ตอนที่ 21
“กูโทรมาต้องรับตลอด ห้ามมองใคร ห้ามอ่อยใคร ห้ามให้เบอร์ให้ไลน์ใคร จะไปไหนต้องรายงาน ห้ามกลับห้องเกินเที่ยงคืน...”
“พอแล้ว” เสียงห้ามฟังดูอ่อนใจทว่ามุมปากของคนพูดกลับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
ต่างกับใบหน้าของคนถูกขัดจังหวะที่ทอความกระเง้ากระงอด ยิ่งเห็นคนตรงหน้าอารมณ์ดีความวูบโหวงพะวักพะวันยิ่งถาโถมจนนึกอยากล่มทริปครั้งนี้ หรือไม่ก็ลากหินขึ้นเครื่องไปด้วยกัน
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเศษ ทั้งสองและครอบครัวของแฟนกำลังนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องหลังจากเช็กอินแล้วเรียบร้อย โดยเก้าอี้ถูกเว้นไปสองสามที่ให้ทั้งคู่ได้เป็นส่วนตัวอย่างรู้ใจ
“มึงย้ำมาสามวันแล้ว”
หินเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ คำพูดในประโยควกไปวนมาอยู่เพียงเท่านี้จนแทบจำได้ทั้งหมด
“กูจะย้ำจนกว่ามึงจะจำได้ขึ้นใจ”
“จำได้แล้ว รู้แล้ว อย่ากังวลเรื่องกูเลยน่า ไปเที่ยวให้สนุก”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างพยายามข่มกลั้นความวูบโหวงในอก คำพูดของหินราวกับลมที่ปัดเป่าความไม่สบายใจให้ปลิดปลิว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจพัดพาออกไปได้จนหมด
ระยะเวลาห้าวัน กับระยะทางอันห่างไกล ถือว่าเป็นการห่างที่มากที่สุดตั้งแต่คบกันมา
เพิ่งรู้ว่าเสพติดอีกฝ่ายมากมายขนาดไหนก็วันนี้
“ห้ามเมามาก อันนี้กูขอจริงๆ”
ความเมาทำให้มนุษย์ลืมเลือนความเป็นตัวเอง ไร้การควบคุมทั้งสติ การนึกคิด และความผิดชอบชั่วดี นอกจากความฮึกเหิมในตอนนั้นแล้วก็จะไม่มีอะไรหลงเหลือ
กลัวที่สุดจริงๆ...
“กูสัญญา” คนที่เข้าใจความรู้สึกนั้นดีกล่าวคำพูดที่ทำให้แฟนยิ้มออก
ถ้าบอกว่าสัญญานั่นหมายถึงหินจะทำ ไม่มีผิดคำพูด
“ถ้ากูรู้ว่าเมาจนเละเทะกลับมาจะข่วนหน้ามึงให้เป็นรอย”
“นี่เมียหรือหมา” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อเห็นท่าทางขู่ฟ่อจากคนข้างตัว
“เมีย”
เอ่ยตอบเสียงดังทว่าปากเล็กกลับโน้มลงมาแถวต้นแขนแล้วอ้างับจนหินสะดุ้ง ท่าทางคล้ายกับลูกหมากำลังคันเหงือก แม้แรงกัดจะไม่เบานักแต่คนถูกกัดยังคงนิ่งเฉย ไม่ขยับหนี ไม่เอ่ยห้าม กระทั่งการกัดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการไล้เลียด้วยปลายลิ้นจึงรั้งใบหน้าของแฟนให้ออกห่าง
“อย่ายั่ว”
“ไม่ได้ยั่ว”
ลิ้นเล็กเลียไปตามริมฝีปากเชื่องช้า สวนทางกับคำพูด ยามเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของหินก็แอบยิ้มกับตัวเองในใจ
“เดี๋ยวจะโดน”
“ใครกลัว”
ใบหน้าสวยเชิดขึ้นตอบจนคนมองนึกอยากลากอีกฝ่ายไปห้องน้ำแล้วจัดการเด็กช่างยั่วให้หลาบจำ แต่เพราะไม่อาจทำอย่างนั้นจึงได้แต่ข่มอารมณ์ ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดกับการไม่ก้าวไปตามเกมของแฟน
“กลับมาจะเล่นให้เปื่อย”
ดวงตาคมทอความลุ่มลึก ดูดดึงให้คนมองคิดตามคำพูดนั้นขณะที่ข้อนิ้วแกร่งเลื่อนขึ้นมาไล้แผ่วไปตามลำคอเล็กสื่อความหมาย ขนอ่อนในกายบางลุกเกรียวราวกับตอบรับสัมผัส
ใครว่าแฟนขี้ยั่วเป็นคนเดียว
“อยากเปื่อยจะแย่”
ถึงจะสั่นไหวเพียงใดแต่แฟนย่อมไม่มีทางแสดงออก สองสายตายังคงต่อสู้ฟาดฟัน และหากไม่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของมารดา เกมนี้คงดำเนินต่อไปอีกยาวนาน
“แฟน ได้เวลาเข้าข้างในแล้วจ้ะ”
ดวงตาคู่สวยผละออกไปมองคนเป็นแม่ก่อนจะพยักหน้ารับ พลันทุกอย่างเมื่อครู่จึงถูกยุติลง หลงเหลือเพียงความวูบโหวงเข้ามาแทนที่
หินลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปให้มือเล็กวางลงทับแล้วรั้งอีกคนให้ลุกตาม แม้จะไร้เสียงพูดคุยหากแต่แรงกระชับบนฝ่ามือที่แนบแน่นต่างย้ำเตือนความรู้สึกของกันและกัน
ร่างสูงบอกลาครอบครัวของแฟนเสร็จเรียบร้อยกระทั่งมาถึงการพูดคุยกับเด็กดื้อซึ่งเป็นช่วงเวลาสุดท้ายและท้ายสุด
“เดินทางปลอดภัย”
“อืม”
ดวงตาสองคู่สอดประสานกันนิ่งก่อนร่างเล็กจะเดินเข้าสู่อ้อมกอดของคนตัวโต ซุกซบบดเบียดร่างกายเข้าหา กักเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ให้มากที่สุด
“สี่วันเอง” หินเอ่ยปลอบประโลมทั้งที่ความรู้สึกของตัวเองวูบโหวงไม่แตกต่าง
“กลับมาก็ใช่ว่าจะได้อยู่ด้วยกัน”
หินต้องกลับบ้าน กว่าจะกลับมาอีกครั้งก็วันที่สิบเจ็ด นั่นหมายความว่าระยะเวลาที่ต้องห่างไม่ใช่เพียงแค่สี่วัน
“นิดเดียวน่า...ได้เวลาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงประกาศหินจึงจับไหล่เล็กแล้วรั้งแฟนให้ขยับออกห่าง แม้อยากกอดอยากจูบคนตรงหน้ามากกว่านี้แต่ด้วยสถานที่แล้วจึงได้แต่สะกดกลั้นทุกความต้องการเอาไว้
“ต้องรับโทรศัพท์กูทุกครั้ง”
“อืม”
“ต้องกลับห้องก่อนเที่ยงคืน”
“อืม”
“ห้ามเมามาก”
“อืม”
เมื่อหมดเรื่องจะย้ำเตือนแฟนจึงกวาดสายตามองหินอย่างเก็บรายละเอียดอีกครั้ง
“กูไปแล้วนะ”
คำเพียงไม่กี่คำแต่ช่างเปล่งออกมาได้ยากลำบากเหลือเกิน
“เดินทางปลอดภัยแล้วก็เที่ยวให้สนุก”
ใบหน้าเล็กกดลงรับจากนั้นจึงก้าวถอยหลังไปรวมกับครอบครัว หินค้อมหัวลงบอกลาทุกคนอีกครั้งก่อนพ่อแม่และน้องของแฟนจะทยอยเดินเข้าไปข้างใน โดยมีร่างเล็กรั้งท้ายและคอยหันกลับมามองเป็นระยะ จวบจนกระทั่งไม่อาจมองเห็นกันได้อีก
วินาทีนั้นเองที่ลมหายใจหนักอึ้งถูกพรูออกมาแผ่วเบา
--
“มีเรื่อง แฮก หนักใจเหรอวะ”
เสียงที่เอ่ยถามหอบกระเส่า ร่างสูงมันเลื่อมไปด้วยเหงื่อ เส้นผมเปียกชื้น
ผลพวงจากการปีนผาจำลองทำให้ขาและแขนยังสั่นไม่หาย ทว่าคนข้างตัวกลับมีเพียงอาการเหงื่อออก ไม่ดูหอบหนักอย่างที่เขาเป็น
“เปล่า” หินตอบเสียงเรียบ
“มึงเล่น ยะ อย่างกับจะปีนขึ้นไป ต่อยใคร”
ระดับการปีนที่หินเลือกคือระดับยากที่สุด ไร้เชือกและตัวช่วยใดๆ แต่แขนขาแข็งแกร่งก็ยังเคลื่อนไหวรวดเร็วจนทุกคนนึกทึ่ง ราวกับอีกฝ่ายมีเรื่องอยู่ในหัวจึงต้องใช้กำลังอย่างหนักเพื่อระบายความไม่สบายใจนั้นทิ้งไป
“มึงจะพักใช่ไหม”
“เออสิวะ กูจะตายห่าอยู่แล้ว”
หินพยักหน้ารับ ไม่สนทนากับเพื่อนต่อ ทำเพียงหยัดกายลุกขึ้นเดินไปยังหน้าผาจำลองอีกครั้ง ขณะที่คนมาด้วยนั่งหอบหายใจอ้าปากค้าง
มันเหนื่อยไม่เป็นหรือไงวะ!
บ่ายโมงนาฬิกาข้อมือถูกพลิกดูเป็นรอบที่เกือบร้อย หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดในยิมเสร็จหินก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ โทรศัพท์ถูกกดเช็กบ่อยพอๆกับการดูเวลา
สาเหตุของการมายิมแต่เช้าเนื่องจากอาการนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาบนเตียงตลอดค่ำคืนกระทั่งเช้าจึงโทรชวนเพื่อนที่คิดว่าว่างให้ออกมาด้วยกัน
ไร้ร่างเล็กมานอนซบคลอเคลียอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกที่ว่าเตียงมันกว้างเกินไปจึงเกิดขึ้นในอก
และจนตอนนี้แฟนก็ยังไม่ติดต่อมา...
เพราะระยะทางอันยาวไกลจึงใช้เวลาเดินทางมากกว่าครึ่งวัน ต้องลงเครื่องที่เอเธนส์ก่อน จากนั้นจึงต่อเครื่องไปยังซานโตรีนีจึงยิ่งเสียเวลาในการเดินทางมากขึ้น
แม้จะรู้ทุกอย่างดีแต่ใจกลับร้อนรนอย่างไม่อาจห้าม
“เป็นอะไรวะ นั่งหน้าเครียดเชียว” คนที่อาบน้ำเสร็จทีหลังเดินมาทรุดตัวลงข้างๆพลางเอ่ยถาม
“เปล่า”
“ไอ้ห่า มึงเลิกพูดคำนี้สักที หน้าเน่อนี่อาการเหมือนเมียทิ้ง”
“เออ เมียทิ้ง”
คำตอบรับนั้นง่ายดายจนคนฟังนิ่งอึ้ง รีบถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“ห๊ะ น้องแฟนอ่ะนะทิ้งมึง”
ถึงจะไม่เคยเจอกันแบบตัวเป็นๆแต่เรื่องของแฟนก็เป็นที่รับรู้กันในหมู่เพื่อนของหิน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนวงดนตรีหรือเพื่อนสนิท
“ทิ้งไปเที่ยว”
“ถุย กูก็นึกว่าทิ้งจริงๆ จะได้ฉลอง”
สายตาคมกริบนิ่งเรียบตวัดมองมาดั่งใบมีดที่กรีดไปตามร่างกายจนคนพูดหลุดหัวเราะ ก่อนจะรีบเอ่ยต่อเพื่อให้เพื่อนคลายความดุทางสีหน้าลง
“ฮ่ะๆ ล้อเล่นน่า แค่ไปเที่ยว มึงจะเครียดอะไรวะ...หรือว่าคิดถึงมาก ชีวิตนี้ขาดเมียไม่ได้เลย”
“เออ คิดถึง”“บร๊ะ กูควรอัดไว้ให้น้องแฟนดูดีไหม อาการหนักนะมึงเนี้ย”
คนที่ไม่เคยเห็นหินเป็นอย่างนี้ได้แต่ส่ายหัว มองเพื่อนของตัวเองด้วยความอ่อนใจ
เสียชื่อหมดแล้วเพื่อนกู
“ถ้ามึงไม่เลิกกวน กูจะอัดมึง”
“โว๊ะๆๆ กลัวแล้วครับพี่หินครับ เอางี้ ถ้าเหงาก็ไปหาสาวนอนข้างๆแก้ขัดไปก่อน เอาไหม เดี๋ยวกูพาไป”
คนพูดยักคิ้วหลิ่วตา กระแทกไหล่กระเซ้าเพื่อนเบาๆ ทว่าหินกลับหยัดกายลุกขึ้นอย่างไม่บอกไม่กล่าวจนเกือบวืดตกเก้าอี้
“กูจะไปกินข้าว”
--
ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความอ่อนแรง หลังจากทานข้าวเสร็จก็เพิ่งกลับมาถึงห้อง บ่ายวันอังคารที่ว่างง่านกลับไม่ได้สนุกอย่างเคย ทุกสิ่งอย่างดูน่าเบื่อจนดวงตาคมทำเพียงเหม่อมองเพดาน แขนก่ายหน้าผากอย่างหมดอาลัยตายอยาก
วันเดียวก็เป็นหนักขนาดนี้แล้ว
หินได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง
และวินาทีที่กำลังจะหลับลงเพราะไม่มีอะไรทำโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดคราดให้เจ้าของสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบหยิบมันออกมา
อาจเพราะกำลังรอคอย สติเลยหลอน ร่างกายเป็นไปโดยอัตโนมัติ ยิ่งเห็นว่าเป็นใครที่วิดีโอคอลไลน์มายิ่งไม่อาจห้ามริมฝีปากที่ฉีกออกยิ้ม
“อืม” รับสายด้วยคำสั้นๆทั้งที่ความจริงแล้วความรู้สึกทุกอย่างถาโถมเข้าหาอย่างรุนแรงเมื่อใบหน้าของคนที่คิดถึงปรากฏอยู่บนหน้าจอ
(อยู่ไหน ทำอะไร)
แฟนถามขึ้น แม้จะอ่อนแรงกับการเดินทางมากแค่ไหนแต่เมื่อถึงที่พักมือก็หยิบโทรศัพท์ออกมาคอลหาอีกคนทันที
ห่างไม่ถึงวันก็จะแย่แล้ว
“ห้อง เพิ่งกลับมาจากข้างนอก”
(ไปไหน ทำอะไร กับใคร) สีหน้านั้นดูอ่อนแรงหากแต่น้ำเสียงกลับเข้มขึ้น ดวงตาฉายแววคาดคั้น
“ไปออกกำลังกายกับเพื่อน หลังจากนั้นก็ไปกินข้าว...มึงล่ะ เพิ่งถึงใช่ไหม เหนื่อยหรือเปล่า”
หินถามไปถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นห่วงและอยากรู้ มองข้ามท่าทางเคลือบแคลงสงสัยนั้นไปเพราะตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ
(อือ รอเครื่องจากเอเธนส์นานเลยถึงช้าหน่อย เพิ่งถึงเมื่อกี้เลย)
“เหนื่อยก็นอนพัก ไว้ตื่นแล้วค่อยคุยกัน” เห็นสีหน้าเหนื่อยล้านั้นแล้วจึงเอ่ยบอกปลายสายเสียงอ่อนโยน
(ไม่เอา อยากคุย)
ปากบอกว่าอยากคุยแต่เปลือกตากลับหนักอึ้งเหมือนถูกหินหลายสิบกิโลถ่วงเอาไว้จนเริ่มปรือลง
“ก็นอนก่อนแล้วค่อยคุย”
(อือ)
หินยกยิ้มเมื่อภาพบนจอพลิกกลับด้านพร้อมกับที่แฟนถูกความง่วงและความล้าจากการเดินทางดึงวูบให้หลุดเข้าสู่ห้วงนิทรา จากใบหน้าสวยจึงเห็นเพียงเพดานสีฟ้า ถึงอย่างนั้นหินกลับไม่คิดวาง ดวงตาจับจ้องบนหน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ก่อนจะทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะทำ
ริมฝีปากได้รูปทาบทับลงบนจอราวกับนั่นคือหน้าผากเนียนของคนหลับใหลซึ่งอยู่อีกซีกโลก
“Good night my FAN”--
AMOREYOR
sent a photo. Fan : คราวหลังต้องมาด้วยกัน
เพียงแค่เห็นประโยคที่แจ้งเตือนมือหนาก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาจับ ปลายนิ้วแตะสัมผัสหน้าจอไปมาเพียงไม่กี่ครั้งหน้าของการสนทนาก็ปรากฏ ภาพซึ่งถูกส่งมาจากอีกฝั่งมีมากมายหลายสิบรูป ทว่าสิ่งที่ทำให้คนมองยกยิ้มไม่ใช่ความสวยงามของทัศนียภาพ...แต่เป็นคนในรูป
Hin : ไปเที่ยวก็เที่ยวไป มัวแต่ส่งรูปหากูทำไม
ถึงจะไม่ได้ไปแต่หินก็ได้เห็นและรับรู้ทุกอย่างผ่านรูปภาพราวกับร่วมเดินทางไปด้วยกัน ขณะเกิดความสงสัยว่าคนไปเที่ยวโฟกัสกับการเที่ยวหรือโฟกัสกับการส่งข้อความหาเขามากกว่า
Fan : ก็กูคิดถึง
ประโยคเดียวที่มีเพียงสี่คำส่งผลต่อคนอ่านจนริมฝีปากได้รูปฉีกออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ในหัวพลางคิดไปถึงใบหน้าเจ้าของข้อความ จินตนาการกับตัวเองว่าแฟนพูดด้วยสีหน้าแบบไหน ท่าทางอย่างไร เพียงเท่านี้ก็รู้สึกมีความสุขจนอิ่มเอิบ
Hin : กลับที่พักแล้วค่อยคุยกัน
อยากให้อีกคนสนุกกับการเที่ยวให้เต็มที่ ไม่อยากให้มาพะวงกับการส่งข้อความหากัน
Fan : ไม่คิดถึงกูเลยเหรอ
สิ่งที่มาพร้อมข้อความคือท่าทาง น้ำเสียง และสีหน้าของแฟน เป็นภาพที่ฉายชัดขึ้นมาเหมือนแฟนพูดเอ่ยอยู่ตรงหน้า หินโคลงหัวให้กับประโยคออดอ้อนติดจะงอนนั้น สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่พ่ายแพ้เมื่อปลายนิ้วกดพิมพ์ถ้อยคำเอาใจอีกฝ่ายส่งกลับไป
Hin : คิดถึง แต่อยากให้มึงเที่ยวให้สนุก
Fan : คิดถึงแค่ไหน
แฟนไม่สนใจคำว่าเที่ยวสนุกในท้ายประโยค สายตาและความคิดจดจ่อกับเพียงคำข้างหน้า
Hin : คิดถึงเท่าฟ้า
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นจากคนที่ตอบกลับ ในหัวนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเมื่อตอนเป็นเด็ก
‘รักพ่อกับแม่ไหม’
‘รัก’
‘เท่าไหน’
‘เท่าฟ้า’
เด็กชายศิลาในวัยเด็กเอ่ยตอบอย่างใสซื่อก่อนจะได้รับรางวัลเป็นการถูกหอมหนักๆไปทั่วใบหน้า ครั้นยามแฟนถามว่าคิดถึงแค่ไหนก็จึงอดไม่ได้ที่จะตอบกลับแบบนั้น พลางคิดว่าหากได้รับรางวัลดั่งตอนเด็กด้วยคงดี
คิดถึงจะแย่
Fan : นี่ใช่หินหรือเปล่า ขโมยโทรศัพท์มันมาใช่ไหม
คราวนี้หินหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนวินาทีต่อมาจะยืนยันตัวตนด้วยการอัดเสียงแล้วกดส่งไปหา
Hin : เที่ยวให้สนุก อย่ามัวกดแต่โทรศัพท์ คืนนี้กลับถึงที่พักแล้วคอลมา...จะรอ
Fan : Yep~
รับคำสั้นๆทว่าสติกเกอร์หัวใจถูกส่งเข้ามารัวจนโทรศัพท์ในมือสั่นครืดคราดไม่หยุด หินได้แต่ส่ายหัวให้กับเด็กดื้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ปฏิเสธว่าการคุยกันผ่านข้อความช่วยเยียวยาความโหยหาลงไปได้กว่าครึ่ง รอบตัวที่เงียบเหงาว่างเปล่าได้รับการเติมเต็ม
--
“วันนี้ไปล่องเรือดูพระอาทิตย์ตกแล้วก็ดินเนอร์บนเรือ อากาศเย็นสบายมาก อาหารก็อร่อยดีแต่กูเริ่มคิดถึงอาหารไทยแล้ว”
ปลายสายเอ่ยเล่ากิจกรรมของการไปเที่ยววันที่สองด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว สีหน้าคนเล่าเปลี่ยนไปอย่างหลากหลายแล้วแต่อารมณ์ในบางช่วงจนคนมองนึกขำ ระหว่างทำงานตอนกลางดึกไปด้วยก็มีเสียงของแฟนเล่านู้นเล่านี่จากอีกซีกโลกให้ฟังไม่หยุด
โลกสมัยนี้รวดเร็ว แม้อยู่ห่างกันแต่ก็ใกล้กันได้ด้วยเทคโนโลยี
“อย่าลืมดูแลสุขภาพ ใส่เสื้อผ้าหนาๆ มึงเพิ่งหายป่วย”
สายตาจับจ้องอยู่บนหนังสือเกี่ยวกับการเรียนการสอนทว่าปากก็ขยับพูดไปเองโดยอัตโนมัติ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง...ที่ไทยตีสองกว่าแล้ว มึงไม่นอนเหรอ”
แฟนมองคนซึ่งนั่งหน้าเครียดอ่านหนังสือ ขณะที่ความคิดถึงไหลวนไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่ตอนออกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอื่น ถึงจะรู้สึกสนุกแต่ใบหน้าของอีกคนก็มักฉายวาบขึ้นมาอยู่ตลอด
ยังดีอย่างน้อยยังได้เห็น ได้คุยกันแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงขาดใจตายไปจริงๆ
“กูว่าจะทำงานต่ออีกนิดหน่อย เคลียร์งานก่อนกลับบ้านพรุ่งนี้”
“แต่วันนี้มึงไปสอนมา ไม่เหนื่อยเหรอ”
“นิดหน่อย”
หินเงยหน้าขึ้นตอบเพียงครู่เดียว ก่อนเสียงพลิกหน้ากระดาษจะดังขึ้นเมื่อหน้าที่เปิดค้างถูกอ่านจนจบ
การที่อีกคนสนใจหนังสือมากกว่าไม่ได้ทำให้แฟนรู้สึกน้อยใจเลยแม้แต่น้อยเพราะเข้าใจดี
“งั้นกูไม่กวนแล้ว มึงทำงานเถอะ”
แน่นอนว่าลึกๆแล้วความรู้สึกไม่ได้เป็นไปตามคำพูด แต่เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของหินจึงตัดสินใจจะวางสายเพื่อให้เจ้าตัวทำงานได้อย่างเต็มที่
ทว่าคนฟังกลับเข้าใจไปอีกเรื่อง ดวงตาซึ่งจับจ้องอยู่บนหน้าของหนังสือละขึ้นมองคนในจอ คิ้วเข้มขมวดมุ่น
“งอน?”
“ไม่ได้งอน ก็มึงทำงาน”
หินจับสังเกตอาการคนพูด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติทั้งสีหน้าและน้ำเสียง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันจึงคลายออก
“คุยได้ งานไม่ได้เร่งอะไร แค่อ่านทบทวนไว้เฉยๆ”
“อยากคุยกับกูเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
เห็นท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาใส่แบบนี้หินจึงมั่นใจว่าแฟนคงไม่ได้งอนจริงๆ
“ทำไม กูอยากคุยกับแฟนตัวเองนี่มันแปลกหรือไง?”
ร่างสูงทิ้งตัวพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ยกท่อนแขนขึ้นมากอดอก สีหน้าไม่มีแววขัดเขินหรือสั่นไหวใดๆ
“เป็นแค่แฟนเองเหรอ” อีกคนเย้าต่อด้วยดวงตาเป็นประกาย
“กูอยากคุยกับ
เมียกูนี่แปลกหรือไง”
คำพูดถูกเปลี่ยนไปเป็นคำที่เหมาะสมยิ่งกว่าโดยใบหน้าของคนพูดไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน
“ไม่แปลก เพราะกูก็อยากคุยกับหลัวกูเหมือนกัน” เสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้นก่อนแฟนจะยิ้มกว้างเต็มหน้า
เมื่อก่อนยามได้ยินคำว่าเมียอาจรู้สึกแปลก แต่เมื่อมันเป็นความจริงแล้วจึงคุ้นชินกับการได้ยินมากขึ้น
“หลัวอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง” หินแสร้งพูด ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้
“กูก็อยากคุยกับ
ผัวกูเหมือนกัน”
ประโยคเดิมแต่เปลี่ยนสรรพนามดังขึ้นยิ่งกว่าเก่า พลันวินาทีนั้นเหมือนแฟนได้เห็นความพึงพอใจในดวงตาคม มุมปากได้รูปก็ดูเหมือนจะยกขึ้นนิดๆ
“งั้นเราก็ควรจะคุยแบบที่ผัวเมียเขาคุยกัน”
ประกายในตาของคนพูดพราวระยับกว่าครั้งไหน เสียงทุ้มทอความกรุ้มกริ่มตามกันมา หนังสือบนโต๊ะดูท่าว่าจะไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป
คำพูดและท่าทางของหินทำให้แฟนหวาดระแวง ความสงสัยบนใบหน้าฉายชัด เริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“คุยอะไร”
ความสั่นไหวข้างในถูกแสดงออกผ่านทางน้ำเสียง ยังดีที่ว่ามันไม่มากถึงขั้นผิดสังเกตจึงไม่โดนหินแซว กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแกร่งดังตามมา
“หึ คิดถึงสัมผัสของกูไหม คิดถึงตอนอยู่บนเตียงกับกูบ้างหรือเปล่า”
ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้หน้าจอโทรศัพท์ที่ตั้งอิงไว้กับกองหนังสืออีกเล็กน้อย พลางส่งสายตาซึ่งมีเลศนัยให้ผ่านกล้อง และต้องโทษความคิดของตัวเองที่เพียงได้ยินคำพูดนั้น ในหัวก็คิดภาพตามทันใด
“มะ ไม่”
ท่าทางเกินการควบคุมนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตา ไม่เพียงแต่เสียงที่สั่นไหวแต่แววตาของแฟนยังไม่มั่นคงจนจับสังเกตได้
พลาดแล้วเด็กน้อย
“จริงเหรอ...ไม่คิดถึงตอนที่ปากกูกดจูบไปทั่วตัวมึงสักนิดเลย?”
“ไม่”
คราวนี้คำปฏิเสธฟังดูมั่นคงขึ้นแต่ลูกกระเดือกที่เคลื่อนไหวขึ้นลงบ่งบอกว่าแฟนกำลังตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ
“แต่กูคิดถึง คิดถึงตอนตัวมึงบิดเร่าอยู่ใต้ร่าง ตอนได้ยินเสียงมึงเว้าวอนร้องขอ ตอนเห็นมึงน้ำตาคลอด้วยความเสียว”
หินแกล้งเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า การนิ่งเงียบแล้วหลบสายตายิ่งตอกย้ำว่าแฟนกำลังอยู่ภายใต้การควบคุม ยามปกติเจ้าตัวคงหยุดยั้งคำพูดด้วยเสียงตวาด ทว่าตอนนี้กลับไม่ได้ทำอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่มีแม้แต่ท่าทีจะห้ามทั้งที่ปากเอ่ยคำปฏิเสธ
“เลื่อนมือไปตามตัวเองดูสิ เหมือนที่กูทำกับมึง จินตนาการว่านั่นคือมือกูที่ค่อยๆลูบจากหน้าท้องมึงขึ้นไป”
นัยน์ตาสวยสั่นระริก ทุกคำพูดไหลวนเข้าหัวเชื่องช้า สมองประมวลผลได้แต่ก็มึนเบลอเกินกว่าจะสั่งการ กระทั่งใบหน้าของคนพูดพยักลงกระตุ้นอีกทาง มือเล็กก็ทำงานไปรวดเร็วยิ่งกว่าสมองสั่ง
แต่ด้วยเพราะกำลังนอนคว่ำการลูบไล้ผ่านทางด้านหน้าเลยลำบาก แฟนจึงดันตัวขึ้นเล็กน้อยให้มีช่องว่างระหว่างร่างกายกับเตียงพอให้มือสอดผ่าน ดวงตาที่ยังคงจับจ้องคนปลายสายเริ่มปรือลงตามแรงอารมณ์ ลืมเลือนไปสิ้นว่าตัวเองคล้อยตามอีกฝ่ายง่ายดายเพียงใด
“กูกำลังแตะนิ้วลงบนหัวนมของมึง ค่อยๆคลึงแผ่วเบา”
คนถูกชักนำค่อยๆปิดเปลือกตาลง ราวกับสัมผัสของหินตราตรึงอยู่บนทุกพื้นที่ของร่างกาย เพราะเพียงแค่เจ้าตัวเอ่ยพูดร่างกายก็รับรู้ในทันที
ไม่ใช่เพียงแค่แฟนที่ตกอยู่ในห้วงของภาพจินตนาการ แต่คนพูดก็ไม่แตกต่าง จากที่ตั้งใจแกล้งเล่นดูท่าว่าตอนนี้จะไม่ใช่แค่เท่านั้น ลมหายใจร้อนเริ่มหอบถี่ไปตามกัน
“อือ” ยิ่งได้ยินเสียงครางผะแผ่วกายแกร่งยิ่งเกร็งขนัด อารมณ์ปรารถนาก่อตัวไปทั่วร่าง
“อีกข้างก็กำลังใช้ปลายลิ้นสัมผัส เลียวนไปช้าๆ”
การรับรู้ทางหนึ่งปิดลงอีกทางจึงทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ภาพในหัวซึ่งซ้อนทับขึ้นมาเด่นชัดราวกับกำลังเกิดขึ้นจริง มือเล็กทำงานตามไปคำบอกโดยไม่อิดออด
หินชอบเลีย ชอบดูด แล้วก็ใช้ฟันครูดเบาๆ
“อื้อ”
“จากข้างซ้ายไปข้างขวา สลับกันไปมา”
“...”
“พอมึงเริ่มเจ็บกูก็ไล่จูบขึ้นไปตามคอ”
เมื่อได้เริ่ม ความต้องการยามแฟนอยู่ห่างไกลจึงส่งผลให้หินสานต่อโดยไม่คิดหยุด ปากได้รูปพร่ำสั่งการไปเรื่อยๆ
“ตรงนี้หอม”
เอ่ยออกมาเมื่อกำลังคิดถึงภาพตอนตัวเองซุกซบอยู่กับซอกคอของแฟน กลิ่นหอมอ่อนอบอวลอยู่ปลายจมูกเหมือนร่างเล็กอยู่ตรงหน้า
กลิ่นที่จำได้ขึ้นใจ
“กูขยับปากขึ้นมาจูบปากมึงแล้ว” ริมฝีปากบางถูกขบกัดเมื่อรู้สึกว่าความวูบวาบแล่นไปทั่วปาก
ความรู้สึกยามถูกหินดูดดึง สอดลิ้นเข้ามากวาดต้อนแลกเปลี่ยนความหอมหวานตรึงอยู่ในใจ
“แล้วมือของกูก็เลื่อนต่ำลงไปข้างล่าง เรื่อยๆ...”
“อะ อือ”
“ถอดกางเกงข้างนอกและข้างในของมึงออกแล้วสัมผัสส่วนนั้นเบาๆ...ดูสิ มันทักทายกูใหญ่”
ลมหายใจของคนพูดกระเส่าพร่า กลางกายปวดหนึบจนต้องเลื่อนมือลงไปสัมผัส ขณะที่ฟันซี่ขาวกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดแทบซิบ นึกถึงความรู้สึกหยาบสากของมือหนาที่แตะต้องตัวเองแล้วสะโพกบางยิ่งโก่งโค้ง ยามมือกำลังทำหน้าที่แทนมือซึ่งอยู่ห่างไกล
จินตนาการของคนช่างแสนลึกล้ำ เพียงแค่คิดก็รู้สึกไปได้ถึงขนาดนี้
“ตรงนั้นขมิบยั่วกูเชียวนะ”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกจนเผลอลืมตาขึ้นเมื่อหินพูดราวกับตาเห็น
ช่องทางเล็กตอดรัดความว่างเปล่าเมื่อต้องการบางอย่างมาเติมเต็ม ทว่าสิ่งที่น่าตกใจคือหินรู้ทั้งที่โทรศัพท์ถูกตั้งพิงกับหัวเตียง ในท่านอนคว่ำแบบนี้แน่นอนว่าจึงเห็นเพียงใบหน้า
และการลืมตาขึ้นนั้นดูจะเป็นการกระทำซึ่งผิดมหันต์ ดวงตาที่สบเข้ากับหินพร่ามัวเนื่องด้วยกระแสบางอย่างในตาของอีกฝ่าย
ไม่ใช่แค่แฟนที่กำลังต้องการ หินก็ไม่แพ้กัน
“กูกำลังสอดนิ้วเข้าไปในตัวมึงช้าๆ”
เอ่ยบอกยามมือหนารั้งขอบกางเกงทั้งนอกและในลง ปลดปล่อยบางสิ่งซึ่งชูชันสู่ภายนอก สายตาสองคู่ทอประกายความหวามไหว ร้อนแรง และต้องการ เมื่อนิ้วมือเล็กเคลื่อนต่ำลงแล้วสอดเข้าไปในช่องทางแคบเปลือกตาสีอ่อนก็ปิดลงอีกครั้งอย่างหลีกหนีความกระดากอาย
มะ ไม่ไหว
“ค่อยๆ มึงรัดกูแน่นมาก อืม”
เสียงครางต่ำดังเล็ดลอดเมื่อในหัวกำลังเปลี่ยนนิ้วมือให้เป็นบางอย่างที่ตัวเองกอบกุมรูดรั้ง
ตรงนั้นของแฟนอุ่นร้อน ตอดถี่...
“อึก หะ หิน”
นิ้วที่เข้าไปได้ทีละนิดเนื่องจากไม่มีอะไรช่วยหล่อลื่นส่งผลให้รู้สึกเสียดแน่นจนต้องเรียกอีกคนเสียงแผ่ว
“ผ่อนคลาย ไม่ต้องเกร็ง กูกำลังสอดเข้าไปแบบไม่เร่งรีบ”
คำปลอบประโลมดังขึ้นเป็นระยะกระทั่งนิ้วเรียวเล็กเข้าไปได้หมดแฟนจึงแช่ค้างไว้อย่างนั้นพลางหอบหายใจ ขณะที่หูเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวรัวเร็วยามเปลือกตายังคงปิดสนิท
“กูจะขยับแล้วนะ”
“อื้อ...”
“งอปลายนิ้วหน่อยแล้วขยับเข้าออกจนสุด กูกำลังทำเพราะมึงชอบแบบนี้”
ราวกับเสียงนั้นเป็นคำสั่งการของร่างกาย พอได้ยินมือก็ทำตามรวดเร็วจนความเสียววูบแล่นพล่านเข้ามาเล่นงาน สะโพกเล็กส่ายไหวบิดเร่า ปากบางเปล่งเสียงครวญครางอย่างไม่อาจกลั้น
“อ๊ะ อา”
“ยิ่งลึกตัวมึงยิ่งอุ่น กูชอบที่สุด” เมื่อถูกกระตุ้นด้วยคำพูดนิ้วเล็กจึงพยายามสอดเข้าให้ลึกยิ่งกว่าเดิม “แล้วกูก็ค่อยๆเพิ่มนิ้วเข้าไปอีกหนึ่ง”
“อื้อ อือ”
โจทย์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นสร้างความยากลำบากแต่มันก็มาพร้อมกับความเสียดเสียว ช่วงแรกอาจไม่ลื่นไหลนักแต่เมื่อมีเสียงของหินคอยกำชับ การเพิ่มจำนวนจึงผ่านได้อย่างราบรื่น ทั้งยังเพิ่มอารมณ์ให้พุ่งสูงจนใกล้ถึงฝั่งฝัน
“กูไม่ออมแรงแล้วนะ”
เป็นคำบอกทั้งอีกฝ่ายและตัวเอง มือของแฟนขยับเร็วขึ้นเท่าที่จะสามารถ ขณะที่มือหนาก็รูดรั้งตัวตนสุดแรง ส่วนปลายฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยน้ำสีขุ่น
“อา อ๊ะ หะ หิน แรงอีก”
“มึงตอดกูถี่มาก ใกล้แล้วใช่ไหม”
“อะ อืม”
ต่างฝ่ายต่างขยับมือของตัวเองรัวเร็วจนเกิดเสียง ใบหน้าบิดเบ้ ริมฝีปากถูกขบกัด ร่างกายเกร็งสั่น จากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีเสียงครางยาวก็ดังขึ้นจากทั้งสองฝ่าย ความต้องการถูกปลดปล่อยจนเลอะเตียงนอน อีกฝั่งนั้นเลอะกางเกงตัวเองจนเปียกชุ่ม
“แฮกๆ”
เสียงหอบหายใจดังขึ้นก่อนสะโพกที่โก่งโค้งจะทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง ใบหน้าสวยชื้นเหงื่อเอียงซบอยู่กับหมอนใบใหญ่
“เสียวดีไหม”
(มีต่อหน้าถัดไป)