Calorie ที่ 40 มาร์ชแมลโลว์ที่แสนรัก ผมยังคงนั่งอยู่ริมสนามบาสด้วยความสิ้นหวัง ถึงแม้ว่ารอบตัวนั้นจะมีแต่เสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดที่ดังกึกก้อง แต่หัวใจของผมนั้นมันช่างเงียบสงบนัก
ผมมองสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันที่จบลง รุ่นพี่ที่เข้ามาถามไถ่ผม ผู้คนที่เริ่มบางตา และสุดท้ายก็เหลือแต่เพียงผมที่นั่งอยู่ลำพัง
ผมค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ และเดินกลับลงไปยังถนนข้างล่างนั่น ผมมองโทรศัพท์มือถือของผมที่กำลังสั่น และสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับเป็นจำนวนเกือบร้อยสาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นเพื่อนของผมไอ้เมี่ยง พี่นาย แพร และใครกันนะ ผมขมวดคิ้วก้มมองดูเบอร์แปลกๆ ที่โทรเข้ามาเพียงสายเดียวเท่านั้น แต่มันก็คงไม่ได้สำคัญอะไรหรอก
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังคงส่องแสงสว่างจ้า ตอนนี้น่าจะเกือบเย็นแล้ว และการแข่งขันของไอ้เมี่ยงก็คงจบลงไปนานแล้วเช่นกัน
ผมค่อยๆ เดินลัดเลาะไปยังถนนที่เป็นทางกลับบ้านของผมแต่เพียงลำพัง เดินมาเรื่อยๆ และตั้งใจว่าจะไปหาไอ้เมี่ยงที่บ้านก่อน เพราะมันเล่นโทรหาผมซะขนาดนั้น ถ้ามันไม่เจอผมวันนี้ มันอาจจะคิดมากจนอกแตกตายก็เป็นได้
ผมสวัสดีน้าจันทร์ที่ยืนขายของอยู่หน้าบ้านและเดินขึ้นบันไดไม้ไปยังชั้นบน
' ฟิ้วว~ ปั้ง ปั้ง ปั้ง! '
ผมตาโตตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจทันทีที่กระดาษสีสวยพุ่งใส่หน้าผม ผมกวาดตาไปรอบๆ มองผู้คนที่กำลังถือพลุกระดาษที่เอาไว้ใช้ในงานปาร์ตี้อยู่ในมือ และดึงใส่หน้าผมซะอย่างนั้น ผมขมวดคิ้วงงๆ มองไอ้เมี่ยงที่สวมหมวกปาร์ตี้อยู่บนหัว พลางชี้ขึ้นไปยังป้ายผ้าน้อยๆ ด้านบน
' HAPPY BIRTHDAY อาลี่ 19 ขวบ!! '
ผมหัวเราะเบาๆ ออกมา นี่ผมอาการหนักถึงขนาดลืมวันเกิดตัวเองเลยเหรอเนี่ย สุดยอดเลยแฮะ
ผมยิ้มให้เพื่อนๆ ที่อุตสาห์จัดงานไร้สาระแบบนี้ให้ผม ใครมันต้นคิดฟะเนี่ย ผมมองไอ้เมี่ยง พี่นาย แพร และใครก็ไม่รู้อีกโขยงนึงได้ นี่บ้านมึงจะไม่พังลงไปจริงๆ เหรอเนี่ย
" ตอนแรกพี่บอกว่าให้ไปจัดบ้านพี่ แต่มีหมาตัวนึงมันไม่ยอม ก็เลยได้แบบที่เห็น " พี่นายพูดพลางเหลือบมองไอ้เมี่ยงที่กำลังแอบโซ้ยไก่ทอดที่มันซ่อนเอาไว้
" ขอบคุณนะครับ แต่จริงๆ ไม่ต้องจัดก็ได้ " ผมพูดพลางยิ้มน้อยๆ
ทุกๆ ปีนั้น จะมีแค่เพียงผมกับไอ้เมี่ยงแลกของขวัญกันอยู่สองคนเท่านั้นเป็นส่วนใหญ่ บางปีก็ไปเที่ยวกับครอบครัวบ้าง แต่ส่วนมากผมไม่ได้สนใจอะไร เลยไม่ชอบทำอะไรให้มันใหญ่โต ปีนี้ถือว่าครึกครื้นกว่าทุกปีเลยทีเดียว
ผมเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวและกินขนมที่แพรยื่นให้ แพรบอกว่าที่ตัวเองรู้ก็เพราะว่าไอ้เมี่ยงแอบกระซิบบอกเรื่องจัดงานวันนี้ ก็เลยขอตามมาด้วย ผมมองไอ้เมี่ยงและพี่นายที่กำลังแย่งของกินกัน นี่ทั้งสองคนน่ะ แอบวางแผนเอาไว้นานแล้วสินะ ร้ายจริงๆ ส่วนคนอื่นๆ ที่ผมไม่รู้จักก็เข้ามาทักทายผม และผมก็พบว่าจริงๆ แล้วคนพวกนี้ก็ดูคุ้นตาอยู่ เพราะว่าทุกคนก็คือเพื่อนของพี่นาย เพื่อนในเอกของไอ้เมี่ยง และเพื่อนของพี่โรล ทุกๆคนมักจะพูดให้กำลังใจผมเรื่องพี่โรล และบอกผมว่าผมนั้นเข้มแข็งมากเพียงไหน ชมผม และบอกให้ผมยืนหยัดต่อไป ผมได้แต่ยิ้มและบอกตัวเองว่าผมยังไหว ผมจะต้องทนไหว
เมื่อก่อนนั้นผมเคยคิด ว่าผมกับพี่โรล พวกเราจะได้มีโอกาสฉลองวันพิเศษๆ ต่างๆ ด้วยกัน ได้ตัดเค้ก ได้อวยพร ได้หัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ข้างๆ กัน ถึงตอนนี้มันจะยังเป็นไปไม่ได้ และผมนั้นก็รู้สึกเหงาเหลือเกิน แต่ผมก็คิดเสมอว่า ผมยังมีเวลาอีกยาวนาน ยังมีอีกหลายโอกาสพิเศษที่เราจะได้ทำร่วมกันถ้าพี่กลับมา และผมสัญญา ว่าถ้าหากผมได้มีโอกาสอยู่กับพี่อีกสักครั้ง ผมจะทำทุกวันให้มีค่า ให้ทุกวันเป็นวันพิเศษของเราสองคน
ผมที่นั่งจิบน้ำหวานเงียบๆ อยู่ดีๆ ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เพราะว่ามีมือคู่หนึ่งมาปิดตาของผมไว้ ทำให้ทุกๆอย่างนั้นมืดลง
" เล่นอะไรเนี่ย " ผมบ่นเบาๆ และลุกขึ้นยืนช้าๆ พยายามแกะมือที่ปิดตาผมออก แล้วทำไมทุกๆ คนถึงนิ่งเงียบกันนะ
ผมหัวใจสั่นไหว และพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังนึกฝันอยู่
หรือว่า พี่โรล...
พี่กลับมาแล้วงั้นเหรอครับ แอบมาเซอร์ไพรส์ผมใช่ไหม
ผมยิ้มกว้างและรอเวลาที่ไอ้เมี่ยงจะเปิดตาให้ผม ผมจำมือมัน จำกลิ่นมันได้ ถึงรู้ว่ามันเป็นคนปิดตาผมอยู่
ผมตัวสั่นน้อยๆ กำมือตัวเองแน่นด้วยความตื่นเต้น พี่ครับผมคิดถึงพี่
แสงสว่างค่อยๆ ลอดผ่านตาผมและค่อยๆ ปรากฎชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมมองคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา โดยมีเค้กก้อนใหญ่บังอยู่ด้านหน้า คนคนนั้นตัวสูง ผิวขาว และ... แต่ผมที่กำลังยิ้มกว้างก็ค่อยๆ หุบยิ้มลงน้อยๆ ผมบังคับตัวเอง ให้ยิ้มต่อไป และห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
" เซอร์ไพรส์!! เค้กนี่สั่งพิเศษเลยนะ กูออกเงินเยอะสุดเลยด้วย " ผมมองไอ้เมี่ยงที่ยิ้มหน้าบานและกอดอกเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ ผมจ้องมองคนที่ถือเค้กมาให้ หมอนั่นยิ้มน้อยๆ และมองผมด้วยสายตาเป็นประกาย คนคนนี้ไม่ใช่คนที่ผมเฝ้ารอ
" ขอโทษที่มาช้านะลี่ พอดีต้องไปรอเอาเค้กที่สั่งเนี่ยแหละ " ผมมองแมคที่วางเค้กลงและเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ
ผมกระพริบตาถี่ และยิ้มให้เพื่อน ยิ้มให้ทุกคนที่อุตส่าห์หวังดีกับผม ผมจะทำทุกอย่างพังไม่ได้
" ขอบคุณมากเลย " ผมพูดเสียงสั่นและพยายามฉีกยิ้มกว้าง
" ใครกินน้ำหวานหมดฟะ " ผมมองไอ้เมี่ยงที่กำลังหน้าบึ้งและเทขวดน้ำหวานที่มีแต่อากาศ
" เดี๋ยวกูไปซื้อให้ " ผมบอกและรีบเดินทำท่าจะลงบนได
" เห้ย มึงเป็นเจ้าของงาน จะไปได้ไง " ไอ้เมี่ยงวิ่งมาดึงผมเอาไว้
" ไม่เป็นไร กูอยากไปซื้อขนมเพิ่มพอดี แปบเดียวเอง " ผมพูดและยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อน มันทำหน้ามึนๆ แต่ก็ยอมปล่อยแขนผม ผมจึงเดินลงมา และรีบออกมาจากตรงนั้น
ผมเดินมาเรื่อยๆ เดินไปตามทางด้วยจิตใจหมองหม่น ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดแรง ผมอ่อนล้าเหลือเกิน ผมไม่เคยเข้มแข็งเหมือนที่ใครๆ คิด ผมเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างในหัวใจ ผมสับสน มันมืดมน ดูไร้ซึ่งหนทาง ผมกำลังทำอะไร ผมกำลังโดนทิ้งเอาไว้ใช่ไหม พี่ไม่ได้รักผมอีกแล้วใช่หรือเปล่า
ผมน้ำตาไหลออกมาช้าๆ และร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ โลกที่ไม่มีพี่อยู่ข้างๆ มันทำให้ผมเจ็บปวดเหลือเกิน ผมที่เคยได้พบพี่แล้ว ก็ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก ผมคิดถึงพี่ ทุกเวลา ทุกนาที ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจ
ผมยังคงเดินมาเรื่อยๆ มายังซอยที่ร้างบ้านเรือน ซอยที่มีแต่ต้นหญ้าสูงสองข้างทาง ผมจำสถานที่นี้ได้ ผมเจอเด็กๆ ที่กำลังรังแกลูกหมา และพี่โรลก็เข้ามาช่วยผมและทำตัวผมเลอะไปด้วยน้ำหวานเต็มไปหมด
ผมเดินช้าๆ เหม่อมองท้องฟ้าที่เป็นสีส้มตัดกับสีฟ้าจางๆ สายลมอ่อนๆ ที่กำลังพัดผ่านนั้นช่างดูเงียบเหงา เหมือนกับหัวใจของผมในตอนนี้
' ให้ ฉัน ~ ดู แล เธอ รัก เธอ ได้ ไหม ~ '
ผมหยุดชะงัก เงี่ยหูฟังเสียงเพลง เสียงที่เหมือนกับเสียงกระซิบของสายลมอันแผ่วเบา นี่ผม คิดถึงพี่มากขนาดไหนกันนะ ถึงได้ยินอะไรแบบนี้
โรล ( 12 ชั่วโมงก่อน )
ผมกลับมาจากรัสเซียด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ตลอดเวลาผมเฝ้าแต่ถามตัวเองว่าผมเป็นใคร มีบางอย่างที่แสนสำคัญขาดหายไป ผมใช้เวลาที่พักฟื้นทั้งหมด ไปกับการพยายามนึกถึงสิ่งสำคัญเหล่านั้น ร่างกายของผมไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่หัวใจของผมกลับเจ็บปวดเหลือเกิน
" โรล แน่ใจนะว่าอยากกลับไปที่คอนโด กลับไปอยู่บ้านจะมีคนดูแล แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ " คุณพ่อพูดกับผมที่สนามบิน
" ไม่ครับ ผมอยากไปที่คอนโด " ผมอยากไปที่นั่นจริงๆ
" โทรหาน้องด้วยนะโรล น้องเขารอลูกอยู่ตลอดเวลานะ " ผมมองคุณพ่อที่ยิ้มน้อยๆ ให้ผม
ผมรู้ครับ ผมคงดูเหมือนคนใจร้าย ที่ปล่อยให้คนที่รักนั้นเฝ้ารออย่างไร้จุดหมาย แต่มันไม่ใช่เลย ไม่เคยมีวันไหนที่ผมจะไม่คิดถึงใบหน้าของเด็กคนนั้น
ลี่มักจะยิ้มให้ผม บอกผมว่าไม่เป็นไร ผมมองแววตาที่วูบไหวของเด็กคนนั้นที่กำลังแตกสลายอยู่ภายใน ผมไม่รู้เลยว่าตัวผมนั้นเป็นอย่างไรเมื่อตอนที่ยังจำได้ ตัวผมนั้นใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อตอนที่เราคบกัน
ผมนั้นเกิดมามีพร้อมทุกสิ่ง ทั้งชื่อเสียงเงินทอง รูปร่างหน้าตาที่ไม่ต้องมีความพยายามใดๆ ที่จะได้มา ผมเคยคิดว่าผมนั้นเป็นคนที่โชคดีกว่าใครๆ แต่เมื่อครอบครัวผมเริ่มแตกออก ผมก็เริ่มที่จะคิดใหม่ ว่าทุกอย่างมันช่างเปราะบาง และไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ผมเริ่มเอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์ ผมใช้ชีวิตด้วยการไม่ผูกติดกับใคร ไม่ไว้ใจใคร และไม่คิดจะรักใคร
แต่อยู่ๆ เด็กคนนั้นก็เดินเข้ามาและบอกผมว่าตัวเองนั้นเป็นเมียของผม ผมรู้สึกว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ผมที่ใช้ชีวิตแปลกๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแปลกถึงขนาดคบกับผู้ชายได้หรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไม ผมที่คิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และปฏิเสธมัน แต่ในหัวใจกลับรู้สึกว่าผมอยากเห็นหน้าเด็กคนนั้น เด็กคนที่มองผมเหมือนผมเป็นคนสำคัญ เด็กที่ซ่อนความรู้สึกไว้ข้างในหัวใจ เด็กคนนั้นคือคนที่ผมรักจริงๆ หรือเปล่า ผมอยากรู้ ผมอยากจำสิ่งเหล่านั้นให้ได้
ยิ่งได้พูดคุย ยิ่งได้จ้องมองแววตา ผมก็รู้สึกอ่อนลง แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเด็กคนนั้น การที่ผมนั้นลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป มันคงทำให้เจ็บปวดมากสินะ ผมไม่อยากเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองนั้น ผมรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นน้ำตานั่น นายเป็นใครกัน ทำไมนายถึงมีอิทธิพลต่อผมมากถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่สมองนั้นได้ลืมไปแล้ว แต่หัวใจของผมกลับไม่เคยลืม
ผมตั้งใจไว้ว่า เมื่อผมจำทุกสิ่งทุกอย่าได้อีกครั้ง ผมจะกลับไป กลับไปหาลี่ ผมกลัว ผมไม่กล้าพูดคุยกับลี่ เพราะผมกลัวที่จะห้ามใจไม่ได้และรีบกลับไปทั้งๆ ที่ยังคงจำลี่ไม่ได้เหมือนเดิม ผมรู้ว่าลี่จะดีใจที่ได้พบผม ถึงผมจะจำไม่ได้เลยก็ตาม แต่ผมนั้นก็รู้อีกว่า ความดีใจของลี่นั้น ก็ยังไม่เท่าความเสียใจที่อยู่ภายใน
ในวันนี้ ผมกลับมาที่ไทยแล้ว ทั้งๆ ที่ยังคงจำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ผมรู้สึกสิ้นหวัง ผมคิดว่าผมใช้เวลานานเกินไปแล้ว ผมควรจะทำใจยอมรับความพ่ายแพ้นี้ และไปหาลี่เพื่อสร้างความทรงจำใหม่ๆ
" เดี๋ยวพ่อจะให้คนเอามาร์ชมาให้ มีอะไรก็โทรมานะ " คุณพ่อมาส่งผมที่หน้าห้องและกลับไป
ผมเข้ามาในห้องที่ไม่คุ้นเคย ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมอยู่ที่นี่งั้นเหรอ แต่เมื่อผมมองไปรอบๆ ห้อง ผมก็เริ่มคิดว่า ที่นี่คือที่ที่ผมอยู่จริงๆ มันมีแต่ของที่ผมชอบ ผมเหมือนคนโรคจิตที่ชอบอะไรกลมๆ แบบนี้ มันน่าขำแต่ก็ต้องยอมรับ
ผมเคยคิดว่า ถ้าผมจะตกหลุมรักใครสักคนจริงๆ คนคนนั้นคงต้องตัวกลมๆ น่ารักๆ แบบเจ้าพวกตุ๊กตาพวกนี้ แต่เมื่อผมคิดถึงลี่ ผมก็มักจะเริ่มคิดว่า ทำไมกันนะ ทำไมถึงเป็นเด็กร่างผอมคนนั้น ไม่ใช่ว่าลี่ไม่น่ารักหรอกนะ ลี่เป็นผู้ชายที่ผมเชื่อว่าถ้าใครได้เห็น ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวว่า เด็กนั่นน่ารักเหลือเกิน ผิวพรรณที่ขาวใสและส่องสว่างราวไข่มุก แก้มสีชมพูระเรื่อ ดวงตาดูมีเสน่ห์น่ารัก จมูกโด่งสวย และปากบางเล็กๆ สีชมพู แต่ทั้งหมดนั้นสำหรับผมแล้ว ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ผมเข้าหาลี่ได้อยู่ดี
ผมเฝ้าแต่ถามตัวเองว่าทำไม ทำไม และทำไม จะบอกว่าผมชอบลี่เพราะนิสัยหรือจิตใจ มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าผมไม่ชอบเข้าหาใคร ผมไม่ได้สนใจหรือใส่ใจรายละเอียดขนาดนั้น มันไม่มีทางที่ผมจะเดินเข้าไปจีบลี่และบอกว่าชอบลี่เพราะนิสัยดี มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ต้องมีอะไรบางอย่าง ดึงผมเข้าไป แล้วมันอะไรกันล่ะ
คุณหมอบอกผมว่า สมองผมนั้นย้อนกลับไปเกือบสองปีได้ แต่ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ สมองของผมนั้นจำไม่ได้แม้กระทั้ง ชื่อโรงเรียนม.ปลายของผม นี่เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่ผมไม่อยากเอ่ยบอกใคร ผมอาจจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม ผมคงต้องทำใจ
ผมเดินไปรอบๆ ห้อง สำรวจทุกซอกทุกมุมด้วยความสนใจ ถ้าผมเคยคบกับลี่จริงๆ ละก็ ทำไมกันนะ ทำไมถึงไม่มีอะไรเลย ผมไม่เข้าใจ หรือจะเป็นเรื่องที่ผมได้ยินในตอนนั้น ว่าเหมือนมีคนเข้ามาเอามันไป มันคืออะไรกันนะ
ผมนอนมองเพดานห้องที่ว่างเปล่าและก็ทำเหมือนทุกๆ วัน ผมหลับตาและพยายามนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ผมได้ลืมมันไป คิดถึงใบหน้าของลี่ รอยยิ้มที่แสนเศร้า เสียงหวานที่ก้องกังวาลอยู่ในหัว
ผมนิ่วหน้าน้อยๆด้วยความเจ็บปวด ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่กำลังไหลออกมาช้าๆ จากจมูกของผม เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทุกครั้งที่ผมนึก ทุกครั้งที่ผมพยายาม ผมเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลออกมาจากจมูก ยอมแพ้และหลับไหลไปด้วยความเสียใจ
ในช่วงบ่ายๆ ของวันต่อมา มีคนมากดกริ่งที่หน้าประตูห้องผมและยื่นกรงที่ใส่บางสิ่งไว้ให้
ผมวางกรงลงที่พื้นและเปิดประตูกรงนั้นออก รอดูสิ่งที่ยังอยู่ข้างใน และผมก็ต้องยิ้มกว้างทันทีที่ได้เห็นเจ้าตัวที่วิ่งอุ้ยอ้ายออกมาจากกรงนั้น มันคือแมวสีขาวตัวอ้วนกลม ผมพยายามคลานตามมันที่มุดหนีผมไปทุกซอกทุกมุม ผมอยากจะจับตัวมัน ผมอยากจะกอดมันด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เอาซะเลย
ผมยอมแพ้นั่งมองมันที่กำลังวิ่งขึ้นไปด้านบนด้วยความเหนื่อยอ่อน ไอ้ตัวนี้สินะที่ลี่บอกผม รู้สึกจะชื่อ มาร์ช หรืออะไรประมาณนี้ เป็นชื่อที่แปลก มันดูเหมือนจะเป็นตัวเมีย แต่ชื่อมาร์ชงั้นเหรอ ผมไม่เข้าใจการตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงของตัวเองเลยจริงๆ
ผมมองมือถือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ เอาล่ะ ถึงเวลาแล้วสินะ ผมจะโทรหาลี่ บอกลี่ว่าผมจะไปหา บอกลี่ว่าพวกเราจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง มันคงยังไม่สายเกินไปใช่ไหม
ผมหยิบโทรศัพท์ และกดโทรหาลี่ด้วยหัวใจที่เต้นรัว ผมจะเริ่มพูดยังไงดีนะ ผมนั้นรู้สึกว่านี่มันแย่เหลือเกิน ผมตัดสินใจกดวางสายด้วยมือที่สั่นเทา และหัวใจที่ไม่มีความกล้ามากพอ
ผมเดินอย่างหัวเสียไปรอบๆ และเตะเข้ากับอะไรบางอย่างที่ใต้โซฟา ผมก้มลงและหยิบมันขึ้นมา และก็พบว่ามันคือสมุดวาดรูปของผมนั่นเอง ผมนั้นถึงแม้จะยังจำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมรู้และถนัดนั้นก็คือการวาดรูป การอยู่ในโรงพยาบาลและไม่ได้จับดินสอเลยทำให้ผมหงุดหงิด เอาล่ะ มาดูสิว่า ฝีมือจะหายไปเหมือนความทรงจำหรือเปล่า
ผมเปิดดูในสมุดวาดรูปของผมด้วยความสนใจ แต่ก็ต้องผมขมวดคิ้วน้อยๆ มองดูสมุดที่มีรอยเหมือนกับถูกฉีกบางหน้าออกไป ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะทุกหน้า ใครกันที่ทำแบบนี้ และทำเพื่ออะไร
ผมเปิดสมุดหน้าที่ยังว่างและลากมือไปบนกระดาษเบาๆ ผมยิ้ม ผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้วาดภาพ มันเหมือนกับการปล่อยจินตนาการให้ล่องลอยไป ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังวาดอะไร แต่มือของผมมันเหมือนกับคุ้นเคยกับสิ่งนี้ และวาดไปมาโดยอัตโนมัติ แต่ผมที่กำลังยิ้มแย้มก็เริ่มขมวดคิ้วน้อยๆ ถึงสิ่งที่ปรากฎอยู่บนกระดาษ
ผมหยุดยิ้มและวาดลายเส้นลงไปด้วยความตั้งใจ วาดด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลากเส้นมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็เริ่มรู้ว่าผมกำลังวาดอะไร
ผมกำลังวาดภาพของคนที่ผมรัก การที่มือของผมจะวาดสิ่งนี้ออกมาได้โดยที่ไม่ต้องคิดนั้น มันแปลว่าผมได้เคยวาดภาพคนคนนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งลายเส้นปรากฎชัดมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของผมก็เหมือนจะระเบิดออกมามากขึ้นทุกครั้ง
ผมหยุดมือลง และมองภาพวาดบนกระดาษนั่น ลูบเบาๆ ที่รอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่มบนภาพวาดนั้น ผมน้ำตาไหลหยดลงบนภาพร่างตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน มันคือภาพของลี่จริงๆ เป็นลี่แน่นอน แต่ว่าทำไม ลี่ในภาพวาดนี้ถึงไม่ใช่ลี่ที่ผมเห็นในโรงพยาบาล แต่เป็นลี่ที่แก้มยุ้ยและดูอ้วนกว่าที่ผมเห็นมาก ผมรู้สึกปวดหัว ผมปล่อยดินสอร่วงลงกับพื้นและกุมหัวตัวเองด้วยความปวดร้าว อีกแค่นิดเดียว เหมือนผมกำลังจะนึกออก แต่มันก็ยังเหมือนกับจะเลือนหายไป
แต่ผมที่หลับตาแน่นและกุมขมับตัวเองอยู่นั้นก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มนิ่มที่เท้า
ผมลืมตาขึ้นและมองมาร์ชที่กำลังกลิ้งตัวออดอ้อนผมอยู่ ผมเอื้อมมือไปลูบแมวอ้วนกลมของผมช้าๆ และอุ้มมันขึ้นมากอดเอาไว้ ผมรู้สึกดีขึ้น เหมือนกับอาการปวดของผมนั้นทุเลาลง
" ขอบใจนะ " ผมจับมันพลิกตัวนอนหงายบนตักและเกาที่คอของมันเบาๆ มันน่ารักมาก ผมชอบมันมาก
ผมมองปลอกคอสีแดงของมันด้วยความสนใจ ปลอกคอนี้ผมคงเป็นคนเลือกสินะ เพราะว่าผมชอบสีแดงมาก ผมจับป้ายชื่อสีเงินรูปก้างปลาพลิกดู เพราะเรื่องชื่อมาร์ชนี่แหละที่ผมสงสัย มันดูเหมือนยังมีอะไรขาดหายไป
" มาร์ช " ผมขมวดคิ้วน้อยๆ
" มาร์ช แมล โลว์ " ผมอ่านชื่อเต็มๆ ของมันเบาๆ ด้วยแววตาที่สั่นระริก มือของผมสั่น และน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุด
' เหมือนมาร์ชแมลโลว์ '
' มาร์ชแมลโลว์ '
' อยากกิน '
' เหมือนอาลี่เลยน้า '
' พี่ชอบลี่ '
' พี่นอนกอดลี่ได้เหรอ '
' ลี่เป็นของพี่ ของพี่จริงๆ '
' พี่รักลี่ '
ราวกับสมองของผมกำลังฉายภาพไปมาอย่างรวดเร็ว เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวของผมนั้นบอกเล่าทุกสิ่งที่ผมกับลี่นั้นได้ทำร่วมกันมา ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างเจ็บปวดใจ ผมทำอะไรลงไป ผมนึกถึงสีหน้าของลี่ตอนที่ผมปฏิเสธลี่ที่โรงพยาบาลนั่น ผมพูดอย่างนั้นได้ยังไง ลี่ต้องเจ็บปวดเสียใจขนาดไหน ตอนนี้ผมได้รู้ซึ้งแล้ว
ลี่ เสียงเพลงนั่นทำให้ผมหัวใจสั่นไหว แต่ผมก็ยังคงเลือกที่จะเดินต่อไปข้างหน้า ความผิดหวังซ้ำๆ มันทำให้ผมนั้นกลัว ความกลัว ทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไป แต่เสียงกีต้าร์นั้น ก็ยังคงดังอย่างแผ่วเบาเรื่อยๆ และหยุดลงในที่สุด
มันคงเป็นสิ่งที่ผมนึกฝัน เป็นสิ่งที่ผมอยากจะได้ยินสินะ มันเป็นเพลงที่พี่มอบให้ผม เป็นเพลงที่มีค่า มีความหมาย และทำให้ผมยิ้มได้ทุกๆ ครั้งที่ได้ยิน
' มาร์ชแมลโลว์ '
ผมชะงักและหยุดเท้าลงด้วยแววตาที่สั่นระริก น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วนั้น ตอนนี้ผมไม่สามารถหยุดมันได้ ผมหันไปช้าๆ หันไปตามเสียงเรียกที่ผมเฝ้าถวิลหา
ภาพตรงหน้าทำให้ผมยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น ผมค่อยๆ เดินไปหาคนตรงหน้า เท้าที่เดินช้าๆ ตอนนี้ค่อยๆ เร่งฝีเท้าขึ้น มากขึ้น จนผมนั้นออกวิ่งไปหาคนข้างหน้า คนที่ผมคิดถึงสุดห้วใจอย่างสุดกำลัง
คนตรงหน้าวางกีต้าร์ลงข้างๆ และอ้าแขนออกกว้างด้วยรอยยิ้ม ผมพุ่งเข้าหาอ้อมกอดนั้น อ้อมกอดที่แสนคิดถึง อ้อมกอดที่ผมคิดว่าอาจจะไม่มีวันได้สัมผัสอีก ผมกอดคนตรงหน้าไว้แน่น และร้องไห้กับอ้อมแขนนั้น
" ไอ้บ้า " ผมที่ยังคงซุกหน้าอยู่ที่อกนั้นก็เริ่มทุบตีคนตรงหน้า
" ทำไมไม่ติดต่อมา ทำไมไม่ยอมคุยกับผมเลย " ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นและเงยหน้ามองคนที่ยังคงยิ้มและจ้องหน้าผมอยู่
" ขอโทษ " ผมมองพี่โรลที่ค่อยๆ ย่อตัวลงคุกเข่าและกอดเอวผมเอาไว้
" ขอโทษ พี่ขอโทษ " ผมตกใจมากเพราะว่าพี่โรลนั้นตอนนี้กำลังร้องไห้อย่างหนักและกอดผมเอาไว้แน่น
ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่เจ็บปวด แต่คนที่ลืมคนที่ตัวเองรักที่สุดแบบพี่ก็คงเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ผมค่อยๆ นั่งลงและกอดพี่โรลเอาไว้ เป็นพี่จริงๆ ผมไม่ได้กำลังฝันไป ผมกอดพี่โรลเอาไว้และลูบหลังเบาๆ อย่างปลอบโยน
" คนขี้แย " ผมพูดเบาๆ ข้างหูพี่โรลและจูบเบาๆ ที่หูนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
พี่โรลยังคงกอดผมและไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ผมมองกางเกงและขาของผมกับพี่โรลที่มีฝุ่นลูกรังสีแดงเกาะเต็มไปหมด
" ลุกขึ้นเถอะครับ เปื้อนหมดแล้ว " ผมพยายามแกะมือพี่โรลและลากพี่โรลให้ลุกขึ้น โอ้ยย เพิ่งหายทำไมตัวยังหนักอย่างกับช้างแบบนี้
" สุขสันต์วันเกิดนะ " พี่โรลยังคงไม่ลุกขึ้นและยื่นห่อของขวัญที่ซ่อนอยู่ในกีต้าร์ให้ผมด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่แดงก่ำ
ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ นี่พี่รู้ได้ยังไง ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยบอกพี่ด้วยซ้ำ
" แกะเลยได้ไหม " ผมถามพี่โรลที่พยักหน้าแรงๆ ให้ผม
ผมคว้าหมับและแกะดูของที่อยู่ข้างในด้วยความตื่นเต้น ของขวัญชิ้นแรกอย่างเป็นทางการ
แต่ผมที่ยิ้มกว้างนั้นก็ต้องหุบยิ้มลงน้อยๆ และเปลี่ยนเป็นคิ้วที่ขมวดมุ่นแทน ผมหยิบขนฟูๆ นิ่มๆ สีขาวออกจากห่อ มันมาพร้อมกับหูและถุงมือแปลกๆ
" พี่ซื้อก่อนจะจำได้อีกนะ เพราะคิดว่าลี่จะต้องใส่เหมาะแน่ๆ " พี่โรลพูดพลางเกาหัวเขินๆ
ผมตาโตมือสั่นน้อยๆ มองจุกหางที่มันเหมือนเอาไว้ใช้ยัดอะไรบางอย่างเพื่อให้หางสามารถติดอยู่กับก้นได้
" พี่โรล ไอ้?#%@!! " ผมพูดและง้างมือทำท่าจะฟาดไอ้ตัวทะลึ่งนี่ แต่ก็เหมือนพี่โรลจะไหวตัวทัน พี่โรลคว้ากีต้าร์และวิ่งฉิวหนีไปแบบไม่คิดชีวิต หนอย
ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็วิ่งตามพี่โรลไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมวิ่งไปตะครุบพี่โรลที่วิ่งเร็ววิ่งช้ารอผม จนกลายเป็นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเราเดินไปด้วยกัน จับมือประสานกันไว้แน่น
ของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของผมในปีนี้ จริงๆ แล้วก็คือคนที่อยู่ข้างๆ ผมตอนนี้นั่นเอง