม เพราะรู้สึกหลงกล..เอ๊ย .. รู้สึกสนใจในปาร์ตี้นี้ขึ้นมานิดๆ..

"แน่นอน! มันเป็นปาร์ตี้ฟองสบู่นะ คุณก็ประหยัดเวลาที่จะต้องขึ้นมาอาบน้ำ อาบในสระว่ายน้ำปาร์ตี้ไปเลย แถมมีเพื่อนช่วยอาบด้วย! คุณเคยอาบน้ำกับเพื่อนไหมล่ะ"

ผมส่ายหัว

ผมไม่เคย..อย่าว่าแต่อาบน้ำเถอะ..นอกจากสอง(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังนับผมเป็นเพื่อนไหม?) ก็มีแต่คุณนี้แหละ โจเซฟ ที่ผมเรียกได้ว่าเป็นเพื่อน..

กับคนที่มีเพื่อนน้อยอย่างผมนี้ จะไปรู้จักกิจกรรมอะไรที่เพื่อนทำกันมากมาย?!


ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไป ปาร์ตี้ฟองสบู่

ซึ่งก็ไม่ต้องใช้เวลาเดินทางอะไรมากมาย
เพราะปาร์ตี้จัดอยู่ชั้นบนของโรงเเรมนั่นเอง..

โจเซฟดึงผมก่อนจะกระโดดลงสระว่ายน้ำ

"ตู้มมมม!!"

ผมสำลักน้ำก่อนจะโผล่หน้าขึ้นมาไอ
ส่วนไอ้เจ้าคนแกล้งนั้นมุดหายไปใต้สายน้ำเสียเเล้ว!!

ไม่นานนักโจเซฟก็โผล่มาข้างหลังผม ก่อนจะเอาฟองสบู่ในสระเทใส่หัวผม

"ไอ้บ้า!"
ผมตะโกนด่าเมื่อฟองสบู่ไหลเข้าปาก

"อย่าพูดๆ.."
โจเซฟพูดก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยฟองแล้วทำเป็นหนวดบนหน้าเขา

ผมหัวเราะลั่น..

เราเล่นอะไรแบบเด็กๆกันอีกสองสามอย่าง
เป็นต้นว่า กระโดดลงสระน้ำด้วยท่าที่พิสดารที่สุด..

และเเข่งกันเอาฟองสบู่ถมตัวเองโดยให้เหลือพื้นที่น้อยที่สุด..


ผมชอบอยู่กับเขา..มันสนุก

สบายใจดีด้วย...

มันเหมือนกับปัญหาของผมไม่มีอยู่อีกต่อไป

เพราะเราเอาแต่เล่นอะไรแผลงๆ

แล้วก็แข่งกันหัวเราะ...



ชั่วโมงนั้นผมไม่ใช่ 'วินด์' แต่เป็นใครสักคน..

ใครสักคนที่เกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่าง..

มีครอบครัว มีพ่อ มีแม่ พวกท่านเเสนดีและรักผม
มีเงินทองมากมาย
มีเพื่อนที่ดี เเละเราสามารถปาร์ตี้กันได้ทุกอาทิตย์

ผมหัวเราะให้กับเรื่องโง่ๆ ผ่อนคลายได้ในทุกอย่าง
ผมไม่ต้องแบกรับ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร..
ไม่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ..

ไม่ต้องเป็นหัวหน้า ไม่ต้องเป็นลูกน้อง..

ชั่วโมงนั้นผมเป็นใครอีกคน..

ใครอีกคน จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้น
และสีสันสายรุ้งของฟองสบู่เเปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด...



หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน 21.03: ฟองสบู่) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-03-2018 22:58:58
 :L2: :L1: :pig4:

 :o12:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน 21.03: ฟองสบู่) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-03-2018 23:25:08
เรื่องนี้อ่านแล้วทำให้อมยิ้มตลอดเวลา ประทับใจตั้งแต่แรกอ่าน จนจบ จนตอนพิเศษ ก็ยังรู้สึกประทับใจเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน 21.03: ฟองสบู่) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Anynomous ที่ 16-04-2018 00:55:37
ตอนที่ 21.04: ความเข้มแข็ง




เมื่อเสียงปืนดังขึ้น
ผมกดโจเซฟลงไปใต้น้ำโดยอัตโนมัติ

.....

น้ำในสระค่อยๆถูกย้อมด้วยสีแดงเป็นสาย..

มันออกมาจากร่างของคนข้างๆผม..

คนธรรมดาๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่..
แค่บังเอิญมาปาร์ตี้ฟองสบู่..

และบังเอิญมายืนข้างๆผม..

ฝูงชนแตกตื่น เสียงกรีดร้อง น้ำกระเพื่อม ..และผู้คนทยอยวิ่งขึ้นจากสระ
หน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งเข้ามา..

ทีมกู้ชีพดึงร่างชายข้างๆผมขึ้นจากสระ

ผมผลักโจเซฟขึ้นไปบนขอบสระ ก่อนจะดันตัวเองขึ้นไป

ผมเดินนำเขาไป..

สงบเงียบ.. ใจเย็นอย่างน่าประหลาด

นี้ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ผมถูกลอบยิง..
แน่นอนว่าการทำงานสายนี้ ผมต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้ทุกประเภท..

เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้..ผมรู้ตัวดี


ใครว่าชีวิตมีทางเลือกเสมอ..

ผมไม่เคยมี


..................................


ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับโจเซฟ เขารับมันไปก่อนจะเช็ดผมตัวเองอย่างลวกๆ

ผมไม่พูดอะไร..



โชคดีของผมที่ครั้งนี้พวกมันทำงานพลาด..

หรือไม่มันก็ตั้งใจพลาดเพื่อ'ตักเตือน'




"ถามจริงๆเถอะ..วินด์..คุณทำงานอะไรกันแน่?"



ผมชายตามองเขา ก่อนจะยิ้ม

"ทนายไง..ตอนนี้เป็นผู้ช่วยอาจารย์"




"ทนายธรรมดาๆที่ไหนตกเป็นเป้ายิงกัน..วินด์"

ร่างสูงพูดก่อนจะขมวดคิ้วมองผม..

"ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่..แต่สิ่งที่คุณกำลังทำมันอันตราย..คุณยังมีอนาคตอีกไกลนะ

อย่าเอามามันมาทิ้งเพราะอะไรก็ไม่รู้นี่เลย.."


ผมมองหน้าโจเซฟ..

มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว

ไม่ว่าใคร .. ไม่ว่าใครที่เข้ามา

มาบอก มาตักเตือน บอกให้ผมทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้

ทำเหมือนเข้าอกเข้าใจชีวิตผมดีเหลือเกิน..
ทำเหมือนคิดว่าผมมีทางเลือกมากมาย..


มันไม่มี..

มันไม่มีเลยรู้หรือเปล่า..

ผมอยากกรีดร้อง อยากลงไปนอนเป็นเด็กเล็กๆ
อยากทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เขารับรู้..

ว่าผมนั้นอ่อนแอเพียงใด

สั่นเทิ้มเพียงใด..


ได้โปรด..

ได้โปรดมองเห็น..ความหวาดกลัวนี้..ความขลาดเขลานี้..




แต่ที่ผมทำคือการยืนนิ่งๆ


"ไม่ต้องห่วง ผมดูแลตัวเองได้"




โจเซฟถอนหายใจ.. เขาเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมที่เปียกของผม..



"คุณไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งตลอดเวลาหรอกนะ.."



ผมส่ายหัว


"ผมจำเป็น"


ประสบการณ์ชั่วชีวิตของผม ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่อาจอ่อนแอได้
ไม่อาจทำได้ แม้เพียงสักวินาทีเดียว..



คืนนั้นก่อนจะนอนผมตัดสินใจโทรไปวางแผนการคุ้มกันนายท่านใหม่ทั้งหมด
เตรียมหลักฐานสู้คดีค้าประเวณี..
จัดแผนการสอนสำหรับนักศึกษา..

และคืนนั้นเมื่อหลับตา..
ใบหน้าขมุกขมัวเล็กๆก็ค่อยๆย่องเข้ามาในราตรีที่แสนยาวนาน


ผมกรีดร้อง



.................................







"วินด์ วินด์ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะโอเค"


ผมตัวสั่นเทิ้มอยู่ในอ้อมแขนของโจเซฟ..



ห้องพักของเราเป็นห้องชุดเเบบพิเศษ..
คือ มีห้องนอนสองห้องและเชื่อมหากันได้..


โจเซฟเป็นคนช่างเลือก..



"..คุณจะโอเค.."

เขากระซิบก่อนจะกอดผมแน่นขึ้น



ความรู้สึกเปียกชื้นบนใบหน้ายังไม่หายไป..

แต่ความร้อนกลับขึ้นมาแทน...


ผมผลักเขาออก


"..ท..โทษที.."

ผมชินกับการตื่นมาพร้อมน้ำตาทุกครั้งที่ฝันร้าย..
แต่ผมไม่ชินกับการตื่นมา ..แล้วมีคนคอยอยู่ข้างๆ..



แม้จะเป็นเขาก็เถอะ..


น่าอายชะมัด..


ไม่อยากให้เห็นเลย..


"แค่..ฝันร้ายน่ะ"
ผมพูด พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ


โจเซฟลุกไปกดน้ำอุ่นมาให้ผม
"คงไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นใช่ไหม.."

ผมไม่ตอบ

"คุณฝันร้ายบ่อยนะวินด์..ตอนนั้นก็เหมือนกัน"
ร่างสูงพูดก่อนจะนั่งลงข้างๆผม

"คุณมีอะไรอยากจะเล่าไหม..ผมจะฟังนะ"

โจเซฟพูดก่อนจะจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม
เมื่อผมมองกลับดวงตาสีเขียวมรกตนั้น..หัวใจของผมสั่นไหวแปลกๆ..


แปลก..


ความรู้สึกนี้ไม่คุ้นเคย..
ความรู้สึกของใครสักคนที่ยอมให้ผมพึ่งได้..
ใครสักคนที่จะเเบกรับมันได้..


ผมกลัว

ผมส่ายหัว

"ผมไม่เป็นอะไรเเล้ว จริงๆ.."

ผมพูดและรอบตัวเราสองคนก็ปกคลุมด้วยความเงียบ

"แล้วนี่คุณจะกลับเมื่อไหร่"

ผมถาม และเขาขมวดคิ้ว

"ทำไมอยู่ๆถามอย่างนั้น ..ผมอยู่ด้วยไม่ดีเหรอ?"

"เปล่า คิดว่าคุณคงต้องมีงาน ขลุกอยู่ที่นี้นานๆไม่มีประโยชน์อะไรหรอก"

เขายิ้มเเล้วส่ายหัวให้ผม

"...ผมดูแลงานของตัวเองได้น่า ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า"

"ไม่ต้องห่วงผม ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร!"

ผมเผลอขึ้นเสียงใส่เขา ก่อนจะคิดได้ จึงพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลง

"คุณกลับไปนอนเถอะ"

โจเซฟถอนหายใจ มองผมอีกครั้ง ก่อนจะบอกราตรีสวัสดิ์และเดินกลับห้องไป..


น่าแปลกที่หลังจากนั้นในความฝันของผมมีเพียงความมืดมิด
ราตรีที่เงียบสงัด โดดเดี่ยว และยาวนาน

.................................



"หัวหน้าครับ...คุณอาทิตย์ติดต่อขอเข้าพบนายท่านอย่างที่หัวหน้าบอกไว้เลยครับ..
ให้ผมทำอย่างไรดีครับ?"

โยฮันเนสรายงานเสียงมาตามสาย ..ผมขมวดคิ้ว ไม่อยากจะเชื่อ..

"ปฏิเสธไป บอกว่าตอนนี้นายท่านป่วยหนักมาก ห้ามใครเข้าพบจนกว่าอาการจะดีขึ้น"

"..แล้วเมื่อไหร่อาการจะดีขึ้นล่ะครับ.."



"เมื่อฉันกลับไป"


หลังจากนั้นทั้งอาทิตย์ผมต้องทำงานถึงสามอย่างพร้อมๆกัน

เป็นอาจารย์ผู้ช่วย... เป็นไกด์ .. เป็น'หัวหน้า'..

ผมยอมรับว่าอย่างที่สองทำให้ผมค่อนข้างปวดประสาทอยู่บ้าง
แต่เมื่อเทียบกับงานอื่นๆแล้ว มันเหมือนเป็นการพักผ่อนเสียมากกว่า

อย่างเช่นตอนนี้


"หืมม รูปปั้นเยอะดีนะ.. ผมแปลกใจที่มหาลัยนี้สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นเเบบตะวันตกเก่า..อาคารเรียนเอย รูปปั้นเอย"

"ที่นี้เมื่อก่อนก่อตั้งในยุคที่ชาวตะวันตกเริ่มเเพร่หลายเข้ามาน่ะ.. เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่แรกๆ สาขาเรียนที่โดดเด่นก็คือนิติศาสตร์นี่แหละ.."
ผมพูดอย่างภูมิใจนิดๆ

"แล้วคุณก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองจากที่นี้ ..โอ้มายก็อด โคตรจะเทพ"
เขามองหน้าผมอึ้งๆ ก่อนจะทำท่าบูชาจนผมหัวเราะ

"เว่อตลอด"

"จริงง..เออเเล้วผมก็ชอบพวกต้นซากุระต้นแปะก๊วยพวกนี้ด้วย ดูญี่ปุ๊นญี่ปุ่น พอรวมๆกับสถาปัตยกรรมโบราณตะวันตกหน่อยๆก็เข้ากันดีนะ.."

ผมปล่อยให้ร่างสูงตรงหน้าเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศรั้วมหาวิทยาลัย
ในขณะที่ตนเองก็ลอบสังเกตเขาไปด้วย..


สบายใจ..


ก็ทั้งชีวิตคงไม่เคยเจออะไรลำบาก


ก็คนที่อยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ..




"ดีใจจังนะ ได้มาเที่ยวกับคุณเนี่ย.."



"พูดเหมือนไม่เคยมาญี่ปุ่น"

ผมพูดก่อนจะชายตามองเขา..


"เคยมามันก็ส่วนหนึ่ง..แต่ ไม่รู้สิ.. ตอนเด็กๆผมอยากไปที่ไหนก็ได้ไปเลยน่ะ.. แต่ก็แค่นั้น.. ไม่มีใครพาเที่ยวแบบนี้"

ร่างสูงพูดก่อนจะยิ้มๆให้ผม..ทำไมอยู่ๆก็หมั่นไส้ไม่ค่อยลงไม่รู้..


"คุณอาจจะคิดว่าผมเนี้ย คนรวย เกิดมาอยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่าง"

ดวงตาสีเขียวมรกตมองตรงมาที่ผมก่อนจะพูดว่า


"คุณคิดถูกแล้วแหละ"

ผมเผลอใช้ฝ่ามือตีหน้าอกเขาไปดังเพี๊ยะ! เขาหัวเราะลั่น ก่อนที่ผมจะหัวเราะตามไปด้วย..


"อยู่กับผม ผมไม่ให้นะ.. อยากได้อะไรก็จะไม่ให้สักอย่าง"

ผมพูดกวนเขาไป และเขายิ้มกว้าง


"ดี ผมชอบ"



ผมนิ่งไปสักครู่ก่อนจะพูดเบาๆว่า..ให้มันจริงเถอะ



"เอ้อแต่ที่ผมอยากจะพูดตอนแรกคือ ผมก็มีปัญหาของผมเหมือนกัน คือเกิดมาแล้วไม่มีใครรักน่ะ.. ครอบครัวผมภายนอกก็ดูสมบรูณ์แบบกันดี.. พ่อแม่ลูก ตระกูลร่ำรวย ประสบความสำเร็จ.. แต่เอาเข้าจริงๆผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด"

โจเซฟพูดด้วยท่าทีสบายๆมากกว่าคนที่มีปัญหา..นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม..


"แต่ผมจะเป็นเด็กมีปัญหาไปตลอดชีวิตไม่ได้..ตอนเด็กๆอาจใช่อยู่ อาจเอามาอ้างได้ว่าพ่อแม่รังแกฉัน.. แต่นี่ผมโตแล้ว ผมเลยต้องใช้ชีวิตต่อ จะเอาแต่ร้องงอแงเหมือนเด็กๆก็ไม่ได้"


"อย่างหนึ่งเป็นเพราะต่อให้ทำอย่างนั้นไปก็ไม่มีใครอยากปลอบใจแล้วด้วยนั่นล่ะ"

โจเซฟพูดก่อนจะทำหน้าเซ็งจนผมต้องกลั้นขำอีกครั้ง..




ความสามารถพิเศษของหมอนี่หรือไงกันนะ..


ทำให้ทุกอย่างดูสบายอกสบายใจไปได้หมดอย่างนี้..






บางทีผมน่าจะลอง..




ลองให้พื้นที่เขาอีกสักนิด..เผื่อว่า


เผื่อว่าเขาจะนำความ'สบายใจ'แบบนั้น..
แบ่งปันให้ผมได้บ้าง..




"จริงๆผมมาจากบ้านเด็กกำพร้า"


ผมพูดขึ้น และเขาหยุดฟัง



"คุณพ่อรับผมมาเลี้ยง..ท่านไม่ใจดีกับผมมากนัก แต่ผมก็ขอบคุณท่าน.."


อย่างน้อยนายท่านก็ใจดีกับผม..มากกว่า..หญิงอ้วนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า..

สถานที่ที่เหมือนนรกนั่น..



ผมเงียบไป..สักพักเขาจึงพูดว่า


"จบแล้ว?"

ผมพยักหน้า


"เอาจริงดิ?!"

ผมพยักหน้าอีก..

..ก็ผมอยากเล่าแค่นี้นี่..




"...อืมม..แล้ว..สถานเด็กกำพร้านั่นเป็นยังไง"










"แย่มาก"


ผมพูดและเขาเอียงคอ




"เหมือนในหนังโรคจิตป่าว"



"หนังโรคจิต?"



"แบบใช้เเรงงานเด็กๆ.. ให้กินอาหารน้อยๆ ทำงานหนักๆ ทุบตี ข่มขืน.."



ผมกลืนน้ำลาย..แล้วพยักหน้า..




"เฮ้ย..จริงดิ?!!"



"จริง"

ผมพูดก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น..ไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว..

และดูเหมือนโจเซฟจะเข้าใจ..




"ตอนนี้คุณก็มีทุกอย่างเเล้ว..ไม่คิดกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรที่นั่นหน่อยเหรอ"



ผมหันไปสบตาร่างสูง.. เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ..

แต่เจตนาของประโยคนั้นส่งผลต่อตัวผมมาก..




"ผมไม่..ไม่อยากกลับไป"




"เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน..เราทำงานการกุศลสร้างภาพลักษณ์กันหน่อยเป็นไง"

โจเซฟพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วลากให้ผมเดินเร็วขึ้น..


ไม่รู้ทำไม..ผมสบายใจขึ้นนิดหน่อยตอนได้จับมือเขา..



"ไม่เอา"


"เอา เชื่อผมสิ..มันจะดี.. ผมว่าเวลาผ่านไปหลายปี หลายๆอย่างคงเปลี่ยนไป.. มันไม่ใช่ที่เดิมที่คุณเคยรู้จักแล้วนะ..
แถมยังมีเด็กๆอีกเยอะรอเงินสนับสนุนจากพวกเราอยู่...เฮ้อ..คนหล่อ รวย ใจบุญ รักเด็ก.. ใครจะเกิดมาได้เทพบุตรอย่างนี้ไม่มีอีกแล้วว"


"โจเซฟ"

ผมลากเสียงขอร้องเขา ดึงมือออกมาอย่างแรง..แต่ไม่สำเร็จ


สุดท้ายคนเอาแต่ใจก็ลากผมกลับโรงแรม..ก่อนจะบังคับแกมขู่เข็ญให้ผมบอกชื่อสถานสงเคราะห์นั้น..



"เดี๋ยวคุณกลับไทยเมื่อไหร่ผมจะลากคุณไปที่นั้นให้ได้"

ร่างสูงพูดอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ..ผมส่ายหัวอย่างอ่อนเพลีย..




..................................



คืนนี้โจเซฟชวนผมมาจิบไวน์ที่ชั้นล่างของโรงเเรม..


เรื่องของเรื่องคือผมเป็นพวกไม่นิยมเครื่องดื่มมึนเมา..ถ้าไม่จำเป็น..

แต่ดูเหมือนคนข้างๆจะชื่นชอบมันเป็นพิเศษ..



แถมยังหวังดีให้พนักงานรินใส่แก้วให้ผมอยู่เรื่อยๆอีกด้วย..




"ผมพอแล้วนะ..ผมไม่ค่อยได้ดื่ม"



"เอาหน่อยน่า"

ร่างสูงพูดก่อนจะชนแก้วกับผมอีกครั้ง..และเมื่อสบสายตาคู่นั้น..



เฮ้อ...ปฏิเสธไม่ได้สักที..






เวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่ผมไม่อาจรู้ได้..

รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกตัวเบา..มีความสุข..


ปนง่วงนิดๆ..





"ผมง่วงแล้ว"

ผมพูดก่อนจะเอียงตัวซบไหล่คนข้างๆ..แล้วสักพักก็มีมือหนาๆดึงผมเข้าไปซบ..



"ผิดคนแล้ว..ฮ่าๆๆ"

ผมเหลือบตาขึ้นมองโจเซฟ..นี้ผมอยู่ในอ้อมแขนเขาอีกแล้วเหรอนี่..



..อบอุ่น..สบายใจจัง..




"เฮ้ยๆ อย่าอ้อนดิคุณณ"

ร่างสูงพูดก่อนจะใช้มือลูบหัวผมเบาๆ.. ผมซุกตัวเข้าหาเขามากยิ่งขึ้น..



"ไม่ได้อ้อน"


"เมาแล้วนะเนี่ย.."



"Nope"



"Yes, you are"

โจเซฟพูดก่อนจะประคองผมขึ้นแล้วพาผมเดิน..เพื่อที่จะกลับไปยังห้องพัก..





.................................




"ผมก็เมานะ"


ร่างสูงพูดก่อนจะวางผมลงบนเตียง ผมขมวดคิ้วมองเขา



"กอด.."



"ให้ผมกอด?"



ผมพยักหน้า และเขาตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม



"กอดผม"



"ไม่เอาน่า.. คุณโตแล้วนะวินด์..อ้อนแบบนี้ถ้าผมล่วงเกินจะทำไงห้ะ.."

เขาใช้ดวงตาสีเขียวที่ดูมีเสน่ห์นั้นมองผมก่อนจะเม้มปาก..อยู่ๆผมก็น้ำตาไหลออกมา..



"ฮึก..ไม่เอาอีกแล้ว..ไม่เอา.."


ผมมองเห็นหญิงร่างอ้วนเดินเข้ามา..เธอถอดเสื้อผ้าแล้วเรียกผมกับน้องๆไปหา..




'เอาแค่เด็กผู้ชาย..'


เธอบอกก่อนจะบังคับให้น้องของผมคนหนึ่งก้มลงอยู่ข้างล่าง..

เด็กๆผู้มีใบหน้าขมุกขมัว..ใบหน้านั้นเลือนลางทว่าหยาดน้ำตากลับชัดเจนยิ่ง..






"ฮึก..ไม่เอา...ไม่.."





ผมนอนตัวสั่น..และอ้อมแขนที่กอดผมไว้..น้ำหนักเตียงที่ยวบลงไป..


กับจูบที่หนักแน่น..มึนเมา.. สัมผัสและรสชาติเป็นของไวน์..มันทำให้ผมเวียนหัว..







"เรากำลังทำอะไร.."


ร่างสูงกระซิบกับผมเบาๆ..

ผมรู้สึกโหวงในท้องน้อยเมื่อน้ำหนักตัวของเขากดทับลงมาแรงยิ่งขึ้น..


ผมร้องไห้เบาๆก่อนจะใช้สองมือโอบแผ่นหลังกว้างเอาไว้..

ราวกับจะยึดมัน..






"ถือว่านี้เป็นคำปลอบโยนจากผมละกัน"

ปลายลิ้นร้อนชื้น..กลิ่นไวน์ที่ชวนเวียนหัว.. แทรกซึมเข้ามา.. ตอนแรกเริ่มที่ต้นคอ..
ลงมาที่หน้าอก..



เสื้อเชิ้ตตัวบางถูกดึงออกอย่างลวกๆ..



ผมสับสน.. น้ำตาเริ่มแห้งเหือด..


ความรู้สึกร้อนวูบวาบเข้ามาแทนที่..





..ผมอาจต้องการคำปลอบโยน..





ในตอนนั้นผมไม่มีทางรู้เลยว่าค่ำคืนนี้จะเปลี่ยนแปลงพวกเราสองคน




เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

























"โจเซฟมีแฟนแล้วค่ะ...คู่หมั้น..คบกันมานานแล้วด้วย" :laugh:

ติดตามต่อไปว่า One night stand แบบผิดศีลธรรมจรรยานี้จะไปจบลงที่ใด..
และวินด์..ผู้ที่ทั้งฉลาดเฉลียวแต่บิดเบี้ยวและเปราะบางจะได้พบเจอความรักจริงๆหรือไม่..

หรือต้องหอบหัวใจบอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า..

ครั้งนี้ชีวิตของเขาจะมีทางเลือกไหมนะ..หรือมันจะไม่เคยมีอย่างที่เขาบอกจริงๆ..


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ(โค้ง)



--Anynomous--
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: SmileCheek ที่ 17-04-2018 20:55:42
ชั้นไปอยู่ที่ไหนมา....ถึงเพิ่งมาเจอเรื่องนี่.... ชอบความแรดของสอง.....ชอบความตรงของกิด....5555 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-04-2018 10:50:35
 :L2: :L1: :pig4:

ยังรออ่านตอนพิเศษเสมอ
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:19:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈️ จาก New York สู่ Khonkaen [25 ตอนจบ] (ตอน 21.04: ความเข้มแข็ง) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-09-2020 07:05:13
มาอ่านใหม่ ลำลึกความสนุก ยังสนุก ยังชอบบบบ เหมือนเดิม
ไรท์ เขียนดีมากกกกกกกกกกก จริงๆ  :z3:  :sad4:  :hao5:
       :pig4: :pig4: :pig4: