ตอนที่ 9
“ได้เสื้อสาม รองเท้าสอง กระเป๋าหนึ่ง...เครื่องสำอางแล้วก็สกินแคร์อีกสิบชิ้น”
ถุงของมากมายตรงหน้าถูกไล่ไปทีละอย่าง ก่อนจะจบลงด้วยถุงเครื่องสำอางและครีมอะไรต่อมิอะไรขนาดใหญ่
แฟนยิ้มร่าเมื่อวันนี้ได้ช็อปปิ้งไปจนสบายตัว และสิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุดคือการที่คนข้างตัวจ่ายค่าเครื่องสำอางและครีมให้แบบไม่ได้ออกเองแม้แต่บาทเดียว
“ฮึบ ขอบคุณนะ”
ร่างบางตะกายขึ้นมาบนโซฟาจากที่นั่งอยู่บนพื้น ขอบคุณด้วยการกระทำโดยการนั่งคร่อมลงบนตัก คล่องแขนไว้กับลำคอแกร่ง ก่อนริมฝีปากบางจะทาบทับลงมาแนบแน่น
“หึ อ้อนกู?” คนถูกขอบคุณเลิกคิ้วถาม
“ขอบคุณที่มึงตามใจ”
“ได้ของแล้วอารมณ์ดีใหญ่นะ”
“ไม่ได้อยากได้ของจากมึง แต่อยากให้มึงตามใจ...กูแอบซื้อนี่ให้ด้วย”
พูดจบก็ปีนกลับไปบนพื้น การขยับตัวที่รั้งขากางเกงขาสั้นให้เปิดวับๆแวมๆทำเอาคนมองถอนหายใจ
บอกไม่ให้ทำอะไรแต่ก็ขยันยั่วเหลือเกิน
ขณะที่แฟนกำลังค้นบางอย่างออกมาจากถุง ต่อมากล่องรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
“อะไร?”
“ให้มึง แลกกันกับเครื่องสำอาง”
แฟนไม่ได้อยากได้ของจากหินมากมายขนาดนั้นแต่อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าอยากให้อีกฝ่ายตามใจเพราะตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจ
ฉะนั้นเมื่อคนตัวโตซื้อของให้จึงไม่เอาเปรียบ ถึงแม้จะไม่ได้คืนกลับด้วยเงินแต่ก็คืนกลับด้วยสิ่งของที่มีมูลค้าใกล้เคียง
“แลกทำไม กูซื้อให้ก็คือซื้อให้” หินเอ่ยพูดทั้งยังไม่ยื่นมือออกไปรับ
“กูก็อยากให้มึงบ้างเหมือนกัน รับไปเถอะ”
เมื่อซื้อมาแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเอากลับไปคืนได้มือหนาจึงยื่นไปรับ ก่อนจะเปิดกล่องดู พลันมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มถูกใจ
“ชอบไหม”
“อืม”
สนีกเกอร์ลิมิเต็ดอิดิชั่นตัวดังของแบรนด์หรูซึ่งนอนอยู่ในกล่องถูกจับออกมาดูเบอร์รองเท้า เมื่อเห็นว่าเป็นไซซ์ของตัวเองจึงวางใจ จากนั้นก็เก็บเข้าที่เช่นเดิมแล้ววางลง มือหนารั้งเอวบางของคนที่ยืนอยู่เข้าหาตัว เกมกีฬาซึ่งกำลังดุเดือดถูกปล่อยผ่าน
“รู้ไซซ์รองเท้ากูได้ไง”
“เคยแอบดู เผื่อต้องซื้อให้มึง แล้วก็ได้ซื้อให้จริงๆ”
เพราะสังเกตว่าหินเป็นคนชอบรองเท้าสนีกเกอร์ไม่น้อย เห็นจากหลายๆคู่ที่ใส่ ตอนเดินเข้าไปซื้อรองเท้าของตัวเองจึงอดซื้อให้ด้วยไม่ได้
คำตอบที่คนฟังยกยิ้ม มือทั้งสองข้างบนเอวเล็กออกแรงดึงให้แฟนทรุดลงบนตัก โดยที่เจ้าตัวก็ให้ความร่วมมือโดยง่าย
“ขอบคุณครับ”
คำขอบคุณที่ลงท้ายอย่างสุภาพโดยไร้ซึ่งความกวนเรียกให้จังหวะการเต้นของหัวใจคนฟังถี่ขึ้น สองข้างแก้มพลันเห่อร้อนอย่างไม่เป็นตัวเองจนแฟนเผลอเบือนสายตาหลบ
ท่าทางที่ราวกับว่ากำลังเขิน
“ทำไมต้องพูดเพราะ” เอ่ยออกไปเสียงแผ่ว รู้สึกไม่คุ้นชินกับโหมดนี้ของหินสักเท่าไหร่
“ไม่ชอบเหรอ?”
ดวงตาคู่สวยเลื่อนกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้งแล้วส่ายหน้าตอบ บรรยากาศรอบตัวดูแปลกไปและส่งผลต่อใจจนสัมผัสได้
“แค่ไม่ชิน”
“หึ”
มีเพียงเสียงหัวเราะทุ้มที่หลุดพ้นลำคอ ก่อนหินจะยืดตัวขึ้นมาทาบทับสัมผัสลงบนริมฝีปากเล็กแผ่วเบา
“กูไม่ได้รวย แต่ก็เลี้ยงมึงได้ไม่ลำบาก”
อยู่ดีๆอีกคนก็พูดไปถึงอีกเรื่อง แต่กลับเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อใจได้ยิ่งกว่าเดิม
วันนี้แปลก...ทุกอย่างดูแปลกไปหมดในความรู้สึก
แต่เป็นความแปลกที่ดีต่อใจ
“ถ้าเลี้ยงกูได้ไม่ลำบากก็เรียกว่ารวยแล้ว”
“ก็อย่าใช้เงินเปลืองนัก ถ้าจะให้กูเปย์ทุกอย่างที่มึงซื้อวันนี้กูก็ไม่มีปัญญา”
เพราะอยากเรียนรู้ว่าคนรวยเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรจึงปล่อยให้แฟนซื้อของตามอำเภอใจโดยไม่ห้าม ก่อนจะพบว่าความสิ้นเปลืองที่คาดคิดมันมากเกินกว่านั้นหลายเท่า
วันเดียวใช้เงินหมดเป็นแสนๆ
“ไม่ต้องมาเปย์กูหรอกน่า กูเลี้ยงตัวเองได้”
“กูไม่อยากก้าวก่ายชีวิตมึง แต่อะไรไม่จำเป็นก็ลดลงบ้าง เก็บเงินไว้ทำอะไรที่มีประโยชน์”
“ครับพ่อ” คนบนตักรับคำกึ่งประชด
“เดี๋ยวจะโดน”
“โดนอะไร”
คิ้วได้รูปเลิกขึ้นอย่างท้าทาย ใบหน้าสวยของคนที่รู้ความหมายของคำว่าโดนเป็นอย่างดีทอความยั่วเย้า
“สิบรอบ อย่าลืม”
“ไม่ลืมอยู่แล้ว ไม่กลัวด้วย”
“ปากเก่งแบบนี้กูจะเอาให้ร้องจนหมดเสียง”
เอวเล็กถูกบีบด้วยมือใหญ่เป็นการเตือนกลายๆแต่คนลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ ริมฝีปากบางยังคงระบายยิ้ม อีกทั้งยังโน้มหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน
“เตรียมน้ำผึ้งมะนาวรอเลย”
พูดจบก็กลายร่างเป็นแมวตัวน้อย กอดรัดคนตัวโตเอาไว้ยามวางคางเกยลงบนไหล่ ได้ยินเสียงหัวเราะดังคิกคักตามมาจนคนถูกยั่วถอนหายใจอ่อนใจ พลันท่อนแขนแกร่งจะขยับรัดเอวคนตัวเล็กตอบ ความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเหมือนจะอุ่นขึ้นกว่าทุกครั้ง
--
“ออกไปไหนมาแต่เช้า”
แฟนซึ่งอยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยเอ่ยขึ้นเมื่อคนที่หายไปแต่เช้ากลับเข้าห้องมาอีกครั้งด้วยสภาพที่ร่างกายชุ่มเหงื่อ
เช้าวันจันทร์ซึ่งเป็นวันทำงานที่อีกคนหยุด แต่ถึงอย่างนั้นหินก็ยังตื่นเช้าได้อย่างน่าแปลกใจ
ถ้าเป็นเขาคงนู้น เที่ยงถึงจะตื่น
“ไปวิ่งตรงสวนข้างล่างมา แล้วก็ไปซื้อโจ๊กให้มึง” ถุงในมือถูกยกชูขึ้นให้ดู
“ขยันอะไรขนาดนั้น”
นอกจากจะขยันตื่นเช้าแล้วยังขยันออกกำลังกาย ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาดูเหมือนว่าหินจะเป็นคนชอบออกกำลังกายไม่น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนักเพราะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าต้องผ่านการออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอ
อีกทั้งยังเรื่องพละกำลังที่มีมากมายมหาศาล...ไม่เห็นเคยเหน็ดเหนื่อย
“ไปกินข้าวกันเถอะ มึงจะได้รีบออกไปทำงาน”
ใบหน้าสวยพยักหน้ารับพลางเดินตามอีกคนไปยังห้องครัว โดยมีแฟนจัดแจงเอาโจ๊กเทลงถ้วย จากนั้นจึงนำมาเสิร์ฟให้กับคนที่ซื้อมา
“ทำไมมึงต้องกินไข่ต้ม โดฟเหรอ” เอ่ยถามขึ้นเมื่อคนตรงหน้ากำลังแกะเปลือกไข่ต้มที่ซื้อมาพร้อมโจ๊ก
“โดฟอะไร กูกินโปรตีนเพื่อรักษากล้ามเนื้อ”
“ทำไมต้องรักษา”
“ก็ไปออกกำลังกายมาไง เหมือนเวลามึงไปออกกำลังกายแล้วปวดเนื้อปวดตัวก็เป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อถูกใช้งาน พอถูกใช้งานมวลกล้ามเนื้อก็หายไป เราก็เลยต้องกินโปรตีนเข้าไปทดแทน ไม่กินไข่ก็นมจืด กล้วย อะไรเทือกนั้น”
คนฟังรับคำในลำคอเมื่อจำได้ว่าเห็นอีกฝ่ายกินอะไรที่พูดๆมาอยู่บ่อยครั้ง
“เฮลตี้เนอะ”
“ใช้งานร่างกายแล้วก็ดูแลมันหน่อย มึงก็เหมือนกัน ออกแต่กำลังกายในร่มมันไม่พอหรอก”
รอยยิ้มเย้าแหย่บนใบหน้าของคนพูดทำให้แฟนถอนหายใจ ก่อนจะเลิกถามอะไรต่อแล้วจัดการกับโจ๊กตรงหน้าของตัวเองไปเงียบๆ
--
“ถ้าเพื่อนไม่ตามจิกก็ไม่รู้จะมาไหมนะคะ”
“หลงหลัวหัวปักหัวปำ ชิ”
ยังไม่ทันจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ดีเสียงกระแหนะกะแหนก็ดังขึ้นจนแฟนเหลือบสายตามองบนใส่เพื่อนทั้งสองด้วยความระอา
“ไม่เบื่อที่จะแซะกูบ้างรึไง”
“ไม่ค่ะ/ไม่ค่ะ” บีและนัทตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากเลิกงานแล้วแฟนก็ถูกตามตัวให้ออกมาทานข้าวกับเพื่อนจนต้องโทรไปบอกคนที่ห้องว่าเย็นนี้มีนัด ไม่ได้กลับไปทานข้าวด้วย ก่อนจะออกจากบริษัทแล้วตรงมายังร้านอาหาร
“ขยันนักก็แซะต่อไปเถอะ กูไม่สะทกสะท้าน”
“พวกกูจะแซะจนกว่าจะได้พี่หินมาเป็นของตัวเองนั่นแหละ” สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องนี้
“พอๆ สรุปว่าเรียกกูมาขนาดนี้มีเรื่องอะไร”
“เออ...”
เมื่อเปลี่ยนเรื่องแล้วประเด็นที่เป็นหัวข้อหลักถูกเอ่ยขึ้น เรื่องของอีกคนก็เลือนไปจากวงสนทนา สรุปแล้ววันนี้ที่แฟนโดนเรียกตัวก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเม้ามอยเรื่องของคนอื่น หรือจะเรียกง่ายๆว่าแค่รวมตัวกันตามประสาเท่านั้น
“อ๊ะ ขอโทษครับ”
คนที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำรีบเอ่ยขอโทษขอโพย เนื่องจากเพราะมัวแต่สนใจอยู่กับการตอบข้อความในโทรศัพท์ จึงไม่ได้มองทางจนชนเข้ากับคนที่กำลังจะสวนมา
“เรา...แฟนของหินใช่ไหม”
ประโยคเอ่ยทักนั้นเรียกให้คนถูกทักรีบเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าคนที่ตัวเองเดินชนคือคนที่เคยเจอกันในห้องน้ำของโรงหนัง
คนที่ตื้อหินให้ไปทำงานด้วย
“สวัสดีครับ”
“มากับหินเหรอ” อีกฝ่ายเอ่ยถาม
“เปล่าครับ มากับเพื่อน”
เมื่อได้ยินคำตอบสีหน้าของคนถามก็ดูผ่อนคลายลง อีกทั้งยังดูเหมือนเป็นคำตอบที่เจ้าตัวคาดหวัง
“งั้นหรือ...ถ้าอย่างนั้นพอมีเวลาจะคุยกับพี่สักหน่อยไหม”
ดวงตาคู่สวยจับจ้องคนตรงหน้านิ่ง ค้นหาอะไรบางอย่างบนใบหน้าของคนที่มีอายุมากกว่า สุดท้ายจึงยอมตกลงในเมื่อมองเห็นความร้อนรนของความต้องการจะคุยนั้นจริงๆ
“มีอะไรรึเปล่าครับ” แฟนถามขึ้นเมื่อเดินตามอีกคนออกมาจนถึงนอกร้าน
“คราวก่อนยังไม่ได้ทันจะได้แนะนำตัวกันเลย พี่ชื่อต้นนะ”
“แฟนครับ”
“โทษทีที่ต้องรบกวนเวลาของเรา งั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน...คืออย่างที่ได้ยินพี่คุยกับหินในห้องน้ำวันนั้น พี่อยากได้มันมาร่วมงานด้วยจริงๆ”
“แล้วยังไงครับ”
แฟนถามต่ออย่างไม่เข้าใจนัก แต่ความรู้สึกลึกๆก็รู้ดีว่าการถูกเรียกออกมาคุยแบบนี้ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ต้องเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องนี้
“แฟนรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมว่ามันน่าเสียดายที่หินจะอยู่แค่ตรงนี้ พี่เลยอยากขอร้องให้เราไปพูดกับหินให้หน่อย ถ้าแฟนพูดมันอาจจะมีโอกาสเป็นไปได้”
คำว่าน่าเสียดายสะดุดหูคนฟังได้มากพอๆกับคำว่ารู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม
“ผมไม่รู้อะไรไปมากกว่าการที่หินเป็นนักดนตรี”
สีหน้าของอีกฝ่ายฉายชัดถึงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
“หินไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอ”
คราวนี้กลายเป็นความแปลกใจนั้นสลับมาอยู่ที่แฟน ก่อนใบหน้าเล็กจะส่ายน้อยๆ พลางเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในอก
มันมีเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้อีกมากงั้นหรือ
“อืม...ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ มันเป็นคนไม่ชอบพูดอะไรอยู่แล้ว” คล้ายว่าอีกฝ่ายจะพึมพำกับตัวเอง
“มันมีอะไรมากกว่าการที่หินเป็นแค่นักดนตรีงั้นเหรอครับ”
“เป็นแค่นักดนตรีเหรอ...เอาเถอะ เจ้าตัวเขาไม่พูดก็แสดงว่าไม่ได้อยากให้รู้ เอาเป็นว่ายังไงพี่ก็ขอร้องให้แฟนช่วยลองคุยๆกับหินเรื่องนี้หน่อยได้ไหม”
คนถูกขอร้องนิ่งงันกับประโยคที่บ่งบอกว่ามีอะไร อีกทั้งการถูกร้องขอยังเป็นสิ่งที่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เรื่องงานของหิน แฟนไม่อยากก้าวก่าย
“พี่ก็รู้จักพี่หินดีไม่ใช่เหรอครับ ถ้าได้ตัดสินใจอะไรไปแล้วเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนมัน ขอโทษที่ผมคงช่วยเรื่องนี้ไม่ได้”
“พี่รู้ แต่ลองดูสักครั้งนะ พี่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยแต่ทำเพราะมัน”
น้ำเสียงและสีหน้ามีความเว้าวอนจนแฟนเกิดความลังเล แต่ถึงอย่างนั้นสุดท้ายก็เอ่ยปฏิเสธไป
“ขอโทษครับ แต่ผมไม่อยากไปยุ่งกับเรื่องงานของพี่หิน ถ้าเจ้าตัวไม่อยากทำนั่นก็หมายความว่าใจเขาไม่อยากทำ...ผมขอตัว”
พูดจบก็หมุนกายกลับเข้ามาในร้านโดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายรั้งเอาไว้เพื่อคุยเรื่องนี้ต่อ ขณะที่ในหัวมีคำพูดทุกประโยคนั้นวนเวียนอยู่ไปมา
หินไม่ได้เป็นแค่นักดนตรีธรรมดา
นั่นคือสิ่งที่รับรู้อย่างแน่ชัดในตอนนี้
--
“เป็นอะไร นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด”
หินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จถามคนที่นั่งพิงหลังอยู่บนเตียงขึ้น แต่เหมือนคนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจะไม่ได้ยิน กระทั่งร่างสูงทรุดตัวนั่งลงดวงตาคู่สวยจึงเบือนมามองกัน
“...เปล่า”
“ไม่สบายรึเปล่า”
เอ่ยถามพลางวางมือลงบนหน้าผากเล็ก เช็กว่าอุณหภูมิร่างกายแฟนยังคงเป็นปกติดีจึงละมือออก
“กูสบายดี”
“แน่ใจ?”
“อืม” เจ้าตัวยืนยันหากแต่ใบหน้าที่ยังคงแสดงออกราวกับมีอะไรทำให้หินไม่วางใจ
“มีอะไรบอกกกูได้”
เสียงทุ้มทอดอ่อนจนใจคนฟังวูบไหว ท่าทางที่ราวกับเป็นห่วงก่อความรู้สึกอุ่นๆให้ไหลวนอยู่ข้างใน
แฟนระบายยิ้ม สลัดเรื่องเมื่อเย็นทิ้งไปแล้วโน้มหัวซบลงกับอกแกร่ง บางอย่างบอกว่าความเป็นหินตลอดสองเดือนนั้นคือความจริงที่ไม่ได้มีสิ่งใดปกปิด
ถ้าถึงเวลาก็คงได้รู้เรื่องทั้งหมดเอง
“กูแค่คิดถึงเรื่องราวตลอดสองเดือนที่ผ่านมา”
“คิดว่า?”
ท่าทางออดอ้อนมากกว่าปกตินั้นเรียกรอยยิ้มมุกปากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าคม หากแต่ในใจคนถูกอ้อนยังคงมีความกังวลเจืออยู่เนื่องจากรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
วันนี้แฟนเจอเรื่องอะไรมา
“คิดว่ามันจะไปได้นานแค่ไหน” คำตอบนั้นทำให้หินถามต่อ
“แล้วมึงอยากให้ไปได้นานแค่ไหน”
“เรื่อยๆ...ได้ไหม”
ใบหน้าสวยผละออกแล้วเงยขึ้นถาม แม้ดวงตาคู่นี้จะไม่มีแววร้องขอหรือซาบซึ้งอย่างรูปของประโยคแต่ความจริงจังก็เป็นสิ่งที่หินสัมผัสได้
“ถ้ามึงต้องการ” หินตอบกลับด้วยความจริงจังไม่ต่างกัน
“กูหวังว่าอนาคตต่อให้มีเรื่องอะไรมึงและกูก็ยังจะเดินต่อ”
เสียงที่เอ่ยแผ่วเบากว่าทุกครั้ง ในหัวของแฟนยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องที่คนชื่อต้นเข้ามาคุย ด้วยความรู้สึกติดค้างเล็กๆ
ความอยากรู้กับความไม่อยากพูดออกไปมีมากพอกัน จึงเกิดเป็นสิ่งสะกิดใจเหมือนเสี้ยนตำมือ
มันอาจไม่ถึงกับรู้สึกมากมายแต่ก็มีความรู้สึกอยู่ในนั้น
“ก็เดินกันมาขนาดนี้แล้ว” คำตอบนั้นทำให้แฟนหลับตาลงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งพลางพยักหน้ารับ
“หวังด้วยว่ากูจะรู้เรื่องทุกๆอย่าง”
บางสิ่งที่ยังไม่รู้ หวังว่าสักวันหนึ่งจะถึงเวลาที่ได้รู้
“มึงหมายถึง?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยิน
“ก็เผื่อมึงมีกิ๊กกูก็รู้ อะไรแบบนั้นไง”
รอยยิ้มและสีหน้าเปลี่ยนเป็นแฟนคนเดิมที่เคยเป็นจนคนมองยิ้มตาม
“หึ มีที่ไหน แค่มึงก็เหนื่อยจะแย่”
มือหนาวางลงบนหัวเล็กแล้วแรงโยกเบาๆสองสามที โดยที่คนถูกแกล้งก็โยกหัวหลบ
“ให้มันจริงเถอะ”
“มึงก็ลดความขี้อ่อยลงด้วย อ่อยกูได้แต่อย่าคิดไปอ่อยกับคนอื่น”
ใช่ว่าไม่รู้เรื่องผู้ชายเล็กผู้ชายน้อยที่ขยันแอดไลน์มาหาเจ้าตัว แต่เพราะอีกคนไม่ได้มีท่าทีอะไรจึงยังคงนิ่งเฉย
“ทำไม หึงเหรอ” คิ้วได้รูปเลิกขึ้นแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“แล้วกูไม่มีสิทธิ์รึไง”
“ก็...มีสิ เหมือนที่กูมีสิทธิ์ไง”
หินยกยิ้มให้กับคำตอบนั้น ก่อนใบหน้าคมจะโน้มลงมากดจูบบนริมฝีปากบางแนบแน่นแล้วผละออก
“นอนได้แล้ว”
“อือ”
แฟนรับคำในลำคอ จากนั้นวินาทีต่อมาก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาจูบกลับ เมื่อผละออกร่างเล็กจึงพลิกตัวไปเอนกายลงบนเตียง จัดที่จัดทางให้ตัวเองเรียบร้อย ขณะที่หินได้แต่มองคนขี้ยั่วแล้วส่ายหน้า
ชักจะทำตัวน่ารักขึ้นทุกวัน
--
วันต่อมา
“กูเปิดรับเด็กใหม่แล้ว มาสมัครอยู่หลายวง ยังไงเดี๋ยวมึงมาช่วยดูด้วย”
“อืม” หินรับคำยามกำลังนั่งพักอยู่ในห้องพักนักดนตรีหลังจากขึ้นเล่นเสร็จ
ไม่เพียงแค่การต้องเปลี่ยนงานกะทันหันของเขาแต่เพื่อนในวงก็มีแพลนจะไปทำอย่างอื่นด้วยเช่นกัน ทางร้านจึงต้องหานักดนตรีวงใหม่เข้ามาเล่นแทน
ครืด ครืด
มือซึ่งกำลังเก็บของเข้ากระเป๋าหยุดชะงัก โทรศัพท์บนโต๊ะสั่นครืดคราดเมื่อมีคนโทรเข้า พลันชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอจะทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
โทรมาทำไมตอนนี้
“ฮัลโหล”
(อึก มึง...)
เสียงอ้อแอ้และการสะอึกจากปลายสายไม่ต้องมีการบอกใดๆก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่ไปงานเลี้ยงคงเมาเข้าให้
“อยู่ไหน กลับถึงห้องหรือยัง”
เอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจทั้งที่เสียงจอแจจากรอบด้านที่ได้ยินก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าแฟนยังอยู่ที่งาน
(หึ กลับไม่ไหว มารับหน่อยย)
หินถอนหายใจเมื่อฟังจากน้ำเสียงและรูปประโยคแล้วสภาพคนเมาก็วาบขึ้นมาในหัว
ดื่มไปขนาดไหนกัน
“อยู่ตรงไหน ส่งโลมาให้ไหวรึเปล่า”
(หวาย แค่กดๆเอง)
“งั้นก็ส่งมา เดี๋ยวไปรับ”
(อื้อออ)
“แล้วได้เอารถไปไหม”
(เอามา เอารถมา) งั้นรถของเขาคงต้องจอดเอาไว้นี่
“โอเค ส่งโลมาตอนนี้เลย”
ปลายสายรับคำอืออาก่อนสายจะถูกตัดไป จากนั้นราวๆหนึ่งนาทีโลเคชั่นก็ถูกส่งมาให้
หินเก็บของของตัวเองจนเรียบร้อยจึงเดินลงมาลาเพื่อนและพี่ๆที่นั่งดื่มกันอยู่ข้างล่างแล้วโบกแท็กซี่ไปยังที่หมาย สี่สิบห้านาทีต่อมาก็มาถึงโรงแรมหรูซึ่งคนเมาบอกว่านั่งรออยู่ตรงล็อบบี้
ผู้คนในชุดราตรีและชุดสูทเดินสวนเข้าออกไปมาพอสมควร จนเมื่อมาถึงล็อบบี้ สายตาก็มองเห็นใครบางคนนั่งหน้าแดงก่ำ สภาพคล้ายกับเด็กรอพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน
“มึง”
เสียงเรียกทอดอ่อนพร้อมรอยยิ้มหวาน เมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นขณะที่หินกำลังเดินเข้าไปหา แถมสองแขนเรียวยังชูขึ้นเรียกร้องให้เดินไปใกล้
“กินอะไรขนาดนี้”
บ่นให้เป็นสิ่งแรกเนื่องจากลองมาสภาพนี้ไม่พ้นว่าคงซัดเข้าไปเยอะ น่าจะมากกว่าครั้งที่ไปผับด้วยกันด้วยซ้ำ
“มานี่”
มือบางเอื้อมมาเกี่ยวชายเสื้อจนเข่าขยับเข้าไปชิดกับเข่าเจ้าตัว ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อหัวเล็กก็พิงมาซบลงตรงหน้าท้อง หยุดยั้งทุกคำพูดที่กำลังจะออกจากปากได้รูปให้ชะงัก
เหมือนรู้ว่าจะถูกดุเลยอ้อนใส่ก่อน
“อ้อนอะไร” จากจะกล่าวว่าเลยต้องเปลี่ยนเป็นถาม
“ง่วง” คนเมาตอบอ้อแอ้พลางซุกไซ้ใบหน้าไปมา
“ง่วงก็กลับ”
“อือ ไม่มีแรงเดิน”
“แล้วเดินลงมานี่ได้ไง ใครมาส่ง”
“อีนัทงาย แต่มันกลับไปกับผู้แล้ว”
โล่งใจที่คนมาส่งคือเพื่อนสนิทซึ่งไว้ใจได้ ไม่ใช่คนอื่น ไม่อย่างนั้นแฟนอาจมีสิทธิ์ถูกหิ้วไปกลางทาง
“งั้นตามึงกลับ มางานเลี้ยงอะไรกินให้เมาขนาดนี้ ถ้ากูไม่รับโทรศัพท์จะกลับยังไง แล้วนี่รถอยู่ไหน”
มือหนาดันร่างอีกคนให้ออกห่าง ก่อนจะพยายามรั้งแฟนให้ยืนขึ้นแต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่ให้ความร่วมมือ
“ขี้บ่น ขึ้นหลังหน่อย ไม่เดิน”
เงยหน้าพูดด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ดวงตาคู่สวยฉ่ำเยิ้มจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ หินแต่ได้แต่มองภาพนั้นแล้วถอนหายใจ สุดท้ายจึงทรุดตัวนั่งลงหันหลัง จากนั้นคนเมาก็ค่อยๆขยับเข้ามาเกาะเหมือนลูกลิง
ท่าทางที่คนเดินผ่านไปมาให้ความสนใจไม่น้อย
“สรุปว่ารถอยู่ไหน”
“อยู่ชั้นG ตรงล็อค...อือ จำไม่ได้”
สรุปว่าหินก็ได้พาคนบนหลังเดินหารถอยู่หลายนาที กว่าจะเจอก็เล่นเอาเหงื่อออกจนชุ่มหลัง ส่วนตัวสร้างเรื่องนั้นหลับพริ้มอยู่บนหลังทั้งอย่างนั้น
“ทั้งขี้ยั่วทั้งขี้ดื้อ เด็กอะไรวะ”
ทอดมองคนที่นอนเอนกายอยู่บนเบาะรถด้วยท่าทางสบายด้วยความอ่อนใจ จนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบปลายจมูกนั้นจนคนหลับส่งเสียงอืออา
“ฤทธิ์เยอะแต่ก็ยังน่ารัก”
“...”
“หึ ได้ยินแค่ในความฝันไปแล้วกัน”
--
“อื้อ ไม่ถอด” คนเมาบนเตียงดิ้นหนี ไม่ยอมให้ถอดกางเกงได้โดยง่าย
หินพรูลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าเพื่อบรรเทาอารมณ์ที่อยากจะหวดก้นเด็กดื้อแรงๆสักที แล้วลองพยายามถอดกางเกงให้แฟนอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ดิ้นหนีเช่นเดิม
ทีตอนไม่เมาไม่เห็นต้องบอกให้ถอดเลยด้วยซ้ำ
“แฟน ถอดดีๆ จะได้เช็ดตัวแล้วนอนสบายๆ”
“อือ”
“ดื้อแบบนี้กูว่าไม่น่ารักแล้ว”
บ่นกับตัวเองเมื่อนึกย้อนไปถึงคำชมก่อนหน้า ทว่ามันยังคงดังพอจะให้คนเมาได้ยิน ดวงตาคู่สวยจึงปรือเปิดขึ้น ให้คนไม่คาดคิดแปลกใจเล็กๆด้วยเพราะนึกว่าอีกคนหลับไปแล้ว
“กูน่ารัก”
ปากเล็กเบะออกเหมือนไม่พอใจกับคำที่ได้ยิน อีกทั้งดวงตาฉ่ำเยิ้มยังทอความขุ่นเคือง
“ไม่น่ารัก” หินตอบกลับทันใด
“...”
คนถูกว่ากัดริมฝีปาก สติที่มึนเบลอทำให้อารมณ์หลายสะเปะสะปะอยู่ในหัว ขณะที่ตอนนี้อารมณ์ไม่พอใจมาเหนือสิ่งอื่นใด
“ถ้าอยากน่ารักก็ยอมให้ถอดเสื้อผ้าดีๆ จะเช็ดไหมตัว อยากนอนสบายรึเปล่า”
มือหนาเอื้อมไปจับขอบกางเกงแล้วรั้งลงได้โดยง่ายเมื่อคราวนี้เจ้าตัวไม่ดิ้นหนีขัดขืน กลายเป็นตอนนี้แฟนอยู่ในสภาพมีเพียงชั้นในสีขาวติดกาย
“มึงถอดแล้ว กูน่ารัก”
หินขมวดคิ้วเมื่อหันไปโยนเสื้อลงจากเตียงแล้วได้ยินแฟนเอ่ยขึ้น
คนเมานี่เอาใจยากชิบ คราวก่อนไม่เห็นเป็นหนักขนาดนี้
“เออ น่ารัก พอใจยัง”
“ไม่พอ”
“จะเอาอะไรอีก”
“น่ารักแล้วต้องรัก”
คำพูดนั้นทำให้หินชะงัก แม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้าพูดด้วยสติที่รางเลือนแต่สิ่งที่ถูกเอ่ยนั้นก็ยังส่งผลต่อความรู้สึกของคนฟัง เกิดเป็นคำถามกับตัวเองในใจ
รักงั้นหรือ
“รักสิ รักกู”
คนเมาเร่งรัดเอาคำตอบด้วยการเอ่ยย้ำ อีกทั้งยังลุกขึ้นมานั่งประจันหน้า
“...”
ถ้าชอบหินสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าชอบอีกฝ่ายเข้าให้ หากแต่คำว่ารักที่ลึกซึ้งและต้องมีอะไรมากกว่านี้ยังไม่อาจหลุดออกจากปาก
“ต้องรัก รักแบบนี้”
แบบนี้ที่ว่าคือการที่ปากเล็กขยับเข้ามาทาบทับ เริ่มต้นการรุกเร้าด้วยการเป็นฝ่ายดูดดึงขบเม้ม ยามที่มือก็ลูบไล้ไปทั่วร่างหนาอย่างสะเปะสะปะ จนคนถูกจู่โจมเข้าใจได้ว่ารักที่ว่าไม่ใช่เรื่องความรู้สึกแต่เป็นรักที่หมายถึงเซ็กส์
อืม ถ้ารักแบบนี้ก็จะจัดให้แบบเต็มที่...เริ่มต้นเก็บเงินค่าเครื่องสำอางตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ตั้งใจจะปล่อยให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนแท้ๆ
เมื่ออีกคนเป็นฝ่ายเริ่มเขาก็เป็นฝ่ายสนอง และมันก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดเอาไว้นักว่าเช้ามาเจ้าตัวจะต้องโวยวายเพราะกลายสภาพเป็นผักเปื่อยตามเคย
“กูเมามึงก็ยังทำเหรอ มึงทำไปกี่รอบทำไมกูถึงไม่มีแรงขนาดนี้! โอ๊ย”
เสียงร้องซึ่งเป็นผลมาจากการปวดหัวเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ดังขึ้น ก่อนมือบางจะกุมหัวตัวเองเอาไว้แล้วปิดเปลือกตาลง
ตัวก็ล้า หัวก็ปวด โอ๊ย
“ใครเป็นคนเริ่ม มึงนึกดีๆ” หินที่นั่งพิงหัวเตียงเล่นเกมอยู่เอ่ยขึ้น
“กูจำไม่ได้ แต่ถ้ากูเริ่มมึงก็ปฏิเสธสิ นี่มึงสานต่อไปกี่รอบ ห๊ะ”
เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นถังขยะตรงข้างเตียงจึงชะโงกหน้าลงไปดู ก่อนซากถุงยางซึ่งทับซ้อนกันมากกว่าสามถุงเท่าที่ประเมินได้จากสายตาจะทำให้แฟนอ้าปาก
“อ้อยเข้าปากช้าง ทำไมกูต้องปฏิเสธ”
โทรศัพท์ในมือถูกวางลง จากนั้นร่างสูงก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่อย่างน่าหมั่นไส้
“ไอ้คนหื่น”
“โอ้โห นึกดีๆครับคุณ เมื่อคืนท่าทางมึงคล้ายกับจะเป็นฝ่ายข่มขืนกู”
“มะ ไม่จริง”
คำพูดน่าอายนั้นทำให้แฟนเอ่ยเถียงกลับทันควันด้วยเสียงสั่นๆ เนื่องจากเริ่มไม่มั่นใจว่าหรือตัวเองจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะสีหน้าและแววตาของหินเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“มึงเมา มึงรู้ใช่ไหมว่าตัวเองเมาจะเป็นยังไง” เจ้าตัวน่าจะรู้ตัวเองดีที่สุด
“...”
คนดื่มไปหนักได้แต่เงียบปากเมื่อรู้ว่าหากเมามาก คนเราสามารถทำทุกอย่างออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านการไตร่ตรองจากสมอง
“กูใจดีให้เอาเมื่อคืนไปลบกับสิบรอบนั้นได้...เหลืออีกหก แต่หกรอบนั้นกูจะไม่ทำอะไรนอกจากนอนเฉยๆ เข้าใจ?”
แล้วคนพูดก็หยัดกายที่มีเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวขึ้นจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ ทิ้งให้คนหมดสภาพนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์เมื่อคืน
แต่สุดท้ายก็จำอะไรไม่ได้นอกจากตอนอีกคนมารับ แล้วภาพก็ตัดมาตอนที่ฟื้นขึ้นมาบนเตียงในห้องของหินตอนนี้เลย
“อย่าลืมโทรไปลางานด้วย โทรศัพท์มึงสั่นจนสายแทบไหม้”
คราวนี้แฟนไม่มีสติจะคิดเรื่องนี้ต่อเมื่อนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาในยามเที่ยง ยังดีที่วันนี้ไม่มีงานด่วนหรือประชุมสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงโดนบ่นจนหูชา
เพราะไอ้หื่นหินคนเดียว!
TBC.
มาแล้ววววว หายไปนานเพราะช่วงนี้ยุ่งๆค่ะ ร่างกายก็แปลกๆเลยกว่าจะต่อติดได้><
ตอนนี้เหมือนไม่ค่อยมีอะไรเลย ฮื่อ แอบมีปมเล็กๆ แล้วเนื้อเรื่องก็ดำเนินไปแบบเรื่อยๆ สัญญาว่าตอนหน้าจะค่อยๆมีอะไรแล้วค่ะ อิอิ
คิดถึงคนห่ามก็คอมเมนต์แล้วก็มาเม้ากันได้ที่แท็ก #พี่หินคนห่าม น้าาา
เจอกันตอนหน้าค่ะ จุ๊บบบบ
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ