ตอนที่ 19
คนที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมากกลับนั่งซึมตลอดทางกลับบ้าน แม้จะกินยาเข้าไปกันอาการหนักขึ้นแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันท้วงที จนเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว กระบอกตาปวดหนึบ
“ปวดหัวหรือยัง”
ท่าทางนิ่งเงียบเซื่องซึม นั่งกอดหมอนที่มีอยู่ติดรถพลางซบใบหน้าอยู่นิ่งๆทำให้หินเหลือบมองและหันมาถามเป็นระยะ
“นิดนึง”
คนป่วยเอ่ยตอบด้วยเสียงอู้อี้ อาการที่เกิดกับตัวเองยังไม่ถึงขั้นหนักมากนักแต่ก็ส่งผลให้เกิดความอึนในหัว ระบบความคิดและการประมวลผลช้าลงกว่าเคย
หินหันมองคนข้างตัวเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจการขับรถต่อ ตลอดทางสายตาที่ควรสนใจเพียงถนนกลับเหล่มองเบาะซ้ายบ่อยพอกัน กระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไปรถคันหรูจึงจอดนิ่ง ณ หน้าประตูบ้านหลังใหญ่
เมื่อก้าวลงจากรถก็มีสองพี่น้องวิ่งออกมาต้อนรับเช่นเคย
“สวัสดีครับพี่หิน”
“สวัสดีค่ะ”
เด็กทั้งสองยกมือขึ้นไหว้พลางกล่าวคำทักทาย
“สวัสดีครับ” หินรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม
“พ่อกับแม่ออกไปข้างนอกนะพี่แฟน จะกลับมาตอนเย็น”
“พี่ปวดหัว เดี๋ยวจะขึ้นไปนอนพักก่อน”
“ไม่สบายเหรอ”
ผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามขึ้น ดวงตามีประกายแห่งความเป็นห่วงขึ้นมาครามครัน
“อืม”
“งั้นเดี๋ยวฟองโทรบอกพ่อกับแม่ให้”
“ไม่เป็นไร ให้พ่อกับแม่กลับมาค่อยบอกก็ได้”
ฟาร์มและฟองพยักหน้ารับก่อนแฟนจะเดินเข้าไปในบ้านแล้วขึ้นบันไดตรงไปยังห้องตัวเอง
“นอนซะ เดี๋ยวพ่อกับแม่มึงมากูค่อยกลับ”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกคนที่นอนอยู่บนเตียงขณะนั่งเคียงข้างไม่ห่าง โดยมีมือเล็กเอื้อมมาจับกันไว้ไม่ยอมปล่อย อุณหภูมิร่างกายของแฟนเริ่มสูงขึ้นอย่างที่คาดการณ์
“อือ” แฟนรับคำในลำคอพลางปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
พลังงานทั้งทางร่างกายและจิตใจถดถอยเพราะอาการป่วย ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้นยังคงเป็นปกติแต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น
หินทอดมองใบหน้าของคนบนเตียงนิ่ง มือข้างที่ว่างคอยวางแนบลงบนหน้าผากเนียนเป็นระยะ จนเมื่อมั่นใจว่าแฟนหลับไปแล้วจึงค่อยๆเลื่อนมึงออกจากการเกาะกุม
ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปทางห้องน้ำ จัดแจงหาอ่างและผ้าผืนเล็กก่อนจะออกมาเช็ดตัวให้อีกคน
ไม่กี่ชั่วโมงจากนั้นพ่อและแม่ของแฟนก็กลับมาหลังจากที่รู้ข่าว อุณหภูมิจากกายบางยังคงทรงตัวเพราะคนเฝ้าไข้หมั่นเปลี่ยนผ้าบริเวณหน้าผากและลำคออยู่เสมอ
“ไข้ยังไม่สูงมากครับ แต่ก็ไม่น่าวางใจ” หินรายงาน
“อืม ถ้าไข้ไม่ลดเลยก็คงต้องพาไปหาหมอ”
เสียงทรงอำนาจพูดตอบยามสายตาจับจ้องไปยังลูกของตัวเองที่นอนซมอยู่บนเตียง เสียงนั้นพยายามเอ่ยอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนป่วย
“ครับ หวังว่าคงไม่ต้องไป”
“แล้วนี่จะอยู่เฝ้าเลยหรือเปล่า”
พ่อของแฟนหันมาถาม แม้คำถามนั้นจะดูราวกับเปิดโอกาสให้ แต่หินก็รู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะค้างที่นี่
“เปล่าครับ ผมคิดว่าจะกลับแล้ว”
“จะกลับแล้วเหรอจ๊ะ”
“ครับ”
พ่อกับแม่แฟนมาถึงแล้ว ที่นี่มีคนดูแลมากมาย คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก
“งั้นก็ให้คนรถที่บ้านไปส่งแล้วกัน” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยสั่งเสียงเรียบ หินจึงทำได้เพียงรับคำ
“ครับ”
“งั้นเดี๋ยวแม่ให้คนลงไปบอกลุงบุญให้เตรียมรถนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ”
กล่าวคำขอบคุณแต่สายตายังคงมองแฟนไม่วางตาจนผู้ใหญ่ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันแล้วอมยิ้ม จากนั้นแม่ของแฟนจึงเดินออกไปบอกแม่บ้านข้างนอกแล้วกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“จะรอแฟนตื่นก่อนไหมจ๊ะ”
“ไม่ดีกว่าครับ น้องคงนอนยาว...งั้นผมลาเลยนะครับ สวัสดีครับ”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้พร้อมทั้งกล่าวอำลา ก่อนคนถูกไหว้ทั้งสองจะรับไหว้แล้วเดินลงมาส่งแขกของบ้าน กระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไปเรียบร้อยจึงหันมาคุยกัน
“ลูกเราจะงอแค่ไหน ฉันไม่อยากจะคิดเลยค่ะ” น้ำเสียงของคนเป็นภรรยาทอความอ่อนใจรวมทั้งเป็นกังวล
เวลาป่วยความดื้อและความเอาแต่ใจของแฟนจะถูกคูณไปอีกสิบ ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอหินแบบนี้ไม่พ้นว่าต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง
“หึ หนักแน่นอน”
คนเป็นสามีเอ่ยตอบพร้อมทั้งหัวเราะในลำคอด้วยความขยาดกับภาพในจินตนาการของตัวเอง
--
“คุณแฟนขา ทานข้าวหน่อยเถอะนะคะ นี่จวนจะเลยเวลามื้อเย็นอยู่แล้ว”
แม่บ้านคนสนิทแทบเรียกได้ว่ากำลังอ้อนวอนคนที่นอนตะแคงไปอีกข้างให้ลุกมาทานข้าว อาหารซึ่งถูกยกขึ้นมาให้ถึงห้องถูกปล่อยทิ้งไว้จนเย็นชืด มื้อเย็นแทบจะล่วงเลยกลายเป็นมื้อดึก น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือคนป่วยไม่ยอมทานยาจนใบหน้าเริ่มแดงก่ำเพราะความร้อนของร่างกายที่สูงขึ้น
“ไม่หิว” น้ำเสียงก็เริ่มแหบแห้ง
“ไม่หิวก็ทนทานให้ป้าหน่อยนะคะ จะได้ทานยาด้วย ไม่อย่างนั้นไข้จะสูงขึ้นไปอีกนะคะ”
“...”
แล้วสัญญาณตอบรับก็หายไปบ่งบอกว่าคำร้องขอนั้นไม่เป็นผล แม่บ้านทั้งสองลอบมองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงเจ้านายน้อยมากล้น สุดท้ายคนเป็นแม่ที่กล่อมไปก่อนหน้าแล้วไม่ได้ผลจึงขยับมาพูดคุยอีกครั้ง
“แฟน ถ้าลูกไม่กินข้าวไม่กินยาแล้วไข้ไม่ดีขึ้นแม่ไม่ให้กลับคอนโดนะ...ไม่กลับคอนโดก็จะไม่ได้เจอพี่หิน”
คนนอนหันหลังหนีทุกคนกัดปากแน่นจนความชาแล่นมาที่ริมฝีปาก ความมึนงงสับสนในหัวบวกกับอาการไข้จึงยิ่งต้องใช้เวลากับกระบวนการคิด แต่ถึงอย่างนั้นคำว่าจะไม่ได้เจอพี่หินก็วิ่งแทรกเข้ามาเหนือคำพูดใด
ร่างเล็กค่อยๆพลิกกายกลับมา ดวงตามีแววดื้อรั้นทั้งที่แดงก่ำ ก่อนปากเล็กซีดเซียวจะขยับพูด
“เอาโทรศัพท์แฟนมา”
จะโทรหาพี่หิน...
“ทานข้าวก่อนแล้วแม่จะให้คุยกับหิน”
คนเป็นแม่ที่รู้ทันต่อรองจนคนป่วยแสนดื้อนิ่งเงียบ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ
“งั้นเอาข้าวมา”
คำนั้นทำให้ทุกคนในห้องลอบยิ้มด้วยความโล่งอก แม่บ้านรีบกุลีกุจอไปพยุงร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง ขณะที่อีกคนก็รีบยกถาดข้าวต้มมาวางให้บนโต๊ะข้างหัวเตียง ส่วนคนเป็นแม่ได้แต่นั่งมองพร้อมทั้งส่ายหัวอ่อนใจ
เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งเชียวล่ะลูกคนนี้
ทางด้านคนป่วยก็จับช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มด้วยความเชื่องช้า ความขมปร่าในปากทำให้รู้สึกไม่อร่อยจนอยากวางช้อนลง แต่เพราะรู้ดีว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะไม่ได้คุยกับหินจึงฝืนใจไปอีกห้าหกคำก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“อิ่มแล้ว”
เพียงเท่านี้คนเป็นแม่ก็พึงพอใจ จากนั้นจึงยื่นโทรศัพท์ส่งให้ตามสัญญา โดยที่แฟนรีบคว้าโดยเร็ว ทว่ากลับถูกแม่ดึงมือหนี
“คุยกับหินเสร็จแล้วต้องทานยานะ”
“อื้อ”
ครางรับด้วยเสียงไม่พอใจแต่พอได้โทรศัพท์มาไว้ในมือก็ระบายยิ้มกว้าง ยิ่งเห็นข้อความจากไลน์ของหินยิ่งยิ้มกว้างขึ้นจนทุกคนพากันส่ายหัว
(ว่าไง...รู้สึกดีขึ้นหรือยัง)
คนที่รอโทรศัพท์อยู่ตลอดแทบจะกดรับในทันที ขณะที่เสียงทุ้มนั้นก็ทำให้แฟนรู้สึกดีจนลืมคนรอบตัว เหมือนทั้งห้องมีเพียงตัวเอง
“ยัง ปวดหัว เจ็บคอแล้วด้วย”
เอ่ยตอบเสียงอ่อยเนื่องจากอาการป่วยและอยากเรียกร้องความสนใจด้วยส่วนหนึ่ง
(กินข้าวกินยารึยัง)
ทางด้านปลายสายที่ได้ฟังอาการก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เกิดความเป็นห่วงจนแทบอยากขับรถไปหาเดี๋ยวนี้
“กินข้าวแล้ว แต่ยังไม่ได้กินยา”
(อย่าลืมกินด้วย)
“อือ...พี่หิน”
คนฟังถึงกับชะงักเนื่องจากน้ำเสียงเอ่ยเรียกแสนออดอ้อน ส่วนคนในห้องที่ได้ยินถึงกับเบิกตา หันมองหน้ากันลอกแลก
(ว่าไงหืม) อีกคนก็ตอบกลับด้วยเสียงอันอ่อนโยน
“มาหาหน่อย” คนป่วยอ้อนเอาดื้อๆ
(รอหายป่วยแล้วเดี๋ยวไปรับกลับ โอเคไหม)
แฟนเบะปากให้กับคำตอบที่ได้ยิน ความน้อยใจวิ่งวาบเข้ามาในอกอย่างไม่มีสาเหตุและไม่อาจควบคุม ดวงตามีน้ำมาคลอหน่วยทันใด
“...”
(แฟน)
“...” ได้ยินคำเรียกขานชัดเจนแต่ไม่ตอบ
(งอนกูเหรอ)
หินเริ่มร้อนรน เข้าใจดีว่าการป่วยจะทำให้คนอ่อนไหวง่าย และการเงียบของแฟนนั้นก็ส่งผลให้อยู่ไม่เป็นสุข
แค่เป็นห่วงเพราะไม่สบายก็รุนแรงต่อความรู้สึกแล้ว ยิ่งถูกงอนด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“ใจร้าย”
นานเกือบจะต้องเดินไปหยิบกุญแจรถปลายสายจึงตอบกลับให้พอใจชื้น อีกทั้งยังเป็นคำที่เขย่าใจคนฟังให้วูบไหว
(สัญญาว่าจะรีบไปรับทันทีถ้าดีขึ้น)
“...”
(โอเคไหม) หินถามย้ำเมื่ออีกคนเงียบไปอีกครั้ง
“อือ”
(งั้นตอนนี้ก็ไปกินยา เช็ดตัว แล้วก็นอนซะ)
“ไล่กูเหรอ” ได้ยินคำนั้นด้วยเสียงเง้างอนหินก็รีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน
(ไม่ได้ไล่ แต่อยากให้มึงหายเร็วๆจะได้ไปรับ...คิดถึง)
คนป่วยที่หน้างอไม่กี่วินาทีก่อนหน้ากลับมาระบายยิ้มอีกครั้งหลังจากได้ยินคำหลัง ท่าทางดูมีความสุขเหลือล้น
“คิดถึงเหมือนกัน”
หากเป็นยามปกติคำนี้อาจใช้เวลานานกว่าจะตัดสินใจพูดออกไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่เช่นปกติ แฟนตอบกลับทันใดอย่างไม่มีปิดบังความรู้สึก
(ถ้าอย่างนั้นก็รีบหาย กินข้าวกินยาให้ครบ ห้ามดื้อด้วยเข้าใจไหม)
ประโยคนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เป็นคำร้องขอ ไม่มีสักนิดที่จะเป็นคำสั่ง และคนถูกเป็นห่วงก็ยอมรับคำโดยง่าย
“อือ ไม่ดื้อ”
คนเป็นแม่ซึ่งได้ยินตาแทบถลน ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตัวเองและแม่บ้านพูดจนปากแทบแฉะ กล่อมจนต้องยกหินขึ้นมาอ้างถึงยอมทานข้าว ทว่าเจ้าตัวแสบกลับพูดว่าไม่ดื้อหน้าตาเฉย
ควรฟ้องหินซะดีไหม
(ดีมาก พักผ่อนซะ...ฝันดี)
“ฝันดีเหมือนกัน”
หินรอให้คนโทรมาเป็นฝ่ายตัดสายไปก่อนจึงสามารถวางโทรศัพท์ลงแล้วไปทำงานของตัวเองต่อได้ ทางด้านคนป่วยก็มองโทรศัพท์ที่หน้าจอดับไปแล้วอยู่อย่างนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“คุยแล้วก็กินยาได้แล้วนะ”
คนเป็นแม่เอ่ย เรียกให้สายตาของแฟนเลื่อนขึ้นมาสบ ก่อนมือบางจะแบมาขอยา พอได้รับก็เอาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามโดยไม่อิดออด
“เดี๋ยวแม่จะเช็ดตัวให้”
“ไม่เอา” คราวนี้คนป่วยปฏิเสธเสียงแข็ง “แฟนทำเอง แม่กับทุกคนไปนอนเถอะ”
ถึงจะไม่อยากตกลงแต่นิสัยที่รู้ดีว่าเป็นยังไงของลูกก็ทำให้ผู้ให้กำเนิดยอมตามใจ เพียงแค่แฟนยอมทานข้าวและทานยาก็ถือว่ามากพอแล้ว
“เดี๋ยวน้องจะมานอนด้วย เผื่อตอนกลางแฟนไข้ขึ้น”
“อืม”
“งั้นแม่ไปแล้ว หายไวๆ”
สัมผัสบางเบาทาบทับลงบนหน้าผากยามที่แฟนก็พยักหน้ารับพลางกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นคนทั้งหมดจึงทยอยออกจากห้องให้คนป่วยได้พักผ่อน เมื่อเหลือเพียงตัวเองร่างบางจึงค่อยๆลุกขึ้นไปล็อกห้องไว้ชั่วคราว เรียบร้อยแล้วจึงย่องเข้าไปในห้องน้ำ จัดการกับตัวเองด้วยน้ำอุ่นโดยพยายามใช้เวลาให้เร็วที่สุด
--
วันต่อมาอาการไข้ดูเหมือนว่าจะหนักขึ้นมากกว่าลดลง ความปวดหัวและตัวร้อนแปรผันตรงกับความดื้อและความงอแง จะเช็ดตัวทีแฟนก็ขดตัวหนีจนทุกคนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“แฟน แบบนี้ไปโรง’บาลดีไหมลูก”
คนเป็นพ่อที่นั่งอยู่บนเตียงข้างกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แก้มเนียนและดวงตาคู่สวยแดงก่ำบอกถึงความร้อนในร่างกายคนป่วย
ถ้าแฟนไม่หายสนิท ทริปซานโตรินีคงต้องถูกพับเก็บ
“ไม่ ไป”
เสียงตอบดังขาดห้วงด้วยความอ่อนแรง ร่างบางนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่พร้อมทั้งกอดหมอนข้างเอาไว้แน่น ถึงจะรู้สึกร้อนเพราะไม่ได้เปิดแอร์แต่รางกายกลับหนาวสั่นชวนสับสน
“แต่ตัวร้อนขนาดนี้พ่อว่าไปหาหมอหน่อยดีกว่านะ”
“ไม่”
“คุณแฟนคะ คุณหินโทรมาหลายสายแล้วค่ะ”
โทรศัพท์ซึ่งสั่นครืดๆอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงมีสายเรียกเข้ามาหลายนาที แต่คนบนเตียงยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ
ทว่าความจริงแล้วแฟนไม่ได้ไม่สนใจแต่กำลัง
พยายามไม่สนใจ ริมฝีปากบางถูกขบกัดด้วยฟันซี่ขาว ความร้อนตามกายพลันทำให้ทรมานจนอยากงอแงไปหมดทุกสิ่งอย่าง และที่มากที่สุดคืออยากเจอหิน
“แฟน จะ นอนแล้ว”
คนในห้องต่างพากันลอบถอนหายใจเมื่อเจ้าตัวดื้อเอ่ยออกมาแล้วก็ปิดเปลือกตาลงลงทันใด
“งั้นนอนนะ เดี๋ยวตอนเที่ยงแม่เอาข้าวกับยามาให้”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนป่วย เจ้าตัวยืนยันว่าจะนอนจึงไม่มีใครอาจขัดข้อง กระทั่งพ่อแม่และแม่บ้านออกไปจากห้องคนที่จะนอนก็ค่อยๆขยับตัวไปหยิบโทรศัพท์ แสงจากหน้าจอยังคงสว่างวาบเมื่อสายเพิ่งตัดไปเมื่อครู่
ผัว
47 Missed Callsชื่อที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่วันนั้นปรากฏขึ้นเป็นสายเรียกเข้าที่พร่ำโทรหา โทรศัพท์ในมือนิ่งไปได้ไม่กี่นาทีก็สั่นครืดคราดขึ้นมาอีกครั้งบ่งบอกความร้อนใจของปลายทาง แต่ถึงอย่างนั้นแฟนก็ยังไม่กดรับ ทำเพียงแค่นิ่งมองจนสายตัดไปแล้วหินก็โทรเข้ามาอีกครั้งและอีกครั้ง
ทางด้านคนที่วิ่งอยู่บนลู่ซึ่งวุ่นวายกับโทรศัพท์ไม่หยุดก็หยุดออกกำลังกายในที่สุดด้วยเพราะไม่มีสมาธิใดๆ เนื่องจากไม่รู้และไม่เห็น สมองจึงจินตนาการเกี่ยวกับอาการป่วยของแฟนไปไกลจนเกิดความร้อนขึ้นในอก
จะเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์...
“อ้าว ทำไมหยุดแล้วล่ะพี่”
รุ่นน้องที่มักเจอกันยามออกกำลังกายเอ่ยทักเมื่อเดินผ่านมาแล้วเห็นคนบนลู่ยืนอยู่นิ่ง
“วันนี้คงพอแล้ว มีธุระด่วน” ตอบเสร็จก็คว้าผ้าผืนเล็กที่พาดอยู่กับเครื่องวิ่งมาไว้ในมือก่อนจะเดินเร็วๆไปทางห้องน้ำ
หินใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนชุดเพียงไม่กี่นาที ความร้อนใจมีมากจนทำทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นมอเตอร์ไซด์คู่ใจก็เปลี่ยนทิศทางจากห้องของตัวเองเป็นบ้านของแฟนโดยไม่รีรออีกต่อไป
1 ชั่วโมงผ่านไป“คุณหินมาค่ะ”
คนทั้งหมดในห้องหันมองหน้ากันเมื่อแม่บ้านเดินเข้ามารายงาน ก่อนรอยยิ้มอ่อนใจจะเกิดขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นแม่ที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของหินเป็นอย่างดี
“ลูกเราคงไม่รับโทรศัพท์จนต้องมาหาถึงที่นี่”
“มาก็ดี จะได้ปราบเจ้าตัวแสบหน่อย ตอนไม่ป่วยก็ว่าดื้อแล้ว ตอนนี้นี่ผมยอมแพ้”
คนเป็นพ่อส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ ตลอดมาใช่ว่าแฟนไม่เคยป่วย แต่พอมีหินเข้ามาอีกคนก็ดูจะเป็นเงื่อนไขสำคัญของคนป่วยไปเสียทุกอย่าง
ไม่กี่นาทีจากนั้นร่างสูงในชุดวอร์มก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก หินรู้ดีว่าการแต่งกายของตัวเองไม่เหมาะสมนักแต่เป็นเพราะความร้อนใจจึงไม่อาจเสียเวลากลับไปเปลี่ยน
“สวัสดีครับ”
หินยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ใบหน้าคมแสดงออกถึงความกังวลอย่างปิดไม่มิด
“มาหาเพราะแฟนไม่รับโทรศัพท์ล่ะสิ”
“...ครับ” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันก่อนจะรับคำ
“รีบขึ้นไปเถอะ ก่อนเจ้าตัวแสบจะงอแงมากไปกว่านี้...อ้อ แล้วก็เช็ดตัวให้ด้วยล่ะ”
คนพูดโบกมือเป็นสัญญาณให้รีบไปพร้อมทั้งบอกแม่บ้านให้เดินนำทาง หินจึงได้แต่ค้อมหัวลงขออนุญาตผู้ใหญ่แล้วก้าวตามไป
“เปิดประตูเข้ามาทำไมไม่เคาะ”
เสียงอู้อี้ดังมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียงโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ลุกขึ้นมามอง หินจับจ้องก้อนผ้าห่มนั้นพลางเดินเข้าไปหา เมื่อทรุดตัวนั่งลงคนนอนตะแคงไปอีกด้านก็พลิกตัวกลับมา
“มึง!”
เพียงเท่านั้นร่างบางที่อ่อนแรงก็มีแรงผุดลุกขึ้นแล้วโถมตัวเข้าหาคนตรงหน้า หินเซไปเล็กน้อยขณะที่วาดแขนโอบแฟนเอาไว้ ความใกล้ชิดนี้ทำให้สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวของอีกฝ่ายจนต้องขมวดคิ้ว
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์” ประเด็นแรกถูกเอ่ยขึ้น
“ก็...นอนอยู่”
เอ่ยตอบพร้อมทั้งเอียงซบใบหน้าเข้ากับซอกคอแกร่ง สองแขนโอบรอบบ่ากว้าง ราวกับเด็กซึ่งกำลังออเซาะผู้ใหญ่
“แล้วดีขึ้นหรือยัง” คำถามนั้นได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ปวดหัว ตัวร้อนขึ้นด้วย”
“กินข้าวกินยาหรือเปล่า ดื้อไหม”
คนมีชนักติดหลังชะงักงัน ไม่อาจตอบได้อย่างฉะฉานด้วยเพราะคำว่าดื้อไหม เสียงที่เอ่ยออกไปจึงดังแผ่ว
“กิน”
“ดื้อไหม” หินถามซ้ำ คาดคั้นราวกับรู้ทัน
“นิดนึง”
ตอบแล้วก็ซุกหน้าเข้าหากันมากกว่าเดิมจนหินสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่รินรดบนผิวเนื้อ เสียงตอบดังอ้อมแอ้มกับท่าทางนี้ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าความจริงแล้วไม่ใช่แค่เพียงนิดเดียว แต่ถึงอย่างนั้นหินก็ยังไม่คิดดุตอนนี้ คนป่วยมักอารมณ์ไม่คงที่ งอแงได้ง่ายกว่าปกติ
“เดี๋ยวกูจะเช็ดตัวให้ เสร็จแล้วก็กินข้าวกินยา โอเคไหม” คำที่พ่อของแฟนพูดบ่งบอกว่าอีกคนคงยังไม่ได้เช็ดตัว
“อือ” รับคำอย่างดีแต่ลูกลิงบนตัวยังคงกอดและซบแน่นอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย
“ปล่อยก่อน เดี๋ยวกูจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”
ต้องเอ่ยซ้ำอีกรอบแฟนจึงค่อยๆคลายแรงโอบรัดออกแล้วขยับไปนั่งพิงหลังกับพนักเตียง ดวงตาคู่สวยจับจ้องหินไม่วางตาไม่ว่าจะขยับตัวไปทางใด
ร่างสูงที่หายไปทางห้องน้ำกลับออกมาอีกครั้งพร้อมผ้าและอ่างใบเล็ก การเช็ดตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเนื่องจากคนป่วยนั่งนิ่งไม่ขัดขืน หินพยายามใช้เวลาให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้อีกคนหนาวสั่น เมื่อเรียบร้อยจึงรีบหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมให้
“ถ้าไข้ไม่ลดลงต้องไปหาหมอ” ปากเล็กเม้มเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยิน
“ไม่อยากไป”
“ไปหาหมอจะได้หายเร็วๆ ป่วยแบบนี้ไม่ทรมานหรือไง”
หินเอ่ยตะล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน ทว่าแฟนก็ยังไม่มีท่าทีโอนอ่อน
“ทรมาน แต่ไม่ไป”
คำตอบนั้นทำให้คนฟังถอนหายใจ คิดเอาไว้ว่าถ้าถึงขั้นนั้นคงต้องมีการบังคับเกิดขึ้น
“ถ้าไม่อยากไปก็กินข้าวกินยาซะ เดี๋ยวกูจะลงไปบอกให้เขาเอาข้าวมาให้”
“มึงกินกับกูนะ”
แม้แต่กินข้าวก็ต้องอ้อนกัน หินได้แต่รับคำด้วยความอ่อนใจ
ระหว่างรอคนเอาอาหารเข้ามาให้แฟนก็คลอเคลียอยู่กับตัวไม่ห่าง บ้างก็กอดซบ บ้างก็ทิ้งหัวลงบนตก กระทั่งแม่บ้านยกอาหารเข้ามาจึงยอมขยับไปนั่งดีๆ
“ป้อน”
คนป่วยเอ่ยเพียงสั้นๆแต่ทำให้รู้ความหมายด้วยการเหลือบมองสิ่งที่ต้องการ ขณะที่หินก็ยอมตามใจ หยิบช้อนขึ้นมาตักซุปแล้วเป่าให้เรียบร้อยก่อนจะยกขึ้นจ่อปากเล็ก
“ถ้ากินเยอะกูมีรางวัลให้”
คนที่ตั้งใจจะบอกว่าอิ่มแล้วเป็นอันต้องเงียบเสียงลงเมื่อได้ยินประโยคหลอกล่อ เพราะอยากได้รางวัลนั้นปากจึงอ้ารับเอาข้าวเข้าปากแล้วค่อยๆเคี้ยวอย่างเชื่องช้า
“ให้อะไร”
“กินข้าวก่อนเดี๋ยวบอก”
หินยกยิ้มจากนั้นจึงป้อนอีกคนไปเรื่อยๆกระทั่งข้าวหมดลงกว่าครึ่งแฟนจึงเอ่ยบอกว่าไม่ไหว
ระหว่างรอเวลาทานยา คนป้อนที่ทานของตัวเองไปได้เพียงนิดก็อาศัยจังหวะนั้นทานข้าวของตัวเอง เสร็จเรียบร้อยจึงเอายาให้คนป่วยทาน
“มันขม” ใบหน้าสวยเบ้บิดยามมองเม็ดยาในมือตัวเอง
“ขมก็ต้องทน”
“ป้อน”
เด็กดื้อต่อรองจนสุดท้ายหินต้องหยิบเม็ดยามาไว้ในมือแล้วยื่นไปจ่อให้ถึงปาก ทว่าแฟนกลับส่ายหัวแล้วหันหน้าหนี
“ป้อนด้วยปาก” หินถึงกับเลิกคิ้ว ทุกอย่างนิ่งค้างไปด้วยความแปลกใจก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอให้กับอาการของคนไม่สบาย
ถ้าป่วยแล้วจะอ้อนกันขนาดนี้
“อยากจูบกูเหรอ” เอ่ยถามพร้อมทั้งยกยิ้มมุมปาก ดวงตาคมทอประกายวิบวับ
“อือ” แต่แล้วคำตอบรับโดยง่ายก็ทำให้หินแปลกใจยิ่งกว่า
คนตรงหน้าเหมือนเด็กตัวน้อยเพราะดวงตาซึ่งฉ่ำเยิ้มจากพิษไข้ ใบหน้าสวยซีดเซียวดูไร้คราบนางพญาเช่นยามปกติ
ตอนนี้แฟนเหมือนเด็ก ให้ทำอะไรก็ทำ ถามอะไรก็ตอบออกมาอย่างซื่อตรง และท่าทางการทอดมองกันอ่อนอ่อยนั้นพาให้ใจของหินสั่นไหว
ท้ายที่สุดแล้วยาเม็ดนั้นก็ถูกโยนเข้าปากตัวเอง มือหนาวางประกบกับแก้มเนียนทั้งสองข้างก่อนจะทาบทับริมฝีปากเข้าหา สอดเม็ดยาที่แผ่ความขมไปทั่วไปเข้าในปากของคนป่วย บังคับให้แฟนกลืนมันลงคอด้วยจูบอ่อนหวาน จากนั้นจึงรีบผละออกมาดื่มน้ำแล้วป้อนใส่ปากอีกคน
“ขม” ร่างเล็กบ่นออกมาทันทีที่หินผละออกห่าง
“มันเป็นยา...เสร็จแล้วก็นอนซะ จะได้หายเร็วๆ”
เห็นใบหน้าสวยแดงเรื่อซึ่งดูซีดเซียวกว่าเคยมือหนาจึงเลื่อนไปลูบไล้แก้มเนียนด้วยความสงสารแผ่วเบา
สัมผัสอ่อนโยนและสายตาแห่งความเป็นห่วงนั้นทำให้เด็กดื้ออ่อนลงทันใด
“อื้อ”
ร่างเล็กขยับตัวลงนอน ก่อนผ้าห่มที่กองอยู่บนหน้าท้องจะถูกดึงมาคลุมให้ถึงอก คนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างกันจับจ้องไม่มาวางตา
“หลับตาสิ” หินสั่งเมื่อดวงตาคู่สวยยังมองตัวเองตาแป๋ว
“ห้ามกลับ ตื่นมาก็ต้องเจอ”
คนป่วยพูดเสียงแผ่ว แม้อ่อนแรงแต่ก็ยังอยากคุยกับอีกคน
“อืม นอนได้แล้ว”
ฝ่ามือหนาวางพาดทับปิดตาคนนอนทั้งสองข้าง จากนั้นจึงสัมผัสได้ว่าแฟนหลับตาลงอย่างว่าง่ายขณะที่ความร้อนลามไล้ไปตามมือจางๆ
หินจับจ้องใบหน้าของแฟนส่วนที่อยู่เหนือฝ่ามือตัวเองหลายนาทีก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้จนลมหายใจรินรด ต่อมาริมฝีปากได้รูปก็จรดลงทาบทับหน้าผากเนียน
แนบแน่น...เนิ่นนาน
“รางวัล” กระซิบบอกก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงมายังปากบางอุ่นร้อน
การกระทำที่ทำให้คนป่วยซึ่งยังไม่หลับใจเต้นรัว
สัมผัสของหินอ่อนโยนและละมุนเหมือนขนมหวาน ทว่ามากกว่านั้นหลายเท่าเพราะความรู้สึกลึกซึ้งในใจของคนทั้งสอง
“ส่วนอันนี้กูอยากจูบเฉยๆ”
“...”
“หายไวๆเด็กดื้อ...พี่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”TBC.
พาคนป่วยแสนดื้อมาส่งแล้วค่าาาา ตอนนี้น้องแฟนควรได้ซีน แต่อิพี่มาแบบ ‘พี่เป็นห่วงจะแย่แล้ว’ คือตัยไปเล้ยยยย><
อยากป่วยให้พี่หินมาโอ๋บ้างเลยเนอะ ฮื่อ
รีบมาก่อนขุนเดชจะมา อย่าลืมอ่านแล้วเมนต์กันก่อนไปดูละครน้าาา/อ้อน
ฝากแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะะะ ไปหวีด ไปส่งฟีดแบคกันได้เน่อ~
แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาา
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ