ตอนที่ ๒๔
หมูเหลียวมองไปยังเก้าอี้เลคเชอร์ที่ว่างเปล่า ในกลุ่มเด็กคณะมนุษยศาสตร์กลุ่มนั้นอยู่บ่อยครั้ง แต่มันก็ว่างเปล่ามาตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น จนหมดคาบการเรียนวิชานั้น
“มึงมองหาพี่น้ำเหรอ” ต้อยถาม ขณะที่กำลังลุกจากเก้าอี้
“เออ”
“สงสัยแฮงค์มั๊ง นั่งกินเหล้ากับเพื่อนซะดึกขนาดนั้น”
“มึงรู้ได้ไง”
“ก็...” ต้อยอ้อมแอ้มตอบ “เมื่อคืนกูเจอ เลยเดินไปส่งพี่เค้าที่หอ แล้วมีรุ่นพี่คนนึงพากลับไปที่ห้อง”
“แค่พากลับห้องแน่เร๊อ.......” ชมพู่ลากเสียงยาว
หมูขมวดคิ้ว เดินออกจากกลุ่มไปด้วยความรวดเร็ว ต้อยกับอ้วนหันไปมองหน้าชมพู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ แล้วเดินตามหมูไป ทิ้งให้ชมพู่หงุดหงิดอยู่คนเดียว
.................................................................
..............................
น้ำหยดดูจะเป็นคนนิสัยเรียบง่าย ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร เพื่อนว่าอะไรก็ว่าตามกัน และดูเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่บางครั้ง น้ำหยดมักจมอยู่ในความคิด ซึ่งเพื่อนๆไม่ค่อยได้เห็นนัก เหมือนอย่างตอนนี้
น้ำหยดตื่นสาย ... สายจนไม่สามารถเข้าเรียนในคาบวิชาแรกได้ทัน หลังกินข้าวเช้าแล้ว ก็เดินเรื่อยๆมาถึงตึกคณะมนุษยศาสตร์ ม้าหินใต้ต้นกระถินณรงค์ตัวที่น้ำหยดชอบนั่ง ยังไม่มีคนมาจับจอง น้ำหยดจึงเดินไปนั่งลงยังม้าหินที่คุ้นเคย แล้วเริ่มคิด
น้ำหยดคิดถึงเรื่องของหมู... เพื่อนรุ่นน้อง
น้ำหยดตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่หมูทักทายเขาในห้องพักผ่อนของหอพัก ระหว่างที่เขานั่งรอเพื่อนๆที่นัดกันไว้ จากนั้นเขาเจอหมูบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนเช้าก่อนออกจากหอพัก ซึ่งหมูมักให้ซ้อนท้ายรถจักรยาน ไปกินข้าวเช้าพร้อมกันที่โรงอาหาร สองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น จนรู้ว่าใครเรียนวันไหน เวลาไหน ที่ตึกคณะไหน แล้วหมูก็ทำหน้าที่รับ-ส่ง จนหลายครั้งที่น้ำหยดรู้สึกเกรงใจ และเพื่อนๆเริ่มล้อเลียน
หมูเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ... ใช่ ... น้ำหยดยอมรับ แต่ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะขี้เหร่ ถึงจะไม่หล่อชนิดที่เรียกว่าหล่อลากดิน ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทตี๋อินเตอร์ หรือแม้กระทั่ง ดาร์ค-ทอลแอนด์แฮนซัมก็ตาม กระนั้นน้ำหยดออกจะภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย ถึงแม้เขาจะไม่เคยบอกกับเพื่อนๆในวิทยาเขตนี้เลยว่า เขาเป็นเดือนคณะ และเป็นเดือนของชั้นปี๑ในวิทยาเขตที่เขาย้ายมา ... ถึงแมัจะเป็นวิทยาเขตเล็กๆก็ตาม
ที่น้ำหยดรู้สึกก็เพียงแต่ว่า ... หมูเป็นเพื่อนที่ดี ... เป็นแบบนั้นจนถึงวันรับน้องของมหาวิทยาลัย
คืนนั้นเอง ที่หมูก้าวข้ามผ่านความเป็นเพื่อน มาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งน้ำหยดยังไม่อยากให้คำนิยามของความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองว่า แฟน คนรัก หรือแม้กระทั่ง เซกซ์เฟรนด์
ครั้งแรกของความสัมพันธ์ น้ำหยดตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ถ้าคืนนั้นไม่ได้เมา ตัวเองจะขัดขืนหรือคล้อยตาม แต่ครั้งที่สอง น้ำหยดมีสติ มีเรี่ยวแรง ถึงจะขัดขืนและหวาดกลัวอยู่บ้างในตอนที่หมูเริ่ม แต่สุดท้ายก็อดหวั่นไหวไปกับสัมผัสอันอ่อนโยนของหมูไม่ได้ และยังมีความสุขไปด้วยในท้ายที่สุด ความสัมพันธ์ที่ไม่ควรจะสานต่อ แต่น้ำหยดกลับปล่อยให้มันเกิดขึ้น และยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง
แววตาของหมู ทำให้คำพูดที่คิดจะปฏิเสธถูกกลืนหายไป
สัมผัสจากมือของหมู ทำให้ร่างกายของเขาตื่นตัว พร้อมจะรับสัมผัสต่อมา
สัมผัสจากริมฝีปาก ยิ่งทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
หมูแสดงออกถึงความต้องการ ...
และน้ำหยดแสดงออกถึงการยอมรับ ... อย่างไม่อาจหักห้ามตัวเองได้
หมูอ่อนโยน ... แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรุนแรงของสัมผัส
หมูกระหาย ... แต่ไม่บีบบังคับหรือเร่งร้อน
หมูกระทำอย่างแผ่วเบา ... แต่หนักแน่นในความรู้สึก
หมูโหมกระหน่ำ ... แต่ยังรู้สึกว่าเขาทะนุถนอม
น้ำหยดถึงกับยอมรับว่า สัมผัสของหมูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับตัวเองไปเสียแล้ว
เหมือนกับสัมผัสผู้มาเยือนยามวิกาลที่น้ำหยดไม่รู้ว่าเป็นใคร สิ่งเดียวที่รู้คือ เป็นรุ่นพี่ชั้นปีที่๔ คณะศึกษาศาสตร์ เอกพละศึกษา แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองกลุ่มนักศึกษาเอกวิชาพละศึกษาอย่างตรงๆ เมื่อได้เจอตามบริเวณต่างๆของมหาวิทยาลัย
น้ำหยดไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นมีหน้าตาอย่างไร สูง ต่ำ ดำ ขาว เพราะทุกครั้งเห็นเพียงเงาลางๆในความมืด
ไม่รู้เลยว่า เข้ามาและออกไปจากห้องตอนไหน และอย่างไร
รู้แต่ว่า ... สัมผัสของเขาช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
กับหมู ที่พบกันเกือบทุกวัน เห็นหน้ากัน คุยกัน ยิ้มให้กัน หยอกล้อกลั่นแกล้งกัน โกรธกันบ้างเป็นบางเวลา ไปไหนมาไหนด้วยกัน มองเห็นและสัมผัสได้ถึงตัวตนของกันและกัน และรับรู้ถึงกลิ่นอายของร่างกายอีกฝ่ายหนึ่ง แทบจะทุกตารางของร่างกายที่สามารถแตะตัองสัมผัสกันได้
แต่น่าแปลก ... ที่ต่างก็ไม่เคยพูดกันเลยสักครั้ง ว่าอยู่ในฐานะใดในความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งกันแน่
สำหรับหมู ... น้ำหยดไม่รู้ว่าทำไม
แต่สำหรับตัวน้ำหยด ... มันเป็นความสับสน โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ หลังจากที่คนคนนั้นห่างหายไปนาน น้ำหยดยิ่งมั่นใจว่า
... เขาคิดถึงรุ่นพี่คนนั้นมากกว่าหมู ...
และยิ่งกว่านั้น ... เขารู้สึกผิดต่อหมู
จนต้องแสดงออกด้วยท่าทาง ที่เหมือนไม่ใส่ใจตัวหมูเลยในบางครั้ง หรืออาจจะบ่อยครั้งเสียด้วยซ้ำ