แต่คุณ...ก็ยังเป็นความเจ็บปวดที่ผมเต็มใจจะรับเสมอ
อีกสามวัน...
เทียนลืมตาขึ้นมองเพดานห้อง ก่อนจะมองไปซ้ายมือตัวเอง มองกระเป๋าใบโตและกล่องทั้งหลายที่วางเรียงกันในห้องที่แทบเรียกได้ว่าว่างเปล่าตรงหน้า ทั้งหมดนั้นสำหรับเขาที่เตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
ไป...โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีกครั้ง
เมื่อคืนเขาได้ไปบ้านของพี่สิงห์ ไปล่ำลาและขอบคุณพ่อแม่ของพี่สิงห์สำหรับการดูแล ความรักที่มอบให้และทุกๆ อย่าง ซึ่งพวกท่านแม้จะเสียดายและไม่อยากให้เขาไป กระนั้นก็เคารพการตัดสินใจของเขามากพอที่จะไม่คัดค้าน พวกท่านทั้งสองอวยพรให้เขาประสบความสำเร็จและพบแต่ความสุข
แต่ไร้เงาพี่สิงห์ในคืนนั้น
ราวกับว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่งของเขา
ราวกับว่า...การที่เราได้เคยจับมือกันในฐานะอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องมันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของเขาเท่านั้น
วันนี้เขาไม่คิดจะไปไหนนอกเสียจากนอนเล่นไปเรื่อยในห้องตัวเอง ตามเองก็ไม่อยู่ด้วยเพราะต้องไปเยี่ยมญาติและบอกเรื่องที่จะไปเรียนต่อให้คนในครอบครัวทราบ ตามประสาคนในครอบครัวใหญ่และมีคนต้องบอกเยอะแยะ ตอนแรกตามก็ชวนเขาไปเช่นกัน แต่เขากระอักกระอ่วนเกินไปที่จะไปเป็นแขกของครอบครัวอีกคน จึงบอกปัดไป อ้างว่าอยากจะนอนเล่นที่บ้าน ตามจึงยอมตามใจและไม่ตื้ออีก
เทียนถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ไม่รู้สึกว่ามันคือการพักผ่อนอย่างที่พูดไป เขาหลับไม่ลง ได้แต่นอนเบิกตามองเพดาน มองท้องฟ้านอกหน้าต่างไปเรื่อย เหมือนว่าในสมองและหัวใจมีเรื่องให้คิดมากเกินไป สุดท้ายก็ข่มตาหลับไม่ได้
หรือบางที
“เทียน”
เขาคงจะรอใครคนนั้นอยู่
เสียงเรียกจากหน้าบ้าน เรียกให้เขาผุดลุกนั่งบนเตียงได้ตั้งแต่การเรียกครั้งแรก แม้จะเป็นเพียงเสียงตะโกนไม่ดังมาก แต่ด้วยเขาฟังและจดจำเสียงนี้มาเสมอ เขาจึงรู้ว่าคนที่ยืนอยู่อีกฝากฝั่งของรั้วบ้านคือ...พี่สิงห์
เทียนเดินไปหยุดที่หน้าต่าง มองคนตัวสูงยิ้มและโบกมือเรียกให้ลงไปข้างล่าง พี่สิงห์ก็ยังเป็นพี่สิงห์ แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่อีกคนก็ยังเปล่งประกาย...และงดงามเสมอในสายตาของเขา
“พี่สิงห์มีอะไรหรือเปล่า”
“อยู่บ้านคนเดียวเหรอ เด็กคนนั้นไม่อยู่ด้วยหรือไง”
เทียนส่ายหน้า “ตามกลับบ้าน...ไม่อยู่หรอก”
“งั้นเราก็ว่างใช่ไหม?”
“...”
“ไปเที่ยวกันไหม”
“...? ไปเที่ยว”
“ใช่ เราสองคน” พี่สิงห์ชี้ตัวเองสลับกับเขา ก่อนจะยิ้มกว้างอีกครั้ง “ส่งท้ายก่อนเราไปเรียนต่อไง เราไม่ได้เจอกันเลยนะ อาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะ”
“อ่า...”
“หรือเราไม่สะดวกใจ ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่อยากไป”
“ไม่ใช่แบบนั้นพี่”
“...”
“ไปก็ได้ แต่ขอผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
“ไม่ต้องหรอก ชุดนี้ดีแล้ว ไปกัน”
“...”
“พี่มีอะไรที่อยากทำเยอะแยะเลยล่ะ”
“หนังเรื่องที่เราอยากดูวันนั้นยังไม่ออกจากโรงเลย ดูกันไหม”
“ก็ได้ครับ”
“งั้นรอพี่ตรงนี้แปบนึงนะ พี่ไปซื้อตั๋วก่อน” เทียนพยักหน้าหงึกหงัก ขณะคนเป็นพี่ยิ้มแล้วยีหัวเขาหนึ่งที ก่อนเดินไปยังตู้กดตั๋วที่มีพนักงานยืนรอให้ความช่วยเหลืออยู่ ทิ้งให้เขายืนมองแผ่นหลังอีกคนและจับบริเวณที่ถูกสัมผัสครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ไม่ได้พบกันเลยเพียงลำพัง
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้ออกมากับพี่สิงห์เช่นนี้และไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี่พี่สิงห์ต้องการจะทำอะไร อยากจะขอโทษ อยากจะไถ่โทษที่วันนั้นไม่ได้มาหรืออะไรกันแน่ แต่กระนั้นเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
ทันทีที่เห็นใบหน้า น้ำเสียงและรอยยิ้ม เขาก็ได้แต่เดินตามอีกคนเหมือนที่เคยทำมาตลอด
“ได้แล้ว อีกชั่วโมงนึง เทียนหิวไหม ถ้าหิวพี่จะได้พาไปหาอะไรกินก่อนเข้าโรง”
“ไม่ครับ พี่ล่ะ?”
“พี่ก็ไม่หิว งั้นเราไปเล่นเกมกัน ฆ่าเวลา”
“ได้ครับ”
ตอนนั้นเองที่มือของเขาถูกมือของพี่สิงห์จับและรั้งให้ไปเดินอยู่ข้างกาย มันเป็นเพียงวินาทีสั้นๆ เหมือนแค่พริบตาเดียวเท่านั้น แต่ในสายตาของเขาราวกับรอบกายหยุดเคลื่อนไหว
“ขอจับมือหน่อยนะ”
“...”
“แค่วันนี้ก็ยังดี”
“...ครับ”
เขาควรจะปฏิเสธแล้วดึงมือออกมา เดินกับพี่สิงห์ มีระยะห่างระหว่างกันเป็นปกติแบบที่ทำมาตลอด
แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการกระชับมือที่กุมกันให้แน่นขึ้น แน่นจนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่กลางฝ่ามือของพี่สิงห์ ความอบอุ่น...ที่เขาเฝ้าฝันว่าสักวันหนึ่งเจ้าของมือนี้จะเต็มใจกุมมือของเขาเช่นที่ทำในวันนี้
เคยฝัน จนตอนนี้หลงลืมความฝันนั้นไปแล้ว ทว่าวันนี้ฝันนั้นกลับเป็นจริง
มันทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น ความรู้สึกปนกันจนมั่วไปหมด แต่ที่เหนือกว่าความรู้สึกอื่นใดคืออยากจะร้องไห้ชะมัด
เทียนพยายามเบนสายตาไปมองอย่างอื่น พยายามไม่มองไปยังพี่สิงห์ที่เดินอยู่ข้าง กลั้นน้ำตาที่เหมือนจะไหลอยู่ตลอดเวลาให้ย้อนกลับไป มันก็แค่การเที่ยวเล่นเหมือนที่เคยผ่านมา มันไม่มีตรงไหนที่น่าเศร้าจนเขาต้องร้องไห้เลย แต่ทำไมมันเจ็บปวดอย่างนี้
เขาควรจะดีใจและยิ้มออกมา ไม่ใช่หน่วงที่ใจจนอยากจะร้องไห้เช่นนี้
“อย่าร้องไห้นะ”
“...”
“วันสุดท้ายแล้ว ช่วยยิ้มให้พี่จนถึงที่สุดที”
“...”
พี่สิงห์หันมายิ้มให้เขาที่มองอยู่แล้วเลื่อนมือมาลูบที่ผิวแก้ม การสัมผัสแผ่วจางเหมือนปีกแมลงปอแตะผิวน้ำ แต่กลับส่งผลมหาศาลต่อตัวเขาเช่นนั้น เรียกให้ความอ่อนแอกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำ
“ครั้งสุดท้าย...เหรอครับ”
“ก็เราจะไม่อยู่แล้ว พี่แค่อยากทำอะไรที่ยังไม่เคยทำกับเรา อะไรที่เคยผิดสัญญา ทั้งหมดนั่น...พี่อยากทำมันกับเราก่อนที่เราจะไปน่ะ”
“...”
“ได้หรือเปล่า”
“...ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”
“งั้นหยุดร้องไห้นะ แล้วไปเล่นเกมกัน”
“อืม”
พี่สิงห์
“เทียน...จะไม่ร้องแล้ว”
ตั้งแต่วันที่เดินจากพี่มา ไม่มีวันไหนที่เทียนไม่ร้องไห้เลยจริงๆ...“พี่สิงห์ขี้โกง!”
“ขี้โกงตรงไหน พี่ก็เล่นปกติ”
เทียนทุบเข้าที่ไหล่ของคนข้างกายที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุด เมื่อคะแนนปรากฏบนหน้าจอ แสดงให้เห็นว่าเขาแพ้ “ไม่โกงอะไร ตอนเทียนเต้นอยู่ พี่ก็เอาแต่แกล้งจี้เอวเทียนอ่ะ! แล้วงี้เทียนจะเต้นตรงได้ไง”
“เอ้า ไม่มีสมาธิเองแล้วมาโทษคนอื่นว่ะ พาลนี่หว่า”
“ไม่ได้พาล”
สิงห์หัวเราะร่วน จิ้มเข้าที่แก้มพองลมของเทียน “พาลแล้ว แก้มป่องเลย”
“โกรธ” แต่แทนที่จะรู้สึกอย่างที่พูด เทียนกลับรู้สึกเขินมากกว่า จนไม่อาจจะยืนอยู่เพื่อมองรอยยิ้มและฟังเสียงหัวเราะของสิงห์ต่อได้ เขาจึงเลือกเดินหนีหมายจะตรงไปโรงหนัง เพราะอีกไม่กี่นาทีหนังก็จะเริ่มแล้ว หลังจากที่พวกเขามาฆ่าเวลากันอยู่ในโซนเกมเซนเตอร์ร่วมชั่วโมง แต่สิงห์กลับรั้งข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวยังเหลือเหรียญอีกตั้งเยอะนะ”
“ก็เอาไปแลกคืนสิ มาบอกเทียนทำไม”
“คีบตุ๊กตากัน”
“...”
“เทียนเคยอยากได้เจ้าตัวนี้นิ” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังตู้เกมคีบตุ๊กตาที่อยู่ถัดไป ในนั้นมีตุ๊กตาจากซานริโอมากมาย รวมไปถึงชินนาม่อนโรล มาสคอตตัวโปรดของเขาด้วย เทียนไม่ได้ปฏิเสธ เขาเดินไปอยู่ข้างตู้ ยืนมองพี่ชายคนสนิทลงมือคีบตุ๊กตาอยู่ข้างๆ คอยหัวเราะตอนที่ทำพลาด แสดงออกถึงความเสียดายเมื่ออีกคนเกือบคีบได้และยิ้มตะโกนเสียงดัง เมื่อในที่สุด ตุ๊กตาที่เขาชอบก็ถูกคีบได้เสียที
“เย้!! ได้แล้ว”
“เสียเกือบร้อย ได้ตัวเท่าเนี้ย” เจ้าตุ๊กตาตัวปัญหาที่มีขนาดแค่ฝ่ามือของตัวเอง ทำให้สิงห์อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่เมื่อมองใบหน้าของคนที่เขาเพิ่งยื่นตุ๊กตาไปให้ มองรอยยิ้มและอาการทะนุถนอมของเทียน ในใจก็คิดว่า มันคุ้มแล้ว
ที่จริงเขาแค่อยากเห็นเด็กคนนี้ยิ้มเท่านั้นแหละ
“ป่ะ ใกล้เวลาแล้ว เข้าโรงหนังกัน”
“อื้อ”
“เก็บไว้ดีๆ นะ”
“รู้แล้ว เทียนรักษาของน่า”
“ไม่ หมายถึง...ตอนไปนู่น เอาไปด้วยนะ”
“...”
สิงห์ลูบหัวน้อง “จะได้ไม่ลืมพี่”
“...ใครจะลืม”
“...”
“งั้นเทียนคีบให้พี่อีกตัวไหม เทียนจะได้พูดมั่งว่าอย่าลืมเทียนนะ”
“ไม่ลืมหรอก”
“อ้าว ลอกคำตอบกันนี่”
“ต๊อง” เขาเขกหัวอีกคนเบาๆ แล้วพูดต่อ “จะลืมได้ไง เทียนมีแค่คนเดียวสำหรับพี่นี่”
“...”
“แต่กับเทียนที่กำลังจะไปเจอโลกกว้างที่ไม่ได้มีแค่พี่อีกแล้ว พี่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยว่าเราจะไม่ลืม”
“...”
“ไม่ได้ดูถูกน้ำใจอะไรของเรานะ มันแค่ความไม่มั่นใจของพี่เท่านั้นแหละ”
“...”
“เพราะพี่ยังอยู่ที่นี่ ยังอยู่บ้านหลังเดิมที่เราเคยนอน เคยมานั่งกินข้าวด้วยกัน อยู่บนถนนสายเดิมที่เคยเดินไปส่งเราที่บ้าน เพราะงั้นพี่ไม่มีวันลืมเราได้แน่นอน”
“...”
“ทุกครั้งที่นอนบนเตียง พี่ก็จะคิดถึงเราที่เคยนอนเล่นคอยกวนพี่เวลาพี่ทำงาน เวลากินข้าวก็จะนึกถึงเสียงเราตอนที่พูดเจื้อยแจ้วเรื่องนู่นนี่ให้พ่อกับแม่พี่ฟัง เวลาเดินกลับบ้าน ก็จะนึกถึงตอนที่เราเดินข้างกัน เล่าเรื่องที่ได้เจอวันนี้ให้กันและกันฟัง”
“...”
“แบบนี้จะให้ลืมได้ยังไงล่ะ”
“เทียนไม่ลืมเหมือนกันน่า” ฟังจบเขากลับไม่มีคำพูดอะไรจะพูดต่อ ได้แต่เดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นตรงไปยังโรงหนังโดยไม่คิดจะรอคนด้านหลัง ทิ้งให้สิงห์มองตามแผ่นหลังของเด็กที่เขาพร่ำบอกเสมอว่าในหัวใจนี้มอบได้แค่น้องคนสนิท ให้แค่นั้นมาตลอด
จนวันนี้ที่รู้ว่าคิดผิดและกำลังจะเสียไป เขาก็ทำได้แค่มอง
เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะตัดสินใจกลายเป็นเทียนไปแล้ว ไม่ใช่เขาอีกต่อไป
หนังฉายบอกเล่าเรื่องราว เหมือนกับชีวิตของคนเราที่มีเริ่มต้นและจุดจบ แต่มันต่างตรงที่ในชีวิตจริงนั้น ต่อให้มีบทสรุปของเรื่องราวแล้ว เราก็ยังสามารถเริ่มต้นเรื่องราวเรื่องใหม่ได้อีกเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
เทียนจ้องมองจอฉายหนังยักษตรงหน้าที่ค่อยๆ ดับลง พร้อมกับคนมากมายเดินออกจากโรงหนังในเวลาย่ำค่ำ นาฬิกาที่ข้อมือบอกเขาว่าตอนนี้หกโมงกว่าแล้วและเมื่อหนังจบ พวกเขาสองคนก็ควรจะกลับกันเสียที
แต่ระหว่างพวกเขาทั้งคู่กลับไม่มีใครยอมลุดขึ้นมาก่อน ต่างคนต่างเอาแต่มองหน้าจอสีดำสนิทเหมือนครั้งหนังยังฉายบนนั้น เหมือนเอาแต่ระลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วแต่ย้อนกลับไปไม่ได้ ได้แต่จินตนาการเรื่อยไปไม่รู้จบ
สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ลุกขึ้นและคงเดินออกไปแล้ว ถ้าไม่ได้มือของพี่สิงห์มาจับเอาไว้
“ดูเหมือนวันนี้พี่รั้งเราไว้เยอะมากเลยเนอะ”
“...”
“หนังจบแล้ว”
“อือ จบแล้ว”
“แต่พี่อยากให้มันฉายไปเรื่อยๆ ให้พี่นั่งดูแบบนี้ไปตลอดชีวิตยังได้เลย” แม้จะพูดกลั้วเสียงหัวเราะ แต่เทียนไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย เสียงหัวเราะครั้งนี้ของพี่สิงห์มันเศร้าเกินนกว่าจะมองว่ามันคือเสียงหัวเราะแห่งความสุขของคนที่ได้ดูหนังที่ชอบ
“...จะเป็นไปได้ยังไง หนังมันก็ต้องจบสิ ไม่จบมันคงไม่ใช่หนัง”
“นั่นสินะ”
“ถ้ามันไม่มีจุดจบ มันก็คงไม่สวยงามนักหรอก”
“...”
“...”
“เหมือนเรื่องของเราใช่ไหม”
“...”
“ถ้ามันไม่มีจุดจบ ถ้าเราไม่ยอมไป พี่คงไม่รู้ใช่ไหมว่าเราสำคัญกับพี่มากแค่ไหน”
จนตอนนี้พี่สิงห์ก็ยังไม่มองหน้าเขา เอาแต่มองไปข้างหน้า ทิ้งให้เขามองใบหน้าด้านข้างของอีกคนผ่านความมืดสลัวภายในโรงหนัง เขาไม่มคำพูดใดจะพูด ได้แต่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมพวกเขาทั้งคู่ จนพนักงานเดินเข้ามาเตือนนั่นแหละ เขาถึงได้พึมพำตอบรับแล้วรีบเดินออกมา
“พี่สิงห์ ไปเถอะ”
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่ตามไป”
“...พี่สิงห์”
“พี่ไม่เป็นไรครับ ไปเถอะ” พิ่สิงห์หันมายิ้มให้เขา เหมือนจะให้เขาวางใจและเดินออกไปแต่โดยดี แล้วเทียนจะทำยังไงได้นอกจากทำตามสิ่งที่อีกคนพูด เขาเดินออกจากโรงหนังไป พริบตาที่เสียงประตูปิดลง คนที่วางท่าเหมือนไม่รู้สึกอะไรเมื่อครู่ก็ได้แต่ซุกใบหน้าตัวเองกับฝ่ามือ ปล่อยให้ไหล่ที่ยืดตรงลู่ลงและสั่นเทา ในความเงียบงันมีเสียงลมหายใจสั่นลอดออกมา พอให้รู้ว่ายังมีคนอยู่เหลืออยู่ในนี้
หากเปรียบโรงหนังนี้เป็นเหมือนสถานที่ฉายความทรงของพวกเขา เทียนก็คงเหมือนคนที่แยกได้ว่าสิ่งที่ฉายมันเป็นเพียงอดีตที่ย้อนกลับไม่ได้ ต่างจากเขาที่ไม่อาจดึงตัวเองออกจากหนังที่ดูได้
ได้แต่เฝ้าหลอกตัวเอง ภาวนาขอให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นย้อนกลับมาอีกครั้งเหมือนคนโง่
ต่อให้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาก็ยังอยากจะให้มันกลับมา
น่าเสียดาย
เวลาไม่เคยย้อนกลับให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ทิ้งโอกาสของตัวเองไปอย่างน่าเสียดายเช่นเขา
เขาเคยนึกว่าการเดินมาจากคนที่รักมากๆ มันยาก จนไม่เคยเลยสักครั้งที่ทำมันสำเร็จ
กระทั่งวันนี้ เขาจึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากเลย แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากเดินจากมามากกว่า
เพราะความจริงแล้วการจากมานั้นง่ายดาย เมื่อเทียบกับการคงอยู่เสมอ
เทียนยืนมองท้ายรถของพี่สิงห์ที่ขับห่างออกไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจที่ได้เจอ มีความสุข เศร้าและใจหาย แปลกดีในความรู้สึกพวกนั้นยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดและความรักอยู่เช่นกัน แต่มันไม่ได้มากมายจนต้องหลั่งน้ำตา ไม่ได้ทำให้คิดถึงจนไม่อยากปล่อยมืออีกแล้ว
ก่อนจะจากกันพี่สิงห์ยิ้มให้เขาอีกครั้ง ลูบหัวเขาเหมือนที่ชอบทำอยู่ตลอดแล้วบอกขอบคุณที่วันนี้เขายอมออกมาเป็นเพื่อนจนเย็น ซึ่งเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรทำได้แต่ยิ้มให้ แม้จะสังเกตเห็นว่าดวงตาของพี่สิงห์บวมช้ำ เขาก็ไม่คิดจะถาม เพราะรู้...ว่าร่องรอยเหล่านั้นมันหมายความว่าอย่างไร
ทำไมจะไม่รู้ ในเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนเราจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ เขาก็เคยมีอาการนั้นเช่นกัน
อดคิดไม่ได้ว่าทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้ ในวันที่เขาเลิกร้องไห้และเดินไปข้างหน้า พี่สิงห์กลับหยุดยืนตรงนั้นแล้วทำในสิ่งที่เขาเคยทำ เสียใจโดยที่เขาไม่อาจปลอบโยนได้แม้แต่คำเดียว
เขาหันหลังเดินหมายจะเข้าบ้านตัวเอง แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าบ้านที่ควรไร้แสงไฟ กลับปรากฏแสงสว่างเล็กๆ ในมุมหนึ่งในบ้าน
เหมือนกองไฟที่มอบความอบอุ่นให้กับเขา...ที่ไม่เคยมีใครรอคอยการกลับมาที่บ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เห็นแบบนั้นขาทั้งสองของเขาก็ราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบและตื่นเต้น ทั้งที่ตัวเขาเองรู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าคนในนั้นเป็นใคร เพราะมีเพียงไม่กี่คนที่เขายินยอมมอบกุญแจบ้านให้และมีไม่กี่คนที่จะรอเขากลับมา
เทียนทำใจยืนอยู่หน้าประตูครู่ใหญ่ ก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดเข้าไปเบาๆ ฟังเสียงโทรทัศน์ที่ดังออกมาจากห้องนั่งเล่น สูดกลิ่นอาหารที่กรุ่นมาจากห้องครัว ภาพบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ที่เขาไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน ทำเอาเขาไม่อาจหุบยิ้มได้ ยิ่งเมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้วพบกับแผ่นหลังของคนที่มอบความอบอุ่นทั้งหมดนี้ให้เขา รอยยิ้มก็ยิ่งขยายกว้าง
คนคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวสีดำ ผมถูกเซ็ตเป็นทรงเหมือนกับเพิ่งเดินออกจากงานเลี้ยงสักงานแล้วตรงมาบ้านของเขา ทว่าสิ่งที่ไม่เข้าพวกที่สุดเห็นจะเป็นผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนตลกๆ ที่เขาซื้อมาไว้สำหรับเข้าครัวที่น้อยครั้งเหลือเกินจะทำเอง มีแต่คนคนนี้ที่คอยหยิบมันมาใช้ จนเขาชอบล้อว่ามันคือผ้ากันเปื้อนประจำตัวพ่อบ้านของเขา
ของเขา...เพียงคนเดียว
“ตาม”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ไปไหนมา...!”
ไม่รอให้อีกคนพูดจบ เขาก็โผเข้าไปกอดที่หันกลับมาตัวเองแน่น กอดโดยไร้คำพูด แต่คนที่ยืนให้กอดก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ยอมโอบกอดตอบแน่นเหมือนจะส่งต่อความคิดถึงที่เราไม่ได้พบกับ แม้จะเป็นเวลาสั้นไม่กี่วัน ทว่าก็ยังคิดถึงมากอยู่ดี
เทียนยิ้มกับอกของตาม ขยับริมฝีปากพูดหนึ่งคำที่เขานึกอยากพูดมาตลอดชีวิต
คำพูดที่เหมือนร้องกล่าวว่าเขา...ได้พบกับที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิตแล้ว
บ้านของเขา
“กลับมาแล้ว”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เทียน”
100%ครบร้อยเปอร์แล้วค่ะ! กี๊ดดดดดดดดดด ตอนหน้าจบแล้วนะคะ เอาจริงๆ มันเหมือนจบมานาแล้ว แต่เหมือนตอนหลังๆ คือการสลับกันระหว่างพี่สิงห์กับเทียนเลย แง้ว
ถ้าหากทุกคนยังจำได้ในตอนพิเศษตอนงานแต่งของทีม (ซึ่งเป็นเรื่องราวหลังจากเรื่องนี้) ทุกคนในกลุ่มก็ยังเข้าใจว่าพี่สิงห์ยังชอบคิงอยู่ เพราะพี่สิงห์จงใจให้มันเป็นแบบนั้น ทำให้คนที่รู้เรื่องว่าพี่สิงห์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ มีเพียงพี่เพจคนเดียวค่ะ
แรกสุดเราอยากจะแต่งให้พี่สิงห์มีคู่บ้าง แต่ไปๆ มาๆ อยากจะลองแต่งแบบ เออ เป็นพระเอกนะ แต่แห้วว่ะ ขึ้นมาซะงั้น แงง
ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพี่สิงห์เลย แต่แบบ ชีวิตจริงคนเราจะมีโมเม้นต์สมหวังสักกี่เปอร์เซ็นกัน ในความเป็นไปได้บนโลกมันไม่มีทางเป็นไปอย่างหวังตลอด เพราะงั้นเลยกลายมาเป็นเช่นนี้ พี่สิงห์คนแห้วค่ะ 55
ไม่ได้แต่งให้รู้ชัดเจนมากมายว่าพี่สิงห์รักเทียน แต่อยากให้รู้เฉยๆ ว่าความคิดที่พี่เขามีต่อเทียนมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเทียบกันกับความรู้สึกที่เทียนมีให้พี่เขา ยังเทียบไม่ติดเลยค่ะ ทว่ามันก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ต่อให้น้อยแค่ไหน พี่เขาก็ไม่ได้มองเทียนเป็นแค่น้องคนสนิทอีกแล้ว แต่มองเป็นฐานะอื่น...ที่สายไปสักหน่อย เพราะน้องเขาไม่อยู่รอแล้ว
น้องเทียนเป็นตัวละครที่เราปวดหัวที่สุด ตอนแรกแต่งง่าย เพราะความรู้สึกมันชัดเจนอยู่แล้วว่าเออ รักคนนี้ว่ะ แบบเจ็บก็ยอม แต่ตอนกลางเรื่องจนตอนท้ายความรู้สึกที่มีต่อพี่สิงห์ของน้องจะเปลี่ยน จากสมมติว่าชอบ 100 มันจะลดลง อาจจะเหลือ 70 นอกนั้นคือความผูกพัน ความกลัวและความรู้สึกปกป้องตัวเอง จากคนที่ผิดหวังมาตลอด ซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนจะมีความรู้สึกแบบนี้อยู่
และนั่นแหละค่ะ ตรงนี้แหละที่มันทำให้เราปวดหัว มันสื่อยากมากเลยอ่ะ กับการที่เราต้องให้ตัวละครแสดงความรู้สึกออกมาแบบนั้นโดยที่คนอ่านไม่งงไปเสียก่อนว่าแบบ เออ มันเป็นไบโบล่าร์ป่ะวะ แป๊บนึงอารมณ์นึง อีกแป๊บอารมณ์นึง แต่งเองก็ปวดหัวเอง เรื่องนี้เลยเป็นเรื่องสั้นๆ ที่ใช้เวลาแต่งนานมาก มัวแต่งมน้องเทียนนี่แหละค่ะ
เพราะงั้นต้องขอโทษมากๆ เลยนะคะ หากอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ที่ยังคงแสดงอารมณ์ความรู้สึกตัวละครไม่โอเคเท่าไหร่
ติชมได้ค่ะ จะไปปรับปรุงตัว แงง
ส่วนน้องตาม นี่ง่ายสุดเลยค่ะ 5555 ฉันรักแก ก็ดูแลแกไป ไม่มีอะไรซับซ้อน คนมันชินอยู่ตรงนั้นมานาน เลยไม่มีความสับสนอะไร เพราะฉะนั้นในตัวละครทั้งสามตัวถ้าเรียงความสับสนความรู้สึก น้องเทียนนี่ที่หนึ่งเลย ตามด้วยพี่สิงห์และตบท้ายด้วยตาม คนที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย รักก็รัก แค่นั้น
ความจริงตอนจบเรื่องนี้คิดเอาไว้เยอะมาก พี่สิงห์เกือบได้โอกาสแก้ตัวและ ถ้าไม่ติดว่าเราอยากให้มันจบแบบไม่สมหวังดู (แบบไม่สมหวังกับพระเอกนะ ไปสมหวังกับพระรอง แฮ่) แต่ความรักครั้งนี้ของพี่สิงห์จะต่างกับครั้งที่พี่เขาชอบคิงนิดหน่อย
ถ้าเทียบง่ายๆ ความรักตอนพี่แกชอบคิง คือความรักแบบเดียวกับที่ตามรักเทียน
ส่วนความรักตอนที่พี่แกชอบน้องเทียน คือความรักแบบเดียวกับที่เทียนเคยรู้สึกกับพี่เขา
ก็...จบแบบนี้แหละค่ะ!
อย่าปารองเท้าใส่เราเลยนะคะ! แงง
เจอกันตอนบทส่งท้ายนะคะ ^_^ บ๊ายบายค่ะ
NAVY