สองหนุ่มไปถึงสถานที่ลอยโคมทันเวลาที่ผู้คนเริ่มปล่อยโคมกันพอดี เด็กหนุ่มรีบซื้อโคมมา จากนั้นสองหนุ่มก็ย่อตัวลงนั่งเพื่อจุดโคม ในบริเวณนั้นมีผู้คนหนาแน่น ไม่มีไฟเปิดไว้ หากมีแสงจากเทียนเล็กๆ ละลานตาไปหมด คนที่จะลอยโคมมากันเป็นกลุ่มๆ มีตากล้องเพียบ รอบๆ ตัวพวกเขาก็กำลังวุ่นอยู่กับการจุดไฟในโคมกัน
“จับไว้คนละข้างนะพี่วิน”
“โห ลอยแล้วๆ”
“เดี๋ยวรออีกแป๊บค่อยปล่อย ใจเย็นๆ นะพี่” ภูพิงค์อมยิ้ม “ขอพรกันก่อน แล้วค่อยปล่อยมือพร้อมกันเนอะ”
“โอเค” รวินท์รีบหลับตาลง แล้วขมวดคิ้ว จะว่าไปสิ่งที่อยากขอก็มีเยอะจริงๆ แต่ที่ตอนนี้นึกออกและอยากได้มากที่สุดก็คือ... ถ้าได้มาลอยโคมด้วยกันแบบนี้ทุกปีก็คงดี อยากให้ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็ประสานสายตากับเด็กหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองมาทางตน “ไม่ขอของตัวเองล่ะ”
“ขอเสร็จแล้ว แต่เห็นพี่ท่าทางเครียด ท่าจะมีเรื่องขอเยอะ ผมว่าปล่อยบอลลูนน่าจะดีกว่า”
“โห ผมขอไปแค่นิดเดียวเว้ย”
“จริงอะ ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ แล้วพี่ขออะไรอ่ะ”
ทันตแพทย์หนุ่มเสตาหลบ “ไม่รู้ ลืมไปแล้ว”
“โห ยังไม่แก่เท่าไหร่เลย ขี้หลงขี้ลืมซะแล้ว ผมเป็นใครจำได้มั้ยเนี่ย”
“จำไม่ได้ คุณเป็นใครวะ”
“พี่วินแม่งกวนตีน” เด็กหนุ่มหัวเราะ “แล้ว... ไม่ถามผมบ้างอ่อ”
“เออ ถาม”
“กวนตีนอีกแล้วว่ะ”
รวินท์ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ “ถามก็ได้ คุณขออะไรล่ะ”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาเชื่อมแสงเมื่อสบประสานกับคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน “ขอให้ที่พี่วินขอเป็นจริง”
หัวใจของทันตแพทย์หนุ่มราวกับหยุดเต้นไปชั่วครู่ เขาเสตาหลบ พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วจึงพูดออกไป “จะปล่อยได้ยัง”
“เอานะ หนึ่ง สอง สาม!”
โคมไฟสีขาวนวลค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ปะปนกับโคมไฟอีกนับร้อย เป็นภาพที่สวยงามจนรวินท์แหงนมองอยู่นาน จนกระทั่งโคมของเขากับเด็กหนุ่มลับหายไปจากสายตา
“ลืมถ่ายรูปไปเลยแฮะ มัวแต่ตื่นเต้น”
“ถ่ายของคนอื่นละกัน หรือไม่ก็ไว้ถ่ายปีหน้า”
รวินท์หันขวับไปสบสายตากับคนพูด จากนั้นจึงยิ้มแล้วพยักหน้า “อือ”
“อืออันไหน อันหน้าหรืออันหลัง”
“อือ ก็คือ อือ ไง”
“มาๆ เอามือถือพี่มา ผมถ่ายให้” รูปแรกๆ ภูพิงค์ก็ถ่ายให้ทันตแพทย์หนุ่มโดยมีโคมยี่เป็งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นแบ็กกราวน์ แล้วไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นดึงอีกฝ่ายเข้ามาเซลฟี่กับตัวเองซะงั้น “เดี๋ยวพี่ส่งรูปให้ผมด้วยนะ”
“ได้ แต่เอามือถือคุณขึ้นมาถ่ายด้วยดิ เผื่อไว้”
“โอเคๆ”
ถ่ายรูปกันไปพักใหญ่ ผู้คนชักจะเดินเข้ามาเบียดกันมากขึ้น เด็กหนุ่มจึงก้าวเข้าไปใช้ไหล่กระแซะ จากนั้นจึงยกแขนขึ้นโอบเอวทันตแพทย์หนุ่มไว้ “ออกไปจากที่นี่กันก่อนเหอะ ทำไมอยู่ๆ คนเยอะจังวะ”
“ตรงนั้นเสียงดังๆ สงสัยจะมีอะไร”
คนอ่อนวัยกว่าปล่อยมือออกจากเอวแล้วจับมือรวินท์ไว้แทน “จับผมไว้แน่นๆ จะได้ไม่โดนคนเบียดหาย”
“ไม่อายเขารึไง จูงกันเป็นพ่อลูกไปได้”
“คนเยอะแบบนี้ ใครจะมาสังเกต” เด็กหนุ่มหันไปตอบ “แล้วอีกอย่าง จูงแบบนี้เขาไม่เรียกพ่อลูกเว้ย เพราะพี่ยังไม่แก่ขนาดนั้น”
ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย ปล่อยให้เด็กหนุ่มจูงเขาเดินไปเรื่อยๆ จนใกล้จะพ้นจากบริเวณลอยโคม
ขณะที่สาวเท้าตามคนอ่อนวัยกว่าอยู่นั้น แวบหนึ่งรวินท์หันไปเห็นใบหน้าคุ้นเคยของใครบางคน เขาหยุดกึก กระตุกเมือเด็กหนุ่มไว้แล้วหันมองไปทางนั้น
“มีอะไรเหรอพี่”
“ผมว่าผมเห็นไอ้เต... อ้าว หายไปไหนแล้ววะ” ทันตแพทย์หนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ
“เห็นใครพี่”
“สวัสดีค่า อุ๊ยตาย เจอหนุ่มหล่อสองคนล่ะ”
เสียงทักนั้นทำให้รวินท์รีบสะบัดมือเด็กหนุ่มออก หญิงสาวที่กำลังถือไมโครโฟนเดินตรงเข้ามาทางที่เขากับภูพิงค์ยืนอยู่พร้อมกับตากล้องด้วย เธอใส่ชุดพื้นเมือง นุ่งผ้าซิ่น ผิวขาวจั๊วะ และที่สำคัญ หน้าอกหน้าใจใหญ่ราวกับแตงโม
แต่เขาคิดว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน...
“มาลอยโคมกันสองคนเหรอคะ”
ขณะที่รวินท์กำลังครุ่นคิด คนอ่อนวัยกว่าชำเลืองมองไปทางเขา ก่อนจะตอบไป
“ครับ เพื่อนผมไม่เคยลอยโคม เลยพามา”
“เอ๊ะ คุ้นๆ คุณใช่คนที่ตีกลองสะบัดชัยของคณะวิศวะรึเปล่านะ”
“อ่า ใช่ครับ”
“ว้าย ไม่น่าเชื่อเลย ได้เจอตัวจริงด้วย” เธอโผเข้ากอดแขนเด็กหนุ่มทันที
ภูพิงค์ชะงัก ก้มลงมองหน้าอกที่เข้ามาเสียดสี จากนั้นก็หน้าแดงแปร๊ด “เอ่อ...”
ท่าทางของคนอ่อนวัยกว่าเป็นผลให้รวินท์ต้องนึกย้อนไปถึงคำพูดของซันและเตชิตทันที
...พิงค์ชอบผู้หญิงเซ็กซี่ หน้าอกใหญ่ๆ ดูท่าจะจริง
เขากับภูพิงค์เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้อยู่แล้ว เขาควรจะท่องไว้ให้ขึ้นใจ อย่าเพลินไปกับการจิ้นของคนอื่นๆ และคิดเป็นจริงเป็นจังอีก
ทันตแพทย์หนุ่มหลุบสายตามองต่ำ ความรู้สึกหน่วงๆ ในอกเช่นนี้ มันเป็นเพราะอะไร เขาก็รู้ตัวดี
รวินท์เบี่ยงตัวหลบ สาวเท้าฉับๆ ออกจากที่ตรงนั้น ปล่อยให้เด็กหนุ่มถูกจับไปสัมภาษณ์อีกรอบตามลำพัง
เพียงครู่เดียวหลังจากที่เดินออกมา โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ทว่าพอหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นเตชิตโทรมา หัวใจก็กระตุกวูบ เขาจึงรีบกดตัดสายไป แล้วปิดโทรศัพท์มือถือไปเสีย
“พี่วิน!”
เจ้าของชื่อเรียกเงยหน้าขึ้น “มีอะไร” จากนั้นก็ชะงัก เพราะสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มหอบเล็กน้อย ดูท่าจะรีบวิ่งตามเขามา
“ทำไมจู่ๆ ก็เดินออกมาวะพี่ ผมตกใจหมดเลย”
“......”
“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เผื่อพี่จะรู้สึกดีขึ้นนะ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“วันนี้พี่แปลกๆ อะ”
รวินท์ประสานสายตากับเด็กหนุ่ม คำพูดดูเหมือนจะจุกอยู่ในลำคอ เขาพูดอะไรไม่ออกเลย
ภูพิงค์รวบจับมือทันตแพทย์หนุ่มไว้อีกครั้ง พร้อมกับพาเดินออกไป โดยที่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก จนกระทั่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปถึงร้านข้าวต้มนั่นล่ะ เด็กหนุ่มสั่งกับข้าวมากินกับข้าวต้มรัวๆ สั่งเยอะเสียจนคนที่นั่งด้วยกันต้องรีบห้าม
“นี่คุณจะกินยันเช้าเลยรึไง”
“ก็เห็นพี่วินหิว กินเยอะๆ จะได้อารมณ์ดี กินเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยง แค่นี้ผมเลี้ยงไหว”
“ไม่ต้องเว้ย พอแล้ว สั่งแค่นี้พอ”
หลังจากสั่งอาหารไป สองหนุ่มก็นั่งเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง
รวินท์ถอนหายใจหนักๆ ออกมาเป็นระยะๆ
คนอ่อนวัยกว่าชำเลืองมอง ก่อนจะเคลื่อนมือที่อยู่ใต้โต๊ะไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ “ถ้าพี่มีเรื่องไม่สบายใจ ผมเป็นผู้รับฟังที่ดีได้นะ”
“.....”
“ผมเป็นห่วงพี่นะ ไม่เคยเห็นพี่เป็นอย่างวันนี้เลยอ่ะ”
ทันตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้น “ขอบใจ... แล้วก็ขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศ”
“ไม่เสียหรอกน่ะ คิดมาก”
เมื่อพนักงานในร้านนำจานชามอาหารมาเสิร์ฟให้จนเต็มโต๊ะ ภูพิงค์จึงบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ แล้วชวนให้กินกันก่อน “กินก่อนนะ ร้านนี้ช่วงใกล้สอบพวกผมมากินบ่อยมาก เพราะต้องอ่านหนังสือโต้รุ่ง นี่ๆ ชิมๆ” เด็กหนุ่มพูดพลางตักใส่ชามข้าวต้มให้อีกฝ่ายลอง
รวินท์ตักใส่ปากแล้วยิ้มบาง “อือ อร่อย”
“กินเยอะๆ เลยนะพี่”
เมื่ออิ่มท้องก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างที่เด็กหนุ่มว่า รวินท์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาชำเลืองมองอีกฝ่ายซึ่งเพิ่งจะกินเสร็จเช่นกัน
“สั่งอีกมั้ยพี่”
“ไม่เอาแล้ว อิ่มท้องจะแตก”
ภูพิงค์ส่ายหน้าไปมา “ขนาดบ่นว่าเยอะฉิบหายยังฟาดเรียบ สมกับเป็นพี่วินจริงๆ ว่ะ”
ภายในร้านข้าวต้มมีโทรทัศน์เปิดทิ้งไว้ให้ลูกค้าดูด้วย สักพักก็มีรายงานข่าวคั่นรายการเข้ามา เสียงของหญิงสาวนักข่าวเรียกให้รวินท์หันขวับไปทางต้นเสียง เธอคือผู้หญิงคนที่มาสัมภาษณ์ภูพิงค์เมื่อครู่ แต่เธอโผล่มารายงานข่าวแค่แป๊บเดียวเท่านั้น
“ไม่เห็นมีที่ถ่ายกับคุณเลยว่ะ”
“พูดแค่สองสามคำเขาคงไม่เอาไปออกทีวีให้เปลืองเวลาหรอกพี่ อีกอย่าง... ผมมัวแต่...”
รวินท์เห็นท่าทางอึกอักของเด็กหนุ่มแล้วหัวร้อน แต่ก็ยังรักษาสีหน้าให้คงเดิม “ทำไม มัวแต่เขินรึไง”
“เขินอะไรวะ ผม...มัวแต่ห่วงพี่นั่นแหละ จู่ๆ ก็เดินหนีไป ผมก็เลยรีบวิ่งตามอะดิ ตกใจหมดเลย”
“...ตกใจทำไม”
“แล้ว... พี่เดินหนีไปทำไมล่ะ”
รวินท์ขมวดคิ้ว แล้วโกหกออกไป “เห็นคนหน้าคุ้นๆ เลยเดินไปดู”
“งั้นเหรอ...” คนอ่อนวัยกว่าทอดถอนใจ “ค่อยยังชั่ว ผมนึกว่าทำอะไรให้พี่โกรธซะอีก”
ทันตแพทย์หนุ่มเม้มปากอยู่ชั่วครู่ คล้ายกำลังชั่งใจ เขาเบือนหน้าหนีก่อนจะพูดขึ้น “จะว่าไป นักข่าวคนนั้น...”
“ทำไมเหรอ”
“ตัวเล็ก สวย อกใหญ่ด้วย แบบที่คุณชอบเลยนี่นะ”
ภูพิงค์สะดุ้งโหยง “เฮ้ย! ไปเอามาจากไหนวะพี่!”
“เพื่อนคุณบอก”
“ไอ้เหี้ยซันเหรอ!”
“ไม่ต้องทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผีก็ได้เว้ย มันก็เรื่องปกติของผู้ชายไม่ใช่รึไง”
เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง เขาถอนหายใจหนักๆ อีกหลายๆ รอบ ก่อนจะพูดเสียงเบา “อือ ก็คงงั้นมั้ง”
คำพูดนั้นทำให้รวินท์ต้องหันหน้ากลับไปหาอีกฝ่าย แล้วสายตาของพวกเขาก็ประสานกัน หากไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
*TBC*วรั้ยยยย~ งี้แหละฟามรัก มันก็มีหวานๆ ขมๆ ปะปนกันไปนะพี่หมอน้องพิงค์ อิอิ
ต่างคนต่างก็มีใจให้กันแหละเนอะ แต่มันติดตรงคำว่า พี่น้อง เพื่อนและผู้ชาย น่ะจิ๊
ให้เวลาสองหนุ่มสับสนนิดนึงละกันนะคะ 
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ จุ๊ฟฟฟ 