-3-
“ถ้าคนไข้ไม่ยอมไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจริงๆ คงต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ สภาพร่างกายตอนนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ถ้ายืนยันว่าทำกายภาพให้อย่างสม่ำเสมอ แสดงว่าคนไข้คงไม่ให้ความร่วมมือมากนัก เพราะอาการยังไม่ดีขึ้นเลย”
“แล้วพี่ผมยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่าครับหมอ” ประมุขที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“มีครับ แต่ถ้ายังดึงดันทำกายภาพทั้งที่คนไข้ไม่เต็มใจแบบนี้ หมอเกรงว่าคงไม่เห็นผลชัดนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเรื่องจิตใจของคนไข้มากกว่า ถ้าเขายอมรับการรักษาด้วยความเต็มใจ โอกาสต่างๆ ก็จะมากตามไปด้วย” นายแพทย์สูงอายุมองคนที่กำลังหลับสนิทบนเตียงด้วยสายตาเห็นใจ จากประวัติที่ได้รับมาจากญาติคนไข้เมื่อถูกเรียกตัวมาที่สวนรังสิมันตุ์ เขาก็พอเข้าใจอยู่ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ดูอ่อนแอและไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้ ทั้งที่อุบัติเหตุในครั้งนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว
“ขอบคุณมากนะครับหมอ” สองพี่น้องยกมือไหว้นายแพทย์อย่างมีมารยาท หลังจากนั้นก็เดินไปกุมมือพี่ชายกันคนละข้างแล้วนั่งทำหน้าซึมเงียบๆ
ภีมภัทรที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาปวดร้าวไม่แพ้กัน มือที่กำแน่นอยู่แล้วออกแรงมากกว่าเดิมจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ แต่น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
พี่จักรต้องเจ็บมากกว่าตั้งกี่เท่า…
นายแพทย์สูงวัยที่มองเห็นสายตาของผู้ที่เปรียบเสมือนหลานชายแท้ๆ ของตัวเองถอนหายใจยาวเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาก้มลงเก็บข้าวของที่เตรียมมา ก่อนจะเดินไปที่ประตูและแตะแขนภีมภัทรเบาๆ เป็นเชิงเรียก
“ภีม อาขอคุยด้วยหน่อย”
ภีมภัทรหันไปมองคนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย เขาปล่อยมือที่กำแน่นออก จากนั้นจึงหมุนตัวเดินตามหลังอาหมอของตนออกไปด้านนอก
นรงค์เป็นเพื่อนกับวิบูลย์มานาน เวลาคนในบ้านไม่สบายก็มักจะเป็นคนเข้ามาดูแลให้อยู่เสมอ เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่เขาและภีมภัทรจะสนิทกันเหมือนญาติ และคงไม่แปลก...หากจะอ่านสายตาของหลานตัวเองออก
“นั่นคนสำคัญใช่ไหม” ประโยคคำถามนั้นไร้ซึ่งความอยากรู้อยากเห็น ราวกับผู้ถามเพียงพูดออกมาเฉยๆ เพียงเท่านั้น ภีมภัทรมองสบสายตาของผู้ใหญ่ที่ตนนับถือ และสุดท้าย...เขาก็พยักหน้าโดยไม่ปิดบัง
“ใช่ครับ”
“นั่นสินะ...ถ้าไม่สำคัญหลานอาคงไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านแบบนี้หรอก” นรงค์แย้มรอยยิ้มเอ็นดู “หลังพ่อเราแต่งงานใหม่เมื่อปีสองปีก่อน ภีมก็ไม่เคยกลับมานอนที่นี่อีกเลย แม้ว่าสิตาจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ตาม”
“แค่คิดว่าต้องกลับมานอนในที่ที่ผู้หญิงเห็นแก่เงินคนนั้นเคยอยู่ ภีมก็ขยะแขยงจนอยากจะอ้วกแล้วครับ” ถ้อยคำตอบราบเรียบขัดกับดวงตาวาวโรจน์ทำเอาคนฟังต้องรีบยกมือแตะไหล่หลานชายตัวเองให้ใจเย็นอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ภีมภัทรไม่อยากกลับมานอนที่บ้านหลังนี้ก็คือสิตา...หญิงสาวที่เคยเข้าหาวิบูลย์เมื่อไม่กี่ปีก่อนจนเกือบแต่งงานกัน เขาชิงชังผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ที่หล่อนพยายามเข้าหาเขาด้วยท่าทางน่ารังเกียจทั้งที่มีพ่ออยู่แล้ว โชคดีที่วันงานมีคนเข้ามาเปิดโปงเสียยับเยินว่าเธอจะจับเจ้าของสวนรังสิมันตุ์เพราะเงิน วิบูลย์ถึงรอดมาได้ หลังจากนั้นพ่อของเขาก็ไม่เคยเปิดใจรับผู้หญิงคนไหนเข้ามาในบ้านอีกเลย
“เอาเถอะ...เรามาพูดเรื่องพ่อหนุ่มที่อยู่บนเตียงกันดีกว่า” นรงค์เปลี่ยนเรื่องเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมที่กำลังโอบล้อม แล้วก็เป็นไปตามคาด...ทันทีที่เขาพูดถึงเรื่องของคนที่อยู่ในห้อง ใบหน้าตึงๆ ของหลานชายก็ผ่อนคลายลงแล้วกลายเป็นความกังวลแทนที่แทบจะทันที
“พี่จักรเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น…บอกตรงๆ ว่าแย่” นายแพทย์มากประสบการณ์เอ่ยตอบชัดเจนโดยไม่ปกปิด “แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือในอนาคต ถ้าเขายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป ไม่ใช่แค่เดินไม่ได้...แต่อาคิดว่าโรคแทรกซ้อนต่างๆ ก็คงเกิดขึ้นตามมาด้วย เลิกคิดเรื่องจะหายเป็นปกติไปได้เลย”
คนฟังทำหน้าเครียดโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่สวยสั่นไหวจนน่าสงสาร เห็นแบบนั้นแล้วผู้เป็นอาก็ทนมองต่อไม่ไหว ต้องรีบเอ่ยปากพูดสิ่งที่คิดไว้ในใจออกมาในที่สุด
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทาง…” นรงค์ยิ้มบางเมื่อคนที่ทำหน้าเศร้าอยู่จนถึงเมื่อครู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างกระตือรือร้น และราวกับจะรู้สึกตัวว่าถูกมองออก ภีมภัทรถึงได้เก็บท่าทีอย่างรวดเร็วจนแก้มแดงหูแดงไปหมด “ภีมก็แค่ทำให้เขายอมรับการรักษาก็พอแล้ว”
“อาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย...” ทายาทรังสิมันตุ์กลอกตาให้เห็นจังๆ จนคนมองอมยิ้มขำ
“ทำไมล่ะ ก็ดูสนิทกันนี่นา อาเห็นมองเขาตาไม่กะพริบ”
“อายังไม่รู้...พี่จักรน่ะดื้อยิ่งกว่าอะไรดี” ภีมภัทรบ่นพึมพำ ยิ่งนึกถึงหน้าคนที่นอนอยู่ในห้องก็ยิ่งหน้าตึง อย่าว่าแต่ทำให้ยอมรับการรักษาเลย ทำให้ยอมกินข้าวหมดจานให้ได้ก่อนดีกว่า
“เอาน่า...อย่างน้อยเราก็อยากให้เขาหายไม่ใช่เหรอ ถ้าพยายามมากๆ สักวันต้องส่งไปถึงเขาได้แน่” นรงค์ก้มลงหยิบกระเป๋าข้างกายขึ้นมาถือ ใบหน้าใจดีของชายสูงวัยฉายรอยยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นหน้าตางุนงงของหลานชาย
“ส่งถึงเขา...”
“ความรู้สึกไงล่ะ” สิ้นคำพูดที่ดูราวกับจะทะลุไปถึงใจคนฟัง นายแพทย์สูงวัยตบบ่าให้กำลังใจคนที่ยังยืนนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเขาจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ภีมภัทรยืนนิ่งเป็นหินอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัว ใจที่เต้นอย่างสงบมาโดยตลอดเต้นแรงขึ้นหนึ่งจังหวะเมื่อนึกได้ว่าถูกอาหมอของตัวเองมองออกเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มเอนกายพิงพนังเพื่อรอให้ใจกลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม เพราะเกรงว่าถ้าไปเจอคนอื่นในสภาพนี้คงไม่พ้นถูกมองออกจนหมด
“หรือจะรู้กันหมดแล้ว” บ่นพึมพำกับตัวเองเสร็จแล้วก็ต้องรีบสะบัดหัวทิ้งความคิดนั้นไป ลองถ้าอาหมอรู้แล้ว มีหรือคนที่ใกล้ชิดกว่าอย่างคนอื่นจะมองไม่ออก เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องนั้น ถึงมันจะดูน่าอายไปสักหน่อยที่ปล่อยให้โดนจับความรู้สึกได้ง่ายๆ ทั้งที่คิดว่าปิดมิดแล้วก็ตาม
“ภีม…” เสียงเรียกที่เจือความกังวลจากทางด้านข้างทำให้เจ้าของชื่อหลุดจากภวังค์
ประมุขกับฮ่องเต้ยืนอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้าของทั้งคู่ฉายแววเคร่งเครียดขณะสบตากัน แต่เมื่อภีมภัทรเดินเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ซึ่งเป็นคนเรียกเขาในตอนแรกก็เริ่มพูดในทันทีด้วยความเร่งรีบ
“ผมกับมุขมีธุระต้องรีบไปจัดการ น่าจะกินเวลานานหลายวันกว่าจะได้มาที่นี่อีก” เพียงแค่พูดจบคนฟังก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อได้อย่างรวดเร็ว
“ผมจะดูแลพี่จักรเอง” ถ้อยคำหนักแน่นราวกับคำสัญญากลายๆ ทำให้สองพี่น้องที่ขมวดคิ้วมาโดยตลอดเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
บางทีตอนที่พวกเขากลับมาที่นี่อีกครั้ง...อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
“ขอบคุณนะภีม” ประมุขตบไหล่เพื่อนสมัยเด็กเบาๆ เป็นการขอบคุณจากใจจริง
สามสหายลากันอยู่เพียงครู่เดียวก็แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง ฮ่องเต้ที่ดูจะรีบร้อนที่สุดแทบจะถลาออกไปนอกบ้านโดยไม่ยอมเก็บของ ทำเอาภีมภัทรหลุดมาดคุณชายที่แสดงมาตลอดเพราะต้องรีบวิ่งไปคว้าแขนไว้จนเกือบหน้าทิ่ม กว่าจะบอกให้ใจเย็นๆ ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ประมุขแอบกระซิบกับเขาก่อนขึ้นรถว่าคนรักของฮ่องเต้กำลังมีปัญหา และดูท่าจะหนักหนาเอาการเสียด้วย ฮ่องเต้ถึงได้ลนลานแบบนี้
สุดท้ายเมื่อสองพี่น้องจากไปแล้วภีมภัทรถึงได้กลับมายืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องของใครบางคนอีกครั้ง มือขาวตามประสาของคนไม่ค่อยโดนแดดยกค้างอยู่กลางอากาศ ใจนึกใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะเคาะหรือไม่เคาะดี เพราะยังไงจักรพรรดิก็เพิ่งหลับไปไม่นานนัก เพียงแต่...
เพล้ง!
เอาอีกแล้วเหรอ...
“ทำไมชอบทำลายข้าวของนักนะ” ชายหนุ่มบ่นเบาๆ กับตัวเองก่อนจะผลักประตูเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะ เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง ต่างกันเพียงสถานที่ เมื่อภาพของจักรพรรดิที่นอนหมอบอยู่กับพื้นข้างเตียงซ้อนทับกับภาพที่เพิ่งเกิดไปไม่นานนักอย่างพอดิบพอดี
ทายาทรังสิมันตุ์เดินเข้าไปด้านในช้าๆ สายตาเหลือบมองแก้วที่แตกเป็นใบที่สองเงียบๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีใด เขาเพียงย่อตัวลง จับแขนผอมแห้งของคนที่ยังก้มหน้าแล้วช่วยพยุงขึ้นมานั่งดีๆ บนเตียง ครั้งนี้จักรพรรดิไม่ได้โวยวายเหมือนครั้งก่อน หากแต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับว่างเปล่าจนน่าใจหาย สายตาของเขาจ้องมองขาสองข้างของตัวเองนิ่งงันราวกับไม่ได้รับรู้ว่ามีใครอีกคนอยู่ตรงนี้ด้วย จวบจนคนมองทนไม่ไหว ต้องย่อกายคุกเข่าลงตรงหน้า มือขาววางทาบทับบนมือที่ยังคงพันผ้าพันแผลไว้และไม่ได้ทำอะไรเพื่อรบกวนอีก
สัมผัสนั้นแผ่วเบาราวเป็นเพียงขนนกที่พัดผ่าน หากกลับหนักแน่นในความรู้สึกจนสามารถดึงคนที่กำลังเหม่อให้กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงได้
จักรพรรดิมองดวงตาคู่สวยซึ่งเป็นประกายระยิบระยับเฉกเช่นทุกครั้งที่เขาจ้องมองเงียบๆ และคนตรงหน้าเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงได้จ้องกลับมาเขม็งโดยไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว สุดท้ายก็เป็นเขาที่ทำลายความเงียบก่อน
“แก้ว...”
“ไม่เป็นไร” ไม่ต้องรอให้คนที่ไม่เคยขอโทษใครเอ่ยปากออกมา ภีมภัทรก็พูดตัดด้วยความเข้าใจ
“ใบที่สองแล้ว” เจ้าของใบหน้าคมคายละสายตาออกจากใบหน้าได้รูป เขาเหม่อมองไปยังเศษซากของแก้วที่แตกด้วยฝีมือตัวเอง แต่เพียงแค่กะพริบตา ใบหน้าของคนคนเดิมก็เข้ามาบดบังทัศนวิสัย ราวกับต้องการความสนใจจากเขาอีกครั้ง
“พี่จักรไม่ต้องห่วงหรอก บ้านภีมมีแก้วเยอะมาก” คนพูดแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าพูดอะไรออกไป
บ้านภีมมีแก้วเยอะมาก...คิดได้ไง
“งั้นเหรอ...”
ทว่ากลับผิดคาด...เมื่อดวงตาคมว่างเปล่าคู่นั้นทอประกายวาววับอยู่ครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่เพียงวูบเดียวก็จางหายไป แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้คนตาสวยฉีกยิ้มดีใจจนหน้าบานได้แล้ว
“ว่าแต่...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมล้มอีกแล้ว” เมื่อต้องกลับมาจริงจังอีกครั้ง ภีมภัทรจึงพยายามเลือกคำพูดให้ดีที่สุด เขาสังเกตสีหน้าของคนข้างกายตลอดเวลา และพร้อมจะเปลี่ยนเรื่องได้ทุกเมื่อหากจักรพรรดิต้องการ
“ลืมตัว” คำตอบสั้นๆ ได้ใจความดังออกมาโดยไม่หยุดคิด จักรพรรดิเพียงวางแขนไปด้านหลัง ดันกายกลับไปนอนพิงพนักเตียงด้วยความยากลำบากโดยไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ
ลืมตัว...
แม้จะผ่านมานานพอสมควร แต่การที่คนธรรมดาคนหนึ่งต้องกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้คงไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ชินได้ในระยะเวลาสั้นๆ บางคนใช้เวลาเป็นเดือน บางคนเป็นปี หรือบางคน...อาจใช้เวลาทั้งชีวิต
“เวลาตื่นนอน...ก็ต้องลุกจากเตียงไม่ใช่หรือไง” คนพูดมองไปที่ขาทั้งสองข้างของตัวเอง ในขณะที่คนฟังทำได้เพียงเม้มปากแน่น
ทุกวันที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาใหม่ ทุกวันที่รู้สึกราวเรื่องเลวร้ายทุกอย่างเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง แต่แล้วเมื่อคิดจะขยับกาย กลับต้องพบว่ามันคือความเป็นจริง...ต่อให้หลอกตัวเองและพยายามฝืนยืนขึ้นมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้สึกตัว แต่สิ่งที่จักรพรรดิต้องพบเจอในทุกๆ วันก็คือความจริงที่ว่า...
เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว
“ปกติ...พี่ตื่นเวลาเดิมตลอดหรือเปล่า”
จักรพรรดิไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงเหลือบตามองคนถาม จากนั้นก็เงียบไป แต่ภีมภัทรกลับพยักหน้าหงึกหงักราวเข้าใจคำตอบ
“ต่อไปนี้ ภีมสัญญาว่าพี่จะไม่ทำแก้วแตกอีก”
คำสัญญาแปลกๆ เมื่อผนวกกับใบหน้ามั่นอกมั่นใจของผู้พูด หากใครมาเห็นก็คงอดขันไม่ได้ แต่เมื่อคนที่มองอยู่มีเพียงจักรพรรดิ เขาจึงทำเพียงกะพริบตาแล้วมองเมินไปอีกทางราวไม่ใส่ใจ
แล้วจะเอาแก้วพลาสติกมาวางแทนหรือไง…
“พี่จักรอยากออกไปเดินเล่นไหม” ภีมภัทรกลับมากะตือรือร้นอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อนึกได้ว่าอาการของอีกฝ่ายยังไม่ค่อยดีนักไหล่ที่ตั้งตรงก็ห่อลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวัง
อยากพาไปเรือนกุหลาบไวๆ...
คนป่วยเหลือบตามองท่าทีเหี่ยวเฉาของลูกแมวหงอยข้างเตียงชั่วครู่ และสุดท้ายเขาก็ต้องถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาในที่สุด
“ก็น่าจะดีกว่าการอยู่แต่ในห้องแบบนี้”
ภีมภัทรยิ้มกว้างจนหน้าบาน เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปเข็นวีลแชร์มาจนชิดเตียง จากนั้นก็เข้าไปพยุงจักรพรรดิอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจกะทันหัน
“อาหมอบอกว่าพี่มีไข้อ่อนๆ ยังไงวันนี้ก็อย่าเพิ่งอาบน้ำเลยนะครับ ถ้าปวดหัวหรืออยากพักรีบบอกภีมเลยนะ”
จักรพรรดิไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ปล่อยให้คนช่างจ้อพูดนั่นพูดนี่ขณะที่ตัวเองพยายามพยุงเขาลงจากเตียง ถึงภีมภัทรจะไม่ใช่คนตัวเล็กอะไร แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็ต่างกันพอสมควร ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงค่อนข้างทุลักทุเล และเมื่อเห็นอีกคนกัดปากแน่น คิ้วขมวดมุ่น แต่ก็ยังพูดไม่หยุด ยิ่งมองก็ยิ่งน่าขำจนเผลอแกล้งลงแรงพิงไว้ทั้งตัว ทำเอาคนพยุงตัวเซจนเกือบล้ม ยังดีที่ดันร่างเขาลงบนวีลแชร์ได้ก่อน
ภีมภัทรเข็นรถพาร่างคนป่วยออกมาจากห้อง ก่อนจะพาออกจากบ้าน พวกเขาไม่ได้สนทนาอะไรกันมากมาย เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีคนพูดอยู่คนเดียว ไม่ว่าจักรพรรดิจะสนใจหรือไม่สนใจ คนด้านหลังก็ยังพูดเล่านั่นเล่านี่ให้ฟังตลอดทาง
“เดี๋ยวภีมจะให้คนมาทำทางลาด จะได้เข็นรถง่ายๆ หน่อย” เพราะต้องเข็นรถบนพื้นหญ้า ทำให้เขาต้องออกแรงเยอะพอสมควร ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าจักรพรรดิเข็นเองแล้วจะเป็นยังไงเลย
เผื่อว่าพี่จักรจะชอบเรือนกุหลาบ...วันไหนอยากไปจะได้เข็นไปเองได้
คิดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเอง
“ตั้งแต่วันนี้ภีมจะย้ายลงมานอนห้องข้างล่างที่อยู่ข้างพี่จักร ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลยนะ หรือถ้าไม่อยากตะโกนเรียกจะเขวี้ยงแก้วให้แตกก็ได้ ภีมจะรีบไปหา”
คนประเภทไหนกันจะเขวี้ยงแก้วเพื่อเรียกให้ไปหา...
แล้วคนประเภทไหนที่จะคิดวิธีนี้ออกมาได้...
ดูเหมือนคนช่างพูดจะยังไม่รู้สึกตัว ถึงได้ไม่คิดแก้ไข ยังคงพูดเป็นต่อยหอยเหมือนตัวเองเป็นคนพูดเก่งทั้งที่ดูแล้วไม่น่าเป็นแบบนั้นเลยสักนิด
“ตอนพี่จักรหลับภีมถือวิสาสะเช็ดตัวให้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะเหม็นนะ”
หาเรื่องคุยไปเรื่อย...
“...หรือยัง”
“พี่จักรว่าอะไรนะ” คนด้านหลังที่ดีใจเพราะอีกคนตอบโต้ด้วยหยุดมือที่กำลังเข็นรถกะทันหันแล้วรีบเดินดุ๊กๆ ไปอยู่ด้านหน้า เท่านั้นไม่พอ...เขายังอุตส่าห์นั่งยองๆ เพื่อให้เห็นหน้ากันได้ชัดอีกต่างหาก
“ถามว่า...”
“ครับ”
"เมื่อยปากหรือยัง”
“...”
คนที่เหมือนจะโดนด่าว่าพูดมากอ้อมๆ เกือบเผลอแสดงสีหน้าหงิกงอออกไปเมื่อโดนถามจังๆ เขาอยากจะกระชากคนบนรถวีลแชร์มาเขย่าๆ แล้วบอกให้รู้เหลือเกินว่าที่ต้องทำแบบนี้มันเพราะใคร
ก็เพราะอยากชวนคุยถึงยอมเมื่อยปากแบบนี้ไงเล่า!
แต่มีหรือที่คุณชายผู้เป็นถึงทายาทรังสิมันตุ์จะยอมโดนกวนอยู่ฝ่ายเดียว
“ก็ถ้าพี่เลิกเงียบจนน้ำลายหายบูดเมื่อไหร่ ภีมก็คงจะเมื่อยปากเมื่อนั้นแหละครับ”
คราวนี้ถึงทีจักรพรรดิขมวดคิ้วมุ่นบ้าง เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็โดนภาพบางอย่างดึงความสนใจไปจนหมดสิ้น
ภาพสวนดอกไม้กว้างจนบรรจบกับแผ่นฟ้าอีกด้านทำให้เขาลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิท ความสวยงามของดอกไม้ที่พลิ้วไหวเบาๆ ไปตามสายลมคล้ายจะกะเทาะเปลือกของบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจให้แตกออกทีละน้อย
อา...ดูเหมือนตอนเด็กๆ เขาจะชอบอะไรแบบนี้มากทีเดียว
ทั้งลมเย็นๆ ที่คล้ายจะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมา และความสบายใจยามเห็นสีสันสดใสของสวนดอกไม้กว้างขวาง รวมถึง…
“พี่จักร” เจ้าของเสียงขยับกายเดินมาด้านข้างแล้วเรียกเขาด้วยความเป็นห่วง ทั้งดวงตาคู่สวยและริมฝีปากที่เม้มแน่นแสดงชัดถึงความกังวลโดยไม่ต้องคาดเดาว่าต้นเหตุเกิดจากใคร “เป็นอะไรหรือเปล่า”
จักรพรรดิหรี่ตาลงมองดวงตาที่เป็นประกายเจิดจ้ารับกับแสงของดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังเจ้าตัว ภาพที่ปรากฏดูสวยงามเสียจนเขาไม่อาจละสายตา และโดยไม่รู้ตัว...ดวงตาที่เผลอแสดงความอ่อนโยนออกมาชั่วขณะนั้นได้ทำให้คนตาสวยหน้าร้อนวาบจนเกือบหันหน้าหนี แต่เพราะเสียดายบรรยากาศดีๆ และไม่อยากให้ความอ่อนโยนนั้นจางหายไป ภีมภัทรจึงทำได้เพียงกลั้นหายใจ คิดว่าจะปล่อยให้อีกคนมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก
เพียงแต่...
จะมองอีกนานไหมเนี่ย…หน้าจะไหม้แล้วนะ
“อะ...อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้วครับ” เมื่อไม่อาจทนต่อสายตานั้นได้ เขาจึงจำต้องขยับกายโดยการรีบเดินกลับไปประจำตำแหน่ง ภีมภัทรถอนหายใจโล่งอก เขาใช้มือเดียวในการช่วยเข็นรถให้จักรพรรดิ เพราะมืออีกข้างต้องใช้กุมอกซ้ายของตัวเองเอาไว้ ราวกับกลัวว่าสิ่งที่อยู่ด้านในจะเต้นแรงจนทะลุออกมา
เป็นคนที่อันตรายจริงๆ…
ตลอดทางที่เหลือนั้นมีเพียงความเงียบ คนที่ถูกกล่าวหาว่าพูดมากเงียบกริบเหมือนโดนสาป ในขณะที่คนน้ำลายบูดเองก็ไม่คิดชวนคุยอยู่แล้ว บรรยากาศรอบกายของพวกเขาจึงมีเพียงความเงียบงัน กับสายลมจางๆ ที่คอยพัดเอากลิ่นดอกไม้เข้ามาใกล้
ทว่าแม้จะไม่มีใครพูดอะไร...แต่พวกเขาก็ไม่ได้มึนตึงใส่กันเหมือนช่วงแรกอีกต่อไปแล้ว
“เข้าเขตแล้วนะครับ…”
คำเตือนของคนด้านหลังทำให้จักรพรรดิที่กำลังเหม่อลอยได้สติกลับคืนมา เขาเงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า ก่อนดวงตาคมว่างเปล่าจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ซุ้มดอกไม้เป็นทางยาวหลายซุ้มถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากชนิด เพียงแค่มองก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันถูกปลูกให้เลื้อยพันซุ้มเองตามธรรมชาติจนแทบมองไม่เห็นโครงด้านใน อีกทั้งบนพื้นที่ที่ควรมีเพียงหญ้าและทางเข้ากลับมีดอกไม้ร่วงหล่นลงมากระจายอยู่จนเต็มไปหมด
นั่นยังไม่นับรวมน้ำพุจำลองขนาดย่อมที่รออยู่ตรงปลายทางอีก...
“ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของภีมครับ”
อาณาจักร...
คำคำนั้นไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด เพราะทันทีที่เดินผ่านซุ้มดอกไม้เข้ามาข้างใน จักรพรรดิก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่อมองจากด้านนอก ที่แห่งนี้ถึงได้มีพุ่มดอกไม้สูงเกือบเท่าตัวคนล้อมไว้จนเหมือนเป็นเขตอะไรสักอย่าง
ที่แท้ก็เพื่อกั้นเป็นอาณาเขตของอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้นี่เอง...และนอกจากน้ำพุตรงกลางแล้ว เบื้องหลังยังมีตู้กระจกขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้อยู่ในนั้นอีกต่างหาก
“พ่อสร้างที่นี่ให้ภีมตอนวันเกิดหลายปีก่อน” ภีมภัทรเงยหน้ามองป้ายชื่อเก่าๆ ที่ยังคงแขวนไว้ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยน ‘เรือนกุหลาบ’ คือชื่อของมัน ดวงตาคมสวยเปล่งประกายแวววาวเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น “พ่อเห็นภีมเศร้าก็เลยสร้างที่นี่ขึ้นมา”
“…”
“ตอนนั้นภีมร้องไห้ไม่หยุด แถมยังไม่ยอมกินข้าว งอแงจนพ่อขู่ว่าจะตีอยู่หลายรอบก็ยังไม่หาย” เขาเดินไปด้านหน้า สายตามองตรงเข้าไปด้านในเรือนกุหลาบโดยไม่ได้ขยายความต่อ ดูราวกับสติทั้งหมดถูกดูดหายไปจนเกลี้ยง
บางทีอาจเป็นเพราะ ณ สุดทางของที่แห่งนี้...มีของสิ่งหนึ่งที่แสนสำคัญตั้งอยู่
ของที่สำคัญ...จนเกือบจะเทียบเท่ากับคนด้านหลัง
“เศร้าเรื่องอะไร”
คนที่กำลังเหม่อหันขวับกลับมามองคนถามด้วยความแปลกใจ เขาไม่คาดคิดว่าจักรพรรดิจะสนใจเรื่องของเขาจนต้องถามต่อ และเมื่อได้สบตาคู่นั้น...ก็คล้ายกับหัวใจจะทำงานหนักขึ้นมาอีกรอบ
“เรื่อง...”
“…”
“เรื่อง...”
ภีมภัทรเม้มปากแน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดกับท่าทีที่เหมือนสาวน้อยของตนเอง จนสุดท้ายเขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ เพื่อตั้งสติ เมื่อคิดว่าพร้อมแล้วจึงสูดหายใจเข้าและมองสบตากับจักรพรรดิอีกครั้ง
จะปล่อยให้โอกาสในครั้งนี้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด...
“ตั้งแต่จำความได้ ในชีวิตของภีมก็มีแค่พ่อที่สำคัญที่สุด ส่วนแม่ทิ้งภีมไปตั้งแต่ภีมยังอายุไม่ถึงขวบ” เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังตั้งใจฟัง “ภีมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพ่อต้องทำงานหนักทั้งที่เป็นถึงเจ้าของไร่ ภีมเอาแต่คิดว่าพ่อไม่มีเวลาให้ภีมเลย พวกพี่เลี้ยงก็ตามใจจนเสียนิสัย ภีมกลายเป็นเด็กเห็นแก่ตัว นิสัยไม่ดีสุดๆ แย่ยิ่งกว่าพี่จักรตอนนี้อีก”
“นาย…” จักรพรรดิขมวดคิ้วเมื่อโดนด่าตรงๆ แต่นอกจากจะไม่ขอโทษแล้วคนตรงหน้ายังหัวเราะแล้วมองเมินไปเสียอีก
“แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีพี่ชายใจดีคนหนึ่งเข้ามาที่ไร่ พี่ชายอายุมากกว่าภีมนิดเดียว แต่กลับฉลาดเป็นกรด รู้เรื่องของพ่อดียิ่งกว่าภีมที่เป็นลูกเสียอีก พี่ชายบอกภีมว่าพ่อกำลังทำงานหนักเพื่อภีม ต่อไปถ้าอยากได้เพื่อนเล่นเขาจะมาหาเอง หลังจากนั้นภีมก็สนิทกับพี่ชายที่สุด เราทำหลายๆ อย่างด้วยกัน พี่ชายเป็นทั้งเพื่อนเล่นและเป็นทั้งครู...”
“…”
“แต่แล้วพี่ชายก็หายไป” คนพูดคลายรอยยิ้มแล้วหลับตาลง “เขาทำให้ภีมผูกพัน แล้วก็หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว”
“…”
“หายไป...และไม่ติดต่อมาอีกเลย"
เขาจำได้ดีราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...ช่วงเวลาที่ใครคนนั้นหายไป มันเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาตรงหน้า
“ภีมไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นเรียกว่าอะไร แต่พอได้คิดทบทวนเมื่อโตมาแล้วถึงได้รู้...” เขาคุกเข่าลงตรงหน้ารถวีลแชร์ ก่อนดวงตาพราวระยับที่มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอคู่นั้นจะจ้องมองอีกคนนิ่งงันราวต้องการถามหาคำตอบและอ้อนวอนอยู่ในที “ความรู้สึกที่ภีมมี...”
“…”
“พี่จักรว่า...มันใช่ความรักหรือเปล่า”
ไม่ต้องตอบหรอก...
“ในชีวิตของภีมเคยมีแค่พ่อที่สำคัญที่สุด”
ประโยคเดิมถูกพูดซ้ำอีกครั้ง...
“แต่ในวันที่คนคนนั้นหายไป ภีมถึงได้รู้ว่าตัวเองมีคนสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
พี่ชายคนนั้น...
“ถ้าพ่อเปรียบเสมือนท้องฟ้า” ภีมภัทรใช้มือของตัวเองแตะลงที่ปลายเท้าขาวซีดซึ่งวางอยู่บนรถวีลแชร์
“…”
“งั้นพี่...ก็คือโลกทั้งใบ”
—————————
TALK: ไม่มีเวลาเลยจริงๆนะ ฮือ ช่วงนี้จะหายๆหน่อยนะคะ แต่เมษาเราจะกลับมาพร้อมความยิ่งใหญ่!!
อย่าเพิ่งทิ้งกันเด้อ