ปรัชญาช่างกล ฯ ภาค ต้นสน - ภาคี
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาช่างกล ฯ ภาค ต้นสน - ภาคี  (อ่าน 180828 ครั้ง)

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:



ลุงสิงห์



ยังไม่มาต่ออีกเหรอ

singsayam

  • บุคคลทั่วไป

ร่างโปร่งบางเดินเข้าบ้าน ที่อยู่ถัดออกไปอีกหลายซอย จากที่ชายหนุ่มจากแผนกโยธามาส่ง

เขาไม่อาจจะทนเห็นหน้าคนคนนั้นได้อีกต่อไป

ทั้งอัปยศทั้งสมเพชตัวเอง

“น้าต้นสน....แม่ยังไม่กลับเลยอ่ะ...สายังไม่ได้กินข้าวเลย” เด็กหญิงอายุตัวเล็ก เดินเข้ามาเกาะขา
ของร่างบางนั้นไว้

นี่น้องสาวของเขาไปเที่ยวกลางคืนอีกแล้วหรือนี่
ทิ้งลูกไว้แบบนี้ได้ยังไง เด็กอายุแค่ 6 ขวบเองนะ
ทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพังคนเดียวได้ยังไงกัน

บ้านนี้เขาอยู่กับน้องสาวที่เอาแต่เที่ยวเล่น ไม่เคยสนใจ เรื่องรอบตัว
หล่อนเป็นเด็กสาวอายุเพียง 19 ปี แต่ตั้งครรภ์เมื่ออายุเพียง 13 ปี
ทำให้ไม่มีความรับผิดชอบ
แม่ของเขาเพิ่งเสียไปเมื่อปีก่อน
ทิ้งบ้านหลังเล็ก ๆ ไว้ให้เขาและน้องสาวได้อยู่
ไม่มีสมบัติพัสถานอื่น ๆ นอกจากสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น

“น้าต้นสน...หนูอยากกินไข่เจียวอ่ะ..น้าต้นสนทำให้หนูได้มั้ย” เด็กหญิงร่างเล็กร้องขอตาแป๋ว
แล้วเขาจะไม่ทำให้ได้ยังไงกัน

“กินข้าวเสร็จแล้วสาต้องอาบน้ำ...แล้วนอนเลยนะ...” เขาก็ทำได้แค่นี้
คนที่ไม่เคยมีความรู้ในการเลี้ยงเด็กเลย แต่ต้องมาแบกรับภาระจนหมดทุกอย่าง
ทั้งค่ากิน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
โชคดีที่พอมีเงินเก็บสำหรับเป็นค่าเทอมบ้าง
ส่วนค่าเล่าเรียนของเด็กหญิง เขาก็ต้องขวนขวายหามาจากการเป็นพนักงานกะดึก
ของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง

“จ๊ะ...หนูกินแล้วหนูจะรีบนอน” เด็กหญิงตัวเล็กเดินเข้าไปรอบนเก้าอี้ในครัว
ดวงตากลมโตใสแจ๋วจับจ้องอยู่กับการตีไข่และทอดลงในกระทะร้อน ๆ
ของผู้ที่เป็นน้าชาย

“น้าต้นสน....เมื่อไหร่แม่จะกลับมา” เสียงแหลมเล็กของเด็กหญิงเอ่ยถามผู้เป็นน้า
และยกช้อนตักข้าวใส่ปากพร้อมกับไข่เจียว เมื่ออัษฏานำมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ


“น้าต้นสนก็ไม่รู้...เดี๋ยวสากินเสร็จแล้วเอาไว้นี่แหละ...เดี๋ยวน้าต้นสนไปอาบน้ำก่อนนะ”
ร่างโปร่งบาง เดินเข้าห้องเตรียมตัวอาบน้ำ
ก่อนจะก้าวไปยืนที่หน้ากระจก
เอ๊ะ...เสื้อไม่ใช่เสื้อชอร์ปของเขานี่
เป็นของหนุ่มจากแผนกโยธาคนนั้น

ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อก็พบกับ

กระดาษแผ่นเล็ก ๆ

บัตรเอทีเอ็มสองใบ
และเงินสดที่ขยำยู่ยี่อีก 7,000 บาท
เศษเงินเหรียญและแบงค์ย่อยอีก
เกือบ 300 บาท

ที่คอของเขายังมีสร้อยและพระเลี่ยมทองอีก 1 องค์
กระเป๋าข้างซ้ายมีโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็ก ๆ รุ่นล่าสุด
ที่ถูกถอดซิมออกแล้ว
ของทุกอย่างไม่ใช่ของเขาเลย
แต่เป็นของหมอนั่น

ร่างโปร่งบางรีบ แกะกระดาษแผ่นที่มีลายมือขยุกขยิกเขียนไว้

-----ให้สนหมดนั่นแหละ
รหัสบัตรเอทีเอ็มคือ 1234 ส่วนอีกใบคือ 2641
มีเงินอยู่ประมาณ 32,000 บาท
ส่วนโทรศัพท์ใส่ซิมแล้วก็ใช้ได้เลย
พระเอาเก็บไว้คุ้มครองตัวเอง อย่าขายนะ ----

มือเล็ก ๆ พลิกกลับไปกลับมาหลายตลบ
แต่ก็ไม่พบว่ามีข้อความอื่น ๆ

นี่มันทำบ้าอะไรของมัน
เอาของพวกนี้มาฟาดหัว เห็นเขาเป็นไอ้ตัวหรือไง

ชาตินี้ไม่อยากเจอคน ๆ นี้อีก
แต่ต้องเอาของพวกนี้กลับไปคืนหมอนั่นให้ได้
ไอ้แผนกโยธา นึกหรือไงว่าของพวกนี้จะทำให้เขาดีใจ
แล้วลืมเรื่องเลว ๆ ของมันซะ
ตอนแรกก็ไม่อยากให้อะไรมันไปกันใหญ่ อยากจะรีบ ๆ ลืม ๆ มันซะ
แต่ทำไมต้องดูถูกกันขนาดนี้ด้วย ทำไมกัน

*************************
“เมื่อกี้ลงตรงนี้นี่หว่า...แล้วไปไหนแล้ววะ...ตรงนี้มันมีซอยที่ไหนกัน” ร่างสูงของหนุ่มแผนกโยธา
เดินวนไปวนมา อยู่ตรงที่ ๆ ที่เขาส่งร่างบางลงจากรถ

นั่งรถไปตั้งไกลแล้ว ในสมองก็สั่งตัวเองว่า
ครั้งเดียวจบดีกว่า ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว
แต่ใจมันสั่งว่า กลับมาดูหน่อยก็ไม่เสียหาย
หน้ามันซีดขนาดนั้น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าแล้งน้ำใจ


เขาเองก็คิดว่าข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองที่ให้ไปมันก็ไม่ใช่น้อยหรอก
ถึงแม้มันไม่ได้มากมายสำหรับเขา แต่ก็ทำให้ความรู้สึกผิดของตัวเอง
ลดลงไปได้บ้างนิดหนึ่ง

ป่านนี้กลับถึงบ้านแล้วมั้ง
ไออุ่นที่ได้กกกอดยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำทุกขณะจิต
เขาเดินวนไปมาอีกหลายรอบ
ก่อนจะรู้แน่แล้วว่าคงไม่รู้ว่าร่างบางนั้นไปทางไหนแน่
จึงโบกแท็กซี่กลับบ้าน

คืนนั้นทั้งคืนเขาเอาแต่พลิกกายกลับไปกลับมาอยู่หลายตลบ
รู้สึกไม่สบายใจมากที่ทำแบบนั้นลงไป
ยิ่งไอ้สนแผนกสารพัดช่าง มันไม่เอาเรื่องไม่โวยวายก็ยิ่งรู้สึกผิด

เสื้อชอร์ปของแผนกสารพัดช่างของอัษฎา ถูกเขาเอามาคลุมหน้าไว้
ชายหนุ่มสูบบุหรี่ไปหมดทั้งซอง และ กำลังจะหมดซองที่สองจึงเข้ามานอน
แต่มันก็นอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าไอ้หน้าหวาน ๆ เปื้อนน้ำตา มันจะตามมาหลอกมาหลอนเขาไปถึงไหน
ผู้ชายเหมือนกัน แถมลีลาก็ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด
แค่โดนทำไปครั้งแรกแค่นั้นเอง
เขาเองก็เอาแต่บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า อย่าไปสนใจเลย
ครั้งเดียวแล้วก็จบ อย่าไปต่อความมากดีกว่า
มันไม่ทำให้ไอ้กระเทยหน้าหวานนั่นสึกหรออะไรสักเท่าไหร่หรอกน่ะ
แต่เขาก็หลับตาลงไม่ได้สักที
พลิกกายไปมาอยู่อย่างนั้นทั้งคืน

***************************

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
 ปะก้นลุงสิงห์  อะไรครั้งเดียวก็ลังเลแล้วหรือ  o12

มารอตอนต่อไปดีกว่า รักนะลุงสิงห์  :L2: :bye2:

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8


พลิกกายไปมา มันช่วยมั๊ย   :m12:


ลุงสู้ๆ  :L2:

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3

ออฟไลน์ →Yakuza★

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-0
ภาคี~ เป็นเอามาก

ต้นสนน่าสงสารจัง  :กอด1:


nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
 o9 o9


อยากอ่านต้นสน

ต่ออ่ะลุงสิงห์

มารอตอนต่อไป :m13:

palpouverny

  • บุคคลทั่วไป
ไม่มาต่อสักตอนสองตอน
หรอค้าบบบลุงสิงห์
รักษาสุขภาพด้วยนะค้าบบบบบ

ออฟไลน์ สมุนไพร

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1581
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-3

singsayam

  • บุคคลทั่วไป

วันนี้อัษฎารีบกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังจะไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อกะดึก

หลังจากเด็กหญิงตัวน้อยหลับแล้ว โดยเขาบังคับให้น้องสาวห้ามออกไปไหนให้ดูแลลูกให้ดี
น้องสาวเขาก็พยักหน้ารับ แต่ไม่รู้จะทำตามหรือเปล่า

เขาเป็นลุงของเด็กหญิงแล้ว
แต่เขาก็ให้หลานเรียกเขาว่าน้าต้นสน น้าต้นสน
ก็ยังไม่อยากเป็นลุงนี่นา เขารู้สึกว่าตัวเองยังเด็กอยู่เลย

เรื่องนั้นผ่านมาเกือบเดือนแล้ว อัษฎาก็ทำเป็นลืม ๆ ไปบ้าง
แต่ที่น่าแปลกก็คือ พักนี้ไม่มีใครมารุ่มร่ามวุ่นวายกับเขาอีก
และดูเหมือนข่าวลือแปลก ๆ ก็จะหายไปด้วย

ร่างบางนั้น ฝากให้เพื่อนนำของหลายอย่างที่ไอ้คนจากแผนกโยธาให้มา
โดยการไปชี้ตัวให้เพื่อนรู้ว่าไอ้หมอนั่นหน้าตาเป็นยังไง
เพราะแม้แต่ชื่อเขาก็ยังไม่รู้จัก

และเขาก็ได้รู้ว่าหมอนั่น ชื่อภาคี อายุมากกว่าเขา ถึงจะเลวโคตรแต่ที่บ้านมีฐานะมาก
พ่อแม่เลี้ยงด้วยเงิน พ่อเป็นนายช่างโยธา แม่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง
มิน่าล่ะ ถึงมีเงินใช้จ่ายขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่ต้องการหรอก
ไม่เคยคิดจะอยากได้เลย อยากจะรีบลืม ๆ มันไปซะ

ไอ้หมอนั่นมันทำหน้างง และพยายามที่จะให้เพื่อนพามาเจอเขาให้ได้
แต่เขาก็กำชับไว้แล้วว่าอย่าให้เจอได้เด็ดขาด

หลังจากนั้นก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว เขายังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป
โดยพอจะรู้บ้างว่า ไอ้คนจากแผนกโยธามันเที่ยวไล่ตามเขาให้ควั่ก
แต่เขาก็หลบหลีกได้พ้นทุกที
และได้เห็นมันโมโหด้วยความหงุดหงิดหลายครั้ง

มันจะมาตามอะไรเขานักหนา หน้าอย่างมันคงหาสาวได้อีกเป็นโหล ๆ เขาไม่ได้พิศวาสผู้ชายด้วยกันสักนิดเลย

***********************
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ” อัษฎาง่วนอยู่กับการคิดเงินหน้าเคาเตอร์จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครมายืนอยู่ตรงหน้า

“ไม่ครับ...ผมซื้อบุหรี่หนึ่งซอง” ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าหวานไม่วางตา
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เขาเอาแต่เวียนวน ตามหา
แค่คิดว่าขอเจอหน้าสักแว่บก็ยังดี แต่ก็พลาดโอกาสไปหลายครั้ง
แถมอัษฎาเป็นเด็กภาคบ่ายอีก
เลยสวนกันไปสวนกันมาตลอด
ของที่ให้ไปก็ถูกส่งกลับมาจนหมด ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นอีก

“ได้แล้วครับบุหรี่...นี่ครับเงินทอน...อ๊ะ” ร่างโปร่งบางแทบผงะ
เมื่อเห็นร่างสูงตรงหน้า
ทั้งที่พยายามจะลืมหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยลืมได้สักที

ภาคียืนนิ่ง แล้วก็ก้าวออกจากร้านสะดวกซื้อไปเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ทั้งที่คิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่อัษฎาก็คาดผิดไปถนัด
ชายหนุ่มไม่ได้รบกวนการทำงานเขา เพียงแต่มองหน้าเขาแว่บเดียวแล้วก็เดินออกไปเงียบ ๆ

คงจะจำเขาไม่ได้แล้วด้วยซ้ำไป แต่เขาน่ะ ไม่เคยลืมเลยทุกขณะจิต ไม่เคยลืมคนที่ทำเรื่องโหดร้ายขนาดนั้นกับเขาเลยสักนาทีเดียว
**********************
“พี่...เดี๋ยวสนกลับก่อนนะพี่..หวัดดีครับ” อัษฎาไหว้ลาคนที่เข้ากะต่อจากเขา เมื่อเกือบรุ่งสาง
เดินออกจากร้านสะดวกซื้อที่มาทำงานอยู่
แต่ก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็พบกับคนที่ยืนอยู่

ต้นสนทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
แต่ภาคีมาดักหน้าไว้
และเอื้อมมาดึงมือเขาให้เดินตาม

“ปล่อยเว้ย....ไม่ใช่ผู้หญิงนะ..มาจับมือถือแขนทำไม” มือเล็ก ๆ สะบัดหนีการเกาะกุม
แต่คนตรงหน้าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จับมือไม่ได้ก็ดึงแขนให้เดินตาม เวลาตี 5 กว่าแบบนี้ไม่มีใครผ่านมาเสียด้วย
เหนื่อยจากการทำงานแล้ว
แล้วยังต้องมาเหนื่อยกับการรบกับไอ้บ้านี่อีก
จะพาไปไหนของมันเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






palpouverny

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

mantdash

  • บุคคลทั่วไป

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
ลุงสิงห์

วันนี้มีอีกรอบไหมคะ

แนนจะได้รอ

มันค้างในอารมณ์อ่ะ

อยากรู้ว่าภาคีจะทำยังงัยต่อ

ออฟไลน์ hipcy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านกี่รอบเรื่องนี้ก็ยังสนุก

น่ารักทั้งคู่เลย

 :m4: :m4:

juuuno99

  • บุคคลทั่วไป
สนุกๆ มาต่ออีกนะคับ

น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ เมฆาสีน้ำเงิน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
และอัษฎากับภาคี ก็มานั่งอยู่ที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งร้านหนึ่ง

ภาคีสั่งนั่นสั่งนี่มาหลายอย่าง
และบอกให้เขากิน ๆ เข้าไป
จะได้รีบกลับบ้าน

ออกจะงงอยู่บ้างแต่ก็กินข้าวไปจนหมดจาน
หนุ่มจากแผนกโยธาไม่พูดอะไรอีก
นั่งเงียบแล้วก็กินข้าวในจานของตัวเองต่อไป
จนหมด

แล้วก็ลากให้เขาลุกขึ้นตาม
จ่ายเงินค่าอาหาร
และเดินมาเป็นเพื่อนเขาที่ปากซอยบ้าน
โดยไม่พูดอะไรสักคำ
จากนั้นก็โบกแท็กซี่กลับบ้าน
ปล่อยให้เขาเดินกลับเข้าบ้านอย่าง งง งง
ที่น่าแปลกไอ้บ้านั่นรู้ได้ไงว่าบ้านเขาอยู่ห่างจากร้านสะดวกซื้อไม่ไกล
และอยู่ซอยนี้

**********************
ถึงไม่ได้เจอกันที่โรงเรียน แต่แค่เจอกันแว่บเดียวตอนที่มาซื้อบุหรี่
และตอนกินข้าวก็ยังดี

ภาคีนิ่งคิดเมื่อขึ้นมานั่งบนรถ เขาตัดสินใจอยู่นานว่าจะเข้าไปหาเลยดีมั้ย
จะพูดอะไรดี

เขาเริ่มยอมรับกับตัวเองได้แล้ว ว่าเขาชอบต้นสน
แต่ไม่รู้จะจีบยังไงดี ตอนแรกก็แค่คิดว่าตัวเองแปลกไป ไม่แน่ใจว่าชอบหรือเปล่า
แต่ที่เขาเอาแต่ตามหาร่างบางอย่างกับคนบ้านั้น
เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี
เขาไม่เคยต้องตามใครมาก่อน
ทั้งที่สุดท้ายก็ได้เจอหน้าแล้ว
แต่เอาเข้าจริง ๆ เขากลับไม่กล้าพูดอะไรซะได้
วันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป เขาต้องมาดักรอต้นสนอีก
บางคืนเขาเอาเสื้อชอร์ปของต้นสนมาห่มนอนด้วย ไม่งั้นเขาคงจะนอนไม่หลับ
ความรู้สึกแบบนี้ ถ้าไม่เรียกว่ารัก ไม่เรียกว่าชอบ จะเรียกว่าอะไร

เรื่องที่ว่าผู้ชายปกติถ้าลองได้รู้จักร่างกายผู้ชายด้วยกัน จะติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น ท่าจะจริง
แต่เขาเป็นกับเฉพาะต้นสนเท่านั้น กับคนอื่นในสถาบัน
แค่คิดก็สยองขวัญแล้ว

***********************
“เฮ่ย...สน..ผู้ชายผิวเข้ม ๆ หน้าหล่อ ๆ อ่ะเพื่อนสนเหรอ...เห็นเข้ามาซื้อบุหรี่เวลานี้ทุกวันเลย”
หญิงสาวที่เข้ากะเดียวกันกับอัษฎาเอ่ยถาม ดวงตาพราวระยับ

“เปล่า....” ร่างบางตอบเสียงเบา

ไอ้ภาคีแผนกโยธา จะเข้ามาซื้อบุหรี่ตอนตี 2 ของทุกวัน และจะลากเขาไปกินข้าวด้วย ตอนตี 5 ครึ่ง
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านทางใครทางมัน
เป็นอย่างนี้มา สามสี่เดือนแล้ว
แต่แทบจะไม่ได้คุยกันเลย
นอกจากคำพูดที่หลุดออกจากมันว่า

“สนกินอะไรดีวันนี้”

โดยที่ไม่รอคำตอบ มันก็สั่งนั่นสั่งนี่มาจนเต็มโต๊ะ
แล้วก็กิน กิน กิน จนหมด
แล้วก็จ่ายตังค์ พอเขาเอาเงินวางให้
มันก็ทำหน้าตาหงุดหงิดใส่
แล้วก็เอาเงินมายัดคืนใส่มือ
ขึ้นแท็กซี่กลับบ้านตอน 6 โมงเช้าทุกวัน
เป็นแบบนี้มาตลอด โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
ช่วงแรก ๆ เขาเกลียดมันมาก ไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้า
มันเองก็คงพอรู้ตัว ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่สั่งกับข้าว
มานั่งกิน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว

จนวันนี้มันผิดสังเกต ทำไมยังไม่มาอีก นี่มันจะตี 3 แล้วนะ
อัษฎารู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา ปกติป่านนี้ต้องโผล่หน้ามา
แล้วก็พูดว่า

“ซื้อบุหรี่หนึ่งซอง” แล้วก็จ่ายเงินแบงค์ร้อยหนึ่งไป แล้วก็เดินออกไปรอเขาที่เก้าอี้
ใต้ต้นไม้ด้านหน้าเพื่อจะไปกินข้าวพร้อมกันนี่นา

แต่วันนี้หายไปไหน วันนี้หายไปไหนกัน
หรือว่าเบื่อแล้ว
เบื่อแล้วแน่ ๆ เลย
ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ
ยิ่งคิดต้นสนก็ยิ่งกระวนกระวายหนักขึ้น
ตาคอยแต่จะเหลือมองที่หน้าประตูร้านอยู่บ่อย ๆ
แต่ไม่มีแม้แต่วี่แวว ของภาคี เลยสักนิดเดียว

*******************

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
“ต้นสน....พี่ว่าต้นสน...พักบ้างเถอะนะ” ภาคี ซึ่งปัจจุบันเป็นนายช่างใหญ่ รับหน้าที่ดูแลงานต่อจากพ่อของตัวเอง

เอ่ยกับอัษฎาที่เตรียมตัวจะไปเฝ้าร้านสะดวกซื้อที่ตัวเองเป็นเจ้าของ สาขาที่สอง

ปีนี้เป็นปีที่ 7 ที่เขาและร่างโปร่งบางได้ใช้ชีวิตด้วยกัน

สมัยที่เรียน
เขาใช้ความพยายามมากมาย กว่าจะจีบต้นสนติด
เพราะช่วงแรกมีข่าวลือแปลก ๆ จนทำให้เขาและต้นสน
ต้องผิดใจกัน
แต่ก็ขอบคุณเรื่องนั้นที่ทำให้เขากับต้นสนได้มาเจอกัน
และก็ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป

ตั้งแต่เรื่องใช้เงินทองฟุ่มเฟือย ไม่เคยสนใจผู้อื่น
มีชีวิตอยู่แต่เพื่อตัวเอง
แต่ต้นสนเป็นคนสอนให้รู้จักความพยายาม กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทต้องลงทุนลงแรงไปมากขนาดไหน

ตอนนี้น้องสา หลานสาวของต้นสน ได้ทุนไปเรียนต่อไฮสคูลที่ต่างประเทศ
น้องสาเป็นคนเรียนเก่ง
และก็มีความพยายามเป็นเลิศ
ส่วนแม่ของสา น้องสาวของต้นสนนั้น
ได้แต่งงานกับชาวอังกฤษและก็รับสาไปเรียนต่อเลย

เหลือก็แต่ต้นสนที่ง่วนอยู่แต่การดูแลร้านสะดวกซื้อสองสาขา
ที่กว่าจะมีได้ขนาดนี้ ก็ต้องใช้ความพยายามและบากบั่นน่าดู

ก่อนหน้าที่ต้นสนจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองนั้น
ก็นานจนเขาไม่ค่อยแน่ใจความรู้สึกของต้นสนเลย
จนวันที่เขาถูกพวกต่างสถาบันแทง แล้วต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่เป็นอาทิตย์
ใจเขาอยากจะไปหาร่างบางที่เห็นหน้ากันทุกวัน
แต่ร่างกายมันไปไม่ได้
ห่างหายกันไปเป็นอาทิตย์
แต่เมื่อเขาออกจากโรงพยาบาล
มาหาต้นสน
วันนั้นเขาถึงได้รู้ว่าต้นสนเองก็มีใจให้กับเขาบ้างแล้ว
เพราะหลังจากที่กินข้าวด้วยกันโดยไม่คุยกันเลยเกือบเดือน
ในวันนั้น
ต้นสนก็ถามเขาว่า หายไปไหนมา
ทำท่าเหมือนจะทะเลาะกัน
เขายังจำประโยคบอกรักบ้า ๆ พวกนั้นได้ดี
ถึงมันจะบ้าดีเดือดไปบ้าง
แต่มันก็ทำให้เขาและต้นสน เริ่มเข้าใจกัน มากขึ้น
และเริ่มเปิดใจให้กันและกัน

“ทำไมจะมาจะไปไม่รู้จักบอก...คิดอยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไปงั้นเหรอ” ต้นสนนั่งหน้างอหงิก
รอมาเกือบสัปดาห์ พยายามจะเจอที่สถาบันก็ไม่รู้ว่าเรียนห้องไหน
และได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับภาคีเลย นอกจากเรียนแผนกโยธา ชื่อภาคีเท่านั้น

“เพิ่งออกจากโรงพยาบาล..โดนไอ้พวกเด็กไทยวิมันเล่น...แทงซะจมมีดเลย” คำบอกเล่าเรื่อย ๆ ทำให้อัษฎาสงบลง
ไม่เคยรู้ว่าเขาเจ็บขนาดนั้น แล้วยังไปโวยวายใส่อีก

“ต้นสนเป็นห่วงพี่เหรอ....” ภาคีทำหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด

“ใครห่วงวะ...ไม่มาแหละดีมาแล้วเกะกะลูกกะตา” อัษฎาก้มหน้าก้มตาตักข้าว

และภาคทเลยต้องใช้มารยาลองดูสักหน่อยอยากรู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่

“แค่ก แค่ก แค่ก...” ภาคีแกล้งสำลักข้าว
แล้วเอามือกุมท้อง ข้างที่ถูกแทง
และซบหน้าลงกับโต๊ะ ทำท่าเหมือนเจ็บปวดทรมาน

“เฮ้ยยยยยยย เป็นไรวะ...เป็นอะไร” อัษฎาลุกขึ้นยืน จะประคองภาคีให้ลุกขึ้นนั่ง

แต่ร่างสูงนั้น ก็หายสำลักและทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
เล่นเอาอัษฎาหน้าเหวอ
ทำอะไรเล่นอะไรของมันกันเนี่ย

“แกล้งทำไม...” อัษฎาตะคอกถาม อยากมีเรื่องเหมือนกัน

“ไม่ได้แกล้ง...”

“ก็เห็นอยู่ว่าแกล้งอ่ะ” ร่างโปร่งนั้นไม่ยอมเลิกลา

“ถึงแกล้ง...สนก็ไม่ได้สนใจพี่หรอก...ไม่ได้เป็นห่วงแล้วจะมาสนใจทำไมว่าแกล้งหรือไม่แกล้ง”
นั่นคงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดแล้วของภาคี ตั้งแต่ได้คุยกับกันมา

“แล้วรู้ได้ไงว่าไม่ห่วง...ห๊า” ต้นสนตะคอกกลับ โดยไม่ทันได้นึกถึงคำพูดของตัวเอง

“ก็รู้ว่าไม่ห่วงเพราะว่าสนไม่ได้ชอบพี่นี่” ร่างสูงนั้นเคี้ยวข้าวต่อ ท่าทางยียวนไม่สนใจ

“ก็แล้วรู้ได้ไงว่าไม่..ช...อ...อุ๊บ..” มือเล็ก ๆ รีบปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนจะหลุดพูดออกไป

ภาคีทำเป็นไม่ได้ยินไม่สนใจ
ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเรื่อย ๆ
และก็จ่ายตังค์เหมือนทุกวัน
โบกแท็กซี่กลับบ้านโดยไม่พูดอะไร ถ้าหากวันนั้น ร่างโปร่งบางนั้นอ่านใจคนได้
คงจะได้รู้ความรู้สึกของภาคีว่ามันรู้สึกดีมากขนาดไหน

เจ็บคราวนั้นไม่เสียเที่ยวเลยจริง ๆ

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
“จะไปแล้วสิ....เดี๋ยววันนี้พี่ไปไซด์งานอยุธยา กลับวันเสาร์นะ” ภาคีเอ่ยบอกกับร่างบางที่เตรียมตัวจะไปดูแลร้านแล้ว

ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเริ่มรู้ว่าต้นสนมีใจให้ ก็หมั่นไปเทียวรับเทียวส่งอยู่แบบนั้นเป็นปี
จนมาใจอ่อนกันตอนไหนไม่รู้
รู้ตัวอีกที
ก็มาอยู่ด้วยกันเสียแล้ว

“อือ.......เดี๋ยวก็อยู่ที่ร้านแหละต้องเช็คของก่อนโทรมาแล้วกันกว่าจะได้กลับสงสัยดึก ๆ”
อัษฎาตอบกลับ
เตรียมจะก้าวเดินออกจากบ้าน
อัษฎาถูกภาคีหาว่าบ้างานอยู่บ่อย ๆ
แต่เจ้าของร่างบาง ก็เอาแต่พูดว่า ต้องเก็บเงินเก็บทอง เวลาแต่ละนาทีมีค่า

มีค่าแน่ล่ะ
อัษฎาเอาเวลาไปทำแต่งานหมดเลย
เขาเองก็ต้องออกไซด์งานต่างจังหวัดบ่อย ๆ
นี่ถ้าไม่เข้าใจกันอย่างแรง
ป่านนี้คงไม่อยู่กันมา 7 ปี ขึ้นปี ที่ 8 หรอก
ช่วงแรกกว่าจะปรับตัวอยู่ด้วยกันได้
ก็ใช้เวลานาน ทะเลาะกันจะเลิกกันไป
ก็หลายครั้ง
แต่สุดท้ายก็กลับมาดีกัน

“วันเสาร์นี้สัญญาแล้วนะว่าจะอยู่ด้วยกัน” ร่างสูงโยนกล่องข้าวที่อัษฎาทำให้เข้าไปในรถและเรียกเจ้าของร่างโปร่งที่ กำลังจะเดินไปขึ้นรถอีกคัน

“รู้แล้วน่ะ..พี่คี...สนไม่ได้ความจำสั้นซะหน่อย”

วันเสาร์นี้ อัษฎาและภาคีตั้งใจจะไปรำลึกความหลังที่ร้านข้าวต้มร้านเดิม
ที่ทุกวันนี้ก็ยังเปิดขายอยู่
ร้านน่ะไม่ได้ไปไหนหรอก
แต่คนนี่สิไม่มีเวลาไปกินเลย
ไม่เคยกินข้าวพร้อมกันมานานแล้ว วันเสาร์นี้โดนบังคับจากภาคีให้ต้องไปกินข้าวด้วยกัน
ก็รู้หรอกว่าวันเสาร์นี้วันเกิดของตัวต้นสนเอง
และภาคีก็คงจะมีอะไรมาทำให้ประหลาดใจอีกแน่

เขาและภาคีอยู่ด้วยกัน
ไม่เคยสวีทกันหวานแหววเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา

ไม่เคยพูดกันหวาน ๆ
ไม่เคยกอดเคยหอมกัน ทำท่าทางจี๋จ๋ากันเหมือนคนอื่นเขาหรอก

ขนาดจะมีอะไรกัน
ยังชวนกันดื้อ ๆ เลย
ดูหนังก็ไปดูกันแต่หนังบู๊ล้างผลาญ
ดอกไม้วาเลนไทน์ไร้สาระ
ของขวัญปีใหม่น่ะเหรอ
ไม่ว่าจะวันสำคัญขนาดไหน ลืมไปได้เลย

ภาคีไม่เคยมีของขวัญให้ เขาก็ไม่เคยให้ภาคีเหมือนกัน
ช่างเป็นคู่รักที่ดูจืดชืดสิ้นดี
แต่ภาคีก็ไม่เคยนอกใจเขาแม้แต่ครั้งเดียว
และไม่เคยทำให้ต้องปวดหัวกับเรื่องความเจ้าชู้หรือเรื่องที่ทำให้เขาอึดอัดใจเลย

เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น
เขาเองก็ตอบแทนด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครให้ภาคีต้องปวดหัวเช่นกัน

“ไปแล้วต้นสน...เดี๋ยววันเสาร์เจอกัน” ภาคีขับรถออกไปแล้ว

และร่างโปร่งบางก็ตามออกไป
วันนี้ก็เหมือนทุก ๆ วันที่การใช้ชีวิตประจำวันเพิ่งเริ่มต้น

ทั้งสองคนไม่รู้หรอกว่าวันต่อไปจะเป็นยังไง
รู้แค่เพียงวันนี้ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดก็พอ

************************

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






singsayam

  • บุคคลทั่วไป
“ไอ้สนมึงกะพี่คีอ่ะ...อ๊ะ..อ๊ะ..อ๊ะ..กันจริงเหรอวะ”

ร่างสูงแกร่งเพื่อนสนิทของร่างบางเอ่ยถาม
อัษฎา เมื่อเห็นว่าพักนี้ ข่าวลือเรื่องต้นสนซา ๆ ลงไปแล้ว
แต่มีข่าวลือใหม่ว่า
ใครมาล้อเลียนต้นสน
วันถัดมาจะโดนลากไปซ้อมจนน่วม
เคยมีคนลองแล้ว
และวันถัดมาก็น่วมจริง ๆ ข่าวว่าหมอนั่นโดนลากไปซ้อมซะเละ

(แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่า ไอ้บ้านั่น ขับมอร์เตอร์ไซค์เสียหลัก คว่ำ
แต่กลัวเสียฟอร์ม เลยมาบอกว่าโดนลากไปซ้อม)
“อะไร..อ๊ะ..อ๊ะ..ของมึงมันอะไร” ต้นสนรู้สึกเขิน ๆ กับคำพูดแซวของเพื่อน
เข้าใจความหมายอยู่หรอก แต่ก็ไม่กระโตกกระตามมาก กลัวไปถึงหูพี่คี


“โอ้ย....กูไปถามพี่คีดีกว่า...แปลกว่ะ..พี่คีนี่มีหญิงติดเพียบ...ทั้งที่วัน ๆ แกไม่เคยคุยกะใคร
เห็นนั่งสูบบุหรี่ข้างโรงฝึกทุกวัน....แล้วอยู่กะมึงแกพูดมั่งป่าววะ....”

ไอ้ไก่เพื่อนคนละแผนกเอ่ยถาม ไอ้ไก่มันก็ไม่ค่อยกล้า
จะพูดอะไรมากความหรอก เพราะมันก็คั่วอยู่กะผู้ชายเหมือนกัน

“ก็พูด...ทำไมไม่พูดล่ะ...” อัษฎาหันหน้ามามองหน้าเพื่อน
ภาคีเรียนภาคเช้า แต่เขาเรียนภาคบ่าย
ช่วงพักกลางวัน
ภาคีจะซื้อขนมมาให้
และนั่งอยู่ด้วยตลอดพักกลางวัน

และเมื่อเขาไปเรียน
ร่างสูงนั้นก็กลับบ้าน
ไปนอน
เพื่อจะไปรับเขาไปกินข้าวเช้า
ตอน ตี 5 ครึ่ง
ของทุกวัน

เรื่องที่ห่วงก็เป็นเรื่องที่สูบบุหรี่จัดมาก
วันหนึ่งสูบสามสี่ซอง
เสียดายเงินจะแย่
แล้วก็เรื่องที่เวลาโมโห พี่แกจะโมโหร้ายมาก
ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่ถูกใจอะไร
ก็เดินไปซัดกันซะดื้อ ๆ ไม่มีเหตุผล

แต่ช่วงนี้หลังจากที่พูดกันมากขึ้น ก็ปราม ๆ พี่คีไปบ้างแล้ว
แกก็ดูจ๋อย ๆ ลงไปบ้างนิดเดียว
“สน...ไปกินข้าวกัน...” หน้าตาบูดบึ้งสุด ๆ ของภาคีมาปรากฏตรงหน้า
ร่างบาง
ก่อนจะทั้งดึงทั้งลากให้ไปกินข้าวพร้อมกันที่โรงอาหาร
ทุกคนเห็นกันชินตา
แต่ไม่กล้าลือว่าไอ้สนเป็นเด็กของภาคี
กลัวจะโดนเหยียบเอา

หลัง ๆ มาก็ชักชิน
เลยพลอยให้คู่อื่น ๆ ที่ชอบ ๆ กัน กล้าเปิดตัวกันมากขึ้น

“สน...ขนมครกนะวันนี้...เห็นสนชอบกิน” ภาคีวางถุงก็อบแก็บลง
ก่อนจะจัดการกับอาหารจานเดียวที่อยู่ตรงหน้า


“กินแต่ผัดกระเพราไข่ดาว...ไม่เบื่อเหรอ” ต้นสนเอ่ยถามร่างสูงแผนกโยธาหน้าเฉยชานั้น
ที่ตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวกิน

“ไม่เบื่อหรอก...เพราะพี่ก็ไม่เคยเบื่อต้นสนเหมือนกัน”

ภาคีพูดแบบนี้เป็นครั้งที่ล้าน ไม่ว่าอะไรก็เอามาโยงกันจนได้
แต่ไม่เคยบอกว่ารัก
ไม่เคยบอกว่าชอบแม้แต่คำเดียว
แต่การกระทำต่าง ๆ ที่ทำให้ มันก็พอจะยืนยันให้มั่นใจได้หรอก
ว่าภาคีรักต้นสนมากขนาดไหน


“พี่คีสนเสียดายหนมครกนะ...ไม่อยากอ้วกออกมา” ภาคีตักข้าวเข้าปากเช่นกัน

เขินจนเลิกเขินไปแล้ว
มีอะไรกันตั้งขนาดนั้นแล้ว
จะมามัวเขินไปเขินมาก็กระไรอยู่

ทั้งที่ช่วงแรกเขากับภาคีแทบไม่แตะเนื้อตัวกัน
แต่ว่าอารมณ์มันพาไปก็เลยมีอะไรกันจนได้อีกรอบ
และอีกหลาย ๆ รอบ

เคยทะเลาะกันก็เคย ช่วงแรกที่เขาไม่อยากยอมรับว่าเขาก็เริ่มชอบภาคีเช่นกัน
แทบจะชกกันตาย
แต่ภาคีก็มาง้อ
ด้วยการทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม
มารับไปกินข้าวเช้าตอนตี 5 ครึ่งเหมือนเดิม
มันทำให้เขาไม่เขิน และภาคีก็ไม่เขินด้วย
ถ้าจะง้อกันแบบนี้
“สนบ้างานว่ะ.....หยุด ๆ มั่งเถอะไม่มีค่าเทอมพี่ออกให้ก็ได้..แฟนคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้”
ภาคีบ่นเรื่องทำงานของเขาอีกแล้ว
แล้วจะให้ทำไงล่ะ
งอมืองอเท้า อยู่กับบ้านหรือไง ทำไม่ได้หรอก

“อย่าพูดมากเลย...สนไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนพี่นี่”
ใบหน้าหวานงอหงิกลง
ขยันบ่นจริง
ใครกันที่บอกว่าภาคีไม่ค่อยพูด โหยยย ขี้บ่นจะตาย เรื่องงานของเขาเนี่ย
บ่นเป็นที่หนึ่งเลย

“เห็นมั้ย...พี่ว่าแล้ว...สนต้องพูดแบบนี้...แล้วสร้อยพระอ่ะ...ถอดเก็บ ไว้อีกล่ะสิ..บอกให้ใส่ไม่รู้จักใส่” ภาคีเริ่มบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ
เห็นว่าลำคอของร่างบางโล่ง ๆ ไม่ได้ใส่อะไร ก็บ่นอีก
พระองค์ที่เคยให้ไว้ไม่ยอมใส่ ซะที จะกลัวอะไรนักหนา
สร้อยทองเส้นเล็กแค่นั้น
ไม่ต้องกลัวจะโดนกระชากหรอกน่ะ เดี๋ยวซื้อให้ใหม่ก็ได้

“เมื่อเช้าอาบน้ำเลยถอดเก็บไว้...เดี๋ยวตอนเย็นก็เอามาใส่เองแหละน่ะ”

“ก็อย่าถอดสิ...” น่านนนนนนนน...แล้วภาคีก็ยังไม่เลิกบ่น และทำท่าจะบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ
ถ้าอัษฎาไม่รีบห้าม

“พอแล้วพี่คี...ขี้บ่นว่ะ...สนจะไปเรียนแล้ว...ไปแหละ” ต้นสนลุกขึ้นคว้ากระเป๋าจะออกจากโรงอาหาร

“แล้วอย่าลืมนะ....เรื่องดูหนังอ่ะ” ภาคีกำชับกับร่างบางที่ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป

“สนรู้แล้วน่ะ...ไม่ได้ความจำสั้นหรอก” คำพูดซ้ำ ๆ ของร่างบาง
ที่ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าต้องติดไปพูดในอนาคต บอกกับร่างสูง
ก่อนจะส่งยิ้มให้กับภาคีแผนกโยธา ที่ถูกหาว่าเป็นคนแก่ขี้บ่นทุกวัน

“เดี๋ยว 2 ทุ่มโทรหานะ” ภาคีตะโกนไล่หลัง ร่างเล็กที่เดินลิ่วไปแล้ว

ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมกลับบ้านนอน

ภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงตอน ตี 5 ครึ่ง รออยู่
กลับบ้านนอนดีกว่า นะ

****************************

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
“สนกินอะไรดี” คำพูดซ้ำ ๆ ประโยคเดิม ที่อัษฎาจำได้ขึ้นใจ
ไม่รู้ภาคีจะถามเขาทำไม ในเมื่อไม่เคยรอคำตอบจากเขา
พี่ท่านก็สั่งนั่นสั่งนี่มาจนเต็มโต๊ะ
แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตากิน กิน กิน โดยไม่พูดอะไรเหมือนเดิม

แล้วมันจะลากเขามากินข้าวตอนตี 5 ครึ่งของทุกวันทำไม
แถมตี 2 เป๊ะ เดินมาซื้อบุหรี่ แล้วก็นั่งสูบอย่างเอาเป็นเอาตาย
รอจนเขาเลิกงาน แล้วค่อยลากเขาไปกินข้าวด้วยทุกวัน

สิ่งที่โมโหที่สุดคือ
นี่หรือคือวิธีการขอโทษของคนที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเขาน่ะ
ไม่มีการพูดว่าขอโทษสักคำ

ไม่เคยถามว่าเขารู้สึกยังไง
โกรธมั้ย
โมโหมั้ย
แล้วจะดีกันเมื่อไหร่
ก็ไม่เคยถาม

เอาแต่ลากเขามานั่งกินข้าวด้วย
แล้วก็เงียบ
ไอ้ตัวเขาเองนี่ก็คงบ้ายิ่งกว่า รู้ทั้งรู้ว่าไอ้แผนกโยธามันทำเลวไว้ขนาดไหน
ก็ยังมานั่งกินข้าวกับมันได้หน้าตาเฉย

อัษฎาเหลือบตามองร่างสูงหลายครั้ง และก็เหมือนเดิม
ภาคีไม่เคยสนใจจะพูดกับเขาสักคำ
จนเขาอยากจะบ้าตาย

“ไม่ขอโทษเรื่องนั้นหรือไง” หลังจากมากินข้าวกันเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ความจี๊ดในหัวของอัษฎาก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกต่อไป
ต้องเอ่ยถามด้วยความโมโหเสียงดัง
ภาคีเพียงแค่ชะงักนิดเดียว
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาตักต้มยำรวมมิตรซดน้ำกินอย่างอร่อย
ทำเหมือนไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
ยิ่งเพิ่มความโมโหให้กับอัษฎาทวีคูณขึ้นไปอีก

ร่างบางลุกพรวดพราดยืนขึ้น ด้วยความโมโห
ก่อนจะกระชากคอเสื้อของร่างสูงให้ตามขึ้นมา
ตะคอกถามเสียงดัง

“ถามว่าไม่ขอโทษหรือไง...เรื่องนั้นน่ะ” อัษฎาเลือดขึ้นหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดด้วยความโมโห

ไม่ตอบไม่ว่า แต่ทำเฉยนี่สิ ใครมันจะไม่โมโหกัน
ฝ่ามือแกร่งเพียงแต่จับมือเขาให้ผละออก และกดไหล่ให้นั่งลงที่เดิม

น่าแปลกที่อัษฎายอมนั่งลงได้ตามที่ร่างสูงนั้นต้องการ
ยังโมโหฟึดฟัดอยู่ กำลังจะอ้าปากหาเรื่องอีกสักรอบ
ก็ปรากฏว่าภาคีตักปลาหมึกในจานผัดกระเพรามาใส่จานข้าวของเขาและพูดว่า

“พี่เห็นสนชอบกิน...สั่งกับข้าวทีไรสนก็กินแต่ปลาหมึกผัดกระเพราอย่างเดียวทุกที
แต่พี่ชอบกินผัดบวบ ขอโทษที่พี่สั่งผัดบวบ ทั้งที่สนไม่ชอบกิน”

ภาคีพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันสักนิดกับเรื่องที่อัษฎาโมโห
กลับไปพูดเรื่องอื่นหน้าตาเฉย เล่นเอาอัษฎาตามไม่ทัน

หมึกผัดกระเพรางั้นเหรอ
สังเกตอยู่ตลอดเลยงั้นเหรอว่า เขากินอะไรแล้วไม่ชอบกินอะไร
ที่เห็นว่านั่งนิ่ง ๆ ไม่เคยพูดนั่น
ที่แท้ก็สังเกตเขาอยู่เหมือนกันหรอกเหรอ
แล้วเรื่องที่ขอโทษเรื่องผัดบวบ ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันสักนิด

ถ้าต้นสนได้ยินเสียงหัวใจของคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม
ต้นสนคงจะได้รู้ว่า
ประโยคที่มาแทนการขอโทษเรื่องอาหารนั้น
ภาคีต้องการจะพูดว่า

ขอโทษที่ทำเรื่องที่ไม่ชอบ แต่พี่ทำไปแล้ว กลับไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้
พี่ก็เรียนรู้สิ่งที่ต้นสนชอบอยู่นี่ไงล่ะ


อัษฎานึกโมโหคนตรงหน้าอยู่เหมือนกัน
เป็นบ้าอะไรแทนที่จะขอโทษเรื่องนั้น
กลายเป็นว่าขอโทษเรื่องสั่งผัดบวบ

แต่เมื่อนึกทบทวนไปมา ถึงได้รู้ ว่านั่นเป็นการขอโทษของร่างสูงนิ่งเฉยนี้
“นายขอโทษแล้วใช่มั้ย...” อัษฎาเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
และพยายามคาดเดาความคิดของร่างสูงนี้

การพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ ทำให้อัษฎาดีใจ
แต่แล้วก็ชะงัก
เขาควรดีใจที่ภาคีขอโทษ หรือดีใจที่เริ่มอ่านความรู้สึกของภาคีออกกันแน่
ก่อนจะตักผัดปลาหมึกในจานเข้าปาก

ชอบกินผัดกระเพราปลาหมึกนะ
ไม่ได้ยกโทษให้ อย่าฝันไปหน่อยเลย

อัษฎายังคงก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยใบหน้าหงิกงอต่อไป
ไม่ได้ทันสังเกต นัยย์ตาคมที่ลอบยิ้มน้อย ๆ
ก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้ววันนั้นก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม

สำหรับภาคี ไม่เปลี่ยนแปลงแน่ จีบได้แค่นี้แหละ
แต่สำหรับอัษฎา ภาคีก็ยังไม่รู้ว่าอัษฏาจะใจอ่อนเมื่อไหร่
ได้แต่หวังว่า ไอ้การมาให้เห็นหน้าเช้ามืด และดึกดื่นป่านนั้น
จะทำให้สักวัน ต้นสน ยอมยกโทษเรื่องนั้นให้สักที

*****************************

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
"โหย ... ไอ้ห่าเอ้ย...เล่นโคตรเก่งเลยว่ะ" ต้นสนเดินออกจากโรงภาพยนต์พร้อมกับภาคี
เพราะหนังที่ไปดู พระเอกเก่งเกินคน สุดยอดของความเก่ง
คนร่างสูงโปร่งนั้นก็เลยชมไม่ขาดปาก รู้สึกชอบใจที่ได้ดูหนังเรื่องนี้
ว่าแต่ภาคีรู้ได้ยังไงว่าเขาอยากดูหนังเรื่องนี้

อัษฎาปลายตามองร่างสูงที่เดินอยู่ข้าง ๆ
และก็เหมือนเดิม พี่แกก็ยังคงเงียบ แล้วก็เฉย เหมือนเดิม
จะไม่พูดอะไรเลยหรือไง วัน ๆ
พามาดูหนังแล้วก็ มาเดินเงียบ มันจะเอายังไงของมันกันวะ

"เฮ้ย..หนังไม่สนุกหรือไง......ไม่อยากดูแล้วชวนมาทำไมวะ" อัษฎา ใช้ข้อศอกกระทุ้ง
ไปที่แขนของร่างสูง นิ่งเงียบนั้น

ตอนตี 5 ครึ่ง ภาคีก็มารับเขาไปกินข้าวเหมือนทุกวัน
ก่อนจะกลับก็ยื่นตั๋วหนังให้
อัษฎารับมาถือไว้อย่าง งง ๆ

แล้วร่างสูงนั้นก็บอกว่า

"รอบบ่ายสาม...มาให้ทันล่ะ" ภาคีพูดแค่นั้นแล้วก็โบกรถแท็กซี่กลับบ้านไปเฉยเลย
ไม่สนใจสักนิดว่าเขาจะไปได้หรือไม่ได้ พี่แกไม่ถามอะไรเลย
จะบอกว่าชวน ก็ไม่เชิง
มันออกแนวเหมือน ---- ไม่ว่ายังไงมึงก็ต้องไป เพราะกูซื้อตั๋วให้มึงแล้ว----
ประมาณนั้นเลย

แล้วตอนนี้เขาก็มานั่งดูหนังกับภาคีจริง ๆ
หนังเหรอ ก็งั้น ๆ แหละ ธรรมดา แค่ต้นสนมาด้วยพี่ก็รู้สึกว่ามันสนุกแล้วล่ะ ต่อให้หนังมันน่าเบื่อกว่านี้ก็เถอะ

นั่นคือความคิดของภาคี แต่เขาก็ไม่ยอมพูดออกไป
ได้แต่พูดประโยคสั้น ๆตอบคำถามของต้นสนว่า

"ก็ดี"
ภาคีพูดแค่นั้นแล้วก็เดินเรื่อย ๆ ลงบันไดเลื่อน
พร้อมกับร่างโปร่งบาง ที่หันหน้ามามองเขา
เหมือนไม่เข้าใจ แต่ก็เดินตามเขามาแต่โดยดี

ภาคีตรงไปร้านสุกี้ และเดินเข้าไปนั่ง
พนักงานเดินเข้ามาจดรายการอาหารที่เขาสั่ง
น่าแปลกที่ภาคีไม่ได้ถามอัษฎาสักนิดว่าจะกินอะไร จะเอาอะไร

ชายหนุ่มสั่งนั่นสังนี่ เต็มไปหมด
และที่แปลกกว่านั้นก็คือ รายการอาหารพวกนั้น
เป็นของที่ต้นสนชอบทั้งหมด

"แชร์...." ร่างโปร่งบางที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยกับร่างสูง ที่นั่งเฉยรออาหารที่จะนำมาเสริฟ
หนังก็ไม่ยอมให้เขาจ่ายค่าตั๋ว
ข้าวที่กินทุกวัน ก็ไม่ยอมให้เขาออกค่าข้าว
วันนี้แหละ ยังไงก็ไม่ยอมหรอก ให้เลี้ยงอยู่ฝ่ายเดียวได้ไง
เสียศักดิ์ศรี ไม่ได้เห็นแก่กิน เห็นแก่สบายนะ

ภาคีเงยหน้ามองเขาแว่บหนึ่ง แล้วก็ทำเหมือนไม่สนใจอีก
นั่งเงียบมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย

"บอกว่าแชร์ค่าข้าว...ได้ยินมั้ย" อัษฎาถามย้ำอีกครั้ง ภาคีมันเป็นบ้า
ไม่เคยฟังที่เขาพูดเลยหรือไง โมโหจริง ๆ

"ทำไมต้องแชร์....." ภาคีถามกลับ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าเนียนขาวตรงหน้านิ่ง
เล่นเอาอัษฎาทำอะไรไม่ถูก อึกอัก คิดคำตอบไม่ทัน

"ผมไม่ใช่ผู้หญิงอีกล่ะสิ" ร่างสูงต่อให้

และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ อัษฎาตั้งใจจะพูดอย่างนั้นจริง ๆ พออ้าปากจะพูด
ภาคีก็ต่อให้เสร็จสรรพ
จนเขาต้องหุบปากเงียบลง

ตั้งท่าจะเถียงต่อ
แต่พนักงานก็เอาอาหารมาเสริฟ จนเต็มไปหมดทั้งโต๊ะ

"ท้องอิ่มก่อนแล้วกัน...ค่อยรบกันต่อ" ร่างสูงหยิบผักในจานมาเทใส่หม้อน้ำที่เริ่มเดือด
หยิบนั่นหยิบนี่ใส่ จนเต็มไปหมด
แล้วก็ปิดฝาหม้อ
มือแกร่งเอื้อมหยิบถ้วยน้ำจิ้มเล็ก ๆ ที่อยู่ฝั่งของอัษฎามาบีบมะนาว
แล้วก็เท พริกและกระเทียมลงไปผสม คน ๆ จนได้ที่แล้วก็ส่งกลับคืนให้กับร่างโปร่งบางตรงหน้าเขา
ก่อนจะแกะตะเกียบของตัวเองออก
และบีบมะนาวใส่ในน้ำจิ้มถ้วยของตัวเอง
และก็เช่นเคย พี่แกก็ยังเงียบอีกเหมือนเคย

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
อัษฎารับถ้วยนั้นมาแล้วก็เริ่มลงมือตัก อาหารที่อยู่ในหม้อเดือด ๆ มาใส่ถ้วย
แล้วก็ราดด้วยน้ำจิ้ม ตักเข้าปาก
เพียงคำแรกที่สัมผัสปลายลิ้น
ต้นสนคิดว่าภาคีปรุงน้ำจิ้มให้เขาได้อร่อย แล้วก็ถูกใจมาก
รู้ได้ยังไงว่าเขาชอบกินรสนี้
ดวงตากลมทอดมองร่างสูงตรงหน้า
ที่ตั้งหน้าตั้งตาคีบอาหารใส่ปาก
มีบางครั้งที่ตัก ของชอบของเขาใส่จานให้
แล้วเขาก็รับมันมาใส่ปากเงียบ ๆ
ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ กินไปเงียบไป
สนใจอยู่แต่กับการกินเท่านั้น

ภาคีตื่นเต้นมากที่จะได้มากินข้าวกับอัษฎานอกเหนือจากกินข้าวต้มโต้รุ่ง
ที่กินด้วยกันอยู่ทุกวัน

เขาถือฤกษ์งามยามดี ที่รู้ว่าเป็นวันหยุดของต้นสน ไปซื้อตั๋วหนังมาให้
จะชวนก็ไม่รู้จะชวนยังไง เลยเอายัดใส่มือให้ต้นสน
ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าร่างบางนั้นจะมาหรือเปล่า
แต่พอเห็นต้นสนมาปรากฎตรงหน้า เขาก็ดีใจที่สุด แต่ต้องเก็บอาการ
เดี๋ยวจะหาว่าเวอร์

แล้วเขาก็คิดมาตลอดเลยระหว่างที่ดูหนังด้วยกัน
ถ้าแกล้งเผลอไปโดนมือ มันจะแปลกมั้ย
แล้วเขาก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ กะจังหวะตอนที่มือเล็ก ๆ
เอื้อมมาหยิบข้าวโพด เขาก็เอื้อมไปหยิบบ้าง
มือแตะกันพอดี
แต่ก็แค่นิดเดียว
ต้นสนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เขาก็ทำเป็นเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในใจนั้นเต้นระทึกไปถึงไหนแล้ว

หลังจากนั้นก็ออกมากินสุกี้ด้วยกัน
ซึ่งทั้งเขาแล้วก็ต้นสน ก็ตั้งหน้าตั้งตากินกัน
โดยไม่ได้พูดอะไรกัน
กินกันจนหมด

แล้วร่างบางนั้น ก็ยื่นแบงค์ให้เขา บอกว่าค่าข้าว แต่เขาก็ไม่ได้รับไว้
จ่ายเงินเสร็จก็ลุกออกมาเงียบ ๆ

ร่างบางนั้นคงจะหงุดหงิดไม่พอใจอยู่เหมือนเกิน
เดินมาพยายามจะยัดเยียดเงินใส่มือของภาคี
ร่างสูงก็เลยแกล้งดึงเงินไว้แล้วก็จับมือเล็ก ๆ นั้นซะเลย

เขาสังเกตเห็นต้นสนหน้าแดง ๆ แล้วก็สะบัดมือออกไปพร้อมกับเงินที่เอามายื่นให้เขา

"ดีเว้ย...กินแค่ไหนก็ไม่ต้องจ่าย....มากินข้าวกับคนรวยก็ดีอย่างงี้แหละ"
ร่างบางประชดเขาก่อนจะก้าวเดินฉับ ๆ ออกไป
ยืนรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์

ภาคีมาส่งอัษฎาขึ้นรถ ไม่ได้ตามไปส่งถึงบ้านหรอก
เดี๋ยวจะมาตะโกนใส่หน้าเขาว่า

"ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะ..." อีก
อัษฎาเดินขึ้นรถเมล์ ได้ที่นั่งข้างหน้าต่าง
ไม่ได้หันไปสนใจกับคนที่มาส่งเลย
นั่งคิดอะไรไปเรื่อย
ภาคีจะมาอะไรกับเขานักหนากัน
มารับไปกินข้าวได้ทุกวัน
แล้ววันนี้.....เขากับภาคี....เรียกว่ามาเดทกันหรือเปล่านะ

ร่างบางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันกลับมา
ก้มมองมือของตัวเอง
เผลอยิ้มออกมา
สัมผัสของร่างสูงที่เพิ่งลากันเมื่อครู่ยังหลงเหลือความอบอุ่นอยู่เลย

แล้วภาคีล่ะ จะเป็นเหมือนกันหรือเปล่านะดวงตากลมเหม่อมองไปไกล

อัษฎาไม่มีทางรู้เลย
ว่าหลังจากที่เขาก้าวขึ้นรถเมล์ไปแล้ว

ภาคีเองก็ยิ้มร่าเหมือนกัน ยิ้มจนแทบหุบยิ้มไม่อยู่
แล้วก็ยืนมองมือของตัวเอง
เดินยิ้มไปเรื่อย
ก่อนจะโบกแท็กซี่ให้ไปส่งบ้าน
วันนี้ อะไร อะไร มันก็ดูดีไปหมดเลยสำหรับภาคี

************************

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
ปีใหม่น่ะเหรอ
สำหรับต้นสนแล้ว เขาเกือบลืมไปด้วยซ้ำเรื่องวันปีใหม่อะไรนั่นน่ะ
คืนนี้เขาก็ยังคงทำงานที่ร้านสะดวกซื้อกะดึกอยู่เช่นเดิม
และภาคีก็มาซื้อบุหรี่ ตอนตี 2 อีกเหมือนเดิม
แล้วก็ไปนั่งรอเขา
เพื่อไปกินข้าวเช้าตอนตีห้าครึ่งเหมือนเดิม

แต่มันจะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ว่า วันนี้ลูกค้าเข้าร้านน้อยก็แค่นั้นเอง

"สน...ป่านนี้คนอื่นเขาคงฉลองปีใหม่กันแล้วเนอะ" หญิงสาวที่เข้างานกะดึกเหมือนกับเขา
และไม่ได้หยุด หันมาบอกกับร่างโปร่งบาง ที่หันมายิ้มตอบรับ

อัษฎาเหลือบสายตามอง ร่างสูงของคนที่นั่งมองไฟถนนไปเรื่อยเปื่อย
ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากจุดที่เขายืนอยู่

วันปีใหม่ทั้งที ทำไมยังจะมาตามเฝ้าเขาอีก
น่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า
ร่างสูงนั้นไม่เคยบอกสักคำว่าชอบ ว่ารักเขาหรือเปล่า
แต่เอาเวลาทั้งหมดมาทุ่มให้เขาหมด
ต้นสนไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนัก
ไปเที่ยวด้วยกันก็แล้ว แต่ไปดูหนังกับกินข้าว..ธรรมดาแบบนั้น
จะเรียกว่าไปเดทได้เหรอ
ภาคีอาจจะหาเพื่อนไปเที่ยว แก้เบื่อก็ได้

แล้วที่มาตามรอเขาทุกวันเนี่ย อาจจะแค่มาขอโทษเรื่องที่ทำเลว ๆ กับเขาไว้ก็ได้
แต่เรื่องนั้น หมอนั่นก็ขอโทษไปแล้ว
ที่มารับเขาไปกินข้าวทุกวัน จะแปลว่าภาคีชอบเขาบ้างได้หรือเปล่านะ
แต่ว่า.....แต่ว่า อัษฎาเองไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
เขากับภาคีเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แค่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียว
แบบที่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ประทับใจนักหรอก
แทนที่ภาคีจะถอยห่างจากเขา กลับเข้ามาใกล้
เขากับภาคีแทบไม่พูดกันเลยด้วยซ้ำ
แต่ภาคีก็รู้ทุกอย่างว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
แค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอหรอก ที่จะแปลว่าภาคีรักเขาน่ะ
ถ้าเวลานี้ มันยังคงเดินไปด้วยกันได้เรื่อย ๆ
โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่อึดอัดใจกับความสัมพันธ์แบบนี้
ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ทำไมเขาจะต้องคิดอะไรให้มากกัน

ต้นสนเหลือบมองร่างสูงที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่งนอกร้านอีกครั้ง
ก่อนจะหันมาสนใจกับการคิดเงินหน้าเคาร์เตอร์เมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านต่อไป

******************
"กลับก่อนนะครับพี่...." ร่างโปร่งบางคว้ากระเป๋าเป้เดินออกนอกร้าน
เมื่อเวลาตีห้าครึ่งเหมือนเช่นทุกวัน
และคนที่นั่งอยู่ที่ม้านั่ง
ก็หันกลับมามองและเดินตามเขามา
แต่มีบางสิ่งที่ต่างออกไป

"ตักบาตรกัน.." ภาคีเดินนำเขาไปที่ร้านข้าวต้มร้านเดิม
และวางชุดอาหารตักบาตรลงบนโต๊ะ
สองชุด

ไปซื้อมาตอนไหนกัน เห็นนั่งอยู่ตลอดนี่นา

"กินข้าวก่อนแล้วไปตักบาตรปีใหม่กัน..." ภาคีรู้ว่าเขาและต้นสนไม่ได้มีโอกาสฉลองปีใหม่
เหมือนกับคนอื่นแน่นอน
เขาไม่คิดว่าปีใหม่จะต่างจากทุกวัน
ในเมื่อเขาก็ยังชอบต้นสนเหมือนทุกวัน ไม่ว่าปีไหน ๆ ก็เหมือนกัน

ร่างโปร่งบางเหลือบตามองเขาเหมือนไม่เข้าใจ
ก่อนจะสนใจกับการตักกับข้าวตรงหน้าใส่จานแล้วก็ลงมือเคี้ยวเหมือนทุกวัน
ต่างคนก็ต่างกิน ไม่มีใครชวนใครคุย
กินเสร็จจ่ายตังค์ และก็เดินออกจากร้านเหมือนเดิมทุกประการ
แต่วันนี้ต่างออกไป
"อ่ะ...ของสน.." ร่างสูงนั้นยื่นข้าวปลาอาหารที่จัดชุดมาเรียบร้อยให้กับอัษฎา
และตัวเองก็ถือไว้หนึ่งชุด
และนำให้ต้นสนเดินตามเขา
มาที่ทางเดินที่ภาคีสังเกตทุกวัน
ว่าจะมีพระมาเดินบิณฑบาตรในตอนเช้า

และในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน
พระหนึ่งรูปพร้อมกับเด็กวัดหนึ่งคน
ก็เดินผ่านมา

สองร่างย่อกายลง
และใส่อาหารในบาตรพระ
วางตามด้วยดอกไม้
และนั่งคุกเข่าลง
ไหว้รับศีลรับพรจากพระรูปนั้น
ในวันปีใหม่

เป็นอันเสร็จพิธี

"สน...กรวดน้ำด้วย.." ภาคีถือขวดน้ำเล็ก ๆ เดินมาที่ใต้ต้นไม้
และดึงให้มืออัษฎาจับขวดน้ำไว้

ก่อนจะเริ่มบทกรวดน้ำ

ร่างโปร่งหันมองคนที่นั่งเคียงข้าง เออเนอะ...เห็นโหด ๆ เถื่อน ๆ
ธรรมะธรรมโมเหมือนกันนี่หว่า

"มีสมาธีด้วย..." ภาคีเอ็ดร่างที่นั่งอยู่เคียงข้างเสียงเบา

ก่อนจะค่อยเทน้ำลงที่โคนต้นไม้ จนหมดขวด

แล้วต่างคนต่างก็ลุกขึ้นยืน

ไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อเหมือนเดิม

"เอ่อ...ไม่ไปเที่ยวปีใหม่กับเพื่อนเหรอ..." ต้นสนเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
เมื่อเดินย้อนกลับมาในทางเดินกลับบ้านของเขา โดยมีภาคีเดินตาม

"ไม่.." นั่นก็เป็นคำตอบสั้น ๆ ของภาคี
ทั้งที่ในใจของเขาคิดว่า
---ไปเที่ยวไม่เห็นสนุกเลย...สู้อยู่ตักบาตรกับต้นสนแบบนี้ดีกว่า---
แต่ก็เหมือนเดิม ภาคีก็ไม่เคยพูดอะไรอีกเหมือนเดิม
นั่นเท่ากับเป็นการตัดบทสนทนา ได้อย่างดีเยี่ยม
ภาคีนี่มันเป็นอะไรของมัน จะพูดกับต้นสนเกินสองประโยคไม่ได้เลยหรือไง

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
"เฮ้ย....ไม่อยากพูดด้วยก็บอกนะเว้ย....ไม่ได้อยากคุยเหมือนกัน" ปีใหม่ทั้งที
แต่ต้นสนต้องมาหงุดหงิดกับไอ้ท่าที นิ่งเฉยของอีกฝ่าย
ใจคอมันจะปล่อยให้เขาเอาแต่เดาความรู้สึกของมันโดยไม่พูดเลยหรือไงกัน

"อยาก...ก็เลยซื้อนี่มาด้วย" ร่างสูงหยุดชะงักเท้าแล้วก็ยื่นโทรศัพท์บ้านแบบเติมเงิน
ที่มีโปรโมชั่น โทรหากันในโครงข่ายเดียวกันฟรี
แบบแพ็คคู่ออกมา
ลวดลายเหมือนกัน เป๊ะ
รุ่นเดียวกัน อีกต่างหาก แต่มันขายเป็นคู่แค่นั้นเอง

อัษฎารับมาถือไว้แบบงง ๆ
เขาก็มีโทรศัพท์อยู่แล้ว จะเอามาให้เขาทำไมกัน

"คือว่า....พี่...พูดไม่ค่อยเป็น...แต่ว่าพี่...ก็เอ่อ...อยากคุยกับต้นสนนะ...
แต่ว่าพี่ก็....เอ่อ...ไงดีล่ะ...คือว่านะ"

หลังจากร่ายไปยาวโดยไม่เป็นประโยคสักที แล้วร่างสูงนั้นก็หยุดพูดไปดื้อ ๆ
เมื่อไม่รู้จะเรียบเรียงประโยคต่อไปยังไง
เขาแค่อยากจะบอก
อยากคุยกับต้นสน ขอให้ต้นสนรับ โทรศัพท์ที่เขาให้
แล้วก็ได้โปรดคุยกับเขาด้วย
ถ้าเขาจะโทรไปหา ต้นสนก็จะต้องด่าเขา
หาว่าเขาไม่ประหยัด แล้วถ้าเขาโทรวันละหลาย ๆ รอบ
ต้นสนก็อาจจะยิ่งด่าเขาเรื่องสิ้นเปลือง
รอให้ต้นสนโทรมาหาเขา นั่นยิ่งไม่ต้องคิด
แต่ถ้า โทรหากันฟรีแบบนี้ ต้นสนก็จะได้โทรมาหาเขาบ้าง ก็เท่านั้นเอง
แต่ปัญหาก็คือ
เขาจะพูดมันออกมายังไงดี

"อ๋อ...เข้าใจแล้ว..." อัษฎา หันมามองหน้าร่างสูงนั้นแบบเซ็ง ๆ
รับโทรศัพท์มาแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

"อ่ะ...." มือเล็ก ๆ ยื่นเงินให้กับภาคี
ร่างสูงนั้นทำหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้นสนยื่นเงินให้
ก็แล้วมันเป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมรับเงินกันล่ะ
แฟนก็ไม่ใช่....

"ทำไมต้องให้...ผมไม่ใช่ผู้หญิงอีกล่ะสิ..." ภาคีขมวดคิ้วมุ่น ทำไมต้นสนต้อง
ใช้ประโยคนี้ตลอดเวลา
เขาก็ไม่ได้เห็นต้นสนเป็นผู้หญิงสักหน่อย คิดมากไปได้

"เราไม่ได้เป็นอะไรกัน...มาเลี้ยงข้าวซื้อนั่นซื้อนี่ให้...ผมไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอกนะ
ถึงจะรับนั่นรับนี่ฟรี ๆ ตลอดน่ะ" มือเล็ก ๆ บังคับยัดเยียดเงินใส่มือของภาคีอีกครั้ง
เมื่อร่างสูงนั้นยืนนิ่งเฉย
"เราเป็นแฟนกัน..." ฝ่ามืออุ่นร้อนรีบยัดเงินกลับคืนให้กับอัษฎา
พูดประโยคที่ทำให้ร่างโปร่งบาง อ้าปากค้าง
และไม่รอให้ตกใจ

ภาคีเดินลิ่ว ๆ ไป โดยไม่หันกลับมามองหน้าคนที่ยืนหน้าเอ๋ออีก
โบกแท็กซี่แล้วก็นั่งกลับบ้านไปต่อหน้าต่อตาต้นสน

ทิ้งให้ต้นสนยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
เราเป็นแฟนกัน
เราเป็นแฟนกัน
เราเป็นแฟนกัน
เราเป็นแฟนกันเนี่ยอะนะ ทั้งที่ไม่เคยบอกรักเขาเลยงั้นเหรอ
แล้วก็ไม่เคยตกลงกันด้วยว่าคบกัน
แล้วไปเป็นแฟนกันตอนไหนวะ

อัษฎาเดินกลับเข้าบ้านอย่างงง ๆ เขาไม่เข้าใจภาคีเลย
ทั้งที่พูดอย่างนั้นกับเขา แล้วก็ไม่ยอมรอคำตอบ
เดินลิ่วไปเฉยเลย

มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อพบว่ามีสายเรียกเข้า
และเมื่อเขากดรับสายที่โทรเข้ามา

เจ้าของปลายสายก็พูดกับเขาว่า

"เราเป็นแฟนกันนะต้นสน..." เสียงของภาคีนั่นเอง

อัษฎายืนอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรตอบไปดี
แต่ปากเจ้ากรรมก็ตอบรับไปแล้วก่อนที่สมองเขาจะคิดเสร็จ

"ครับ" นั่นคือคำตอบของเขา
ก่อนที่สายที่โทรมาจะกดวางไปเรียบร้อย
หลังจากได้ยินคำตอบของเขา

ร่างโปร่งบางยืนนิ่งอยู่กลางซอย มองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือตัวเอง

ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาด้วยความอาย

ไอ้สนเอ้ยไอ้สน...เอ็งตอบรับเขาไปแล้วนะเว้ย
เอ็งตอบรับเขาไปแล้ว ตอนนี้เป็นแฟนกับไอ้บ้าภาคีแล้วนะเว้ย

ใบหน้าสวยหวาน กัดริมฝีปากตัวเองแน่น
ก่อนจะหน้าแดงจัด
เดินเข้าบ้านแทบไม่ตรงทาง เนื่องจากอาการทั้งเขินทั้งอาย

ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากภาคีนักหรอก

เมื่อได้ยินประโยคตอบรับของอัษฎา เขาก็แทบจะตะโกนร้องออกมาเสียงดัง
แต่ก็รีบกดวางสาย
แล้วก็นั่งมองโทรศัพท์ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงรูหู

เหม่อมองข้างทางที่พระอาทิตย์กำลังจะจะขึ้น
สลับไปมาระหว่างข้างทาง
กับโทรศัพท์ในมือ

เขาเป็นแฟนกับต้นสนแล้ว เขาเป็นแฟนกับต้นสนแล้ว
เขาเป็นแฟนกับต้นสนแล้ว

ไชโย่

******************************

singsayam

  • บุคคลทั่วไป
ปรัชญาช่างกลยามศึกเรารบยามสงบเราซ้อมรักกันเอง ตอนแล้วเราก็รักกัน (ภาคว่างแล้วช่วยโทรกลับ)

12.00 น. "ต้นสนกินข้าวยัง......." เสียงภาคีนั่นเอง
"เออ..." ต้นสนตอบ และโทรศัพท์ก็ถูกกดวาง


18.30 น. "ต้นสน....กินข้าวยัง" เสียงภาคีเหมือนเดิม
"เออ..." ต้นสนตอบ และโทรศัพท์ก็ถูกกดวาง

01.00 น. "ต้นสน...ถึงร้านยัง" เสียงไอ้ภาคีเหมือนเดิม
"เออ..." ไอ้สนตอบ เสียงเริ่มมีน้ำโหนิด ๆ

02.00 น. "ต้นสน..ง่วงหรือยัง" เสียงไอ้คีเจ้าเก่า
"เออ.." จากที่อารมณ์ดี ๆ ชักเริ่มโมโห

02.03 น. "ต้นสน.รักพี่หรือยัง" เสียงเดิม ไอ้คีคนเดิม
"เอ้ออออออ...อะไรของมึงเนี่ย...ถามอยู่ได้กูบอกว่าเออไงล่ะ"

ต้นสนเริ่มโมโห
โทรอยู่ได้อะไรของมันวะ
แต่แล้วเมื่อปลายสายหัวเราะเสียงเบา ถึงได้รู้สึกตัว
มันหัวเราะอะไรวะ -----ต้นสนรักพี่หรือยัง----
แล้วเขาก็ตอบว่า-----เออ------
อ้าวเวร
ชิบหายแล้วมั้ยล่ะ

ปลายสายถูกกดวางไปแล้ว
พร้อมกับคนที่เดินเข้ามาในร้าน

ภาคีมองใบหน้าเนียนขาวนั้น ยิ้ม ๆ
ก่อนจะเอ่ย กับคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตา
ที่หน้าเคาร์เตอร์
เห็นชัด ๆ ว่าต้นสนมันเขิน

"บุหรี่ซองหนึ่งครับ....." ดวงตาคมลอบมองใบหน้าเนียนหวานที่ก้มหน้าก้มตาหยิบซองบุหรี่
มาส่งให้ และก็คิดเงินทอนให้กับเขา

ภาคีรับเงินทอนมาถือไว้
แล้วก็ก้าวเดินออกจากร้าน
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อแน่ใจว่าคนมาซื้อบุหรี่ออกไปแล้ว
ไม่หันกลับมาแน่ อัษฎาจึงหันไปมองร่างสูง
ที่จุดบุหรี่สูบบนเก้าอี้ม้านั่งหน้าร้านสะดวกซื้อตรงป้ายรถเมล์

"ไอ้บ้าคี...." ร่างโปร่งบางบ่นงึมงำ จนคนหญิงสาวข้าง ๆ ต้องหันมาถาม

"อะไรนะสน..." เธอคนนั้นเอ่ยถามร่างโปร่งบาง ที่ยืนหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ

"ป่าวครับพี่...ไม่มีอะไร" ต้นสนรีบเดินไปอีกทาง หลบสายตาของคนที่มองอยู่

"คนนั้นอ่ะ....เขาชอบสนมากเลยนะ...รอสนทุกวันเลย" เธอเอ่ยกับร่างโปร่งบางที่เดิน
หน้าแดงไปอยู่อีกมุม ทำทีเป็นจัดของไปเรื่อย

ก่อนจะเม้มปากแน่น
ไอ้บ้าภาคี ชาวบ้านชาวเมืองเขารู้กันหมดแล้ว
อายเหมือนกันนะเว้ย
ว่างจัดไม่มีอะไรทำหรือไง มาตามอยู่ได้ทุกวัน
อัษฎาเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่นอกร้าน
แล้วก็หันกลับมายืนขมวดคิ้วมุ่น
เอาไงต่อไปดีล่ะเนี่ย

**************************
"ไปนะครับพี่...." ต้นสนก้าวเดินออกจากร้าน
และคนที่นั่งอยู่ก็เดินมาหา

เดินกันไปกินข้าวที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งเหมือนเดิม

นั่งที่เดิม
กินข้าวแบบเดิม ๆ

แต่ไอ้คนตรงหน้าต้นสนชักจะไม่เหมือนเดิม

ไอ้ภาคีมันเอาแต่ยิ้ม
ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้ม
สั่งกับข้าวมันก็ยิ้ม

กินข้าวมันก็ยิ้มกับถ้วยข้าว
เห็นปลาหมึกผัดกระเพรามันก็ยิ้ม

เทน้ำใส่แก้วมันก็ยิ้ม

สภาพเหมือนคนเมายา
ยิ้มจนตาเยิ้ม

แต่แปลก มันไม่ยอมมองหน้าต้นสนเลย
ต้นสนก็ไม่ได้มองมัน
มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย

ภาคีมองปลาหมึกผัดกระเพรา
ต้นสนก็มองผัดบวบในจาน

แล้วก็ต่างคนต่างตักกิน
ร่างสูงนั่งยิ้ม ในขณะที่ต้นสน
มองไปอีกทาง

ไม่มีบทสนทนาอีกเช่นเดิม

กินเสร็จ

แล้วก็จ่ายค่าข้าว

เดินออกจากร้าน

ก่อนจะแยกจากกัน

ร่างสูงก็หันมายิ้มกับอัษฎาแล้วก็พูดว่า

"รอโทรศัพท์ใครบางคนอยู่เหมือนกัน.....ไม่รู้ว่าเขาจะโทรมาหาบ้างหรือเปล่า
ค่าโทรก็ฟรี....ถ้าเจอเขาบอกให้ด้วย...ว่าว่าง ๆ ก็โทรมาหากันบ้างก็ได้"

ร่างสูงเดินไปแล้ว
ทิ้งให้อัษฎายืนนิ่งอยู่

แล้วก็ค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของคนบอกให้โทรหา

"ครับ...ผม..พี่คีครับ..." ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใคร
แต่ภาคีก็อดตื่นเต้นดีใจไม่ได้

"แค่นี้แหละ..." แล้วต้นสนก็กดสายวางไป

เดินเข้าบ้าน

อายก็อาย แต่ก็โทรไปแล้ว

ส่วนภาคี

แค่ต้นสนโทรมาหา
เขาก็ดีใจนักหนาแล้ว ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

*******************

juuuno99

  • บุคคลทั่วไป
น่าร๊าาาากมากมาย  :m1:น่าร๊าาาาากกกที่สุด :m3:

ออฟไลน์ เมฆาสีน้ำเงิน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
มาดึกน่ะคับลุง

โชคดีที่ยังไม่นอน

...
...
...

ขอบคุงน่ะคับ

คืนนี้ นอนหลับฝานดีน่ะ

ราตรีสวัสดิ์คับ

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
><

อ่านสะใจเลย
^^

ขอบคุณนะคะลุงสิงห์
 :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด