พิมพ์หน้านี้ - ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: CHESS. ที่ 11-09-2017 18:23:06

หัวข้อ: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 11-09-2017 18:23:06
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------------------------------------------------


►3KINGS ตอน จักรพรรดิ◄

ความรักสามรูปแบบของพี่น้องสามคิง จักรพรรดิ ฮ่องเต้ ประมุข
ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีนะคะ ฮาาา

"ได้แต่ขอดูแลรักเธอแค่เพียงไกลๆ และยังเก็บอยู่ในใจตลอดมา"



Fan Page: Chesshire. (https://www.facebook.com/Chesshire04/)
Twitter: @Chesshire04 (https://twitter.com/Chesshire04)


.
.

นิยายของเรา
Oxygen ออกซิเจน #โซโล่กีล์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56726.0)
Nitrogen ไนโตรเจน #คุณภูชายเก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.0)
ANAKIN อนาคิน #ภามเจได (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66695.0)
3KINGS ตอน จักรพรรดิ #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)
3KINGS ตอน ประมุข #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68472.0)

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 11-09-2017 18:24:12
-0-



นี่คือเพลงรัก...ที่เขียนอยู่แสนนาน
อยู่ในใจฉัน...ใจความสำคัญยังขาดหาย
ทุกสิ่งที่คิด...เริ่มพังทลาย
กระจัดกระจาย...ควบคุมเท่าไรก็ไม่ทัน
ตั้งแต่พบเจอความเป็นจริง...ว่าเธอไม่เคยต้องการ
แม้ฉันเติมมันด้วยคำๆ ไหน
ยังไม่รู้จริงๆ ต้องทำอย่างไร
เมื่อได้รู้...ปลายทางไม่มีเส้นชัย
ได้แต่ขอ...ดูแล รักเธอ แค่เพียงไกลๆ
และยังเก็บอยู่ในใจตลอดมา...


[เพลงรัก - ซิน Singular]



หากพูดร้านดอกไม้ที่มีชื่อเสียง ร้านของ ‘คุณภีม’ คงไม่พ้นถูกพูดถึง แม้จะเพิ่งย้ายมาไม่กี่เดือน ดูภายนอกเหมือนจะเป็นเพียงร้านดอกไม้ธรรมดา หรืออาจต้องบอกว่ามีดอกไม้น้อยกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่ร้านดอกไม้ร้านนี้ก็ยังมีคนรู้จักมากหน้าหลายตา ด้วยราคาที่ไม่แพง ดอกไม้ที่สดใหม่อยู่เสมอ กิริยามารยาทของพนักงาน และที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าของร้านหนุ่มหน้าตาดีที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลมานักต่อนัก

“คุณภีม ดอกไม้ที่อ้อสั่งได้หรือยังคะ” หญิงสาวพนักงานออฟฟิศหน้าตาสะสวยคนหนึ่งยื่นหน้าเข้าไปถามคนที่กำลังจัดวางดอกกุหลาบอยู่ด้านในร้านด้วยน้ำเสียงสดใส

“คุณอ้อ…” เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นจากถังกุหลาบก่อนจะยกยิ้มให้ลูกค้าคนแรกของวัน ภีมภัทรจัดวางกุหลาบดอกสุดท้ายลงในถัง เสร็จแล้วจึงหันไปหยิบช่อดอกไม้สีขาวสะอาดตาที่จัดเรียงไว้แล้วออกมา “ผมจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าคุณอ้อไม่ชอบตรงไหนบอกผมได้เลยนะ”

“คุณภีมเคยจัดไม่ถูกใจอ้อที่ไหนล่ะคะ...งั้นอ้อขอตัวก่อนนะ ใกล้เข้างานแล้ว เอาไว้จะมาอุดหนุนใหม่นะคะ” ลูกค้าสาวรับดอกไม้ช่อโตมาจากมือเจ้าของร้าน เธอยิ้มกว้างเมื่อเห็นภีมภัทรพยักหน้ารับ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็รีบหมุนกายไปทำงาน เพราะเกรงว่าถ้าอยู่นานกว่านี้จะโดนเจ้านายต่อว่า และกลัวจะเป็นการทำผิดต่อสามีที่ตัวเองเอาแต่มองผู้ชายอื่น

ภีมภัทรเป็นชายหนุ่มเสน่ห์แรงที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นในวัยเดียวกันพอสมควร ด้วยอายุยี่สิบกลางๆ เมื่อบวกเข้ากับหน้าตาคมคายตามสมัยและท่าทางสุภาพมีมารยาททำให้เขากลายเป็นที่รักของใครหลายๆ คนในละแวกนี้ได้ไม่ยาก เห็นได้จากบรรดาหญิงสาวทั้งวัยมหา’ลัยและวัยทำงานที่เที่ยวมาขายขนมจีบให้แทบทุกวัน แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังไม่มีใครได้หัวใจเขาไปเสียที จนเกิดข่าวลือว่าเจ้าของร้านมาดคุณชายอาจเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันโด่งดังไปทั่ว ถึงอย่างนั้นภีมภัทรก็ไม่เคยปฏิเสธ เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าให้กับถ้อยคำเหล่านั้น

“คุณภีม...โทรศัพท์ครับ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นท่าทางกระฉับกระเฉงรีบวิ่งมาหาเจ้านายตัวเองก่อนจะยื่นโทรศัพท์ส่งให้ หลังจากนั้นก็เข้าไปรับช่วงต่อเอาดอกไม้ใส่กระถางอย่างรู้งาน เรียกสายตาพึงพอใจจากคนมองได้ไม่น้อย

เจ้าของร่างสูงโปร่งเหลือบมองจอเพื่อดูชื่อคนโทรเข้าเพียงครู่เดียว ก่อนเขาจะเดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์บริเวณหลังร้าน เพราะรู้ดีว่าวิบูลย์ พ่อของตนเองเป็นคนแบบไหน ลองถ้าได้รู้ว่าเขาออกมาทำงานหน้าร้านด้วยตัวเอง ไม่ได้คุมอยู่เบื้องหลังแบบที่คิด ฝั่งนั้นคงหาเรื่องบ่นเป็นชุดแน่

[ภีม]

“ครับพ่อ”

[เรื่องที่พ่อขอไปว่ายังไง]

ภีมภัทรถอนหายใจยาวเมื่อเข้าใจว่าบิดาของตนต้องการอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วิบูลย์พูดซ้ำๆ อยู่หลายครั้งตั้งแต่เขาได้กลับบ้านครั้งล่าสุด ซึ่งก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาตอบรับคำขอ แต่น่าแปลกที่คนไม่ชอบเซ้าซี้อย่างวิบูลย์ไม่ยอมแพ้เสียที

“พ่อก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าภีมต้องทำงานที่ร้าน จะให้ไปขลุกอยู่ในไร่ได้ยังไงกัน”

[แค่ร้านดอกไม้ไม่ได้ใหญ่โต เราก็จ้างคนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าจะทำเองทุกอย่างจะจ้างทำไมกัน] ปลายสายส่งเสียงแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ซึ่งคนฟังเองก็รู้ดีว่าเพราะอะไรพ่อของตนถึงได้เป็นแบบนั้น

“แต่…”

[ลดลงหน่อยเถอะ นิสัยไม่ไว้ใจใครน่ะ ลูกจ้างก็ทำงานกับเรามานาน จะต้องคอยกำกับทุกอย่างเลยหรือไง]

หากสามารถเถียงได้ภีมภัทรคงไม่นิ่งให้บิดาตำหนิ แต่เพราะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริงทุกอย่าง เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบเพื่อรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น…

“แต่พ่อจะให้ภีมไปดูแลใครที่ไหนก็ไม่รู้…”

[ใครว่าไม่รู้จักล่ะ เมื่อก่อนยังเดินตามเขาต้อยๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือไง]

“พ่อหมายถึงใครครับ”

[สามพี่น้องนั่นไง ที่ชื่อประมุข ฮ่องเต้ จักรพรรดิ ตอนเด็กๆ เรายังเคยพามาแนะนำให้พ่อรู้จักอยู่เลย แถมยังบอกว่าชื่อพวกนั้นเท่กว่าของตัวเองอีก]

คราวนี้ใบหน้าที่ราบเรียบมาตลอดพลันแปรเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด แม้แต่หัวใจที่เคยเต้นอย่างสงบก็กระหน่ำเต้นรัวแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก...เพียงเพราะได้ยินชื่อของใครคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ยินมานาน

“พ่อเคยบอกภีมว่าเขาเดินไม่ได้...ใครครับที่เดินไม่ได้”

[อืม...รู้สึกจะเป็นพี่คนโตที่ชื่อจักรพรรดิ]

“...”

[ภีม?]

“เข้าใจแล้วครับ…” เจ้าของเสียงหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างซึ่งกำลังปะทุ

อารมณ์บางอย่าง...ซึ่งเขาเคยคิดว่าหลงลืมไปนานแล้ว

[ลูกหมายถึง…]

“ภีมจะดูแลเขาเอง”

แม้จะวางสายที่คุยกับวิบูลย์ไปแล้ว หากคนที่ยังตกอยู่ในภวังค์ก็ยังไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน มือเรียวยกขึ้นทาบทับบริเวณแผ่นอกตรงตำแหน่งที่มีก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นของตนเองเต้นอยู่ ก่อนเจ้าของมือจะค่อยๆ ขยำเสื้อบริเวณนั้นแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามการสั่นไหวของความรู้สึกในยามนี้

“พี่จักร…”

หากใครสักคนได้ยิน...คงไม่พ้นคิดว่าผู้พูดกำลังเศร้าเสียใจอย่างหนัก เพราะน้ำเสียงนั้นไม่เพียงแค่เจ็บปวด...แต่มันกลับรวดร้าวราวกับจะขาดใจ ต่อให้บอกว่าฟังแล้วเจ็บตามก็คงไม่เกินจริงนัก

ก๊อก ก๊อก

เจ้าของห้องหันขวับไปมองประตูด้วยความตกใจก่อนจะรีบเก็บท่าทีและสีหน้าทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่คนจากด้านนอกเปิดประตูเข้ามาด้านในพอดี

“คุณภีมครับ...”

“ว่าไง ปกรณ์” ภีมภัทรเอนกายพิงเก้าอี้ส่วนตัว ใบหน้าราบเรียบไร้รอยยิ้มการค้าเฉกเช่นเวลาเจอลูกค้าทำให้คนมองรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแค่มองปกรณ์ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเจ้านายตนเองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะพูดคุยกับใครนัก

“คือ...ปอนด์บอกผมว่าคุณภีมจะเข้าสวน”

“ใช่ ผมจะเข้าไปดูกุหลาบหน่อย” คนพูดขยับกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะคว้าข้าวของใส่กระเป๋า

“อ๋อ กุหลาบสีน้ำเงิน...คุณภีมดูรักกุหลาบต้นนั้นมากเลยนะครับ” ปกรณ์สูดเข้าใจเข้าจนสุดเมื่อเห็นเจ้านายหยุดชะงักทุกอย่างกะทันหัน ทั้งยังหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่ดูมืดมนกว่าปกติ

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”

คราวนี้ผู้เป็นลูกจ้างถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเจ้านายของตนกลับไปทำหน้าตาราบเรียบเช่นเดิม เขาครุ่นคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจชั่วครู่เพราะไม่อยากโดนดุ แม้ปกติภีมภัทรจะไม่ใช่คนน่ากลัวอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนที่เรียกได้ว่าใจดีนัก รอยยิ้มบนใบหน้าจะเกิดขึ้นก็ตอนที่ได้พบเจอกับลูกค้าเท่านั้น ซึ่งเขาที่ทำงานด้วยมานานย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงรอยยิ้มการค้าที่ไร้ซึ่งความจริงใจใดๆ

“ครั้งนั้นผมตามคุณภีมเข้าไร่...แล้วบังเอิญไปเห็นตอนที่คุณภีมดูแลมันเข้าน่ะครับ” แม้ไม่อยากบอกให้รู้เพราะลูกจ้างไม่ควรยุ่งเรื่องของเจ้านาย แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ร้านยังอยู่ที่กรุงเทพ ปกรณ์จึงรู้ดีว่าภีมภัทรเป็นคนแบบไหน เขาไม่มีทางโกหกได้แน่ๆ ทางเลือกเดียวที่มีคือการบอกความจริงเท่านั้น “ผมเห็นว่าตอนนั้นคุณภีมดู...อ่อนโยนกว่าปกติ”

ภีมภัทรในยามปกติเมื่ออยู่กับลูกค้าก็จะเป็นแบบหนึ่ง พออยู่กับลูกจ้างก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ปกรณ์มีโอกาสได้เห็นอีกฝ่ายแสดงออกแบบนั้น ซึ่งมันเป็นการแสดงออกที่ดูอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเมื่อพูดไปแล้วก็ต้องยืนเครียดเหมือนเดิม เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ ตอบกลับมา อีกทั้งเจ้านายยังยกกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินผ่านเขาไปเลยอีกต่างหาก

“ผมจะให้คุณเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้จัดการร้านชั่วคราว ช่วยจัดการดูแลทุกอย่างด้วย ผมจะไม่กลับมาที่นี่พักใหญ่” ผู้พูดกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้วี่แววของการล้อเล่น แต่ปกรณ์เหวอสนิทด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งกะทันหัน

“คะ...คุณภีม”

“ส่วนคำถามที่คุณถาม” ภีมภัทรเปิดประตูออกไปด้านนอก ก่อนเขาจะหยุดเท้าและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เหตุผลที่ผมใส่ใจมันมากขนาดนั้น...”

“...”

“คงเพราะมันเหมือนผมมากล่ะมั้ง”



.

.



‘จักรพรรดิคือราชา...ลูกต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น’



ฝ่ามือหนากำแน่นจนสุดแรง ดวงตาคมกริบคู่สวยทอประกายดุดันน่าหวาดหวั่น หากเป็นเมื่อก่อน ‘จักรพรรดิ’ คงลุกขึ้นบันดาลโทสะใส่ข้าวของตามแรงอารมณ์ ทว่ายามนี้เมื่อก้มลงมองขาสองข้างที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของตน คนเจ้าอารมณ์ก็ทำได้เพียงเขวี้ยงแก้วน้ำในมือไปจนสุดแรง

เพล้ง!

เสียงแก้วที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ คงทำให้คนนอกห้องตกใจไม่มากก็น้อย เสียงตึงตังจึงดังขึ้นติดๆ กัน ก่อนใครบางคนจะผลักประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต

“พี่จักร!” เจ้าของเสียงรีบสาวเท้าเข้าใกล้คนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันฉายแววตกใจจนปิดไม่มิด หากเมื่อสำรวจร่างกายของพี่ชายตนเองจนแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“เต้…” คนที่เพิ่งตามมาถึงแตะไหล่ ‘ฮ่องเต้’ เบาๆ เป็นเชิงบอกให้ใจเย็นทั้งที่ตัวเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

“ไม่เป็นไรมุข”

‘ประมุข’ พยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงมองไปยังร่างกายซูบผอมของพี่ชายคนโตที่ยังนั่งนิ่ง จากนั้นก็ดึงแขนพี่ชายคนรองให้เดินตามออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

สองพี่น้องที่มีหน้าตาคล้ายกันจนเหมือนฝาแฝดพากันเดินออกไปด้านนอกด้วยรู้ดีว่าเรื่องที่กำลังจะพูดถึงคือเรื่องที่ไม่ควรพูดให้คนในห้องได้ยิน และเมื่อออกมาห่างพอสมควรแล้ว ประมุขก็หันกลับไปมองหน้าพี่ชายตัวเองด้วยท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง

“เรื่องนั้นเป็นยังไงเต้”

“ไม่มีปัญหา ทางนั้นบอกว่าถ้าพร้อมก็ไปได้เลย” ฮ่องเต้ตบบ่าน้องชายเบาๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวถอนหายใจคล้ายโล่งอก ตัวเขาเองก็รู้สึกดีใจไม่แพ้กัน ตอนที่พ่อโทรมาบอกว่าคุณอาวิบูลย์ยินดีช่วยเต็มที่ เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วด้วยซ้ำ

 จักรพรรดิ ฮ่องเต้ และประมุขเคยเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก พวกเขาทำกิจกรรมด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันจนเหมือนเป็นแฝดสาม แต่แล้วเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้น...จักรพรรดิก็ถูกแยกออกไป จากที่เคยมีสามเหลือเพียงแค่สอง จากที่เคยสนิทกลับกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า แม้ฮ่องเต้กับประมุขจะรู้ว่าตัวเองยังเคารพรักพี่ชายอยู่เช่นเดิม แต่ระยะห่างและเวลาที่มากขึ้นก็ทำให้ทั้งคู่หลงลืมเรื่องราวในตอนเด็กๆ ไปอย่างช้าๆ...จนกระทั่งพวกเขาได้จักรพรรดิกลับคืนมาอีกครั้ง

พี่ชายที่เคยใจดีและยิ้มแย้มอยู่เสมอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จักรพรรดิกลายเป็นคนน่ากลัวและโมโหร้าย ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเคยได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ไม่เคยมีใครไปถึง...แต่หลังจากนั้นก็ถูกฉุดกระชากกลับลงมาสู่จุดต่ำสุด อุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ผู้ชายที่เคยยิ่งใหญ่กว่าใครถูกไล่ต้อนให้กลับมาเป็นสามัญชน แม้แต่มารดาที่เป็นคนดึงตัวไปใช้ประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้งอย่างไม่ไยดี

นับแต่นั้นมาฮ่องเต้และประมุขก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้จักรพรรดิกลับมาเป็นพี่ชายที่แสนดีของพวกเขาอีกครั้ง…

 “แล้วมึงคุยกับพี่หรือยัง” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามน้องชายด้วยใบหน้าแสดงความคาดหวังไม่น้อย และเมื่อเห็นประมุขพยักหน้า เขาก็ต้องยิ้มออกมาอยากอดไม่ได้ “พี่ตกลงเหรอ”

“ใช่...ตอนนั้นพี่จักรกำลังนั่งมองดอกไม้หน้าบ้าน พอเห็นท่าทางดูผ่อนคลายกูเลยรีบเข้าไปคุย” ประมุขยิ้มกว้าง เขาจำได้ดีว่าพี่ชายตนเองพยักหน้าตกลงโดยไม่คิดเลยสักนิด แม้จะรู้ดีว่าจักรพรรดิไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะลองดูอีกสักครั้ง

จักรพรรดิเคยตั้งใจรักษาตัวเองมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทำได้เพียงเดือนเดียวก็เลิกไปเพราะไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น แม้แต่น้องชายทั้งคู่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ เพราะพูดไปก็มีแต่จะทำให้พี่ชายตัวเองโมโหมากขึ้นเท่านั้น ต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจักรพรรดิจะเลิกทำลายข้าวของ แต่นั่นก็แลกมากับการที่เขากลายเป็นคนที่ดูหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต...กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไร้จุดหมาย

“กูไม่เห็นพี่จักรกลับไปเป็นแบบนั้นมานานแล้ว” ฮ่องเต้กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าน่ากลัวของพี่ชายที่ได้เห็นเมื่อครู่

“มึงก็รู้ว่าพี่จักรจะเป็นแบบนี้แค่เฉพาะ…”

ยามนึกถึงอดีต…

สองพี่น้องสบตากันนิ่งงันด้วยรู้ว่าไม่ควรพูดออกมา แม้จักรพรรดิจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่พวกเขาก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันนักเมื่อต้องนึกถึงสิ่งที่พี่ชายตัวเองเคยเจอ ถึงไม่รู้แน่ชัดทั้งหมด...แต่แค่รับรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้จักรพรรดิเปลี่ยนไป เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งคู่เกลียดชังสิ่งที่ทำให้พี่ชายของพวกเขาเป็นเช่นนี้แล้ว

“อย่าพูดเรื่องเก่าๆ เลย...กูขอแค่พี่จักรยอมทำกายภาพบำบัดต่อก็พอแล้ว” ฮ่องเต้ตบไหล่น้องชายเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มบางเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง “ถ้าได้อยู่กับดอกไม้ที่เคยชอบ...พี่จักรต้องดีขึ้นแน่ๆ”

“กูก็หวังแบบนั้น”

ทุกคน...หวังแบบนั้น



---------------------




TALK: สวัสดีค่ะ ได้เวลาเปิดเรื่องใหม่แล้ว ฝากพี่น้องสามคิงไว้ด้วยนะคะ ตอนแรกแพลนจะเป็นเรื่องสั้น แต่คู่หลักๆ ก็คือพี่จักรกับคุณภีมไม่รู้จะสั้นได้หรือเปล่า เลยตัดสินใจเขียนคู่นี้ก่อนเลย ฝากติดตามด้วยนะคะ หวังว่าจะชอบ...

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 11-09-2017 18:39:23
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 11-09-2017 18:43:28
ถึงคิวสามพี่น้องแล้ว รอตอนต่อไป ขอบคุณมากค่ะ   :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 11-09-2017 19:36:38
ตามมาจากเรื่องนุ้นคะ แฮ่
จะดราม่าไหมเนี่ยดูเหมือนแอบดราม่าเลย

\\เอาจริงน้องเก้าก้แอบดราม่าแต่นิสัยน้องมันไม่ดราม่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-09-2017 21:24:04
อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-09-2017 21:14:52
ตาม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 12-09-2017 23:40:51
อั้ย ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 12-09-2017 23:56:39
จะดราม่ามากมั้ย?
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 13-09-2017 06:27:08
3คิงของเรา :)

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 13-09-2017 15:33:55
เข้ามารอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 13-09-2017 21:33:13
อยากอ่านต่อออ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 22-09-2017 21:04:45

มาร่วมรอลุ้น รอเป็นกำลังใจให้ทั้งสามหนุ่ม (คู่)

 :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-09-2017 21:57:15
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-09-2017 22:16:30
รอคร่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-09-2017 22:34:01
เกิดอะไรขึ้นกับพี่จักร
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 23-09-2017 02:54:15
รอติดตามค่า  :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 23-09-2017 13:58:43
เรื่องนี้เข้มข้น
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-09-2017 15:22:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 23-09-2017 15:27:58
ติดตามจ้า รอเค้าสองคนเจอกัน ว่าเกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-09-2017 21:40:26
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yokalive ที่ 24-09-2017 23:24:58
สามคิงมาแล้ว พร้อมกลิ่นดราม่าอ่อนๆที่โชยตามมา  :hao5:  รอติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 24-09-2017 23:44:34
เมื่อไหร่จะมาต่อ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 26-09-2017 17:42:20
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-10-2017 04:34:23
ถามนิด เรื่องนี้หลานเจไดมีสิทธิ์เป็นตัวเอกบ้างไหม เห็นเป็นตัวประกอบมา 2 เรื่องแล้ว  :m26: :m21:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 02-10-2017 06:36:09
หวังว่าคุณภีมจะทำให้พี่จักรดีขึ้น ทั้งร่างกาย และจิตใจนะครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 07-10-2017 18:31:00


 -1-


สวนดอกไม้รังสิมันตุ์เป็นสวนดอกไม้ที่ถูกพูดถึงมากเป็นอันดับต้นๆ ของจังหวัด เนื่องจากไม่ได้เป็นเพียงสวนดอกไม้ที่เปิดให้คนเข้าชม แต่ยังเปิดเป็นที่พักติดธรรมชาติ และมีอากาศดีเกือบทั้งปี ทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้ความสนใจ หากกล่าวว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงก็คงไม่เกินจริงนัก

ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นของคุณหญิงพลอยลดาที่เพิ่งจากไปด้วยวัยชรา ก่อนจะตกทอดไปถึงคุณมุก ลูกสาวเพียงคนเดียว โชคร้ายที่คุณมุกไม่ค่อยเอาการเอางานนัก เธอทิ้งภาระให้สามีจัดการงาน ส่วนตัวเองหลังจากคลอดลูกแล้วก็หนีไปกับสามีใหม่โดยไม่เหลียวแลงานที่นี่อีก ยังดีที่วิบูลย์เลี้ยงดูลูกชายตัวน้อยเป็นอย่างดี ภีมภัทรถึงได้โตมาเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมสมฐานะ แม้ไม่ได้ทำงานตำแหน่งใหญ่โตอะไร แต่วิบูลย์ก็ภูมิใจทุกครั้งที่รู้ว่าลูกชายนึกถึงตนและงานที่ไร่อยู่เสมอ เจ้าตัวถึงได้เลือกทำงานทางด้านนี้

ภีมภัทรเรียนจบปริญญาตรีจากมหา’ลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในต่างประเทศ หลังจากจัดการธุระทุกอย่างจนหมดแล้วเขาก็บินกลับไทยทันที โดยบอกกับวิบูลย์ว่าตนเองจะเปิดร้านดอกไม้ในนามของสวนพลอยลดาที่กรุงเทพ ซึ่งวิบูลย์ก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาปล่อยให้ลูกชายลองผิดลองถูกเอง จนผ่านไปเกือบสองปีภีมภัทรถึงได้ปล่อยให้คนดูแลแทนแล้วย้ายกลับมาเปิดสาขาที่สองที่บ้านเกิด

“น้อย…ภีมมาหรือยัง” เจ้าของสวนพลอยลดาซึ่งในขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเอ่ยถามแม่บ้านข้างกายด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ยังเลยค่ะ”

นายใหญ่ของบ้านขมวดคิ้วขณะมองไปยังนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงตรง ถึงแม้จะไม่อยากกลับมาเหยียบบ้านขนาดไหนแต่ภีมภัทรก็ไม่เคยมาสายเมื่อนัดแนะไว้แล้ว วิบูลย์เคยคิดว่าลูกชายน่าจะเห็นแก่เพื่อนสมัยเด็กอยู่บ้าง ถึงได้ยอมรับคำโดยไม่ดื้อเหมือนเช่นทุกที หากมายามนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าภีมภัทรจะมาตามนัดหรือเปล่า

“นายครับ แขกมาถึงกันแล้วครับ”

เมื่อได้ยินเสียงคนสวนรายงาน คนที่นั่งหน้าเครียดมาตลอดก็จำต้องลุกขึ้นยืน เห็นทีครั้งนี้เขาคงต้องรับหน้ากับลูกชายเพื่อนเพียงลำพังไปก่อน แม้จะมั่นใจว่าเด็กทั้งสามคงเติบโตมาเป็นคนดี แต่วิบูลย์ก็ไม่มั่นใจนักว่าท่าทางน่ากลัวตามประสานายใหญ่นี้จะทำให้พวกนั้นกลัวหรือเปล่า เขาถึงอยากให้ภีมภัทรมาทำหน้าที่นี้มากกว่า

“คุณอา…” น้ำเสียงร่าเริงของใครสักคนดังขึ้น ก่อนชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจะเดินเข้ามาด้านในพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ผมประมุขครับ”

“ไหว้พระเถอะหลาน” วิบูลย์ยกยิ้มโล่งอกเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายเกร็งแบบที่คิด เขาไล่สายตาสำรวจคนแนะนำตัวที่ดูร่าเริงและกำลังมองไปรอบด้านด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่สักพัก หลังจากนั้นจึงหันไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาด้านในอีกสองคน

“สวัสดีครับอา ผมฮ่องเต้ครับ” ชายอีกคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันกับประมุขยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ท่าทางของเขาดูนิ่งกว่าประมุขพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เย็นชาเข้าถึงยากอะไร เพียงแค่มองวิบูลย์ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นเด็กฉลาดอย่างแน่นอน

ส่วนคนสุดท้าย…

“สวัสดี...ครับ” แม้จะมีคำลงท้ายตามมารยาท หากเสียงนั้นก็ยังสั้นห้วน เพียงแค่ได้ฟังก็รับรู้ได้ว่าเจ้าตัวไม่คุ้นชินกับการแสดงออกแบบนี้นัก ประมุขกับฮ่องเต้มองหน้ากันด้วยความกังวลใจ พวกเขาล้วนไม่อยากให้วิบูลย์เกิดความรู้สึกแย่ๆ ตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรก แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายไม่ถือสา ทั้งคู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

สำหรับวิบูลย์ที่ได้ยินและรู้เรื่องราวของสามพี่น้องมาจากพ่อของทางนั้นแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถมองจักรพรรดิในแง่ลบได้ กลับกันเขาออกจะรู้สึกสงสารเสียด้วยซ้ำ ต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะตัวเองเลยสักนิด

“ตามสบายเถอะ อาให้คนจัดห้องไว้ให้แล้ว เห็นเต้บอกอาว่าเราจะมาอยู่กันแค่วันสองวันสินะ”

“ครับอา พวกผมต้องกลับไปเรียนต่อ” ฮ่องเต้อธิบาย แต่ยังไม่วายหันไปมองพี่ชายตนเองด้วยความไม่แน่ใจ “ผมอยากให้พี่จักรมาอยู่กับอากาศบริสุทธิ์สักพัก ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดพวกผมจะรับผิดชอบเอง”

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกเต้ เราก็รู้จักกันมานาน ถือว่าให้จักรมาพักผ่อนก็แล้วกัน” วิบูลย์ยิ้มน้อยๆ เพื่อเสริมความมั่นใจให้คนตรงหน้า “แล้วลูกอาก็เต็มใจด้วย”

“หมายถึงภีมเหรอครับ” ประมุขที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดแทรกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้ยินวิบูลย์พูดถึงเพื่อนสมัยเด็กของตน

“ใช่ อีกเดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะ”

สองพี่น้องลอบมองหน้ากันเมื่อได้ยินแบบนั้น พวกเขาล้วนจำได้ดีว่าตอนเด็กๆ จักรพรรดิกับภีมภัทรสนิทกันมากขนาดไหน แต่เมื่อก้มลงมองใบหน้าของพี่ชายที่ยังคงว่างเปล่า รอยยิ้มที่มีก็จางหายไปช้าๆ

“พี่จักรจำภีมได้หรือเปล่า” ประมุขคุกเข่าลงข้างรถวีลแชร์พร้อมทั้งยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง ในขณะที่จักรพรรดิทำเพียงเหลือบตามองน้องชายตนเองเล็กน้อยและหันกลับไปเหมือนเดิม

“ใคร” เพียงเอ่ยถ้อยคำสั้นง่ายได้ใจความก็สามารถทำลายความหวังของคนรอบข้างได้จนหมดสิ้น…และมันยังทำร้ายหัวใจของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางมาถึงจนเป็นแผลเหวอะหวะอีกด้วย

“พี่จักรจำไม่ได้เหรอ ภีมก็เป็น…”

“สวัสดีครับ” ไม่รอให้ประมุขพูดจบคนที่ยืนหลบมุมมาโดยตลอดก็เปิดเผยตัวด้วยการก้าวเท้าเข้าไปในห้องรับแขก สายตาของทุกผู้จับจ้องมาที่เขาด้วยความแปลกใจ ทว่าภีมภัทรกลับเทความสนใจที่มีทั้งหมดไปให้คนแค่เพียงคนเดียวที่ยังคงนั่งหันหลังให้เขา

“ภีม” ฮ่องเต้ยิ้มบางก่อนจะตบบ่าทักทายเพื่อนสมัยเด็กเบาๆ เช่นเดียวกับประมุขที่เดินเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้แน่น ภีมภัทรพยักหน้าและยิ้มรับคำทักทายเหล่านั้น สุดท้ายเมื่อเขาได้สบตากับพ่อตัวเอง ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนรถวีลแชร์ช้าๆ

ร่างสูงโปร่งทรุดตัวนั่งลงข้างรถ ดวงตาที่เคยเฉยชาเผยความสั่นไหวออกมาวูบหนึ่งเมื่อจับจ้องไปยังคนที่อยู่ในความทรงจำมาเนิ่นนาน แต่แล้วเมื่ออีกฝ่ายไม่แม้แต่จะหันมาให้ความสนใจ ยังคงมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาคู่สวยที่ใครบางคนเคยบอกว่าชอบก็ต้องหลุบลงต่ำเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดลงไป

“สวัสดีครับ...คุณจักรพรรดิ” เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้านั้นก็กลับไปอมยิ้มน้อยๆ ตามมารยาทเช่นเดิม แม้คนที่คุยด้วยจะไม่หันมาสนใจ หากคนพูดก็ยังจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งงัน “ผมชื่อภีม...จะช่วยดูแลคุณนับจากนี้ไป”

“ฉันไม่ต้องการคนดูแล ไสหัวไป”

เมื่อเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญใดๆ คงไม่แปลกนักหากจะพูดโดยไม่รักษาน้ำใจ ยิ่งเป็นจักรพรรดิด้วยแล้ว ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นคนแบบไหน ดวงตาคมดุไม่แม้แต่จะแลมาสบ เจ้าตัวยังคงจับจ้องไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่คิดอะไรมากนัก แต่ไม่ใช่กับภีมภัทร...ที่แม้ใบหน้าจะยังราบเรียบ ทั้งยังมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่ตามมารยาท...แต่ในใจกลับปวดหนึบไปหมด

“ผมไม่ได้ขออนุญาต แค่บอกให้รู้ไว้” ดูเหมือนสิ่งที่พูดออกไปจะทำให้จักรพรรดิเกิดความสนใจมากพอควร เขาถึงได้หันมาจ้องมองคนข้างกายด้วยดวงตาที่ไร้ซึ่งประกายแสงใดๆ เห็นแบบนั้นแล้วภีมภัทรก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดไป เขาขยับยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ในเมื่อรับปากคุณลุงแล้ว ผมก็จะทำให้ดีที่สุด”

“...”

“ประมุขบอกว่าคุณชอบดอกไม้...” ทายาทรังสิมันตุ์มองดอกไม้สีฟ้าเข้มบนมือนิ่งงัน จากนั้นเขาก็ยื่นมือส่งมันไปให้คนที่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับช้าๆ “ผมให้”

ฝ่ายคนที่โดนเอ่ยถึงโดยไม่ทันตั้งตัวถึงกับสะดุ้ง ประมุขสบตาพี่ชายคนรองของตัวเองงงๆ ด้วยความไม่เข้าใจ เขาอยากจะเอ่ยถามออกมาตามประสาของคนขี้สงสัย แต่เมื่อโดนสายตาของฮ่องเต้ปรามไว้ก็ได้แต่เม้มปากแล้วหันกลับไปมองสถานการณ์เงียบๆ เหมือนเดิม

คนหน้าตายที่ยังนั่งนิ่งเหลือบตามองดอกไม้ที่ถูกหยิบยื่นมาให้ด้วยใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ คราแรกจักรพรรดิไม่คิดสนใจ เขากะจะมองผ่านไป และปล่อยให้คนด้านข้างยื่นให้อยู่แบบนั้น แต่แล้วเมื่อได้มองสบดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียเฉยๆ ไวเท่าความคิด...ฝ่ามือหนาออกแรงปัดมือที่หยิบยื่นดอกไม้มาให้อย่างแรงโดยไม่สนใจใคร ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำใจร้ายออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไร้สาระ”

เขาเกลียดดวงตาคู่นั้น...ดวงตาเป็นประกายที่จ้องมองมาราวกับกำลังต้องการบางสิ่ง

“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ” ภีมภัทรส่ายหน้าโดยไม่แสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย เขาเพียงหันไปหยิบดอกไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ สายตาจับจ้องดอกไม้ที่ยังสวยงามทว่าคงบอบช้ำอยู่ภายในเช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาในยามนี้นิ่งงัน “มันคงเสียใจแย่”

“เป็นแค่ดอกไม้...จะมาเสียใจอะไร”

“ไม่ใช่ดอกไม้…” น้ำเสียงจริงจังไร้วี่แววของการล้อเล่นดึงดูดให้ทุกคนต้องนิ่งฟัง แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังหันมามองคนข้างกายด้วยความไม่เข้าใจ

“...”

“ผมต่างหาก”

ถ้อยคำเรียบง่ายที่เอ่ยออกมาไม่เพียงทำให้คนทั้งหมดเบิกตากว้างด้วยเริ่มจับเค้าลางบางอย่างได้ แต่มันยังทำให้คนที่นั่งอยู่และได้รับผลกระทบโดยตรงต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ไว้วางใจอีกต่างหาก

ภีมภัทรเพียงยิ้มบางด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ เขาวางดอกไม้ลงบนโต๊ะใกล้ตัว ก่อนจะขยับกายลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดแก้ไขคำพูดแต่อย่างใด ร่างโปร่งเดินไปอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์ จากนั้นจึงหันไปหาพ่อของตนที่ยืนดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ

“ภีมจะพาคุณจักรไปเดินเล่น”

วิบูลย์อ้าปากคล้ายจะตอบรับคำพููดนั้น แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดใดออกมาก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่โดนพููดถึงกล่าวแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฉันไม่ไป”

“ผมก็ไม่ได้บอกคุณครับ” คนฟังเถียงทันควันราวกับคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่ประโยคบอกเล่าที่แลดูธรรมดาและไร้อารมณ์นั้นกลับทำให้บรรดาคนฟังสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ “ไม่ได้ถามความเห็น...และแน่นอนว่าไม่ได้ขออนุญาต”

“นาย…” จักรพรรดิกัดฟันกรอด ดวงตาคมกริบทอประกายวาวโรจน์น่าหวาดหวั่น แม้ไม่ได้หันไปมองแต่ทุกคนย่อมรู้ได้จากน้ำเสียงว่าเขากำลังโมโหอย่างหนัก เพียงแต่คนด้านหลังไม่คิดใส่ใจ ทั้งยังหน้าด้านหน้าทนเข็นรถพาเขาออกไปจากห้องรับแขกหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

“จะรอดไหมเนี่ย…” ประมุขพึมพำเสียงค่อยยามมองตามหลังพี่ชายตัวเองที่ถูกเพื่อนสมัยเด็กพาออกไปด้านนอก ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาผู้ชมอีกสองคนก็ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบด้วยไม่รู้เช่นกันว่าจะรอดหรือไม่

“ปกติภีมไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ” วิบูลย์อธิบายด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน เขารู้ดีว่าลูกชายตัวเองไม่ใช่คนที่จะยอมทำอะไรแบบนี้เมื่อโดนพูดจาไม่ดีใส่แน่ๆ แต่แล้วเมื่อนึกถึงสิ่งที่ภีมภัทรเพิ่งพูดไป คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็เริ่มมองเห็นเหตุผลได้อย่างช้าๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับอา พี่จักรต้องเจอแบบนี้ล่ะ” ฮ่องเต้ตอบกลับด้วยท่าทีเป็นปกติ เพราะเขาเองก็มองเห็นในสิ่งที่วิบูลย์เห็นเช่นกัน “ดูเหมือนครั้งนี้เราจะมีหวังแล้วว่ะมุข”

“หือ...มึงพูดเรื่องไร”

“ช่างเหอะ...ลืมไปว่ามึงโง่” หลังว่าน้องชายเต็มปากเต็มคำแล้วเจ้าตัวก็หันหน้ากลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือโดยไม่สนใจคนที่ยืนหัวร้อนอยู่อีก

“ไอ้เต้!”

ตั้งแต่เริ่มแรกที่พวกเขาพยายามหาวิธีช่วยจักรพรรดิให้กลับมาเป็นคนเดิม ฮ่องเต้ไม่เคยมั่นใจเลยสักครั้งว่าตัวเองจะมีความหวังได้มากน้อยขนาดไหน เพียงได้เห็นพี่ชายแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ เพียงเท่านั้นก็ทำให้เขารู้แล้วว่าคงไม่ได้ผล แต่นี่เป็นครั้งแรก...ครั้งแรกที่เขารู้สึกมีความหวัง

บางทีภีมภัทรอาจจะเป็นคนคนนั้น…คนที่จักรพรรดิต้องการมากที่สุดก็เป็นได้



สวนดอกไม้รังสิมันตุ์มีพื้นที่มากมายหลายร้อยไร่ หลายปีมานี้วิบูลย์เริ่มสั่งการจัดสรรพื้นที่ใหม่เพื่อให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุด โดยพยายามกันพื้นที่และแบ่งแยกไม่ให้ธุรกิจเข้ามากระทบกับพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัว ทั้งหมดก็เพื่อเตรียมพร้อมให้ลูกชายเพียงคนเดียวที่ไม่ชอบความวุ่นวายนัก มาจนถึงบัดนี้ก็เรียกได้ว่าแทบจะสำเร็จเต็มร้อยแล้ว

ปกติส่วนของสวนดอกไม้ที่ใช้ในการส่งออกและนำไปขายที่ร้านนั้นจะอยู่คนละด้านกับแหล่งที่พักของนักท่องเที่ยว เวลามาถึงภีทภัทรก็จะเข้าไปที่ส่วนนั้นในทันที ไม่ได้ตรงเข้ามาถึงตัวบ้านด้านในบ่อยนัก นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้มาเห็นบรรยากาศร่มเย็นรอบบ้านตัวเองชัดๆ โดยไม่ได้เร่งรีบเช่นทุกที

“ที่นี่กว้างพอสมควร พาเดินวันเดียวคงไม่ทั่ว...เอาไว้วันหลังผมค่อยพาคุณไปที่เรือนกุหลาบก็แล้วกัน”

“...”

ภีมภัทรเพียงเหลือบตามองเล็กน้อยเมื่อไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ จากคู่สนทนา เขาไม่ได้คะยั้นคะยอให้จักรพรรดิพูดอะไร เจ้าตัวแค่แนะนำจุดต่างๆ แบบงูๆ ปลาๆ ไปเรื่อยตามประสาของคนไม่ได้กลับบ้านมานาน ถึงอย่างนั้นเมื่อคำพูดดังออกมาจากปากเจ้าของร้านดอกไม้ที่ให้บริการลูกค้ามานานนับปี หากไม่ใช่คนที่รู้เรื่องจริงๆ ก็คงจะเชื่อโดยไม่คิดสงสัย

“ไปพักตรงนั้นก่อนดีกว่า” คนพูดชี้มือไปยังต้นไม้ใหญ่สองต้นที่อยู่ไม่ไกลนัก ตรงกลางมีเก้าอี้ยาวอยู่ใต้ร่มเงาพอดิบพอดีคล้ายเป็นจุดพักผ่อน ภีมภัทรพาคนบนรถตรงไปบริเวณนั้นโดยไม่ถามความเห็น หลังจากจัดที่ทางให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้วตนเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกัน “คุณร้อนไหม”

“...”

“ทานอะไรมาหรือยัง”

“...”

“ผมเพิ่งทราบว่าคุณพูดไม่ได้ เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยแท้ๆ”

ไม่รู้ว่าพูดได้ตรงจุดหรือไม่ชอบที่มีคนมาหลอกด่า เจ้าของดวงตาดุดันถึงได้หันขวับมามองราวกับจะฆ่าให้ตาย แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่มองอยู่ก่อนก็ต้องชะงักไป เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเสียท่าเข้าให้แล้ว

“ต้องการอะไร” จักรพรรดิถามเข้าเรื่องโดยไม่คิดเสียเวลาต่อ เขายื่นมือไปกำแขนของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าไว้แน่นจนอีกฝ่ายหรี่ตาลง รอยยิ้มบางบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้น

“ผมไม่ได้ต้องการอะไร”

“อย่าลองดีกับฉัน” มือที่กำรอบข้อมือขาวออกแรงมากขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าดุดันไม่มีวี่แววของการล้อเล่น หากภีมภัทรกลับไม่คิดสะบัดมือออก เขาเพียงขมวดคิ้วมุ่นยามมองไปที่ข้อมือตัวเองเท่านั้น

ถามว่าเจ็บหรือเปล่าก็คงต้องตอบว่าเจ็บ แต่เพราะสิ่งที่ทำให้เจ็บที่สุดในยามนี้ไม่ใช่แรงบีบที่แขนแต่เป็นภายในใจ เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเพื่ออดกลั้นไม่ให้เผลอแสดงสีหน้าปวดร้าวออกไป

จักรพรรดิจำเขาไม่ได้จริงๆ…

ภีมภัทรหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากบางขบกันไว้แน่นจนปวดแปลบไปหมด และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายของความหวังก็พาดผ่านอยู่ในดวงตาคู่สวยเฉกเช่นเดิม.... เขาคิดว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้จักรพรรดิหายดีทั้งทางกายและทางใจ

ส่วนความรู้สึกของตัวเองนั้น...

“ใครจะกล้าลองดีกับคุณล่ะครับ”

ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ...ต่อให้โดนเกลียดก็ไม่เป็นไร

“นายจะกวนประสาทฉันใช่ไหม” คนที่เริ่มโมโหหนักออกแรงกำข้อมือขาวแน่นยิ่งขึ้นอีก คาดว่าถ้าปล่อยออกมาคงไม่พ้นเห็นรอยแดงชัดเจน ทว่าจักรพรรดิก็ไม่คิดสนใจ เขาคิดว่าคนปากดีแบบนี้สมควรโดนแล้ว

“ผมไม่ได้กวน” ภีมภัทรเริ่มนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ เขาขยับกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินถอยหลังแล้วกระชากแขนตัวเองกลับมา ขนาดจักรพรรดิเดินไม่ได้ยังแรงเยอะขนาดนี้ ถ้าอีกฝ่ายหายดีเขาคงปลิวไปตามแรงง่ายๆ โชคดีที่พอเห็นว่าวีลแชร์เริ่มเซตามแรงดึงคนใจร้ายถึงยอมปล่อยมือ

พอได้เห็นข้อมือตัวเองเป็นรอยแดงเถือกทั้งยังเจ็บแปลบๆ ไม่หายภีมภัทรก็ได้แต่ถอนหายใจ หลังสะบัดไปมาสองสามทีแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย และท่าทางเหล่านั้นทำให้คนที่จ้องมองอยู่ต้องขมวดคิ้วมุ่นอยู่นาน

“นายต้องการอะไร”

ได้ยินประโยคคำถามแกมบังคับให้ตอบซ้ำอีกครั้งคนฟังก็ยังนั่งนิ่ง จักรพรรดิกัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจอย่างหนัก ตั้งแต่เขาขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด จวบจนกลับมาเป็นคนธรรมดา จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าทำกับเขาแบบนี้มาก่อน หากนอกจากจะนั่งนิ่งไม่แยแสแล้ว คนข้างกายยังกล้าเมินคำพูดเขาอีกต่างหาก

“คุณต้องให้เวลาผมคิดด้วยสิ” ภีมภัทรชักมือหลบเมื่อเดาได้ว่าใครอีกคนคิดจะทำอะไร เขาบีบนวดข้อมือที่ยังเจ็บของตัวเองเบาๆ ขณะมองไปยังใบหน้าของคนต้นเหตุ

ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่เพราะพยายามคิดอยู่ต่างหากถึงได้เงียบไป

“คุณต้องใจเย็นบ้างนะครับ”

“อย่ามาสอนฉัน”

“ผมแค่เตือน” คนหวังดีถอนหายใจยาวเหยียด ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายนัก ทั้งที่… “เมื่อก่อนก็ออกจะใจดีแท้ๆ”

ดวงตาดุดันน่าหวาดหวั่นตวัดมาสบมองคนพูดที่ทำราวกับรู้จักเขามานานอย่างรวดเร็ว ใจนึกอยากจะกระชากตัวอีกฝ่ายมาใกล้ๆ แต่เมื่อมองมือเรียวที่ยังลูบแขนตัวเองป้อยๆ ก็ได้แต่หันหน้าหนี ไม่ใช่ว่าสงสารหรือรู้สึกผิด...แต่เพราะอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจกำลังร้องเตือนว่าคนคนนี้ไม่ได้โกหก เขาถึงได้ชะงักไปโดยไม่รู้ตัว

“อย่ามายุ่งกับฉัน”

“ไม่ได้หรอกครับ” ภีมภัทรตอบกลับทันควันโดยไม่สนใจสายตาเย็นชาที่จ้องมองมา “คุณไม่อยากรู้แล้วเหรอว่าผมต้องการอะไร”

จักรพรรดิหรี่ตาลงยามเห็นรอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของคนที่ไม่รู้จักเข็ดเสียที เขาใช้มือขยับล้อรถวีลแชร์เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเคลื่อนที่ไปอยู่ด้านหน้าและหันเข้าหาภีมภัทร ดวงตาสองคู่จ้องมองกันโดยไม่มีใครยอมใคร…

ต่างกันเพียงดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองด้วยความแข็งกร้าวและกดดันให้ตอบคำถาม ในขณะที่ดวงตาอีกคู่มีเพียงความหวังและความปวดร้าวที่ซุกซ่อนอยู่ก็เท่านั้น

“พูดมา”

“ถ้าบอกว่าต้องการให้คุณกลับไปเป็นคนคนเดิม คุณจะเชื่อไหมครับ”

มีเพียงความเงียบที่ภีมภัทรได้รับกลับมาหลังจากถามคำถามนั้น แม้แต่ดวงตาเย็นชาของคนใจร้ายก็ยังสงบนิ่งไม่ไหวติง

จักรพรรดิกำมือตัวเองไว้แน่น ในใจบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ด้านลบมากมาย เขาอยากจะหัวเราะและเหยียดยิ้มแสยะใส่คนที่ทำเป็นเข้าใจ แต่สุดท้ายก็รับในตัวตนของเขาไม่ได้ หากเมื่อความอบอุ่นสายหนึ่งแผ่เข้ามาในใจ สติที่เกือบประคองไว้ไม่ไหวก็กลับมาอีกครั้ง

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาเป็นประกายระยิบระยับคู่สวยที่ดูคุ้นเคย มันไม่ได้อ่อนโยนหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่กลับดูเข้มแข็งจนน่าอิจฉา และนั่นทำให้เขาต้องเบนสายตาหลบโดยไร้เหตุผล

“ผมไม่ได้หมายถึงคุณที่ใจดีหรืออ่อนโยนแบบตอนเด็กๆ…” ปลายนิ้วเรียวซึ่งเป็นที่มาของความอบอุ่นที่ช่วยหยุดอารมณ์ด้านลบทั้งหลายไว้ขยับเพียงเล็กน้อย...ไม่ได้รุกล้ำ พยายามเข้าหา หรือแสดงท่าทีใดๆ นอกเหนือไปจากการไล้ไปมาบนหลังมือเขาเบาๆ เพื่อส่งผ่านความจริงใจมาให้ “แต่หมายถึงคุณที่เป็นคุณจริงๆ...คุณที่ไม่ได้เป็นทายาทของหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องก้มหัวให้”

จักรพรรดิที่ไม่ได้ถูกอำนาจและเงินตราหล่อหลอมขึ้นมา…

“คุณที่เป็นคนธรรมดา…”

เป็นพี่จักรที่เคยให้น้องๆ ทุกคนขี่หลัง

“เป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้...”

เป็นพี่จักรที่ทำหน้าดุเวลาเห็นน้องร้องไห้แล้วบอกให้เข้มแข็ง

“เป็นจักรพรรดิของ…”

คนพูดกัดริมฝีปากไว้แน่นเพราะกลัวจะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถปกปิดแววตาสั่นไหวของตัวเองไว้ได้ทันหรือไม่ เพราะรู้ตัวอีกทีก็ถูกดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองมาก่อนเสียแล้ว

“ของอะไร”

“ของประมุขกับฮ่องเต้เหมือนเดิมไงครับ”

มันเป็นคำพูดตอบกลับที่รวดเร็ว แต่กลับมองออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคำโกหก ไม่ได้พูดออกมาจากใจจริง แม้แต่จักรพรรดิก็ยังรับรู้ได้

“…”

“ตรงนั้นเป็นเขตเชื่อมกับจุดชมวิวของนักท่องเที่ยว” ภีมภัทรชี้ไปยังประตูรั้วที่อยู่ไกลสุดสายตา ไม่ต้องบอกใครก็คงเดาได้ว่าเขาจงใจเปลี่ยนเรื่อง

จักรพรรดิจ้องมองใบหน้าของคนที่กำลังหลบสายตาเขานิ่งงัน ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เพราะเขากำลังสงสัย…

อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้

ถ้าตัดความอคติที่คิดว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรบางอย่างจากเขาออกไป

ดวงตาคู่นั้น...ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย

“เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม” จักรพรรดิเพียงถามเพราะต้องการสะสางเรื่องที่คาใจอยู่ ไม่ได้นึกว่าคำถามจะทำร้ายใครหรือไม่ และแม้จะเห็นดวงตาคู่นั้นสั่นไหวคล้ายระลอกคลื่น เขาก็ยังทำเหมือนมองไม่เห็นเช่นเดิม

“เรื่องนั้น…” ภีมภัทรขยับยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่สวยกลับมาสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว ดูราวกับความสั่นไหวเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา “ผมไม่บอก”

“...”

“ใจเย็นๆ ครับ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อโดนจ้องเหมือนคนมองอยากจะเข้ามาบีบคอ “ถ้าผมบอกไปแล้วคุณนึกไม่ออก แบบนั้นผมก็แย่สิ...คุณหาคำตอบเองดีกว่า”

“แย่ยังไง”

แย่กับใจไงเล่า…

ภีมภัทรเถียงอยู่ในใจ ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าเผลอขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปแล้ว คิดจะเปลี่ยนกลับมายิ้มน้อยๆ เหมือนปกติแน่นอนว่าไม่ทัน แต่เพราะจักรพรรดิไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาถึงยังปั้นหน้ายิ้มและพูดต่อได้โดยไม่รู้ตัว

“ผมหมายถึง...มันเสียหน้า”

จักรพรรดิพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหมุนล้อวีลแชร์ให้หันออกไปอีกทาง สายตาจับจ้องไปยังทิศทางที่มีสวนดอกไม้กว้างขวางตั้งอยู่ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่โกหกได้ห่วยแตกที่สุดตั้งแต่เขาเคยเจอมา แม้จะควบคุมตัวเองเก่ง แต่พอมาอยู่ต่อหน้าอดีตนักธุรกิจระดับสูงที่เคยเจอคนมามากมายอย่างเขา เจ้าตัวก็เป็นได้เพียงลูกไก่ตัวเล็กๆ เท่านั้น ยิ่งประกอบเข้ากับดวงตาระยิบระยับที่แสดงทุกอย่างออกมาอย่างเปิดเผยนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะเดาไม่ได้ทั้งหมดว่าคิดอะไร แต่เขาก็จับสังเกตได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายโกหกอยู่หรือเปล่า

แต่ก็ช่างมันเถอะ…ไม่จำเป็นต้องสนใจอยู่แล้ว

คิดได้ดังนั้นแล้วเขาก็หันไปมองวิวทิวทัศน์ของสวนดอกไม้ที่อยู่ไกลๆ ตาคมทอประกายวูบไหวโดยไร้เหตุผล และอยู่ๆ ความคิดบางอย่างก็วาบเข้ามาในหัว จักรพรรดิหันกลับมามองคนที่ยังเงียบ คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ

ทำไมเวลามองดอกไม้พวกนั้น...ภาพของคนคนนี้ถึงเข้ามาอยู่แทนที่กัน

เจ้าของใบหน้าเย็นชาหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้เป็นท่าทีธรรมดา ทว่ามันกลับสร้างความหวังให้คนมองโดยไม่รู้ตัว ภีมภัทรเม้มปากแน่น ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกครั้ง แต่แล้วเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่มองอยู่กลับไปว่างเปล่าอีกครั้ง ประกายแสงในดวงตาคู่นั้นก็จางหายไป

ไม่เป็นไร...ยังมีเวลา

ยังมีเวลาอยู่…

สิ่งที่เขาควรทำในยามนี้ คือการแสดงให้จักรพรรดิเห็นว่าเขาไม่ได้หวังร้ายแบบที่เจ้าตัวคิด และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้จักรพรรดิลืมความรู้สึกของตอนที่ตัวเองเป็นทายาทของบริษัทบ้าบอนั่นให้หมด ถึงจะได้ยินการบอกเล่าเรื่องของจักรพรรดิผ่านมาทางบิดา แต่ภีมภัทรก็รู้ดีว่าเส้นทางที่อีกฝ่ายต้องเจอคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คนที่เคยใจดีที่สุดถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

เขาไม่ได้ต้องการให้จักรพรรดิเปลี่ยนแปลงตัวเองหรืออะไรทั้งนั้น ไม่ได้รับไม่ได้ถึงแม้นิสัยที่แท้จริงของคนคนนี้จะเลวร้ายขนาดไหน แต่เขาแค่อยากให้จักรพรรดิกลับมายิ้มได้เหมือนเคย

ไม่จำเป็นต้องเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือใคร...

ไม่จำเป็นต้องเป็นจักรพรรดิที่ใครก็ต้องก้มหัวให้…

เพราะตั้งแต่ที่ได้เจอจวบจนถึงตอนนี้ จักรพรรดิก็เป็นมาตลอด...

เป็นจักรพรรดิ...ของเขา

 

----------------------------------


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[1]==[P.1]== [07/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-10-2017 18:41:19
ตามๆ o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[1]==[P.1]== [07/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 08-10-2017 13:19:24
รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[1]==[P.1]== [07/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 28-12-2017 19:38:03
 -2-


‘ชื่อเรามีคำว่าพัดเหมือนกันเลย...แค่สะกดคนละแบบ’


ภีมภัทรสะบัดศีรษะอย่างแรง ดวงตาปรือปรอยจวนเจียนจะหลับ แม้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อฝืนไว้ หากเขาก็ไม่อาจห้ามร่างกายได้สำเร็จ

ที่ไม่อยากหลับก็เพราะรู้ว่าจะฝันถึงใคร เพียงวูบไปยังได้ยินเสียงของคนที่ไม่ได้ฝันถึงมาเนิ่นนานคล้ายดังอยู่ข้างหู ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าหลับไปคราวนี้จะต้องเจอกับอะไร…


‘ทำไมถึงไม่ชอบให้ใครเรียกว่าภีมล่ะ พี่ว่าชื่อนี้เพราะจะตาย’


เสียงของเด็กชายในห้วงคำนึงยังคงตราตรึงแม้ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี

ทั้งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานแล้ว...แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ชัดเจนนัก


‘ถ้าให้คนเรียกว่าภัทร งั้นก็ต้องสับสนกับพี่สิ เอาแบบนี้ไหม…ถ้ายอมให้คนอื่นเรียกว่าภีม พี่เองก็จะให้คนอื่นเรียกว่าจักรเหมือนกัน’


เสียงที่อยู่ไกลบ้างใกล้บ้างสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อย ทั้งชัดเจน ทั้งแผ่วเบา วนเวียนอยู่รอบกายไม่มีหยุด แต่ที่น่าแปลกคือเสียงทุกเสียงกลับเป็นของใครคนนั้นทั้งหมด…


‘ภีม...ตื่นได้แล้ว’


สุดท้ายภีมภัทรก็ไม่อาจฝืนตัวเอง เขาได้แต่หลับตาลง ปล่อยสติให้ล่องลอยไปกับเสียงเรียกที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ช้าๆ


‘ภีม…’

‘ถ้าไม่ตื่นพี่จะไม่ให้ขี่หลังแล้วนะ’

‘ภีม…’



‘ภีม!’

เด็กชายภีมภัทรในวัยห้าขวบลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ภาพแรกที่ปรากฎในสายตาคือใบหน้าของเด็กชายตัวโตกว่าที่กำลังส่ายหน้าหน่าย

‘พี่จักร…’

‘พี่บอกว่าอย่ามานอนคนเดียวแบบนี้ไง’ เด็กชายจักรพรรดิบ่นอุบอิบก่อนจะดึงมือนุ่มนิ่มให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ หลังสำรวจเรียบร้อยแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรผิดปกติถึงยอมนั่งลงข้างๆ ‘ถ้าหาไม่เจอจะทำยังไง’

‘พี่จักรหาภีมเจออยู่แล้ว’ เจ้าของใบหน้าขาวผ่องยิ้มแป้นแล้น ดวงตากลมโตเป็นประกายแบบที่ใครเห็นก็ต้องหลงรักทอประกายออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าพี่จักรของเจ้าตัวย่อมไม่อาจโกรธลง

‘ทำคนอื่นเขาเป็นห่วงกันไปหมด...ตัวยุ่ง’ จักรพรรดิยื่นมือไปขยี้หัวทุยจนยุ่งเหยิง แต่ก็สุดท้ายก็ยังยอมกอดลำตัวนิ่มไว้หลวมๆ เมื่อเจ้าตัวเล็กเดินมานั่งตักแบบที่ชอบทำเป็นปกติ

‘พี่จักรไม่ดุภีม’ เด็กชายตัวน้อยยู่ปากก่อนจะส่ายหน้าสองสามที แม้จะไม่ร้องเอาแต่ใจแต่อาการหันมากอดออดอ้อนก็ไม่ต่างจากการงอแงเท่าไหร่นัก

‘หยุดอ้อนพี่เลย’ คนเป็นพี่อมยิ้ม นึกอยากบ่นต่อก็ทำไม่ลง สุดท้ายได้แต่ก้มหน้าลงฟัดแก้มขาวด้วยความหมั่นไส้เป็นครั้งสุดท้าย ‘กลับกันเถอะ ทุกคนเป็นห่วงหมดแล้ว’

‘อื้อ! พี่จักร ขี่หลัง!’

จักรพรรดิไม่ได้พูดอะไรเมื่อเด็กชายชูสองมือขึ้น เขาเพียงย่อตัวลงแล้วให้ภีมภัทรปีนขึ้นมาอยู่บนหลัง

‘วันไหนภีมตัวโตก็จะให้พี่จักรขี่หลังเหมือนกัน’

‘หืม...คิดว่าจะตัวโตกว่าพี่ได้เหรอ’

‘ได้สิ ภีมจะกินเยอะๆ’ เด็กน้อยพูดจ้อแจ้ไม่มีหยุด เรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้เป็นอย่างดี

‘ครับๆ’

ตลอดระยะทางที่เด็กชายทั้งสองคนเดินกลับบ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ภีมภัทรกอดคอพี่ชายคนโปรดของตัวเองไว้แน่น ใบหน้าขาวผ่องมีรอยยิ้มตลอดเวลาจนใครๆ ที่เดินผ่านต่างก็มองมาด้วยความเอ็นดู แม้แต่เหล่าคนงานในสวนดอกไม้ก็ยังซุบซิบกันทั้งที่ยังมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า

‘คุณหนูให้คุณจักรอุ้มอีกแล้ว ดูสิ’

‘โตกว่ากันสองปีเองแท้ๆ น่าเอ็นดูจริงเชียว’

แม้เด็กชายจักรพรรดิจะอายุมากกว่าเพียงสองปี แต่เพราะต้องรับภาระหน้าที่ในการดูแลน้องอีกสองคนแทนพ่อที่ต้องไปทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ เขาจึงกลายเป็นเด็กที่มีความสุขุมและดูโตกว่าคนอื่นพอสมควร และยิ่งมีน้องสองคนที่ซนยิ่งกว่าลิงอยู่แล้ว การดูแลเด็กน้อยตัวเล็กที่แสนขี้อ้อนคนนี้เลยยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่

ในสายตาของภีมภัทร พี่จักรของตัวเองคือคนที่ใจดีที่สุดในโลก หากถามว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุดคืออะไร ภีมภัทรในเวลานั้นคงตอบได้อย่างง่ายดาย…

เขาอยากให้พี่จักรอยู่ข้างๆ ตลอดไป…

‘พี่จักรๆ ดอกไม้โตแล้ว!’ นิ้วมือเล็กป้อมชี้ไปยังดอกไม้ดอกที่ว่า

‘เขาเรียกว่าดอกไม้บาน’ จักรพรรดิหัวเราะ เขาเปลี่ยนเส้นทางไปตามที่ภีมภัทรชี้ เมื่อถึงที่หมายแล้วก็ปล่อยเด็กชายให้วิ่งไปหาดอกไม้ดอกนั้นโดยไม่ขัด

‘พี่จักรชอบดอกไม้หรือเปล่า’ เด็กชายเงยหน้าถามตาแป๋ว

‘ชอบสิ’

‘ภีมก็ชอบ!’

‘แล้วภีมชอบเพราะอะไร’

‘ดอกไม้สวย หอมๆ ด้วย’ เจ้าของใบหน้ากลมพยักหน้าหงึกหงักเป็นการยืนยัน

‘อื้ม...พี่ก็ชอบเพราะมันสวย หอม อยู่ด้วยแล้วสบายใจ…’ จักรพรรดิเขี่ยนิ้วเบาๆ บนแก้มพองลม ‘เหมือนภีมเลย’

‘ภีมเป็นดอกไม้ของพี่จักรเหรอ’

คำถามใสซื่อทำเอาคนฟังเกือบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ แต่แล้วเขาก็พยักหน้า ก่อนจะขยับมือลูบหัวคนถามเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน

‘ใช่...ภีมเป็นดอกไม้ของพี่’


.

.

ดอกไม้ของพี่เหรอ…

เพียงแค่คิดขอบตาทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าว คนที่เพิ่งรู้สึกตัวหลับตาลงอีกครั้งเมื่อภาพในอดีตยังคงชัดเจนแม้ผ่านมาเนิ่นนาน ต่อให้อยู่คนเดียวเขาก็ยังไม่อยากร้องไห้ออกมา

สมองพยายามบอกว่าไม่แปลกที่คนคนนั้นจะจำไม่ได้ เพราะเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว แต่หัวใจที่รวดร้าวกลับถามต่อว่าแล้วทำไมตนเองจึงจำได้แม่นยำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือไง…”

เหตุผลที่ใครคนหนึ่งจำใครอีกคนไม่ได้มีอยู่เพียงอย่างเดียว…

นั่นคือใครคนนั้น…ไม่มีค่าพอให้จดจำ






“ตื่นแล้วหรือคะคุณภีม”

“ครับป้าน้อย” ภีมภัทรยิ้มบางเมื่อเห็นคนสูงวัยกว่าทักทายอยู่ที่หัวบันได ชายหนุ่มผงกหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินหนีเข้าไปในห้องอาหาร ด้วยไม่อยากให้ผู้ที่เปรียบเสมือนมารดาเป็นกังวลเมื่อได้เห็นใบหน้าซีดเซียวเพราะนอนไม่หลับนี้

น้อยได้แต่มองตามแผ่นหลังคุณหนูของตนไปด้วยความเป็นห่วง ปกติภีมภัทรก็ไม่อยากกลับมาบ้านเท่าไหร่อยู่แล้ว เธอไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่รู้เพียงทุกครั้งที่จำเป็นต้องมานอน อีกฝ่ายมักจะนอนไม่หลับอยู่เสมอ ตื่นมาไม่ตาบวมแดงก็หน้าซีดเซียว เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ สุดท้ายเจ้านายของเธออย่างวิบูลย์เลยยอมอนุญาตให้ไปนอนที่อื่น

แม่บ้านสูงวัยเดินตามเข้าไปในห้องอาหาร ทันเห็นเจ้าของใบหน้าขาวทำหน้าเศร้าพอดี เธออยากเดินเข้าไปโอ๋เหมือนตอนเขายังเป็นเด็กตัวน้อยๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยกอาหารที่เตรียมไว้แล้วมาให้

“ถ้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษบอกป้าได้เลยนะคะ”

ภีมภัทรเงยหน้ามองคนพูดก่อนจะยิ้มบาง เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วแตะฝ่ามือผอมด้วยความเป็นห่วง

“ป้าน้อยไปพักเถอะครับ ตื่นมาทำอาหารให้ภีมแต่เช้าเลย”

“ก็ป้ารู้ว่าคุณภีมของป้าจะตื่นเช้าน่ะสิคะ” น้อยจับมือคุณหนูของตัวเองกลับ แววตาใจดีของคนที่ผ่านโลกมาเกินครึ่งชีวิตเปล่งประกายราวต้องการปลอบประโลม

ทุกครั้งที่ภีมภัทรกลับมานอนที่นี่ เขามักจะตื่นแต่เช้าเสมอ หากน้อยไม่ยกอาหารมาให้ ชายหนุ่มก็จะนั่งเหม่ออยู่คนเดียวไม่ขยับอยู่นานจนกว่าจะมีคนเข้ามาทัก ตอนแรกเธอไม่มั่นใจนักว่าเป็นเพราะอะไร แต่หลังจากที่มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อวาน ข้อสงสัยในใจก็เริ่มเด่นชัด

คลับคล้ายคลับคลาว่าใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสามคนที่เพิ่งมาถึงจะเป็นใบหน้าของเด็กน้อยที่เธอเคยเห็นมาก่อน…โดยเฉพาะใบหน้าเย็นชาของชายหนุ่มที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น…ใบหน้าที่สะท้อนภาพของเด็กชายตัวสูงท่าทางสุขุมที่คุณหนูของเธอรักมากกว่าใคร

“ป้าไปพักเถอะนะครับ เดี๋ยวภีมเก็บจานเอง” ภีมภัทรยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปจัดการข้าวในจานช้าๆ น้อยได้แต่มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

จากเด็กน้อยน่ารักที่เคยเดินตามเด็กชายคนหนึ่งต้อยๆ วันไหนอีกฝ่ายไม่มาหาก็เอาแต่ชะเง้อคอมองเสียยืดยาว บัดนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มท่าทางเป็นการเป็นงาน ทั้งยังเก็บอารมณ์ได้ดีกว่าใครไปเสียแล้ว สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคงมีเพียงดวงตาคู่สวยคู่นั้น...กับความรู้สึกที่มีต่อใครบางคน

“มีอะไรเรียกป้าได้เลยนะคะ” ฝ่ามือกร้านจากการทำงานหนักของหญิงสูงวัยแตะลงบนศีรษะภีมภัทรเบาๆ รอจนเขายิ้มให้อีกครั้งแล้วเธอจึงยอมหันหลังเดินจากไป

หลังจากแน่ใจแล้วว่าแม่นมของตนจะไม่หันกลับมาอีก มือที่ถือช้อนค้างไว้ก็วางมันลง แม้จะตื่นเช้าขนาดไหนแต่ความอยากอาหารก็ยังมีค่าเท่ากับศูนย์ ภีมภัทรถอนหายใจยาว รู้สึกปวดหัวตุบๆ ราวกับมีใครกำลังทุบอยู่ด้านใน สุดท้ายคนนอนน้อยก็ได้แต่ผลักจานข้าวออกห่าง ก่อนจะยกมือนวดขมับเงียบๆ

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อได้กลับมายังสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะออกอาการมากขนาดนี้ ต้นเหตุคงไม่พ้นการได้เจอกับใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานาน

ร่างสูงโปร่งขยับกายลุกขึ้นยืน เขาเดินตรงไปยังห้องพักแขกชั้นล่างที่เพิ่งมีคนเข้ามาอาศัยเมื่อวาน หลังจากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่นานด้วยไม่รู้ว่าควรเคาะหรือไม่ เพราะถึงประมุขจะบอกว่าจักรพรรดิตื่นเช้ามากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่านี่จะเช้าเกินไปหรือเปล่า

“เขาจะตื่นตอนนี้ได้ยังไงกัน” พึมพำจบแล้วก็เตรียมตัวหันหลังกลับไปทางเดิม แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า…

เพล้ง!

เสียงอะไรบางอย่างที่ดังมาจากด้านในทำให้คนที่กำลังหันหลังสะดุ้ง ภีมภัทรทิ้งทุกเหตุผลในใจ เขาผลักประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไปด้านในห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาคิด

โชคดีที่เมื่อวานฮ่องเต้ซึ่งเป็นคนพาจักรพรรดิมาส่งที่ห้องไม่ได้ล็อคประตูไว้

“พี่จักร!” ภีมภัทรส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงโดยลืมแม้กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียก ยิ่งเมื่อไม่เห็นเจ้าของห้องอยู่บนเตียงแบบที่ควรเป็นเขาก็ยิ่งใจหาย

สองขายาวก้าวไวๆ ไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สายตาสอดส่องหาคนที่หายไปไหนก็ไม่รู้ และสิ่งแรกที่เห็นก็คือรถวีลแชร์ที่ล้มอยู่หน้าห้องน้ำ

“พี่จักร…” ภีมภัทรพึมพำเสียงแผ่ว ภาพของชายหนุ่มตัวสูงทว่าผอมแห้งซึ่งล้มอยู่บนพื้นทำให้เขาเจ็บปวดจนพูดแทบไม่ออก

“โธ่เว้ย!” จักรพรรดิปัดเศษแก้วน้ำที่แตกกระจายบนพื้นด้วยความหงุดหงิดโดยไม่สนใจว่ามันจะบาดมือตัวเองหรือไม่ ใบหน้าคมคายดูกราดเกรี้ยวจนไม่ว่าใครก็คงหวาดกลัว ทว่าคนที่ยืนนิ่งอยู่นานกลับไม่มีท่าทีใดเพิ่มเติม เขาเดินเข้าไปหา ถือวิสาสะนั่งยองๆ ลงด้านข้างแล้วจับมือจักรพรรดิไปกุมไว้ ดวงตาคู่สวยสั่นไหวยากจะคาดเดายามได้เห็นเลือดไหลออกมาจากมือของอีกฝ่าย

“อย่าทำร้ายตัวเองเลยครับ” เขาพูดเพียงแค่นั้น ทั้งยังไม่ยอมปล่อยมือออก เพียงกุมมือใหญ่ไว้นิ่งๆ

“อย่ามายุ่งกับฉัน!” คนเจ้าอารมณ์สะบัดมือออกอย่างแรง ดวงตาคมกริบมองมือขาวของภีมภัทรที่โดนเหวี่ยงกระแทกประตูโดยไม่คิดขอโทษ

คนที่อยู่ๆ ก็เจ็บตัวไม่แสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงกุมมือตัวเองชั่วครู่ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม

“ลุกขึ้นเถอะครับ ผมช่วย”

“บอกว่าอย่ายุ่งไงวะ!”

“พี่จักร…” เพียงเสียงเรียกแสนแผ่วเบากลับทำให้คนที่กำลังโมโหหยุดชะงักทุกสิ่ง จักรพรรดิมองใบหน้าแสนคุ้นเคยที่นึกยังไงก็นึกไม่ออกนิ่งงัน ในขณะที่คนถูกมองเลือกที่จะไม่สนใจ เขาคว้าแขนคนที่กองอยู่กับพื้นไว้ อาศัยจังหวะที่ใครอีกคนไม่ทันตั้งตัวออกแรงทั้งหมดเพื่อรั้งร่างสูงใหญ่ขึ้น

จักรพรรดิมองคนข้างกายด้วยความไม่เข้าใจ ขาทั้งสองข้างที่ไร้ซึ่งความรู้สึกทำให้เขาไม่สามารถบังคับตัวเองได้ตามต้องการ แรงที่เทไปทางใครอีกคนไม่ใช่น้อยๆ แต่แม้ทำท่าจะล้มเพราะขนาดตัวที่ต่างกันสักกี่ครั้ง อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งอยู่บนเตียงเสียแล้ว

ภีมภัทรปล่อยให้คนตัวสูงมองตามตัวเองโดยไม่คิดพูดอะไร เขาเดินไปตั้งวีลแชร์ที่ล้มอยู่ขึ้นดีๆ แล้วเข็นรถมาจนชิดเตียง หลังจากนั้นก็หาอุปกรณ์มาทำแผลที่โดนแก้วบาดให้เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เรียบร้อยแล้วก็หายออกจากห้องไปพักใหญ่และกลับมาพร้อมถาดอาหารในมือ

“นาย…” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทำให้คนที่กำลังรินน้ำชะงักไปครู่หนึ่ง ภีมภัทรเงยหน้ามองคนเรียกด้วยสายตาที่ดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ไม่รู้ทำไม...จักรพรรดิถึงคิดว่าตัวเองดูออกชัดเจนนักว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกอะไร

“ทานข้าวเถอะครับ” สุดท้ายคนโดนจ้องก็อดทนไม่ไหวจนต้องพูดตัดบทไป

“นายเรียกฉันว่าอะไร”

คราวนี้ภีมภัทรนิ่งสนิท เขาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หันมาสบตาคนถามด้วยความมั่นคง

“พี่จักร”

คงไม่แปลกนักหากจะใช้คำเรียกนั้นกับคนที่มีอายุมากกว่า แต่สำหรับจักรพรรดิที่ถูกเรียกว่าคุณมาเป็นสิบปี อีกทั้งคำเรียกนั้นยังมีเพียงน้องชายสองคนที่ใช้เรียก คงไม่แปลกนักหากเขาจะไม่ชอบใจยามได้ยิน แต่ที่น่าสงสัยก็คือ…

ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยยามที่คนคนนี้เรียกแบบนั้นกัน

“นายรู้จักฉันมาก่อน” แม้ขาสองข้างจะใช้การไม่ได้ แต่หัวสมองระดับหัวกะทิของวงการก็ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว ถึงเมื่อวานจะไม่มั่นใจนัก แต่วันนี้เขามั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไรว่าจะต้องเคยรู้จักกับภีมภัทรมาก่อน และเมื่อคิดได้แววตาที่เคยสับสนก็แปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นแทบจะทันที “เราเคยรู้จักกันได้ยังไง”

“ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าพูดไปแล้วคุณจำไม่ได้มันคงไม่ดีแน่”

ดื้อ…

จักรพรรดิขมวดคิ้วเมื่อความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในหัว คำคำนั้นคงไม่เหมาะจะใช้กับคนที่ไม่สนิทนัก แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้มองว่าคนพูดช่างดื้อด้านเหลือเกิน

คิดไปคิดมาก็เริ่มรู้สึกว่าจะคิดเรื่องไร้สาระมากเกินไป สุดท้ายคนที่หายจากอารมณ์โมโหโดยไม่รู้ตัวก็ได้แต่เอนกายพิงหัวเตียงด้วยใบหน้าราบเรียบเย็นชา

“ทานข้าวเถอะครับ” ภีมภัทรลอบยิ้มโดยไม่ให้คนบนเตียงสังเกตเห็น ใจจริงเขาอยากจะฉีกยิ้มออกมากว้างๆ เสียด้วยซ้ำเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด

จริงอยู่ที่เขาไม่กล้าบอกจักรพรรดิตรงๆ ว่าพวกเขาเคยรู้จักและสนิทกันขนาดไหน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาหวาดกลัวว่าถ้าพูดไปแล้วอีกฝ่ายจำไม่ได้ตัวเองจะต้องเจ็บอยู่คนเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดปิดบังหากจักรพรรดิสงสัยและเริ่มจำทุกอย่างได้เองช้าๆ ภีมภัทรแค่คอยพูดเร่งปฏิกิริยาก็พอแล้ว นอกจากนั้นจักรพรรดิยังได้รับการเยียวยาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย อย่างเรื่องเมื่อครู่เองก็เหมือนกัน...ดูเหมือนคนเจ้าอารมณ์จะลืมไปแล้วว่าตอนแรกตัวเองกำลังหัวเสียขนาดไหน ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ได้ผลประโยชน์ทั้งนั้น

แม้อยากช่วยเท่าไหร่ แต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง…คนที่เห็นแก่ตัวและอยากมีความสุขไม่ต่างจากคนทั่วไป

“นี่ครับ” ภีมภัทรยกข้าวต้มที่วางทิ้งไว้จนอุ่นขึ้นแล้วยื่นไปให้คนที่ยังนั่งนิ่ง แต่จนแล้วจนรอดจักรพรรดิก็ยังไม่รับชามข้าวไปเสียที “ถ้าไม่กินจะเหลือแต่กระดูกเอานะ”

แค่นี้ก็ผอมมากอยู่แล้ว…

ดวงตาคู่สวยกวาดมองร่างที่ดูผ่ายผอมกว่ามาตราฐานความสูงของเจ้าตัวพอควรด้วยความไม่พอใจโดยไม่คิดปิดบัง

“...”

“เอาแบบนี้แล้วกัน…” ทายาทรังสิมันตุ์ที่เพิ่งเคยดูแลใครจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิตถอนหายใจยาวเหยียด ชามข้าวต้มที่หยิบยื่นให้ถูกดึงกลับมาวางบนตัก ก่อนมือเรียวขาวจะตักข้าวขึ้นมาคำหนึ่งแล้วเอาเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย

จักรพรรดิมองท่าทางนั้นด้วยแววตาเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่นคือประโยคที่ตามมา

“พี่จักรกินหนึ่งคำ ภีมช่วยกินหนึ่งคำ”


‘ภีมไม่อยากกินแล้ว’

‘แต่ภีมไม่สบาย…’

‘พี่จักร…’

‘เอาแบบนี้แล้วกัน…’

‘หือ’

‘ภีมกินหนึ่งคำ พี่ช่วยกินหนึ่งคำ…ดีไหม’



เสียงที่ดังขึ้นในส่วนลึกของความทรงจำทำให้คนนึกถึงปล่อยสติให้ล่องลอยไปครู่หนึ่ง และนั่นทำให้คนที่รออยู่ก่อนแล้วยัดช้อนเข้ามาในปากเขาได้สำเร็จในที่สุด เจ้าของใบหน้าอ่อนโยนที่เขาเคยคิดว่ามันเป็นเพียงหน้ากากจอมปลอมเผยรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจราวอดไม่อยู่เมื่อเห็นเขายอมเคี้ยวข้าว

ต้องการอะไรกันแน่…

เขาจำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งยังรู้ตัวดีว่าไม่เคยความจำเสื่อม จริงๆ แล้วตั้งแต่ไปอยู่เมืองนอกมานานหลายปีก็แทบจะลืมเรื่องราวทางนี้ไปจนหมดสิ้น แม้แต่ความทรงจำสมัยเด็กที่มีร่วมกับน้องชายเขาก็จำแทบไม่ได้ นอกจากน้องทั้งสองคนแล้ว คนที่ยังพอจะนึกออกก็มีเพียงครูใหญ่ของบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งพ่อเคยพาไปฝากไว้บ่อยๆ กับลูกของท่าน แต่ถึงพอจะจำได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะนึกเรื่องราวต่างๆ ที่เคยทำร่วมกันออก

แล้วทำไม…

ทำไมถึงจำเรื่องของคนคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด...แม้จะรู้สึกคุ้นเคย คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมาที่นี่อยู่หลายครั้ง แม้แต่เจ้าของสวนที่เป็นเพื่อนกับพ่อเขาก็ยังพอจำได้

แต่กับคนตรงหน้า…

“ภีม…” เสียงเรียกด้วยความเผลอไผลราวกับกำลังนึกถึงใบหน้าของเจ้าของชื่อทำให้ภีมภัทรสะดุ้งเฮือก ดวงตาคู่สวยจ้องมองคนเรียกโดยไม่คิดขานรับ หากประกายของความหวังที่พาดผ่านกลับไม่อาจควบคุมได้

จักรพรรดิหรี่ตาด้วยความไม่แน่ใจ ยิ่งนึกมากเท่าไหร่ภาพในหัวก็ยิ่งชัดเจน เขามองเห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล แต่ใบหน้านั้นถูกปกคลุมด้วยหมอกจนมองไม่เห็น

เขารู้จักภีมภัทร…เหมือนจะเริ่มจำได้ว่าเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน

แต่ก็แค่รู้จัก ไม่ได้มีอะไรมากมายกว่านั้น ภีมภัทรเป็นแค่ส่วนหนึ่งในความทรงจำ และก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ...ที่เขาจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ว่าเคยมีความทรงจำอะไรร่วมกันบ้าง

“ฉันเคยรู้จักนาย” เมื่อสรุปได้แล้ว คนไม่คิดอะไรก็บอกออกไปตามตรง “รู้สึกได้ว่าเคยรู้จัก แต่นึกไม่ออกสักนิดว่าเคยทำอะไรร่วมกันบ้าง”

เพราะคิดไปแล้วว่าคงไม่สำคัญถึงได้ลืม ดังนั้นถ้าพูดออกไปตรงๆ คนฟังคงจะถอยห่างออกไปตามที่เขาต้องการ…..รวมถึงจะได้หยุดมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเสียที

“ครับ”

จักรพรรดิหรี่ตามองคนที่ตอบรับหน้าตาเฉยนิ่งงัน แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใส่ใจก็ดีอยู่แล้ว คิ้วที่ขมวดจึงคลายออก และเตรียมตัวจะหลับตาลงเพื่อรอให้ใครอีกคนออกจากห้องไป เพียงแต่…

“ทานข้าวให้หมดก่อนสิครับ”

“นาย…”

ภีมภัทรอาศัยจังหวะที่คนพูดอ้าปากยัดช้อนข้าวต้มเข้าไปอย่างไม่อ่อนโยนนัก เขาเห็นจักรพรรดิแสดงท่าทีตกใจน้อยๆ เหมือนไม่คาดคิดก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่

“คนละคำไง”

“ใคร...แค่กๆ” คนที่ตั้งท่าจะโวยวายไอค่อกแค่กเมื่อเกิดสำลักกะทันหัน เล่นเอาคนด้านข้างตกใจจนต้องหันไปหยิบน้ำแล้วเลื่อนมือไปลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วง

ภีมภัทรลูบหลังให้จนคนสำลักหายไอ เศษอาหารและน้ำที่ไหลเลอะมุมปากของจักรพรรดิทำให้เขาเผลอกัดริมฝีปากแน่น ไม่ใช่ว่านึกรังเกียจ แต่เป็นเพราะเห็นคนสำลักเอนกายพิงพนักเตียงอย่างเหนื่อยอ่อย อีกทั้งแขนที่พยายามยกขึ้นยังสั่นเทาจนไม่อาจยกเช็ดหน้าตนเองได้ดั่งใจ จักรพรรดิเกือบบันดาลโทสะตามแรงอารมณ์เมื่ออาการที่นึกชังกลับมาเล่นงานอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ฝ่ามือเรียวขาวของคนที่มองอยู่แต่แรกกลับสัมผัสลงบนมุมปากเขาอย่างอ่อนโยน ขับไล่อารมณ์รุนแรงที่มีจนจางหายไปโดยไม่รู้ตัว

มือขาวสะอาดเช็ดเอาคราบอาหารและน้ำที่ไหลเลอะกรอบหน้าคมออกให้จนหมด ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำและออกมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูกับกะละมังอีกใบ ภีมภัทรไม่ได้พูดอะไรออกมายามลงมือถอดเสื้อผ้าของคนป่วยออก ในขณะที่จักรพรรดิซึ่งหมดเรี่ยวแรงครึ่งแรกและครึ่งหลังไปกับการพยายามไปห้องน้ำเองจนล้มไม่เป็นท่ากับการสำลักอาหารทำได้เพียงขยับสายตามองตาม

“ขอโทษ...”

นอกจากน้องชายทั้งสองคน นี่เป็นครั้งแรก...ที่เขาได้รับสายตารู้สึกผิดและเป็นห่วงจากใจจริง

“ผมขอเรียกคุณแบบเมื่อก่อนได้ไหม” คนพูดกัดริมฝีปากด้วยความไม่มั่นใจ มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อให้คนบนเตียงสั่นเทาจนน่าสงสาร “เป็นภีม...กับพี่จักรเหมือนเดิม”

ถึงจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรด้วยกันบ้างก็ไม่เป็นไร...แค่ยังพอนึกออก...แค่ได้รู้ว่าภีมคนนี้เคยมีตัวตนอยู่ในความทรงจำก็พอแล้ว

ภาพคนตาสวยที่กำลังเม้มปากเกร็งและมือสั่นเทานั้นอยู่ในสายตาของจักรพรรดิทั้งหมด เขาเหลือบตามองนิ้วเรียวยาวที่ถือวิสาสะวางทาบอยู่บนมือเขาโดยไม่พูดอะไร น่าแปลกที่ความรู้สึกสะอิดสะเอียนและรังเกียจสัมผัสจากคนนอกไม่ได้เกิดขึ้นกับคนคนนี้

เพราะเคยรู้จักงั้นเหรอ…

ไม่...ไม่ใช่…

ก่อนที่จะได้คิดมากกว่านั้น สัมผัสที่เหมือนจะผละออกห่างจากคนข้างกายก็ทำให้สติที่ใกล้ล่องลอยกลับมาสู่ตัวอีกครั้ง จักรพรรดิมองใบหน้าที่เหมือนจะอ้อนวอนของคนด้านข้างนิ่งงัน และสุดท้าย...เขาก็ปิดเปลือกตาลงพร้อมเอ่ยคำพูดแผ่วเบาที่ทำให้คนฟังยิ้มกว้าง

“ตามใจ”

.

.

ท่ามกลางความมืดมืดที่ไร้ซึ่งแสงใด...ท่ามกลางความมืดมิดที่เขามองเห็นทุกครั้งที่หลับตา…และท่ามกลางความเลวร้ายที่ตามหลอกหลอนแม้ในความฝันมาอย่างยาวนาน…

นับเป็นครั้งแรก...ที่บรรยากาศเย็นยะเยือกรอบกายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บเหมือนเคย ความอบอุ่นสายหนึ่งกำลังแพร่กระจายไปทั่ว ลบเลือนแล้วซึ่งความหนาวเหน็บ

และไม่รู้ว่าที่มาของความอบอุ่นสายนั้น...จะเกิดจากสัมผัสแผ่วเบาที่ปลายนิ้วนี่หรือเปล่า

“พี่จักร…”

“พี่จักร…”

อา...

ดูเหมือนสีดำรอบกาย...จะเริ่มมีประกายแสงกำเนิดขึ้นตอนนี้เอง


——————-




TALK : อาจจะเข็นมาได้ช้าๆหน่อยนะคะ เราจะไม่ค่อยว่างจนถึงต้นเดือนเมษา หลังจากนั้นจะมาสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ

ปล.ตอนนี้ออกซิเจนกำลังเปิดพรีแบบเงียบๆ อยู่นะ เข้าไปสั่งที่เว็บ Yholicbooks ได้เลย ช่วงปลายเดือนหน้าหรือต้นกุมภาน่าจะได้เห็นตามร้านค่ะ


 
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 28-12-2017 19:48:36
อมก เรื่องนี่หายไปนานเว่อ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yozz ที่ 28-12-2017 19:52:42
มาแล้ว ววว ววว วว ว ว ว ว ว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 29-12-2017 00:36:57
พี่จักรไม่ได้ความจำเสื่อม แค่ทำความจำหล่นหายไปแค่นั้นเองง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 29-12-2017 06:49:21
ปักมุดเลยคร้าาาาาาาาา :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 29-12-2017 11:18:28
มันลืมง่ายขนาดนั้นเลยหรอ

คนที่เคยมีความทรงจำร่วมกันเลยนะ

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 29-12-2017 15:37:01
ติดตามๆ ค่ะ พี่จักรคุณภีม
 :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-12-2017 03:18:54
มันต้องมีสาเหตุที่ทำให้ลืมน้องซิ ใช่ไหม  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 30-12-2017 09:56:47
กลิ่นหน่วงมาเลย แต่น่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kawtoo ที่ 01-01-2018 16:12:04
 :กอด1:
ตามมาตั้งแต่ออกซิเจนจนเรื่องนี้อ่ะคนเขียนนิยายดีอ่ะเรื่อยๆแต่ไม่น่าเบื่อเราชอบแนวแบบนี้มากเลยยังงัยก็จะติดตามต่อไปนะค่ะปอลิงตั้งแต่สมัครใช้งานมาเพิ่งใช้ครั้งนี้แหละรักนะไรต์
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 01-01-2018 19:20:03
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่า สงสารหนูภีมมากๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Wichuda Yodthong ที่ 02-01-2018 13:19:09
 :-[ มาต่ออีกน้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[2]==[P.1]== [28/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-02-2018 21:32:34
-3-


“ถ้าคนไข้ไม่ยอมไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจริงๆ คงต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ สภาพร่างกายตอนนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ถ้ายืนยันว่าทำกายภาพให้อย่างสม่ำเสมอ แสดงว่าคนไข้คงไม่ให้ความร่วมมือมากนัก เพราะอาการยังไม่ดีขึ้นเลย”

“แล้วพี่ผมยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่าครับหมอ” ประมุขที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

“มีครับ แต่ถ้ายังดึงดันทำกายภาพทั้งที่คนไข้ไม่เต็มใจแบบนี้ หมอเกรงว่าคงไม่เห็นผลชัดนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเรื่องจิตใจของคนไข้มากกว่า ถ้าเขายอมรับการรักษาด้วยความเต็มใจ โอกาสต่างๆ ก็จะมากตามไปด้วย” นายแพทย์สูงอายุมองคนที่กำลังหลับสนิทบนเตียงด้วยสายตาเห็นใจ จากประวัติที่ได้รับมาจากญาติคนไข้เมื่อถูกเรียกตัวมาที่สวนรังสิมันตุ์ เขาก็พอเข้าใจอยู่ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ดูอ่อนแอและไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้ ทั้งที่อุบัติเหตุในครั้งนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว

“ขอบคุณมากนะครับหมอ” สองพี่น้องยกมือไหว้นายแพทย์อย่างมีมารยาท หลังจากนั้นก็เดินไปกุมมือพี่ชายกันคนละข้างแล้วนั่งทำหน้าซึมเงียบๆ

ภีมภัทรที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาปวดร้าวไม่แพ้กัน มือที่กำแน่นอยู่แล้วออกแรงมากกว่าเดิมจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ แต่น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

พี่จักรต้องเจ็บมากกว่าตั้งกี่เท่า…

นายแพทย์สูงวัยที่มองเห็นสายตาของผู้ที่เปรียบเสมือนหลานชายแท้ๆ ของตัวเองถอนหายใจยาวเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาก้มลงเก็บข้าวของที่เตรียมมา ก่อนจะเดินไปที่ประตูและแตะแขนภีมภัทรเบาๆ เป็นเชิงเรียก

“ภีม อาขอคุยด้วยหน่อย”

ภีมภัทรหันไปมองคนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย เขาปล่อยมือที่กำแน่นออก จากนั้นจึงหมุนตัวเดินตามหลังอาหมอของตนออกไปด้านนอก

นรงค์เป็นเพื่อนกับวิบูลย์มานาน เวลาคนในบ้านไม่สบายก็มักจะเป็นคนเข้ามาดูแลให้อยู่เสมอ เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่เขาและภีมภัทรจะสนิทกันเหมือนญาติ และคงไม่แปลก...หากจะอ่านสายตาของหลานตัวเองออก

“นั่นคนสำคัญใช่ไหม” ประโยคคำถามนั้นไร้ซึ่งความอยากรู้อยากเห็น ราวกับผู้ถามเพียงพูดออกมาเฉยๆ เพียงเท่านั้น ภีมภัทรมองสบสายตาของผู้ใหญ่ที่ตนนับถือ และสุดท้าย...เขาก็พยักหน้าโดยไม่ปิดบัง

“ใช่ครับ”

“นั่นสินะ...ถ้าไม่สำคัญหลานอาคงไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านแบบนี้หรอก” นรงค์แย้มรอยยิ้มเอ็นดู “หลังพ่อเราแต่งงานใหม่เมื่อปีสองปีก่อน ภีมก็ไม่เคยกลับมานอนที่นี่อีกเลย แม้ว่าสิตาจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ตาม”

“แค่คิดว่าต้องกลับมานอนในที่ที่ผู้หญิงเห็นแก่เงินคนนั้นเคยอยู่ ภีมก็ขยะแขยงจนอยากจะอ้วกแล้วครับ” ถ้อยคำตอบราบเรียบขัดกับดวงตาวาวโรจน์ทำเอาคนฟังต้องรีบยกมือแตะไหล่หลานชายตัวเองให้ใจเย็นอย่างรวดเร็ว

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ภีมภัทรไม่อยากกลับมานอนที่บ้านหลังนี้ก็คือสิตา...หญิงสาวที่เคยเข้าหาวิบูลย์เมื่อไม่กี่ปีก่อนจนเกือบแต่งงานกัน เขาชิงชังผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ที่หล่อนพยายามเข้าหาเขาด้วยท่าทางน่ารังเกียจทั้งที่มีพ่ออยู่แล้ว โชคดีที่วันงานมีคนเข้ามาเปิดโปงเสียยับเยินว่าเธอจะจับเจ้าของสวนรังสิมันตุ์เพราะเงิน วิบูลย์ถึงรอดมาได้ หลังจากนั้นพ่อของเขาก็ไม่เคยเปิดใจรับผู้หญิงคนไหนเข้ามาในบ้านอีกเลย

“เอาเถอะ...เรามาพูดเรื่องพ่อหนุ่มที่อยู่บนเตียงกันดีกว่า” นรงค์เปลี่ยนเรื่องเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมที่กำลังโอบล้อม แล้วก็เป็นไปตามคาด...ทันทีที่เขาพูดถึงเรื่องของคนที่อยู่ในห้อง ใบหน้าตึงๆ ของหลานชายก็ผ่อนคลายลงแล้วกลายเป็นความกังวลแทนที่แทบจะทันที

“พี่จักรเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

“ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น…บอกตรงๆ ว่าแย่” นายแพทย์มากประสบการณ์เอ่ยตอบชัดเจนโดยไม่ปกปิด “แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือในอนาคต ถ้าเขายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป ไม่ใช่แค่เดินไม่ได้...แต่อาคิดว่าโรคแทรกซ้อนต่างๆ ก็คงเกิดขึ้นตามมาด้วย เลิกคิดเรื่องจะหายเป็นปกติไปได้เลย”

คนฟังทำหน้าเครียดโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่สวยสั่นไหวจนน่าสงสาร เห็นแบบนั้นแล้วผู้เป็นอาก็ทนมองต่อไม่ไหว ต้องรีบเอ่ยปากพูดสิ่งที่คิดไว้ในใจออกมาในที่สุด

“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทาง…” นรงค์ยิ้มบางเมื่อคนที่ทำหน้าเศร้าอยู่จนถึงเมื่อครู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างกระตือรือร้น และราวกับจะรู้สึกตัวว่าถูกมองออก ภีมภัทรถึงได้เก็บท่าทีอย่างรวดเร็วจนแก้มแดงหูแดงไปหมด “ภีมก็แค่ทำให้เขายอมรับการรักษาก็พอแล้ว”

“อาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย...” ทายาทรังสิมันตุ์กลอกตาให้เห็นจังๆ จนคนมองอมยิ้มขำ

“ทำไมล่ะ ก็ดูสนิทกันนี่นา อาเห็นมองเขาตาไม่กะพริบ”

“อายังไม่รู้...พี่จักรน่ะดื้อยิ่งกว่าอะไรดี” ภีมภัทรบ่นพึมพำ ยิ่งนึกถึงหน้าคนที่นอนอยู่ในห้องก็ยิ่งหน้าตึง อย่าว่าแต่ทำให้ยอมรับการรักษาเลย ทำให้ยอมกินข้าวหมดจานให้ได้ก่อนดีกว่า

“เอาน่า...อย่างน้อยเราก็อยากให้เขาหายไม่ใช่เหรอ ถ้าพยายามมากๆ สักวันต้องส่งไปถึงเขาได้แน่” นรงค์ก้มลงหยิบกระเป๋าข้างกายขึ้นมาถือ ใบหน้าใจดีของชายสูงวัยฉายรอยยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นหน้าตางุนงงของหลานชาย

“ส่งถึงเขา...”

“ความรู้สึกไงล่ะ” สิ้นคำพูดที่ดูราวกับจะทะลุไปถึงใจคนฟัง นายแพทย์สูงวัยตบบ่าให้กำลังใจคนที่ยังยืนนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเขาจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ภีมภัทรยืนนิ่งเป็นหินอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัว ใจที่เต้นอย่างสงบมาโดยตลอดเต้นแรงขึ้นหนึ่งจังหวะเมื่อนึกได้ว่าถูกอาหมอของตัวเองมองออกเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มเอนกายพิงพนังเพื่อรอให้ใจกลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม เพราะเกรงว่าถ้าไปเจอคนอื่นในสภาพนี้คงไม่พ้นถูกมองออกจนหมด

“หรือจะรู้กันหมดแล้ว” บ่นพึมพำกับตัวเองเสร็จแล้วก็ต้องรีบสะบัดหัวทิ้งความคิดนั้นไป ลองถ้าอาหมอรู้แล้ว มีหรือคนที่ใกล้ชิดกว่าอย่างคนอื่นจะมองไม่ออก เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องนั้น ถึงมันจะดูน่าอายไปสักหน่อยที่ปล่อยให้โดนจับความรู้สึกได้ง่ายๆ ทั้งที่คิดว่าปิดมิดแล้วก็ตาม

“ภีม…” เสียงเรียกที่เจือความกังวลจากทางด้านข้างทำให้เจ้าของชื่อหลุดจากภวังค์

ประมุขกับฮ่องเต้ยืนอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้าของทั้งคู่ฉายแววเคร่งเครียดขณะสบตากัน แต่เมื่อภีมภัทรเดินเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ซึ่งเป็นคนเรียกเขาในตอนแรกก็เริ่มพูดในทันทีด้วยความเร่งรีบ

“ผมกับมุขมีธุระต้องรีบไปจัดการ น่าจะกินเวลานานหลายวันกว่าจะได้มาที่นี่อีก” เพียงแค่พูดจบคนฟังก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อได้อย่างรวดเร็ว

“ผมจะดูแลพี่จักรเอง” ถ้อยคำหนักแน่นราวกับคำสัญญากลายๆ ทำให้สองพี่น้องที่ขมวดคิ้วมาโดยตลอดเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว

บางทีตอนที่พวกเขากลับมาที่นี่อีกครั้ง...อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ได้

“ขอบคุณนะภีม” ประมุขตบไหล่เพื่อนสมัยเด็กเบาๆ เป็นการขอบคุณจากใจจริง

สามสหายลากันอยู่เพียงครู่เดียวก็แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง ฮ่องเต้ที่ดูจะรีบร้อนที่สุดแทบจะถลาออกไปนอกบ้านโดยไม่ยอมเก็บของ ทำเอาภีมภัทรหลุดมาดคุณชายที่แสดงมาตลอดเพราะต้องรีบวิ่งไปคว้าแขนไว้จนเกือบหน้าทิ่ม กว่าจะบอกให้ใจเย็นๆ ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ประมุขแอบกระซิบกับเขาก่อนขึ้นรถว่าคนรักของฮ่องเต้กำลังมีปัญหา และดูท่าจะหนักหนาเอาการเสียด้วย ฮ่องเต้ถึงได้ลนลานแบบนี้

สุดท้ายเมื่อสองพี่น้องจากไปแล้วภีมภัทรถึงได้กลับมายืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องของใครบางคนอีกครั้ง มือขาวตามประสาของคนไม่ค่อยโดนแดดยกค้างอยู่กลางอากาศ ใจนึกใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะเคาะหรือไม่เคาะดี เพราะยังไงจักรพรรดิก็เพิ่งหลับไปไม่นานนัก เพียงแต่...

เพล้ง!

เอาอีกแล้วเหรอ...

“ทำไมชอบทำลายข้าวของนักนะ” ชายหนุ่มบ่นเบาๆ กับตัวเองก่อนจะผลักประตูเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะ เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง ต่างกันเพียงสถานที่ เมื่อภาพของจักรพรรดิที่นอนหมอบอยู่กับพื้นข้างเตียงซ้อนทับกับภาพที่เพิ่งเกิดไปไม่นานนักอย่างพอดิบพอดี

ทายาทรังสิมันตุ์เดินเข้าไปด้านในช้าๆ สายตาเหลือบมองแก้วที่แตกเป็นใบที่สองเงียบๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีใด เขาเพียงย่อตัวลง จับแขนผอมแห้งของคนที่ยังก้มหน้าแล้วช่วยพยุงขึ้นมานั่งดีๆ บนเตียง ครั้งนี้จักรพรรดิไม่ได้โวยวายเหมือนครั้งก่อน หากแต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับว่างเปล่าจนน่าใจหาย สายตาของเขาจ้องมองขาสองข้างของตัวเองนิ่งงันราวกับไม่ได้รับรู้ว่ามีใครอีกคนอยู่ตรงนี้ด้วย จวบจนคนมองทนไม่ไหว ต้องย่อกายคุกเข่าลงตรงหน้า มือขาววางทาบทับบนมือที่ยังคงพันผ้าพันแผลไว้และไม่ได้ทำอะไรเพื่อรบกวนอีก

สัมผัสนั้นแผ่วเบาราวเป็นเพียงขนนกที่พัดผ่าน หากกลับหนักแน่นในความรู้สึกจนสามารถดึงคนที่กำลังเหม่อให้กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงได้

จักรพรรดิมองดวงตาคู่สวยซึ่งเป็นประกายระยิบระยับเฉกเช่นทุกครั้งที่เขาจ้องมองเงียบๆ และคนตรงหน้าเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงได้จ้องกลับมาเขม็งโดยไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว สุดท้ายก็เป็นเขาที่ทำลายความเงียบก่อน

“แก้ว...”

“ไม่เป็นไร” ไม่ต้องรอให้คนที่ไม่เคยขอโทษใครเอ่ยปากออกมา ภีมภัทรก็พูดตัดด้วยความเข้าใจ

“ใบที่สองแล้ว” เจ้าของใบหน้าคมคายละสายตาออกจากใบหน้าได้รูป เขาเหม่อมองไปยังเศษซากของแก้วที่แตกด้วยฝีมือตัวเอง แต่เพียงแค่กะพริบตา ใบหน้าของคนคนเดิมก็เข้ามาบดบังทัศนวิสัย ราวกับต้องการความสนใจจากเขาอีกครั้ง

“พี่จักรไม่ต้องห่วงหรอก บ้านภีมมีแก้วเยอะมาก” คนพูดแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าพูดอะไรออกไป

บ้านภีมมีแก้วเยอะมาก...คิดได้ไง

“งั้นเหรอ...”

ทว่ากลับผิดคาด...เมื่อดวงตาคมว่างเปล่าคู่นั้นทอประกายวาววับอยู่ครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่เพียงวูบเดียวก็จางหายไป แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้คนตาสวยฉีกยิ้มดีใจจนหน้าบานได้แล้ว

“ว่าแต่...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมล้มอีกแล้ว” เมื่อต้องกลับมาจริงจังอีกครั้ง ภีมภัทรจึงพยายามเลือกคำพูดให้ดีที่สุด เขาสังเกตสีหน้าของคนข้างกายตลอดเวลา และพร้อมจะเปลี่ยนเรื่องได้ทุกเมื่อหากจักรพรรดิต้องการ

“ลืมตัว” คำตอบสั้นๆ ได้ใจความดังออกมาโดยไม่หยุดคิด จักรพรรดิเพียงวางแขนไปด้านหลัง ดันกายกลับไปนอนพิงพนักเตียงด้วยความยากลำบากโดยไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ

ลืมตัว...

แม้จะผ่านมานานพอสมควร แต่การที่คนธรรมดาคนหนึ่งต้องกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้คงไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ชินได้ในระยะเวลาสั้นๆ บางคนใช้เวลาเป็นเดือน บางคนเป็นปี หรือบางคน...อาจใช้เวลาทั้งชีวิต

“เวลาตื่นนอน...ก็ต้องลุกจากเตียงไม่ใช่หรือไง” คนพูดมองไปที่ขาทั้งสองข้างของตัวเอง ในขณะที่คนฟังทำได้เพียงเม้มปากแน่น

ทุกวันที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาใหม่ ทุกวันที่รู้สึกราวเรื่องเลวร้ายทุกอย่างเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง แต่แล้วเมื่อคิดจะขยับกาย กลับต้องพบว่ามันคือความเป็นจริง...ต่อให้หลอกตัวเองและพยายามฝืนยืนขึ้นมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้สึกตัว แต่สิ่งที่จักรพรรดิต้องพบเจอในทุกๆ วันก็คือความจริงที่ว่า...

เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว

“ปกติ...พี่ตื่นเวลาเดิมตลอดหรือเปล่า”

จักรพรรดิไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงเหลือบตามองคนถาม จากนั้นก็เงียบไป แต่ภีมภัทรกลับพยักหน้าหงึกหงักราวเข้าใจคำตอบ

“ต่อไปนี้ ภีมสัญญาว่าพี่จะไม่ทำแก้วแตกอีก”

คำสัญญาแปลกๆ เมื่อผนวกกับใบหน้ามั่นอกมั่นใจของผู้พูด หากใครมาเห็นก็คงอดขันไม่ได้ แต่เมื่อคนที่มองอยู่มีเพียงจักรพรรดิ เขาจึงทำเพียงกะพริบตาแล้วมองเมินไปอีกทางราวไม่ใส่ใจ

แล้วจะเอาแก้วพลาสติกมาวางแทนหรือไง…

“พี่จักรอยากออกไปเดินเล่นไหม” ภีมภัทรกลับมากะตือรือร้นอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อนึกได้ว่าอาการของอีกฝ่ายยังไม่ค่อยดีนักไหล่ที่ตั้งตรงก็ห่อลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวัง

อยากพาไปเรือนกุหลาบไวๆ...

คนป่วยเหลือบตามองท่าทีเหี่ยวเฉาของลูกแมวหงอยข้างเตียงชั่วครู่ และสุดท้ายเขาก็ต้องถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาในที่สุด

“ก็น่าจะดีกว่าการอยู่แต่ในห้องแบบนี้”

ภีมภัทรยิ้มกว้างจนหน้าบาน เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปเข็นวีลแชร์มาจนชิดเตียง จากนั้นก็เข้าไปพยุงจักรพรรดิอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจกะทันหัน

“อาหมอบอกว่าพี่มีไข้อ่อนๆ ยังไงวันนี้ก็อย่าเพิ่งอาบน้ำเลยนะครับ ถ้าปวดหัวหรืออยากพักรีบบอกภีมเลยนะ”

จักรพรรดิไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ปล่อยให้คนช่างจ้อพูดนั่นพูดนี่ขณะที่ตัวเองพยายามพยุงเขาลงจากเตียง ถึงภีมภัทรจะไม่ใช่คนตัวเล็กอะไร แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็ต่างกันพอสมควร ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงค่อนข้างทุลักทุเล และเมื่อเห็นอีกคนกัดปากแน่น คิ้วขมวดมุ่น แต่ก็ยังพูดไม่หยุด ยิ่งมองก็ยิ่งน่าขำจนเผลอแกล้งลงแรงพิงไว้ทั้งตัว ทำเอาคนพยุงตัวเซจนเกือบล้ม ยังดีที่ดันร่างเขาลงบนวีลแชร์ได้ก่อน

ภีมภัทรเข็นรถพาร่างคนป่วยออกมาจากห้อง ก่อนจะพาออกจากบ้าน พวกเขาไม่ได้สนทนาอะไรกันมากมาย เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีคนพูดอยู่คนเดียว ไม่ว่าจักรพรรดิจะสนใจหรือไม่สนใจ คนด้านหลังก็ยังพูดเล่านั่นเล่านี่ให้ฟังตลอดทาง

“เดี๋ยวภีมจะให้คนมาทำทางลาด จะได้เข็นรถง่ายๆ หน่อย” เพราะต้องเข็นรถบนพื้นหญ้า ทำให้เขาต้องออกแรงเยอะพอสมควร ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าจักรพรรดิเข็นเองแล้วจะเป็นยังไงเลย

เผื่อว่าพี่จักรจะชอบเรือนกุหลาบ...วันไหนอยากไปจะได้เข็นไปเองได้

คิดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเอง

“ตั้งแต่วันนี้ภีมจะย้ายลงมานอนห้องข้างล่างที่อยู่ข้างพี่จักร ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลยนะ หรือถ้าไม่อยากตะโกนเรียกจะเขวี้ยงแก้วให้แตกก็ได้ ภีมจะรีบไปหา”

คนประเภทไหนกันจะเขวี้ยงแก้วเพื่อเรียกให้ไปหา...

แล้วคนประเภทไหนที่จะคิดวิธีนี้ออกมาได้...

ดูเหมือนคนช่างพูดจะยังไม่รู้สึกตัว ถึงได้ไม่คิดแก้ไข ยังคงพูดเป็นต่อยหอยเหมือนตัวเองเป็นคนพูดเก่งทั้งที่ดูแล้วไม่น่าเป็นแบบนั้นเลยสักนิด

“ตอนพี่จักรหลับภีมถือวิสาสะเช็ดตัวให้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะเหม็นนะ”

หาเรื่องคุยไปเรื่อย...

“...หรือยัง”

“พี่จักรว่าอะไรนะ” คนด้านหลังที่ดีใจเพราะอีกคนตอบโต้ด้วยหยุดมือที่กำลังเข็นรถกะทันหันแล้วรีบเดินดุ๊กๆ ไปอยู่ด้านหน้า เท่านั้นไม่พอ...เขายังอุตส่าห์นั่งยองๆ เพื่อให้เห็นหน้ากันได้ชัดอีกต่างหาก

“ถามว่า...”

“ครับ”

"เมื่อยปากหรือยัง”

“...”

คนที่เหมือนจะโดนด่าว่าพูดมากอ้อมๆ เกือบเผลอแสดงสีหน้าหงิกงอออกไปเมื่อโดนถามจังๆ เขาอยากจะกระชากคนบนรถวีลแชร์มาเขย่าๆ แล้วบอกให้รู้เหลือเกินว่าที่ต้องทำแบบนี้มันเพราะใคร

ก็เพราะอยากชวนคุยถึงยอมเมื่อยปากแบบนี้ไงเล่า!

แต่มีหรือที่คุณชายผู้เป็นถึงทายาทรังสิมันตุ์จะยอมโดนกวนอยู่ฝ่ายเดียว

“ก็ถ้าพี่เลิกเงียบจนน้ำลายหายบูดเมื่อไหร่ ภีมก็คงจะเมื่อยปากเมื่อนั้นแหละครับ”

คราวนี้ถึงทีจักรพรรดิขมวดคิ้วมุ่นบ้าง เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็โดนภาพบางอย่างดึงความสนใจไปจนหมดสิ้น

ภาพสวนดอกไม้กว้างจนบรรจบกับแผ่นฟ้าอีกด้านทำให้เขาลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิท ความสวยงามของดอกไม้ที่พลิ้วไหวเบาๆ ไปตามสายลมคล้ายจะกะเทาะเปลือกของบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจให้แตกออกทีละน้อย

อา...ดูเหมือนตอนเด็กๆ เขาจะชอบอะไรแบบนี้มากทีเดียว

ทั้งลมเย็นๆ ที่คล้ายจะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมา และความสบายใจยามเห็นสีสันสดใสของสวนดอกไม้กว้างขวาง รวมถึง…

“พี่จักร” เจ้าของเสียงขยับกายเดินมาด้านข้างแล้วเรียกเขาด้วยความเป็นห่วง ทั้งดวงตาคู่สวยและริมฝีปากที่เม้มแน่นแสดงชัดถึงความกังวลโดยไม่ต้องคาดเดาว่าต้นเหตุเกิดจากใคร “เป็นอะไรหรือเปล่า”

จักรพรรดิหรี่ตาลงมองดวงตาที่เป็นประกายเจิดจ้ารับกับแสงของดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังเจ้าตัว ภาพที่ปรากฏดูสวยงามเสียจนเขาไม่อาจละสายตา และโดยไม่รู้ตัว...ดวงตาที่เผลอแสดงความอ่อนโยนออกมาชั่วขณะนั้นได้ทำให้คนตาสวยหน้าร้อนวาบจนเกือบหันหน้าหนี แต่เพราะเสียดายบรรยากาศดีๆ และไม่อยากให้ความอ่อนโยนนั้นจางหายไป ภีมภัทรจึงทำได้เพียงกลั้นหายใจ คิดว่าจะปล่อยให้อีกคนมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

เพียงแต่...

จะมองอีกนานไหมเนี่ย…หน้าจะไหม้แล้วนะ

“อะ...อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้วครับ” เมื่อไม่อาจทนต่อสายตานั้นได้ เขาจึงจำต้องขยับกายโดยการรีบเดินกลับไปประจำตำแหน่ง ภีมภัทรถอนหายใจโล่งอก เขาใช้มือเดียวในการช่วยเข็นรถให้จักรพรรดิ เพราะมืออีกข้างต้องใช้กุมอกซ้ายของตัวเองเอาไว้ ราวกับกลัวว่าสิ่งที่อยู่ด้านในจะเต้นแรงจนทะลุออกมา

เป็นคนที่อันตรายจริงๆ…

ตลอดทางที่เหลือนั้นมีเพียงความเงียบ คนที่ถูกกล่าวหาว่าพูดมากเงียบกริบเหมือนโดนสาป ในขณะที่คนน้ำลายบูดเองก็ไม่คิดชวนคุยอยู่แล้ว บรรยากาศรอบกายของพวกเขาจึงมีเพียงความเงียบงัน กับสายลมจางๆ ที่คอยพัดเอากลิ่นดอกไม้เข้ามาใกล้

ทว่าแม้จะไม่มีใครพูดอะไร...แต่พวกเขาก็ไม่ได้มึนตึงใส่กันเหมือนช่วงแรกอีกต่อไปแล้ว

“เข้าเขตแล้วนะครับ…”

คำเตือนของคนด้านหลังทำให้จักรพรรดิที่กำลังเหม่อลอยได้สติกลับคืนมา เขาเงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า ก่อนดวงตาคมว่างเปล่าจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

ซุ้มดอกไม้เป็นทางยาวหลายซุ้มถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากชนิด เพียงแค่มองก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันถูกปลูกให้เลื้อยพันซุ้มเองตามธรรมชาติจนแทบมองไม่เห็นโครงด้านใน อีกทั้งบนพื้นที่ที่ควรมีเพียงหญ้าและทางเข้ากลับมีดอกไม้ร่วงหล่นลงมากระจายอยู่จนเต็มไปหมด

นั่นยังไม่นับรวมน้ำพุจำลองขนาดย่อมที่รออยู่ตรงปลายทางอีก...

“ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของภีมครับ”

อาณาจักร...

คำคำนั้นไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด เพราะทันทีที่เดินผ่านซุ้มดอกไม้เข้ามาข้างใน จักรพรรดิก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่อมองจากด้านนอก ที่แห่งนี้ถึงได้มีพุ่มดอกไม้สูงเกือบเท่าตัวคนล้อมไว้จนเหมือนเป็นเขตอะไรสักอย่าง

ที่แท้ก็เพื่อกั้นเป็นอาณาเขตของอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้นี่เอง...และนอกจากน้ำพุตรงกลางแล้ว เบื้องหลังยังมีตู้กระจกขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้อยู่ในนั้นอีกต่างหาก

“พ่อสร้างที่นี่ให้ภีมตอนวันเกิดหลายปีก่อน” ภีมภัทรเงยหน้ามองป้ายชื่อเก่าๆ ที่ยังคงแขวนไว้ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยน ‘เรือนกุหลาบ’ คือชื่อของมัน ดวงตาคมสวยเปล่งประกายแวววาวเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น “พ่อเห็นภีมเศร้าก็เลยสร้างที่นี่ขึ้นมา”

“…”

“ตอนนั้นภีมร้องไห้ไม่หยุด แถมยังไม่ยอมกินข้าว งอแงจนพ่อขู่ว่าจะตีอยู่หลายรอบก็ยังไม่หาย” เขาเดินไปด้านหน้า สายตามองตรงเข้าไปด้านในเรือนกุหลาบโดยไม่ได้ขยายความต่อ ดูราวกับสติทั้งหมดถูกดูดหายไปจนเกลี้ยง

บางทีอาจเป็นเพราะ ณ สุดทางของที่แห่งนี้...มีของสิ่งหนึ่งที่แสนสำคัญตั้งอยู่

ของที่สำคัญ...จนเกือบจะเทียบเท่ากับคนด้านหลัง

“เศร้าเรื่องอะไร”

คนที่กำลังเหม่อหันขวับกลับมามองคนถามด้วยความแปลกใจ เขาไม่คาดคิดว่าจักรพรรดิจะสนใจเรื่องของเขาจนต้องถามต่อ และเมื่อได้สบตาคู่นั้น...ก็คล้ายกับหัวใจจะทำงานหนักขึ้นมาอีกรอบ

“เรื่อง...”

“…”

“เรื่อง...”

ภีมภัทรเม้มปากแน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดกับท่าทีที่เหมือนสาวน้อยของตนเอง จนสุดท้ายเขาต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ เพื่อตั้งสติ เมื่อคิดว่าพร้อมแล้วจึงสูดหายใจเข้าและมองสบตากับจักรพรรดิอีกครั้ง

จะปล่อยให้โอกาสในครั้งนี้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด...

“ตั้งแต่จำความได้ ในชีวิตของภีมก็มีแค่พ่อที่สำคัญที่สุด ส่วนแม่ทิ้งภีมไปตั้งแต่ภีมยังอายุไม่ถึงขวบ” เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังตั้งใจฟัง “ภีมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพ่อต้องทำงานหนักทั้งที่เป็นถึงเจ้าของไร่ ภีมเอาแต่คิดว่าพ่อไม่มีเวลาให้ภีมเลย พวกพี่เลี้ยงก็ตามใจจนเสียนิสัย ภีมกลายเป็นเด็กเห็นแก่ตัว นิสัยไม่ดีสุดๆ แย่ยิ่งกว่าพี่จักรตอนนี้อีก”

“นาย…” จักรพรรดิขมวดคิ้วเมื่อโดนด่าตรงๆ แต่นอกจากจะไม่ขอโทษแล้วคนตรงหน้ายังหัวเราะแล้วมองเมินไปเสียอีก

“แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีพี่ชายใจดีคนหนึ่งเข้ามาที่ไร่ พี่ชายอายุมากกว่าภีมนิดเดียว แต่กลับฉลาดเป็นกรด รู้เรื่องของพ่อดียิ่งกว่าภีมที่เป็นลูกเสียอีก พี่ชายบอกภีมว่าพ่อกำลังทำงานหนักเพื่อภีม ต่อไปถ้าอยากได้เพื่อนเล่นเขาจะมาหาเอง หลังจากนั้นภีมก็สนิทกับพี่ชายที่สุด เราทำหลายๆ อย่างด้วยกัน พี่ชายเป็นทั้งเพื่อนเล่นและเป็นทั้งครู...”

“…”

“แต่แล้วพี่ชายก็หายไป” คนพูดคลายรอยยิ้มแล้วหลับตาลง “เขาทำให้ภีมผูกพัน แล้วก็หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว”

“…”

“หายไป...และไม่ติดต่อมาอีกเลย"

เขาจำได้ดีราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...ช่วงเวลาที่ใครคนนั้นหายไป มันเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาตรงหน้า

“ภีมไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นเรียกว่าอะไร แต่พอได้คิดทบทวนเมื่อโตมาแล้วถึงได้รู้...” เขาคุกเข่าลงตรงหน้ารถวีลแชร์ ก่อนดวงตาพราวระยับที่มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอคู่นั้นจะจ้องมองอีกคนนิ่งงันราวต้องการถามหาคำตอบและอ้อนวอนอยู่ในที “ความรู้สึกที่ภีมมี...”

“…”

“พี่จักรว่า...มันใช่ความรักหรือเปล่า”

ไม่ต้องตอบหรอก...

“ในชีวิตของภีมเคยมีแค่พ่อที่สำคัญที่สุด”

ประโยคเดิมถูกพูดซ้ำอีกครั้ง...

“แต่ในวันที่คนคนนั้นหายไป ภีมถึงได้รู้ว่าตัวเองมีคนสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”

พี่ชายคนนั้น...

“ถ้าพ่อเปรียบเสมือนท้องฟ้า” ภีมภัทรใช้มือของตัวเองแตะลงที่ปลายเท้าขาวซีดซึ่งวางอยู่บนรถวีลแชร์

“…”

“งั้นพี่...ก็คือโลกทั้งใบ”




—————————



TALK: ไม่มีเวลาเลยจริงๆนะ ฮือ ช่วงนี้จะหายๆหน่อยนะคะ  แต่เมษาเราจะกลับมาพร้อมความยิ่งใหญ่!!
อย่าเพิ่งทิ้งกันเด้อ

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-02-2018 22:04:51
นี่คือฉากบอกรักใช่ไหม? อิอิ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 03-02-2018 22:09:39
อะไรยังไงน้ออ สงสารภีมจัง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-02-2018 22:57:02
ในที่สุดก็เล่าให้ฟังจนได้สินะน้องภีม พี่จักรจะว่ายังไงล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 03-02-2018 23:25:38
มาอีกที  เมษาเลยเหรอ    :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-02-2018 05:06:42
น้องบอกรักแล้วนะ พี่จะว่าไงบ้างเอย  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 04-02-2018 12:16:42
พี่จักรจะเปิดใจไหมน๊า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 05-02-2018 17:12:45
แล้วพี่จักรจะนึกออกไหม เกริ่นมาขนาดนี้แล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 05-02-2018 18:12:13
โอ้ยยย  โลกทั้งใบเลยนะะ จักรพรรดิ
เราจะรออออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 06-02-2018 00:38:20
รอพี่จักรนึกถึงความทรงจำที่มีน้องภีมออก..........
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 13-02-2018 23:40:11
มาพร้อมกับการเปิดพรีรึเปล่าคะ 55555555555555555 ติดตามนิยายทุกเรื่องนะคะ   :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 14-02-2018 11:25:23
 :oo1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[3]==[P.2]== [03/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 02-03-2018 20:42:17
-4-


ในฐานะทายาทรังสิมันตุ์ วันนี้ภีมภัทรจำเป็นต้องไปดูงานที่รีสอร์ทแทนพ่อตัวเองที่ต้องไปดูพันธุ์ดอกไม้นำเข้าซึ่งถูกส่งมากะทันหัน หลังจากหลีกเลี่ยงมานานหลายปี สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นหน้าที่ที่เขาไม่ได้ชอบนัก และดูเหมือนวิบูลย์จะดักทางไว้หมดแล้วเสียด้วย ถึงได้หนีไปดูพันธุ์ดอกไม้ที่ว่าตั้งแต่เมื่อวานโดยทิ้งคำสั่งไว้ว่าจะให้เลขามาช่วยสอนงานเขาแทน ราวกับรู้ว่าถ้ารอถึงเช้าภีมภัทรคงขอสนับหน้าที่แน่ๆ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้จริงๆ

“สวัสดีครับอานพ” ภีมภัทรยกมือไหว้ชายสูงวัยที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านด้วยความเคารพเสมือนอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคน

“สวัสดีครับคุณภีม” นพวัฒน์ส่งยิ้มสุภาพแกมเอ็นดูกลับไปให้ก่อนจะรีบยกมือรับไหว้ เขาเห็นลูกชายของเจ้านายมาตั้งแต่เด็ก ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความเคารพอีกฝ่ายอยู่เสมอ  “คุณภีมทราบเรื่องงานวันนี้แล้วใช่ไหมครับ”

“ทราบแล้วครับ” ภีมภัทรถอนหายใจ ถึงวิบูลย์จะให้อิสระในการใช้ชีวิตกับเขาขนาดไหน แต่ใจเขารู้ดีว่าพ่อก็คงอยากให้ช่วยงานในบ้านอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ภีมภัทรชอบดอกไม้ ถึงจะไม่ได้ชอบการบริหารจัดการงานมากนักแต่ก็ยังดีที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ชอบอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าเมื่อถึงเวลาจะทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เพียงแต่เขาไม่คิดว่ามันจะไวขนาดนี้เท่านั้นเอง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านยังให้อิสระคุณภีมแน่ๆ เพียงแต่อยากให้คุณไปดูความเปลี่ยนแปลงของรีสอร์ทบ้างก็เท่านั้นเอง” คำพูดปลอบใจของนพวัฒน์ดูจะได้ผลอยู่ไม่น้อย ภีมภัทรถึงได้แอบถอนหายใจแล้วกลับไปวางมาดเหมือนคุณชายเช่นเดิม

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนอานพรอสักครู่นะครับ”

“ครับ”

ร่างโปร่งรีบเดินไปยังปีกซ้ายของบ้านและตรงเข้าไปในห้องนอนที่ถูกย้ายมาอยู่ชั้นล่างของตน เขาคว้าข้าวของจำเป็นสองสามอย่างที่เตรียมไว้แล้วติดตัวมาด้วย ก่อนจะแอบเปิดประตูเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกันอย่างเงียบเชียบ

“พี่จักร...” ดวงตาคู่สวยฉายแววเจ็บปวดเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูทรมานแม้ยามหลับของคนที่นอนอยู่บนเตียง จักรพรรดิในตอนที่ไม่มีทิฐิหรือสิ่งใดบดบังดูอ่อนแอจนน่าใจหาย

ภีมภัทรวางข้าวของทั้งหมดลงบนโต๊ะโดยระวังไม่ให้มีเสียงดังรบกวนคนหลับ ก่อนเขาจะนั่งลงด้านข้างช้าๆ มือเรียวขาวแตะเบาๆ บนแก้มซูบตอบของคนป่วย ใจนึกภาวนาขอให้พี่จักรกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมไวๆ

เขารู้เรื่องที่ต้องไปดูงานที่รีสอร์ทแทนวิบูลย์ตั้งแต่เมื่อวานเพราะนพวัฒน์โทรมาบอก หลังจากช่วยพาจักรพรรดิเข้าไปในห้องน้ำเพื่อให้อีกฝ่ายจัดการตัวเองเสร็จแล้วเขาจึงบอกเรื่องที่วันนี้จะไม่อยู่ตอนช่วงเช้าให้รู้ โดยไม่ลืมบอกว่าจะให้แม่บ้านเข้ามาช่วยดูแลเรื่องอาหารให้แทน จักรพรรดิในตอนนั้นไม่ตอบรับสักคำ ทั้งยังทำท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่พูดเรื่องพวกนั้นออกไป

แต่ก็แค่รู้สึกผิดที่ทำให้จักรพรรดิคิดมาก...ไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อยที่พูดออกไป

ภีมภัทรไม่ได้คาดหวังกับคำตอบตั้งแต่แรก เขาเพียงอยากบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายสำคัญสำหรับเขามากขนาดไหน...ขอแค่ให้รับรู้ไว้เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว

“ภีมจะรีบกลับ” เจ้าของเสียงกระซิบแผ่วเบาแล้วแตะมือผอมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะขยับกายลุกขึ้นยืนพลางหยิบของที่ถือมาจัดวางให้เข้าที่ตามแผนที่คิดไว้ หลังจากดึงผ้าห่มห่มให้คนบนเตียงเรียบร้อยแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป และนั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่แม่บ้านกำลังทำท่าจะเคาะประตูห้องของจักรพรรดิพอดี

“ป้าน้อยมีอะไรหรือเปล่าครับ ยังไม่แปดโมงเลย”

“เห็นคุณภีมบอกว่าคุณจักรพรรดิเธอตื่นไม่ค่อยเป็นเวลา ป้าเลยมาดูเผื่อถ้าตื่นแล้วจะได้ไปยกข้าวเช้ามาให้ค่ะ” น้อยแอบยิ้มเมื่อเห็นว่าคุณหนูของเธอเพิ่งออกมาจากห้องของใคร เมื่อวานก็ย้ำหนักย้ำหนาให้ช่วยดูแลจักรพรรดิแทนตอนที่เขาไม่อยู่ แต่ไม่คิดว่าแม้แต่ก่อนไปทำงานจะยังมาหาแบบนี้อีก

“พี่จักรยังไม่ตื่นเลยครับ ภีมว่าอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงค่อยมาดูดีกว่า”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้ามาดูใหม่” น้อยพยักหน้ารับ เธอยืนรอจนคุณหนูทำท่าจะเดินจากไป แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ดูกว้างขึ้นกว่าตอนเด็กหลายเท่าแล้วก็อดพูดสิ่งที่รู้สึกออกมาไม่ได้ “คุณภีมเป็นห่วงคุณจักรพรรดิมากเลยนะคะ เห็นแล้วอดนึกถึงเมื่อก่อนไม่ได้”

ภีมภัทรหันขวับกลับมามองด้วยสีหน้าตกใจ ถึงแม้ไม่แปลกใจที่พ่อตัวเองจำจักรพรรดิได้ แต่ไม่คิดว่าแม้แต่ป้าน้อยซึ่งเป็นแม่บ้านก็จำได้เช่นกัน

“ป้าน้อยจำพี่จักรได้ด้วยเหรอครับ”

“จำได้สิคะ จะจำไม่ได้ได้ยังไงกัน มีแค่คุณจักรพรรดิเท่านั้นล่ะที่ทำให้คุณหนูของป้าตามติดเป็นตังเมได้ขนาดนั้น” เธอหัวเราะคิกคัก “ตอนเด็กๆ คุณภีมชอบหายไปจนใครก็หาไม่เจอ มีแค่คุณจักรพรรดิคนเดียวที่หาเจอ สุดท้ายทุกคนก็จะเห็นเขาให้คุณภีมขี่หลังกลับบ้านทุกที”

“งั้นเหรอครับ...” ภีมภัทรยิ้มเศร้า ยิ่งนึกถึงภาพเก่าๆ เหล่านั้นก็ยิ่งปวดหัวใจ “แต่พี่จักรจำภีมไม่ได้เลย”

“โธ่ คุณภีมของป้า” แม่บ้านสูงอายุคลายรอยยิ้ม เธอเดินเข้าไปจับมือคุณหนูตัวน้อยของตนไว้แน่น ที่แท้ที่อีกคนทำหน้าเศร้าอยู่บ่อยๆ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง “คุณจักรพรรดิบอกเองหรือคะว่าจำคุณภีมไม่ได้”

“เขาจำได้ว่าเคยรู้จักครับ แต่จำความทรงจำที่เคยมีร่วมกันไม่ได้เลย”

ก็เพราะว่าไม่สำคัญ…

น้อยมองใบหน้าเศร้าหมองนิ่งงันด้วยความสงสารจับใจ เธอเข้าใจดีกว่าความเจ็บปวดของภีมภัทรมีมากมายขนาดไหน ภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ร้องไห้เพราะพี่จักรของตัวเองไม่ยอมมาหายังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คนที่นี่ คุณหนูของเธอร้องไห้จนไม่สบาย เพ้อหาพี่ชายใจดีทุกวี่วัน กว่าจะดีขึ้นก็ใช้เวลานานหลายเดือน แม้แต่เธอยังรู้สึกโกรธคุณจักรพรรดิอยู่หน่อยๆ เสียด้วยซ้ำ แต่แล้วเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเขาผ่านเจ้านาย ความโกรธนั้นก็กลายเป็นความเห็นใจ

เด็กทั้งสองคนนี้ล้วนน่าสงสาร...พวกเขาผ่านความเจ็บปวดมามากมายเหลือเกิน

“คุณภีม ป้าขอพูดอะไรหน่อยนะคะ” ฝ่ามือแห้งกร้านยกขึ้นลูบไหล่ผอมเบาๆ ราวต้องการปลอบประโลม ดวงตาอ่อนโยนของผู้ผ่านโลกมามากกว่าทำให้ภีมภัทรต้องพยักหน้าและนิ่งฟัง “ตอนยังเด็กคุณภีมจำได้ไหมคะว่าตัวเองเคยไม่สบายจนร้องเรียกหาแต่คุณจักรพรรดิ พอคุณเขามาก็เอาแต่กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย”

“ภีม…” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พยายามค้นหาความทรงจำเหล่านั้น แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

“แล้วคุณภีมจำได้ไหมคะว่าตัวเองเคยวิ่งไปที่สระบัวเพราะอยากเอาดอกบัวไปให้คุณจักรพรรดิ แต่เพราะว่ายน้ำไม่เป็นเลยงอแงจนคุณเขาต้องโดดลงสระไปเก็บให้แทน”

“อันนั้นภีมจำได้” คนจำได้ยิ้มสดใส ยังจำได้ดีว่าเขาในตอนนั้นร้องไห้หนักขนาดไหนยามเห็นจักรพรรดิเปียกปอนไปหมดเพราะตัวเอง

“แล้วจำได้ไหมคะว่าเคยอ้อนขอให้คุณจักรพรรดิมาอาศัยอยู่ด้วยกัน”

“ภีมเคยทำแบบนั้นด้วยเหรอครับ” เขาทำตาโต รู้สึกอับอายจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพงเสียให้รู้แล้วรู้รอด ดีที่ยังรักษามาดที่เหลืออยู่น้อยนิดไว้ได้

“สิ่งที่ป้าอยากบอกก็คือเรื่องนี้ค่ะ” น้อยอมยิ้มเมื่อเห็นหน้าแดงๆ ของคนขี้อาย เธอมองคุณหนูด้วยสายตาปรานีเหมือนเวลาที่ญาติผู้ใหญ่ต้องการสั่งสอนลูกหลานตัวเอง “ความทรงจำของคนเรามีไม่เท่ากัน บางเรื่องคุณภีมจำได้ บางเรื่องอาจจำไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติของคนทุกคน ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเรื่องเก่าๆ ที่ไม่ได้เอามาทบทวนบ่อยๆ ก็จะยิ่งจางหายไปตามกาลเวลา สิ่งที่คุณภีมจำได้ มันคือสิ่งที่คุณภีมทบทวนและนึกถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะงั้นถึงจำได้ดีใช่ไหมล่ะคะ”

“…”

ใช่แล้ว...เขานึกถึงอยู่ตลอดทุกวันตั้งแต่จักรพรรดิหายไป

“คุณภีมเองก็รู้ใช่ไหมคะว่าคุณจักรพรรดิเธอเปลี่ยนไปขนาดไหน ป้าไม่เชื่อหรอกว่าคนอ่อนโยนอย่างคุณเขาจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เพราะตัวเอง ป้าเคยบอกคุณภีมอยู่เสมอว่าสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ จำได้หรือเปล่าคะ”

“ครับ ภีมจำได้”

“ป้าไม่รู้ว่าคุณเขาไปเจออะไรมา แต่ป้าคิดว่าคุณภีมน่าจะรู้นะคะ เพราะงั้นอย่าไปน้อยใจเรื่องจำอะไรได้หรือไม่ได้เลยนะ”

“…”

“ในช่วงเวลาที่คุณภีมกำลังมีความสุข บางทีคุณเขาอาจจะร้องไห้อยู่คนเดียวก็ได้”

คำพูดนี้ราวกับจะบาดลึกไปถึงจิตใจของผู้ฟัง ภีมภัทรเบิกตากว้าง หยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง

“ภีม...ภีมไม่รู้เลย”

ไม่รู้ว่าพี่จักรเจออะไรมาบ้างถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น...

ไม่รู้ว่าพี่จักรต้องเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องอยู่คนเดียว...

ไม่รู้...เพราะเอาแต่สนใจความรู้สึกของตัวเอง

“คุณภีม...” เสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงทำให้คนที่เกือบร้องไห้รู้สึกตัว ภีมภัทรยกแขนเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังไม่ได้ไหลออกมาจนหมด ก่อนเขาจะยิ้มบางให้คนมองสบายใจ

“ภีมไม่เป็นไรครับ”

“อย่าห่วงเลยนะคะ ความทรงจำเราสร้างขึ้นมาใหม่ได้เสมอ”

“ขอบคุณนะครับป้าน้อย” ภีมภัทรสวมกอดหญิงสูงวัยไว้แน่น ถ้าป้าน้อยไม่ได้มองออกว่าเขารู้สึกยังไง เขาคงไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าตัวเองลืมอะไรไปบ้าง

“คุณภีมเชื่อป้านะคะ ต่อให้คุณเขาจำไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่เคยมีต่อกัน...ป้าเชื่อว่ามันไม่เคยหายไปไหน” เธอลูบแผ่นหลังกว้างเป็นการปลอบประโลม ก่อนจะผละออกเพื่อช่วยจัดเสื้อผ้ายุ่งเหยิงของภีมภัทรให้เข้าที่ “รีบไปเถอะค่ะ คุณนพรอแย่แล้ว”

“ครับป้า ภีมจะรีบกลับนะครับ”

น้อยเพียงยิ้มตอบขณะที่มองส่งคุณหนูของเธอไปจนลับสายตา

เมื่อกลับไปถึงห้องรับแขกภีมภัทรก็พบว่านพวัฒน์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายสูงวัยยิ้มบางก่อนตั้งท่าจะหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า ติดที่ว่าคนเด็กกว่ายกมือห้ามไว้เสียก่อน

“เราไปคุยกับบนรถเถอะครับอานพ จะได้ไม่เสียเวลา”

“ได้ครับ” นพวัฒน์รับคำก่อนจะเดินตามเจ้าของร่างสูงโปร่งออกไปด้านนอกโดยไม่คิดขัด

บรรยากาศบนรถไม่ได้เคร่งเครียดมากนักแม้ว่าเรื่องที่เอามาพูดคุยกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงาน ภีมภัทรตั้งใจอ่านเอกสาร ในขณะที่หูก็รับฟังสิ่งที่เลขาของพ่อพูดไปด้วย เมื่อเกิดข้อสงสัยเขาก็จะถามทันทีเพราะไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด แต่ดูเหมือนสิ่งที่เป็นปัญหาและทำให้เขาสงสัยได้ไม่รู้จบจะมีมากมายเสียเหลือเกิน

“เราจะมั่นใจได้ยังไงครับว่ารีพอร์ทของเมเนเจอร์ที่ให้มามันจะครบถ้วนทุกประการ”

“เรื่องนั้นเรามีคนสอดส่องอยู่ตลอดเวลาครับ แม้เมเนเจอร์จะเป็นตำแหน่งใหญ่ แต่พนักงานทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมในการฟ้องร้องหรือแจ้งข้อมูลกับผมหรือท่านโดยตรง”

“หมายความว่าถ้าพวกเขาทำงานเป็นทีม เราก็จะไม่มีทางรู้ใช่ไหมครับ” ภีมภัทรถามทั้งที่ยังก้มหน้า

“เรื่องนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นครับ ในทุกแผนกมีคนของเราที่ท่านฝึกมาด้วยตัวเอง พวกเขาเหล่านั้นไม่มีวันทรยศ” นพวัฒน์ตอบด้วยความมั่นใจ

“เข้าใจแล้วครับ ขอโทษด้วยที่สงสัยเรื่องการทำงานภายในองค์กรที่พวกอานพสร้างมานาน”

“ผมเข้าใจครับ”

จริงๆ แล้วนพวัฒน์รู้เรื่องนิสัยของภีมภัทรอยู่ก่อนแล้วเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก แม้จะเป็นคนเก่งแต่ภีมภัทรก็มีข้อเสียที่วิบูลย์ เจ้านายของเขามักจะพูดถึงอยู่เสมอ

ภีมภัทรไม่ไว้ใจใคร...

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพื่อน คนใกล้ชิด หรือแม้แต่เรื่องของการทำงาน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คนคนนี้ไว้ใจและสามารถวางงานให้ได้โดยไม่ต้องมากังวลในภายหลัง ซึ่งมันเป็นทั้งข้อเสียและข้อดี ข้อดีคือความรอบคอบ ส่วนข้อเสียคือตัวเองจะเหนื่อยมากเกินไป เพราะอะไรๆ ก็คิดว่าต้องจัดการเองไปเสียหมด และเขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยแก้นิสัยนั้นให้หลานชายได้ยังไง

แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนเถอะ เพราะเรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือ...

“คุณภีมเจอทางออกแล้วหรือครับ”

“ทางออก?” ภีมภัทรเงยหน้ามองคนด้านข้างด้วยความงุนงง

“ผมเห็นตอนแรกคุณดูไม่สบายใจ เหมือนกับเจอทางตัน แต่พอกลับออกมาอีกทีบรรยากาศเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ท่าทางจะพบทางออกแล้วสินะครับ”

“ผม...ดูออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอครับ” คนพูดยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ ทั้งรอยยิ้ม

“ครับ ชัดเจนมากเลย”

“ก็...คิดว่าเจอทางออกแล้วล่ะครับ แต่ไม่รู้คนอีกฝั่งเขาจะยอมเปิดประตูให้หรือเปล่า”

ถ้าเปิดให้ก็คงจะดีใจที่สุดในชีวิต แต่ถ้าไม่เปิดให้...

ถึงตอนนั้นคงต้องเก็บเศษใจที่แหลกละเอียดมาไว้ในมือ...

จากนั้นก็กลับไปนั่งประกอบมันใหม่ให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม...

แล้วค่อยไปเคาะประตูอีกครั้ง...












‘ถ้าพ่อเปรียบเสมือนท้องฟ้า...งั้นพี่ก็คือโลกทั้งใบ’

จักรพรรดิไม่ใช่คนโง่...

เขารู้ดีว่าคนที่ภีมภัทรพูดออกมาหมายถึงใคร

เพียงแต่เขาไม่คาดคิด...ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นโลกทั้งใบให้ใครได้

หากเป็นจักรพรรดิในยามปกติ เขาคงขมวดคิ้ว มองดูคนพูดด้วยสายตาเหยียดหยาม และคิดว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดออกมาเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อคิดว่าหากพูดออกไปแล้วหยาดน้ำใสที่กำลังเอ่อคลอในดวงตาคู่สวยนั่นจะไหลลงมา หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง สุดท้ายความสับสนก็เล่นงานจนสติไม่อยู่กับตัว

เขาจำได้ว่าตัวเองอ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง...บางอย่างที่ไม่ได้ถูกสั่งการมาจากสมอง แต่ส่งตรงมาจากหัวใจ อีกเพียงแค่เสี้ยววินาที คำที่ไม่ได้กลั่นกลองก็จะหลุดออกไปตามความรู้สึกชั่ววูบ คงต้องขอบคุณคนงานของไร่ที่เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี ทำให้คนที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ผุดลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินเข้าไปหาจนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ

‘ขอโทษ’

ขอโทษเรื่องอะไรกัน...ทำไมต้องขอโทษด้วย ขืนพูดออกไป คงหาเหตุผลพูดต่อไม่ได้แน่ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะขอโทษทำไม

คิดหาคำตอบมาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้...

กายสูงขยับพิงหัวเตียงโดยใช้แขนทั้งสองข้างช่วยด้วยความเคยชิน กระบอกตาทั้งสองข้างปวดตุบจนต้องหลับลงช้าๆ สาเหตุคงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วจึงออกอาการเช่นนี้ เขายกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเบาๆ จนเมื่ออาการปวดเริ่มทุเลาเลยคิดจะลุกขึ้นเพื่อไปหาน้ำดื่ม หากขาที่ไม่ขยับตามคำสั่งกลับทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก

ลืมตัวอีกแล้ว...

ใครจะไปชินได้กัน

ดวงตาคมกริบทอประกายดุร้าย มือผอมกำแน่นจนมองเห็นเส้นเลือดปูดโปน ก่อนมือที่กำไว้ข้างหนึ่งจะยกขึ้นสูง หวังจะทุบลงบนขาที่ไร้ความรู้สึกเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นมัวในใจ แต่แล้วก็มีอันต้องชะงักเมื่อพบว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองมีอะไรบางอย่างแปะอยู่บนนั้น

กระดาษโพสต์อิทสีชมพู...

จักรพรรดิขมวดคิ้ว เขาดึงกระดาษทั้งสองแผ่นนั้นมาดู สายตาเพ่งมองตัวอักษรเป็นระเบียบบนกระดาษด้วยความไม่เข้าใจ

‘หนูแค่ยังไม่แข็งแรง อย่าทำร้ายหนูน้า’

คล้ายมุมปากผู้อ่านจะกระตุกน้อยๆ ไม่รู้ว่าคนเขียนมองเห็นอนาคตหรือไง ถึงดักทางเขาได้ถูกขนาดนี้

จักรพรรดิหันไปมองกระดาษอีกใบ บนนั้นมีเพียงรูปลูกศรที่ชี้ไปด้านข้าง เขาหันหน้าไปตามลูกศร ก่อนจะพบว่าบนโต๊ะข้างเตียงมีแก้วน้ำแก้วหนึ่งวางอยู่เหมือนเช่นทุกวัน ทว่า...

“กุหลาบ...”

มือซีดเซียวซึ่งเกือบจะทำร้ายตนเองไปเมื่อครู่ยื่นไปหยิบดอกกุหลาบสีขาวข้างแก้วน้ำมามองใกล้ๆ จักรพรรดิเพ่งมองมันอยู่นาน นานพอจะเห็นว่าหนามแหลมซึ่งควรจะมีนั้นถูกตัดออกไปอย่างตั้งใจจนแทบมองไม่เห็นรอย

ที่บอกว่าต่อไปนี้เขาจะไม่ทำแก้วแตกอีก ที่แท้ก็ใช้วิธีนี้...

“ปัญญาอ่อน”

ปากบอกว่าปัญญาอ่อน...หากรอยยิ้มกลับผุดขึ้นมาโดยตั้งใจ

เจ้าของร่างสูงหันไปมองรถวีลแชร์ซึ่งจอดอยู่ติดเตียง ดวงตาคมทอประกายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจขยับตัวตั้งตรง แขนสองข้างวางลงบนเตียงเพื่อใช้รองรับน้ำหนัก ก่อนเจ้าตัวจะเทแรงทั้งหมดลงไปที่แขนเพื่อลากท่อนร่างอันไร้ความรู้สึกให้ขยับตามไปด้วย

ทุกอย่างเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากจักรพรรดิไม่เคยตั้งใจทำแบบนี้ด้วยตัวเองมาก่อน แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่การต้องใช้แรงทั้งหมดไปกับการขยับตัวทำให้มีเหงื่อผุดอยู่เต็มใบหน้าซีดเซียว และในเสี้ยววินาทีที่มือนั้นเอื้อมไปจับพนักวางแขนของรถวีลแชร์ด้วยความเกร็งจนรถเลื่อนไปด้านหลัง...

ตึง!

ร่างกายสูงใหญ่พลันหล่นลงจากเตียงจนเกิดเป็นเสียงกระแทกพื้นดังกึกก้อง...

ความรู้สึกเจ็บของแขนทั้งสองข้างที่รับน้ำหนักตัวไว้เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกหนักอึ้งในใจตอนนี้ จักรพรรดิกัดฟันแน่น อารมณ์หลายอย่างในใจตีรวนจนเขาอยากจะระบายมันออกมา และการระบายนั้นก็คงหนีไม่พ้นการทำให้ตัวเองเจ็บอย่างเคย แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น...

“พี่จักร!” เสียงร้องเรียกด้วยความตกใจแบบที่จักรพรรดิไม่เคยได้ยินมาก่อนดึงดูดความสนใจของเขาได้จนหมด

ร่างโปร่งของคนที่บอกว่าจะกลับมาตอนบ่ายพุ่งเข้ามาหาพร้อมใบหน้าที่ดูราวกับจะร้องไห้ ภีมภัทรทรุดตัวลงข้างๆ ก่อนจะช่วงพยุงเขาให้นั่งลงบนเตียงทั้งที่มือตัวเองยังสั่น

“เจ็บมากไหม” คนขี้ห่วงคว้าแขนข้างหนึ่งของคนเจ็บขึ้นดูอย่างรวดเร็วโดยไม่ขออนุญาต โชคดีที่การกระแทกครั้งนี้จักรพรรดิเอาแขนลงรับน้ำหนักไว้จนหมด แผลที่พบจึงมีเพียงรอยแดงเป็นทางยาวบริเวณท้องแขนเท่านั้น

“ไม่”

“ไม่เจ็บก็ดีแล้ว” ภีมภัทรถอนหายใจยาว ก่อนทำท่าจะลุกขึ้นยืน “พี่จักรรอตรงนี้ก่อน ภีมจะไปเอายามาทาให้”

“ไม่ต้อง”

“แต่ว่า...”

จักรพรรดิตัดบทด้วยการดึงแขนอีกคนให้นั่งลงด้านข้างตามเดิม เท่านั้นไม่พอ...สายตาคมยังกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าจนคนโดนมองตัวเกร็ง เผลอเม้มปากมองแขนตัวเองที่ยังโดนจับไว้จนหน้าแดงหูแดงไปหมด

“ทำไมกลับมาไว”

“วันนี้ภีมแค่ไปดูบรรยากาศคร่าวๆ แล้วก็คุยกับผู้จัดการนิดหน่อย ไม่ได้ทำอะไรมากมายอยู่แล้ว พอเสร็จแล้วก็รีบกลับมาเลย”

อีกอย่างก็เพราะเป็นห่วง...

“อืม”

“…”

“…”

“เอ่อ...”

จะเงียบก็เงียบ แต่ไม่ต้องจ้องได้ไหมเล่า หน้าจะไหม้อยู่แล้ว!

“ภีม…” เสียงเรียกแผ่วเบาคล้ายไม่มั่นใจทำให้ภีมภัทรลืมอาย เขารีบเงยหน้ามองคนพูดด้วยความตกใจ ถึงแม้เสียงนั้นจะไม่ได้อ่อนโยนนัก แต่กลับทำให้ใจเต้นแรงจนปวดไปหมด

“ครับ”

“ไม่เสียใจหรือไง”

“เสียใจ?”

“ที่ฉันจำไม่ได้” แววตาว่างเปล่าทอประกายประหลาดราวกับจะรู้สึกผิดอยู่ในที

“ถ้าบอกว่าไม่เสียใจเลยก็คงโกหก” เขาตอบหลังจากใช้เวลาปรับอารมณ์อยู่เพียงชั่วครู่ ดวงตาคู่สวยมองสบดวงตาคมด้วยความอ่อนโยน “แต่ภีมเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร ภีมเองก็มีเพื่อนที่จำได้แค่ชื่อ แต่จำสิ่งที่เคยทำร่วมกันไม่ได้เหมือนกัน ภีมรู้ว่าคนคนนั้นเป็นเพื่อนสนิท แต่นอกจากเป็นเพื่อนสนิทแล้วก็จำไม่ได้เลยว่าเคยก่อวีรกรรมอะไรด้วยกันเอาไว้บ้าง กลับกลายเป็นพ่อเสียอีกที่เอามาเล่าให้ฟังจนภีมนึกออกนิดๆ หน่อยๆ”

คงต้องขอบคุณป้าน้อยที่ช่วยเตือนสติจนเขาคิดได้ แต่จะให้ยกตัวอย่างด้วยเรื่องเดียวกันกับตอนนั้นก็แลดูน่าอายเกินไปหน่อย

“บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลก ภีมเคยน้อยใจ คิดว่าภีมไม่สำคัญเลยสำหรับพี่จักร พี่จักรถึงจำไม่ได้” ภีมภัทรยิ้มบาง ก่อนจะก้มหน้าลงซ่อนความเจ็บปวดในใจ ความคิดของเขาในเวลานั้น ถ้าพี่จักรจำได้และมารับรู้ทีหลังคงจะเสียใจแน่ๆ เพราะไม่ใช่แค่คิดไปคนเดียว แต่เขากลับเอาความรู้สึกของตัวเองมาตัดสินใครอีกคนด้วย “...แต่พอได้เจอพี่จักร ได้สัมผัสว่าพี่มีความเจ็บปวดซ่อนอยู่มากขนาดไหน ภีมถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ภีมน้อยใจมันไร้สาระเอามากๆ ทำไมภีมถึงเอาแต่มองเรื่องของตัวเองจนไม่พยายามเพื่อพี่จักรเสียที”

“…”

“พี่จักรไม่ได้เย็นชาทั้งที่จำกันได้เสียหน่อย พี่ก็แค่...เย็นชาใส่เพราะจำไม่ได้เท่านั้นเอง”

“มองโลกในแง่ดีจังนะ”

“นั่นสิ” ภีมภัทรหัวเราะ ทั้งดวงตาคู่สวยที่ทอประกายระยิบระยับและรอยยิ้มสดใสเหมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้จักรพรรดิต้องหลบสายตา เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้ปล่อยแขนอีกฝ่ายก็ตอนที่มือเรียวขาวนั้นยื่นมาแกะมือเขาไปจับไว้ “ต่อให้จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

“…”

“ภีมจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ คราวนี้จะทำให้มั่นใจว่าพี่จักรจะไม่ลืมภีมอีก”

“…”

“เพระงั้น...ให้โอกาสภีมนะครับ” ความหวังพาดผ่านอยู่ในดวงตาคู่สวยจนไม่ว่าใครก็คงเห็นได้อย่างชัดเจน ภีมภัทรบีบมือใหญ่ที่เขากุมไว้แน่นขึ้น

เขาวางเดิมพันไปแล้ว...พูดไปจนหมดแล้ว

ถ้าโดนปฏิเสธกลับมา คราวนี้หัวใจคงแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี

“โอกาส…” ฝ่ายผู้ที่โดนโจมตีด้วยคำพูดที่ไม่คาดคิดถึงกับนิ่งไป จักรพรรดิหลับตา พยายามเก็บเศษเสี้ยวของความรู้สึกที่มีมารวมกันเพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง

เขายอมรับว่าเคยรู้จักภีมภัทรมาก่อนจริงๆ แต่ก็อย่างที่เคยพูดไป เขาเพียงแค่รู้จัก จำได้ว่าเคยมีความทรงจำร่วมกัน แต่จำไม่ได้เลยสักนิดว่าความทรงจำเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ในคราแรกจักรพรรดิไม่ได้คิดว่าเขาผิด เขาก็แค่จำไม่ได้ จำไม่ได้ก็เท่ากับไม่สำคัญ เพราะงั้นถึงได้ปล่อยผ่าน แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำพวกนั้น...

โลกทั้งใบ...

คำพูดที่ไร้ความลังเล ฝ่ามือขาวที่แตะปลายเท้าราวต้องการส่งผ่านความจริงใจมาให้ ทุกๆ อย่างที่คนตรงหน้าทำมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ซึ่งความรู้สึกที่ว่ามันไม่ได้ดูเหมือนความรู้สึกผิดเลยสักนิด...แต่เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น

ในเมื่อจำไม่ได้...ทำไมจึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด

ในเมื่อคิดว่าไม่สำคัญ...ทำไมถึงไม่อยากให้คนตรงหน้าร้องไห้

ก็แค่ยอมรับ...

“ขอโทษที่จำไม่ได้” คำว่าขอโทษที่เคยสงสัย...หมายถึงเรื่องนี้นี่เอง “แล้วก็...”

“…”

“ฝากตัวด้วย”

ภีมภัทรยิ้มกว้าง...มันเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขที่สุดเท่าที่จักรพรรดิเคยเห็นมา เขามองค้างอยู่นาน นานจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามือตัวเองยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้คนหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่

“ขอบคุณครับ” เสียงสะอื้นดังขึ้นทั้งที่ยังยิ้ม ดวงตาคู่สวยหลับลง ก่อนมือเรียวจะจับมืออีกฝ่ายให้แนบแก้มตนมากกว่าเดิม “ขอบคุณ...”

จากนี้ไปเขาจะเริ่มใหม่ทั้งหมด...จะไม่ถามหาเรื่องในอดีตกับจักรพรรดิอีก

ความทรงจำอาจจะเริ่มจากศูนย์...แต่ความรู้สึกที่มี แม้ผ่านมานานเป็นสิบปีก็ไม่มีวันลดลง

“พี่ชื่อจักรพรรดิ เราชื่ออะไร” จักรพรรดิยิ้มบางเมื่อดวงตาคู่สวยลืมขึ้นสบด้วยความประหลาดใจ และในวินาทีต่อมา เจ้าตัวก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองเป็นการใหญ่

“ผมชื่อภีมภัทรครับ พี่เรียกผมว่าภีมก็ได้ ส่วนผมก็จะเรียกพี่ว่าพี่จักร”

“อืม”

“พี่จักร...”

“หืม”

“พี่จักร...”

“ว่าไง”

“โลกทั้งใบของภีม”

จักรพรรดิไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงยกมือลูบหัวทุยอย่างถือวิสาสะจนคนขี้แงร้องไห้ออกมาอีกรอบ

“รอหน่อยนะ”

ก็แค่ยอมรับความจริง...

ถึงสมองจะจำไม่ได้ว่าเคยมีความทรงจำอะไรร่วมกันบ้าง...แต่ใจกลับไม่สามารถลืมความรู้สึกที่มีต่อกันได้เลย


-------------------


TALK : นิยายเรื่องนี้ก็ feel good ค่ะ พื้นฐานจิตใจของพี่จักรเป็นคนดีขนาดไหนคงได้เห็นกันต่อไป เพราะงั้นจะทำให้ภีมเสียใจได้ยังไง 

สำหรับเรื่องจำไม่ได้นี่ปกตินะคะ เดี๋ยวยิ่งได้เปิดใจเล่าก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น เราเองก็มีนะ เพื่อนที่รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทตอนเด็กๆ แต่จำไม่ได้เลยว่าเคยทำอะไรด้วยกันบ้าง บางคนที่คิดว่าตัวเองความจำดีแล้วลองคิดดีๆนะคะ บางทีคุณเองก็อาจจะลืมใครบางคนไปเหมือนกัน : )

ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่หายแล้วค่ะ เรากำลังฝึกงานเดือนสุดท้ายเพื่อจบการศึกษาอยู่เผื่อใครสงสัย จะกลับมาเต็มตัวตอนเดือนเมษานะคะ ถึงเวลานั้นจะได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว ฝากพี่จักรกับน้องภีมด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 02-03-2018 21:12:33
ยังคงรออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-03-2018 22:53:00
ร้องไห้ตามเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 03-03-2018 00:29:16
"พี่ชื่อจักรพรรดิ เราชื่ออะไร" อหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหเขินแรกมากค่ะ  :ling1:  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 03-03-2018 01:02:13
มาแย้ีววว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-03-2018 01:20:56
มาทำความรู้จักการใหม่ ขอให้คราวนี้หนิดหนมกันมาก ๆ กว่าเดิมเด้อ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sasiwan ที่ 14-03-2018 22:03:09
เรายังรอไรท์ที่ Thaiboylove ทุกวันเลยนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 05-04-2018 20:04:33


-5-


หลังจากวันที่ภีมภัทรเอ่ยปากขอโอกาสแล้วก็ได้รับสิ่งนั้นกลับมาตามต้องการ บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่ก็ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา ซ้ำยังเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างจนใครๆ ต่างก็พากันอมยิ้ม วิบูลย์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติก่อนใคร เขาเห็นลูกชายตัวเองดูสดใสเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่ปกติมีแต่ทำหน้านิ่งต่อหน้าลูกน้องเพื่อรักษามาดอยู่ตลอด ในขณะเดียวกันชายหนุ่มบนรถวีลแชร์เองก็ดูอ่อนข้อลงไม่น้อย แม้ใบหน้าจะยังเรียบสนิท หากแววตากลับทอประกายอ่อนลงหลายส่วนยามมองภีมภัทร เพียงแค่นั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าระหว่างคนทั้งคู่คงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน

เอาเถอะ...ขอแค่ให้ลูกชายของเขาได้ผ่อนคลายบ้างก็พอแล้ว

วิบูลย์ไม่เคยตำหนิที่ลูกตัวเองเป็นคนยึดติดและไม่ไว้ใจใคร เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร

ภีมภัทรเติบโตขึ้นมาโดยที่เขาไม่มีเวลาให้เท่าไหร่นัก ซ้ำร้ายมารดายังทิ้งไปตั้งแต่เด็กเพราะเห็นสถานการณ์ที่สวนไม่สู้ดี เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนเล่นอย่างใครเขา บรรดาลูกคนงานก็เจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าตีตัวเสมอ เพื่อนที่โรงเรียนเองก็แทบไม่มีเพราะไม่รู้จักเข้าหาใครก่อน นั่นทำให้เขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจพอสมควร วิบูลย์รู้ดีว่าลูกชายไม่ได้สนิทสนมกับเขามากนัก และเพราะความรู้สึกผิดนั้นเอง ยามเมื่อจัดการปัญหาของสวนรังสิมันตุ์ได้แล้ว เขาจึงชวนเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เพิ่งมาไทยให้มาพักที่บ้านเพราะได้ยินว่าเพื่อนเองก็มีลูกอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน...และนั่นเป็นครั้งแรกที่ลูกของเขาได้พบกับความสุขของตัวเอง

เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว เพียงแค่เราป้ายอะไรลงไป ผ้าผืนนั้นก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมอีก...และเขาเป็นคนป้ายสีใส่ภีมภัทรด้วยตัวเอง

เด็กคนนั้นติดจักรพรรดิมาก...มากกว่าที่เขาคิดเยอะทีเดียว

ในตอนที่เพื่อนของเขาโทรมาเล่าเรื่องของแม่จักรพรรดิให้ฟัง วิบูลย์ตกใจไม่แพ้กัน เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเด็กชายที่เป็นเพื่อนคนสำคัญของลูกชายจะโดนมารดาบังเกิดเกล้าพาตัวไปโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา วิบูลย์และคนงานหลอกล่อภีมภัทรทุกวิถีทางเพราะเด็กน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ที่พี่ชายไม่มาหา ทั้งโกหกว่าอีกไม่นานก็กลับ โกหกว่าอีกฝ่ายต้องไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด แต่สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก ภีมภัทรเป็นเด็กฉลาด...เขารู้ในที่สุดว่าพี่ชายจะไม่มาหาตัวเองทุกวันอีกแล้ว เด็กชายร้องไห้เหมือนโลกทั้งใบจะแหลกสลาย ร้องไห้จนล้มป่วยและต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลหลายวัน

นั่นคือการโกหกครั้งที่สอง...

เขาเคยโกหกภีมภัทรมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งเรื่องของมุกดา เขาบอกเด็กชายภีมภัทรตัวน้อยที่อายุเพียงสี่ขวบว่ามารดาจะไปเที่ยว เดี๋ยวก็กลับมา คิดเพียงว่าภีมภัทรจะลืม แต่กลับกลายเป็นเด็กคนนั้นจำฝังใจ ยังคงถามหาแม่อยู่ทุกวันจนไม่รู้เมื่อไหร่ที่เจ้าตัวหยุดถามไป หยุดถาม...พร้อมกับที่รู้ว่าโดนโกหก

และเพราะโดนทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง ภีมภัทรจึงไม่เชื่อใจใครอีกเลย

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยทะเลาะกับลูก เหตุเพราะเด็กคนนั้นเอาแต่พึมพำเรียกหาแต่พี่จักรของตัวเอง สุดท้ายถึงได้พูดจาร้ายกาจออกไป


‘ภีมจะยึดติดอะไรนักหนา! เขาจะกลับมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้’

‘ภีมรอได้! ขนาดรอพ่อกลับมาหาภีมยังรอได้เลย...ฮึก...ภีมรอพี่จักรได้’


วิบูลย์สูดหายใจเข้าจนสุด คล้ายเห็นภาพเด็กชายแก้มแดงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ยืนอยู่ตรงหน้า นับจากวันนั้นเขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่พูดอะไรโดยไม่คิดอีกเด็ดขาด และต่อให้ภีมภัทรยืนยันจะรอ เขาก็จะไม่ห้ามลูกอีก

“แค่ภีมมีความสุขก็พอ...” หนุ่มใหญ่ทอดสายตาอ่อนโยนมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยืนหัวเราะอยู่นอกหน้าต่าง ข้างกายมีเจ้าของร่างสูงซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์กำลังยิ้มบางไม่ต่างกัน





น่ามอง...

ภีมภัทรเป็นผู้ชายน่ามองโดนธรรมชาติ จักรพรรดิพอจะเดาออกว่าช่วงเวลาปกติคนตรงหน้าคงรักษามาดพอดู และในสายตาคนอื่นก็น่าจะมองว่าเจ้าตัวเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำอางไม่น้อย แต่สำหรับเขา...คนคนนี้ทำราวกับจะเปิดเผยเนื้อแท้ออกมาให้เห็น ราวกับยินยอมก้าวออกจากเปลือกที่หุ้มไว้เพียงเพราะอยากเดินมาหาเขาด้วยตัวเอง

“ภีมเคยสงสัยว่าดอกไม้จั๊กจี้เป็นหรือเปล่า เอาจริงๆ ร่างกายเขาก็เหมือนมนุษย์เลยนะครับ พี่ว่าไหม” ดวงตาสดใสเป็นประกายวิบวับเงยขึ้นมองเขาพร้อมชูดอกไม้ในมือให้เห็น

“หืม”

“ตรงนี้เป็นใบหน้า ส่วนตรงนี้เป็นร่างกาย...แล้วนี่ก็แขน” มือเรียวขาวแตะเบาๆ ที่กลีบดอก ไล่ลงมายังตัวก้าน จากนั้นก็สิ้นสุดที่ใบสีเขียวแก่ด้านข้าง

“หึ”

“พี่จักรไม่คิดเหมือนภีมเหรอ” ดวงตาคู่สวยแสดงความฉงนออกมาโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็ก้มลงมองดอกไม้ในมือต่อโดยไม่ทันเห็นสายตาเอ็นดูจากคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์

“เด็กจริงๆ”

เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นเด็กขี้สงสัย เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่มีสาระ...แต่ก็นั่นล่ะนะที่ทำให้คนตรงหน้าน่ามองมากขึ้นไปอีก

หลังจากเริ่มเปิดใจ จักรพรรดิยอมรับว่าเขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ความใส่ใจของภีมภัทรทำให้ปราการในใจของเขาอ่อนลงเรื่อยๆ และอีกไม่นานก็คงพังทลายในที่สุด เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง...

ไม่มั่นใจว่าความรู้สึกที่จะพัฒนาไป มันจะเปลี่ยนไปในฐานะอะไร

แล้วถ้าถึงวันที่มันเปลี่ยนไปจริงๆ...

ดวงตาคมก้มลงมองขาสองข้างของตัวเองนิ่งงัน ความรู้สึกที่แปรปรวนในใจทวีคูณมากขึ้นหลายเท่าเมื่อร่างกายไม่ขยับตามที่คิด...ไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ

แบบนี้จะเอาอะไรไปเทียบ...

พิการแล้วยังไม่เจียมตัว

คล้ายรอยยิ้มเยาะจะปรากฏขึ้นบนมุมปากราวจะเย้ยหยันตัวเอง และแววตาคมกล้าดุดันนั้นเองที่ทำให้คนที่กำลังนั่งมองดอกไม้รู้สึกตัว

“พี่จักร” ภีมภัทรขยับกายเข้าหา เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าด้านหน้าเหมือนทุกครั้ง ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นดึงดูดให้จักรพรรดิต้องมองตาม มือขาวๆ ที่มักจะหยิบโน่นจับนี่มาให้เขาดูวางทับเบาๆ ลงบนต้นขาของเขา และทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะมีความรู้สึกใดๆ...หากจักรพรรดิกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาถึงใจ

ความคิดแย่ๆ ที่บอกว่าควรหยุดอยู่แค่นี้สลายไปโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไร” ฝ่ามือใหญ่ทว่าผอมแห้งวางทับลงบนมือขาวของภีมภัทร เขายกมุมปากขึ้นนิดๆ เป็นรอยยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ ทว่าก็ยังโดนจ้องอยู่อย่างนั้นราวกับคนมองยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

“พี่คิดเรื่องแย่ๆ อะไรอยู่” ว่าแล้วก็ทำสีหน้าจับผิด

จักรพรรดิเลิกคิ้ว คล้ายจะตกใจและขบขันอยู่ในที ใบหน้ามุ่ยๆ เหมือนแมวไม่พอใจของภีมภัทรทำให้เขาอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ “อ่านใจพี่ได้หรือไง”

“อ่านใจไม่ได้หรอก แต่ภีมจับความรู้สึกของพี่ได้”

“หืม…”

“อืม...จะว่ายังไงดี” เจ้าตัวทำท่าครุ่นคิดทั้งยังเนียนพลิกมือมาจับนิ้วเขากำไว้ “เพราะแคร์มากก็เลยสังเกตมากล่ะมั้ง”

จะบอกว่าที่รู้ทุกเรื่องเพราะแคร์อยู่ตลอดสินะ...

“งั้นเหรอ”

“อื้อ”

“เนียน” จักรพรรดิพูดลอยๆ โดยไม่ได้ระบุหัวข้อ แต่ทำเอาคนเนียนที่ว่าสะดุ้งเฮือก รีบเอามือที่กำลังจับนิ้วเขาไว้ออกแบบเขินๆ พร้อมทั้งลุกขึ้นยืน

“ภีมพาพี่จักรไปเรือนกุหลาบดีกว่า ครั้งที่แล้วยังไม่ได้เข้าไปด้านในเลย”

“นั่นแก้มคนหรือมะเขือเทศ”

“พี่จักร!” คนโดนแซวชะงักเท้าจนเกือบหน้าทิ่มพื้น

ภีมภัทรในโหมดเอ๋อเหรอกับจักรพรรดิในโหมดขี้แกล้ง ภาพบรรยากาศอ่อนโยนและสนุกสนานรอบกายของคนทั้งคู่ทำให้คนงานในสวนบริเวณนั้นต่างอมยิ้มไปตามๆ กัน แบบนี้สิถึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงที่ไม่ต้องมีภาระหน้าที่หรือหน้ากากมาปกปิด

ราวกับบรรยากาศเก่าๆ กำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง...

เรือนกุหลาบอันสวยงามซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยความชอบของภีมภัทรทั้งหมดถือได้ว่าเป็นเขตพักผ่อนส่วนตัวของเขาที่แทบไม่มีใครย่างกรายเข้ามา จะยกเว้นก็ตอนที่ภีมภัทรไม่ว่างเข้ามารดน้ำเองหรือตอนที่พ่อของเขาให้คนมาตามเท่านั้น

“เมื่อปีก่อนพ่อให้คนงานช่วยสร้างบ้านหลังนั้นขึ้นมา” ภีมภัทรอธิบายเมื่อเห็นคนบนวีลแชร์มองไปยังบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ในเขตกำแพงต้นไม้ แต่ครั้งก่อนเขาไม่ได้บอกเพราะไม่คิดว่าจักรพรรดิจะสนใจมัน “จะเรียกว่าเป็นบ้านพักส่วนตัวก็ได้ บางครั้งภีมก็วุ่นวายกับการดูแลต้นไม้ดอกไม้ในเรือนกุหลาบจนลืมเวลา จะขับรถกลับคอนโดก็ไกล จะให้ไปนอนบ้านก็ไม่อยาก พ่อเลยบอกว่าที่นี่จะเป็นบ้านอีกหลังของภีม”

“ทำไมถึงไม่อยากนอนบ้าน”

ภีมภัทรอมยิ้มให้กับคำถามนั้น จะบอกว่ารู้สึกดีที่อีกฝ่ายให้ความสนใจก็ไม่ผิดนัก เขาไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่เลือกที่จะพาจักรพรรดิเดินต่อเข้าไปในเรือนกุหลาบ รอจนเดินผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วจึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ

“เวลานอนอยู่ที่บ้านภีมชอบฝันถึงพี่จักร...ฝันถึงเรื่องที่เราทำด้วยกัน หรือบางครั้งก็ฝันว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง”

แต่ตอนนี้ไม่ต้องฝันแล้ว...

“เพราะแบบนั้นถึงไม่อยากนอนบ้านเหรอ...เพราะไม่อยากฝัน”

“ไม่ใช่หรอกครับ นั่นคือเรื่องดีๆ ต่างหาก” ภีมภัทรหัวเราะ “ภีมยอมรับว่าบางครั้งก็เสียใจเวลาตื่นขึ้นมา เพราะทุกสิ่งมันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่บางครั้งภีมก็อุ่นใจ เพราะฝันนั้นช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนคนหนึ่งที่สำคัญกับภีมมากขนาดไหน และเขาคนนั้นก็ยังอยู่ในใจภีมตลอดมา”

“แล้วทำไม...”

“เมื่อปีสองปีก่อนพ่อภีมเคยคิดจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่ง และถึงจะไม่ได้แต่ง แต่ช่วงเวลาที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ ตอนแรกภีมยอมรับเธอเพราะคิดว่าคงรักพ่อจริง ที่ไหนได้...” ดวงตาคู่สวยที่ดูเปล่งประกายอยู่เป็นนิจฉายแววชิงชังชัดเจน โชคดีที่จักรพรรดิหันหลังให้จึงไม่ได้เห็นเขาในมุมนี้ ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ใช้ก็แลดูเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย “ก่อนวันแต่งงานผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาหาภีมถึงห้อง แถมยังทำตัวน่ารังเกียจทุเรศทุรังพยายามยั่วภีม พอไม่เล่นด้วยก็ตีบทแตกเจ้าน้ำตา ปากบอกว่าเมา ขอร้องอย่าเอาเรื่อง”

จักรพรรดิไม่ได้พูดแทรกอะไร ตามองดอกไม้ที่ปลูกอยู่สองข้างทางนิ่งงัน ทว่าสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับเรื่องที่คนด้านหลังเล่าจนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“ภีมยังคิดไม่ตกว่าจะบอกพ่อยังไงให้ล้มเลิกการแต่งงาน โชคดีที่ไม่ทันได้บอกก็มีคนบุกมาประกาศแสดงตัวว่าเคยถูกแม่นั่นหลอกลวงเอาเงินกลางงานเสียก่อน สุดท้ายงานแต่งก็เลยล่มไป” ภีมภัทรกัดฟันกรอดด้วยความโมโห อีกทั้งใบหน้าขาวยังบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ “แค่นึกว่าในห้องเคยมีเท้าสกปรกของผู้หญิงคนนั้นเดินไปเดินมาภีมก็รังเกียจแทบตาย พวกคนโกหกไว้ใจไม่ได้ ภีมเกลียดที่สุดเลย”

“ใจเย็นๆ” คำปลอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามสไตล์ของผู้พูดทำให้คนที่กำลังอารมณ์ขึ้นรู้สึกตัว ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ เพื่อปรับอารมณ์ ก่อนใบหน้าขาวจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกเมื่อนึกได้ว่าเผลอใส่อารมณ์ไปตอนเล่าเรื่องมากขนาดไหน

“เอ่อ...ก็นั่นล่ะครับเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ภีมไม่ค่อยอยากนอนที่บ้านนัก” เขารีบพูดแก้เก้อ

“อืม”

“ภีมจะพาพี่จักรไปดูสิ่งสำคัญของภีมนะ” ว่าแล้วภีมภัทรก็รีบเข็นรถพาจักรพรรดิเดินไปตามทางที่มีต้นไม้ดอกไม้เรียงรายกันเป็นแถบอย่างมีระเบียบ ซึ่งส่วนใหญ่กว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นกุหลาบสมชื่อสถานที่ ชายหนุ่มที่ทำเพียงนั่งเฉยๆ บนรถวีลแชร์กวาดสายตามองรอบกายเงียบๆ

กลิ่นหอมอ่อนๆ และความบริสุทธิ์ของที่นี่กำลังทำให้จิตใจผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว อีกทั้ง...

ปลายจมูกโด่งสูดลมหายใจเข้าแผ่วเบายามหันหน้าไปมองมือเรียวขาวซึ่งจับแฮนด์รถเพื่อบังคับทิศทางอยู่ข้างไหล่เขา ภีมภัทรไม่ได้มีกลิ่นกายหอมกรุ่นแต่อย่างใด แต่เมื่อได้อยู่ใกล้เขากลับพบว่ากลิ่นกายเฉพาะตัวของคนคนนี้เป็นกลิ่นกายที่สะอาดสะอ้าน บริสุทธ์ และชวนให้สบายใจเหลือเกิน

เหมือนดอกกุหลาบ...

ไม่ได้หอมเหมือนน้ำหอม แต่บริสุทธ์เหมือนดอกกุหลาบตามธรรมชาติที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี

“ถึงแล้ว” น้ำเสียงเจือความยินดีจากด้านหลังทำให้จักรพรรดิหลุดจากภวังค์

สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้คนเย็นชาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ความรู้สึกแปลกๆ ในอกก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

กุหลาบสีน้ำเงิน...

ต้นกุหลาบที่ถูกปลูกอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของเรือนกุหลาบคือต้นกุหลาบสีน้ำเงินซึ่งมีดอกอยู่เพียงไม่กี่ดอก เพียงแค่เห็นกระถางแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามก็สามารถบอกได้แล้วว่ามันได้รับความสำคัญมากเพียงใด

แต่สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิชะงักไม่ใช่เพราะความแตกต่างของมัน...



‘พ่อบอกภีมว่าดอกไม้มีตั้งหลายชนิด’

‘หืม…’

‘ดอกไม้มีหลายชนิด’

‘พี่ได้ยินแล้ว แล้วเราทำหน้าบึ้งทำไมหืม’

‘พี่จักรบอกว่าภีมเป็นดอกไม้ของพี่จักร’

‘ใช่’

‘แล้วภีมเป็นดอกอะไรล่ะ’

‘…หึ’

‘ห้ามขำนะ!’

‘โอเคๆ งั้นเป็นดอกกุหลาบดีไหม’

‘กุหลาบเหรอ...’

‘ใช่...พี่เคยเห็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินตอนไปเที่ยว มันสวยมากเลย’

‘พี่จักรชอบเหรอ’

‘ชอบสิ’

‘งั้นภีมเป็นกุหลาบสีน้ำเงินให้พี่จักรก็ได้!’



“เมื่อหลายปีก่อนพ่อภีมไปดูงานที่ญี่ปุ่นแล้วได้เจ้าต้นนี้กลับมา ถึงจะเป็นกุหลาบที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม แต่มันก็สมบูรณ์แบบมากเลย พี่ว่า...” ภีมภัทรชะงักกึกเมื่อหันไปสบเข้ากับแววตาอ่านยากของคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์พอดี “พี่จักร?”

“เหมือนภีมเลยนะ”

“ครับ?”

“กุหลาบไง”

“…”

“ใช้คำพูดผิดไป” คนขี้แกล้งยังพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าตกใจจนน่าตลกของภีมภัทร เขาโน้มตัวลงเก็บกลีบกุหลาบสีน้ำเงินขึ้นจากพื้น ก่อนวางแหมะลงบนหัวของคนที่นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า “ลืมไปว่าเป็นสายพันธ์เดียวกัน จะบอกว่าเหมือนได้ยังไง”

“พี่...พี่จักร...” หากบอกว่าตกใจจนกลายเป็นหินไปแล้วก็คงไม่เกินจริงไปนักสำหรับสภาพของทายาทรังสิมันตุ์ในเวลานี้ เขาอ้าปากแล้วหุบ อ้าปากแล้วหุบ ทำอยู่แบบนั้นจนใบหน้าเรียบเฉยของจักรพรรดิปรากฏรอยยิ้มขันขึ้นน้อยๆ

“วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม”

“พี่...พูดเหมือนจำได้” ความคาดหวังถูกส่งผ่านมาทางสายตา

“ไม่ได้ความจำเสื่อมสักหน่อย จะให้ลืมหมดเลยหรือไง”

“ก็...ก็พี่พูดเหมือน...”

เหมือนไม่มีความทรงจำต่อกันเลยนี่...

ถึงจะบอกว่าจะไม่สนใจอดีตอีก จะสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดีใจเหลือเกินที่เขาจำได้

“เรื่องบางเรื่องมันฝังอยู่ลึกจนเราอาจคิดว่าลืมไปแล้ว...” จักรพรรดิวางมือลงบนหัวทุยก่อนจะออกแรงโคลงไปมาช้าๆ “แต่พอได้ลองเปิดใจและสัมผัสดูถึงรู้ว่าเราไม่เคยลืมมันเลย...นั่นหมายความว่าเรื่องเรื่องนั้นต้องสำคัญมากเลย ว่าไหม”

บางเรื่องอาจทำให้หดหู่หรือเศร้าใจเกินกว่าจะลืม บางเรื่องอาจมีความสุขจนต้องจดจำไว้ หรือบางเรื่อง...อาจต้องซ่อนไว้ในส่วนลึกเพื่อเก็บรักษา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...มันจะกลับมาเด่นชัดอีกครั้งเพื่อย้ำเตือนว่าคนในความทรงจำมีความสำคัญมากเพียงใด

“ครับ...” ภีมภัทรเงยหน้ายิ้ม ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกครั้ง เขาจับมือใหญ่บนหัวตัวเองมาแนบแก้มแล้วซุกใบหน้าเข้าหา ความสุขที่ถูกแสดงออกผ่านสีหน้าทำเอาจักรพรรดิใจกระตุกวูบ สัมผัสนุ่มอุ่นบริเวณฝ่ามือช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในใจโดยไม่รู้ตัว

แค่คำพูดและการกระทำไม่กี่คำของเขาสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ...

ความรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนมันเป็นแบบนี้เอง นี่เขาห่างหายจากความรู้สึกแบบนี้ไปนานแค่ไหนกันนะ...

“ถ้าว่าง...ช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม”

“เรื่อง...ในอดีตเหรอครับ” ภีมภัทรทำหน้าตาประหลาดใจ ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ “ได้อยู่แล้ว”

พวกเขาใช้เวลาอยู่ในเรือนกุหลาบด้วยกันทั้งวันจนถึงเย็น จักรพรรดิฟังคนช่างจ้อเล่าเรื่องนั้นเรื่องให้ฟังได้ไม่มีเบื่อ เขามองปากบางที่ขยับเป็นรอยยิ้มไม่มีหุบ มองมือเรียวที่ถือสายยางรดน้ำ หรือแม้แต่มองขายาวที่ก้าวเดินไปตามจุดต่างๆ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของภีมภัทรดูน่าดึงดูดไปหมด

เพียงใช้เวลาด้วยกันไม่นานเขาก็บอกได้ทันทีว่าคนตรงหน้ารักที่ีนี่มากขนาดไหน ทุกครั้งที่มองไปยังต้นไม้ รอยยิ้มเล็กๆ จะประดับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลา และเมื่อนึกได้ว่าลืมเขาไว้ข้างหลัง เจ้าตัวก็จะรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหาแล้วพาเขาเดินไปด้วยกัน ในความทรงจำคล้ายปรากฏภาพเลือนลางของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งเข้ามาหา รอยยิ้มสดใสเหมือนดวงตะวันเจิดจ้ายังตราตรึงอยู่ในใจไม่จางหาย

“พี่จักรดูนี่สิครับ”

‘พี่จักรดูนี่เร็ว’

ภาพของเด็กชายในความทรงจำกับภีมภัทรซ้อนทับกันชัดเจนเมื่อเจ้าตัวกำลังวิ่งเข้ามาหาเขา และบ่อยครั้งที่เท้าเล็กๆ นั่นจะสะดุดจนเขาต้องพุ่งเข้าไปรับตลอด ซึ่งดูเหมือนครั้งนี้...

“โอ๊ะ!”

จักรพรรดิเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เขาพยายามพุ่งตัวไปด้านหน้าเพื่อเข้าไปรับร่างโปร่งที่กำลังจะล้มลงกับพื้น แต่เรี่ยวแรงที่มีเพียงช่วงตัวด้านบนและขาที่ไม่ทำตามคำสั่งทำให้กายสูงใหญ่ล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพเดียวกัน เสียงรถวีลแชร์ที่ล้มตามกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ หากสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือคนที่ล้มลงตรงหน้า เขารีบเงยหน้าขึ้น พอดีกับที่ใบหน้าใสเงยขึ้นมองด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน ตาสองคู่สบกันนิ่งงันจนดูราวกับเวลารอบตัวกำลังหยุดหมุน

“…หึ…”

“อุ๊บ…”

คนทั้งคู่กลั้นรอยยิ้มที่มีต่อกันจนหน้าแดง จักรพรรดิยังดีที่เพียงยกมุมปากน้อยๆ หากภีมภัทรกลับกลั้นขำจนแก้มขาวพองลม แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่

“ฮ่าๆๆๆ”

“หึหึ”

เป็นเวลาเนิ่นนานที่เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จวบจนเมื่อจักรพรรดิหยิบผ้าเช็ดหน้าเลื่อนไปเช็ดแก้มแดงๆ นั่นแล้วเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เงียบลงแล้วกลายเป็นรอยยิ้มจางๆ แทน

“เลอะเทอะจริงๆ”

“พี่จักรว่าภีมได้เหรอ” คนที่โดนเศษดินเปื้อนแก้มสองข้างยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่ มือเรียวออกแรงเช็ดถูกับเสื้อตัวเองจนมั่นใจว่าสะอาด ก่อนจะยื่นออกไปเกลี่ยเศษดินบริเวณจมูกโด่งออกให้อย่างนุ่มนวล

“เจ็บหรือเปล่า”

“ภีมต่างหากที่ต้องถาม”

ไม่เจ็บหรอก...ไม่มีใครเจ็บกับเหตุการณ์นี้เลยสักคน

หรือถ้ามันเจ็บ...พวกเขาก็คงลืมมันไปหมดแล้ว

“มาครับภีมช่วย” ภีมภัทรสูงขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วค่อยๆ ประคองคนตัวโตให้ลุกตาม น้ำหนักที่เทมาทางเขาทั้งหมดทำให้รอยยิ้มสดใสจางหายไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาสบตากับจักรพรรดิรอยยิ้มนั้นก็กลับมาทำงานอีกครั้ง

“พี่ตั้งรถให้” จักรพรรดิเอ่ยเสียงเรียบ กายโน้มไปด้านข้างเพื่อดึงวีลแชร์ให้กลับมาตั้งเหมือนเดิม แต่เพราะน้ำหนักและส่วนสูงที่มากกว่าทำให้ภีมภัทรประคองเขาไว้ไม่ไหว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อจักรพรรดิเซจนเหมือนจะล้มลงไปอีกรอบ

“พี่จักร!”

ร่างโปร่งดึงแขนอีกคนเต็มแรงและเป็นฝ่ายเอาสีข้างกระแทกพื้นเอง ใบหน้านิ่งเฉยของจักรพรรดิพลันปรากฏวี่แววของความตื่นตระหนก เขารีบพลิกตัวที่ทับภีมภัทรไว้ไปด้านข้าง ก่อนจะหันไปจับไหล่นั้นเต็มแรง

“เป็นอะไรหรือเปล่า!”

ภีมภัทรส่ายหัวปฏิเสธแม้จะรู้สึกปวดบริเวณสะโพกที่กระแทกพื้นไม่น้อย แต่เพียงแค่เห็นใบหน้าโทษตัวเองของคนตัวสูงเขาก็ต้องรีบกลืนความเจ็บนั้นลงไปแล้วจับมือใหญ่มาแนบแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ไม่เจ็บเลย แค่พี่จักรทำแบบนี้ก็หายแล้ว”

“ภีม…” ดวงตาคู่คมที่ดูเจ็บปวดและทรมานทำให้หัวใจของภีมภัทรเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

กลัว...ว่าพี่จักรจะคิดไม่ดีอีก

“พี่จักรมองภีมนะ” มือเรียวทั้งสองข้างจับแก้มซูบตอบให้เงยขึ้นมองตน ก่อนหน้าผากจะวางแนบจรดหน้าผากของอีกฝ่ายช้าๆ ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันด้วยความรู้สึกหลากหลาย จวบจนมั่นใจว่าคนมองไม่ได้วอกแวกไปคิดถึงเรื่องไม่ดี ภีมภัทรถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ความเจ็บปวดจงหายไป...”


‘ฮือ….’

‘โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี’

‘เจ็บ...ภีมเจ็บ’

‘ภีม...มองหน้าพี่นะ’

‘ฮึก...มอง...ภีมมอง’

‘ความเจ็บปวดจงหายไป...’



ดวงตาเศร้าหมองไร้ก้นบึ้งคล้ายปรากฏประกายแสงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง จักรพรรดิหลับตาลง เขาวางมือทาบทับมือเรียวทั้งสองข้างแล้วกดให้แนบแก้มตนเองมากกว่าเดิม หูทั้งสองข้างรับฟังถ้อยคำอ่อนโยนนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวต้องการซึมซับมันไว้ในใจไม่ให้จางหายไปไหน

“พี่จักร...ลืมตาสิครับ”

จักรพรรดิลืมตาขึ้นช้าๆ ตามคำพูดนั้น เขามองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนและดวงตาคู่สวยคู่เดิมที่จับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

“ภีม…”

“ทุกครั้งที่พี่ลืมตา...ภีมจะอยู่ตรงนี้”

“…”

“จะมองไปที่พี่แค่คนเดียว...”

“ภีม…” น้ำเสียงหนักแน่นราวกับคนที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดทำให้ใจคนฟังสั่นไหวอย่างมีความหวัง

“ครับ”

“ไปกับพี่ได้ไหม”

“ไป?”

“พี่อยากหายแล้ว”

ไม่เอาอีกแล้ว...

ทั้งที่อยู่ตรงหน้า...แต่กลับไขว่คว้ามาไว้ในอ้อมกอดไม่ได้

ทั้งที่อยู่ตรงหน้า...แต่กลับปกป้องไม่ได้

“ไปหาหมอกับพี่ได้ไหม”

ลองดูอีกสักครั้ง...

“พี่จักร...” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มยินดีอย่างรวดเร็ว หน้าผากที่แนบกันไว้แนบสนิทจนไร้ช่องว่าง ปลายจมูกรั้นกดทับลงบนจมูกโด่งด้วยความดีใจจนถึงขีดสุด “ครับ เราไปหาหมอกันนะ ไปหาหมอกันนะ...ฮึก”

“อย่าร้อง...”

จักรพรรดิค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าได้รูปอย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยที่สะท้อนภาพของเขาเพียงผู้เดียวสั่นไหว และความอดทนของเขาก็หมดลงเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของคนตรงหน้า แขนผอมรั้งเอวอีกคนเข้าหา ก่อนจะกอดไว้แนบแน่นเพื่อซึมซับความอบอุ่นของกันและกัน

“พี่จะพยายามอีกครั้ง...”

ตอนที่เคยเข้ารับการรักษาครั้งแรกเขาทำเพราะยอมรับความจริงไม่ได้...

เขาทำ...เพราะต้องการกลับไปยืนบนจุดสูงสุดอีกครั้ง

แต่การรักษาครั้งนี้เขาจะทำเพราะความต้องการของตัวเอง...

เขาจะทำ...เพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับการได้ยืนเคียงข้างใครอีกคน


—————————-





TALK : กลับมาแล้วของจริงงง และจะไม่หายแล้วค่ะ ฮี่ฮี่ เจอกันตอนหน้าในไม่ช้าาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-04-2018 20:19:56
ได้กำลังใจที่ดี มันดีอย่างนี้นี่เอง  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-04-2018 20:29:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 05-04-2018 21:14:33
น่ารักจังเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 05-04-2018 21:48:43
เป็นพี่จักร ที่ละมุน และอุ่นไปทั้ใจเลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-04-2018 22:46:17
ตอนนี้ทำเอาน้ำตาซึมเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 05-04-2018 23:34:59
กำลังใจดี ก็หายไวๆ นะพี่จักร
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 07-04-2018 13:23:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 07-04-2018 17:04:15
งุ้ย เป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนทั้งภีมและพี่จักรเลย คนเขียนมาไวๆ น้าส่วนพี่จักรก็หายไวๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 08-04-2018 00:06:30
อ่านรวดเดียว 5 ตอนเลย ชอบมากค่ะ
น้องภีมทำให้พี่จักรพร้อมสู้แล้ว เอาใจช่วยพี่จักรให้หายไวๆเลย
รอติดตามตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 08-04-2018 08:23:02
น้ำตานองหน้าเลยทีเดียว ฮืออ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 08-04-2018 12:08:57
ดีใจที่จักรพรรดิ์จะรักษาตัว และเป็นการรักษาที่มีความหมายเพื่อน้อง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 11-04-2018 19:52:38
-6-


จักรพรรดิลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตามความเคยชิน เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเขาหลับสนิทยิ่งกว่าทุกวัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะได้นอนในบ้านไม้หลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือเพราะกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคนที่นอนอยู่ที่พื้นกันแน่ และทั้งที่เขานอนอยู่บนเตียง ระยะห่างก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่กลิ่นอ่อนๆ ที่แตะจมูกนั้นกลับชัดเจนในความรู้สึกมาตั้งแต่ได้กอดร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน

เมื่อคืนหลังจากตัดสินใจว่าจะมานอนที่นี่ด้วยกัน ภีมภัทรก็ยืนยันจะนอนพื้นให้ได้ เขาจะทำหน้าดุใส่ขนาดไหนก็ไม่ยอมฟัง จักรพรรดิเองก็ไม่ได้ยอม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่นอนบนเตียงด้วยกันในเมื่อเตียงก็ออกจะกว้าง แต่แล้วเมื่อได้ยินคำพูดเพียงประโยคเดียวทุกสรรพเสียงก็เงียบกริบมาจนถึงเช้า

‘พี่อยากให้ภีมหัวใจวายตายหรือไง’

อืม...น่าคิด

“พี่จักรตื่นแล้วเหรอ” เสียงทักสดใสจากปลายเตียงทำให้คนที่กำลังเหม่อมองเพดานห้องรู้สึกตัว จักรพรรดิเหลือบตาลงมองเจ้าของเสียง ก่อนดวงตาคมกล้าจะอ่อนลงอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของคนที่กำลังช่วยยกขาเขาขึ้นลงเพื่อออกกำลังกายเหมือนทุกเช้าดูตั้งอกตั้งใจกว่าเดิมหลายเท่า ภีมภัทรเคยบอกว่าเจ้าตัวเรียนรู้มาจากฮ่องเต้ที่ช่วยสอนก่อนจะไปจากที่นี่ ปกติเขาไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แม้น้องทั้งสองคนจะช่วยทำให้ตามคำสั่งหมอมาโดยตลอดก็ตาม เพราะเขาไม่มีความคิดจะรักษาอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้กลับแตกต่างออกไป...

“หนักไหม”

“ไม่หนักเลย ขาพี่จักรเล็กนิดเดียว...ทำไมเล็กแบบนี้นะ” คนที่ช่วยบีบๆ นวดๆ ขาเขาบ่นกระปอดกระแปด “ดีที่ยังไม่ลีบมาก ภีมไปอ่านมา เห็นว่าคนที่ไม่ได้เดินนานๆ ขาจะลีบเพราะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ แบบนั้นแย่แน่ๆ”

“หึ”

“เออใช่...พี่จักรอย่าลืมนะว่าสัญญาอะไรไว้” ว่าแล้วก็ทำตาโตเหมือนคิดอะไรได้พร้อมทั้งหันมาหรี่ตาจ้องเขา...ส่วนมือก็ยังไม่หยุดนวดให้

ช่างเป็นภาพที่ขัดตาแต่กลับน่าเอ็นดูจริงๆ...

“สัญญา?” จักรพรรดิเลิกคิ้ว ทำหน้างุนงงเหมือนไม่รู้เรื่องทั้งที่แอบลอบยิ้มในใจ น่าสงสารก็แต่คนไม่รู้เรื่องว่าโดนหลอกที่ตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดไปแล้วเรียบร้อย

“พี่จักรรับปากว่าจะกินข้าวเยอะขึ้น”

“อ้อ…”

“รู้แล้วก็ช่วยทำตามด้วยครับ” ภีมภัทรวางขาขาวซีดของคนป่วยที่ดูเล็กกว่าคนทั่วไปลงบนเตียงเบาๆ ก่อนจะขยับมานั่งลงข้างเตียงแล้วค่อยๆ ประคองให้จักรพรรดิลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงไว้

“ไปเอามาตอนไหน” คนเพิ่งตื่นถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นถาดใส่อาหารพร้อมน้ำดื่มกับดอกกุหลาบสีขาวที่อีกฝ่ายวางไว้บนตัก

“ภีมไปเอามาให้ก่อนพี่จักรตื่น ส่วนดอกกุหลาบนี่ก็เข้าไปเก็บมาจากเรือนกุหลาบ เสร็จแล้วก็มาช่วยออกกำลังกายให้พี่จักรเลย”

“ตื่นเช้าไปหรือเปล่า”

“ปกติภีมก็ตื่นแบบนี้ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย” ภีมภัทรรีบส่ายหน้าอธิบายเพราะกลัวว่าคนถามจะคิดมาก เขาเคยชินกับการตื่นมาเปิดร้านรับลูกค้าทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อต้องตื่นมาดูแลจักรพรรดิแต่เช้าแบบนี้จึงไม่ได้รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย

และถึงจะไม่ชิน...แต่ถ้าอีกคนเป็นจักรพรรดิ เขาก็เต็มใจทำให้อยู่แล้ว

“แล้วของภีมล่ะ” น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามคุยกับเขาทำเอาคนฟังใจเต้นกระหน่ำแบบที่ไม่เคยเป็น ภีมภัทรอมยิ้ม บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกดีขนาดไหนกับคำถามที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงนั้น

“เรียบร้อยก่อนพี่จักรตื่นแล้ว” เขาชี้นิ้วไปที่โต๊ะอีกตัวซึ่งมีจานข้าวที่ว่างเปล่าวางอยู่ “นั่นไง”

“ดีมาก” คนป่วยเอ่ยชม ขณะที่มือก็ตักข้าวต้มหน้าตาน่าทานเข้าปากไปด้วย

ตั้งแต่ที่เริ่มป่วยทั้งทางกายและใจจักรพรรดิก็ทานข้าวได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาไม่เคยทานหมดชาม ไม่เคยเอ่ยปากบอกว่าอะไรอร่อย แต่เมื่อเห็นใบหน้าแสดงความคาดหวังจากคนข้างกาย มือก็ตักเข้าปากเรื่อยๆ จนอาหารหมดโดยไม่รู้ตัว และรางวัลที่ได้จากการกระทำนั้นก็คือรอยยิ้มกว้างกับดวงตาคู่สวยที่เป็นประกายระยิบระยับของ ‘คนทำอาหารมื้อนี้’

“น้ำครับ”

จักรพรรดิรับน้ำมาดื่มตามคำคะยั้นคะยอของคนที่ดูตื่นเต้นโดยไร้สาเหตุ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาจึงยื่นมือไปหยิบดอกกุหลาบบนตักภีมภัทรมาถือไว้ด้วยตัวเอง ดวงตาคมมองพิจารณาดอกไม้ในมือก่อนจะหมุนเล่นไปมา ยิ่งเมื่อเห็นภาพซ้อนทับด้านหลังเป็นใบหน้าอมยิ้มของคนซึ่งกำลังจัดการกับจานและแก้วน้ำที่เขาเพิ่งทานหมด ความน่ามองของมันก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก

“ทำไมถึงเป็นกุหลาบขาว”

ภีมภัทรชะงักเมื่อได้ยินคำถาม เขาหันหน้าไปมองคนบนเตียงก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง คงต้องยอมรับว่าเขาชอบมากจริงๆ ยามได้ยินจักรพรรดิถามคำถามต่างๆ เพราะนอกจากจะได้พูดคุยกันบ่อยๆ แล้ว น้ำเสียงและสีหน้าเอ็นดูที่พี่จักรใช้ยังทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งด้วย

“ดอกไม้ทุกดอกมีความหมายในตัวเอง” ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งที่ปลายเตียง พร้อมกับช่วยยกขาผอมขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว “เมื่อก่อนภีมเคยบอกลูกค้าที่ร้านว่าดอกไม้ทุกชนิดมีความหมาย มันคือความหมายที่ใช้ในโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสมและมีคนบัญญัติมันขึ้นมา”

“เมื่อก่อน?”

“ใช่...เมื่อก่อน เพราะตอนนี้ภีมคิดว่าดอกไม้ทุกดอกมีความหมาย ไม่ใช่ทุกชนิด...แต่เป็นทุกดอก” มือเรียวบีบนวดบริเวณฝ่าเท้าของคนป่วยโดยใช้แรงเกือบทั้งหมด ภีมภัทรนิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อรู้สึกว่าเริ่มออกแรงมากไปหน่อยจนเมื่อยมือ แต่เมื่อเงยหน้ามองเห็นสายตาที่จ้องกลับมา ริมฝีปากก็กลับไปอมยิ้มแล้วออกแรงนวดต่ออย่างรวดเร็ว “ความหมายของมันขึ้นอยู่กับว่าคนที่รับและคนที่ให้เป็นใครมากกว่า...”

“นั่นสินะ”

“ถ้าภีมเอาดอกกุหลาบสีน้ำเงินมาให้ก็คงไม่ใช่เพราะความหมายของมันที่มีคนบัญญัติไว้มากมาย แต่ภีมจะให้เพราะมันมีความหมายสำหรับภีมมากกว่า... น่าเสียดายที่ภีมเอามาให้พี่จักรไม่ได้เพราะมันมีน้อย ภีมเลยเอากุหลาบสีขาวมาให้เพราะอยากให้พี่จักรมองแล้วรู้สึกสบายใจเหมือนที่ภีมเป็น” ท้ายประโยคคนพูดแอบหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เพราะคิดว่าถ้าเขามีกุหลาบสีน้ำเงินหลายต้นคงเอามาให้พี่จักรของตัวเองทุกวันจนหมดสวนแน่ๆ

“หึ...ขอบใจนะ” จักรพรรดิยกยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับเอาดอกกุหลาบสีขาวสะอาดในมือแตะเบาๆ ที่บริเวณริมฝีปากเพื่อสื่อให้รู้ว่าเขารับมันไว้แล้ว

และไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าท่าทางแบบนั้นกำลังจะทำให้มีคนตาย...

“โอ้ย...พี่จักร” ภีมภัทรกลอกตา มือเผลอปล่อยขาของคนป่วยทิ้งลงเตียงแบบที่ไม่ควรทำ “ถ้าจะทำแบบนั้นทีหลังช่วยบอกภีมก่อนนะ”

“หืม…”

“ภีมจะได้เตรียมถังออกซิเจนทัน”

“…”

การอาบน้ำในห้องน้ำที่ไม่มีอ่างทำให้จักรพรรดิต้องใช้เวลานานพอสมควรในการจัดการตัวเอง เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ภีมภัทรยกเข้ามาให้ ก่อนจะค่อยๆ ถูสบู่และล้างน้ำโดยไม่ได้ล็อคประตู เหตุผลเพราะฝ่ายนั้นกลัวว่าถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วเจ้าตัวจะเข้ามาช่วยไม่ได้ จักรพรรดิได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดนั้น ยิ่งยามเห็นเงาร่างของคนที่เดินไปเดินมาหน้าประตูห้องน้ำด้วยความกังวลก็ยิ่งอยากจะหัวเราะออกมาสักที

บอกให้เข้ามาด้วยกันเลยก็เอาแต่ทำหน้าแดงเป็นลูกตำลึง แถมยังดูเหมือนพร้อมจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ เห็นแล้วเขาก็สงสารจนต้องบอกว่าจะอาบเอง แล้วดูทำเข้าสิ...

“จะเข้ามาช่วยไหม” คนด้านในลองตะโกนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งที่พยายามกลั้นขำ

“ไม่...ไม่ดีกว่า พี่จักรเสร็จแล้วค่อยเรียกภีมนะ” เสียงสั่นๆ กับปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไวจนน่าสงสัยทำให้จักรพรรดิอดยิ้มไม่ได้

“ตอบไวไปไหม”

แล้วดูนั่นสิ...พูดเสร็จแล้วยังจะสะดุ้งแรงจนเงาตัวเองกระตุกชนิดที่เขาสังเกตเห็นได้ชัดเจนอีกต่างหาก

จากสนุกเริ่มกลายเป็นสงสารหน่อยๆ เพราะดูเหมือนเจ้าของใบหน้าขาวๆ นั่นจะไม่ชินกับอะไรก็ตามที่เขาทำเสียที แล้วสีแดงๆ บนใบหน้านั่นก็ช่างมองออกได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน กว่าจะจัดการตัวเองเรียบร้อยเตรียมออกจากบ้านเขาไม่แน่ใจนักว่าบนใบหน้านั้นเกิดริ้วแดงเป็นปืดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรให้เขิน...แต่ถ้าเขินแล้วจะน่ามองขนาดนั้นก็คงต้องแกล้งแบบไม่ได้ตั้งใจต่อไปล่ะนะ

“ไปกันเถอะ” จักรพรรดิเอ่ยเตือนคนที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองเขาไม่เลิก ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายทำหน้าภูมิใจอะไร เพราะนอกจากเลือกเสื้อผ้าให้แล้วเขาก็ไม่ได้...

“พี่จักรดูดีมากเลย”

ได้ยินคำชมแบบไม่ปิดบังนั่นแล้วความมั่นใจก็เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน

“นี่ภูมิใจเพราะได้เลือกเสื้อผ้าให้พี่งั้นเหรอ” คำถามตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมทำเอาคนที่กำลังยิ้มเบิกตากว้าง รอยยิ้มที่มีจางหายไปพร้อมกับที่มีริ้วสีแดงพาดผ่านที่ข้างแก้มขาวนั่นอีกครั้ง

“ปะ…”

“เปล่า?”

“ไปกันเถอะ!”

ไม่เถียงซะด้วย...

จักรพรรดิยิ้มบาง มองภาพคนเดินตัวปลิวไปเปิดประตูแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ดูท่าคงยังไม่รู้ว่าไม่ได้เข็นรถพาเขาไปด้วยเหมือนทุกครั้ง...และเขาก็ไม่อยากเรียกให้มาช่วยตอนนี้เสียด้วยสิ

ล้อรถที่แทบไม่เคยจับหมุนให้เลื่อนไปด้านหน้าด้วยตัวเองมาก่อนให้ความรู้สึกประหลาดยามเขาแตะมัน สัมผัสสากๆ ของล้อที่ไม่ได้มีราคาสูงลิ่วทันสมัยเหมือนคันที่เขาเคยใช้ช่วงอยู่ต่างประเทศคงทำให้มือด้านได้ไม่ยาก แต่เมื่อลองคิดว่าถ้าต้องหมุนมันด้วยตัวเองทุกวัน เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งเขาก็คงจะชินไปเอง

ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้...

ฝ่ามือผอมที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อนจับลงไปบริเวณล้อทั้งสองข้างแล้วออกแรงเข็นให้เลื่อนไปด้านหน้าด้วยตัวเอง หากน้ำหนักที่กดทับรถและแรงที่ไม่ได้มีมากมายนักคงไม่สามารถทำให้คนที่ยังไม่ชินขยับมันไปได้โดยง่าย เขาเกร็งมือและออกแรงจนรู้สึกเจ็บ ชั่วขณะหนึ่งใจนึกอยากยอมแพ้ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตกใจ แรงกายและแรงใจที่ใกล้หมดกลับเพิ่มขึ้นมาเสียเฉยๆ

สุดท้ายก็ขยับไปด้านหน้าสำเร็จจนได้...

“พี่จักร!” สิ่งแรกที่ภีมภัทรทำไม่ใช่การถามคำถาม แต่เป็นการวิ่งเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแล้วคว้ามือผอมมาจับไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “แดงหมดเลย...”

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง” คนพูดขมวดคิ้วฉับแล้วจ้องคนบอกไม่เป็นไรเขม็งด้วยความไม่พอใจ “รถแบบนี้ไม่ใช่สำหรับให้คนนั่งเข็นเองนะครับ ดูที่ล้อก็รู้แล้ว”

“เหรอ...” จักรพรรดิกะพริบตามองมือแดงๆ ของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ “มีหลายแบบด้วยเหรอ คิดว่าแบ่งเป็นแบบไฟฟ้ากับไม่เป็นไฟฟ้าสองอย่างเสียอีก”

ช่วงที่เขาเกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ และยังอยู่ต่างประเทศ ระหว่างที่ยังทำการรักษาเขาจำได้ว่าตัวเองนั่งวีลแชร์แบบไฟฟ้า แต่พอมาไทยด้วยความที่ครอบครัวฝั่งพ่อไม่ได้มีฐานะอะไรนัก อีกทั้งยังเหมือนจะมีวิกฤติการเงินอยู่พอดี รถวีลแชร์ที่เขาได้นั่งมาโดยตลอดจนถึงวันนี้จึงเป็นรถธรรมดาๆ ที่น้องสองคนซื้อให้แทน

ส่วนอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น...เขาทิ้งมันไปทั้งหมดตั้งแต่วันที่กลับมาถึงที่นี่แล้ว

“ภีมจะซื้อวีลแชร์แบบไฟฟ้าให้พี่จักร” คนที่นั่งขมวดคิ้วลูบมือเขาอยู่ที่พื้นพูดขึ้นมาลอยๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เหมือนจะบอกกลายๆ ว่ายังไงก็จะซื้อแน่ๆ

“ไม่ต้องหรอก มัน...”

เปลือง...

คำพูดถูกกลืนหายเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง...

นี่เขากลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จักรพรรดิที่เคยอยู่บนบัลลังก์ ใช้จ่ายเงินโดยไม่สนใจมูลค่า มาถึงตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่บอกคนอื่นว่ามันสิ้นเปลือง

แม้ตอนที่อยู่กับน้องสองคนเขาจะไม่ได้ลำบาก แต่ก็รับรู้อยู่ตลอดว่าตนเองไม่ใช่คนมีฐานะเหมือนตอนอยู่ต่างประเทศอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นเมื่อได้มองชัดๆ ไม่มีน้องอยู่ใกล้ๆ จึงได้รู้ว่าตัวเขาตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะเป็นคนหมดตัวเสียด้วยซ้ำ งานประจำก็ไม่มี ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง แล้วคนข้างหน้าล่ะ...

ทายาทเจ้าของสวนดอกไม้ที่มีชื่ิอเสียงระดับประเทศกับจักรพรรดิตกบัลลังก์

ต่างกันราวฟ้ากับเหว...

“แต่คิดไปคิดมาแล้วไม่เอาดีกว่า”

จักรพรรดิหันไปสบตาคนพูดเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้น ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียวราวกับจะช่วยชำระล้างความคิดแย่ๆ ที่มีไปจนหมด

“แบบนี้ก็ดีแล้ว ภีมจะได้ช่วยดูแลพี่จักรตลอดเวลา แค่เปลี่ยนเป็นแบบเข็นเองได้ให้พี่จักรได้ออกกำลังบ้างก็พอเนอะ”

แววตาที่ไม่มีอะไรแอบแฝงแสดงความจริงใจออกมาจนหมด นอกจากนั้นยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกละเอียดอ่อนบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ จักรพรรดิเผลอบีบมือเรียวของอีกคนโดยไม่รู้ตัว และนั่นทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนเรียวปากบางนั้นอีกครั้ง

“ตามใจเถอะ” ถ้อยคำจริงจังที่ไม่ได้แฝงความประชดประชันทำให้ภีมภัทรยิ้มกว้างขึ้นอีก เขารู้ดีว่าจักรพรรดิไม่ได้พูดส่งๆ แต่เพราะไม่รู้จะพูดแบบไหนให้เหมาะสม ถ้อยคำที่ออกมาจึงห้วนสั้นเป็นปกติ

อาจต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัว...แต่เขาจะอยู่ข้างๆ ไม่หายไปไหนแน่นอน



(ต่อด้านล่าง)

.
.
.
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 11-04-2018 19:53:00



ภีมภัทรเดินทางไปถึงโรงพยาบาลในช่วงบ่ายตามที่เขาได้นัดเวลาเอาไว้แล้ว ตลอดทางที่เขาขับรถพาจักรพรรดิเข้ามาในเมือง อีกฝ่ายเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ ใจหนึ่งเขาก็อยากชวนคุยเพราะกลัวว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นเจ้าตัวอาจกำลังนึกถึงเรื่องไม่ดีอยู่ แต่อีกใจก็กลัวว่าจะทำให้รำคาญ สุดท้ายบรรยากาศจึงเงียบกริบจนมาถึงจุดหมาย

“ค่อยๆ นะครับ” ภีมภัทรรีบเอาวีลแชร์ออกมาวางข้างรถ ก่อนจะพยายามพยุงจักรพรรดิออกมาด้วยตัวเอง ขนาดตัวที่ใหญ่กว่าทำให้ทุกอย่างดูลำบากไม่น้อย แต่เขาก็ไม่คิดเรียกคนมาช่วยเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคงไม่ชอบแน่ ขนาดตอนจะพาขึ้นรถแล้วให้คนงานมาช่วย เจ้าของดวงตาคมกริบยังขมวดคิ้วจนแทบติดกัน ทำเอาเขาหาข้ออ้างให้ลุงสินกลับไปทำงานแทบไม่ทัน

“เมื่อยหรือเปล่า”

“อะไรนะ”

“ขับรถตั้งนาน เมื่อยไหม” จักรพรรดิถามซ้ำ มองคนอมยิ้มแก้มปริเหมือนดีใจที่เขาห่วงแล้วก็อดยิ้มบางตามไม่ได้

“ไม่เลย ไม่เมื่อยแม้แต่นิดเดียว”

“ดีแล้ว”

คนอารมณ์ดีสองคนพากันเข็นรถเข้าไปในตึกของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ภีมภัทรอธิบายว่าตึกนี้เป็นตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปี มีชั้นหนึ่งใช้สำหรับให้บริการด้านกายภาพบำบัดโดยเฉพาะ เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านนี้เป็นอย่างมาก พอจักรพรรดิถามว่าทำไมรู้ดี อีกฝ่ายก็เพียงพูดเสียงอ่อยๆ ว่าแอบศึกษาล่วงหน้ามานานแล้ว ทั้งยังมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ยิ้มต้อนรับ และดูเหมือนนั่นจะเป็นการดึงสติของชายหนุ่มสองคนให้กลับออกมาจากโลกที่มีเพียงสองเรา จักรพรรดิกลับไปตีหน้าตายเหมือนเคย ในขณะที่ภีมภัทรยิ้มการค้าหากนัยน์ตานิ่งสนิท

“สวัสดีครับ” ภีมภัทรขยับไปยืนด้านข้างรถวีลแชร์ มือเรียววางลงบนเคาน์เตอร์ราวกับจะดึงความสนใจของพยาบาลคนสวยให้กลับมาจดจ้องที่ตนเองแทนที่จะเป็นคนป่วยข้างกาย

นี่ขนาดป่วย แถมแต่งตัวก็ธรรมดา ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหายดีกลับไปใส่เสื้อผ้าเนี้ยบๆ จะโดนจ้องขนาดไหน แค่คิดก็คันยุบยิบที่ใจจนอยากจะหุบยิ้มแล้ว...

“ผมนัดนักกายภาพบำบัด...”

“ภีม!”

เสียงเรียกด้วยความตื่นเต้นทำให้ทุกสายตาในบริเวณนั้นหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน ที่ตรงนั้นมีชายหนุ่มหน้าตี๋กำลังยืนยิ้มจนตาปิด ข้างกายคือหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งที่กำลังส่ายหน้าหน่ายให้คนข้างกาย

“วิทย์ มีน” ภีมภัทรยิ้มตอบบางๆ แต่ก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปหาเพื่อน เขารอจนทั้งคู่เดินเข้ามากอดตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนจะวางมือลงบนรถวีลแชร์เพื่อให้คนที่กำลังนั่งเงียบรู้ว่าเขาไม่ได้ลืมอีกฝ่าย

ภีมภัทรแคร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่จักรของเขา...

“กว่าจะเจอตัวนะคุณชาย ไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้ววะเนี่ย กูตกใจแทบแย่ตอนมึงโทรมาถามว่าทำงานที่นี่ใช่ไหม” วิทยาบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดจนมีนาที่อยู่ข้างๆ ต้องหยิกแขนคนรักอย่างแรงเป็นการเตือน

“พูดไม่หยุดอย่างนี้จะให้ภีมตอบทันได้ยังไงวิทย์”

“โธ่...มีน ก็วิทย์ดีใจที่ได้เจอมันอีกนี่นา” วิทยาทำหน้าตางอแงอ้อนคนรัก กว่าจะยอมหยุดก็ตอนที่สัมผัสได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก

ผู้ชายตัวสูงทว่าดูผอมกว่าที่ควรกำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาคมกริบไร้อารมณ์ ใบหน้านั้นถึงจะซูบไปเสียหน่อยแต่ก็ยังเป็นใบหน้าแบบที่ใครๆ ต่างก็ต้องอิจฉา และแม้ว่าคนคนนั้นจะแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดา ทั้งยังนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนป่วย ทว่าก็ยังไม่อาจกลบออร่าของความสูงส่งที่แผ่ออกมาได้เลย

“มีน วิทย์ นี่พี่จักร...” ภีมภัทรละสถานะไว้เมื่อไม่รู้ว่าควรแนะนำว่าอย่างไร แต่เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของเขาตั้งแต่สมัยมัธยมย่อมรู้ดีว่าพี่จักรที่ว่าหมายถึงใคร

อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา...

วิทยาและมีนาเป็นเพื่อนสนิทของภีมภัทรตั้งแต่สมัยมัธยม เป็นเพื่อนที่สนิทมากพอที่จะรู้จักพี่จักรของเขา และถึงแม้ว่าภีมภัทรจะไม่ได้ตั้งใจเล่าให้ฟัง แต่การที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มยอมเมาจนเล่าเรื่องของตัวเองออกมาก็เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาไว้ใจเพื่อนสองคนนี้มากพอสมควร

“พี่จักรครับ นี่มีนากับวิทยาเพื่อนภีมเอง”

ไอ้สองมาตรฐาน!

วิทยาถลึงตาใส่เพื่อน เห็นแล้วหมั่นไส้จนอยากจะถามเหลือเกินว่าไอ้สายตาอ่อนโยนเหมือนโลกใบนี้มีเพียงเราสองคนนั่นคืออะไร

“สวัสดีค่ะคุณจักรพรรดิ” โชคดีที่หญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากท่าทีที่แตกต่างจากปกติของเพื่อนชายมากนัก

มีนายกมือไหว้ด้วยความเคารพและใช้คำเรียกขานแบบเป็นทางการ แม้ตอนนี้คนตรงหน้าจะเป็นจักรพรรดิตกบัลลังก์ แต่ความน่าเกรงขามในฐานะของนักธุรกิจระดับสูงก็ยังไม่จางหาย เธอตกใจเพียงแค่ตอนแรกเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มในใจภีมภัทรคือคนเดียวกับชายที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในต่างประเทศสมัยที่เธอไปเรียนที่นั่น แต่เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนโยนของเพื่อนรัก ความรู้สึกตกใจหรือคลางแคลงใจก็จางหายไปจนหมด

“อืม” จักรพรรดิเพียงส่งเสียงตอบรับเบาๆ ไม่ได้ส่งยิ้มเป็นมิตรอะไรให้ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของภีมภัทรเขาก็เปลี่ยนใจกะทันหัน... “สวัสดี”

แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่ากำลังกังวลว่าเขาจะไม่ชอบเพื่อนตัวเอง...

“อะ...สวัสดีด้วยคนครับ” วิทยาที่เพิ่งรู้สึกตัวรีบหันมายกมือไหว้ตามแฟนสาวซึ่งตอนนี้เบิกตาโตด้วยความตกใจไปแล้ว

“วิทย์ๆ” มีนาสะกิดคนข้างกายโดยไม่ลืมผงกหัวเป็นเชิงขออนุญาติแล้วรีบลากวิทยาให้หันหน้าไปอีกทาง “คุณจักรพรรดิเขาสวัสดีเราด้วยแหละ”

“แล้วมันแปลกตรงไหน”

“นั่นคุณจักรพรรดิเชียวนะ”

“หา…”

เสียงกระซิบกระซาบที่ไม่ได้เบาเท่าไหร่นักทำให้ภีมภัทรต้องส่ายหน้าหน่าย เขาลอบมองผู้ที่อยู่ในบทสนทนานั้นเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นจักรพรรดิไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาก็ลอบถอนหายใจโล่งอกแล้วปล่อยให้เพื่อนนินทาระยะเผาขนต่อไป

“จริงดิ!” วิทยาตะโกนเสียงดังก่อนจะรีบปิดปากตัวเอง ชายหนุ่มหันหน้ามามองจักรพรรดิอีกครั้งเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ก็ยังไม่วายหันไปถามแฟนสาวเพื่อย้ำความมั่นใจอีกที “เขาคือคนที่มีนเคยเล่าให้ฟังตอนไปนอกเหรอ”

“ใช่...แต่ดูเปลี่ยนไปเยอะเลย”

“โห…”

“นักกายภาพบำบัดวิทยา พยาบาลมีนา วันนี้ไม่มีงานเหรอคะ” เสียงพูดแทรกที่ดังจากหน้าเคาน์เตอร์ทำให้สองสามีภรรยาหยุดชะงัก วิทยาหันมาหัวเราะเสียงแห้งเมื่อเห็นว่าคนที่พูดคือใคร

“คุณหมอดวงใจ สวัสดีครับ”

หญิงสาววัยกลางคนท่าทางเข้มงวดในชุดแพทย์เต็มตัวหรี่ตามองวิทยากับมีนาด้วยสายตาเหนื่อยใจ และเธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...

“มีนเจอเพื่อนเก่าก็เลยเพลินไปหน่อย ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่” มีนาเข้าไปเกาะแขนออดอ้อนมารดาแล้วรีบเปลี่ยนท่าทีให้ดูจริงจังมากขึ้น “คุณแม่ยังไม่ถึงเวลาเข้าเวรใช่ไหมคะ มีนมีเรื่องจะคุยด้วยพอดีเลย”

“เรื่องคนไข้ที่ตาวิทย์เกริ่นให้แม่ฟังเมื่อวานใช่ไหม” ดวงใจพยักหน้าเข้าใจ “ไปคุยที่ห้องตรวจเลยแล้วกัน”

แพทย์หญิงดวงใจเดินนำกลุ่มคนไปที่ห้องตรวจของตน พื้นที่ในห้องขนาดย่อมดูเล็กลงไปมากเมื่อมีคนอยู่ในห้องถึงห้าคน ภีมภัทรนั่งลงบนเก้าอี้เคียงข้างจักรพรรดิที่อยู่บนรถวีลแชร์ ฝ่ามือเรียวไม่ยอมละออกจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว แม้จะไม่ได้จับมือกันไว้ แต่การวางมือลงบนที่พักแขนของจักรพรรดิตลอดเวลาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานะของทั้งคู่คงไม่ใช่เพียงคนรู้จัก

“คุณแม่ยังจำภีมได้ไหมคะ คนที่เมื่อก่อนคุณแม่เคยบอกว่าดูดีกว่าวิทย์ตั้งเยอะ” มีนารีบพูดเข้าเรื่องเพราะรู้ดีว่ามารดาไม่ชอบอะไรอ้อมค้อม

“จำได้สิ”

“พอดีว่าภีมอยากจะให้พวกเราช่วยดูแลคุณจักรพรรดิให้น่ะค่ะ เห็นว่าไม่ได้รับการรักษาแบบต่อเนื่องมานานแล้ว มีนเลยอยากให้คุณแม่ช่วยด้วยอีกแรง”

“เรื่องนั้นแม่ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ยังไงเป็นหมอก็ต้องรักษาคนไข้” แพทย์หญิงตอบกลับโดยไม่หยุดคิด “มีนไปเอาเอกสารประวัติมาให้คนไข้กรอก ส่วนตาวิทย์ไปทำงานได้แล้ว แม่ตรวจเสร็จแล้วจะให้มีนพาไปส่งเอง”

“ค่ะคุณแม่”

“ไว้เจอกันไอ้ภีม”

เมื่อคนทั้งคู่ออกไปแล้วบรรยากาศภายในห้องจึงกลับมาดูเงียบเชียบอีกครั้ง ดวงใจมองสำรวจชายหนุ่มสองคนด้วยสายตาของผู้ใหญ่ มองเพียงแวบเดียวก็รับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์อันไม่ธรรมดาของคนทั้งคู่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องยุ่ง ดังนั้นแพทย์หญิงจึงทำเพียงส่งยิ้มบางเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายกว่าเดิมเท่านั้น

“หมอชื่อดวงใจนะคะ เป็นแม่ของยัยมีน เราคงได้เจอกันอีกนาน เพราะงั้นถ้ามีอะไรก็บอกหมอได้ทุกเรื่องนะ”

“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ภีมภัทรตอบแทนคนที่ยังนั่งเงียบ

“พวกคุณอาจสงสัยว่าทำไมต้องเจอหมอ ทั้งที่ไปหานักกายภาพบำบัดเลยน่าจะถูกทางกว่า เพราะงั้นถึงได้ติดต่อวิทยาไปใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ” ภีมภัทรพยักหน้าเพราะเขาคิดแบบนั้นจริงๆ

“จริงๆ สิ่งที่นักกายภาพบำบัดดูแลคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้กล้ามเนื้อ การฟื้นฟูเรี่ยวแรงต่างๆ ซึ่งเดี๋ยววิทยาคงจะอธิบายต่อไป แต่นอกเหนือจากเรื่องของการพยายามทำให้คุณจักรพรรดิกลับมาเดินได้แล้ว สุขภาพของเขาก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้รับการรักษามาอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งน่าเป็นห่วง พูดง่ายๆ ก็คือหมอจะเป็นคนดูแลเรื่องสุขภาพโดยรวมและการจัดยาให้คนไข้เอง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูขาของคนไข้ วิทยาจะเป็นคนจัดการค่ะ”

“หมายความว่าผมต้องพาพี่จักรมาตรวจกับคุณหมอทุกครั้งใช่ไหมครับ”

“คงไม่ได้บ่อยเท่ามาทำกายภาพค่ะ แต่หมอจะนัดเป็นช่วงๆ เพื่อเช็คร่างกายและความเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง หมอจะนัดเวลาล่วงหน้าโดยอาจจะนัดเดือนละครั้งเพื่อตรวจร่างกายโดยรวมและจัดยาให้คนไข้ค่ะ” ดวงใจอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงใยของคนถาม ทั้งที่คนไข้ที่นั่งนิ่งแลดูไม่สนใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

ก๊อก ก๊อก

“เชิญค่ะ” แพทย์หญิงกล่าวอนุญาตเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู และวินาทีถัดมามีนาก็เดินตรงเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ

“คุณจักรพรรดิช่วยกรอกประวัติหน่อยนะคะ หรือถ้าภีมรู้ดีจะกรอกให้ก็ได้นะ คิกๆ”

ภีมภัทรหลบสายตาล้อเลียนของเพื่อนโดยอัตโนมัติ ก่อนเขาจะเบิกตาโตเมื่อกระดาษและปากกาถูกยื่นมาให้โดยคนป่วยจริงๆ พอหันไปมองก็เห็นเพียงสายตาขบขันจากเจ้าของใบหน้าคมคายที่ยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

“พี่จักรกรอกเองสิ” คนที่เริ่มหน้าแดงกระซิบกระซาบ

“หึ” จักรพรรดิหัวเราะในลำคอเหมือนจะแซวแต่ก็ยอมดึงกระดาษกลับมาเขียนด้วยตัวเอง

“เอ่อ...แล้วคุณหมอจะตรวจอะไรบ้างเหรอครับ เป็นไปได้ไหมที่จะให้เขาตรวจทั้งหมดเลย”

“เปลี่ยนเรื่องนี่นา...”

“มีนา กลับไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวหมอเอาเอกสารออกไปเอง”

“โธ่...คุณแม่” มีนาทำหน้าตาบึ้งตึงเมื่อโดนมารดาขัดจังหวะ เธอได้แต่มองค้อนแล้วหันกายเดินจากไปตามคำสั่ง

แพทย์หญิงยิ้มพลางผงกหัวตอบรับเมื่อเห็นสายตาเหมือนจะขอบคุณของภีมภัทร ดวงตาเข้มงวดลอบสังเกตลักษณะภายนอกของคนไข้เงียบๆ และเมื่อเห็นฝ่ามือผอมแห้งกับใบหน้าซูบตอบชัดๆ สีหน้าของเธอก็เริ่มเคร่งเครียดตามไปด้วย

“เรื่องการตรวจร่างกายสามารถตรวจทั้งหมดได้ค่ะ แต่ตอนนี้ขอหมอตรวจเบื้องต้นก่อนนะ”

ภีมภัทรคอยฟังคำถามแบบถามคำตอบคำจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ เขามองดูก็รู้ว่าพี่จักรไม่ชอบให้ใครแตะตัวเท่าไหร่นัก เห็นพอคุณหมอทำท่าจะจับก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจแบบเห็นได้ชัด แต่คุณหมอเองก็ดูจะมองออก ถึงจะเลี่ยงไม่ได้แต่ก็ไม่ได้จับเต็มไม้เต็มมือหรือยาวนานเท่าไหร่

“โดยรวมแล้วคงต้องบอกว่าร่างกายอ่อนแอพอควร คนไข้ต้องหมั่นทานอาหารให้ครบห้าหมู่และทานข้าวให้เยอะกว่าเดิม เรื่องการออกกำลังกายอาจทำไม่ได้มาก แต่เดี๋ยวได้ทำกายภาพควบคู่ไปด้วยอะไรๆ คงดีขึ้น และที่สำคัญที่สุดต้องพยายามอย่าคิดมากหรือเครียดจนเกินไป มันส่งผลต่อสุขภาพจิตและกระทบมาถึงสุขภาพกายได้ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้แล้วจะพาไปตรวจร่างกาย เสร็จแล้วค่อยพาไปหานักกายภาพบำบัดให้รับช่วงต่ออีกทีนะคะ” แพทย์หญิงก้มหน้าลงขีดเขียนกระดาษเพื่อสั่งยา และเป็นเวลาเดียวกับที่มีนาเดินเข้ามาในห้องพอดี “หมอจะเขียนเวลานัดไว้ให้เป็นต้นเดือนหน้า เอาไว้เจอกันนะ”

“ขอบคุณมากครับ” ภีมภัทรยกมือไหว้ขอบคุณจากใจก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเข็นรถพาจักรพรรดิเดินตามมีนาออกไปด้านนอก

“โอเคนะภีม แม่ไม่ดุใช่ไหม”

“ไม่เลย ขอบใจมากนะมีน” ภีมภัทรยกยิ้มเพื่อสร้างความมั่นใจให้เพื่อนสาว ไม่รู้ว่าเธอจะกลัวอะไรเหมือนกัน แต่สงสัยว่าหมอดวงใจคงจะดุน่าดูในเวลาปกติ

“ท่านเอ็นดูภีมมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา นี่วันก่อนมีคนไข้มาเหวี่ยงใส่ แม่ตอกกลับจนหน้าหันเลยนะ”

“เหรอ...”

จักรพรรดิฟังสองเพื่อนซี้คุยกันโดยไม่เอ่ยอะไรแทรกแม้แต่คำเดียว ดวงตาคมมองไปทั่วบริเวณเพื่อสังเกตสิ่งต่างๆ ตามความเคยชิน ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดน้อยๆ เมื่อหางตามองเห็นชายคนหนึ่งทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงประตูโรงพยาบาล

“พี่จักร...”

แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ชุดสูทเหมือนปกติ แต่จักรพรรดิไม่มีทางจำคนผิด

“พี่จักรครับ”

ดวงตาคมทอประกายแข็งกร้าวน่ากลัว มือที่วางอยู่บนตักตนเองกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว และยิ่งเห็นว่าฝ่ายนั้นเดินหลบออกไปด้านนอกเหมือนจะรู้ว่าเขาเห็น ดวงตาคมกริบก็ยิ่งคุกรุ่นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“พี่จักร!”

เสียงเรียกด้วยความตกใจพร้อมสัมผัสอุ่นๆ ของฝ่ามือที่ทาบลงมาบนแก้มทั้งสองข้างทำให้จักรพรรดิรู้สึกตัว เขาคลายมือที่กำออก ก่อนจะมองใบหน้าเป็นกังวลของภีมภัทรด้วยสายตาอ่อนลง

“โทษที” ดวงตาคมหลับลงเพื่อปิดกั้นไม่ให้เจ้าของฝ่ามืออ่อนโยนมองเห็นความน่ากลัวภายในใจของเขา

“พี่จักรเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่...ไม่เป็นไร”

“แต่ภีมเห็น...”

เสียงสั่นเครือหยุดลงเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบยกขึ้นดึงมือเขาไปกุมไว้ ภีมภัทรมองคนที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ เขาใจหายแทบตายตอนเห็นสีหน้าน่ากลัวของจักรพรรดิ ทว่าเมื่อมองตามไปก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

เขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าพี่จักรจะเปลี่ยนใจไม่ยอมรับการรักษาแล้ว

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ไปต่อเถอะ” ประโยคตัดบทและแววตานิ่งๆ ที่ส่งไปให้มีนาทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว เธอสะกิดไหล่เพื่อนตัวเองก่อนจะทำตามคำสั่งที่แฝงมาทางดวงตาคู่นั้นโดยไม่รู้ตัว

“ภีม...ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันไปหาวิทย์นะ”

จักรพรรดิจับจ้องไปยังจุดจุดเดิมที่มองเห็นคนคนนั้นอีกครั้ง เขามองนิ่งอยู่เช่นนั้นจนมั่นใจว่าจะไม่มีเงาร่างนั้นโผล่ขึ้นมาอีกจึงยอมละสายตากลับมา ทว่าภายใต้ใบหน้าเย็นเยียบไร้ความรู้สึก...ภายในใจกลับลุกไหม้ไปด้วยเพลิงอารมณ์ที่พร้อมเผาพลาญทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้

ราชาก็คือราชา...

แม้ไม่มีบัลลังก์ประดับอำนาจ...แต่ถ้ากล้ามาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเขาก็จะได้เห็นดีกัน


---------------------


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-04-2018 20:08:42
ใครฟ่ะที่โผล่มาทำให้ 'รมณ์เฮียบ่จอย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-04-2018 20:35:56
ใครส่งสายสืบมาอ่ะ น่าจะไม่ตายดี
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 11-04-2018 22:34:17
ใครกันที่โผล่มา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 18-04-2018 18:06:58
-7-


ภีมภัทรนั่งมองพื้นด้วยสายตาเหม่อลอยขณะที่กำลังรอจักรพรรดิตรวจร่างกาย เขาไม่แน่ใจนักว่าพี่จักรของตัวเองเป็นอะไร แต่หลังจากที่อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกไป จักรพรรดิก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดกับใครอีก แม้แต่ตอนเข้าไปตรวจร่างกาย จากที่ปกติจะแค่มองแล้วขมวดคิ้ว กลับกลายเป็นพูดออกมาเต็มปากเต็มคำจนหมอกับพยาบาลเหวอกันทั้งแถบ

‘ถ้าไม่จำเป็นกรุณาอย่าแตะตัว’

เอาแค่สายตาเขาก็กลัวกันหมดแล้ว นี่มาเป็นประโยคใครจะกล้ายุ่งด้วย...

“ภีม ลาเต้จ้ะ”

“ขอบใจนะมีน” ภีมภัทรยิ้มขอบคุณก่อนจะรับแก้วลาเต้มาถือไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า”

“นี่ภีม...เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว ทำไมมีนจะไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร” มีนาถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อเห็นเพื่อนยังคงนิ่งไม่ยอมรับ เธอสังเกตเห็นตั้งแต่เริ่มมาตรวจแล้วว่าภีมภัทรดูแปลกไป ซึ่งต้นเหตุก็คงหนีไม่พ้นคนที่กำลังเข้าเครื่องตรวจร่างกายอยู่

“…แค่ไม่เข้าใจว่าพี่จักรเป็นอะไรน่ะ” สุดท้ายคนปากแข็งก็พูดออกมาเบาๆ เพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง “เรากลัวว่าเขาจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีก”

เพราะเห็นว่าพี่จักรอ่อนโยนด้วยแล้วถึงได้ชะล่าใจ...

“ภีม…”

“เรากลัวว่าเราจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่สบายใจ”

มีนามองใบหน้าหมองๆ ของเพื่อนด้วยความสงสาร เธอไม่เคยเห็นภีมภัทรเป็นแบบนี้มาก่อน ภีมภัทรที่เธอรู้จักคือคนเข้มแข็งที่มักจะปั้นยิ้มเดินเข้าหาปัญหาอย่างไม่เกรงกลัว ทว่ายามนี้เขาดูเหมือนคนที่กำลังได้รับบาดเจ็บและพร้อมจะล้มลงตลอดเวลาเพียงเพราะใครคนหนึ่งมีท่าทีแปลกไป

“ตอนที่มีนกับวิทย์แต่งงานกัน ภีมรู้ไหมว่าเราทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกเลยนะ”

“วันแรก...”

“ใช่จ้ะ” มีนาอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักเงยหน้าขึ้นมองและให้ความสนใจในสิ่งที่เธอพูด “เราทะเลาะกันเพราะเราไม่คุยกันให้เข้าใจ มีนไม่ถาม วิทย์ไม่พูด และปัญหามันก็เกิดจากการที่มีนคิดไปเองคนเดียว แต่หลังจากผ่านปัญหานั้นมาได้มีนถึงรู้ว่าถ้าเราสงสัยอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของคนสองคน การพูดคุยและการถามกันตรงๆ คือทางออกที่ดีที่สุด”

“งั้นเหรอ...”

“แล้วภีมรู้อะไรไหม...ทั้งๆ ที่ไม่ผิด แต่ตอนนั้นวิทย์น่ะเป็นคนสังเกตเห็นและเข้ามากอดมีนไว้ก่อนเลยนะ”

“วิทย์มันรักและแคร์มีนมาก ยังไงก็ต้องสังเกตเห็นอยู่แล้ว”

“ใช่จ้ะ เพราะรักและแคร์มากถึงได้สังเกตเห็นแม้ว่าจะเป็นท่าทีเล็กๆ น้อยๆ” มีนายิ้มสวยก่อนจะลุกขึ้นยืน “มีนต้องไปทำงานแล้ว เดี๋ยวคุณแม่จะดุเอา ภีมจำแผนกกายภาพที่มีนชี้บอกได้ใช่ไหม ไปถึงแล้วก็ถามหาวิทย์ได้เลยนะ”

“จำได้สิ ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนนะ”

“ไว้เจอกันจ้ะ”

ภีมภัทรลุกขึ้นยืนส่งจนเพื่อนสาวเดินจากไป ใบหน้าที่เคยหมองถูกปรับเปลี่ยนให้ดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนสังเกตเห็นความผิดปกติทางอารมณ์ของตัวเอง

“ภีม…”

ภีมภัทรฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขารีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งเข้าไปหาจักรพรรดิที่มีนางพยาบาลช่วยเข็นรถออกมานอกห้องให้ หลังจากขอบคุณเธอแล้วภีมภัทรก็เข้าไปทำหน้าที่เข็นรถต่อ เขาพาจักรพรรดิไปหยุดอยู่บริเวณเก้าอี้ที่ตัวเองเคยนั่ง ก่อนจะหยิบน้ำเปล่าที่ซื้อเตรียมไว้ยื่นให้

“น้ำครับ”

“…”

“พี่จักร?” ดวงตาคู่สวยทอประกายงุนงงเมื่อถูกจับจ้องไม่ละสายตา มือที่ถือขวดน้ำลดต่ำลงเรื่อยๆ เพราะคนตรงหน้าไม่ยอมยื่นมือมารับไปเสียที

เผลอทำอะไรให้ไม่พอใจอีกหรือเปล่านะ...

“…ของภีม”

“ครับ?”

“พี่อยากกินแก้วภีม” ไม่ว่าเปล่า คนพูดใช้ดวงตาคู่นั้นกดดันด้วยแววตาอ่อนโยนจนภีมภัทรเผลอหยิบแก้วลาเต้ของตัวเองยื่นให้โดยไม่รู้ตัว และในวินาทีถัดมาฝ่ามือเย็นเฉียบคู่นั้นก็ประกบทับลงมาบนมือเขาแล้วดึงเข้าไปดูดน้ำหน้าตาเฉย

“พะ...พี่จักร”

“จืดไปหน่อย”

“...”

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ” จักรพรรดิไม่ได้ละสายตาไปไหน เขาเพียงพูดเปลี่ยนเรื่องออกมาง่ายๆ จากนั้นก็แค่ยกยิ้มมุมปากรอดูท่าทีของคนเอ๋อ

“เพื่อนไหน…” ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ เหมือนยังจับทิศทางอะไรไม่ได้ แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของคนต้นเรื่อง ใบหน้าใสก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อน่ามอง คำพูดเหมือนไม่รู้สึกตัวเมื่อครู่หากให้แก้คงไม่ทัน เจ้าตัวจึงทำได้เพียงตั้งสติ พยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด ก่อนจะเดินไปประจำตำแหน่งแล้วออกแรงเข็นรถโดยไม่เอ่ยปากอะไรอีก

น่าอับอายที่สุดในสามโลก…

“เพื่อนมาได้ยินเข้าคงเสียใจแย่ที่โดนลืม…”

นี่ก็ย้ำจัง!

จักรพรรดิอยากจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเสียงฟึดฟัดเหมือนไม่พอใจปนทำอะไรไม่ถูกจากทางด้านหลัง ทว่าสุดท้ายเขาก็ทำเพียงยกยิ้มนิดๆ เพราะกลัวจะโดนโกรธ

บางทีภีมภัทรอาจมีพลังพิเศษ...ที่ช่วยสลายความขุ่นมัวในใจเขาได้เพียงแค่ยิ้มให้

คนคนนี้ไม่เหมาะกับใบหน้ากังวลใจเหมือนตอนที่เขาเห็นเมื่อออกมาจากห้องตรวจเลยแม้แต่นิดเดียว...ทำให้ยิ้มได้ก็ดีแล้ว

“ถึงแล้ว” เสียงพึมพำจากด้านหลังดังขึ้นเบาๆ ขณะที่รถถูกเข็นเข้าไปในแผนกกายภาพบำบัดของโรงพยาบาล

พื้นที่ด้านในมีความกว้างขวางและแบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน จักรพรรดิมองเครื่องช่วยเดินรวมถึงอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ด้วยแววตาเฉยชา ช่วงเวลาหนึ่งเขาก็เคยเห็นอุปกรณ์เหล่านี้มาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นเขาจ้างวานนักกายภาพบำบัดให้ไปช่วยดูแลที่บ้าน อุปกรณ์ต่างๆ ที่เขาใช้จึงมีเพียงไม่กี่อย่าง

‘ถ้าฉันไม่หาย นายตกงาน’

จำได้ว่าเขาเคยพูดออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ร่างของนักกายภาพบำบัดชาวต่างชาติที่ถูกจ้างวานมาคนนั้นสั่นงกๆ น่าสงสาร จวบจนเมื่อผ่านไปไม่นาน เมื่อเขาทนไม่ไหว รับสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ไม่ได้ พร้อมกับที่แม่บังเกิดเกล้าไม่อยากรออีกต่อไป เวลานั้นการรักษาถูกหยุดลง...จักรพรรดิไล่นักกายภาพคนนั้นออกไปให้พ้นสายตา แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เพราะอำนาจของเขาแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว

หุ่นเชิดที่ผุพัง...ใครกันจะอยากเก็บเอาไว้

“รบกวนคุณจักรพรรดิช่วยตอบคำถามผมตามความจริงด้วยนะครับ” วิทยาในชุดของนักกายภาพบำบัดเต็มตัวนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางคล้ายกำลังจะสัมภาษณ์คนใหญ่คนโต เรียกได้ว่าดูเกร็งเสียจนน่าขำ ทว่าดูเหมือนจะเป็นข้อดี...

เพราะท่าทางแบบนั้นทำให้ภีมภัทรหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ และการที่ภีมภัทรหัวเราะ...ส่งผลให้คนบางคนหลุดออกมาจากภวังค์ที่แสนมืดมนได้ในที่สุด

“จะเกร็งอะไรขนาดนั้นวะ พี่จักรไม่ใช่ผีเสียหน่อย” ภีมภัทรส่ายหน้าหน่าย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอารมณ์ดี เขาขยับรถจักรพรรดิให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นกลางระหว่างพวกเขากับวิทยาเอาไว้

“มึงไม่มีทางเข้าใจหรอกไอ้ภีม” วิทยาเถียงเสียงค่อย อยากจะบอกไอ้เพื่อนตัวดีเหลือเกินว่าแววตาของคนข้างๆ มันสามารถฆ่าคนตายได้ชัดๆ ตัวเองได้สิทธิ์พิเศษถึงได้ไม่รู้ แต่ขืนพูดออกไป นอกจากจะตายแล้ว ท่าทางเขาจะไม่เหลือศพด้วยล่ะมั้งเนี่ย

“อะไรจะขนาดนั้น”

“เรื่องอื่นไว้ทีหลังน่า ตอนนี้ขอกูดูสภาพร่างกายคุณเขาก่อน” นักกายภาพบำบัดวิทยารีบเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุยเล่นกับเพื่อนต่อ แต่เพราะเห็นคิ้วเข้มของใครบางคนเริ่มขมวดเหมือนจะไม่พอใจ เขาถึงต้องรีบตัดบทก่อนจะโดนฆ่าเข้าจริงๆ “ก่อนอื่นผมต้องประเมินสภาพร่างกายของคนไข้ก่อนการรักษานะครับ เวลามีการเปลี่ยนแปลงเราจะได้เห็นภาพชัดเจน ระหว่างที่ตรวจผมจะอธิบายเรื่องต่างๆ ที่จำเป็นไปด้วย ถ้าคุณจักรพรรดิหรือภีมมีอะไรสงสัยสามารถสอบถามได้ตลอดเวลานะครับ”

“เข้าใจแล้ว” ภีมภัทรตอบรับแทนเมื่อเห็นอีกคนยังนั่งนิ่ง ซึ่งดูเหมือนวิทยาเองก็เข้าใจอุปนิสัยของจักรพรรดิดีอยู่แล้วเขาจึงไม่ได้ท้วงอะไร เพียงแค่หยิบกระดาษขึ้นมาจดบันทึกและอธิบายต่อ

“ขั้นตอนการประเมินร่างกายจะเป็นการทดสอบหรือตรวจร่างกายโดยรวม แต่จะไม่ใช่การตรวจแบบที่คุณหมอตรวจให้เมื่อครู่ ถ้าคุณหมอคือคนดูแลสุขภาพโดยรวม ดูแลเรื่องยาต่างๆ ผมจะทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการทรงตัว การเคลื่อนไหว เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกายภาพของคนไข้ อย่างตอนนี้ผมจำเป็นต้องตรวจดูก่อนว่าคุณจักรพรรดิมีเรี่ยวแรงแค่ไหน ตรงไหนมีแรงหรือไม่มีแรงบ้าง ถ้ายังไงผมต้องขอรบกวนแตะตัวคุณหน่อยนะครับ”

ภีมภัทรที่กำลังตั้งใจฟังกะพริบตาอย่างงุนงงเมื่อสายตาสองคู่หันมามองเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ หรือถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าวิทยาหันมามองเขาราวกับจะรอคำตอบเพราะจักรพรรดิหันมามองก่อนต่างหาก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร สุดท้ายจึงทำได้เพียงมองสบดวงตาคมคู่นั้นแล้วยิ้มบางให้ เพียงแค่นั้นจักรพรรดิก็หันหน้ากลับไปแล้วพยักหน้าให้วิทยาในทันที

“ขออนุญาตครับ” นักกายภาพบำบัดหนุ่มเดินอ้อมโต๊ะมาคุกเข่าลงตรงหน้าผู้ป่วย มือถกขากางเกงขึ้นเพื่อตรวจสอบขาทั้งสองข้างที่มีปัญหา เขาแตะไปมาอย่างเบามืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามอง “รู้สึกอะไรบ้างไหมครับ”

“ไม่” จักรพรรดิตอบสั้นๆ

“แล้วถ้าแบบนี้รู้สึกไหมครับ” วิทยาขยับมือขึ้นไปที่ต้นขาทั้งสองข้างแล้วออกแรงกดเต็มที่

“ไม่”

“ไม่ทราบว่าคุณจักรพรรดิควบคุมระบบขับถ่ายเองได้เป็นปกติหรือเปล่าครับ”

“อืม”

ถามคำตอบคำของจริงเป็นอย่างไร ภีมภัทรได้รู้ในวันนี้เอง...

ชายหนุ่มหันไปสบตาเพื่อนราวกับจะขอโทษแทน ดีที่วิทยาเข้าใจอยู่แล้วเลยไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเท่านั้น หลังจากถามคำถามเพิ่มและให้ทดสอบร่างกายโดยละเอียดเรียบร้อยแล้ว นักกายภาพบำบัดหนุ่มก็เดินกลับไปนั่งประจำที่และอธิบายต่อช้าๆ

“โชคดีที่ระบบขับถ่ายยังทำงานได้อยู่ แสดงว่าอาการบาดเจ็บตอนเกิดอุบัติเหตุไม่ได้ร้ายแรงจนถึงจุดนั้น แค่ตัดการเชื่อมต่อกับบริเวณขาจนไร้ความรู้สึก แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ...ถึงจะขาดการรักษาไปพักใหญ่แต่ยังมีโอกาสหายดีอยู่แน่ๆ” ว่าจบแล้วเขาก็หยิบกระดาษออกมาวาดรูปลงไปบนนั้นแล้วเลื่อนมาให้ดูประกอบการอธิบาย “ส่วนเรื่องขาลีบที่ไอ้ภีมแอบกระซิบถามผมตั้งหลายครั้ง จริงๆ แล้วต้องบอกว่าคนทุกคนมีโอกาสเป็นแบบนี้หมดถ้าไม่ได้ใช้งานกล้ามเนื้อเลย ในส่วนของคุณจักรพรรดิถ้ากล้ามเนื้อขามีอยู่สิบส่วน คุณยังเหลืออยู่ประมาณห้าถึงหกส่วน น่าจะเป็นผลมาจากการที่มีคนช่วยทำกายภาพที่ขาให้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากจริงๆ ครับ”

จักรพรรดิรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากในใจกลับนึกไปถึงน้องชายสองคนที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอดตั้งแต่ที่เขากลับมาไทย จำได้ว่าวันนั้นที่ลงมาจากเครื่องพ่อของเขาก็มารับเหมือนกัน แต่เพราะต้องเดินทางบ่อยทำให้ไม่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันมากนัก มีเพียงฮ่องเต้และประมุขที่คอยผลัดกันมาทำกายภาพให้เขาทุกเช้า แล้วก็อีกคน...

“แล้วต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะเห็นผลเหรอ ต้องมาบ่อยหรือเปล่า” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและความคาดหวังราวกับเป็นตัวเองที่ต้องรับการรักษาทำให้ผู้ป่วยตัวจริงหลุดยิ้มบาง

ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ เขาก็มีคนคนนี้คอยอยู่เคียงข้างและคอยดูแลมาโดยตลอด...

ราวกับรับรู้ได้ว่าถูกจ้องตาไม่กะพริบ ภีมภัทรหันหน้ากลับไปมองคนด้านข้างโดยอัตโนมัติ เขาเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ทว่าคำตอบที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มจางเท่านั้น ชายหนุ่มทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมหันหน้ากลับไปฟังวิทยาพูดต่อเมื่อเห็นว่าจักรพรรดิหันกลับไปแล้ว

“นั่นขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการรักษาด้วย ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่าต้องการรับการรักษาแบบไหน จะมาที่โรงพยาบาลหรือจ้างนักกายภาพไปที่บ้านก็ได้ ส่วนเรื่องความถี่ก็แล้วแต่คนไข้เช่นกัน เพราะบางคนอาจไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก แต่ถ้าอยากให้เห็นผลไว ยิ่งถี่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

“แล้วมาที่นี่กับจ้างไปที่บ้านแตกต่างกันมากไหม” ภีมภัทรถามต่อทันควัน ไม่ปล่อยให้คนที่พูดยาวเหยียดหยุดพักหายใจ ขนาดวิทยาจะหยิบน้ำมาดื่มยังอุตส่าห์ยื่นมือไปดึงแก้วออกให้ แน่นอนว่าเป็นเพื่อนสนิทกันย่อมไม่จบที่คำด่าเพียงคำเดียว ทว่าก่อนจะได้อ้าปาก ดวงตาคมกริบของคนที่นั่งเงียบกลับตวัดมาหาเหมือนจะสั่งให้เงียบ ทำเอาคนเตรียมอ้าปากจะด่ากลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน

“เอ่อ...” นักกายภาพบำบัดที่เคยรักษาคนไข้มาหลายสิบคน ในเวลานี้กลับติดอ่างแค่เพราะโดนจ้องมอง มีนารู้เมื่อไหร่คงหัวเราะจนได้ยินทั่วโรงพยาบาลแน่ ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะรีบรวบรวมสติแล้วพูดต่อ “ถ้าไม่พูดถึงเรื่องเงิน ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องของอุปกรณ์ ส่วนตัวผมคิดว่ามาที่โรงพยาบาลดีกว่า เพราะนอกจากจะมีอุปกรณ์ช่วยเหลือหลายอย่างแล้ว ความปลอดภัยก็มากกว่าเช่นกัน วันหนึ่งอาจจะใช้เวลาแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้ามีเวลามาทุกวัน ทำทุกอย่างอย่างสม่ำเสมอ เดือนสองเดือนต้องเริ่มเห็นผลแน่นอน”

“มาที่นี่ห้าวัน อีกสองวันจ้างมึงไปที่บ้าน แบบนั้นได้ไหม” ในสายตาของภีมภัทร เขาต้องการแค่ให้จักรพรรดิหายเร็วๆ อยากใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะลืมไปแล้วว่าคนที่ต้องตัดสินใจไม่ใช่ตัวเอง

“ได้อยู่แล้ว กูเพิ่งปิดงานล่าสุดไป แต่มึงจะเอาแบบนั้นแน่ใช่ไหม”

“แน่”

“ถามคุณเขาหรือยัง” วิทยาพยักพเยิดไปทางคนที่ว่าโดยไม่หันไปมอง แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้ภีมภัทรตาโตเพราะลืมไปเสียสนิท

“พี่จักร...”

“เข้...เสียงอ่อนเป็นเต้าหู้”

“ไอ้วิทย์...” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ดุดันอะไร มันเป็นเพียงเสียงเรียบๆ ตามสไตล์ของคุณชายภีมภัทรที่วิทยาเคยรู้จักก่อนจักรพรรดิจะเข้ามาก็เท่านั้น

“ครับๆ ไม่พูดแล้วครับผม” มีหรือคนกลัวเพื่อนอย่างวิทยาจะสู้ได้ เขายกมือยอมแพ้ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เห็นแบบนั้นแล้วภีมภัทรจึงยอมละสายตาออกมาจ้องมองคนที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว

“พี่จักรโอเคหรือเปล่าครับ ถ้าจะมาที่นี่ห้าวันแล้วให้วิทย์ไปที่บ้านสองวัน”

“แล้วแต่ภีม” จักรพรรดิตอบสั้นๆ “แต่พี่ขอออกเงินเอง”

“แต่ว่า...”

“พี่ไม่ได้เอาอะไรมาจากที่นั่นก็จริง แต่ระยะเวลาหนึ่งหรือสองปีที่พี่กลับมาอยู่ที่นี่ พี่ไม่ได้อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ”

“ภีมไม่ได้...” ภีมภัทรเม้มปากแน่นเมื่อเห็นแววตารู้ทันของคนด้านข้าง ถ้าเขาพูดออกไปพี่จักรก็คงรู้อยู่ดีว่าโกหก เพราะเขาไม่เคยโกหกคนคนนี้ได้เลย ภีมภัทรยอมรับว่าเขาคิดว่าจักรพรรดิคงไม่ได้มีเงินเท่าไหร่นักแล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ทำงานอะไรด้วย แต่เขาไม่เคยดูถูกเลยแม้แต่น้อย จักรพรรดิยังคงเป็นคนที่เขาเคารพรักเสมอมา ทว่าความคิดเหล่านั้น... “ภีมไม่ได้ดูถูกพี่จักร”

“พี่รู้”

“แต่ความคิดภีมมัน...”

“พี่เข้าใจ” จักรพรรดิไม่ใช่คนชอบอธิบาย แต่เมื่อเห็นใบหน้าหงอยๆ ของเด็กตัวน้อยข้างกายแล้วจะให้หยุดพูดก็ทนไม่ได้ เขาจึงยื่นมือไปแตะฝ่ามือขาวที่วางอยู่บนหน้าตักตัวเองเบาๆ ให้อีกฝ่ายหันมามองก่อนจะพูดต่อ “พี่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง อาศัยทำงานที่บ้านในช่วงที่ไม่ได้อารมณ์แปรปรวน ถึงจะน้อยถ้าเทียบกับที่ภีมมี แต่พี่ก็อยากพึ่งตัวเองก่อน แค่ภีมพักงานเพื่อมาดูแลพี่ก็มากพอแล้ว”

“พี่รู้ได้ยังไง” ภีมภัทรเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จริงอยู่ที่เขาไม่เคยปิดบังว่าตัวเองหยุดงาน เพราะแทบทั้งวันก็ใช้เวลาอยู่กับจักรพรรดิเท่านั้น เพียงแต่เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะให้ความสนใจกับเรื่องของเขาจนสังเกตเห็นเรื่องนี้ด้วย

“เรื่องงานในร้านดอกไม้น่ะเหรอ”

“ทำไม...”

“มีคนบอกมา”

“ป้าน้อย...” นอกจากป้าน้อยที่เคยช่วยเขายกอาหารไปให้พี่จักรก็ไม่มีใครอีกแล้ว ภีมภัทรเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง ไม่รู้ว่าโดนเผาเรื่องอะไรไปบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายขึ้นมาล่ะก็...เขาจะกล้ามองหน้าพี่จักรได้ยังไงกัน

จักรพรรดิใช้ช่วงเวลาที่อีกคนกำลังนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองหันหน้าไปหาวิทยา เขาไม่ได้สนใจนักเมื่อเห็นว่าที่นักกายภาพบำบัดของตัวเองสะดุ้งจนตัวโยน น้ำเสียงราบเรียบเพียงพูดประโยคบอกเล่าธรรมดาออกมา หากในความคิดของวิทยามันกลับเหมือนประโยคคำสั่งที่ห้ามปฏิเสธ

“เอาตามที่ภีมว่า แต่เรื่องค่าใช้จ่ายฉันจะรับผิดชอบเอง ห้ามรับเงินจากภีมเด็ดขาด”

“รับทราบครับ” วิทยาพยักหน้าหนักแน่น เขามองเมินแววตาเข้มๆ ของเพื่อนตัวเองก่อนจะพูดต่อ “นอกจากเรื่องของการทำกายภาพขาแล้ว คุณต้องออกกำลังที่แขนให้มากด้วยนะครับ จุดมุ่งหมายสำคัญของเราคือการช่วยให้คนไข้พึ่งพาตัวเองได้ แล้วมันยังส่งผลไปถึงเรื่องกำลังแขนที่ต้องใช้พยุงตัวเองตอนฝึกเดินในอนาคตด้วย เพราะงั้นอย่าลืมออกกำลังแขนเยอะๆ นะครับ”

“อืม”

วิทยายังอธิบายเรื่องต่างๆ ต่ออีกสองสามเรื่อง เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วเขาจึงขอเริ่มสาธิตการออกกำลังขาให้ดูในเบื้องต้น ชายหนุ่มสำรวจขาของคนไข้ในความดูแลอย่างละเอียด ค่อยๆ ยกขึ้นลงอย่างมีระบบ ลืมเลือนทุกความเกร็งที่เคยมีเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่ของจริง ความเป็นมืออาชีพของนักกายภาพบำบัดที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาจากมหา’ลัยชื่อดังทำให้จักรพรรดิพอใจไม่น้อย เขายอมให้วิทยาแตะตัวทั้งที่ไม่ชอบ ส่วนหนึ่งเพราะความเป็นการเป็นงานที่เห็น และอีกส่วน...เป็นเพราะคนที่กำลังทำหน้าตาเป็นห่วงอยู่ด้านข้าง

“ในช่วงที่อยู่ที่บ้านคุณต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด พยายามเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายตัวเองหรือทำอะไรที่จำเป็นต้องทำในชีวิตประจำวันด้วยตัวเองดู ให้คนช่วยตอนที่คิดว่าไม่ไหว มันถือเป็นการฝึกกล้ามเนื้ออย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก อีกอย่างคุณจะได้ดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องให้คนมาคอยช่วย ต่อให้ยังไม่หายก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองได้”

ภีมภัทรจ้องมองสิ่งที่วิทยาทำและฟังสิ่งที่เขาพูดด้วยความตั้งใจ เผลอๆ จะตั้งใจฟังมากกว่าจักรพรรดิที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำเสียอีก เขาไม่อยากพลาดรายละเอียดอะไรแม้แต่นิดเดียว ถ้าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พลาดไปคือเรื่องที่สามารถช่วยจักรพรรดิได้ เขาคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่

“เวลาออกกำลังกายอย่างการเหยียดขาหรือชันเข่าในท่าต่างๆ ช่วงแรกคุณอาจจะยังทำเองไม่ได้ก็ให้คนช่วยยกก่อน หลักๆ แล้วเป็นหน้าที่ผม แต่ถ้าอยู่ที่บ้านหรือผมไม่ได้อยู่ด้วยก็สามารถทำได้เหมือนกัน ที่สำคัญคือพยายามเกร็งตามด้วยนะครับ มันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ” นักกายภาพหนุ่มกวักมือเรียกเพื่อนให้ไปยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะพูดต่อ “มึงดูไว้แล้วกัน เผื่อเอาไปใช้ด้วย”

“โอเค”

“เวลางอขาให้จับแบบนี้ ค่อยๆ ยกไม่ต้องรีบ”

“ต้องออกแรงมากไหม”

“เหมือนยกขาเป็นปกติเลย ใช้แรงในการยกเฉยๆ ไม่ต้องฝืนอะไร”

“กูขอลองได้ไหม”

“เอาดิ”

“แบบนี้เหรอ”

“ช้าๆ หน่อย ให้เวลาคนไข้พยายามเกร็งตามด้วย”

“ได้”

จักรพรรดิไม่รู้เลยว่าเขามองภาพของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแบบไหน เขารู้เพียงใบหน้าตั้งอกตั้งใจนั้นดึงดูดสายตาของตัวเองไปได้จนหมด มือเรียวขาวที่เคยสัมผัสมาแล้วว่าไม่ได้นุ่มแต่ก็ไม่ได้หยาบเกินไปนักกำลังจับขาเขาไว้แล้วยกขึ้นลงตามคำสอนอย่างเคร่งครัด ปากบางๆ ที่ชอบพูดจ้อให้ฟังทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนพูดเก่งกำลังพึมพำนับเลขตามจังหวะที่เพื่อนบอกอย่างมีสมาธิ แม้แต่ดวงตาคู่สวยนั่นยังทอประกายอ่อนโยนและเป็นกังวลเหมือนกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ ทุกๆ การแสดงออกของคนตรงหน้าจุดประกายแสงแห่งความหวังที่เคยมอดไปแล้วให้กลับมาสว่างอีกครั้ง

“โอเค สรุปว่าพรุ่งนี้เก้าโมงนะ”

“ตามนั้น”

“งั้นไว้เจอกันภีม”

เสียงร่ำลาของคนสองคนทำให้ผู้ที่สติไม่อยู่กับตัวมานานรู้สึกตัว จักรพรรดิพยักหน้ารับไหว้ของวิทยา รอจนอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วร่างโปร่งของคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นจึงลุกขึ้นยืน ทว่าดูเหมือนจะนั่งนานเกินไปภีมภัทรถึงได้ตัวเซเหมือนจะล้ม คนที่มองอยู่เกือบยื่นแขนออกไปคว้าตามสัญชาติญาณ และอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือโดยการคว้าจับแขนเขาไว้ก่อน จักรพรรดิเกร็งแขนจนเส้นเลือดขึ้น ใจคิดเพียงไม่ต้องการให้คนข้างกายเจ็บ และความพยายามของเขาคุ้มค่า...

“ขอโทษครับ” มันเป็นคำขอโทษที่ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะไม่จริงใจแล้วคนพูดยังหัวเราะออกมาเสียงใส ดวงตาคู่สวยเป็นประกายระยิบระยับอย่างคนอารมณ์ดีิิ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนมองยิ้มตามได้อย่างเช่นตอนนี้

“อารมณ์ดีอะไร”

“ภีมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง “น่าจะดีใจที่วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีล่ะมั้ง”

“หืม”

“ว่ากันว่าถ้าครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี ครั้งต่อๆ ไปก็จะดีเหมือนกัน”

“งั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว” คนอารมณ์ดีตอบกลับขณะเดินไปประจำตำแหน่งเพื่อเข็นรถไปด้วย “ภีมว่าจะเข้าไปที่ร้านก่อน พี่จักรไปด้วยกันนะ”

“อืม”

“เสร็จแล้วเราไปหาอะไรกินกันดีไหม”

“ตามใจ”

“จะเข้าร้านทั้งที คงต้องแวะซื้อของฝากไปให้คนที่ร้านสักหน่อย ภีมไม่ได้กลับไปมาสักพักแล้ว ทางนั้นคงเหนื่อยน่าดู...แต่พี่จักรไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ร้านภีมกว้าง มีที่ให้พี่จักรนั่งรอนอนรอถมเถเลย แล้วก็ตกแต่งแบบสบายตาด้วยนะ ทำเลก็ดีด้วย ภีมเลือกเองกับมือ ถ้าหิวก็ให้คนไปซื้อข้าวจากร้านตรงหัวมุมให้ก็ได้ ตรงแถวนั้นมีร้านค้าเป็นสิบร้าน ของอร่อยเยอะแยะเต็มไปหมดจนเลือกกินไม่ไหวแน่ๆ” ได้ทีคุณเจ้าของร้านก็ร่ายยาวไม่หยุดพักเหมือนเด็กที่อยากอวดให้ผู้ใหญ่ดูความสำเร็จของตัวเอง คนฟังเดาได้ไม่ยากเลยว่าถ้าไปถึงร้านแล้วจะโดนอวดหนักขนาดไหน ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิก็ทำเพียงพยักหน้าแล้วรับฟังอย่างตั้งใจ

“อืม”

ก็เสียงอวดๆ นั่นมันน่าฟังน้อยเสียเมื่อไหร่...

“เดี๋ยวเราคงเข้าเมืองกันบ่อยๆ วันหลังภีมจะพาไปเที่ยวนะครับ ต้องสนุกแน่ๆ”

“…”

ใครกันจะสนุก...ดูจากเสียงคนชวนก็น่าจะรู้

“เออใช่...ภีมบอกไอ้วิทย์แล้วว่าให้หาวีลแชร์ให้ใหม่ ส่วนนี้ภีมขอออกเงินนะครับ เพราะมันเป็นความต้องการของภีม”

“รู้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

ใครกันแน่ที่ต้องขอบคุณ...

คนที่มีแต่ได้คิดในใจ เจ้าตัวคนพูดคงไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าตัวเองมีแต่เสียทั้งนั้น แล้วเรื่องที่จะพาเขาไปโน่นไปนี่อีก จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาไปก็เหมือนภาระเพราะตัวเองต้องคอยเข็นรถให้ ไม่รู้ทำไมยังทำเสียงเหมือนดีใจได้ทุกครั้งที่เขาตอบตกลง

“วันนี้เป็นวันดีจริงๆ ด้วย” คนช่างพูดพึมพำเบาๆ ทั้งรอยยิ้ม ในขณะที่จักรพรรดิไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่ออยู่ใกล้ใครบางคน

นั่นสินะ...

วันนี้เป็นวันดีจริงๆ นั่นล่ะ


—————————-

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 18-04-2018 18:43:31
ต้องหายเร็วแน่ๆ เลย พยาบาลดีอย่างนี้ สู้ๆ นะพี่จักร น้องภีมดูแลดีมากกก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 18-04-2018 18:54:13
อบอุ่นใจ //กุมอก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-04-2018 19:05:15
ต้องหายเร็วๆนะอยากให้พี่จักรรุกจีบภีมเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 18-04-2018 19:12:25
น้องภีมดูแลดีแบบนี้ พี่จักรหายไวแน่นอน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 18-04-2018 20:22:50
พี่จักรต้องไม่ยอมแพ้นะ สู้ๆๆๆๆๆๆๆ ทนรอให้หายไม่ไหวแล้ววว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-04-2018 20:49:09
มีนายพยาบาลประจำตัว มันดีอย่างนี้นี่เอง  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 19-04-2018 23:49:27
ภีมน่ารักกก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 20-04-2018 11:29:59
คนดูแลดีแบบนี้อีกแปปเดียวเดี๋ยวก็หาย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-04-2018 00:20:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 22-04-2018 08:23:51
ขอให้จักพรรดิ์มีกำลังที่เข้มแข็งเพื่อตัวเองและเพื่อภีม
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 25-04-2018 17:32:14
-8-


ร้านดอกไม้ที่ภีมภัทรไม่ได้กลับมาเยี่ยมนานยังคงดูสะอาดตาดั่งเช่นทุกครั้ง อีกทั้งพื้นที่ด้านในยังกว้างขวางและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้หลากหลายชนิดกระจายอยู่ทั่วทำให้คนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกอดมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจไม่ได้ จักรพรรดิไม่เคยเข้าร้านดอกไม้มาก่อน และแน่นอนว่าไม่เคยคิดจะเข้า เขาไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติก ไม่เคยซื้อดอกไม้ให้ใคร รวมถึงไม่คิดว่าตัวเองจะชอบดอกไม้ด้วย แต่ไม่รู้เพราะอะไรตั้งแต่ได้ไปที่สวนรังสิมันตุ์เขาถึงเริ่มสนใจมันขึ้นมา ถึงอย่างนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าเหตุผลหลักๆ คงเป็นเพราะคนที่กำลังก้มหน้าดมกลิ่นดอกอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกล

“ไม่เห็นมีใคร”

ตั้งแต่มาถึงที่นี่จักรพรรดิยังไม่เห็นคนงานเลยสักคน ภีมภัทรที่นั่งอยู่ข้างเขาก็ดูท่าทางงงงวยไม่แพ้กัน เมื่อมั่นใจว่าคงไม่มีใครอยู่เป็นแน่ เจ้าของร้านจึงควักกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูร้าน ก่อนจะเดินกลับมาช่วยพยุงเขาออกจากรถโดยไม่ลืมบอกให้ลองเกร็งตัวพยายามออกแรงเองตามคำสอนของนักกายภาพบำบัด แต่พอเห็นคนป่วยเกร็งจนหน้าแดงเข้าหน่อยคุณคนสั่งก็อดใจไม่ไหวบอกให้พอเสียอย่างนั้น

เหนื่อยมันก็เหนื่อย แต่ขำหน้าตาของคนที่ดูลุ้นในทุกๆ เรื่องมากกว่า...

“ภีมเพิ่งนึกออกว่าวันนี้เป็นวันหยุดพนักงาน” คนพูดเงยหน้าจากดอกไม้แล้วหันมายิ้มแห้ง “ท่าทางเราต้องจัดการขนมเองแล้วล่ะ พี่จักรช่วยภีมด้วยนะ”

“หือ” จักรพรรดิเลิกคิ้ว ใบหน้าคมคายดูผ่อนคลายขณะมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง “ซื้อเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิ”

“เดี๋ยวก่อน พี่เป็นคนบอกภีมให้ซื้อเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ก็เห็นคนบางคนกินเยอะ”

“ภีมไม่ได้กินเยอะนะ” ภีมภัทรหน้าบูด ปากเถียงทั้งที่มือเปิดถุงขนมอยู่ “ไม่ได้กินบัวลอยเจ้านี้มาตั้งนาน ทองหยอดกับฝอยทองนี่ก็ด้วย”

“นี่หิวใช่ไหม”

“เปล่านะ” ปฏิเสธทั้งที่มือเริ่มจิ้มทองหยอดเข้าปาก “อร่อย...พี่จักรลองเร็ว”

“หึ”

“อ้าปากๆ”

จักรพรรดิมองทองหยอดที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตาพิจารณา แค่เห็นสีก็รู้แล้วว่าต้องหวานมากแน่ๆ แล้วเขาใช่คนชอบกินหวานเสียที่ไหนกัน ตอนทำงานอยู่ต่างประเทศแค่เลขาชงกาแฟติดหวานมาให้ยังเขวี้ยงทิ้งมาแล้ว นับประสาอะไรกับขนมตรงหน้า

“กินแล้วจะได้อะไร”

“แค่กินขนมหวานคำเดียวต้องขออะไรด้วยเหรอ” น้ำเสียงงุนงงจริงจังของคนถามเกือบทำให้คนขี้แกล้งหลุดขำ ภีมภัทรมองดวงตาคมเป็นประกายวาววับแล้วก็เสียวสันหลังแปลกๆ มือที่จิ้มทองหยอดค้างไว้ลดต่ำลงโดยไม่รู้ตัว ทว่าก่อนจะได้ปฏิเสธออกไปตามสัญชาตญาณ มือของคนรู้ทันก็คว้าจับข้อมือของเขาไว้อย่างแน่นหนา

“ไม่ทันแล้วเด็กน้อย” จักรพรรดิจ้องตาคนที่เขาสถาปนาให้เป็นเด็กน้อยของตัวเองนิ่งงัน ก่อนทองหยอดที่หวานจนเลี่ยนจะถูกงับเข้าปากไปอย่างรวดเร็วทั้งที่สายตายังไม่ละออกจากกัน

“ภะ...ภีมเด็กกว่าแค่สองปีเองนะ” ภีมภัทรหลบสายตาเมื่อรู้สึกเหมือนความร้อนกำลังแพร่กระจายไปทั่วใบหน้า เขาไม่เคยทานทนกับสายตานั้นได้เสียที ตอนเย็นชาก็เย็นชาจนน่าใจหาย แต่ตอนขี้แกล้งกลับทำให้หน้าร้อนจนอยากจะบ้าตาย ขืนจ้องต่อไปหน้าคงไหม้แน่ๆ

“เด็กน้อย”

“เหมือนตรงไหน”

“ยังจะถามอีกเหรอ”

“ภีมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

คนไม่รู้ตัวเลิกคิ้วงุนงง มือจิ้มขนมเข้าปากไม่หยุด ขณะที่ในใจนึกครุ่นคิดว่าตัวเองไปทำอะไรเหมือนเด็กน้อยตอนไหน ภีมภัทรมั่นใจว่าเขารักษาภาพพจน์ได้ดีมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนหน้าตึงและไม่เคยยิ้ม แต่เมื่อโตขึ้นถึงได้รู้ว่ารอยยิ้มคือสิ่งสำคัญในหลายๆ สถานการณ์ หลังจากนั้นมาตัวตนใหม่จึงถูกสร้างขึ้น ภีมภัทรคนใหม่เคยได้รับการโหวตให้เป็นคุณชายในฝันของสาวๆ สมัยยังอยู่มหา’ลัยในต่างประเทศ รอยยิ้มการค้าที่ทำอย่างไรก็ไปไม่ถึงดวงตายังคงใช้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ ทว่าเมื่อได้เจอคนสำคัญของชีวิต...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

จะว่าไป...

ทำตัวเหมือนเด็กน้อยตอนไหน...

ร้องไห้ใส่ อยากให้กอดปลอบ อ้อนให้กินขนม ยิ้มแฉ่งจนตาปิด หัวเราะตอนอารมณ์ดี...

คุณชายภีมภัทรกลายเป็นเด็กน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าพี่จักรของตัวเองไปแล้วจริงๆ ด้วย

“โอย…”

“เป็นอะไร” จักรพรรดิกลั้นหัวเราะ ตามองคนที่ทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ แล้วเอามือปิดหน้านิ่งๆ

แล้วแบบนี้จะบอกว่าไม่ใช่ได้ยังไง...เด็กน้อยชัดๆ

“พอ!” เสียงห้ามดังนำก่อนเจ้าตัวจะรีบลุกขึ้นยืน หน้าที่เคยขาวแดงก่ำเป็นมะเขือเทศ ขณะที่ดวงตาคู่สวยไม่ยอมมองคนต้นเหตุเลยแม้แต่นิดเดียว “ภีมไปเช็คหลังร้านก่อน พี่จักรกินขนมไปเลย”

“เดี๋ยวสิ...ยังไม่ได้ให้อะไรพี่เลยนะ” จักรพรรดิแกล้งหยอก มือยื่นไปจับข้อมือเล็กล็อคไว้ไม่ให้หนี

“ภีมไม่ได้บอกว่าจะให้สักหน่อย” ฟึดฟัดเสร็จแล้วก็แกะมือเขาออกเบาๆ เหมือนกลัวทำให้เจ็บ

จะงอนทั้งทียังไม่กล้าสะบัดมือ...น่าเอ็นดูจริงๆ

จักรพรรดิมองตามแผ่นหลังของคนขี้อายไปจนลับสายตา ทว่าเมื่อภีมภัทรหายไปแล้ว รอยยิ้มที่เคยมีมาตลอดก็จางลงตามไปด้วย ใช่ว่าเขาลืมเลือนเรื่องคนที่เห็นตอนอยู่โรงพยาบาล แต่เพราะไม่อยากให้คนข้างกายคิดมากจึงพยายามยิ้ม และภีมภัทรก็มีพลังพิเศษในการสลายความกังวลของเขาได้จริงๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้

มือผอมแห้งถูกยกขึ้นมองเหมือนเช่นทุกวัน จำได้ว่าครั้งหนึ่งมือของเขาเคยใหญ่กว่านี้ มันคือมือที่กอบกุมไว้ทั้งเงินตราและอำนาจ แค่นิ้วเดียวก็สั่งการคนได้นับพัน แต่อุบัติเหตุในครานั้นคร่าทุกอย่างไป มือของเขาไม่ได้ใหญ่เหมือนเดิมแล้ว มันผอมแห้ง เล็กลง…

เล็กลงงั้นเหรอ

คล้ายเห็นภาพฝ่ามือขาวสะอาดของใครบางคนวางซ้อนทับลงมาบนมือตัวเอง ในเวลานั้นเองที่รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายอีกครั้ง

มือเขาไม่ได้เล็กลง...มันไม่มีทางเล็กลง...ในวันหนึ่งมันจะกลับไปใหญ่เหมือนเดิม

เพียงแต่ครั้งนี้สิ่งที่ต้องคว้าจับไว้ไม่ใช่เงินตราหรืออำนาจอีกแล้ว

“ภีม…” นิ้มผอมถูกรวบกำเข้าหากัน ความมั่นใจที่เคยจางหางถูกเติมเต็มอีกครั้ง

จักรพรรดิหยิบโทรศัพท์ที่เขาไม่เคยคิดใช้ขึ้นมากดไล่หารายชื่อที่มีอยู่เพียงไม่กี่ราย เขามองจนแน่ใจว่าคนที่อยู่ด้านหลังร้านจะไม่ออกมาในเร็วๆ นี้ เสร็จแล้วจึงกดโทรออกไปยังเบอร์ที่ต้องการ ใช้เวลาไม่นานนักปลายสายก็กดรับด้วยความรวดเร็ว

[จักร...นั่นลูกเหรอ] เสียงทุ้มต่ำเจือความดีใจชัดเจนของฝ่ายนั้นทำให้มุมปากของคนฟังปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นวูบหนึ่ง จักรพรรดิไม่สนใจคำทักทายของบิดาบังเกิดเกล้า เขาพูดเข้าเรื่องด้วยความรวดเร็วเพื่อเตือนให้รู้ว่าตนไม่ต้องการพูดคุยเรื่องไร้สาระ

“ผู้หญิงคนนั้นส่งคนมาที่นี่”

[ลูกหมายถึง...]

“ภรรยาเก่าของคุณ คนที่ทำให้ผมเกิดมา” น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นดูราวกับไม่ได้พูดถึงมารดาผู้ให้กำเนิด ดวงตาคมที่อ่อนโยนเสมอยามจับจ้องไปที่ภีมภัทรในยามนี้แข็งกร้าวน่ากลัว เล็บที่ไม่ได้ตัดมาพักใหญ่จิกลงบนเนื้อขาที่ไร้ความรู้สึกอย่างแรงตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังควบคุมตัวเองได้เมื่อรู้ว่ากำลังคุยเรื่อง ‘ผลประโยชน์’ อยู่

[พ่อจะไปคุยกับแม่ลูกให้] คนปลายสายรีบพูดด้วยความร้อนรน

“คุณคิดว่าเธอจะเชื่อคุณหรือไง”

[พ่อ…]

“กับคนที่เคยใช้ประโยชน์มาหลายปีอย่างผมยังทิ้งได้ แล้วคุณที่โดนทิ้งไปเป็นสิบยี่สิบปีจะสำคัญอะไร”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ดังขึ้นหลังจากจักรพรรดิพูดจบ แต่เขาก็รู้ดีว่าผู้เป็นพ่อไม่มีทางตัดสายตัวเองก่อนเป็นแน่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรอเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมแม้แต่คำเดียว ท้ายที่สุดแล้วผู้เป็นพ่อที่เงียบไปนานก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ เหมือนจะหมดแรง

[จักรจะให้พ่อช่วยอะไรใช่ไหม]

“ใช่” เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมต้องการเบอร์โทรส่วนตัวของเกรย์”

[เกรย์? ลูกหมายถึงคุณเกรย์ลูกชายของท่านทูตฟรานซิสงั้นเหรอ]

“อืม” จักรพรรดิคิดจะตอบเพียงเท่านั้น ทว่าเมื่อไตร่ตรองดูแล้วเขาจึงอธิบายเพิ่มเติมเพราะไม่ต้องการให้คนคนนี้เข้ามายุ่งในภายหลัง “เกรย์เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ผมไว้ใจ คุณเองก็รู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นยึดทุกอย่างของผมไปหมดแล้ว แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ให้มา ถึงขนาดส่งคนมาตามดูเสียด้วยซ้ำ ทางเดียวที่ผมจะติดต่อกับเกรย์ได้คือการโทรคุยเท่านั้น”

[ถ้าไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นหน้า คุณเกรย์จะไม่มีทางหลงเชื่อเรื่องอะไรก็ตามที่บอกไปสินะ]

“ใช่...และหน้าที่ของคุณคือการเอาเบอร์เขามาให้ผมโดยไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นรู้”

[พ่อถามได้หรือเปล่าว่าลูกกำลังจะทำอะไร]

“…” ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น จักรพรรดิรับฟังเสียงถอนหายใจจากปลายสายโดยไม่ได้ว่าอะไร สิ่งที่เขาต้องการคือคำตอบสำหรับคำถามที่เขาถามเพียงอย่างเดียว

[พ่อจะจัดการให้]

“อืม”

[จักร...]

“…”

[เดือนหน้าพ่อจะไปเชียงใหม่ ถ้ายังไงเราไป...]

“ผมไม่ว่าง” คำพูดไร้เยื่อใยคงทำให้คนฟังเจ็บช้ำไม่มากก็น้อย หากมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออก ทำท่าคล้ายจะวางสายโดยไม่ฟังคำตอบ แต่แล้วเมื่อเห็นเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มเดินมาจากหลังร้านและกำลังจะอ้าปากเรียก เขาก็ตัดสินใจเอามันมาแนบหูอีกครั้ง

[ไม่เป็นไร]

“ถ้า…” แววตาที่เคยเย็นชาอ่อนลงขณะมองคนที่กำลังเม้มปากแน่นกลั้นเสียงตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่ “ถ้าประมุขกับฮ่องเต้มาด้วย คุณจะมาก็มา”

เพียงเท่านั้นสายก็ถูกตัดไป จักรพรรดิคงไม่รู้เลยว่าในยามนี้ผู้เป็นพ่อที่อยู่อีกฝั่งกำลังยิ้มกว้างด้วยความดีใจขนาดไหน

“คุยเสร็จแล้วเหรอครับ” ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างก่อนจะส่งแก้วน้ำมาให้ จักรพรรดิรับไปแล้วจ้องมองน้ำเปล่าในมืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถามเขาก็เอ่ยปากขึ้นก่อน

“ฟังตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม”

คนฟังหน้าบึ้ง ปากกลายเป็นสระอิ คล้ายจะไม่คิดปกปิดท่าทางเหมือนเด็กน้อยของตัวเองอีกแล้วเมื่อโดนรู้ทัน

“เบื่อคนฉลาด”

“เข้าไปตั้งนานกลับออกมาพร้อมน้ำเปล่าแก้วเดียว แถมไอ้หน้าตาอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไม่มิดนี่อีก” เขายื่นมือไปดึงแก้มขาวๆ อย่างอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นว่าเป็นรอยแดงแล้วจึงยอมปล่อยให้เจ้าของแก้มเอามือปิดไว้แต่โดยดี

“เจ็บนะ” ภีมภัทรร้องโอดโอย ครั้งนี้เขาเจ็บจริงแบบไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด เพราะคนแรงเยอะเล่นบีบเสียเต็มแรงเหมือนจะไม่ยอมปล่อยถ้าแก้มเขายังไม่แดง แต่ยังไงก็ตามความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากเกินไปก็ทำพิษอยู่ดี

ยอมเจ็บก็ได้ถ้าจะทำให้พี่จักรยอมบอกเรื่องของตัวเองมากขึ้น...

“พี่จักร...”

อยู่ๆ คนแก้มแดงก็เรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเคร่งเครียดแบบที่ไม่ได้หาได้บ่อยๆ ของภีมภัทรทำให้จักรพรรดิยอมจริงจังตาม เขาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างตัว มือทั้งสองข้างประสานกันไว้บนหน้าตัก ลักษณะเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจ แต่คนมองกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนแกล้งอยู่ยังไงก็ไม่รู้

“ที่โรงพยาบาล...” ภีมภัทรกลืนความสงสัยที่สำคัญน้อยกว่าลงไปแล้วพูดเรื่องที่สำคัญกว่า “ทำไมพี่จักรถึงดูน่ากลัวแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม”

“ช่างสังเกตจังนะ”

“ก็บอกแล้วว่าแคร์มากไง” เหมือนคนพูดจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ เพราะคิ้วนั้นขมวดมุ่นจนแทบเป็นปม ลำบากคนมองต้องยื่นมือไปจิ้มให้มันคลายออก ไม่รู้ว่าคนงอแงกลัวเขาเปลี่ยนเรื่องหรือกลัวเขาไม่เชื่อที่ตัวเองเคยบอกกันแน่ แต่เท่าที่สังเกตดูแล้วจักรพรรดิคิดว่าน่าจะเป็นทั้งสองอย่าง

“ไปล็อคร้านก่อนไป”

“หือ...” ภีมภัทรทำหน้าตาสงสัย ทว่าขากลับเดินไปทำตามคำสั่งอย่างง่ายดาย เขาจัดการล็อคประตูร้าน ปิดผ้าม่านทั้งหมด เสร็จแล้วจึงเดินกลับมาพาจักรพรรดิเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวด้านหลังที่กว้างขวางพอสมควร

ห้องทำงานนี้เป็นห้องทำงานที่เชื่อมกับห้องนอนซึ่งเขาตกแต่งเอง เพราะตั้งใจทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักผ่อนไปในตัว แม้จะไม่ได้ใหญ่โตนักแต่ก็มากพอจะแบ่งให้เป็นสองห้องย่อย ช่วงเวลาที่ไม่ยอมกลับบ้านและต้องเข้ามาทำงานที่ร้าน เขาก็อาศัยนอนเอาที่ห้องด้านในตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีเตียงนอนหรือชุดโซฟาอยู่ในห้องนั้นด้วย

“พี่จักรนั่งเก้าอี้คงเมื่อยแล้ว เข้าไปนั่งบนเตียงด้านในแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า”

ภีมภัทรยังคงใส่ใจสุขภาพและความสะดวกสบายของจักรพรรดิมากกว่าเรื่องใด เขาพาคนป่วยเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ช่วยพยุงจนอีกฝ่ายนั่งพิงหัวเตียงแล้วจึงดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ให้

“พี่เห็นของคนมินตราที่นั่น”  แม้จะเป็นการเกริ่นออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าภีมภัทรกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดี เขาจึงทำเพียงนั่งนิ่งแล้วรับฟังต่อ “มินตรา...คือแม่ของพี่”

“แม่ของพี่...”

แม้แต่คำว่าแม่ยังไม่อยากเรียก...ต้องเกลียดมากขนาดไหนกัน

“ที่ผู้หญิงคนนั้นส่งคนมาตามดูพี่ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เพราะกลัวว่าพี่จะเล่นตุกติก”

“แต่พี่จักรออกมาจากที่นั่นตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” จากที่ฮ่องเต้บอกมา จักรพรรดิหยุดรักษาตัวไปเป็นปีแล้วนับจากกลับมาจากต่างประเทศ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของทางนั้นมาเป็นปีเช่นกัน แต่ทำไม...

“พี่เคยอยู่ที่นั่นในฐานะหุ่นเชิด แต่ถึงจะเป็นหุ่นเชิดก็ยังได้ชื่อว่าเป็นประธานบริษัท เส้นสายและเพื่อนพ้องทั้งหมดที่มีคือตัวอันตราย แม้พี่จะไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของสินทรัพย์หรือมีแค่เพียงในนาม แต่ถ้าคิดจะดึงอำนาจมาไว้ในมือก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”

พูดง่ายๆ...ถ้าเขาคิดจะหักหลักแม่ตัวเองแล้วดึงทุกอย่างมาไว้ในกำมือล่ะก็ มันง่ายดายเสียยิ่งกว่าอะไร และมันก็ไม่ใช่แค่ ‘ถ้า’...เพราะจักรพรรดิไม่คิดจะอยู่ใต้เงามารดาแต่แรกแล้ว

“ตอนที่พ่อกับแม่ของพี่เลิกกัน พวกเขาแยกกันไปคนละทาง พ่อลำบากหาเลี้ยงพี่กับน้อง ส่วนแม่ไปได้สามีใหม่เป็นมหาเศรษฐีที่ต่างประเทศ จริงๆ เราแทบไม่ต้องเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงนั่นไม่ได้อยากเอาใครไปเป็นตัวถ่วง เราควรจะแยกกันไปแล้วไม่มีวันกลับมาพบเจอกันอีก...แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นเพราะแม่นั่นโลภมากไม่รู้จักพอ”

ตลอดเวลาที่จักรพรรดิพูดออกมาน้ำเสียงของเขามีเพียงความเรียบเฉยไร้อารมณ์ หากภีมภัทรกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันน่าอึดอัดที่กระจายอยู่โดยรอบ เขาทำได้เพียงรับฟัง หากไม่อาจออกความเห็นอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรออกไป

“พ่อเลี้ยงเป็นคนเจ้าชู้ มินตราคิดว่าสักวันคงมีใครสักคนเดินมาบอกว่าท้องกับเขาแล้วมาแย่งทรัพย์สมบัติทุกอย่างไป เพราะงั้นถึงได้กลับมาเพื่อเอาตัวพี่ไปอยู่ที่นั่นในฐานะลูก และโชคร้าย...ที่พ่อเลี้ยงดันชอบความฉลาดของพี่และมอบทุกอย่างให้พี่จริงๆ ผู้หญิงคนนั้นสอนให้พี่เข้าใจถึงแก่นแท้ของเงินตราและอำนาจ แต่สุดท้าย...หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ก็เขี่ยพี่ทิ้ง”

หุ่นเชิดที่พังแล้วจะเก็บไว้ทำไมให้รก...

เขายังจำคำพูดนั้นได้ดี

“คงเพราะกลัวว่าพี่จะแว้งกัดถึงได้ส่งคนมาตาม”

“แล้วพ่อเลี้ยงพี่ล่ะครับ”

“ตายแล้ว” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบ “เขาอยู่กับพี่ตอนเกิดอุบัติเหตุ”

“หมายความว่า...” ภีมภัทรเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัวด้วยความตกใจและหวาดกลัว

“ไม่ใช่หรอก” ราวกับจะรู้ว่าอีกคนคิดอะไร จักรพรรดิส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อยของเขาเบาๆ ให้คลายกังวล “ถึงจะโลภมากขนาดไหนแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้กล้าพอจะวางแผนฆ่าใครหรอก วันนั้นฝนตกหนัก พ่อเลี้ยงของพี่ขับรถเอง เขาขับเร็วมากจนรถพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างทาง ส่วนมินตราก็แค่โชคช่วยเท่านั้น”

“ตกใจหมดเลย” ภีมภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยจะดูหนังมากเกินไปหน่อยถึงได้คิดเป็นตุเป็นตะไปหมด “แล้วพินัยกรรมล่ะครับ คนระดับนั้นน่าจะมีไม่ใช่เหรอ”

“ดูเหมือนก่อนตายพ่อเลี้ยงจะบอกทนายไว้แล้วว่ายังไม่ให้เปิดพินัยกรรม พี่ก็ไม่รู้ว่าเงื่อนไขคืออะไร แต่อำนาจในบริษัททั้งหมดจะตกเป็นของพี่ไปก่อนตามที่พ่อเลี้ยงเคยมอบหมายตำแหน่งประธานบริษัทให้ โชคร้ายที่พี่กลายเป็นคนพิการแบบนี้แล้วยังกลับมาอยู่ที่ไทย มันเลยเหมือนเป็นการสละสิทธิ์ให้มินตราก้าวเข้าไปรับช่วงแทน...ยังดีที่ก่อนเปิดพินัยกรรมไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับสมบัติของพ่อเลี้ยงนอกจากการบริหารงาน ไม่อย่างนั้นแม่นั่นคงผลาญเงินไปจนหมดแล้ว”

“แล้วคนชื่อเกรย์...” เมื่อตั้งสติได้แล้วภีมภัทรก็รีบถามถึงเรื่องที่สงสัย ตอนที่แอบฟัง...หมายถึงได้ยินโดยบังเอิญ เขาได้ยินคำว่า ‘เกรย์’ ชัดที่สุด ยังไงคนคนนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับพี่จักรไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่

“เกรย์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่พี่ไว้ใจ” จักรพรรดิอธิบาย ทว่าแววตาทอประกายรู้ทันชัดเจนจนคนมองต้องหันหน้าหนี “เราจะติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์หรือเจอหน้ากันโดยตรงเท่านั้น โชคร้ายที่ตอนกลับมาที่นี่มินตรายึดทุกอย่างของพี่ไปหมด แล้วพี่ก็ไม่คิดจะเอาอะไรมาจากที่นั่นด้วย พอต้องการจะติดต่อทั้งที พี่เลยจำเป็นต้องขอให้พ่อที่ทำงานอยู่ต่างประเทศช่วยหาเบอร์เจ้านั่นมาให้”

“จะว่าไปภีมก็ไม่ได้เจอคุณลุงเลย ท่านทำงานอะไรเหรอครับ” ภีมภัทรจำได้ว่าเขาเคยเจอพ่อของสามพี่น้องตั้งแต่เด็ก แต่ตอนพี่จักรมาที่นี่ เขากลับไม่เห็นคุณลุงมาส่ง มีแค่ฮ่องเต้กับประมุขเท่านั้นที่มา

“ทำงานออฟฟิศธรรมดา แต่เพราะอยู่สาขาต่างประเทศเลยไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน”

“อ๋อ…”

“ทำหน้าอะไร” หน้าตาเหมือนกำลังสงสัยขั้นสุดและอยากถามเต็มแก่แบบนั้น เห็นแล้วไม่รู้จะหัวเราะดีหรือเปล่า

“ภีมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีๆ แบบพี่จักรต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”

“…” คล้ายถูกเขย่าตัวจนได้สติ จักรพรรดินิ่งไปนาน แววตาคมมีประกายน่ากลัววาบผ่าน หากเพียงครู่เดียวมันก็จางหายไปจนใครอีกคนไม่ทันสังเกตเห็น

“พี่จักรแค่อยากติดต่อคุณเกรย์เพราะเป็นเพื่อนจริงๆ เหรอ”

“เปล่า” เขาตอบตามตรง ริมฝีปากยกยิ้มบางเมื่อเห็นสายตาคาดหวังของเด็กน้อย “แต่ภีมอย่าเพิ่งรู้เลย”

“อ้าว...ไม่ได้นะ บอกมาขนาดนี้แล้ว” ภีมภัทรหน้าเหวอ เสียงคล้ายจะงอแงก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ คือหน้าตึงไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่คนมองได้แต่หัวเราะเบาๆ อย่างผ่อนคลาย เขาโคลงหัวไปมา ทว่าแววตาจริงจังขึ้นหลายส่วน

“รอให้พร้อมแล้วจะบอกเอง”

“สัญญานะ”

“อืม”

ขอเวลาอีกนิด...

‘พี่จักรใจดีที่สุดในโลกเลย!’

เขายังไม่อยาก...ทำลายความเชื่อของเด็กคนนี้







หลังจากทานข้าวที่ภีมภัทรสั่งมาส่งที่ร้านเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองคนก็ตกลงกันว่าจะนอนที่นี่ ภีมภัทรโทรไปบอกบิดาเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมานั่งพูดคุยกับจักรพรรดิอยู่นานเรื่องการทำงานของตัวเอง เพราะดูเหมือนพี่จักรจะอยากให้กลับมาทำงาน ได้ยินแบบนั้นแน่นอนว่าชายหนุ่มต้องรีบปฏิเสธ ภีมภัทรอยากให้พี่จักรอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับดอกไม้เยอะๆ จะได้มีกำลังใจในการรักษา แต่แค่โดนตอกกลับมาประโยคเดียวเขาก็เถียงไม่ออกอีกต่อไป

‘กำลังใจของพี่คือภีม ไม่ใช่ดอกไม้หรือบรรยากาศดีๆ อะไรทั้งนั้น ถ้ากังวลนักเราอยู่ที่นี่ด้วยกันก็ได้ ยังไงก็ใกล้โรงพยาบาลมากกว่า แล้วเสาร์อาทิตย์​ค่อยกลับสวน’

เอาแค่ประโยคแรกก็ตายสนิทแล้ว...จะเอาอะไรไปเถียงกัน

ภีมภัทรมองคนที่กินยาและหลับไปก่อนด้วยแววตาอ่อนโยน เขารู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของตัวเองกับพี่จักรดีขึ้นทุกวัน และถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากเกินไป ดูเหมือนพี่จักรเองก็คิดไปในทิศทางเดียวกัน แต่เพราะอะไรบางอย่างมันทำให้ภีมภัทรกังวลมากมายเหลือเกิน...

เขาไม่เกี่ยงเรื่องที่ต้องรอ...ไม่ว่าจะให้รอนานแค่ไหน ต้องให้มั่นคงอีกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร แต่ความรู้สึกแย่ๆ ยามได้ยินว่าแม่ของอีกฝ่ายส่งคนมาตามดูกลับไม่จางหายไปเสียที

ผู้หญิงคนนั้นอาจจะร้ายกาจตามที่จักรพรรดิบอก...เธอเคยมาเอาตัวพี่จักรไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วถ้าครั้งนี้เธอจะเอาตัวเขาไปอีก ภีมภัทรจะทำอย่างไร

“ไม่ได้...” เธอเป็นคนไม่ดี ไม่สมควรจะมายุ่งกับพี่จักร ยังไงก็ให้มายุ่งไม่ได้เด็ดขาด

ในฐานะที่เป็นทายาทรังสิมันตุ์ เรื่องเกี่ยวกับเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าและภีมภัทรไม่มีคืออำนาจ แล้วต้องทำอย่างไรเขาถึงจะปกป้องจักรพรรดิได้ ต้องทำอย่างไรถึงจะได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป

ดวงตาคู่สวยทอประกายดุดันและจริงจังราวกับเขากำลังกลับไปเป็นคุณชายภีมภัทรผู้สุขุมอีกครั้ง สิ่งที่ต่างไปจากเมื่อก่อนคงมีเพียงมือเรียวขาวซึ่งกำลังจับมือของคนที่กำลังนอนหลับไว้แน่นและไม่มีวันปล่อยไปอีก

“ภีมไม่ให้พี่ไป”

ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น...

ครืด ครืด

ภีมภัทรรีบหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามันจะทำให้คนบนเตียงตื่น โชคดีที่เจ้าของมือที่เขาจับไว้ยังไม่รู้สึกตัว ชื่อที่ปรากฏบนจอทำให้มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มด้วยความมาดหมาย

[ภีม?]

“เต้”

[ผมแปลกใจสุดๆ เลยตอนเห็นนายโทรมา โทษทีนะที่เมื่อวานไม่ได้รับ เพิ่งได้ดูโทรศัพท์เมื่อกี้เอง]

ปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมีเสียงดังตึงตังตามมาเหมือนคนพูดกำลังเดินไปที่ไหนสักแห่ง

“ไม่เป็นไร”

[มีอะไรหรือเปล่าภีม ปกติถ้าไม่ใช่ผมหรือมุขโทรไปถามเรื่องพี่จักร ยังไม่เคยเห็นนายโทรมาเลยนะ]

ฮ่องเต้เป็นคนฉลาดและมองคนขาด ภีมภัทรรู้เรื่องนั้นดีเพราะเคยได้ยินจักรพรรดิพูดอยู่ครั้งหนึ่ง ฝ่ายนั้นคงไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดถึงน้องชายด้วยสีหน้าภูมิใจขนาดไหน ซึ่งเขาก็เห็นด้วยในทุกเรื่อง เพราะตั้งแต่เด็กๆ ฮ่องเต้มักจะเป็นคนที่รู้เรื่องก่อนใครแทบทุกอย่าง ต่างจากน้องชายคนเล็กโดยสิ้นเชิง

“จริงๆ เมื่อวานผมจะโทรไปบอกว่าพี่จักรยอมรับการรักษาแล้วน่ะ”

[จริงเหรอภีม!]

น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของฮ่องเต้ทำให้ภีมภัทรหลุดยิ้ม เขามองหน้าคนหลับอีกครั้งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่ามันคือเรื่องจริง เสร็จแล้วจึงพูดย้ำด้วยความหนักแน่น

“จริงสิ”

[คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาพี่จักรไปหานาย ขอบใจมากนะภีม]

“ผมเต็มใจ”

[ว่าแต่...คงไม่ได้อยากคุยแค่เรื่องนี้ใช่ไหม]

“ฉลาดอีกแล้ว” เขาหัวเราะเบาๆ เช่นเดียวกันกับปลายสายที่ไม่ปฏิเสธอะไรสักคำ “เต้...”

[ฟังอยู่]

“แม่ของพวกนายส่งคนมาตามดูพี่จักร”

[…]

เพียงเท่านั้นเสียงหัวเราะที่มีก็จางหายไปแทบจะทันที ความตึงเครียดที่แม้ไม่เห็นหน้าก็สัมผัสได้ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ และมันใช้เวลาเนิ่นนานกว่าฮ่องเต้จะกลับมาพูดอีกครั้ง

[นายรู้แค่ไหนภีม]

“ไม่ละเอียดเท่าที่นายรู้...พี่จักรไม่อยากพูดถึง และผมก็ไม่อยากกดดันเขา”

[อาทิตย์หน้าผมกับมุขรวมถึงพ่อจะไปหาที่นั่น...เราน่าจะต้องมาคุยกันหน่อย]

“ได้ ผมจะจัดการเรื่องที่พักให้”

[ภีม]

“หืม”

[ช่วยรับปากอย่างหนึ่งได้ไหม]

“…” ภีมภัทรไม่ได้ตอบรับในทันทีเมื่อได้ยิน เขาเพียงเงียบเพื่อรับฟังเป็นเชิงบอกว่าหากเป็นเรื่องที่รับปากได้ก็จะไม่ลังเล แต่หากทำไม่ได้ตนเองจะไม่มีวันพูดอะไรออกไปเด็ดขาด

[ได้โปรด...อย่าทิ้งพี่จักร]

“…”

[เขาไม่เหลือใคร...ไม่สิ...ต้องบอกว่าเขาไม่เคยมีใครอยู่เคียงข้างเลยต่างหาก]

คนฟังสูดหายใจเข้าจนสุด สายตาไม่ละไปจากใบหน้าซูบเซียวของคนป่วยเลยแม้แต่วินาทีเดียว น้ำเสียงเจ็บปวดของฮ่องเต้บาดลึกลงไปในใจ และมั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนบนเตียงผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมายขนาดไหน

“ผมรับปาก”

จะไม่มีวันทิ้งไปไหนเด็ดขาด...

ต่อให้ต้องทำอะไรแย่ๆ ต้องเห็นแก่ตัวมากขนาดไหน จากนี้จะไม่มีวันปล่อยมืออีกแล้ว...

‘ภีมของพี่เป็นเด็กดีที่หนึ่งเลย’

ถ้าภีมไม่ใช่เด็กดี...พี่จักรจะทิ้งภีมไปหรือเปล่า


————————




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-04-2018 18:04:49
ยัยแม่ร้ายอ่ะ :serius2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 25-04-2018 18:41:16
เออะ มีปมที่แม่หรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-04-2018 20:11:07
จักร สู้ ๆ นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 25-04-2018 21:53:44
น่าสงสารพี่จักรอ่ะ แม่แท้ๆกับมองแค่ผลประโยชน์  :hao5:
โชคดีที่มีน้องภีมที่คอยดูแลพี่จักร พี่จักรก็ดูฮึกสู้ขึ้นมาแล้ว
อีกไม่นานพี่จักรต้องกลับมาเดินได้แน่นอน  :katai2-1:

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 25-04-2018 21:55:49
ชอบดีเทลคำพูดของทั้งสองคน ที่ต่างคนต่างนึกถึง ต่างคนต่างกังวลซึ่งกันและกันอ่ะ ฮือออ พี่ก็กลัวน้องมองไม่ดี น้องก็กลัวพี่ทิ้งถ้าเป็นเด็กไม่ดี
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 26-04-2018 07:43:17
ต่างคนต่างนึกถึงกันและกัน แคร์กันมากๆแบบนี้น่ารักอ่ะ แต่อยากให้คุยกันเร็วๆนะ จะได้ช่วยกันแก้ปัญหา สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 02-05-2018 20:11:19
-9-


ร้านดอกไม้ที่ไม่ได้คึกคักมานานเพราะเจ้าของร้านสุดหล่อหายตัวไปกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อมีคนบอกต่อๆ กันว่าเห็นหนุ่มหล่อของใครหลายๆ คนกลับมาทำงานแล้ว ปกรณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการชั่วคราวรับศึกหนักที่สุดเมื่อสาวๆ มาที่ร้านแล้วไม่เจอภีมภัทร เขาจึงต้องคอยตอบคำถามและรับของฝากสารพัดจนแทบจะเต็มเคาน์เตอร์

“เหนื่อยหน่อยนะพี่” ปอนด์หัวเราะอารมณ์ดีขณะกำลังเปลี่ยนน้ำให้ดอกไม้ เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาทุกที

“ไม่ต้องหัวเราะเลยไอ้ปอนด์ เดี๋ยวพี่เข้าไปคุยกับคุณภีมเมื่อไหร่แกก็ต้องมาดูร้านแทนแล้ว” ปกรณ์ผลักหัวน้องชายที่หันขวับมามองในทันทีที่เขาพูดจบเบาๆ เป็นเชิงหยอก “รับมือกับสาวๆ ไปคนเดียวแล้วกัน”

“โธ่พี่ปก...อย่าแกล้งผมดิ” ปอนด์โอดครวญ ตัวเขาเล็กนิดเดียว จะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับสาวๆ แรงเยอะพวกนั้นกัน

“ไม่ได้แกล้ง คุณภีมจะฟังสรุปงานจริงๆ เว้ย”

“เชื่อก็ได้...ว่าแต่พี่ปก” ปอนด์ทำหน้าตาตื่นพลางหันซ้ายหันขวา พอเห็นทางสะดวกแล้วก็ขยับมากระซิบจนชิดเหมือนกลัวจะมีใครมาได้ยิน “คนที่มากับคุณภีมใครเหรอ”

“นี่แกเห็นคุณเขาด้วยเหรอ”​ ปกรณ์ถามด้วยความแปลกใจ ตอนที่เจ้าเด็กนี่มาถึงร้านเขาก็เห็นเจ้านายพาคุณคนนั้นเข้าไปด้านในแล้ว ไม่คิดว่าเจ้านี่จะเห็นด้วย

“ก็ตอนเข้าไปหยิบของในห้องทำงานคุณภีมผมเผลอสบตาเขาพอดีน่ะสิ” เด็กหนุ่มลูบแขนตัวเอง ท่าทางหวาดกลัวจริงจังจนปกรณ์จะด่าก็ด่าไม่ลง “โคตรหล่อเลย ผมว่าถ้าเขาไม่ผอมขนาดนั้นนี่น่าจะยิ่งกว่านายแบบอีก...แต่น่ากลัวฉิบหาย”

“อืม...น่ากลัวจริงๆ นั่นล่ะ” ปกรณ์พยักหน้าเห็นด้วย

เขายังจำได้ดีในตอนที่มาถึงร้านแล้วเห็นเจ้านายกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะพูดคุยกับผู้ชายที่เขาไม่เคยเห็นหน้า เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่คิดจะเอ่ยปากทัก ดวงตาคมกริบคู่นั้นก็ตวัดมามองเสียก่อน แต่แค่มองวูบเดียวกลับทำเหมือนจะดึงวิญญาณคนโดนมองตามติดไปด้วย มันไม่ใช่แค่เย็นชา ทว่าดุดันและแข็งกร้าวในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คนคนนั้นทำราวกับกำลังมองศัตรู พอเห็นว่าไม่ใช่จึงถอนสายตากลับไปเหมือนเดิม หารู้ไม่ว่าได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นในใจผู้ชายแมนๆ คนหนึ่งไปแล้ว

“ปอนด์มาดูร้านแทนพี่ก่อน คนไม่เยอะหรอก มันหมดพักเที่ยงแล้ว” ชายหนุ่มถอดผ้ากันเปื้อนออก ตากวาดมองเพียงชั่วครู่เพื่อหาว่าลืมอะไรไว้ไหม เมื่อแน่ใจแล้วจึงหันกายเดินไปทางห้องด้านหลัง

“โชคดีนะพี่”

“เออ”

ไม่รู้ทำไมการพูดการจาและท่าทางถึงได้ดูเหมือนจะเข้าห้องเชือดขนาดนั้น...

ปกรณ์เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้วสองสามครั้ง สถานการณ์ที่เจ้านายไม่อยู่แล้วทิ้งให้เขาดูแลร้้าน เมื่อกลับมาแล้วก็จะเรียกเข้าไปคุยแล้วถามเรื่องต่างๆ ครั้งแรกเขาคิดว่าแค่ถามสถานการณ์ทั่วไป ที่ไหนได้...ให้สรุปรายรับรายจ่าย จำนวนของทั้งหมด ขอหลักฐานสารพัดในครั้งเดียว เล่นเอาเอ๋อแดกไปเป็นวัน ครั้งต่อๆ มาเขาเลยไม่เคยทำพลาดอีก แต่แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกและปกรณ์ก็รู้อยู่แล้วว่าควรเตรียมอะไรมาบ้าง เขาก็ยังอดเกร็งไม่ได้อยู่ดี เผลอๆ จะเกร็งมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

ปกติคุณภีมคนเดียวก็จะบ้าตายอยู่แล้ว นี่มีคนดูดวิญญาณอีกคน บอกตรงๆ ว่าน่ากลัวคูณสิบ...

ก๊อก ก๊อก

“ขออนุญาตครับ”

ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเคาะประตูและปลงไปเอง

“เข้ามาเลยปกรณ์”

เจ้าของชื่อสูดหายใจเข้าจนสุดเพื่อรวบรวมสติ วินาทีที่เปิดประตูเข้าไปด้านใน ปกรณ์เตรียมรับแรงกดดันที่มากกว่าปกติไว้เต็มที่ หากแต่เมื่อได้เงยหน้ามองชัดๆ แล้วเขาก็แทบจะปิดประตูไปอีกรอบ  ไม่ใช่เพราะกดดัน...แต่อะไรคือการที่เจ้านายของเขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเพื่อบีบนวดขาของคนที่นั่งอยู่บนโซฟากัน

น่ากลัว...

ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน

“ยืนทำอะไร เข้ามานั่งสิปกรณ์” ภีมภัทรพูดทั้งที่หันหลังอยู่ ยังดีที่ปกรณ์รู้สึกตัวไว เขารีบเก็บสีหน้าเหวอๆ ของตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน

“ผมเตรียมรายงานไว้ให้แล้วครับคุณภีม” เขารีบเอาสมุดรายงานออกมาวางบนโต๊ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงยืนอย่างสงบรอให้ภีมภัทรลุกขึ้นยืน แม้คิ้วจะกระตุกหน่อยๆ ตอนเห็นสีหน้าเจ้านายดูอ่อนโยนผิดปกติแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมากไปกว่านั้น

“เดี๋ยวผมจะอ่านทีหลัง...” เจ้าของร้านหนุ่มไม่สนใจปกรณ์ที่กำลังทำหน้าเหวอ จริงอยู่ที่เขาเป็นคนเข้มงวดและค่อนข้างจะละเอียด แต่ไม่เห็นว่าจะดุตรงไหน ไม่เข้าใจว่าแค่บอกว่าจะอ่านทีหลัง ไม่ได้อ่านในทันทีแบบทุกครั้งแล้วมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือไง “คุณชินกับการทำงานตำแหน่งใหม่หรือยัง”

“คิดว่าเข้าที่แล้วครับคุณภีม มีเจ้าปอนด์คอยช่วยด้วยเลยลดภาระไปได้เยอะ” ปกรณ์ตอบไปตามตรง

“งั้นก็ดีแล้ว...คุณทำงานตำแหน่งเดิมต่อไปแล้วกัน ส่วนเรื่องรายงานผมจะตรวจสอบเป็นงวดๆ อีกไม่นานผมจะปล่อยร้านนี้ให้คุณดูแลทั้งหมด คุณไหวใช่ไหมปกรณ์” ประโยคคำถามที่คล้ายประโยคคำสั่งทำให้ปกรณ์ตกตะลึงอยู่นาน เขาเกือบจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจออกมา แต่เพราะยังมีสติอยู่บ้างจึงรีบยั้งไว้แล้วพยักหน้ารับคำ

“ครับคุณภีม ขอบคุณมากครับที่ไว้ใจผม”

“อืม…” ภีมภัทรยิ้มบาง “ไปเถอะ”

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างสุภาพแล้วรีบเดินไวๆ ออกไปจากห้องโดยไม่ลืมก้มหัวให้จักรพรรดิที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

ภีมภัทรมองตามหลังลูกน้องคนสนิทไปจนประตูปิด เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่คิดว่าการวางภาระที่แบกไว้ให้ใครสักคนช่วยจัดการให้จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขนาดนี้

“เป็นยังไงบ้าง” เสียงเรียบๆ ของคนต้นคิดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว ร่างโปร่งรีบเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงตรงโซฟาข้างกัน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าหงึกหงักเพื่อบอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ ด้วย

“ภีมเพิ่งรู้ว่ามันรู้สึกดีขนาดนี้”

“ดีแล้ว” จักรพรรดิลูบหัวทุยเบาๆ ดวงตาฉายชัดถึงความเอ็นดูที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน

“พี่จักรเคยเป็นแบบภีมใช่ไหมครับ พี่ถึงได้รู้ว่าควรทำยังไง”

ภีมภัทรยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจใครเท่าไหร่นัก เวลาใช้ให้ใครทำอะไรให้ก็มักใช้อย่างเสียมิได้ แล้วก็ต้องมานั่งตรวจสอบเองแบบละเอียดทีหลัง ทั้งหมดเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาทำลายความสมบูรณ์แบบของตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองที่มีมากเกินไปจนไม่อยากทำงานร่วมกับใครอาจจะทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาต้องทำงานกับคนหมู่มาก

จักรพรรดิอ่านทุกอย่างได้ขาด เขาบอกให้ภีมภัทรเริ่มจากการปล่อยให้คนช่วยดูแลร้านเล็กๆ แห่งนี้ก่อน เมื่อภีมภัทรทำท่าทางลังเล ชายหนุ่มก็ถามเพียงว่าปกรณ์ทำงานมานานแค่ไหนแล้ว และสำหรับภีมภัทรเขาไว้ใจได้หรือเปล่า คำตอบที่ได้รับกลับมาทันควันโดยไม่ต้องคิดคือไว้ใจได้ แค่นั้นคนตอบก็เริ่มรู้สึกตัวว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“ไม่เคย”

คนถามทำหน้าตางงงวยเมื่อได้ยินคำตอบ เขาคิดว่าจักรพรรดิอาจจะเคยไม่ไว้ใจใครและต้องการทำทุกอย่างด้วยตัวเองแบบเขาเสียอีก

“แล้วทำไม...”

“พี่ตรงข้ามกับภีมแทบทุกอย่าง”

“ภีมไม่เข้าใจ”

“พี่ไม่มีสิ่งที่เป็นของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นถึงไม่สนใจว่าอะไรจะดีหรือไม่ดี ใครจะทำอะไรก็ช่างมัน แค่ถือเอาคำสั่งเป็นสำคัญและทำตามเท่าที่ต้องทำก็พอ” จักรพรรดิเหยียดยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ “ยกตัวอย่างเช่น...ถ้าบริษัทที่พี่ทำงานอยู่ล้มละลายเพราะมีคนยักยอกเงินออกไป พี่ก็ไม่เคยคิดสนใจเพราะมันไม่ใช่ปัญหาของพี่ มันไม่ใช่หน้าที่ของพี่ พูดแบบนี้พอเข้าใจไหม”

เข้าใจ...แต่ก็ไม่อยากเข้าใจเลย

“ตอนนี้พี่จักรไม่ต้องคิดแบบนั้นแล้ว พี่จักรอยู่กับภีมก็พอเนอะ” ภีมภัทรฉีกยิ้มกว้างพลางขยับตัวเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม และท่าทางแบบนั้นทำให้จักรพรรดิยิ้มออก

“รู้แล้ว” เขาดึงแก้มเด็กน้อยของตัวเองเบาๆ “ที่พี่แนะนำให้ภีมทำแบบนั้นก็เพราะภีมพูดเองว่าเขาไว้ใจได้ แล้วอีกอย่าง...พี่อยากให้ภีมเหนื่อยน้อยลงด้วย การแบกทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองมันเหนื่อยมากนะ”

ภีมภัทรรับฟังทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะเป็นเด็กน้อยหรือเปล่า สัมผัสสากๆ ของฝ่ามือที่กำลังลูบหัวอยู่ทำให้เขาได้ใจ ร่างโปร่งทรุดตัวลงนอนบนโซฟา แอบเอาหัวพิงตักของคนตัวสูงไว้แบบเนียนๆ

“ขอบคุณครับ”

จักรพรรดิมองคนขี้อ้อนที่กำลังซุกตัวกับตักเขาอย่างรู้ทัน แม้ขาทั้งสองจะไร้ความรู้สึก ต่อให้นอนทับนานแค่ไหนก็ไม่มีวันเมื่อย หากเจ้าตัวก็ยังไม่กล้าวางหัวทับลงมาเต็มที่ เพียงแค่พิงเอาไว้เท่านั้น

น่าเอ็นดูจริงๆ…

“ภีม”

“หือ...ครับ” ภีมภัทรตอบกลับเสียงงัวเงีย

“เหนื่อยเหรอ”

ที่ต้องดูแลกัน…

ทั้งตื่นมาเตรียมข้าวเช้าให้ พาไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล แล้วยังกลับมาดูงานที่ร้านต่ออีก

“เหนื่อยสิ” คนพูดขยับตัวขยุกขยิกให้กลับมานอนหงาย ดวงตาคู่สวยทอดมองเจ้าของใบหน้าคมคายที่กำลังเป็นกังวลด้วยแววตาอ่อนโยน “เหนื่อยที่ต้องเดินไปซื้อข้าวเพราะมันเมื่อยขา เหนื่อยที่ต้องไปโรงพยาบาลเพราะต้องขับรถ เหนื่อยที่ต้องทำงานเพราะมันน่าเบื่อสุดๆ แต่เพราะพี่จักรคอยเติมพลังให้...แบบนี้”

เจ้าตัวหยิบมือเจ้าของตักไปวางแปะบนหน้าตัวเองแล้วสูดหายใจเข้าจนสุด

“ภีมเลยพลังงานเต็มถังตลอดเลย”

“เข้าใจพูด” จักรพรรดิขยับมือไปดีดหน้าผากมนเบาๆ จนคนโดนทำร้ายหัวเราะคิกคักอารมณ์ดี และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ถูกยึดมือไปแนบแก้มนิ่มอีกครั้ง

“เหนื่อยกายอาจเป็นไปได้ แต่ภีมไม่เคยเหนื่อยใจเลย พี่จักรเชื่อภีมนะ”

จักรพรรดิไม่ตอบอะไร เพราะเพียงแค่เขากลับไปลูบหัวทุยของคนที่เริ่มตาปรือเบาๆ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกินพออยู่แล้ว

พี่เชื่อภีม…

 





หากบอกว่าภีมภัทรเป็นตัวเรียกลูกค้าชั้นดี เช่นนั้นจักรพรรดิก็คงจะเป็นตัวไล่ลูกค้าชั้นเลิศ มีอย่างที่ไหน...เห็นใครมองเจ้าของร้านตาละห้อยหน่อยก็มองตามเขาด้วยดวงตาคมๆ จนลูกค้าแทบจะวิ่งหนีออกจากร้าน โน้ตบุ๊กที่ภีมภัทรยกให้ ไม่รู้ว่าเจ้าของใหม่เคยก้มลงมองเกินห้านาทีหรือเปล่า ครู่เดียวเป็นต้องเงยหน้ามองตามร่างขาวๆ ที่เดินไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีทุกครั้งไป

“อีกนิดเดียวก็จะเป็นตูดแล้วนะนั่น” ปอนด์ที่ซุ่มมองอยู่ไม่ไกลกระซิบกระซาบบอกพี่ชายที่กำลังจัดช่อดอกไม้

“อะไรของแก”

“หน้าบูดเป็นตูดไงพี่ปก” ว่าแล้วก็พยักพเยิดให้ดูคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาข้างเคาน์เตอร์

“ระวังปากหน่อย เดี๋ยวก็โดนดีหรอก” ปกรณ์เตือนน้องทั้งที่ปากยกยิ้ม ใช่ว่าเขาไม่ได้สังเกต เพียงแต่ไม่กล้าพูดเหมือนไอ้คนเด็กกว่าก็เท่านั้น

คุณจักรพรรดิที่คุณภีมแนะนำให้พวกเขารู้จักเป็นคนเงียบมาก ตอนที่แนะนำตัวกันก็พูดเพียงแค่สวัสดีคำเดียว หลังจากนั้นถ้าไม่สนใจโน้ตบุ๊กก็จะเอาแต่มองตามหลังเจ้าของร้านอย่างเดียว ซึ่งดูเหมือนอย่างหลังจะกินเวลามากกว่าเสียด้วย

“คุณภีมมมมมมมมมมมม”

เสียงร้องเรียกโหยหวนที่มาก่อนเจ้าของเสียงดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนในร้านไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิ เขามองร่างบึกบึนของเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่วิ่งเข้ามาในร้านด้วยแววตาราบเรียบ หากคิ้วกลับขมวดมุ่นเมื่อได้ยินว่าคนคนนั้นเรียกชื่อใคร

“ฉิบหายแล้วไง” ปอนด์พึมพำเบาๆ

“เข้าไปกันให้คุณภีมเร็วไอ้ปอนด์” ปกรณ์ผลักเด็กหนุ่มตัวเล็กแรงๆ หนึ่งทีจนเจ้าตัวปลิวไปบังอยู่หน้าภีมภัทรที่กำลังหมุนตัวกลับไปหาคนเรียก เพียงเท่านั้นร่างบึกบึนของเด็กหนุ่มที่พุ่งตัวเข้ามาก็หยุดชะงักในระยะเผาขน ปอนด์หลับตาปี๋ กลัวจะโดนพุ่งชนจนล้มตึงเข้าจริงๆ

“ถอยไปเตี้ย กูจะหาคุณภีม” คนตัวใหญ่เหมือนยักษ์ทำหน้าตาบึ้งตึง ใจนึกอยากจะดึงตัวไอ้เด็กเตี้ยตรงหน้าออก แต่เห็นทีกระดูกมันคงจะหักตามแรงไปด้วย และที่สำคัญ...ขืนทำอะไรมันเข้าไอ้คนที่กำลังเดินตามมาด้านหลังคงฆ่าเขาแน่

“คือ…”

“เร็วๆ ไอ้เตี้ย”

“ฮือ…” ปอนด์เบะปากเหมือนจะร้องไห้ จะถอยก็ไม่ได้ จะพูดอะไรก็พูดไม่ถูก คุณภีมก็ไม่ยอมช่วยอะไรเลย เอาแต่ยืนอยู่ข้างหลังเขาชมละครอยู่นั่นแหละ เป็นแบบนี้ทุกทีเลยฮือ...

“ฉิบหาย...” คนตัวใหญ่ตาโต มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขเมื่อเห็นไอ้เตี้ยทำท่าจะร้องจริงๆ

“ไอ้ใหญ่!”

นั่นไง...

“ปอนปอน มานี่” คนมาใหม่พูดเสียงเข้มอยู่ด้านหลัง ใหญ่กลอกตาก่อนจะยอมหลบให้ไอ้เตี้ยวิ่งไปหาเจ้าของเสียงแต่โดยดี ปอนด์กอดเอวคนตัวสูงเอาไว้แน่น ปากที่เมื่อกี้ไม่รู้จะพูดอะไรฟ้องเอาฟ้องเอายกใหญ่

“พี่ใหญ่พุ่งเข้ามาหาเหมือนจะฆ่าผมเลย ผมกลัวอ่ะเฮีย...”

“ไม่เป็นไรนะ มันไม่กล้าทำอะไรปอนปอนหรอก” ชายตัวสูงหน้าตาดีที่ถูกเรียกว่าเฮียลูบหัวคนตัวเล็กในอ้อมกอดเบาๆ ขณะส่งสายตาฆ่าฟันไปให้เพื่อนตัวโต

“ลำไยไอ้พี่น้องคู่นี้จริงๆ...คุณภีมครับ ใหญ่มาหาแล้วน้า ทำไมคุณภีมหายไปเลย จะติดต่อก็ติดต่อไม่ได้”

ภีมภัทรกะพริบตามองคนที่หันมาออดอ้อนเขาด้วยรอยยิ้ม เขายอมให้อีกฝ่ายพูดจางุ้งงิ้งใส่โดยไม่ได้ว่าอะไร หากตัวกลับเคลื่อนหลบอย่างคล่องแคล่วทุกครั้งเมื่อเห็นว่ามือปลาหมึกคู่โตนั้นทำท่าจะเนียนมาแตะโดน

“ผมมีธุระต้องจัดการเยอะน่ะครับคุณใหญ่”

“แล้วก็ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย ใหญ่น้อยใจนะเนี่ย”

“ขอโทษด้วยนะครับ”

“ใหญ่โกรธคุณภีมไม่ลงหรอก...”

ในขณะเดียวกับที่ภีมภัทรถูกดึงตัวไปโดยคนมาใหม่ ส่วนปอนด์ถูกคนที่ตัวเองเรียกว่าเฮียกักตัวไว้ คนที่ถูกลืมสองคนมองภาพเหล่านั้นเงียบๆ คนหนึ่งละเหี่ยใจคล้ายเคยชิน ทว่าอีกคนขมวดคิ้วหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังเผื่อแผ่ความกดดันไปทั่วบริเวณ ท้ายที่สุดแล้วริมฝีปากที่ปิดสนิทมาตลอดก็เปิดออกและเอ่ยถ้อยคำสั้นๆ ออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“นั่นใคร”

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าประโยคนี้ถามใคร ปกรณ์วางดอกไม้ในมือลงก่อนจะขยับกายเข้าไปหาคนถามแล้วกระซิบตอบโดยอัตโนมัติ

“ลูกค้าประจำของร้านเราครับ คนหน้าหล่อนั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของปอนด์กับผมชื่อสอง ส่วนไอ้หมีถึกตัวเท่าควายนั่นเป็นเพื่อนสองชื่อใหญ่ มันมาติดบ่วงคุณภีมตั้งแต่สองสามเดือนก่อน หลังจากนั้นก็โผล่หน้ามาให้เห็นแทบทุกวัน คุณภีมพูดตรงๆ ก็แล้ว บ่ายเบี่ยงก็แล้วมันก็ยังไม่ยอมรับความจริงเสียที เหตุการณ์แบบนี้ผมเห็นจนชินตาแล้วล่ะครับ แต่อีกสักพักพอคุณภีมเริ่มหุบยิ้มเดี๋ยวก็ไปเอง”

“นานไหม”

“เอ่อ...ส่วนใหญ่ก็เป็นชั่วโมง”

“นานไป”

“ครับ?”

“ภีม…” ไม่ต้องรอให้ปกรณ์สงสัยนานจักรพรรดิก็เอ่ยปากเรียกชื่อของคนที่กำลังยิ้มเสียงเรียบ เขาไม่ได้ตะโกน ไม่ได้เรียกเสียงดังกว่าปกติ เพียงแค่พูดออกมาตามปกติเท่านั้น แต่...

“พี่จักร” คนที่ยืนอยู่ห่างพอควรหุบยิ้มฉับขณะวิ่งไปหาคนเรียก ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า มือกอบกุมมือใหญ่ไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“มานั่งข้างพี่” ไม่ว่าเปล่า จักรพรรดิฉุดแขนรั้งให้อีกคนลุกขึ้นมานั่งข้างกายจนแนบชิดและไม่ได้พูดอะไรอีก หากสายตาคมกลับมองไปยังทิศทางเดิมไม่เปลี่ยน ภีมภัทรทำหน้างุนงงอยู่เพียงครู่เดียว ทว่าเมื่อมองตามสายตานั้นไปก็เข้าใจ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจาง เผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าพี่จักร...

“หึงเหรอ”

เผลอพูดไปแล้ว...แต่จะเอาคำพูดคืนก็ไม่ได้ เมื่อไม่ทันแล้วจึงได้แต่จ้องรอคำตอบตาแป๋ว

จักรพรรดิละสายตาออกจากคนที่ไม่ถูกชะตาแต่แรกพบเพื่อหันมามองหน้าคนถาม แววตาดุดันอ่อนแสงลงเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยมองตรงมาด้วยความคาดหวัง ไม่รู้เจ้าตัวจะลืมไปหรือยังว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย

“อืม” เขาตัดสินใจตอบออกไปแบบนั้นเมื่อหางตาแลเห็นคนมาใหม่กำลังทำตาโตจ้องมองมาอย่างตกตะลึง 

“จะ...จริงเหรอ”

“…” คนตอบถึงกับไปไม่เป็นเมื่อโดนถามย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง จักรพรรดิลืมเลือนทุกสิ่งแล้วจมดิ่งไปกับความคิดตัวเอง

หึงงั้นเหรอ...

เขาไม่เคยรู้จักหรือสัมผัสกับคำคำนี้มาก่อน ชีวิตที่เคยถูกผูกมัดไว้และไร้ซึ่งอิสระทำให้ความรู้สึกที่ควรมีกลายเป็นแข็งกระด้างไปหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความรักหรือความชอบพอกันระหว่างคนสองคนเลย

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่เรียกว่าอะไร

“พี่จักร...”

“ใช่…” จักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงโดยไม่ต้องให้ถามอีกรอบ ซ้ำยังสำทับไปอีกคำเป็นการย้ำทั้งตัวเองและคนฟัง “พี่หึง”

ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ มองคนพูดด้วยใบหน้าเอ๋อเหรอ ทว่าเมื่อจับใจความได้ซ้ำยังโดนลูบหัวเบาๆ ความร้อนก็พวยพุ่งขึ้นจากปลายเท้าลามมายังใบหน้าจนแดงไปหมดทั้งตัว

“โอย…”

จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ ยามมองคนตัวแดงก้มหน้าก้มตาเพื่อหลบซ่อนใบหน้า เขาใช้มือข้างที่ลูบหัวอีกฝ่ายอยู่กดหัวทุยให้ซบลงมาที่ไหล่ ซึ่งเด็กน้อยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการเกาะเสื้อเขาไว้แน่น ดวงตาคมเหลือบมองผู้ชมที่อ้าปากค้างกันเป็นแถบๆ ขณะมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน

“ไอ้ใหญ่” สองสะกิดไหล่เพื่อนที่ยืนตัวแข็งเป็นหินเบาๆ เป็นเชิงเตือน “ไปได้แล้วมึง”

“ดะ...เดี๋ยวก่อน”

“เดี๋ยวอะไรอีก”

“คะ...คุณภีมของกู” ใหญ่เพ้อ ใบหน้าดำเมี่ยมคล้ายคนจะร้องไห้ “คุณภีมยอมให้ผู้ชายกอด...กูยังไม่เคยจับมือเลยนะ”

“เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือไงว่าเขามีเจ้าของแล้ว” สิ้นคำพูดของเพื่อนก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางใจ ร่างบึกบึนแข็งทื่อหนักกว่าเดิม สายตามองตามร่างโปร่งของคนที่นึกชอบตั้งแต่แรกเห็นนิ่งงัน และยิ่งนิ่งเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นคุณภีมคนแมนขยับตัวซุกไหล่ไอ้หน้าโคตรหล่อที่มาทีหลัง

“ใหญ่ปวดใจ...”

“พูดไม่รู้เรื่องแล้ว ปอนปอนมาช่วยเฮียลากมันออกไปหน่อย”

ปอนด์ที่ยืนเอ๋ออยู่รีบวิ่งเข้าไปช่วยพี่ชายลากหมีตัวแข็งออกไปด้านนอกโดยมีปกรณ์เดินตามออกไปด้วย ทิ้งคนสองคนไว้กับโลกที่มีเพียงสองเราอีกครั้ง

“พี่จักรทำให้ภีมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย รู้หรือเปล่า” ประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบดังงุ้งงิ้งอยู่ไม่ไกล ภีมภัทรซุกใบหน้าเข้ากับไหล่ผอม พยายามอย่างยิ่งไม่ให้เจ้าของดวงตาคมเห็นใบหน้าตัวเอง ทว่าสุดท้ายเมื่อถูกเชยคางให้เงยขึ้นมอง เขาก็ยอมทำตามอย่างง่ายดาย

“ไม่ใช่ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกหรือไง” จักรพรรดิถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“เป็นแค่กับพี่นั่นแหละ” คนหน้าบูดทำปากเป็นสระอิ “อย่าว่าแต่ภีมเลย พี่จักรเองก็เหมือนกันนั่นล่ะ”

“พี่ทำไม”

“พี่ก็เป็นเหมือนภีมไง”

“อืม...สงสัยจะจริง พี่เองก็เป็นแค่กับภีมเหมือนกัน” จักรพรรดิมองหน้าแดงสลับเขียวของเด็กน้อยขำๆ อดคิดตามคำพูดของตัวเองไม่ได้

จะว่าไปแล้วก็คงจริงอย่างที่ว่า...

ภาพความทรงจำที่นับวันยิ่งมองเห็นชัดระหว่างตัวเองกับเด็กน้อยของเขานั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนตัวเขาเลยสักนิด จักรพรรดิที่แสนเย็นชา ดุดัน ไม่เห็นหัวใคร ไม่รู้ทำไมถึงได้อ่อนโยนนัก

หรือว่าที่จริงแล้ว...ยามอยู่กับภีมภัทรคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่

“พี่จักรขี้แกล้ง” ปากสระอิของคนพูดบิดเบี้ยวไปมาเหมือนไม่พอใจ ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำยิ่งกว่าลูกตำลึง

จักรพรรดิมองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู...และแล้วเขาก็ได้คำตอบในที่สุด

ไม่หรอก...

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิคนไหนก็คือตัวจริงทั้งนั้น เพียงแต่ท่าทีที่เขาแสดงออกกับคนคนนี้แตกต่างไปจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง

“พวกนั้นต้องตกใจแน่ๆ ที่เห็นภีมเป็นแบบนี้” ปากแดงเรื่อขยับขมุบขมิบไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะบ่นใครกันแน่

“แล้วปกติภีมเป็นแบบไหน”

“ก็...เรียกว่าวางตัวดีน่าจะได้ ถ้าเป็นกับลูกน้องในร้านภีมมักจะทำหน้านิ่งๆ ตามปกติอยู่แล้ว แต่ถ้ามีลูกค้าเข้ามาก็ต้องยิ้มไว้ก่อนตามมารยาท ขนาดคนตัวใหญ่เมื่อกี้มาเกาะแกะภีมยังไม่เคยหลุดมาดเลยนะ” ภีมภัทรได้ทีพูดยกใหญ่ หากจะมองเป็นการโอ้อวดก็คงใช่ เพราะเจ้าตัวคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอวดจริงๆ

แต่ในสายตาจักรพรรดิ...มันเหมือนเด็กชายภีมตัวน้อยๆ กำลังเอาเรื่องระหว่างที่ไม่ได้เจอกันมาเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง

“เก่งมาก” เขาพูดชมออกมาเบาๆ

“แค่นี้เองเหรอ”

จักรพรรดิกะพริบตาช้าๆ ด้วยไม่เข้าใจว่าควรตอบแบบไหนจึงจะถูกต้อง สุดท้ายเขาเลยยิ้มจางแล้วพูดออกไปอีกคำ

“เด็กดี...”

ภีมภัทรติดสถานะพูดอะไรไม่ออกไปนานหลายวินาที ณ ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าควรเถียงเรื่องตัวเองไม่ใช่เด็กก่อนหรือควรหยุดหน้าแดงให้ได้ก่อน ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าคำพูดต่อไปจะดังออกมา

“ขยันโปรยเสน่ห์เหลือเกิน”

“ก็มันได้ใจ”

“หือ”

“โปรยทีไรก็มีเหยื่อติดบ่วงทุกที”

“นี่!” ภีมภัทรถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง ใบหน้าไหม้แล้วไหม้อีกจนไม่รู้จะไหม้ยังไง “หยุดเลย...ภีมรับไม่ไหวแล้วนะ”

“อะไรไม่ไหว” จักรพรรดิยังไม่หยุดแกล้ง ชายหนุ่มอารมณ์ดีทุกครั้งที่เห็นแก้มขาวๆ นั้นขึ้นสี แต่ดูเหมือนวันนี้จะแดงมากกว่าทุกครั้งตั้งแต่ที่เขายอมรับว่าหึง เพราะงั้นถึงได้แกล้งไม่หยุดเสียที

เด็กน้อยจริงๆ...





“ไอ้ปอนด์! อย่าผลักสิวะ”

“พี่ปกนั่นแหละ ขยับไปหน่อยดิ ให้ผมดูด้วย”

“ไอ้เหี้ยสอง! คุณภีม...คุณภีมหน้าแดงด้วยว่ะมึง”

“มึงจะยิ้มทำไมไอ้ใหญ่ เขาไม่ได้หน้าแดงเพราะมึง”

“ชู่ว....เบาๆ กันหน่อย”

ปกรณ์หันไปขมวดคิ้วเตือนพวกที่ยืนอยู่ด้านหลัง ขืนยังคุยกันเสียงดังอยู่แบบนี้ อีกเดี๋ยวคนด้านในต้องรู้ตัวแน่ ทีนี้ไม่ใช่แค่โดนทำหน้าตึงใส่ แต่น่าจะได้ตายกันทั้งหมดนี่ล่ะ

“จะไปอยากรู้เรื่องชาวบ้านอะไรขนาดนั้น” คนที่ไม่ได้อยู่ในวงโคจรของพวกขี้เผือกที่กำลังเกาะประตูบ่นพึมพำเบาๆ คนเดียว สองกลอกตาก่อนจะเดินถอยหลังไปยืนอยู่ไกลๆ

อย่างไรเขาก็จะไม่ยอมโดนลูกหลงไปกับไอ้พวกบ้านี่แน่...

ปกรณ์ไม่น่าห่วงเพราะคงเอาตัวรอดได้ ส่วนไอ้ใหญ่ช่างหัวมัน สงสารก็แต่ปอนปอนน้องชายสุดที่รักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ตัวก็เล็กแค่นั้นไม่รู้จะเถียงสู้ใครเขาได้ไหม

แล้วนั่น...สายตาของใครต่อใครที่เดินผ่านมาเห็นคนหันตูดให้สามคนขณะแอบเกาะประตูร้านดอกไม้ชื่อดัง ไม่อายชาวบ้านชาวช่องกันมั่งเหรอวะน่ะ

“ปวดหัว” สองยกมือกุมศีรษะหน่ายๆ จากที่ไม่อยากยุ่งและไม่คิดสนใจเริ่มจะอับอายแทนอยู่หน่อยๆ แล้วตอนนี้

เอี๊ยด!

ดูพวกมัน...ขนาดมีรถมาเบรกเสียงดังอยู่หน้าร้านแล้วยังไม่หยุดเผือกอีก

เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรชายหนุ่มตัวสูงก็ได้แต่มองไปทางโน้นทีทางนี้ที จนกระทั่ง...

“Sorry…” เสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษจากทางด้านข้างในระยะเผาขนทำให้คนที่กำลังเบื่อต้องหันไปสนใจอย่างช่วยไม่ได้ สองมองชาวต่างชาติตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ...ไม่เข้าว่าไอ้หน้าหล่อผมเทานี่มันจ้องเขาแบบนั้นทำไม

จ้องเหมือนสงสัยอะไร...

“มีอะไร” เขาขมวดคิ้วถามกลับไปด้วยภาษาไทยโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือเปล่า

“ตอนแรกมีธุระกับเจ้าของร้านนี้” หนุ่มต่างชาติคลี่ยิ้มมุมปาก ก่อนแว่นกันแดดราคาแพงจะถูกถอดออก เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสที่ขับให้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเป็นคนขี้เล่นน่าคบหา “แต่ว่าตอนนี้...”

“พูดไทยได้นี่หว่า” สองพึมพำเบาๆ เพราะแม้ฝรั่งนี่จะพูดไม่ชัดเท่าไหร่นักแต่ก็เรียกว่าพูดได้แน่นอน เมื่อสรุปกับตัวเองได้แน่ชัดแล้วจึงเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าแล้วถามต่อ “ตอนนี้อะไร”

“ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

“อะไรของ...”

“รู้ไหมว่าคนที่ยูยุ่งอยู่เขามีเจ้าของแล้ว”

คราวนี้สองเบิกตากว้าง เขาแทบจะตรงเข้าไปชกหน้าไอ้ฝรั่งนี่ด้วยความหัวเสีย

“มึงหมายความว่ายังไง!”

“หมายความว่า...” หนุ่มต่างชาติเริ่มหุบยิ้ม ดวงตาที่ฉายแววขี้เล่นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นวาววับดั่งจะเชือดเฉือนอีกคนให้ตายคาที่ “คนคนนั้นเป็นของไอ”

“…”

“กลับไปซดน้ำบกใบบัวแล้วไสหัวไปดีกว่านะ”

“…”

เขามีแต่ใบบัวบกโว้ย!


———————-





TALK: สำหรับคุณเกรย์กับพี่สอง รอติดตามต่อได้ในเรื่องของประมุขนะคะ ในเรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องเปิดของสามคู่ เราจะเอาออกมาให้รู้จักกันให้ครบทุกคู่เลยค่ะ ทั้งคุณพายุกับฮ่องเต้ แล้วก็คุณเกรย์กับประมุขด้วย ส่วนพี่สองก็คงต้องกินน้ำบกใบบัว สปอยไว้ตรงนี้เลย ฮา สำหรับเรื่องของพี่จักเราเขียนจบแล้วค่ะ มียี่สิบตอน น่าจะเปิดพรีช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี่ล่ะ ระหว่างนี้ก็จะลงเรื่อยๆ ยันจบเลย ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[9]==[P.4]== [02/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 02-05-2018 21:18:50
พี่จักรน้องภีมหวานได้อีก  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[9]==[P.4]== [02/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-05-2018 21:52:09
พี่จักรขาาาา  น้องใจบางไปหมดแล้ววว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[9]==[P.4]== [02/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-05-2018 02:38:29
ต่างคน ต่างอ้อน ซึ่งกันและกัน ใจละลายไปหมดแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[9]==[P.4]== [02/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 03-05-2018 09:06:10
ยังมีหวานกว่านี้อีกมั้ยค๊าาาาาา มดเต็มบ้านแล้วค่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[9]==[P.4]== [02/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 03-05-2018 10:28:38
อยากอ่านทุกคู่แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[9]==[P.4]== [02/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-05-2018 19:17:47
-10-


“คุณจักรพรรดิออกกำลังกายแขนเหมือนเดิมก่อนนะครับ”

จักรพรรดิพยักหน้าเข้าใจ เขาโน้มตัวลงจากวีลแชร์ตัวใหม่เพื่อหยิบดัมเบลขึ้นมาด้วยตัวเอง การได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ทำให้ร่างกายเริ่มคุ้นชินและไม่เหนื่อยหนักเหมือนตอนแรก วันนี้เป็นวันที่วิทยาเดินทางมาที่บ้านสวน นักกายภาพบำบัดหนุ่มมาถึงแต่เช้าตามที่ภีมภัทรขอ เขาได้รับการอัญเชิญให้ไปหาถึงบ้านเล็กติดเรือนกุหลาบที่ไอ้เพื่อนบ้าไม่เคยยอมให้ใครเข้าไป

ถามว่าครั้งนี้ได้เข้าไปไหม...

“ไอ้ภีม” วิทยาเรียกคนที่กำลังหยิบของออกจากตะกร้าเสียงเขียว

“หือ”

“อะไรคือการพากูมาทำกายภาพบำบัดกลางสวนดอกไม้วะ!”

หึ!…จากที่คิดว่าจะได้เข้าไปล้วงความลับในบ้านหลังเล็กที่มันหวงนักหวงหนา กลับกลายเป็นให้เอารถไปจอดเฉยๆ แล้วช่วยขนของจากที่นั่นมาที่สวนดอกไม้!

ไอ้คนเลว! ไอ้คนรู้ทัน!

“ก็ถามแล้วว่าจำเป็นต้องทำในบ้านไหม” ภีมภัทรตอบกลับตามความจริงขณะที่มือยังวุ่นวายกับการเอาอาหารออกมาจัด “แล้วมึงก็ตอบว่า...”

“ไม่จำเป็นหรอก แล้วแต่คนไข้เลย” คนไม่พอใจตอบเสียงแข็ง ก่อนจะพูดให้เบาลงนิดหน่อยเหมือนไม่อยากให้จักรพรรดิได้ยิน “แต่ใครจะรู้วะว่าพี่จักรของมึงจะอยากมาทำกายภาพกลางสวนดอกไม้”

ไม่ว่าจะมองไปทางใดล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้ จุดที่พวกเขากำลังนั่งอยู่คือศาลาใจกลางแปลงดอกไม้ธรรมชาติในส่วนของบ้านพักภีมภัทรที่ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา ซึ่งจริงๆ วิทยาไม่ได้รังเกียจดอกไม้หรืออะไรหรอก เพียงแต่เขาไม่คิดว่านอกจากจะเสียแผนแล้วตัวเองยังต้องมาขลุกอยู่กับสวนดอกไม้ของเพื่อนสนิทที่วิ่งเล่นมาจนทั่วตั้งแต่สมัยมัธยมอีกครั้ง เขาเห็นจนทั่ว วิ่งไปวิ่งมาเป็นร้อยๆ รอบ ความตื่นตาตื่นใจมันหายไปตั้งแต่ตอนมาครั้งที่สิบแล้วเถอะ โซนเดียวที่เขายังไม่ได้ไปเผือกก็มีแค่บ้านเล็กของเรือนกุหลาบนั่นล่ะ

“บ่นมากน่า งานน่ะงาน ทำไปเถอะ” ภีมภัทรเอาช้อนเคาะหัวเพื่อนเบาๆ เป็นเชิงเตือน

“เออๆ รับทราบครับผม...ยังดีนะที่เอาข้าวมาเผื่อกูด้วย”

“ใครบอกว่ากูเอามาเผื่อ” ภีมภัทรหยุดมือแล้วหันมาเลิกคิ้วถาม เขายังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าเอาข้าวมาเผื่อมันด้วย

“ไอ้…”

“ภีม”

วิทยากลอกตา ไม่เข้าใจทำไมเวลาเขาจะหาเรื่องเพื่อนทีไรคนคนนั้นต้องรู้ทันแล้วหันมาขัดทุกครั้งไป แล้วดูสิ...ดูมันวิ่งดุ๊กๆ  ไปหาคุณเขา เห็นแล้วหมั่นไส้เป็นบ้า

“พี่จักร” ภีมภัทรทรุดตัวลงนั่งข้างรถวีลแชร์ มือวางแหมะลงบนหน้าขาของจักรพรรดิเฉกเช่นทุกครั้ง “หิวเหรอครับ”

“เปล่า”

“ไม่หิวก็ต้องกิน...นะ” ว่าพลางเอามือเขย่าขาที่ไร้ความรู้สึกของคนป่วยเบาๆ จักรพรรดิจับมือซุกซนไว้ กายสูงโน้มไปด้านหน้าเพื่อให้ภีมภัทรช่วยรับน้ำหนักแล้วพยายามเกร็งตัวลงจากรถด้วยตัวเอง

แล้วมันก็จบลงที่กายท่อนร่างทรุดตามลงมาแบบไร้เรี่ยวแรงบนพื้นเหมือนทุกครั้ง...

“พี่จักร...” ภีมภัทรเรียกคนข้างกายเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง เขายังคงสังเกตเห็นประกายปวดร้าวที่วาบผ่านดวงตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจนเหมือนเช่นทุกวัน มือเรียวแตะเบาๆ ที่ขาผอมซึ่งวางพับอยู่ข้างตัว ขณะริมฝีปากคลี่รอยยิ้มเศร้าอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นไรนะครับ”

จักรพรรดิรู้สึกราวถูกฉุดขึ้นจากปากเหวเหมือนทุกครั้งที่เขาพยายามทำอะไรด้วยตัวเองแล้วไม่สำเร็จ ความรู้สึกยามตกลงจากเหวเขารู้จักดี และความรู้สึกที่เหมือนถูกช่วยเหลือไว้ เขาเองก็รู้จักดีเช่นกัน... มือขาวๆ แสนอบอุ่นที่มักจะยื่นมาให้ยึดเกาะยามต้องการอยู่เสมอช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง และมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังมีสติได้อยู่โดยไม่ต้องบันดาลโทสะออกมาเหมือนเมื่อก่อน

“ไม่เป็นไร” เขาจับขาของตัวเองทีละข้าง ขยับมันให้กลับไปอยู่ในท่าที่ควรอยู่คือการยืดตรงไปด้านหน้า

“ภีมบอกแล้วว่านั่งบนวีลแชร์ก็ได้ พี่จักรไม่ยอมทุกทีเลย”

“แบบนี้จะได้นั่งข้างภีม” เขามองหน้าเด็กน้อยของตัวเองพร้อมคลี่ยิ้มบาง “พี่จะได้ออกกำลังด้วย”

“แต่ว่า...”

“เอาน่า กินข้าวเถอะ”

ภีมภัทรไม่กล้าเถียงต่อเพราะกลัวจะโดนโกรธ เขาหันไปหยิบอาหารออกมาวางตรงหน้าจักรพรรดิ ก่อนจะส่ายหน้าหน่ายเมื่อเห็นส่วนเกินบางคนกำลังก้มหน้าก้มตากินแบบไม่สนใจโลก ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้เอามาให้ แต่เพื่อนสนิทมีหรือจะไม่รู้ทันกัน วิทยายังอุตส่าห์คุ้ยหาอาหารที่เขาทำเผื่อไว้ให้เจอจนได้

“กินให้หมดด้วยนะครับพี่จักร” ภีมภัทรไม่ลืมบอกก่อนจักรพรรดิจะเริ่มกินข้าว ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเริ่มชินแล้วเหมือนกันถึงได้พยักหน้ายิ้มๆ

ช่วงเวลาเกือบอาทิตย์ที่เริ่มรักษา พี่จักรของเขามักจะชอบขอทำอะไรด้วยตัวเองบ่อยๆ จะบอกว่าเชื่อฟังคำพูดของวิทยามากก็ไม่น่าใช่ ภีมภัทรคิดว่าพี่จักรน่าจะอยากช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดเพราะไม่อยากเป็นภาระเขามากกว่า หลายครั้งที่ภีมภัทรชอบนั่งทำงานอยู่กับพื้นเพราะเขาอยากเหยียดขา รู้ตัวอีกทีพี่จักรก็จะเข็นรถมาหาแล้วพยายามลงมานั่งข้างๆ ด้วยตัวเอง ลงท้ายมักจะหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงแทบทุกครั้ง โชคดีที่เขาช่วยประคองไว้ได้บ้างเลยไม่ต้องเจ็บตัวเท่าไหร่ แต่สีหน้าหดหู่นั้นก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ

จักรพรรดิเก็บอารมณ์เก่งจนเขากลัว ภีมภัทรไม่กล้าละสายตาออกห่างเพราะรู้ดีว่าเพียงเสี้ยววินาทีอีกฝ่ายก็สามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ แต่เพราะคอยมอง คอยสังเกตอยู่เสมอ เขาจึงสามารถกุมมือนั้นไว้แล้วจ้องมองเพื่อให้กำลังใจได้ทันทุกทีไป

“อันนี้เรียกว่าอะไร” จักรพรรดิชี้นิ้วไปที่กับข้าวหน้าตาประหลาดที่เขาไม่รู้จัก

“เรียกว่าหมูผัดขิงครับ” ภีมภัทรคลี่ยิ้มอารมณ์ดีขณะอธิบาย “ใช้เนื้อหมูหมักผัดกับขิงซอยแล้วก็ปรุงรส นอกจากอร่อยแล้วยังมีประโยชน์ด้วยนะ”

“อืม...อร่อย”

“ภีมทำอร่อยอยู่แล้ว” คนขี้อวดฉีกยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู จักรพรรดิมองแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายได้แต่เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย

“ทำกินเองบ่อยเหรอ”

“ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศทำเองตลอดเลยครับ แล้วพี่จักรล่ะ”

จักรพรรดิทำหน้าครุ่นคิด ชายหนุ่มไม่เคยสนใจเรื่องการทานอาหารของตัวเองอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่าต้องกินก็กิน ไม่ได้ชอบหรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ค่อยได้

“ถ้าไม่ได้กินร้าน...ก็คงไม่กินเลย” น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง

“อะไรนะ” ภีมภัทรตาโต ดวงตาคู่สวยทอประกายไม่ชอบใจชัดเจน เขาจัดการตักข้าวสวยไปใส่ในจานจักรพรรดิเพิ่มครึ่งทัพพี จากนั้นจึงพูดเสียงแข็ง “กินให้หมดด้วย ทดแทนช่วงที่ไม่ได้กิน”

“แบบนี้ได้ด้วยเหรอ”

“ได้สิ”

คนโดนเพิ่มข้าวไม่บ่นอะไร เขายอมตักอาหารเข้าปากทีละคำจนหมด แล้วก็ได้รับรอยยิ้มสวยๆ จากคนที่กำลังเก็บจานข้าวเป็นรางวัล ภีมภัทรไม่พูดอะไรเมื่อวิทยาที่นั่งกินลมชมวิวเงียบๆ อยู่นานเดินเข้ามาหาจักรพรรดิแล้วเริ่มชักชวนให้ทำกายภาพ เมื่อเก็บของเสร็จแล้วชายหนุ่มจึงหยิบหนังสือที่เตรียมไว้ขึ้นมาอ่านระหว่างรอ สายตาทอดมองการทำกายภาพอยู่เป็นระยะสลับกับหนังสือในมือ

แม้จักรพรรดิจะไม่ได้พูดอะไรกับวิทยามากนัก แต่นักกายภาพหนุ่มก็ไม่ได้เกรงกลัวเขามากเท่าตอนแรก เมื่อถึงเวลาต้องรักษา นอกจากการละสายตาเพื่อหันไปมองภีมภัทรบ่อยๆ แล้ว คนป่วยก็ให้ความสนใจต่อการออกกำลังเป็นอย่างดี

“วันนี้จะไปไหนกันวะภีม เห็นบอกให้กูมาแต่เช้า” วิทยาชวนคุยขณะที่กำลังบีบนวดข้อเท้าให้คนไข้ในความดูแล

“จะพาพี่จักรไปซื้อของใช้ที่ห้างน่ะ”

“อ๋อ...กูก็ว่าอยู่” ชายหนุ่มตอบรับ แต่ประโยคต่อไปหันมาชวนอีกคนคุยแทน “คุณจักรพรรดิรู้ไหมครับ ปกติถ้าไม่กลับบ้านมันก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในร้านดอกไม้ทั้งวันเลย ชีวิตนี้เคยเที่ยวบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”

เพราะได้เจอหน้ากันมาหลายวันทำให้วิทยาเริ่มจับทางถูก เขารู้ว่าจักรพรรดิไม่ชอบคุยกับคนอื่นนอกจากภีมภัทร แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ในหัวข้อเรื่องมีชื่อของเพื่อนเขาอยู่ อีกฝ่ายจะให้ความสนใจในทันที บางทีถ้าโชคดีอาจจะตอบกลับเสียด้วยซ้ำ

“ล่าสุดผมกับมีนเคยลากมันไปห้างตอนมันกลับจากนอกใหม่ๆ คุณรู้ไหม...มันบอกพวกผมว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วหนีกลับก่อนเฉยเลย โคตรแสบ”

จักรพรรดิแอบยิ้มเมื่อได้ฟังวีรกรรมของคนที่แสร้งทำเป็นตั้งใจอ่านหนังสือ เห็นท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ไม่รับไม่รู้นั้นแล้วมันน่าแกล้งอย่างไรไม่รู้ ร่างสูงหันหน้ากลับไปหาวิทยาก่อนจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง

“เด็กน้อยมากเลยใช่ไหม”

“พี่จักร!”

วิทยาที่กำลังตาโตไม่สนใจภีมภัทร ชายหนุ่มมองท่าทีของคนที่หันมาถามแล้วก็เข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มกริ่มพร้อมพยักหน้ายืนยัน

“สุดๆ เลยครับคุณ”

“ไอ้วิทย์!”

“เห็นหน้านิ่งๆ ทำเป็นรักษามาด คนใกล้ตัวรู้ทั้งนั้นแหละครับว่ามันดื้อเงียบ” แสร้งทำเป็นกระซิบกระซาบบอกจักรพรรดิพร้อมกับที่เลื่อนขากางเกงของคนป่วยลงเหมือนเดิมให้เป็นเชิงบอกว่าวันนี้พอเท่านี้ก่อน ตอนนี้เอาเวลาไปแกล้งคนดีกว่า

“ดื้อเงียบ...” จักรพรรดิทวนคำพลางส่ายหน้า “เวลาอยู่กับพี่นี่ดื้อเห็นๆ เลย”

“ไอ้วิทย์! มึงกลับบ้านมึงไปเลยไป” คนที่เคยหน้าขาวยามนี้หน้าแดงก่ำ ไม่รู้เพราะอายหรือโกรธ แต่วิทยาพอจะมองออกว่าน่าจะทั้งสองอย่าง

“หมดประโยชน์แล้วก็ไล่เฉย” เขาบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ยอมเก็บข้าวของลุกขึ้นยืนแต่โดยดี

“หึ”

“พี่จักรก็เหมือนกัน ไม่ต้องหัวเราะ ขึ้นรถเลยเร็วๆ ภีมไม่ช่วยด้วย”

พาลอีก...

เอาเถอะ...อยากรู้เหมือนกันว่าจะไม่ช่วยได้นานแค่ไหน

รถวีลแชร์คันใหม่เป็นแบบเข็นเองได้ซึ่งสะดวกสบายกว่าเดิมพอควร จักรพรรดิใช้มันมาหลายวันจนเริ่มจะชินแล้ว เขาจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไรเมื่อต้องพึ่งตัวเอง ทว่าปกติภีมภัทรจะคอยประคองและช่วยเหลือตลอด ครั้งนี้เมื่อต้องพยายามยกตัวเองขึ้นไปบนที่นั่งทั้งที่ไม่มีเรี่ยวแรงที่ขาเลยแม้แต่นิดเดียวมันเลยไม่แปลกที่เขาจะทำไม่สำเร็จ แขนและมือที่สั่นเทาเพราะเกร็งมากจนเกินไปจากการยึดจับวีลแชร์ที่อยู่สูงกว่าเกือบจะล่วงหล่นลงพื้นเมื่อหมดแรง

ในที่สุดสองมืออบอุ่นก็ยื่นมาช่วยประคองยกตัวเขาขึ้น แม้จะลำบากไม่น้อยเพราะขนาดตัวที่แตกต่าง แต่คนใจดีก็ยังไม่ท้อ ช่วยประคองจนเขานั่งลงบนวีลแชร์ได้สำเร็จ จักรพรรดิลอบยิ้ม เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากันแล้วจึงดึงมือของคนหน้าบูดแรงๆ จนอีกฝ่ายเซล้มลงมาหา โชคดีที่มืออีกข้างของเจ้าตัวจับที่พักแขนของรถวีลแชร์ไว้ได้ทันเลยมีเพียงใบหน้าที่โน้มเข้ามาจนใกล้

“ขอบคุณ” เพียงคำเดียวที่เอ่ยออกมากลับมีอิทธิพลทำให้คนที่อ้าปากจะบ่นหุบปากฉับ ภีมภัทรสบตาคมแน่วแน่ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มสวยไปถึงดวงตาจนคนมองตาพร่า จักรพรรดิยกยิ้มตอบ ยอมปล่อยมือให้อีกคนกลับไปยืนดีๆ

ดูเหมือนเด็กน้อยจะรู้จุดอ่อนของเขาเสียแล้ว...



หลังจากใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการทำกายภาพบำบัดและนั่งเล่น ภีมภัทรขับรถพาจักรพรรดิไปที่ห้างตามที่วางแผนกันไว้ เพราะเขาเพิ่งนึกได้ว่าข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของจักรพรรดิยังไม่ครบนัก ยิ่งเมื่อต้องไปมาระหว่างบ้านกับร้านดอกไม้ หากมีข้าวของสองชุดอาจจะสะดวกกว่า ใช้เวลากว่าหนึ่งวันเขาถึงได้หลอกล่อให้พี่จักรตอบตกลงได้สำเร็จแล้วกลายเป็นตัวเองนอนไม่หลับแทน เพราะข้อแลกเปลี่ยนของคำตกลงนั้นคือเขาต้องขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกัน ห้ามนอนพื้นอีก ไม่ว่าจะที่ร้านหรือที่บ้านก็ตาม

“พี่จักรเคยเดินห้างหรือเปล่า” ภีมภัทรชวนคุยระหว่างที่กำลังเดินออกจากลานจอดรถเข้าตัวห้าง

“ไม่”

“แล้วแบบนี้เวลาต้องซื้อของ...”

“ให้คนมาซื้อให้”

“ไม่น่าถาม” ลืมไปเลยว่าคนคนนี้เคยอยู่ในสถานะอะไรมาก่อน ถ้าต้องมาเดินหาของเองสิแปลก

“เพื่อนภีมบอกว่าภีมก็ไม่ชอบเดิน” จักรพรรดิเอ่ยออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่วิทยาบอกเมื่อเช้า

“ภีมไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ เท่าไหร่ แต่ถ้าจำเป็นต้องมาซื้อของอะไรก็มาเองนะ”

“แล้วเที่ยวล่ะ”

“เห็นแบบนี้ภีมก็ชอบเที่ยวเถอะ” เขาพูดอวดๆ เหมือนอยากให้รู้ว่าตัวเองก็เที่ยวเหมือนกัน ไม่ได้อยู่บ้านหรือร้านตลอดแบบที่วิทยาว่า “ส่วนใหญ่จะชอบไปตามสถานที่ทางประวัติศาสตร์หรือไม่ก็ตามธรรมชาติ”

“ชอบไปวัดด้วยใช่ไหม”

“พี่จักรรู้ได้ยังไง” ภีมภัทรทำตาโต เขามั่นใจว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครนอกจาก... “ไอ้วิทย์”

ก็ว่าแล้วว่าแอบกระซิบกระซาบอะไรกัน พอไม่กลัวแล้วก็เอาใหญ่เลยนะไอ้เพื่อนเวร...

“พี่เคยไปวัดอยู่ครั้งหนึ่ง” จักรพรรดิพูดออกมาลอยๆ สายตามองตรงไปด้านหน้าแต่ไม่จดจ้องอยู่กับสิ่งใดเป็นพิเศษ “งานศพของผู้ใหญ่ที่เคารพ ตอนแรกพี่ก็จำท่านได้แค่ชื่อ แต่พอเห็นรอยยิ้ม...ได้ฟังคำสั่งสอนที่คุ้นเคยก็เริ่มนึกออก น่าเสียดายที่เวลาที่ได้เจอกันมันน้อยเหลือเกิน”

เขายังจำได้ดีถึงคำพูดสุดท้ายยามมือของท่านวางทาบลงมาบนไหล่

‘จักรไม่ผิดท่ีเปลี่ยนไป...มันไม่ใช่ความผิดของจักรเลย ครูเชื่อว่าจักรพรรดิคนดีของน้องๆ ยังอยู่ตรงนี้ ไม่มีวันหายไปไหน เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองนะลูก’

จักรพรรดิคนดีของน้องๆ ยังอยู่ตรงนี้ ไม่มีวันหายไปไหน...

“ท่านเป็นใครเหรอครับ” ภีมภัทรเอ่ยถามเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความอาวรณ์ของคนตัวสูง

“เป็นครูน่ะ”

“เอาไว้เราไปทำบุญให้ท่านกันนะ” มือเรียวขาวทาบลงบนไหล่...ตำแหน่งเดียวกันกับที่ครูของเขาเคยวาง จักรพรรดินิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มออกมา เขาวางมือทับลงบนมือนั้นโดยไม่หันไปมอง

“อืม”

เพราะเด็กน้อยคนนี้นี่เองที่ทำให้เขากลับมาเป็นจักรพรรดิคนเดิมอีกครั้ง...

“ภีมจะพาพี่จักรไปเที่ยวหลายๆ ที่เลย”

“งั้นเหรอ”

“จริงๆ นะ เพราะงั้นพี่จักรต้องตั้งใจรักษา โอเคไหม”

“โอเคก็ได้” จักรพรรดิตอบขำๆ แต่สิ่งที่เขาพูดล้วนออกมาจากใจจริง ตั้งแต่ได้เห็นความตั้งใจจะช่วยของภีมภัทร เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจและอดทนกับการบำบัดให้ได้มากที่สุด ตราบใดที่เด็กน้อยยังอยู่ตรงนี้ ต่อให้ต้องใช้เวลาอีกเป็นปีก็ไม่เป็นไร ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เบื่อและทิ้งกันไปก่อน

“ปีหน้าภีมวางแพลนไว้ว่าจะไปญี่ปุ่นช่วงปลายปี พี่จักรไปด้วยกันนะ”

“หือ”

“ภีมไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง ปีหน้าจะไปญี่ปุ่น ปีถัดไปว่าจะไปจอร์แดน”

“ไปคนเดียวเหรอ"

“ปกติก็ไปคนเดียวตลอด พี่สนใจไปกับภีมไหมล่ะ”

“ทุกปี?”

ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ ขาหยุดเดินไปชั่วขณะ แต่ที่สุดแล้วเมื่อเข้าใจคำถาม เขาก็ฉีกยิ้มสดใสออกมาแม้คนด้านหน้าจะมองไม่เห็น

“อื้อ ทุกปี”

“พี่อาจต้องนั่งรถเข็น...”

“ไม่หรอก ถึงปีหน้าพี่จักรก็เดินได้แล้ว อาจจะยังไม่คล่องเท่าไหร่แต่ภีมจะช่วยประคองเอง”

“…”

ความเงียบ...กับแรงที่บีบกระชับมือเขาแน่นขึ้นคือคำตอบ

การที่ชายหนุ่มสองคนมาเดินห้างด้วยกันอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากหน้าตาดีทั้งคู่คงเป็นอีกเรื่อง ถึงคนหนึ่งจะนั่งรถวีลแชร์ก็ตาม คนหลายคนโดยเฉพาะสาวๆ ต่างพากันชี้ชวนให้มองดูคนทั้งคู่อย่างกับเป็นดารา ภีมภัทรเห็นแล้วได้แต่ขมวดคิ้วหน่อยๆ ปกติเขามาอาจมีโดนแอบมองบ้าง แต่นี่เล่นมองกันโต้งๆ แทบทั้งทางมันก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าพี่จักรจะหงุดหงิดหรือเปล่าด้วยสิ

“เราไปซื้อของก่อนแล้วค่อยทานข้าวกลางวันดีกว่า” เขาบอกให้ได้ยินกันสองคนแล้วพาจักรพรรดิเดินไปยังโซนขายของ

ข้าวของหลายอย่างที่ซื้อด้วยกันถูกวางไว้บนหน้าตักคนป่วยเนื่องจากภีมภัทรต้องคอยเข็นรถให้ จะให้จักรพรรดิเข็นเองในที่แคบๆ ทั้งที่ยังไม่ชินคงไม่สะดวกนัก เขาทำหน้ารู้สึกผิดเมื่อตัวเองลืมนึกถึงเรื่องถือของไปเสียสนิท ไม่อย่างนั้นคงขอให้คนที่บ้านมาด้วยแต่แรก

“พี่ไม่เคยมาซื้อของแล้วก็ถือของเองแบบนี้เลย รู้สึกดีเหมือนกันนะ” จักรพรรดิพูดขึ้นมาลอยๆ เขายิ้มตามเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากทางด้านหลัง แค่หันไปเห็นหน้าครู่เดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวคิดอะไร

เด็กน้อยก็เป็นเสียแบบนี้ ไม่ว่าจะรู้สึกอะไร ถ้าเขาพูดเอาใจตรงจุดเข้าหน่อยก็ลืมทุกอย่าง

หลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อยจนบนตักจักรพรรดิมีถุงซ้อนกันอยู่หลายถุง ทั้งคู่จึงหยุดแวะกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง คนไม่เคยกินมองเมนูวูบเดียวแล้วผลักออก ดีที่อีกคนรู้หน้าที่เลยสั่งเผื่อได้ พนักงานสาวมองท่าทีเหมือนรู้ใจกันไปหมดของคนทั้งคู่แล้วแอบอมยิ้ม ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร...แต่ภีมภัทรรู้สึกร้อนวูบวาบที่หน้ามากกว่ายามโดนคนจ้องมองเยอะๆ เสียอีก

“คิง?”

เสียงทักทายด้วยความแปลกใจจากทางด้านหลังเรียกความสนใจจากคนหน้านิ่งได้ชะงัก จักรพรรดิเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นหนุ่มฝรั่งหัวเทายืนอยู่ตรงหน้า

“เกรย์”

ภีมภัทรหันขวับเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู เขาสบตากับอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ดวงตาสีฟ้าขี้เล่นแลดูแปลกใจ ทว่าอะไรก็ไม่น่าตกใจเท่า...

“ปล่อยกู!”

ทำไมสองถึงมาอยู่กับคนคนนี้ได้...

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” จักรพรรดิถามสิ่งที่เขาอยากรู้ออกไปพอดี คนชื่อเกรย์ยิ้มกริ่ม มือใหญ่ดันให้สองเข้าไปนั่งติดกระจกแล้วแทรกตัวนั่งปิดทางออกไว้ ดีที่จักรพรรดิยืนยันจะนั่งบนวีลแชร์ โซฟาฝั่งหนึ่งเลยว่างพอดี

“ตอนแรกจะมาหายูนั่นล่ะ แต่พอดีเจอหมาบางตัวคิดจะโขมยกระดูกซะก่อน...” ชายหนุ่มตอบด้วยภาษาไทยแปล่งๆ ตาเหลือบมองคนข้างกายที่กำลังสบถด่าเป็นเชิงบอกว่าหมาที่ว่าหมายถึงใคร “เลยเลื่อนเวลาไปหน่อย กะจะไปหายูอาทิตย์หน้า ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอที่นี่พอดี”

“อืม” จักรพรรดิรับคำสั้นๆ

“ว่าแต่นั่นคือ...” เกรย์ลากเสียงยาวพลางเหลือบตามองคนที่นั่งเงียบ

พลันภาษาฝรั่งเศสดุดันที่ภีมภัทรฟังไม่เข้าใจหลุดออกมาจากปากจักรพรรดิ พร้อมกับที่ดวงตาคมดุคู่นั้นทวีความร้ายกาจมากขึ้นหลายเท่า เขาเพิ่งเคยได้ยินพี่จักรพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย และแม้จะอยากรู้ว่าพี่จักรพูดอะไร แต่ก็เข้าใจดีว่ายังไม่ใช่เวลาจะถาม

“โอเคๆ” เกรย์ยกมือยอมแพ้ หากปากกลับยิ้มกริ่ม เขายังคงพูดภาษาไทยแปล่งๆ อยู่เหมือนเดิม “ว่าแต่ทำไมยูไม่ติดต่อมาเสียที”

“กำลังจะติดต่อไป แต่นายมาก่อน”

ความจริงชายหนุ่มได้เบอร์เกรย์มาตั้งแต่เมื่อวันก่อน หลังจากพ่อไปจัดการหามาให้ ทว่ายังมีเวลาได้โทรไป ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาหากันถึงที่

แต่ถ้าเป็นแบบนี้คงปิดไม่ได้แล้ว...

เขาพูดภาษาฝรั่งเศสออกมาคำหนึ่งก่อนจะมองทะลุออกไปนอกกระจกร้าน ทำให้คนขี้เล่นหุบยิ้มแล้วหันไปมองตาม เกรย์ในท่าทีที่ไม่ได้ดูขี้เล่นเหมือนปกตินั้นน่ากลัวไม่แพ้จักรพรรดิ สองที่กำลังบ่นงึมงำหุบปากฉับโดยไม่รู้ตัว และหลังจากนั้น...ชายสองคนก็พูดคุยกันด้วยภาษาฝรั่งเศสยาวเหยียด

ภีมภัทรเห็นทั้งคู่เข้าโหมดเคร่งเครียดจึงไม่ได้พูดขัดอะไร เขาหันไปหาสอง ผงกหัวให้แล้วชวนฝั่งนั้นคุยแทน

“คุณสองมาเดินเล่นเหรอครับ”

“ไม่ใช่หรอกครับ” สองตอบทันควัน เริ่มรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยเมื่อมีคนให้พูดคุยด้วย “ผมโดนหลอกมาน่ะ...หลอกให้มาดูภาพบาดตา”

คนฟังขมวดคิ้วไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

“ภีม...พี่ขอไปเดินเล่นกับเกรย์หน่อยนะ” จักรพรรดิหันมาพูดพร้อมรอยยิ้มบาง

“แต่ว่า...”

“ไม่เป็นไรหรอก” เขาส่ายหน้า มือยื่นไปโคลงหัวอีกคนเบาๆ ให้มั่นใจ “กินข้าวไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ เข้าใจไหม”

ภีมภัทรทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ เฝ้ามองเกรย์กระซิบกระซาบข้างหูสองแล้วเข็นรถพาพี่จักรออกไปจากร้านโดยไม่ได้พูดอะไร ถึงจะนึกห่วงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นชาวต่างชาติหน้าเข้มสองคนเดินไปพร้อมสองคนนั้นก็วางใจขึ้น

คงเป็นบอดี้การ์ดของเกรย์...

“สองคนนั้นเก่งครับ” สองพูดขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าของร้านดอกไม้หน้าเด็กมองตามหลังคนที่เพิ่งพากันออกไปตาไม่กะพริบ “ผมหมายถึงสองคนที่เดินตามหลัง เมื่อกี้ไอ้บ้านั่นก็เพิ่งมีเรื่องมา สองคนนั้นต่อยทีเดียวสลบหมดเลย”

“ครับ?” ภีมภัทรหันไปมองทั้งหน้างงๆ

“ผมจะสื่อว่าไม่ต้องห่วงพวกเขาน่ะ” คนอธิบายไม่เป็นบอกเสียงเครียด หน้าเสียหน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่รู้เรื่องออกไปหรือเปล่า

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มบาง “ขอบคุณมากครับ”

สำหรับเขาแล้ว สองไม่ใช่คนชอบพูดหรือชอบยุ่งเรื่องคนอื่นมากนัก ทุกครั้งที่มาพร้อมใหญ่ก็เหมือนจะมาเพื่อคุมความประพฤติเพื่อนกับมาหาน้องชายมากกว่า เวลาสบตาก็มียิ้มให้กันบ้าง แต่ไม่ค่อยได้คุยจริงจังนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถูกชะตากับคนคนนี้มากทีเดียว

“แล้วนี่คุณใหญ่เป็นยังไงบ้างครับ” ภีมภัทรตัดสินใจถามถึงคนบึกบึนที่เทียวมาหาเขาไม่ขาด ไม่รู้ว่าตั้งแต่วันที่เห็นเขากับพี่จักรคุยกัน หลังจากตัวแข็งเป็นหินแล้วเป็นยังไงบ้าง

“บ้าๆ บอๆ เหมือนเดิมครับ เห็นบ่นจะตัดใจ แต่ถ้าผมไปบอกว่าคุณภีมถามถึง สงสัยจะรีบแต่งตัวแล้วแจ้นไปหาคุณถึงร้านแน่ๆ” สองส่ายหน้าหน่ายเมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทแสนปัญญาอ่อน

“แล้วคุณจะบอกหรือเปล่า”

“ไม่ดีกว่า...ผมเหนื่อยกับมันแล้ว”

“ขอบคุณมากเลยครับ”

ชายหนุ่มสองคนคุยกันอย่างถูกคอ จากที่คุยกันอย่างเป็นทางการเริ่มเปลี่ยนเป็นพี่น้องแทน สองอดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้ดูเปลี่ยนไป เขาจำได้ว่าตอนไปที่ร้านครั้งแรกภีมภัทรเป็นคนหน้ายิ้มที่น่ากลัวมาก แม้ปากจะยิ้มสักแค่ไหนหรือจะส่งเสียงหัวเราะอย่างไร แต่ดวงตาคู่นั้นกลับนิ่งสนิท ไม่เหมือนคนอยากยิ้มเลยสักนิด แค่ดูเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายแค่ยิ้มตามมารยาท แต่ไม่ว่าจะบอกอย่างไรไอ้ใหญ่มันก็ไม่เชื่อเสียที ทว่าตั้งแต่...

“อาหารได้แล้วค่ะ”

อาหารสองอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ สองลอบมองใบหน้าเป็นกังวลยามมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาเงียบๆ

ตั้งแต่วันที่คนชื่อจักรพรรดิปรากฏตัว คนคนนี้ก็ดูจริงใจมากกว่าเดิม ยิ้มมากกว่าเดิม แน่นอนว่าเขาหมายถึงยิ้มจริงๆ ที่ไม่ใช่ยิ้มตามมารยาท

“คงต้องรบกวนสองจัดการส่วนของพี่จักรแล้วล่ะ”

“ได้อยู่แล้วพี่ ผมจัดการให้เอง” เขาหยิบตะเกียบขึ้นอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้กินอะไรสักอย่าง ไอ้บ้าเกรย์เมื่อกี้ก็กระซิบบอกให้เขากินไปก่อนเลยเหมือนกัน

“เออใช่...พี่จำได้ว่าปอนด์เคยบอกว่ามีลูกพี่ลูกน้องเรียนเอกฝรั่งเศส ใช่สองหรือเปล่า”

สองเงยหน้าขึ้นจากจานแล้วพยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่แล้ว”

ภีมภัทรยิ้มออก ดีจริงๆ ที่เห็นอีกฝ่ายกินเละเทะแล้วนึกถึงเจ้าปอนด์ขึ้นมา ครั้งหนึ่งเด็กนั่นเคยบ่นว่าอยากเข้าเอกฝรั่งเศสเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนสนิท แต่ตัวเองไม่มีพื้นฐานเลยเปลี่ยนไปเลือกเอกอิ้งแทน

“เมื่อกี้ฟังออกหรือเปล่าว่าเขาพูดอะไรกัน”

คนฟังยิ้มรู้ทัน แล้วสองก็ไม่ทำให้พี่ชายคนใหม่ผิดหวัง เขายกมือขึ้นเคาะขมับตัวเองเบาๆ ก่อนตอบ

“เมมไว้ในนี้หมดแล้วเรียบร้อย”

“อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย”

ไม่ต้องพูดอะไรต่อต่างคนต่างก็รีบทานอาหารจนหมดอย่างรู้งาน สองเช็ดปากเป็นลำดับสุดท้ายแล้วดื่มน้ำอึกใหญ่ เขาเห็นภีมภัทรกินไปนิดเดียวแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร แค่เห็นสายตาที่มองออกไปด้านนอกเป็นระยะก็รู้แล้วว่าคงกำลังเป็นห่วงคนที่ยังไม่กลับมา

“ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่ามันหมายถึงอะไร แต่เหมือนพวกเขาจะคุยกันว่ามีคนจับตาดูอยู่” สองเริ่มอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวคล้ายเสียงกระซิบ แต่ก็ดังพอจะเรียกความสนใจจากคนตรงข้ามได้ “คุณจักรพรรดิบอกว่าการที่เกรย์มาที่นี่ด้วยตัวเองจะทำให้ฝั่งนั้นรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรบางอย่าง”

ภีมภัทรเผลอขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน เขาพอจะเดาได้ว่าฝั่งนั้นหมายถึงใครเพราะพี่จักรเล่าให้ฟังแล้ว

“เกรย์ตอบว่ายังไงก็ต้องรู้อยู่แล้ว ทำให้เห็นโต้งๆ ไปเลยนั่นล่ะ เพราะยังไงคนคนนั้นก็ไม่กล้าทำอะไรเกินกว่าเหตุแน่นอน” คนแปลแอบสงสัยอยู่ในใจเมื่อเห็นสีหน้าของภีมภัทร แต่เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองเขาเลยไม่คิดถาม “หลังจากนั้นก็พูดเรื่องธุรกิจอะไรสักอย่าง ตรงนี้ผมจำไม่ค่อยได้เพราะไม่เข้าใจที่พวกเขาคุยกันเลย น่าจะเกี่ยวกับหุ้นล่ะมั้ง เสร็จแล้วคุณจักรพรรดิก็บอกให้ไปคุยกันส่วนตัว ผมเห็นเขาเหลือบมอง...เหมือนจะรู้ว่าผมแอบฟังอยู่”

“เท่านี้ก็มากพอแล้ว” ภีมภัทรยิ้มให้อย่างจริงใจ “ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไรเลยพี่ สบายมาก”

“งั้นคิดเงินเถอะ พี่ว่าจะไปหาพี่จักรหน่อย หายไปนานเกินไปแล้ว”

หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วสองเลยบอกว่าจะหนีกลับก่อน เหมือนจะบ่นพึมพำเรื่องอกหักอะไรสักอย่างที่ฟังเข้าใจอยู่คนเดียว ซึ่งภีมภัทรที่ได้ฟังแต่ไม่เข้าใจทำได้เพียงพยักหน้ารับ ไม่ลืมบอกให้แวะไปหาที่ร้านได้ถ้าว่าง ทว่าก่อนจะได้แยกกันไปคนละทาง เสียงเรียกจากทางด้านหลังก็หยุดขาเขาไว้เสียก่อน

“พี่ภีม”

“หือ”

“ตอนที่เกรย์ถามว่าพี่เป็นใครแล้วคุณจักรพรรดิทำหน้าดุๆ”

“อ่า…”

“ตอนนั้นเขาตอบว่า...”

“…”

‘อย่ามายุ่งกับคนของฉัน’


—————————


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 06-05-2018 20:12:50
‘อย่ามายุ่งกับคนของฉัน’

หวายยยยๆๆๆๆ พี่จักร คนขี้หวง :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 06-05-2018 20:58:30
ทำไมคุณเกรย์กับสองเคมีดูเข้ากัน 555555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-05-2018 21:26:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 06-05-2018 22:17:09
ง้อววววววววววว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-05-2018 00:37:27
เกรย์พาจักรไปคุยกันนานจัง ภีมจะตามหาอย่างไงนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 08-05-2018 13:41:01
หว่ายยยยเค้าหวงแหละ

ภีมต้องหน้าแดงแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-05-2018 22:27:46
พี่จักรมีความหวงน้อง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[10]==[P.4]== [06/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-05-2018 21:22:51
-11-


 สามอาทิตย์ต่อมาสวนรังสิมันตุ์มีโอกาสได้ต้อนรับแขกกลุ่มหนึ่งที่นัดกับลูกชายเจ้าของสวนไว้ โดยพวกเขาเลือกใช้รีสอร์ทเป็นสถานที่นัดพบ ครั้งนี้แม้แต่วิบูลย์พ่อของภีมภัทรก็เดินทางมาด้วยตัวเอง หัวหน้าครอบครัวทั้งสองฝ่ายต่างยิ้มกว้างและเดินเข้าหากันด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ เช่นเดียวกันกับประมุขและฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาสวมกอดพี่ชายยกใหญ่ มีเพียงภีมภัทรกับผู้ชายแปลกหน้าอีกคนเท่านั้นที่ยืนมองภาพเหล่านั้นเงียบๆ

‘พายุ’ คือชื่อของผู้ชายคนนั้น เขาเป็นชายหนุ่มตัวใหญ่หุ่นดีตามลักษณะทั่วไปของชาวต่างชาติ และเป็นคนที่รวมเอาจุดเด่นทั้งหมดของหนุ่มต่างชาติไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ทั้งเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ตัดเป็นรองทรงสูงเปิดข้าง ทั้งดวงตาสีเขียวดุดันเข้มงวด ทั้งกล้ามเนื้อแข็งแรงที่โผล่พ้นเสื้อยืดสีขาว ทุกอย่างทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่ร้อนแรงจนเรียกสายตาจากคนรอบข้างได้เป็นแถบ

และเขาถูกแนะนำในฐานะ ‘คนสำคัญ’ ของฮ่องเต้

ภีมภัทรมองสำรวจเพียงวูบเดียวก็สรุปได้ว่าคนคนนี้ต้องเป็นหรือเคยเป็นทหารแน่นอน ทั้งลักษณะการยืน เดิน หรือแม้แต่การแสดงออกทางสีหน้า ทุกๆ อย่างบ่งบอกชัดเจนว่าถูกฝึกมาเป็นอย่างดี มีเพียงยามเห็นฮ่องเต้หัวเราะเท่านั้นที่ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจะทอประกายอ่อนโยน

“พี่จักรเป็นยังไงบ้าง” ฮ่องเต้เอ่ยถามพี่ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมรอยยิ้ม

“ดี” จักรพรรดิตอบสั้นๆ ทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นเด็กน้อยส่งรอยยิ้มมาให้ เขาจึงหันกลับมาหาน้องชายแล้วถามกลับ “เต้ล่ะ”

ฮ่องเต้เบิกตากว้างไม่ต่างจากประมุข คล้ายจะตกใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน พวกเขามองหน้ากันแล้วฉีกยิ้มกว้าง สุดท้ายน้องคนรองจึงหันกลับมาตอบพี่ชายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ดีครับ ดีมากๆ เลย เมื่อวานเต้เพิ่งบินกลับจากรัสเซียหลังจากไปรับพี่ยุมา ที่นั่นอากาศดีสุดๆ เลย”

“อืม...พี่เคยไปประชุมงานที่นั่นเหมือนกัน”

“งั้นครั้งหน้าเราไปด้วยกันดีกว่า เต้จะได้มีเพื่อนไปนั่งรอพี่ยุ”

คนเป็นพี่ชายยิ้มจาง มือใหญ่ยกขึ้นวางลงบนหัวน้องชายแล้วออกแรงโคลงเบาๆ เพียงเท่านั้นฮ่องเต้ก็ตัวแข็งเป็นหิน ทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ ต่างจากประมุขที่ขมวดคิ้วไม่พอใจ

“พี่จักรลูบหัวมุขด้วยดิ”

“ถอยไปเลยมึง พี่จักรคุยกับกู”

สองพี่น้องเถียงกันยกใหญ่่ บรรยากาศในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่พวกเขาไปรอรับพี่ชายที่สนามบินโดยสิ้นเชิง ทุกคนล้วนจำได้ดีว่าพี่ชายในยามนั้นน่ากลัวขนาดไหน แววตาเย็นชายามจ้องมองมาเหมือนคนไม่รู้จักกันทำให้ใจหายวาบจนลืมทุกคำกล่าวทักทาย กว่าจะกล้าคุยด้วยก็ตอนที่เดินทางไปถึงบ้าน ทว่ายามนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ทีนี้ครอบครัว...ก็เหมือนครอบครัวเสียที

“จักร...” เสียงเรียกด้วยความไม่มั่นใจจากอีกทางทำให้สามพี่น้องหยุดพูดคุยกัน จักรพรรดิมองคนพูดด้วยสายตาราบเรียบ ในขณะที่น้องชายทั้งสองถอยหลังไปยืนอยู่ข้างภีมภัทรอย่างรู้งาน

“มีอะไร”

“พ่อ…” กฤษณ์มองไปทางลูกชายอีกสองคนด้วยแววตาสื่อความหมาย เพียงเท่านั้นฮ่องเต้ก็แตะไหล่คนข้างกายแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ออกไปด้วยกัน

ภีมภัทรสบตากับจักรพรรดินิ่งงัน เขาคลี่ยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้ หวังแค่ให้มือที่กำแน่นคู่นั้นคลายลงบ้างสักเล็กน้อย แล้วรอยยิ้มที่ส่งผ่านไปพร้อมกับแววตาจริงใจก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อคนได้รับพยักหน้าแล้วส่งยิ้มกลับมา

“ไปเถอะภีม”

“โอเค” ชายหนุ่มหันหลังกลับ คราวนี้เดินตามฮ่องเต้ออกไปด้านนอกแต่โดยดี

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันในระหว่างที่เดินออกมาจากรีสอร์ท รู้ตัวอีกทีภีมภัทรก็นำเพื่อนมาหยุดอยู่ที่ศาลาจุดหนึ่งไม่ไกลนัก และนอกจากฮ่องเต้กับภีมภัทรแล้ว ด้านหลังยังมีชายชาวต่างชาติที่ชื่อพายุเดินตามติดมาด้วยอีกคน

“แล้วมุขล่ะ”

“น่าจะไปชวนคุณอาวิบูลย์คุยน่ะ”

“อ๋อ...” ภีมภัทรนั่งลงบนเก้าอี้ศาลาแล้วพยักพเยิดให้ฮ่องเต้นั่งลงฝั่งตรงข้าม “มานั่งเถอะ”

“โอเค...” หนุ่มเมืองกรุงนั่งตามคำชักชวนโดยไม่ลืมหันไปกวักมือเรียกคนตัวโตที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่ด้านนอก “พี่ยุมานั่งเร็ว”

เสียงทุ้มตอบกลับเป็นภาษาที่ภีมภัทรไม่เข้าใจ แต่เขาคิดว่าน่าจะเป็นภาษารัสเซีย จากนั้นเจ้าตัวก็โต้ตอบกับฮ่องเต้อีกสองสามประโยคแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ดื้อจริงๆ” ฮ่องเต้พึมพำเป็นภาษาไทยเหมือนไม่อยากให้ฝ่ายนั้นเข้าใจ

“เขาพูดภาษาไทยไม่ได้เหรอ” สุดท้ายภีมภัทรก็ห้ามความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหวจนต้องถามออกไปในที่สุด

“ไม่ได้หรอก...ที่เรียกว่าพายุนั่นน่ะ ผมเป็นคนตั้งให้เอง” คนพูดหัวเราะอารมณ์ดี เขาหันไปหาพายุอีกครั้งแล้วเปลี่ยนไปใช้ภาษาอังกฤษแทน “ถ้าไม่เข้ามานั่งจะตามมาทำไม บอกแล้วให้รออยู่ในห้องเย็นๆ ไม่เชื่อ”

ดวงตาดุดันเข้มแข็งเบือนมาสบ ก่อนเขาจะตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษสั้นๆ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

“แค่อยากอยู่ใกล้ๆ”

ภีมภัทรหัวเราะขบขันเมื่อเห็นเพื่อนอายุน้อยกว่าหน้าขึ้นสี และเหมือนฮ่องเต้จะรู้ตัวเขาจึงกลบเกลื่อนด้วยการผุดลุกขึ้นไปดึงแขนคนตัวโตเข้ามานั่งข้างๆ ด้วยตัวเอง เมื่อเจอลากแบบนี้คนโดนลากเลยได้แต่ไหลตามน้ำแล้วยอมนั่งลงแต่โดยดี

“เรารีบคุยกันดีกว่า ผมว่าอีกเดี๋ยวพี่จักรต้องเรียกหาภีมแน่ๆ”

“ทำไมคิดแบบนั้น” ภีมภัทรเลิกคิ้วงุนงง ในขณะที่คนช่างสังเกตส่ายหน้าเบาๆ พร้อมยกยิ้มขำ

“ตั้งแต่มาถึงผมก็เห็นอยู่ตลอดนั่นล่ะว่าพี่จักรกับภีมแอบมองกันบ่อยเหลือเกิน นี่ถ้าอยู่ห่างกันนานๆ ต้องแย่แน่ๆ” ฮ่องเต้นึกภาพออกแทบจะทันทีเลยว่าพี่ชายจะอารมณ์เสียขนาดไหนหากต้องห่างจากคนคนนี้นานๆ เขามั่นใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่ใช่แค่คนเคยรู้จักแบบตอนแรกอีกแล้ว เพราะแววตาที่จักรพรรดิใช้มองภีมภัทรมันเป็นแววตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีใครเคยได้รับ เป็นแววตาเหมือนกับ...

สายตาเบนไปมองคนข้างกายโดยอัตโนมัติ และวินาทีนั้นเองที่เขามั่นใจว่าพี่จักรกับภีมก้าวหน้าไปมากแล้วจริงๆ...

มันเป็นแววตาเหมือนกับที่พี่ยุใช้มองเขา

“เข้าเรื่องเลยดีกว่า” ฮ่องเต้เปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น เขาใช้ภาษาอังกฤษแทนการสื่อสารเพื่อให้คนข้างกายได้รับฟังไปพร้อมกัน “ภีมบอกผมว่าแม่พี่จักรส่งคนมาตามดูพี่จักรใช่ไหม”

“ใช่”

ภีมภัทรมั่นใจว่าทั้งสามคนพี่น้องมีพ่อแม่คนเดียวกันแน่นอน แต่ดูเหมือนมารดาของพวกเขาจะไม่ได้รับการยอมรับเท่าไหร่นัก จักรพรรดิยังไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ฮ่องเต้ที่ดูใจเย็นที่สุดยังไม่เรียกว่าแม่ แบบนี้คงเข้าขั้นร้ายแรงจริงๆ

“ผมไม่รู้ว่าพี่จักรเล่าให้ภีมฟังแค่ไหน แต่ผมจะเล่าเท่าที่ผมรู้ก็แล้วกัน” ฮ่องเต้เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม่หย่ากับพ่อแล้วไปแต่งงานใหม่ตอนที่มุขเกิด พ่อบอกว่าแม่ทนความลำบากไม่ไหว เธอยอมให้ลูกทุกคนอยู่กับพ่อเพราะไม่อยากได้ภาระตามติดไปด้วย คงกลัวว่าสามีใหม่จะไม่พอใจถ้ารู้เป็นผู้หญิงมีตำหนิ เราอยู่กันสี่คนก็มีความสุขดี พี่จักรบอกว่าโตขึ้นเขาจะเป็นวิศวกร จะได้มีเงินมาเลี้ยงดูพวกเรา”

“พี่จักรก็เคยบอกผมเหมือนกัน...”

ภีมภัทรจำได้ว่าวันนั้นพี่จักรมาหาเขาที่สวนขณะที่กำลังทำการบ้านเรื่องอนาคตของฉันอยู่ เขาในเวลานั้นนึกไม่ออกว่าตัวเองฝันอยากเป็นอะไรเลยทำการบ้านไม่เสร็จเสียที สุดท้ายพี่จักรก็เล่าเรื่องความฝันของตัวเองให้ฟัง

‘พี่อยากเป็นวิศวกรเพราะพี่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ ชอบวาดรูป แล้วถ้าพี่ทำได้จริงๆ พี่จะมีเงินเยอะแยะเลยนะ ถึงเวลานั้นพี่จะพาภีมไปเที่ยวให้ทั่วเลยดีไหม’

เด็กชายภีมภัทรในเวลานั้นพยักหน้าด้วยความดีใจพร้อมสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับพี่จักรให้ทั่ว เขาวาดรูปตัวเองกับพี่จักรลงไปในกระดาษ ปิดท้ายด้วยการเขียนอธิบายว่าจะไปเที่ยวเป็นเพื่อนวิศวกรคนเก่งให้ทั่วโลกไปเลย

แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว...

“ภีมก็คิดเหมือนผมใช่ไหม ว่าพี่จักรต้องเป็นวิศวกรที่เก่งที่สุดได้แน่ๆ”

“ใช่...ผมก็คิดเหมือนกัน” ภีมภัทรตอบกลับเสียงเศร้าไม่แพ้กัน

“ทุกอย่างมันเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น...” คนที่เคยใจเย็นมาตลอดกัดฟันกรอด ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำมีหยาดน้ำใสไหลคลอราวกับกำลังย้อนกลับไปเผชิญหน้าเหตุการณ์นั้นอีกครั้งจริงๆ “พ่อบอกว่าแม่ยื่นฟ้องเรื่องขอสิทธิ์เลี้ยงดูลูกมาพักหนึ่งแล้วแต่พ่อไม่อยากบอกเพราะกลัวเราคิดมาก แม่บอกว่าถ้ายอมให้ไปกับแม่คนหนึ่งเขาจะไม่เข้ามายุ่งกับเราอีก และเพราะพี่จักรต้องการปกป้องผมกับมุขเขาถึงยอมไปกับผู้หญิงคนนั้น แต่ภีมคงเดาได้...ว่าการที่พ่อยอมปล่อยให้พี่จักรไปเจอกับเรื่องเลวร้ายจะทำให้เขาเกลียดพ่อมากขนาดไหน”

“…”

“ทั้งหมดเป็นเพราะพ่อปกป้องพวกเราไม่ได้ ผมเชื่อว่าพี่จักรคิดแบบนั้น”

“เต้…” ภีมภัทรทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นฮ่องเต้ร้องไห้ เขาไม่ได้สะอื้นแต่น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาไม่หยุด ทั้งยังกัดริมฝีปากแน่นด้วยความแค้นเคือง จวบจนเมื่อคนที่นั่งเงียบมาตลอดดึงตัวเข้าไปกอด คนเข้มแข็งจึงปล่อยโฮออกมาเสียงดังเหมือนคนเสียขวัญ

“แม่กระชากแขนผมด้วย...” ฮ่องเต้กำข้อมือตัวเองแน่น ร่องรอยบาดแผลบนกายอาจจางหายไปตามกาลเวลา ทว่าบาดแผลทางใจคงจะติดตรึงอยู่ในนั้นไปอีกนานแสนนาน “เขาผลักผมไปกระแทกกำแพงเพราะจะเอาตัวมุขไป”

“อย่าร้อง...” เจ้าของดวงตาสีเขียวดุดันเอ่ยปลอบคนในอ้อมแขนเสียงสะท้าน แม้ใบหน้าจะไร้ความรู้สึกหากดวงตากลับไหวระริก มือใหญ่ยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มของคนสำคัญแผ่วเบาขณะริมฝีปากพรมจูบลงบนหน้าผากใสซ้ำๆ

ภีมภัทรมองภาพเหล่านั้นด้วยความเห็นใจและหดหู่ตาม ต่อให้โตมาเข้มแข็งอย่างไรแต่บาดแผลในวัยเด็กก็คงรักษาไม่ได้ง่ายๆ ฮ่องเต้คงต้องอดทนมาตลอด ทั้งปกป้องน้องจนต้องเจ็บตัวด้วยฝีมือของแม่แท้ๆ ทั้งต้องมองภาพพี่ชายถูกพาตัวไปโดยมีตัวเองเป็นต้นเหตุ โชคดีแค่ไหนที่คุณพายุเดินตามมาด้วย เพราะถ้าหากได้เห็นฮ่องเต้ร้องไห้เพียงลำพังเขาคงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

“ขอโทษทีนะภีม” คนที่เพิ่งหยุดสะอื้นและกำลังซุกหน้าอยู่กับอกแกร่งพูดทั้งที่ยังไม่หันกลับมาหา “เพราะพี่ยุนั่นล่ะ”

ที่แท้ก็เพราะพายุอยู่ตรงนี้...ฮ่องเต้ถึงได้ร้องไห้

“เพื่อนผมเคยบอกว่าเวลาอยู่กับคนที่เรารัก เราจะอ่อนแอลงกว่าเดิมหลายเท่า ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ”

น่าแปลกที่ประโยคบอกเล่าเป็นภาษาไทยนี้ไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้เขินหรือหน้าแดงแบบที่คิด กลับกันเขาหันหน้ามามองคนพูดแล้วฉีกยิ้มกว้าง เจ้าของใบหน้าแดงๆ ที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักพยักหน้าแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

“ผมยืนยันว่าจริง”

ภีมภัทรอมยิ้มเมื่อเห็นชาวต่างชาติขมวดคิ้วงุนงงเพราะไม่เข้าใจภาษาไทย และอาจเป็นเพราะเจ้าตัวรู้ว่ากำลังพูดถึงตัวเอง เขาถึงได้หันไปบีบคั้นให้คนข้างกายตอบว่าเมื่อกี้พูดอะไรกัน ฮ่องเต้ส่ายหน้าดิ๊กไม่ให้ภีมภัทรตอบ มือพยายามป้องกันการรุกรานจากคนตัวโตไม่ให้ขยับมาจี้เอวตัวเองได้ แต่สุดท้ายคนนอกที่มองอยู่ก็ทนไม่ไหวจึงพูดขัดจังหวะเป็นภาษาอังกฤษทั้งเสียงขบขัน

“ผมแค่บอกว่าเวลาอยู่กับคนที่ตัวเองรักเราจะอ่อนแอลงกว่าเดิมหลายเท่า แล้วเต้ก็บอกว่าจริง”

เพียงเท่านั้นฮ่องเต้ก็เบิกตากว้าง ทำท่าจะลุกหนี เสียแต่อ้อมแขนแกร่งรั้งเข้าไปกอดไว้แน่น ภีมภัทรไม่รู้ว่าพายุกระซิบอะไรข้างหูเพื่อน เขารู้เพียงหลังจากได้ฟังแล้วฮ่องเต้ถึงกับฉีกยิ้มเป็นคนบ้า ทั้งยังหันมาพยักหน้าหงึกหงักพูดกับเขาต่อเสียงใส

“เราคุยกันต่อดีกว่า”

“โอเค” แม้ใจนึกอยากแซวอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วภีมภัทรก็พูดไม่ออก...ก็เขาไม่ได้ต่างจากฮ่องเต้เลยนี่นา

อยู่กับคนอื่นเป็นแบบหนึ่ง...อยู่กับคนที่ตัวเองรักเป็นอีกแบบหนึ่ง

ภีมภัทรไม่อายที่จะยอมรับว่าตัวเอง ‘รัก’ เพราะเขารู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่หากต้องพูดกับคนคนนั้นตรงๆ ก็คงเป็นอีกเรื่อง บางทีอาจจะระเบิดตายก่อนได้พูด

“ตั้งแต่พี่จักรไปผมกับมุขก็คอยถามข่าวผ่านพ่อตลอด...” ฮ่องเต้เริ่มหุบยิ้มเมื่อกลับไปเล่าเรื่อง มือเขากำชายเสื้อของคนข้างกายไว้แน่นราวกับต้องการให้เป็นที่พึ่ง “ผมรู้สึกเหมือนพ่อปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น จนวันหนึ่งผมได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับแม่เสียงดัง พูดเรื่องที่แม่บีบบังคับพี่จักรมากเกินไปแล้วยังทำร้ายเขาจนกลายเป็นคนเก็บตัวและเย็นชา”

“มีคนคอยส่งข่าวให้คุณอาเหรอ”

“ใช่ ผมมารู้ทีหลังว่าคนงานในบ้านหลังนั้นคอยส่งข่าวให้พ่อเพราะรู้จักกัน”

“อืม”

“แต่สิ่งที่ทำให้ผมกับมุขรู้สึกผิดมากที่สุดก็คือ...เราทอดทิ้งพี่จักร” คนพูดหลุบตาส่งต่ำด้วยความรู้สึกผิด “ยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งหลงลืมเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายมากขึ้นเท่านั้น ผมกับมุขเอาแต่มีความสุขกับชีวิตของตัวเอง จวบจนวันที่เห็นพี่นั่งรถเข็นลงมาจากเครื่องเราถึงได้รู้ว่าทำอะไรลงไป ”

“เต้…"

“เราพยายามช่วยทุกอย่างเพื่อชดใช้ความผิดถึงแม้พี่จักรจะไม่รับก็ตาม ขอแค่เขายังจำได้ว่าเราเป็นพี่น้องกันผมก็พอใจแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งผมเห็นพี่จักรโมโหทำลายข้าวของต่อหน้าต่อตา เขาสบถด่าคำหยาบคายเป็นภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับเรื่องแม่ แล้ววันต่อมาแม่ก็โทรมาย้ำกับพ่อว่าอย่าให้พี่จักรกลับไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางธุรกิจอีก เธอรับปากว่าจะไม่มายุ่งกับเราถ้าพี่จักรไม่โผล่หัวกลับไป”

“ทำไมถึงทำขนาดนั้น” ภีมภัทรถามเสียงแผ่ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทำกันได้ขนาดนี้ทั้งๆ ที่พี่จักรก็เป็นลูกของเธอเอง

“เธอทำได้ยิ่งกว่านี้อีกภีม...”

“หมายความว่ายังไง”

“เมื่อครึ่งปีก่อนมีข่าวว่าบริษัทที่แม่ดูแลอยู่เกิดปัญหาภายใน เธอโทษว่าพี่จักรเป็นคนทำทั้งที่พี่ชายผมแทบไม่เคยลุกออกจากเตียงเลยด้วยซ้ำ แม่คงคิดว่าพี่จักรจะสร้างปัญหาถึงได้ส่งคนมาทำลายข้าวของที่บ้านตอนไม่มีใครอยู่ ผมรู้ว่าแม่ยังกลัวกฎหมายอยู่บ้างเลยไม่กล้าทำร้ายร่างกาย แต่การส่งคนมาทำแบบนั้นมันทำให้เขาแย่ยิ่งกว่าเข้ามาทำร้ายกันตรงๆ เสียอีก ภีมคงรู้ว่าคนระดับพี่จักรรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไร”

เพราะรู้ว่าทำร้ายทางตรงไม่ได้ถึงได้เลือกทำร้ายทางอ้อมให้เจ็บช้ำใจแทน ช่างเป็นผู้หญิงที่เลือดเย็นจริงๆ...

“เต้…”

“ผมแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ต้องเครียดหรอก” ฮ่องเต้ยิ้มน้อยๆ อดดีใจไม่ได้ที่เห็นสีหน้าเป็นห่วงจริงจังจากคนของพี่ชาย เขามั่นใจแล้วว่าภีมจะต้องทำให้พี่จักรกลับไปเป็นพี่จักรคนเดิมได้แน่ๆ “ภีมมีเรื่องจะถามผมใช่ไหม ถามมาเถอะ”

ภีมภัทรพยักหน้าตอบรับ มือทั้งสองข้างกุมกันไว้แน่นอย่างเป็นกังวล

“เต้รู้จักคนชื่อเกรย์ไหม”

“เกรย์?”

“ผู้ชายที่มีผมสีเทากับตาสีฟ้า เหมือนจะเป็นคนฝรั่งเศส”

“อา...ผมนึกออกแล้ว” ชายหนุ่มตอบรับเสียงแผ่ว ท่าทางเหมือนกำลังนึกถึงคนชื่อนั้น “ผมรู้มาว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่จักรตั้งแต่ไปอยู่ที่นั่น เรียนจบมาแล้วก็ยังทำธุรกิจร่วมกันอยู่ แถมยังเป็นลูกนักการทูตที่มีอำนาจมหาศาลด้วย”

“ผมคิดว่าพี่จักรกำลังจะทำอะไรบางอย่าง” ภีมภัทรตัดสินใจบอกสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปในที่สุด

“ยังไงเหรอ”

“ผมเองก็ไม่แน่ใจ...แต่เมื่อสามอาทิตย์ก่อนพี่จักรเคยขอให้คุณอาหาเบอร์เกรย์ให้ ใครจะคิดว่าไม่กี่วันต่อมาเขาจะมาหาถึงที่นี่”

“เกรย์มาที่นี่?”

“ใช่...พี่จักรบอกเกรย์ว่ามีคนตามดูเขาอยู่และการที่เกรย์มาจะทำให้ฝั่งนั้นรู้ตัว แล้วก็พูดเรื่องธุรกิจอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ” เขาเล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้และจบลงด้วยการบอกสิ่งที่เพิ่งเจอมาไม่นานนี้ แต่กลับทำให้มั่นใจได้ว่าจักรพรรดิต้องคิดทำอะไรอยู่แน่นอน “เมื่อไม่กี่วันก่อนผมพาพี่จักรไปซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่แทนเครื่องเดิมที่ผมให้เขายืม หลังจากซื้อมาแล้วพี่จักรก็จดจ่ออยู่กับมันทั้งวัน ผมแอบเห็นตอนเอาข้าวไปให้ว่าเขากำลังดูหุ้นอยู่”

“ภีม…”

“เต้...พี่จักรเคยบอกผมว่าเขาไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่าง แต่จริงๆ เขาไม่ได้หมดเนื้อหมดตัวใช่ไหม แล้วเรื่องที่เคยทำงานหาเงินอยู่บ้างในระหว่างที่อารมณ์คงที่ งานที่เขาทำคืออะไรกันแน่”

“งานที่พี่จักรเคยทำระหว่างอยู่บ้านกับพวกผมเป็นแค่งานรับจ้างทั่วไปจริงๆ ผมรับรองได้” ฮ่องเต้ตอบกลับทันควัน ไม่ปล่อยให้อีกคนคิดมาก “ส่วนเรื่องที่เขาหมดเนื้อหมดตัว ภีมเชื่อผมเถอะว่าถ้าเขาบอกแบบนั้นก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ พี่จักรไม่มีทางโกหกแน่นอน”

“แต่ว่าผม...”

“พี่จักรเคยบอกผมว่าอะไรที่เคยทำที่ฝรั่งเศสเขาจะทิ้งมันไปทั้งหมดและจะไม่กลับไปยุ่งกับมันอีกเด็ดขาด”

“…”

“ถ้าพี่จักรจะกลับไปยุ่งเกี่ยวกับเกรย์ ยุ่งเกี่ยวกับหุ้นหรือธุรกิจอะไรก็ตามที่เขาเคยทำตอนอยู่ฝรั่งเศสจริงๆ...” ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าภีมภัทรแล้วจ้องมองดวงตาคู่นั้นด้วยแววตาสื่อความหมาย “ผมอยากให้ภีมสงสัย...”

“…”

“ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขายอมผิดคำพูดของตัวเองมากกว่า”

 





ในช่วงค่ำวิบูลย์ตัดสินใจจัดปาร์ตี้เล็กๆ ขึ้นที่บ้านพักวีไอพีของรีสอร์ทซึ่งพวกเขาใช้พักร่วมกัน บริเวณหน้าบ้านมีหนุ่มใหญ่สองคนกำลังช่วยกันปิ้งอาหารให้ลูกๆ ในขณะที่คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปนั่งตามจุดต่างๆ ภีมภัทรยึดครองพื้นที่ริมสระว่ายน้ำมุมหนึ่ง ส่วนข้างกายเขาคือจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ คนทั้งคู่มองตรงไปยังท้องฟ้ามืดมิดเบื้องหน้าโดยยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะต่างคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“เต้พูดอะไรให้คิดมาก” คนที่หลุดจากภวังค์ก่อนเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ ขณะวางมือลงบนไหล่บางเพื่อบอกว่าเขาต้องการลงไปนั่งด้านล่างด้วย ภีมภัทรช่วยประคองคนป่วยอย่างระมัดระวังจวบจนอีกฝ่ายลงมานั่งที่พื้นและหย่อนขาลงไปในน้ำได้แล้วเขาจึงนั่งตาม

“เปล่านะ”

“แต่ภีมทำเหมือนคิดอะไรอยู่” คนรู้ทันยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ภีมภัทรมองแล้วก็ยิ้มกว้าง อาการแบบนี้ดูก็รู้ว่าเป็นห่วง แต่ที่ไม่พอใจคงเป็นเพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการมากกว่า

“เต้แค่พูดให้คิดน่ะครับ”

“หือ”

“หือคืออยากรู้ต่อถูกไหม” ชายหนุ่มหัวเราะ เท้าที่อยู่ใต้น้ำโยกไปมาจนผิวน้ำด้านบนกระเพื่อมไหว สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ปลายเท้าของตัวเองโดยไม่ละสายตา ขณะที่ในหัวยังคงไตร่ตรองถึงเรื่องที่ฮ่องเต้พูดทิ้งไว้เช่นเดิม ทว่ายิ่งคิดมากในใจก็ยิ่งสั่นไหว อารมณ์หงุดหงิดที่ไม่ได้เป็นมานานทำให้เผลอขยับเท้าไปเตะขาของคนด้านข้างเบาๆ ราวกับมันจะช่วยทำให้หลุดออกจากอาการเช่นนี้ได้

“กวนเหรอเด็กน้อย” จักรพรรดิยกมือหยิกแก้มใสเป็นเชิงหยอก แม้ขาจะไร้ความรู้สึก แต่การเห็นตัวเองถูกทำเหมือนเป็นกระสอบทรายแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกแปลกเกินกว่าจะทำเฉยอยู่ได้

“พี่จักร...” ดูเหมือนคนโดนหยิกจะไม่สะทกสะท้าน ดวงตาคู่สวยดูเหม่อลอยไร้ความรู้สึกแม้ยามหันไปจ้องมองคนข้างกาย “ภีมมีอะไรจะถาม”

“พี่ฟังอยู่”

“พี่จักรได้...ฝืนทำอะไรเพราะภีมหรือเปล่า”

จักรพรรดิมีสีหน้าแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่มั่นใจ ก็ว่าแล้วว่าถ้าคนฉลาดสองคนหนีไปคุยกันเองจะต้องไม่ใช่การพูดคุยแบบเรื่อยเปื่อยแน่ๆ เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะคุยกันจนถึงขนาดที่ทำให้เด็กน้อยคิดมากได้

ไม่รู้ว่าพูดคุยกันไปไกลขนาดไหน แต่ดูจากคำถามแล้วคงจะเดาถูกกันเกือบหมดเลยล่ะมั้ง...

“ก่อนที่พี่จะตอบคำถามของภีม...บอกมาก่อนว่าไปคุยอะไรกับเต้มาถึงได้คิดมากแบบนี้”

“ไม่ได้คุยอะไรเยอะเลย” ภีมภัทรลืมความกังวัลแล้วเผลอปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับโบกมือไปมาไม่ยอมรับ หากเป็นเวลาปกติและคนที่พูดด้วยไม่ใช่จักรพรรดิเขาคงโกหกได้แนบเนียนกว่านี้ แต่นี่มันผิดตั้งแต่ที่เป็นจักรพรรดิแล้ว

เขาไม่มีทางโกหกพี่จักรได้เลย...

“เป็นแค่เด็กน้อยริอ่านโกหกพี่เหรอ”

นั่นไง

“ไม่ได้ตั้งใจโกหกเลย ปากมันไปเอง” คนโกหกส่ายหน้าดิ๊ก

“ยังจะเถียงอีก ตอบมาเร็วๆ” จักรพรรดิหรี่ตามองกดดัน ใช่ว่าเขาอยากรู้เรื่องที่ทั้งคู่คุยกันมากมาย หากภีมภัทรไม่มีท่าทีแปลกๆ เหมือนกังวลใจและไม่ถามออกมาแบบนั้นเขาคงไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่าไปคุยอะไรกันมา ต่อให้รู้ว่าต้องเป็นเรื่องของตัวเองก็ตาม แต่นี่ทั้งแสดงออกทางสีหน้าและถามออกมา แบบนี้ใครจะเฉยอยู่ได้

“พี่จักรเคยพูดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพี่ตอนอยู่ฝรั่งเศสอีก...” สุดท้ายคนคิดมากก็เอ่ยออกมาเสียงอ่อย “ภีมคิดว่า...”

“ภีมคิดว่าที่พี่ต้องการติดต่อเกรย์แล้วก็ยังตามดูหุ้นที่นั่นอยู่เป็นเพราะพี่คิดจะทำอะไรบางอย่างที่มีภีมเป็นต้นเหตุใช่ไหม”

“พี่รู้ได้ยังไง” ภีมภัทรตาโต นี่มันไม่ใช่แค่รู้คร่าวๆ แต่พี่จักรแทบจะเดาใจเขาออกเกือบหมดเลยต่างหาก

“แค่พยายามคิดตามคนฉลาดแต่ชอบแสดงออกทางสีหน้า”

คนฟังยกมือจับหน้าตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วว่าคนคนนี้ฉลาดจนน่ากลัวสุดๆ ไปเลย

“ภีมไม่ได้แสดงออกเยอะขนาดนั้นมั้ง”

“ขนาดตัวเองยังไม่มั่นใจเลย” จักรพรรดิยิ้มบางด้วยความเอ็นดู นึกอยากเห็นสีหน้าหลุกหลิกของคนชอบวางมาดเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นอีกสักหน่อยเหมือนกัน แต่ความสงสารมีมากกว่าเลยได้แต่ยกแขนโอบเอวอีกคนให้ขยับเข้ามาใกล้แล้วจึงพูดต่อ “ตอบคำถามมาเร็วๆ”

“พี่จักรคิดจะทำอะไร” ภีมภัทรถามเสียงตื่น อารมณ์ตกใจที่โดนโอบเอวให้เข้าไปแนบชิดถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนกเพราะเขาสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มของพี่จักรเจ้าเล่ห์กว่าทุกที ต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ

“ทำแบบนี้ไง”

แทนคำตอบ...มือที่โอบเกี่ยวเอวบางไว้ออกแรงผลักหลังคนตัวเล็กกว่าอย่างแรงจนตัวเอนไปด้านหน้า

ตูม!

“เฮ้ย!”

“ภีม!”

“หึหึ”

เสียงร้องด้วยความตกใจจากคนรอบข้างไม่ได้ทำให้ภีมภัทรสนใจมากเท่าเสียงหัวเราะคนของขี้แกล้ง แม้มันจะเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ดังมากมายแต่กลับกึกก้องในใจของทุกผู้ที่ได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวของคนป่วยที่ไม่ได้ยินเสียงนี้มามากกว่าสิบปีแล้ว

ภีมภัทรลูบน้ำออกจากใบหน้า ใจรู้สึกสดชื่นแบบที่ไม่เคยเป็นทั้งที่โดนผลักตกลงมาแท้ๆ เขาเพียงแค่ควักน้ำสาดใส่คนบนขอบสระจนฝ่ายนั้นเบือนหน้าหนีเท่านั้น ชายหนุ่มว่ายเข้าไปหา วางมือเกาะขาทั้งสองข้างที่ไม่ได้ลีบเหมือนตอนแรกท่ีเจอกันเบาๆ เพื่อทรงตัว ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งงันก่อนเขาจะเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

“ภีมไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่จักรต้องผิดคำพูดของตัวเอง”

จักรพรรดิถอนหายใจทั้งที่ปากยังยกยิ้ม เขาช่วยปัดเศษผมเปียกน้ำบนใบหน้าใสออกให้ขณะที่สายตายังไม่ละห่างไปไหน ปลายนิ้วที่ไม่ได้ผอมแห้งเหมือนเมื่อสองสามเดือนก่อนกลี่ยแก้มขาวเบาๆ อย่างอ่อนโยน

“พี่ผิดคำพูดเพราะฝ่ายนั้นเริ่มเข้ามายุ่งกับพี่ก่อน เขาบุกรุกพื้นที่ของพี่ ทำสิ่งที่บอกว่าตัวเองจะไม่ทำ เพราะงั้นสิ่งที่พี่ทำมันไม่ใช่เพราะภีมเป็นต้นเหตุ...”

“…”

“แต่ถ้าบอกว่าทำเพื่อภีม เรื่องนั้นพี่ไม่เถียง”

“พี่จักร...”

“พี่ทำเพื่อปกป้องพื้นที่ของตัวเอง...พื้นที่ที่มีภีมอยู่ข้างๆ”

ทั้งยอมผิดคำพูดของตัวเองพยายามติดต่อเกรย์อีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ

ทั้งยอมซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่เพื่อกลับไปดูหุ้นที่เคยคิดจะทิ้งอีกครั้ง

ทั้งยอมโทรไปหาลูกน้องที่นั่นเพื่อสั่งการเรื่องการก่อสร้างที่ปล่อยทิ้งไปแล้วเป็นปีให้กลับมาดำเนินการต่อ

ทั้งสั่งงานคนของตัวเองให้ร่วมมือกับเกรย์รวบรวมหลักฐานการทำงานผิดกฏหมายขององค์กรสกปรกที่ผู้หญิงคนนั้นดูแลอยู่เพื่อเตรียมส่งให้ตำรวจ

และทั้งหมด...เพื่อภีม


————————-




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: พันวา ที่ 10-05-2018 22:09:48
อยากเห็นวันที่พี่จักรแข็งแรงดี ต้องเท่มากๆแน่เลย

 :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 10-05-2018 23:07:33
พี่จักรทำเพื่อน้องขนาดนี้เลย :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tensita ที่ 10-05-2018 23:31:29
รอวันมะรืนไม่ไหวแล้ววว :katai5: :katai5: :katai5:

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-05-2018 02:50:28
อยากเห็นหน้าคุณแม่ตัวอย่าง(ไม่ดี)ของสามคิงจังเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 11-05-2018 02:56:41
พี่จักรสู้ ๆ ฝ่าด่าน "แม่มดใจร้าย" ไปให้ได้นะ
เป็นกำลังใจให้ (คนเขียน) และสามคิง+เขยสะใภ้
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 11-05-2018 07:52:21
ขออย่าให้ผู้หญิงคนนั้นมีโอกาสสร้างปัญหา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-05-2018 10:28:33
ผู้หญิงคนนี้ไม่ควรลอยนวล
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 11-05-2018 15:49:46
ชอบมากกกก o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[11]==[P.4]== [10/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 12-05-2018 16:09:26
-12-


‘พี่ทำเพื่อปกป้องพื้นที่ที่มีภีมอยู่ข้างๆ...’

พี่จักรทำเพื่อภีม...

แบบนี้ยังต้องอยากรู้อะไรอีก ความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคทำให้อบอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึงแม้เวลาจะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม ภีมภัทรจ้องมองคนที่กำลังทานข้าวด้วยสายตาเหม่อลอย ใบหน้าของจักรพรรดิในยามนี้ไม่ได้ซูบโทรมหรือซีดเซียวเหมือนช่วงแรกอีกแล้ว เขายอมทานอาหารจนหมด ตั้งใจออกกำลังและทำกายภาพมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้แทบไม่ต้องให้ภีมภัทรช่วยประคองลงจากเตียงไปขึ้นวีลแชร์เสียด้วยซ้ำ เวลาอยากไปไหนก็เข็นรถไปเองไม่ได้เรียกเขาหรือนั่งรอเฉยๆ เหมือนเคย

ภาพลักษณ์ภายนอกของจักรพรรดิเกือบจะเรียกได้ว่าเหมือนเดิมแล้ว ยังขาดก็แต่ขาที่เล็กไปหน่อย ซึ่งวิทยายืนยันว่าอีกไม่นานมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแน่นอนหากเขาใช้กล้ามเนื้อบ่อยๆ ใบหน้าคมคายนั้นดูดีและหล่อเหลาไม่ต่างจากที่หลายคนคิด ฝ่ามือที่เคยผอมกลับมาดูใหญ่โตแข็งแรงเช่นเดียวกับที่เคยเป็น และยิ่งดูใหญ่ขึ้นไปอีกยามเขาใช้มันวางเทียบกับมือเรียวของใครบางคนเวลาหลับ

“วันนี้พวกคุณอาก็จะกลับกันแล้ว พี่จักรจะไปส่งพวกท่านไหม” เจ้าของบ้านเอ่ยถามทั้งที่ตายังจ้องมองใบหน้าอีกคนไม่เลิก น้ำเสียงเอื่อยๆ ลอยๆ เหมือนคนง่วงนอนทำให้จักรพรรดิต้องหยุดมือที่กำลังกินข้าวเพื่อหันมาหา แต่แล้วเมื่อสบตากันเข้าอย่างจังเขาก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

“นั่นตาคนหรือหมีแพนด้า”

“อย่าแซวสิ” ภีมภัทรพูดเสียงอ่อย ตัวแทบจะเลื้อยขึ้นไปนอนอยู่บนโต๊ะกินข้าว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากหน้าพี่จักรของตัวเองอยู่ดี

“ไปนอนไป” จักรพรรดิยื่นมือไปขยี้หัวทุยเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

“แต่ต้องไปส่งพวกคุณอา”

“ไม่ต้องไป เดี๋ยวพี่บอกให้”

“เอางั้นเหรอ” คนที่เริ่มทนไม่ไหวตาปรือ สติใกล้หลุดลอยเต็มที่ แต่เพราะยังอยากมองหน้าอีกคนอยู่เขาจึงพยายามฝืนถ่างตาให้ได้มากที่สุด

“ลุกไปนอนในห้องเดี๋ยวนี้” เสียงที่แกล้งทำเป็นดุดูเหมือนจะได้ผลอยู่ไม่น้อยเมื่อภีมภัทรเด้งตัวลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนแกล้งดุถอนหายใจมองตามหลังเด็กดื้อไปจนลับสายตา

อันที่จริงอาการแปลกๆ ของภีมภัทรเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว จักรพรรดิยังไม่แน่ใจว่ามีสาเหตุมาจากอะไร รู้เพียงว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาสารภาพไปตามตรงว่าตัวเองทำเพื่อใครอยู่ หลังจากวันนั้นภีมภัทรก็เอาแต่เหม่อลอย และไม่ใช่เหม่อธรรมดาแต่เป็นเหม่อมองหน้าเขาไม่ละสายตา แม้กระทั่งตอนที่ตัวเองเดินไปคุยกับพ่อก็ยังหันมามอง และที่แย่ยิ่งกว่าคือมองแม้กระทั่งตอนที่กำลังจะหลับ

ภีมภัทรนอนห้องเดียวกับเขาที่รีสอร์ท เจ้าตัวเป็นคนบอกคนอื่นเองแบบไม่มีท่าทีเขินอายว่าปกติก็นอนกับพี่จักรสองคนตลอด จากนั้นก็ลากเขาเข้าห้องทันทีโดยไม่ถามความเห็นใคร เสร็จแล้วก็เอาแต่จ้องไม่เลิกจนเขาหลับ ตื่นเช้ามาก็เห็นมองอยู่ก่อนแล้ว ที่น่าขำคือดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้นอนหลับสนิทเลยตั้งแต่คืนนั้น สังเกตเอาจากขอบตาดำๆ กับดวงตาอ่อนล้านั่นก็รู้แล้ว

ดูท่าสาเหตุคงมาจากเรื่องที่เขาพูด...

น่าเอ็นดูจริงๆ

จักรพรรดิขยับวีลแชร์ออกห่างจากโต๊ะกินข้าวแล้วตรงออกไปที่ห้องรับแขกของบ้านพัก เขาใช้แรงแขนตัวเองยกขาขึ้นลงไปมาเหมือนที่ทำอยู่ทุกวัน หวังเพียงให้มันช่วยลดความลำบากของคนที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่ลงบ้าง เพราะช่วงที่ครอบครัวมาหาที่นี่ ภีมภัทรยังคงพาเขาไปโรงพยาบาลเพื่อทำกายภาพบำบัดวันละสองถึงสามชั่วโมงอยู่เหมือนเคย กลับมาก็คอยช่วยทำต่อไม่เคยบ่น แม้จักรพรรดิจะบอกไม่ได้เต็มปากนักว่าอาการดีขึ้นหรือเปล่า แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดีขึ้นมากทั้งที่ขาก็ยังขยับไม่ได้อยู่เหมือนเดิม

ร่างกายเขาสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น จิตใจก็เช่นกัน...

เขาไม่ได้โมโหอีกเลยนับแต่ตื่นมาแล้วเห็นว่ามีใครอยู่ข้างๆ เรื่องของขาก็ไม่ใช่ปัญหาในการดำเนินชีวิตแบบที่เคยคิด ทุกๆ วันที่ผ่านมาล้วนเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นใจ เขาไม่ได้ฝันร้าย ไม่ได้นึกถึงเรื่องในอดีตอีกเพราะคนที่สำคัญที่สุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว อันที่จริงถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เข้ามายุ่ง บางทีจักรพรรดิอาจลืมเลือนความแค้นทั้งหมดที่มีแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายโดนความชั่วกัดกินตัวเองไปแล้ว ส่วนเขาคงรับจ้างทำงานอิสระอยู่ที่บ้านระหว่างที่ยังเดินไม่ได้ หรือไม่ก็ขอช่วยงานภีมภัทรไปก่อน

แต่เพราะว่าฝ่ายนั้นยังไม่หยุด...เขาถึงต้องทำแบบนี้

“พี่จักร”

จักรพรรดิหันไปตามเสียงเรียก เห็นน้องชายคนรองกับผู้ชายตัวสูงอีกคนหิ้วกระเป๋าเดินมาพร้อมกัน ชายหนุ่มคนนั้นเป็นชาวรัสเซีย เข้ามาแนะนำตัวกับเขาในฐานะ ‘คนรัก’ ของฮ่องเต้ และชื่อที่แท้จริงคือ ‘วลาดิเมียร์’ ส่วนชื่อพายุนั้นเป็นชื่อที่ฮ่องเต้ตั้งให้ใช้แค่ในประเทศไทยเท่านั้น

“คนอื่นล่ะ” เขาถาม

“น่าจะเก็บของอยู่นะ”

“อืม”

“แล้วภีมไปไหนล่ะพี่จักร” ฮ่องเต้เลิกคิ้วถาม จักรพรรดิเลยพยักพเยิดไปทางประตูห้องของเขาที่เปิดทิ้งไว้ เพียงเท่านั้นคนถามก็เข้าใจได้ในทันที “น่าจะนอนยาวนะ ผมเห็นตาดำมาหลายวันแล้ว”

“ให้นอนไปเถอะ”

“เป็นห่วงล่ะสิ”

“อยากโดนคิดบัญชีเรื่องที่ไปพูดให้ภีมคิดมากใช่ไหม” จักรพรรดิแกล้งถาม แต่เล่นเอาคนยิ้มกริ่มหน้าซีด ฮ่องเต้เนียนขยับไปหลบอยู่ข้างหลังคนตัวโตที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งก่อนจะโผล่หน้าออกมาตอบเบาๆ

“แค่พูดให้คิดเฉยๆ”

ตอบเหมือนกันทั้งคู่...

“อย่าเถียงพี่ชาย” คนที่ยืนเงียบมาตลอดหันไปบอกคนตัวเล็กกว่าที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเป็นภาษาอังกฤษ เพียงเท่านั้นฮ่องเต้ก็ทำหน้าบูดเป็นตูดเพราะแม้แต่พี่ยุของตัวเองก็ไม่เข้าข้าง

“พี่ยุต้องเข้าข้างฝั่งนี้สิ”

จักรพรรดิทอดสายตามองน้องชายที่กำลังคุยกับคนรักด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทั้งที่คิดว่าหลงลืมมันไปหมดแล้ว แต่เขากลับยังรู้สึกเป็นห่วงไม่หาย ยังอยากมองจนกว่าจะแน่ใจว่าผู้ชายคนนี้จะดูแลฮ่องเต้ได้ดีหรือเปล่า

บางที...มันอาจเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่ไม่มีวันจางหายไปตามกาลเวลาแม้จะแยกจากกันไปนานแค่ไหนก็ตาม

 “นาย…” เสียงเรียกห้วนสั้นทำให้คนสองคนหันกลับมามอง

“…”

“มั่นใจหรือเปล่า...” เขาถามเป็นภาษารัสเซียชัดถ้อยชัดคำเพื่อสื่อว่ากำลังถามใคร

จักรพรรดิรู้มาจากประมุขว่าสองคนนี้คบกันมานานแล้ว แต่พายุเป็นทหารรัสเซีย ทั้งยังมีสถานะเป็นผู้ติดตามหรือบอดี้การ์ดของบุคคลสำคัญในรัสเซีย เป็นเหตุให้เขาไม่ค่อยมีเวลาให้ฮ่องเต้มากนัก นานๆ ครั้งที่มีเวลาถึงจะได้บินมาหาฮ่องเต้สักที จักรพรรดิไม่รู้ว่าทั้งคู่เคยคุยกันอย่างไร แต่เขาเพียงแค่อยากแน่ใจในฐานะพี่ชาย

“มั่นใจหรือเปล่าว่าจะดูแลเด็กคนนี้ได้"

เพียงเท่านั้นพายุก็เดินตรงเข้ามาหา จ้องมองตอบดวงตาคมกริบด้วยแววตาดุดันและมั่นคงไม่แพ้กัน

“ด้วยชีวิต”

ด้วยชีวิตงั้นเหรอ...

ถ้าเป็นเขาจะสามารถตอบได้อย่างมั่นใจเท่านั้นหรือเปล่านะ








บรรดาแขกผู้มาเยือนเดินทางไปสนามบินกันในช่วงบ่ายโดยกฤษณ์ยืนยันไม่ให้ใครไปส่งเลยสักคน เพราะยังไงเขาก็ไปกับลูกๆ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนั้นคนเพียงคนเดียวที่ยังหลับเป็นตายจึงยังหลับอยู่เช่นนั้นไม่มีใครปลุก ข้างกายเป็นร่างของคนตัวสูงที่กำลังนอนพิงหัวเตียงกดโน้ตบุ๊กรอให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาด้วยตัวเอง

จักรพรรดิหยุดมือที่กำลังกดโน้ตบุ๊กเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้ามา โชคดีที่ภีมภัทรหลับลึกจึงไม่ได้ยินเสียงนั้น ผู้มาเยือนคือเจ้าของสวนรังสิมันตุ์และรีสอร์ทรังสิมันตุ์ ทั้งยังเป็นพ่อของคนที่หลับอุตุอยู่ข้างเขาด้วย

“ภีมยังไม่ตื่นเหรอจักร”

“…ครับ” จักรพรรดิพยายามปรับน้ำเสียงสั้นห้วนของตนเองให้สุภาพที่สุด แต่มันก็ยังดูแปล่งๆ อยู่เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นวิบูลย์ก็ยังยิ้มให้กับความพยายามนั้น เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี

“อาจะมาถามว่าภีมจะเอายังไงเรื่องงานใหญ่ที่ใต้ ต้องเดินทางพรุ่งนี้แล้วด้วย ถ้าภีมไม่ไปอาจะได้ไปเองแล้วฝากงานทางนี้ไว้แทน” วิบูลย์ทำท่าจะหันหลังกลับแล้วฝากให้จักรพรรดิบอกคนหลับอีกครั้ง แต่ก่อนจะได้ทำเช่นนั้นเขาก็นึกอะไรได้เสียก่อน “แต่จริงๆ จักรตัดสินใจแทนภีมเลยก็ได้นะ อาว่าเด็กนี่ต้องถามจักรแน่ๆ ว่าอยากไปเที่ยวใต้หรือเปล่า”

จักรพรรดิก้มลงมองใบหน้าใสของคนหลับก่อนจะยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมออกให้เบาๆ เขาเองก็คิดว่าภีมภัทรคงมาถามแล้วให้เขาตัดสินใจแน่ เมื่อตัดสินใจได้แล้วชายหนุ่มจึงหันไปพยักหน้าตอบรับ มือดึงวีลแชร์เข้ามาใกล้ จัดท่านั่งอีกนิดหน่อย ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็สามารถเปลี่ยนไปนั่งบนวีลแชร์ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยคนช่วย

วิบูลย์มองภาพนั้นยิ้มๆ ท่าทางลูกชายเขาคงทำให้ฝ่ายนั้นเปลี่ยนไปมากจริงๆ ท่าทีแบบที่เจอกันครั้งแรกแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว หนุ่มใหญ่หันกายเดินนำออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่าไม่ต้องช่วยจักรพรรดิก็สามารถเข็นรถมาเองได้ เขานั่งลงบนโซฟา รอจนอีกคนตามมาถึงแล้วจึงเริ่มพูดช้าๆ

“ลูกสาวคนสำคัญของเจ้าสัวพิทักษ์จะแต่งงานในอีกสามวัน เจ้าสัวเคยช่วยเหลืออาเอาไว้มาก อาเลยตอบรับเรื่องที่ท่านขอให้อาไปจัดดอกไม้ในงานให้ เพียงแต่ถ้าอาไปเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก อารู้แค่งานบริหาร สั่งงานคน ทำไร่ทำสวน แต่ให้จัดดอกไม้เป็นช่อคงจะยาก ต่างจากเจ้าภีมที่ทำได้ทุกอย่าง เพราะงั้นอาเลยบอกให้ภีมพาจักรไปที่นั่นแทน ไปช่วยจัดงานหนึ่งวันแล้วก็ร่วมงานแทนอาอีกหนึ่งวัน คิดซะว่าพาจักรไปเที่ยวด้วย”

ไม่ต้องคิดให้มากความจักรพรรดิก็พอจะรู้ว่าภีมภัทรคงอยากพาเขาไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน ส่วนตัวเขาเอง...ถึงแม้จะไม่ได้สนใจเรื่องเที่ยวมากนัก แต่เมื่อคิดว่าจะได้ไปพักผ่อนกับเด็กน้อย ความรู้สึกอยากที่ไม่เคยเกิดมันก็เกิดขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ตกลงครับ”

วิบูลย์พยักหน้าพอใจ เขาลุกขึ้นเดินไปตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ

“พรุ่งนี้อาจะให้คนไปส่งขึ้นเครื่่อง ถึงที่นั่นแล้วจะมีคนของสวนมารอรับ”

“แล้วพวกทีมงานกับดอกไม้...”

“จักรอาจจะไม่รู้ว่าสวนรังสิมันตุ์มีอยู่ทุกภาค ที่อื่นอาจไม่ใหญ่เท่าที่นี่แต่ก็ส่งขายได้เยอะอยู่เหมือนกัน ส่วนเรื่องทีมงานก็เป็นคนที่สวนใต้นั่นล่ะ เดี๋ยวเจ้าภีมคงแนะนำให้รู้จักอีกที”

“ครับ”

“อาไปล่ะ จักรรอภีมตื่นแล้วโทรไปเรียกคนที่สวนให้มารับกลับนะ”

“ครับ”

จักรพรรดิรอจนเจ้าของที่นี่เดินออกไปจากบ้านพักแล้วจึงหมุนตัวเข็นรถกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เขาจ้องมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับสนิทด้วยแววตาอ่านยาก อดคิดไม่ได้ว่าภีมภัทรเป็นคนที่มีพร้อมมากจริงๆ ทั้งหน้าตาดีตามสไตล์หนุ่มเจ้าสำอาง แล้วยังมีฐานะที่น่าจะเรียกได้ว่าฟู่ฟ่าพอควร น่าแปลก...

แปลกที่ไม่โดนแย่งไป...

แปลกที่ยังรอดมาจนถึงมือเขา...

“ยึดติดมากเกินไปหรือเปล่า” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่วขณะจับมือคนหลับขึ้นมาบีบเบาๆ “ต่อให้ภีมไม่รอ พี่ก็ไม่มีวันโกรธอยู่แล้ว”

เพราะเขาถึงกับลืมเลือนเรื่องของอีกคนไปแล้วด้วยซ้ำ แบบนี้จะกล้าโกรธได้ยังไง

หากไม่ได้พิการ ไม่ได้อารมณ์ร้ายรับสภาพตัวเองไม่ได้จนแม่ตัดหางปล่อยวัด บัดนี้เขาคงนั่งอยู่บัลลังก์แล้วยอมให้แม่ชักใยอยู่เบื้องหลังจนเริ่มดูดซับความชั่วมา ถึงตอนนั้นธุรกิจเลวๆ ทั้งหมด บางทีเขาอาจยึดครองมันมาแล้วดูแลด้วยตัวเองก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่มีวันกลับมา ไม่มีวันนึกออกว่ามีเด็กน้อยบางคนรออยู่ที่นี่

แล้วถ้าเป็นแบบนั้นคนที่ยึดติดกับเขาคนนี้จะทำอย่างไร...

แต่ถึงอย่างนั้น...

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยัง...

“ขอบคุณที่รอ” จักรพรรดิไร้บัลลังก์ก้มลงจูบแผ่วเบาที่มือเรียวขาวดั่งต้องการให้คำมั่นสัญญา

จากนี้พี่จะอยู่เคียงข้างภีมตลอดไป...

“อือ…” เด็กน้อยบนเตียงขยับขยุกขยิกเหมือนไม่สบายตัว มือปัดป่ายไปรอบเตียงราวกับตามหาบางสิ่ง และเมื่อไม่พบเขาก็ลืมตาพรึบพลางลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “พี่จักร!”

ร้องเรียกหาทั้งที่มือก็ยังจับกันอยู่แท้ๆ...

จักรพรรดิไม่ตอบรับแต่รอให้อีกฝ่ายหันมาเจอเอง เขามองภาพคนง่วงนอนสะบัดหัวให้ตัวเองตื่นขำๆ ทั้งมาดผู้ดีและการวางตัวดีไม่รู้หายไปไหนหมด เพราะนอกจากหัวจะยุ่งสุดๆ แล้วมุมปากบางยังมีน้ำใสๆ ไหลยืดออกมาเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับฝันดีขนาดไหนอีกด้วย

“เด็กน้อยจริงๆ อายุก็เยอะแล้วนะน่ะ”

ภีมภัทรมารู้สึกตัวเต็มที่ก็ตอนนี้เอง ชายหนุ่มหันหน้าขวับ มือยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตายกใหญ่ ใบหน้าใสแดงก่ำเมื่อสัมผัสได้ว่าตัวเองนอนน้ำลายยืด ทั้งยังยืดต่อหน้าพี่จักร!

“มันก็ต้องมีบ้างสิ” เขาบ่นพึมพำพลางแกะมือออกจากการจับกุมอย่างหัวเสีย พอเอามาช่วยเช็ดน้ำลงน้ำลายหมดแล้วจึงยัดกลับไปวางไว้ที่เดิมแล้วยิ้มแฉ่ง

“เด็ก” จักรพรรดิใช้มือข้างที่ว่างดีดหน้าผากใสเบาๆ หนึ่งทีด้วยความเอ็นดู...แม้มือเขาจะเลอะน้ำลายที่ภีมภัทรเอามาป้ายก็ตาม

ใครจะไปโกรธลง...

“แล้วนี่ทุกคนกลับไปหมดแล้วเหรอ”

“อืม”

“ไม่ได้ไปส่งเลย...” อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไปส่งจนขึ้นเครื่องแท้ๆ

“เดี๋ยวก็ได้เจอกันใหม่”

“นั่นสิเนอะ”

“ภีม…” จักรพรรดิเรียกคนที่ดูอารมณ์ดีเมื่อนอนเต็มอิ่มให้หันมามอง “พี่ตอบตกลงเรื่องงานที่ใต้ไปแล้วนะ”

ภีมภัทรเลิกคิ้วงุนงงอยู่ครู่หนึ่งเหมือนสมองไม่สั่งการ แต่เมื่อนึกออกเขาก็พยักหน้าหงึกหงักตามคาด

“โอเค ภีมก็ว่าจะพาพี่จักรไปที่นั่นอยู่แล้ว”

“อย่าลืมบอกวิทยาล่ะ”

วันนี้วิทยาไม่ได้มาหาเพราะภีมภัทรบอกไปว่าอาจต้องไปส่งแขก เขาจึงเลื่อนให้อีกฝ่ายมาที่บ้านในวันพรุ่งนี้แทน แต่ถ้าต้องลงใต้อย่างต่ำก็ต้องไปสองสามวัน หากให้นักกายภาพบำบัดส่วนตัวรอเก้อคงน่าสงสารแย่

“งั้นภีมโทรหามันเลยดีกว่า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกแล้วพูดคุยอยู่ครู่ใหญ่ จักรพรรดิพอจับใจความได้ว่าปลายสายน่าจะบอกเรื่องการทำกายภาพของเขาระหว่างที่ไปใต้ เพราะอย่างนั้นคนฟังถึงได้ดูตั้งอกตั้งใจแล้วหันมามองขาเขาบ่อยๆ จวบจนวางสายไปแล้วคนตาใสก็ยังมองขาเขาอยู่

“มองอะไร”

“กำลังจินตนาการอยู่ว่าต้องทำยังไง”

แล้วจะจินตนาการทำไม...เข้ามาลองทำเลยก็จบแล้วไหม

“ไปล้างหน้าล้างตาไป จะได้เรียกคนมารับกลับไปเก็บของสำหรับพรุ่งนี้” จักรพรรดิออกปากไล่ เพราะขืนปล่อยให้ไปเองเขาคงต้องโดนนั่งจ้องจนขาพรุนก่อนแน่ๆ

“ไปแล้วๆ”

กว่าจะจัดการกับตัวเองกันเรียบร้อยจนกลับมาถึงบ้านเล็กที่เรือนกุหลาบก็กินเวลาไปสองชั่วโมง จักรพรรดิที่ถูกบังคับให้นั่งอยู่บนเตียงคอยเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางขณะที่อีกคนเลือกของอยู่ที่พื้นออกจะเบื่อไม่น้อย ไม่เพียงให้เขาคอยเอาของใส่กระเป๋าอย่างเดียว แต่ให้พับผ้ายังไม่ไม่ให้พับเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายจะพับจนเรียบร้อยก่อนจึงจะส่งมาให้

“พี่จักรนั่งออกกำลังกายไปเลย”

แล้วคนรับคำสั่งจะทำอะไรได้นอกจากทำตาม...

จักรพรรดิยืดขาออกแล้วออกกำลังรวมถึงบีบนวดขาตามที่วิทยาเคยสอนอย่างคล่องแคล่ว เขาทำแบบนี้มานานเป็นเดือนจนเริ่มคุ้นชินกับมัน พอชินแล้วอะไรๆ ก็ไม่ยากลำบากเหมือนตอนแรก เขามีแรงยกขาตัวเอง จัดท่านั่งเองได้ ออกกำลังเองได้ ทำทุกอย่างได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป แม้มันจะขัดๆ ไปสักหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีปัญหามากนัก

ทว่าในระหว่างที่กำลังจะใช้มืองอขาขึ้นมานั่นเอง...

ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนใบหน้าคมคายจะปรากฏรอยยิ้มกว้างน่ามองแบบที่ไม่เคยมีใครได้เห็น น่าเสียดายที่ภีมภัทรหันหลังอยู่เขาจึงพลาดโอกาสนั้นไป

“ภีม”

“ครับ...เสร็จแล้วๆ” คนที่คิดว่าโดนเรียกเพราะใช้เวลานานเกินไปหันหน้ามาหาพร้อมกองผ้ากองสุดท้าย ภีมภัทรปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง วางกองผ้าลงข้างกายแล้วขยับมืิอไปบีบนวดขาให้อีกคนตามความเคยชิน

“มีข่าวดีมาบอก” จักรพรรดิพูดยิ้มๆ จนคนที่กำลังตั้งใจนวดต้องเงยหน้ามอง

“อะไรเหรอ”

“ถ้าตอบคำถามแล้วจะบอก”

“งั้นภีมไม่อยากรู้ก็ได้”

“ที่พูดนี่มั่นใจแล้วใช่ไหม” เขาถามแล้วทำทีเป็นไม่แคร์ “แล้วแต่”

“เดี๋ยวก่อน!”

หลอกง่ายชะมัด...

จักรพรรดิแอบยิ้ม เพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกันว่าเขาเป็นคนขี้แกล้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยดั้งเดิมหรือเพราะคนมันน่าแกล้งกันแน่

“สรุปว่ารับข้อเสนอ?” เขาถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ ไม่ลืมทำหน้าเข้มขู่อีกที รอจนคนคิดเยอะพยักหน้าแบบหวาดๆ นั่นล่ะถึงหลุดยิ้มออกมาแบบไม่ปิดบัง “ที่จ้องพี่แทบจะตลอดเวลาแถมยังนอนไม่หลับมาหลายวัน สรุปแล้วเป็นเพราะอะไร”

“นั่นไง...ภีมว่าแล้ว” ภีมภัทรทำท่าไม่อยากตอบชัดเจน

“พูดแล้วห้ามคืนคำ”

“รู้แล้วๆ” เจ้าตัวโบกไม้โบกมือเหมือนขอเวลา แต่ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูด จวบจนคนถามทนไม่ไหวจะถามย้ำ อีกฝ่ายถึงขยับริมฝีปากส่งเสียงอู้อี้ออกมา “ไม่...นี่นา”

“พูดดังๆ”

“ไม่อยาก...”

“ถ้าพูดอีกทีแล้วพี่ยังไม่ได้ยินจะถีบตกเตียงละนะ” เขาแกล้งขู่ขำๆ ทั้งที่ตัวเองจะยกขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เหมือนเด็กน้อยก็ไร้สติอยู่พอสมควรถึงได้รีบเงยหน้าแล้วพูดออกมาเสียงดังก้อง

“ไม่อยากจะเชื่อนี่นา!"

“หือ…”

“ก็มันตกใจ...” หน้าแดงๆ ดูจะแดงยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อต้องฝืนพูดความจริงออกมาจนหมดเปลือก “ภีมไม่อยากจะเชื่อว่าพี่จักรจะพูดแบบนั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยิน มันทั้งตกใจ ดีใจ หัวใจเต้นแรงจนปวดไปหมด กลัวว่าถ้าละสายตาแล้วพี่จะหายไปเหมือนตอนเด็กๆ...ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำยังไง”

“ก็เลยจ้องอยู่ตลอดแถมยังนอนไม่หลับงั้นเหรอ”

“อือ”

จักรพรรดิรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในอก มันเป็นอาการเหมือนกับที่ภีมภัทรบอกเขาเมื่อกี้ไม่มีผิด คิดได้ดังนั้นมือใหญ่จึงจับมืออีกคนมาแนบอก กดทับบนตำแหน่งเดียวกันกับหัวใจของตัวเอง

“มันเป็นความจริง”

ภีมภัทรกะพริบตาถี่เหมือนไม่อยากเชื่อ...ไม่อยากเชื่อว่าหัวใจของทั้งคู่จะเต้นเป็นจังหวะรัวเร็วในแบบเดียวกัน เขาหลับตานิ่งงันเพื่อซึมซับความรู้สึกนั้นไว้ อยากให้มันประทับลงในจิตใจไปอีกนานแสนนาน

“เป็นความจริง...” เขายิ้มออกมาเหมือนคนบ้า เป็นรอยยิ้มของคนที่มีความสุขที่สุด

“อืม” จักรพรรดิยอมปล่อยให้เด็กน้อยกุมมือเขาไว้แน่น ขณะที่ตัวเองถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วนั่งมองคนตัวเล็กกว่าด้วยดวงตาเป็นประกาย

“แล้วพี่จักรมีข่าวดีอะไรจะบอกภีมเหรอ”

“จริงๆ ก็บอกไปแล้วนะ”

“หือ...ตอนไหน” ภีมภัทรทำหน้างง เขามั่นใจว่าพี่จักรยังไม่ได้บอกอะไรที่เป็นข่าวดีออกมาแน่ๆ ก็เมื่อกี้มันมีแต่เขาที่ตอบคำถามไม่ใช่หรือไง

จักรพรรดิมองแววตาสับสนนั้นออก เขาจึงเฉลยออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ที่พี่บอกว่าจะเตะภีมตกเตียง”

เตะตกเตียง...แล้วเกี่ยวอะไร

“หมายความว่ายังไง”

“หมายความว่า...” ปลายเท้าที่วางชนกับปลายเท้าของภีมภัทรพอดีออกแรงเล็กน้อยเพื่อขยับให้มันไปกระทบเป้าหมาย

“พี่จักร...” แม้จะเป็นสัมผัสแผ่วเบา หากคนพูดกลับรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน

“อีกไม่นานเดี๋ยวพี่ก็เตะภีมได้แล้ว”

“พี่...พี่จักร...พี่ขยับปลายเท้าได้แล้ว” ภีมภัทรเงยหน้ามองคนข้างกายด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความสับสน เขาก้มๆ เงยๆ มองระหว่างใบหน้าคมคายกับปลายเท้าที่เคยขยับไม่ได้อยู่หลายครั้ง และไม่ต้องรอให้ได้รับคำตอบเขาก็เข้าใจในที่สุด “พี่ขยับปลายเท้าได้แล้วจริงๆ ด้วย”

ในเวลานั้นเองที่รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้น มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดเท่าที่จักรพรรดิเคยเห็นมา แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับดวงตาคู่นั้น...ดวงตาที่ดูราวกับมีดวงดาวมากมายเป็นร้อยเป็นพันดวงลอยอยู่ด้านใน มันเปล่งประกายระยิบระยับจนทำให้คนตรงหน้าดูเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าดวงอาทิตย์

ทั้งเย็นตากว่า...

มองแล้วสบายใจกว่า...

“ถ้าพี่จักรเตะได้เมื่อไหร่ภีมจะยอมให้เตะเลย สัญญา” เด็กน้อยของเขาพูดติดตลกทั้งที่ยังไม่หุบยิ้ม “เพราะงั้นรีบๆ หายนะครับ”

“จำคำพูดตัวเองไว้แล้วกัน”

“โอเคเลย”

มันคงเป็นแค่คำสัญญาตลกๆ ที่ไร้ความหมายหากเขาไม่มีความหวัง แต่ตอนนี้ความหวังมันเกิดขึ้นมาแล้ว และจักรพรรดิจะคว้ามันเอาไว้ให้แน่นที่สุด

“ตอนที่เราไปญี่ปุ่น ไปจอร์แดน หรือไปที่ไหนๆ ในปีต่อๆ ไป...พี่จะเดินอยู่ข้างภีม”

ไม่ใช่ภาระ ไม่ใช่คนที่ใครๆ ต้องคอยดูแล...

“อื้อ แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย”

จักรพรรดิมองตามหลังคนที่ขยับตัวไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อจากเขานิ่งงัน เขามองไม่เห็นว่าภีมภัทรกำลังทำหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่ายังยิ้มอยู่หรือเปล่า แต่ว่า...

เขามองเห็นแผ่นหลังของเด็กตัวเล็กคนหนึ่งซ้อนทับกับแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า จำได้ว่าตอนนั้นเด็กคนนั้นก็กำลังนั่งหันหลังให้เขาแบบนี้ มือเล็กๆ สองข้างขยุกขยิกวุ่นวายอยู่กับการทำอะไรบางอย่างไม่ให้เขาเห็น



‘พี่จักรอย่าเพิ่งเข้ามานะ ให้ภีมทำให้เสร็จก่อน’

‘ทำอะไรน่ะ’

‘บอกว่าอย่าเพิ่งเข้ามา...’

‘ไม่เข้าไปก็ได้’

‘ห้ามชะโงกหน้ามาด้วย!’

‘แต่พี่อยากรู้แล้ว’

‘รอก่อน...อ่ะ...เสร็จแล้ว!’



“เสร็จแล้ว” เสียงพูดแทรกที่ซ้อนทับกับภาพในความทรงจำทำให้เขาหลุดจากภวังค์ จักรพรรดิสบตากับคนพูดทั้งที่ในหัวยังพยายามนึกอยู่ว่าเด็กน้อยในตอนนั้นทำอะไรเสร็จกันแน่

“จัดกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ...พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันนะ”

อา...

คำพูดนี้...

‘เราไปเที่ยวกันนะ!’

เครื่องบินกระดาษลำนั้น...เขาเก็บไว้ที่ไหนกันนะ


———————-




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-05-2018 16:36:04
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 12-05-2018 16:40:18
ดีใจไปกับพี่จักรและน้องภีม
พี่จักรขยับปลายเท้าได้แล้ว เย่!
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-05-2018 16:52:24
ใกล้หายแล้วจักร  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 12-05-2018 19:36:24
ขอให้ปลายทางข้างหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 12-05-2018 21:24:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 13-05-2018 02:08:06
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 13-05-2018 08:04:53
นั่นสิ เก็บไว้ที่ไหนกันนะ ?
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-05-2018 10:54:31
พี่จักรจะหายแล้ววว :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 13-05-2018 11:30:00
พี่จักรจะหายแล้ววววว ฮืออออ :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 14-05-2018 06:14:55
 :hao5: :hao5: :hao5: หวานละมุน ซึ้งใจ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 14-05-2018 08:53:53
รอตอนต่อไป :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 14-05-2018 17:33:04
-13-


สถานที่ที่ใช้จัดงานแต่งเป็นรีสอร์ทหรูติดทะเลสมฐานะเจ้าของงาน อุปกรณ์ที่ใช้ในงานถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นวันเพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด จะยกเว้นก็แต่ดอกไม้ที่ยังไม่ได้เอาเข้ามาในงานเนื่องจากผู้จัดต้องการคงทนความสดใหม่ของดอกไว้ให้ได้มากที่สุด บริเวณที่ใช้เป็นลานพิธีคือริมหาดทรายสีขาวสะอาดตา มองตรงไปเห็นผืนมหาสมุทรจรดผืนฟ้า เป็นภาพที่ดูสวยงามสมกับเป็นทะเลใต้อย่างยิ่ง

“สวย…” ภีมภัทรพึมพำขณะที่สายตาจับจ้องไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงที่สาดส่องเป็นสีส้มทองสะท้อนกับผืนทะเลจนเปล่งประกายวาววับงามจับตา คงเป็นโชคดีของเขาที่เดินทางมาถึงในช่วงเย็นพอดีจึงได้เห็นภาพที่น่าประทับใจเช่นนี้

ภีมภัทรเดินทางมาถึงพร้อมกับจักรพรรดิในช่วงบ่าย เขาแวะไปที่โรงแรมเพื่อเก็บของ จากนั้นจึงไปสวนใต้เพื่อทักทายคนงานรวมถึงดูความพร้อมของดอกไม้ที่เตรียมไว้ ดีที่หัวหน้าคนงานที่คอยดูแลภาพรวมและจัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนเขามาถึงทำได้ดีไม่มีที่ติ สิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมเลยไม่ยุ่งยากมากนัก แค่รอเข้าไปจัดดอกไม้ในงานตามเวลาที่เหมาะสมก็พอ เมื่อจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ เรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินทางมาที่สถานที่จัดงานเพื่อสำรวจภาพรวม ปรับเปลี่ยนแผนผังการจัดวางดอกไม้ให้ดีกว่าเดิมแล้วนั่งรอให้คนงานเอาดอกไม้มาส่งและจะเริ่มจัดงานอย่างจริงจังในช่วงกลางคืนเพื่อให้ดอกไม้ยังสดใหม่ในงานวันพรุ่งนี้

“ไม่เคยมาทะเลเหรอ”

ชายหนุ่มหันหน้าไปหาคนถาม มองสบดวงตาคมคู่นั้นพร้อมยิ้มให้เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจ จักรพรรดิจะสงสัยก็ไม่แปลก ในเมื่อภีมภัทรเป็นคนไทย เกิดที่ไทย ถึงแม้จะไปเรียนต่างประเทศมาแต่ก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่นานนักถ้าเทียบกับระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

“เคยครั้งหนึ่งตอนเด็กมากๆ แต่ภีมจำไม่ได้แล้ว” เขาอธิบายแล้วหันหน้ากลับไปมองพระอาทิตย์ตกเช่นเดิม “ปกติก็อยู่แต่ที่ภาคเหนือซึ่งไม่มีทะเล หลังกลับมาจากต่างประเทศถึงจะไปทำร้านดอกไม้ที่กรุงเทพฯอยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็แทบไม่ได้ไปไหนเลย”

“อา...พี่เกือบลืมไปแล้วว่าภาคเหนือไม่มีทะเล” จักรพรรดิเหยียดยิ้มขนขื่น “จากไปนานจนแทบจำอะไรไม่ได้ ยังดีแค่ไหนที่พูดภาษาไทยได้อยู่”

ภีมภัทรหันกลับมาจ้องมองคนด้านข้างอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ด้านลบที่ส่งผ่านออกมาทางคำพูด เขาคุกเข่าลง จับมือใหญ่มากุมไว้เหมือนทุกครั้งที่ต้องการให้พี่จักรของตนกลับมายิ้มได้

“ถึงจะจำไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย จากนี้พี่จักรจะได้อยู่ที่นี่ไปอีกนาน ค่อยๆ สร้างความทรงจำใหม่ก็ได้ คราวนี้ดีกว่าเดิมอีกนะเพราะมีภีมอยู่ด้วย” พูดแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเห็นด้วยกับตัวเอง แบบนี้คนมองจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มตามแล้วบีบมือเรียวกลับ

“รู้แล้ว”

“ถ้ารู้แล้วก็นึกถึงภีมให้มากๆ ดีกว่าไปนึกถึงเรื่องไม่ดีนะ”

“ที่พูดมานี่สรุปคือต้องการให้พี่นึกถึงภีมแค่คนเดียวถูกไหม” เขาถามออกไปตรงๆ เพราะดูท่าทีแล้วอีกฝ่ายน่าจะอยากพูดแบบนี้มากกว่า แต่คำถามตรงๆ เหมือนไม่คิดอะไรนั่นกลับทำให้คนฟังเริ่มหน้าร้อน

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ภีมภัทรโบกมือไปมาเพื่อปฏิเสธ

“แล้วแบบไหน”

ถามแบบนี้มาต้องการให้ตอบอะไรเล่า...

คนที่ยังไม่ชินกับการโดนแกล้งถลึงตาใส่ ปากอ้าๆ หุบๆ เหมือนอยากจะบ่นอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี สุดท้ายจึงได้แต่ยกมือยอมแพ้แล้วพูดเสียงนิ่ง

“แบบนั้นก็ได้”

“แบบไหนนะ” ยังไม่หยุดแกล้ง...

“พี่จักร...”

“โอเค ไม่แกล้งก็ได้” จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ ขณะใช้มือที่ว่างลูบหัวเด็กน้อยขี้งอแง เขายอมให้ภีมภัทรแกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสียแต่โดยดี “ภีม...”

“หือ…” ภีมภัทรหันกลับมาเมื่อสังเกตได้ว่าน้ำเสียงที่ใช้เรียกเขาเริ่มจริงจังมากขึ้น

“ภีมจะทำงานเสร็จช่วงไหนวันนี้”

“ภีมคิดว่าน่าจะห้าทุ่มได้นะ พี่จักรมีอะไรหรือเปล่า”

“พี่นัดคุยกับเกรย์ที่โรงแรม”

ภีมภัทรหันไปมองคนพูดทั้งสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าจะนัดเจอกับเกรย์ได้ยังไงในเมื่อพวกเขาอยู่กันคนละภาคเสียด้วยซ้ำ

“พี่จักรหมายถึงโรงแรม...”

“อืม...โรงแรงที่เราอยู่นั่นล่ะ” จักรพรรดิตอบรับง่ายๆ แล้วขยายความต่อ “จริงๆ เหตุผลที่เกรย์มาไทย นอกจากจะมาเจอพี่แล้วเจ้านั่นยังมาเพื่อเที่ยวด้วย เห็นว่าจะเที่ยวให้ครบทุกภาค พอรู้ว่าพี่มาที่นี่กับภีมพอดีเลยจองห้องไว้ที่เดียวกันเพราะอยากคุยธุระกับพี่พอดี”

“อ๋อ...แล้วแบบนี้เขาจะไม่หลับก่อนเราไปถึงเหรอครับ” ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปวันอื่นจะง่ายกว่าไหม แต่หากเป็นธุระเร่งด่วนก็คงต้องคุยวันนี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเกรงใจถ้าจะให้ฝ่ายนั้นรอนานๆ “พี่จักรไปคุยกับเขาก่อนไหม แล้วเดี๋ยวภีมทำงานเสร็จจะตามไปทีหลัง”

จักรพรรดิส่ายหน้า หากให้คุยก่อนโดยไม่ต้องรอก็คงคุยจบไปแล้ว เขาไม่ใช่คนคุยเก่ง ส่วนเกรย์ถ้าเป็นเรื่องงานก็ไม่ได้ขี้เล่นนัก คนคนนั้นจะแสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาตอนที่อยู่กับคนสนิทเท่านั้นล่ะ

“พี่อยากให้ภีมไปฟังด้วย”

เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะให้เด็กน้อยรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา...ทีหลังจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากอีก

“งั้นภีมจะรีบทำงานให้เสร็จนะครับ” ภีมภัทรฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ อารมณ์ดีจนแสดงออกมาทางสีหน้าเหมือนเด็กๆ เป็นท่าทีน่าเอ็นดูที่ทำให้ใครต่อใครที่เดินผ่านต่างอมยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์

“เข้าไปข้างในเถอะ เผื่อคนจะเริ่มเอาของมาแล้ว” จักรพรรดิเอ่ยเตือนจนคนเกือบลืมตาโต พยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินมาเข็นรถพาเขาเข้าไปด้านใน

สถานที่ที่ใช้นัดหมายในการส่งของคือด้านข้างรีสอร์ทซึ่งอยู่ใกล้หาดบริเวณที่จัดงานมากที่สุด ในเวลาที่ทั้งคู่ไปถึง รถขนส่งคันใหญ่ก็จอดรออยู่ก่อนแล้ว บรรดาคนงานกำลังทยอยขนของลงมาจากรถช้าๆ ขณะนั้นเองที่หัวหน้าคนงานเดินเข้ามาหาภีมภัทรแล้วยกมือไหว้พวกเขาทั้งคู่

“คุณภีม คุณจักรพรรดิ”

“ลุงหมู...เรียบร้อยดีใช่ไหมครับ” ภีมภัทรยกมือไหว้กลับอย่างให้ความเคารพ เนื่องจากก่อนจะมาเป็นหัวหน้าที่นี่ลุงหมูเคยทำงานอยู่ข้างกายพ่อในฐานะคนสนิทมาก่อนเขาจึงคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ

“ครับคุณภีม ตอนนี้เรียบร้อยดี ถ้าจะขาดอะไรก็ไม่น่าเยอะ เอามาเติมพรุ่งนี้เช้าก็ทัน”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวลุงให้คนขนของไปที่หาดแล้วก็เริ่มเตรียมของได้เลย เดี๋ยวภีมจะอธิบายแผนผังใหม่ให้ฟังทีละจุดอีกที”

“ได้ครับคุณภีม”

เมื่อหัวหน้าคนงานเดินกลับไปสั่งการเรียบร้อยแล้วภีมภัทรจึงหันกลับมาหาจักรพรรดิแล้วพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ภีมต้องไปเดินดูงาน พี่จักรอยากไปพักตรงไหนไหมครับ เดี๋ยวภีมพาไป”

“ไปเถอะ” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบโดยไม่ลืมยกยิ้มให้อีกคนคลายกังวล “เดี๋ยวถ้าพี่อยากไปไหนจะเข็นรถไปเอง แต่อยากดูภีมอยู่แถวนี้มากกว่า”

“โอเค เดี๋ยวภีมรีบมาหานะ” ชายหนุ่มก้มลงบีบมือใหญ่อีกครั้งเป็นเชิงลา เมื่อได้รับการตอบกลับโดยการบีบมือเป็นเชิงรับรู้แล้วจึงหันกายเดินไปหาคนงานที่กำลังขนของลงจากรถ

เจ้าของร่างสูงใหญ่มองตามเงาร่างโปร่งไปจนสุดสายตา เขายังคงนั่งอยู่อย่างนั้นแม้จะเห็นว่าเด็กน้อยของตนเดินหายไปแล้ว จวบจนเมื่อของอย่างสุดท้ายถูกขนลงจากรถ ภีมภัทรจึงปรากฏกายให้เห็นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหันมาเห็นเขาเข้าพอดีหรือเพราะสนใจเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ถึงได้รู้ว่าถูกเขาจับจ้องอยู่แล้วหันมาโบกมือให้แบบนั้น จักรพรรดิไม่ได้โบกมือกลับไปแต่เลือกที่จะยิ้มรับ แสงไฟที่ถูกนำมาใช้เพื่อการจัดดอกไม้ในเวลากลางคืนโดยเฉพาะสว่างจ้าไปทั่วบริเวณจนไม่เป็นอุปสรรคกับการมองเห็นนัก เขาเห็นเด็กน้อยยิ้มกว้างให้อีกรอบก่อนจะหมุนกายเดินไปอธิบายงานให้คนอื่นๆ ฟังต่อ

คนน่ามองยังคงดูน่ามองแม้จะทำหน้ายุ่งขนาดไหน ท่าทางเป็นจริงเป็นจริงในการสั่งงานขัดกับการต้องหันมาหาเขาแทบทุกนาทีทำให้จักรพรรดิอดหัวเราะไม่ได้ เขาตัดสินใจชี้มือไปที่ชายหาดเมื่อภีมภัทรหันมามอง เรียบร้อยแล้วจึงใช้แรงเข็นรถด้วยตัวเองออกไปด้านนอกไม่ให้รบกวนสมาธิของคนทำงาน

อันที่จริงแล้วทะเลในยามค่ำคืนคือสถานที่ที่จักรพรรดิชอบมากที่สุด เขาเคยไปทะเลครั้งหนึ่งตอนที่เกรย์พาไปสมัยยังอยู่ฝรั่งเศส จำได้ว่าครั้งนั้นมินตราทำโทษเขาด้วยการขังไว้ในห้องมืดนานเป็นวัน นอกจากนั้นยังออกคำสั่งให้เลิกคบเกรย์เป็นเพื่อน มองภายนอกคนอื่นอาจคิดว่าเพราะเกรย์พาเขาเหลวไหล แต่จักรพรรดิรู้ดีว่าความจริงคืออะไร...

เกรย์มีอำนาจมากเกินไป...แม้ตอนนั้นจะเป็นแค่เด็ก แต่ในอนาคตอาจจะทำให้เธอลำบากในภายหลัง

แล้วก็ไม่ผิดจากที่ผู้หญิงคนนั้นคิดนักหรอก...เกรย์ต้องนำความลำบากมาให้เธอแน่ๆ

แม้เขาในตอนนั้นจะเชื่อฟังมินตราทุกอย่าง แต่เรื่องของเกรย์เป็นข้อยกเว้น เพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่มี คนที่นิสัยคล้ายกัน เข้ากันได้ทุกอย่าง ทำไมจะต้องตัดขาดแค่เพราะคำพูดของผู้หญิงร้ายกาจคนหนึ่ง พวกเขาทำทีเหมือนไม่ได้รู้จักกันแล้วทั้งที่แอบติดต่อกันมาโดยตลอด และจักรพรรดิก็เก่งพอที่จะหลบเลี่ยงจนไม่มีใครจับได้

ถึงจะผิดแผนไปหน่อยที่เกรย์มาที่นี่ นั่นหมายความว่ามินตราต้องรู้ว่าพวกเขายังสนิทสนมกันอยู่ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว

“คุณ...มาทำอะไรตรงนี้คะ” เสียงอ่อนหวานที่พูดเป็นภาษาอังกฤษจากทางด้านหลังทำให้ดวงตาคมที่กำลังจับจ้องไปยังทะเลลึกวาววับขึ้น เขาไม่คิดแม้แต่จะหันไปมอง ทว่าก็เป็นอีกฝ่ายที่เดินมาอยู่ตรงหน้าแล้วโน้มใบหน้าสะสวยเข้ามาจนใกล้ “คุณคะ”

“ไสหัวไป” น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้เจ้าของใบหน้าขาวผงะไปเล็กน้อย แต่แค่ครู่เดียวเธอก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง

“ฉันชื่อมาเรียค่ะ แล้วคุณ...”

วินาทีที่มือนุ่มนิ่มกำลังจะแตะลงบนแก้มสาก ดวงตาคู่ดุดันพลันเงยขึ้นสบพร้อมกับที่มือใหญ่ยื่นไปกำข้อมือเล็กไว้แน่นอย่างไม่ออมแรง หญิงสาวผู้ถูกทำร้ายหน้าซีดเผือกก่อนจะกรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อถูกผลักให้หงายลงไปบนพื้นพร้อมกับที่อีกร่างตามลงมากดทับกายเอาไว้ เธอหายใจหอบเมื่อถูกมือใหญ่กำรอบลำคอราวกับจะฆ่าให้ตาย

“ถึงฉันจะพิการ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฆ่าใครไม่ได้” ถ้อยคำกระซิบข้างใบหูดังชัดเจนราวกับจะตอกลึกเข้าไปในความทรงจำ สายตาปริ่มน้ำเริ่มพร่ามัวเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ก่อนที่สติของเธอจะหลุดลอย เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นในความมืดมิด

“พี่จักร!” ภีมภัทรถลาเข้าไปกอดผู้ชายตัวสูงไว้จากทางด้านหลัง เขาพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ ราวกับจะช่วยเรียกสติจนมือที่เกือบคร่าชีวิตใครบางคนไปคลายแรงออก ผู้หญิงที่เกือบตายรีบขยับตัวถอยหลังแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสองหนุ่มซึ่งอยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง

คนหนึ่งร้อนรุ่มเพราะแรงโทสะ ส่วนอีกคนร้อนรุ่มเพราะความห่วงใย

ภีมภัทรขยับตัวไปด้านหน้า สองมือประคองแก้มจักรพรรดิไว้เพื่อให้ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นมองสบกับเขา

“พี่จักร...มองหน้าภีม...มองภีม”

“ภีม…” แววตาของผู้เรียกสะท้านไหว

“ครับ...ภีมเอง” ภีมภัทรฝืนยิ้มทั้งที่ใจอยากร้องไห้

“ภีม…” เขารวบเอวบางเข้าไปกอดไว้แน่นราวกับกลัวอีกคนจะหายไป ใบหน้าคมคายซบอยู่กับไหล่เล็กกว่าขณะที่กายใหญ่สั่นสะท้านแบบที่ภีมภัทรไม่เคยเห็นมาก่อน “พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้...พอภีมไม่อยู่...พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไรครับพี่จักร ไม่เป็นไรนะ” คนเอ่ยปลอบเองก็เสียงสั่นไม่แพ้กัน ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะปวดใจที่ตัวเองไม่ได้อยู่เคียงข้างในยามที่พี่จักรต้องการ

พวกเขากอดกันอยู่แบบนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจักรพรรดิจะรู้สึกตัว เขาผละออกช้าๆ ปลายนิ้วยกขึ้นเกลี่ยแก้มขาวเบาๆ โดยที่สายตายังทอดมองใบหน้าใสที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนนิ่งงัน

“อย่าทำหน้าแบบนั้น”

“พี่จักรโอเคหรือเปล่า” ภีมภัทรรีบถาม มือยกขึ้นกอบกุมปลายนิ้วอีกคนไว้แน่น

“ไม่เป็นไรแล้ว”

เขาไม่ได้โกหก...

เป็นเพราะภีมอยู่ตรงนี้ถึงไม่เป็นไร

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภีมเห็นพี่จักร...” เกือบจะฆ่าเธอ

“คนของมินตรา” จักรพรรดิตอบโดยไม่ปิดบัง เขาตัดสินใจรวบตัวภีมภัทรเข้ามากอดไว้อีกครั้งเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของตนเองในตอนนี้...สีหน้าที่ดูราวกับต้องการฆ่าคน “พี่ใช้เวลาหลายเดือนเพื่อจดจำใบหน้าของคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมินตรา ผู้หญิงคนนั้นคือหนึ่งในนั้น”

ทำเป็นพูดภาษาอังกฤษใส่ แต่สำเนียงฝรั่งเศสที่ติดมานั่นจะเอาอะไรมาปิดได้

“เมื่อกี้ถ้าภีมไม่มา...” ภีมภัทรเพิ่มแรงกอดตอบให้แน่นขึ้นเมื่อนึกถึงตอนนั้น เขาได้ยินเสียงพี่จักรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบออกมาเสียงเรียบ

“พี่อาจจะฆ่าไปแล้ว” คนพูดชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังบางกระตุกเบาๆ เขากอดรัดอีกคนไว้แน่นขึ้นราวกับหวาดกลัวว่าจะโดนผลักออกแล้ววิ่งหนีไป “กลัวหรือเปล่า”

หัวทุยที่ซุกอยู่กับอกส่ายดุ๊กดิ๊กแทบจะทันที

“ตกใจนิดหน่อย แต่ไม่กลัวหรอก” ภีมภัทรผละตัวออกเพื่อเงยหน้ามองคนที่ยังจับแขนเขาไว้แน่น “ภีมรู้ว่าพี่จักรไม่มีวันทำแบบนั้น”

“แต่ภีมก็เห็นว่าพี่เกือบ...”

“นั่นเพราะพี่จักรถูกอารมณ์ครอบงำ พอเริ่มได้สติแล้วก็จะรู้สึกตัว”

“แล้วถ้าพี่ไม่ได้สติล่ะ” เขายังคงตั้งคำถาม

“พี่จะนึกถึงหน้าภีมก่อนจะทำแบบนั้น เชื่อสิ” คนพูดยิ้มกว้างแล้วโถมตัวเข้าไปกอดต่อ เขารู้สึกปลอดภัยยามอยู่ในอ้อมกอดนี้ มันรู้สึกดีจนไม่อยากปล่อยไปไหน

“อืม คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ” ชายหนุ่มยอมรับตามตรง เขานึกถึงภีมภัทรแทบจะตลอดเวลา หากเมื่อกี้ไม่โดนเรียกไว้ เชื่อว่าอีกไม่นานภาพดวงตาเป็นประกายของเด็กน้อยก็คงปรากฏขึ้นมาในความทรงจำจนเผลอปล่อยมืออยู่ดี

“ภีมฝากงานไว้กับลุงหมูแล้ว เหลืออีกนิดเดียวก็เสร็จ เรากลับกันเถอะครับ พรุ่งนี้คอยมาตรวจแล้วปรับตอนเช้าอีกที” ภีมภัทรบอกแล้วผละออกอีกครั้งอย่างเสียดาย เขาช่วยพยุงคนป่วยขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์เหมือนเดิม แต่ก่อนจะได้เดินไปประจำที่เพื่อเข็นรถมือเรียวก็ถูกรั้งเอาไว้อีกครั้ง

“ขอบคุณ”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ก่อนรอยยิ้มสวยจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ด้วยความยินดีครับผม”


.
.
(ต่อด้านล่าง)



หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[12]==[P.4]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 14-05-2018 17:33:28
.
.
.


หลังจากมาถึงโรงแรมและขึ้นไปอาบน้ำจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ภีมภัทรจึงพาจักรพรรดิไปที่ห้องของเกรย์ตามที่คุยกันไว้ ชั้นที่เกรย์อยู่เป็นห้องใหญ่ของโรงแรมซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ทว่าดูเหมือนจะถูกจองไว้โดยคนคนเดียว ที่ด้านหน้าห้องมีบอดี้การ์ดสองคนยืนทำหน้าเข้มอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นจักรพรรดิพวกเขาก็ก้มหัวให้และเชิญให้เข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณครับ” ภีมภัทรตอบแทนเมื่อเห็นคนบนวีลแชร์ไม่พูดอะไรสักคำ

ภายในห้องกว้างขวางสมฐานะของคนมาใช้บริการ ภีมภัทรเห็นร่างสูงใหญ่ของเกรย์นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่โซฟา เขาแอบขำเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องอยู่ในชุดนอนลายแกะสีดำ ทว่าก่อนจะได้ส่งเสียงทัก เกรย์ที่หันมาเห็นเข้าพอดีก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบเสียก่อน

ในตอนแรกภีมภัทรยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงบอกให้เงียบในเมื่อมีกันอยู่แค่นี้ แต่แล้วเมื่อเขาเข็นรถพาจักรพรรดิเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่าบนตักของหนุ่มต่างชาติมีร่างโปร่งของใครบางคนนอนหนุนอยู่ และการที่คนหลับใส่ชุดแกะสีขาวเข้าคู่กับเกรย์ก็ยังไม่น่าตกใจเท่า...

“มุข” นั่นไม่ใช่เสียงของภีมภัทร แต่เป็นเสียงของจักรพรรดิที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นทั้งใบหน้ายังแข็งกร้าวน่ากลัว เขามองไปที่เกรย์ซึ่งยังคงยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนเสียงดุดันจะพูดเรื่องที่ภีมภัทรไม่เข้าใจออกมา “นายบอกว่าจะไม่แตะต้องเขา”

“ก่อนเวลา” เกรย์ต่อคำทันควัน “ไอบอกว่าจะไม่แตะต้องลูกแกะก่อนเวลา”

“…”

“ไม่เอาน่าคิง...นี่มันก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วนะ”

ใช่ว่าจักรพรรดิไม่รู้ว่าสัญญานั้นมันเกิดขึ้นมาเป็นสิบปีแล้ว และในเวลานี้ประมุขก็โตเกินกว่าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ยังไม่ถึงเวลา แค่คนอย่างเกรย์ยอมอดทนรอมาจนถึงตอนนี้เขาก็ควรขอบคุณมันเป็นร้อยๆ รอบเสียด้วยซ้ำ แต่ว่ายังไงนั่นก็คือน้องชายคนเล็กที่น่าเป็นห่วงที่สุดอยู่ดี

รู้แบบนี้ไม่น่าหยิบรูปขึ้นมาให้มันเห็นตั้งแต่ตอนนั้น...

“เราเลิกพูดเรื่องลูกแกะของฉันแล้วมาคุยกันเรื่องของนายดีกว่าไหม ฉันยังอยากรักษาสัญญาอีกข้อของเราอยู่นะ” เกรย์โคลงหัวไปมาเบาๆ ขณะที่มือลูบหัวลูกแกะที่ตักอย่างอ่อนโยน ซึ่งมันเหมือนเป็นการยั่วให้พี่ชายที่อยู่ตรงนี้โมโหยังไงก็ไม่รู้ ภีมภัทรรีบจับมือคนข้างกายไว้แน่นเพราะกลัวพี่จักรจะกระโจนเข้าไปบีบคอเพื่อนเข้าจริงๆ

“คือว่า...” ภีมภัทรแทรกเบาๆ คล้ายไม่แน่ใจว่าควรถามหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ได้ถามเขาคงงงไปจนจบการสนทนา “สัญญาที่ว่านี่อะไรเหรอ บอกได้ไหม”

“อา...บอกได้ไหมคิง” คนที่จะโดนฆ่าโดยไม่รู้ตัวยังคงยกยิ้ม ท่าทางดูสนุกสนานจนภีมภัทรเริ่มอยากปล่อยมือที่รั้งจักรพรรดิไว้เสียเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจว่าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย เขาก็ถูกดึงให้นั่งลงบนโซฟาเสียก่อน

“เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่พี่รู้จักเกรย์เราเคยสัญญากันไว้สองข้อ” จักรพรรดิเลือกเป็นคนบอกด้วยตัวเอง อะไรที่ภีมภัทรสงสัย เขาจะไม่ปิดบัง จะไม่ยอมปล่อยให้เด็กน้อยต้องรู้จากปากคนอื่นเด็ดขาด

“สัญญา...”

“ข้อแรกคือถ้าพี่ยอมให้รูปถ่ายรูปหนึ่งกับเกรย์ เขาจะยอมช่วยจนกว่าพี่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของมินตรา”

“รูปถ่าย...” คนฟังทำหน้างุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแค่รูปถ่ายใบเดียวถึงทำให้เกรย์ยอมช่วยเหลือจักรพรรดิได้มากถึงขนาดนี้

“รูปนี้ไง”

ภีมภัทรหันไปมองภาพถ่ายที่ว่าในมือเกรย์โดยไม่สนใจแววตาไม่พอใจของจักรพรรดิที่ใช้มองเพื่อน ภาพที่ว่าคือภาพถ่ายเก่าๆ ที่ดูจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ในภาพคือเด็กผู้ชายตัวเล็กน่ารักคนหนึ่งกำลังฉีกยิ้มให้กล้อง และคนในภาพก็คือประมุขที่กำลังนอนตักเกรย์อยู่นั่นเอง

“พี่พกรูปนี้ไว้ในกระเป๋าตอนที่ถูกแม่พาตัวไป ใครจะไปคิดว่าแค่หยิบขึ้นมามองแล้วจะโดนเจ้านั่นหมายตาแทบจะทันที นอกจากนั้นยังกล้าฉีกรูปอีกครึ่งที่มีพี่กับเต้ออกด้วย”

“ฉะ...ฉีกออก” มิน่าถึงได้มีรอยขาดอยู่ด้วย

“ก็ไออยากได้แค่รูปของลูกแกะนี่นา” หนุ่มต่างชาติยักไหล่ไม่ใส่ใจ เขาบรรจงเก็บภาพนั้นใส่กระเป๋าด้วยท่าทีอ่อนโยนเหมือนกลัวว่าถ้าออกแรงมากเกินไปแล้วภาพจะขาดคามือ

“เพราะเห็นว่าเกรย์สนใจมุขจริงๆ...จริงมากเกินไป พี่เลยขอให้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องมุขก่อนเวลาที่สมควร รู้แบบนี้น่าจะบอกว่าห้ามแตะต้องไปตลอดชีวิต” ประโยคหลังจักรพรรดิพึมพำเบาๆ ให้ภีมภัทรได้ยินแค่คนเดียว

“พี่จักรรักน้องๆ น่าดูเลยนะครับ” ภีมภัทรแอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทีหัวเสียนั้น

“ถึงแม้พอเวลาผ่านไปพี่จะจำความทรงจำที่มีกับน้องได้ไม่มากนัก แต่รูปที่เก็บไว้ทำให้พี่ไม่เคยลืมว่าเต้กับมุขคือน้องที่ต้องดูแล...ถึงจะโดนฉีกไปคนก็เถอะ”

“ถ้าภีมรู้ล่วงหน้าว่าพี่จักรจะไป ภีมจะหารูปตัวเองให้พี่เอาติดตัวไปด้วย” พูดติดตลกออกไปแล้วจึงคิดได้ว่าอาจทำให้อีกคนคิดมาก เขารีบหันไปมองจักรพรรดิอย่างเป็นกังวล แต่ก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา

“ถ้าพี่รู้ล่วงหน้า พี่ก็จะมาขอรูปภีมไปเหมือนกัน”

ทั้งคู่ยิ้มให้แก่กันเหมือนโลกนี้มีเพียงเราสอง ลืมเลือนเจ้าของห้องที่กำลังนั่งมองท่าทีที่ไม่เคยเห็นของเพื่อนเงียบๆ  เสียสนิท เกรย์ลอบยิ้มอย่างจริงใจเมื่อเห็นว่าข้างกายเพื่อนคนสำคัญมีคนช่วยดูแลแล้ว ถึงจะทำเหมือนนึกถึงเรื่องผลประโยชน์อยู่ตลอด แต่เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อยากให้จักรพรรดิมีความสุขไม่แพ้ใคร

“มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ไอจะได้พาลูกแกะกลับเข้าไปนอนในห้องเสียที” เกรย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย และแม้ใบหน้าจะยังมีรอยยิ้ม แต่ภีมภัทรก็ยังสังเกตเห็นแววตาเข้มๆ ที่เขาเผลอแสดงออกมาอยู่ดี

เมื่อถูกเตือนจักรพรรดิจึงยอมหันกลับไปสนใจเพื่อนอีกครั้ง เขาเองก็อยากให้เด็กน้อยกลับไปนอนเหมือนกัน ดูท่าจะเหนื่อยกับงานมาเยอะแล้ว

“ว่ามา”

“ข้อมูลผิดกฎหมายของบริษัทหลังจากที่แม่นายเข้ามาบริหารงานด้วยตัวเองรวมถึงคนผิดทั้งหมดถูกรวบรวมไว้แล้ว ทั้งจากที่นายเคยรวบรวมไว้ให้ แล้วก็จากที่ฝ่ายนั้นพยายามเอางานผิดกฎหมายมาเสนอขายฉัน เหลือแค่รอคำสั่งจากนายว่าจะให้เปิดเผยตอนไหน แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าแม่นายจะโยนความผิดมาให้ ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่นอน แต่นายแค่อาจต้องกลับไปจัดการอะไรๆ ที่ฝรั่งเศสสักพัก” เกรย์ใช้ภาษาอังกฤษในการอธิบายเพื่อให้ภีมภัทรเข้าใจและสะดวกต่อตัวเขาเองที่ไม่ได้เก่งภาษาไทยนัก

จักรพรรดิรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยแม้ในใจจะคิดหนัก เขาอยากให้มินตราได้รับผลของการกระทำ แต่อีกใจก็นึกหวาดหวั่นกับอะไรบางอย่าง

“ฉันเคารพการตัดสินใจของนาย จะเอายังไงก็ว่ามา” เกรย์พูดต่อเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไปเพื่อรอคำตอบ เช่นเดียวกับภีมภัทรที่ไม่คิดพูดแทรกอะไร เพราะลำพังสิ่งที่เกรย์พูดมาก็ไม่ได้เข้าใจยากนัก

“วันนี้มินตราส่งคนเข้ามาใกล้ฉันกับภีม” จักรพรรดิตัดสินใจพูดถึงเรื่องที่เขากังวล “พวกนั้นเข้ามาถึงตัวฉันได้ง่ายๆ ถ้ามินตราได้เข้าไปอยู่ในคุกแล้วเกิดแค้นขึ้นมาจริงๆ ฉันกลัวว่าภีมจะเป็นอันตราย”

“ตอนนี้ก็อันตรายอยู่แล้วคิง...ก็แค่แม่นั่นยังไม่กล้าพอจะเล่นจนมีอันตรายถึงชีวิต คนจิตใจต่ำตมแบบนั้นพอถึงเวลาต้องกล้าทำแน่ และถ้ายังปล่อยให้ลอยไปลอยมาสั่งการอยู่ข้างนอก มันคงน่ากลัวกว่าให้ไปสั่งการอยู่ในคุกมากเลยล่ะ” เกรย์พูดออกมาตามความจริงโดยไม่มีท่าทีล้อเล่นเหมือนเคย “ฟังนะคิง...ฉันรู้ว่านายไม่อยากให้ฉันช่วยไปมากกว่านี้ แต่ถ้าอยากปกป้องคนที่อยู่ข้างนาย ยอมลดศักดิ์ศรีลงแล้วให้คนของฉันไปติดตามนายซะ พอส่งแม่นั่นเข้าคุกจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องใครจะมาทำร้ายอีก เก็บกวาดได้หมดนายก็ค่อยคืนคนมาก็แค่นั้น”

“…”

“ฉันพูดในฐานะเพื่อน...” เขาเว้นช่วงไปเล็กน้อยยามก้มลงมองคนที่หลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่น “และช่วยในฐานะน้องเขย”

“เกรย์” จักรพรรดิจ้องหน้าคนที่สถาปนาตัวเองเป็นน้องเขยของเขาด้วยแววตาดุดัน บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่จางหายไปกว่าครึ่ง และมันช่วยให้คนที่นั่งลุ้นอยู่หายใจได้คล่องขึ้นเล็กน้อย

“เก็บไปคิดเถอะคิง อย่าลืมว่าตอนนี้ถึงนายจะมีธุรกิจที่ทำร่วมกับฉันหรือมีหุ้นที่เล่นไว้เยอะขนาดไหน แต่อำนาจของนายมันไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดา ถ้าคิดจะสู้กับคนแบบนั้น ให้ฉันช่วยดีที่สุดแล้ว”

“…”

“มันคือสายใยระหว่างแม่ลูกใช่ไหม”

จักรพรรดิเงยหน้าขวับเมื่อได้ยินคำถาม ดวงตาคู่คมฉายแววสับสน สมองสั่งให้ปฏิเสธเด็ดขาด แต่ใจกลับตอบอีกแบบ

“ฉัน…”

“ต่อให้โดนทำร้ายขนาดไหน วางแผนจะเอาคืนมานานกี่ปี แต่นั่นก็คือแม่แท้ๆ เพราะแบบนั้นนายถึงลังเลว่าควรจะส่งหล่อนเข้าคุกด้วยตัวเองหรือเปล่า” คำพูดจี้ใจดำยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เอาเถอะ...ฉันเองก็เข้าใจ เพราะงั้นใช้เวลาคิดให้คุ้มค่าก็แล้วกัน อย่าให้มันนานเกินไปจนนายต้องสูญเสียก็พอ”

“อืม”

“ฉันไม่อยากให้ลูกแกะร้องไห้” คนพูดหยิบมือขาวของคนที่นอนหลับขึ้นมาแล้วกดจูบเบาๆ ต่อหน้าต่อตาจักรพรรดิ แต่เขาในเวลานี้ไม่มีอารมณ์มาสนใจอะไรทั้งนั้น

“ภีม กลับห้องกันเถอะ” น้ำเสียงอ่อนแอเหมือนคนจะหมดแรงทำให้ภีมภัทรปวดใจ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะปลอบแบบไหน สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงการทำตามคำพูดนั้นโดยการพาอีกฝ่ายกลับห้อง

หลังจากคนทั้งคู่ออกไปจากห้องแล้ว ผู้ที่หลับตานิ่งมาตลอดก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ประมุขหมุนตัวเข้าไปหาเจ้าของตักก่อนจะกอดเอวแกร่งไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“ถ้าเป็นลูกแกะ...จะตัดสินใจแบบไหนเหรอ” เกรย์ถามขึ้นลอยๆ ขณะที่มือยังลูบหัวทุยของคนขี้อ้อนเบาๆ

“ไม่รู้” เสียงอู้อี้ตอบกลับ “ผมคงไม่กล้าตัดสินใจ”

“อืม…”

“แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ” ประมุขเงยหน้าขึ้นถาม พริบตาหนึ่งเขาเห็นดวงตาคู่นั้นฉายแวววาววับน่ากลัวจนเกือบเผลอผละกายออกห่างถ้าไม่ติดว่าคนรู้ทันรั้งตัวไว้ก่อน

“ฉันไม่ได้ใจดีเหมือนพี่นายหรอกนะ เพราะนอกจากจะไม่ส่งตำรวจแล้วฉันยังจะหั่นมันเป็นชิ้นๆ ด้วย” คำพูดเหล่านั้นดูขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับใบหน้าอ่อนโยนยามก้มลงมองหน้าเขา ประมุขเผลอกำชายเสื้อนอนสีดำแน่นและเกือบจะแสดงความหวาดกลัวให้ได้เห็น แต่แล้วเมื่อได้ยินประโยคต่อไปเขาก็ชะงักและเป็นฝ่ายขยับเข้าไปกอดคนตัวโตเอาไว้ด้วยตัวเอง “และถ้าคนที่ต้องเจ็บปวดเป็นนาย...”

“…”

“ฉันจะทำให้มันตายทั้งเป็น”


————————-

TALK: ออกครบทุกคู่แล้วเย้ ใครลงเรือเกรย์สองล่มเรือด่วนค่ะ เจ้าของตัวจริงเขามาแล้ว ในส่วนของคู่ฮ่องเต้กับคู่ประมุขจะมีแค่นี้ค่ะ เจออีกทีคือในเรื่องของตัวเองเลยเด้อ แพลนเขียนจะเริ่มปีหน้านะคะ ระหว่างนี้จะไปเขียนเจไดก่อน

ปล.เรื่องนี้จะลงวันเว้นวันจนจบนะคะ เปิดพรีปลายเดือนพฤษภาคมนี้ตอนจบพอดี ใครสนใจติดตามเพจ Chesshire. หรือทวิต @Chesshire04 ไว้ก่อนได้น้า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[13]==[P.5]== [14/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-05-2018 18:02:34
สงสารพี่จักร อีกฝ่ายถึงร้ายขนาดไหนก็แม่แท้ๆล่ะนะ

ปล.เกรย์กับมุขนี่ออกมาแย่งซีนหน่อยๆนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[13]==[P.5]== [14/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-05-2018 18:17:03
ว้าย!! เรื่อเกรย์สองล่มเหรอเนี่ย
  สละมาเรื่อเรือเกรย์มุขละกัน555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[13]==[P.5]== [14/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-05-2018 18:53:57
เก็บๆ ไปเถอะ แม่ที่ไม่ได้เรื่องแบบนั้น  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[13]==[P.5]== [14/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 16-05-2018 18:50:45
-14-


ภีมภัทรเข้ามาดูสถานที่จัดงานตั้งแต่เช้าเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยทั้งหมดอีกครั้ง งานแต่งงานในวันนี้เป็นงานพิธีแบบหมั้นเช้าเลี้ยงเย็น ถือเป็นงานดูแลดอกไม้ที่หนักพอสมควร เขาสั่งให้คนคอยดูแลดอกไม้ทุกจุดให้ดีที่สุด ไม่ลืมพกกระบอกฉีดไว้ติดตัวทุกคนเพื่อเอาไว้ใช้ดูแลดอกไม้ที่ต้องอยู่แบบนี้ไปจนถึงดึก

“อีกสิบนาทีแขกสำคัญจะเริ่มมาแล้ว ลุงหมูให้คนเอาดอกไม้มาเปลี่ยนตรงนี้ทีครับ” ผู้เป็นเจ้านายสั่งการเสียงเครียด มือวุ่นวายกับการดึงดอกไม้ที่เหี่ยวไวเกินไปออกมาจากช่อตรงซุ้มด้านหน้า “แล้วก็อย่าลืมให้คนที่ยังไม่มาเอาช่อที่เราจัดไว้สำหรับเปลี่ยนตอนงานช่วงเย็นมาด้วยนะครับ”

“ครับคุณภีม”

เมื่อหัวหน้าคนงานเดินจากไปทำตามคำสั่งแล้วภีมภัทรจึงหันกลับมาสนใจช่อดอกไม้ต่อ เขาจัดมันให้เข้าที่ คอยฉีดน้ำและส่งดอกที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปให้คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ถือไว้

“งานเย็นต้องเปลี่ยนอีกรอบเหรอ” จักรพรรดิที่คอยรับดอกไม้เสียเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่างานจัดดอกไม้จะยุ่งยากขนาดนี้

“แค่บางจุดที่คนจ้างต้องการครับ พอดีงานนี้เป็นงานใหญ่เขาเลยขอให้ช่วยเปลี่ยนบางที่หลังจากงานช่วงเช้าจบแล้ว แต่ส่วนมากจะเป็นให้เพิ่มเข้ามามากกว่า เพราะงานหมั้นช่วงเช้ามีแค่ญาติผู้ใหญ่ของบ่าวสาว ต่างจากช่วงเย็นที่มีคนมามาก คงต้องเพิ่มจุดถ่ายรูปกับซุ้มทางเดินอีกหน่อย”

“แล้วภีมต้องคอยดูแลงานตลอดหรือเปล่า”

“ไม่ครับ แค่ตอนก่อนงานเริ่มเท่านั้น ส่วนงานช่วงเย็นภีมได้รับเชิญในฐานะแขกแทนพ่อน่ะ”

“แล้วพี่...”

“พี่จักรต้องอยู่กับภีมตลอด” ชายหนุ่มพูดแทรกทันควัน ยังไงเขาก็ไม่คิดปล่อยให้พี่จักรอยู่คนเดียวแน่ๆ “ไม่ต้องห่วงนะครับ งานนี้ไม่ต้องถึงขนาดใส่สูทผูกไทด์อะไร ภีมเตรียมเสื้อผ้าที่เราไปซื้อด้วยกันตอนนั้นมาให้พี่แล้ว”

“เตรียมพร้อมจริงนะ”

“แน่นอนสิ เดี๋ยวมีคนหาข้ออ้างไม่ไปงานเป็นเพื่อน”

จักรพรรดิยกมือขยี้หัวอีกคนด้วยความเอ็นดูเมื่อเจ้าตัวโน้มหน้ามาใกล้พอดี จริงๆ ต่อให้ไม่ได้เตรียมชุดมาเขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้เด็กน้อยไปไหนคนเดียวอยู่แล้ว ยิ่งเกิดเรื่องเมื่อวานที่คนของมินตราเข้ามาใกล้ได้โดยไม่รู้ตัว เขายิ่งไม่อาจปล่อยให้คนสำคัญหายไปจากสายตา

“เดี๋ยวแขกจะเริ่มมากันแล้ว เราไปกันดีกว่า” ภีมภัทรบอกคนข้างกายขณะเดินไปประจำที่เพื่อเข็นรถให้ เขาไม่ลืมหันไปกวักมือเรียกให้คนงานรีบเอาดอกไม้มาเติมในจุดที่ถูกดึงไปเมื่อครู่ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงหมุนตัวพาจักรพรรดิออกไปจากบริเวณนั้น

“แบบนี้ก็ต้องรอมาเปลี่ยนดอกไม้ช่วงบ่ายอีกใช่ไหม”

“ไม่ต้องแล้วครับ เพราะเราต้องเตรียมตัวมางานด้วย ช่วงบ่ายแค่ให้คนเอาซุ้มที่จัดไว้แล้วมาวางเพิ่มเท่านั้นเอง” ภีมภัทรอธิบายให้คนขี้สงสัยฟัง การมาที่นี่ของเขาจุดประสงค์หลักคือมาเพื่อร่วมงานแทนพ่ออยู่แล้ว แต่พอเห็นว่าเจ้าสัวพิทักษ์จ้างให้จัดดอกไม้ในงานให้ด้วย พ่อจึงถือโอกาสให้เขามาดูความเรียบร้อยไปในตัว ตนเองจะได้จัดการงานที่รีสอร์ทต่อ

“อืม...แล้วจะทำอะไรระหว่างรอเวลา”

“กลับห้อง”

“หือ…” จักรพรรดิเงยหน้ามองคนพูดด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะหาเรื่องพาเที่ยวเสียอีก

“ภีมรู้ว่าเมื่อคืนพี่จักรแทบไม่ได้นอน กลับไปนอนที่ห้องกันนะ”

เพราะรู้ดีว่าพี่จักรต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องแม่จนนอนไม่หลับ เขาจึงแอบจ้องมองใบหน้าเคร่งเครียดนั้นทั้งคืน ถ้าเป็นปกติคงโดนรู้ทันและโดนไล่ให้ไปนอนแต่แรก แต่ครั้งนี้พี่จักรไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามองอยู่ ภีมภัทรจำได้ว่าตัวเองเผลอหลับไปกลางคันเลยไม่รู้ว่าคนข้างๆ นอนตอนไหน แต่ถ้าให้เดา...บางทีอาจจะไม่ได้นอนเลย

“รู้ดีจริงๆ” คนฟังพูดด้วยน้ำเสียงขบขันโดยไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนั้น เพราะจะว่าไปเขาเองก็ล้าอยู่เหมือนกันหลังจากนอนคิดมากมาทั้งคืน กว่าจะได้พักสายตาก็ช่วงเช้าแล้ว

สองหนุ่มเดินทางกลับไปถึงที่พักในช่วงเก้าโมง หากเป็นเมื่อก่อนสมัยที่ยังทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศส ต่อให้อดหลับอดนอนสองหรือสามวันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา จักรพรรดิแทบไม่เคยแสดงออกถึงอาการอ่อนล้าเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลับมาที่นี่และได้มาอยู่กับภีมภัทร ตารางชีวิตก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว สุดท้ายจึงกลายเป็นความเคยชินที่ต้องเข้านอนหรือกินข้าวตรงเวลาพร้อมกับอีกคน

“ต้องให้ภีมกล่อมไหมถึงจะยอมนอน”

ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงแข็งๆ จากคนที่กอดอกจ้องเขาอยู่ข้างเตียง อยากถามเหลือเกินว่าใครจะหลับลงถ้าโดนจ้องตาเขม็งแบบนี้

“ไม่ต้องกล่อม” เขาตอบ “แต่มาอยู่ตรงนี้”

คนพูดใช้จังหวะที่ภีมภัทรงงพยุงตัวท่อนบนขึ้นไปกระแชกแขนที่กำลังกอดอกนั้นจนร่างโปร่งเอนล้มลงมาตามแรง จักรพรรดิใช้แรงที่ขาไม่ได้ เขาจึงใช้แขนรวบกอดเอวบางเอาไว้แน่น โชคดีที่คนโดนกอดไม่คิดต่อต้านเพราะกลัวเขาเจ็บอยู่แล้ว ร่างสองร่างจึงกอดกันแนบแน่นอยู่แบบนั้น แม้ฝ่ายหนึ่งจะนิ่งสนิทเพราะใจเต้นแรงจนแทบระเบิดไปแล้วก็ตาม

“รอให้พี่หลับค่อยไปนะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูแดงเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบหายไป

ผ่านไปไม่นานนักคนที่เกือบระเบิดตายจึงกลับมาหายใจสะดวกอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกาย อ้อมแขนที่กอดรัดเขาไว้คลายออกเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้ลุกออกไป แล้วภีมภัทรก็รีบคว้าโอกาสนั้นไว้โดยการขยับถอยหลังจนหลุดออกจากวงแขนแกร่งในที่สุด

ไม่ใช่ไม่อยากกอด...แต่หัวใจทำงานหนักเกินไปจนกลัวจะรับไม่ไหว

เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ช่วยหันไปจัดท่านอนของพี่จักรให้สบายตัวมากขึ้นแล้วปิดท้ายด้วยการห่มผ้าให้ เรียบร้อยแล้วถึงมีโอกาสได้หายใจเข้าออกรัวๆ เพื่อตั้งสติ

“เกือบตายแล้วไง...”

คว้ากันเข้าไปกอดไม่ให้ตั้งตัวแบบนั้น...

รับไม่ไหว ยังไงก็รับไม่ไหวจริงๆ ขืนต้องพูดอะไรตอบกลับไปเขาต้องระเบิดตัวเองตายแน่ๆ

ภีมภัทรรีบเดินออกมานอกห้องนอนเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง หัวใจที่ไม่เคยควบคุมได้เสียทียังคงเต้นกระหน่ำต่อเนื่องราวกับจะทะลุออกมา แม้แต่ใบหน้าก็ยังร้อนไม่หาย ไม่ต้องส่องกระจกยังรู้เลยว่ามันแดงขนาดไหน เขาเดินไปเดินมารอบห้องนั่งเล่นโดยไร้เหตุผล หวังให้อาการทั้งหมดที่มีหายไปเสียที จวบจนเมื่อใจเย็นลงแล้วและกำลังจะนั่งลง...

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องทำเอาคนที่ยังควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนักสะดุ้งเฮือก ใจที่เพิ่งสงบกลับมาเต้นรัวแรงด้วยความตกใจ ภีมภัทรเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าตัวเองขวัญอ่อนขนาดไหน

“ภีม…”

ช่ายหนุ่มรีบเดินไปเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงเรียกคุ้นเคยจากทางหน้าห้อง ภาพประมุขในชุดเสื้อผ้าตัวใหญ่แบบแปลกๆ ทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ถึงได้หัวเราะแห้งๆ ออกมาก่อนจะอธิบาย

“เสื้อผ้าของเกรย์น่ะ”

“แบบนี้นี่เอง” ภีมภัทรลอบยิ้มเมื่อเห็นแก้มคนพูดเปลี่ยนเป็นสีชมพู ตอนแรกเขาก็อยากจะแซวอยู่เหมือนกัน แต่ขืนแซวเมื่อไหร่คงได้โดนคนตัวใหญ่หน้าโหดสองคนที่อยู่ด้านหลังประมุขกระซวกไส้เข้าให้แน่ๆ “เข้ามาก่อนสิ”

“พี่ๆ รออยู่นี่นะ” เมื่อได้ยินนายคนที่สองสั่ง หนุ่มหน้าโหดสองคนจึงพยักหน้าหนักแน่นพลางหันกายออกด้านนอกยืนเฝ้าประตูไว้ด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ภีมภัทรไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารีบดึงแขนประมุขให้ตามเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว

“นี่ลงมาชั้นเดียวต้องมีคนตามมาด้วยเหรอ”

“เป็นคำสั่งของเกรย์น่ะ นี่ผมแอบหนีมาตอนเขากำลังอาบน้ำ อีกเดี๋ยวต้องโดนตามเจอแน่” ประมุขหัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุกขณะนั่งลงที่โซฟาตามคำเชิญของเพื่อน

“แล้วนี่ทำไมนายถึงมาอยู่กับเกรย์ได้ จำได้ว่าวันนั้นกลับไปพร้อมคนอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ”

“เกรย์ไปเจอผมที่สนามบินพอดีเลยลากมาด้วยกันน่ะ ขนาดเสื้อผ้ายังฝากเต้กลับไปหมดแล้วเลย” คนอธิบายทำหน้าหน่ายทั้งที่ปากกำลังยิ้มอยู่ “หยุดพูดเรื่องของผมก่อนนายจะไล่ถามตั้งแต่ต้นดีกว่าภีม”

รู้ทันอีก...

“ที่ผมมาหาเพราะมีเรื่องจะเตือน” ประมุขเริ่มเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังมากขึ้น “ผมอาจไม่ฉลาดเท่าเต้ ไม่เก่งเท่าพี่จักร แต่ผมก็ไม่ได้โง่พอจะเชื่อคำพูดของผู้หญิงที่เคยทำร้ายพี่ชายตัวเอง”

“เดี๋ยวก่อนมุข...นายหมายความว่ายังไง” ภีมภัทรทำหน้าตาเคร่งเครียดตามไปด้วย แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่เขากลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแบบแปลกๆ

“เมื่อเช้าผมออกไปร้านกาแฟพร้อมพี่บอดี้การ์ดสองคนตอนที่เกรย์หลับ ผมให้พวกพี่ยื่นรออยู่หน้าร้าน ส่วนตัวเองเข้าไปด้านในคนเดียว...และผมเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่น”

“…” คนฟังสูดหายใจเข้าจนสุดเมื่อเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้

“ผู้หญิงคนนั้นกระซิบบอกผมว่า...ถ้าพี่จักรทำให้เกรย์เลิกยุ่งกับเธอได้ เธอจะคืนฐานะให้เขา”

“ผู้หญิงคนนั้น...”

“ใช่แล้วภีม” ประมุขพยักหน้า “แม่ของผมกับพี่จักร...เธอมาที่นี่แล้ว”

ภีมภัทรใจกระตุก เขาไม่ได้กังวลว่าพี่จักรของตนจะกลับไปยุ่งเกี่ยวกับมารดาหรือจะอยากรับข้อเสนอนั้นหรือไม่ แต่สิ่งที่เขากังวลคือเรื่องความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจของอีกฝ่ายต่างหาก

แค่ยามพูดถึงพี่จักรยังมีอาการขนาดนั้น...แล้วหากต้องเจอหน้าขึ้นมา เขาไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไง

“แม่ของมุขรู้เรื่องมุขกับ...”

ไม่ต้องรอให้พูดจบประมุขก็ส่ายหน้าในทันที เขายกยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงของเพื่อนอายุมากกว่า อดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้เหมาะสมกับพี่จักรมากจริงๆ

“ไม่รู้หรอก...เกรย์ไม่ใช่คนธรรมดา การที่ใครสักคนจะได้เจอตัวเขาตรงๆ เป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศัตรูที่เขาคิดจะกำจัดทิ้ง”

“เขาเป็นศัตรูกับแม่มุขเหรอ”

“แม่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอกภีม พอไม่มีพี่จักรหรือพ่อเลี้ยงของพี่คอยดูแล บริษัทนั้นก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ เกรย์อาศัยช่องว่างจากความอ่อนแอของแม่ทำลายบริษัทนั้นทีละนิดๆ จนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งความเห็นใจมารดาแท้ๆ ของตัวเอง “พี่จักรไม่ได้ขอให้เกรย์ทำเรื่องนี้ พี่แค่ขอให้เกรย์รวบรวมข้อมูลให้ ถึงอย่างนั้นพี่ก็ไม่ได้ห้ามเมื่อรู้ว่าเกรย์กำลังทำอะไรอยู่ดี ผมเลยไม่แน่ใจว่าถ้าพี่ห้ามเกรย์จะยอมหยุดไหม”

“แต่ถ้ามุขห้ามก็เป็นอีกเรื่องสินะ” ภีมภัทรหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีทำอะไรไม่ถูกของเพื่อน

“ก็…ไม่รู้สิ เพราะผมไม่เคยคิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว”

ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้อยากช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้เจอกันวันนี้เขาคงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแม่แท้ๆ ของตัวเองหน้าตาเป็นยังไง แต่ก็น่าแปลกเหมือนกัน...เพราะทันทีที่สบตาก็รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที

สายใยระหว่างแม่ลูกงั้นเหรอ...ของแบบนั้นมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

การที่ต้องเห็นพี่ชายคนรองโดนทำร้ายเพื่อช่วยเขาและเห็นพี่ชายคนโตโดนลากตัวไปแทนเขา...บาดแผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านั้นมันไม่สามารถลบเลือนได้ด้วยคำว่าแม่ลูกหรอก

“แล้วทำไมเกรย์ถึงทำแบบนั้นล่ะ”

“สนุกไง” ประมุขยิ้มจาง “ที่ทำ...ก็เพราะสนุก”

เกรย์เป็นคนน่ากลัว เป็นผู้ชายที่สามารถทำได้ทุกอย่างหากต้องการทำ ใจหนึ่งอาจทำเพื่อเพื่อนอย่างแท้จริง แต่อีกใจคนคนนั้นก็แค่ต้องการเล่นสนุกโดยการไล่ต้อนมดแมลงตัวน้อยๆ ให้จนมุมแล้วค่อยบดขยี้ในคราวเดียวก็เท่านั้น

ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล...อาจเป็นเพราะเขาหลับฝันร้ายและเผลอเล่าเรื่องราวในวัยเด็กให้คนคนนั้นฟัง แววตาดุดันทรงอำนาจคู่นั้นที่ฉายให้เห็น พร้อมกับที่อีกฝ่ายสัญญาว่าจะเอาคืนให้อย่างสาสม มันเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เกรย์ทำทั้งหมด นอกจากเพื่อช่วยพี่จักรและทำเพราะสนุก อีกเหตุผล...คือเพื่อใคร

“น่ากลัวจังนะ” ภีมภัทรพึมพำเบาๆ

“น่ากลัวสิ แต่เขาเป็นพวกเรา เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”

“อืม” คนฟังเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น

“ที่ผมมาหาก็เพราะอยากเตือนให้ภีมรู้ว่าแม่มาถึงที่นี่แล้ว ผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าภีมต้องการความช่วยเหลืออะไรบอกผมได้เสมอนะ”

“ขอบคุณนะมุข”

ถึงประมุขจะกลับไปนานแล้ว แต่ร่างโปร่งของคนคิดมากก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว คนที่แอบเฝ้าอยู่ตรงขอบประตูมาเนิ่นนานจึงตัดสินใจเปิดเผยตนเองโดยการเข็นรถออกมาหาในที่สุด จักรพรรดิตรงเข้าไปกุมมือเรียวไว้ขณะใช้มืออีกข้างเชยคางมนให้เงยขึ้นมองหน้าเขา

“พี่จักรได้ยินใช่ไหม”

“อืม”

“คิดมากหรือเปล่า”

“ไม่”

ดวงตาขุ่นมัวของคนถามเริ่มเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย

“ภีมกลัวว่าพี่จะโมโหจนควบคุมตัวเองไม่อยู่อีก”

“ถ้าไม่มีภีมอยู่ด้วยก็อาจจะใช่” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบ เขาปล่อยให้ภีมภัทรจ้องหน้าจนอีกฝ่ายละสายตาไปเองแล้วจึงพูดต่อ “บางทีการที่มินตรามาที่นี่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้”

ทุกอย่างจะได้จบเสียที...

“ถ้าพี่จักรยังไม่อยากเจอเธอ...พอจบงานเรารีบกลับเหนือกันดีไหม ภีมเชื่อว่าพ่อจะเข้าใจ” คนพูดกุมมือใหญ่ไว้แน่น ทั้งหน้าตาและเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นห่วงมากขนาดไหน แต่จักรพรรดิกลับส่ายหน้า แววตาอ่อนโยนทอดมองคนตัวเล็กกว่านิ่งงัน

“พี่พร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนั้น แล้วอีกอย่าง...”

“…”

“ถ้าเป็นหลังงานจบน่ะ...ไม่ทันหรอก”








ภีมภัทรยังคงไม่เข้าใจว่าประโยคสุดท้ายที่จักรพรรดิพูดหมายถึงอะไร จวบจนได้มาที่งานแต่งและเห็นชื่อของผู้ที่ลงนามในสมุดอวยพรก่อนหน้าเขาสองชื่อ

มินตรา...

บางทีอาจจะเป็นคนละคน อาจจะมีคนชื่อมินตรามางานนี้เฉยๆ

“ลายเซ็นของมินตราจริงๆ”

เมื่อได้ยินคนบนวีลแชร์พูดแบบนั้น ภีมภัทรก็ไม่รู้จะหลอกตัวเองอย่างไรอีก ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าจนสุดเพื่อเรียกสติพร้อมบอกตัวเองในใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็จะอยู่เคียงข้างพี่จักรไม่หายไปไหนแน่นอน

“พี่จักรรู้ได้ยังไงว่าเธอจะมา” เขาลองถามเรื่องที่สงสัยในระหว่างที่กำลังเข็นรถผ่านเข้าไปด้านใน

“เกรย์ส่งข้อความมาบอกพี่ก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อคืน มุขคงไม่รู้ถึงได้เอามาบอกภีม”

แบบนี้นี่เอง...

ภีมภัทรพาจักรพรรดิเข้าไปทักทายเจ้าสัวพิทักษ์เพียงครู่เดียวเพื่อให้รู้ว่าพวกเขาเป็นตัวแทนจากวิบูลย์ หลังจากปลีกตัวออกมาได้แล้วสองหนุ่มจึงพากันเดินไปอยู่ติดหาด จุดที่ไม่ค่อยมีคนนัก โชคดีที่นอกจากตอนเข้างานมาและโดนจับจ้องเพราะความดูดีของทั้งคู่แล้วทุกฝ่ายต่างแยกย้ายกันตักอาหารจนไม่มีใครให้ความสนใจกับพวกเขาอีก

“กังวลอะไร” จักรพรรดิเปิดบทสนทนาก่อนทั้งที่ยังหันหน้าเข้าหาทะเล ไม่ต้องมองไปด้านหลังเขาก็รู้ว่าภีมภัทรยังคงมองไปรอบๆ อย่างเป็นกังวลเหมือนที่ทำมาตลอดตั้งแต่เข้างาน

“เปล่าครับ”

“อย่าโกหกพี่”

คนฟังทำหน้ายู่ยี่เหมือนจะพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเมื่อโดนรู้ทัน ขนาดไม่หันมาเขายังโดนจับได้ แล้วจะปฏิเสธอะไรได้อีกนอกจากพูดออกไปตามตรง

“แม่พี่อยู่ที่นี่...”

“ภีมไม่ต้องมองหาหรอก” เขาบอก หูแว่วเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ “เดี๋ยวเขาก็มาหาเอง”

เสียงฝีเท้าหยุดลงเมื่อใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ด้านข้าง ห่างจากวีลแชร์ของเขาออกไปสี่ถึงห้าก้าว เธอคนนั้นหันหน้ามองไปทางทะเล ร่างบอบบางทิ้งช่วงไกลจากบอดี้การ์ดสี่คนด้านหลังพอสมควรราวกับเธอกำลังต้องการเวลาส่วนตัว ภีมภัทรไม่ต้องถามก็รู้ว่าผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาสะสวยคนนั้นคือใคร น่าแปลกที่เขาไม่ได้ตื่นเต้นหรือตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก กลับกัน...ยามเมื่อเห็นว่าจักรพรรดิสงบนิ่งแค่ไหน ใจเขาก็สงบตามไปด้วย

บรรยากาศที่ดูกดดันขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้ผู้ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคงหมดความอดทนได้ไม่ยาก แต่นั่นไม่ใช่กับจักรพรรดิ...

“ไม่คิดจะทักทายแม่แท้ๆ เลยหรือไง”

“…”

มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นสิ่งตอบรับคำถามจากปากของหญิงสาวที่ใครต่างก้มหัวให้ และสุดท้ายเธอก็ทนสร้างภาพไม่ไหวอีกต่อไป

“คิง!”

“ไม่เห็นรู้ว่าคุยด้วย”

หรือหากพูดง่ายๆ คำว่าแม่แท้ๆ นั่น...เขาไม่รับ

รังเกียจแม้แต่ชื่อคิงที่อีกฝ่ายมอบให้ยามเดินทางไปถึงฝรั่งเศสเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ โชคร้ายจริงๆ ที่คนแทบทุกคนแม้แต่เกรย์ต่างรู้จักเขาในชื่อนั้น มิฉะนั้นจักรพรรดิคงจะละทิ้งแม้แต่ชื่อเล่นจากคนที่แสนเกลียดชัง

“คิดว่าแยกตัวมาแล้วจะปีกกล้าขาแข็งได้งั้นหรือไง” สาวสวยว่าพลางหันหน้าเดินมาหา รอยยิ้มบิดเบี้ยวน่ากลัวปรากฏขึ้นเมื่อสายตาเหลือบเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังลูกชายแท้ๆ “หรือเพราะคิดว่ามีใครอยู่ด้วยแล้วถึงได้กล้าพูดจาแบบนั้นกับแม่ จำไม่ได้หรือไงว่าเคยโดนอะไรไปบ้าง”

คนฟังไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ดวงตาคมจับจ้องไปยังทะเลมืดมิด แม้ยามเอ่ยปากพูดประโยคต่อไปเขาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า...อย่าพูดเหมือนผมกลัวคุณไปหน่อยเลย คุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าเหตุผลที่ทำให้ผมยอมลงจากบัลลังก์ ยอมกลับมาที่นี่ หรือแม้แต่ยอมให้คุณครอบครองทุกๆ อย่างของพ่อเลี้ยง ทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะผมกลัวหรือต้องการทำตามคำสั่ง แต่เป็นเพราะผมรับตัวเองไม่ได้”

เขาปูทางทั้งหมดเพื่อตัวเอง ทำเหมือนยอมฟังคำพูดไร้สาระของมินตราทั้งที่ไม่ได้สนใจก็เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้มีพิษมีภัย ที่ยังยอมให้แหกปากพูดทั้งที่จะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งหมดนั่นก็เพราะเห็นว่าพ่อเลี้ยงยังต้องการเธอ แต่เมื่อเสียขาทั้งสองข้าง ไม่สามารถกลับไปเดินได้ทั้งที่ลองทำกายภาพแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาสติแตก เมื่อประกอบกับการที่ผู้หญิงซึ่งเคยดึงตัวไปเป็นหุ่นเชิดกลับมาพูดใส่หน้าว่าหมดประโยชน์ เขาก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่ สุดท้ายจึงยอมทิ้งทุกอย่างเพราะอับอายขายขี้หน้า ชิงชังสภาพน่ารังเกียจช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้งยังดูถูกและตราหน้าตัวเองว่าไร้ประโยชน์ตามไปอีก

“เลิกพูดเรื่องเก่าๆ กันดีกว่าไหมคิง” คนฟังกัดฟันกรอดเมื่อรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงดูถูกดูแคลนที่แฝงมากับประโยคยาวๆ นั่น

“ก็ดีเหมือนกัน” จักรพรรดิหันหน้าไปมองคนด้านหลังเล็กน้อยเป็นเชิงเตือน เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็หมุนรถวีลแชร์ของเขาให้หันไปเผชิญหน้ากับหญิงสาวในทันที “ผมเองก็เบื่อหน้ากากนั่นเต็มทน”

“หึ” เธอเหยียดยิ้มร้ายราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิพูด แต่กลับปลายตามองไปยังร่างสูงโปร่งด้านหลังเขาที่ยืนเงียบมาโดยตลอดแทน “จะไม่แนะนำคนด้านหลังให้แม่รู้จักหน่อยเหรอ”

“ไม่จำเป็น” จักรพรรดิตอบเสียงห้วน

“แม่ไม่คิดเลยว่าลูกจะวิป...”

“หุบปาก” ถ้อยคำหนักแน่นกับแววตาคมกริบฆ่าคนได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียบเฉย แม้แต่มินตราที่เป็นต้นเหตุยังสะดุ้งน้อยๆ ยามสบกับดวงตาคู่นั้น “พูดธุระของคุณมา”

เจ้าของร่างแบบบางกุมมือตัวเองแน่นขณะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อเรียกขวัญกำลังใจกลับมา เธอเกลียดที่ลูกชายคนนี้คัดลอกเอานิสัยมาจากสามีใหม่ของเธอเกือบทั้งหมด เกลียดที่อำนาจของคนทั้งคู่ยังข่มเธอได้ แม้ในยามนี้คนหนึ่งจะตายไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นเพียงคนพิการก็ตาม

“บอกเกรย์...เพื่อนที่ลูกแอบคบหามาโดยตลอดให้เลิกยุ่งกับบริษัทของแม่ซะ และหลักฐานที่เขาส่งมาข่มขู่แม่ บอกให้เขาลบทิ้งแล้วแม่จะยอมให้เงินให้อำนาจกับลูกเหมือนเดิม”

“หึ…” ทันทีที่ฟังจบเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้น ทั้งมันยังดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงหัวเราะที่น่าหวาดกลัวในที่สุด “ที่แท้ก็มาพูดเรื่องนี้”

“หัวเราะอะไร” มินตรากัดฟันกรอด เธอคิดมาดีแล้วว่ายังไงคนรักอำนาจแบบจักรพรรดิก็ต้องรับข้อเสนอแน่ๆ แล้วทำไมถึงกลายเป็นโดนมองแบบนั้นไปได้

“เก็บข้อเสนอทุเรศๆ ของคุณเอาไว้แล้วฟังสิ่งที่ผมจะพูดให้ดี”

“…”

“ถอนคนออกไปซะ เลิกยุ่งกับผมแล้วผมจะเลิกทำลายคุณ อย่างน้อยก็จะไม่เปิดโปงเรื่องผิดกฎหมายของคุณกับเพื่อน ส่วนเรื่องบริษัทที่เกรย์กำลังทำ ถ้าเบื่อ...เดี๋ยวมันก็เลิกไปเอง”

ชื่อที่ได้ยินทำให้ร่างบางสั่นสะท้าน เธอรู้แต่แรกแล้วว่าเด็กนั่นจะต้องนำปัญหามาให้ เธอถึงสั่งลูกชายไม่ให้ยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะยังแอบคบหาเป็นเพื่อนกันโดยไม่ให้เธอรู้ ทั้งยังคบมานานถึงสิบปี!

เธอรู้ว่าลูกท่านทูตต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพยายามทำลายบริษัทของเธอ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรื่องผิดกฎหมายที่เธอทำกับเพื่อนเองก็มีคนล่วงรู้เหมือนกัน เพียงแค่หลักฐานที่ลูกท่านทูตส่งมาก็เพียงพอจะทำให้เธอติดคุกไปทั้งชีวิตแล้ว นี่ถ้ายังมีคดีเพิ่มอีก เธอไม่อยากคิดว่าจะเป็นยังไง

ไม่ได้...

ไม่ได้เด็ดขาด...

“แกจะต้องเสียใจ”

ทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้นร่างบางก็ก้าวเท้าเดินจากไปพร้อมบอดี้การ์ดทั้งสี่ เหลือคนสองคนทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง

“พี่จักร...”

ภีมภัทรอาจจะคิดว่าพี่จักรไร้ความรู้สึกไปแล้ว หากเขาไม่เหลือบไปเห็นมือใหญ่ซึ่งกำที่วางแขนของรถวีลแชร์เอาไว้แน่นเสียก่อน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อไม่ใช่เรื่องที่ตนควรยุ่ง คิดได้ดังนั้นเขาจึงวางมือลงบนไหล่กว้างเบาๆ เพื่อบอกให้รู้ว่ายังมีคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนี้ และเหมือนความรู้สึกนั้นจะส่งไปถึงในที่สุด เมื่อฝ่ามือแกร่งยกขึ้นมาวางทาบทับมือเขาแล้วจับไว้แน่น

“พี่คิดดีแล้ว” จักรพรรดิพูดขึ้นมาโดยไม่ต้องรอให้คนด้านหลังถามจบประโยค

เขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อทบทวนความรู้สึกและตอบคำถามที่ค้างคาใจตัวเอง นึกย้อนไปถึงวันที่มินตราพูดว่าเขาไร้ประโยชน์ ย้อนกลับไปถึงวันเวลาที่เคยวางแผนเพื่อควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรไป และเพราะอะไรถึงยังไม่อยากกำจัดมินตราทิ้งไปกันแน่

“นอกจากช่วงเวลาที่เคยโดนทำร้ายตอนเด็กๆ และนึกเกลียดแม่ขึ้นมา พอโตขึ้นมาพี่ก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นศัตรูอีก พี่มองเธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ไปวันๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร แต่พอเกิดอุบัติเหตุและโดนตอกย้ำว่าเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ประโยชน์ ความเกลียดชังนั้นมันก็พุ่งกลับเข้ามาในใจอีกครั้ง มันคอยบอกพี่ซ้ำๆ ว่าตัวเองในวัยเด็กเคยทรมานขนาดไหน”

เพื่อเรียนรู้ทุกอย่าง เพื่อให้เป็นที่หนึ่ง เพื่อให้ได้รับความเอ็นดูจากพ่อเลี้ยง ผู้หญิงคนนั้นทั้งสอนและทำร้ายเขาสารพัด ทั้งให้ความรู้ ทั้งทำให้แข็งแกร่ง ทั้งตบ ทั้งตี ทำให้เขาเจ็บเจียนตายนับครั้งไม่ถ้วน

“พี่เคยเป็นคนรักอำนาจ พยายามควบคุมทุกอย่างไว้ในสองมือ ใครจะเป็นอะไรก็ไม่สน ขอแค่ตัวเองยังอยู่บนจุดสูงสุดก็พอ” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาแห่งอำนาจเหล่านั้น “แต่พอมาคิดดูแล้ว บางทีการที่พี่เกิดอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะมันทำให้พี่รับตัวเองไม่ได้ ทำให้พี่ยอมทิ้งอำนาจที่มี และทำให้พี่ได้มาเจอภีม...”

“พี่จักร...” คนฟังเม้มปากแน่น ดวงตาคู่สวยสั่นสะท้านยามเห็นว่าดวงตาของคนที่หันหน้ามาหาฉายแววมั่นคงเพียงใด

“เหตุผลที่พี่ลังเลกับการจัดการมินตรา เป็นเพราะในใจพี่รู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนทำให้พี่เกิดมา และบางทีถ้าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น พี่อาจจะยังหลงอยู่ในวังวนแห่งอำนาจและเงินตราที่ผู้หญิงคนนั้นพาพี่ปีนขึ้นไปหาก็ได้”

ถ้าเป็นแบบนั้นเขาอาจจะยอมให้เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งของคนที่ช่วยเหลือเขา คนที่ทำให้เขาแกร่งพอจะยืนอยู่บนจุดนั้นได้ และอาจจะลืมความเลวร้ายในวัยเด็กไปจนหมด คิดดูแล้วอาจถึงขั้นยอมรับธุรกิจผิดกฎหมายที่เธอแอบทำลับหลังพ่อเลี้ยงเพราะโดนเงินตราและอำนาจที่เคยคิดว่าดีบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปจนหมดก็ได้

แต่ตอนนี้มันต่างไปแล้ว...

เขาไม่สนใจของพวกนั้นที่เคยได้ครอบครองมาแล้วครั้งหนึ่ง...

จริงอยู่ที่เขาให้โอกาส คิดเสียว่าทดแทนบุญคุณที่ทำให้เกิดมา ทดแทนบุญคุณที่เกือบจะทำให้เขากลายเป็นคนเลวที่มีทั้งเงินและอำนาจ รวมถึงทดแทนบุญคุณ...ที่ทำให้เขาได้กลับมาเจอ ‘หัวใจ’ อีกครั้ง แต่ว่า...

“แต่ถ้าหากเธอไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมทำตาม...”

“…”

“ถ้าเธอแตะต้องภีมแม้แต่นิดเดียว” 

“…”

“ถึงเวลานั้นพี่จะผลักเธอลงเหวด้วยตัวเอง และต่อให้เป็นแม่...ก็จะไม่มีโอกาสได้ปีนขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป”


————————




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[14]==[P.5]== [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 16-05-2018 19:31:32
มินตราเป็นแม่ที่น่ารังเกียจมาก สงสารพี่จักร โดนกระทำ โดนกดดันมาแต่เด็ก  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[14]==[P.5]== [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-05-2018 19:54:56
น่าจับมานั่งรถเข็นแทนจักรเสียจริงๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[14]==[P.5]== [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 17-05-2018 06:50:03
พี่จักรสุดยอดด o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[14]==[P.5]== [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-05-2018 14:34:16
พี่จักรจะโหดละนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[14]==[P.5]== [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 18-05-2018 17:28:32
พี่จักรหายเร็วๆนะ มาเอาคืนแม่  :beat:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[14]==[P.5]== [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 18-05-2018 18:12:56
-15-


 นับจากวันที่ได้เจอมารดาของจักรพรรดิที่งานแต่งงานทางภาคใต้ก็ผ่านพ้นมากว่าสองอาทิตย์แล้ว ภีมภัทรรู้สึกว่าในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่จักรดูจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม แม้แต่วิทยายังเอ่ยปากกระซิบถามเขาว่ามีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือเปล่าเสียด้วยซ้ำ ขนาดคนรอบข้างที่ไม่ได้เจอกันบ่อยยังรู้ แล้วมีหรือที่ภีมภัทรจะไม่รู้ เขาไม่แน่ใจนักว่าสาเหตุของรอยยิ้มที่มากผิดปกตินั้นมาจากการที่ได้พูดคุยกับมารดาอย่างตรงไปตรงมาจนสามารถตอบคำถามในใจของตัวเองได้หมดแบบที่บอกเขา หรือมาจากสุขภาพดีวันดีคืนของพี่จักรที่บัดนี้สามารถขยับข้อเท้าและงอขาได้มากกว่าเดิมแล้วกันแน่

“พี่เริ่มมีความรู้สึกที่ขาแล้ว” คนป่วยที่กำลังพยายามงอข้อเท้าของตนเองยิ้มกว้างด้วยความดีใจจนคนมองต้องยิ้มตามไปด้วย แม้จักรพรรดิจะยังไม่ได้มีเรี่ยวแรงที่ขามากนักจนสามารถยืนหรือขยับขาไกลๆ ได้ แต่การตอบสนองที่มากกว่าเดิมก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี

“วิทย์บอกว่าจะให้พี่ลองทรงตัวด้วยตัวเอง” ภีมภัทรหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นคนหน้ายิ้มหันมามองแล้วเบิกตาน้อยๆ เหมือนจะถามว่าจริงเหรอ “ถึงต้องใช้เครื่องช่วยจับแล้วก็ต้องมีคนคอยประคองอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ต้องอาศัยแรงแขนของพี่แทบทั้งหมด คราวนี้ภีมว่าต้องคืบหน้าไวกว่าเดิมแน่”

“เราไปโรงพยาบาลเลยไหม”

“พี่จักรรีบเหรอ” เขาหันหน้าไปมองนาฬิกาแล้วส่ายหน้าขำๆ “เพิ่งจะเจ็ดโมงเองนะ”

“พี่อยากลองทรงตัวแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ภีมภัทรทำได้เพียงส่ายหน้าขณะเดินไปเก็บข้าวของจำเป็นแล้วมาช่วยเข็นรถพาพี่จักรของตัวเองเดินทางไปยังจุดหมายที่ต้องการ โรงพยาบาลในแผนกกายภาพบำบัดที่ภีมภัทรมาบ่อยจนชินมีที่ให้นั่งรออยู่หลายจุด และเนื่องจากนักกายภาพบำบัดจะมาเข้าเวรไม่พร้อมกัน เขาจึงจำเป็นต้องรอจนกว่าวิทยาจะมาถึง อดคิดไม่ได้ว่าแล้วแบบนี้จะมาให้ไวขึ้นเพื่ออะไรในเมื่อต้องรออยู่ดี ในตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าพี่จักรอาจจะเบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวเอาแต่นั่งออกกำลังกายอย่างขยันขันแข็งเหมือนกำลังเตรียมพร้อมเพื่อลองทรงตัวเสียอย่างนั้น

“อย่าหักโหมมากนะครับ” ภีมภัทรเอ่ยเตือนเพราะตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมา นอกจากเวลากินข้าวแล้วก็ยังไม่เห็นจักรพรรดิหยุดพักเลยสักครั้ง

“อือ” คนตัวโตเอนกายพิงพนักตามคำเตือนโดยไม่เถียง ซ้ำยังเงยหน้าหลับตาให้เด็กน้อยเอาผ้าเย็นที่เพิ่งซื้อมาเช็ดหน้าให้อย่างเต็มใจ จำได้ว่าช่วงแรกๆ เจ้าตัวหน้าแดงเป็นแถบตอนมาทำแบบนี้ให้แล้วโดนเขาจ้องตาไม่กะพริบ แปลกตรงที่เวลาโดนคนอื่นมองแล้วหัวเราะคิกคักไม่ยักแสดงอาการอะไร ดูราวกับไม่แคร์ใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีๆ ที่จักรพรรดิชอบใจมากทีเดียว

เพราะมันหมายความว่าภีมภัทรจะเป็นแบบนี้แค่เฉพาะกับเขาเท่านั้น...

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมานักกายภาพบำบัดวิทยาก็เดินทางมาถึง ชายหนุ่มที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกตากว้างจนแทบถลนเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งรออยู่  กว่าจะหยุดขอโทษขอโพยจนแทบจะก้มลงไปกราบจักรพรรดิได้ ภีมภัทรต้องใช้แรงเกือบทั้งหมดในการรั้งตัวเพื่อนสนิทไว้ เขาก็รู้อยู่หรอกว่าเพื่อนเกรงใจจักรพรรดิมาก คิดว่าระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาจะทำให้มันชินกว่าเดิม กลายเป็นอาการแย่ลงไปอีก เพราะมันดันไปหลงท่าทีสุขุมจริงจังน่ากลัวเหมือนราชาของคนไข้ในความดูแลเข้าเต็มเปา เวลานี้พูดว่าบูชาไปแล้วก็คงไม่เกินจริงนัก

“ทำไมมึงพาคุณเขามาไวแล้วไม่บอกกูวะ”

นั่นไง...แล้วมาโทษเขาอีก

“พี่จักรเขาตื่นเต้นที่จะได้ลองทรงตัวยืนเองเลยรีบมารอ กูจะโทรไปเร่งมึงทำไมเล่า” ภีมภัทรผลักไหล่เพื่อนแรงๆ หนึ่งทีเป็นเชิงเตือนให้เลิกบ้า “มึงหยุดพูดแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาช่วยพี่จักรดีกว่าไหม”

“เออใช่...รอสักครู่นะครับคุณจักรพรรดิ”

ดูมันพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน แล้วยังมีหน้ามาว่าเขาอีก...

“เพื่อนภีมนี่...”

“พี่จักรจะบอกว่ามันบ้าก็พูดออกมาตรงๆ เลย ภีมเห็นด้วย” ภีมภัทรหัวเราะขบขันโดยไม่คิดปิดบังจนคนมองเผยรอยยิ้มเอ็นดูตามไปด้วย จักรพรรดิยกมือขึ้นลูบแก้มขาวที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูเพราะแรงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถอนมือออกมาเข็นรถไปรอตรงจุดทำกายภาพด้วยตัวเอง ทิ้งให้คนหน้าบานยืนลูบแก้มอยู่แบบนั้นคนเดียว

วิทยายังคงเริ่มต้นการทำกายภาพด้วยการออกกำลังให้ยกขาและเกร็งกล้ามเนื้อตามเหมือนทุกครั้ง ซึ่งจักรพรรดิก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแม้เขาจะอยากข้ามขั้นไปเกาะราวทรงตัวแล้วก็ตาม จวบจนเมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงนักกายภาพบำบัดหนุ่มถึงได้พาคนไข้ในความดูแลไปที่จุดทำกายภาพจุดใหม่ซึ่งพวกเขาเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

บริเวณนั้นมีทั้งราวทรงตัวที่ติดอยู่กับพื้นยาวหลายเมตร รวมถึงมีวอคเกอร์ที่คนป่วยเอาแต่จ้องมองตาไม่กะพริบตั้งอยู่ด้วย ภีมภัทรแค่หันไปมองตามก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพี่จักรคงอยากใช้เจ้าเครื่องมือช่วยเดินนั่นเต็มทน แต่เพราะเขายังใช้มันไม่ได้จึงทำได้เพียงมองอยู่อย่างนี้

“เดี๋ยวผมจะช่วยพยุงคุณขึ้นนะครับ จากนั้นให้คุณใช้แรงตัวเองจับราวไว้ ทิ้งน้ำหนักไปที่มือกับลำตัวช่วงบนให้ได้มากที่สุดเพื่อทรงตัวให้อยู่ ส่วนขาให้ค่อยๆ เอาแตะติดพื้น ยังไม่ต้องถึงขั้นเดิน ถ้าคิดว่าไม่ไหวให้บอกได้ทันที อย่าฝืนมากไปจนแขนเจ็บ โอเคนะครับ” วิทยากำชับต่ออีกหลายอย่างเพราะไม่ต้องการให้คนไข้เจ็บเพิ่ม แม้จักรพรรดิจะมีเรี่ยวแรงเยอะจากการออกกำลังกายที่แขนมาตลอดหลายเดือน แต่หากต้องใช้เรี่ยวแรงเพื่อพยุงตัวทั้งหมดโดยไม่ได้ใช้ช่วงล่างช่วยเลยก็อาจทำให้บาดเจ็บได้โดยง่าย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าคนอย่างจักรพรรดิจะยอมบอกว่าไม่ไหวหรือเปล่า ชายหนุ่มจึงใช้วิธีการหันไปหาเพื่อนสนิทแล้วพยักหน้าให้กันเป็นอันรับรู้

“ภีมช่วย” คนที่รู้นิสัยของคนป่วยที่สุดขยับกายเข้ามาใกล้แล้วช่วยพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นจากวีลแชร์โดยไม่ลืมกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน “ห้ามฝืนนะ ถ้าฝืนภีมจะโกรธ”

จักรพรรดิหันขวับไปมองคนพูดก่อนจะขยับยิ้มจางโดยไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ราวจับซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยตอกย้ำให้เขารู้ว่าอาการของตนดีขึ้นแล้วจริงๆ สัมผัสเย็นเฉียบจากราวช่วยปลุกเร้าความรู้สึกตื่นเต้นในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้นักกายภาพประจำตัวกับคนสำคัญช่วยกันพยุงตัวไว้ ก่อนจะกำราวในมือแน่นแล้วออกแรงท่อนบนเพื่อเกร็งรับน้ำหนักตัวเอง และยามเมื่อเท้าสั่นเทาทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นจนเต็มฝ่าเท้า ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานก็กระจายไปทั่วร่าง

มีความรู้สึก..ไม่ได้ชาเหมือนไม่ใช่ขาตัวเองอีกต่อไปแล้ว

วิทยาค่อยๆ ถอนมือที่ช่วยพยุงตัวคนไข้ออกและหันไปส่งสัญญาณให้ภีมภัทรปล่อยมือเช่นเดียวกัน เขามองร่างสูงใหญ่ของคนไข้ในความดูแลด้วยความภาคภูมิใจ แม้จะยังเดินไม่ได้ แต่คนคนนี้ก็สามารถทรงตัวในท่ายืนจนดูสมกับเป็นราชาได้แล้วจริงๆ

“ภีม…” คนแรกที่จักรพรรดิเรียกหาเมื่อรู้สึกตัวคือคนสำคัญที่สุด เขาหันหน้าไปด้านข้าง มองสบกับดวงตาแวววาวที่ดูดีใจยิ่งกว่าใครแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ทรงตัวได้”

“ครับ...ภีมเห็นแล้ว”

พี่จักรตัวสูงกว่าที่ภีมคิดเยอะเลย...

“ทำไมภีมตัวนิดเดียว”

ภีมภัทรตาโตเมื่อโดนสบประมาทตรงๆ เขาไม่ได้สูงเท่าพี่จักรแถมยังตัวบางกว่าก็จริง แต่มันต้องไม่ใช่ตัวนิดเดียวแน่ๆ

“ภีมก็ตัวเท่าๆ กับน้องพี่นั่นล่ะ”

คราวนี้ถึงคราวจักรพรรดิเลิกคิ้วบ้าง ชายหนุ่มที่ยังคงเกร็งตัวจับราวยืนได้โดยไม่สั่นขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้ม ขณะสายตากวาดมองขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนตัวนิดเดียวที่เขาเพิ่งเรียกไป

“ที่พูดนั่น...คิดดีแล้วใช่ไหม”

คนฟังทำหน้าตาไม่เข้าใจขณะคิดว่าตัวเองผิดตรงไหน ฮ่องเต้กับประมุขน้องชายของพี่จักรก็ตัวเท่าๆ กันทั้งคู่ ถึงจะไม่เท่าพี่จักรแต่ก็ไม่ได้เล็กอะไรขนาดนั้น แต่เดี๋ยวนะ...

ทั้งพายุ ทั้งเกรย์ พวกนั้นก็ตัวโตๆ กันหมดเลยนี่นา

“จริงๆ ภีมก็เปรียบเทียบถูกแล้วล่ะ” คนขี้แกล้งยังคงพูดต่อ “ตัวเท่ากัน นิสัยคล้ายกัน แถมยัง ‘สถานะ’ เดียวกันอีก”

“สถานะอะไร”

“ถ้าไม่รู้แล้วจะหน้าแดงทำไม” จักรพรรดิลอบยิ้มเมื่อเห็นคนหน้าแดง เขาหันไปพยักหน้าให้วิทยาเพื่อบอกว่าต้องการพัก เพียงเท่านั้นนักกายภาพประจำตัวก็เข้ามาช่วยพยุงกลับไปนั่งเหมือนเดิมในทันที

“พี่...ไอ้วิทย์! มึงขำอะไร” ภีมภัทรขมวดคิ้วมุ่นยามหันไปสบตาวิบวับเหมือนอยากจะล้อจนเต็มแก่ของเพื่อน

“ให้กูพูดจริงอะ”

“อะไรของมึง”

“ถึงกูจะไม่รู้จักน้องคุณจักรพรรดิ แต่ก็พอจะรู้ว่าคุณเขาน่าจะหมายถึง ‘สถานะเมีย’...ใช่ไหมครับคุณ”

“ไอ้เหี้ยวิทย์!”

“โอ๊ย! อย่าถีบกูนะ ไอ้คนตีนหนัก”

การทำกายภาพยังคงดำเนินต่อไปแม้จะมีใครคนหนึ่งทำหน้าบึ้งเงียบกริบไม่ยอมพูดยอมคุยกับใครก็ตาม วิทยาจนใจจะง้อเพราะนอกจากเพื่อนจะไม่คล้อยตามแล้วมันยังตบหัวเขาหน้าแทบหัน ในขณะที่จักรพรรดิเพียงยิ้งบางอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้ทำอะไร เนื่องจากชอบเวลาเห็นเด็กน้อยงอแง

“ทีนี้คุณลองลงแรงที่เท้ามากขึ้นนะครับ เกร็งขาให้มากกว่าเดิม พยายามใช้แรงที่ขาเพื่อทรงตัวด้วย เอาแค่เท่าที่ไหวก็พอ ถ้าฝึกทำบ่อยๆ ขาจะเริ่มกลับมามีแรงเอง”

แม้อยากทำเป็นไม่สนใจเพียงใด คนขี้เป็นห่วงก็ยังขี้เป็นห่วงอยู่วันยันค่ำ เพียงแค่ได้ยินเสียงวิทยาคอยพูดเตือนให้ใจเย็นๆ ทำช้าๆ อยู่ด้านหลัง ภีมภัทรก็ทนไม่ไหวต้องหันกลับไปมองจนได้ เขาหยิบผ้าอีกผืนที่เตรียมไว้ออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วเช็ดเหงื่อให้คนที่กำลังออกแรงจนเกร็งไปทั้งตัวอย่างเบามือ

“พักก่อนครับคุณจักรพรรดิ”

ภีมภัทรช่วยเพื่อนประคองคนป่วยกลับไปนั่งลงบนวีลแชร์เหมือนเดิม จักรพรรดิหอบหายใจหนักด้วยความเหนื่อย หากก็ยังเงยหน้ายิ้มให้คนที่เข้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ตัวเองเป็นการขอบคุณเช่นทุกครั้ง

“ถ้าอยู่ที่บ้านคุณเขาอยากลุกขึ้นมาลองทำแบบนี้ด้วยตัวเองกูก็ไม่ได้ห้าม แต่มึงต้องคอยดูแลแล้วก็ประคองอยู่ข้างๆ ตลอดนะภีม อย่าให้ทำติดต่อกันนานเกินไปด้วย พักคลายเส้นออกกำลังธรรมดาหรือบีบนวดบ้างก็ได้ อย่าให้หักโหมจนเจ็บป่วยล่ะ” วิทยาหันไปเตือนเพื่อนแทนการบอกคนไข้โดยตรง เนื่องจากเขารู้ดีว่าวิธีนี้ได้ผลมากกว่าบอกผ่านจักรพรรดิเยอะ แค่โดนจ้องก็ตัวสั่นแล้ว จะเอาอะไรไปดุถ้าเขาไม่ยอมทำตาม เพราะงั้นให้มนุษย์เมียจัดการไปถูกต้องแล้ว

“เข้าใจแล้ว” เมื่อเป็นเรื่องของสุขภาพภีมภัทรจึงยอมทิ้งอารมณ์บูดๆ ทั้งหมดแล้วตั้งใจฟังแต่โดยดี

“โชคดีจริงๆ ที่คุณเขาไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คุณแม่ของมีนยังบอกเลยว่านอกจากขาดสารอาหารเพราะทานน้อยในช่วงเดือนแรกแล้ว เขาเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนแข็งแรงมากเสียด้วยซ้ำ”

“นั่นสินะ”

ตอนที่เห็นผลตรวจสุขภาพของพี่จักรเขายังจำได้ดีอยู่เลยว่าตัวเองดีใจขนาดไหน เวลาคุณหมอนัดไปคุยแต่ละทีก็มีแต่ชมว่าดูแลตัวเองดีมากจนร่างกายแทบจะสมบูรณ์แล้ว เหลือแค่รอทำกายภาพจนขาหายพี่จักรก็จะกลายเป็นผู้ชายที่แข็งแรงมากๆ คนหนึ่งแน่นอน แถมคุณหมอยังหันมาเล่นงานเขาแทน ทั้งขมวดคิ้วมองสำรวจแล้วพึมพำบอกว่าทำไมอีกคนโตเอาๆ แต่เขายังผอมอยู่เหมือนเดิม กว่าจะหนีออกมาจากห้องตรวจได้ก็เกือบจะโดนลากไปตรวจสุขภาพอยู่เหมือนกัน

“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะไอ้ภีม สวัสดีครับคุณจักรพรรดิ”

“เจอกัน” ภีมภัทรตอบรับพลางตบไหล่เพื่อนเบาๆ ส่วนชายหนุ่มที่กำลังนั่งพักเพียงพยักหน้าส่งๆ เป็นเชิงรับรู้เหมือนทุกครั้ง

เมื่อเหลือกันเพียงลำพังแล้วสองหนุ่มจึงพากันเดินกลับไปที่รถโดยจักรพรรดิคิดว่าจะเข็นวีลแชร์ด้วยตัวเอง แต่เพียงแค่จะเอามือไปจับล้อเข็น มือเรียวขาวของคนด้านหลังก็ฟาดลงมาที่มือเขาดังเพียะ

“ห้ามเข็น พักไปเลย”

แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ

ได้แต่บ่นในใจเพราะปากยังคงมีรอยยิ้มไม่จางหาย เห็นท่าทีเป็นห่วงของเด็กน้อยแล้วจะไม่ยอมได้ยังไงกัน



บ้านเล็กติดเรือนกุหลาบซึ่งกลายมาเป็นบ้านหลักของภีมภัทรและจักรพรรดิมองดูคล้ายเรือนหอหลังน้อยๆ แบบที่เจ้าของสวนนี้เคยเอ่ยแซวลูกชายไม่มีผิด เพราะนับวันข้าวของที่มีชักยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนคล้ายจะเป็นที่อยู่อาศัยถาวรของทั้งคู่ไปแล้ว อีกทั้งภีมภัทรยังวางแผนจะก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อให้บ้านกว้างขวางกว่าเดิมด้วย หากไม่ใช่เพราะเจ้าของบ้านอีกคนอย่างจักรพรรดิเอ่ยทัดทานไว้ก่อน เห็นทีเดือนหน้าเขาคงได้บ้านหลังโตสมใจอยาก

“ภีมว่าเราต่อเติมบ้านเลยดีกว่านะ อย่างน้อยก็เอาให้มีห้องครัวสักหน่อย...”

ว่างทีไรภีมภัทรเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเสียทุกครั้งไป ยิ่งยามตื่นมาเช้าๆ แล้วเจ้าตัวเห็นจักรพรรดิออกกำลังกายอยู่บนพื้นที่แคบๆ ข้างเตียงก็ยิ่งคิดเยอะ จะขยับขยายพื้นที่ให้ได้

“เอาไว้ก่อนเถอะ” แล้วก็เป็นจักรพรรดิที่ต้องตอบผลัดวันออกไปแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ทำแต่ไม่อยากให้เด็กน้อยทำเพื่อเขาไปหมดทุกอย่างมากกว่า แล้วนี่ไม่ใช่แค่ทำเพื่อเขาธรรมดาแต่คิดจะทุ่มเงินเพื่อขยับขยายพื้นที่ให้ อย่างนี้มันออกจะมากเกินไปหน่อย โชคดีที่ภีมภัทรเป็นพวกพูดรู้เรื่อง พอเขาปฏิเสธก็จะพยักหน้าหงึกหงักไม่ดื้อต่อแต่เปลี่ยนเอาไว้อ้อนถามวันอื่นแทน จะเรียกว่าดื้อเงียบก็ไม่ผิดนัก

“พี่จักร...”

ดูมาทำเสียงจริงจังใส่

“เด็กอะไรเปลี่ยนอารมณ์ไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พูดต่อ

“พี่จักรว่า...คุณแม่...หมายถึงคุณมินตราเขาจะยอมทำตามที่พี่บอกไหม”

จักรพรรดิหุบยิ้มลงเมื่อได้ยินประโยคคำถามเกี่ยวกับคนที่ไม่อยากนึกถึง ใช่ว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาไม่สนใจ แต่เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยคิดมากเขาจึงพยายามไม่พูดถึง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลนักเมื่อภีมภัทรเอ่ยถามออกมาด้วยตัวเองแบบนี้

“พี่คิดว่าเธอถอนคนออกไปหมดแล้ว เกรย์เองก็ยืนยันแบบนั้น”

“งั้นก็เป็นเรื่องดีสิ” ภีมภัทรยิ้มกว้าง เกือบจะลุกขึ้นยืนแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีมือใหญ่ๆ ของใครบางคนดึงข้อมือเขาให้กลับลงไปนั่งบนเตียงข้างกันเสียก่อน

“พี่ยังไม่ไว้ใจ” จักรพรรดิกำข้อมือเล็กแน่นขึ้นเล็กน้อย “ยังไงก็ต้องดูไปก่อน พี่เดาไม่ถูกว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่รับข้อเสนอแล้วเธอจะกล้าทำอะไรถึงขั้นไหน”

ขอแค่อย่ามายุ่งเกี่ยวกับภีม...

“พี่จักร คุณมินตราเธอเคย...” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อไม่แน่ใจนักว่าควรถามออกไปดีหรือเปล่า ทว่าเมื่อได้มองสบกับดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นเขาก็ตัดสินใจถามออกไปตามตรง “คุณมินตราเคยทำอะไรพี่เหรอครับ”

นอกจากมาพาตัวพี่ไปจากผม พาพี่ไปจากทุกๆ คน เธอทำอะไรอีก...ทำไมพี่ถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น

ทั้งแววตาเย็นชา ทั้งอารมณ์ร้ายๆ หรือท่าทีห่างเหินแม้แต่กับน้องชายตัวเอง ภีมภัทรยังจำได้ดีว่าภาพที่เขาเห็นในวันแรกที่กลับมาเจอกันอีกครั้งเป็นอย่างไร เขาพยายามห้ามตัวเองมาโดยตลอดไม่ให้ถามคำถามนี้ เพราะคิดว่าอย่างไรพี่จักรของเขาก็กลับมาแล้ว แต่เมื่อได้เจอผู้หญิงคนนั้น ได้เห็นท่าทีทั้งหมดที่พี่จักรมีต่อเธอ เขาเลยนึกอยากให้พี่จักรระบายมันออกมาให้หมด ไม่อยากให้ความปวดร้าวในส่วนลึกนั้นกลับมาทำร้ายผู้ชายคนนี้อีก

“เล่าให้ภีมฟังนะ”

จักรพรรดิมองสบดวงตาคู่สวยที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดึงดูดเขาได้เสมอก่อนจะเสมองไปยังมือเรียวขาวที่กำลังจับมือเขาไว้ เพียงเท่านั้นผู้ที่เคยปิดใจและไม่คิดจะเล่าเรื่องราวเลวร้ายที่ต้องพบเจอให้ใครฟังก็ยอมเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย

“วันที่มินตราพาตัวพี่ไปจากที่นี่ พี่จากไปพร้อมเสื้อผ้าแค่สามชุดที่คว้าติดตัวมาได้..."




ที่ฝรั่งเศสในเวลานั้นติดลบหลายองศา หิมะตกจนเด็กน้อยที่ไม่คุ้นเคยตัวสั่นและรู้สึกแสบผิวไปหมด จักรพรรดิในเวลานั้นเป็นเพียงเด็กน้อยใจดีไร้เดียงสา เขาพยายามทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามยอมรับว่าผู้หญิงที่พาตัวเขามาเป็นแม่ของตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเมื่อบอกว่าหนาวคือคำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว

“ถ้าทนไม่ไหวก็ตายไป ฉันจะได้กลับไปเอาน้องแกมาที่นี่”

เด็กชายตัวน้อยกอดร่างกายตัวเองไว้แน่นเมื่อต้องลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังโตซึ่งจะกลายเป็นบ้านใหม่ของเขา เด็กชายไม่ได้ตื่นตาตื่นใจกับมันมากนักแม้ว่าภายในจะตกแต่งหรูหราขนาดไหนก็ตาม สายตาของจักรพรรดิมองเพียงมารดาซึ่งกำลังเดินเข้าไปหาชายหนุ่มตัวใหญ่หน้าตาน่ากลัวผู้ที่จะมาเป็น ‘พ่อเลี้ยง’ ของเขาเท่านั้น

“นั่นคือลูกของฉันสินะ”

“ใช่ค่ะ...ลูกของคุณ” มินตราลูบไล้แขนสามีอย่างออดอ้อนและยอมปล่อยเมื่อเขาทำท่าจะเดินเข้าไปหาคนมาใหม่

แววตาน่าหวาดหวั่นและอำนาจมหาศาลของชายหนุ่มทำให้จักรพรรดิตัวสั่นเป็นลูกนก ถึงอย่างนั้นดวงตาคมแต่เด็กก็ยังเงยสบพ่อเลี้ยงอย่างไม่เกรงกลัวตามประสาผู้เป็นพี่ชายคนโต และดูเหมือนมันจะถูกใจเจ้าของบ้านไม่น้อย อีกฝ่ายถึงได้คุกเข่าลงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน

“ทำตัวเองให้คู่ควรได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะเป็นของนาย”

วินาทีนั้นจักรพรรดิเห็นแสงแห่งอำนาจปรากฏในดวงตาของพ่อเลี้ยงราวกับกำลังจะหลอกล่อให้เขาติดกับ ในขณะที่แววตาของมารดามีเพียงความริษยาที่พาดผ่าน





"ภีมว่ามันแปลกไหมที่พี่ลืมเรื่องราวในวัยเด็กของที่นี่ไปจนเกือบหมด แต่กลับยังจำเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ได้แม่นยำ”

“พี่จักร...”

“คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายจนพี่จำฝังใจ...และที่แย่คือความรู้สึกพวกนั้นมันหยั่งรากไว้ลึกมากเกินกว่าจะถอดถอน”




ครั้งแรกที่โดนลงโทษคือวันต่อมาหลังจากที่ไปถึงฝรั่งเศส วันนั้นมารดามอบชื่อใหม่ให้เขา บอกให้เขาแนะนำตัวกับคนอื่นว่าชื่อคิง ทั้งยังส่งอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสมาให้หนึ่งคน

“เรียนเป็นยังไง” ในช่วงเย็น มินตราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะแทนตำแหน่งของสามีที่เดินทางไปต่างประเทศเอ่ยถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่เด็กชายตัวน้อยทำได้เพียงส่ายหัวแล้วตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา

“ยังไม่ค่อยเข้าใจครับ”

“ว่าไงนะ”

“คือผมยังไม่เข้าใจภาษา...”

“นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง!” หญิงสาวตวาดเสียงดังพร้อมทุบมือลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเด็กชายสะดุ้ง “มาท่องตัวหนังสือให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้”

“คะ…คือ…"

“แมรี่! พามันไปขังไว้ ไม่ต้องให้กินข้าวกินน้ำจนกว่าจะท่องหนังสือได้”

“แม่...แม่ครับ”

วันนั้นเด็กชายจักรพรรดิได้สัมผัสกับความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก เขาตัวสั่น แขนกอดผ้าห่มผืนบางนอนขดอยู่ในห้องคนเดียวทั้งคืน และทุกทุกวันหลังจากนั้นก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น

“โง่! แค่นี้ทำผิดได้ยังไง!”

“โอ๊ย! อย่าตี ผมเจ็บ...ฮึก”

กี่ครั้งที่ไม้ด้ามยาวฟาดลงมาบนแผ่นหลังก่อนจะถูกคนงานในบ้านเอายามาทาให้จนหายดี

“ทำไมแกไม่ได้คะแนนเต็ม!”

“ตะ...แต่ผมได้ที่หนึ่งนะครับ”

กี่ครั้งที่โดนด่าเพราะทำคะแนนไม่ได้ตามที่อีกฝ่ายคาดหวัง

“เอามันไปขังไว้ ไม่ต้องให้ข้าวให้อาหาร ใครขัดคำสั่งฉันเตรียมไปหางานใหม่ได้เลย”

“แม่...อย่า...อย่าทำผม”

กี่ครั้งที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทรมานจนแทบขาดใจ

“ถ้าแกไม่แกร่ง เขาก็ไม่มีทางให้อะไรแกหรอก ไอ้ลูกโง่!”

ปีแรกเขาร้องไห้ทุกครั้งที่โดนทำโทษ เป็นเด็กชายจักรพรรดิแสนอ่อนแอที่โดนทำร้ายยับเยินด้วยฝีมือมารดาของตัวเอง

ปีที่สองเขายังคงโดนทำโทษและยังคงร้องไห้ยามที่เจ็บมากๆ จนทนไม่ไหว

ปีที่สามเขาเริ่มเคยชินกับความเจ็บปวด แม้ร่างกายจะยังสั่นไหวแต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นดังออกมา

ปีที่สี่เขาสร้างผลงานได้ พ่อเลี้ยงเรียกเขาไปคุย มอบรางวัลชิ้นแรกให้เป็นเงินสดจำนวนหนึ่ง

ปีที่ห้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดอีกแต่มารดายังคงลงโทษโดยไร้เหตุผล เขาไม่ร้องไห้ รวมถึงไม่มีความรู้สึกใดๆ นอกจากความเบื่อหน่าย

ปีที่หกเขาเข้าไปหาพ่อเลี้ยง ออกปากขอเรียนรู้งานด้วยตัวเอง เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเงินตราคืออะไร

จวบจนปีที่สิบเขาถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำสอนของพ่อเลี้ยงและแม่บังเกิดเกล้า

เงินตราสำคัญ...เหมือนที่พ่อเลี้ยงมอบให้เขายามทำอะไรสำเร็จ เพราะมีเงินเขาถึงเอามันไปซื้อรถที่ชอบได้

อำนาจขาดไม่ได้...เหมือนที่มารดาเคยใช้กับเขา เพราะไร้อำนาจมารดาถึงได้กดขี่และทำร้ายเขาสำเร็จ

และแล้วในปีต่อมาพ่อเลี้ยงก็ให้เขาขึ้นไปเหยียบยังจุดสูงสุด จักรพรรดิกลายเป็นคิงที่เลือดเย็น เป็นผู้ที่ใครต่างก้มหัวให้ เป็นคนที่มีทั้งเงินและอำนาจอยู่ในมือ

แต่ไม่มีหัวใจ...





“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พี่ลืมเรื่องราวเก่าๆ ไปจนหมด บางทีอาจเป็นตอนที่โดนทำโทษจนร่างกายชาชินและรู้ว่าต่อให้ภาวนาแค่ไหนก็จะไม่มีใครมาช่วย”

“…”

“พี่ดีใจที่ได้กลับมาอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อแม้ตัวจะค่อยๆ เอนลงตามแรงประคองของเด็กน้อยที่ตอนนี้สองตาแดงก่ำ “พี่ดีใจที่ได้กลับมาเจอภีม”

ภีมภัทรยกมือปาดหยาดน้ำตาออก ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปยังคนสำคัญด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ที่มีมากที่สุดคือความดีใจ...

“ภีมก็ดีใจที่พี่กลับมา”

ดีใจที่สุด...

ภีมภัทรมองจนแน่ใจว่าพี่จักรของตัวเองหลับไปแล้ว เขาจึงถือโอกาสดันแผ่นหลังกว้างให้เอนตัวไปด้านข้างแล้วถกเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น ก่อนดวงตาคู่สวยจะหลับลงเมื่อเห็นแผลเป็นหลายสิบแผลกระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นหลังขาว

เพราะแบบนี้พี่จักรถึงไม่เคยถอดเสื้อแล้วหันหลังให้เขาเห็นเลย...

ริมฝีปากบางกดจูบเบาๆ ลงบนมุมปากหยักของคนหลับอย่างฉวยโอกาสเพียงเสี้ยววินาที จากนั้นจึงขยับไปกระซิบที่ข้างใบหูขาวราวกับจะส่งคำพูดของตนเองไปช่วยขับกล่อมให้คนคนนี้หลับฝันดี

“ภีมรักพี่จักร”









จักรพรรดิตื่นเต็มตาในช่วงเวลาเย็น ดูเหมือนวันนี้เขาจะนอนนานกว่าปกติพอสมควร คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ต้องกินทุกวัน ผสมกับการที่ได้เล่าเรื่องแย่ๆ ให้คนอื่นฟัง ร่างสูงผุดลุกขึ้นนั่งขณะมองสำรวจรอบกาย ทุกครั้งเวลาตื่นขึ้นมาเขาจะเห็นเด็กน้อยนั่งยิ้มอยู่ข้างเตียงเพื่อรอออกไปรดน้ำต้นไม้ในเรือนกุหลาบด้วยกัน แต่แปลกที่วันนี้ไม่มีวี่แววของภีมภัทรเลย

อาจเพราะเขานอนนานเกินไป เจ้าตัวเลยออกไปรดน้ำก่อน...

คิดได้ดังนั้นจึงขยับกายไปริมเตียงแล้วย้ายตัวเองไปนั่งบนรถวีลแชร์ด้วยความคล่องแคล่ว จักรพรรดิขยับล้อรถพาตัวเองออกไปจากตัวบ้าน ตรงไปยังทิศทางของเรือนกุหลาบซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แล้วก็เป็นไปตามที่คาด ประตูเรือนเปิดอยู่จริงๆ

“ภีม” เขาส่งเสียงเรียกตั้งแต่เดินเข้าไปในประตูเมื่อไม่ได้ยินเสียงรดน้ำหรือเสียงใดๆ ดังออกมาจากด้านในเลย คิ้วเข้มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศไม่ดีนัก หัวใจที่ไม่เคยหวาดกลัวกับสิ่งใดเต้นกระหน่ำจนปวดร้าวไปหมด

“ภีม! ตอบพี่!” จักรพรรดิเร่งความเร็วในการเข็นรถแบบที่ไม่เคยทำ เขาไม่สนใจแม้มือจะปวดไปหมดเพราะกำล้อแน่นเกินไป จวบจนเมื่อเข็นรถมาจนถึงจุดที่ลึกที่สุด ภาพที่เห็นแทบทำให้กายสูงล่วงหล่นลงจากวีลแชร์อย่างหมดแรง

กุหลาบสีน้ำเงินที่เด็กน้อยของเขาเฝ้ารักและดูแลมานาน บัดนี้ล้มระเนระนาดเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ชายหนุ่มก้มลงเก็บกุหลาบดอกเล็กที่มีร่องรอยโดนเหยียบย่ำแล้วกำไว้แน่น มือใหญ่หยิบโทรศัพท์ที่แทบไม่ได้ใช้ขึ้นมากดโทรออกอย่างรวดเร็วโดยไม่หันไปมอง

[ไง]

“ส่งคนของนายมา” ภาษาฝรั่งเศสราบเรียบไร้ความรู้สึกถูกส่งออกไปแทบจะทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์ หากเป็นคนนอกอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่เกรย์ที่รู้จักกันมานานย่อมรู้ดีว่ามันคือคลื่นลมเงียบสงบก่อนพายุจะมา

[…เกิดอะไรขึ้นสินะ]

“มันเอาตัวภีมไป”

เพียงเท่านั้นเกรย์ก็เข้าใจถึงที่มาของน้ำเสียงน่าหวาดหวั่นได้ในทันที

[จะเอายังไง]

“เอาตัวภีมคืนมา ไปล่ามัน แล้วส่งคนมาคุ้มกัน”

[เข้าใจแล้ว]

ดวงตาคมดุฉายแววอันตรายขณะก้มลงมองดอกกุหลาบในมือตัวเอง จริงอยู่ที่เขาไม่อยากรับความช่วยเหลือไปมากกว่านี้ แต่ถ้ามันเกี่ยวพันกับภีมเมื่อไหร่ ต่อให้ต้องยืมมือคนอื่นอีกสักกี่ครั้งหรือต้องฆ่าใคร...เขาก็จะทำ

“จะเอาแบบนี้ใช่ไหมมินตรา”


————————-




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 18-05-2018 18:30:51
เกลียดมินตรา พี่จักรผลักนางลงเหวไปเลยนะ ให้เกรย์ช่วยก็ได้ อย่าให้ทำอะไรภีมนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 18-05-2018 18:38:47
เอาตัวไปได้อย่างไร กล้ามาก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 19-05-2018 00:55:05
ฟังเรื่องสมัยเด็กของพี่จักรเต็มๆแล้วน่าสงสาร  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 19-05-2018 03:01:00
คนเป็นแม่ ... เลวได้ขนาดนี้เลยเหรอ
งั้นจัดไปค่ะพี่จักร
และหวังว่า เมื่อถึงเวลา ...
นายเอกจะไม่โลกสวย ออกปากห้ามพระเอกว่า
"นั่นแม่นะ" ออกมา... ให้คนชั่วลอยนวลนะคะ

หรือไม่ พี่จักรให้เกรย์ไปจัดการเลยค่ะ
เกรย์ไม่น่าจะใจอ่อนนะ  เพี้ยง ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-05-2018 03:03:01
ฝากคุณเกรย์จัดการให้หน่อยนะ เอาไม่หนักนัก แค่นอนติดเตียงก็พอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 19-05-2018 09:04:40
ขอให้ภีมปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 19-05-2018 09:58:02
ชอบบบบบบบบ :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 19-05-2018 16:30:30
ตามอ่าน ..
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-05-2018 21:16:37
-16-


 ภีมภัทรรู้สึกตัวเพราะความปวดแปลบที่ศีรษะ ภาพในความทรงจำฉายชัดเหมือนมีใครมากดกรอเทปย้อนกลับ มันเริ่มตั้งแต่ที่เขายืนรดน้ำต้นไม้อยู่ในเรือนกุหลาบแล้วมีคนเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง แค่มองการแต่งกายและจำนวนคนที่เข้ามาพร้อมกันก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นคนของใคร ไม่มีการพูดจาใดๆ เกิดขึ้นเมื่อร่างโปร่งตั้งท่าจะหนี หมัดแรกเหวี่ยงมากระทบใบหน้าจนเขาล้มลงทับต้นกุหลาบของตนเอง จากนั้นกี่เท้าก็ไม่รู้ถึงได้ตามกระทืบย้ำลงมา แต่นั่นก็ไม่เจ็บเท่าการได้เห็นคนเหยียบย่ำต้นกุหลาบที่เฝ้าดูแลรักษามานานหลายปี

ชายหนุ่มมีสติแม้ยามถูกลากตัวไปขึ้นรถ ความสงสัยว่าคนพวกนี้เข้ามาได้ยังไงจางหายไปยามที่เห็นว่ารถมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ที่อยู่ติดกันกับรั้วสวน พวกมันคงจะตัดลวดเพื่อเอารถเข้ามา เขาพยายามฝืนถ่างตาจดจำทิศทางให้ได้มากที่สุด แต่แล้วความปวดแปลบที่ศีรษะก็ทำให้สติหลุดลอยไปจนได้ พอตื่นมาอีกทีก็ไม่รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน

สภาพของสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นห้องที่ทำจากไม้ ไม่มีอะไรตกแต่งทั้งสิ้นนอกจากเก้าอี้หนึ่งตัวที่วางอยู่ไม่ไกลนัก แม้สองแขนจะถูกพันธนาการด้วยเชือก ทั้งยังเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย หากดวงตาคู่สวยก็ยังคงกวาดมองไปรอบด้านอย่างมีสติ

มีหน้าต่างหนึ่งบาน...แถมขายังไม่โดนมัด จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ

“รอข้างนอก”

“ครับคุณหญิง”

ร่างที่เพิ่งพยุงตัวลุกขึ้นสำรวจห้องรีบทรุดตัวเอนพิงกำแพงห้องอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอก ภีมภัทรค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นเสียงของมินตรา แม่แท้ๆ ของพี่จักร และการที่เธอเปิดประตูเข้ามาจริงๆ ก็นับเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี

“ตื่นแล้วเหรอ” เจ้าของร่างบอบบางเหยียดยิ้มขณะนั่งลงบนเก้าอี้ที่เป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวในห้องนี้ แววตาหยามเหยียดกวาดมองสภาพคนของลูกชายด้วยความสะใจที่ฉายชัดทางสีหน้า

“ครับ ตื่นแล้ว”

ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเมื่อเห็นสีหน้าสงบไร้ซึ่งความหวาดกลัวของคนตรงหน้า แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอเป็นต่อ รอยยิ้มเหยียดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ระหว่างรอลูกทรพีของฉัน เธออยากจะถามอะไรไหม”

นี่เล่นตามบทคนร้ายในละครเลยนี่นา...

ภีมภัทรคิดในใจหน่ายๆ ถ้าไม่ติดว่าไม่เหมาะเขาคงหัวเราะออกมาแล้ว แต่ในเมื่อเปิดโอกาสให้แบบนี้ จะถามสักข้อสองข้อคงไม่เป็นไร

“คิดว่าการที่เกรย์ยอมทำลายหลักฐานหรือพี่จักรยอมถอยหลังให้มันจะทำให้คุณอยู่รอดต่อไปได้เหรอ”

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก...” มินตราหัวเราะเหมือนได้รับคำถามถูกใจ “ฉันจะเอาคิงกลับไปด้วย จะขังมันไว้แล้วล่ามโซ่ที่คอมัน ดูสิว่าคราวนี้ไอ้เด็กเวรนั่นยังจะกล้ามายุ่งเรื่องของฉันอีกไหม”

ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างสวยสง่าเหมือนจะฆ่าให้ตายเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าเหล่านั้น คิดไว้แล้วไม่มีผิด...ผู้หญิงคนนี้วางแผนไว้หมดแล้ว และเธอคิดจะเอาพี่จักรของเขากลับไปจริงๆ แถมยังจะทำร้ายเขาให้มากกว่าเดิมอีกต่างหาก

“โรคจิต...”

เสียงหัวเราะหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินคำพูดไม่เบานักจากปากตัวประกัน

“แกว่าไงนะ”

ภีมภัทรเงยหน้า ดวงตาคู่สวยทอประกายเชือดเฉือนขณะย้ำคำพูดสั้นห้วนไร้มารยาทของตนด้วยความหนักแน่น

“บอก...ว่า...โรค...จิต”

“ไอ้เด็กเวร!”

มินตราลุกขึ้นและก้าวเท้าเข้าหาคนที่นั่งหมดแรงพิงกำแพงอยู่อย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้คิดจะทำอะไรเด็กนี่ไปมากกว่านี้ แต่ในเมื่อมันปากดี บีบคอให้หายแค้นสักรอบคงไม่ถึงตาย ทว่าในวินาทีนั้นเองที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางของคนเจ็บ ร่างบางที่กำลังก้าวเท้าเข้าหาชะงักกึก สัญชาตญาณร้องเตือนให้ถอยห่าง แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อคนที่ควรจะไร้เรี่ยวแรงพุ่งเข้ามาคว้าคอเธอไว้ด้วยมือเดียว

“แค่ก...กะ...แก”

“ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเป็นผู้ชาย เป็นเพศที่ถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งกว่าคุณ ถึงจะไม่อยากทำร้ายผู้หญิง แต่เวลาจนตรอกคนเรามันทำได้ทุกอย่าง คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ”

ภีมภัทรออกแรงกำรอบลำคอบอบบางมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังพูดได้ เขากดร่างหญิงสาวลงกับพื้น มือที่ว่างใช้ปิดปากที่กำลังไอแล้วจึงปล่อยอีกมือออกก่อนที่จะได้ฆ่าคนตายจริงๆ

“คุณ...จับผิดคนแล้ว”

เขาไม่ใช่คนที่จะงอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญ...เขาจะไม่ยอมให้พี่จักรต้องมาลำบากไปด้วยเด็ดขาด

“ทีนี้ผมจะใช้วิธีอะไรหนีไปดีนะ” ร่างโปร่งพึมพำเบาๆ ขณะมองสำรวจรอบห้องอีกครั้ง “ถ้าให้เดาที่นี่คงเป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ กลางป่า เพราะงั้นถึงได้ยินเสียงสัตว์ด้านนอกชัดนัด แย่หน่อยที่ไม่รู้ว่ามีคนของคุณอยู่กี่คน”

สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปจบอยู่ที่หน้าต่างไม้ซึ่งเปิดแง้มอยู่

“เอาแบบนี้แล้วกัน...”

ภีมภัทรพยุงร่างมินตราให้ยืนขึ้นตาม เขาสบกับดวงตาแดงก่ำของเธอนิ่งแล้วตัดสินใจในที่สุด

“ผมล่ะอยากฆ่าคุณนัก...” ข้อหาที่กล้าทำร้ายพี่จักร

สิ้นคำเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดก็ถูกใช้ไปกับการยกตัวหญิงสาวแล้วเหวี่ยงเธอออกไปนอกหน้าต่างอย่างแรงโดยไม่ออมมือ

“กรี๊ดดดดดดดดด!”

“คุณหญิง!”

เสียงกรีดร้องจากจุดที่ไกลจากตัวบ้านคงล่อให้เหล่าบอดี้การ์ดรีบวิ่งไปทางนั้นได้ไม่น้อย ภีมภัทรรออยู่หลังประตู จวบจนการ์ดคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาเขาจึงใช้ศอกเหวี่ยงใส่หน้าหนุ่มร่างยักษ์อย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มลง และคงเป็นโชคดีที่มีคนเข้ามาเพียงคนเดียว ร่างโปร่งจึงสามารถวิ่งหนีออกไปด้านนอกได้ในที่สุด

ภีมภัทรไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นั่นมานานขนาดไหน แต่ท้องฟ้ามืดสนิทในยามนี้ทำให้เขารู้ว่าตัวเองน่าจะหายมานานพอควร ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่จักรจะเป็นยังไงบ้าง

“ไปทางนั้น!” เสียงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังหนีสะดุ้งน้อยๆ โชคดีที่ภีมภัทรสังเกตมาตั้งแต่ตอนโดนจับว่าคนพวกนี้ไม่มีปืน อาจเพราะไม่กล้าพกข้ามประเทศหรือมินตราไม่คิดว่าต้องใช้ก็ตาม แต่มันก็นับเป็นเรื่องดี

แม้จะเจ็บไปทั้งร่างกายซ้ำยังปวดเท้าที่เปลือยเปล่าไปหมด แต่นอกจากกอดตัวเองไว้แล้ววิ่งต่อภีมภัทรก็มองไม่เห็นหนทางอื่นอีก มือเรียวข้างหนึ่งกุมมีดตอนกิ่งที่ช่วยให้เขาตัดเชือกขาดจนหลุดจากการจับกุมมาได้แน่น ดวงตาคู่สวยที่อ่อนล้าขึ้นทุกขณะสอดส่องมองหาสถานที่หลบภัยเมื่อคิดว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว จนสุดท้ายร่างโปร่งจึงทรุดตัวลงนั่งหลังโขดหินที่อยู่ติดกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

โทรศัพท์ก็โดนยึดไปแล้ว เอายังไงดีนะ...

ภีมภัทรเดาได้ไม่ยากว่าการจับตัวเขามาในครั้งนี้จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคืออะไร คงต้องการให้เกรย์ทำลายหลักฐานทั้งหมดที่มีเป็นประเด็นหลัก ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวบอกว่าจะเอาพี่จักรกลับไปเพื่อให้มั่นใจว่าเกรย์จะไม่กล้าทำอะไรอีก เขาคิดว่ามินตราคงคิดจะทำจริงๆ แต่ดูแล้วเธอคงยังไม่รู้จักเกรย์ดีพอ พี่จักรเคยเล่าเรื่องเกรย์ให้เขาฟัง ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา แค่จับพี่จักรไปไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าประมุขเสียใจขึ้นมา ถึงตอนนั้นเธอคงไม่ได้โดนส่งเข้าคุกเฉยๆ แน่

“ออกมาดีๆ จะได้ไม่เจ็บตัว”

คนที่กำลังนั่งพักสูดหายใจเข้าจนสุดเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นไม่ไกลนัก เขาขยับกายมุดไปอยู่ตรงช่องว่างเล็กๆ ที่ดูมืดมิดไม่เป็นจุดสังเกต เฝ้ารอจนเห็นกลุ่มฝรั่งตัวโตเดินจากไปทางอื่นแล้วจึงผงกหัวกลับมาดูทิศทางเหมือนเดิม

“พี่จักร...” ริมฝีปากซีดพึมพำเสียงแผ่ว แม้ร่างกายอ่อนล้าเต็มทีแต่ใจกลับบอกให้สู้ต่อและเดินไปข้างหน้า ภาพใบหน้าเย็นชาของคนสำคัญที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำทำให้เรี่ยวแรงที่เริ่มขาดหายฟื้นกลับมาอีกครั้ง ภีมภัทรจิกเล็บลงบนท่อนแขนเพื่อเรียกสติ ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบด้านอีกครั้งอย่างสำรวจ ครั้งนี้เขามองเห็นชัดกว่าเดิมมากเพราะเริ่มเคยชินกับความมืด

ป่าที่มืดมิดแห่งนี้คงไม่ได้อยู่ห่างไกลจากสวนรังสิมันตุ์นัก ดูจากลักษณะแล้วคนในพื้นที่อย่างเขาย่อมรู้ว่ามันเป็นป่าที่มีเฉพาะในแถบนี้ ยิ่งประกอบกับเรื่องเวลาที่หลับไปและตื่นขึ้นมาใหม่ก็ยิ่งชัดเจน มินตราน่าจะพาตัวเขามาที่ป่าอีกแถบหนึ่ง อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับสวนรังสิมันตุ์ แถมใกล้ๆ จุดที่เขาอยู่ตอนนี้ยังมีบ่อน้ำอยู่ด้วย แสดงว่าต้องมีบ้านคนหรือไร่ของใครอยู่แถวนี้แน่

ต้องหาคนให้เจอก่อน...

ภีมภัทรวิ่งไปในทิศทางที่เขาเห็นบ่อน้ำ ก่อนรอยยิ้มกว้างจะเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นสายยางต่อยาวไปในทิศทางหนึ่ง  ไม่ต้องคิดต่อให้มากความเจ้าตัวก็รีบเดินตามทางไปในทันทีโดยไม่ลืมสังเกตรอบกายอย่างละเอียดตามประสาคนรอบคอบ

“ไร่อาชาวิน”

เพียงแค่เห็นรั้วลวดหนามที่ถูกย้อมเป็นสีขาวเขาก็มั่นใจในทันทีว่าสถานที่ที่เจอคือที่ไหน มาโชคร้ายก็ตรงที่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นด้านหลังเข้าพอดี ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบยกขาขึ้นเหยียบลวดโดยระวังที่สุด แต่ถึงอย่างไรเมื่อปีนข้ามมาได้แล้วมือและเท้าของเขาก็ยังโดนบาดจนเป็นแผลอยู่ดี

ภีมภัทรวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าที่ร่างกายเอื้ออำนวย คาดหวังเพียงให้ใครสักคนในไร่มาเจอ เพียงเท่านั้นเขาก็จะติดต่อกับคนของตัวเองได้เสียที

“นั่นใครน่ะ!” เสียงตะโกนถามพร้อมแสงไฟที่ส่องมาโดยตรงทำให้ต้องหลับตานิ่ง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นบังใบหน้าเอาไว้ขณะที่หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความคาดหวัง

“ผม…”

“คุณภีม! นั่นคุณภีมหรือครับ!”

ภีมภัทรค่อยๆ ลดแขนลงเมื่อแสงไฟที่ส่องหน้าดับไป เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตา และเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้า ความยินดีก็เข้ามาแทนที่แทบจะทันที

“ลุงโสม!”







ประมุขเคยคิดว่าจักรพรรดิในยามบันดาลโทสะน่ากลัวมากจนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าในยามนี้...เมื่อได้มาเห็นพี่ชายในโหมดนิ่งเงียบแต่สายตาฆ่าคนได้ เขาคิดว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า คิดแล้วก็ขยับกายเข้าหาเกรย์มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว มารู้ว่าตัวเองตัวสั่นก็ตอนที่แขนแกร่งของคนข้างกายเอื้อมมากอดเอวไว้ให้คลายกังวล

“เกรย์...” ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจ้าของชื่อพลางพยักพเยิดให้พูดอะไรสักอย่างกับพี่ชายตนเอง แต่เกรย์กลับส่ายหน้าแล้วก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กเสียงค่อย

“คิงในเวลานี้ไม่น่าคุยด้วยเท่าไหร่หรอก”

แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นจักรพรรดิเป็นแบบนี้เหมือนกัน หากมันไม่ใช่เรื่องที่เดายากเลยสักนิด ลองคิดว่าถ้าลูกแกะต้องหายตัวไปกับศัตรูแบบภีมภัทร เป็นเขาก็คงไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น...นอกจากอยากไปไล่ฆ่าให้คนทำมันตายทั้งฝูง

“แต่มันแปลกนะเกรย์...ถ้าจับตัวภีมไปเพราะต้องการอะไรบางอย่าง ทำไมถึงยังไม่ติดต่อมาเสียที” แม้แต่คนหัวช้าอย่างประมุขยังสังเกตเห็นความจริงข้อนี้ มีหรือที่สองหนุ่มจะไม่รู้ เพราะงั้นเกรย์จึงส่งคนออกไปตามหาตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน

“แสดงว่ายัยแม่มดนั่นยังไม่ได้ตัวดอกไม้ของจักรพรรดิยังไงล่ะ”

“หมายความว่าภีมหนีได้เหรอ...” ประมุขเบิกตากว้างด้วยความดีใจและตกใจไปพร้อมๆ กัน

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเป็นแบบนั้น”

จักรพรรดิไม่ได้สนใจเรื่องที่น้องชายกำลังคุยกับเพื่อนสนิท สายตาเขาจับจ้องเพียงโทรศัพท์ของเกรย์ในฝ่ามือตัวเอง เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีการติดต่อมาว่ามีอะไรคืบหน้าแล้วบ้าง

“จักร!” น้ำเสียงร้อนรนจากคนที่เพิ่งมาถึงเรียกความสนใจจากจักรพรรดิได้ไม่น้อย เจ้าของร่างสูงใหญ่เข็นล้อรถเข้าไปหาเจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดหลังเขาโทรไปเล่าเรื่องราว ก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่คุ้นชินนัก

เป็นครั้งแรกที่ยอมก้มหัวให้คนอื่นในรอบสิบปี...

“ผมขอโทษที่ทำให้ภีมเป็นอันตราย”

วิบูลย์ที่กำลังตกใจรีบรับไหว้แล้วเดินเข้าไปแตะไหล่กว้างเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เจ้าของไหล่เงยหน้า ชายสูงวัยกว่าถอนหายใจพลางส่งสายตาอาทรไปให้หลายชายเหมือนเช่นทุกครั้ง

“มันไม่ใช่ความผิดจักร อย่าโทษตัวเองเลย”

“ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความผิดของผมที่ไม่สามารถปกป้องภีมได้อยู่ดี” ทั้งที่อยู่ใกล้กันถึงขนาดนี้ แต่กลับปล่อยให้มีคนเอาตัวไปได้ มันเป็นเพราะเขาไม่เลือกทางที่ถูกต้องตั้งแต่แรก

“ตัวจริงเจ้าภีมมันไม่ใช่เด็กน้อยใสๆ หรืออ่อนโยนแบบเวลาอยู่กับจักรหรอกนะ” คนที่รู้จักภีมภัทรดีกว่าใครคลี่ยิ้มจางทั้งที่ตนเองก็นึกห่วงลูกชายอยู่ไม่น้อย “เชื่ออาเถอะว่าภีมจะต้องไม่เป็นไร”

หัวอกคนเป็นพ่อที่มีลูกชายเพียงคนเดียวมีหรือจะไม่นึกห่วง แต่เขาต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่และมีสติให้ได้มากที่สุด นอกจากตำรวจที่ช่วยออกตามหาแล้วยังมีเกรย์ซึ่งเป็นเพื่อนของจักรพรรดิช่วยด้วยอีกแรง ภีมต้องไม่เป็นไร...วิบูลย์บอกตัวเองเช่นนั้น

แต่ถ้าภีมเป็นอะไรไปล่ะ...

ดวงตาคมทอแววปวดร้าว หัวใจบีบรัดจนปวดไปหมด ยามนี้จักรพรรดิไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับร่างกาย เขาต้องการรู้แค่ว่าเด็กน้อยยังปลอดภัย...ขอแค่เด็กน้อยของเขาปลอดภัย

ภีม...

“ภีม…”

ได้โปรด...

ครืด

มือใหญ่กดรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังออกมา ก่อนเสียงทุ้มต่ำจากปลายสายจะพูดประโยคที่เขาต้องการฟังออกมาในที่สุด

[คนร้ายถูกจับไว้หมดแล้ว ได้รับการยืนยันว่าเป้าหมายหนีไปได้อย่างปลอดภัย กำลังเร่งทำการค้นหาครับ]

ดวงตาคมหลุบลงต่ำขณะแย้มรอยยิ้มยินดี หัวใจที่หนักเหมือนมีหินถ่วงทับไว้นับร้อยก้อนเบาขึ้นมากโขราวกับมีใครมายกมันออกไป แต่แล้วในวินาทีถัดมาดวงตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวเย็นชา แม้ยามถ่ายทอดคำสั่งดุดันก็ยังไม่มีแม้ความลังเลในน้ำเสียง

“มัดพวกมันไว้ให้แน่น ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ เจอภีมเมื่อไหร่ฉันจะไปจัดการเอง”

[แล้วคนที่เป็นผู้หญิง...]

“ไม่มีสิทธิ์พิเศษอะไรทั้งนั้น”

[รับทราบ]

จักรพรรดิเงยหน้ามองบรรดาคนที่กำลังรอลุ้นกับคำพูดของเขา ชายหนุ่มหันหน้าไปหาบิดาของภีมภัทรเป็นคนแรก จากนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คนร้ายถูกจับไว้หมดแล้ว ส่วนภีมดูเหมือนจะหนีไปได้ กำลังเร่งตามหา”

วิบูลย์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือใหญ่ตบเบาๆ ที่ไหล่ของจักรพรรดิเป็นการปลอบทั้งตนเองและอีกคน ในขณะที่ประมุขร้องดีใจออกมาเสียงดังจนออกนอกหน้า แล้วก็โดนคนข้างกายเอามือปิดปากไปตามระเบียบ

“จักร” เกรย์ที่เงียบไปนานเรียกชื่อเพื่อนให้หันมาสนใจด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนคนที่ก้มหน้ายิ้มยินดีอยู่ต้องหันกลับไปมอง “จะเอายังไงกับคนพวกนั้น”

สิ้นประโยคคำถามใบหน้าคมคายยินดีพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายน่ากลัว ดวงตาคมไม่มีวี่แววของความเห็นใจหรือความลังเลใดใดอยู่อีก แม้ยามพูดประโยคแรกที่ออกมาจากใจจริงก็ไม่มีท่าทีเหมือนจะล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“ใจจริงฉันอยากฆ่ามันนัก” โชคดีที่ในห้องนี้นอกจากเกรย์แล้วไม่มีใครฟังภาษาฝรั่งเศสออก มิเช่นนั้นจักรพรรดิคงถูกมองด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว “ส่งหลักฐานทั้งหมดที่มีนำไปให้ตำรวจก่อน ขอให้ฉันได้คุยอะไรด้วยสักหน่อยแล้วค่อยส่งตัวกลับไปดำเนินคดี”

“จะเอาข้อหาหนักขนาดไหน”

“หนักที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

เกรย์หัวเราะเบาๆ อย่างนึกสนุก โทรศัพท์ของตัวเองที่ถูกยึดไปรอฟังข่าวถูกโยนคืนมาให้เมื่อหมดประโยชน์ เขาส่ายหน้าหน่ายกับความไร้มารยาทของเพื่อน ใช่ว่ามันไม่รู้เสียหน่อยว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีมูลค่ามหาศาล แต่เพราะมันไม่สนใจว่าอะไรจะเป็นตายร้ายดียังไงถึงได้กล้าทำ

ดูท่าจิตใจด้านดีคงจะจางหายไปด้วยยามไม่มีเด็กน้อยของตัวเองยืนอยู่ข้างๆ

เมื่อไม่มีเรื่องใดให้พูดคุยต่อบรรยากาศจึงกลับมาสงบเงียบและเคร่งเครียดอีกครั้ง ถึงตอนนี้จะมั่นได้ว่าภีมภัทรปลอดภัยแล้ว แต่สำหรับคนที่อยากเห็นหน้าและอยากให้กลับมาอยู่ข้างกายคงยังไม่อาจคลายกังวล นานหลายนาทีที่พวกเขาเอาแต่เงียบกันอยู่แบบนั้น จวบจนเมื่อเสียงโทรศัพท์ของจักรพรรดิดังขึ้น ทุกสายตาถึงได้หันกลับไปจับจ้องเขาอีกครั้ง

เบอร์แปลก...แถมยังโทรเข้ามาในเวลานี้

ไม่ต้องคิดให้มากความมือใหญ่ก็รีบกดรับโทรศัพท์ ใจภาวนาเป็นร้อยๆ รอบขอให้เป็นสายจากคนที่คาดหวัง

[พี่จักร...]

“ภีม…” เสียงเรียกขานราวกับคนที่กำลังบาดเจ็บและได้รับความช่วยเหลือของเขาทำให้ประมุขน้ำตาคลอ

จักรพรรดิไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดให้ใครเห็นเลยนับตั้งแต่ภีมภัทรหายตัวไป มีเพียงความน่ากลัวเท่านั้นที่ส่งผ่านมาทางสีหน้า แต่เขาก็รู้...รู้ว่าภายในใจของพี่ชายกำลังหวาดกลัวและเจ็บปวดมากเพียงใด เพียงแค่ไม่อยากให้ใครเห็นมันก็เท่านั้น

โชคดีจริงๆ ที่ภีมไม่เป็นไร...

“ภีม...อยู่ที่ไหน”

[ภีมอยู่ที่ไร่อาชาวินครับ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสดใส [ภีมไม่เป็นไรเลย ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายด้วย พี่จักรไม่ต้องเป็นห่วงนะ]

“ภีม…”

[พรุ่งนี้คนที่ไร่จะพาภีมไปส่ง พี่จักรนอนไปก่อนได้เลยนะ]

“ภีมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ดวงตาคู่คมแดงก่ำยามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

[ไม่...ไม่เจ็บ]

ไม่เจ็บแล้วทำไมเสียงสั่นแบบนั้น

“ภีม…”

[พี่จักรนอน...]

“พี่จะไปหา...” เขาเอ่ยแทรกเสียงสั่นๆ ที่พยายามบังคับให้สดใสของเด็กน้อย ก่อนจะย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้งให้ภีมภัทรมั่นใจ “พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้”

[…]

“…”

เนิ่นนานกว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังแทบใจสลาย

[รีบมานะครับ]


.
.
(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[15]==[P.5]== [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-05-2018 21:17:00

ไร่อาชาวินเป็นคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันกับสวนรังสิมันตุ์มานาน หลายครั้งหลายคราที่ภีมภัทรได้รับการไหว้วานจากบิดาให้มาส่งของหรือมาคุยเรื่องธุรกิจแทนจนทำให้เขารู้จักคนงานและเจ้าของไร่เป็นอย่างดี ทั้งสองไร่แม้จะอยู่ห่างกันคนละทิศแต่ก็พึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกนักที่เจ้าของไร่อย่างอริศราจะรักและเอ็นดูภีมภัทรเสมือนเป็นลูกชายแท้ๆ ของเธอเอง

“หนูภีม ให้น้าทำแผลให้ก่อนเถอะนะจ๊ะ”

นับจากหนีเข้ามาในไร่จนได้รับความช่วยเหลือแล้ว ร่างโปร่งก็ยังไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังยอมพูดแค่ตอนขอยืมโทรศัพท์โทรหาคนที่บ้าน จากนั้นก็เอาแต่ส่ายหน้าไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้นจนเหล่าคนงานพากันถอดใจ ถึงได้เป็นคิวของอริศราที่ต้องเข้ามาพูดคุยด้วยตนเอง

เพียงแค่มองสภาพภายนอกของเด็กชายที่เธอรักเหมือนลูก อริศราก็รู้แล้วว่าเขาคงไปเจอเรื่องร้ายมา ทว่าน่าแปลกตรงที่แม้จะไม่ยอมพูดคุยหรือให้ใครเข้าใกล้ แต่ภีมภัทรก็ยังนั่งตัวตรง ทั้งยังไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอจะเห็นเขาแสดงอารมณ์ปวดร้าวออกมาให้เห็นแค่ตอนคุยโทรศัพท์ครู่เดียวเท่านั้น

ดูท่าว่าเด็กคนนี้คงจะรอใครบางคนอยู่...ใครบางคนที่เขาจะยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น

ถึงจะรู้แบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่อยากปล่อยให้เขานั่งรอทั้งที่มีบาดแผลทั่วทั้งตัวแบบนี้อยู่ดี คงต้องลองเสี่ยงดูสักรอบ

“จะดีเหรอจ๊ะถ้าจะให้คนคนนั้นเขามาเห็นหนูในสภาพมีแผลเต็มตัวแบบนี้”

ได้ผลจริงๆ...แววตาเริ่มมีความลังเลแล้ว

“ผม…”

“นายครับ! มีคนมาเต็มเลยครับนาย!” เสียงตื่นตกใจของคนงานทำให้นายหญิงของไร่จำต้องหันกลับไปมองแต่โดยดี แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปดูด้านนอก คนเหล่านั้นที่ว่าก็พากันเข้ามาข้างในก่อนแล้ว

“คุณวิบูลย์” เธอเรียกอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะพาคนมาเยอะขนาดนี้ แถมยังมีชาวต่างชาติใส่ชุดดำอยู่หลายคนอีก ดูท่าเรื่องที่หลานภีมของเธอบาดเจ็บคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นแน่

“ไปคุยกันทางนั้นเถอะคุณอริศ”

เมื่อผู้ใหญ่เดินแยกไปคุยกันเอง ซ้ำเกรย์กับประมุขและบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ยังไม่คิดจะเข้ามาด้านใน ภีมภัทรจึงได้สบดวงตาคู่คมของคนที่กำลังเข็นรถเข้ามาหาในที่สุด

เกือบแปดชั่วโมงที่ไม่ได้เจอกันและเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย...

ทั้งที่มีสติ อดทน และบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรสำเร็จมาโดยตลอด แต่เมื่อได้เห็นหน้าของคนคนนี้ก็ดูราวกับความอดทนทั้งหมดที่มีจางหายไป ความเจ็บปวดที่อดกลั้นไว้กลับมาทำร้ายจนร่างกายสั่นสะท้าน สองตาปวดร้าวแดงก่ำมีหยาดน้ำใสไหลคลอจวนเจียนจะหยดออกมาได้ตลอดเวลา และสุดท้ายเมื่อจักรพรรดิมาหยุดอยู่ตรงหน้า...เมื่อเขาย้ายมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันและอ้าแขนออก ทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทลายลง

“พี่...พี่จักร...”

จักรพรรดิกอดร่างโปร่งไว้เต็มอ้อมแขน ร่างกายสั่นสะท้านกับเสียงร้องไห้เบาๆ ที่ไม่ได้สะอึกสะอื้นทำให้เขาปวดใจไม่น้อย ภาพภีมภัทรที่ดูไร้ความรู้สึกยามเจอกันในตอนแรกยังคงฉายชัดให้เห็นและบอกให้รู้ว่าเด็กน้อยอดทนมามากเพียงใด

แต่ตอนนี้พี่อยู่ตรงนี้...ภีมไม่ต้องอดทนอีกแล้ว

“พี่อยู่นี่...เด็กดี” มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ เป็นการปลอบประโลม ใจนึกอยากกระชับอ้อมแขนให้แน่น แต่ก็กลัวว่าจะไปกระทบโดนบาดแผลที่กระจายอยู่ทั่วร่าง เพียงแค่นึกถึงสิ่งที่ภีมภัทรต้องเจอ ดวงตาอ่อนโยนยามมองคนในอ้อมแขนก็ทอประกายดุดันน่าหวาดหวั่น

ถ้าเขายังเป็นคนเดิมคนเดียวกับตอนอยู่ฝรั่งเศส...มันจะไม่จบแค่เอาตัวส่งให้ตำรวจแน่

“พี่...พี่จักร” ภีมภัทรผละตัวออกเล็กน้อยพลางเงยหน้ามอง ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างจับจ้องคนที่กอดตัวเองไว้นิ่งเหมือนจะยืนยันว่าเป็นตัวจริงแน่ใช่ไหม “คนพวกนั้น...”

“จับได้หมดแล้ว” เขาตอบเสียงอ่อนโยนขณะเลื่อนมือไปเกลี่ยแก้มช้ำเบาๆ

ยิ่งเห็นบาดแผลใจก็ยิ่งลุกไหม้ด้วยความแค้น ไม่สาสม...แค่ส่งให้ตำรวจมันไม่สาสมเลยสักนิด

“พี่จะทำยังไงกับพวกเขาครับ”

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย เราทำแผลแล้วพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันอีกที” จักรพรรดิดึงคนตัวเล็กกว่ามากอดอีกครั้งก่อนจะส่งสัญญาณให้คนเอาอุปกรณ์ทำแผลเข้ามา

ภีมภัทรยอมทำตามคำพูดนั้นโดยไม่ถามอะไรอีก เพราะเขาในตอนนี้ทั้งง่วงและแทบหมดแรงเต็มที แต่เมื่อเห็นคนแปลกหน้าถือกล่องยาเดินเข้ามาใกล้ ร่างโปร่งก็ขยับเข้าไปหาจักรพรรดิจนชิดทั้งยังกำชายเสื้อเขาไว้แน่น

“ไม่เป็นไร” คนด้านข้างปลอบประโลมแล้วดันหัวเล็กให้ซุกอยู่ที่ไหล่โดยหันใบหน้าออกไปด้านนอก “เขาเป็นทีมแพทย์ของเกรย์ ให้เขาทำแผลให้ภีมนะ”

“พี่จักรอย่าไปไหนนะ...”

“พี่ไม่ไปไหนหรอก หลับเถอะ” เขากระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูขาวก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้หมอเข้ามาทำแผลได้เมื่อภีมภัทรยอมหลับตาลง

แพทย์สนามคนสนิทของเกรย์ทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ แม้เขาจะหวาดหวั่นกับสายตาของเพื่อนเจ้านายมากเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดจนคนเจ็บต้องสะดุ้งตื่น เมื่อทำแผลเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าวรายงานเสียงเรียบ

“ไม่มีอะไรเป็นอันตรายครับ บาดแผลภายนอกน่าจะเกิดจากโดนกิ่งไม้ขูด ส่วนที่เท้าดูเหมือนจะไปเหยียบหนามอะไรมาประกอบกับเดินเท้าเปล่ามากไปเลยเป็นแผล นอกนั้นก็เป็นอาการบอบช้ำจากการโดนทำร้าย ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นบริเวณหน้าท้อง เหมือนจะโดน...มาหลายที ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่คงปวดน่าดู ผมจะจัดยากินกับยาทาไว้ให้ ไม่นานก็หายครับ”

“อืม” จักรพรรดิส่งเสียงตอบรับเป็นเชิงบอกให้ไปได้ แพทย์หนุ่มจึงเก็บข้าวของทั้งหมดแล้วถอยไปยืนอยู่หลังเจ้านายเช่นเดิม

สุดท้ายหลังจากเจ้าของไร่ทั้งสองแยกตัวไปคุยกันก็ได้ข้อสรุปว่าอริศราเต็มใจให้ที่พักแก่คนทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งคืนเพราะที่บ้านของเธอมีห้องมากมายที่ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว และเมื่อได้เข้ามาอยู่กันสองคนในห้อง จักรพรรดิจึงได้แสดงความอ่อนแอออกมาผ่านทางแววตายามมองคนที่หลับใหลอยู่ข้างกาย

“จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก...พี่สัญญา” ริมฝีปากหยักกดทับเบาๆ บนหน้าผากมนเพื่อย้ำให้รู้ว่าเขาจริงจังมากเพียงใด ต่อจากนี้ภีมของเขาจะต้องปลอดภัยและจะไม่มีใครมาทำให้เจ็บช้ำได้อีกเป็นอันขาด

ความรู้สึกราวกับดวงใจหล่นหายเมื่อรู้ว่าภีมภัทรตกอยู่ในอันตรายยังคงย้ำเตือนเขาอยู่ตลอดเวลาว่าคนตรงหน้าสำคัญมากเพียงใด แต่ที่ยิ่งกว่าความรู้สึกนั้นคือยามที่รู้ตัวว่าโกรธแทบตายเขากลับยังมีสติ ไม่ได้ระบายโทสะออกมาแบบที่เคยเป็น ทุกอย่างเป็นเพราะความอ่อนโยนที่ได้รับมันแทรกซึมเข้ามาในใจโดยไม่รู้ตัว และมันทำให้ตัวเขาก่อนที่จะกลายเป็นคนเลือดเย็นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

มินตราควรจะขอบคุณที่ภีมภัทรเปลี่ยนเขาได้ทัน...ก่อนที่จะเผลอฆ่าหล่อนจริงๆ

“พี่จักร...”

จักรพรรดิก้มลงมองคนที่กำลังปรือตามองหน้าเขา นิ้วมือที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มใสไล้ไปมาเบาๆ ราวกับจะปลอบเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยวเหมือนกำลังเจ็บปวด

“ว่ายังไง” เสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม

“วันนี้ภีมบีบคอแม่พี่ด้วย...”

“หืม”

“แล้วภีมยังจับแม่พี่โยนออกนอกหน้าต่าง ลืมคิดไปเลยว่าถ้าเป็นบ้านสองชั้นหรือมีใต้ถุนจะเป็นยังไง” คนพูดหัวเราะคิกคักเบาๆ ไม่ได้มีท่าทีรู้สึกผิดอะไรแม้ตาใกล้ปิดเต็มทน “เขาบอกว่าจะเอาพี่จักรกลับไป จะทำให้พี่จักรเจ็บอีก ภีมโมโห ภีมเกลียด...แล้วภีมก็เห็นแก่ตัว ภีมไม่อยากให้พี่จักรไปไหน ไม่อยากให้ใครเอาพี่จักรไปจากภีมทั้งนั้น”

“…”

“ภีมเป็นเด็กไม่ดี พี่จักรจะทิ้งภีมไปหรือเปล่า” ภีมภัทรยกมือสั่นๆ ของตัวเองขึ้นดึงคอเสื้อของอีกคนไว้ขณะส่งแววตาขอร้องออดอ้อนไปให้

“...” จักรพรรดิมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะหัวเราะก็ไม่รู้ว่าถูกเวลาหรือเปล่า สุดท้ายจึงได้แต่กำมือเรียวเอาไว้แน่นเป็นคำตอบว่าจะไม่ทิ้งไปไหนเด็ดขาด แต่ในขณะที่เขากำลังจะพลิกตัวไปนอนด้านข้างเพราะเห็นอีกฝ่ายหลับตาไปแล้วนั่นเอง...

“ภีมรักพี่จักร”

ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของคนขี้โกง ใจนึกอยากเขย่าตัวคนเจ็บให้ตื่นขึ้นมาพูดให้ชัด แต่เมื่อเห็นภาพบาดแผลมากมายบนร่างกายก็ทำไม่ลง

มาสารภาพแล้วชิงหลับไปแบบนี้...ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“เด็กโง่” สิ้นคำต่อว่าที่แสนเอ็นดู เจ้าของใบหน้าคมคายพลันโน้มใบหน้าเข้าหาคนหลับ ก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนราวกับจะให้คำมั่นสัญญา

สำคัญขนาดนี้...จะทิ้งไปได้ยังไง


————————


TALK: ภีมไม่อ่อนแอนะ ถ้าไม่ใช่กับพี่จักรก็เป็นคนน่ากลัวคนหนึ่งนี่แหละ ฮาา

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 19-05-2018 21:42:20
จัดการให้สุดๆเลยพี่จักร แต่สมน้ำหน้าตอนโดนภีมจับโยนหน้าต่าง 5555 :z6:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 19-05-2018 21:57:03
ดีนะที่ภีมหนีมาได้ ไม่งั้นอาจจะโดนทำร้ายมากกว่านี้อีก ฮืออ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 19-05-2018 21:59:29
ภีมไม่ใช่แค่น่ากลัวธรรมดา แต่โหดมากกกก
ไม่น่าเชื่อว่าจะจับผญ.โยนออกนอกหน้าต่าง!!
แบบดูรุนแรง คนละขั้วกับตอนปกติเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 19-05-2018 22:06:40
ภีมจัดให้ไม่ต้องถึงมือพี่จักร  :z6:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 19-05-2018 22:34:06
ผู้หญิงคนนั้นถูกจับโยนหน้าตานี่เบาไปนะ   น่าจะโดนหนักกว่านี้
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 19-05-2018 22:34:25
ผู้หญิงคนนั้นถูกจับโยนหน้าตานี่เบาไปนะ   น่าจะโดนหนักกว่านี้
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 20-05-2018 10:45:32
โยนมินตราออกนอกหน้าต่างเลยเหรอคะ  น้องภีมปลดล็อกดาร์กโหมดแล้วสินะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-05-2018 11:27:12
ภีมทำดีมากลูก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 20-05-2018 12:09:40
ดีมากค่ะน้องภีมหนูทำดีมากลูกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 20-05-2018 12:31:59
คุณพ่อมองลูกชายทะลุปรุโปร่งมาก 555
ลูกชายเจ้าของอาณาจักรดอกไม้ คงไม่ใช่คนธรรมดา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-05-2018 18:52:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-05-2018 17:30:38
มินตราหาเรื่องตายก่อนจะได้แก่ตาย :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[16]==[P.6]== [19/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 22-05-2018 19:54:51
-17-


เปลือกตาบางของคนเจ็บขยับขยุกขยิกเหมือนเจ้าตัวกำลังนอนหลับฝันถึงอะไรบางอย่าง หลายครั้งที่ทำท่าเหมือนจะลืมตาแต่ผ่านไปสักพักก็นิ่งไปอีก จักรพรรดิมองไม่ออกว่ามันเป็นฝันดีที่ควรปล่อยให้เด็กน้อยนอนต่อหรือเป็นฝันร้ายที่ควรปลุกให้ตื่น เขาจึงได้แต่ยื่นมือไปแตะหน้าผากเนียนเบาๆ เพื่อสัมผัสดูว่าอีกฝ่ายมีไข้หรือเปล่า เพราะหากมีก็คงต้องปลุกให้ลุกมากินข้าวกินยา แต่ถ้าไม่มีให้นอนต่อไปอีกนิดคงไม่เป็นไร

“ดีที่ไม่มีไข้” ผู้ที่ตื่นแต่เช้ามาเฝ้าดูอาการคนเจ็บพึมพำขณะยกมือเรียวขึ้นแนบริมฝีปาก แต่ดูเหมือนสัมผัสนุ่มหยุ่นที่กลางฝ่ามือจะทำให้คนที่กำลังหลับรู้สึกตัวในที่สุด

“พี่จักร...”

“พี่ทำให้ตื่นเหรอ”

ภีมภัทรส่ายหน้าจนเส้นผมกระจัดกระจาย ดวงตาคู่สวยดูงุนงงไม่น้อยเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบเห็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเมื่อรู้ว่ามีใครอยู่เคียงข้างความกังวลทั้งหมดก็จางหายไป มีเพียงความสงสัยที่ฉายชัดออกมาทางแววตา

“เรายังอยู่ไร่อาชาวินเหรอครับ”

ถึงเมื่อคืนหลังจากได้เห็นหน้าจักรพรรดิแล้วเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เจ็บปวดร่างกายไปหมดจนแทบสิ้นสติ แต่ชายหนุ่มก็ยังมีสติรับรู้เรื่องราวได้พอสมควร และแน่นอนว่าจำได้ด้วยว่าพูดอะไรออกไป คิดแล้วก็หน้าขึ้นสีด้วยความอับอายที่เผลอพูดจาเหมือนเด็กกลัวถูกทิ้ง

“ภีมเป็นอะไรหรือเปล่า” จักรพรรดิแตะแก้มขาวที่ยังมองเห็นรอยช้ำเบาๆ ทั้งยังพลิกไปมาเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของภีมภัทร นอกจากจะหน้าแดงไปหมดแล้วยังหลบตาอีก เขานึกเป็นห่วงจนลืมไปแล้วว่าท่าทีแบบนี้ตนเองก็เห็นอยู่บ่อยๆ จวบจนเมื่อมือเรียวนั้นยื่นมาแตะแขนเหมือนจะบอกให้หยุด สติที่เกือบจะจางหายไปเพราะความเป็นห่วงถึงกลับมาอีกครั้ง

“พี่จักร เมื่อคืน...” ปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่อยากจะพูดอยู่ในที จักรพรรดิมองท่าทางนั้นแล้วได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ กระทั่งได้ยินประโยคถัดมารอยยิ้มขันจึงปรากฏบนใบหน้า “ที่ภีมพูด”

“เรื่องไหนล่ะ”

“ก็...ที่บอกว่าเป็นเด็กไม่ดี” ภีมภัทรอ้อมแอ้มตอบ เสียงเบาหวิวเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่าอยากให้ใครอีกคนได้ยิน

“อ้อ…คิดว่าอีกเรื่อง”

คราวนี้คนป่วยตาโต แทบจะผุดลุกจากเตียงขึ้นไปเขย่าตัวคนพูด ติดอยู่ที่ปวดร่างกายไปหมดแถมยังไม่มีเรี่ยวแรง สุดท้ายได้แต่ถลึงตามองเป็นเชิงกดดัน

“ภีมพูดเรื่องอะไรไปอีก!”

นอกจากที่บอกว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีและกลัวพี่จักรโกรธ ภีมภัทรจำไม่ได้เลยว่าตัวเองพูดอะไรไปอีก เพราะภาพในสายตาเขามันตัดฉับไปตั้งแต่พูดจบแล้ว นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเผลอหลุดอะไรไปบ้าง

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

ก็แค่สารภาพรัก...

“พี่จักร!”

“มาพูดเรื่องเด็กไม่ดีกันดีกว่าไหม” จักรพรรดิตัดบทเพราะไม่อยากให้คนเจ็บคิดมาก และเพราะยังมีสิ่งที่ต้องการพูดคุยกับภีมภัทรให้เข้าใจกันเสียก่อน อีกอย่าง...ขืนบอกไปตรงๆ เด็กน้อยคงอายม้วนแล้วไม่ยอมคุยกันอีก เขาถึงได้เลือกหัวข้อเด็กไม่ดีขึ้นมาพูดเพื่อดึงดูดความสนใจ “พี่จะถามแล้วภีมก็ตอบมาตามตรง ตกลงไหม”

ภีมภัทรทำหน้าตาเหมือนไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่ก็ยอมพยักหน้าและพยายามพยุงตัวขึ้นนั่งเพื่อให้สะดวกกับการพูดคุยโดยมีจักรพรรดิให้ความช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง

“พี่จักรจะถามอะไรเหรอ"

“ก่อนอื่น...ภีมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้พี่ฟังหน่อย”

“ภีมเข้าไปรดน้ำต้นไม้ในเรือนกุหลาบ...” ดวงตาคู่สวยหม่นแสงลงเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็นในตอนนั้นคือภาพต้นกุหลาบสีน้ำเงินของเขาที่ล้มระเนระนาดทั้งยังโดนเหยียบย่ำไปมา

ภีมภัทรเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้จักรพรรดิฟังโดยไม่ข้ามเรื่องอะไรไปแม้แต่นิดเดียว แม้จะมีแอบเหลือบมองคนที่กำลังทำหน้านิ่งด้วยความกังวลน้อยๆ ยามพูดเรื่องสิ่งที่ทำกับมินตราเพื่อให้หนีออกมาได้ แต่เขาก็ยังเล่าต่อไปได้จนจบ

“ภีมเป็นเด็กไม่ดีเลยใช่ไหม” ลงท้ายด้วยการถามคำถามเดิมเสียงอ่อน

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” จักรพรรดิเชยคางคนที่กำลังก้มหน้าให้สบตาเขาอีกครั้งก่อนจะถามย้ำ “บอกพี่มาเถอะว่าภีมคิดอะไรอยู่”

“ก็ภีมทำร้ายคนอื่น...” ชายหนุ่มเริ่มพูดตอบด้วยเสียงสั่นไหว

“เขาทำร้ายภีมก่อน”

“ไม่ใช่แค่นั้น...” ภีมภัทรส่ายหน้า มือดึงผ้าห่มมาคลุมปิดใบหน้าตนเองไว้ เหลือเพียงดวงตาที่กำลังจ้องมองไปที่คนด้านข้างอย่างไม่แน่ใจนัก “ภีมทำทั้งที่ไม่รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีความลังเลอะไรเลย แล้วตอนนั้นภีมก็คิดว่า...ถ้าต้องทำร้ายเธอยิ่งกว่านั้นเพื่อให้พี่จักรไม่ไปไหน ภีมก็จะทำ”

“…”

“จริงๆ ภีมคิดไว้หลายอย่าง ตอนที่รู้เรื่องใหม่ๆ ก็คิดว่าจะติดต่อเต้แล้วขอให้ช่วย คิดไปถึงขั้นจะกำจัดเธอยังไงไม่ให้มาทำร้ายพี่จักรได้อีกด้วยซ้ำ”

“หืม...มีวางแผนจะช่วยพี่ด้วยเหรอ”

“ก็...คิดว่าอย่างน้อยจะจ้างบอดี้การ์ดมาเฝ้าเงียบๆ ไม่ให้พี่จักรรู้ ถ้าบุกเข้ามาหาเมื่อไหร่จะจับส่งตำรวจไปเลย” อ้อมแอ้มสารภาพแล้วก็หลุบตาลงต่ำ “คือจริงๆ ก็...ติดต่อไปแล้ว แต่เขาจะส่งคนมาพรุ่งนี้”

“หึ” จักรพรรดิไม่รู้จะยิ้มหรือหัวเราะก่อนดีเมื่อได้ฟัง สุดท้ายมันเลยกลายเป็นเสียงหึหึในลำคอให้คนหน้าแดงหันขวับมาถลึงตาใส่

“อย่าขำนะ...ก็ภีมช่วยได้แค่นี้นี่” อำนาจอะไรก็ไม่มีกับใครเขา แล้วจะให้ทำยังไงนอกจากใช้เงินแก้ปัญหา

“น่ารักดี”

“จะบอกว่าเป็นเด็กไม่ดีก็พูดมาเถอะ ภีมไม่ได้เป็นแบบที่พี่จักรคิดใช่ไหมล่ะ”

ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้...จะบอกว่าคิดเหมือนกันได้หรือเปล่านะ

“พี่คิดแค่ว่าภีมเป็นภีม เพราะงั้นจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก” เขาตอบกลับไปตรงๆ เพราะไม่ต้องการให้เด็กน้อยคิดอะไรไปมากกว่านี้ “จะเด็กน้อย เด็กดื้อ เด็กไม่ดี คนไหนก็คือภีมของพี่ทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

ภีมภัทรค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากกองผ้าห่ม แววตาเหมือนจะถามว่าจริงนะซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ แบบนี้คนมองจะไม่เอ็นดูได้ยังไงกัน รู้ตัวอีกทีก็ยื่นมือไปบีบจมูกรั้นด้วยความมันเขี้ยวไปแล้ว

“พี่ดีใจที่ภีมพยายามทำทุกอย่างเพื่อพี่ ขอบคุณนะ”

ส่วนเรื่องที่ไปทำอะไรไม่ดีกับมินตรา นอกจากจะไม่โกรธแล้วจักรพรรดิยังอยากขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ช่วยทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ คงเป็นเพราะสถานะแม่ลูกมันค้ำคอเอาไว้ ต่อให้อยากฆ่าให้ตายขนาดไหนก็ทำไม่ได้อยู่ดี

“ภีมเต็มใจ” เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยซ้ำชายหนุ่มจึงดึงไหล่บางเข้ามากอดไว้หลวมๆ ก่อนจะก้มหน้าลงพูดที่ข้างใบหูอีกฝ่ายเบาๆ

“พี่เองก็กลัวภีมผิดหวังไม่แพ้กันหรอก”









ภีมภัทรไม่เข้าใจว่าคำพูดของจักรพรรดิหมายถึงอะไรจวบจนได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ร่างโปร่งถึงกับเซไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ภาพของเหล่าคนที่ทำร้ายเขาถูกผูกมัดห้อยหัวไว้กับต้นไม้ด้วยสภาพยับเยินเลือดเต็มตัวที่ดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่...พี่จักร” ชายหนุ่มส่งมือไปด้านข้างเพื่อเรียกหาเจ้าของชื่อโดยที่สายตาไม่อาจละออกไปจากภาพของคนเหล่านั้นได้ จวบจนเมื่อคนที่อยู่ด้านข้างคว้าจับมือเขาไว้แล้ว อาการสั่นสะท้านของร่างกายจึงเบาบางลง

“พี่จะไม่ปิดบังภีม”

“พี่จักร...”

“พี่เป็นคนสั่งเอง” จักรพรรดิคลายมือเล็กน้อยเมื่อพูดจบราวกับจะเปิดโอกาสให้เด็กน้อยของเขากระชากมือกลับไปได้ทุกเวลา แต่นอกจากแรงที่บีบมือเขาไว้แน่นกว่าเดิมแล้ว ภีมภัทรก็ไม่ได้ขยับไปไหนอีก

“พวกเขาไม่ได้ตาย...ใช่ไหม”

“ไม่หรอก แค่ทำให้เจ็บแล้วจำเท่านั้น”

ข้อหาที่บังอาจมาแตะต้องคนของเขา...

จักรพรรดิรู้ดีว่าต่อให้ภีมภัทรกล้าหาญขนาดไหน มีสติเพียงใด แต่คนธรรมดาที่อยู่ดีๆ ก็โดนจับตัวไปไม่มีทางไม่หวาดกลัว เด็กคนนี้แค่ซ่อนความกลัวเอาไว้ให้ลึกที่สุดเพื่อรอเวลาระเบิดมันออกมา และเวลาที่ว่าก็คือยามเขารั้งร่างนั้นเข้ามากอดปลอบ อารมณ์ด้านลบทั้งหมดที่ส่งผ่านมาทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กน้อยของเขาบาดเจ็บขนาดไหน มันไม่ใช่เพียงร่างกายแต่รวมถึงจิตใจด้วย ลูกน้องเกรย์กว่าครึ่งเป็นคนไว้ใจได้ที่เขาช่วยหามาให้ ต่อให้เกรย์ไม่ออกคำสั่ง คนเหล่านั้นก็ยินยอมจะช่วยเขาหากไม่มีผลกระทบถึงเจ้านายตัวเองอยู่ดี คำสั่งง่ายๆ อย่างการเอาคืนให้จำไปจนตายจึงไม่ลำบากเลยสักนิด

“แล้ว...แล้วแม่พี่ล่ะครับ”

“เห็นว่าสภาพดูไม่ได้อยู่แล้วเลยแค่จับมัดไว้ในบ้าน” เสียงทุ้มต่ำที่พูดอธิบายออกไปแสดงความพอใจอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องถามภีมภัทรก็รู้ว่าสภาพที่ว่ามันเกิดจากใคร

ภายในบ้านหลังเดิมที่ชายหนุ่มเคยโดนจับไว้มีร่างของหญิงสาวที่เคยสวยถูกจับมัดอยู่กับเก้าอี้ ใบหน้าหวานที่เคยหยิ่งยะโสยามนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง สาเหตุน่าจะมาจากบาดแผลบริเวณศีรษะ นอกจากนั้นบริเวณลำคอยังมีรอยช้ำเป็นจ้ำสีม่วงเด่นชัด เมื่อนับรวมกับบาดแผลตามตัวแล้วแทบจะเรียกได้ว่าเละเทะไม่ต่างจากพวกที่อยู่ด้านนอกเลย

“ไอ้...เลว” แม้เสียงจะแหบแห้งเพียงใด มินตราก็ยังฝืนพูดออกมาจนจบคำ ดวงตาแดงช้ำจับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ของคนบนวีลแชร์ที่ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบสนอง แต่แล้วคนที่เถียงแทนกลับเป็นเจ้าของร่างโปร่งที่เพิ่งมองเธอด้วยสายตาเวทนา

“อย่าว่าพี่จักรนะ”

“หึ...โดนมันล้างสมองสิท่า” เธอเหยียดยิ้มทั้งที่เจ็บไปทั่วใบหน้า ราวกับถ้าไม่ได้กระชากหน้ากากนั้นออกมาแล้วจะตายตาไม่หลับ “รู้หรือเปล่า...ว่ามันทำอะไรไว้บ้าง”

“ผมไม่สน” ภีมภัทรตอบเสียงกร้าว แสดงจุดยืนชัดเจน แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับพูดต่อราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา

“เคยสั่งซ้อมคนจนปางตายเพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ ไล่คนออกจากงานเพราะทำความสะอาดไม่ดี มาหลอกล่อให้ฉันเล่นพนันจนไปพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย แล้วมันก็ลอยหน้าลอยตาบอกว่าไม่รู้เรื่อง! พอเกรย์มันคิดจะเข้ามาทำลายบริษัทจนฉันต้องบากหน้าเอาบ่อนไปเสนอ มันก็ถ่ายหลักฐานเอาไว้ใช้ขู่! เด็กเวรนั่นบอกฉันหมดแล้วว่าเป็นแกที่วางแผนให้มันปล่อยข่าวว่าตัวเองต้องการสร้างบ่อนใต้ดินจนฉันเข้าไปติดกับ! แกมันเลว! ไอ้ลูกเลว! ฉันไม่น่าปล่อยให้แกเกิดมา...ไม่น่าเลย” จากที่ตะคอกเสียงดังจนแทบไร้เสียง กลับกลายเป็นก้มหน้าสะอึกสะอื้นเหมือนคนเสียใจอย่างหนัก

ภีมภัทรไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่หันหน้าไปหาจักรพรรดิเพื่อถามว่าจริงหรือเปล่า ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ของคนสำคัญทำให้เขาหวาดกลัวไม่น้อย แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับจ้อง ชายหนุ่มก็หันมาหาแล้วยกยิ้มอ่อนโยน

“เห็นหรือเปล่าว่าพี่ก็ไม่ใช่คนดี”

มือที่จับกันไว้แน่นในคราแรกยามนี้ตกอยู่ข้างลำตัวของคนทั้งคู่ ราวกับมีเส้นบางๆ กั้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ จักรพรรดิไม่ขยับกายแม้แต่นิดเดียว ตั้งใจแล้วว่าถ้าเด็กน้อยจะไปเขาก็จะไม่ห้าม หากความอบอุ่นที่ร่างกายกลับดึงสติให้กลับมาเข้าที่ ดวงตาคมที่มีประกายยินดีหลับลงช้าๆ ยามยกแขนกอดตอบคนที่เข้ามากอดเขาจากทางด้านหน้า

“กลับบ้านกันนะครับ”

“เด็กดี...ขอพี่พูดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นก่อนนะ” เขาลูบหัวทุยที่กระดุกกระดิกเป็นเชิงตกลงเบาๆ ก่อนจะเข็นรถไปด้านหน้าเมื่อภีมภัทรถอยห่างไปยืนอยู่ด้านหลัง

“อะไร...” มินตราเงยหน้ามองลูกชายแท้ๆ ที่เธอเกลียดชังด้วยสองตาแดงก่ำเมื่อเห็นล้อรถวีลแชร์เลื่อนมาหยุดลงตรงหน้า ใจคิดว่าเมื่อสบกับดวงตาคู่นั้น มันคงจะเยาะเย้ยและถากถางที่เธอก้าวพลาดจนกลายสภาพมาเป็นแบบนี้ แต่แล้วเมื่อเห็นว่าแท้จริงแววตานั้นเรียบนิ่งเพียงใด ใจที่โกรธแค้นก็ยิ่งลุกไหม้ “อย่ามามองฉันแบบนั้น! หยุดมองฉันเดี๋ยวนี้!”

“ตอนที่บอกคุณว่าถ้ายอมถอยไปแล้วผมจะลืมทุกอย่าง...” จักรพรรดิพูดเกริ่นด้วยน้ำเสียงเฉยชา ไม่สนใจท่าทีเกรี้ยวกราดของมารดา “ผมพูดจริง”

ไม่ได้คิดหลอกลวง ไม่ได้อยากล่อให้มาติดกับดักเพื่อเอาคืน ในตอนนั้นเขาสนใจแค่ความปลอดภัยของภีมภัทรเท่านั้น หากมารดายอมถอยเขาก็จะหยุดทุกอย่างจริงตามที่พูด เพราะงั้นถึงได้ลดการระวังตัวลงจริงๆ หลังเห็นว่าเธอยอมเอาคนออกไป

“ส่วนทุกเรื่องที่คุณพูดมาผมยอมรับว่าทำจริง เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องเสแสร้งอะไรอีก แต่เรื่องที่คุณไปพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายนั่นคุณทำตัวเอง ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใต้ดิน” ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอะไรเพราะจักรพรรดิเป็นคนหลอกให้เธอไปติดการพนันจริงๆ ตอนนั้นเขาอยากให้เธอไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่นจนไม่มีเวลามาสนใจแผนการทุกอย่างของตัวเอง แล้วเพื่อนมินตราที่ติดการพนันอยู่แล้วก็เป็นเป้าหมายชั้นดี แค่ยื่นเงินให้หน่อยฝ่ายนั้นก็ยอมทำตามทุกอย่างแม้แต่การพาเพื่อนไปเสียคน แต่ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใต้ดินจนถอนตัวไม่ขึ้น

“เป็นความผิดแก”

“ผมก็แค่รอบคอบ...คิดเอาไว้ว่าจะใช้เรื่องใต้ดินกับหลักฐานเรื่องบ่อนที่เกรย์มีเอาไว้ขู่ให้คุณอยู่เฉยๆ อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเส้นทางของผม เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นแม่ เรื่องที่โดนทำตอนเด็กๆ ในเวลานั้นผมไม่ได้นึกถึงแล้ว คิดขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่คุณทำให้ผมแกร่งขนาดนี้ อีกอย่าง...คุณไม่ได้น่ากลัวพอจะทำให้ผมหวาดกลัวจนต้องกำจัดทิ้ง”

“แก…” มินตรากัดฟันกรอดเมื่อได้เห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของคนตรงหน้า เธอเพิ่งมาเข้าใจวันนี้เองว่าลูกแท้ๆ ไม่เคยเห็นเธอเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ทั้งที่คิดมาตลอดว่าที่เธอยืนอยู่จุดนั้นได้เป็นเพราะเธอยังคุมและชักใยมันได้อยู่

จริงๆ แล้วเป็นมันที่ไม่ได้ใส่ใจเธอเลยสักนิด ไม่มีค่าแม้แต่จะกำจัด

“บางทีผมอาจจะติดนิสัยหลงตัวเองมาจากคุณ เพราะงั้นตอนที่เสียขาไปถึงได้เสียสติมากขนาดนั้น คำพูดที่คุณย้ำว่าไร้ประโยชน์มันดังก้องอยู่ในสมองเหมือนเอาเทปมาเปิดซ้ำ รู้ไหมว่ารอยยิ้มเลือดเย็นตอนที่ไล่ผมกลับมาที่นี่มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตมากขนาดไหน”

โดนตบตี โดนทำร้าย โดนกักขัง สารพัดความเลวร้ายที่คิดว่าจะไม่สนใจมันกลับมาหลอกหลอนจนต้องนอนฝันร้าย

“ผมมารู้ตัวเอาตอนนั้นเองว่าตัวเองไม่เคยลืมเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเลย ผมก็แค่โดนเงินกับอำนาจที่คุณกับพ่อเลี้ยงปลูกฝังใส่หัววางกองทับจนมันบดบังเรื่องเหล่านั้นไปจนหมด ถ้าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุจนเสียขาไป ถ้าไม่ได้กลับมาที่นี่ บางทีผมอาจกลายเป็นปีศาจไร้สติไปแล้วก็ได้” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มหยันราวกับจะเยาะเย้ยทั้งตัวเองและคนเจ็บ “เป็นเพราะได้กลับมาผมถึงตาสว่าง นั่นก็คงต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน”

“…”

“พอเอาความดีกับความชั่วของคุณหักล้างกันไปแล้ว ผมเลยได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรคุณไปมากกว่านี้ แต่จะให้คุณได้รับผิดตามสมควร”

“ฉันเกลียดแก” หญิงสาวยังคงมองลูกชายด้วยสายตาโกรธแค้น ใจเธอยังคงโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมัน

“ผมไม่ได้เกลียดคุณ”

“…” คล้ายวูบหนึ่งในแววตาชิงชังของมินตราปรากฏวี่แววของความหวั่นไหว แต่แล้วมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“แต่ก็ไม่ได้รัก...และไม่เคยรัก”

มันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป...

ภีมภัทรที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังมานานเดินเข้าไปหาแล้วช่วยเข็นรถวีลแชร์ออกมาเมื่อเห็นจักรพรรดิหันมาพยักหน้าให้ พวกเขาพากันออกไปด้านนอกซึ่งมีพวกเกรย์กำลังเก็บกวาดคนโดยการเอาตัวมามัดรวมกันที่พื้น สองหนุ่มเพื่อนซี้มองหน้ากันครู่หนึ่งราวกับกำลังสื่อสารกันทางสายตา สุดท้ายเกรย์จึงพยักหน้าเข้าใจ

“เดี๋ยวจัดการต่อให้เอง”

“ขอบคุณ” จักรพรรดิตอบแค่นั้นแล้วส่งสัญญาณให้คนด้านหลังพาไปที่รถโดยไม่สนใจใบหน้าแปลกใจสุดขีดของเกรย์กับประมุขที่มองตามหลัง

พวกเขาก็รู้อยู่หรอกว่าจักรพรรดิเปลี่ยนไปแล้ว แต่คำว่าขอบคุณที่ได้ยิน...จะให้ชินคงยาก

หากเป็นเวลาปกติ ภีมภัทรมักจะขับรถเองและช่วยประคองพี่จักรของตัวเองขึ้นรถก่อนเสมอ แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกแปลกๆ เมื่อต้องเป็นฝ่ายให้คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ช่วยประคองขึ้นรถก่อน หากให้ยอมรับตรงๆ คงต้องบอกว่ายังเจ็บอยู่โดยเฉพาะที่เท้าซึ่งเอาไปเหยียบลวดหนามมา แต่มันก็ไม่ได้มากถึงขนาดทนไม่ไหว มันเลยอดรู้สึกเขินๆ ตอนที่ได้รับความดูแลไม่ได้

“ขึ้นรถเองชินแล้วนะเนี่ย”

“ธรรมดา” จักรพรรดิยกยิ้มจางพลางหันไปขยี้หัวคนแซวเบาๆ หลังจากที่เขาพยุงตัวมาขึ้นรถได้ด้วยตัวเอง

บรรยากาศบนรถไม่ได้เงียบสงบมากนักแม้ครั้งนี้จะมีคนของพ่อคอยขับรถให้ ภีมภัทรลาวิบูลย์ไปตั้งแต่เช้าหลังจากอีกฝ่ายบอกว่าต้องบินกลับไปคุยงานต่อ ทั้งยังย้ำนักย้ำหนาว่าต้องให้คนงานช่วยขับรถให้เท่านั้นถ้ายังไม่หายดี เขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเพราะพี่จักรกดดันอยู่ด้านข้าง สุดท้ายเลยได้แต่ยอมรับแม้จะไม่ชินกับการมีคนมาขับรถให้นัก

“ภีม…”

“ครับ?” ภีมภัทรหันไปตอบรับแทบจะทันทีที่ได้ยินคนด้านข้างเรียก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจับความรู้สึกของพี่จักรเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างตอนนี้ก็รู้ได้เลยว่าในน้ำเสียงนั้นมีความไม่แน่ใจปนอยู่หลายส่วน

“ไม่กลัวพี่เหรอ”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะไม่เข้าใจคำถาม แต่เพียงไม่นานเมื่อเริ่มรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาเสียงใส

"ภีมคิดแค่ว่าพี่จักรเป็นพี่จักร เพราะงั้นจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก”

“นี่ลอกคำพูดพี่เหรอ” จักรพรรดิถามยิ้มๆ นึกอยากบีบแก้มคนพูดแต่ก็กลัวว่าจะไปโดนรอยช้ำเลยได้แต่ดึงมือเรียวมากุมไว้แล้วเขย่าไปมาด้วยความหมั่นไส้

“ก็เรากังวลเหมือนกัน คำตอบมันเลยออกมาเหมือนกันไง” ภีมภัทรตอบกลั้วหัวเราะ ริมฝีปากยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างยังไง “ทีนี้ตาภีมอธิบายบ้าง”

“หืม”

“ภีมยอมรับว่าอาจจะกลัวอยู่บ้างตอนเห็นคนพวกนั้นห้อยหัวร้องโอดโอยเลือดท่วมหน้า แต่ที่กลัวก็เพราะเห็นภาพพวกนั้น ไม่ได้กลัวเพราะพี่จักรเลยสักนิด และต่อให้ในอดีตพี่จักรจะเป็นยังไงภีมก็ไม่สน เอาตามตรงเลยนะ...ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำที่พี่จักรดีกับภีมแค่คนเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งหึงไง” ประโยคสุดท้ายเจ้าตัวแอบกระซิบกระซาบเหมือนกลัวว่าคนขับรถจะได้ยิน “ภีมไม่ใช่คนดี พี่จักรไม่ใช่คนดี ทีนี้เราก็อยู่ด้วยกันได้แล้วสิ”

จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ แทนคำตอบ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในเวลานี้อย่างไร เพราะนอกจากจะโล่งใจแล้วมันยังมีความรู้สึกตื้นตันแบบที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดขึ้นด้วย

“พี่จักร ภีมมีเรื่องอยากถามอีกอย่าง”

“อืม” เขาพยักหน้าแล้วบีบมือเรียวเบาๆ เป็นเชิงบอกให้พูดต่อ

“พี่จักร...โอเคกับเรื่องแม่จริงๆ ใช่ไหม” เพียงต้องการถามย้ำให้มั่นใจ ไม่อยากให้เก็บไปเครียดเพียงลำพังอีกแล้ว ชายหนุ่มมองใบหน้าคมคายนิ่งงันเพื่อจับสังเกต ขอเพียงมีความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้นเขาก็จะรู้ได้ในทันที แต่จักรพรรดิเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่มีวี่แววของความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้นขณะที่เอ่ยถ้อยคำออกมา

“แบบนี้ดีที่สุดแล้วภีม”

มันเป็นคำตอบที่ไม่เหมือนคำตอบ แต่กลับชัดเจนมากจนสามารถลบเลือนทุกคำถามที่เหลือในใจภีมภัทรไปได้จนหมด

ไม่ใช่ว่าโอเคหรือไม่โอเค หากสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ถูกเลือกแล้วว่าดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ผูกพันแล้วอย่างไร เป็นมารดาแล้วอย่างไร สำหรับจักรพรรดิมินตราเป็นเพียงผู้ให้กำเนิด สำหรับมินตราจักรพรรดิเป็นเพียงหุ่นเชิด ระหว่างพวกเขาไม่มีความรัก ความห่วงใย หรือความรู้สึกดีๆ ให้กันตั้งแต่แรก สิ่งที่เหลือทิ้งไว้จึงมีเพียงร่อยรอยของสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกที่ดูเลือนรางเต็มที

“ไม่ต้องห่วงหรอก” แม้การได้มาอยู่กับภีมภัทรจะทำให้เขาอ่อนโยนขึ้นเพียงใด แต่มันก็ไม่ได้มากพอจะเผื่อแผ่ไปให้ใครได้มากมาย “เขาไม่ได้สำคัญพอจะทำให้พี่คิดมาก”

“อื้อ”

“แล้วเรื่องทีมรักษาความปลอดภัยที่เราอุตส่าห์ไปจ้างมาน่ะว่ายังไง” จักรพรรดิเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยให้ความสนใจกับเรื่องมินตรามากนัก ถึงภีมภัทรจะเข้มแข็งแต่เขาก็ยังกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับไปนึกถึงช่วงเวลาแย่ๆ อีกอยู่ดี

“โทรไปยกเลิกเรียบร้อยแล้ว”

“ดีแล้ว พี่ไว้ใจคนของเกรย์มากกว่า เดี๋ยวให้พวกนั้นอยู่ด้วยสักพักแล้วกัน”

“โอเคครับ”

ในเวลาที่รถเข้ามาจอดในสถานที่ที่คุ้นเคยอีกครั้ง ภีมภัทรถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อดคิดไม่ได้ว่าในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาห่างบ้านไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันอาจจะหนักหนาพอสมควรสำหรับคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวแบบนั้น แต่นึกถึงเพียงแค่วูบเดียวชายหนุ่มก็ตัดสินใจทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง เพราะถึงอย่างไรพี่จักรก็ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หายไปแบบที่นึกกลัว

“พี่จักร?” คนตัวเล็กกว่าเรียกเสียงงุนงงเมื่อแขนถูกรั้งไว้ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถ จักรพรรดิไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่เขาหันไปส่งสัญญาณให้คนขับรถออกไปก่อน เมื่อเหลือกันเพียงสองคนแล้วจึงหันมาเผชิญหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“มานี่สิ”

“อะไรเหรอ”

“มานี่” คนพูดอ้าแขนออกกว้าง สองมือกระดิกเรียกยิกๆ

“พะ...พี่จักร”

ภีมภัทรผู้ไม่มีภูมิต้านทานผู้ชายที่ชื่อจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อยขยับกายถอยหลัง ใบหน้าแดงเถือกแทบจะทันทีที่เข้าใจความหมายของคำว่ามานี่ที่อีกฝ่ายว่า

“ภีม”

“ครับ...”

“มาให้พี่กอดหน่อย” คนจะกอดยังคงขยับมือไปมา คล้ายจะแอบเอนตัวเข้าหามากขึ้นทีละน้อยโดยไม่ให้เด็กขี้อายรู้สึกตัว

“พี่จักรหาเรื่องฆ่าภีมอีกแล้วเหรอ” ภีมภัทรขยับตัวไปจนชิดประตูรถ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแน่นราวกับต้องการสะกดกลั้นอารมณ์และหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิดของตัวเอง ขนาดยังไม่ได้กอดเขายังเป็นขนาดนี้ คงไม่ต้องบอกว่าถ้าได้กอดจะขนาดไหน

“เมื่อวานก็กอด เมื่อเช้าก็กอด”

“ไม่เหมือนกัน!” ตอนนั้นเขาไม่มีสมาธิ จิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น จะเรียกว่ากำลังเผลอแล้วถูกกอดก็คงใช่ เพราะแบบนั้นมันเลยไม่ได้เขินมากเหมือนเวลามาขอกันตรงๆ แบบนี้

“ทำไมดื้อแบบนี้นะ” จักรพรรดิบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนอาศัยจังหวะที่อีกคนขมวดคิ้วรวบร่างโปร่งเข้ามากักขังไว้ในอ้อมแขน นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าเด็กน้อยจะเกร็งจนลืมหายใจหรือเปล่า เพราะร่างกายอุ่นๆ กับกลิ่นหอมเฉพาะตัวมันดึงสติของเขาไปจนหมด

“พี่จักร...” ภีมภัทรอยากจะผลักตัวต้นเหตุที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำจนเหมือนจะหายใจไม่ทันออกไปให้ไกล แต่เพราะไม่กล้าพอจะทำร้ายพี่จักรเลยได้แต่ทรมานอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นเหมือนเดิม

ว่าแต่...ผลักมันนับเป็นการทำร้ายหรือเปล่านะ

“เลิกดื้อแล้วกอดกลับสิ”

เดี๋ยวๆ สั่งแบบนี้ก็ได้เหรอ...แล้วสองแขนนี่มันของเขาหรือของพี่จักรกันแน่ รู้ตัวอีกทีก็กอดเขาตามคำสั่งเฉยเลย

“พี่จักรแกล้งภีม”

จักรพรรดิหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงอ้อมแอ้มจากคนท่ีซุกหน้าอยู่กับอกตัวเอง เขาไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองแกล้ง แต่เลือกที่จะลูบหัวทุยเบาๆ แล้วโยกตัวไปมาแทน

“เด็กดี”

“อย่าพูดแบบนั้นนะ” ยิ่งพูดเสียงยิ่งหาย ภีมภัทรกอดกลับให้แน่นขึ้นแล้วมุดหน้าลงกับอกแกร่ง จะยังไงก็ไม่มีทางยอมให้พี่จักรเห็นหน้าตัวเองตอนนี้แน่ๆ

เมื่อบรรยากาศกลับไปเงียบอีกครั้งเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูดอะไรออกมา ภีมภัทรจึงเริ่มผ่อนคลายแล้วหลับตาลงช้าๆ เพื่อซึมซับความอบอุ่นในตอนนี้เอาไว้ หากไม่นับอาการตื่นเต้นออกนอกหน้ากับใจที่เหมือนจะระเบิดออกมา เขาคงต้องยอมรับว่าอ้อมกอดของพี่จักรให้ความรู้สึกดีมากจริงๆ เพราะมันทั้งอบอุ่นและปลอดภัย ทำให้ลืมได้ทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้าย ราวกับเป็นอ้อมกอดที่ช่วยส่งผ่านความรู้สึกมากมายให้แก่กันและกัน

“พวกเขาเหยียบกุหลาบของภีมหมดเลย” เด็กน้อยเริ่มเอาเรื่องที่เก็บไว้ในใจออกมาฟ้อง

“ค่อยๆ ปลูกใหม่ก็ได้”

“ภีมปลูกมาตั้งนาน อยากให้พี่จักรมาเห็นตอนออกดอกสวยๆ”

“พี่ก็มีกุหลาบของพี่อยู่นี่แล้วไง” คนปลอบโยกตัวเองไปมาพลางกระชับอ้อมแขนเพื่อบอกให้รู้ว่ากุหลาบที่ว่าหมายถึงใคร

“ฮื่อ”

“ภีม…”

“ครับ”

จักรพรรดิผละตัวออกเล็กน้อยก่อนกดจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน ไม่ต้องรอให้ภีมภัทรตกใจก็ดึงเข้ามากอดไว้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงบ่นงึมงำดังมาจากเด็กน้อยขี้งอแง แต่นาทีนี้ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาก้มหน้าลงจนลมหายใจแนบชิดใบหูแดงแจ๋ ไม่รับรู้แม้คนในอ้อมกอดสะดุ้งและพยายามถอยหนี

“ขอบคุณที่ปลอดภัยกลับมา”

ขอบคุณมากจริงๆ...


——————————




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 22-05-2018 20:40:34
กุหลาบของพี่จักรกลับคืนสู่อ้อมอก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 22-05-2018 21:24:30
 :mew3: จะจบแล้วใช้มั้ยอ่ะ ตัวร้ายโดนจัดการไปหมดแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 23-05-2018 00:24:50
“พี่ก็มีกุหลาบของพี่อยู่นี่แล้วไง”

ตายเพราะประโยคนี้เลย  :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 23-05-2018 03:25:22
หวังให้พี่จักรเดินได้เหมือนเดิมในเร็ววัน น้องภีมคงดีใจเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[17]==[P.6]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 24-05-2018 19:09:55
-18-


ระยะเวลาแห่งการรักษาและฟื้นฟูแบบที่ไม่ต้องระมัดระวังด้านหลังเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน มาถึงตอนนี้จักรพรรดิแทบจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ยามอยู่กับภีมภัทรสองคน เขาอ่อนโยนมากขึ้น ขี้แกล้งมากขึ้น สุขภาพก็ดีขึ้นตามไปด้วย หากสิ่งที่วิทยาเคยเห็นเมื่อเดือนสองเดือนก่อนคือบรรยากาศอ่อนโยนเหมือนโลกนี้มีเพียงเราสอง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็คงเป็นจักรวาลนี้มีเพียงเราสองแทน แม้แต่เขายังได้อานิสงส์จากอารมณ์ดีๆ ของคุณจักรพรรดิอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็ได้พูดคุยด้วย บางครั้งก็ได้รับคำขอบคุณ ชีวิตดีจนไม่รู้จะดียังไง ถึงแม้ช่วงแรกๆ จะกลัวบรรดาคนชุดดำที่ตามติดทั้งคู่เป็นตังเมอยู่ไม่น้อยก็เถอะ

จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นเลยนี่นา...

“ไอ้ภีม พวกพี่ๆ ชุดดำเขาไปไหนกันหมดวะ” นักกายภาพหนุ่มแอบอาศัยจังหวะที่คนไข้ของตัวเองพยายามเกร็งขาออกกำลังหันไปหาเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบถาม ว่าแต่ไอ้บ้านี่กะจะจ้องคุณเขาไม่ให้ละสายตาเลยหรือไงวะ

“กลับไปหมดแล้ว” ภีมภัทรตอบโดยไม่หันไปมอง ริมฝีปากยังคงยกยิ้มจางแบบที่วิทยาอยากจะกลอกตามองบนใส่ดูสักที ยิ่งถ้าตบหลังมันแรงๆ เหมือนเมื่อก่อนได้ด้วยจะดีมากเลย

ติดที่กูไม่กล้านี่แหละ...

คนโหดเขาดูอารมณ์ดีขึ้นแต่ก็ใช่ว่าตาจะหายดุตามไปด้วยนี่หว่า ขืนไปทำอะไรให้คุณภีมไม่พอใจต้องโดนมองแรงใส่แน่

“วิทยา”

นี่ไง...พัฒนาด้วยการเรียกชื่อแล้วด้วย

“ครับผม” วิทยาอมยิ้มภูมิใจยามขยับตัวดุ๊กดิ๊กเข้าไปหาคนไข้

“ไปที่ราวเลยไหม” จักรพรรดิถามขณะหลับตาให้เด็กน้อยของตัวเองช่วยเช็ดหน้าให้เหมือนทุกครั้ง

“ครับ ทำแบบเดิมเลย”

สามหนุ่มพากันเดินไปที่ราวจับเหมือนทุกครั้ง และแทบจะทันทีที่เดินมาถึง ไม่ต้องรอให้วิทยาบอกอะไรจักรพรรดิก็พยุงตัวขึ้นจับราวแล้วทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว ในยามนี้ชายหนุ่มแทบไม่ต้องให้คนคอยประคองแล้ว เพราะเขารู้ลิมิตตัวเองเป็นอย่างดี เมื่อไหร่ที่ไม่ไหวจะถอยกลับไปนั่งลงบนวีลแชร์ด้วยตัวเอง ไม่ฝืนให้ใครเป็นห่วง

“คุณคิดว่าการจับราวของตัวเองแปลกไปหรือเปล่าครับ” วิทยาที่ยืนอยู่ด้านข้างถามยิ้มๆ

“อืม...เหมือนจะไม่ได้ใช้แรงมากเท่าเดิม”

“นั่นเพราะท่อนล่างของคุณช่วยรับน้ำหนักมากขึ้นแล้ว ทีนี้ลองเดินสั้นๆ ดูนะ กลับไปใช้แรงที่มือเหมือนเดิมก่อนก็ได้”

จักรพรรดิทำตามคำบอกโดยการจับราวไว้แน่นและพยายามลากเท้าเดินไปด้านหน้าในระยะสั้นๆ ถึงจะแค่นิดเดียวที่เท้าของเขาลากไปแต่มันก็ทำให้รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นบนใบหน้า ชายหนุ่มหันไปหาภีมภัทร ดวงตาทอประกายดีใจชัดเจน ยิ่งได้เห็นเด็กน้อยส่งยิ้มดีใจไม่แพ้กันกลับมาให้เขาก็ยิ่งรู้สึกดี

“เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีมากเลย” วิทยาบอก “อีกไม่นานคุณต้องหายดีแน่นอนครับ”

คำพูดนั้นไม่ใช่การพูดปากเปล่าหรือให้กำลังใจเฉยๆ แต่เป็นคำพูดแฝงความจริงใจและมั่นใจจนเต็มเปี่ยมของนักกายภาพบำบัดคนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือซึ่่งช่วยให้คนฟังมีกำลังใจขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ได้แต่แสดงความเป็นห่วงอยู่ด้านข้าง

“คุณจักรพรรดิพักก่อนครับ” วิทยาเดินเข้าไปประคองคนตัวสูงให้กลับไปนั่งลงบนวีลแชร์ ท่ามกลางความงุนงงของคนไข้ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น

“ยังไม่ถึงชั่วโมงเลย”

“วันนี้ผมจะพาไปทำกิจกรรมน่ะ” หนุ่มนักกายภาพอมยิ้มแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อน

“ไปกันเถอะครับพี่จักร”

“กิจกรรมอะไร ภีมก็รู้อยู่แล้วเหรอ” จักรพรรดิหันไปถามคนที่เดินเข้ามาเข็นรถให้เขา ใบหน้าคมคายแสดงออกชัดเจนถึงความไม่เข้าใจ และยิ่งทวีความไม่เข้าใจเข้าไปอีกเมื่อการพาไปทำกิจกรรมที่ว่าคือการพาเดินทะลุไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ไม่ใช่พาออกนอกโรงพยาบาลแบบที่คิด

“วิทย์มันบอกภีมตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ภีมไม่บอกพี่จักร” ภีมภัทรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังเหมือนนึกสนุก ส่วนคนฟังลงเสียงหืมออกมาเบาๆ

“เดี๋ยวนี้แอบมีความลับกับพี่เหรอ”

“เปล่านะ” คนโดนกล่าวหารีบปฏิเสธ “แค่อยากเซอร์ไพรส์เฉยๆ”

“ถ้าไม่เซอร์ไพรส์อย่างปากว่านะ” เขาแกล้งขู่เล่นๆ จนคนด้านหลังบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ออกมาอยู่คนเดียว ภีมภัทรหน้างอ รู้ตัวอยู่แล้วว่าโดนแกล้งแต่ก็อดกังวลตามคำพูดไม่ได้ และในระหว่างที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรออกไปนั่นเอง...

“ถึงแล้วครับ” เสียงของวิทยาทำให้คนสองคนที่คุยกันงุ้งงิ้งแบบไม่เห็นหัวคนเดินนำกลับมาได้สติอีกครั้ง คนหนึ่งกลับไปอมยิ้มเพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนพามาที่ไหน แต่กับชายหนุ่มที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วยถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“สระน้ำ?”

ห้องขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในแผนกกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลที่วิทยาพามาคือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ในตัวตึก บริเวณรอบสระมีเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับผู้ที่มาทำกายภาพพร้อมครบทุกอย่าง ทั้งยังปูพื้นรอบขอบสระด้วยยางหนาที่จะช่วยให้คนไข้สามารถลงน้ำได้โดยง่ายและไม่เป็นอันตราย แต่ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าความสงสัยที่ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม

“การทำกายภาพในน้ำก็เป็นการรักษาอย่างหนึ่งครับ ยิ่งสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องจิตใจ การได้มาเล่นน้ำอาจทำให้สดชื่นหรือมีความสุขขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายตามไปด้วย” วิทยาหันหน้ามาอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “สำหรับกรณีของคุณจักรพรรดิผมคิดไว้แล้วว่าอยากจะให้ทรงตัวได้เสียก่อน รวมถึงลองปรึกษาภีมแล้วว่าอยากมาที่นี่ไหม พอตกลงกันได้เลยพาคุณมาที่นี่วันนี้”

“เนียนเลยนะเด็กน้อย” จักรพรรดิหันไปบอกคนที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ด้านข้าง

“ถ้ายังไงเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมก็จะไปเปลี่ยนเหมือนกัน”

เมื่อวิทยาชี้จุดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงแยกตัวไปอีกทาง ส่วนภีมภัทรหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าที่พกมาด้วยอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังชูกางเกงว่ายน้ำขาสั้นตัวใหม่เอี่ยมแบบไม่รัดรูปให้พี่จักรของตัวเองดูแบบอวดๆ อีกต่างหาก

“ภีมซื้อมาให้พี่จักรเรียบร้อยแล้ว”

“ร้ายนะเรา” เขารับกางเกงมาแล้วแอบหยิกแก้มขาวไปหนึ่งทีข้อหาทำตัวน่ามันเขี้ยว

“เดี๋ยวภีมนั่งดูที่ขอบสระนะ”

“เดี๋ยว” จักรพรรดิจับข้อมือเล็กไว้แน่น คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “ภีมไม่ลงสระด้วย?”

“ไม่ลง พี่จักรลงกับวิทย์สิ”

ดวงตาคู่สวยแสดงจุดยืนชัดเจนว่ายังไงก็ไม่ลงน้ำเด็ดขาด ต่อได้คนมองเขย่ามืออ้อนหน้าตายยังไงก็ไม่สนใจ จักรพรรดิเห็นดังนั้นเลยรู้ว่าเด็กน้อยกำลังพยายามทำใจแข็ง ชายหนุ่มลอบยิ้มมุมปาก ยอมปล่อยมือเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หางตาแลเห็นชัดเจนว่าคนข้างกายแอบถอนหายใจ

คิดตื้นไปแล้วเด็กน้อย...

“จำได้ไหมวันที่ภีมให้พี่กินขนมหวาน...” เขาเริ่มเอาเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาเกริ่นเป็นหัวข้อ แต่ทำเอาคนเพิ่งโล่งอกตาโต “ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้บอกเลยนี่นะว่าจะเอาอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน”

“ทำไมยังจำได้อีกเนี่ย” ภีมภัทรโอดครวญ

“พี่ขอใช้สิทธิ์...ให้เด็กชายภีมลงน้ำด้วย” จักรพรรดิไม่สนใจอาการใดๆ ที่เด็กน้อยแสดงออก เขาแกล้งแกะกระดุมเสื้อเมื่อเห็นคนฟังตั้งท่าจะเถียง เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็หันหน้าหนีแล้วหุบปากฉับ “แล้วก็...ไม่ให้ใส่เสื้อ”

“เดี๋ยว...ทำไมต้องไม่ใส่เสื้อ” ภีมภัทรหันขวับมาถามด้วยความรวดเร็ว แต่แทบจะหันหนีไม่ทันเมื่อพี่จักรเล่นถอดเสื้อออกต่อหน้าต่อตา

“พี่ก็จะไม่ใส่เหมือนกันไง แล้วก็ไม่ต้องเถียงว่าไม่มีชุดเปลี่ยน เพราะพี่เห็นแล้วว่าภีมหยิบกางเกงมาสองตัว ที่สำคัญมันเป็นฟรีไซซ์” หมายความว่าใส่ได้ทุกคน เลือกคิดจะเถียงเรื่องขนาดตัวไปได้เลย

“ร้ายกาจ”

“หึ”

จักรพรรดิหัวเราะเมื่อเห็นเด็กน้อยคว้ากางเกงไปทั้งหน้าบึ้ง เมื่อบังคับสำเร็จแล้วเขาจึงหันมาเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเอง แค่ใส่กางเกงว่ายน้ำขาสั้นเป็นอันจบ ไม่รู้ว่าที่เด็กชายภีมไม่อยากลงน้ำเป็นเพราะไม่อยากเปลือยท่อนบนหรือไม่อยากเห็นเขาเปลือยท่อนบนกันแน่ แต่ที่ตลกก็คือ...เจ้าเด็กนี่ไม่รู้หรือไงว่าใส่เสื้อลงน้ำก็ได้ แล้วทำไมถึงหยิบกางเกงมาให้เขาตัวเดียว

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาแบบนั้นเลย ภีมแค่ไม่อยากโดนแกล้งเถอะ” ภีมภัทรหันมาบอกความจริงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็ตามที่จักรพรรดิคิด เขามั่นใจว่าถ้าได้ลงน้ำด้วยกัน ยังไงพี่จักรก็ต้องหาเรื่องแกล้งแน่ๆ ข้อหาทำอะไรไม่ปรึกษา

“รู้ดีนะ”

“นี่ใคร...นี่ภีมนะ” คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหันมายืดอกอวดๆ แต่เพราะเปลือยท่อนบนอยู่จักรพรรดิเลยมีเวลาไล่สายตาสำรวจร่างกายขาวผ่องเหมือนไม่เคยออกแดดของคนลืมเขิน

“นั่นคนหรือก้างปลา”

“พี่จักร!” ภีมภัทรถลึงตา แทบจะเอาเสื้อในมือฟาดใส่ปากคนพูด

ใช่สิ...ใครจะไปหุ่นดีเหมือนพี่ ขนาดเพิ่งกลับมามีเนื้อมีหนังออกกำลังกายแป้บเดียวก็มีกล้ามเนื้อดูดีแล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ โดยเฉพาะไอ้หน้าท้องลอนๆ นั่น อยากจะจิ้มให้แตกเหลือเกิน

“ไม่แกล้งแล้ว ไปเถอะ วิทยารออยู่นั่นแล้ว” ชายหนุ่มพยักพเยิดให้หันไปมองนักกายภาพส่วนตัวของเขาที่ยืนทำหน้าตาขี้เผือกอยู่ริมขอบสระ ภีมภัทรเห็นดังนั้นจึงรีบหันไปเข็นรถให้คนป่วย

เมื่อมาถึงจุดที่วิทยาอยู่แล้วเขาก็ปล่อยให้จักรพรรดิพยุงตัวลงจากเก้าอี้ด้วยตัวเอง และในวินาทีนั้นเองที่สายตามองเห็นรอยแผลเป็นมากมายที่แผ่นหลังกว้างของพี่จักร ริมฝีปากบางเผลอขบเม้มเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ ต่อให้ผ่านมาสักพักแล้วหลังจากเคลียร์ปัญหาจบไป แต่ภีมภัทรก็ยังไม่เคยลืมเรื่องราวเหล่านั้น เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องร้ายๆ ที่ต้องเจอ ลืมไปหมดแล้วแม้กระทั่งความจริงที่ว่าในเวลานั้นตัวเองหวาดกลัวเพียงใด หากสิ่งที่ทำให้คิดมากจนถึงทุกวันนี้มีเพียงเรื่องราวของพี่จักร บาดแผลบนแผ่นหลังกว้างคือสิ่งที่ตอกย้ำให้เขารู้ว่าพี่จักรเคยเจ็บขนาดไหน แล้วกับตัวพี่จักรเองล่ะ เขาจะ....

ตูม!

เสียงของมีน้ำหนักหล่นลงน้ำดังโครมทำให้ภีมภัทรที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ งุนงงไปชั่วขณะ แต่แล้วเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจไม่ออกเขาถึงได้รู้...

“พี่...แค่ก...พี่จักร!”

รู้ว่าไอ้ที่หล่นน้ำไปคือตัวเองนี่แหละ!

“รอบที่สองแล้วนะ!”

ครั้งนั้นก็เล่นทีเผลอผลักเขาลงน้ำหน้าตาเฉย มาครั้งนี้ยังอุตส่าห์ผลักเขาลงมาก่อนอีก ไอ้เพื่อนเลวก็ไม่คิดจะช่วยอะไรเลยสักนิด มัวแต่นั่งยองๆ ขำอยู่ริมขอบสระ ภีมภัทรกัดฟันกรอด ในเมื่อเอาคืนกับพี่จักรไม่ได้ก็เอาไอ้วิทย์นี่แหละวะ!

“มานี่เลยมึง!”

ตูม!

“ไอ้ภีม! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” วิทยาที่ตกลงมาในสระทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดร้องงอแง กำลังจะคิดว่าโชคดีที่ไม่ได้หล่นลงมาหน้าทิ่มแบบไอ้ภีมเลยไม่สำลัก แต่ยังไม่ได้ทันได้ดีใจไอ้เพื่อนข้างกายมันก็จับหัวเขากดน้ำหน้าตาเฉยแบบไม่กลัวทำคนตาย

“แดกน้ำเข้าไปเยอะๆ เลย”

“แค่ก...แค่ก...ไอ้ภีม! ไอ้คนเลว!” นักกายภาพหนุ่มหมดสภาพที่เพิ่งโงหัวขึ้นมาจากน้ำได้ชี้หน้าด่าเพื่อนด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด สายตามองสอดส่องไปรอบกาย เมื่อแน่ใจว่าในยามนี้ไม่มีใครอยู่ด้วยนอกจากพวกเขาสามคน วิทยาก็ควักน้ำสาดหน้าเพื่อนหน้าตาเฉยทั้งยังหัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจใคร

“ไอ้วิทย์ มึงเป็นบุคลากรของโรงพยาบาล ทำกับญาติคนไข้แบบนี้ได้ไง”

“ไม่มีคนเห็นไม่นับโว้ย!”

“มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม!”

“มึงจะทำไมกูไอ้แห้ง!”

จักรพรรดิทอดสายตามองเด็กน้อยของเขาเล่นกับเพื่อนทั้งรอยยิ้ม แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องที่ภีมภัทรจ้องแผ่นหลังของตัวเอง เด็กคนนั้นชอบคิดมาก ต่อให้พูดอย่างไรก็จะคิดมากอยู่อย่างนั้น สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงการหาเรื่องดึงดูดความสนใจของเจ้าตัวเอาไว้ และมันไม่ใช่แค่ครั้งนี้ เวลาอยู่ในห้องด้วยกันแล้วเขาเผลอเปิดหลังให้เห็น เสียงพูดคุยจ้อแจ้ก็จะค่อยๆ เงียบลงไปทุกทีพร้อมกับที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มของคนพูดเหือดแห้งลงเรื่อยๆ เหมือนกัน ในคราแรกชายหนุ่มคิดว่าถ้าภีมภัทรเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรก็คงจะเลิกคิดไปเอง แต่ดูแล้วคงไม่ใช่...เห็นทีต้องทำอะไรสักอย่าง

“คุณจักรพรรดิเชิญเลยครับ” นักกายภาพที่เริ่มรู้หน้าที่ของตนเองหันมาหาคนไข้ในความดูแลเมื่อนึกขึ้นได้ เขามองภาพคนไข้ค่อยๆ ขยับเท้าทีละนิดมาลงน้ำด้วยความภาคภูมิใจ หันไปด้านข้างเห็นเพื่อนทำตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้แล้วก็ตื้นตันตามไปด้วย

วิทยาจำได้ดีว่าวันแรกที่ได้พบกันคุณจักรพรรดิเย็นชาขนาดไหน เวลาทำกายภาพเหมือนจะทำตาม แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ใส่ใจลงมาเต็มร้อย ราวกับเจ้าตัวยังไม่ค่อยเชื่อนักว่าจะหายดีได้จริงๆ แต่แล้วเมื่อภีมเข้าไปหา จับยกขาลีบในเวลานั้นด้วยความตั้งใจไม่ย่อท้อ ประกายตาไร้ความรู้สึกของคนคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จวบจนมาถึงวันนี้ที่ทุกคนต่างยิ้มให้แก่กัน

ความพยายามไม่เคยสูญเปล่า...

ต่อให้พยายามทำอะไรสักอย่างแล้วไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่จะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอนถ้าเราพยายามมากพอ

“รู้สึกไหมครับว่าเวลาอยู่ในน้ำแล้วขยับได้ง่ายกว่า”

“อืม”

“นั่นเพราะมีน้ำช่วยพยุงน้ำหนักเราเอาไว้ส่วนหนึ่ง คุณจักรพรรดิจับมือไอ้ภีมแล้วเดินตามมันไปเรื่อยๆ นะครับ” วิทยาอธิบายแล้วผลักเพื่อนเข้าไปทำหน้าที่แทน เขาไม่ได้ขี้เกียจหรือไม่อยากทำหน้าที่ เพียงแต่คิดว่าคุณจักรพรรดิต้องรู้สึกดีกว่าแน่ๆ หากไอ้ภีมเป็นคนจับมือนั้นไว้ “มึงหันหน้าเข้าหาเขาแล้วพาเดินถอยหลังทีละนิด ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูช่วยกำกับอยู่ด้านข้างเอง”

ภีมภัทรจับมือใหญ่ทั้งสองข้างไว้ตามคำสั่งเพื่อน เขาก้มลงมองมือตัวเองนิ่งงันเพราะไม่กล้าสบดวงตาแวววาวเป็นประกายของคนตรงหน้า อีกอย่าง...พี่จักรเวลาเปียกไปทั้งตัวมันทำให้รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้

“มองแต่น้ำแบบนี้จะพาพี่ล้มไหม” จักรพรรดิถามเสียงกลั้วหัวเราะ

นั่นไง...เริ่มแกล้งแล้วแน่ๆ

“ไม่ล้มหรอก”

ห้ามหลงกลเด็ดขาด ยิ่งแสดงออกเขาจะยิ่งได้ใจ ทีนี้โดนเล่นหนักแน่

“ต้องล้มแน่ๆ” คนขี้แกล้งยังพูดต่อ

“ไอ้ภีม มองพี่เขาด้วยสิวะ เดี๋ยวล้มไปทำไง” วิทยาที่ยืนมองอยู่ด้านข้างเอ่ยแทรก ส่วนหนึ่งเป็นจริงตามที่เขาพูด แต่อีกส่วนคือคำสั่งที่ส่งผ่านมาทางสายตาของคนตัวโต เรื่องแกล้งไอ้ภีมนี่ขอให้บอก

ภีมภัทรที่รู้ตัวว่าโดนรุมอยากจะขัดแต่ก็ขัดไม่ได้ เพราะเสียงของเพื่อนเขาดูจริงจังจนไม่รู้จะใช้อะไรเถียง ถึงจะรู้ว่ามันแกล้งทำก็เถอะ ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ได้สบดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น ดวงตาคู่สวยก็สั่นไหวจนใจพาลเต้นผิดจังหวะตามไปด้วย

“ใจเต้นแรงจัง”

“พี่จักรเดินได้แล้วครับ” ภีมภัทรหน้าบูดเบี้ยวขึ้นทุกขณะแม้จะยังตัวแดงหน้าแดงไม่หาย เห็นแบบนั้นคนขี้แกล้งเลยยอมหยุดพูด เขาทุ่มสมาธิไปกับการพยายามเดินโดยอาศัยน้ำและมือเรียวของอีกคนช่วยประคอง

แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ที่ทำได้เพียงในน้ำ แต่มันก็รู้สึกดีมากจริงๆ

“ไม่ต้องเกร็งมากนะครับคุณจักรพรรดิ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเครียด” วิทยาที่อยู่ด้านข้างคอยกำกับดูแลทั้งคู่เป็นอย่างดี เวลาเห็นจักรพรรดิทำท่าจะเซหรือหมดแรงก็รีบเข้าไปช่วย ผ่านไปสักพักจึงพาทั้งคู่มานั่งพักอยู่ริมขอบสระ และในเวลานั้นเองที่ได้รับสัญญาณเร่งด่วนเป็นคำสั่งผ่านทางดวงตาคมกริบ

“วิทยาจะไปไหนไม่ใช่หรือไง” ตัวต้นเรื่องเริ่มเปิดบทสนทนาเสียงเรียบ

“เออ...ใช่ครับ มึงดูคุณจักรพรรดิก่อนนะไอ้ภีม ห้ามไปกลางสระตอนกูไม่อยู่ล่ะ” พูดจบหนุ่มนักกายภาพก็รีบวิ่งหนีไปที่ห้องแต่งตัวแทบจะทันที ไม่รอให้ภีมภัทรอ้าปากถามอะไรสักคำ

“อะไรของมัน...”

“คงมีธุระ”

“ว่าแต่พี่จักรยังยืนไหวไหม ขึ้นไปนั่งบนขอบสระดีกว่า เดี๋ยวภีมช่วย” คนขี้เป็นห่วงเริ่มพูดเมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มจะยืนอยู่ในน้ำนานเกินไป

“ไม่เป็นไร ถ้าพิงขอบสระแบบนี้คงยืนได้อีกนาน” จักรพรรดิดึงมือคนตัวขาวให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม เห็นใบหน้าเหมือนเด็กตกใจนั่นแล้วนึกอยากแกล้งขึ้นมาทุกที ไหนจะหูแดงๆ กับแก้มแดงๆ นั่นอีก

“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ” ภีมภัทรบ่นอุบอิบแต่ก็ยังเคลื่อนกายเข้าหาตามแรงดึง ดีที่ยังไม่ลืมขืนตัวนิดๆ หน่อยๆ ไม่ให้ตัวไปโดนอีกฝ่ายเข้าเสียก่อน

“ทีนี้ก็ได้รู้สักทีว่าเด็กชายภีมตัวเล็กกว่าพี่ขนาดไหน”

“หา…”

“ไม่สิ...แบบนี้ยังไม่ชัด” จักรพรรดิส่ายหน้า อาศัยจังหวะที่เด็กชายภีมทำหน้างงหมุนตัวอีกฝ่ายแล้วรั้งเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว “อืม...ค่อยชัดหน่อย”

ภีมภัทรทำหน้าเอ๋ออยู่ครู่ใหญ่ จวบจนเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักของคางคนตัวสูงที่วางทับลงมาบนหัวเขาถึงรู้สึกตัวว่าตอนนี้อยู่ในสภาพแบบไหน...แผ่นหลังที่แนบสนิทกับแผ่นอกกว้างของคนด้านหลังร้อนผะผ่าว และเพียงไม่นานความร้อนนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกายจนตัวสั่นสะท้าน หัวใจที่เพิ่งได้พักกลับมาเต้นกระหน่ำจนผิดปกติอีกครั้ง หากคนโดนกอดกลับทำได้เพียงเม้มปากแน่นเพื่อควบคุมอาการสั่นไหวของตัวเอง

“ภีม…”

“อือ”

“หลังของพี่เคยแบกรับสิ่งต่างๆ มามาก” คนฉวยโอกาสแอบกดจูบเบาๆ บริเวณกลางหัวเล็กขณะเริ่มพูด “พี่เคยคิดว่ารอยแผลบนหลังพวกนั้นมันเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เป็นสิ่งที่คอยย้ำให้รู้ว่าตัวเองเคยอ่อนแอขนาดไหน แต่พอเรื่องต่างๆ ผ่านพ้นไป เมื่อพี่ได้พบภีม มันเลยกลายเป็นแค่บาดแผลเตือนใจ กลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร่างกายของพี่เท่านั้น”

“…”

“พี่ไม่อยากให้ภีมเก็บมาคิดมาก พี่อยากให้ภีมรับมันให้ได้เหมือนที่พี่รับได้ และมองมันเป็นส่วนหนึ่งของพี่ที่ไม่ได้แตกต่างจากร่างกายส่วนอื่นๆ” เขาดันคนตัวเล็กกว่าออก ก่อนหมุนให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “ภีมทำให้พี่ได้ไหม”

ภีมภัทรเม้มปากแน่นทั้งที่ขอบตาสองข้างแดงก่ำ ยิ่งได้อยู่กับพี่จักรมากเท่าไหร่ นับวันเขายิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น พี่จักรไม่ใช่คนพูดเยอะ แม้ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนเวลาอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งนิสัยเดิมไป หากทุกครั้งที่ภีมภัทรมีปัญหาหรือเกิดคิดมากขึ้นมา ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ มักถูกดูออกอยู่เสมอ แล้วก็เป็นคนคนนี้ที่ยอมพูดประโยคยาวๆ ออกมาเพื่ออธิบายให้เข้าใจกันทุกที

“พี่จักร”

“หืม”

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คิดมาก” สีหน้าและน้ำเสียงรู้สึกผิดน่าเอ็นดูทำให้คนมองยกยิ้ม จักรพรรดิพยักหน้ารับ เฝ้ามองว่าเจ้าของดวงตาจริงจังคู่นั้นจะทำอะไรต่อ และเด็กน้อยก็ทำให้เขาแปลกใจเมื่อเจ้าตัวขยับเข้ามาจนชิดด้วยตัวเอง ก่อนจะสอดแขนเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่น กลายเป็นชายหนุ่มเสียเองที่นิ่งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก

“ภีมทำให้พี่จักรได้ทุกอย่าง” เสียงพูดจริงใจดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสของมือเนียนที่ลากไปตามรอยแผลบนแผ่นหลังกว้าง ในคราวนี้จักรพรรดิเข้าใจทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เขาโน้มตัวกอดร่างโปร่งเอาไว้แน่น ใจนึกเป็นรอบที่ร้อยว่าโชคดีจริงๆ ที่เป็นภีม...โชคดีจริงๆ ที่เป็นเด็กน้อยของเขา

“ค่อก...แค่ก แค่ก”

ภีมภัทรรีบผละตัวออกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมอันไร้ซึ่งความเป็นธรรมชาติของคนที่หายไปนาน เด็กชายภีมของพี่จักรหน้าแดงหูแดงตัวแดง คราวนี้ไม่มีพื้นที่ไหนที่ไม่แดงเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่ได้ใส่เสื้อก็ยิ่งเห็นชัด ทำเอาคนที่อยู่ใกล้และเห็นการเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

“คือแบบ...หลบอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านานจนจะเป็นลมแล้วเลยต้องออกมาน่ะครับ” นักกายภาพหนุ่มที่เพิ่งไปหลบฉากหวานอยู่ในห้องแต่งตัวอธิบายเสียงอ่อย มือยกปาดเหงื่องกๆ ด้วยท่าทีเหมือนคนแก่ ภีมภัทรที่เพิ่งรู้ว่าเพื่อนกับคนสำคัญร่วมมือกันเลยจัดการยกตัวขึ้นจากน้ำไปกระชากแขนไอ้เพื่อนตัวดีลงน้ำเสียงดังตูมใหญ่

“ไอ้ภีม! เอาอีกแล้วนะมึง!”

“ไม่ถีบก็ดีแค่ไหนแล้ว” ว่าแล้วก็ทำท่าจะยกขาถีบเพื่อนจากใต้น้ำจริงๆ ติดที่จักรพรรดิรู้ทันโอบเอวบางลากเข้าหาตัวได้เสียก่อน

“ทำไมเอวมีอยู่นิดเดียว” ชายหนุ่มขยับมือไปมาเหมือนจะสำรวจเมื่อพบว่าเอวของเด็กน้อยมันบางกว่าที่เขาคิดเสียอีก เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็ลืมเรื่องจะเตะเพื่อน หันมาพยายามผลักคนข้างกายออกแทน เปิดโอกาสให้คู่หูคู่ใหม่ได้ส่งซิกขอบอกขอบใจกันเรียบร้อย

“ไอ้ภีม พาคุณเขาขึ้นก่อนเถอะ อยู่ในน้ำนานไปไม่ดี”

“อะ...เออใช่” ภีมภัทรทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง กลายเป็นลากพาไปที่บันไดทั้งที่อีกฝ่ายเกาะเอวไว้เสียอย่างนั้น “พี่จักรค่อยๆ ขึ้นนะ...แล้วมือก็ปล่อยได้แล้ว”

ทำท่าจะตีให้ปล่อยมือก็ไม่กล้าเอง สุดท้ายได้แต่ฮึดฮัดแล้วพยายามแกะอยู่อย่างนั้นจนคนจับต้องปล่อยให้เพราะสงสาร

“เด็กน้อยจริงๆ”

หลังจากกลับขึ้นมาบนสระและแยกย้ายกันไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วภีมภัทรจึงหันไปบอกลาวิทยาในทันทีเพราะไม่อยากให้มันมองด้วยสายตาล้อเลียนไปมากกว่านี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเห็นฉากเขาเข้าไปกอดพี่จักรก่อนเข้าอย่างจัง แค่คิดก็หน้าร้อนจนอยากจะระบายอารมณ์ออกมาด้วยการเข้าไปเตะมันสักทีสองที

“เลิกคิดจะเดินตามไปเตะเพื่อนแล้วกลับบ้านกันเถอะ” จักรพรรดิพูดขึ้นมาเหมือนจะเตือนให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ก็สายตาของคนด้านข้างมันน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่ มองตามหลังนักกายภาพบำบัดส่วนตัวของเขาเสียจนแทบทะลุ

“ไปก็ได้”

“เสียงเหมือนโดนขัดใจ”

“เปล่านะ” ภีมภัทรปฏิเสธ ขารีบก้าวเดินไปช่วยเข็นรถจากเบื้องหลัง

“ภีม”

“ครับ?”

“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”

เอาอีกแล้ว...อยู่ๆ ก็ทำเสียงจริงจังแบบนี้ใจไม่ดีเลย

“งั้นเราไปนั่งตรงเก้าอี้ที่สวนก่อนแล้วกัน” คนอ่อนไหวง่ายบอกเสียงเบา ก่อนจะพาร่างคนป่วยเดินไปที่สวนด้านหลังของโรงพยาบาลที่มีคนมาออกกำลังกายและนั่งเล่นกันอยู่เป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มหยุดนั่งลงที่เก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง ในขณะที่จักรพรรดินั่งอยู่บนวีลแชร์ด้านข้าง

“เมื่อวานเกรย์ติดต่อมาหาพี่”

“อื้อ”

“บอกว่าเรื่องมินตราเรียบร้อยดีแล้ว” จักรพรรดิเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาเหม่อมองไปยังขอบฟ้ากว้างไกล ไร้อารมณ์และความรู้สึกใดๆ “แต่ยังเหลือเรื่องทรัพทย์สินและบริษัทของพ่อเลี้ยงที่ยังต้องให้คนกลับไปจัดการ ยิ่งไวเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ดูเหมือนจะถึงเวลาเปิดพินัยกรรมแล้วน่ะ”

“พี่จักรต้องกลับไปใช่ไหม” ภีมภัทรเริ่มถามเมื่อเข้าใจเรื่องราว แม้ใจจะนึกกังวลอยู่ไม่น้อย แต่เสียงของเขาไม่มีความสั่นไหวใดๆ แม้แต่นิดเดียว

ภีมเชื่อใจพี่จักร...

“อืม...ในฐานะลูกเลี้ยงคงต้องกลับไปรับรู้ บวกกับต้องไปจัดการปัญหาเรื่องบริษัทที่ยังมีชื่อพี่อยู่ในนั้นด้วย ถึงจะโดนปลดไปแล้ว แต่ในเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องไปรับหน้า”

“แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่”

เมื่อได้ยินคำถามที่คาดเดาไว้ ชายหนุ่มจึงหันกลับมามองสบดวงตาคู่สวยที่เป็นประกายระยิบระยับด้วยความคาดหวัง มือใหญ่ยกขึ้นแตะมุมปากบาง กดเบาๆ ให้ยกเป็นรอยยิ้มแล้วจึงพูดต่อ

“เกรย์จะกลับพรุ่งนี้” เขาส่ายหน้าเมื่อเห็นเด็กน้อยเม้มปากแน่น “ถ้าภีมไม่อยากให้พี่ไปตอนนี้ พี่ก็จะยังไม่ไป”

“ทะ...ทำไม”

“เพราะภีมสำคัญ”

มันเป็นคำตอบของทุกคำถาม...

หากภีมภัทรไม่ต้องการให้เขาไป อยากให้เราอยู่กันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วทิ้งโลกนั้นไว้เบื้องหลังจักรพรรดิก็จะทำตาม แม้เกรย์จะแนะนำให้กลับไปจัดการปัญหาทุกอย่างให้เคลียร์เพื่อให้สามารถมาอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องนึกกังวลอะไร แต่หากเด็กน้อยของเขาไม่ต้องการมันก็เท่านั้น

จักรพรรดิให้สิทธิ์คนของเขาทุกอย่าง...แม้แต่การตัดสินใจในเรื่องนี้

“ภีม…” หัวใจที่่เต็มตื้นกับคำตอบที่ได้ฟังทำให้คนพูดติดอ่างไปชั่วขณะ ภีมภัทรจับมือที่แตะใบหน้าเขาไว้แล้วบีบเบาๆ ก่อนรอยยิ้มสวยจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอย่างเป็นธรรมชาติ “ไปเถอะครับ”

“…”

“พี่จักรรีบไปจัดการปัญหาให้หมดจะได้ไม่ต้องมาพะวงทีหลัง ยิ่งไปไวเท่าไหร่ก็ยิ่งกลับมาไวเท่านั้น จริงไหม”

คำตอบที่ไม่เกินจากความคาดหมายของคนสำคัญทำให้ชายหนุ่มยิ้มออก เขารู้อยู่แล้วว่าภีมภัทรจะพูดแบบนี้ รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ที่ไม่รู้...คือไม่รู้ว่าจะได้รับแม้แต่รอยยิ้มจริงใจและห่วยใยยามต้องลาจาก ทั้งที่ตัวเองคงเจ็บปวดมากกว่าใคร

“อืม”

ก็เพราะภีมเป็นคนแบบนี้

พี่ถึงได้...

‘รัก’


———————





หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-05-2018 01:08:39
รีบๆกลับมานะพี่จักร
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-05-2018 02:33:09
รีบไป รีบกลับ เร็ว ๆ ล่ะ น้องสั่งนะ พี่จักร  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 25-05-2018 06:15:39
พี่จักรก้อพาภีมไปด้วยซิ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 25-05-2018 06:58:19
รีบไปรีบกลับน้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-05-2018 07:34:50
  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 25-05-2018 09:36:47
เดินทางปลอดภัยน้าพี่จักร
เดี๋ยวไปเฝ้าภีม... ที่ร้านดอกไม้ให้ ไม่ต้องห่วง

รีบไปรีบกลับ แฟนคลับรออยู่
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[18]==[P.6]== [24/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 25-05-2018 17:27:05
-19-


ในเวลาที่ต้องห่างกับคนสำคัญ จักรพรรดิคิดว่าช่วงแรกๆ คงคิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไร หลังจากนั้นน่าจะเริ่มชินไปเอง ถึงจะไม่ได้หายคิดถึงแต่อารมณ์เหล่านั้นก็คงเบาลงไปบ้าง ไม่ต้องทรมานมากมายเท่าตอนแรกอีก แต่ที่ไหนได้...เขาดูถูกคำว่าคิดถึงมากเกินไป เพราะนอกจากมันจะไม่ดีขึ้นแล้ว นับวันอาการยิ่งหนักขึ้นๆ จนกลายเป็นบางครั้งต้องนั่งจ้องโทรศัพท์นานเป็นชั่วโมงเพราะอยากให้มีสายเรียกเข้าเสียที แล้วก็หนีไม่พ้นคนคนเดิมที่มักรู้เวลาเข้ามาขัดได้ถูกจังหวะอยู่เสมอ

“คิดถึงคนทางนั้นอีกแล้วหรือไง”

“…”

“อย่างว่าแหละน้า...ไอเองก็คิดถึงลูกแกะเหมือนกัน” หนุ่มตาฟ้ายักไหล่บ่นเป็นภาษาไทยเสียงงุ้งงิ้งทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้พูดชัดนัก แต่อย่างน้อยมันก็เรียกความสนใจจากคนที่นั่งมองโทรศัพท์นิ่งงันมากว่าสามสิบนาทีได้อยู่

“เลิกพูดภาษาไทยเสียที ฟังแล้วปวดหัว” จักรพรรดิบอกเป็นภาษาฝรั่งเศส ขมวดคิ้วตำหนิเพื่อนได้ครู่เดียวก็ก้มหน้าก้มตาลงมองโทรศัพท์ต่อ

“โอเคๆ” เกรย์ยกมือยอมแพ้แต่ยังไม่วายยื่นหน้าเข้าไปเผือกเพราะอยากรู้ว่าเพื่อนดูอะไรนักหนา แล้วเขาก็ได้รับคำตอบเมื่อเห็นภาพแอบถ่ายของชายคนหนึ่งปรากฏบนหน้าจอ “คิดถึงน่าดูเลยนะ”

“…”

“ก็ไม่แปลกหรอก นี่ก็ตั้งเดือนกว่าแล้ว”

นั่นก็ใช่...นี่ก็เดือนกว่าแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ถึงจะได้คุยกันทางโทรศัพท์เกือบทุกวันแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คิดถึงน้อยลงเลย

“แล้วเรื่องเด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง” จักรพรรดิวางโทรศัพท์แล้วเริ่มถามเข้าเรื่องงาน

“ยังปรับตัว ดีที่พ่อเลี้ยงนายจัดการคนไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ ก่อนเหลือบตามองเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย “คิง...นายมั่นใจเหรอว่าจะเอาแบบนี้ ฉันช่วยได้นะถ้านายต้องการอะไรๆ ที่เป็นของตัวเองคืน”

คนฟังถอนหายใจหน่ายแม้จะรู้สึกขอบคุณกับความช่วยเหลือที่เพื่อนพยายามมอบให้ แต่เล่นถามกันทุกวันเหมือนอยากให้เปลี่ยนใจแบบนี้มันก็น่าด่าอยู่ เพราะตัวเองก็รู้ดีว่าถ้าทำแบบนั้นเขาจะต้องกลายเป็นคนเลวแน่ๆ หรือไม่...ก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก

“อย่าพูดเหมือนไม่รู้อะไรหน่อยเลยเกรย์ อะไรๆ ที่นายว่ามันไม่ใช่ของฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว นายก็รู้ดี”

“แต่นายเป็นคนสร้างมันมาร่วมกับเขา”

“ฉันก็เป็นหมากบนกระดานของเขา เหมือนกับที่เขาเป็นหมากบนกระดานของฉันนั่นล่ะ” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบ เขาย่อมรู้ดีที่สุดว่าตัวเองในสมัยก่อนเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างไร สำหรับเขากับพ่อเลี้ยงที่มีนิสัยแบบเดียวกัน เราต่างมองกันเป็นเพียงหมากบนกระดานที่ไม่ได้มีความรักใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่เกิดอุบัติเหตุจนเหตุการณ์ทั้งหมดเปลี่ยนไป เชื่อเถอะว่ายังไงจักรพรรดิก็ไม่มีวันยอมให้เด็กแปลกหน้ามาเชิดทุกอย่างไปจากเขาแน่ แม้เด็กนั่นจะได้ชื่อว่าเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อเลี้ยงรวมถึงเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทุกอย่างตามพินัยกรรมก็ตาม

เพียงแต่ในเวลานี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว...

“ฉันอยากจัดการทุกอย่างให้จบลงให้ไวที่สุด จะได้กลับบ้านเสียที”

กลับไปหาภีม...คือจุดมุ่งหมายเดียวในเวลานี้

“ตามใจแล้วกัน งั้นก็เตรียมตัวเถอะ...นายว่าจะไปดูร้านไม่ใช่เหรอ” เกรย์ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา มองเห็นท่าทางของเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งก็พอจะรู้ว่ายังยืนยันคำตอบเดิม เขาถอนหายใจเบาๆ นึกเสียดายนิดหน่อยที่จะไม่ได้ทำเรื่องน่าสนุกต่อ แต่เอาเถอะ...ขืนลูกแกะรู้ว่าเขาพยายามล่อลวงพี่ชายตัวเองให้กลับไปเป็นใหญ่เหมือนเดิมโดยการแย่งชิงสมบัติมาจากทายาทตัวจริง ลูกแกะต้องโกรธจนควันออกหูแน่

“อืม” จักรพรรดิรับคำพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงเกรย์เดินออกไปจากห้องแล้วเขาจึงถอนสายตากลับมามองโทรศัพท์อีกครั้ง ใจนึกไปถึงบทสนทนากับเด็กน้อยเมื่อสองสามวันก่อนหลังจากที่เขาเล่าเหตุการณ์เรื่องพินัยกรรมให้ฟัง

พ่อเลี้ยงของเขาไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ ผู้ชายคนนั้นต้องการอะไรจักรพรรดิอาจจะไม่รู้แน่ชัด แต่ที่มั่นใจคือคนคนนั้นไม่ได้รักหรือหวังดีกับเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ เมื่อได้เปิดพินัยกรรมและรับรู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่คืออะไรเขาก็เข้าใจทุกอย่าง จักรพรรดิคือตัวแทนเพื่อรองรับอารมณ์จากมินตราและอันตรายจากคนรอบข้าง พ่อเลี้ยงมีลูกแท้ๆ อยู่แล้ว เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เจ้าตัวอุปถัมภ์ พินัยกรรมกล่าวอย่างชัดเจนว่าเด็กคนนั้นคือผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างของพ่อเลี้ยง ข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือเจ้าตัวจะมีสิทธิ์เมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ และมันก็คือเวลาเปิดพินัยกรรมเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นเอง

‘แบบนั้นก็ดีเลยสิครับ พี่จักรจะได้ไม่เหนื่อย ไม่ต้องแบกอะไรให้หนักแล้ว’

นั่นคือคำพูดที่ทำให้จักรพรรดิยิ้มออก จริงอยู่ที่เขาเลิกสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว อาจมีบ้างในตอนแรกที่รู้สึกเสียดายเพราะได้นึกถึงความหลังเก่าๆ นึกถึงสิ่งที่เคยมี แถมยังมีตัวเสี้ยมอย่างเกรย์อยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รับสายจากทางไกล ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยที่ถามแค่ว่าหนาวมากไหมแล้วบ่นพึมพำตำหนิตัวเองที่จัดเสื้อผ้าให้เขาผิด เพียงเท่านั้นความเสียดายไร้สาระเหล่านั้นก็หลุดออกไปจากหัวอย่างง่ายดาย

ครืด ครืด

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้มอ่อนโยน เขากดรับสาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสิ่งแรกที่จะได้ยินคืออะไร เพราะมันเป็นแบบนั้นมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว

[พี่จักรออกกำลังกายหรือยัง]

นั่นไง...

“เรียบร้อยแล้ว” ว่าแล้วก้มลงมองขาทั้งสองข้างที่ไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน อันที่จริงหลังจากต้องกลับมาจัดการเรื่องราวมากมายที่นี่จักรพรรดิก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก อาจถึงขั้นลืมห่วงตัวเองเสียด้วยซ้ำหากไม่ใช่ว่ามีคนคอยเตือนอยู่ทุกวี่ทุกวัน

[ดีมาก] ปลายสายเอ่ยชมอย่างพอใจแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงสงสัยได้อย่างรวดเร็วสมกับเป็นเด็กน้อยยังไม่โตของจักรพรรดิ [แล้ววันนี้พี่จะทำอะไรเหรอ]

“จะไปดูร้านเปิดใหม่น่ะ”

[ร้าน?]

“อืม เป็นร้านอาหารที่พี่ลงทุนกับเกรย์” ถึงจะบอกว่าร้านอาหาร แต่จริงๆ คงต้องบอกว่าภัตตาคารล่ะน่ะ

[แล้วแบบนี้...]

“แล้วแบบนี้ไม่ต้องอยู่ทำงานที่นั่นเหรอ จะถามแบบนั้นใช่ไหม” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อได้รับความเงียบเป็นคำตอบ “มีคนจัดการอยู่แล้ว พี่แค่รอรับส่วนแบ่ง เอาเวลาไปช่วยเด็กชายภีมทำงานดีกว่า”

เสียงหัวเราะคิกคักน่าเอ็นดูจากปลายสายทำให้ความคิดถึงที่มีมากอยู่แล้วทวีคูณขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า จักรพรรดิยิ้มจาง สายตาทอดมองตรงไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย

อย่างน้อย...ก็ยังอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกันล่ะนะ

[เบื่อคนรวยโดยไม่ต้องทำอะไรจริงๆ]

“นั่นมันภีมไม่ใช่หรือไง”

[ไม่ใช่สักหน่อย นั่นมันเงินพ่อ เงินภีมมีนิดเดียว] เด็กน้อยเถียง

“งั้นก็อยู่เฉยๆ ด้วยกันนี่ล่ะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

[นี่พี่จักร! อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายแบบนั้นสิครับ]

“ก็ไม่เห็นยากตรงไหน”

สิ่งที่พูดออกมาจากปากของจักรพรรดิไม่มีคำไหนที่เชื่อถือไม่ได้ หากเขากล้าเอ่ยออกมาแล้วย่อมหมายความว่าตัวเองแน่ใจว่าทำได้แน่นอน ดังนั้นถึงแม้จะทำเหมือนพูดเล่นแกล้งใครบางคน แต่ถ้าเด็กน้อยตอบว่าเอาขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าหวังจะเปลี่ยนคำพูดเลย เพราะเขาทำจริงแน่

“ตัวบางนิดเดียว กินข้าวยังไงก็ไม่รู้”

[อย่ามาว่าภีมเลย เมื่อก่อนพี่จักรก็เคยผอมแห้งแรงน้อยเพราะไม่ยอมกินข้าวเหมือนกันนั่นล่ะ]

“กล้าเถียงพี่เหรอ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะบีบปากแดงๆ นั่นให้ยู่เลย” เขาแกล้งขู่เสียงจริงจัง แต่น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาแบบที่คิด ได้ยินเพียงเสียงอุบอิบเหมือนบ่นพึมพำอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว

[งั้น...รีบ…]

“หืม”

[งั้นก็รีบกลับมาสิ! แค่นี้นะ ภีมจะไปช่วยงานพ่อ]

“เดี๋ยว...”

[กินข้าวให้ครบทุกมื้อ นอนหลับห่มผ้า ออกกำลังแล้วพักด้วย เข้าใจนะ บาย]

“แบบนี้ก็ได้เหรอ” จักรพรรดิจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งโดนกดตัดสายไปแบบงงๆ หากรอยยิ้มยังคงไม่เลือนหายไปจากใบหน้า

รีบกลับมางั้นเหรอ...

เห็นทีคงต้องเร่งทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุดล่ะนะ มาพูดแบบนี้ใส่แล้วใครจะทนได้กัน









จักรพรรดิเดินทางไปดูงานที่ภัตตาคารพร้อมกับเกรย์ในช่วงบ่าย ชายหนุ่มมองร้านที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยสีหน้าพอใจ ทุกรูปแบบที่อยู่ในหัวเขาถูกเนรมิตออกมาได้แบบไม่มีที่ติ ภัตตาคารหรูหราบนย่านค้าขายสำคัญของเมือง เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นทรงกลมโดดเด่นก็สามารถดึงดูดสายตาของคนผ่านไปผ่านมาได้มากแล้ว หากเปิดจริงมีแสงสีช่วย งานนี้ที่เขากับเกรย์ช่วยกันสร้างขึ้นมาคงประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

“ดูแลให้ดีตามแผนที่วางกันไว้ ห้ามให้มีอะไรผิดพลาด” หนุ่มตาฟ้าหันไปพูดกับผู้จัดการร้านซึ่งเป็นคนของเขาเองอย่างจริงจัง สลัดคราบหนุ่มขี้เล่นเหมือนยามอยู่กับเพื่อนไปจนหมด

“ครับ”

เกรย์โบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้ไปทำงานต่อ ชายหนุ่มหันกลับมาหาจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจยามเห็นเพื่อนสนิทที่ไม่เคยใส่ใจโซเชียลใดๆ กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปภัตตาคารหน้าตาเฉย

“ถ่ายให้ภีมดู” คนโดนจ้องพูดขึ้นมาลอยๆ เหมือนรู้ตัว เมื่อกดส่งภาพให้เด็กน้อยเรียบร้อยแล้วจึงหันไปหาเกรย์ “ร้านเปิดพรุ่งนี้ใช่ไหม”

“อ่า…”

“ฉันจะ...”

“คุณ! คุณครับ!”

เสียงตะโกนเรียกจากทางด้านหลังทำให้สองหนุ่มที่กำลังจะพากันเข้าไปด้านในตัวภัตตาคารหยุดเท้า เกรย์ที่หันไปมองก่อนส่งเสียงหืมออกมาเบาๆ ก่อนจะเหยียดยิ้มนึกสนุก ในขณะที่จักรพรรดิไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้จะเห็นแล้วว่าใครกำลังวิ่งเข้ามาหา

“คุณคิง”

เด็กหนุ่มตัวสูงร่างผอมหน้าตาธรรมดาสามัญคนนี้คือเด็กที่ได้รับมรดกมหาศาลไปเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ด้านหลังที่วิ่งตามมาติดๆ คือทนายประจำตัวกับเลขาคนสนิทของพ่อเลี้ยงที่น่าจะได้รับหน้าที่ให้ดูแลเด็กนี่ต่อ จักรพรรดิไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาจัดการตัวเองจนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวของพ่อเลี้ยงแล้ว แม้แต่บริษัทนั่นก็เป็นแค่เพียงคนที่ได้ชื่อว่าเคยบริหารมาก่อนเท่านั้น

“ผมไม่อยากได้สมบัติพวกนี้ คุณเอาคืนไปได้ไหม” เด็กหนุ่มเริ่มพูดธุระของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคนที่อยู่ด้านหลัง

“พูดเรื่องอะไรของนาย” จักรพรรดิไม่ใช่คนอ่อนโยน เขาจะใจดียามที่อยู่กับภีมภัทรเท่านั้น และน่าเสียดายนักที่เวลานี้เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ด้วย ชายหนุ่มจึงแสดงด้านร้ายๆ ของตัวเองออกมาจนหมด โดยเฉพาะดวงตาคมกริบคู่นั้นที่กวาดมองคนตรงหน้าราวกับเป็นเพียงของชิ้นหนึ่งที่ไร้ซึ่งความสำคัญ

“นั่นสิ...จำได้ว่าอาทิตย์ก่อนยังตื่นเต้นดีใจอยู่เลยไม่ใช่หรือไง” เกรย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างสำทับพร้อมรอยยิ้ม

“นั่นมัน...ผม...ผมไม่อยากเข้าไปบริษัทงานพวกนั้น ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นที่เอาแต่จ้องมองเหมือนจะจับผิดกันตลอดเวลา คุณเอาคืนไปเถอะ ผมไม่อยากได้แล้ว”

“ไสหัวไปซะ” จักรพรรดิใช้เพียงแววตาเพื่อสะกดคนฟังให้หุบปาก เขาไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มจะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเพียงใด สิ่งที่เรียกความสนใจได้มากกว่าในยามนี้คือโทรศัพท์ในมือที่กำลังสั่นอีกครั้ง เบอร์โทรที่ปรากฏทำให้แววตาดุดันอ่อนแสงลงชั่วขณะ

เวลาจะใช้นิสัยเดิมทีไร เด็กชายภีมต้องเข้ามาขัดทุกทีสิน่า...

“ฟังให้ดี” เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นเป็นลูกนกโดยยังไม่ได้กดรับโทรศัพท์ “สิ่งที่นายได้รับคือสิ่งที่พ่อนายมอบให้ ต่อให้ยินดีหรือไม่ยินดีมันก็เป็นของนายแล้ว ยังไงก็หนีไม่พ้น ไปคิดดูให้ดีเถอะว่าจะหดหัวเป็นเต่าให้คนมาชักจูงเหมือนเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง หรือจะเชิดหน้ายอมรับและบริหารมันด้วยมือตัวเอง”

“…”

“ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนามสกุลของนาย ถ้ายังกล้ามายุ่งวุ่นวาย...อย่าหาว่าไม่เตือน”

จักรพรรดิกดรับโทรศัพท์พลางเข็นรถเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจคนที่อยู่เบื้องหลังอีก เกรย์เห็นดังนั้นจึงยักไหล่ เขาเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มตาแดง มองคนเบื้องหลังที่ทำท่าจะเข้ามาปกป้องด้วยแววตาเย็นเยียบเพียงชั่วขณะทั้งคู่ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี

“นี่เจ้าหนู...”

“คะ...ครับ”

“ถ้ามีโอกาสก็ไปขอบคุณคนที่โทรศัพท์มาหาพี่ชายนายพอดีเถอะนะ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่ได้รับคำสอนแสนใจดีนั่นแน่ และขอบอกไว้เลยว่านายจะมีโอกาสได้ยินคำสอนในฐานะพี่ชายของเจ้านั่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะงั้นจำไว้ให้ขึ้นใจล่ะ”

เกรย์ตบบ่าคนตัวเล็กเบาๆ เป็นเชิงย้ำ ก่อนเขาจะหมุนกายเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านใน พอเห็นหน้าตาอ่อนโยนยิ้มแย้มที่แตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิงแล้วได้แต่ส่ายหน้าหน่าย

ความรักหนอความรัก...เห็นแล้วอดคิดถึงลูกแกะไม่ได้สิน่า

“ว่ายังไง” จักรพรรดิทอดเสียงอ่อนโยนถามคนที่โทรมาหา ไม่มีทีท่าโกรธเคืองแม้อีกฝ่ายจะโทรมาโดยไม่ได้บอกก่อนและยังถือว่าอยู่ในเวลาทำงานของเขา

[ภีมเห็นรูปที่พี่จักรส่งมา สวยมากๆ เลย พี่จักรออกแบบเองเหรอ แล้วด้านในเป็นยังไง จะเปิดวันไหน ภีมเห็นแล้วอยากไปเที่ยวจัง ว่าแต่ขายอาหารประเภทไหน...]

“ถามรัวแบบนี้จะให้พี่ตอบยังไงหืม”

[…ลืมตัว]

“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะ อารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้ยินเสียงใสๆ พูดไม่หยุด “คิดถึงพี่ก็เลยพูดเยอะใช่ไหม”

[หลงตัวเอง] ปลายสายบ่นอุบอิบ

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวได้เจอกันเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย โอเคไหม”

[โอเคครับ ขอโทษนะที่ภีมโทรมากวนตอนทำงาน] น้ำเสียงสำนึกผิดจริงใจของเด็กน้อยทำให้คนฟังยิ้มกว้างกว่าเดิม อดคิดไม่ได้ว่านิสัยทำก่อนแล้วมาสำนึกผิดทีหลังนี่มันนิสัยของเด็กน้อยชัดๆ แต่ขืนพูดแซวออกไป คราวนี้คงโดนวางหูใส่อีกแน่

“ภีมโทรได้” เขาตอบกลับไปเพียงเท่านั้น

[พี่จักรอย่าหักโหมนะครับ ภีมไปทำงานก่อนนะ]

“ภีมก็เหมือนกัน”

[รับทราบครับผม!]

ก่อนวางไม่วายทำเสียงเข้มแข็งใส่ให้คนฟังหัวเราะอีกทีเป็นการปิดท้าย และมันก็ไม่ใช่เพียงครั้งนี้ เพราะตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาภีมภัทรทำเช่นนี้ทุกวัน ครั้งไหนที่จักรพรรดิหงุดหงิดจากการทำงาน เพียงโทรไปหาและได้รับกำลังใจจากคนห่างไกลเขาจะกลับมายิ้มได้ทุกครั้ง เด็กน้อยบอกว่าถ้าวันไหนพี่จักรไม่หัวเราะจะไม่ยอมวาง และต่อให้เขาพยายามอดกลั้นเพื่อทดลองดูอยู่หลายครั้งหลายคราว ฝ่ายนั้นก็ยังหาเรื่องมาทำให้หัวเราะได้ทุกทีไป แค่เสียงหึเบาๆ ยังร้องไชโยน่าเอ็นดู แบบนั้นใครจะทนหน้าบึ้งอยู่ได้

จักรพรรดิใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่ที่ภัตตาคารกับเกรย์ หลังจากนั้นเขาจึงแวะไปยังสถานที่อีกแห่งซึ่งกำลังก่อสร้างหลังจากเขาเคยปล่อยทิ้งไว้นานนับปี สภาพภายนอกเสร็จสมบูรณ์ แต่ภายในยังขาดการตกแต่งอยู่หลายจุด และที่มาครั้งนี้ก็เพื่อเร่งให้มันเสร็จเสียที

“นี่เหรอบ้านที่นายออกแบบเอง” เกรย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองบ้านเบื้องหน้าด้วยความชื่นชม

บ้านสไตล์โมเดิร์นที่สร้างจากปูนเปลือยเกือบทั้งหลังไม่ได้ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับฐานะเจ้าของบ้าน หากก็ดูอบอุ่นและน่าอยู่จนเกรย์นึกแปลกใจ เขาจำได้ดีว่าแบบร่างที่เพื่อนเคยเอามาให้ดูมันแตกต่างจากของจริงอยู่ในบางจุด แต่คงต้องยอมรับว่าเมื่อปรับมาเป็นแบบนี้แล้วมันทำให้บ้านหลังนี้แลดูน่าอยู่มากกว่าแบบเดิมเสียอีก

“นายปรับเปลี่ยนบางจุดสินะ”

“จำได้ด้วยเหรอ” จักรพรรดิยกยิ้มมุมปาก “ก็แค่...มีคนแนะนำมาน่ะ”

“เด็กน้อยของนายสินะ”

ความเงียบคือคำตอบของคำถามนั้น หากเมื่อเกรย์ได้หันไปเห็นความอ่อนโยนที่ฉายชัดบนใบหน้าของเพื่อน เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าคำตอบคืออะไร

“ภีมบอกว่าบ้านคือสถานที่สำหรับครอบครัว เป็นที่ที่เราใช้กินข้าวและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคนที่เรารัก” ตัวเขายังจำได้ดีว่าในยามที่เห็นแบบร่างของเขาเด็กน้อยทำหน้าตาชื่นชมขนาดไหน แต่แล้วเมื่อมองไปสักพักกลับขมวดคิ้วมุ่นแล้วส่ายหน้า “แบบร่างของฉันมันสมบูรณ์แบบมากเกินไปจนดูไม่เหมือนบ้าน”

‘ภีมอยากให้พี่จักรมีบ้านที่อบอุ่น ไม่ใช่บ้านที่สวยงาม’

เมื่อได้มาเห็นบ้านที่เกือบเสร็จสมบูรณ์ของจริง จักรพรรดิถึงได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังขาดอยู่อีกอย่าง บางอย่างที่สำคัญที่สุดซึ่งเขายังไม่ได้บอกให้คนคนนั้นรู้

บ้านที่อบอุ่นของพี่...ต้องมีภีมอยู่ด้วย

“ยังขาดอะไรบ้างล่ะ” เกรย์หันกลับมาถาม

“ของตกแต่งด้านในนิดหน่อย นี่ก็กะจะมาดูว่าขาดอะไรแล้วค่อยสั่งคนไปซื้อ”

“นี่จักร...”

“อืม”

“นายสร้างบ้านแบบนี้...คิดจะมาอยู่ที่นี่ถาวรเหรอ”

“เมื่อก่อนก็คิดแบบนั้นนั่นล่ะ” จักรพรรดิตอบตามตรง “แต่ว่า...บ้านของฉันมีอยู่สองที่แล้ว”

หลังหนึ่งคือบ้านที่อยู่ด้วยกันกับน้องชายทั้งสองคน แม้จะเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่มันก็เป็นบ้านที่เด็กพวกนั้นใช้ดูแลเขาตั้งแต่ยังเป็นคนเจ้าอารมณ์ ส่วนบ้านอีกหลังคือบ้านที่กำลังจะถูกเจ้าของบ้านขยับขยายซึ่งอยู่ติดเรือนกุหลาบ เป็นบ้านที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนสำคัญของตัวเอง

“ที่สร้างบ้านหลังนี้ต่อก็เพราะอยากทำตามความตั้งใจเดิม แต่คงไม่ใช่ที่ที่จะเอาไว้อาศัยอยู่ถาวรแบบที่คิดตอนแรกอีกแล้ว”

“เป็นบ้านพักตากอากาศงั้นสินะ”

“คงจะเป็นแบบนั้น”

เรียกว่าบ้านพักคงไม่ผิดนัก เพราะถ้าได้พาน้องหรือพาภีมมาเที่ยวที่นี่เมื่อไหร่เขาคงจะให้มาพักอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปจองโรงแรมหรืออะไรให้เสียดายเงิน แบบนั้นคงมีความสุขน่าดู

“เข้าไปข้างในเถอะ” เกรย์เอ่ยชวนเจ้าของบ้านเพราะอยากเข้าไปสำรวจด้านในใจจะขาด หนุ่มฝรั่งเศสแท้จัดการทำหน้าที่แทนภีมภัทร เข็นรถวีลแชร์เข้าไปด้านในโดยไม่รอคำตอบ เมื่อถึงที่หมายแล้วจึงปล่อยเจ้าของบ้านไว้้เพียงลำพัง ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ว่า... “เดี๋ยวไปสำรวจความเรียบร้อยให้”

อยากไปเดินเผือกก็บอกมาตรงๆ เถอะ

จักรพรรดิไม่สนใจเพื่อนเพราะรู้ดีว่าบ้านนี้ยังไม่มีอะไรให้เจ้านั่นมายุ่งวุ่นวายมากนัก ชายหนุ่มเข็นรถไปที่โซฟารับแขกซึ่งมีกล่องกระดาษใบหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อเคลื่อนย้ายไปนั่งบนโซฟาได้แล้วเขาจึงยกลังขึ้นมาวางบนตักเพื่อเปิดดูด้านใน ใจคาดหวังให้สิ่งที่ตามหายังคงอยู่ในกล่องใบนี้ที่เขาทิ้งไว้ใต้เตียงตอนอยู่บ้านหลังเก่า

จำได้ว่าครั้งหนึ่งของที่อยู่ในนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของสำคัญที่หยิบคว้ามาได้ก่อนโดนพาตัวมาอยู่ฝรั่งเศส ช่วงแรกๆ เขาหยิบพวกมันขึ้นมาดูทุกวัน คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ อยู่ทุกวัน จวบจนวันหนึ่งเมื่อเริ่มไร้ความหวังที่จะได้กลับบ้าน ของเหล่านี้จึงถูกลืมตามไปด้วย มาถึงวันนี้เขาแทบจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอยู่ด้านในบ้าง เพียงแต่ว่า...เมื่อนึกออกว่าอาจมีของสำคัญอยู่ ภาพใบหน้าของเด็กชายภีมตัวน้อยก็โผล่ขึ้นมาจนต้องให้คนกลับไปเอามาให้

บางทีกล่องใบนี้อาจจะเป็นลิ้นชักแห่งความทรงจำของเขาจริงๆ ก็ได้...

“นี่มัน...” มือใหญ่หยิบลูกบอลสีส้มขนาดเท่าอุ้งมือขึ้นมามองก่อนริมฝีปากจะผุดรอยยิ้มขัน “ของเล่นหมาไม่ใช่หรือไง”



‘หมาตัวนี้ชื่อกะทิ’

‘บอกว่าชื่อมะนาวไง!’

‘กะทิ!’

‘มะนาว!’

‘พอได้แล้วน่า’ พี่คนโตของน้องๆ ส่ายหน้า มือจับหัวกลมของเด็กแก้มยุ้ยสองคนไว้คนละข้าง ไม่รู้ว่าจะทะเลาะอะไรกันนักหนากับแค่การตั้งชื่อหมาตัวใหม่ที่ช่วยกันพากลับมาหลังเห็นมันตากฝนอยู่นอกบ้าน

‘พี่จักรบอกเต้ไปเลยนะว่าหมานี่ชื่อมะนาว’ น้องชายคนเล็กของบ้านเขย่าแขนพี่ชายงอแง ดวงตากลมมีน้ำใสๆ เอ่อคลอจนดูน่าสงสาร

‘ขี้แง’ เด็กชายฮ่องเต้ทำปากพองลมไม่พอใจ ตาจ้องน้องชายแบบดุๆ เลียนแบบเวลาพี่ชายคนโตโกรธ

‘ว่าไงนะ!’

‘จะทำไมล่ะ!’

เด็กชายจักรพรรดิถอนหายใจ ใบหน้าคมคายแต่เด็กฉายแววครุ่นคิดขณะมองน้องสองคนสลับไปมา คนหนึ่งมองมาแบบจะให้เข้าข้าง ส่วนอีกคนมองเหมือนต้องการความยุติธรรม แล้วแบบนี้คนกลางอย่างเขาจะทำอะไรได้

‘เอาแบบนี้แล้วกัน...ให้เจ้านี่ชื่อกะนาว จบ’



มันเป็นการแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดในโลก...

จำได้ว่าตอนนั้นน้องชายสองคนทำหน้าเหวอ ประมุขพยายามถามเขาว่ากะนาวแปลว่าอะไร ส่วนฮ่องเต้หันไปคุ้ยพจนานุกรมภาษาไทยอยู่นานเป็นวัน สุดท้ายเจ้าหมาดวงซวยนั่นก็ได้ชื่อว่ากะนาวไปตามระเบียบ พ่อบอกว่าพี่คนโตต้องคอยดูแลน้อง และนั่นคงเป็นการแก้ปัญหาในแบบฉบับพี่ชายคนโตของเด็กชายจักรพรรดิที่ควรถูกจารึก

“กะนาว คิดไปได้ยังไงนะ” เด็กชายจักรพรรดิโหมดโตแล้วหัวเราะเบาๆ ยามนึกถึงความหลัง เขาวางลูกบอลลงข้างกาย มือหยิบของชิ้นถัดไปขึ้นมาดูต่อ “ตุ๊กตา...”

ตุ๊กตาแมวสีชมพูหน้าตาประหลาดแบบนี้ ไม่ต้องนึกเขาก็มั่นใจว่าไม่ใช่ของตัวเองแน่นอน ถึงจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ทั้งหมดแต่ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่ามันน่าจะเป็นของของเด็กชายประมุขที่ตอนนั้นร้องไห้งอแงเอาของใส่กระเป๋ามาให้เขาดูต่างหน้าเต็มไปหมด

เด็กนั่นชอบสีชมพู...หึหึ

ไม่รู้ว่าเกรย์จะรู้ไหมว่าน้องชายคนเล็กของเขามันเคยบ้าสีชมพูมาก่อน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เด็กผู้ชายบ้าสีชมพูคงเป็นเพราะโดนแกล้ง...ฮ่องเต้ตอนเด็กๆ แสบน้อยเสียเมื่อไหร่ ว่างทีไรเป็นต้องหาเรื่องแกล้งน้องทุกที หนึ่งในนั้นคงมีเรื่องนี้ปนอยู่ด้วย

เจ้านั่นพูดว่าอะไรนะ...

อา...เหมือนจะบอกน้องว่า 'ผู้ชายแมนๆ เขาชอบสีชมพูกันนะ’ ล่ะมั้ง แค่นั้นเด็กเอ๋อเชื่อคนง่ายอย่างประมุขก็เลือกสีชมพูให้เป็นสีโปรดแทบจะทันที

“ไม่รู้ว่ายังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า แต่คงต้องเตือนสักหน่อย”

ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กนั่นต้องหลงเหลือคำพูดของเกรย์หมดทุกอย่างแน่ เพื่อนเขาไม่ใช่คนดี ขืนเชื่อไปหมดทุกเรื่องคงโดนคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนั่นจับกินไม่เหลือ ถึงเวลานั้นร้องไห้งอแงขึ้นมาจักรพรรดิคงปลอบไม่ถูก

“มุข...ตอนนั้นใส่อะไรมาให้พี่เยอะแยะเนี่ย” เขาบ่นพึมพำเบาๆ เมื่อพบว่าของส่วนมากในกล่องล้วนเป็นของสีชมพูหวานแหวว บางอันจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ดีที่เป็นสีชมพูเลยรู้ว่ามาจากใคร...

จักรพรรดินิ่งไปเล็กน้อยเมื่อหยิบของที่เหลืออยู่ก้นกล่องสองชิ้นขึ้นมาแล้วพบว่ามันคือกระดาษแผ่นหนึ่ง เขายกยิ้มจางเมื่อเห็นลายมือภาษาไทยที่ถูกเขียนด้วยดินสอหยึกหยักเป็นคำสั้นๆ

‘เต้รักพี่จักร’

ฮ่องเต้เป็นเด็กฉลาดตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ทั้งยังไม่ค่อยแสดงออกมากมายนักเหมือนประมุข ตอนมาที่นี่เขาจำได้เพียงภาพน้ำตาของน้องชายคนเล็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวที่สุด หากน้องคนกลางที่คอยแกล้งเจ้าตัวบ่อยๆ กลับยืนนิ่งเป็นหินเหมือนต้องการเป็นหลักยึดเกาะให้แทนพี่ชายคนโตที่กำลังจะเดินทางไกล

คำว่ารักในกระดาษแผ่นนี้คงเป็นคำพูดที่ชัดเจนที่สุดของเด็กคนนั้น...

แล้วก็ของอย่างสุดท้าย...สิ่งที่เขาตามหา

เครื่องบินกระดาษที่ยับยู่ยี่จนดูไม่ได้ ของขวัญจากเด็กชายตัวน้อยๆ ในสวนดอกไม้ที่มอบให้เขาโดยไม่รู้ว่ามันจะเป็นของชิ้นสุดท้ายที่จะได้มอบให้ก่อนต้องแยกจากกันนานเป็นสิบปี

‘เราไปเที่ยวกันนะ’

เขาในตอนนั้นตอบไปว่ายังไงนะ...

‘ได้สิ’

ดูเหมือนเขาจะกลับมาทำตามสัญญาช้าไปหน่อย แต่ว่า...

“ทีนี้เราก็ไปเที่ยวด้วยกันได้แล้วสินะ” ดวงตาอ่อนโยนทอดมองตัวอักษรบนหางเครื่องบินที่ถูกเขียนด้วยลายมือยึกยือนิ่งงัน

ที่แท้เขาไม่เคยลืม...

ไม่เคยเลย


———————




TALK: ตอนหน้าจบแล้วค่า ต่อจากนี้จะไปอัพ ANAKIN อนาคิน นะคะ ไปติดตามกันได้น้า ส่วนคู่อื่นๆ ของพี่น้องสามคิงจะเริ่มเขียนปีหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-05-2018 18:07:41
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 25-05-2018 19:29:59
จะจบแล้ว T^T ซึ้งมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 25-05-2018 19:32:58
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-05-2018 19:52:58
มีความสุขเสียทีนะ พี่จักร   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-05-2018 23:33:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 25-05-2018 23:48:17
ตอนพี่จักรดูของในกล่องนี่แอบซึ้งง่า :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 26-05-2018 18:05:56
-20-


“ภีมมีอะไรจะบอกพ่อไหม”

วิบูลย์เอ่ยถามขณะที่เขากับลูกกำลังช่วยกันรดน้ำต้นไม้ในวันหยุดที่นานๆ จะมีสักที ภีมภัทรกลับมานอนที่บ้านหลักได้เดือนกว่าแล้ว เขาย้ายของบางส่วนมาหลังจากที่จักรพรรดิเดินทางกลับไปทำธุระที่ฝรั่งเศส วิบูลย์นึกขอบคุณหลานชายอยู่ในใจ อย่างน้อยการที่ฝ่ายนั้นช่วยพูดให้ภีมภัทรกลับมานอนที่นี่ได้ก็ทำให้เขามีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น แม้จะไม่มีวันหยุดพร้อมกันนักก็ตาม

“ทำไมพ่อถามแบบนั้นล่ะครับ” ภีมภัทรหันมาหาบิดาเต็มตัว มือที่ถือสายยางรดน้ำต้นไม้ลดต่ำลงเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เหมือนกับ...กำลังจะโดนบีบให้ยอมรับสารภาพเรื่องอะไรสักอย่าง

“พ่อแค่คิดว่าภีมมีอะไรอยากบอก”

“ไม่...”

“พ่อแม่เขามองลูกตัวเองออกอยู่แล้ว ต่อให้ไม่บอกอะไรแต่ก็มองตามหลังด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ” วิบูลย์วางสายยางลง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปหาลูกชายเพียงคนเดียวแล้วจ้องมองดวงตาคู่สวยที่ถอดแบบมาจากมารดาของเจ้าตัวนิ่งงัน “ถึงจะรู้อยู่แล้ว...แต่บางครั้งก็ยังอยากได้ยินชัดๆ จากปาก และถ้าตัวเองยังสำคัญมากพอให้ลูกมาขอคำปรึกษา พ่อคงจะดีใจมากๆ เลยล่ะ”

วิบูลย์รู้อยู่แล้วว่าภีมภัทรเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ อย่างไรก็คงไม่ยอมทิ้งที่นี่ไปกะทันหัน แม้หัวใจจะหลุดตามไปกับพี่จักรของตัวเองก็ตาม เขาทนมองลูกทำหน้าเหงาๆ เหมือนคิดถึงใครบางคนมานานนับเดือน ถึงจะกินข้าวหรือทำงานได้ตามปกติแต่ในฐานะของคนเป็นพ่อ เขาไม่อยากให้ลูกรู้สึกแย่เลยสักวินาที

“ภีมแค่...คิดถึงเขา” ภีมภัทรยอมรับเสียงอ่อย ดวงตาหลุบลงต่ำราวต้องการควบคุมอารมณ์

“เป็นเพราะเรื่องในอดีตใช่ไหม”

“คือ…”

“เพราะภีมเคยโดนทิ้งไปครั้งหนึ่ง ถึงเวลานี้จะเชื่อใจมากแค่ไหนแต่ก็อดกลัวไม่ได้ ลูกเป็นแบบนั้นสินะ” วิบูลย์ถามเสียงอ่อน มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวลูกชายตัวเล็กของเขาเบาๆ เด็กคนนี้เป็นพวกจำฝังใจ เวลาเจ็บช้ำเพราะอะไรก็จะเก็บเอาไว้ไม่ยอมปล่อยวาง พอเจอเหตุการณ์คล้ายกันเข้าเลยดึงเอาความทรงจำเก่าๆ กลับมาด้วย และเพราะเป็นแบบนั้นเขาจึงห่วงลูกคนนี้อยู่เสมอ

“ภีมเชื่อว่าพี่จักรจะกลับมา...แต่ภีมกลัวว่าจะมีใครมาพยายามพรากเขาไปอีก”

กลัวว่าจะมีใครมาเอาตัวเขาไปและหายไปเหมือนเมื่อก่อน ทิ้งให้ต้องเจ็บช้ำอยู่นานหลายปี ครั้งนั้นภีมภัทรยังเด็กเขาจึงทนได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว...

หากพี่จักรหายไปอีก เขาคง...

“ภีมฟังพ่อนะ” วิบูลย์แตะไหล่ลูกชายเบาๆ เพื่อให้เขาหันมาสนใจ “ถ้าพี่เขาต้องการอยู่เคียงข้างภีม ต่อให้มีอุปสรรคอีกเป็นร้อยเป็นพันเขาก็จะกลับมา ครั้งหนึ่งเขาเคยจากลูกไปโดยไม่เต็มใจ แต่แล้ววันหนึ่งเส้นทางก็พาให้เขากลับมาเจอลูกอีกครั้งไม่ใช่หรือ”

“พ่อครับ…”

“พ่อก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับภีม...แตกต่างกันตรงที่เธอคนนั้นไม่ได้ต้องการอยู่เคียงข้างพ่อ ดังนั้นต่อให้ไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ยังไงเธอก็ต้องไปอยู่ดี” เขาไม่เคยคิดยกเรื่องของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาพูดให้ลูกฟัง เพราะนอกจากมันจะเป็นการตอกย้ำภีมภัทรเรื่องที่เคยถูกแม้แท้ๆ ทิ้งไปแล้ว มันยังเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดของตัวเขาเองด้วย หากในยามนี้วิบูลย์มั่นใจแล้วว่าเด็กคนนี้แข็งแกร่งมากพอ และสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เขาให้ลูกได้มีเพียงคำสอนจากประสบการณ์จริง

“ทำไม...พ่อถึงพูดเรื่องแม่”

“ภีมต้องก้าวข้ามความเจ็บปวดทุกอย่าง...หากอยากมีความสุขอย่่างแท้จริง”

“…” ภีมภัทรก้มหน้าลง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท น่าแปลกที่ใจซึ่งเคยคิดว่าจะปวดร้าวทุกครั้งยามนึกถึงเรื่องแม่ในครานี้กลับไม่ได้เจ็บเท่าที่คิด

“เป็นยังไง”

“ภีม...ไม่ได้เจ็บมากแล้ว” มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะลงบนตำแหน่งของหัวใจ สัมผัสได้ถึงการเต้นของก้อนเนื้อด้านในที่ไม่ได้ทำให้เจ็บเหมือนเคย “พ่อครับ...”

“ทีนี้ภีมก็พูดกับใครๆ ได้แล้วว่าต่อให้แม่ทิ้งภีมไป...แต่พ่อคนเดียวก็เลี้ยงให้ลูกเติบโตมาเป็นคนที่แสนมีค่าได้”

“พ่อ…”

“ภีม”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้คนตาแดงสะดุ้ง ภีมภัทรหันไปหาเจ้าของเสียงที่แสนคิดถึง ภาพใบหน้าคมคายกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยนที่ส่งมาให้จากคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ทำให้เขาร้องไห้ออกมาในที่สุด ร่างโปร่งหันกลับไปมองบิดาที่สองตาแดงก่ำไม่แพ้กัน นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับพ่ออย่างสนิทใจแบบนี้

“ไปหาหัวใจของลูกเถอะ” วิบูลย์ปล่อยมือออกจากไหล่บาง ก่อนเขาจะเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อโดนโถมตัวเข้ากอดอย่างเต็มแรง

“พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุด...ภีมไม่เคยเสียใจที่ได้เป็นลูกพ่อ” เสียงสั่นเทาของลูกชายที่ซุกอยู่กับอกทำให้การทำใจปล่อยมือนั้นยากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ที่สุดแล้วเมื่อเขาได้เห็นภาพว่าที่ลูกเขยซึ่งไม่เคยก้มหัวให้ใครยกมือขึ้นไหว้อย่างสุภาพ หนุ่มใหญ่จึงตัดสินใจลูบแผ่นหลังบางเบาๆ แล้วดันตัวลูกออก

“อย่าร้อง...เดี๋ยวพี่จักรของลูกจะเป็นห่วงเอานะ” วิบูลย์จูงมือเรียวให้เดินตามไปหาคนที่รออยู่ไม่ไกล เขาส่งมือลูกชายให้จักรพรรดิ หลังพยักหน้าให้แก่กันเป็นอันรับรู้แล้วจึงถอยหลังเดินจากไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองอีก

มันไม่ใช่การแยกจากกัน ภีมภัทรจะยังอยู่ตรงนี้ เขาก็จะยังอยู่ตรงนี้ แตกต่างจากเดิมเพียงเด็กคนนั้นมีคนที่จะคอยปกป้องคุ้มครองเพิ่มขึ้นมาอีกคน

ถึงเวลาที่จะให้ลูกมีชีวิตเป็นของตัวเอง...เลือกทุกสิ่งได้ด้วยตัวเองเสียที



“ทำไมเด็กน้อยถึงร้องไห้ ไหนบอกพี่เร็วเข้า” จักรพรรดิลูบหัวปลอบโยนคนที่ซุกหน้าอยู่กับไหล่เขาไม่ไปไหน

นับตั้งแต่พากันกลับมาถึงบ้านเล็กติดเรือนกุหลาบ เด็กชายภีมทำตัวเหมือนเด็กโดยการพาเขาปีนขึ้นเตียงแล้วพุ่งเข้ามากอดแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แม้เสียงสะอื้นจะหยุดไปแล้วแต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงนั่งหันหน้าเข้าหาแล้วกอดเขาไว้แน่น พูดอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง

“ดีใจที่พี่กลับมาไง” ภีมภัทรตอบเสียงอู้อี้

“โอเค...ดีใจก็ดีใจ”

แม้จะรู้ดีว่าที่พูดออกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งแต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดถามอะไรเพิ่มเติม เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเด็กน้อยมากจนเจ้าตัวรู้สึกอึดอัด อีกอย่าง...แค่ได้เห็นแววตาของอาวิบูลย์เมื่อครู่ แววตาที่เหมือนจำใจต้องมอบสิ่งสำคัญให้และขอฝากฝังให้ช่วยดูแล เพียงเท่านั้นเขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ แล้ว

คุณอายอมรับ...รู้แค่นี้ก็พอ

“ภีมพาพี่ไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม”

ภีมภัทรยอมผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่น เขาเงยหน้ามองพี่จักรด้วยความแปลกใจ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีเลยสักครั้งที่อีกฝ่ายจะเป็นคนชวนไปโน่นไปนี่ก่อน มีแต่เขานี่เป็นคนชวนแล้วก็ไม่เคยโดนปฏิเสธเสียที

“อื้อ ไปกัน” เด็กน้อยที่กำลังตื่นเต้นอารมณ์ดีผุดลุกขึ้นจากเตียงทั้งยังเดินไปลากวีลแชร์มาให้ด้วยความรวดเร็ว

ในครั้งนี้ภีมภัทรไม่ได้เป็นคนเลือกจุดหมายปลายทางด้วยตัวเอง แต่เป็นจักรพรรดิที่คอยชี้บอกตลอดว่าจะไปที่ไหน เขาเริ่มจากการชี้ไปที่เรือนกุหลาบซึ่งไม่ได้เห็นมานานเป็นเดือน จากนั้นจึงนั่งฟังเด็กชายภีมบรรยายสิ่งที่ตัวเองทำในช่วงเวลาที่ต้องแยกจากกัน

“ภีมไปหากุหลาบสีน้ำเงินมาลงแปลงใหม่ด้วย พี่จักรว่าสวยไหม”

“อืม” จักรพรรดิยกยิ้มจาง มองคนช่างจ้อแล้วอารมณ์ดีตามไปด้วย

“ภีมให้พ่อช่วยขอมาจากเพื่อนที่ญี่ปุ่น ดีที่เขาใจดีเลยแบ่งมาให้เยอะเลย” ภีมภัทรแตะกลีบกุหลาบเบาๆ อย่างทะนุถนอม ตั้งใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็จะไม่ให้ใครมาทำร้ายต้นไม้ของเขาแบบครั้งก่อนอีกแน่

“ทำไมถึงชอบมันมากขนาดนั้นล่ะ”

“ก็เพราะพี่จักรไง” เขาตอบออกมาง่ายๆ โดยไม่ต้องหยุดคิด ร่างโปร่งหมุนตัวมาหาคนถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ภีมปลูกเพราะพี่จักรเคยบอกว่าชอบ รู้ไหมว่าตอนพี่หายไปภีมกับกุหลาบเหงาแค่ไหน”

“หึหึ...พูดอย่างกับเป็นฝาแฝดกัน”

“แน่นอนสิ ก็มีคนบอกเองว่าเราเป็นสายพันธุ์เดียวกัน”

จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทียืดอกมั่นใจของเด็กขี้อวด เขาดึงข้อมือผอมเบาๆ แล้วพยักพเยิดให้พาออกไปด้านนอก ซึ่งภีมภัทรก็ยอมกลับมาทำหน้าที่เข็นรถให้แต่โดยดี

“พี่จำได้ว่าแถวรั้วด้านตะวันออกมีต้นไม้ใหญ่ๆ ขึ้นโดดๆ อยู่ต้นหนึ่งใช่ไหม”

“พี่จักรจำได้ด้วยเหรอ!” ภีมภัทรเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น คล้ายจะเพิ่มความเร็วในการเข็นรถขึ้นอีกหลายเท่าตามแรงอารมณ์

“จำได้ว่าเด็กน้อยคนหนึ่งชอบวิ่งไปแอบหลับที่นั่น...ใครกันนะ” คนพูดแกล้งทำเสียงสงสัย ก่อนแอบเหลือบมองคนด้านหลังเพื่อดูปฏิกิริยา โชคร้ายที่คนรู้ทันรีบเงยหน้าขึ้นเสียก่อนเลยไม่ได้เห็นเต็มๆ แต่แค่รอยยิ้มสวยเพียงอย่างเดียวก็มากพอจะบอกได้แล้วว่าเจ้าตัวดีใจขนาดไหน

ภีมภัทรพาพี่จักรของตัวเองเดินลัดเลาะไปตามสวน แม้จะลำบากไม่น้อยเพราะเป็นพื้นหญ้าแท้แต่คนเข็นก็ไม่ท้อ ยังชี้ชวนให้ดูนั่นดูนี่อย่างอารมณ์ดี จักรพรรดิเคยคิดว่าอากาศที่หนาวเย็นของที่นี่อาจทำให้เด็กน้อยที่ชอบบ่นว่าหนาวเวลาเปิดแอร์เย็นเกินไปตัวสั่นจนไม่อยากไปไหน แต่ดูเหมือนจะตรงกันข้าม...

นอกจากจะเดินไปโน่นไปนี่พาแวะไปตรงนั้นตรงนี้แล้วภีมภัทรยังพูดไม่หยุดเลยสักวินาทีเดียว

“ภีม” จักรพรรดิเรียกคนด้านหลังเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดพูดไปเหมือนต้องการพักเหนื่อย

“ครับ?”

“ทำไมวันนี้เงียบนักล่ะ” เขาหันหน้ามองรอบกายด้วยความสงสัย ปกติเวลาลูกเจ้าของสวนพาเดินไปไหนเมื่อไหร่มักจะมีคนงานเดินไปเดินมาอยู่หลายจุด แต่ในวันนี้นอกจากจะไม่เห็นใครสักคนแล้วบรรยากาศยังเงียบสงบแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

“เพราะเป็นวันหยุดปีใหม่น่ะครับ”

“อา...ลืมไปเลย” จะว่าไปตอนอยู่ฝรั่งเศสก็มัวแต่สะสางงานจนลืมไปหมดแล้วว่านี่เป็นวันปีใหม่ “มิน่าฮ่องเต้กับประมุขถึงโทรมาขอโทษยกใหญ่ที่มาหาที่นี่ไม่ได้”

“แล้วพ่อพี่จักรล่ะ”

“รายนั้นก็โทรมาขอโทษแล้วบอกว่ามาไม่ได้เหมือนกัน”

คนฟังแอบอมยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่พี่จักรพูดถึงพ่อตัวเอง ถึงจะไม่ได้อ่อนโยนนักแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน

“อย่าว่าแต่พี่จักรเลย...พ่อภีมเอาของขวัญปีใหม่มาให้ตั้งแต่เมื่อวานเพราะวันนี้ตอนเย็นจะบินไปหาเพื่อนที่กรุงเทพ ส่วนไอ้วิทย์กับมีนก็ไปฉลองปีใหม่กันที่กาญฯ สงสัยจะเหลือแค่ภีมกับพี่จักรสองคน”

“งั้นก็ดีสิ”

“ดียังไงครับ” ภีมภัทรถามด้วยความสงสัยในเวลาเดียวกับที่รถหยุดพอดี

“มันเป็นปีแรกที่พี่ได้ฉลองกับภีม...แล้วเราก็ได้อยู่ด้วยกันสองคนเลยไง”

“ทำไมถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยนักนะ” คนขี้อายพึมพำเบาๆ อยู่กับตัวเอง แต่ดูท่าแล้วคงไม่อาจรอดพ้นหูคนด้านหน้าอยู่ดี เสียงหัวเราะทุ้มต่ำถึงได้ดังขึ้นเบาๆ แล้วลอยมาตามสายลมจนเข้าหูเขาจนได้

“ตอนนี้มาสนใจว่าจะไปต่อยังไงดีกว่า” จักรพรรดิเตือนสติให้เด็กน้อยด้านหลังได้รู้ว่ารถหยุดอยู่ตรงทางตันนานเกินไปแล้ว

จุดหมายปลายทางซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก หากสิ่งที่ขวางกั้นทางตลอดแนวคือดินเฉอะแฉะที่พ่อของภีมภัทรเพิ่งมาลงไว้ พอประกอบกับการที่เมื่อวานมีฝนหลงฤดู ผืนดินกว้างกว่าสิบเมตรในเวลานี้เลยยังเปียกชื้นจนยากที่จะข้ามผ่านไปได้หากใช้รถวีลแชร์

“ถ้าเราอ้อมไปเรื่อยๆ...”

“พี่ว่าพ่อภีมน่าจะทำเป็นทางยาวตลอดแนว”

“งั้นไว้วันหลังเรา...”

“พี่อยากไปวันนี้”

ในช่วงเวลาที่ภีมภัทรคิดหัวแทบแตกว่าจะข้ามไปยังไงจนกำลังจะบอกว่าจะไปหาไม้มาวางทับดินเป็นทางเข็นรถให้ ในวินาทีนั้นเองที่จักรพรรดิได้พูดประโยคที่น่าตกใจที่สุดออกมา

“ขอขี่หลังหน่อย”

นาทีนี้บอกว่าอะไรนะก็ไร้ประโยชน์ เพราะคนตัวโตขยับกายด้วยท่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว แบบนี้ภีมภัทรจะทำอะไรได้นอกจากวิ่งดุ๊กดิ๊กไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้าทั้งที่ยังงงไม่หาย

“อุก…พี่...พี่จักร” ภีมภัทรแทบทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นเพียงแค่ได้รับน้ำหนักจากคนที่ทิ้งตัวลงมาที่แผ่นหลังของเขาเต็มแรง คนตัวเล็กกว่าพยายามสูดหายใจเข้าจนสุดเพื่อเรียกสติ ก่อนจะขยับกายดันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากทั้งยังเซไปเซมาคล้ายจะล้มอยู่หลายรอบ

“ไม่หนักเลยใช่ไหม”

“หนัก!”

“หึหึ”

เอาเข้าไป...หัวเราะอารมณ์ดีเข้าไป

หนึ่งก้าว...สองก้าว...เพียงสามก้าวที่เหยียบย่ำลงบนผืนดินภีมภัทรก็แทบหมดแรง ตัวเขางอจนไม่รู้จะงอยังไง แถมขายังสั่นเทาเหมือนพร้อมจะล้มลงได้ตลอดเวลา

“รู้ไหมทำไมพี่ถึงทำแบบนี้”

“…” อย่าเพิ่งชวนคุยได้ไหม กำลังใช้สมาธิ

“อย่างแรกคือสนุกที่ได้แกล้งภีม...”

“…” นั่นไง ยอมรับแล้วว่าแกล้งกัน

“ส่วนอย่างที่สองคือพี่อยากรู้ว่ามันสบายยังไง...ทำไมเด็กชายภีมตัวน้อยๆ ถึงได้ขอขี่หลังพี่กลับบ้านแทบทุกวัน”

“พี่จักร...!” คนที่เสียสมาธิเพราะถูกพูดเฉลยเสียติดใบหูตัวเอนไปมา ร่างกายเหมือนจะหมดแรงกะทันหัน ท้ายที่สุดคนที่แบกอยู่บนหลังจึงล้มลงไปกองกับพื้นดินตามระเบียบ ภีมภัทรรีบหันไปมองด้วยความตกใจจนเกือบจะเป็นตื่นตระหนก มือเรียวพยายามปัดเศษดินออกจากใบหน้าให้พี่จักร แต่ก่อนจะได้ทำเช่นนั้นเขาก็ถูกคว้าแขนเอาไว้ก่อน

“นี่เขินถึงขนาดทำพี่หล่นเลยเหรอ” จักรพรรดิเอ่ยแซวโดยไม่สนใจแม้ตัวจะเปื้อน เขาออกแรงกระชากแขนผอมเพียงนิดเดียวร่างโปร่งก็ทรุดตัวลงมาล้มทับ

“ทำอะไรครับเนี่ย”

“ไม่อยากเลอะคนเดียวไง” ชายหนุ่มพูดเสียงขันไร้ความรู้สึกผิด แถมยังแอบเอามือเปื้อนดินป้ายแก้มใสให้เลอะเหมือนตัวเองด้วย

“ที่ชวนภีมไปดูต้นไม้ จริงๆ ไม่ได้อยากไปใช่ไหม” ภีมภัทรถามเสียงบูด เลิกพยายามลุกขึ้นยืนเพราะจะขืนตัวขึ้นทีไรก็โดนอีกคนดึงไว้ก่อนตลอด

“อยากไปจริงๆ แค่ไม่คิดว่าพูดแค่นั้นแล้วเด็กชายภีมจะปล่อยพี่ลงพื้น”

“ก็พี่จักร!...” คล้ายจะกลับมาจำได้ว่าเหตุผลที่ทำให้เขาล้มลงคืออะไร ภีมภัทรเบิกตาโตแล้วจับมือใหญ่มากุมไว้ด้วยท่าทางตื่นเต้น “พี่จักรจำได้ด้วยเหรอว่าชอบให้ภีมขี่หลังบ่อยๆ”

“จู่ๆ ก็นึกออกตอนมองเห็นต้นไม้นั่นน่ะ”

“มิน่าล่ะ...”

“จริงๆ ก็กะไว้แล้วว่าภีมต้องทำพี่หล่นแน่ๆ” จักรพรรดิเฉลยทั้งรอยยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะนั้นสดใสจนต่อให้ภีมภัทรอยากโกรธก็โกรธไม่ลง “ขอโทษนะ...พี่แค่อยากให้มันเป็นความทรงจำดีๆ สำหรับวันปีใหม่ครั้งแรกระหว่างเรา”

“ธรรมดาโลกไม่จำสินะ” คนแก้มแดงพูดกลบเกลื่อนความเขินทั้งที่ไม่กล้าสบตาคนพูดเสียด้วยซ้ำ

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนสองคนที่มีพร้อมแทบทุกอย่างกลับใช้เวลาในวันปีใหม่โดยการนั่งคุยกันอยู่บนดินเฉอะแฉะนานนับชั่วโมง เรื่องราวมากมายที่ได้ทำในช่วงระยะเวลาที่ต้องห่างถูกนำมาเล่าเรื่องแล้วเรื่องเล่า จักรพรรดิรับบทเป็นคนฟังที่ดีเหมือนเคย เขาอมยิ้มมองท่าทางเป็นธรรมชาติของเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยน แต่เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งเริ่มสั่นเทาเพราะความหนาว คนที่เคยชินกับอากาศเย็นมากกว่าจึงขยับกาย

“กลับกันเถอะ ตัวเย็นหมดแล้ว” เขาลองยื่นมือไปจับแขนภีมภัทรดูแล้วก็พบว่ามันเย็นเฉียบตามคาด “เอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”

ดูจากสายตาและท่าทางที่ยอมรับคำง่ายๆ คงเป็นเพราะนึกห่วงเขาไม่แพ้กัน จักรพรรดิส่ายหน้าหน่าย สงสัยเด็กน้อยจะลืมไปแล้วว่าเขาเคยชินกับอากาศเย็นมากกว่าร้อน

“ภีมให้คนทำแบบร่างส่วนต่อเติมของบ้านเรียบร้อยแล้วนะ ตอนแรกกะจะทำช่วงพี่จักรไม่อยู่ แต่คิดไปคิดมารอให้พี่กลับมาดูแล้วช่วยกันแก้ก่อนดีกว่า” ภีมภัทรชวนคุยขณะที่กำลังเดินกลับ ปากยังพูดต่อได้เรื่อยๆ แม้จะรู้สึกตึงๆ ขาเพราะดินเริ่มจับตัวเป็นก้อนแล้วก็ตาม

“อาบน้ำด้วยกันไหม” บทจะพูดขึ้นมาสักที คนที่เงียบเป็นผู้ฟังมาตลอดมักจะหาเรื่องมาพูดให้คนฟังใจเต้นตึกตักได้ทุกครั้ง ทำอย่างไรภีมภัทรก็ไม่ชินกับนิสัยนี้ของพี่จักรเสียที

“…”

“ทำไมเงียบล่ะ”

“กำลังคิดว่าทำไมพี่จักรชอบแกล้ง”

“พี่เปล่านะ...แค่คิดว่าถ้าไปอาบพร้อมกันมันน่าจะสะดวกกว่า” ว่าไปนั่นแต่เสียงเหมือนคนอยากหัวเราะเต็มแก่

ตอนแรกภีมภัทรคิดว่าอีกคนแกล้งพูดให้เขาออกอาการเล่นเฉยๆ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านความคิดนั้นก็ได้รับการยืนยันว่ามัน...

ผิด!

.
.
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[19]==[P.6]== [25/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 26-05-2018 18:06:42
“ทำอะไรน่ะ เข้ามาเร็ว” คนตัวสูงที่เปลือยท่อนบนเรียบร้อยแล้วกวักมือเรียกหลังจากย้ายลงไปนั่งในอ่างอาบน้ำด้วยตัวเอง แถมมือยังทำท่าจะถอดกางเกงโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมองอยู่หรือเปล่าด้วย

“พี่...พี่จักรอาบก่อนเลย” ภีมภัทรโบกมือปฏิเสธ เตรียมตัวชิ่งออกไปด้านนอกในทันทีที่พูดจบ แต่ยังไม่ทันได้ขยับก็โดนเอ่ยแทรกขึ้นมาอีกประโยค

“พี่ปวดแขน”

“…”

ภีม...ไอ้คนขี้ห่วงเกินเหตุ รู้ทั้งรู้ว่าเขาโกหกเพื่อหลอกล่อให้ไปติดกับก็ยังจะเดินไปหากับดักด้วยตัวเองอีก

“มาอาบน้ำกับพี่ เสร็จแล้วจะให้รางวัล”

“พี่จักรอย่ามาหลอกภีม” ปากว่าแบบนั้นแต่เท้าก้าวเข้าไปในห้องน้ำตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายบ่นว่าปวดแขน บางทีก็นึกเกลียดความอะไรๆ ก็พี่จักรของตัวเองเหลือเกิน

“ถอดเสื้อแล้วลงมานี่” จักรพรรดิตีฟองจนล้นอ่างเพราะมั่นใจว่าเด็กน้อยต้องไม่กล้าเปลือยให้เขาเห็นทั้งตัวแน่ จากนั้นคนไร้ยางอายจึงจัดการโยนกางเกงออกมาจากอ่างต่อหน้าต่อตาภีมภัทร ทำเอาคนมองเบิกตากว้างหน้าแดงเป็นแถบจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง

“ภีมว่า...”

“ปวดแขนจัง...” คราวนี้ไม่ได้มาเพียงคำพูด แต่พี่จักรคนหน้าตายยังอุตส่าห์ขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนจะบอกว่าเจ็บจังเลย เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็ไปไม่เป็น ชายหนุ่มถอดเสื้อไว้ที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะก้าวเท้าลงไปในอ่างแล้วนั่งลงอย่างรวดเร็ว มารู้สึกเกลียดความกว้างของอ่างน้ำที่เลือกเองกับมือก็ตอนนี้

“ถอดกางเกงสิ ไม่อาบน้ำหรือไง”

ภีมภัทรหน้าบูดแต่ก็ยอมยกขาถอดกางเกงออกจนร่างกายเปล่าเปลือย อย่างน้อยฟองฟูๆ พวกนี้ก็ช่วยปิดอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง ขอแค่คนขี้แกล้งไม่กวักน้ำแรงๆ จนฟองกระจายก็พอ

“พี่จักรรีบๆ หันหลังมาสิ”

“หืม”

“ปวดแขนไม่ใช่หรือไง”

จักรพรรดิร้องอ๋อออกมาเบาๆ คำหนึ่ง มุมปากยกยิ้มจางเหมือนจะขำอยู่ในที เขายอมหมุนตัวหันหลังให้โดยไม่ได้ปฏิเสธอะไร สัมผัสแรกเริ่มที่แตะโดนแผ่นหลังนั้นทั้งร้อนผ่าวและสั่นเทา ปลายนิ้วเล็กๆ วางแตะลงมาเหมือนกลัวเขาเจ็บ คนขี้แกล้งพยายามอดทนแล้วแต่ก็อดไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาในที่สุด

“นี่จะอาบน้ำให้พี่หรือจะเอานิ้วลูบไปลูบมากันแน่” คนพูดหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า แม้ต้องใช้มือยกขาทั้งสองข้างก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะเขาเคยชินกับการทำเช่นนี้แล้ว

“ภีม…” ภีมภัทรทำหน้าไม่ถูก สายตามองไปทุกทิศทางยกเว้นใบหน้าของคู่สนทนา เห็นดังนั้นจักรพรรดิจึงฉวยโอกาสดึงมือเรียวมาจับไว้เอง

“เอาแบบนี้แล้วกัน”

“อะ...อะไร”

แทนคำตอบ เขาใช้แรงบังคับให้มือขาวๆ ที่จับไว้วางแปะลงบนแผงอกกว้างของตนเองแล้วออกแรงลากให้ถูไปถูมา ทั้งยังอาศัยจังหวะที่เด็กน้อยกำลังอึ้งลากมือลงต่ำจนสัมผัสหน้าท้องแกร่งเข้าอย่างจัง เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็สะดุ้งเฮือกใหญ่จนน้ำกระจัดกระจาย ขยับถอยหลังอย่างแรงจนแทบกระแทกกับขอบอ่างหากไม่ได้คนแรงเยอะช่วยดึงรั้งแขนผอมไว้ทัน

“ตกใจอะไรขนาดนั้น มาช่วยพี่อาบเร็วเข้า” ไม่ว่าเปล่า เขายังขยับตัวเข้าไปหาคนที่นั่งกอดเข่าตัวแดงอยู่เกือบติดขอบอ่าง ขาพาดไปด้านข้างให้ตัวเด็กน้อยอยู่ตรงกลางเหมือนจะบังคับไม่ให้ขยับ เพราะหากขยับเมื่อไหร่...คงได้แตะโดนส่วนอ่อนไหวที่อยู่ใต้น้ำเข้าให้แน่ “ถ้ายังไม่ช่วยอีก พี่จะขยับเข้าไปใกล้กว่านี้นะ”

“หยุดเลยนะ!” ภีมภัทรยื่นมือออกไปดันแผงอกแกร่งเมื่อคนพูดทำท่าจะขยับเข้ามาอีกจริงๆ ตามที่ว่า เพียงแค่สัมผัสของขาทั้งสองข้างที่แตะโดนตัวเขาอยู่ใต้น้ำในตอนนี้ก็แทบทำให้หัวใจวายตายอยู่แล้ว ขืนขยับเข้ามาใกล้กว่านี้...อะไรๆ ก็ต้องใกล้เข้ามาอีกน่ะสิ เขารับไม่ไหวหรอกนะ

“ทีนี้จะช่วยได้หรือยัง”

“ภีมเกลียดพี่จักร”

“เกลียดพี่เหรอ” น้ำเสียงนั้นแฝงความจริงจังลงไปหลายส่วน

“ไม่...ไม่ได้เกลียด” รีบปฏิเสธแล้วก็สบถด่าตัวเองในใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาพราวระยับเข้าอย่างจัง

โดนหลอกอีกแล้ว!

“ยังไงกันแน่นะ”

“พี่จักรเงียบๆ เลยภีมจะได้อาบน้ำให้” มือเอื้อมไปกดสบู่เหลวที่ขอบอ่างอีกรอบก่อนจะเอามาละเลงบนลำตัวแกร่งโดยไม่เสียเวลาคิด คราวนี้เขาหลับหูหลับตาถูเอาๆ ทั้งยังพยายามบังคับจิตใจให้สงบแม้มือปัดผ่านไปโดนอะไรก็ตาม “เสร็จแล้ว หันหลังเร็ว”

จักรพรรดิเลิกคิ้วคล้ายจะถามว่าเอามือมาลูบๆ แบบนี้คือเสร็จแล้วเหรอ แต่พอเห็นหน้าแดงๆ นั่นแล้วก็เริ่มสงสารขึ้นมา

“เดี๋ยว! พี่จักรขยับเข้ามาใกล้ทำไม ภีมบอกให้หันหลังไม่ใช่เหรอ” ภีมภัทรพูดเสียงตื่นพลางขยับกายถอยหลังจนชิดขอบอ่างหมดทางหนี แต่ผู้บุกรุกก็ยังไม่ยอมหยุดเคลื่อนตัวเข้ามาหาเสียที

“กลัวอะไรขนาดนั้น...พี่แค่จะให้เอื้อมมือไปถูหลังให้ หมดแรงจะหมุนตัวแล้ว หรือถ้าภีมอยากลุกแล้วเดินข้ามไปอยู่หลังพี่ก็ได้นะ” คนพูดเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่ข้อเสนอเล่นเอาภีมภัทรหน้าบูด

ใครจะกล้าลุกเล่า ในเมื่อตัวเปลือยเปล่าอยู่แบบนี้

“พี่จักรนิ่งๆ เลยนะ” ออกคำสั่งเสร็จแล้วจึงโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อเอื้อมไปถูหลังให้ แม้พยายามที่จะไม่มองอีกคนยังไงเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตัวเองอยู่ดี ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ถูไปถูมาชักเริ่มรู้สึกว่าหน้าเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลมหายใจอุ่นร้อนจากคนตัวสูงเป่าลดลงมาที่ข้างแก้มอย่างจงใจ

“ภีม…”

“เสร็จ...เสร็จแล้ว” ภีมภัทรถอนตัวออกมาจากระยะอันตรายทั้งที่ใจยังเต้นกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง

“ให้พี่ช่วยอาบให้บ้างไหม”

“ไม่ต้อง!” ปฏิเสธเสียงแข็งแต่ตากลับทอประกายขอร้องเหมือนจะออดอ้อนให้หยุดแกล้งกันเสียที เพียงเท่านั้นจักรพรรดิก็ยกมือยอมแพ้ ชายหนุ่มขยับกายถอยไปด้านหลังเพื่อให้พื้นที่แก่เด็กน้อย สายตามองมือเรียวที่ถูไปถูมาตามเนื้อตัวของตนเองอย่างพิจารณา เห็นความเร็วในการอาบน้ำของอีกฝ่ายแล้วนึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ

“เสร็จแล้วเหรอ”

“อือ แล้วจะล้างตัวยัง...” ไม่ทันได้พูดจนจบประโยคภีมภัทรก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เขามองระดับน้ำที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าเหวอสุดขีด และในเวลาที่น้ำลดต่ำลงจนถึงระดับเอว ชายหนุ่มรีบหมุนตัวหันหลังให้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของขอบอ่างโดนอัตโนมัติ “ทำไมน้ำ...”

“พี่ดึงออกเอง เห็นว่าภีมอาบเสร็จแล้ว” คนด้านหลังยอมรับง่ายๆ แล้วปิดจุกปล่อยน้ำกลับที่เดิม เขาทอดสายตามองแผ่นหลังขาวด้วยความพอใจ อดขำเบาๆ ไม่ได้เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเปลือยทั้งตัวจริงๆ สงสัยเจ้าตัวคงคิดว่าเขาถอดหมดตัวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าหันมาเห็นว่าเขายังใส่กางเกงขาสั้นอยู่จะโกรธขนาดไหน คิดแบบนั้นแล้วชายหนุ่มจึงกดปล่อยน้ำลงอ่างอีกครั้งพร้อมกับถอดกางเกงตัวสุดท้ายออกอย่างเงียบงัน

แค่นี้ก็เท่าเทียมกันแล้ว...

ภีมภัทรรีบล้างตัวออกอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เลยว่าคนด้านหลังทำอะไรอยู่ เขาคว้าผ้าขนหนูจากข้างอ่างลงมาพันตัวทั้งที่ยังอยู่ใต้น้ำ ก่อนจะผุดกายลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดจะโดนแกล้งมากไปกว่านี้

“ไปแล้วเหรอ”

ยัง...ยังกล้าถามอีก

“ภีมจะไปรอของรางวัลที่เรือนกุหลาบ” ว่าจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปในทันที ทิ้งให้คนมองตามหลังหัวเราะอยู่กับตัวเอง ถึงจะโดนแกล้งมากแค่ไหนก็ยังไม่ลืมของรางวัล นี่ล่ะนะเด็กน้อยของเขา จักรพรรดิหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย

หวังว่าภีมจะดีใจกับรางวัลนี้เหมือนที่พี่ดีใจนะ...









ภายในเรือนกุหลาบที่ดูเงียบเหงากว่าทุกครั้งเมื่อเป็นช่วงเวลาปลายปีที่คนในสวนทุกคนต่างพากันกลับบ้านไปหาครอบครัว ร่างโปร่งของภีมภัทรกำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าต้นกุหลาบสีน้ำเงินต้นโปรด บนหน้าคล้ายมีความตื่นเต้นผสมปนเปไปกับความอับอาย สำหรับความรู้สึกแรกมันเกิดขึ้นเพราะเขากำลังตื่นเต้นที่จะได้รับของขวัญจากพี่จักร ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ก็ตื่นเต้นไปก่อนแล้ว ส่วนความรู้สึกที่สองนั้นเป็นผลมาจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องน้ำ และแน่นอนว่าจะไม่มีการพูดถึงมันขึ้นมาอีกเด็ดขาด

“พี่จักรยังเก็บเจ้านี่ไว้...” เครื่องบินกระดาษในมือถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้งหลังจากฉวยโอกาสเอามันมาโดยไม่บอกเจ้าของ หากจะโทษคงต้องโทษที่พี่จักรหยิบมันมาวางไว้บนเตียงเหมือนต้องการให้เขาเห็น รู้ตัวอีกทีก็หุบรอยยิ้มไม่ได้แถมยังถือมาที่นี่ด้วยแล้ว

วันที่พับเครื่องบินกระดาษลำนี้ให้พี่จักรคือวันที่ภีมภัทรเข้าใจว่าเครื่องบินมีเอาไว้ทำอะไรเป็นครั้งแรก จำได้ว่าเพื่อนในห้องพูดถึงเรื่องนี้เพราะมีคนไปเรียนรู้วิธีพับกระดาษมาจากชมรม จากนั้นก็บอกว่าเครื่องบินจะพาเราไปเที่ยวในสถานที่ที่อยู่ไกลๆ ได้ ทุกคนต่างพากันไปเรียนรู้วิธีพับเครื่องบินจากเพื่อนคนนั้น...รวมถึงตัวเขาเองด้วย

“เครื่องบินของพี่ทำให้คนขี้อายยิ้มได้จริงด้วย”

“เครื่องบินของภีมต่างหาก” ภีมภัทรเถียงแล้วหันไปมองคนมาใหม่ เขาเกือบจะกลับไปยิ้มอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่จักรที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ห่างออกไปเกือบสิบก้าวกำลังสวมชุดที่ตัวเองเตรียมไว้ให้

เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีขาวเข้ากับพี่จักรแบบที่คิดเลย...

“ภีมให้พี่มานานแล้ว เพราะงั้นตอนนี้มันต้องเป็นของพี่สิ”

หากนับตามเวลาคงต้องบอกว่ายาวนานจนแทบนึกไม่ถึง ระยะเวลาสิบกว่าปีต้องห่างกัน พวกเขาพบเจอทั้งความสุขและความทุกข์ ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและความเจ็บปวดมากมายกว่าจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้วยังต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวต่างๆ กว่าจะได้ยืนเคียงข้าง หากยังปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกก็ไม่รู้ต้องพบเจอเหตุการณ์ใด ดังนั้นถ้าได้อยู่ด้วยกันจากวันนี้ อย่างน้อยเมื่อต้องพบเจออะไรก็คงไม่ต้องแอบไปนั่งเสียใจเพียงลำพังอีก

สิ่งที่ต้องทำในยามนี้...คือการพูดให้ชัด

“พี่จักร...”

“อย่าเพิ่งเดินเข้ามา”

“…”

“จำได้ไหมว่าระยะห่างของเรามันเคยกว้างกว่านี้...เป็นล้านเท่าเลยล่ะมั้ง” จักรพรรดิมองระยะห่างระหว่างเขากับภีมภัทรอย่างพิจารณา ในใจกำลังคำนวณว่าต้องใช้แรงเท่าไหร่กันกับการพยายามเดินไปด้านหน้า “เพราะภีมไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน ภีมถึงได้แต่รออยู่ตรงนี้ จะหาว่ามั่นใจในตัวเองก็ได้นะ แต่พี่คิดว่าถ้าภีมโตกว่านั้นและรู้ว่าควรหาพี่ยังไง ดูท่าภีมคงจะตามไปหาพี่จริงๆ พี่พูดถูกไหม”

ภีมภัทรอมยิ้มโดยไม่ตอบอะไร เพราะเขาคงจะทำตามที่พี่จักรพูดจริงๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าควรถามใครหรือทำอย่างไรเพื่อให้ตามหาพี่จักรของตัวเองเจอ

“การที่ภีมยังรออยู่ที่เดิมเป็นสิบปีมันคือการพยายามทำเพื่อพี่ที่แทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเด็กผู้ชายคนนั้นคือใคร ภีมก้าวข้ามระยะห่างระหว่างเรามาได้ แล้วภีมยังบอกรักพี่ก่อน...ถึงจะไม่รู้ตัวก็เถอะ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าตกอกตกใจของคนฟัง “พี่ไม่รู้จะตอบแทนยังไง แต่อยากจะขอร้องให้ภีมช่วยรออยู่ตรงนั้นอีกสักนิด...”

“…”

“คราวนี้พี่จะเดินเข้าไปหาภีมเอง”

ถ้อยคำหนักแน่นดังขึ้นพร้อมกับที่ผู้พูดใช้แรงพยุงกายขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่มีราวช่วยจับหรืออุปกรณ์อื่นใดช่วยเหมือนเคย เขาค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขนวีลแชร์แล้วยืนตัวตรงด้วยตนเอง ดวงตาคู่คมทอประกายมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้แบบที่ทำให้คนมองต้องเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกัดกลั้นอารมณ์

ก้าวแรก...เกิดขึ้นอย่างยากลำบากเมื่อร่างสูงใหญ่รู้สึกเหมือนกำลังจะล้มลงได้ทุกเวลา หากเขาก็ยังทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สบดวงตาคู่สวยที่มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ

ก้าวที่สอง...เขารู้สึกเหมือนขาไม่ใช่ของตัวเอง มันทั้งไม่ชินและรู้สึกแปลก

ก้าวที่สาม...คล้ายความรู้สึกยามตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลครั้งแรกและพบว่าตัวเองเดินไม่ได้กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

ก้าวที่สี่...เสียงเหยียดหยามของมินตราที่คอยบอกว่าไร้ประโยชน์ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว

ก้าวที่ห้า...มันสงบ รู้สึกเหมือนชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว บางทีเขาอาจแค่ต้องรอวันตายมาถึงเฉยๆ

ก้าวที่หก...จักรพรรดิตัวเซจนเกือบล้ม เขามองเห็นขาสองข้างของคนที่ยืนรออยู่ขยับ แค่มองก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าอยากเดินเข้ามาช่วยขนาดไหน และนั่นทำให้เขากัดฟันจนกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง

ก้าวที่เจ็ด...มันคือจุดเปลี่ยน เท้าของเขาเหยียดลงบนพื้นอย่างมั่นคง จิตใจจดจ่อเพียงใบหน้าที่มีน้ำตาคลอหน่วยของคนสำคัญ

ก้าวที่แปด...อย่าร้อง อย่าร้องไห้ ใจเขาพร่ำบอกคนตรงหน้า มือเอื้อมเข้าไปหา อีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะแก้มขาวนั้นได้

ก้าวที่เก้า...ขาทั้งสองข้างสั่นเทา คราวนี้มันกลับไปไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าร่างกายกำลังจะล้มลง เขาฝืนตัวเองเพื่อก้าวเท้าอีกครั้ง

ก้าวสุดท้าย...

ร่างสูงใหญ่ล้มลงในอ้อมแขนของคนตัวเล็กกว่า เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจางหายไปไม่เหลือแม้แต่น้อย แล้วภีมภัทรก็ล้มตามลงไปทั้งที่ยังกอดอีกคนไว้แน่น เขาปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลออกมาแล้วสะอึกสะอื้นซุกอยู่กับไหล่ของคนตัวโต

“รางวัลของภีมก็คือพี่...ทั้งจากนี้และตลอดไป” จักรพรรดิผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อเช็ดน้ำตาให้คนขี้แง แต่ยิ่งเช็ดมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งไหลมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเขาจึงยอมแพ้แล้วใช้วิธีโน้มลงจูบหน้าผากมนแผ่วเบา ลากลงมายังดวงตาทั้งสองข้าง และสิ้นสุดอยู่ที่ปลายจมูกรั้น

“พี่จักร...ฮึก...”

“พี่รักภีม”

สิ้นคำสารภาพ ริมฝีปากหยักกดจูบลงบนริมฝีปากบางนิ่งงันโดยไม่รุกล้ำ ความอ่อนโยนและความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้กันและกันจนหมด มันเป็นจูบที่เนิ่นนานและชัดเจนในความรู้สึกของคนทั้งคู่

“ภีมก็รักพี่จักร...รัก...รักนะครับ”

“รู้แล้วครับ...เด็กน้อยของพี่”

จักรพรรดิยิ้มอ่อนโยน เขากดจูบย้ำลงบนริมฝีปากบางเบาๆ อีกครั้งก่อนผละออก สายตาเหลือบเห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่บนหางของเครื่องบินที่ตกอยู่ข้างกายเข้าพอดี

'พี่จักรกับน้องภีม’

มีเรื่องราวชวนยิ้มและชวนหัวเราะมากมายเกิดขึ้นในอดีต หากนึกขึ้นได้ก็คงทำให้มีความสุข แต่ว่าตอนนี้จักรพรรดิคิดว่าหากจำไม่ได้ก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาเชื่อว่าทุกคนจะช่วยกันสร้างความทรงจำครั้งใหม่ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาได้แน่นอน

อดีตก็คืออดีต ต่อให้มีความสุขหรือทุกข์แค่ไหนมันก็เป็นเพียงอดีต ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอดีตคือปัจจุบัน...

ปัจจุบันที่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร

ปัจจุบันที่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตเพื่อใคร

และจักรพรรดิก็เลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข...เพื่อตัวเอง


END



TALK: จบแล้วค่ะ จบจริงๆเลย ระหว่างที่เราเขียนเรื่องนี้เกิดปัญหาขึ้นหลายอย่างมาก ตอนแรกยังกังวลว่าจะเขียนได้จนจบไหม เพราะเริ่มไปแล้วแล้วดันติดฝึกงานพอดี กลายเป็นว่าต้องหายหน้าหายตาไปเกือบห้าเดือน แต่สุดท้ายก็เข็นมาจนจบจนได้ ต้องขอบคุณคุณคนอ่านทุกท่านจริงๆค่ะที่ช่วยสนับสนุนและทำให้เรามีแรง ที่ขาดไม่ได้เลยคือคุณนักกายภาพบำบัดว. ที่ช่วยให้คำปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทำกายภาพของผู้ป่วยแบบพี่จักรโดยเฉพาะ ทั้งเรื่องเวลาและพัฒนาการต่างๆของคนไข้ด้วย พออิงความจริงเข้าไปด้วยพี่จักรเลยหายช้า อันที่จริงแม้จะเป็นตอนสุดท้ายแล้วแต่พี่จักรก็ยังไม่สามารถกลับไปเดินได้คล่องเหมือนเมื่อก่อนนะคะ ยังต้องใช้เวลาต่อไปกว่าจะผ่านพ้นแต่ละช่วงไปได้ แต่คงไม่ต้องห่วงอะไรเพราะภีมก็อยู่ด้วยอยู่แล้ว (แต่ถ้าอยากเห็นพี่เดินได้ก็...ในเล่มเนอะ หรือถ้าไม่สะดวกรอเรื่องต่อๆไปของสามพี่น้องน่าจะมีโผล่มาค่ะ)


สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณอีกครั้งและขอฝากผลงานเรื่องต่อๆไปด้วยนะคะ สามารถติดตามข่าวสาวและการเปิดจองนิยายได้ทางหน้าแฟนเพจหรือหน้าทวิตเตอร์เหมือนเดิมค่า

ปล.เรื่องนี้จะเปิดจองตั้งแต่สามโมงของวันที่ 27 พฤษภาคมจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 นะคะ

รัก
Chesshire.
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 26-05-2018 18:53:32
จบหวานนนนนนน :L3: ตอนแรกอ่านไปร้องไห้ไปสงสาร
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-05-2018 19:16:19
ไม่คล่องวันนี้ ก็คล่องวันหน้าแน่นอน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-05-2018 20:01:39
ฮูเร่ จบอย่างสวยงาม
ขอขำภีมที่ขี้อายไม่เลิกหน่อย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 26-05-2018 21:28:31
จบแบบละมุนละไม  ชอบค่ะ  รอเรื่องต่อไปนะคะ :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-05-2018 21:30:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 26-05-2018 22:31:44
 :katai2-1: ละมุนหัวใจ งื้อออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-05-2018 23:50:29
ละมุนหัวใจจริงๆ ครับ ^^
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 27-05-2018 02:41:18
สนุกค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 29-05-2018 01:31:21
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-05-2018 01:49:30
จบได้แบบอบอุ่นใจมาก :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 29-05-2018 20:33:28
ชอบพล้อตเรื่องมาก​ คือปูเนื้อเรื่องมาแบบทีืตกต่ำสุดๆแล้วก็ปลง​ ปล่อยวางกับทุกสิ่ง​ แล้วก็ความรักที่มั่นคงของนุ้งภีม​ ดีต่อใจมากๆ​ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ​ สนุกมากๆค่ะ​  :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 30-05-2018 07:59:52
ขอบคุณคนแต่งค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[0]==[P.1]== [11/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 31-05-2018 02:21:34
ใครทำอะไรจักร แม่หรอ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 31-05-2018 10:45:00
 :เฮ้อ: แรกเริ่มกลิ่นม่าคลุ้งมาก คืออ่านไปก็ลุ้นไปว่าจะม่าขนาดไหน

ขอบคุณนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 04-06-2018 08:27:12
ชอบคู่นี้มาก
มีความละมุนเบาๆ
อยากอ่านเรื่องน้องเล็กแล้ว
มุข-เกรย์ น่าจะร้อนแรง
รออ่านคู่ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 09-06-2018 05:54:59
ขอยคุณเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 09-06-2018 21:36:39
 :hao5: ละมุนหัวใจชะนีมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-06-2018 21:25:31
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-07-2018 18:36:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 23-07-2018 22:53:05
เป็นนิยายที่อ่านแล้วประทับใจ รักเรื่องนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-09-2018 15:01:19
พี่จักรคือดีมาก แต่กับเราพี่จักรคงไม่อ่อนโยนแง ชอบเวลาสามพี่น้องอยู่ด้วยกันมากค่ะ น่ารักก อยากอ่านแบบตอนเด็กเยอะๆ ฉากจบที่พี่พยายามเดินคือจะร้องไห้ ดีมากๆเลย ขอบคุณค่าาา รอเรื่องฮ่องเต้กับคุณทหารนะคะ เป็นลมเบาๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 16-09-2018 02:25:47
พี่จักรเวลาอยู่กะน้องภีมคือเปิดโหมดคนหลงแฟนมากจ้าา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 22-09-2018 02:05:42
ดีจังงงงง เป็นนิยายที่อบอุ่นมาก
พี่จักรน่ากลัว แต่จะอ่อนโยนกับภีมคนเดียว แต่ภีมก็น่ารักกับพี่จักรแค่คนเดียวเหมือนกัน
สนุกมากค่ะ รับรู้ถึงความรักของทั้งสองคนเลย พี่จักรจะเดินได้แล้ววว
จะติดตามคู่อื่นต่อๆไปนะคะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมา สู้ๆค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-09-2018 19:23:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 14-10-2018 17:53:18
แง้ พึ่งได้มาอ่านเรื่องของพี่จักร ทีแรกเห็นผ่านๆก็กลัวจะดราม่าเลยดองพี่เค้าไว้นานเลยล่ะค่ะ บอกตรงๆว่านิยายของคุณชช.ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย รักเรื่องนี้ไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 20-10-2018 12:55:59
สนุกมากๆ ค่ะ น้องภีมกับพี่จักรน่ารักมากๆ
จะรออ่านน้องเต้กับน้องมุขค่ะ
 :pig4:    :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 17-11-2018 22:35:33
สนุกมากๆ อบอุ่นมากค่า น้องภีมน่ารักมากกก อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พี่จักรก็คือโอ๋น้องสุดอ่อนโยนกับน้องคนเดียว  :-[
ตอนแรกนึกว่าจะเกรย์สองซะแลัว ดันเป็นเกรย์มุขซะงั้น น่ารักเหมือนกัน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะน่ารักมากๆ :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 18-11-2018 01:31:20
ละมุนมากเลยค่ะ อบอุ่นใจจริงๆ
ความรักของภีมยิ่งใหญ่มากๆ
พี่จักรโชคดีที่ได้กลับมาเจอมารักกัน
เราชอบการบรรยายมากเลยค่ะ แต่งดีภาษาดี
ตอนนี้รู้สึกอินกับความรักของทั้งสองคนอ่ะ ฮือออกอดดดด
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhapsodies21 ที่ 13-12-2018 18:13:42
น่าสนใจมากค่ะ ติดตามนะคะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 13-12-2018 21:50:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 20-12-2018 09:34:49
ซึ้งมาก :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 03-03-2019 17:03:56
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 07-03-2019 12:25:51
เนื้อเรื่องสนุกและน่ารักมากค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Piiiimsen ที่ 08-03-2019 22:11:05
เรื่องนี้สนุกมากก มีหลายอารมณ์ความรู้สึก ทั้งโกรธ เศร้า เหงา หัวเราะ ร้องไห้ ครบรสจริงๆ ชอบพี่จักรที่รักภีมมาก และชอบภีมที่รอคอยพี่จักรมานาน เรื่องนี้ถือว่าเป็นนิยายที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 18-12-2019 10:17:52
เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากจริงๆ ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าภีมไม่เหมาะกับคนเจ้าอารมณ์และเต็มไปด้วยความโหดแบบจักรเลย ที่ไหนได้ คิงย่อมคู่กับควีนอ่ะเนอะ

แต่ถึงจะโหดกับใครแต่พอได้อยู่ด้วยกันก็เป็นคู่ที่อบอุ่นน่ารักมากๆ เติมเต็มซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีเลย

ผ่านความทุกข์กันมาเยอะแล้ว ถึงเวลามีความสุขสักทีนะ

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 19-01-2020 14:24:17
อบอุ่นมาก พ่อไมโคเวฟบอยของน้องภีม  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 19-01-2020 20:34:35
 :z13:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 21-01-2020 22:51:59
จบได้อบอุ่นมากเลยค่ะ
ขอบคุณนิยายสนุกๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 31-01-2020 18:46:36
เคยอ่านเมื่อนานมาแล้วและก็กลับมาอ่านอีกครั้ง ก็ยังมีความรู้สึกว่าสนุกและหน้าติดตามเหมือนเดิม ชอบค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:26:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 19-09-2020 15:13:15
สนุกมาก ๆ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Ka.RoN ที่ 23-03-2023 01:09:59
ปักหมุดๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 27-03-2023 14:25:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 13-05-2023 19:09:11
 :กอด1: :กอด1: