ตอนที่ 17
“รีบไปไหนฮึเรา”
คนเป็นพ่อเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของลูกตัวเอง เอกสารการประชุมกระจัดกระจายถูกจับรวบเข้าหากัน มือบางสาละวนกับการเก็บของต่างๆจนผิดวิสัย
“พี่หินมารอที่ห้อง” คิ้วของคนถามขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินคำตอบ
“แล้วทำไมมารอ”
“แฟนอ้อนให้มาเอง” ใบหน้าสวยหันมาตอบด้วยรอยยิ้มพรายขณะเดินตรงมาหา
“เรานะเรา ลำบากพี่เขา”
ได้ยินดังนั้นแฟนก็ลอบถอนหายใจ ยามอยู่ต่อหน้าหิน คนเป็นพ่อจะทำขรึม แต่เมื่อพูดถึงอีกคนก็มักเข้าข้าง แสดงความเอ็นดูผ่านทางคำพูดอย่างไม่ปิดบัง
“ก็ช่วงนี้พี่หินว่าง”
“เอาเถอะ จะกลับก็รีบกลับ”
“งั้นแฟนไปแล้วนะ”
ดวงตาซึ่งถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ประกายวาววับจนคนมองถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับ
“พาพี่หินของเราไปทานข้าวที่บ้านบ่อยๆล่ะ”
“ครับ~”
แม้อยากจะล้อเลียนอีกฝ่ายมากกว่านั้นแต่ด้วยความรีบจึงทำได้เพียงลากปลายหางเสียงรับคำ แฟนยกมือขึ้นไหว้บิดาพลางอวยพรสำหรับการเดินทางกลับบ้านเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบสาวเท้าไปทางห้องทำงานของตัวเองด้วยกลัวว่าคนมารอรับจะคอยนาน
“ทำอะไร”
ร่างบางชะโงกหน้าไปดูหน้าจอไอแพดในมือหนาเมื่อเปิดประตูเข้าห้องไปแล้วเห็นหินง่วนอยู่กับสิ่งนั้น
“งานนิดหน่อย”
บนหน้าที่ถูกเปิดเอาไว้เต็มไปด้วยโน้ตเพลงซึ่งเป็นภาษาทางดนตรีที่แฟนไม่เข้าใจ
“มึงยุ่งเหรอ”
“เปล่า” เอ่ยตอบพร้อมทั้งกดออกจากโปรแกรมก่อนสิ่งของในมือจะถูกวางลงบนโต๊ะ ยามสายตาคมจับจ้องอยู่บนร่างบางที่กำลังเดินอ้อมมาหา
“หิวไหม”
คนถามเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งทรุดตัวนั่งลงบนตักโดยไม่ต้องให้บอกหรือส่งสัญญาณ คนทำหน้าที่เป็นเก้าอี้จำเป็นก็ให้ความร่วมมือด้วยการขยับเปิดทาง วางมือลงบนเอวเล็กเป็นลำดับต่อมาตามความคุ้นชิน
“หิว”
“งั้นไปกินข้าวกัน”
“หิวมึง”
ไม่เพียงแค่พูดด้วยสายตากรุ้มกริ่ม แต่มือหนายังเขี่ยวนอยู่บนหลังเอวอย่างสื่อความหมาย
ด้านคนฟังเกือบจะเกิดความรู้สึกขัดเขินหากภายใต้ความกรุ้มกริ่มนั้นไม่มีประกายความขบขันให้ได้เห็น
“เสี่ยวมาก”
ได้ยินดังนั้นคนเล่นมุกเสี่ยวเก่าแสนเก่าก็หลุดหัวเราะ สายตาและสัมผัสวาบหวามหยุดลงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างเวลาปกติ
“ไม่หิวมึง แล้วก็ไม่หิวข้าวด้วย เพิ่งสี่โมงครึ่งเอง”
“ไปเดินเล่นห้างกันไหม” คนมีแผนการเสนอ
“เดินเล่นงั้นก็ห้ามซื้ออะไร” เสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบจนคนถูกรู้ทันหน้ามุ่ย
“ถ้ามีของถูกใจจะไม่ให้ซื้อเลยหรือไง” ปากเล็กที่ขยับพูดยื่นออกน้อยๆตามความเคยชินยามไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าแค่ถูกใจก็ไม่ต้อง อย่าแค่อยากได้ ต้องคิดด้วยว่ามันจำเป็นไหม”
หินเอ่ยเตือนให้อีกคนได้ฉุกคิด แม้จะไม่อยากก้าวก่ายชีวิตของเจ้าตัวแต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนมาจากความหวังดี
แฟนมีเงินมากมายเขารู้ แต่บางครั้งหรือบางอย่างเราควรใช้ความคิดมากกว่าความรู้สึก
“ก็ของมันต้องมี” อีกคนโต้กลับ
“ถ้าอย่างนั้นของไม่จำเป็นหนึ่งอย่างแลกกับการแยกกันอยู่หนึ่งวัน โอเคไหม”
“ไม่”
คำปฏิเสธดังขึ้นทันควัน น้ำเสียงที่ใช้พูดแข็งกระด้าง แววตาไม่อ่อนหวานเหมือนก่อนหน้า ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่หินคาดการณ์เอาไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้น เมื่อเห็นท่าทางนี้ท่อนแขนแกร่งจึงเลื่อนกระชับโอบรอบเอวบางก่อนจะเอ่ยอธิบายด้วยความใจเย็น
ตั้งแต่คบกับแฟน นิสัยใจร้อนก็เย็นลงในหลายเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“กูทำแบบนี้เพราะอะไร” เอ่ยขึ้นเสียงเรียบเพื่อให้คนบนตักได้นึกคิด
ข้อเสนอนี้เขาตั้งขึ้นเพื่อความสนุกงั้นหรือ?
“...” บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงแอร์ที่ทำงานอยู่ในความเงียบ เมื่ออีกคนกำลังใช้ความคิดและอีกคนให้เวลาได้คิด
สองสายตามองสบกันนิ่ง ริมฝีปากบางถูกขบกัดด้วยฟันซี่ขาว
“ว่าไง” หินถามย้ำ
“เพราะหวังดี” แฟนค่อยๆเอ่ยตอบ
“รู้แล้วจะทำยังไง”
“จะเป็นเด็กดีก็ได้”
คำตอบรับเสียงแผ่วนั้นทำให้หินหลุดยิ้ม ถึงสีหน้าและแววตาของคนพูดจะเจือไปด้วยความไม่พอใจอยู่จางๆ แต่เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการริเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“แค่ไม่ฟุ่มเฟือยยังไม่ถึงกับเป็นเด็กดี ดื้อให้น้อยลง เอาแต่ใจให้น้อยลง คิดถึงคนรอบข้างให้มากขึ้น นั่นล่ะถึงจะเป็นเด็กดี”
ได้ยินคุณสมบัติเด็กดีแสนยืดยาวนั้นแล้วปากบางยิ่งยื่นออกเชิดขึ้น
“ทำไม ถ้ากูไม่เป็นเด็กดีแล้วจะไม่ชอบเหรอ”
“
ก็ชอบทั้งที่เป็นเด็กไม่ดีนี่แหละ แต่อยากให้ดีกว่านี้”
คนที่เตรียมตัวจะโต้ตอบเป็นอันต้องเงียบเสียง คำพูดสูญหายไปในลำคอ ความไม่พอใจคุกรุ่นเล็กๆน้อยๆก่อนหน้านี้ปลิวหายไปกับสายลม อีกทั้งดวงตาคมที่ทอความอ่อนแสงก็ส่งผลต่อใจจนไม่อาจทนสบ
ไม่ยุติธรรม แค่นี้ก็แพ้แล้ว
“อย่ามาเสี่ยว”
แม้แต่เสียงที่เอ่ยออกไปยังไร้ซึ่งความมั่นคง แฟนนึกอยากจะตีตัวเองแรงๆสักทีเนื่องจากความสั่นไหวอันง่ายดายนี้
“หึ สรุปข้อตกลงของกู มึงโอเคไหม”
หินยอมเอ่ยไปอีกเรื่องเมื่อสัมผัสได้ถึงความเขินอายจากคนตรงหน้า พร้อมทั้งไม่คิดจะล้อเลียนใดๆให้ทุกอย่างแย่ไปกว่าเดิม
“...โอเคก็ได้ แต่ว่าก็ต้องมีอนุโลมให้บ้างสิ”
“งั้นให้ซื้อได้อาทิตย์ละชิ้น”
อาจยังเป็นเงื่อนไขที่มากอยู่สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับแฟนแล้วถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่เหมาะสม
“สองชิ้น” ขนาดนี้อีกคนยังเอ่ยต่อรอง
ลองคิดดูว่าปกติแล้วจะซื้อของฟุ่มเฟือยแค่ไหน
“ชิ้นเดียวเท่านั้น”
ความเด็ดขาดถูกส่งผ่านทั้งทางน้ำเสียงแล้วแววตา จนคนมีข้อต่อรองจำต้องยอมตกลงในที่สุด
“ก็ได้”
“ดีล?”
“ดีล”
แล้วรางวัลของคนที่กำลังหัดเป็นเด็กดีก็คือจูบอ่อนโยนที่เจ้าตัวแสนเต็มใจ
--
เมื่อไม่สามารถซื้อของไม่จำเป็นได้ โปรแกรมการเดินช็อปปิ้งที่แอบวางแผนเอาไว้ในหัวจึงถูกตัดออกแล้วเปลี่ยนเป็นเพียงการทานข้าวและดูหนังกัน
“มึงเอาป็อปคอร์นรสอะไร” คนตัวเล็กกว่าหันมาถามระหว่างรอคิวซื้อตั๋วที่ตู้อัตโนมัติ
“แล้วแต่มึง กูไม่กิน”
“น้ำล่ะ”
“เปล่า”
“เฮลตี้ซะไม่มี”
ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำแซะเล็กน้อยแล้วก้าวเร็วๆไปอีกทางจนคนถูกว่าได้แต่ส่ายหัวอ่อนใจ ก่อนหินจะดึงสายตากลับมาเมื่อคนก่อนหน้าจัดกับตั๋วเสร็จเรียบร้อย
“โรงไหนนะ”
แฟนหันมาถามยามเดินผ่านพนักงานตรวจบัตรเข้ามากระทั้งถึงทางแยกซ้ายขวา โดยบนผนังซึ่งบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำมีตัวเลขบอกตำแหน่งลำดับที่ของโรงหนังติดอยู่
“สิบสอง”
“ไกลอะไรขนาดนั้น”
อีกคนบ่นกับตัวเองก่อนจะเลี้ยวไปทางขวามือ รอบตัวตกอยู่ในความสลัวเนื่องจากแสงไฟสีเหลืองอ่อนนวลตา โซฟาสีแดงเนื้อกำมะหยี่ตัดกับสีของผนังตั้งไว้ตลอดทางเป็นจุดประปรายกระทั่งถึงหน้าโรง ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเท้าผ่านประตู แรงรั้งจากฝ่ามือก็หยุดสองขาที่กำลังจะก้าวไปให้ชะงัก
“อะไร?” แฟนหันไปถามเจ้าของมือที่เอื้อมมาจับมือของตัวเอง
“มึงกลัวเสียงในเทรลเลอร์หนัง”
คำตอบนั้นส่งผลให้คนที่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจกันขนาดนี้นิ่งงัน ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่บนใบหน้าที่แสดงออกดั่งเช่นยามปกติ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมพลางกระชับมือที่จับกันด้วยความรู้สึกอุ่นวาบ
“รีบเดินหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“ไม่ต้องรีบ กูจับมือไว้แล้ว”
“งั้นก็ห้ามปล่อยนะ”
มุมปากสีสดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย รูปประโยคคล้ายคำสั่งแต่กลายเป็นคำร้องขอในความรู้สึก
“ก็สัญญาไปแล้ว”
ทว่าประโยคจากอีกคนที่สื่อไปถึงอีกเรื่องกลับทำให้รอยยิ้มน้อยอยากขยับกว้างขึ้นเป็นยิ้มเต็มหน้า ก่อนความรู้สึกข้างในจะแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด แฟนจึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง
“เข้าโรงเถอะ”
พูดจบก็ก้าวเท้าตรงไปข้างในพลางออกแรงรั้งให้คนที่จับมือกันไว้ก้าวตาม สายตาของหินที่จับจ้องอยู่บนแผ่นหลังเล็กตรงหน้าทอดอ่อนในความมืด และเมื่อเสียงคนพูดจากในเทรลเลอร์หนังซึ่งกำลังฉายอยู่บนจอดังขึ้นคนด้านหน้าก็สะดุ้ง พร้อมๆกับที่เกิดแรงกระชับขึ้นบนฝ่ามือ
สองสายตามองสบกันระหว่างหยุดเดิน ก่อนมือหนาที่จับมือกันเอาไว้แน่นจะปล่อยออกให้ความวูบโหวงวิ่งแทรกเข้ามาชั่วครู่ จากนั้นแรงกระชับจึงเปลี่ยนมาเป็นโอบรอบเอวโดยไม่ทันตั้งตัว
หินหันหน้ากลับไปดูบันไดซึ่งนำไปสู่แถวที่นั่งพลางเป็นฝ่ายก้าวนำให้แฟนก้าวตาม กระทั่งเจอแถวแล้วจึงปล่อยร่างเล็กออกจากท่อนแขน ก่อนจะเดินเข้าไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ระบุหมายเลขของตัวเอง
จุ๊บ
สัมผัสซุกซนยั่วเย้าเกิดขึ้นบนข้างแก้มสากเมื่อแฟนลอบมองแล้วพบว่าแถวที่ตัวเองนั่งยังไม่มีใคร ขณะที่คนถูกทาบทับสัมผัสลงมาบนแก้มก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ยั่วอะไรอีก” หินกระซิบถาม
“เปล่า”
“อย่าทำให้กูต้องมีความคิดจะออกจากโรงตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย”
แสงจากบนจอกว้างสะท้อนมาให้เห็นประกายวาววับในดวงตาคม ความจริงจังที่เจืออยู่ในนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้แค่แกล้งพูด
เรื่องแบบนี้จริงจังตลอด
“แค่จุ๊บเอง”
“กูพร้อมจะลากมึงขึ้นเตียงตลอดเวลา”
มากกว่าคำพูดคือสายตาลุ่มลึกที่สบประสาน ถ้อยคำทะลึ่งโผงผางนั้นเรียกให้ความร้อนวิ่งมาเล่นงานสองข้างแก้ม ถึงช่วงนี้ความอ่อนโยนของหินจะมีมากขึ้นแต่ความห่ามกับเรื่องแบบนี้ไม่เคยลดน้อยลง
“ไอ้หื่น”
“หึ” มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอแกร่งที่ดังเล็ดรอดรับคำกล่าวว่า ก่อนใบหน้าคมจะหันกลับไปทางหน้าจอ
ระหว่างที่ตัวอย่างหนังและโฆษณาต่างๆกำลังฉาย คนเริ่มเบื่อกับการรอก็เอนหัวไปพิงไหล่ของหิน สัมผัสหนักๆนั้นทำให้คนโดนพิงขยับตัวลงให้อีกคนพิงได้สะดวก เมื่อโฆษณาฉายไปอย่างไม่มีทีท่าจะว่าจบโดยง่าย มือหนาที่วางอยู่บนหน้าขาของตัวเองจึงถูกมือเล็กเอื้อมมาจับ บ้างก็ถูกเขี่ยเล่นโดยนิ้วเล็กไปมา
“อย่าซน”
สัมผัสนั้นก่อเกิดความจั๊กจี้เล็กๆพร้อมทั้งความวาบหวามจนต้องเอ่ยเตือน
ขณะที่คนซนไม่คิดฟัง นิ้วเรียวยังคงเกลี่ยไปมาทั้งบนหน้ามือและหลังมือของหิน กระทั่งต้องลุกขึ้นยืนจึงเปลี่ยนมาเป็นกอบกุมเอาไว้
สุดท้ายจึงกลายเป็นจับกันอยู่อย่างนั้นตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง แม้ว่าจะต้องลำบากกับการใช้มือเดียวกินป็อปคอร์นก็ตาม
--
“อยากได้มาส์กหน้า แวะไปซื้อหน่อยได้ไหม”
แฟนเอ่ยบอกคนข้างตัวระหว่างกำลังเดินย่อยมื้อเย็นที่เพิ่งทานเข้าไปหลังจากดูหนังเสร็จ
ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองชื่อดังที่เคยเดินเข้าออกและจับจ่ายแทบทุกร้านวันนี้แฟนทำได้เพียงแค่มอง ดวงตาสวยกะพริบปริบเมื่อเจอของถูกใจ หากแต่เมื่อลองเลียบเคียงขอ ข้อเสนอก็ถูกหยิบยกขึ้นมาจนต้องยอมตัดใจ
“อยู่ตรงไหน”
“ไม่ได้อยู่ในห้าง อยู่อีกฝั่งตรงชั้นล่างสุด แถวบีทีเอส”
“ไปสิ” คนร้องขอระบายยิ้มบางอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำอนุญาต
ไม่รู้ว่ามาถึงจุดที่ต้องขอหินแม้กระทั่งการซื้อมาส์กหน้าได้ยังไง
ระหว่างทางที่เดินไร้ซึ่งบทสนทนาเนื่องจากผู้คนเดินสวนไปมาขวักไขว่ เสียงจอแจดังรอบตัว ราวกับต่างฝ่ายต่างรีบร้อน ต่างที่มาที่ไปจนแฟนเกือบคิดว่าตัวเองมาคนเดียวเช่นในหลายครั้ง แต่สัมผัสที่เสียดสีกันอยู่บริเวณต้นแขนทำให้รับรู้ว่าข้างกายนี้มีคนเคียงข้าง มีคนที่มาด้วยกัน
ไม่ใช่ตัวคนเดียวแบบเมื่อก่อน
คิดได้แล้วก็เกิดรอยยิ้มยามเหลือบมองคนข้างกายของตัวเอง
ระยะทางการเดินสิ้นสุดลงเมื่อเห็นใบไม้ถูกตัดแต่งประดับด้วยชื่อร้านเด่นหราปรากฏอยู่ตรงหน้า คนมากมายที่มองเห็นผ่านกระจกใสรอบร้านทำให้หินลอบถอนหายใจ
“กูรอด้านนอกนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนแฟนจะพยักหน้ารับอย่างไม่เกี่ยงงอน ด้วยเพราะรู้ดีว่าหินไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนรวมตัวกันอยู่เยอะเช่นนี้
“เดี๋ยวกูรีบซื้อแล้วจะรีบออกมา”
“อืม” เมื่อได้ยินเสียงรับคำร่างเล็กจึงรีบก้าวเท้าเข้าไปในร้าน ขณะที่หินหมุนตัวไปอีกทาง
ของที่ต้องการถูกหยิบลงตะกร้าด้วยความรวดเร็ว แต่ถึงจะพยายามทำเวลาแค่ไหนก็ยังมีอย่างอื่นเรียกร้องให้ต้องแวะเวียนไปดูจนเสียเวลาไปกว่าที่ตั้งใจ
“ทางนี้เลยค่ะ”
พนักงานผายมือเชื้อเชิญก่อนจะเดินนำไปยังของที่แฟนหาไม่เจอแล้วผละไปต้อนรับลูกค้าคนอื่น ยามมาหยุดตรงหน้า ดวงตาสวยก็กวาดมองรอบตัว ทว่าสายตาที่มองเลยไปจนถึงนอกร้านเป็นอันต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นด้านหลังที่แสนคุ้นตาของใครบางคนกำลังนั่งคุยกับสองพ่อลูกซึ่งขายน้ำส้มคั้นอยู่ตรงข้างบันไดขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้า
แม้ไม่รู้และไม่ได้ยินบทสนทนาแต่รอยยิ้มของคนเป็นพ่อที่หันหน้ามาทางนี้ก็ทำให้รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้งเด็กน้อยหน้าตามอมแมมยังยืนอยู่ในอ้อมกอดของหิน ข้างกายคนตัวโตมีถุงขวดน้ำส้มวางเรียงราย
ภาพนั้นสะดุดตาคนที่เดินผ่านไปมาจนมีหลายคนเมียงมอง แม้แต่แฟนที่ยืนอยู่ในร้านยังไม่อาจละสายตา พลันตะกร้าในมือซึ่งเต็มไปด้วยของมากมายจะถูกวางลง จากนั้นร่างบางจึงก้าวออกจากร้าน กระทั่งเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหินอย่างเงียบเชียบ
“ยังไงเดี๋ยวผมมารับน้ำส้มเป็นอาทิตย์ละครั้งนะครับ” บทสนนาบางส่วนดังขึ้นให้ได้ยิน
“ขอบใจมากนะ...กีตาร์ ขอบคุณพี่เขาหรือยัง วันนี้เราได้กลับบ้านเร็วแล้ว”
เด็กน้อยได้ยินดังนั้นจึงยกมือขึ้นประกบกันสะเปะสะปะพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นจึงคล้องแขนเล็กๆโอบรอบลำคอแกร่ง ท่าทางนั้นแสนคุ้นตาเพราะเป็นการกระทำที่แฟนชอบทำ
หากแต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นเด็กที่แสนบริสุทธิ์มันจึงดูอบอุ่นเสียจนคนมองต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพ
“แกชอบกอดคนที่มาซื้อ กอดไปหมดล่ะ อย่าถือสาเลยนะ” คนเป็นพ่อเกรงใจจนต้องรั้งลูกตัวเองออกมากอดเอาไว้
“ไม่เป็นครับ...เป็นคนดีนะ”
มือหนาวางลงบนหัวเล็กพลางลูบไล้ไปมาด้วยความอ่อนโยน ถึงคนฟังที่มีอายุเพียงไม่กี่ขวบจะรู้เรื่องไม่ทั้งหมดแต่เจ้าตัวก็พยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนหินจะกล่าวลาสองพ่อลูกแล้วผุดลุกขึ้นยืนพร้อมถุงน้ำส้มเต็มสองมือ
“มึง?” ร่างสูงที่หันมาเห็นหยุดชะงักเนื่องจากไม่รู้ตัวว่าแฟนมาหยุดอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
“ซื้อของเสร็จแล้วเหรอ” หินถามต่อ
“กู...ไม่อยากได้แล้ว”
ขณะที่ตัวเองจับจ่ายใช้สอยด้วยความฟุ่มเฟือย อีกคนกลับเอาเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
หินทำให้คิดได้ด้วยการกระทำ โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพร่ำสอนด้วยคำพูด
“ทำไมไม่อยากได้แล้ว” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร แค่ไม่อยากได้แล้ว”
เอ่ยตอบพร้อมทั้งมองเลยผ่านหินไปยังด้านหลัง รอยยิ้มบางถูกส่งไปให้สองพ่อลูกที่กำลังเริ่มเก็บของกลับบ้าน ยิ่งยามได้เห็นรอยยิ้มแสนใสซื่อตอบกลับมาแฟนยิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่คนตรงหน้าทำ
“เป็นงั้นไป” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้แฟนดึงสายตากลับ
“กลับกันเลยไหม”
ใบหน้าคมกดลงรับเมื่อเจ้าตัวเอ่ยไปอีกเรื่องซึ่งบ่งบอกว่าไม่สนใจของที่ตั้งใจจะมาซื้อ หินหันกลับไปย้ำคำพร้อมทั้งกล่าวลาคนด้านหลังอีกครั้ง ก่อนจะก้าวตรงมาหาแฟนแล้วเดินกลับไปทางห้างที่จอดรถเอาไว้ด้วยกัน
“หนักไหม”
เอ่ยถามขึ้นเมื่อคาดเดาจำนวนขวดน้ำส้มในถุงรวมกันแล้วคิดว่ามันมีประมาณหนึ่งร้อยขวด
“นิดหน่อย” คนที่ออกกำลังกายด้วยการยกเหล็กหนักกว่านี้หลายกิโลเอ่ยตอบ
ใช่ว่าเบา แต่แค่นี้ยังถือว่าสบาย
“กูหิวน้ำ ขอสักขวดสิ”
ร่างสูงหยุดเดินแล้วยกถุงขึ้นให้แฟนเป็นฝ่ายหยิบเองเนื่องจากมืออีกข้างนั้นมีถุงน้ำส้มอยู่เช่นกัน
“อร่อยดี เลยเหมามาหมด”
“อืม คราวหลังกูจะมาซื้อบ้าง”
รสชาติของน้ำส้มที่ลิ้มลองแผ่ซ่านไปทั่วปาก มันไม่ได้เลิศหรูกว่าน้ำส้มที่อื่นๆแต่ก็ไม่ได้แย่แม้แต่น้อย
“อะไรช่วยได้ก็ช่วย”
คนที่รู้ความหมายของการหิวน้ำครั้งนี้เอ่ยขึ้น ดวงตาคมที่มองสบกันดูอบอุ่นขึ้นมาทั้งที่เป็นเพียงสายตาในยามปกติของหิน
แฟนกดหน้ารับ รสชาติหวานอมเปรี้ยวของน้ำส้มติดอยู่ตรงปลายลิ้น...หากแต่ความอบอุ่นจากความดีของอีกคนนั้นตรึงอยู่ในใจ
เพราะหินเป็นแบบนี้...
ของขวัญชิ้นใหญ่ที่จับฉลากได้ชิ้นนี้ จะรักษาเป็นอย่างดี
--
‘good man with a good boy.’ดวงตาสวยมองข้อความใต้รูปภาพที่ตัวเองเป็นคนอัพโหลดลงบนอินสตาแกรมส่วนตัวไปมาหลายรอบ รูปนี้มีเพียงใบหน้าของเด็กกับแผ่นหลังกว้างที่ปรากฏให้เห็น ทว่าคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นกลับทอดมองสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์ด้วยความอบอุ่น
“ทำอะไร”
เสียงเอ่ยถามของคนที่เดินตรงเข้ามาหาทำให้แฟนหันไปมองเจ้าตัว คนถูกถามส่ายหน้าตอบแล้วกดล็อกโทรศัพท์ จากนั้นจึงวางลงไว้บนโต๊ะ
“เปล่า”
“กูมีอะไรให้ฟัง” คิ้วคู่สวยเลิกขึ้นพลางเหลือบมองไอแพดและหูฟังในมือของหิน
“อะไร”
เอ่ยถามคนที่ทรุดนั่งลงข้างตัว ร่างสูงซึ่งสวมเพียงกางเกงวอร์มยื่นหูฟังส่งให้ เมื่อแฟนรับมาอุปกรณ์ในมือจึงถูกปลดล็อก หินเลื่อนหาอะไรอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนเสียงเพลงจะดังขึ้นให้คนได้ยินนิ่งฟัง
แฟนไม่รู้ว่าทำไมหินถึงให้ฟัง ไม่รู้ว่าคือเพลงอะไร ไม่รู้เลยสักอย่าง แต่เสียงร้อง ทำนอง และดนตรีที่ตรึงใจกลับดึงให้ดำดิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยินจนแทบลืมเลือนคนข้างตัว
ทุกคำร้องนั้นผ่านเข้ามาในหูจนกระทั่งซึมลึกไปถึงข้างใน แม้ไม่ใช่เพลงเศร้าแต่ก็ทำให้อินตามได้จนกระทั่งเพลงจบลง เป็นหลายวินาทีกว่าหูฟังจะถูกดึงออกอย่างเชื่องช้า
“เพราะไหม” หินถามขึ้น
“เพลงของใคร”
แฟนไม่ตอบคำถามแต่เป็นฝ่ายถามกลับ สีหน้าและแววตาของคนข้างตัวมันบ่งบอกถึงอะไรบางอย่างจนเริ่มเอะใจ
“ตอบมาก่อนว่าเพราะหรือเปล่า”
“เพราะสิ เพราะมาก” มุมปากของหินยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาคมทอประกายวาววับ
“กูเป็น music director ของเพลงนี้ แล้วก็แต่งเนื้อร้องด้วย”
เรื่องราวอีกหนึ่งอย่างถูกบอกเล่าสู่อีกคน ดวงตาของแฟนเบิกขึ้นนิดเมื่อได้ยินดังนั้น เพลงเมื่อครู่นี้ยังคงติดอยู่ในหัว ทุกคำร้องยังคงซึมลึก
ทั้งหมดนั้นมันมาจากหินงั้นเหรอ
“นี่มึงเป็นซุปเปอร์แมนเหรอ” คำถามนั้นทำให้หินหลุดหัวเราะ
“กูเป็นคนปกติ”
“มีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง อีกหน่อยมึงคงกู้ชาติได้แล้ว”
“เวอร์เกิน”
พูดไปทั้งยังหัวเราะไม่หยุด หินไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ทุกอย่างต้องใช้ความพยายาม ต้องศึกษาอย่างหนัก ทำได้มากกว่าคนอื่นนั่นก็เพราะศึกษามันมากกว่าคนอื่นๆ
“งี้มึงก็เล่นทั้งดนตรีแล้วก็ทำดนตรีทำเพลงด้วยเหรอ”
“อืม”
“ที่ยุ่งๆก็เพราะอะไรพวกนี้สินะ” แฟนเอ่ยถามเมื่อคิดถึงบางช่วงเวลาที่ผ่านมา
“อืม”
“แต่มึงเคยบอกว่าไม่อยากก้าวไปจุดนั้น”
“กูเลือกในสิ่งที่กูมีความสุข ค่ายนี้เป็นค่ายเล็กๆของเพื่อนกู เราไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ที่ทำก็เพราะอยากทำแค่นั้น”
ที่ไหนมีความสบายใจ ที่นั่นคือที่ของเรา
“เพลงนี้ปล่อยออกมาหรือยัง”
“ยัง...น่าจะปล่อยพรุ่งนี้เย็น”
“ต้องดังแน่ๆ”
แฟนไม่ได้กล่าวเกินความจริงหรือเยินยอหินให้เจ้าตัวได้ใจ แต่สิ่งที่เพิ่งได้ฟังไปเมื่อครู่มันดีจนสามารถคาดเดากระแสตอบรับได้ตั้งแต่ต้น
มากกว่านั้นคือความภูมิใจในตัวของผู้ชายคนนี้ ทุกสิ่งอย่างมันไม่ง่ายและหินทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนต้องชื่นชม
ขณะที่คนได้รับคำชมนั้นทำเพียงยิ้มบาง การที่ใครสักคนบอกว่าสิ่งที่เราทำมันดี เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะมีความสุข
จุ๊บ
“คนเก่งของกู” สัมผัสบางเบาเกิดขึ้นบนปลายคางแกร่งยามที่แฟนช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวโตด้วยความภูมิใจ ค่อยๆจับจ้องทุกสัดส่วนบนใบหน้าหินยามในหัวเกิดคำถามที่ว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงทำอะไรได้มากมายขนาดนี้
ทว่าคนเก่งของแฟนกลับทำได้เพียงนิ่งงัน คำชมนั้นส่งผลต่อหัวใจจนรู้สึกร้อนที่แก้ม ก่อนหินจะรีบกระแอมไอเพื่อสลัดความรู้สึกนั้นออกจากตัว
เขินงั้นเหรอ เขินเนี้ยนะ
“มีรางวัลให้คนเก่งไหม”
ดวงตาคมปรับเป็นวิบวับยามเปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องที่ตัวเองถนัด ขณะที่คนฟังนั้นถอนหายใจ ความภูมิใจปลิวหายไปในทันที
เก่งมากแค่ไหน ความหื่นมากเกินกว่านั้น
“ไม่มีแล้วก็ไม่ให้”
“นิดนึงก็ไม่ได้?”
ใบหน้าคมขยับเข้ามาใกล้จนต้องเอนตัวหนี ทว่าหนีจนหลังชิดกับพนักโซฟาแล้วอีกคนก็ยังโน้มตามมา
“ถอยไป พรุ่งนี้กูมีงาน”
“คิดว่ากูจะทำอะไร?”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นยั่วเย้า ระยะห่างที่น้อยลงจนลมหายใจรินรดทำให้แฟนเริ่มหายใจติดขัด
“คนหื่นอย่างมึงจะทำอะไรได้”
เสียงหัวเราะทุ้มดังขึ้นก่อนจะเลิกยืดเยื้อเสียเวลาด้วยการทาบทับริมฝีปากเข้าหา
คนที่ทำท่าหนีเมื่อครู่กลับตอบรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจ ความวาบหวามอุ่นร้อนแผ่ซ่านไปทั้งอก ก่อนท่อนแขนเล็กจะยกขึ้นคล้องลำคอแกร่งพลางรั้งให้คนด้านบนแนบชิดกันมากกว่าเดิม
จุ๊บ
เสียงยามริมฝีปากทั้งสองผละออกจากกันดังขึ้นแผ่วเบา
“ไหนบอกไม่ให้ไง”
หินเอ่ยถามพลางจูบซับไปตามมุมปากบางที่เปื้อนด้วยน้ำสีใสบางจุด
“อื้อ ถ้าแค่นี้ให้ได้”
“แล้วถ้ามากกว่านี้ล่ะ”
“ค่อยเอาวันหลัง”
ในเมื่อวันนี้ได้เพียงรางวัลเล็ก หินจึงกอบโกยจนริมฝีปากเล็กบวมเจ่อแสบร้อน ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองเสพติดการจูบแฟนมากเกินไปแต่ก็ยังไม่อาจลดอะไรลงได้
ก็อีกคนตอบสนองกันแบบนี้จะให้ห้ามใจยังไงไหว...
TBC.
มาแล้วววว หายไปนานเพราะกลับบ้านไปพักผ่อนมาค่ะ ตอนนี้เรื่อยมากเพราะอยากให้เห็นพี่หินคนดีในอีกมุมบ้าง ><
เก่งจนเป็นซุปเปอร์แมนของน้องแฟนไปแล้ววว อ่านแล้วเป็นยังไง คอมเมนต์ติชมเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า
แล้วก็ส่งฟีดแบคได้อีกช่องทางที่แท็ก #พี่หินคนห่าม นะคะ~
แล้วเจอกันตอนหน้าค่าาาาา จู๊บ
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ