ตอนที่ 23
ช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน การพักผ่อน และวันหยุดได้หมดไป ชีวิตการทำงานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งราวกับช่วงเวลาที่ผ่านมาคือภาพฝันซึ่งทุกคนต้องกลับสู่ความเป็นจริง
หินเดินทางกลับกรุงเทพในช่วงเย็นของวันที่สิบหก และตรงไปยังคอนโดของแฟนทันทีที่ลงจากเครื่องโดยไม่รีรอ
สองวันที่ผ่านมาแฟนไม่ตอบข้อความ ไม่รับโทรศัพท์ แต่อย่างน้อยก็ยังอ่านไลน์...เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับคนทำผิด
ความคิดถึงพลันทำให้มือหนาคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง วางนิ้วสแกนปลดล็อกหน้าจอยามแท็กซีเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน
‘ถึงกรุงเทพแล้วนะ กำลังจะไปหา’
ถึงอีกฝ่ายจะไม่ตอบข้อความแต่การรายงานความเคลื่อนไหวก็เป็นสิ่งที่ทำมาตลอดสองวัน
ดวงตาคมจับจ้องอยู่บนหน้าการสนทนาที่มีเพียงข้อความจากฝั่งตัวเองถูกส่งไป จนมันปรากฏขึ้นว่าแฟนอ่านแล้วจึงล็อกโทรศัพท์
แค่สองวันก็แทบตายแล้ว...
ราวๆหนึ่งชั่วโมงผ่านไปร่างสูงก็มาถึงที่หมาย ลมหายใจหนักอึ้งถูกสูดเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจก่อนมือหนาจะยกขึ้นเคาะประตูบานใหญ่ ส่งสัญญาณขออนุญาตคนในห้องแม้จะมีคีย์การ์ดและลายนิ้วมือบันทึกไว้
แฟนอยู่แน่นอนเพราะเขาแอบล้วงข้อมูลมาจากสปายในบ้าน
การเข้าห้องครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าครั้งไหน ขณะกำลังคิดว่าถ้าแฟนไม่เปิดประตูจะทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวียืนรอต่อไปหรือกลับห้องตัวเองเพื่อให้เวลาอีกฝ่ายเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
ราวกับเสียงนี้เป็นเสียงของสวรรค์ ริมฝีปากแห้งผากถูกไล้เลียด้วยความรอคอย ทว่าประตูถูกแง้มออกเพียงเล็กน้อยก่อนจะนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นจนคนด้านนอกต้องเป็นฝ่ายเปิดเข้าไปช้าๆ
เพียงแค่เท้าข้ามผ่านพ้นและประตูถูกปิดลงสายตาก็มองเห็นร่างเล็กที่ยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้า น้ำลายก้อนเหนียวถูกกลืนลงคอด้วยความยากลำบาก
กระเป๋าในมือถูกวางลงบนพื้น ขาแกร่งก้าวเข้าไปซ้อนหลังคนตัวเล็กกว่า ก่อนที่ท่อนแขนจะค่อยๆเลื่อนโอบอีกคนเข้ามาหาตัว ใบหน้าซบลงกับไหล่ของแฟนด้วยความคิดถึงและรู้สึกผิด
“ขอโทษ” มีเพียงคำนี้ที่บอกแทนทุกความรู้สึก
มีหลายสิ่งอยากพูด อยากบอก อยากคุย และมันมากมายเกินกว่าจะเรียบเรียงได้
ขณะที่คนถูกกอดทำเพียงยืนนิ่ง กำมือเข้าหากันแน่นจนปลายเล็บจิกลงกลางฝ่ามือ ฟันซี่ขาวกัดริมฝีปากล่างกระทั่งความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นชาหนึบ
สองวันนี้เป็นสงกรานต์ที่ไม่สนุกที่สุดในชีวิต
“กูรักมึง” คนทำผิดเอ่ยคำนี้ออกมาแทนคำแก้ตัวมากมาย
ไม่อยากพูดอะไรยืดยาวเพราะสุดท้ายแล้วความผิดนั้นไม่มีวันลบเลือน ความรู้สึกของแฟนไม่มีทางกลับมา
“...”
เมื่ออีกฝ่ายยังคงเงียบอ้อมแขนแกร่งจึงกระชับแน่นขึ้น ปลายจมูกโด่งเป็นสันสูดดมกลิ่นกายที่แสนตราตรึงในความรู้สึกด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
หินรอ...รออยู่หลายนาทีกว่าแฟนจะยอมเอ่ยปาก
“อย่าเอ่ยคำนี้เพียงเพื่อให้กูหายโกรธ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบแต่ปลายหางเสียงกลับเจือไปด้วยความสั่นไหว
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะไม่รู้สึกอะไรกับคำบอกรักจากคนที่เรารัก แฟนยอมรับว่าหัวใจกำลังสั่นคลอน วูบไหว และเต้นรัว ท่ามกลางความปวดหนึบจากความเสียใจ
แต่คนเรามีระบบป้องกันตัวเอง ความเสียใจเล็กๆน้อยๆจากสิ่งที่หินทำหลอมรวมเป็นความเสียใจก้อนใหญ่ซึ่งไม่อาจปล่อยผ่านได้ง่ายเช่นที่ผ่านมา
หินต้องเป็นฝ่ายปรับจูนเพื่อกันและกันบ้าง
“กูพูดเพราะกูรู้สึก ไม่ได้พูดเพราะหวังให้มึงหายโกรธ”
“...” แฟนรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“กูยอมรับผิด แต่เรื่องที่ว่าความรู้สึกเราไม่เท่ากันกูไม่ยอมรับ กูรักมึง...ไม่ต่างกัน”
“...”
“กูคิดว่าเรื่องของกูไม่สำคัญ แต่คิดตลอดว่าเรื่องของมึงสำคัญ”
หมดแล้วสิ่งที่จะพูดและอธิบาย เหลือเพียงอ้อมกอดซึ่งแสดงออกอย่างแน่นหนักว่าไม่มีทางปล่อย และหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะแสนแน่วแน่มั่นคง
ไม่หายโกรธก็จะง้อ ง้อต่อไป...
สุดท้ายแล้วความรู้สึกทั้งหมดก็ส่งถึงใจคนฟังเมื่อแฟนหมุนตัวกลับมากอด วินาทีแรกหินยืนนิ่งด้วยความไม่คาดคิด กระทั่งตั้งสติได้จึงเลื่อนมือที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมากอดตอบ
ความหนักอึ้งข้างในดูเหมือนจะบรรเทาลงกว่าครึ่งเมื่อปฏิกิริยานี้ทำให้ใจชื้น
ส่วนเหตุผลของคนหันมากอดนั้นเป็นเพราะไม่อาจต้านทานความคิดถึงของตัวเองได้ไหว
เสียใจอยู่แต่ก็คิดถึงมาก มันยากกับการจะห้ามใจ
“กูโกรธ แล้วก็เสียใจ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้น”
แขนเรียวโอบรัดคนตัวโตเอาไว้แน่น ใบหน้าซุกซบอยู่กับอกกว้าง ทว่าความรู้สึกที่เสียไปยังคงไม่อาจคืนกลับมาโดยง่าย
คำว่ารักส่งผลต่อความรู้สึกมากมายแต่นั่นเป็นคนละส่วน
“โกรธก็จะง้อ เสียใจก็จะเยียวยา ขอแค่มึงให้โอกาส”
ประโยคแสนเว้าวอนดังขึ้นพร้อมฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเล็กอย่างอ่อนโยน
“ง้อสิ”
ใบหน้าสวยผละออกห่าง มองสบคนตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่งอย่างรอคอยการง้องอน ก่อนสัมผัสบางเบาจะทาบทับลงมาบนหน้าผาก
หินประทับจูบเนิ่นนานจากนั้นจึงไล้ริมฝีปากลงมาตามสันจมูก กดย้ำสัมผัสเป็นระยะเรื่อยมายังแก้มเนียนซ้ายขวา จมูกโด่งคลอเคลียตามกรอบหน้าของแฟนลงมาที่ปลายคาง สุดท้ายจึงจบลงตรงริมฝีปากสีสด แนบชิดเข้าหาด้วยความอ่อนโยนแผ่วเบา ไร้ซึ่งการรุกล้ำราวกับขนมหวานที่เพียงแค่ได้แตะต้องก็ชื่นใจ
“คิดถึงใจจะขาด” เสียงทุ้มกระซิบชิดริมฝีปากหลังจากผละออกห่างเพียงเล็กน้อย
ความวูบวาบแล่นพล่านไปทั่วตำแหน่งที่ถูกสัมผัส วิธีการง้องอนพลันส่งผลให้ใจเต้นผิดจังหวะ แต่กระนั้นก็ยังไม่มากพอจะให้อ่อนลงทั้งหมด
“ทำให้กูเห็นว่ามึงพร้อมแชร์ทุกเรื่องราวด้วยกัน นั่นคือคำขอโทษที่กูต้องการ”
การขอโทษที่ดีที่สุดคือการไม่ทำมันอีก แฟนเชื่อในประโยคนี้มาเสมอ
“เมื่อคืนกูนอนไม่หลับ ต้องตื่นแต่เช้าไปบ้านย่า กินข้าวเที่ยงที่นั่นแล้วเย็นก็บินกลับมา ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“...” คนฟังนิ่งงันด้วยเพราะไม่ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่หินสื่อสาร ไม่รู้ว่าคนพูดต้องการอะไรจึงได้แต่เงียบด้วยความมึนงง กระทั่งหินอธิบายต่อ
“ต่อไปจะแชร์ทุกเรื่องกับมึงให้มากขึ้น กูอาจจะยังทำได้ไม่ดีนักแต่จะพยายามเล่าออกมาทุกเรื่อง”
เมื่อต้องเปลี่ยนความเคยชินให้เป็นไม่เคยชิน ต้องเปลี่ยนความไม่ชอบพูดให้เป็นพร้อมจะเล่า คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนได้ในวันเดียว
แฟนมองเห็นความพยายามและคำสัญญาอยู่ในดวงตาคู่นี้ ความรู้สึกที่เสียไปได้รับการเยียวยาทีละนิด
ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดต้องโกรธอีกคนไปเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ความรู้สึกที่มีต่อกันจะเชื่อมประสานรอยร้าวให้เล็กลง
รอดูแค่ว่าหินจะเปลี่ยนตัวเองไปอย่างไรบ้าง
“กูหวังว่าเราจะไม่ต้องมาเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้อีก เพราะกูไม่มีความสุข”
“แน่นอนว่ากูก็ไม่มีความสุข”
หินตอบกลับทันควัน รู้ดีว่าการไม่เข้าใจกันไม่ได้ทำให้ใครมีความสุข ไม่มีฝั่งใดทรมานน้อยกว่ากันโดยเฉพาะกับตัวเองที่เป็นสาเหตุ
พูดจบมือหนาก็จับมือเล็กขึ้นมาแล้วจรดริมฝีปากเข้าหา ลมหายใจร้อนเป่ารดคลอเคลียบนหลังมือ การกระทำที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ความร้อนแล่นขึ้นมาตามแขน ตรงมายังสองข้างแก้ม
แฟนนิ่งมอง ใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงออกถึงความสั่นไหว
“ห้ามทำกูเสียใจอีก” เอ่ยคำพูดเหมือนไม่โอนอ่อนทั้งที่ใจอ่อนยวบยาบ
ทีอย่างนี้ล่ะออดอ้อนด้วยการคลอเคลีย ท่าทางคล้ายลูกแมวขึ้นมาเชียว
แฟนค่อนขอดอีกคนในใจ
“จะพยายามให้ดีที่สุด”
แรงกระชับบนฝ่ามือมาพร้อมกับคำสัญญาด้วยรอยยิ้มเอาใจ จนคนมองต้องเบือนสายตาหนี ขยับออกห่างจากความใกล้ชิดนี้เพื่อความปลอดภัยของใจตัวเอง
ยิ่งหินบอกว่ารักทุกอย่างก็พร้อมจะอ่อนลงตามโดยง่าย
เจ้าเล่ห์ที่สุดที่เลือกบอกกันในสถานการณ์นี้
“ไปอาบน้ำสิ กูจะสั่งอาหารมาให้”
แฟนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง ยุติเรื่องไม่ที่เข้าใจกันไว้เพียงเท่านี้เพราะถือว่าทุกอย่างคลี่คลายแล้วเรียบร้อย เหลือเพียงแค่รอดูการกระทำของอีกฝ่าย
ทางด้านคนได้ยินคำว่าจะสั่งอาหารมาให้ก็ยกยิ้ม ยอมปล่อยมือเล็กที่จับเอาไว้ ก่อนจะโน้มหน้าลงไปหอมแก้มแฟนเร็วๆ
“ขอบคุณครับ”
พูดจบร่างสูงก็หมุนตัวไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนพื้นแล้วหันมายิ้มใส่คนที่ยังยืนนิ่ง จากนั้นจึงก้าวตรงไปยังห้องนอน ทิ้งคนถูกจู่โจมเอาไว้อย่างนั้นด้วยความอิ่มเอมใจ
ถือว่าการง้อกำลังเริ่มต้นไปได้ดี
ประตูห้องนอนถูกปิดลง ไฟในห้องถูกเปิดเอาไว้สว่างโล่ ร่างสูงเดินเลยผ่านเตียงนอนกว้างเพื่อจะไปห้องน้ำ ทว่าหางตางที่เหลือบเห็นกล่องบางอย่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่บนนั้นก็ทำให้สองขาหยุดชะงัก เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของขวัญ
จุดมุ่งหมายที่จะไปถูกพักเอาไว้ก่อนจะเดินวกกลับมายังเตียง กระเป๋าถูกวางลงบนพื้น และเมื่อเห็นโน้ตที่แปะอยู่ด้านบน ความรู้สึกหลากหลายก็โถมเข้าหา
‘Happy 26th Birthday’
ข้อความซึ่งบอกชัดว่าเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสใดส่งผลให้คนได้รับพูดไม่ออก
แม้จะไม่เข้าใจกัน แม้แฟนจะน้อยใจและเสียใจแต่ความใส่ใจก็ไม่ลดลง
เป็นเขาเองที่ผิด ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
หินทรุดตัวนั่งลงบนเตียง หยิบกล่องของขวัญขึ้นมาแล้วค่อยๆแกะอย่างระมัดระวัง น้ำหนักเบาหวิวนั้นสร้างความสงสัยและแปลกใจกระทั่งปากกล่องถูกเปิดออก ในนั้นมีเพียงกระดาษอะไรบางอย่างถูกพับไว้บนเม็ดโฟมสีสันน่ารักมากมาย
เมื่อคลี่ออกแล้วกวาดสายตาอ่านหินก็ได้แต่นิ่งงัน หลายนาทีกว่าจะตั้งสติเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงที่เดิม กระดาษห่อของขวัญและโบว์ยังคงวางระเกะระกะอยู่บนเตียงแต่ร่างสูงไม่สนใจ ขาแกร่งก้าวยาวๆออกไปจากห้อง พุ่งตัวไปหาคนที่เพิ่งโทรสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว
“ยังไม่อาบน้ำอะ...”
หมับ
ร่างเล็กถูกดึงเข้าไปกอด แรงปะทะระหว่างร่างกายที่ต่างกันนั้นทำให้จุกอยู่ชั่ววินาทีจนปลายประโยคไม่สามารถเปล่งออกไปได้
“ขอบคุณ กูชอบของขวัญของมึงมาก”
น้ำเสียงนั้นสั่นพร่า อ้อมแขนรัดรึงร่างของแฟนแน่นจนคนถูกกอดหายใจแทบไม่ออก ความรู้สึกในอกมากล้นเต็มตื้น
ด้านคนที่รู้สาเหตุของท่าทางนี้ก็ทำเพียงยืนนิ่งในอ้อมกอด ไม่คาดคิดว่าหินจะเห็นมันเร็วขนาดนี้
“กูยังไม่ได้หายโกรธมึงทั้งหมด”
“อืม”
“แต่เรื่องของขวัญวันเกิดถือว่ามันคนละส่วนกัน”
หินยิ้มรับกับความน่ารักนี้ของแฟน ริมฝีปากได้รูปจูบซับไปตามไหล่เล็กที่ตัวเองซบอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นสุข
ความน่ารักที่ไม่ได้หมายถึงหน้าตาแต่เป็นนิสัย
“ทำไมถึงให้สิ่งนี้เป็นของขวัญกู”
สิ่งนี้ที่ว่าคือการบริจาคเงินให้กับมูลนิธิหนึ่งในนามของนาย ศิลา คณานนท์
เงินนั้นมากมายกว่าการซื้อของแบรนด์เนมให้ แต่สิ่งที่ทำให้หินปลื้มใจไม่ใช่จำนวนเงินแต่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจทำ
“กูรู้ มึงไม่ชอบของขวัญมีราคาอะไรพวกนั้น คิดว่าถ้าทำอะไรแบบนี้ให้คงชอบมากกว่า”
ตลอดมาคนตรงหน้าสอนให้รู้จักการแบ่งปันและการช่วยเหลือคนอื่น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แฟนคิดว่าของขวัญชิ้นนี้เหมาะกับหินที่สุด
ไม่ใช่สิ่งของมีราคา แต่เป็นสิ่งที่มีค่ากับจิตใจมหาศาล
“กูชอบมาก มากจริงๆ”
ใบหน้าคมผละออกจากไหล่ขณะที่ท่อนแขนยังคงคล้องอยู่กับเอวบาง มุมปากได้รูปไม่ได้ฉีกเป็นรอยยิ้มแต่ดวงตากลับทอประกายอย่างไม่อาจปกปิดความสุข
มันไม่ใช่แค่ของขวัญให้เขา แต่มันคือของขวัญของแฟนเช่นกัน
การแบ่งปันและช่วยเหลือคนอื่นมีคุณค่าต่อทั้งคนรับและคนให้ หากแฟนทำสิ่งดีๆนี้เพื่อเขา หินก็ดีใจที่ทำให้แฟนได้เรียนรู้สิ่งดีๆมากขึ้น
“มันคงจะดีกว่านี้มากถ้าคนแถวนี้ไม่ปากหนักเรื่องวันเกิด”
อารมณ์ชื่นมื่นเป็นอันต้องสะดุดเมื่อแฟนเอ่ยด้วยแววตาคาดโทษ คนมีความผิดขยับถอยห่างไปหนึ่งก้าว กระแอมไอออกมาเล็กน้อย
“กูว่ากูไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
แฟนส่ายหน้าน้อยๆยามคนพูดยิ้มแหยกลบเกลื่อนความผิด ร่างสูงหมุนตัวกลับไปทางห้องนอน ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันหน้ากลับมา สายตาที่มองสบกันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“ขอบคุณจริงๆ...มันเป็นของขวัญที่กูชอบที่สุด”
หินทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะหันหน้ากลับไปแล้วก้าวเท้าไปยังห้องนอน โดยมีแฟนมองตามแผ่นหลังกว้างจนลับสายตา ขณะมีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้า
ไม่เพียงแต่หินที่ชอบ คนได้ทำอะไรดีๆเองก็ปลื้มใจไม่แพ้กัน
--
“ห้ามล้ำเขตมาเด็ดขาด” มือเล็กตบลงบนหมอนข้างดังปักๆบ่งบอกว่าเขตที่ว่านี้คือที่ใด
หินมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเว้าวอน หวังให้แฟนใจอ่อนเอาหมอนข้างกั้นเขตแดนนี้ออก หากแต่ดวงตาหมายมั่นนั้นบ่งบอกชัดว่ามันจะยังนอนแอ้งแม้งขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้ตลอดทั้งคืน
“แฟน...”
“ไม่ต้องมาเรียก”
ก็ไม่อยากจะเรียกเสียงอ่อยขนาดนั้นเพียงแต่มันเป็นไปเองอย่างไม่อาจควบคุม
“ไม่ให้อะ...จิ้มก็ว่าหนักแล้ว นี่ไม่ให้กอดเลยเหรอ”
คำพูดบางคำถูกเปลี่ยนกลางอากาศเมื่อเห็นสายตาของแฟนเข้มขึ้นเป็นการเตือน ขณะที่คนฟังเกือบหลุดยิ้มเพราะคำที่ฟังดูน่ารักนั้นจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
จิ้มเนี้ยนะ ฟังดูแบ๊วเชียว
“ถ้าได้กอดมึงไม่หยุดแค่กอดแน่”
“ก็ไม่เห็นต้องหยุด”
คนที่หวังเรื่องนั้นอยู่แล้วในใจเอ่ยตอบทันควัน ดวงตาสีเข้มฉายแววเจ้าเล่ห์วาบวับ
ห่างกันตั้งกี่วัน จะลงแดงตายอยู่แล้ว
“ไม่ได้ นี่คือบทลงโทษ” แฟนเอ่ยด้วยเสียงเด็ดขาด
หลายครั้งหลายครากับประเด็นเรื่องของการไม่ชอบพูด ไม่ชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ และครั้งนี้มันเกินกว่าจะให้ปล่อยผ่านโดยง่ายจึงต้องมีบทลงโทษให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้
จะเดินไปด้วยกันก็ต้องพร้อมแชร์กันทุกเรื่อง
“บทลงโทษอะไร แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้เอา!” คำพูดในหัวถูกโพล่งขึ้นโดยไม่เลี่ยงใช้คำอื่นใดเช่นเมื่อครู่
ใบหน้าคร้ามคมยุ่งเหยิง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก ท่าทางคล้ายได้ฟังเรื่องคอขาดบาดตายร้ายแรง
สำหรับคนหื่นแบบนี้แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ
“วันที่มึงง้อกูสำเร็จ”
“นี่ยังไม่สำเร็จอีก?”
นึกว่าสำเร็จแล้วซะอีก
“ยัง” คำตอบจากปากของแฟนเสียงดังฟังชัด
จริงๆก็หายโกรธแล้วเกือบทั้งหมดแต่จะยอมอ่อนลงให้โดยง่ายไม่ได้
ด้านคนได้ฟังคำตอบนั้นรู้สึกห่อเหี่ยวจนต้องทิ้งตัวลงนอนด้วยความหมดแรง ไม่ให้ทำอะไรแถมยังไม่ได้แม้แต่กอดหรือใกล้ชิด ไม่มีร่างเล็กและกลิ่นหอมๆมาอิงแอบคลอเคลียดั่งปกติ
เพิ่งรู้สึกว่าหมอนข้างมันใหญ่เกินไปก็วันนี้
เห็นท่าทางนี้แล้วแฟนกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ใบหน้าสวยโน้มลงไปใกล้คนที่นอนมองตัวเองตาปรอย พากลิ่นหอมจากเรือนกายบางให้ลอยเข้าจมูกของคนที่อยากสูดดม
ยิ่งได้กลิ่นยิ่งต้องการ
“ให้จูบได้แค่วันละสองครั้ง”
คนฟังกำลังจะลุกขึ้นมาโวยวายทว่าสัมผัสที่ทาบทับลงบนริมฝีปากกลับหยุดชะงักทุกอย่างเอาไว้
แฟนเน้นย้ำสัมผัสของตัวเองไม่กี่ครั้งก่อนจะผละออก ปล่อยให้ปลายลิ้นหนาที่กำลังจะยื่นออกมาเกาะเกี่ยวความหอมหวานนั้นหยุดอยู่แค่ริมฝีปากของเจ้าตัว
“นอนได้แล้ว มึงเดินทางมาเหนื่อยๆ”
แฟนเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มหวานยามดึงตัวกลับมานั่งหลังตรง ก่อนคนถูกจูบจะลุกขึ้นนั่งตาม สายตาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากสีสดไม่วางตา
เหมือนของหวานที่กินแล้วไม่มีวันอิ่ม
“แค่นั้นยังไม่เรียกว่าจูบ อีกอย่างวันนี้ก็ยังไม่ได้จูบเลยสักครั้ง กูมีสิทธิ์ใช้โควตา”
หินเอ่ยทวงสิทธิ์ แม้จะขัดใจกับเงื่อนไขนี้แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองได้
“ถ้าคิดว่าจูบแล้วจะไม่ทรมานตัวเองก็ทำเลย”
“...” เกิดเพียงความเงียบเมื่อคนฟังคิดตามแล้วเข้าใจทันทีว่าหากไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นต้องรู้สึกทรมานกับการไม่สามารถปลดปล่อยได้
แค่มือมันไม่พอ
“แน่ใจว่ามึงจะควบคุมความหื่นของตัวเองได้?...ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วเลยเถิดคราวนี้กูให้นอนโซฟานอกห้องนะ”
แฟนเอ่ยพูดด้วยเสียงเรียบๆแต่ดวงตาทอความมั่นคงไม่สั่นไหว
“ทำไมมึงใจร้าย” เสียงถอนหายใจดังเฮือกมาพร้อมสีหน้ายุ่งเหยิงระคนหงุดหงิด
เมียใดลงโทษผัวแบบนี้เป็นเมียที่ช่างโหดร้าย
“คนทำผิดก็ต้องโดนแบบนี้ คราวหลังจะได้หัดพูดเยอะๆ”
“ถ้ากูง้อสำเร็จเมื่อไหร่มึงโดนแน่” หินเอ่ยคาดโทษ
“หึ พร้อมโดนมาก...นอนลงไปได้แล้ว”
มือบางดันไหล่ให้ร่างสูงนอนลงเช่นเดิมจากนั้นจึงขยับตัวไปปิดโคมไฟให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ก่อนจะกลับมานอนลงในฝั่งของตัวเอง ขยับผ้าห่มที่ใช้คนละผืนกับคนข้างตัวขึ้นมาจนถึงอก
“ตอนนี้กูโล่งใจมาก สองวันที่ผ่านมาแทบอยู่ไม่ได้”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในความเงียบ สมองจินตนาการย้อนไปถึงภาพและความรู้สึกของตัวเองตลอดสองวันที่ผ่านมาแล้วได้แต่ส่ายหัวน้อยๆ
การได้ปรับความเข้าใจกันมันเป็นสิ่งที่ลดความทรมานนั้นได้เป็นอย่างดี
“กูไม่ได้รู้สึกต่างจากมึง” แฟนตอบกลับ
แม้จะออกไปข้างนอกกับเพื่อนแต่ความคิดกลับจดจ่ออยู่เพียงโทรศัพท์ที่มีคนเพียรโทรมาและไลน์หา การใจแข็งไม่รับและไม่ตอบกลับนั้นยากกว่าสิ่งอื่นใด
ไม่พร้อมคุยแต่ก็ยังอยากรู้ทุกความเคลื่อนไหว ดีที่หินขยันส่งไลน์มาบอกกัน
“ถึงมึงจะยังไม่หายโกรธแต่กูก็โอเคกับตอนนี้มากกว่าตอนที่เราไม่คุยกัน”
“ต้องโอเคสิ กูยอมให้ขนาดนี้”
ปลายหางเสียงเอ่ยสะบัดพลางขยับตัวตะแคงข้างไปหาคนที่นอนหันมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว
“หึ กูให้เวลาโกรธอีกสองวันเท่านั้น...ถ้าไม่หายก็จะปล้ำ”
“ก็ง้อให้กูหายสิ”
“มึงจะต้องหายแน่นอน”
หินยกยิ้มกับตัวเอง น้ำเสียงและคำพูดแสนมั่นใจของคนข้างตัวทำให้แฟนขมวดคิ้ว ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่ออีกคนก็แทรกขึ้น
“นอนกันดีกว่า กูง่วงแล้ว...ฝันดี”
แฟนสัมผัสได้ถึงการขยับผ้าห่มจากเสียงของการเคลื่อนไหว แม้ยังอยากจะถามต่อแต่เพราะรอยคล้ำใต้ตาของหินที่สังเกตเห็นตอนคุยกันจึงยอมเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้แล้วบอกฝันดีกลับ
หินมีแผนอะไรกัน...
--
เย็นวันต่อมาซึ่งเป็นวันอังคารที่ไม่มีสอน หินรอคนออกไปทำงานอยู่ที่ห้อง ดนตรีเพลงถูกเปิดคลอไปทั่วขณะร่างสูงกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าคอม ตรวจทานและเช็กทุกจุดจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดจึงกดปุ่มยืนยันแล้วรอเวลา
ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว
หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ทำนู้นทำนี่ระหว่างรอแฟนเลิกงาน กระทั่งห้าโมงเย็นเจ้าของห้องก็กลับมาด้วยท่าทางรีบร้อน
กลับมาไวกว่าทุกวันเชียวล่ะ
“เพลงนี้คืออะไร”
ร่างเล็กเปิดประเด็นทันทีเมื่อเจอหน้า ชุดทำงานยังคงอยู่ในสภาพเหมือนตอนออกจากห้อง กระเป๋าทำงานยังอยู่ในมือ แม้แต่รองเท้ายังไม่ทันจะเปลี่ยน
คำถามมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่เปิดคลิปบางอย่างค้างเอาไว้
“ก็
เพลงที่ไม่มีเนื้อร้องไง”
“รู้แล้ว ฟังแล้ว แต่มึงอัพลงแล้วก็แท็กกูนี่คืออะไร เป็นเพลงที่มึงแต่ง?”
แฟนรัวคำถามมาเป็นชุดด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพลงของหินถูกโพสต์ลงหน้าเฟซบุ๊กตั้งแต่ช่วงบ่าย ขณะอยู่ในห้องประชุมโทรศัพท์ซึ่งถูกปิดเสียงเอาไว้ก็สั่นครืดคราดไม่หยุดเนื่องจากบรรดาแจ้งเตือน กระทั่งประชุมเสร็จแล้วได้เปิดดูจึงคิดว่าควรกลับมาถามหินให้เร็วที่สุด
ยอดวิวของคลิป ณ เวลานี้ใกล้จะแตะถึงหนึ่งแสน การแชร์ต่อกันของคนในแวดวงดนตรีทำให้ทุกอย่างรวดเร็วขึ้น
“อืม กูแต่งเอง”
ร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงวอร์มเดินตรงเข้ามาพร้อมทั้งรั้งเอวเล็กให้แฟนขยับเข้ามาใกล้
“แล้ว?”
“กูแต่งให้มึง” คนถูกถามเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบาง
เพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง...เขาแต่งมาได้สักพักหลังจากที่มั่นใจว่ารู้สึกอย่างไรกับแฟน คิดหาวิธีและโอกาสจะให้อีกคนฟังอยู่นานกระทั่งเป็นโอกาสนี้ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด
“แต่งให้กู?”
“อืม กูอยากให้คนอื่นได้ฟังในสิ่งที่กูถ่ายทอดให้มึง ความรู้สึกที่มีต่อมึง ส่วนเรื่องที่ไม่ได้บอกเพราะอยากเซอร์ไพร์ส แท็กมึงไปด้วยให้รู้ว่าตั้งใจสื่อถึงใคร คงไม่ถือว่ากูปิดบังใช่ไหม?”
หินเล่าไปด้วยความเรียบเรื่อย บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางประดับอยู่จนคนมองนึกหมั่นไส้กับประกายของความสุขที่แผ่ออกมาจนสัมผัสได้
เพลงนี้ไม่มีเนื้อร้องดั่งชื่อ แต่เมโลดี้และดนตรีกลับเต็มไปด้วย
ความรักอย่างชัดเจน ทุกท้วงทำนองฟังดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนหวานแม้ไม่มีคำอธิบายใด อีกทั้งเสียงดนตรีทุกชิ้นที่ประกอบกันก็ลงตัวไร้ที่ติ
“แล้วทำไมถึงแต่งให้กู แถมยังอัพลงวันนี้”
“กูแต่งให้เพราะอยากแต่ง ที่เลือกอัพวันนี้เพราะเห็นว่าเหมาะสมแล้วที่จะให้มึงรู้ว่ามึงสำคัญกับกูแค่ไหน”
หัวใจของคนฟังสั่นไหวอย่างไม่อาจปฏิเสธ ดวงตาและน้ำเสียงของหินซึ่งจงใจให้ใจอ่อนมันได้ผลโดยไม่อาจต้านทาน
หินไม่ใช่คนอ่อนหวานแต่เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่สุด
“คิดว่ากูจะใจอ่อน?”
แต่ถึงอย่างนั้นแฟนก็ยังพยายามรวบรวมความใจแข็งเฮือกสุดท้ายให้ตอบกลับ
“ก็...แน่นอนว่ากูหวังอย่างนั้น” หินยอมรับโดยง่าย ไม่ปฏิเสธสิ่งที่แฟนถามเลยสักนิด
“เพลงของมึงไม่มีเนื้อร้องสักท่อน กูจะเข้าใจความหมายได้ยังไง”
เพียงแค่จบประโยครอยยิ้มของหินก็เหมือนจะกว้างขึ้นจนเต็มหน้า
“อยากรู้ความหมายของเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องใช่ไหม”
“...” แฟนพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“มึงเข้าใจได้ง่ายมาก...และเป็นคนเดียวที่จะเข้าใจ”
“...”
“เนื้อร้องทั้งหมดของเพลงนี้คือมึง ทุกอย่างที่เป็นมึงอยู่ในนั้น” คนที่ได้ฟังคำอธิบายนิ่งงัน ความหมายซึ่งลึกซึ้งกว่าเสียงดนตรีที่ได้ยินทำให้คนที่เป็นเนื้อร้องของเพลงนี้ไม่อาจบรรยายความรู้สึกออกมาได้
แน่นอนว่าต้องดีใจ แต่มันมีหลายอย่างที่มากมายกว่านั้นหลายเท่า
“กูพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะเรียบเรียงคำไหนมาบอกมึงเลยออกมาเป็นเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง ได้แต่หวังว่ามึงจะเข้าใจทุกความรู้สึก”
“มึงมันขี้โกง”
เสียงที่เอ่ยนั้นสั่นพร่าเพราะความรู้สึกเต็มตื้น กระเป๋าในมือตกลงพื้นด้วยความสั่นไหว เข้าใจความหมายของคำว่าให้เวลาโกรธสองวันของหินอย่างแจ่มชัด
ขี้โกงที่สุด
“แบบนี้พอจะเป็นการแชร์เรื่องราวให้มึงรับรู้ได้หรือเปล่า” คนถามยกยิ้มมุมปากเมื่อสีหน้าของแฟนบ่งชัดว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ผล
และคำตอบของคำถามนี้ก็เป็นการที่คนถูกถามเขย่งตัวขึ้นมาจูบ บดเบียดร่างกายเข้าหาแนบชิด
ทว่าขณะมือหนากำลังซุกซนไปทั่ว ความปรารถนาก่อตัวขึ้นมาดั่งไฟลุกโชน แฟนกลับขยับผละออกห่าง รอยยิ้มที่แสนเหนือกว่าจุดขึ้นบนใบหน้า
“กูมีเวลาโกรธต่ออีกหนึ่งวันใช่ไหม”
หินพูดเอาไว้ว่าให้เวลาสองวัน นี่เพิ่งจะวันเดียว...
“...”
“งั้นก็ขอใช้สิทธิ์นั้นต่อแล้วกัน”
TBC.
นอนแผ่~ ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้เหนื่อยมากเลย
รู้สึกยังไม่ถูกใจเลยค่ะแต่ก็ไม่รู้จะแก้ตรงไหนแล้ว ฮือ
ใครอ่านแล้วไม่โอเค รู้สึกแปลกๆ บอกมาได้เลยน้า
ถ้ามันแย่เกินสำหรับคนอ่านคงต้องรีไรท์ใหม่ TT
เหนือสิ่งอื่นใดคือชอบของขวัญที่น้องแฟนให้และเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องของพี่หินมากๆ><
ใครชอบไม่ชอบ หวีดไม่หวีด ส่งฟีดแบ็คมาได้ที่แท็ก #พี่หินคนห่าม เลยน้า
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ