┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]  (อ่าน 110189 ครั้ง)

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
«ตอบ #150 เมื่อ19-05-2018 21:16:37 »

-16-


 ภีมภัทรรู้สึกตัวเพราะความปวดแปลบที่ศีรษะ ภาพในความทรงจำฉายชัดเหมือนมีใครมากดกรอเทปย้อนกลับ มันเริ่มตั้งแต่ที่เขายืนรดน้ำต้นไม้อยู่ในเรือนกุหลาบแล้วมีคนเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง แค่มองการแต่งกายและจำนวนคนที่เข้ามาพร้อมกันก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นคนของใคร ไม่มีการพูดจาใดๆ เกิดขึ้นเมื่อร่างโปร่งตั้งท่าจะหนี หมัดแรกเหวี่ยงมากระทบใบหน้าจนเขาล้มลงทับต้นกุหลาบของตนเอง จากนั้นกี่เท้าก็ไม่รู้ถึงได้ตามกระทืบย้ำลงมา แต่นั่นก็ไม่เจ็บเท่าการได้เห็นคนเหยียบย่ำต้นกุหลาบที่เฝ้าดูแลรักษามานานหลายปี

ชายหนุ่มมีสติแม้ยามถูกลากตัวไปขึ้นรถ ความสงสัยว่าคนพวกนี้เข้ามาได้ยังไงจางหายไปยามที่เห็นว่ารถมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ที่อยู่ติดกันกับรั้วสวน พวกมันคงจะตัดลวดเพื่อเอารถเข้ามา เขาพยายามฝืนถ่างตาจดจำทิศทางให้ได้มากที่สุด แต่แล้วความปวดแปลบที่ศีรษะก็ทำให้สติหลุดลอยไปจนได้ พอตื่นมาอีกทีก็ไม่รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน

สภาพของสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นห้องที่ทำจากไม้ ไม่มีอะไรตกแต่งทั้งสิ้นนอกจากเก้าอี้หนึ่งตัวที่วางอยู่ไม่ไกลนัก แม้สองแขนจะถูกพันธนาการด้วยเชือก ทั้งยังเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย หากดวงตาคู่สวยก็ยังคงกวาดมองไปรอบด้านอย่างมีสติ

มีหน้าต่างหนึ่งบาน...แถมขายังไม่โดนมัด จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ

“รอข้างนอก”

“ครับคุณหญิง”

ร่างที่เพิ่งพยุงตัวลุกขึ้นสำรวจห้องรีบทรุดตัวเอนพิงกำแพงห้องอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอก ภีมภัทรค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นเสียงของมินตรา แม่แท้ๆ ของพี่จักร และการที่เธอเปิดประตูเข้ามาจริงๆ ก็นับเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี

“ตื่นแล้วเหรอ” เจ้าของร่างบอบบางเหยียดยิ้มขณะนั่งลงบนเก้าอี้ที่เป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวในห้องนี้ แววตาหยามเหยียดกวาดมองสภาพคนของลูกชายด้วยความสะใจที่ฉายชัดทางสีหน้า

“ครับ ตื่นแล้ว”

ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเมื่อเห็นสีหน้าสงบไร้ซึ่งความหวาดกลัวของคนตรงหน้า แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอเป็นต่อ รอยยิ้มเหยียดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ระหว่างรอลูกทรพีของฉัน เธออยากจะถามอะไรไหม”

นี่เล่นตามบทคนร้ายในละครเลยนี่นา...

ภีมภัทรคิดในใจหน่ายๆ ถ้าไม่ติดว่าไม่เหมาะเขาคงหัวเราะออกมาแล้ว แต่ในเมื่อเปิดโอกาสให้แบบนี้ จะถามสักข้อสองข้อคงไม่เป็นไร

“คิดว่าการที่เกรย์ยอมทำลายหลักฐานหรือพี่จักรยอมถอยหลังให้มันจะทำให้คุณอยู่รอดต่อไปได้เหรอ”

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก...” มินตราหัวเราะเหมือนได้รับคำถามถูกใจ “ฉันจะเอาคิงกลับไปด้วย จะขังมันไว้แล้วล่ามโซ่ที่คอมัน ดูสิว่าคราวนี้ไอ้เด็กเวรนั่นยังจะกล้ามายุ่งเรื่องของฉันอีกไหม”

ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างสวยสง่าเหมือนจะฆ่าให้ตายเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าเหล่านั้น คิดไว้แล้วไม่มีผิด...ผู้หญิงคนนี้วางแผนไว้หมดแล้ว และเธอคิดจะเอาพี่จักรของเขากลับไปจริงๆ แถมยังจะทำร้ายเขาให้มากกว่าเดิมอีกต่างหาก

“โรคจิต...”

เสียงหัวเราะหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินคำพูดไม่เบานักจากปากตัวประกัน

“แกว่าไงนะ”

ภีมภัทรเงยหน้า ดวงตาคู่สวยทอประกายเชือดเฉือนขณะย้ำคำพูดสั้นห้วนไร้มารยาทของตนด้วยความหนักแน่น

“บอก...ว่า...โรค...จิต”

“ไอ้เด็กเวร!”

มินตราลุกขึ้นและก้าวเท้าเข้าหาคนที่นั่งหมดแรงพิงกำแพงอยู่อย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้คิดจะทำอะไรเด็กนี่ไปมากกว่านี้ แต่ในเมื่อมันปากดี บีบคอให้หายแค้นสักรอบคงไม่ถึงตาย ทว่าในวินาทีนั้นเองที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางของคนเจ็บ ร่างบางที่กำลังก้าวเท้าเข้าหาชะงักกึก สัญชาตญาณร้องเตือนให้ถอยห่าง แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อคนที่ควรจะไร้เรี่ยวแรงพุ่งเข้ามาคว้าคอเธอไว้ด้วยมือเดียว

“แค่ก...กะ...แก”

“ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเป็นผู้ชาย เป็นเพศที่ถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งกว่าคุณ ถึงจะไม่อยากทำร้ายผู้หญิง แต่เวลาจนตรอกคนเรามันทำได้ทุกอย่าง คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ”

ภีมภัทรออกแรงกำรอบลำคอบอบบางมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังพูดได้ เขากดร่างหญิงสาวลงกับพื้น มือที่ว่างใช้ปิดปากที่กำลังไอแล้วจึงปล่อยอีกมือออกก่อนที่จะได้ฆ่าคนตายจริงๆ

“คุณ...จับผิดคนแล้ว”

เขาไม่ใช่คนที่จะงอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญ...เขาจะไม่ยอมให้พี่จักรต้องมาลำบากไปด้วยเด็ดขาด

“ทีนี้ผมจะใช้วิธีอะไรหนีไปดีนะ” ร่างโปร่งพึมพำเบาๆ ขณะมองสำรวจรอบห้องอีกครั้ง “ถ้าให้เดาที่นี่คงเป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ กลางป่า เพราะงั้นถึงได้ยินเสียงสัตว์ด้านนอกชัดนัด แย่หน่อยที่ไม่รู้ว่ามีคนของคุณอยู่กี่คน”

สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปจบอยู่ที่หน้าต่างไม้ซึ่งเปิดแง้มอยู่

“เอาแบบนี้แล้วกัน...”

ภีมภัทรพยุงร่างมินตราให้ยืนขึ้นตาม เขาสบกับดวงตาแดงก่ำของเธอนิ่งแล้วตัดสินใจในที่สุด

“ผมล่ะอยากฆ่าคุณนัก...” ข้อหาที่กล้าทำร้ายพี่จักร

สิ้นคำเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดก็ถูกใช้ไปกับการยกตัวหญิงสาวแล้วเหวี่ยงเธอออกไปนอกหน้าต่างอย่างแรงโดยไม่ออมมือ

“กรี๊ดดดดดดดดด!”

“คุณหญิง!”

เสียงกรีดร้องจากจุดที่ไกลจากตัวบ้านคงล่อให้เหล่าบอดี้การ์ดรีบวิ่งไปทางนั้นได้ไม่น้อย ภีมภัทรรออยู่หลังประตู จวบจนการ์ดคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาเขาจึงใช้ศอกเหวี่ยงใส่หน้าหนุ่มร่างยักษ์อย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มลง และคงเป็นโชคดีที่มีคนเข้ามาเพียงคนเดียว ร่างโปร่งจึงสามารถวิ่งหนีออกไปด้านนอกได้ในที่สุด

ภีมภัทรไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นั่นมานานขนาดไหน แต่ท้องฟ้ามืดสนิทในยามนี้ทำให้เขารู้ว่าตัวเองน่าจะหายมานานพอควร ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่จักรจะเป็นยังไงบ้าง

“ไปทางนั้น!” เสียงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังหนีสะดุ้งน้อยๆ โชคดีที่ภีมภัทรสังเกตมาตั้งแต่ตอนโดนจับว่าคนพวกนี้ไม่มีปืน อาจเพราะไม่กล้าพกข้ามประเทศหรือมินตราไม่คิดว่าต้องใช้ก็ตาม แต่มันก็นับเป็นเรื่องดี

แม้จะเจ็บไปทั้งร่างกายซ้ำยังปวดเท้าที่เปลือยเปล่าไปหมด แต่นอกจากกอดตัวเองไว้แล้ววิ่งต่อภีมภัทรก็มองไม่เห็นหนทางอื่นอีก มือเรียวข้างหนึ่งกุมมีดตอนกิ่งที่ช่วยให้เขาตัดเชือกขาดจนหลุดจากการจับกุมมาได้แน่น ดวงตาคู่สวยที่อ่อนล้าขึ้นทุกขณะสอดส่องมองหาสถานที่หลบภัยเมื่อคิดว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว จนสุดท้ายร่างโปร่งจึงทรุดตัวลงนั่งหลังโขดหินที่อยู่ติดกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

โทรศัพท์ก็โดนยึดไปแล้ว เอายังไงดีนะ...

ภีมภัทรเดาได้ไม่ยากว่าการจับตัวเขามาในครั้งนี้จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคืออะไร คงต้องการให้เกรย์ทำลายหลักฐานทั้งหมดที่มีเป็นประเด็นหลัก ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวบอกว่าจะเอาพี่จักรกลับไปเพื่อให้มั่นใจว่าเกรย์จะไม่กล้าทำอะไรอีก เขาคิดว่ามินตราคงคิดจะทำจริงๆ แต่ดูแล้วเธอคงยังไม่รู้จักเกรย์ดีพอ พี่จักรเคยเล่าเรื่องเกรย์ให้เขาฟัง ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา แค่จับพี่จักรไปไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าประมุขเสียใจขึ้นมา ถึงตอนนั้นเธอคงไม่ได้โดนส่งเข้าคุกเฉยๆ แน่

“ออกมาดีๆ จะได้ไม่เจ็บตัว”

คนที่กำลังนั่งพักสูดหายใจเข้าจนสุดเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นไม่ไกลนัก เขาขยับกายมุดไปอยู่ตรงช่องว่างเล็กๆ ที่ดูมืดมิดไม่เป็นจุดสังเกต เฝ้ารอจนเห็นกลุ่มฝรั่งตัวโตเดินจากไปทางอื่นแล้วจึงผงกหัวกลับมาดูทิศทางเหมือนเดิม

“พี่จักร...” ริมฝีปากซีดพึมพำเสียงแผ่ว แม้ร่างกายอ่อนล้าเต็มทีแต่ใจกลับบอกให้สู้ต่อและเดินไปข้างหน้า ภาพใบหน้าเย็นชาของคนสำคัญที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำทำให้เรี่ยวแรงที่เริ่มขาดหายฟื้นกลับมาอีกครั้ง ภีมภัทรจิกเล็บลงบนท่อนแขนเพื่อเรียกสติ ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบด้านอีกครั้งอย่างสำรวจ ครั้งนี้เขามองเห็นชัดกว่าเดิมมากเพราะเริ่มเคยชินกับความมืด

ป่าที่มืดมิดแห่งนี้คงไม่ได้อยู่ห่างไกลจากสวนรังสิมันตุ์นัก ดูจากลักษณะแล้วคนในพื้นที่อย่างเขาย่อมรู้ว่ามันเป็นป่าที่มีเฉพาะในแถบนี้ ยิ่งประกอบกับเรื่องเวลาที่หลับไปและตื่นขึ้นมาใหม่ก็ยิ่งชัดเจน มินตราน่าจะพาตัวเขามาที่ป่าอีกแถบหนึ่ง อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับสวนรังสิมันตุ์ แถมใกล้ๆ จุดที่เขาอยู่ตอนนี้ยังมีบ่อน้ำอยู่ด้วย แสดงว่าต้องมีบ้านคนหรือไร่ของใครอยู่แถวนี้แน่

ต้องหาคนให้เจอก่อน...

ภีมภัทรวิ่งไปในทิศทางที่เขาเห็นบ่อน้ำ ก่อนรอยยิ้มกว้างจะเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นสายยางต่อยาวไปในทิศทางหนึ่ง  ไม่ต้องคิดต่อให้มากความเจ้าตัวก็รีบเดินตามทางไปในทันทีโดยไม่ลืมสังเกตรอบกายอย่างละเอียดตามประสาคนรอบคอบ

“ไร่อาชาวิน”

เพียงแค่เห็นรั้วลวดหนามที่ถูกย้อมเป็นสีขาวเขาก็มั่นใจในทันทีว่าสถานที่ที่เจอคือที่ไหน มาโชคร้ายก็ตรงที่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นด้านหลังเข้าพอดี ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบยกขาขึ้นเหยียบลวดโดยระวังที่สุด แต่ถึงอย่างไรเมื่อปีนข้ามมาได้แล้วมือและเท้าของเขาก็ยังโดนบาดจนเป็นแผลอยู่ดี

ภีมภัทรวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าที่ร่างกายเอื้ออำนวย คาดหวังเพียงให้ใครสักคนในไร่มาเจอ เพียงเท่านั้นเขาก็จะติดต่อกับคนของตัวเองได้เสียที

“นั่นใครน่ะ!” เสียงตะโกนถามพร้อมแสงไฟที่ส่องมาโดยตรงทำให้ต้องหลับตานิ่ง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นบังใบหน้าเอาไว้ขณะที่หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความคาดหวัง

“ผม…”

“คุณภีม! นั่นคุณภีมหรือครับ!”

ภีมภัทรค่อยๆ ลดแขนลงเมื่อแสงไฟที่ส่องหน้าดับไป เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตา และเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้า ความยินดีก็เข้ามาแทนที่แทบจะทันที

“ลุงโสม!”







ประมุขเคยคิดว่าจักรพรรดิในยามบันดาลโทสะน่ากลัวมากจนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าในยามนี้...เมื่อได้มาเห็นพี่ชายในโหมดนิ่งเงียบแต่สายตาฆ่าคนได้ เขาคิดว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า คิดแล้วก็ขยับกายเข้าหาเกรย์มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว มารู้ว่าตัวเองตัวสั่นก็ตอนที่แขนแกร่งของคนข้างกายเอื้อมมากอดเอวไว้ให้คลายกังวล

“เกรย์...” ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจ้าของชื่อพลางพยักพเยิดให้พูดอะไรสักอย่างกับพี่ชายตนเอง แต่เกรย์กลับส่ายหน้าแล้วก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กเสียงค่อย

“คิงในเวลานี้ไม่น่าคุยด้วยเท่าไหร่หรอก”

แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นจักรพรรดิเป็นแบบนี้เหมือนกัน หากมันไม่ใช่เรื่องที่เดายากเลยสักนิด ลองคิดว่าถ้าลูกแกะต้องหายตัวไปกับศัตรูแบบภีมภัทร เป็นเขาก็คงไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น...นอกจากอยากไปไล่ฆ่าให้คนทำมันตายทั้งฝูง

“แต่มันแปลกนะเกรย์...ถ้าจับตัวภีมไปเพราะต้องการอะไรบางอย่าง ทำไมถึงยังไม่ติดต่อมาเสียที” แม้แต่คนหัวช้าอย่างประมุขยังสังเกตเห็นความจริงข้อนี้ มีหรือที่สองหนุ่มจะไม่รู้ เพราะงั้นเกรย์จึงส่งคนออกไปตามหาตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน

“แสดงว่ายัยแม่มดนั่นยังไม่ได้ตัวดอกไม้ของจักรพรรดิยังไงล่ะ”

“หมายความว่าภีมหนีได้เหรอ...” ประมุขเบิกตากว้างด้วยความดีใจและตกใจไปพร้อมๆ กัน

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเป็นแบบนั้น”

จักรพรรดิไม่ได้สนใจเรื่องที่น้องชายกำลังคุยกับเพื่อนสนิท สายตาเขาจับจ้องเพียงโทรศัพท์ของเกรย์ในฝ่ามือตัวเอง เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีการติดต่อมาว่ามีอะไรคืบหน้าแล้วบ้าง

“จักร!” น้ำเสียงร้อนรนจากคนที่เพิ่งมาถึงเรียกความสนใจจากจักรพรรดิได้ไม่น้อย เจ้าของร่างสูงใหญ่เข็นล้อรถเข้าไปหาเจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดหลังเขาโทรไปเล่าเรื่องราว ก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่คุ้นชินนัก

เป็นครั้งแรกที่ยอมก้มหัวให้คนอื่นในรอบสิบปี...

“ผมขอโทษที่ทำให้ภีมเป็นอันตราย”

วิบูลย์ที่กำลังตกใจรีบรับไหว้แล้วเดินเข้าไปแตะไหล่กว้างเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เจ้าของไหล่เงยหน้า ชายสูงวัยกว่าถอนหายใจพลางส่งสายตาอาทรไปให้หลายชายเหมือนเช่นทุกครั้ง

“มันไม่ใช่ความผิดจักร อย่าโทษตัวเองเลย”

“ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความผิดของผมที่ไม่สามารถปกป้องภีมได้อยู่ดี” ทั้งที่อยู่ใกล้กันถึงขนาดนี้ แต่กลับปล่อยให้มีคนเอาตัวไปได้ มันเป็นเพราะเขาไม่เลือกทางที่ถูกต้องตั้งแต่แรก

“ตัวจริงเจ้าภีมมันไม่ใช่เด็กน้อยใสๆ หรืออ่อนโยนแบบเวลาอยู่กับจักรหรอกนะ” คนที่รู้จักภีมภัทรดีกว่าใครคลี่ยิ้มจางทั้งที่ตนเองก็นึกห่วงลูกชายอยู่ไม่น้อย “เชื่ออาเถอะว่าภีมจะต้องไม่เป็นไร”

หัวอกคนเป็นพ่อที่มีลูกชายเพียงคนเดียวมีหรือจะไม่นึกห่วง แต่เขาต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่และมีสติให้ได้มากที่สุด นอกจากตำรวจที่ช่วยออกตามหาแล้วยังมีเกรย์ซึ่งเป็นเพื่อนของจักรพรรดิช่วยด้วยอีกแรง ภีมต้องไม่เป็นไร...วิบูลย์บอกตัวเองเช่นนั้น

แต่ถ้าภีมเป็นอะไรไปล่ะ...

ดวงตาคมทอแววปวดร้าว หัวใจบีบรัดจนปวดไปหมด ยามนี้จักรพรรดิไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับร่างกาย เขาต้องการรู้แค่ว่าเด็กน้อยยังปลอดภัย...ขอแค่เด็กน้อยของเขาปลอดภัย

ภีม...

“ภีม…”

ได้โปรด...

ครืด

มือใหญ่กดรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังออกมา ก่อนเสียงทุ้มต่ำจากปลายสายจะพูดประโยคที่เขาต้องการฟังออกมาในที่สุด

[คนร้ายถูกจับไว้หมดแล้ว ได้รับการยืนยันว่าเป้าหมายหนีไปได้อย่างปลอดภัย กำลังเร่งทำการค้นหาครับ]

ดวงตาคมหลุบลงต่ำขณะแย้มรอยยิ้มยินดี หัวใจที่หนักเหมือนมีหินถ่วงทับไว้นับร้อยก้อนเบาขึ้นมากโขราวกับมีใครมายกมันออกไป แต่แล้วในวินาทีถัดมาดวงตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวเย็นชา แม้ยามถ่ายทอดคำสั่งดุดันก็ยังไม่มีแม้ความลังเลในน้ำเสียง

“มัดพวกมันไว้ให้แน่น ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ เจอภีมเมื่อไหร่ฉันจะไปจัดการเอง”

[แล้วคนที่เป็นผู้หญิง...]

“ไม่มีสิทธิ์พิเศษอะไรทั้งนั้น”

[รับทราบ]

จักรพรรดิเงยหน้ามองบรรดาคนที่กำลังรอลุ้นกับคำพูดของเขา ชายหนุ่มหันหน้าไปหาบิดาของภีมภัทรเป็นคนแรก จากนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คนร้ายถูกจับไว้หมดแล้ว ส่วนภีมดูเหมือนจะหนีไปได้ กำลังเร่งตามหา”

วิบูลย์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือใหญ่ตบเบาๆ ที่ไหล่ของจักรพรรดิเป็นการปลอบทั้งตนเองและอีกคน ในขณะที่ประมุขร้องดีใจออกมาเสียงดังจนออกนอกหน้า แล้วก็โดนคนข้างกายเอามือปิดปากไปตามระเบียบ

“จักร” เกรย์ที่เงียบไปนานเรียกชื่อเพื่อนให้หันมาสนใจด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนคนที่ก้มหน้ายิ้มยินดีอยู่ต้องหันกลับไปมอง “จะเอายังไงกับคนพวกนั้น”

สิ้นประโยคคำถามใบหน้าคมคายยินดีพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายน่ากลัว ดวงตาคมไม่มีวี่แววของความเห็นใจหรือความลังเลใดใดอยู่อีก แม้ยามพูดประโยคแรกที่ออกมาจากใจจริงก็ไม่มีท่าทีเหมือนจะล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“ใจจริงฉันอยากฆ่ามันนัก” โชคดีที่ในห้องนี้นอกจากเกรย์แล้วไม่มีใครฟังภาษาฝรั่งเศสออก มิเช่นนั้นจักรพรรดิคงถูกมองด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว “ส่งหลักฐานทั้งหมดที่มีนำไปให้ตำรวจก่อน ขอให้ฉันได้คุยอะไรด้วยสักหน่อยแล้วค่อยส่งตัวกลับไปดำเนินคดี”

“จะเอาข้อหาหนักขนาดไหน”

“หนักที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

เกรย์หัวเราะเบาๆ อย่างนึกสนุก โทรศัพท์ของตัวเองที่ถูกยึดไปรอฟังข่าวถูกโยนคืนมาให้เมื่อหมดประโยชน์ เขาส่ายหน้าหน่ายกับความไร้มารยาทของเพื่อน ใช่ว่ามันไม่รู้เสียหน่อยว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีมูลค่ามหาศาล แต่เพราะมันไม่สนใจว่าอะไรจะเป็นตายร้ายดียังไงถึงได้กล้าทำ

ดูท่าจิตใจด้านดีคงจะจางหายไปด้วยยามไม่มีเด็กน้อยของตัวเองยืนอยู่ข้างๆ

เมื่อไม่มีเรื่องใดให้พูดคุยต่อบรรยากาศจึงกลับมาสงบเงียบและเคร่งเครียดอีกครั้ง ถึงตอนนี้จะมั่นได้ว่าภีมภัทรปลอดภัยแล้ว แต่สำหรับคนที่อยากเห็นหน้าและอยากให้กลับมาอยู่ข้างกายคงยังไม่อาจคลายกังวล นานหลายนาทีที่พวกเขาเอาแต่เงียบกันอยู่แบบนั้น จวบจนเมื่อเสียงโทรศัพท์ของจักรพรรดิดังขึ้น ทุกสายตาถึงได้หันกลับไปจับจ้องเขาอีกครั้ง

เบอร์แปลก...แถมยังโทรเข้ามาในเวลานี้

ไม่ต้องคิดให้มากความมือใหญ่ก็รีบกดรับโทรศัพท์ ใจภาวนาเป็นร้อยๆ รอบขอให้เป็นสายจากคนที่คาดหวัง

[พี่จักร...]

“ภีม…” เสียงเรียกขานราวกับคนที่กำลังบาดเจ็บและได้รับความช่วยเหลือของเขาทำให้ประมุขน้ำตาคลอ

จักรพรรดิไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดให้ใครเห็นเลยนับตั้งแต่ภีมภัทรหายตัวไป มีเพียงความน่ากลัวเท่านั้นที่ส่งผ่านมาทางสีหน้า แต่เขาก็รู้...รู้ว่าภายในใจของพี่ชายกำลังหวาดกลัวและเจ็บปวดมากเพียงใด เพียงแค่ไม่อยากให้ใครเห็นมันก็เท่านั้น

โชคดีจริงๆ ที่ภีมไม่เป็นไร...

“ภีม...อยู่ที่ไหน”

[ภีมอยู่ที่ไร่อาชาวินครับ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสดใส [ภีมไม่เป็นไรเลย ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายด้วย พี่จักรไม่ต้องเป็นห่วงนะ]

“ภีม…”

[พรุ่งนี้คนที่ไร่จะพาภีมไปส่ง พี่จักรนอนไปก่อนได้เลยนะ]

“ภีมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ดวงตาคู่คมแดงก่ำยามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

[ไม่...ไม่เจ็บ]

ไม่เจ็บแล้วทำไมเสียงสั่นแบบนั้น

“ภีม…”

[พี่จักรนอน...]

“พี่จะไปหา...” เขาเอ่ยแทรกเสียงสั่นๆ ที่พยายามบังคับให้สดใสของเด็กน้อย ก่อนจะย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้งให้ภีมภัทรมั่นใจ “พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้”

[…]

“…”

เนิ่นนานกว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังแทบใจสลาย

[รีบมานะครับ]


.
.
(ต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
«ตอบ #151 เมื่อ19-05-2018 21:17:00 »


ไร่อาชาวินเป็นคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันกับสวนรังสิมันตุ์มานาน หลายครั้งหลายคราที่ภีมภัทรได้รับการไหว้วานจากบิดาให้มาส่งของหรือมาคุยเรื่องธุรกิจแทนจนทำให้เขารู้จักคนงานและเจ้าของไร่เป็นอย่างดี ทั้งสองไร่แม้จะอยู่ห่างกันคนละทิศแต่ก็พึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกนักที่เจ้าของไร่อย่างอริศราจะรักและเอ็นดูภีมภัทรเสมือนเป็นลูกชายแท้ๆ ของเธอเอง

“หนูภีม ให้น้าทำแผลให้ก่อนเถอะนะจ๊ะ”

นับจากหนีเข้ามาในไร่จนได้รับความช่วยเหลือแล้ว ร่างโปร่งก็ยังไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังยอมพูดแค่ตอนขอยืมโทรศัพท์โทรหาคนที่บ้าน จากนั้นก็เอาแต่ส่ายหน้าไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้นจนเหล่าคนงานพากันถอดใจ ถึงได้เป็นคิวของอริศราที่ต้องเข้ามาพูดคุยด้วยตนเอง

เพียงแค่มองสภาพภายนอกของเด็กชายที่เธอรักเหมือนลูก อริศราก็รู้แล้วว่าเขาคงไปเจอเรื่องร้ายมา ทว่าน่าแปลกตรงที่แม้จะไม่ยอมพูดคุยหรือให้ใครเข้าใกล้ แต่ภีมภัทรก็ยังนั่งตัวตรง ทั้งยังไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอจะเห็นเขาแสดงอารมณ์ปวดร้าวออกมาให้เห็นแค่ตอนคุยโทรศัพท์ครู่เดียวเท่านั้น

ดูท่าว่าเด็กคนนี้คงจะรอใครบางคนอยู่...ใครบางคนที่เขาจะยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น

ถึงจะรู้แบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่อยากปล่อยให้เขานั่งรอทั้งที่มีบาดแผลทั่วทั้งตัวแบบนี้อยู่ดี คงต้องลองเสี่ยงดูสักรอบ

“จะดีเหรอจ๊ะถ้าจะให้คนคนนั้นเขามาเห็นหนูในสภาพมีแผลเต็มตัวแบบนี้”

ได้ผลจริงๆ...แววตาเริ่มมีความลังเลแล้ว

“ผม…”

“นายครับ! มีคนมาเต็มเลยครับนาย!” เสียงตื่นตกใจของคนงานทำให้นายหญิงของไร่จำต้องหันกลับไปมองแต่โดยดี แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปดูด้านนอก คนเหล่านั้นที่ว่าก็พากันเข้ามาข้างในก่อนแล้ว

“คุณวิบูลย์” เธอเรียกอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะพาคนมาเยอะขนาดนี้ แถมยังมีชาวต่างชาติใส่ชุดดำอยู่หลายคนอีก ดูท่าเรื่องที่หลานภีมของเธอบาดเจ็บคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นแน่

“ไปคุยกันทางนั้นเถอะคุณอริศ”

เมื่อผู้ใหญ่เดินแยกไปคุยกันเอง ซ้ำเกรย์กับประมุขและบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ยังไม่คิดจะเข้ามาด้านใน ภีมภัทรจึงได้สบดวงตาคู่คมของคนที่กำลังเข็นรถเข้ามาหาในที่สุด

เกือบแปดชั่วโมงที่ไม่ได้เจอกันและเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย...

ทั้งที่มีสติ อดทน และบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรสำเร็จมาโดยตลอด แต่เมื่อได้เห็นหน้าของคนคนนี้ก็ดูราวกับความอดทนทั้งหมดที่มีจางหายไป ความเจ็บปวดที่อดกลั้นไว้กลับมาทำร้ายจนร่างกายสั่นสะท้าน สองตาปวดร้าวแดงก่ำมีหยาดน้ำใสไหลคลอจวนเจียนจะหยดออกมาได้ตลอดเวลา และสุดท้ายเมื่อจักรพรรดิมาหยุดอยู่ตรงหน้า...เมื่อเขาย้ายมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันและอ้าแขนออก ทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทลายลง

“พี่...พี่จักร...”

จักรพรรดิกอดร่างโปร่งไว้เต็มอ้อมแขน ร่างกายสั่นสะท้านกับเสียงร้องไห้เบาๆ ที่ไม่ได้สะอึกสะอื้นทำให้เขาปวดใจไม่น้อย ภาพภีมภัทรที่ดูไร้ความรู้สึกยามเจอกันในตอนแรกยังคงฉายชัดให้เห็นและบอกให้รู้ว่าเด็กน้อยอดทนมามากเพียงใด

แต่ตอนนี้พี่อยู่ตรงนี้...ภีมไม่ต้องอดทนอีกแล้ว

“พี่อยู่นี่...เด็กดี” มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ เป็นการปลอบประโลม ใจนึกอยากกระชับอ้อมแขนให้แน่น แต่ก็กลัวว่าจะไปกระทบโดนบาดแผลที่กระจายอยู่ทั่วร่าง เพียงแค่นึกถึงสิ่งที่ภีมภัทรต้องเจอ ดวงตาอ่อนโยนยามมองคนในอ้อมแขนก็ทอประกายดุดันน่าหวาดหวั่น

ถ้าเขายังเป็นคนเดิมคนเดียวกับตอนอยู่ฝรั่งเศส...มันจะไม่จบแค่เอาตัวส่งให้ตำรวจแน่

“พี่...พี่จักร” ภีมภัทรผละตัวออกเล็กน้อยพลางเงยหน้ามอง ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างจับจ้องคนที่กอดตัวเองไว้นิ่งเหมือนจะยืนยันว่าเป็นตัวจริงแน่ใช่ไหม “คนพวกนั้น...”

“จับได้หมดแล้ว” เขาตอบเสียงอ่อนโยนขณะเลื่อนมือไปเกลี่ยแก้มช้ำเบาๆ

ยิ่งเห็นบาดแผลใจก็ยิ่งลุกไหม้ด้วยความแค้น ไม่สาสม...แค่ส่งให้ตำรวจมันไม่สาสมเลยสักนิด

“พี่จะทำยังไงกับพวกเขาครับ”

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย เราทำแผลแล้วพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันอีกที” จักรพรรดิดึงคนตัวเล็กกว่ามากอดอีกครั้งก่อนจะส่งสัญญาณให้คนเอาอุปกรณ์ทำแผลเข้ามา

ภีมภัทรยอมทำตามคำพูดนั้นโดยไม่ถามอะไรอีก เพราะเขาในตอนนี้ทั้งง่วงและแทบหมดแรงเต็มที แต่เมื่อเห็นคนแปลกหน้าถือกล่องยาเดินเข้ามาใกล้ ร่างโปร่งก็ขยับเข้าไปหาจักรพรรดิจนชิดทั้งยังกำชายเสื้อเขาไว้แน่น

“ไม่เป็นไร” คนด้านข้างปลอบประโลมแล้วดันหัวเล็กให้ซุกอยู่ที่ไหล่โดยหันใบหน้าออกไปด้านนอก “เขาเป็นทีมแพทย์ของเกรย์ ให้เขาทำแผลให้ภีมนะ”

“พี่จักรอย่าไปไหนนะ...”

“พี่ไม่ไปไหนหรอก หลับเถอะ” เขากระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูขาวก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้หมอเข้ามาทำแผลได้เมื่อภีมภัทรยอมหลับตาลง

แพทย์สนามคนสนิทของเกรย์ทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ แม้เขาจะหวาดหวั่นกับสายตาของเพื่อนเจ้านายมากเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดจนคนเจ็บต้องสะดุ้งตื่น เมื่อทำแผลเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าวรายงานเสียงเรียบ

“ไม่มีอะไรเป็นอันตรายครับ บาดแผลภายนอกน่าจะเกิดจากโดนกิ่งไม้ขูด ส่วนที่เท้าดูเหมือนจะไปเหยียบหนามอะไรมาประกอบกับเดินเท้าเปล่ามากไปเลยเป็นแผล นอกนั้นก็เป็นอาการบอบช้ำจากการโดนทำร้าย ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นบริเวณหน้าท้อง เหมือนจะโดน...มาหลายที ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่คงปวดน่าดู ผมจะจัดยากินกับยาทาไว้ให้ ไม่นานก็หายครับ”

“อืม” จักรพรรดิส่งเสียงตอบรับเป็นเชิงบอกให้ไปได้ แพทย์หนุ่มจึงเก็บข้าวของทั้งหมดแล้วถอยไปยืนอยู่หลังเจ้านายเช่นเดิม

สุดท้ายหลังจากเจ้าของไร่ทั้งสองแยกตัวไปคุยกันก็ได้ข้อสรุปว่าอริศราเต็มใจให้ที่พักแก่คนทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งคืนเพราะที่บ้านของเธอมีห้องมากมายที่ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว และเมื่อได้เข้ามาอยู่กันสองคนในห้อง จักรพรรดิจึงได้แสดงความอ่อนแอออกมาผ่านทางแววตายามมองคนที่หลับใหลอยู่ข้างกาย

“จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก...พี่สัญญา” ริมฝีปากหยักกดทับเบาๆ บนหน้าผากมนเพื่อย้ำให้รู้ว่าเขาจริงจังมากเพียงใด ต่อจากนี้ภีมของเขาจะต้องปลอดภัยและจะไม่มีใครมาทำให้เจ็บช้ำได้อีกเป็นอันขาด

ความรู้สึกราวกับดวงใจหล่นหายเมื่อรู้ว่าภีมภัทรตกอยู่ในอันตรายยังคงย้ำเตือนเขาอยู่ตลอดเวลาว่าคนตรงหน้าสำคัญมากเพียงใด แต่ที่ยิ่งกว่าความรู้สึกนั้นคือยามที่รู้ตัวว่าโกรธแทบตายเขากลับยังมีสติ ไม่ได้ระบายโทสะออกมาแบบที่เคยเป็น ทุกอย่างเป็นเพราะความอ่อนโยนที่ได้รับมันแทรกซึมเข้ามาในใจโดยไม่รู้ตัว และมันทำให้ตัวเขาก่อนที่จะกลายเป็นคนเลือดเย็นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

มินตราควรจะขอบคุณที่ภีมภัทรเปลี่ยนเขาได้ทัน...ก่อนที่จะเผลอฆ่าหล่อนจริงๆ

“พี่จักร...”

จักรพรรดิก้มลงมองคนที่กำลังปรือตามองหน้าเขา นิ้วมือที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มใสไล้ไปมาเบาๆ ราวกับจะปลอบเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยวเหมือนกำลังเจ็บปวด

“ว่ายังไง” เสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม

“วันนี้ภีมบีบคอแม่พี่ด้วย...”

“หืม”

“แล้วภีมยังจับแม่พี่โยนออกนอกหน้าต่าง ลืมคิดไปเลยว่าถ้าเป็นบ้านสองชั้นหรือมีใต้ถุนจะเป็นยังไง” คนพูดหัวเราะคิกคักเบาๆ ไม่ได้มีท่าทีรู้สึกผิดอะไรแม้ตาใกล้ปิดเต็มทน “เขาบอกว่าจะเอาพี่จักรกลับไป จะทำให้พี่จักรเจ็บอีก ภีมโมโห ภีมเกลียด...แล้วภีมก็เห็นแก่ตัว ภีมไม่อยากให้พี่จักรไปไหน ไม่อยากให้ใครเอาพี่จักรไปจากภีมทั้งนั้น”

“…”

“ภีมเป็นเด็กไม่ดี พี่จักรจะทิ้งภีมไปหรือเปล่า” ภีมภัทรยกมือสั่นๆ ของตัวเองขึ้นดึงคอเสื้อของอีกคนไว้ขณะส่งแววตาขอร้องออดอ้อนไปให้

“...” จักรพรรดิมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะหัวเราะก็ไม่รู้ว่าถูกเวลาหรือเปล่า สุดท้ายจึงได้แต่กำมือเรียวเอาไว้แน่นเป็นคำตอบว่าจะไม่ทิ้งไปไหนเด็ดขาด แต่ในขณะที่เขากำลังจะพลิกตัวไปนอนด้านข้างเพราะเห็นอีกฝ่ายหลับตาไปแล้วนั่นเอง...

“ภีมรักพี่จักร”

ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของคนขี้โกง ใจนึกอยากเขย่าตัวคนเจ็บให้ตื่นขึ้นมาพูดให้ชัด แต่เมื่อเห็นภาพบาดแผลมากมายบนร่างกายก็ทำไม่ลง

มาสารภาพแล้วชิงหลับไปแบบนี้...ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“เด็กโง่” สิ้นคำต่อว่าที่แสนเอ็นดู เจ้าของใบหน้าคมคายพลันโน้มใบหน้าเข้าหาคนหลับ ก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนราวกับจะให้คำมั่นสัญญา

สำคัญขนาดนี้...จะทิ้งไปได้ยังไง


————————


TALK: ภีมไม่อ่อนแอนะ ถ้าไม่ใช่กับพี่จักรก็เป็นคนน่ากลัวคนหนึ่งนี่แหละ ฮาา


ออฟไลน์ mayyiyi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #152 เมื่อ19-05-2018 21:42:20 »

จัดการให้สุดๆเลยพี่จักร แต่สมน้ำหน้าตอนโดนภีมจับโยนหน้าต่าง 5555 :z6:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #153 เมื่อ19-05-2018 21:57:03 »

ดีนะที่ภีมหนีมาได้ ไม่งั้นอาจจะโดนทำร้ายมากกว่านี้อีก ฮืออ

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #154 เมื่อ19-05-2018 21:59:29 »

ภีมไม่ใช่แค่น่ากลัวธรรมดา แต่โหดมากกกก
ไม่น่าเชื่อว่าจะจับผญ.โยนออกนอกหน้าต่าง!!
แบบดูรุนแรง คนละขั้วกับตอนปกติเลย

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #155 เมื่อ19-05-2018 22:06:40 »

ภีมจัดให้ไม่ต้องถึงมือพี่จักร  :z6:

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #156 เมื่อ19-05-2018 22:34:06 »

ผู้หญิงคนนั้นถูกจับโยนหน้าตานี่เบาไปนะ   น่าจะโดนหนักกว่านี้

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #157 เมื่อ19-05-2018 22:34:25 »

ผู้หญิงคนนั้นถูกจับโยนหน้าตานี่เบาไปนะ   น่าจะโดนหนักกว่านี้

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #158 เมื่อ20-05-2018 10:45:32 »

โยนมินตราออกนอกหน้าต่างเลยเหรอคะ  น้องภีมปลดล็อกดาร์กโหมดแล้วสินะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #159 เมื่อ20-05-2018 11:27:12 »

ภีมทำดีมากลูก  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
« ตอบ #159 เมื่อ: 20-05-2018 11:27:12 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #160 เมื่อ20-05-2018 12:09:40 »

ดีมากค่ะน้องภีมหนูทำดีมากลูกกกกกกกก

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #161 เมื่อ20-05-2018 12:31:59 »

คุณพ่อมองลูกชายทะลุปรุโปร่งมาก 555
ลูกชายเจ้าของอาณาจักรดอกไม้ คงไม่ใช่คนธรรมดา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #162 เมื่อ21-05-2018 18:52:39 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #163 เมื่อ22-05-2018 17:30:38 »

มินตราหาเรื่องตายก่อนจะได้แก่ตาย :hao3:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
«ตอบ #164 เมื่อ22-05-2018 19:54:51 »

-17-


เปลือกตาบางของคนเจ็บขยับขยุกขยิกเหมือนเจ้าตัวกำลังนอนหลับฝันถึงอะไรบางอย่าง หลายครั้งที่ทำท่าเหมือนจะลืมตาแต่ผ่านไปสักพักก็นิ่งไปอีก จักรพรรดิมองไม่ออกว่ามันเป็นฝันดีที่ควรปล่อยให้เด็กน้อยนอนต่อหรือเป็นฝันร้ายที่ควรปลุกให้ตื่น เขาจึงได้แต่ยื่นมือไปแตะหน้าผากเนียนเบาๆ เพื่อสัมผัสดูว่าอีกฝ่ายมีไข้หรือเปล่า เพราะหากมีก็คงต้องปลุกให้ลุกมากินข้าวกินยา แต่ถ้าไม่มีให้นอนต่อไปอีกนิดคงไม่เป็นไร

“ดีที่ไม่มีไข้” ผู้ที่ตื่นแต่เช้ามาเฝ้าดูอาการคนเจ็บพึมพำขณะยกมือเรียวขึ้นแนบริมฝีปาก แต่ดูเหมือนสัมผัสนุ่มหยุ่นที่กลางฝ่ามือจะทำให้คนที่กำลังหลับรู้สึกตัวในที่สุด

“พี่จักร...”

“พี่ทำให้ตื่นเหรอ”

ภีมภัทรส่ายหน้าจนเส้นผมกระจัดกระจาย ดวงตาคู่สวยดูงุนงงไม่น้อยเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบเห็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเมื่อรู้ว่ามีใครอยู่เคียงข้างความกังวลทั้งหมดก็จางหายไป มีเพียงความสงสัยที่ฉายชัดออกมาทางแววตา

“เรายังอยู่ไร่อาชาวินเหรอครับ”

ถึงเมื่อคืนหลังจากได้เห็นหน้าจักรพรรดิแล้วเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เจ็บปวดร่างกายไปหมดจนแทบสิ้นสติ แต่ชายหนุ่มก็ยังมีสติรับรู้เรื่องราวได้พอสมควร และแน่นอนว่าจำได้ด้วยว่าพูดอะไรออกไป คิดแล้วก็หน้าขึ้นสีด้วยความอับอายที่เผลอพูดจาเหมือนเด็กกลัวถูกทิ้ง

“ภีมเป็นอะไรหรือเปล่า” จักรพรรดิแตะแก้มขาวที่ยังมองเห็นรอยช้ำเบาๆ ทั้งยังพลิกไปมาเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของภีมภัทร นอกจากจะหน้าแดงไปหมดแล้วยังหลบตาอีก เขานึกเป็นห่วงจนลืมไปแล้วว่าท่าทีแบบนี้ตนเองก็เห็นอยู่บ่อยๆ จวบจนเมื่อมือเรียวนั้นยื่นมาแตะแขนเหมือนจะบอกให้หยุด สติที่เกือบจะจางหายไปเพราะความเป็นห่วงถึงกลับมาอีกครั้ง

“พี่จักร เมื่อคืน...” ปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่อยากจะพูดอยู่ในที จักรพรรดิมองท่าทางนั้นแล้วได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ กระทั่งได้ยินประโยคถัดมารอยยิ้มขันจึงปรากฏบนใบหน้า “ที่ภีมพูด”

“เรื่องไหนล่ะ”

“ก็...ที่บอกว่าเป็นเด็กไม่ดี” ภีมภัทรอ้อมแอ้มตอบ เสียงเบาหวิวเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่าอยากให้ใครอีกคนได้ยิน

“อ้อ…คิดว่าอีกเรื่อง”

คราวนี้คนป่วยตาโต แทบจะผุดลุกจากเตียงขึ้นไปเขย่าตัวคนพูด ติดอยู่ที่ปวดร่างกายไปหมดแถมยังไม่มีเรี่ยวแรง สุดท้ายได้แต่ถลึงตามองเป็นเชิงกดดัน

“ภีมพูดเรื่องอะไรไปอีก!”

นอกจากที่บอกว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีและกลัวพี่จักรโกรธ ภีมภัทรจำไม่ได้เลยว่าตัวเองพูดอะไรไปอีก เพราะภาพในสายตาเขามันตัดฉับไปตั้งแต่พูดจบแล้ว นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเผลอหลุดอะไรไปบ้าง

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

ก็แค่สารภาพรัก...

“พี่จักร!”

“มาพูดเรื่องเด็กไม่ดีกันดีกว่าไหม” จักรพรรดิตัดบทเพราะไม่อยากให้คนเจ็บคิดมาก และเพราะยังมีสิ่งที่ต้องการพูดคุยกับภีมภัทรให้เข้าใจกันเสียก่อน อีกอย่าง...ขืนบอกไปตรงๆ เด็กน้อยคงอายม้วนแล้วไม่ยอมคุยกันอีก เขาถึงได้เลือกหัวข้อเด็กไม่ดีขึ้นมาพูดเพื่อดึงดูดความสนใจ “พี่จะถามแล้วภีมก็ตอบมาตามตรง ตกลงไหม”

ภีมภัทรทำหน้าตาเหมือนไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่ก็ยอมพยักหน้าและพยายามพยุงตัวขึ้นนั่งเพื่อให้สะดวกกับการพูดคุยโดยมีจักรพรรดิให้ความช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง

“พี่จักรจะถามอะไรเหรอ"

“ก่อนอื่น...ภีมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้พี่ฟังหน่อย”

“ภีมเข้าไปรดน้ำต้นไม้ในเรือนกุหลาบ...” ดวงตาคู่สวยหม่นแสงลงเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็นในตอนนั้นคือภาพต้นกุหลาบสีน้ำเงินของเขาที่ล้มระเนระนาดทั้งยังโดนเหยียบย่ำไปมา

ภีมภัทรเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้จักรพรรดิฟังโดยไม่ข้ามเรื่องอะไรไปแม้แต่นิดเดียว แม้จะมีแอบเหลือบมองคนที่กำลังทำหน้านิ่งด้วยความกังวลน้อยๆ ยามพูดเรื่องสิ่งที่ทำกับมินตราเพื่อให้หนีออกมาได้ แต่เขาก็ยังเล่าต่อไปได้จนจบ

“ภีมเป็นเด็กไม่ดีเลยใช่ไหม” ลงท้ายด้วยการถามคำถามเดิมเสียงอ่อน

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” จักรพรรดิเชยคางคนที่กำลังก้มหน้าให้สบตาเขาอีกครั้งก่อนจะถามย้ำ “บอกพี่มาเถอะว่าภีมคิดอะไรอยู่”

“ก็ภีมทำร้ายคนอื่น...” ชายหนุ่มเริ่มพูดตอบด้วยเสียงสั่นไหว

“เขาทำร้ายภีมก่อน”

“ไม่ใช่แค่นั้น...” ภีมภัทรส่ายหน้า มือดึงผ้าห่มมาคลุมปิดใบหน้าตนเองไว้ เหลือเพียงดวงตาที่กำลังจ้องมองไปที่คนด้านข้างอย่างไม่แน่ใจนัก “ภีมทำทั้งที่ไม่รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีความลังเลอะไรเลย แล้วตอนนั้นภีมก็คิดว่า...ถ้าต้องทำร้ายเธอยิ่งกว่านั้นเพื่อให้พี่จักรไม่ไปไหน ภีมก็จะทำ”

“…”

“จริงๆ ภีมคิดไว้หลายอย่าง ตอนที่รู้เรื่องใหม่ๆ ก็คิดว่าจะติดต่อเต้แล้วขอให้ช่วย คิดไปถึงขั้นจะกำจัดเธอยังไงไม่ให้มาทำร้ายพี่จักรได้อีกด้วยซ้ำ”

“หืม...มีวางแผนจะช่วยพี่ด้วยเหรอ”

“ก็...คิดว่าอย่างน้อยจะจ้างบอดี้การ์ดมาเฝ้าเงียบๆ ไม่ให้พี่จักรรู้ ถ้าบุกเข้ามาหาเมื่อไหร่จะจับส่งตำรวจไปเลย” อ้อมแอ้มสารภาพแล้วก็หลุบตาลงต่ำ “คือจริงๆ ก็...ติดต่อไปแล้ว แต่เขาจะส่งคนมาพรุ่งนี้”

“หึ” จักรพรรดิไม่รู้จะยิ้มหรือหัวเราะก่อนดีเมื่อได้ฟัง สุดท้ายมันเลยกลายเป็นเสียงหึหึในลำคอให้คนหน้าแดงหันขวับมาถลึงตาใส่

“อย่าขำนะ...ก็ภีมช่วยได้แค่นี้นี่” อำนาจอะไรก็ไม่มีกับใครเขา แล้วจะให้ทำยังไงนอกจากใช้เงินแก้ปัญหา

“น่ารักดี”

“จะบอกว่าเป็นเด็กไม่ดีก็พูดมาเถอะ ภีมไม่ได้เป็นแบบที่พี่จักรคิดใช่ไหมล่ะ”

ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้...จะบอกว่าคิดเหมือนกันได้หรือเปล่านะ

“พี่คิดแค่ว่าภีมเป็นภีม เพราะงั้นจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก” เขาตอบกลับไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เด็กน้อยคิดอะไรไปมากกว่านี้ “จะเด็กน้อย เด็กดื้อ เด็กไม่ดี คนไหนก็คือภีมของพี่ทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

ภีมภัทรค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากกองผ้าห่ม แววตาเหมือนจะถามว่าจริงนะซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ แบบนี้คนมองจะไม่เอ็นดูได้ยังไงกัน รู้ตัวอีกทีก็ยื่นมือไปบีบจมูกรั้นด้วยความมันเขี้ยวไปแล้ว

“พี่ดีใจที่ภีมพยายามทำทุกอย่างเพื่อพี่ ขอบคุณนะ”

ส่วนเรื่องที่ไปทำอะไรไม่ดีกับมินตรา นอกจากจะไม่โกรธแล้วจักรพรรดิยังอยากขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ช่วยทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ คงเป็นเพราะสถานะแม่ลูกมันค้ำคอเอาไว้ ต่อให้อยากฆ่าให้ตายขนาดไหนก็ทำไม่ได้อยู่ดี

“ภีมเต็มใจ” เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยซ้ำชายหนุ่มจึงดึงไหล่บางเข้ามากอดไว้หลวมๆ ก่อนจะก้มหน้าลงพูดที่ข้างใบหูอีกฝ่ายเบาๆ

“พี่เองก็กลัวภีมผิดหวังไม่แพ้กันหรอก”









ภีมภัทรไม่เข้าใจว่าคำพูดของจักรพรรดิหมายถึงอะไรจวบจนได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ร่างโปร่งถึงกับเซไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ภาพของเหล่าคนที่ทำร้ายเขาถูกผูกมัดห้อยหัวไว้กับต้นไม้ด้วยสภาพยับเยินเลือดเต็มตัวที่ดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่...พี่จักร” ชายหนุ่มส่งมือไปด้านข้างเพื่อเรียกหาเจ้าของชื่อโดยที่สายตาไม่อาจละออกไปจากภาพของคนเหล่านั้นได้ จวบจนเมื่อคนที่อยู่ด้านข้างคว้าจับมือเขาไว้แล้ว อาการสั่นสะท้านของร่างกายจึงเบาบางลง

“พี่จะไม่ปิดบังภีม”

“พี่จักร...”

“พี่เป็นคนสั่งเอง” จักรพรรดิคลายมือเล็กน้อยเมื่อพูดจบราวกับจะเปิดโอกาสให้เด็กน้อยของเขากระชากมือกลับไปได้ทุกเวลา แต่นอกจากแรงที่บีบมือเขาไว้แน่นกว่าเดิมแล้ว ภีมภัทรก็ไม่ได้ขยับไปไหนอีก

“พวกเขาไม่ได้ตาย...ใช่ไหม”

“ไม่หรอก แค่ทำให้เจ็บแล้วจำเท่านั้น”

ข้อหาที่บังอาจมาแตะต้องคนของเขา...

จักรพรรดิรู้ดีว่าต่อให้ภีมภัทรกล้าหาญขนาดไหน มีสติเพียงใด แต่คนธรรมดาที่อยู่ดีๆ ก็โดนจับตัวไปไม่มีทางไม่หวาดกลัว เด็กคนนี้แค่ซ่อนความกลัวเอาไว้ให้ลึกที่สุดเพื่อรอเวลาระเบิดมันออกมา และเวลาที่ว่าก็คือยามเขารั้งร่างนั้นเข้ามากอดปลอบ อารมณ์ด้านลบทั้งหมดที่ส่งผ่านมาทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กน้อยของเขาบาดเจ็บขนาดไหน มันไม่ใช่เพียงร่างกายแต่รวมถึงจิตใจด้วย ลูกน้องเกรย์กว่าครึ่งเป็นคนไว้ใจได้ที่เขาช่วยหามาให้ ต่อให้เกรย์ไม่ออกคำสั่ง คนเหล่านั้นก็ยินยอมจะช่วยเขาหากไม่มีผลกระทบถึงเจ้านายตัวเองอยู่ดี คำสั่งง่ายๆ อย่างการเอาคืนให้จำไปจนตายจึงไม่ลำบากเลยสักนิด

“แล้ว...แล้วแม่พี่ล่ะครับ”

“เห็นว่าสภาพดูไม่ได้อยู่แล้วเลยแค่จับมัดไว้ในบ้าน” เสียงทุ้มต่ำที่พูดอธิบายออกไปแสดงความพอใจอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องถามภีมภัทรก็รู้ว่าสภาพที่ว่ามันเกิดจากใคร

ภายในบ้านหลังเดิมที่ชายหนุ่มเคยโดนจับไว้มีร่างของหญิงสาวที่เคยสวยถูกจับมัดอยู่กับเก้าอี้ ใบหน้าหวานที่เคยหยิ่งยะโสยามนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง สาเหตุน่าจะมาจากบาดแผลบริเวณศีรษะ นอกจากนั้นบริเวณลำคอยังมีรอยช้ำเป็นจ้ำสีม่วงเด่นชัด เมื่อนับรวมกับบาดแผลตามตัวแล้วแทบจะเรียกได้ว่าเละเทะไม่ต่างจากพวกที่อยู่ด้านนอกเลย

“ไอ้...เลว” แม้เสียงจะแหบแห้งเพียงใด มินตราก็ยังฝืนพูดออกมาจนจบคำ ดวงตาแดงช้ำจับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ของคนบนวีลแชร์ที่ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบสนอง แต่แล้วคนที่เถียงแทนกลับเป็นเจ้าของร่างโปร่งที่เพิ่งมองเธอด้วยสายตาเวทนา

“อย่าว่าพี่จักรนะ”

“หึ...โดนมันล้างสมองสิท่า” เธอเหยียดยิ้มทั้งที่เจ็บไปทั่วใบหน้า ราวกับถ้าไม่ได้กระชากหน้ากากนั้นออกมาแล้วจะตายตาไม่หลับ “รู้หรือเปล่า...ว่ามันทำอะไรไว้บ้าง”

“ผมไม่สน” ภีมภัทรตอบเสียงกร้าว แสดงจุดยืนชัดเจน แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับพูดต่อราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา

“เคยสั่งซ้อมคนจนปางตายเพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ ไล่คนออกจากงานเพราะทำความสะอาดไม่ดี มาหลอกล่อให้ฉันเล่นพนันจนไปพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย แล้วมันก็ลอยหน้าลอยตาบอกว่าไม่รู้เรื่อง! พอเกรย์มันคิดจะเข้ามาทำลายบริษัทจนฉันต้องบากหน้าเอาบ่อนไปเสนอ มันก็ถ่ายหลักฐานเอาไว้ใช้ขู่! เด็กเวรนั่นบอกฉันหมดแล้วว่าเป็นแกที่วางแผนให้มันปล่อยข่าวว่าตัวเองต้องการสร้างบ่อนใต้ดินจนฉันเข้าไปติดกับ! แกมันเลว! ไอ้ลูกเลว! ฉันไม่น่าปล่อยให้แกเกิดมา...ไม่น่าเลย” จากที่ตะคอกเสียงดังจนแทบไร้เสียง กลับกลายเป็นก้มหน้าสะอึกสะอื้นเหมือนคนเสียใจอย่างหนัก

ภีมภัทรไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่หันหน้าไปหาจักรพรรดิเพื่อถามว่าจริงหรือเปล่า ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ของคนสำคัญทำให้เขาหวาดกลัวไม่น้อย แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับจ้อง ชายหนุ่มก็หันมาหาแล้วยกยิ้มอ่อนโยน

“เห็นหรือเปล่าว่าพี่ก็ไม่ใช่คนดี”

มือที่จับกันไว้แน่นในคราแรกยามนี้ตกอยู่ข้างลำตัวของคนทั้งคู่ ราวกับมีเส้นบางๆ กั้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ จักรพรรดิไม่ขยับกายแม้แต่นิดเดียว ตั้งใจแล้วว่าถ้าเด็กน้อยจะไปเขาก็จะไม่ห้าม หากความอบอุ่นที่ร่างกายกลับดึงสติให้กลับมาเข้าที่ ดวงตาคมที่มีประกายยินดีหลับลงช้าๆ ยามยกแขนกอดตอบคนที่เข้ามากอดเขาจากทางด้านหน้า

“กลับบ้านกันนะครับ”

“เด็กดี...ขอพี่พูดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นก่อนนะ” เขาลูบหัวทุยที่กระดุกกระดิกเป็นเชิงตกลงเบาๆ ก่อนจะเข็นรถไปด้านหน้าเมื่อภีมภัทรถอยห่างไปยืนอยู่ด้านหลัง

“อะไร...” มินตราเงยหน้ามองลูกชายแท้ๆ ที่เธอเกลียดชังด้วยสองตาแดงก่ำเมื่อเห็นล้อรถวีลแชร์เลื่อนมาหยุดลงตรงหน้า ใจคิดว่าเมื่อสบกับดวงตาคู่นั้น มันคงจะเยาะเย้ยและถากถางที่เธอก้าวพลาดจนกลายสภาพมาเป็นแบบนี้ แต่แล้วเมื่อเห็นว่าแท้จริงแววตานั้นเรียบนิ่งเพียงใด ใจที่โกรธแค้นก็ยิ่งลุกไหม้ “อย่ามามองฉันแบบนั้น! หยุดมองฉันเดี๋ยวนี้!”

“ตอนที่บอกคุณว่าถ้ายอมถอยไปแล้วผมจะลืมทุกอย่าง...” จักรพรรดิพูดเกริ่นด้วยน้ำเสียงเฉยชา ไม่สนใจท่าทีเกรี้ยวกราดของมารดา “ผมพูดจริง”

ไม่ได้คิดหลอกลวง ไม่ได้อยากล่อให้มาติดกับดักเพื่อเอาคืน ในตอนนั้นเขาสนใจแค่ความปลอดภัยของภีมภัทรเท่านั้น หากมารดายอมถอยเขาก็จะหยุดทุกอย่างจริงตามที่พูด เพราะงั้นถึงได้ลดการระวังตัวลงจริงๆ หลังเห็นว่าเธอยอมเอาคนออกไป

“ส่วนทุกเรื่องที่คุณพูดมาผมยอมรับว่าทำจริง เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องเสแสร้งอะไรอีก แต่เรื่องที่คุณไปพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายนั่นคุณทำตัวเอง ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใต้ดิน” ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอะไรเพราะจักรพรรดิเป็นคนหลอกให้เธอไปติดการพนันจริงๆ ตอนนั้นเขาอยากให้เธอไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่นจนไม่มีเวลามาสนใจแผนการทุกอย่างของตัวเอง แล้วเพื่อนมินตราที่ติดการพนันอยู่แล้วก็เป็นเป้าหมายชั้นดี แค่ยื่นเงินให้หน่อยฝ่ายนั้นก็ยอมทำตามทุกอย่างแม้แต่การพาเพื่อนไปเสียคน แต่ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใต้ดินจนถอนตัวไม่ขึ้น

“เป็นความผิดแก”

“ผมก็แค่รอบคอบ...คิดเอาไว้ว่าจะใช้เรื่องใต้ดินกับหลักฐานเรื่องบ่อนที่เกรย์มีเอาไว้ขู่ให้คุณอยู่เฉยๆ อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเส้นทางของผม เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นแม่ เรื่องที่โดนทำตอนเด็กๆ ในเวลานั้นผมไม่ได้นึกถึงแล้ว คิดขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่คุณทำให้ผมแกร่งขนาดนี้ อีกอย่าง...คุณไม่ได้น่ากลัวพอจะทำให้ผมหวาดกลัวจนต้องกำจัดทิ้ง”

“แก…” มินตรากัดฟันกรอดเมื่อได้เห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของคนตรงหน้า เธอเพิ่งมาเข้าใจวันนี้เองว่าลูกแท้ๆ ไม่เคยเห็นเธอเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ทั้งที่คิดมาตลอดว่าที่เธอยืนอยู่จุดนั้นได้เป็นเพราะเธอยังคุมและชักใยมันได้อยู่

จริงๆ แล้วเป็นมันที่ไม่ได้ใส่ใจเธอเลยสักนิด ไม่มีค่าแม้แต่จะกำจัด

“บางทีผมอาจจะติดนิสัยหลงตัวเองมาจากคุณ เพราะงั้นตอนที่เสียขาไปถึงได้เสียสติมากขนาดนั้น คำพูดที่คุณย้ำว่าไร้ประโยชน์มันดังก้องอยู่ในสมองเหมือนเอาเทปมาเปิดซ้ำ รู้ไหมว่ารอยยิ้มเลือดเย็นตอนที่ไล่ผมกลับมาที่นี่มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตมากขนาดไหน”

โดนตบตี โดนทำร้าย โดนกักขัง สารพัดความเลวร้ายที่คิดว่าจะไม่สนใจมันกลับมาหลอกหลอนจนต้องนอนฝันร้าย

“ผมมารู้ตัวเอาตอนนั้นเองว่าตัวเองไม่เคยลืมเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเลย ผมก็แค่โดนเงินกับอำนาจที่คุณกับพ่อเลี้ยงปลูกฝังใส่หัววางกองทับจนมันบดบังเรื่องเหล่านั้นไปจนหมด ถ้าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุจนเสียขาไป ถ้าไม่ได้กลับมาที่นี่ บางทีผมอาจกลายเป็นปีศาจไร้สติไปแล้วก็ได้” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มหยันราวกับจะเยาะเย้ยทั้งตัวเองและคนเจ็บ “เป็นเพราะได้กลับมาผมถึงตาสว่าง นั่นก็คงต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน”

“…”

“พอเอาความดีกับความชั่วของคุณหักล้างกันไปแล้ว ผมเลยได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรคุณไปมากกว่านี้ แต่จะให้คุณได้รับผิดตามสมควร”

“ฉันเกลียดแก” หญิงสาวยังคงมองลูกชายด้วยสายตาโกรธแค้น ใจเธอยังคงโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมัน

“ผมไม่ได้เกลียดคุณ”

“…” คล้ายวูบหนึ่งในแววตาชิงชังของมินตราปรากฏวี่แววของความหวั่นไหว แต่แล้วมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“แต่ก็ไม่ได้รัก...และไม่เคยรัก”

มันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป...

ภีมภัทรที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังมานานเดินเข้าไปหาแล้วช่วยเข็นรถวีลแชร์ออกมาเมื่อเห็นจักรพรรดิหันมาพยักหน้าให้ พวกเขาพากันออกไปด้านนอกซึ่งมีพวกเกรย์กำลังเก็บกวาดคนโดยการเอาตัวมามัดรวมกันที่พื้น สองหนุ่มเพื่อนซี้มองหน้ากันครู่หนึ่งราวกับกำลังสื่อสารกันทางสายตา สุดท้ายเกรย์จึงพยักหน้าเข้าใจ

“เดี๋ยวจัดการต่อให้เอง”

“ขอบคุณ” จักรพรรดิตอบแค่นั้นแล้วส่งสัญญาณให้คนด้านหลังพาไปที่รถโดยไม่สนใจใบหน้าแปลกใจสุดขีดของเกรย์กับประมุขที่มองตามหลัง

พวกเขาก็รู้อยู่หรอกว่าจักรพรรดิเปลี่ยนไปแล้ว แต่คำว่าขอบคุณที่ได้ยิน...จะให้ชินคงยาก

หากเป็นเวลาปกติ ภีมภัทรมักจะขับรถเองและช่วยประคองพี่จักรของตัวเองขึ้นรถก่อนเสมอ แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกแปลกๆ เมื่อต้องเป็นฝ่ายให้คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ช่วยประคองขึ้นรถก่อน หากให้ยอมรับตรงๆ คงต้องบอกว่ายังเจ็บอยู่โดยเฉพาะที่เท้าซึ่งเอาไปเหยียบลวดหนามมา แต่มันก็ไม่ได้มากถึงขนาดทนไม่ไหว มันเลยอดรู้สึกเขินๆ ตอนที่ได้รับความดูแลไม่ได้

“ขึ้นรถเองชินแล้วนะเนี่ย”

“ธรรมดา” จักรพรรดิยกยิ้มจางพลางหันไปขยี้หัวคนแซวเบาๆ หลังจากที่เขาพยุงตัวมาขึ้นรถได้ด้วยตัวเอง

บรรยากาศบนรถไม่ได้เงียบสงบมากนักแม้ครั้งนี้จะมีคนของพ่อคอยขับรถให้ ภีมภัทรลาวิบูลย์ไปตั้งแต่เช้าหลังจากอีกฝ่ายบอกว่าต้องบินกลับไปคุยงานต่อ ทั้งยังย้ำนักย้ำหนาว่าต้องให้คนงานช่วยขับรถให้เท่านั้นถ้ายังไม่หายดี เขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเพราะพี่จักรกดดันอยู่ด้านข้าง สุดท้ายเลยได้แต่ยอมรับแม้จะไม่ชินกับการมีคนมาขับรถให้นัก

“ภีม…”

“ครับ?” ภีมภัทรหันไปตอบรับแทบจะทันทีที่ได้ยินคนด้านข้างเรียก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจับความรู้สึกของพี่จักรเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างตอนนี้ก็รู้ได้เลยว่าในน้ำเสียงนั้นมีความไม่แน่ใจปนอยู่หลายส่วน

“ไม่กลัวพี่เหรอ”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะไม่เข้าใจคำถาม แต่เพียงไม่นานเมื่อเริ่มรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาเสียงใส

"ภีมคิดแค่ว่าพี่จักรเป็นพี่จักร เพราะงั้นจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก”

“นี่ลอกคำพูดพี่เหรอ” จักรพรรดิถามยิ้มๆ นึกอยากบีบแก้มคนพูดแต่ก็กลัวว่าจะไปโดนรอยช้ำเลยได้แต่ดึงมือเรียวมากุมไว้แล้วเขย่าไปมาด้วยความหมั่นไส้

“ก็เรากังวลเหมือนกัน คำตอบมันเลยออกมาเหมือนกันไง” ภีมภัทรตอบกลั้วหัวเราะ ริมฝีปากยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างยังไง “ทีนี้ตาภีมอธิบายบ้าง”

“หืม”

“ภีมยอมรับว่าอาจจะกลัวอยู่บ้างตอนเห็นคนพวกนั้นห้อยหัวร้องโอดโอยเลือดท่วมหน้า แต่ที่กลัวก็เพราะเห็นภาพพวกนั้น ไม่ได้กลัวเพราะพี่จักรเลยสักนิด และต่อให้ในอดีตพี่จักรจะเป็นยังไงภีมก็ไม่สน เอาตามตรงเลยนะ...ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำที่พี่จักรดีกับภีมแค่คนเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งหึงไง” ประโยคสุดท้ายเจ้าตัวแอบกระซิบกระซาบเหมือนกลัวว่าคนขับรถจะได้ยิน “ภีมไม่ใช่คนดี พี่จักรไม่ใช่คนดี ทีนี้เราก็อยู่ด้วยกันได้แล้วสิ”

จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ แทนคำตอบ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในเวลานี้อย่างไร เพราะนอกจากจะโล่งใจแล้วมันยังมีความรู้สึกตื้นตันแบบที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดขึ้นด้วย

“พี่จักร ภีมมีเรื่องอยากถามอีกอย่าง”

“อืม” เขาพยักหน้าแล้วบีบมือเรียวเบาๆ เป็นเชิงบอกให้พูดต่อ

“พี่จักร...โอเคกับเรื่องแม่จริงๆ ใช่ไหม” เพียงต้องการถามย้ำให้มั่นใจ ไม่อยากให้เก็บไปเครียดเพียงลำพังอีกแล้ว ชายหนุ่มมองใบหน้าคมคายนิ่งงันเพื่อจับสังเกต ขอเพียงมีความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้นเขาก็จะรู้ได้ในทันที แต่จักรพรรดิเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่มีวี่แววของความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้นขณะที่เอ่ยถ้อยคำออกมา

“แบบนี้ดีที่สุดแล้วภีม”

มันเป็นคำตอบที่ไม่เหมือนคำตอบ แต่กลับชัดเจนมากจนสามารถลบเลือนทุกคำถามที่เหลือในใจภีมภัทรไปได้จนหมด

ไม่ใช่ว่าโอเคหรือไม่โอเค หากสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ถูกเลือกแล้วว่าดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ผูกพันแล้วอย่างไร เป็นมารดาแล้วอย่างไร สำหรับจักรพรรดิมินตราเป็นเพียงผู้ให้กำเนิด สำหรับมินตราจักรพรรดิเป็นเพียงหุ่นเชิด ระหว่างพวกเขาไม่มีความรัก ความห่วงใย หรือความรู้สึกดีๆ ให้กันตั้งแต่แรก สิ่งที่เหลือทิ้งไว้จึงมีเพียงร่อยรอยของสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกที่ดูเลือนรางเต็มที

“ไม่ต้องห่วงหรอก” แม้การได้มาอยู่กับภีมภัทรจะทำให้เขาอ่อนโยนขึ้นเพียงใด แต่มันก็ไม่ได้มากพอจะเผื่อแผ่ไปให้ใครได้มากมาย “เขาไม่ได้สำคัญพอจะทำให้พี่คิดมาก”

“อื้อ”

“แล้วเรื่องทีมรักษาความปลอดภัยที่เราอุตส่าห์ไปจ้างมาน่ะว่ายังไง” จักรพรรดิเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยให้ความสนใจกับเรื่องมินตรามากนัก ถึงภีมภัทรจะเข้มแข็งแต่เขาก็ยังกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับไปนึกถึงช่วงเวลาแย่ๆ อีกอยู่ดี

“โทรไปยกเลิกเรียบร้อยแล้ว”

“ดีแล้ว พี่ไว้ใจคนของเกรย์มากกว่า เดี๋ยวให้พวกนั้นอยู่ด้วยสักพักแล้วกัน”

“โอเคครับ”

ในเวลาที่รถเข้ามาจอดในสถานที่ที่คุ้นเคยอีกครั้ง ภีมภัทรถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อดคิดไม่ได้ว่าในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาห่างบ้านไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันอาจจะหนักหนาพอสมควรสำหรับคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวแบบนั้น แต่นึกถึงเพียงแค่วูบเดียวชายหนุ่มก็ตัดสินใจทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง เพราะถึงอย่างไรพี่จักรก็ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หายไปแบบที่นึกกลัว

“พี่จักร?” คนตัวเล็กกว่าเรียกเสียงงุนงงเมื่อแขนถูกรั้งไว้ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถ จักรพรรดิไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่เขาหันไปส่งสัญญาณให้คนขับรถออกไปก่อน เมื่อเหลือกันเพียงสองคนแล้วจึงหันมาเผชิญหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“มานี่สิ”

“อะไรเหรอ”

“มานี่” คนพูดอ้าแขนออกกว้าง สองมือกระดิกเรียกยิกๆ

“พะ...พี่จักร”

ภีมภัทรผู้ไม่มีภูมิต้านทานผู้ชายที่ชื่อจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อยขยับกายถอยหลัง ใบหน้าแดงเถือกแทบจะทันทีที่เข้าใจความหมายของคำว่ามานี่ที่อีกฝ่ายว่า

“ภีม”

“ครับ...”

“มาให้พี่กอดหน่อย” คนจะกอดยังคงขยับมือไปมา คล้ายจะแอบเอนตัวเข้าหามากขึ้นทีละน้อยโดยไม่ให้เด็กขี้อายรู้สึกตัว

“พี่จักรหาเรื่องฆ่าภีมอีกแล้วเหรอ” ภีมภัทรขยับตัวไปจนชิดประตูรถ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแน่นราวกับต้องการสะกดกลั้นอารมณ์และหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิดของตัวเอง ขนาดยังไม่ได้กอดเขายังเป็นขนาดนี้ คงไม่ต้องบอกว่าถ้าได้กอดจะขนาดไหน

“เมื่อวานก็กอด เมื่อเช้าก็กอด”

“ไม่เหมือนกัน!” ตอนนั้นเขาไม่มีสมาธิ จิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น จะเรียกว่ากำลังเผลอแล้วถูกกอดก็คงใช่ เพราะแบบนั้นมันเลยไม่ได้เขินมากเหมือนเวลามาขอกันตรงๆ แบบนี้

“ทำไมดื้อแบบนี้นะ” จักรพรรดิบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนอาศัยจังหวะที่อีกคนขมวดคิ้วรวบร่างโปร่งเข้ามากักขังไว้ในอ้อมแขน นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าเด็กน้อยจะเกร็งจนลืมหายใจหรือเปล่า เพราะร่างกายอุ่นๆ กับกลิ่นหอมเฉพาะตัวมันดึงสติของเขาไปจนหมด

“พี่จักร...” ภีมภัทรอยากจะผลักตัวต้นเหตุที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำจนเหมือนจะหายใจไม่ทันออกไปให้ไกล แต่เพราะไม่กล้าพอจะทำร้ายพี่จักรเลยได้แต่ทรมานอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นเหมือนเดิม

ว่าแต่...ผลักมันนับเป็นการทำร้ายหรือเปล่านะ

“เลิกดื้อแล้วกอดกลับสิ”

เดี๋ยวๆ สั่งแบบนี้ก็ได้เหรอ...แล้วสองแขนนี่มันของเขาหรือของพี่จักรกันแน่ รู้ตัวอีกทีก็กอดเขาตามคำสั่งเฉยเลย

“พี่จักรแกล้งภีม”

จักรพรรดิหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงอ้อมแอ้มจากคนท่ีซุกหน้าอยู่กับอกตัวเอง เขาไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองแกล้ง แต่เลือกที่จะลูบหัวทุยเบาๆ แล้วโยกตัวไปมาแทน

“เด็กดี”

“อย่าพูดแบบนั้นนะ” ยิ่งพูดเสียงยิ่งหาย ภีมภัทรกอดกลับให้แน่นขึ้นแล้วมุดหน้าลงกับอกแกร่ง จะยังไงก็ไม่มีทางยอมให้พี่จักรเห็นหน้าตัวเองตอนนี้แน่ๆ

เมื่อบรรยากาศกลับไปเงียบอีกครั้งเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูดอะไรออกมา ภีมภัทรจึงเริ่มผ่อนคลายแล้วหลับตาลงช้าๆ เพื่อซึมซับความอบอุ่นในตอนนี้เอาไว้ หากไม่นับอาการตื่นเต้นออกนอกหน้ากับใจที่เหมือนจะระเบิดออกมา เขาคงต้องยอมรับว่าอ้อมกอดของพี่จักรให้ความรู้สึกดีมากจริงๆ เพราะมันทั้งอบอุ่นและปลอดภัย ทำให้ลืมได้ทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้าย ราวกับเป็นอ้อมกอดที่ช่วยส่งผ่านความรู้สึกมากมายให้แก่กันและกัน

“พวกเขาเหยียบกุหลาบของภีมหมดเลย” เด็กน้อยเริ่มเอาเรื่องที่เก็บไว้ในใจออกมาฟ้อง

“ค่อยๆ ปลูกใหม่ก็ได้”

“ภีมปลูกมาตั้งนาน อยากให้พี่จักรมาเห็นตอนออกดอกสวยๆ”

“พี่ก็มีกุหลาบของพี่อยู่นี่แล้วไง” คนปลอบโยกตัวเองไปมาพลางกระชับอ้อมแขนเพื่อบอกให้รู้ว่ากุหลาบที่ว่าหมายถึงใคร

“ฮื่อ”

“ภีม…”

“ครับ”

จักรพรรดิผละตัวออกเล็กน้อยก่อนกดจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน ไม่ต้องรอให้ภีมภัทรตกใจก็ดึงเข้ามากอดไว้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงบ่นงึมงำดังมาจากเด็กน้อยขี้งอแง แต่นาทีนี้ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาก้มหน้าลงจนลมหายใจแนบชิดใบหูแดงแจ๋ ไม่รับรู้แม้คนในอ้อมกอดสะดุ้งและพยายามถอยหนี

“ขอบคุณที่ปลอดภัยกลับมา”

ขอบคุณมากจริงๆ...


——————————





ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
«ตอบ #165 เมื่อ22-05-2018 20:40:34 »

กุหลาบของพี่จักรกลับคืนสู่อ้อมอก  :กอด1:

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
«ตอบ #166 เมื่อ22-05-2018 21:24:30 »

 :mew3: จะจบแล้วใช้มั้ยอ่ะ ตัวร้ายโดนจัดการไปหมดแล้ววววว

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
«ตอบ #167 เมื่อ23-05-2018 00:24:50 »

“พี่ก็มีกุหลาบของพี่อยู่นี่แล้วไง”

ตายเพราะประโยคนี้เลย  :heaven

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
«ตอบ #168 เมื่อ23-05-2018 03:25:22 »

หวังให้พี่จักรเดินได้เหมือนเดิมในเร็ววัน น้องภีมคงดีใจเป็นที่สุด

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
«ตอบ #169 เมื่อ24-05-2018 19:09:55 »

-18-


ระยะเวลาแห่งการรักษาและฟื้นฟูแบบที่ไม่ต้องระมัดระวังด้านหลังเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน มาถึงตอนนี้จักรพรรดิแทบจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ยามอยู่กับภีมภัทรสองคน เขาอ่อนโยนมากขึ้น ขี้แกล้งมากขึ้น สุขภาพก็ดีขึ้นตามไปด้วย หากสิ่งที่วิทยาเคยเห็นเมื่อเดือนสองเดือนก่อนคือบรรยากาศอ่อนโยนเหมือนโลกนี้มีเพียงเราสอง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็คงเป็นจักรวาลนี้มีเพียงเราสองแทน แม้แต่เขายังได้อานิสงส์จากอารมณ์ดีๆ ของคุณจักรพรรดิอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็ได้พูดคุยด้วย บางครั้งก็ได้รับคำขอบคุณ ชีวิตดีจนไม่รู้จะดียังไง ถึงแม้ช่วงแรกๆ จะกลัวบรรดาคนชุดดำที่ตามติดทั้งคู่เป็นตังเมอยู่ไม่น้อยก็เถอะ

จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นเลยนี่นา...

“ไอ้ภีม พวกพี่ๆ ชุดดำเขาไปไหนกันหมดวะ” นักกายภาพหนุ่มแอบอาศัยจังหวะที่คนไข้ของตัวเองพยายามเกร็งขาออกกำลังหันไปหาเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบถาม ว่าแต่ไอ้บ้านี่กะจะจ้องคุณเขาไม่ให้ละสายตาเลยหรือไงวะ

“กลับไปหมดแล้ว” ภีมภัทรตอบโดยไม่หันไปมอง ริมฝีปากยังคงยกยิ้มจางแบบที่วิทยาอยากจะกลอกตามองบนใส่ดูสักที ยิ่งถ้าตบหลังมันแรงๆ เหมือนเมื่อก่อนได้ด้วยจะดีมากเลย

ติดที่กูไม่กล้านี่แหละ...

คนโหดเขาดูอารมณ์ดีขึ้นแต่ก็ใช่ว่าตาจะหายดุตามไปด้วยนี่หว่า ขืนไปทำอะไรให้คุณภีมไม่พอใจต้องโดนมองแรงใส่แน่

“วิทยา”

นี่ไง...พัฒนาด้วยการเรียกชื่อแล้วด้วย

“ครับผม” วิทยาอมยิ้มภูมิใจยามขยับตัวดุ๊กดิ๊กเข้าไปหาคนไข้

“ไปที่ราวเลยไหม” จักรพรรดิถามขณะหลับตาให้เด็กน้อยของตัวเองช่วยเช็ดหน้าให้เหมือนทุกครั้ง

“ครับ ทำแบบเดิมเลย”

สามหนุ่มพากันเดินไปที่ราวจับเหมือนทุกครั้ง และแทบจะทันทีที่เดินมาถึง ไม่ต้องรอให้วิทยาบอกอะไรจักรพรรดิก็พยุงตัวขึ้นจับราวแล้วทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว ในยามนี้ชายหนุ่มแทบไม่ต้องให้คนคอยประคองแล้ว เพราะเขารู้ลิมิตตัวเองเป็นอย่างดี เมื่อไหร่ที่ไม่ไหวจะถอยกลับไปนั่งลงบนวีลแชร์ด้วยตัวเอง ไม่ฝืนให้ใครเป็นห่วง

“คุณคิดว่าการจับราวของตัวเองแปลกไปหรือเปล่าครับ” วิทยาที่ยืนอยู่ด้านข้างถามยิ้มๆ

“อืม...เหมือนจะไม่ได้ใช้แรงมากเท่าเดิม”

“นั่นเพราะท่อนล่างของคุณช่วยรับน้ำหนักมากขึ้นแล้ว ทีนี้ลองเดินสั้นๆ ดูนะ กลับไปใช้แรงที่มือเหมือนเดิมก่อนก็ได้”

จักรพรรดิทำตามคำบอกโดยการจับราวไว้แน่นและพยายามลากเท้าเดินไปด้านหน้าในระยะสั้นๆ ถึงจะแค่นิดเดียวที่เท้าของเขาลากไปแต่มันก็ทำให้รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นบนใบหน้า ชายหนุ่มหันไปหาภีมภัทร ดวงตาทอประกายดีใจชัดเจน ยิ่งได้เห็นเด็กน้อยส่งยิ้มดีใจไม่แพ้กันกลับมาให้เขาก็ยิ่งรู้สึกดี

“เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีมากเลย” วิทยาบอก “อีกไม่นานคุณต้องหายดีแน่นอนครับ”

คำพูดนั้นไม่ใช่การพูดปากเปล่าหรือให้กำลังใจเฉยๆ แต่เป็นคำพูดแฝงความจริงใจและมั่นใจจนเต็มเปี่ยมของนักกายภาพบำบัดคนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือซึ่่งช่วยให้คนฟังมีกำลังใจขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ได้แต่แสดงความเป็นห่วงอยู่ด้านข้าง

“คุณจักรพรรดิพักก่อนครับ” วิทยาเดินเข้าไปประคองคนตัวสูงให้กลับไปนั่งลงบนวีลแชร์ ท่ามกลางความงุนงงของคนไข้ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น

“ยังไม่ถึงชั่วโมงเลย”

“วันนี้ผมจะพาไปทำกิจกรรมน่ะ” หนุ่มนักกายภาพอมยิ้มแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อน

“ไปกันเถอะครับพี่จักร”

“กิจกรรมอะไร ภีมก็รู้อยู่แล้วเหรอ” จักรพรรดิหันไปถามคนที่เดินเข้ามาเข็นรถให้เขา ใบหน้าคมคายแสดงออกชัดเจนถึงความไม่เข้าใจ และยิ่งทวีความไม่เข้าใจเข้าไปอีกเมื่อการพาไปทำกิจกรรมที่ว่าคือการพาเดินทะลุไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ไม่ใช่พาออกนอกโรงพยาบาลแบบที่คิด

“วิทย์มันบอกภีมตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ภีมไม่บอกพี่จักร” ภีมภัทรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังเหมือนนึกสนุก ส่วนคนฟังลงเสียงหืมออกมาเบาๆ

“เดี๋ยวนี้แอบมีความลับกับพี่เหรอ”

“เปล่านะ” คนโดนกล่าวหารีบปฏิเสธ “แค่อยากเซอร์ไพรส์เฉยๆ”

“ถ้าไม่เซอร์ไพรส์อย่างปากว่านะ” เขาแกล้งขู่เล่นๆ จนคนด้านหลังบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ออกมาอยู่คนเดียว ภีมภัทรหน้างอ รู้ตัวอยู่แล้วว่าโดนแกล้งแต่ก็อดกังวลตามคำพูดไม่ได้ และในระหว่างที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรออกไปนั่นเอง...

“ถึงแล้วครับ” เสียงของวิทยาทำให้คนสองคนที่คุยกันงุ้งงิ้งแบบไม่เห็นหัวคนเดินนำกลับมาได้สติอีกครั้ง คนหนึ่งกลับไปอมยิ้มเพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนพามาที่ไหน แต่กับชายหนุ่มที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วยถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“สระน้ำ?”

ห้องขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในแผนกกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลที่วิทยาพามาคือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ในตัวตึก บริเวณรอบสระมีเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับผู้ที่มาทำกายภาพพร้อมครบทุกอย่าง ทั้งยังปูพื้นรอบขอบสระด้วยยางหนาที่จะช่วยให้คนไข้สามารถลงน้ำได้โดยง่ายและไม่เป็นอันตราย แต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าความสงสัยที่ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม

“การทำกายภาพในน้ำก็เป็นการรักษาอย่างหนึ่งครับ ยิ่งสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องจิตใจ การได้มาเล่นน้ำอาจทำให้สดชื่นหรือมีความสุขขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายตามไปด้วย” วิทยาหันหน้ามาอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “สำหรับกรณีของคุณจักรพรรดิผมคิดไว้แล้วว่าอยากจะให้ทรงตัวได้เสียก่อน รวมถึงลองปรึกษาภีมแล้วว่าอยากมาที่นี่ไหม พอตกลงกันได้เลยพาคุณมาที่นี่วันนี้”

“เนียนเลยนะเด็กน้อย” จักรพรรดิหันไปบอกคนที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ด้านข้าง

“ถ้ายังไงเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมก็จะไปเปลี่ยนเหมือนกัน”

เมื่อวิทยาชี้จุดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงแยกตัวไปอีกทาง ส่วนภีมภัทรหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าที่พกมาด้วยอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังชูกางเกงว่ายน้ำขาสั้นตัวใหม่เอี่ยมแบบไม่รัดรูปให้พี่จักรของตัวเองดูแบบอวดๆ อีกต่างหาก

“ภีมซื้อมาให้พี่จักรเรียบร้อยแล้ว”

“ร้ายนะเรา” เขารับกางเกงมาแล้วแอบหยิกแก้มขาวไปหนึ่งทีข้อหาทำตัวน่ามันเขี้ยว

“เดี๋ยวภีมนั่งดูที่ขอบสระนะ”

“เดี๋ยว” จักรพรรดิจับข้อมือเล็กไว้แน่น คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “ภีมไม่ลงสระด้วย?”

“ไม่ลง พี่จักรลงกับวิทย์สิ”

ดวงตาคู่สวยแสดงจุดยืนชัดเจนว่ายังไงก็ไม่ลงน้ำเด็ดขาด ต่อได้คนมองเขย่ามืออ้อนหน้าตายยังไงก็ไม่สนใจ จักรพรรดิเห็นดังนั้นเลยรู้ว่าเด็กน้อยกำลังพยายามทำใจแข็ง ชายหนุ่มลอบยิ้มมุมปาก ยอมปล่อยมือเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หางตาแลเห็นชัดเจนว่าคนข้างกายแอบถอนหายใจ

คิดตื้นไปแล้วเด็กน้อย...

“จำได้ไหมวันที่ภีมให้พี่กินขนมหวาน...” เขาเริ่มเอาเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาเกริ่นเป็นหัวข้อ แต่ทำเอาคนเพิ่งโล่งอกตาโต “ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้บอกเลยนี่นะว่าจะเอาอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน”

“ทำไมยังจำได้อีกเนี่ย” ภีมภัทรโอดครวญ

“พี่ขอใช้สิทธิ์...ให้เด็กชายภีมลงน้ำด้วย” จักรพรรดิไม่สนใจอาการใดๆ ที่เด็กน้อยแสดงออก เขาแกล้งแกะกระดุมเสื้อเมื่อเห็นคนฟังตั้งท่าจะเถียง เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็หันหน้าหนีแล้วหุบปากฉับ “แล้วก็...ไม่ให้ใส่เสื้อ”

“เดี๋ยว...ทำไมต้องไม่ใส่เสื้อ” ภีมภัทรหันขวับมาถามด้วยความรวดเร็ว แต่แทบจะหันหนีไม่ทันเมื่อพี่จักรเล่นถอดเสื้อออกต่อหน้าต่อตา

“พี่ก็จะไม่ใส่เหมือนกันไง แล้วก็ไม่ต้องเถียงว่าไม่มีชุดเปลี่ยน เพราะพี่เห็นแล้วว่าภีมหยิบกางเกงมาสองตัว ที่สำคัญมันเป็นฟรีไซซ์” หมายความว่าใส่ได้ทุกคน เลือกคิดจะเถียงเรื่องขนาดตัวไปได้เลย

“ร้ายกาจ”

“หึ”

จักรพรรดิหัวเราะเมื่อเห็นเด็กน้อยคว้ากางเกงไปทั้งหน้าบึ้ง เมื่อบังคับสำเร็จแล้วเขาจึงหันมาเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเอง แค่ใส่กางเกงว่ายน้ำขาสั้นเป็นอันจบ ไม่รู้ว่าที่เด็กชายภีมไม่อยากลงน้ำเป็นเพราะไม่อยากเปลือยท่อนบนหรือไม่อยากเห็นเขาเปลือยท่อนบนกันแน่ แต่ที่ตลกก็คือ...เจ้าเด็กนี่ไม่รู้หรือไงว่าใส่เสื้อลงน้ำก็ได้ แล้วทำไมถึงหยิบกางเกงมาให้เขาตัวเดียว

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาแบบนั้นเลย ภีมแค่ไม่อยากโดนแกล้งเถอะ” ภีมภัทรหันมาบอกความจริงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็ตามที่จักรพรรดิคิด เขามั่นใจว่าถ้าได้ลงน้ำด้วยกัน ยังไงพี่จักรก็ต้องหาเรื่องแกล้งแน่ๆ ข้อหาทำอะไรไม่ปรึกษา

“รู้ดีนะ”

“นี่ใคร...นี่ภีมนะ” คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหันมายืดอกอวดๆ แต่เพราะเปลือยท่อนบนอยู่จักรพรรดิเลยมีเวลาไล่สายตาสำรวจร่างกายขาวผ่องเหมือนไม่เคยออกแดดของคนลืมเขิน

“นั่นคนหรือก้างปลา”

“พี่จักร!” ภีมภัทรถลึงตา แทบจะเอาเสื้อในมือฟาดใส่ปากคนพูด

ใช่สิ...ใครจะไปหุ่นดีเหมือนพี่ ขนาดเพิ่งกลับมามีเนื้อมีหนังออกกำลังกายแป้บเดียวก็มีกล้ามเนื้อดูดีแล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ โดยเฉพาะไอ้หน้าท้องลอนๆ นั่น อยากจะจิ้มให้แตกเหลือเกิน

“ไม่แกล้งแล้ว ไปเถอะ วิทยารออยู่นั่นแล้ว” ชายหนุ่มพยักพเยิดให้หันไปมองนักกายภาพส่วนตัวของเขาที่ยืนทำหน้าตาขี้เผือกอยู่ริมขอบสระ ภีมภัทรเห็นดังนั้นจึงรีบหันไปเข็นรถให้คนป่วย

เมื่อมาถึงจุดที่วิทยาอยู่แล้วเขาก็ปล่อยให้จักรพรรดิพยุงตัวลงจากเก้าอี้ด้วยตัวเอง และในวินาทีนั้นเองที่สายตามองเห็นรอยแผลเป็นมากมายที่แผ่นหลังกว้างของพี่จักร ริมฝีปากบางเผลอขบเม้มเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ ต่อให้ผ่านมาสักพักแล้วหลังจากเคลียร์ปัญหาจบไป แต่ภีมภัทรก็ยังไม่เคยลืมเรื่องราวเหล่านั้น เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องร้ายๆ ที่ต้องเจอ ลืมไปหมดแล้วแม้กระทั่งความจริงที่ว่าในเวลานั้นตัวเองหวาดกลัวเพียงใด หากสิ่งที่ทำให้คิดมากจนถึงทุกวันนี้มีเพียงเรื่องราวของพี่จักร บาดแผลบนแผ่นหลังกว้างคือสิ่งที่ตอกย้ำให้เขารู้ว่าพี่จักรเคยเจ็บขนาดไหน แล้วกับตัวพี่จักรเองล่ะ เขาจะ....

ตูม!

เสียงของมีน้ำหนักหล่นลงน้ำดังโครมทำให้ภีมภัทรที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ งุนงงไปชั่วขณะ แต่แล้วเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจไม่ออกเขาถึงได้รู้...

“พี่...แค่ก...พี่จักร!”

รู้ว่าไอ้ที่หล่นน้ำไปคือตัวเองนี่แหละ!

“รอบที่สองแล้วนะ!”

ครั้งนั้นก็เล่นทีเผลอผลักเขาลงน้ำหน้าตาเฉย มาครั้งนี้ยังอุตส่าห์ผลักเขาลงมาก่อนอีก ไอ้เพื่อนเลวก็ไม่คิดจะช่วยอะไรเลยสักนิด มัวแต่นั่งยองๆ ขำอยู่ริมขอบสระ ภีมภัทรกัดฟันกรอด ในเมื่อเอาคืนกับพี่จักรไม่ได้ก็เอาไอ้วิทย์นี่แหละวะ!

“มานี่เลยมึง!”

ตูม!

“ไอ้ภีม! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” วิทยาที่ตกลงมาในสระทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดร้องงอแง กำลังจะคิดว่าโชคดีที่ไม่ได้หล่นลงมาหน้าทิ่มแบบไอ้ภีมเลยไม่สำลัก แต่ยังไม่ได้ทันได้ดีใจไอ้เพื่อนข้างกายมันก็จับหัวเขากดน้ำหน้าตาเฉยแบบไม่กลัวทำคนตาย

“แดกน้ำเข้าไปเยอะๆ เลย”

“แค่ก...แค่ก...ไอ้ภีม! ไอ้คนเลว!” นักกายภาพหนุ่มหมดสภาพที่เพิ่งโงหัวขึ้นมาจากน้ำได้ชี้หน้าด่าเพื่อนด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด สายตามองสอดส่องไปรอบกาย เมื่อแน่ใจว่าในยามนี้ไม่มีใครอยู่ด้วยนอกจากพวกเขาสามคน วิทยาก็ควักน้ำสาดหน้าเพื่อนหน้าตาเฉยทั้งยังหัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจใคร

“ไอ้วิทย์ มึงเป็นบุคลากรของโรงพยาบาล ทำกับญาติคนไข้แบบนี้ได้ไง”

“ไม่มีคนเห็นไม่นับโว้ย!”

“มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม!”

“มึงจะทำไมกูไอ้แห้ง!”

จักรพรรดิทอดสายตามองเด็กน้อยของเขาเล่นกับเพื่อนทั้งรอยยิ้ม แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องที่ภีมภัทรจ้องแผ่นหลังของตัวเอง เด็กคนนั้นชอบคิดมาก ต่อให้พูดอย่างไรก็จะคิดมากอยู่อย่างนั้น สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงการหาเรื่องดึงดูดความสนใจของเจ้าตัวเอาไว้ และมันไม่ใช่แค่ครั้งนี้ เวลาอยู่ในห้องด้วยกันแล้วเขาเผลอเปิดหลังให้เห็น เสียงพูดคุยจ้อแจ้ก็จะค่อยๆ เงียบลงไปทุกทีพร้อมกับที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มของคนพูดเหือดแห้งลงเรื่อยๆ เหมือนกัน ในคราแรกชายหนุ่มคิดว่าถ้าภีมภัทรเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรก็คงจะเลิกคิดไปเอง แต่ดูแล้วคงไม่ใช่...เห็นทีต้องทำอะไรสักอย่าง

“คุณจักรพรรดิเชิญเลยครับ” นักกายภาพที่เริ่มรู้หน้าที่ของตนเองหันมาหาคนไข้ในความดูแลเมื่อนึกขึ้นได้ เขามองภาพคนไข้ค่อยๆ ขยับเท้าทีละนิดมาลงน้ำด้วยความภาคภูมิใจ หันไปด้านข้างเห็นเพื่อนทำตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้แล้วก็ตื้นตันตามไปด้วย

วิทยาจำได้ดีว่าวันแรกที่ได้พบกันคุณจักรพรรดิเย็นชาขนาดไหน เวลาทำกายภาพเหมือนจะทำตาม แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ใส่ใจลงมาเต็มร้อย ราวกับเจ้าตัวยังไม่ค่อยเชื่อนักว่าจะหายดีได้จริงๆ แต่แล้วเมื่อภีมเข้าไปหา จับยกขาลีบในเวลานั้นด้วยความตั้งใจไม่ย่อท้อ ประกายตาไร้ความรู้สึกของคนคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จวบจนมาถึงวันนี้ที่ทุกคนต่างยิ้มให้แก่กัน

ความพยายามไม่เคยสูญเปล่า...

ต่อให้พยายามทำอะไรสักอย่างแล้วไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่จะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอนถ้าเราพยายามมากพอ

“รู้สึกไหมครับว่าเวลาอยู่ในน้ำแล้วขยับได้ง่ายกว่า”

“อืม”

“นั่นเพราะมีน้ำช่วยพยุงน้ำหนักเราเอาไว้ส่วนหนึ่ง คุณจักรพรรดิจับมือไอ้ภีมแล้วเดินตามมันไปเรื่อยๆ นะครับ” วิทยาอธิบายแล้วผลักเพื่อนเข้าไปทำหน้าที่แทน เขาไม่ได้ขี้เกียจหรือไม่อยากทำหน้าที่ เพียงแต่คิดว่าคุณจักรพรรดิต้องรู้สึกดีกว่าแน่ๆ หากไอ้ภีมเป็นคนจับมือนั้นไว้ “มึงหันหน้าเข้าหาเขาแล้วพาเดินถอยหลังทีละนิด ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูช่วยกำกับอยู่ด้านข้างเอง”

ภีมภัทรจับมือใหญ่ทั้งสองข้างไว้ตามคำสั่งเพื่อน เขาก้มลงมองมือตัวเองนิ่งงันเพราะไม่กล้าสบดวงตาแวววาวเป็นประกายของคนตรงหน้า อีกอย่าง...พี่จักรเวลาเปียกไปทั้งตัวมันทำให้รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้

“มองแต่น้ำแบบนี้จะพาพี่ล้มไหม” จักรพรรดิถามเสียงกลั้วหัวเราะ

นั่นไง...เริ่มแกล้งแล้วแน่ๆ

“ไม่ล้มหรอก”

ห้ามหลงกลเด็ดขาด ยิ่งแสดงออกเขาจะยิ่งได้ใจ ทีนี้โดนเล่นหนักแน่

“ต้องล้มแน่ๆ” คนขี้แกล้งยังพูดต่อ

“ไอ้ภีม มองพี่เขาด้วยสิวะ เดี๋ยวล้มไปทำไง” วิทยาที่ยืนมองอยู่ด้านข้างเอ่ยแทรก ส่วนหนึ่งเป็นจริงตามที่เขาพูด แต่อีกส่วนคือคำสั่งที่ส่งผ่านมาทางสายตาของคนตัวโต เรื่องแกล้งไอ้ภีมนี่ขอให้บอก

ภีมภัทรที่รู้ตัวว่าโดนรุมอยากจะขัดแต่ก็ขัดไม่ได้ เพราะเสียงของเพื่อนเขาดูจริงจังจนไม่รู้จะใช้อะไรเถียง ถึงจะรู้ว่ามันแกล้งทำก็เถอะ ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ได้สบดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น ดวงตาคู่สวยก็สั่นไหวจนใจพาลเต้นผิดจังหวะตามไปด้วย

“ใจเต้นแรงจัง”

“พี่จักรเดินได้แล้วครับ” ภีมภัทรหน้าบูดเบี้ยวขึ้นทุกขณะแม้จะยังตัวแดงหน้าแดงไม่หาย เห็นแบบนั้นคนขี้แกล้งเลยยอมหยุดพูด เขาทุ่มสมาธิไปกับการพยายามเดินโดยอาศัยน้ำและมือเรียวของอีกคนช่วยประคอง

แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ที่ทำได้เพียงในน้ำ แต่มันก็รู้สึกดีมากจริงๆ

“ไม่ต้องเกร็งมากนะครับคุณจักรพรรดิ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเครียด” วิทยาที่อยู่ด้านข้างคอยกำกับดูแลทั้งคู่เป็นอย่างดี เวลาเห็นจักรพรรดิทำท่าจะเซหรือหมดแรงก็รีบเข้าไปช่วย ผ่านไปสักพักจึงพาทั้งคู่มานั่งพักอยู่ริมขอบสระ และในเวลานั้นเองที่ได้รับสัญญาณเร่งด่วนเป็นคำสั่งผ่านทางดวงตาคมกริบ

“วิทยาจะไปไหนไม่ใช่หรือไง” ตัวต้นเรื่องเริ่มเปิดบทสนทนาเสียงเรียบ

“เออ...ใช่ครับ มึงดูคุณจักรพรรดิก่อนนะไอ้ภีม ห้ามไปกลางสระตอนกูไม่อยู่ล่ะ” พูดจบหนุ่มนักกายภาพก็รีบวิ่งหนีไปที่ห้องแต่งตัวแทบจะทันที ไม่รอให้ภีมภัทรอ้าปากถามอะไรสักคำ

“อะไรของมัน...”

“คงมีธุระ”

“ว่าแต่พี่จักรยังยืนไหวไหม ขึ้นไปนั่งบนขอบสระดีกว่า เดี๋ยวภีมช่วย” คนขี้เป็นห่วงเริ่มพูดเมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มจะยืนอยู่ในน้ำนานเกินไป

“ไม่เป็นไร ถ้าพิงขอบสระแบบนี้คงยืนได้อีกนาน” จักรพรรดิดึงมือคนตัวขาวให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม เห็นใบหน้าเหมือนเด็กตกใจนั่นแล้วนึกอยากแกล้งขึ้นมาทุกที ไหนจะหูแดงๆ กับแก้มแดงๆ นั่นอีก

“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ” ภีมภัทรบ่นอุบอิบแต่ก็ยังเคลื่อนกายเข้าหาตามแรงดึง ดีที่ยังไม่ลืมขืนตัวนิดๆ หน่อยๆ ไม่ให้ตัวไปโดนอีกฝ่ายเข้าเสียก่อน

“ทีนี้ก็ได้รู้สักทีว่าเด็กชายภีมตัวเล็กกว่าพี่ขนาดไหน”

“หา…”

“ไม่สิ...แบบนี้ยังไม่ชัด” จักรพรรดิส่ายหน้า อาศัยจังหวะที่เด็กชายภีมทำหน้างงหมุนตัวอีกฝ่ายแล้วรั้งเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว “อืม...ค่อยชัดหน่อย”

ภีมภัทรทำหน้าเอ๋ออยู่ครู่ใหญ่ จวบจนเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักของคางคนตัวสูงที่วางทับลงมาบนหัวเขาถึงรู้สึกตัวว่าตอนนี้อยู่ในสภาพแบบไหน...แผ่นหลังที่แนบสนิทกับแผ่นอกกว้างของคนด้านหลังร้อนผะผ่าว และเพียงไม่นานความร้อนนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกายจนตัวสั่นสะท้าน หัวใจที่เพิ่งได้พักกลับมาเต้นกระหน่ำจนผิดปกติอีกครั้ง หากคนโดนกอดกลับทำได้เพียงเม้มปากแน่นเพื่อควบคุมอาการสั่นไหวของตัวเอง

“ภีม…”

“อือ”

“หลังของพี่เคยแบกรับสิ่งต่างๆ มามาก” คนฉวยโอกาสแอบกดจูบเบาๆ บริเวณกลางหัวเล็กขณะเริ่มพูด “พี่เคยคิดว่ารอยแผลบนหลังพวกนั้นมันเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เป็นสิ่งที่คอยย้ำให้รู้ว่าตัวเองเคยอ่อนแอขนาดไหน แต่พอเรื่องต่างๆ ผ่านพ้นไป เมื่อพี่ได้พบภีม มันเลยกลายเป็นแค่บาดแผลเตือนใจ กลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร่างกายของพี่เท่านั้น”

“…”

“พี่ไม่อยากให้ภีมเก็บมาคิดมาก พี่อยากให้ภีมรับมันให้ได้เหมือนที่พี่รับได้ และมองมันเป็นส่วนหนึ่งของพี่ที่ไม่ได้แตกต่างจากร่างกายส่วนอื่นๆ” เขาดันคนตัวเล็กกว่าออก ก่อนหมุนให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “ภีมทำให้พี่ได้ไหม”

ภีมภัทรเม้มปากแน่นทั้งที่ขอบตาสองข้างแดงก่ำ ยิ่งได้อยู่กับพี่จักรมากเท่าไหร่ นับวันเขายิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น พี่จักรไม่ใช่คนพูดเยอะ แม้ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนเวลาอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งนิสัยเดิมไป หากทุกครั้งที่ภีมภัทรมีปัญหาหรือเกิดคิดมากขึ้นมา ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ มักถูกดูออกอยู่เสมอ แล้วก็เป็นคนคนนี้ที่ยอมพูดประโยคยาวๆ ออกมาเพื่ออธิบายให้เข้าใจกันทุกที

“พี่จักร”

“หืม”

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คิดมาก” สีหน้าและน้ำเสียงรู้สึกผิดน่าเอ็นดูทำให้คนมองยกยิ้ม จักรพรรดิพยักหน้ารับ เฝ้ามองว่าเจ้าของดวงตาจริงจังคู่นั้นจะทำอะไรต่อ และเด็กน้อยก็ทำให้เขาแปลกใจเมื่อเจ้าตัวขยับเข้ามาจนชิดด้วยตัวเอง ก่อนจะสอดแขนเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่น กลายเป็นชายหนุ่มเสียเองที่นิ่งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก

“ภีมทำให้พี่จักรได้ทุกอย่าง” เสียงพูดจริงใจดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสของมือเนียนที่ลากไปตามรอยแผลบนแผ่นหลังกว้าง ในคราวนี้จักรพรรดิเข้าใจทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เขาโน้มตัวกอดร่างโปร่งเอาไว้แน่น ใจนึกเป็นรอบที่ร้อยว่าโชคดีจริงๆ ที่เป็นภีม...โชคดีจริงๆ ที่เป็นเด็กน้อยของเขา

“ค่อก...แค่ก แค่ก”

ภีมภัทรรีบผละตัวออกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมอันไร้ซึ่งความเป็นธรรมชาติของคนที่หายไปนาน เด็กชายภีมของพี่จักรหน้าแดงหูแดงตัวแดง คราวนี้ไม่มีพื้นที่ไหนที่ไม่แดงเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่ได้ใส่เสื้อก็ยิ่งเห็นชัด ทำเอาคนที่อยู่ใกล้และเห็นการเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

“คือแบบ...หลบอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านานจนจะเป็นลมแล้วเลยต้องออกมาน่ะครับ” นักกายภาพหนุ่มที่เพิ่งไปหลบฉากหวานอยู่ในห้องแต่งตัวอธิบายเสียงอ่อย มือยกปาดเหงื่องกๆ ด้วยท่าทีเหมือนคนแก่ ภีมภัทรที่เพิ่งรู้ว่าเพื่อนกับคนสำคัญร่วมมือกันเลยจัดการยกตัวขึ้นจากน้ำไปกระชากแขนไอ้เพื่อนตัวดีลงน้ำเสียงดังตูมใหญ่

“ไอ้ภีม! เอาอีกแล้วนะมึง!”

“ไม่ถีบก็ดีแค่ไหนแล้ว” ว่าแล้วก็ทำท่าจะยกขาถีบเพื่อนจากใต้น้ำจริงๆ ติดที่จักรพรรดิรู้ทันโอบเอวบางลากเข้าหาตัวได้เสียก่อน

“ทำไมเอวมีอยู่นิดเดียว” ชายหนุ่มขยับมือไปมาเหมือนจะสำรวจเมื่อพบว่าเอวของเด็กน้อยมันบางกว่าที่เขาคิดเสียอีก เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็ลืมเรื่องจะเตะเพื่อน หันมาพยายามผลักคนข้างกายออกแทน เปิดโอกาสให้คู่หูคู่ใหม่ได้ส่งซิกขอบอกขอบใจกันเรียบร้อย

“ไอ้ภีม พาคุณเขาขึ้นก่อนเถอะ อยู่ในน้ำนานไปไม่ดี”

“อะ...เออใช่” ภีมภัทรทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง กลายเป็นลากพาไปที่บันไดทั้งที่อีกฝ่ายเกาะเอวไว้เสียอย่างนั้น “พี่จักรค่อยๆ ขึ้นนะ...แล้วมือก็ปล่อยได้แล้ว”

ทำท่าจะตีให้ปล่อยมือก็ไม่กล้าเอง สุดท้ายได้แต่ฮึดฮัดแล้วพยายามแกะอยู่อย่างนั้นจนคนจับต้องปล่อยให้เพราะสงสาร

“เด็กน้อยจริงๆ”

หลังจากกลับขึ้นมาบนสระและแยกย้ายกันไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วภีมภัทรจึงหันไปบอกลาวิทยาในทันทีเพราะไม่อยากให้มันมองด้วยสายตาล้อเลียนไปมากกว่านี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเห็นฉากเขาเข้าไปกอดพี่จักรก่อนเข้าอย่างจัง แค่คิดก็หน้าร้อนจนอยากจะระบายอารมณ์ออกมาด้วยการเข้าไปเตะมันสักทีสองที

“เลิกคิดจะเดินตามไปเตะเพื่อนแล้วกลับบ้านกันเถอะ” จักรพรรดิพูดขึ้นมาเหมือนจะเตือนให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ก็สายตาของคนด้านข้างมันน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่ มองตามหลังนักกายภาพบำบัดส่วนตัวของเขาเสียจนแทบทะลุ

“ไปก็ได้”

“เสียงเหมือนโดนขัดใจ”

“เปล่านะ” ภีมภัทรปฏิเสธ ขารีบก้าวเดินไปช่วยเข็นรถจากเบื้องหลัง

“ภีม”

“ครับ?”

“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”

เอาอีกแล้ว...อยู่ๆ ก็ทำเสียงจริงจังแบบนี้ใจไม่ดีเลย

“งั้นเราไปนั่งตรงเก้าอี้ที่สวนก่อนแล้วกัน” คนอ่อนไหวง่ายบอกเสียงเบา ก่อนจะพาร่างคนป่วยเดินไปที่สวนด้านหลังของโรงพยาบาลที่มีคนมาออกกำลังกายและนั่งเล่นกันอยู่เป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มหยุดนั่งลงที่เก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง ในขณะที่จักรพรรดินั่งอยู่บนวีลแชร์ด้านข้าง

“เมื่อวานเกรย์ติดต่อมาหาพี่”

“อื้อ”

“บอกว่าเรื่องมินตราเรียบร้อยดีแล้ว” จักรพรรดิเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาเหม่อมองไปยังขอบฟ้ากว้างไกล ไร้อารมณ์และความรู้สึกใดๆ “แต่ยังเหลือเรื่องทรัพทย์สินและบริษัทของพ่อเลี้ยงที่ยังต้องให้คนกลับไปจัดการ ยิ่งไวเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ดูเหมือนจะถึงเวลาเปิดพินัยกรรมแล้วน่ะ”

“พี่จักรต้องกลับไปใช่ไหม” ภีมภัทรเริ่มถามเมื่อเข้าใจเรื่องราว แม้ใจจะนึกกังวลอยู่ไม่น้อย แต่เสียงของเขาไม่มีความสั่นไหวใดๆ แม้แต่นิดเดียว

ภีมเชื่อใจพี่จักร...

“อืม...ในฐานะลูกเลี้ยงคงต้องกลับไปรับรู้ บวกกับต้องไปจัดการปัญหาเรื่องบริษัทที่ยังมีชื่อพี่อยู่ในนั้นด้วย ถึงจะโดนปลดไปแล้ว แต่ในเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องไปรับหน้า”

“แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่”

เมื่อได้ยินคำถามที่คาดเดาไว้ ชายหนุ่มจึงหันกลับมามองสบดวงตาคู่สวยที่เป็นประกายระยิบระยับด้วยความคาดหวัง มือใหญ่ยกขึ้นแตะมุมปากบาง กดเบาๆ ให้ยกเป็นรอยยิ้มแล้วจึงพูดต่อ

“เกรย์จะกลับพรุ่งนี้” เขาส่ายหน้าเมื่อเห็นเด็กน้อยเม้มปากแน่น “ถ้าภีมไม่อยากให้พี่ไปตอนนี้ พี่ก็จะยังไม่ไป”

“ทะ...ทำไม”

“เพราะภีมสำคัญ”

มันเป็นคำตอบของทุกคำถาม...

หากภีมภัทรไม่ต้องการให้เขาไป อยากให้เราอยู่กันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วทิ้งโลกนั้นไว้เบื้องหลังจักรพรรดิก็จะทำตาม แม้เกรย์จะแนะนำให้กลับไปจัดการปัญหาทุกอย่างให้เคลียร์เพื่อให้สามารถมาอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องนึกกังวลอะไร แต่หากเด็กน้อยของเขาไม่ต้องการมันก็เท่านั้น

จักรพรรดิให้สิทธิ์คนของเขาทุกอย่าง...แม้แต่การตัดสินใจในเรื่องนี้

“ภีม…” หัวใจที่่เต็มตื้นกับคำตอบที่ได้ฟังทำให้คนพูดติดอ่างไปชั่วขณะ ภีมภัทรจับมือที่แตะใบหน้าเขาไว้แล้วบีบเบาๆ ก่อนรอยยิ้มสวยจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอย่างเป็นธรรมชาติ “ไปเถอะครับ”

“…”

“พี่จักรรีบไปจัดการปัญหาให้หมดจะได้ไม่ต้องมาพะวงทีหลัง ยิ่งไปไวเท่าไหร่ก็ยิ่งกลับมาไวเท่านั้น จริงไหม”

คำตอบที่ไม่เกินจากความคาดหมายของคนสำคัญทำให้ชายหนุ่มยิ้มออก เขารู้อยู่แล้วว่าภีมภัทรจะพูดแบบนี้ รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ที่ไม่รู้...คือไม่รู้ว่าจะได้รับแม้แต่รอยยิ้มจริงใจและห่วยใยยามต้องลาจาก ทั้งที่ตัวเองคงเจ็บปวดมากกว่าใคร

“อืม”

ก็เพราะภีมเป็นคนแบบนี้

พี่ถึงได้...

‘รัก’


———————






CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
« ตอบ #169 เมื่อ: 24-05-2018 19:09:55 »





ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #170 เมื่อ25-05-2018 01:08:39 »

รีบๆกลับมานะพี่จักร

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #171 เมื่อ25-05-2018 02:33:09 »

รีบไป รีบกลับ เร็ว ๆ ล่ะ น้องสั่งนะ พี่จักร  :hao3:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #172 เมื่อ25-05-2018 06:15:39 »

พี่จักรก้อพาภีมไปด้วยซิ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #173 เมื่อ25-05-2018 06:58:19 »

รีบไปรีบกลับน้าาา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #174 เมื่อ25-05-2018 07:34:50 »

  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #175 เมื่อ25-05-2018 09:36:47 »

เดินทางปลอดภัยน้าพี่จักร
เดี๋ยวไปเฝ้าภีม... ที่ร้านดอกไม้ให้ ไม่ต้องห่วง

รีบไปรีบกลับ แฟนคลับรออยู่

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
«ตอบ #176 เมื่อ25-05-2018 17:27:05 »

-19-


ในเวลาที่ต้องห่างกับคนสำคัญ จักรพรรดิคิดว่าช่วงแรกๆ คงคิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไร หลังจากนั้นน่าจะเริ่มชินไปเอง ถึงจะไม่ได้หายคิดถึงแต่อารมณ์เหล่านั้นก็คงเบาลงไปบ้าง ไม่ต้องทรมานมากมายเท่าตอนแรกอีก แต่ที่ไหนได้...เขาดูถูกคำว่าคิดถึงมากเกินไป เพราะนอกจากมันจะไม่ดีขึ้นแล้ว นับวันอาการยิ่งหนักขึ้นๆ จนกลายเป็นบางครั้งต้องนั่งจ้องโทรศัพท์นานเป็นชั่วโมงเพราะอยากให้มีสายเรียกเข้าเสียที แล้วก็หนีไม่พ้นคนคนเดิมที่มักรู้เวลาเข้ามาขัดได้ถูกจังหวะอยู่เสมอ

“คิดถึงคนทางนั้นอีกแล้วหรือไง”

“…”

“อย่างว่าแหละน้า...ไอเองก็คิดถึงลูกแกะเหมือนกัน” หนุ่มตาฟ้ายักไหล่บ่นเป็นภาษาไทยเสียงงุ้งงิ้งทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้พูดชัดนัก แต่อย่างน้อยมันก็เรียกความสนใจจากคนที่นั่งมองโทรศัพท์นิ่งงันมากว่าสามสิบนาทีได้อยู่

“เลิกพูดภาษาไทยเสียที ฟังแล้วปวดหัว” จักรพรรดิบอกเป็นภาษาฝรั่งเศส ขมวดคิ้วตำหนิเพื่อนได้ครู่เดียวก็ก้มหน้าก้มตาลงมองโทรศัพท์ต่อ

“โอเคๆ” เกรย์ยกมือยอมแพ้แต่ยังไม่วายยื่นหน้าเข้าไปเผือกเพราะอยากรู้ว่าเพื่อนดูอะไรนักหนา แล้วเขาก็ได้รับคำตอบเมื่อเห็นภาพแอบถ่ายของชายคนหนึ่งปรากฏบนหน้าจอ “คิดถึงน่าดูเลยนะ”

“…”

“ก็ไม่แปลกหรอก นี่ก็ตั้งเดือนกว่าแล้ว”

นั่นก็ใช่...นี่ก็เดือนกว่าแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ถึงจะได้คุยกันทางโทรศัพท์เกือบทุกวันแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คิดถึงน้อยลงเลย

“แล้วเรื่องเด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง” จักรพรรดิวางโทรศัพท์แล้วเริ่มถามเข้าเรื่องงาน

“ยังปรับตัว ดีที่พ่อเลี้ยงนายจัดการคนไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ ก่อนเหลือบตามองเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย “คิง...นายมั่นใจเหรอว่าจะเอาแบบนี้ ฉันช่วยได้นะถ้านายต้องการอะไรๆ ที่เป็นของตัวเองคืน”

คนฟังถอนหายใจหน่ายแม้จะรู้สึกขอบคุณกับความช่วยเหลือที่เพื่อนพยายามมอบให้ แต่เล่นถามกันทุกวันเหมือนอยากให้เปลี่ยนใจแบบนี้มันก็น่าด่าอยู่ เพราะตัวเองก็รู้ดีว่าถ้าทำแบบนั้นเขาจะต้องกลายเป็นคนเลวแน่ๆ หรือไม่...ก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก

“อย่าพูดเหมือนไม่รู้อะไรหน่อยเลยเกรย์ อะไรๆ ที่นายว่ามันไม่ใช่ของฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว นายก็รู้ดี”

“แต่นายเป็นคนสร้างมันมาร่วมกับเขา”

“ฉันก็เป็นหมากบนกระดานของเขา เหมือนกับที่เขาเป็นหมากบนกระดานของฉันนั่นล่ะ” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบ เขาย่อมรู้ดีที่สุดว่าตัวเองในสมัยก่อนเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างไร สำหรับเขากับพ่อเลี้ยงที่มีนิสัยแบบเดียวกัน เราต่างมองกันเป็นเพียงหมากบนกระดานที่ไม่ได้มีความรักใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่เกิดอุบัติเหตุจนเหตุการณ์ทั้งหมดเปลี่ยนไป เชื่อเถอะว่ายังไงจักรพรรดิก็ไม่มีวันยอมให้เด็กแปลกหน้ามาเชิดทุกอย่างไปจากเขาแน่ แม้เด็กนั่นจะได้ชื่อว่าเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อเลี้ยงรวมถึงเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทุกอย่างตามพินัยกรรมก็ตาม

เพียงแต่ในเวลานี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว...

“ฉันอยากจัดการทุกอย่างให้จบลงให้ไวที่สุด จะได้กลับบ้านเสียที”

กลับไปหาภีม...คือจุดมุ่งหมายเดียวในเวลานี้

“ตามใจแล้วกัน งั้นก็เตรียมตัวเถอะ...นายว่าจะไปดูร้านไม่ใช่เหรอ” เกรย์ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา มองเห็นท่าทางของเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งก็พอจะรู้ว่ายังยืนยันคำตอบเดิม เขาถอนหายใจเบาๆ นึกเสียดายนิดหน่อยที่จะไม่ได้ทำเรื่องน่าสนุกต่อ แต่เอาเถอะ...ขืนลูกแกะรู้ว่าเขาพยายามล่อลวงพี่ชายตัวเองให้กลับไปเป็นใหญ่เหมือนเดิมโดยการแย่งชิงสมบัติมาจากทายาทตัวจริง ลูกแกะต้องโกรธจนควันออกหูแน่

“อืม” จักรพรรดิรับคำพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงเกรย์เดินออกไปจากห้องแล้วเขาจึงถอนสายตากลับมามองโทรศัพท์อีกครั้ง ใจนึกไปถึงบทสนทนากับเด็กน้อยเมื่อสองสามวันก่อนหลังจากที่เขาเล่าเหตุการณ์เรื่องพินัยกรรมให้ฟัง

พ่อเลี้ยงของเขาไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ ผู้ชายคนนั้นต้องการอะไรจักรพรรดิอาจจะไม่รู้แน่ชัด แต่ที่มั่นใจคือคนคนนั้นไม่ได้รักหรือหวังดีกับเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ เมื่อได้เปิดพินัยกรรมและรับรู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่คืออะไรเขาก็เข้าใจทุกอย่าง จักรพรรดิคือตัวแทนเพื่อรองรับอารมณ์จากมินตราและอันตรายจากคนรอบข้าง พ่อเลี้ยงมีลูกแท้ๆ อยู่แล้ว เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เจ้าตัวอุปถัมภ์ พินัยกรรมกล่าวอย่างชัดเจนว่าเด็กคนนั้นคือผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างของพ่อเลี้ยง ข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือเจ้าตัวจะมีสิทธิ์เมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ และมันก็คือเวลาเปิดพินัยกรรมเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นเอง

‘แบบนั้นก็ดีเลยสิครับ พี่จักรจะได้ไม่เหนื่อย ไม่ต้องแบกอะไรให้หนักแล้ว’

นั่นคือคำพูดที่ทำให้จักรพรรดิยิ้มออก จริงอยู่ที่เขาเลิกสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว อาจมีบ้างในตอนแรกที่รู้สึกเสียดายเพราะได้นึกถึงความหลังเก่าๆ นึกถึงสิ่งที่เคยมี แถมยังมีตัวเสี้ยมอย่างเกรย์อยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รับสายจากทางไกล ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยที่ถามแค่ว่าหนาวมากไหมแล้วบ่นพึมพำตำหนิตัวเองที่จัดเสื้อผ้าให้เขาผิด เพียงเท่านั้นความเสียดายไร้สาระเหล่านั้นก็หลุดออกไปจากหัวอย่างง่ายดาย

ครืด ครืด

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้มอ่อนโยน เขากดรับสาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสิ่งแรกที่จะได้ยินคืออะไร เพราะมันเป็นแบบนั้นมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว

[พี่จักรออกกำลังกายหรือยัง]

นั่นไง...

“เรียบร้อยแล้ว” ว่าแล้วก้มลงมองขาทั้งสองข้างที่ไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน อันที่จริงหลังจากต้องกลับมาจัดการเรื่องราวมากมายที่นี่จักรพรรดิก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก อาจถึงขั้นลืมห่วงตัวเองเสียด้วยซ้ำหากไม่ใช่ว่ามีคนคอยเตือนอยู่ทุกวี่ทุกวัน

[ดีมาก] ปลายสายเอ่ยชมอย่างพอใจแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงสงสัยได้อย่างรวดเร็วสมกับเป็นเด็กน้อยยังไม่โตของจักรพรรดิ [แล้ววันนี้พี่จะทำอะไรเหรอ]

“จะไปดูร้านเปิดใหม่น่ะ”

[ร้าน?]

“อืม เป็นร้านอาหารที่พี่ลงทุนกับเกรย์” ถึงจะบอกว่าร้านอาหาร แต่จริงๆ คงต้องบอกว่าภัตตาคารล่ะน่ะ

[แล้วแบบนี้...]

“แล้วแบบนี้ไม่ต้องอยู่ทำงานที่นั่นเหรอ จะถามแบบนั้นใช่ไหม” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อได้รับความเงียบเป็นคำตอบ “มีคนจัดการอยู่แล้ว พี่แค่รอรับส่วนแบ่ง เอาเวลาไปช่วยเด็กชายภีมทำงานดีกว่า”

เสียงหัวเราะคิกคักน่าเอ็นดูจากปลายสายทำให้ความคิดถึงที่มีมากอยู่แล้วทวีคูณขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า จักรพรรดิยิ้มจาง สายตาทอดมองตรงไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย

อย่างน้อย...ก็ยังอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกันล่ะนะ

[เบื่อคนรวยโดยไม่ต้องทำอะไรจริงๆ]

“นั่นมันภีมไม่ใช่หรือไง”

[ไม่ใช่สักหน่อย นั่นมันเงินพ่อ เงินภีมมีนิดเดียว] เด็กน้อยเถียง

“งั้นก็อยู่เฉยๆ ด้วยกันนี่ล่ะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

[นี่พี่จักร! อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายแบบนั้นสิครับ]

“ก็ไม่เห็นยากตรงไหน”

สิ่งที่พูดออกมาจากปากของจักรพรรดิไม่มีคำไหนที่เชื่อถือไม่ได้ หากเขากล้าเอ่ยออกมาแล้วย่อมหมายความว่าตัวเองแน่ใจว่าทำได้แน่นอน ดังนั้นถึงแม้จะทำเหมือนพูดเล่นแกล้งใครบางคน แต่ถ้าเด็กน้อยตอบว่าเอาขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าหวังจะเปลี่ยนคำพูดเลย เพราะเขาทำจริงแน่

“ตัวบางนิดเดียว กินข้าวยังไงก็ไม่รู้”

[อย่ามาว่าภีมเลย เมื่อก่อนพี่จักรก็เคยผอมแห้งแรงน้อยเพราะไม่ยอมกินข้าวเหมือนกันนั่นล่ะ]

“กล้าเถียงพี่เหรอ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะบีบปากแดงๆ นั่นให้ยู่เลย” เขาแกล้งขู่เสียงจริงจัง แต่น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาแบบที่คิด ได้ยินเพียงเสียงอุบอิบเหมือนบ่นพึมพำอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว

[งั้น...รีบ…]

“หืม”

[งั้นก็รีบกลับมาสิ! แค่นี้นะ ภีมจะไปช่วยงานพ่อ]

“เดี๋ยว...”

[กินข้าวให้ครบทุกมื้อ นอนหลับห่มผ้า ออกกำลังแล้วพักด้วย เข้าใจนะ บาย]

“แบบนี้ก็ได้เหรอ” จักรพรรดิจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งโดนกดตัดสายไปแบบงงๆ หากรอยยิ้มยังคงไม่เลือนหายไปจากใบหน้า

รีบกลับมางั้นเหรอ...

เห็นทีคงต้องเร่งทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุดล่ะนะ มาพูดแบบนี้ใส่แล้วใครจะทนได้กัน









จักรพรรดิเดินทางไปดูงานที่ภัตตาคารพร้อมกับเกรย์ในช่วงบ่าย ชายหนุ่มมองร้านที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยสีหน้าพอใจ ทุกรูปแบบที่อยู่ในหัวเขาถูกเนรมิตออกมาได้แบบไม่มีที่ติ ภัตตาคารหรูหราบนย่านค้าขายสำคัญของเมือง เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นทรงกลมโดดเด่นก็สามารถดึงดูดสายตาของคนผ่านไปผ่านมาได้มากแล้ว หากเปิดจริงมีแสงสีช่วย งานนี้ที่เขากับเกรย์ช่วยกันสร้างขึ้นมาคงประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

“ดูแลให้ดีตามแผนที่วางกันไว้ ห้ามให้มีอะไรผิดพลาด” หนุ่มตาฟ้าหันไปพูดกับผู้จัดการร้านซึ่งเป็นคนของเขาเองอย่างจริงจัง สลัดคราบหนุ่มขี้เล่นเหมือนยามอยู่กับเพื่อนไปจนหมด

“ครับ”

เกรย์โบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้ไปทำงานต่อ ชายหนุ่มหันกลับมาหาจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจยามเห็นเพื่อนสนิทที่ไม่เคยใส่ใจโซเชียลใดๆ กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปภัตตาคารหน้าตาเฉย

“ถ่ายให้ภีมดู” คนโดนจ้องพูดขึ้นมาลอยๆ เหมือนรู้ตัว เมื่อกดส่งภาพให้เด็กน้อยเรียบร้อยแล้วจึงหันไปหาเกรย์ “ร้านเปิดพรุ่งนี้ใช่ไหม”

“อ่า…”

“ฉันจะ...”

“คุณ! คุณครับ!”

เสียงตะโกนเรียกจากทางด้านหลังทำให้สองหนุ่มที่กำลังจะพากันเข้าไปด้านในตัวภัตตาคารหยุดเท้า เกรย์ที่หันไปมองก่อนส่งเสียงหืมออกมาเบาๆ ก่อนจะเหยียดยิ้มนึกสนุก ในขณะที่จักรพรรดิไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้จะเห็นแล้วว่าใครกำลังวิ่งเข้ามาหา

“คุณคิง”

เด็กหนุ่มตัวสูงร่างผอมหน้าตาธรรมดาสามัญคนนี้คือเด็กที่ได้รับมรดกมหาศาลไปเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ด้านหลังที่วิ่งตามมาติดๆ คือทนายประจำตัวกับเลขาคนสนิทของพ่อเลี้ยงที่น่าจะได้รับหน้าที่ให้ดูแลเด็กนี่ต่อ จักรพรรดิไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาจัดการตัวเองจนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวของพ่อเลี้ยงแล้ว แม้แต่บริษัทนั่นก็เป็นแค่เพียงคนที่ได้ชื่อว่าเคยบริหารมาก่อนเท่านั้น

“ผมไม่อยากได้สมบัติพวกนี้ คุณเอาคืนไปได้ไหม” เด็กหนุ่มเริ่มพูดธุระของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคนที่อยู่ด้านหลัง

“พูดเรื่องอะไรของนาย” จักรพรรดิไม่ใช่คนอ่อนโยน เขาจะใจดียามที่อยู่กับภีมภัทรเท่านั้น และน่าเสียดายนักที่เวลานี้เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ด้วย ชายหนุ่มจึงแสดงด้านร้ายๆ ของตัวเองออกมาจนหมด โดยเฉพาะดวงตาคมกริบคู่นั้นที่กวาดมองคนตรงหน้าราวกับเป็นเพียงของชิ้นหนึ่งที่ไร้ซึ่งความสำคัญ

“นั่นสิ...จำได้ว่าอาทิตย์ก่อนยังตื่นเต้นดีใจอยู่เลยไม่ใช่หรือไง” เกรย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างสำทับพร้อมรอยยิ้ม

“นั่นมัน...ผม...ผมไม่อยากเข้าไปบริษัทงานพวกนั้น ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นที่เอาแต่จ้องมองเหมือนจะจับผิดกันตลอดเวลา คุณเอาคืนไปเถอะ ผมไม่อยากได้แล้ว”

“ไสหัวไปซะ” จักรพรรดิใช้เพียงแววตาเพื่อสะกดคนฟังให้หุบปาก เขาไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มจะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเพียงใด สิ่งที่เรียกความสนใจได้มากกว่าในยามนี้คือโทรศัพท์ในมือที่กำลังสั่นอีกครั้ง เบอร์โทรที่ปรากฏทำให้แววตาดุดันอ่อนแสงลงชั่วขณะ

เวลาจะใช้นิสัยเดิมทีไร เด็กชายภีมต้องเข้ามาขัดทุกทีสิน่า...

“ฟังให้ดี” เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นเป็นลูกนกโดยยังไม่ได้กดรับโทรศัพท์ “สิ่งที่นายได้รับคือสิ่งที่พ่อนายมอบให้ ต่อให้ยินดีหรือไม่ยินดีมันก็เป็นของนายแล้ว ยังไงก็หนีไม่พ้น ไปคิดดูให้ดีเถอะว่าจะหดหัวเป็นเต่าให้คนมาชักจูงเหมือนเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง หรือจะเชิดหน้ายอมรับและบริหารมันด้วยมือตัวเอง”

“…”

“ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนามสกุลของนาย ถ้ายังกล้ามายุ่งวุ่นวาย...อย่าหาว่าไม่เตือน”

จักรพรรดิกดรับโทรศัพท์พลางเข็นรถเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจคนที่อยู่เบื้องหลังอีก เกรย์เห็นดังนั้นจึงยักไหล่ เขาเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มตาแดง มองคนเบื้องหลังที่ทำท่าจะเข้ามาปกป้องด้วยแววตาเย็นเยียบเพียงชั่วขณะทั้งคู่ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี

“นี่เจ้าหนู...”

“คะ...ครับ”

“ถ้ามีโอกาสก็ไปขอบคุณคนที่โทรศัพท์มาหาพี่ชายนายพอดีเถอะนะ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่ได้รับคำสอนแสนใจดีนั่นแน่ และขอบอกไว้เลยว่านายจะมีโอกาสได้ยินคำสอนในฐานะพี่ชายของเจ้านั่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะงั้นจำไว้ให้ขึ้นใจล่ะ”

เกรย์ตบบ่าคนตัวเล็กเบาๆ เป็นเชิงย้ำ ก่อนเขาจะหมุนกายเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านใน พอเห็นหน้าตาอ่อนโยนยิ้มแย้มที่แตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิงแล้วได้แต่ส่ายหน้าหน่าย

ความรักหนอความรัก...เห็นแล้วอดคิดถึงลูกแกะไม่ได้สิน่า

“ว่ายังไง” จักรพรรดิทอดเสียงอ่อนโยนถามคนที่โทรมาหา ไม่มีทีท่าโกรธเคืองแม้อีกฝ่ายจะโทรมาโดยไม่ได้บอกก่อนและยังถือว่าอยู่ในเวลาทำงานของเขา

[ภีมเห็นรูปที่พี่จักรส่งมา สวยมากๆ เลย พี่จักรออกแบบเองเหรอ แล้วด้านในเป็นยังไง จะเปิดวันไหน ภีมเห็นแล้วอยากไปเที่ยวจัง ว่าแต่ขายอาหารประเภทไหน...]

“ถามรัวแบบนี้จะให้พี่ตอบยังไงหืม”

[…ลืมตัว]

“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะ อารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้ยินเสียงใสๆ พูดไม่หยุด “คิดถึงพี่ก็เลยพูดเยอะใช่ไหม”

[หลงตัวเอง] ปลายสายบ่นอุบอิบ

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวได้เจอกันเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย โอเคไหม”

[โอเคครับ ขอโทษนะที่ภีมโทรมากวนตอนทำงาน] น้ำเสียงสำนึกผิดจริงใจของเด็กน้อยทำให้คนฟังยิ้มกว้างกว่าเดิม อดคิดไม่ได้ว่านิสัยทำก่อนแล้วมาสำนึกผิดทีหลังนี่มันนิสัยของเด็กน้อยชัดๆ แต่ขืนพูดแซวออกไป คราวนี้คงโดนวางหูใส่อีกแน่

“ภีมโทรได้” เขาตอบกลับไปเพียงเท่านั้น

[พี่จักรอย่าหักโหมนะครับ ภีมไปทำงานก่อนนะ]

“ภีมก็เหมือนกัน”

[รับทราบครับผม!]

ก่อนวางไม่วายทำเสียงเข้มแข็งใส่ให้คนฟังหัวเราะอีกทีเป็นการปิดท้าย และมันก็ไม่ใช่เพียงครั้งนี้ เพราะตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาภีมภัทรทำเช่นนี้ทุกวัน ครั้งไหนที่จักรพรรดิหงุดหงิดจากการทำงาน เพียงโทรไปหาและได้รับกำลังใจจากคนห่างไกลเขาจะกลับมายิ้มได้ทุกครั้ง เด็กน้อยบอกว่าถ้าวันไหนพี่จักรไม่หัวเราะจะไม่ยอมวาง และต่อให้เขาพยายามอดกลั้นเพื่อทดลองดูอยู่หลายครั้งหลายคราว ฝ่ายนั้นก็ยังหาเรื่องมาทำให้หัวเราะได้ทุกทีไป แค่เสียงหึเบาๆ ยังร้องไชโยน่าเอ็นดู แบบนั้นใครจะทนหน้าบึ้งอยู่ได้

จักรพรรดิใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่ที่ภัตตาคารกับเกรย์ หลังจากนั้นเขาจึงแวะไปยังสถานที่อีกแห่งซึ่งกำลังก่อสร้างหลังจากเขาเคยปล่อยทิ้งไว้นานนับปี สภาพภายนอกเสร็จสมบูรณ์ แต่ภายในยังขาดการตกแต่งอยู่หลายจุด และที่มาครั้งนี้ก็เพื่อเร่งให้มันเสร็จเสียที

“นี่เหรอบ้านที่นายออกแบบเอง” เกรย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองบ้านเบื้องหน้าด้วยความชื่นชม

บ้านสไตล์โมเดิร์นที่สร้างจากปูนเปลือยเกือบทั้งหลังไม่ได้ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับฐานะเจ้าของบ้าน หากก็ดูอบอุ่นและน่าอยู่จนเกรย์นึกแปลกใจ เขาจำได้ดีว่าแบบร่างที่เพื่อนเคยเอามาให้ดูมันแตกต่างจากของจริงอยู่ในบางจุด แต่คงต้องยอมรับว่าเมื่อปรับมาเป็นแบบนี้แล้วมันทำให้บ้านหลังนี้แลดูน่าอยู่มากกว่าแบบเดิมเสียอีก

“นายปรับเปลี่ยนบางจุดสินะ”

“จำได้ด้วยเหรอ” จักรพรรดิยกยิ้มมุมปาก “ก็แค่...มีคนแนะนำมาน่ะ”

“เด็กน้อยของนายสินะ”

ความเงียบคือคำตอบของคำถามนั้น หากเมื่อเกรย์ได้หันไปเห็นความอ่อนโยนที่ฉายชัดบนใบหน้าของเพื่อน เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าคำตอบคืออะไร

“ภีมบอกว่าบ้านคือสถานที่สำหรับครอบครัว เป็นที่ที่เราใช้กินข้าวและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคนที่เรารัก” ตัวเขายังจำได้ดีว่าในยามที่เห็นแบบร่างของเขาเด็กน้อยทำหน้าตาชื่นชมขนาดไหน แต่แล้วเมื่อมองไปสักพักกลับขมวดคิ้วมุ่นแล้วส่ายหน้า “แบบร่างของฉันมันสมบูรณ์แบบมากเกินไปจนดูไม่เหมือนบ้าน”

‘ภีมอยากให้พี่จักรมีบ้านที่อบอุ่น ไม่ใช่บ้านที่สวยงาม’

เมื่อได้มาเห็นบ้านที่เกือบเสร็จสมบูรณ์ของจริง จักรพรรดิถึงได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังขาดอยู่อีกอย่าง บางอย่างที่สำคัญที่สุดซึ่งเขายังไม่ได้บอกให้คนคนนั้นรู้

บ้านที่อบอุ่นของพี่...ต้องมีภีมอยู่ด้วย

“ยังขาดอะไรบ้างล่ะ” เกรย์หันกลับมาถาม

“ของตกแต่งด้านในนิดหน่อย นี่ก็กะจะมาดูว่าขาดอะไรแล้วค่อยสั่งคนไปซื้อ”

“นี่จักร...”

“อืม”

“นายสร้างบ้านแบบนี้...คิดจะมาอยู่ที่นี่ถาวรเหรอ”

“เมื่อก่อนก็คิดแบบนั้นนั่นล่ะ” จักรพรรดิตอบตามตรง “แต่ว่า...บ้านของฉันมีอยู่สองที่แล้ว”

หลังหนึ่งคือบ้านที่อยู่ด้วยกันกับน้องชายทั้งสองคน แม้จะเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่มันก็เป็นบ้านที่เด็กพวกนั้นใช้ดูแลเขาตั้งแต่ยังเป็นคนเจ้าอารมณ์ ส่วนบ้านอีกหลังคือบ้านที่กำลังจะถูกเจ้าของบ้านขยับขยายซึ่งอยู่ติดเรือนกุหลาบ เป็นบ้านที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนสำคัญของตัวเอง

“ที่สร้างบ้านหลังนี้ต่อก็เพราะอยากทำตามความตั้งใจเดิม แต่คงไม่ใช่ที่ที่จะเอาไว้อาศัยอยู่ถาวรแบบที่คิดตอนแรกอีกแล้ว”

“เป็นบ้านพักตากอากาศงั้นสินะ”

“คงจะเป็นแบบนั้น”

เรียกว่าบ้านพักคงไม่ผิดนัก เพราะถ้าได้พาน้องหรือพาภีมมาเที่ยวที่นี่เมื่อไหร่เขาคงจะให้มาพักอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปจองโรงแรมหรืออะไรให้เสียดายเงิน แบบนั้นคงมีความสุขน่าดู

“เข้าไปข้างในเถอะ” เกรย์เอ่ยชวนเจ้าของบ้านเพราะอยากเข้าไปสำรวจด้านในใจจะขาด หนุ่มฝรั่งเศสแท้จัดการทำหน้าที่แทนภีมภัทร เข็นรถวีลแชร์เข้าไปด้านในโดยไม่รอคำตอบ เมื่อถึงที่หมายแล้วจึงปล่อยเจ้าของบ้านไว้้เพียงลำพัง ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ว่า... “เดี๋ยวไปสำรวจความเรียบร้อยให้”

อยากไปเดินเผือกก็บอกมาตรงๆ เถอะ

จักรพรรดิไม่สนใจเพื่อนเพราะรู้ดีว่าบ้านนี้ยังไม่มีอะไรให้เจ้านั่นมายุ่งวุ่นวายมากนัก ชายหนุ่มเข็นรถไปที่โซฟารับแขกซึ่งมีกล่องกระดาษใบหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อเคลื่อนย้ายไปนั่งบนโซฟาได้แล้วเขาจึงยกลังขึ้นมาวางบนตักเพื่อเปิดดูด้านใน ใจคาดหวังให้สิ่งที่ตามหายังคงอยู่ในกล่องใบนี้ที่เขาทิ้งไว้ใต้เตียงตอนอยู่บ้านหลังเก่า

จำได้ว่าครั้งหนึ่งของที่อยู่ในนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของสำคัญที่หยิบคว้ามาได้ก่อนโดนพาตัวมาอยู่ฝรั่งเศส ช่วงแรกๆ เขาหยิบพวกมันขึ้นมาดูทุกวัน คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ อยู่ทุกวัน จวบจนวันหนึ่งเมื่อเริ่มไร้ความหวังที่จะได้กลับบ้าน ของเหล่านี้จึงถูกลืมตามไปด้วย มาถึงวันนี้เขาแทบจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอยู่ด้านในบ้าง เพียงแต่ว่า...เมื่อนึกออกว่าอาจมีของสำคัญอยู่ ภาพใบหน้าของเด็กชายภีมตัวน้อยก็โผล่ขึ้นมาจนต้องให้คนกลับไปเอามาให้

บางทีกล่องใบนี้อาจจะเป็นลิ้นชักแห่งความทรงจำของเขาจริงๆ ก็ได้...

“นี่มัน...” มือใหญ่หยิบลูกบอลสีส้มขนาดเท่าอุ้งมือขึ้นมามองก่อนริมฝีปากจะผุดรอยยิ้มขัน “ของเล่นหมาไม่ใช่หรือไง”



‘หมาตัวนี้ชื่อกะทิ’

‘บอกว่าชื่อมะนาวไง!’

‘กะทิ!’

‘มะนาว!’

‘พอได้แล้วน่า’ พี่คนโตของน้องๆ ส่ายหน้า มือจับหัวกลมของเด็กแก้มยุ้ยสองคนไว้คนละข้าง ไม่รู้ว่าจะทะเลาะอะไรกันนักหนากับแค่การตั้งชื่อหมาตัวใหม่ที่ช่วยกันพากลับมาหลังเห็นมันตากฝนอยู่นอกบ้าน

‘พี่จักรบอกเต้ไปเลยนะว่าหมานี่ชื่อมะนาว’ น้องชายคนเล็กของบ้านเขย่าแขนพี่ชายงอแง ดวงตากลมมีน้ำใสๆ เอ่อคลอจนดูน่าสงสาร

‘ขี้แง’ เด็กชายฮ่องเต้ทำปากพองลมไม่พอใจ ตาจ้องน้องชายแบบดุๆ เลียนแบบเวลาพี่ชายคนโตโกรธ

‘ว่าไงนะ!’

‘จะทำไมล่ะ!’

เด็กชายจักรพรรดิถอนหายใจ ใบหน้าคมคายแต่เด็กฉายแววครุ่นคิดขณะมองน้องสองคนสลับไปมา คนหนึ่งมองมาแบบจะให้เข้าข้าง ส่วนอีกคนมองเหมือนต้องการความยุติธรรม แล้วแบบนี้คนกลางอย่างเขาจะทำอะไรได้

‘เอาแบบนี้แล้วกัน...ให้เจ้านี่ชื่อกะนาว จบ’



มันเป็นการแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดในโลก...

จำได้ว่าตอนนั้นน้องชายสองคนทำหน้าเหวอ ประมุขพยายามถามเขาว่ากะนาวแปลว่าอะไร ส่วนฮ่องเต้หันไปคุ้ยพจนานุกรมภาษาไทยอยู่นานเป็นวัน สุดท้ายเจ้าหมาดวงซวยนั่นก็ได้ชื่อว่ากะนาวไปตามระเบียบ พ่อบอกว่าพี่คนโตต้องคอยดูแลน้อง และนั่นคงเป็นการแก้ปัญหาในแบบฉบับพี่ชายคนโตของเด็กชายจักรพรรดิที่ควรถูกจารึก

“กะนาว คิดไปได้ยังไงนะ” เด็กชายจักรพรรดิโหมดโตแล้วหัวเราะเบาๆ ยามนึกถึงความหลัง เขาวางลูกบอลลงข้างกาย มือหยิบของชิ้นถัดไปขึ้นมาดูต่อ “ตุ๊กตา...”

ตุ๊กตาแมวสีชมพูหน้าตาประหลาดแบบนี้ ไม่ต้องนึกเขาก็มั่นใจว่าไม่ใช่ของตัวเองแน่นอน ถึงจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ทั้งหมดแต่ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่ามันน่าจะเป็นของของเด็กชายประมุขที่ตอนนั้นร้องไห้งอแงเอาของใส่กระเป๋ามาให้เขาดูต่างหน้าเต็มไปหมด

เด็กนั่นชอบสีชมพู...หึหึ

ไม่รู้ว่าเกรย์จะรู้ไหมว่าน้องชายคนเล็กของเขามันเคยบ้าสีชมพูมาก่อน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เด็กผู้ชายบ้าสีชมพูคงเป็นเพราะโดนแกล้ง...ฮ่องเต้ตอนเด็กๆ แสบน้อยเสียเมื่อไหร่ ว่างทีไรเป็นต้องหาเรื่องแกล้งน้องทุกที หนึ่งในนั้นคงมีเรื่องนี้ปนอยู่ด้วย

เจ้านั่นพูดว่าอะไรนะ...

อา...เหมือนจะบอกน้องว่า 'ผู้ชายแมนๆ เขาชอบสีชมพูกันนะ’ ล่ะมั้ง แค่นั้นเด็กเอ๋อเชื่อคนง่ายอย่างประมุขก็เลือกสีชมพูให้เป็นสีโปรดแทบจะทันที

“ไม่รู้ว่ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า แต่คงต้องเตือนสักหน่อย”

ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กนั่นต้องหลงเหลือคำพูดของเกรย์หมดทุกอย่างแน่ เพื่อนเขาไม่ใช่คนดี ขืนเชื่อไปหมดทุกเรื่องคงโดนคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนั่นจับกินไม่เหลือ ถึงเวลานั้นร้องไห้งอแงขึ้นมาจักรพรรดิคงปลอบไม่ถูก

“มุข...ตอนนั้นใส่อะไรมาให้พี่เยอะแยะเนี่ย” เขาบ่นพึมพำเบาๆ เมื่อพบว่าของส่วนมากในกล่องล้วนเป็นของสีชมพูหวานแหวว บางอันจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ดีที่เป็นสีชมพูเลยรู้ว่ามาจากใคร...

จักรพรรดินิ่งไปเล็กน้อยเมื่อหยิบของที่เหลืออยู่ก้นกล่องสองชิ้นขึ้นมาแล้วพบว่ามันคือกระดาษแผ่นหนึ่ง เขายกยิ้มจางเมื่อเห็นลายมือภาษาไทยที่ถูกเขียนด้วยดินสอหยึกหยักเป็นคำสั้นๆ

‘เต้รักพี่จักร’

ฮ่องเต้เป็นเด็กฉลาดตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ทั้งยังไม่ค่อยแสดงออกมากมายนักเหมือนประมุข ตอนมาที่นี่เขาจำได้เพียงภาพน้ำตาของน้องชายคนเล็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวที่สุด หากน้องคนกลางที่คอยแกล้งเจ้าตัวบ่อยๆ กลับยืนนิ่งเป็นหินเหมือนต้องการเป็นหลักยึดเกาะให้แทนพี่ชายคนโตที่กำลังจะเดินทางไกล

คำว่ารักในกระดาษแผ่นนี้คงเป็นคำพูดที่ชัดเจนที่สุดของเด็กคนนั้น...

แล้วก็ของอย่างสุดท้าย...สิ่งที่เขาตามหา

เครื่องบินกระดาษที่ยับยู่ยี่จนดูไม่ได้ ของขวัญจากเด็กชายตัวน้อยๆ ในสวนดอกไม้ที่มอบให้เขาโดยไม่รู้ว่ามันจะเป็นของชิ้นสุดท้ายที่จะได้มอบให้ก่อนต้องแยกจากกันนานเป็นสิบปี

‘เราไปเที่ยวกันนะ’

เขาในตอนนั้นตอบไปว่ายังไงนะ...

‘ได้สิ’

ดูเหมือนเขาจะกลับมาทำตามสัญญาช้าไปหน่อย แต่ว่า...

“ทีนี้เราก็ไปเที่ยวด้วยกันได้แล้วสินะ” ดวงตาอ่อนโยนทอดมองตัวอักษรบนหางเครื่องบินที่ถูกเขียนด้วยลายมือยึกยือนิ่งงัน

ที่แท้เขาไม่เคยลืม...

ไม่เคยเลย


———————




TALK: ตอนหน้าจบแล้วค่า ต่อจากนี้จะไปอัพ ANAKIN อนาคิน นะคะ ไปติดตามกันได้น้า ส่วนคู่อื่นๆ ของพี่น้องสามคิงจะเริ่มเขียนปีหน้าค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
«ตอบ #177 เมื่อ25-05-2018 18:07:41 »

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
«ตอบ #178 เมื่อ25-05-2018 19:29:59 »

จะจบแล้ว T^T ซึ้งมากเลยครับ

ออฟไลน์ jaokhwan

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
«ตอบ #179 เมื่อ25-05-2018 19:32:58 »

 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด