ตอนที่ ๖๒
หมูเคยได้รู้มาเหมือนกันว่า วิทยาเขตแห่งนี้เป็นวิทยาเขตเล็กๆ แต่ที่เห็นในตอนนี้ มันเล็กยิ่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก อาคาร๔หลัง ที่ถูกแวดล้อมด้วยอาคารต่างๆของโรงเรียนสาธิตมัธยมของมหาวิทยาลัย และตัวอาคารของโรงเรียนมัธยม ที่มีชื่อเสียงประดับประเทศอีกแห่งหนึ่ง ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ หมูมองไปที่ใต้อาคารหลังหนึ่งซึ่งมีโต๊ะยาวหลายตัวเรียงรายอยู่ มีนักศึกษานั่งกันอยู่ไม่น้อย มองไปอีกทางหนึ่งมีชุดโต๊ะหินและชุดโต๊ะไม้อย่างละชุด อยู่ตรงเนื้อที่ว่างเล็กๆ ระหว่างอาคารของมหาวิทยาลัย กับโรงเรียนสาธิต หมูตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะใต้อาคารตัวที่ใกล้ที่สุด
“ขอโทษนะครับ โต๊ะมนุษย์ฯเอกไทย โต๊ะไหนเหรอครับ” หมูเอ่ยถามนักศึกษาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในกลุ่มนักศึกษาสิบกว่าคน
“โต๊ะนั้นครับ” นักศึกษาชายคนนั้นชี้ไปที่โต๊ะบริเวณที่ว่างระหว่างอาคาร ที่ไม่มีคนอยู่เลย หมูหันไปมองตามมือ แล้วหันมามองคนตอบด้วยความสงสัย “ไปเรียนกันอยู่ เดี๋ยวคงลงมา จวนหมดคาบแล้ว” นักศึกษาคนนั้นพูดต่อหลังจากที่มองดูนาฬิกาข้อมือ
“ขอบคุณครับ” หมูพูดแล้วเดินไปนั่งรอที่ม้าหิน
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ และวันนี้หมูมีเรียนแค่คาบวิชาในช่วงเช้าเพียงวิชาเดียว จึงตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯทันที เพื่อมาหาคนที่เขาคิดว่าพอจะช่วยตอบปัญหาบางอย่างในใจได้ นั่งรออยู่ไม่นานนัก ก็มีนักศึกษากลุ่มใหญ่ประมาณยี่สิบกว่าคน เดินเป็นกลุ่มย่อยๆมาทางโต๊ะที่เขานั่งอยู่ มีหลายคนที่ทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้น แล้วหมูก็มองเห็นคนที่เขาต้องการพบ หมูจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา
“ติ๊ก” หมูส่งเสียงเรียก เพราะติ๊กกำลังคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
“อ้าว หมู ... มาได้ยังไง” ติ๊กทักตอบ
“นายว่างมั๊ย เรามีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
“เรื่องอะไร” ติ๊กถามอย่างสงสัย
“น้ำดรอปเรียนไว้เทอมนึง แล้วตอนนี้บ้านน้ำไม่มีใครอยู่เลย นายรู้เรื่องพวกนี้รึเปล่า” หมูถามแล้วจ้องหน้าติ๊กนิ่ง
ติ๊กจ้องตอบด้วยสายตาแข็งกร้าว ในใจคิดว่าถึงแม้เพื่อนเขาจะรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่เขาก็ยังคิดว่าคนคนนี้ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน
“ว่าไง นายรู้ใช่มั๊ยว่าน้ำอยู่ที่ไหน” หมูจ้องตอบบ้าง “หรือว่าน้ำอยู่ที่บ้านนาย”
“เหอะ” ติ๊กแค่นเสียงเบาๆ “อะไรมันอยู่ในหัวนายกันแน่ ถึงได้คิดว่าน้ำอยู่บ้านเรา”
“ถ้างั้น ... น้ำอยู่ที่ไหน”
“บ้านแฟนเค้ามั๊ง” ติ๊กตอบด้วยน้ำเสียงหยันๆ “สมใจนายแล้วไม่ใช่เหรอไง”
“แฟน??? ... ใคร” หมูขมวดคิ้ว “คงไม่ใช่นายตั๊ก พี่ชายนายหรอกนะ”
“นั่นมันเรื่องตั้งนานแล้ว” แว่บหนึ่งทีใบหน้าของติ๊กเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มหยันๆเช่นเคย “ตอนนี้น้ำอยู่กับพี่ต้น”
“พี่ต้น” หมูทวนชื่อ คิ้วขมวดเหมือนไม่เชื่อ “ต้น พันพฤกษ์น่ะเหรอ”
“ใช่” ติ๊กตอบสั้นๆ
“ไม่น่าเป็นไปได้” หมูก้มหน้าครุ่นคิด “หรือว่าเราคิดไปเอง”
“อะไรของนาย ที่ว่าไม่น่าเป็นไปได้น่ะ” ติ๊กสงสัยในท่าทางของหมู จนอดถามออกไปไม่ได้
“ติ๊ก นายจำคืนที่ไปค้างที่ห้องของน้ำได้มั๊ย” หมูเงยหน้าขึ้นถาม
“ทำไม”
“ทีแรกเราคิดว่ามันเกี่ยวกับคนชื่อต้นนี่แหละ หาที่นั่งคุยก่อนดีกว่า เราว่าอาจจะคุยกันยาว”
“เอางั้นก็ได้”
ติ๊กฟังแล้วอยากรู้ว่าหมูรู้อะไรบ้าง จึงเดินนำหมูไปทางสนามบาสที่ห่างออกไป แล้วนั่งลงบนม้ายาวใต้ต้นแปรงล้างขวดที่อยู่ข้างสนาม แล้วหมูก็เริ่มเล่าเรื่องของต้น พันธ์พฤกษ์ ที่รู้มาจากเอก รวมทั้งเรื่องที่ไปหาน้ำหยดที่บ้านแต่ไม่พบ และเรื่องที่น้ำหยดโทรศัพท์มาหาเขา ให้ติ๊กได้รู้ทั้งหมด ติ๊กนั่งฟังอย่างเงียบๆ ใบหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
“นายเอาเบอร์โทรฯนายมาแล้วกัน ถ้าเราบอกอะไรได้ เราจะโทรฯไปบอก” ติ๊กพูดขึ้นเมื่อหมูเล่าเรื่องจบ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เตรียมบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของหมู
หมูบอกหมายเลขโทรศัพท์ไป รู้สึกเหมือนกันว่ามีบางอย่างผิดปรกติ แต่ก็คิดไม่ออก
“พอดีเรามีธุระ ขอตัวก่อนนะ” พูดจบติ๊กก็ลุกเดินออกไปทันที แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังด้านประตูรั้วโรงเรียนสาธิต
เมื่อติ๊กลับสายตาไปแล้ว หมูจึงนึกขึ้นได้ถึงสิ่งผิดปรกติ
ทำไมติ๊กพูดว่า ... ถ้าบอกอะไรได้จะโทรฯมาบอก ... หมายความว่าติ๊กรู้เรื่องอะไรบางอย่างอยู่แล้ว แต่บอกไม่ได้ การที่จะบอกเรื่องอะไรให้หมูรู้จะต้องไปถามคนบางคนเสียก่อนหรือเปล่า
ถ้าใช่ ... คนคนนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากน้ำหยด
“โธ่เว๊ย !!!” หมูสบถเบาๆ เมื่อรู้ว่าพลาดโอกาสที่ดีไปเสียแล้ว
“สวัสดีครับคุณติ๊ก มาเยี่ยมคุณน้ำหยดเหรอครับ” เสียงทักทายมาจากป้อมยาม เมื่อติ๊กชะโงกหน้าเข้าไปหา
“ครับลุง อยู่กันรึเปล่าครับ” ติ๊กยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี
“อยู่สิครับ เชิญเลยครับเดี๋ยวผมเปิดประตูให้” พูดจบก็เอื้อมมือไปกดสวิชต์ ให้ระบบเลื่อนไฟฟ้าทำงาน บานประตูรั้วก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออกช้าๆ
“ขอบคุณครับลุง”
ติ๊กเดินกลับไปที่รถ ในขณะที่ประตูค่อยๆเลื่อนเปิด แล้วขับรถเข้าไปที่บริเวณบ้านที่อยู่ริมบึงน้ำขนาดย่อมทางด้านขวาของพื้นที่ขนาดใหญ่ภายในรั้วบ้าน ติ๊กดับเครื่องรถยนต์ ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในบ้านขนาดย่อม โดยไม่ลืมใช้กุญแจไฟฟ้าลอคประตูรถให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อเปิดประตูเลื่อนเข้าไปด้วยความคุ้นเคย ก็มีเสียงทักมาจากโซฟารับแขก
“อ้าวติ๊ก ว่างเหรอ” น้ำหยดลุกขึ้นมาจากโซฟา เดินเข้าไปหาติ๊ก “ดีจังมีคนกินข้าวเย็นเพิ่มขึ้นอีกคน วันนี้คุณน้าไปงานเลี้ยงกันทั้งคู่ เราอยู่กับพี่เค้าสองคน”
“งั้นก็ดีดิ๊ ประหยัดค่าอาหารไปอีกมื้อ จริงมั๊ยครับพี่ต้น ” ติ๊กหันไปถามอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา กำลังมองมาทางติ๊กด้วยรอยยิ้ม