-16-
ภีมภัทรรู้สึกตัวเพราะความปวดแปลบที่ศีรษะ ภาพในความทรงจำฉายชัดเหมือนมีใครมากดกรอเทปย้อนกลับ มันเริ่มตั้งแต่ที่เขายืนรดน้ำต้นไม้อยู่ในเรือนกุหลาบแล้วมีคนเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง แค่มองการแต่งกายและจำนวนคนที่เข้ามาพร้อมกันก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นคนของใคร ไม่มีการพูดจาใดๆ เกิดขึ้นเมื่อร่างโปร่งตั้งท่าจะหนี หมัดแรกเหวี่ยงมากระทบใบหน้าจนเขาล้มลงทับต้นกุหลาบของตนเอง จากนั้นกี่เท้าก็ไม่รู้ถึงได้ตามกระทืบย้ำลงมา แต่นั่นก็ไม่เจ็บเท่าการได้เห็นคนเหยียบย่ำต้นกุหลาบที่เฝ้าดูแลรักษามานานหลายปี
ชายหนุ่มมีสติแม้ยามถูกลากตัวไปขึ้นรถ ความสงสัยว่าคนพวกนี้เข้ามาได้ยังไงจางหายไปยามที่เห็นว่ารถมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ที่อยู่ติดกันกับรั้วสวน พวกมันคงจะตัดลวดเพื่อเอารถเข้ามา เขาพยายามฝืนถ่างตาจดจำทิศทางให้ได้มากที่สุด แต่แล้วความปวดแปลบที่ศีรษะก็ทำให้สติหลุดลอยไปจนได้ พอตื่นมาอีกทีก็ไม่รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน
สภาพของสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นห้องที่ทำจากไม้ ไม่มีอะไรตกแต่งทั้งสิ้นนอกจากเก้าอี้หนึ่งตัวที่วางอยู่ไม่ไกลนัก แม้สองแขนจะถูกพันธนาการด้วยเชือก ทั้งยังเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย หากดวงตาคู่สวยก็ยังคงกวาดมองไปรอบด้านอย่างมีสติ
มีหน้าต่างหนึ่งบาน...แถมขายังไม่โดนมัด จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ
“รอข้างนอก”
“ครับคุณหญิง”
ร่างที่เพิ่งพยุงตัวลุกขึ้นสำรวจห้องรีบทรุดตัวเอนพิงกำแพงห้องอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอก ภีมภัทรค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นเสียงของมินตรา แม่แท้ๆ ของพี่จักร และการที่เธอเปิดประตูเข้ามาจริงๆ ก็นับเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี
“ตื่นแล้วเหรอ” เจ้าของร่างบอบบางเหยียดยิ้มขณะนั่งลงบนเก้าอี้ที่เป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวในห้องนี้ แววตาหยามเหยียดกวาดมองสภาพคนของลูกชายด้วยความสะใจที่ฉายชัดทางสีหน้า
“ครับ ตื่นแล้ว”
ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเมื่อเห็นสีหน้าสงบไร้ซึ่งความหวาดกลัวของคนตรงหน้า แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอเป็นต่อ รอยยิ้มเหยียดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ระหว่างรอลูกทรพีของฉัน เธออยากจะถามอะไรไหม”
นี่เล่นตามบทคนร้ายในละครเลยนี่นา...
ภีมภัทรคิดในใจหน่ายๆ ถ้าไม่ติดว่าไม่เหมาะเขาคงหัวเราะออกมาแล้ว แต่ในเมื่อเปิดโอกาสให้แบบนี้ จะถามสักข้อสองข้อคงไม่เป็นไร
“คิดว่าการที่เกรย์ยอมทำลายหลักฐานหรือพี่จักรยอมถอยหลังให้มันจะทำให้คุณอยู่รอดต่อไปได้เหรอ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก...” มินตราหัวเราะเหมือนได้รับคำถามถูกใจ “ฉันจะเอาคิงกลับไปด้วย จะขังมันไว้แล้วล่ามโซ่ที่คอมัน ดูสิว่าคราวนี้ไอ้เด็กเวรนั่นยังจะกล้ามายุ่งเรื่องของฉันอีกไหม”
ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างสวยสง่าเหมือนจะฆ่าให้ตายเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าเหล่านั้น คิดไว้แล้วไม่มีผิด...ผู้หญิงคนนี้วางแผนไว้หมดแล้ว และเธอคิดจะเอาพี่จักรของเขากลับไปจริงๆ แถมยังจะทำร้ายเขาให้มากกว่าเดิมอีกต่างหาก
“โรคจิต...”
เสียงหัวเราะหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินคำพูดไม่เบานักจากปากตัวประกัน
“แกว่าไงนะ”
ภีมภัทรเงยหน้า ดวงตาคู่สวยทอประกายเชือดเฉือนขณะย้ำคำพูดสั้นห้วนไร้มารยาทของตนด้วยความหนักแน่น
“บอก...ว่า...โรค...จิต”
“ไอ้เด็กเวร!”
มินตราลุกขึ้นและก้าวเท้าเข้าหาคนที่นั่งหมดแรงพิงกำแพงอยู่อย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้คิดจะทำอะไรเด็กนี่ไปมากกว่านี้ แต่ในเมื่อมันปากดี บีบคอให้หายแค้นสักรอบคงไม่ถึงตาย ทว่าในวินาทีนั้นเองที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางของคนเจ็บ ร่างบางที่กำลังก้าวเท้าเข้าหาชะงักกึก สัญชาตญาณร้องเตือนให้ถอยห่าง แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อคนที่ควรจะไร้เรี่ยวแรงพุ่งเข้ามาคว้าคอเธอไว้ด้วยมือเดียว
“แค่ก...กะ...แก”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเป็นผู้ชาย เป็นเพศที่ถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งกว่าคุณ ถึงจะไม่อยากทำร้ายผู้หญิง แต่เวลาจนตรอกคนเรามันทำได้ทุกอย่าง คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ”
ภีมภัทรออกแรงกำรอบลำคอบอบบางมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังพูดได้ เขากดร่างหญิงสาวลงกับพื้น มือที่ว่างใช้ปิดปากที่กำลังไอแล้วจึงปล่อยอีกมือออกก่อนที่จะได้ฆ่าคนตายจริงๆ
“คุณ...จับผิดคนแล้ว”
เขาไม่ใช่คนที่จะงอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญ...เขาจะไม่ยอมให้พี่จักรต้องมาลำบากไปด้วยเด็ดขาด
“ทีนี้ผมจะใช้วิธีอะไรหนีไปดีนะ” ร่างโปร่งพึมพำเบาๆ ขณะมองสำรวจรอบห้องอีกครั้ง “ถ้าให้เดาที่นี่คงเป็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ กลางป่า เพราะงั้นถึงได้ยินเสียงสัตว์ด้านนอกชัดนัด แย่หน่อยที่ไม่รู้ว่ามีคนของคุณอยู่กี่คน”
สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปจบอยู่ที่หน้าต่างไม้ซึ่งเปิดแง้มอยู่
“เอาแบบนี้แล้วกัน...”
ภีมภัทรพยุงร่างมินตราให้ยืนขึ้นตาม เขาสบกับดวงตาแดงก่ำของเธอนิ่งแล้วตัดสินใจในที่สุด
“ผมล่ะอยากฆ่าคุณนัก...” ข้อหาที่กล้าทำร้ายพี่จักร
สิ้นคำเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดก็ถูกใช้ไปกับการยกตัวหญิงสาวแล้วเหวี่ยงเธอออกไปนอกหน้าต่างอย่างแรงโดยไม่ออมมือ
“กรี๊ดดดดดดดดด!”
“คุณหญิง!”
เสียงกรีดร้องจากจุดที่ไกลจากตัวบ้านคงล่อให้เหล่าบอดี้การ์ดรีบวิ่งไปทางนั้นได้ไม่น้อย ภีมภัทรรออยู่หลังประตู จวบจนการ์ดคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาเขาจึงใช้ศอกเหวี่ยงใส่หน้าหนุ่มร่างยักษ์อย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มลง และคงเป็นโชคดีที่มีคนเข้ามาเพียงคนเดียว ร่างโปร่งจึงสามารถวิ่งหนีออกไปด้านนอกได้ในที่สุด
ภีมภัทรไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นั่นมานานขนาดไหน แต่ท้องฟ้ามืดสนิทในยามนี้ทำให้เขารู้ว่าตัวเองน่าจะหายมานานพอควร ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่จักรจะเป็นยังไงบ้าง
“ไปทางนั้น!” เสียงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังหนีสะดุ้งน้อยๆ โชคดีที่ภีมภัทรสังเกตมาตั้งแต่ตอนโดนจับว่าคนพวกนี้ไม่มีปืน อาจเพราะไม่กล้าพกข้ามประเทศหรือมินตราไม่คิดว่าต้องใช้ก็ตาม แต่มันก็นับเป็นเรื่องดี
แม้จะเจ็บไปทั้งร่างกายซ้ำยังปวดเท้าที่เปลือยเปล่าไปหมด แต่นอกจากกอดตัวเองไว้แล้ววิ่งต่อภีมภัทรก็มองไม่เห็นหนทางอื่นอีก มือเรียวข้างหนึ่งกุมมีดตอนกิ่งที่ช่วยให้เขาตัดเชือกขาดจนหลุดจากการจับกุมมาได้แน่น ดวงตาคู่สวยที่อ่อนล้าขึ้นทุกขณะสอดส่องมองหาสถานที่หลบภัยเมื่อคิดว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว จนสุดท้ายร่างโปร่งจึงทรุดตัวลงนั่งหลังโขดหินที่อยู่ติดกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
โทรศัพท์ก็โดนยึดไปแล้ว เอายังไงดีนะ...
ภีมภัทรเดาได้ไม่ยากว่าการจับตัวเขามาในครั้งนี้จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคืออะไร คงต้องการให้เกรย์ทำลายหลักฐานทั้งหมดที่มีเป็นประเด็นหลัก ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวบอกว่าจะเอาพี่จักรกลับไปเพื่อให้มั่นใจว่าเกรย์จะไม่กล้าทำอะไรอีก เขาคิดว่ามินตราคงคิดจะทำจริงๆ แต่ดูแล้วเธอคงยังไม่รู้จักเกรย์ดีพอ พี่จักรเคยเล่าเรื่องเกรย์ให้เขาฟัง ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา แค่จับพี่จักรไปไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าประมุขเสียใจขึ้นมา ถึงตอนนั้นเธอคงไม่ได้โดนส่งเข้าคุกเฉยๆ แน่
“ออกมาดีๆ จะได้ไม่เจ็บตัว”
คนที่กำลังนั่งพักสูดหายใจเข้าจนสุดเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นไม่ไกลนัก เขาขยับกายมุดไปอยู่ตรงช่องว่างเล็กๆ ที่ดูมืดมิดไม่เป็นจุดสังเกต เฝ้ารอจนเห็นกลุ่มฝรั่งตัวโตเดินจากไปทางอื่นแล้วจึงผงกหัวกลับมาดูทิศทางเหมือนเดิม
“พี่จักร...” ริมฝีปากซีดพึมพำเสียงแผ่ว แม้ร่างกายอ่อนล้าเต็มทีแต่ใจกลับบอกให้สู้ต่อและเดินไปข้างหน้า ภาพใบหน้าเย็นชาของคนสำคัญที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำทำให้เรี่ยวแรงที่เริ่มขาดหายฟื้นกลับมาอีกครั้ง ภีมภัทรจิกเล็บลงบนท่อนแขนเพื่อเรียกสติ ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบด้านอีกครั้งอย่างสำรวจ ครั้งนี้เขามองเห็นชัดกว่าเดิมมากเพราะเริ่มเคยชินกับความมืด
ป่าที่มืดมิดแห่งนี้คงไม่ได้อยู่ห่างไกลจากสวนรังสิมันตุ์นัก ดูจากลักษณะแล้วคนในพื้นที่อย่างเขาย่อมรู้ว่ามันเป็นป่าที่มีเฉพาะในแถบนี้ ยิ่งประกอบกับเรื่องเวลาที่หลับไปและตื่นขึ้นมาใหม่ก็ยิ่งชัดเจน มินตราน่าจะพาตัวเขามาที่ป่าอีกแถบหนึ่ง อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับสวนรังสิมันตุ์ แถมใกล้ๆ จุดที่เขาอยู่ตอนนี้ยังมีบ่อน้ำอยู่ด้วย แสดงว่าต้องมีบ้านคนหรือไร่ของใครอยู่แถวนี้แน่
ต้องหาคนให้เจอก่อน...
ภีมภัทรวิ่งไปในทิศทางที่เขาเห็นบ่อน้ำ ก่อนรอยยิ้มกว้างจะเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นสายยางต่อยาวไปในทิศทางหนึ่ง ไม่ต้องคิดต่อให้มากความเจ้าตัวก็รีบเดินตามทางไปในทันทีโดยไม่ลืมสังเกตรอบกายอย่างละเอียดตามประสาคนรอบคอบ
“ไร่อาชาวิน”
เพียงแค่เห็นรั้วลวดหนามที่ถูกย้อมเป็นสีขาวเขาก็มั่นใจในทันทีว่าสถานที่ที่เจอคือที่ไหน มาโชคร้ายก็ตรงที่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นด้านหลังเข้าพอดี ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบยกขาขึ้นเหยียบลวดโดยระวังที่สุด แต่ถึงอย่างไรเมื่อปีนข้ามมาได้แล้วมือและเท้าของเขาก็ยังโดนบาดจนเป็นแผลอยู่ดี
ภีมภัทรวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าที่ร่างกายเอื้ออำนวย คาดหวังเพียงให้ใครสักคนในไร่มาเจอ เพียงเท่านั้นเขาก็จะติดต่อกับคนของตัวเองได้เสียที
“นั่นใครน่ะ!” เสียงตะโกนถามพร้อมแสงไฟที่ส่องมาโดยตรงทำให้ต้องหลับตานิ่ง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นบังใบหน้าเอาไว้ขณะที่หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความคาดหวัง
“ผม…”
“คุณภีม! นั่นคุณภีมหรือครับ!”
ภีมภัทรค่อยๆ ลดแขนลงเมื่อแสงไฟที่ส่องหน้าดับไป เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตา และเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้า ความยินดีก็เข้ามาแทนที่แทบจะทันที
“ลุงโสม!”
ประมุขเคยคิดว่าจักรพรรดิในยามบันดาลโทสะน่ากลัวมากจนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าในยามนี้...เมื่อได้มาเห็นพี่ชายในโหมดนิ่งเงียบแต่สายตาฆ่าคนได้ เขาคิดว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า คิดแล้วก็ขยับกายเข้าหาเกรย์มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว มารู้ว่าตัวเองตัวสั่นก็ตอนที่แขนแกร่งของคนข้างกายเอื้อมมากอดเอวไว้ให้คลายกังวล
“เกรย์...” ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจ้าของชื่อพลางพยักพเยิดให้พูดอะไรสักอย่างกับพี่ชายตนเอง แต่เกรย์กลับส่ายหน้าแล้วก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กเสียงค่อย
“คิงในเวลานี้ไม่น่าคุยด้วยเท่าไหร่หรอก”
แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นจักรพรรดิเป็นแบบนี้เหมือนกัน หากมันไม่ใช่เรื่องที่เดายากเลยสักนิด ลองคิดว่าถ้าลูกแกะต้องหายตัวไปกับศัตรูแบบภีมภัทร เป็นเขาก็คงไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น...นอกจากอยากไปไล่ฆ่าให้คนทำมันตายทั้งฝูง
“แต่มันแปลกนะเกรย์...ถ้าจับตัวภีมไปเพราะต้องการอะไรบางอย่าง ทำไมถึงยังไม่ติดต่อมาเสียที” แม้แต่คนหัวช้าอย่างประมุขยังสังเกตเห็นความจริงข้อนี้ มีหรือที่สองหนุ่มจะไม่รู้ เพราะงั้นเกรย์จึงส่งคนออกไปตามหาตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน
“แสดงว่ายัยแม่มดนั่นยังไม่ได้ตัวดอกไม้ของจักรพรรดิยังไงล่ะ”
“หมายความว่าภีมหนีได้เหรอ...” ประมุขเบิกตากว้างด้วยความดีใจและตกใจไปพร้อมๆ กัน
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเป็นแบบนั้น”
จักรพรรดิไม่ได้สนใจเรื่องที่น้องชายกำลังคุยกับเพื่อนสนิท สายตาเขาจับจ้องเพียงโทรศัพท์ของเกรย์ในฝ่ามือตัวเอง เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีการติดต่อมาว่ามีอะไรคืบหน้าแล้วบ้าง
“จักร!” น้ำเสียงร้อนรนจากคนที่เพิ่งมาถึงเรียกความสนใจจากจักรพรรดิได้ไม่น้อย เจ้าของร่างสูงใหญ่เข็นล้อรถเข้าไปหาเจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดหลังเขาโทรไปเล่าเรื่องราว ก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่คุ้นชินนัก
เป็นครั้งแรกที่ยอมก้มหัวให้คนอื่นในรอบสิบปี...
“ผมขอโทษที่ทำให้ภีมเป็นอันตราย”
วิบูลย์ที่กำลังตกใจรีบรับไหว้แล้วเดินเข้าไปแตะไหล่กว้างเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เจ้าของไหล่เงยหน้า ชายสูงวัยกว่าถอนหายใจพลางส่งสายตาอาทรไปให้หลายชายเหมือนเช่นทุกครั้ง
“มันไม่ใช่ความผิดจักร อย่าโทษตัวเองเลย”
“ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความผิดของผมที่ไม่สามารถปกป้องภีมได้อยู่ดี” ทั้งที่อยู่ใกล้กันถึงขนาดนี้ แต่กลับปล่อยให้มีคนเอาตัวไปได้ มันเป็นเพราะเขาไม่เลือกทางที่ถูกต้องตั้งแต่แรก
“ตัวจริงเจ้าภีมมันไม่ใช่เด็กน้อยใสๆ หรืออ่อนโยนแบบเวลาอยู่กับจักรหรอกนะ” คนที่รู้จักภีมภัทรดีกว่าใครคลี่ยิ้มจางทั้งที่ตนเองก็นึกห่วงลูกชายอยู่ไม่น้อย “เชื่ออาเถอะว่าภีมจะต้องไม่เป็นไร”
หัวอกคนเป็นพ่อที่มีลูกชายเพียงคนเดียวมีหรือจะไม่นึกห่วง แต่เขาต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่และมีสติให้ได้มากที่สุด นอกจากตำรวจที่ช่วยออกตามหาแล้วยังมีเกรย์ซึ่งเป็นเพื่อนของจักรพรรดิช่วยด้วยอีกแรง ภีมต้องไม่เป็นไร...วิบูลย์บอกตัวเองเช่นนั้น
แต่ถ้าภีมเป็นอะไรไปล่ะ...
ดวงตาคมทอแววปวดร้าว หัวใจบีบรัดจนปวดไปหมด ยามนี้จักรพรรดิไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับร่างกาย เขาต้องการรู้แค่ว่าเด็กน้อยยังปลอดภัย...ขอแค่เด็กน้อยของเขาปลอดภัย
ภีม...
“ภีม…”
ได้โปรด...
ครืด
มือใหญ่กดรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังออกมา ก่อนเสียงทุ้มต่ำจากปลายสายจะพูดประโยคที่เขาต้องการฟังออกมาในที่สุด
[คนร้ายถูกจับไว้หมดแล้ว ได้รับการยืนยันว่าเป้าหมายหนีไปได้อย่างปลอดภัย กำลังเร่งทำการค้นหาครับ]
ดวงตาคมหลุบลงต่ำขณะแย้มรอยยิ้มยินดี หัวใจที่หนักเหมือนมีหินถ่วงทับไว้นับร้อยก้อนเบาขึ้นมากโขราวกับมีใครมายกมันออกไป แต่แล้วในวินาทีถัดมาดวงตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวเย็นชา แม้ยามถ่ายทอดคำสั่งดุดันก็ยังไม่มีแม้ความลังเลในน้ำเสียง
“มัดพวกมันไว้ให้แน่น ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ เจอภีมเมื่อไหร่ฉันจะไปจัดการเอง”
[แล้วคนที่เป็นผู้หญิง...]
“ไม่มีสิทธิ์พิเศษอะไรทั้งนั้น”
[รับทราบ]
จักรพรรดิเงยหน้ามองบรรดาคนที่กำลังรอลุ้นกับคำพูดของเขา ชายหนุ่มหันหน้าไปหาบิดาของภีมภัทรเป็นคนแรก จากนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คนร้ายถูกจับไว้หมดแล้ว ส่วนภีมดูเหมือนจะหนีไปได้ กำลังเร่งตามหา”
วิบูลย์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือใหญ่ตบเบาๆ ที่ไหล่ของจักรพรรดิเป็นการปลอบทั้งตนเองและอีกคน ในขณะที่ประมุขร้องดีใจออกมาเสียงดังจนออกนอกหน้า แล้วก็โดนคนข้างกายเอามือปิดปากไปตามระเบียบ
“จักร” เกรย์ที่เงียบไปนานเรียกชื่อเพื่อนให้หันมาสนใจด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนคนที่ก้มหน้ายิ้มยินดีอยู่ต้องหันกลับไปมอง “จะเอายังไงกับคนพวกนั้น”
สิ้นประโยคคำถามใบหน้าคมคายยินดีพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายน่ากลัว ดวงตาคมไม่มีวี่แววของความเห็นใจหรือความลังเลใดใดอยู่อีก แม้ยามพูดประโยคแรกที่ออกมาจากใจจริงก็ไม่มีท่าทีเหมือนจะล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“ใจจริงฉันอยากฆ่ามันนัก” โชคดีที่ในห้องนี้นอกจากเกรย์แล้วไม่มีใครฟังภาษาฝรั่งเศสออก มิเช่นนั้นจักรพรรดิคงถูกมองด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว “ส่งหลักฐานทั้งหมดที่มีนำไปให้ตำรวจก่อน ขอให้ฉันได้คุยอะไรด้วยสักหน่อยแล้วค่อยส่งตัวกลับไปดำเนินคดี”
“จะเอาข้อหาหนักขนาดไหน”
“หนักที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
เกรย์หัวเราะเบาๆ อย่างนึกสนุก โทรศัพท์ของตัวเองที่ถูกยึดไปรอฟังข่าวถูกโยนคืนมาให้เมื่อหมดประโยชน์ เขาส่ายหน้าหน่ายกับความไร้มารยาทของเพื่อน ใช่ว่ามันไม่รู้เสียหน่อยว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีมูลค่ามหาศาล แต่เพราะมันไม่สนใจว่าอะไรจะเป็นตายร้ายดียังไงถึงได้กล้าทำ
ดูท่าจิตใจด้านดีคงจะจางหายไปด้วยยามไม่มีเด็กน้อยของตัวเองยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อไม่มีเรื่องใดให้พูดคุยต่อบรรยากาศจึงกลับมาสงบเงียบและเคร่งเครียดอีกครั้ง ถึงตอนนี้จะมั่นได้ว่าภีมภัทรปลอดภัยแล้ว แต่สำหรับคนที่อยากเห็นหน้าและอยากให้กลับมาอยู่ข้างกายคงยังไม่อาจคลายกังวล นานหลายนาทีที่พวกเขาเอาแต่เงียบกันอยู่แบบนั้น จวบจนเมื่อเสียงโทรศัพท์ของจักรพรรดิดังขึ้น ทุกสายตาถึงได้หันกลับไปจับจ้องเขาอีกครั้ง
เบอร์แปลก...แถมยังโทรเข้ามาในเวลานี้
ไม่ต้องคิดให้มากความมือใหญ่ก็รีบกดรับโทรศัพท์ ใจภาวนาเป็นร้อยๆ รอบขอให้เป็นสายจากคนที่คาดหวัง
[พี่จักร...]
“ภีม…” เสียงเรียกขานราวกับคนที่กำลังบาดเจ็บและได้รับความช่วยเหลือของเขาทำให้ประมุขน้ำตาคลอ
จักรพรรดิไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดให้ใครเห็นเลยนับตั้งแต่ภีมภัทรหายตัวไป มีเพียงความน่ากลัวเท่านั้นที่ส่งผ่านมาทางสีหน้า แต่เขาก็รู้...รู้ว่าภายในใจของพี่ชายกำลังหวาดกลัวและเจ็บปวดมากเพียงใด เพียงแค่ไม่อยากให้ใครเห็นมันก็เท่านั้น
โชคดีจริงๆ ที่ภีมไม่เป็นไร...
“ภีม...อยู่ที่ไหน”
[ภีมอยู่ที่ไร่อาชาวินครับ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสดใส [ภีมไม่เป็นไรเลย ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายด้วย พี่จักรไม่ต้องเป็นห่วงนะ]
“ภีม…”
[พรุ่งนี้คนที่ไร่จะพาภีมไปส่ง พี่จักรนอนไปก่อนได้เลยนะ]
“ภีมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ดวงตาคู่คมแดงก่ำยามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
[ไม่...ไม่เจ็บ]
ไม่เจ็บแล้วทำไมเสียงสั่นแบบนั้น
“ภีม…”
[พี่จักรนอน...]
“พี่จะไปหา...” เขาเอ่ยแทรกเสียงสั่นๆ ที่พยายามบังคับให้สดใสของเด็กน้อย ก่อนจะย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้งให้ภีมภัทรมั่นใจ “พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้”
[…]
“…”
เนิ่นนานกว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังแทบใจสลาย
[รีบมานะครับ]
.
.
(ต่อด้านล่าง)