❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 79275 ครั้ง)

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด


2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)


18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************


❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣


เมื่อแม่น้ำสายหลักที่ไหลพาดผ่านมหานครเมืองหลวง
ได้นำพาซึ่งสิ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมา
กลับมา...สู่อ้อมกอดของหัวใจ

ฉับ!!!

ไม่ใช่ละ โรแมนติกเกินไป แต่ถือว่ามันก็เป็นจริงตามนั้นนะ
ผม "เจ้าพระยา" ผู้ปรารถนาอยากเป็นที่รักสำหรับคนรอบข้าง
แต่..
คำว่า "เป็นที่รัก" ผมไม่หวังที่จะเป็นสำหรับทุกคนหรอก
เพราะสำหรับผม คำๆนี้ มันมีเพียงไม่กี่คน ที่จะได้เป็น...


*********************************


ตารางเดินเรือ


ตารางเดินเรือด่วนพิเศษ



สวัสดีค่ะ เขินจัง เป็นนัก(หัด)เขียน มือใหม่ เราแค่อยากพาเขาผู้อยู่ในความคิดเรามานานมากแล้วมาให้ทุกคนรู้จัก

"เจ้าพระยา"

น้องที่น่ารัก น่าเอ็นดู น่าจับมาม้วนๆละกลืนลงท้อง ฮ่าๆ ยังไงของฝากน้องเจ้าพระยาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
สามารถติ ชม แนะนำได้เสมอนะ จะพยายามทำให้น้องเจ้าพระยาเป็น

"เจ้าพระยาที่รัก"

สำหรับทุกคนให้สุดความสามารถนะคะ

**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันของผู้แต่งเท่านั้น
บุคคลหรือเหตุการณ์ในนิยายไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดในโลกความเป็นจริง


พูด คุย ติ ชม ได้ผ่านทางแท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ของทวิตเตอร์นะคะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2018 13:51:22 โดย chomistry »

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
บทนำ

(พาความรัก)


          สายลมเย็นๆยามพระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าพัดปะทะเข้ากับใบหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวออกสีส้มอมชมพูที่สะท้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ที่กระทบผิวน้ำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มพริ้วไหวล้อตามแรงลมดูไม่เป็นทรงแต่กลับรับกับใบหน้าเรียวนั้นเป็นอย่างดี เจ้าของใบหน้าเรียว ที่มีรูปร่างบางสมส่วนกำลังหลับตาพริ้มยืนรับลมอย่างสบายใจอยู่บริเวณท้ายเรือของเรือโดยสารเจ้าพระยา 3 ที่แล่นตามแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองหลวงของเรา แม่น้ำที่เขารู้สึกคุ้นเคยและผูกพันธ์มากที่สุด

ใช่แล้ว ผมกำลังเพลิดเพลินเจริญใจกับบรรยากาศในตอนนี้ ขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านครับ
จนกระทั่ง…


ซ่าาาาาา~~~~~~~~~


“เฮ้ย!!!!”

ครับ -.-” นั่นเสียงผมเอง ส่วนเสียงแรก ไม่ต้องสืบ หลักฐานปรากฎอยู่บนเส้นผมและใบหน้าผมเลย เปียกชื้นไปทั้งตัว

“โถ่เอ้ยยยยย ซวยอะไรขนาดนี้เนี่ย”
 

ผมสบถบ่นงึมงำกับสภาพของตัวเองตอนนี้ คลื่นน้ำที่กระเด็นมาตามแรงแหวกของเส้นทางเดินเรือของเรือที่แล่นสวนทางไป ไม่รู้เครื่องจะแรงไปไหน แรงคลื่นนี่สาดมาไม่ยั้งเลย เฮ้ออออ เอาวะ ยังไงก็ใกล้ถึงบ้านแล้ว  ดีนะที่เป็นขากลับ ถ้าโดนเมื่อเช้าตอนนั่งไปมหา'ลัย สภาพคงแย่กว่านี้

มาครับ ไหนๆก็สภาพแย่ละ ช่วงยืนตากลมให้เสื้อแห้ง ขอพูดถึงตัวเองสั้นๆหน่อยละกัน
สวัสดีครับ ผมชื่อ เจ้าพระยา แต่จะสะดวกเรียกเจ้า เรียก ยา ก็เอาที่สบายใจได้เลยครับ แต่ถ้าเรียกพระนี่ อืมมมมม อย่าเลยดีกว่า ชื่อนี้พ่อผมเป็นคนตั้งให้ เพราะพ่อขอแม่แต่งงานบนเรือโดยสารเจ้าพระยาตอนแดดร่มลมเย็นๆนี่แหละ เป็นไงล่ะพ่อผม โรแมนติกมาก ดีใจแทนแม่จริงๆ ตอนนี้ผมเพิ่งเป็นเฟรชชี่ คณะเภสัชศาสตร์ เห็นงี้น้องยาก็ว่าที่หมอยานะคร้าบบบบบบ ส่วนนิสัย...เอาไว้ค่อยๆเรียนรู้ผมไปนะ


~~~~ บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง~~~~~


เสียงริงโทนเพลงร่มสีเทาจากโทรศัพท์สีขาวขนาด 7.5 นิ้วของผมดังขึ้นในกระเป๋ากางเกงข้างขวา ผมจึงล้วงมือเข้าไปเพื่อหยิบออกมาดูว่าผู้โชคดีที่โทรเข้ามาฝังเสียงรอสายตู๊ด ตู๊ดของผมคือใคร


•My Darling•


มุมปากของผมยกขึ้นเพื่อยิ้มให้กับชื่อที่ปรากฎก่อนจะกดรับสายด้วยเสียงที่หวานที่สุด อิอิ

“สวัสดีคร้าบบบบ ที่รัก”

(จ่ะ ที่รัก ใกล้จะถึงบ้านหรือยังจ๊ะ)

“ใกล้แล้วครับผม ถึงสะพานพุทธฯแล้ว”

(แล้ววันนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า)

“ซี่โครงหมูทอดกระเทียมพริกไทย ขอเค็มๆเลยนะ”

(ตายๆ เค็มแบบเจ้าชอบ คงได้เปลี่ยนไตเดือนหน้าแน่ๆ)

“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ทำแบบไหนมาเจ้าก็ชอบหมดแหละ กับข้าวฝีมือที่รักอร่อยที่สุด”

(ปากหวานซะจริงลูกคนนี้ งั้นแค่นี้นะลูก แม่จะได้รีบทำของโปรดรอ)

“คร้าบบบบ เจอกันที่บ้านนะครับผม”

ติ๊ด!

ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์หลังวางสายจากปลายสายผู้ที่รัก เมื่อกี้นี้แม่ผมเองครับ ต้องมีคนแอบคิดว่าผมคุยกับแฟนแน่ๆ ฮ่าๆ ผมเรียกแม่ว่าที่รักจนชินแล้วอ่ะ แถมเมมเบอร์แม่ด้วยชื่ออันหวานหยดย้อยนั้นอีก เพราะสาเหตุมาจากผมแค่อยากแกล้งพ่อ ก็พ่อผมน่ะ หวงแม่มากกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัวได้มั้ย กับผมยังหวงเลยคิดดู ผมแกล้งพ่อแบบนี้มาตั้งแต่ ม.4 จนถึงตอนนี้ก็ชินไปละ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยน เพราะแม่เป็นที่รักของผมจริงๆ

พอเงยหน้าจากโทรศัพท์ ก็พบว่าใกล้ถึงท่าเรือที่ผมจะลงแล้ว จึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าข้างเดิม มือกระชับกระเป๋าสะพายข้างใบโปรดเพื่อเตรียมเดินไปยืนรอบริเวณตรงท้ายเรืออีกฝั่ง ที่สำหรับก้าวขึ้นท่าเรือที่ผมจะลง


ปี๊ดดดดดดดดดดดด~~~~~


เสียงนกหวีดจากพี่กระเป๋าเรือเมล์แผนกรจนาคล้องมาลัย(ผมตั้งให้เองแหละ)ที่ดูแลตรงส่วนท้ายเรือ พี่แกรับหน้าที่คล้องเชือกจากเรือเข้ากับเสาบริเวณท่าเรือที่ต้องจอด เหมือนตอนรจนาโยนมาลัยให้เงาะป่า ฮ่าๆ

“ยอดพิมานจ้า ยอดพิมาน ใครลงเตรียมตัวเลยจ้า ใครยังไม่ลงเดินเข้าในตรงไปหัวเรือเลยจ้า ชิดในๆ เผื่อที่ให้ผู้โดยสารขึ้นด้วยยยยยย”


เสียงตะโกนดังซ้ำๆจากกระเป๋าเรือเมล์แผนกเก็บเงิน ด้วยคำพูดที่แสนคุ้นเคย ประหนึ่งเปิดคลิปเสียงวนซ้ำไปซ้ำมา ผมที่พร้อมจะลงท่ายอดพิมานอยู่แล้ว ก็สาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้บริเวณที่มีเส้นเชือกหนาคล้องเสาเป้็นที่กั้นแทนประตู สำหรับผมช่วงเวลาการก้าวขึ้นหรือลงเรือนั้นต้องระวังมากๆนะ เพราะมันค่อนข้างอันตรายจริงๆ ถ้ากะจังหวะไม่ถูก ก็อาจจะก้าวพลาดได้เลยล่ะ

เมื่อเรือจอดเทียบท่าสนิทดีแล้ว พี่กระเป๋าเรือเมล์แผนกรจนาคล้องมาลัยที่ทำหน้าที่คล้องเชือกเสร็จ ก็ปลดที่กั้นเพื่อให้ผู้โดยสารบนเรือก้าวออกไปก่อน ผมขอมีสมาธิก้าวออกจากเรือแปบนะครับ


ตึก ตึก

ใจเต้นปกตินี่แหละครับ ฮ่าๆ


เอาล่ะคนข้างหน้าผมก้าวออกไป ผมก็ก้าวตามด้วยความเชี่ยวชาญแต่ระมัดระวังเสมอ จึงต้องก้มดูช่องว่างระหว่างเรือกับท่าเรือด้วย เมื่อก้าวพ้นมาได้ไม่ถึงสามก้าว ทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้า เลยไม่ทันได้มองเห็นผู้โดยสารที่จะเตรียมก้าวขึ้นเรือ

“อ๊ะ!”

หวืดดดดดดดดดด~~~

หมับ!!!

เหมือนโลกหยุดนิ่ง ใจผมตกไปที่ตาตุ่ม เพราะมัวแต่ก้มหน้าเลยเดินชนคนอื่นจนเกือบหงายหลัง ผมหันกลับไปมองข้างหลังก็เห็นว่าตัวเองยืนห่างจากริมท่าเรือแค่นิดเดียวเอง

“ฟู่ววววววว เกือบไปแล้ว” ผมพ่นลมหายใจทางปากอย่างโล่งออก

แรงบีบที่ต้นแขนทำให้ผมรู้สึกตัวว่ามีคนช่วยไว้ไม่ให้หงายหลังตกน้ำไป ผมจึงหันกลับไปข้างหน้าตัวเองอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้าก้มตากล่าวขอบคุณคนที่ช่วยจับแขนผมไว้

“อืม เดินดีๆ” เสียงราบเรียบดุจกระดาษบางเอ่ยขึ้น คนอะไรเสียงเย็นชาจัง ขอดูหน้าหน่อยเหอะ

พอผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังคงจับแขนผมอยู่ก็พบว่า...

โอ้โห นี่คนหรือเทวดาวะเนี่ย ทำไมหล่อจนน่าอิจฉาขนาดนี้ ใบหน้าเรียบเนียนเหมือนก้นเด็กกับผิวสีน้ำผึ้ง จมูกโด่งได้รูปรับกับสันกรามที่ชัดเจนของเขา คิ้วเข้มที่เข้ากับตาคมดุ แววตาชวนให้น่าหลงใหลสุด นี่พระเจ้าตั้งใจปั้นเกินไปแล้วววววว ผมอยากมีสีผิวแมนๆแบบนี้บ้างงงง

ว่าแต่...ทำไมเขายังไม่ปล่อยแขนผมอีกนะ ขอบคุณไปแล้วด้วย ละนี่มาจ้องหน้ากันทำไม เอ๊ะ หรือมีเศษโคลนจากน้ำที่กระเด็นมายังติดหน้าอยู่

“เอ่อ..คะ...คุณ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถามพร้อมยกมือขวาที่ว่างขึ้นมาเช็ดหน้าจนทั่ว

“....” เงียบ

“มีอะไรติดหน้าผมหรอครับ” หรือเขาโกรธที่ไปชนเขา

“....” ยังคงเงียบ

“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ชน พอดีมัวแต่ก้มมองช่องว่าง เลยไม่ทันเงยหน้าดู ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยจับผมไว้นะครับ” ผมพูดเสร็จก็ตามด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ผมชอบทำ ยิ้มกว้างตาหยี ยิ้มที่เพื่อนสนิทผมเรียกว่า ยิ้มแบบเด็กอนุบาล ยิ้มแบบที่จะช่วยให้เขาไม่โกรธ

“....” เงียบต่อไปอีก โอ้ยยยย เป็นใบ้หรือไงคร้าบบบบ

“เอ่อ คุณ คุณ!! ปล่อยแขนผมก่อนดีมั้ย เรือจะไปแล้วนะ” ผมเรียกเขาเสียงดัง พร้อมบอกให้เขาปล่อยแขน เพราะผู้โดยสารคนอื่นขึ้นเรือไปหมดแล้ว ไม่กลัวตกเรือหรือไง

“ฮะ!! ว่าไงนะ” เขาสะดุ้ง แล้วถามกลับมาเสียงเรียบเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่ปล่อยแขนผม

“คือผมบอกว่า ปล่อยแขนผมก่อน แล้วรีบขึ้นเรือเถอะครับ  เรือจะออกแล้ว” ผมพูดทวนให้เขาฟังอีกที พร้อมยกมือขวาชี้นิ้วหัวแม่มือไปด้านหลัง

 
เขามองตามมือผมที่ชี้ไปด้านหลังแล้วจึงหันกลับมามองมือตัวเองที่ยังจับต้นแขนข้างซ้ายของผมอยู่

“อืม ไปละ”ตอบเสียงคุมโทนเรียบเหมือนเดิม พร้อมกับปล่อยมือออกจากต้นแขนผม

“ครับ ขอโทษและขอบคุณอีกครั้งครับ” ผมพูดพร้อมก้มหัวเชิงขอบคุณ แล้วก็เบี่ยงตัวเพื่อเดินเข้าไปในอาคารของยอดพิมาน

“เดี๋ยว!”

ผมชะงักเท้าที่จะก้าวเดิน แล้วหันกลับไปมองตามเสียงเรียกด้วยความสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า แต่…” เขาชะงักคำพูด แต่ตาคมยังคงจ้องมาที่ผม

“...” ผมเลิกคิ้วขี้นเป็นเชิงถามว่า แต่อะไร?

.
.

ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม” เขาตอบพร้อมยกยิ้มมุมปาก ส่งสายตาที่เดาความหมายไม่ออกมาให้ผม


“...” เอ่อ ผมเงียบสิทีนี้

เขาไม่พูดอะไรต่อ แค่หันกลับไปขึ้นเรือที่จอดรออยู่ เดินไปยืนตรงท้ายเรือที่เดียวกันกับที่ผมยืนก่อนหน้านี้

ผมก็ได้แต่ยืนมองตามเรือที่แล่นออกไปช้าๆพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังไปทั่วบริเวณ แต่ในโสตประสาทผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไร มีแต่ประโยคนั้น


ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม


กับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว

“เรารู้จักกันหรอ” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่มั่นใจมากว่าไม่เคยรู้จักคนๆนี้ หน้าตาก็ไม่เห็นคุ้นเลย

ผมยกยิ้มพร้อมส่ายหัวไล่ความคิดเกี่ยวกับคำถามมากมายในหัว ยังไงก็ไม่ได้เจออีกอยู่แล้ว จะสงสัยอะไรเนี่ย ได้เวลากลับบ้านแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงหันหลังเดินกลับเข้าตัวอาคารยอดพิมานเพื่อเดินกลับบ้านในทางที่คุ้นเคย


โดยที่ผมไม่รู้เลยว่า...ยังมีสายตาคู่นึงจ้องมองผมจากที่ๆไกลออกไปเรื่อยๆจบลับสายตา







*TBC
04/09/2017

*****************************************************

นัก(หัด)เขียนมือใหม่ ขอฝากน้องเจ้าพระยาไว้พิจารณาด้วยนะคะ แหะๆ เขินอ่ะ เคยแต่เป็นนักอ่าน แต่คราวนี้อยากลองแต่งเองบ้าง

ยังไงแนะนำ ติติงได้นะคะ จะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ

พูดคุย แนะนำผ่านแท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ในทวิตเตอร์ได้นะคะ

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 1

เกียร์ไหน ใครคือเกียร์


“กลับมาแล้วครับ” ผมเอ่ยเสียงดังตรงประตูทางเข้าบ้านอย่างที่ทำเป็นประจำเมื่อกลับมาถึงบ้าน

บ้านผมเปิดธุรกิจค้าขายดอกไม้อยู่ย่านปากคลองตลาด เป็นร้านที่จำหน่ายดอกไม้ทั้งปลีกและส่ง รวมถึงมีสาขาอื่นๆทั่วเมืองหลวงที่บริการจัดและส่งดอกไม้ตามความต้องการของลูกค้าในโอกาสต่างๆ

เดินเข้ามาในบ้านก็จะผ่านส่วนของตัวร้านก่อน ผมชอบกลิ่นของบ้านผมมากๆ กลิ่นของดอกไม้นานาชนิด มันช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เพราะแม่ผมจะนำดอกไม้ที่มีกลิ่นไม่แรงและเข้ากัน มาจัดภายในร้านอย่างสวยงาม ส่วนดอกไม้กลิ่นแรงก็จะเก็บไว้ในตู้แช่อย่างดี เวลาลูกค้ามาเลือกซื้อดอกไม้ที่ร้านถึงจะนำออกมาจำหน่าย

“อ๊ะ” ขณะที่กำลังเพลิดเพลิน ผมก็ได้รับรู้ถึงแรงกอดรัดจากทางด้านหลัง ผมยกยิ้มเมื่อสัมผัสกับแขนเล็กที่กอดรอบตัวผมอยู่

“กลับมาแล้วหรอพี่เจ้า มาสอนการบ้านเค้าหน่อย การบ้านเคมีย๊าก ยาก” คนตัวเล็กบ่นอุบ แล้วเอาคางมาเกยไว้ที่ไหล่ข้างขวาของผม

“อื้ม ได้สิ แต่ต้องหลังอาหารเย็นนะ เพราะตอนนี้พี่หิวมากๆเลยพา” เอ่ยต่อรองคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม พร้อมเอามือลูบท้องประกอบการโอดโอย

“เย้! พี่เจ้าของพาใจดีและเก่งที่สุด งั้นเราไปหาแม่ในครัวกัน” คนตัวเล็กกระโดดดีใจ ใบหน้าขาวมีสีหน้าแห่งความสุข ปากยิ้ม ตาหยี หน้าเอ็นดูจริงๆ

“อื้ม ไปสิ” เอ่ยตอบพร้อมยิ้มกว้างให้น้องสาว

คนตัวเล็กที่มาพันแข้งพันขาผมนี่ น้องสาวผมเอง ชื่อ พารัก เรื่องชื่อก็พ่อผมนี่แหละที่ตั้งให้ คล้องจองกับชื่อผมเอง เจ้าพระยา-พารัก โรแมนติกสุดๆ น้องผมเรียนอยู่ ม.5 ในโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านนี้แหละ พารักเป็นเด็กน่ารัก...สำหรับคนอื่น สำหรับผมนี่ หึหึ เป็นสุดแสบของผมเลยล่ะ แต่ผมก็รักของผมนะ ฮ่าๆ

เมื่อเดินถึงหน้าห้องครัว กลิ่นอาหารอันหอมหวลก็ลอยมาปะทะกับจมูกผม กลิ่นนี้เป็นสารเรียกน้ำย่อยได้ดีเลยทีเดียว แต่ก่อนจะถึงครัวน้องพาวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของเธอ เห็นว่าได้เวลาดูรายการเพลงเกาหลีอะไรของเขานี่แหละ

“ที่รัก  ของโปรดของเจ้าเสร็จหรือยังครับ” เอ่ยถามพร้อมสวมกอดที่รักผู้เป็นแม่จากด้านหลัง

ฟอด~~~~

ฉวยโอกาสหอมแก้มสักที คิคิ

“หื้ม เสร็จแล้วจ๊ะ กำลังเก็บของนิดหน่อย เจ้าจะทานมื้อเย็นเลยมั้ยลูก แม่จะได้ให้พี่หวานตั้งโต๊ะเลย”

“ทานเลยแม่ เจ้าหิวมากๆ อยากกินกับข้าวฝีมือแม่ละเนี่ย”

“ปากหวานได้ใครมาเนี่ยลูกคนนี้” แม่ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่พร้อมบีบจมูกผมเบาๆ

“ทายาทของพ่อซะอย่าง เหมือนพ่อแน่นอนครับ ฮ่าๆ”

“เอ๊ะ แล้วนี่ไปทำอะไรมา เสื้อชื้นๆนะเจ้า” แม่คลายมือผมที่กอดเอวแม่อยู่ แล้วพลิกตัวหันมาเอามือลูบตรงเสื้อที่ชื้นๆ

“แหะๆ น้ำกระเด็นใส่อีกแล้ว”

“ไงล่ะ ชอบจังเลย นั่งเรือเนี่ย แม่บอกให้ขับรถไปก็ไม่ยอม”

“ไม่เอาอ่ะแม่ ผมไม่ชอบการไปนั่งดูทะเบียนท้ายรถคนอื่นบนถนน น่าเบื่อแย่ กว่าจะถึงมหา’ลัย อีกอย่าง เจ้าชอบบรรยากาศตอนนั่งเรือมากกว่า มันเพลินดี” ผมพูดพลางส่ายหัวให้กับประเด็นแรก แล้วก็ยิ้มกว้างพรีเซนต์เหตุผลตัวเองให้ผู้เป็นแม่ฟัง

“เอาเถอะ แล้วแต่ลูกเลยจ๊ะ เอ...พารักไปไหนล่ะลูก ไปตามน้องมาทานข้าวไป เดี๋ยวแม่จะให้พี่หวานตั้งโต๊ะละ”

“ครับผม”


ผมเดินขึ้นชั้นสองไปตามน้องพารักมาทานข้าวตามคำบัญชาของคุณแม่สุดสวย น้องสาวผมพักชั้นสอง ชั้นเดียวกับพ่อแม่ ส่วนผมยังหนุ่มยังแน่น ชั้นสามนู่นเลย

มื้อเย็นวันนี้ก็ทานอาหารกันไม่พร้อมหน้าเท่าไหร่ เพราะพ่อผมไม่อยู่ครับ ไปดูงานที่สวนดอกไม้ของครอบครัวที่เชียงใหม่
บ้านผมที่กรุงเทพนั้นอยู่กัน 4 คน มีพ่อ แม่ ผม และน้องพา ส่วนคุณตา คุณยาย กับญาติๆนั้นอยู่เชียงใหม่ มีสวนดอกไม้เป็นของตัวเองและมีนำเข้าพันธุ์ดอกไม้จากต่างประเทศด้วย เป็นธุรกิจครอบครัวที่แท้จริง

ระหว่างทานอาหารก็พูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ แต่หนักไปทางฟังน้องพาบ่นเรื่องที่โรงเรียนมากกว่า พอทานเสร็จก็แยกย้ายกันขึ้นห้องเพื่อทำความสะอาดร่างกายกันสักหน่อย สภาพผมที่ปล่อยแห้งมาก็รีบจัดการตัวเองอย่างว่องไวเพื่อรีบไปสอนการบ้านให้น้องพา รายนั้นนะถ้าสอนค่ำเกินไปก็จะงอแงไม่ฟังคำอธิบาย จะให้เฉลยคำตอบให้อย่างเดียว


-------------------------------------------


ก็อก ก็อก ก็อก

“เข้ามาเลยพี่เจ้า พาไม่ได้ล็อค” เสียงใสเอ่ยบอกผมผ่านบานประตูที่กั้นอยู่ ผมจึงหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูเข้าไปตามคำอนุญาต

“ไงเรา จะให้พี่สอนอะไร หลับในห้องเรียนหรือไงถึงต้องให้พี่มาสอนเนี่ย”

“ไม่หลับเลยเหอะพี่เจ้า แต่ครูเขารีบสอนไปไหนไม่รู้ กระพริบตาทีก็เปลี่ยนหน้าละ” เจ้าของเสียงใสบ่นอุบพร้อมยู่ปาก อมลมจนแก้มป่อง ทำอะไรก็น่ารักไปหมดนะน้องผม

“ฮ่าๆ มาๆไหนข้อไหน” ผมตัดบทรีบสอน ก่อนที่จะมีการบ่นยาวกว่านี้

~~บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง~~

เสียงริงโทนคุ้นหูของผมดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง bang bang ขาสั้นที่ผมชอบใส่นอน ผมจึงล้วงมือเข้ากระเป๋าเพื่อหยิบมาดูรายชื่อ

-ภาคพิสดาร-

มุมปากของผมยกขึ้นให้กับชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ ชื่อที่ตั้งใจตั้งให้สุดๆ ผมจึงเงยหน้าบอกน้องพาว่าขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกห้องแปบนึง

ติ๊ด!

(ไอ้เจ้าาาาาา!!)

เสียงเรียกชื่อผมจากคนในสายทำเอาผมต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกจากหู จะตะโกนทำไมวะเนี่ย

“มีไรมึง จะตะโกนทำไม หูจะแตก” ผมทำเสียงบ่นทีเล่นทีจริงใส่คนในสาย

(ไอ้เจ้า ช่วยกูด้วย มึงต้องช่วยกูนะเจ้า) เสียงร้องขอจากปลายสายที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว

“มึงเป็นไรภาค เกิดอะไรขึ้น”

(คืออย่างนี้มึง วันมะรืนนี้คณะกูเขามีพิธีไหว้ครู แล้ววันนี้ตอนเย็นพวกพี่ปี 2 ก็เรียกประชุมปี1 เรื่องทำพานไหว้ครู เพราะมีการประกวดระหว่างภาคในคณะด้วย แล้วมึงคิดดู ภาคโยธาแบบพวกกู แทบไม่ต้องสืบว่าปัญหาตอนประชุมเรื่องนี้คืออะไร) เจ้าของเรื่องบ่นยาวด้วยน้ำเสียงเครียด แต่ผมฟังแล้วตลกนะ

“ฮ่าๆ กูพอเดาได้ว่ะ แล้วสรุปยังไง” หลุดหัวเราะออกไปจนได้ และพอเดากับประเด็นหลักของเรื่องที่มันโทรมาหาผมได้ละ

(เอ้า ก็สรุปว่าไม่มีใครทำพานเป็นไงมึง กูเลยยกมือเสนอพี่ๆว่าให้จ้างทำเอา พี่แม่งตะโกนใส่หน้ากูเลยว่า กาก เขาบอกว่าต้องทำด้วยตัวเองให้ได้ ไม่งั้นโดนซ่อม)

“ฮ่าๆ” หัวเราะใส่ไปอีกที

(มึงจะขำอะไรเนี่ย กูเครียดอยู่นะเว้ย ทั้งรุ่นกูแม่งไม่มีใครทำพานเป็น ผู้หญิงในรุ่นยังทำไม่เป็นเลยมึง)

“แล้วมึงโทรหากู คือจะให้ช่วยอะไร รีบๆเข้าประเด็น กูสอนการบ้านน้องพาอยู่ ให้อีก 3 นาที” ผมรวบรัดตัดบทแกล้งทำเสียงเข้มใส่เพื่อนตัวแสบ เพราะเดาได้แล้วว่ามันจะให้ผมช่วยยังไง

(มึงมาช่วยกูทำพานหน่อยนะไอ้เจ้า กูขอร้อง มีมึงคนเดียวที่จะช่วยกูได้ เอ๊ะ ไม่สิ ไอ้อินอีกคน มึงพามันมาช่วยกูด้วยนะ นะๆๆๆๆ) ปลายสายส่งเสียงอ้อนวอน ถ้าอยู่ตรงหน้า ผมว่ามันลงไปคุกเข่าอ้อนวอนแน่ๆ

“กูจะช่วยได้หรอวะ ก็พี่มึงบอกว่าต้องช่วยกันทำเอง แล้วกูกับไอ้อินไปนั่งทำ พวกมึงจะไม่โดนซ่อมหรอวะ” ย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัย

(ช่วยได้ดิมึง เรื่องนั้นเดี๋ยวกูเคลียร์กับรุ่นพี่กูเอง มึงสบายใจได้ ขอแค่มึงตกลงมาช่วยกูก็พอ นะๆไอ้เจ้า เอาดอกไม้จากร้านมึงด้วย คิดราคาเต็มไปเลย ทำเสร็จเดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวมึงอีกเอ้า อยากกินอะไรบอกมาเลย กูจะสรรหามาให้) เพื่อนผมเข้าสู่ช่วงโปรโมทบริการหลังการขายกันเลยทีเดียว แถมเอาของกินมาล่ออีก หึหึ คิดว่าผมจะปฏิเสธมั้ยล่ะ ไม่ได้เห็นแก่กินนะ คิคิ

“ก็ถ้ามึงว่าไม่มีปัญหาก็โอเค แต่พวกกูคงไปช่วยตอนบ่ายนะ มีเรียนตอนเช้าว่ะ”

(โอ้ย ไอ้เจ้า กูดีใจชิบหาย ขอบคุณมึงมากๆ พรุ่งนี้กูจะไปช่วยมึงขนดอกไม้แต่เช้า แล้วไปส่งมึงถึงหน้าคณะเลย ขอบคุณจริงๆนะมึง ที่ช่วยพวกวิศวะกากๆอย่างพวกกู) เสียงดีใจจากปลายสายทำผมยกยิ้มพร้อมส่ายหัวให้กับคำพูดมัน

“เออ พรุ่งนี้ก็มาแต่เช้า เจอกันมึง แล้วเรื่องเลี้ยงข้าว ห้ามเบี้ยวไม่งั้นมึงเจอกู”

(ฮ่าๆ โอเคๆ ไม่เบี้ยวแน่นอน กูรู้ว่าเรื่องกินมึงจริงจัง เจอกันๆ ขอบคุณอีกครั้งมึง)

“อืม บาย”

(บาย)

กดวางสายด้วยรอยยิ้มจากเพื่อนสุดแสบ เพื่อนผมคนนี้มันชื่อ ภาค ครับเป็นเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่เรียนมัธยมต้น กลุ่มของเรามีกัน3คน มีผม ไอ้ภาค และอิน ไอ้ภาคมันเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมโยธา ส่วนผมกับอิน เรียนคณะเดียวกัน ตอนเรียนมัธยมจะทำอะไร ไปไหน ก็มีกัน 3 คนตลอด สนุกดีนะครับมีเพื่อนอย่างพวกมัน ส่วนนิสัยเพื่อนของผม ก็เรียนรู้พวกมันไปพร้อมๆกับเรียนรู้ผมนะครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าอาจจะปวดหัวกับไอ้ภาค ฮ่าๆ

หลังจากเคลียร์ปัญหาช่วยเพื่อนอันเป็นที่รักแล้ว ผมก็กลับไปสอนการบ้านน้องพาจนเสร็จ แล้วถึงได้เดินไปเคาะห้องแม่ บอกถึงเรื่องที่ไอ้ภาคจะซื้อดอกไม้ที่ร้านแล้วให้ผมไปช่วยทำพานในวันพรุ่งนี้ ผมกับแม่ แล้วก็พี่หวานจึงต้องมาช่วยกันจัดดอกไม้และอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับจัดพานเตรียมไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่รีบจนอาจจะลืมอะไรไป


--------------------------------------------


เช้าวันใหม่ที่ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะไอ้ภาค เพื่อนตัวดี มันโทรมาปลุกผมตั้งแต่ตี 5 เพราะมันกลัวมาช้าแล้วผมเปลี่ยนใจ โถ่ ไอ้ภาค พอจัดการเตรียมของเสร็จประมาณ 6 โมงเช้า ผมก็ยกของทั้งหมดมาไว้ที่หน้าร้าน ใช้เวลาไม่นานรถของไอ้คุณภาคก็มาจอดเทียบหน้าร้านผม

ปริ้น ปริ้น~~~

เสียงแตรของรถสัญชาติญี่ปุ่นคันหรูสีดำเงาวับ และเป็นตัวท็อปของรุ่นก็ดังขึ้น เรียกให้แม่และผมเดินออกไปดูหน้าร้าน พอดีกับที่เจ้าของรถเปิดประตูลงมาพร้อมกับเสียงทักทาย

“สวัสดีครับแม่ แม่ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” ไอ้ภาคยกมือพุ่มไหว้แม่ผมพร้อมเอ่ยทักทาย ตามต่อท้ายด้วยประโยคเอาใจตามแบบฉบับของมันที่ทำเป็นประจำเวลาคุยกับแม่ผม

“แหม ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะลูก” แม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุน สายตาเอ็นดูกับคำพูดของไอ้ภาค

“มึง มาเลย รีบมาขนของขึ้นรถ เดี๋ยวรถติดแล้วไปไม่ทันนะเว้ย กูมีเรียนแปดครึ่ง” ผมรีบตัดบทสนทนาระหว่างไอ้ภาคกับแม่ เพราะเดี๋ยวจะยาว

“เออๆ มา เดี๋ยวกูยกเอง หุ่นอย่างมึงไม่ต้องยกหรอก มึงขึ้นไปนั่งบนรถให้สบายใจได้เลยคุณเพื่อนผู้มีพระคุณ” ไอ้ภาครีบตอบรับเอาใจผม และอาสาจะยกของเองทั้งหมด มีหรือผมจะปฏิเสธ หึหึ

ผมยกมือไหว้แม่ พร้อมกล่าวขอตัวไปขึ้นรถเตรียมไปเรียน ก่อนขึ้นก็หอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ เลยได้รับการหอมกลับคืนมาเป็นกำลังใจในการเรียนวันนี้ แล้วเดินไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พาตัวเองขึ้นไปนั่งรอไอ้ภาคยกของ

“แม่ ผมไปแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับ เดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายผมจะฝากเจ้ามานะ” ไอ้ภาคยกมือไหว้ พร้อมกล่าวลาแม่ผม หลังจากขนของเสร็จมันก็ขึ้นมานั่งฝั่งคนขับเตรียมพร้อมเดินทางไปมหาวิทยาลัย

“จ้าๆ ขับรถดีๆนะลูก ไม่ต้องรีบ แล้วถ้าพานเสร็จแล้วอย่าลืมถ่ายรูปมาให้แม่ดูด้วยนะ อยากรู้ว่าฝีมือของเจ้าจะตกรึยัง” แม่เอ่ยพร้อมยกยิ้มแซวผม

“ระดับนี้แล้วแม่” ผมเอ่ยตอบแม่เสียงดังด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกมือข้างนึงมาตบอกแสดงความมั่นใจ เพราะฝีมือการทำพานของผมได้รับมาจากแม่หนิ ก็มั่นใจว่าสุดยอดแน่นอน

“จ้า ลูกแม่เก่งจ้า เอ้า ไปได้แล้วลูก เดี๋ยวจะสาย”

“คร้าบ” ผมกับไอ้ภาคตอบพร้อมกัน ก่อนจะเร่งเครื่องให้รถออกตัวไปตามเส้นทางที่จะต้องการจะไปถึงจุดหมาย


------------------------------------------------


มหาวิทยาลัย U


รถเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัย และกำลังมุ่งหน้าไปทางคณะเภสัชศาสตร์

“เจ้า มึงจะไปที่คณะกูเองหรือให้กูมารับ?” ไอ้ภาคถามผมระหว่างที่ตามันยังมองถนนตรงหน้า ทางที่จะไปคณะผม

“เดี๋ยวกูไปเองดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา มึงก็เตรียมของที่คณะไว้รอกูละกัน”

“เออ เอางั้นก็ได้” มันตอบพร้อมเปิดไฟเลี้ยวแสดงสัญญาณชิดซ้ายเพื่อจอดหน้าคณะผม

“เอ้อ แล้วก็อย่าเปิดกล่องโฟม หรือให้ใครจับดอกไม้บ่อยนะ เดี๋ยวมันจะช้ำ เอาไปไว้ที่เย็นๆได้ก็ดี”

“โอเคครับคุณเจ้า กระผมจะดูแลดอกไม้เป็นอย่างดี ไม่ให้ช้ำแน่นอนครับ” ภาคเอ่ยตอบล้อเลียน หน้าหมั่นไส้ชิบหาย

“เออดี งั้นกูไปละ บาย” บอกลามันก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วย้ายตัวเองออกมายืนส่งมัน จนมันเคลื่อนรถออกไป

พอพ้นสายตาผมก็หันหลังเดินเข้าไปในคณะ กระชับกระเป๋าสะพายเดินผ่านโต๊ะไม้ที่บริเวณลานใต้คณะ บริเวณที่สำหรับให้นิสิตนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือพบปะพูดคุยกัน

“เจ้า เจ้า ทางนี้” เสียงคุ้นเคยที่เรียกชื่อผม ทำให้ผมชะงักเท้าที่จะเดินไปทางลิฟต์ แล้วหันไปตามเสียงเรียก ก็พบใบหน้าคุ้ยเคยที่มีรอยยิ้มส่งมาให้ ซึ่งเจ้าตัวยกมือเรียกผมอยู่

ผมพยักหน้าแล้วเดินไปในทิศทางที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้

“ไงอิน ทำไมมาเช้าจัง” ผมกล่าวทักทายเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนของผม

“เช้าอะไร กูก็มาเวลานี้ปกติ มึงอ่ะทำไมมาเช้า” อินย้อนถามผม เพราะผมมาเช้ากว่าปกติจริง ฮ่าๆ แต่ทุกครั้งที่มาก็ไม่ถือว่าสายนะ

“อ้อ พอดีไอ้ภาคมันไปรับกูแต่เช้าอ่ะ”

“หืม ไอ้ภาคไปรับ? ปกติมึงมาเรือหนิ แล้วทำไมวันนี้มากับไอ้ภาค” อินขมวดคิ้วถามผม

“ก็วันนี้มันจะให้กูกับมึงไปช่วยพวกมันทำพานไหว้ครูที่คณะมัน แล้วสั่งดอกไม้ร้านกูด้วย มันเลยอาสาขับรถไปรับแล้ว” ผมตอบคลายความสงสัยให้อินฟัง

“เดี๋ยวนะๆ ทำพานอ่ะกูเข้าใจละ แต่เมื่อกี้เหมือนกูได้ยินมึงพูดว่า 'กูกับมึง' นี่อย่าบอกนะว่ากูต้องไปช่วยมันด้วย”

“อืม มึงฟังไม่ผิด มึงต้องไปช่วยมันทำพานกับกู โอเคนะ”

“โห้ยยยยย อะไรวะ อยู่มหา’ลัยแล้ว กูยังต้องมาทำพานอะไรแบบนี้อีกหรอวะ” อินบ่นอุบแถมยังยู่ปากใส่ผมอีก

“เออ เอาน่ะ ถือว่าช่วยมัน มันบอกจะเลี้ยงข้าวตามใจเราเลยนะเว้ย” ผมเอาอาหารมาล่ออินมันจะได้เลิกงอแง

“นี่สินะ สินบนที่มันติดมึงไว้ ไอ้เจ้า ไอ้คนเห็นแก่กิน” อินเอ่ยว่าผมแบบไม่จริงจังพร้อมยกนิ้วชี้ชี้หน้าผม

“สรุปไปช่วยมันนะอิน” ผมถามย้ำถึงความสมัครใจอีกครั้ง

“เออ ปฏิเสธได้หรอวะ” อินตกลงแบบเต็มใจ

“ปะ ไปเรียนกัน เดี๋ยวลิฟต์คนเยอะ แถวยาวอีก” จบเรื่องผมก็ชวนอินขึ้นไปรอที่ห้องเรียน

นี่แหละอิน เพื่อนสนิทอีกคนของผม เรา 3 คนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่มันก็เป็นความลงตัวอย่างนึงที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้



----------------------------------------------------



ผ่านพ้นการเรียนช่วงเช้าไปได้ด้วยดี สภาพผมกับอินยังใช้ได้อยู่ ไม่เหมือนไปรบมาเท่าไหร่ ผมกับอินเลยชวนกันไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารของคณะก่อน ถึงจะไปช่วยภาคทำพานที่คณะ พอกินข้าวเสร็จผมกับก็นั่งเมล์วนไปคณะวิศวะฯ ซึ่งเป็นรถเมล์ของทางมหา’ลัย ซึ่งมันจะขับวนรอบจนทั่วมหา’ลัย รอนาน แต่สะดวกดี

เมื่อก้าวลงจากรถหน้าคณะวิศวะฯก็ตัดสินใจโทรหาภาค บอกถึงการมาของผมกับอิน เอาง่ายๆคือ ไม่กล้าเดินทะเล่อเข้าไปในคณะมันหรอกครับ ขึ้นชื่อว่าคณะวิศวะฯ ผมคิดอิมเมจในหัวได้แบบเดียวเลยคือ เซอร์ โหด เถื่อน ถึงความจริงจะไม่เป็นงั้น แต่ขอเกรงไว้หน่อยนึง เดี๋ยวจะไม่รอดกลับคณะ


ตู๊ด........ตู๊ด..........


“ฮัลโหลภาค กูกับอินอยู่หน้าคณะมึงละ”

(อ่าว ทำไม...เออๆ เดี๋ยวกูออกไปรับ) ไอ้ภาคตอบรับเหมือนจะถามอะไร แต่มันคงเดาได้ทันที ถึงได้ตัดบทจะออกมารับเลย

“อืม โอเค”

ติ๊ด


รอไม่นานก็มองเห็นเพื่อนสนิทรูปร่างสูง 185 เซนฯแบบหุ่นนักกีฬา มีมัดกล้ามและเส้นเลือดโผล่พ้นแขนเสื้อจนน่าอิจฉา ผิวขาวแบบคนมีเชื้อสายจีน คิ้วเข้ม ตาตี่ ปากเป็นกระจับได้รูป ทรงผมอันเดอร์คัทรับกับใบหน้าเนียน ตามสูตรสำเร็จของเดือนคณะ วิ่งออกจากตัวอาคารมาทางผม ครับ ไอ้ภาคเป็นเดือนคณะวิศวะฯปี 1

“ไง กินข้าวเที่ยงกันมายัง พวกเพื่อนกูนัดรวมตัวเริ่มทำกันตอนบ่ายโมงอ่ะ”

“กินแล้ว ให้กูเริ่มทำกันไปก่อนก็ได้ จะได้รีบเสร็จ” ผมตอบไอ้ภาคแล้วเสนอความคิดเห็น เพราะมันก็บอกว่าเพื่อนมันทำไม่เป็น ผมจะรอทำไมล่ะ

“ว่าแต่พวกมึงมีแบบพานที่อยากได้กันปะ ออกแบบกันไว้มั้ย” อินเป็นฝ่ายถามออกไป

“หึ ไม่มีมึง ทำยังทำไม่เป็นกัน ไม่มีใครเสล่อออกแบบหรอก” ภาคอธิบายความกากเรื่องงานฝีมือของตัวเองและเพื่อนร่วมคณะ

“งั้นดีละ พวกกูจะได้ทำแบบไม่ยากมาก คนอื่นๆจะได้เชื่อว่าพวกมึงทำ ฮ่าๆ” อินเอ่ยตอกย้ำความกากใส่ไอ้ภาคอีกรอบ

“เออ แบบไหนก็ได้ งั้นเข้าไปกันเถอะ กูกับเพื่อนยกของลงมาเตรียมไว้ให้ละ เราจะทำพานกันที่โต๊ะม้าหินใต้อาคารนี่แหละ เผื่อทำถึงค่ำจะได้มีแสงไฟ” ไอ้ภาครีบตัดบทก่อนจะโดนตอกย้ำไปมากกว่านี้

ผมกับอินก็รีบก้าวตามไอ้ภาคไป เพราะอยากรีบทำเหมือนกัน รีบเสร็จ รีบกลับ เอาความจริงคือผมก็ไม่อยากอยู่นาน รู้สึกเกร็งๆ กับเพื่อนผมก็เฟรนด์ลี่ดี๊ด๊าแหละ แต่กับคนอื่น ขอก่อกำแพงไว้นิดนึงละกัน

เมื่อเราสามคนเดินเข้ามาถึงโต๊ะใต้คณะวิศวะ ก็เห็นกล่องและถุงดอกไม้วางไว้ พร้อมอุปกรณ์สำหรับงานฝีมือที่ผมเตรียมใส่กล่องมาอย่างดีตั้งรออยู่แล้ว ผมมองไปรอบๆบริเวณนั้น ก็พบเด็กวิศวะฯนั่งกันอยู่หลายกลุ่ม มีทั้งใส่ชุดนักศึกษาธรรมดา ไม่ก็ใส่เสื้อช็อปคู่กับกางเกงยีนส์ การแต่งตัวของแต่ละคน อืมมมม หาคนถูกระเบียบยากแฮะ ผมละความสนใจจากบริเวณรอบข้าง แล้วมาช่วยอินเอาดอกไม้ ใบตอง เข็ม ด้าย แม็ก ลวด ออกมาเตรียมไว้ หลังจากนั้นก็ช่วยกันคิดแบบพานไหว้ครู แบบพานก็คงเป็นแนวเรียบหรู ไม่อลังการแต่คงความละเอียดของการเย็บบายศรีไว้ ผมกับอินเลือกทำในส่วนที่เป็นงานฝีมือแบบละเอียดก่อน ทำแยกเป็นชิ้นๆไว้ จะได้ให้พวกเด็กวิศวะฯมาช่วยกันประกอบเอง

สรุปแบบกันได้แล้วก็เริ่มลงมือทำ ผมนำใบตองมาเช็ดด้วยน้ำมันมะกอกแล้วก็เจียดใบตองให้มีขนาดเท่ากันๆ ส่วนอินก็เอาลวดมาดีดให้เป็นรูปกลีบบัว เพื่อเป็นโครงในการเย็บบายศรี ผมกับอินทำเป็นก็เพราะว่าแม่ผมนี่แหละ เมื่อก่อนที่ร้านจะรับจ้างทำพานไหว้ครู พานบายศรีต่างๆ คนที่ทำก็คือแม่ผม คราวนี้พอเห็นแม่ทำได้สวยมากๆ ผมที่เป็นคนชอบอะไรที่ท้าทาย ขี้สงสัย ก็เลยอยากคลายความสงสัยว่างานแบบนี้ผู้ชายทำได้มั้ย ก็เลยขอให้แม่ลองสอน พอทำไปทำมามันก็เพลิน เหมือนได้ฝึกสมาธิ หลังจากนั้นก็ช่วยแม่ทำมาตลอด เวลาอินมาเล่นที่บ้าน ผมก็จะชวนมันมาทำด้วย ตอนแรกคิดว่ามันจะไม่ชอบ ที่ไหนได้ชอบทำมากกว่าผมอีก มีช่วงหลังนี่แหละที่ร้านไม่ค่อยรับงาน เพราะการขยายตัวของร้าน การเพิ่มสาขา แม่ก็เลยไม่มีเวลารับงานแบบนี้ ผมกับอินก็ห่างหายไปจากงานฝีมือพอสมควรแต่ก็ไม่มีทางลืม

ระหว่างที่ทำอยู่เพื่อนๆของไอ้ภาคก็มารวมตัวกัน ผมประมาณด้วยสายตาก็ประมาณ 6-7 คน จากที่เห็นมีผู้หญิงแค่ 3 คน เธอทั้ง 3 คนก็เดินมาทางที่ผม อิน และไอ้ภาคนั่งอยู่

“ภาค เริ่มทำกันแล้วหรอ” หนึ่งในสามคนทักไอ้ภาค

“อื้ม เพื่อนเราเริ่มทำไปละส้ม เอ้อ ส้ม มิวซ์ แยม นี่เจ้ากับอิน เพื่อนเรานะ” ไอ้ภาคแนะนำผมกับอินให้เพื่อนผู้หญิงทั้งสามคนรู้จัก แต่ผมยังจำไม่ได้หรอกว่าใครชื่ออะไร รู้แต่ว่า น่ารัก ฮ่าๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้า อิน ว่าแต่ทำอะไรอยู่อ่ะ มีอะไรให้พวกเราช่วยบ้าง” คนนี้น่าจะชื่อแยมมั้ง เอ่ยถามผม

“อ่อ ทำบายศรีอยู่อ่ะ แบบนี้” ผมตอบพลางยื่นบายศรีที่ทำเสร็จแล้วให้เธอดู

“โหววววว เจ้า นี่เจ้าทำเองหรอ สวยมากอ่ะ งานละเอียดโคตรๆ เห้ยๆ พวกมึง มาดูนี่ เพื่อนไอ้ภาคทำโคตรสวย” แยมตาโตเมื่อเห็นบายศรีที่ผมยื่นให้ดู พร้อมหยิบไปดูใกล้ๆ แถมยังหันไปเรียกเพื่อนคนอื่นๆมาดูอีก

สิ้นเสียงของแยม เพื่อนไอ้ภาคคนอื่นๆก็กรูกันเข้ามาดูใกล้ๆ

เชี่ย ทำได้ไงวะ สวยวะ

ฝีมือโคตรละเอียด

เราเป็นผู้หญิง เรายังไม่สามารถเลยอ่ะ เรายอมเจ้ากับอินเลย

แต่คนทำน่ารักนะ ไม่แปลกใจที่ทำได้


และยังมีอีกหลายเสียงชม เสียงวิจารณ์

“พวกมึงถอยเลย เพื่อนกูกลัว เดี๋ยวมันก็ทำไม่สะดวกหรอก” ไอ้ภาครีบออกปากไล่เพื่อนมันให้ถอยออกจากผมกับอิน

“แบบนี้พวกกูก็แทบไม่ต้องทำไรแล้วดิ เพื่อนมึงฝีมือเทพขนาดนี้” เสียงเพื่อนผู้ชายคนนึงของไอ้ภาคเอ่ย

“ไม่รู้เว้ย แต่พวกมึงต้องสแตนบายด์รอ เอ้อ เจ้า มีอะไรให้พวกกูทำก็บอกนะ” ไอ้ภาคตอบเพื่อนมันก่อนจะหันมาพูดกับผม

“ก็เดี๋ยวรอพวกกูทำบายศรีเสร็จ ก็จะให้ช่วยกันประกอบอ่ะ พวกมึงจะได้มีส่วนร่วม พี่มึงจะได้ไม่สั่งซ่อม” ผมอธิบายให้ไอ้ภาคฟัง แต่ระดับเสียงก็พอที่จะทำให้เพื่อนมันทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ยิน

“เจ้าใจดีว่ะ แถมน่ารักอีก” เสียงเพื่อนมันอีกคนพูดขึ้นมา ผมหันไปมอง เจ้าของเสียงพูดก็ยิ้มให้ผม

“อะไรมึงไอ้แทน กูรู้นะมึงคิดอะไร นี่เพื่อนกู อย่าแม้แต่จะคิด” ไอ้ภาคตะโกนสวนเพื่อนมันทันที ตามสไตล์คุณพ่อของกลุ่ม ฮ่าๆ

ไม่ต้องแปลกใจ ผมกับอินโดนบ่อยจนมันต้องสถาปณาตัวเองเป็นไม้กันหมาดูแลพวกผม ทำไมถึงโดนแซวบ่อยน่ะหรอ ก็เพราะ...

“เอ้า ไอ้ภาค ก็เจ้าน่ารักจริงๆนี่นะ หุ่นก็บาง ขาวก็ขาว หน้าตาก็น่ารัก แก้มก็น่าหยิก กูเป็นผู้หญิงกูยังยอม จริงมั้ยพวกมึง” มิวซ์ที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้น แถมยังหันไปถามความเห็นคนอื่น

“จริง!!!!” อะไรจะพร้อมใจกันตอบพร้อมกันขนาดนั้น


ตามนั้นแหละครับ


ผมนี่ก้มหน้าก้มตาทำบายศรีต่อเลย อยากเถียงใจจะขาด แต่นี่ไม่ใช่ถิ่นผมไง ถึงจะมีไอ้ภาคอยู่ก็ยังไม่ชัวร์ในความปลอดภัย ความเงียบคือทางที่ดีที่สุด เพราะอินมันยังเงียบเลย

เพราะถ้าอินไม่เงียบ อินโดนหนักกว่าผมแน่ เพราะรายนั้นนะ เหลือแค่ไว้ผมยาว มันก็จะแยกไม่ออกทันทีว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย มันหน้าหวานมาก ตัวบางกว่าผมอีก นิสัยมันแมนๆนะ แต่กายภาพมันโคตรเหมือนผู้หญิง




มีต่อด้านล่างนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2017 13:00:28 โดย chomistry »

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
“น้องๆคะ เป็นไงกันบ้าง ถึงไหนกันแล้ว” เสียงผู้หญิงคนนึงดังมาจากด้านหลังผม เพราะผมนั่งฝั่งที่หันหลังให้ตัวอาคารที่เป็นโถงรอลิฟต์

“เอ่อ กำลังทำครับพี่” ไอ้ภาคตอบคำถามเขา ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่มัน

“ไหน ขอดูหน่อยว่าทำอะไรกันบ้าง” พี่เขาพูดพลางเดินอ้อมมาด้านหน้าผมกับอิน

“เอ๊ะ หน้าน้องสองคนไม่คุ้นเลยนะคะ ปี 1 โยธาจริงหรอ” รุ่นพี่คนนั้นมองหน้าผมสลับกับอิน แล้วก็เอ่ยถาม ผมกับอินนั่งมองหน้ากัน ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกมา

“เอ่อ พี่มิ้นครับ นี่เจ้ากับอิน เพื่อนผมครับ เอ่อ คือมันไม่ได้เรียนภาคเราหรอก มันเรียนอยู่เภสัชฯ แหะๆ” ไอ้ภาคตอบคำถามนั้นแทนผมสองคนด้วยใบหน้าแหยสุดฤทธิ์ ผมหันไปมองทางเพื่อนคนอื่นของมัน ก็ทำหน้าเหรอหราซีดเป็นไก่ต้มกันหมด ไอ้ภาคเอ้ย ไหนมึงบอกว่าเคลียร์ได้ไงวะ

“อ่าว เรียนเภสัชฯ แล้วทำไมมาทำพานให้เรา” พี่มิ้นแกยังคงถามต่อไป

“คือผมเองพี่ ผมไปขอให้มันมาช่วยเอง พวกผมทำกันไม่เป็น จะจ้างเขาพี่ก็ไม่ให้จ้าง ผมก็เลยต้องไปขอร้องเพื่อนผมนี่แหละ ถ้าโดนซ่อม ผมรับผิดชอบคนเดียวก็ได้” ไอ้ภาคอธิบายเสียงอ่อยให้พี่มิ้นฟัง

“เห้ย ไม่ได้ดิภาค ถ้าโดนซ่อมก็รับผิดชอบร่วมกันหมดนี่แหละ” เพื่อนไอ้ภาคที่ชื่อแทนพูดขึ้นมา ดูท่ามันจะสนิทกับไอ้ภาคที่สุดละ

“เดี๋ยว ใจเย็น พี่ยังไม่ได้ว่าอะไร แต่พี่แค่เกรงว่าจะมีปัญหาเฉยๆ คืองี้ วันนี้พี่ปี 3 จะลงมาดูหลังเรียนเสร็จ นี่พี่ลงมาบอกก่อน เดี๋ยวปี 2 ก็คงลงมาพร้อมกัน ก็คิดคำอธิบายไว้ละกัน” พี่มิ้นอธิบายยาวเหยียด แต่คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ดูจากสีหน้าไอ้ภาค แม่งเครียดชิบหายละนั่น

“ห๊ะ!! พี่ปี 3 ลงมาดูเลยหรอ เอาไงวะเนี่ย” เพื่อนๆชาววิศวะปี 1 เริ่มบ่น

“แล้วจะบอกเหตุผลพี่ปี 3 เขาว่ายังไงล่ะ” พี่มิ้นถามเพิ่มเติม

“เอ่อ…” ไอ้ภาคติดอ่าง

“....” เพื่อนคนอื่นเงียบ


ผมคงต้องช่วยมันสินะ


“เอ่อ พี่ครับ ผมขออธิบายเหตุผลที่มาช่วยเพื่อนได้มั้ย” ผมเอ่ยถามพี่มิ้นออกไป

“ไหนว่ามาซิ พี่ก็อยากรู้ ทำไมเราถึงมาช่วย”

“ก็ผมเป็นเพื่อนสนิทไอ้ภาค บ้านผมก็เป็นร้านขายดอกไม้ การที่มันจะคิดขอความช่วยเหลือผม คนที่ทำพานเป็นก็ไม่แปลก เอาจริงๆ ที่ผมตกลงช่วยมันเพราะผมเสียดายดอกไม้ กว่าจะปลูกได้ กว่าจะโต กว่าจะออกดอก ถ้าต้องเอามาให้ไอ้ภาคทำพานเอง หรือคนอิ่นๆที่ไม่รู้จักวิธีใช้ดอกไม้ทำพาน ผมว่าดอกไม้ผมจะตายเปล่า ผมไม่ได้ดูถูกใครนะ แต่ผมแค่หวงดอกไม้ แล้วอีกอย่างผมไม่ได้มาทำเองทั้งหมดจนเสร็จหรอกครับ ผมทำแค่ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น เหมือนเป็นวัสดุ เดี๋ยวผมก็ให้พวกเขาช่วยกันประกอบเองตามความถนัดของเด็กวิศวะฯไง แต่คงจะช่วยยืนบอกนิดหน่อย พานไหว้ครูเขาเอง เขาก็ต้องช่วยกันประกอบเอง พี่อย่าโกรธพวกมันเลยครับ” ผมร่ายเหตุผลยาวเหยียด พอสิ้นเสียงผม ความเงียบก็ปกคลุมทั่วบริเวณคนกลุ่มนั้น พี่มิ้นยืนยิ้มมองหน้าผม ส่วนวิศวะปี 1 ที่นั่งรอบๆผมอยู่ ก็ตาโต อ้าปากค้างมองหน้าผม เห้ย ผมจะโดนเพื่อนไอ้ภาคยำตีนมั้ย ไปดูถูกพวกมัน

“ยังไงพี่เอาใจช่วยนะ แต่พี่ว่าไม่มีอะไรหรอก เราก็ไม่ได้ผิดเงื่อนไขอะไรนะ ไม่ได้จ้าง แค่มีคนมาช่วย” พี่มิ้นพูดให้กำลังใจทำลายความเงียบก่อนจะเดินกลับไปยังทางขึ้นลิฟต์ คิดว่าน่าจะกลับขึ้นไปเรียน ปล่อยให้ผมกับอินอยู่ท่ามกลางวิศวะปี 1 ที่ยังไม่เลิกจ้องผม

“ไอ้ภาค ถ้ากูกระโดดกอดเจ้า มึงจะด่ากูมั้ยวะ” จู่ๆเพื่อนมันคนนึงก็พูดขึ้น

เออ นั่นดิ เจ้าโคตรใจดี

เจ้า มาเป็นแฟนส้มเถอะ โอ้ย น่ารักแล้วใจดีอีก

กูจีบเจ้าได้มั้ยวะ


และอีกหลายเสียงที่โหยหวลกับความใจดีของผม

“หยุดเลยพวกมึง พอๆ...ไอ้เจ้า กูไม่รู้จะขอบคุณมึงยังไงว่ะ แต่เหตุผลมึง กูว่าช่วยให้กูรอดแน่ๆ ถึงจะตอกย้ำความกากของพวกกูก็เถอะ กูไม่ถือ” ไอ้ภาคตัดบทเพื่อนมันก่อนจะหันมาพูดกับผม

“เออ ไม่เป็นไร เลี้ยงกูให้คุ้มค่ากับความเสี่ยงของกูก็พอ” ผมเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กับไอ้ภาคกับเพื่อนๆของมัน

ส่วนอินที่เงียบไปไม่ต้องสงสัย ผมเห็นมันนั่งตัวสั่นตั้งแต่พี่มิ้นเดินมามองหน้าละ เข็มที่เย็บบายศรีจะทิ่มมือมันหลายรอบแล้ว ผมเลยเอื้อมมือไปแตะบ่าอิน ก่อนจะยิ้มให้เป็นเชิงบอกว่า ไม่มีอะไร

นั่งทำกันไปพักใหญ่ๆ พวกวิศวะปี 1 ก็วนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปซื้อสเบียงบ้าง บางคนอยากช่วยก็เข้ามาถาม มาช่วยหยิบจับ งานเดินหน้าในระดับที่น่าพึงพอใจเลย

ตอนนี้บายศรีเสร็จครบทุกชิ้นแล้ว เหลืองานใบตองที่ไม่ยากมากอยู่บางส่วน ผมได้สอนพวกวิศวะฯสานใบตองลายตะขาบสำหรับเอาไว้พาดล้อมปิดหมุดที่ปักยึดใบตอง ดูจะสนุกกันใหญ่ บางคนทำออกมาอย่างกับตะขาบอะเมซอน ตัวใหญ่มาก ฮ่าๆๆ

“ถึงไหนกันแล้วเด็กๆ” เสียงพี่มิ้นดังมาอีกครั้ง ผมที่นั่งหันหลังให้อยู่ไม่ทันได้เห็นว่ารอบนี้พี่มิ้นไม่ได้มาคนเดียว พี่มิ้นมาพร้อมปี 2 ประมาณ 4-5 คนได้

“คะพี่ ใกล้แล้ว เจ้ากับอินเทพมาก ทำสวยแล้วยังทำเร็วอีก” แยมบรรยายสรรพคุณผมให้พี่มิ้นฟัง ผมก็ได้แต่ทำหน้าเก้อเขินใส่

“ไหนๆ ขอพวกพี่ดูหน่อย สวยสมคำร่ำลือหรือป่าว” พี่คนนึงในกลุ่มปี 2 พูดขึ้น พร้อมทั้งกระจายตัวยืนรอบผมกับอิน อินนี่นั่งนิ่งก้มหน้าก้มตาเจียดใบตอง

“เห้ย โคตรสวยอ่ะ นี่น้องผู้ชายสองคนนี้ทำจริงดิ” พี่ผู้ชายคนนึงพูดพร้อมหยิบก้านบายศรีขึ้นไปดู ผมเงยหน้ายกยิ้มให้พี่เขา

“น่ารักว่ะ” พี่คนเดิมพูด

“บายศรีหรอมึง มันต้องเรียกสวยสิ” พี่สักคนนี่แหละถามเพื่อน

“ไม่ใช่มึง คนทำน่ารัก” พี่ผู้ชายคนนั้นยังคงมองหน้าผมแล้วส่งยิ้มแบบไม่ปิดบังมาให้ ผมก็ได้แต่หลบสายตาตั้งใจทำต่อไป เห้อออ เมื่อไหร่จะมีผู้หญิงมาส่งสายตาแบบนี้ให้

“อะไร ไหนใครน่ารักนะ ได้ยินไม่ชัดว่ะ” เสียงดังกังวานมาจากด้านหลังผมอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงของผู้ชาย

“อ้าว พี่มายด์ พี่เกียร์ พี่พี มาตรวจพานน้องหรอพี่” พี่ผู้ชายที่ส่งยิ้มให้ผมเป็นคนเอ่ยถามคนข้างหลัง

“เออดิ ไอ้เกียร์แม่งจับฉลากพลาด กลุ่มพวกกูเลยได้ลงมา กลุ่มอื่นแม่งเรียนเสร็จก็เข้าห้องทำโปรเจคต์กันหมด แล้วให้กูมาดูอะไรวะ พานนะมึง เข้ากับกลุ่มกูมากมั้ง” เสียงพี่คนเดิมบ่นอุบนำเสียงติดตลก สงสัยจะเป็นพี่ปี 3 มั้ง แต่วิธีตลกดีอ่ะ จับฉลากลงมาดูน้อง ฮ่าๆ

“ฮ่าๆ พวกพี่แม่งฮา เอ้า ปี 1 ทำความเคารพพี่ๆเขาหน่อย” พี่คนนี้ดูท่าทางจะสนิทกับพี่ปี 3 ใช้คำพูดไม่ค่อยเกรงเท่าไหร่

"สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ"

ตอนนี้วิศวะปี 1 นั่งเงียบเป็นเป่าสาก ก้มหน้าก้มตาหยิบนู่นหยิบนี่ บางคนก็ทำเป็นแยกดอกไม้ บางคนก็นั่งเช็ดใบตอง ผู้ชายวิศวะห้าวๆแมนๆ กับการมาทำอะไรแบบนี้ ก็ตลกไปอีกแบบ แต่เอ๊ะ ผมก็ผู้ชายนะ ฮ่าๆ

“แล้วไหนประธานเอกปี 1 มารายงานความคืบหน้าหน่อยดิวะ” พี่คนเดิมที่น่าจะชื่อมายด์เอ่ยถามหาประธานเอก

“ครับ ผมอยู่นี่ครับ” ไอ้ภาคที่นั่งข้างผมก็ยกมือ แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปโต๊ะด้านหลังผม ซึ่งผมมองไม่เห็นว่ามีใครบ้าง อ่าว มึงเป็นประธานเอกหรอเนี่ย

ส่วนอินที่นั่งหันข้างให้กับบริเวณที่พี่ปี 3 ยืนอยู่ก็นั่งเกร็งขึ้นมาทันที

“ไงไอ้ภาค ทำถึงไหนกันละ ขอดูหน่อย” พี่มายด์ถามความคืบหน้าจากไอ้ภาค

“ตอนนี้ได้เกิน 60 % แล้วพี่ เหลือเอาแต่ละส่วนมาประกอบกัน” ไอ้ภาคตอบเสียงดังฟังชัด

“อืม งั้นกูขอดูหน่อย ทำโต๊ะนั้นหรอ ปะ ...อ่าว ลุกสิพวกมึง เขาให้มาตรวจพานน้อง มึงมานั่งเงียบอะไรเนี่ย ลงมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไอ้โซ่นี่ก็นะ ผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มเสือกไม่ลงมา” เสียงพี่มายด์บ่นยาว คาดว่าบ่นเพื่อนร่วมกลุ่มนั่นแหละ แต่ก็จริง ตั้งแต่ลงมาได้ยินเสียงพี่มายด์คนเดียว


ผมได้ยินเสียงกลุ่มคนเดินมาด้านหลัง แต่ก็ยังสนใจบายศรีแถบในมืออยู่ อินก็ก้มหน้าเจียดใบตองเหมือนเดิม เสียงนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ไอ้ภาคก็กลับมานั่งที่เดิม

“เหยๆ นี่พวกมึงทำกันเองหรอวะ สวยนะเนี่ย” เสียงพี่มายด์พูดพร้อมมีมือนึงมาหยิบบายศรีขึ้นไปดู อาการเดียวกับพี่ปี 2 เมื่อกี้เลย ตอนนี้ปี 2 ย้ายตัวเองไปโต๊ะข้างๆฝั่งขวามือผมละ

“เอ่อ คือ เอ่อ อันนี้พวกผมไม่ได้ทำพี่” ไอ้ภาคตอบตะกุกตะกัก เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่มายด์นั่งลงตรงข้ามผม

“อะไร ไหนปี 2 บอกพวกมึงทำกันเอง แล้วทำไมบอกว่าไม่ได้ทำ คือกูงงหรือกูโง่” พี่มายด์พูดติดตลก

“คือผมให้เพื่อนช่วยทำอ่ะ นี่เพื่อนผมคนนี้ชื่อเจ้าพระยา เรียกเจ้าก็ได้พี่ ส่วนนั่นชื่ออินธัช เรียกอินก็ได้” ไอ้ภาคแนะนำผมกับอิน ผมกับอินก็เลยต้องเงยหน้าขึ้นมายกมือไหว้พี่มายด์

“สวัสดีครับ” ผมกับอินไหว้พี่มายด์เสร็จ อินก้มลงเจียดใบตองต่อ แต่ผมคิดว่ามีพี่อีก 2 คนที่ยืนอยู่เลยคิดว่าควรไหว้ทักทาย

พอผมเงยหน้ามองไล่ขึ้นไปเรื่อยๆพร้อมมือที่กำลังยกไหว้อยู่ เมื่อมองเห็นเจ้าของใบหน้าผมก็ต้องชะงัก


“คุณ..!” เสียงหลุดออกมาจากปากก่อนการสั่งห้ามใดของผม


ผมมองใบหน้าที่เรียบนิ่ง คนที่ผมจำได้ว่าเพิ่งเจอเมื่อวาน คนที่ช่วยไม่ให้ผมตกเรือ และเป็นคนที่ทำให้เกิดคำถามมากมายในหัวกับประโยคนั้นประโยคเดียว


ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม


“...” อีกคนไม่ส่งเสียงใดๆตอบกลับมา เขาเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากเหมือนที่ทำให้ผมเมื่อวาน

“รู้จักพี่เกียร์หรอ” ไอ้ภาคกระซิบถามผม

“เกียร์ไหน?” ผมที่ยังคงงงกับเหตุการณ์เลยได้แต่ถามคำถามกลับไป

“เอ้า ก็นี่ไงพี่เกียร์ กูเห็นมึงทักเขาว่าคุณก็นึกว่ารู้จักกัน” ไอ้ภาคอธิบายใส่หูผม แต่ตาผมยังจ้องมองใบหน้านั้น ราวกับถูกสะกดไว้ จนสุดท้ายเป็นผมที่ต้องหลบสายตาก่อน

“พี่เกียร์ เอ่อ ไม่รู้จัก” ผมตอบไอ้ภาคเสียงเบา อินที่นั่งข้างผมก็มองหน้าผมด้วยความสงสัย

“เออ ถ้าไม่รู้จักกูจะแนะนำ นี่พี่มายด์ ยืนข้างกูนี่พี่เกียร์ ข้างไอ้อินนั่นพี่พี พี่ปี3 ภาคกูเอง” ไอ้ภาคอธิบายเสร็จสรรพ จนเหมือนมันจะลืมไปว่ามันต้องหาเหตุผลมาตอบพี่มายด์เรื่องที่ผมมาช่วย

“เอ่อ สวัสดีครับ” ผมกับไอ้อินยกมือไหว้พี่เกียร์กับพี่พีอีกครั้ง

“ละยังไง ทำไมมาช่วยเด็กวิศวะฯทำพานได้เนี่ย” พี่มายด์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีบทอยู่คนเดียวเอ่ยถาม

“ผมกับอินเป็นเพื่อนสนิทจากโรงเรียนเก่าของไอ้ภาคอ่ะ พอทำเป็นก็เลยตกลงมาช่วยมัน เพราะถ้าให้มันทำเอง ผมเสียดายดอกไม้ร้านผม เกิดมาสวยๆจะมาตายฟรีๆเพราะฝีมือไอ้ภาคไม่ได้ครับ แหะๆ” ผมตอบติดตลก เพราะไม่อยากให้ซีเรียส ตอนนี้หน้าปี 1 มันเครียดกันหมดละ คงกลัวโดนซ่อม

“เออดีเว้ย ตอบตรงดี แต่พี่ว่าน้องเจ้าคิดถูกละ เพราะถ้าให้เด็กโยธาทำ พังคามือแน่นอน ฮ่าๆ” พี่มายด์พูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง

“โหพี่อ่ะ ผมก็ไม่กากขนาดนั้น” ไอ้ภาคบ่นอุบ

“กากมากกว่านั้นสิมึงอ่ะ” พี่มายด์ยังคงต่อล้อต่อเถียงกับไอ้ภาค

ผมกำลังเย็บกลีบดอกไม้ติดกับใบตอง แต่สมาธิผมมันดันไม่อยู่ตรงหน้า เพราะรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมอง แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองหาที่มาเลยจริงๆ

“อ๊ะ! เชี่ย” ผมสบถเสียงอ่อย เนื่องจากโดนเข็มร้อยมาลัยทิ่มมือจนได้

อินที่นั่งข้างผม รีบดึงมือผมเข้าไปหาตัวแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงที่เจ้าตัวพกเป็นประจำมากดแผลให้

“อีกแล้วนะเจ้า ไม่ระวังอีกละ มีครั้งไหนที่ใช้เข็มแล้วไม่ทิ่มมือบ้าง” ไอ้อินได้ทีบ่นผมเลย จากที่นั่งเงียบมาตั้งนาน

“ได้เลือดอีกแล้วนะมึง” ไอ้ภาคก็บ่นทับมาอีก

“เออ พวกมึงก็ แผลแค่นี้ กูไม่ตายหรอกน่ะ” ผมตอบสวนเพื่อนๆไป

และเมื่อสิ้นเสียงผมก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมประโยคเดิมว่า

“ซุ่มซ่ามเหมือนเดิม”

“...” ทุกคนเงียบ

“เอ่อ..” ผมคิดคำพูดอะไรไม่ออกเลยครับ

“อ่ะ เหลืออันนึง” พี่เกียร์พูดพร้อมยื่นพลาสเตอร์ยาสีเนื้อมาตรงหน้าผม

“ห๊ะ คะ...ครับ” ตอบรับแบบติดอ่าง เพราะสติยังอยู่กับประโยคก่อนหน้า

“รับไปสิ รีบ จะไปทำงาน” เขาเอ่ยเสียงเรียบกับผม รอบบริเวณไม่มีเสียงอื่นจริงๆครับ เหมือนทุกคนตั้งใจฟังมาก

ผมเลยเอื้อมมือไปรับพลาสเตอร์ยามาส่งให้อิน อินก็แกะพลาสติกออกแล้วแปะลงบนแผลผม ผมก้มมองตอนที่อินแปะให้ผม แต่หัวนี่มีแต่คำถามมากมาย

“น้องเจ้านี่มือสวยเนาะ” อยู่ดีๆพี่มายด์ก็โพล่งขึ้นมากลางลำ

“หระ..หรอครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรก็ตอบไปแค่นั้น พร้อมรอยยิ้มจางๆส่งไปให้พี่มายด์

ไอ้ภาคที่นั่งข้างผม ก็เอามือส่งผ่านใต้โต๊ะมาสะกิดขาผม พอหันไปก็ได้เจอสายตาของไอ้ภาค ก็พบสายตาที่เข้าใจได้เลยว่า มึงต้องเล่า

เออ กูอยากเล่า แต่กูจะเล่ายังไง กูยังงงอยู่เนี่ยยยย
พอติดพลาสเตอร์ยาเสร็จ ผมก็เงยหน้าเพื่อขอบคุณพี่เกียร์อีกครั้ง

“ขอบคุณครับ”

“อืม” เสียงเรียบๆที่ส่งมา พร้อมสายตาที่เดาไม่ออก

ระหว่างนั้นผมก็นั่งทำพานต่อไปเงียบๆ ไอ้ภาคกับพี่มายด์ก็นั่งคุยกันไป พี่แกไม่ซักไซร้ต่อสักนิด พลอยให้พวกปี 1 หายใจสะดวก แต่ละคนส่งสายตามาที่ผมเป็นเชิงขอบคุณ

ไหนพี่เกียร์บอกว่าจะรีบไปทำงานไงว่ะ ก็ยังเห็นนั่งอยู่บนโต๊ะไปทางด้านหลังพี่มายด์ ซึ่งก็คือตรงหน้าผมพอดี เก้าอีี้มีให้นั่งดีๆไม่นั่ง เงยหน้ามาทุกครั้งก็จะเจอสายตาของเขาที่จ้องมองมา อะไรของพี่เขาว่ะ แถวบ้านเรียกมองหน้าหาเรื่องนะเนี่ย

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ซึ่งตอนนี้พานผู้ชายก็ประกอบเสร็จไปแล้ว สวยงามและสมบูรณ์แบบตามที่คิดไว้ ตอนนี้เหลือประกอบพานผู้หญิง ซึ่งผมก็ปล่อยหน้าที่ประกอบพานให้กับพวกวิศวะฯปี 1 ไปตั้งแต่พานผู้ชายแล้ว ก็ทำกันได้ดี มีเถียงกันบ้าง ฮาสุดก็เถียงกันเรื่องหาองศาวางบายศรีรอบพาน บอกว่ามันจะต้องทำมุมเท่าๆกัน แทบนั่งแก้สมการหาเส้นรอบวงมาเถียงกันเลยทีเดียว ฮ่าๆ

ผมกับอินที่ยืนยิ้มดูการประกอบอยู่ใกล้ก็โล่งใจ เลยเตรียมเก็บของเข้ากล่อง แต่แทนวิ่งเข้ามาห้ามผมก่อนบอกบอกให้นั่งพักสบายๆไปเลย เดี๋ยวพวกมันจัดการเอง

“เย้! เสร็จแล้วว้อย” เสียงเฮดังสนั่นใต้อาคารภาควิชาวิศวกรรมโยธาในเวลา 6 โมงเย็น เป็นเสียงที่บ่งบอกว่าภารกิจการทำพานไหว้ครูของภาควิชาวิศวกรรมโยธาได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

“เจ้า อิน พวกเราขอบคุณมากๆน้า พวกเราจะไม่ลืมเลย” ส้มเดินเข้ามาจับมือผมกับอินแล้วก็เอ่ยขอบคุณ

“ใช่ๆ ขอบคุณมาก พวกเราขอเลี้ยงตอบแทนนะ” แยมเอ่ยสนับสนุนคำขอบคุณมาอีกคน

“เออ ใช่ เลี้ยงตอบแทนเจ้ากับอินกัน พรุ่งนี้เย็นดีมั้ย ร้านเหล้าไหนดี...โอ๊ย!! มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย” เสียงเพื่อนผู้ชายคนนึงพูดขึ้นก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ของไอ้ภาค

“ไอ้สัด พี่ๆก็นั่งกันอยู่นี่ มึงเสือกชวนเพื่อนกูไปร้านเหล้า เลี้ยงข้าวพอมึง” ไอ้ภาคบ่นเพื่อนมัน

“พวกมึง ถ้าพรุ่งนี้ผลประกวดพานของภาคเราติด 1 ใน 3 เดี๋ยวพวกกูพาไปเลี้ยงเอง” เสียงดังจากพี่มายด์ทำให้ทุกคนเงียบแล้วหันไปมอง พี่แกก็ยักคิ้วกลับมาให้

“เห้ย!! จริงดิพี่ ลุ้นโว้ย” ปีหนึ่งคนนึงโพล่งขึ้น

“พี่มายด์เนี่ยนะเลี้ยง” ไอ้ภาคแซวเสียงดัง

“เออ กูเนี่ยแหละพาไปเลี้ยง แต่เดี๋ยวไอ้เกียร์จ่าย ฮ่าๆ ว่าไงมึง” พี่แกพูดจบก็หันไปตบบ่าเพื่อนตัวสูงที่ถูกพาดพิง

“อือ ให้มันได้ก่อนเหอะ” ตอบเสียงเรียบที่เป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว

“เย้! ส้มว่าได้แน่นอน ฝีมือเจ้ากับอินระดับเทพขนาดนี้” ส้มยังคงชมผมกับอินไม่หยุดปาก ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มไปให้เธอ

“งั้นวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว ช่วยกันเก็บของ ละกลับบ้านกันเถอะ เย็นแล้ว ขอบคุณพวกมึงมากนะที่มาช่วยกัน” ไอ้ภาคสรุปความทั้งหมดเพื่อไม่ให้เวลายืดเยื้อ แล้วหันมาขอบคุณผมกับอิน

“อื้ม ไม่เป็นไร ยังไงกูสองคนขอกลับก่อนนะ พอดีเดี๋ยวเรือหมด กูฝากมึงเอาของไปส่งที่บ้านกูด้วยนะภาค” ผมยิ้มตอบไอ้ภาคก่อนจะขอตัวกลับ เผื่อเขาอยากจะบูมพานกัน

“อ้าวมึง ไม่รอกลับพร้อมกัน เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่เป็นไรมึง วันนี้กูอยากกลับเรือ ไปนะทุกคน พรุ่งนี้ขอให้มีข่าวดีนะ” ผมตอบมันแค่นั้น ก่อนจะหันไปเอ่ยลาเพื่อนวิศวะคนอื่นๆ

“กลับแล้วนะครับ” อินเอ่ยลาเช่นเดียวกัน

ผมกับอินเดินมาหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นสะพาย ก่อนจะพากันเดินออกมาตามทางเดิมที่เดินเข้ามาเมื่อตอนบ่าย ซึ่งขณะที่จะเดินออกจากใต้อาคาร ก็เดินผ่านโต๊ะที่พวกพี่มายด์นั่งอยู่

“พวกผมกลับก่อนนะพี่” ผมกับอินก้มหัวยกมือไหว้ลาพี่เขาทั้งโต๊ะ

แต่พอเงยหน้าขึ้นมาผมก็สบตากับเจ้าของตาคมดุนั่นอีกแล้ว พี่จะมองอะไรนักหนาเนี่ย กลัวนะเว้ย
ผมกับอินเลยพากันรีบออกจากตรงนั้น และแยกกันตรงที่ไม่ห่างจากตัวอาคารเท่าไหร่ เพราะอินมีธุระต้องไปหาแม่ที่ร้านอาหารแถวนี้ ผมเลยต้องเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียว


-----------------------------------------------------------------


เมื่อเดินลงมาจากตัวสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นสถานีที่ติดกับท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมเดินมาตามฟุตบาทเรื่อยๆมุ่งหน้าไปทางท่าเรือ

เวลานี้อีกไม่นานเรือก็จะหมดแล้ว แต่ถือว่าโชคดีที่ท่าเรือที่ผมจะลงมีเรือผ่านหลายสาย ซึ่งแต่ละสายจะแยกตามสีธง ก็สังเกตไม่ยากเท่าไหร่
เมื่อมาถึงบริเวณท่าเรือ ผมเลือกที่จะโดยสารเรือธงสีส้ม ที่มีรอบการเดินเรือค่อนข้างเยอะ และรอไม่นาน แต่ในช่วงเวลาเย็นย่ำค่ำนี้ เป็นเวลากลับบ้านของใครหลายคน คนทำงานก็เลือกใช้การโดยสารเรือไม่น้อย ทำให้ตอนนี้หางแถวค่อนข้างยาว แต่ไม่เป็นไรผมไม่รีบ

ระหว่างยืนต่อแถวอยู่ จู่ๆต้นแถวมีการขยับทำให้คนข้างหน้าผมถอยหลังมาโดยที่ไม่หันมามอง ผมที่ไม่ได้ตั้งตัวก็โดนชนเข้าเต็มๆ

“อ๊ะ!”

หมับ!!

เอ๊ะ ทำไมไม่เจ็บก้น พอตั้งสติได้ก็มีคนช่วยจับด้านหลังผมไว้ มือเขาจับอยู่ที่ต้นแขนทั้งสองข้างของผม แผ่นหลังผมสัมผัสกับช่วงตัวของเขา
อารามความตกใจกลัวจะเป็นการชนแบบโดมิโน ผมรีบทรงตัวด้วยตัวเองก่อนจะหันกลับไปขอโทษ

“ขอโทษนะครับ ไม่ทันระวัง….เห้ย!! พี่!!” โอ้ย ทำไมเจออีกวะเนี่ย นั่นแหละครับ ผมเจอเขาอีกแล้ว พี่เกียร์รุ่นพี่ไอ้ภาคนั่นแหละ

“เจอทีไรก็ซุ่มซ่ามทุกที” พี่เกียร์กับผม แต่มันเหมือนการล้อมากกว่า

“ซุ่มซ่ามอะไรเล่าพี่ มันเป็นอุบัติเหตุเถอะ” ผมย้อนพี่เขาเสียงแข็ง

“ก็นั่นแหละซุ่มซ่าม”

“แล้วพี่จะมาว่าผมทำไมเนี่ย เรารู้จักกันหรอ” ผมที่ไม่รู้จะเถียงอะไรก็ได้แต่ย้อนถามแบบไม่คิด

“มึงชื่อเจ้า เพื่อนไอ้ภาค แบบนี้ก็ถือว่ารู้จักนะ” เขายังไม่ยอมแพ้ผม

“โอ้ย พี่แม่ง” ผมไม่รู้จะเถียงอะไรจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าเถียงได้แค่ไหน รู้จักกันจริงหรือเปล่า คือเอาตรงๆก็กำลังงงไง ได้แต่ทำปากยู่ คิ้วขมวดใส่ แบบที่ทำจนติดนิสัย เวลาที่ไม่ได้ดั่งใจ

พี่เกียร์ยืนตาโตจ้องหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไรต่อ ผมก็เลิกคิ้วมองกลับด้วยความสงสัย มีอะไรรึป่าว

“พี่ พี่ พี่เกียร์ จ้องหน้าผมทำไม เลิกจ้องได้แล้ว” ผมเรียกสติพี่เขา แต่ก็อยากรู้ว่าจ้องทำไม

“เอ่อ..ไม่มีอะไร หันกลับไปต่อแถวดีๆ” พี่เกียร์สะดุ้ง พร้อมปรับสีหน้าให้เป็นแบบเดิมแล้วตอบเสียงทุ้มใส่ผม

ผมที่ไม่รู้จะต่อความอะไรก็หันกลับไปต่อแถวเหมือนเดิม แต่ก็รู้สึกได้ว่าพี่เขายังยืนซ้อนหลังผมอยู่ ความรู้สึกสงสัยกับเหตุการณ์ การกระทำทุกอย่างใน 2 วันนี้ ยังคงผุดขึ้นมาในหัว เมื่อรอผ่านไปไม่นานเรือธงสีส้มก็เข้ามาจอดเทียบท่า ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยขึ้นเรือจนแถวเขยิบไปเรื่อยๆ ผมก็เดินไหลตามแถว จนมายืนตรงโป๊ะเตรียมที่จะขึ้นเรือ

เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง

“คราวนี้ขึ้นดีๆล่ะ อย่าซุ่มซ่าม”

ผมหันกลับไปมองใบหน้าคมเจ้าของเสียงพูด ก็พบรอยยิ้มจางๆที่ปรากฎบนใบหน้า แววตาที่ส่งมามันอ่อนโยนไม่เหมือนยามปกติ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็หายไปกลับเป็นแววตาปกติ

จากที่งงกับคำพูดอยู่ก็ต้องงงเพิ่มไปอีก เพราะพี่เกียร์เดินกลับขึ้นไปที่ท่าเรือ ไม่ได้ลงเรือไปด้วยกัน

ผมขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ต้องรีบหันกลับมาขึ้นเรือ เพราะสัญญาณเตือนดังขึ้นแล้ว ผมก้าวไปยืนตำแหน่งประจำตรงท้ายเรือ ในหัวก็ยังคงมีความสงสัยอยู่มากมาย จึงมองกลับไปที่ท่าเรืออีกครั้ง ก็พบสายตาคู่เดิม ยืนมองผมอยู่ ผมก็จ้องมองกลับไปอย่างนั้น จนระยะทางของเรือที่ห่างออกไปเรื่อยๆจนเราลับสายตากันและกัน



ทำไม



มีแต่คำนี้วิ่งวนอยู่ในความคิด


สายตาแบบนั้นหมายความว่าอะไรนะ...พี่เกียร์


จริงๆแล้วพี่รู้จักผมแค่ไหนกันแน่





*TBC
04/09/2017

------------------------------------------------------------

ตอนนี้สะใจยาวมากกกกกกกกก

พาน้องเจ้ามาแสดงความสามารถให้รักให้หลงฮะ
ตอนนี้พระเอกค่าตัวแพง ไรท์มีปัญญาจ้างมาแค่นี้

รอดูต่อไปนะว่า น้องเจ้าจะไปซุ่มซ่ามใส่พี่เกียร์ที่ไหนอีก
แล้วสรุปเขารู้จักกันมาก่อนจริงมั้ย ต้องติดตามนะคะ


แนะนำ ติชม เป็นกำลังใจให้กันผ่าน #เจ้าพระยาที่รัก ได้นะคะ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
อุ๊ย  น้องเจ้าน่ารักอ่ะ :-[
พี่เกียร์นี่ยังไง สนใจน้องล่ะสิหรือว่าเคยเจอน้องที่ไหนมาก่อน

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

ท่าเรือที่ 2


ปลาทองหน้าโง่





ตื้อดึง!  ตื้อดึง! ตื้อดึง!

และอีกหลายตื้อดึง

“โว้ยยย” ผมสบถลั่นให้กับเสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมยอดฮิตที่มีหมีสีน้ำตาลและผองเพื่อนเป็นตัวเรียกแขก

“ใครวะ”

เมื่อกดปุ่มโฮมตรงด้านล่างจอโทรศัพท์สีขาวของผม หน้า lock screen ก็สว่างขึ้นปรากฎชื่อที่คุ้ยเคยของเพื่อนซี้สองคนที่มันกำลังโวยวายเรียกผมอยู่ในกลุ่มแชท

-คนหล่อ2017-

นั่นแหละครับชื่อกลุ่ม
   
                                 Today
GU PHAK
    เจ้า 
    อยู่มั้ยวะ   
    ไอ้เจ้าโว้ยยย   

Inn-Touch 
    มันหลับแล้วมั้งมึง
 
GU PHAK
    ไอ้เจ้าไม่หลับเร็วขนาดนี้
    มันถึงบ้านยังวะ 
             
                                                           JAO-YA
                                                 พวกมีงมีไร
                            ถ้าเหตุผลที่เรียกกูย้ำๆฟังไม่
                              ขึ้น มึงโดนกูด่าแน่ กำลังดู
                                     GOTอยู่สัด เสียเวลา

GU PHAK
    มึงรู้จักพี่เกียร์หรอ?
                                                           JAO-YA
                                                       เกียร์?
                                      เอาตามจริงก็ ไม่ว่ะ

Inn-Touch
    แต่วันนี้ทำไมมึงถึงทำท่าตกใจ
    ตอนเห็นหน้าพี่เขาล่ะ

GU PHAK
    เออ ใช่ มีไรที่พวกกูไม่รู้
                                                          JAO-YA
                                               โอ้ยยยยยย
                                       กูจะเริ่มเล่าไงดีวะ
                      กูก็งงอยู่เนี่ยว่าทำไมรุ่นพี่มึงคน
                     นั้นถึงทำเหมือนรู้จักกู คืองี้มึง...


แล้วผมก็เล่าเรื่องเมื่อวานตอนเย็นที่ผมเดินชนรุ่นพี่ของไอ้ภาค รวมถึงคำพูดแปลกๆทั้งหมด ไอ้สองคนนั้นก็วิเคราะห์กันไปต่างๆนานา ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไรหรอก บางทีก็ขี้เกียจคิด พี่เกียร์อาจจะแค่จำคนผิดก็ได้ ผมก็คุยกับพวกมันอีกสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน ไอ้ภาคมีการย้ำด้วยนะว่าพรุ่งนี้ให้รอฟังข่าวดี แหม มั่นใจนักนะมึง


---------------------------------------------------


เช้าวันใหม่อันแสนสดใส วันที่ผมไม่ต้องเร่งรีบกับการเดินทางเหมือนเมื่อวาน ขึ้นเรือตากลมตอนเช้าๆซึมซับบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไปต่อรถไฟฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถาบันการศึกษาชื่อดังใจกลางเมืองของผม

การเรียนในภาคเช้าเป็นไปอย่างราบรื่น ผมกับอินเวลาเรียนจะตั้งใจกับเนื้อหาที่เรียนมากๆ เพราะเชื่อมาตลอดว่าการตั้งใจเรียนในห้องคือการเรียนที่ดีที่สุด ตอนสอบก็ไม่เคยเหนื่อยเลย อ่านหนังสือทบทวนเล็กน้อยก็พอจะทำข้อสอบได้ ตอนสอบเหนื่อยสุดก็ตรงที่ต้องมานั่งติวไอ้ภาคเนี่ยแหละ รายนั้นชอบมากกับการเป็นอัจฉริยะข้ามคืนผมสองคนทำแบบนี้กันมาตั้งแต่ ม.ปลาย หวังว่าวิธีนี้จะทำให้พวกผมอยู่รอดปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัยนะครับ เหอะๆ

พอสัญญาณเลิกคลาสจากอาจารย์ผู้สอนดังขึ้น ผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแลคเชอร์เพื่อพักสายตา ปล่อยให้อินเก็บของไปพลางๆรอให้เพื่อนคนอื่นๆออกจากห้องไปก่อน

“เจ้า วันนี้กินข้าวที่ไหนดี วันนี้มีเรียนบ่าย”  อินเอ่ยถามผม แต่ประโยคตามหลังคงจะสื่อว่าไม่อยากไปไกลจากตึกมั้ง

“มึงเลือกเลย”  ผมตอบทั้งที่หน้ายังฟุบอยู่ที่โต๊ะ

“งั้นกินก๋วยเตี๋ยวป้าเย็นกัน”

ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าอิน พร้อมกับเลิกคิ้วใส่มัน

“มึงแน่ใจหรออิน ป้าเย็นนะมึง”

“เออ คนอื่นก็คงคิดแบบมึง เขาก็เลือกที่จะไม่กิน ทีนี้คนก็ไม่เยอะ” มันร่ายเหตุและผลที่มันเชื่อมโยงแบบที่ผมยังงงๆพร้อมรอยยิ้ม

“งั้นแล้วแต่มึงเลย”

แล้วผมกับอินก็เคลื่อนย้ายตัวเองออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหารคณะเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวป้าเย็นที่ย่อมาจาก ป้าใจเย็น ขอให้กูได้กินวันนี้เถอะ


---------------------------------------------


หลังจากมื้อกลางวันผ่านไปแบบโล่งใจ ผมกับอินที่เข้าเรียนภาคบ่ายได้ทันก็ตั้งใจเรียนกับเนื้อหาเช่นเคย ปากกาเมจิกหลากสีที่มีผมก็ใช้จดแลคเชอร์แยกสีแยกประเด็นอย่างชัดเจน พ่อแม่ต้องภูมิใจ

“ฮ้าววววว”  เสียงอินหาววอดๆอยู่ข้างผมหลังจากการเรียนภาคบ่ายจบลง

“เย็นนี้ไปไหนปะวะ”

“ไม่รู้อ่ะ คงกลับบ้านเลยว่ะ” ผมเอ่ยตอบพร้อมกับเก็บของเข้ากระเป๋า

“เจ้าๆ มีคนมาหาอ่ะ”  เสียงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมาจากทางประตูห้องเรียน

“ใครวะ” ผมหันหน้าไปสบตากับอิน มันก็สบตากลับ คงสงสัยเหมือนกันกับผม เราสองคนเลยลุกขึ้นเพื่อออกไปหน้าประตูห้องเรียนเพื่อคลายความสงสัย



“ไอ้เจ้า!!” เสียงคุ้นเคยดังลั่นก่อนร่างสูงของเจ้าของเสียงจะโถมเข้าหาตัวผม พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบรอบตัวผมไว้แน่น

“ไอ้ภาค? อ๊อกๆ แค่กๆ มึงปล่อยกูก่อน”  ไอ้ภาคกอดผมแน่นมากจนต้องยกสองมือขึ้นดันตัวมันออก วันนี้มันแต่งชุดพิธีการซะเรียบร้อยเลย ทรงผมก็ถูกเซ็ทให้เข้ากับหน้าหล่อๆของมัน สมราคาเดือนคณะวิศวะฯปี 1 จริงๆ

“ไอ้เจ้า ไอ้อิน กูโคตรดีใจ”

“ดีใจอะไรของมึงวะ” อินเอ่ยถาม

“เอ้า ก็เมื่อวานกูบอกให้พวกมึงรอฟังข่าวดีเรื่องอะไรล่ะ” ไอ้ภาคพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมยักคิ้วให้ผมกับอินสองที น่าเตะมากมึง

“เรื่องประกวดพาน?” อินย้อนถามไอ้ภาค

“ถูกต้องนะคร้าบบบบ เรื่องนั้นแหละ”

“อย่าบอกนะว่า....” ผมเอ่ยพร้อมหยุดคำถามไว้แค่นั้น

“พานไหว้ครูภาคกูได้ที่ 2 โว้ยยยยย ไอ้เจ้า ไอ้อิน มึงได้ยินมั้น พานภาคกูติด 1ใน 3 โว้ย”  ไอ้ภาคตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจที่มันแสดงออกทางสีหน้าท่าทางที่ปิดไม่มิด แถมกระโดดรวบตัวผมกับอินเข้าไปกอดพร้อมกันอีก คิดดูเอาว่าขนาดตัวพวกผมกับไอ้ภาคต่างกันแค่ไหน เรากระโดดโยกตัวเป็นเด็กน้อยสามคนที่ยืนกอดกันกลม คงเป็นภาพที่ตลกน่าดู

“เออ วันนี้พวกกูจะไปฉลองให้กับรางวัลอันยิ่งใหญ่ เพื่อนกูเลยให้มารับพวกมึงสองคน”

“จริงๆมึงโทรมาบอกก็ได้นี่หว่า ถ่อมาทำไมถึงนี่ แล้วค่อยนัดเจอที่ร้าน”

“ไม่ กูอยากมาบอกด้วยตัวกูเอง เพราะกูโคตรดีใจอ่ะมึง ขอบคุณพวกมึงอีกครั้งนะเว้ยที่มาช่วยอ่ะ ถ้าไม่ได้พวกมึงก็คงไม่ได้รางวัลนี้แน่ๆ แถมอาจจะไม่มีพานไปไหว้ครูอีก”

“เออ ไม่เป็นไร กูบอกแล้วว่าเลี้ยงให้คุ้มค่ากับเวลาที่กูเสียไปก็พอ ฮ่าๆ” ผมตอบตัดบทซึ้งๆของไอ้ภาคด้วยคำพูดฮาๆ

“งั้นพวกมึงสองคนเลือกมาเลยว่าจะกินอะไร”

“อ่าว ก็ต้องถามพวกเพื่อนมึงด้วยสิภาค”  อินเป็นฝ่ายเอ่ยตอบไอ้ภาค

“พวกมันตามใจอยู่แล้ว พานได้รางวัลก็เพราะพวกมึงมาช่วย มันไม่กล้าขัดหรอก”

ให้พวกผมเลือกหรองั้นก็ลาภปากผมละ มีอาหารที่อยากกินอยู่พอดี ละตอนนี้ก็หิวแล้วด้วย สูญเสียพลังงานไปมากกับการเรียนภาคบ่าย หึหึ งั้นผมคงจะไม่เกรงใจ ขอจัดหนัก

“งั้นกูเลือกเอง พวกมึงอย่ามาบ่นนะ กูจะจัดหนักๆให้สมน้ำสมเนื้อเลย” ผมพูดพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์วาววับจ้องมองมัน
“เออ แล้วแต่มึง งั้นรีบไปคณะกูกัน”


------------------------------------------------------------


ใช้เวลาไม่นานไอ้ภาคก็พาผมกับอินมายืนอยู่หน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมโยธา
ผมได้ยินเสียงดังแว่วมาจากทางใต้โถงอาคารที่เมื่อวานผมอยู่ที่นี่ตลอดช่วงบ่ายเพื่อช่วยเพื่อนชาววิศวะฯปี 1 ทำพานไหว้ครู สักพักเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามา พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ผมพอจะคุ้นหน้าเดินเข้ามาทางที่พวกผมสามคนยืนอยู่

“เจ้า!!!/อิน!!!” เสียงใสสองเสียงดังพร้อมกันมาในโสตประสาทพร้อมกับร่างเล็กๆที่ดูก๋ากั่นวิ่งเข้ามาทางผม
เธอกระโดดกอดผมแน่นมาก ส่วนอินก็มีสภาพไม่ต่างจากผม เพราะแยมวิ่งไปกอดอินแน่น

“โอ้ยๆ ส้มๆ แน่นไป เจ้าหายใจไม่ออก”

“เห้ย โทษๆเจ้า ส้มลืมตัว ก็ส้มดีใจอ่ะ พานเราได้รางวัลที่ 2 เลยนะ” เธอคลายวงแขนที่กอดผมอยู่ออกก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใส

“พวกเราดีใจมากตอนได้ยินเขาประกาศชื่อภาคโยธา” แยมเอ่ยสัมทับความดีใจพร้อมกับปล่อยตัวอินให้หลุดจากการกอดรัดของเธอ

“งั้นวันนี้เราไปฉลองกัน เจ้ากับอินเลือกเลยว่าจะกินอะไร” เพื่อนผู้ชายคนนึงของไอ้ภาคเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังของสาวๆ

“งั้นไป….”
ระหว่างที่พวกวิศวะฯปี1 ให้ผมกับอินเลือกร้านที่พวกผมอยากกิน ก็มีเสียงเอ่ยขัดคำพูดผมขึ้น


“ไง พวกมึง กำลังจะไปไหนกัน” เสียงพี่มายด์ที่ดังมาก่อนตัว จนทุกคนต้องหันไปตามเสียง ผมก็หันตามไปเช่นเดียวกันสิ่งแรกที่เห็นคือ สายตาคู่เดิม สายตาของพี่เกียร์

คราวนี้พี่เขามากัน 4 คน มีผู้หญิงหุ่นดี 1 คนเดินมาด้วย เธอมีผิวสีแทน หน้าตาคม สวยแบบผู้หญิงไทย สำหรับผมคือโคตรสวย แล้วพอมาเดินในกลุ่มของพี่เกียร์แล้วนั้น บอกได้คำเดียวว่า เป๊ะ!!!

“หวัดดีครับพี่/หวัดดีค่ะพี่”

“กำลังจะไปฉลองให้กับรางวัลพานไหว้ครูวันนี้ไงพี่” ไอ้ภาคเป็นฝ่ายเอ่ยตอบพี่มายด์

“เห้ย พานได้รางวัลหรอวะ จริงปะเนี่ย” พี่มายด์ทำหน้าตกใจ พร้อมย้ำถามทวนคำตอบ

“ก็จริงดิ ได้ที่ 2 เลยนะพี่ ไงล่ะ ฝีมือพวกผม” ไอ้ภาคยกมือตบอกพร้อมยักคิ้วให้พี่มายด์ เอ่อ ภาค นั่นรุ่นพี่มึงนะ ถึงไอ้ภาคจะตัวสูงกว่าพี่มายด์อยู่หน่อยนึงก็เหอะ

“เหยดดดดด สรุปวันนี้มีคนเสียตังค์ ฮ่าๆ” พี่ผู้หญิงหน้าคมพูดขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดังแบบไม่ห่วงสวย

“เอ้อ จริงด้วย พี่มายด์บอกว่าถ้าพานติด 1ใน3 จะเลี้ยง” ส้มเอ่ยขึ้นมา

“ใช่ๆ”

“พี่อย่าเบี้ยวนะเว้ย”

“เจ้า อิน เลือกหนักๆเลย ฮ่าๆ”


เสียงพวกปี1 ย้ำคำสัญญาเมื่อวานที่พี่มายด์ลั่นวาจาไว้

“เอ้อ กูบอกเลี้ยงก็เลี้ยงดิวะ แต่มึงลืมหรอว่ากูบอกว่าใครจ่าย ฮ่าๆ” พี่มายด์หัวเราะเสียงดังอีกคน แล้วหันไปหาสมาชิกกลุ่มอีกสองคนที่ยืนเงียบ คือตั้งแต่มายังไม่ได้ยินเสียงพี่สองคนนั้นเลยนะ นิ่งชะมัด

“ไง เกียร์ ไอ้มายด์เล่าให้กูฟังเมื่อวาน วันนี้มึงได้เสียตังค์จริงว่ะ” พี่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทักเพื่อนหน้านิ่ง

“อืม ไม่มีปัญหา แล้วจะกินอะไรกัน”

“พวกผมให้เจ้ากับอินเลือกอ่ะ เพราะสองคนนี้ ทำให้พานเราได้รางวัล”

“เจ้า? อิน?” เสียงพี่ผู้หญิงหน้าคมเอ่ยขึ้น พร้อมมองมาทางผมกับอิน

“เอ้อ พี่โซ่ นี่เจ้ากับอิน เพื่อนผม เรียนเภสัชฯ พานได้รางวัลเพราะมันสองคนเลยนะ ส่วนนี่พี่โซ่นะ รุ่นพี่ปี3 ป้ารหัสสุดสวยของกู” ไอ้ภาคแนะนำผมกับอินให้พี่คนสวยที่ชื่อโซ่รู้จัก แล้วประโยคหลังมันหันมาบอกกับผมด้วยรอยยิ้ม


สายรหัสมึงนี่ หน้าตาดีทั้งสายเลยปะวะ อยากเห็นหน้าพี่รหัสมันละ


“หน้าตาน่ารักนะเรา หยิกแก้มทีได้ปะ”

“งื้อออออ พี่ ผมเจ็บๆ”

“โอ้ย น่ารักว่ะ ไอ้ภาค มีเพื่อนน่ารักๆแบบนี้ทำไมเพิ่งพามาให้รู้จัก”

“เอ้า ก็เพราะมันน่ารัก ผมเป็นพ่อมันก็ต้องหวงดิ ฮ่าๆ”

“เพื่อนอีกคนทำไมเงียบจัง เป็นไรป่าวน้อง” พี่โซ่ถามพลามมองไปทางอิน ที่ยืนเงียบมาสักพักแล้ว

“อ๋อ อินมันเป็นงี้แหละพี่ อยู่กับคนไม่คุ้นมันไม่ค่อยพูด ขี้อาย ผมเลยเป็นพ่อลูกสอง ฮ่าๆ”

“พ่องงง!!” ผมกับอินหันไปพูดใส่ไอ้ภาคเสียงดัง

“ฮ่าๆๆๆๆๆ” แล้วคนทั้งวงที่ยืนอยู่ก็หัวเราะพร้อมกัน

หัวเราะอะไรกัน…

“สรุปจะไปไหน ชักช้าเดี๋ยวรถติด” เป็นเสียงเรียบๆของพี่อีกคนที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่พี เอ่ยถามขี้นมาแหวกเสียงหัวเราะ

“เจ้า เลือกดิ”

“เอ่อ...คือ...เอ่อ งั้นผมไม่เกรงใจละนะ” ผมพูดตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะจากตอนแรกที่กะมาผลาญไอ้ภาคและผองเพื่อนเต็มที่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่เกียร์เลี้ยง แผนผมเลยดูท่าว่าจะล่ม ไม่กล้าว่ะ แหะๆ

“อืม” พี่เกียร์เอ่ยตอบเสียงใจลำคอ

“ผม..ผม...ผมอยากกินหมูกะทะ!!!” ผมตอบเสียงดังฟังชัด

“ห๊ะ!!!” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน

ผมทำหน้างงใส่ทุกคน ก็ผมอยากกินหมูกระทะ ทำไมต้องตกใจละทำหน้าแปลกใจขนาดนั้น

“อุ๊ป..!.! ฮ่าๆๆ โอ้ยยย น้องเจ้า ไอ้เกียร์เลี้ยงทั้งที น้องเจ้าอยากกินหมูกระทะเนี่ยนะ” พี่มายด์หัวเราะขึ้นมาพร้อมเอ่ยเหมือนผมทำเรื่องประหลาด

“ฮ่าๆ เจ้า ส้มก็คิดว่าเจ้าอยากกินอะไรในร้านอาหารหรูๆ หรือไม่ก็ฉลองที่ร้านเหล้าอะไรงี้”

“อ่าว แล้วมันแปลกยังไงอ่ะ เวลาฉลองอะไรที่ร้านหมูกระทะมันแปลกหรอ ไม่ดีหรอ”

“ดีสิ ไม่แปลกหรอกมึง แค่มันแปลกสำหรับไอ้พวกนี้ พวกนี้แม่งฉลองกันเป็นแต่ร้านเหล้ามั้งเหอะ” ไอ้ภาคตอบผมพลางชี้ไปทางเพื่อนๆมันที่ยืนทำหน้ากลั้นยิ้ม ส่งสายตาเอ็นดูมาให้ผม

งื้อออออ ทำไมต้องทำสายตาแบบนั้น ก็คนมันอยากกินหมูกระทะนี่หว่า

“สรุปไปกินหมูกระทะนะ” พี่มายด์หันมาถามผม ด้วยสีหน้าที่ย้ำว่าผมไม่เปลี่ยนใจนะ

“ครับๆ” ผมพยักหน้ารัวๆใส่พี่มายด์ เหมือนที่เคยทำใส่พ่อกับแม่ หรือแม้แต่ไอ้ภาคกับอิน เวลาได้สิ่งที่ถูกใจ แต่ผมดันลืม ว่านั่นพี่มายด์

“ฮือออออ น้องเจ้า น่ารักอ่ะ อย่าไปทำหน้าแบบนี้ใส่ใครนะ เดี๋ยวโดนฉุด” พี่โซ่พูดพร้อมเดินเข้ามาประชิดตัวผมแล้วยกมือสองข้างขึ้นประกบแก้มผมแล้วบีบจนปากผมยู่

“พี่โซ่ ปล่อยเลยๆ เพื่อนผมกลัวหมดละเนี่ย ไอ้เจ้ามันผู้ชายนะ ใครจะฉุด ถึงสภาพมันจะน่าฉุดบ้างก็เหอะ” ไอ้ภาคง้างมือป้ารหัสมันออกจากแก้มผม แถมยังหันมาพูดกับผม ประโยคแรกๆมันก็ดีนะภาค แต่หลังๆนี่ยังไงวะ กูเพื่อนมึงนะ!!

“แล้วจะไปกันได้ยัง ร้านไหนอะที่อยากกิน แล้วไปกันยังไง” เสียงเรียบๆที่เงียบไปนานของพี่เกียร์ดังขึ้น เขาเอ่ยถามพ่วงด้วยสายตาที่มองมาที่ผม แววตาสื่อชัดเจนว่าให้ผมตอบ

“เอ่อ..ร้านตรงทางไปอนุสาวรีย์ก็ได้พี่ ติดกับรถไฟฟ้าอ่ะ เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้าไปกันก็ได้ เร็วดี” ผมตอบออกไปแต่ไม่ได้สบตาพี่เกียร์ตรงๆ ผมมองรวมๆไปที่ทุกคน

“อืม” เสียงในลำคอของพี่เกียร์ตอบมาแค่นั้น

“ไอ้เจ้า กูเอารถมา เดี๋ยวมึงกับอินไปกับกู แล้วก็ไอ้แทนเพื่อนกู” มันพูดกับผมพลางชี้ไปที่เพื่อนมันอีกคนที่ยืนเยื้องๆกับอิน ผมมองตามมือมันไป ก็เห็นไอ้แทนยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบตามนิสัยของผม

“ไปด้วยกันนะเจ้า” ไอ้แทนเอ่ยกับผมด้วยรอยยิ้ม ไหนจะสายตามันอีก อืม สงสัยเป็นคนเฟรนด์ลี่ ยิ้มเก่ง และพอผมจะเอ่ยปากตอบรับไอ้แทน


“อ๊ะ!” ก็รับรู้ได้ถึงแรงจับบริเวณต้นคอด้านหลัง พร้อมแรงดึงที่ดึงตัวผมแทบปลิวตามแรงนั้นไป

“เห้ย!! พี่เกียร์” ไอ้ภาคร้องเรียกชื่อรุ่นพี่มันดังลั่น ทำให้ผมได้รู้ว่าเป็นใครกันที่ดึงผมจนเกือบล้ม

จากที่คิดว่าล้มแน่ๆเพราะไม่ได้ตั้งตัว แต่แผ่นหลังผมกลับสัมผัสกับความแน่นบริเวณช่วงตัวของคนที่จับต้นคอผมอยู่

“พี่ทำอะไรเนี่ย ผมเจ็บนะ” ผมเอี้ยวหน้าที่ขมวดคิ้วเป็นปมหันไปมองเจ้าของมือที่สัมผัสต้นคอผมอยู่ ที่ตอนนี้มันกำลังเปลี่ยนมาเป็นต้นแขนขวาของผม

“นั่นดิ ไอ้เจ้าเกือบล้ม พี่ดึงคอเพื่อนผมทำไมเนี่ย”

ตอนนี้หน้าทุกคนดูงงกับเหตุการณ์ว่าพี่เกียร์ทำอะไร อยู่ดีๆก็มากระชากคอกัน เป็นบ้าไงเนี่ย แต่ก็มีแต่หน้าของรุ่นพี่ปี 3 ที่ไม่ได้ดูเดือดร้อนอะไร แถมพี่มายด์กับพี่โซ่ ยังมาทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ผมอีก


อะไรของพวกพี่เนี่ย เจ้างงโว้ย


“มึงไปกับกู”

“ไม่เอา ผมจะไปกับเพื่อน”

“ไม่ได้ มึงต้องไปกับกู”

“แล้วทำไมผมต้องไปกับพี่” ผมตอบอย่างหัวเสีย จะบังคับผมทำไมเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด

“ก็...กูไม่รู้ทาง กูจะเอารถกูไป เพราะงั้นมึงต้องไปกับกู”

“ห๊ะ! โหยพี่ ไม่รู้ก็ถามดิ ต้องให้ไปด้วยทำไม เสิร์ชชื่อร้านในกูเกิลแมพก็เจอละ”

“ไม่! พวกมึงไปร้านกันถูกใช่มั้ย” พี่เกียร์ก้มลงมาปฏิเสธผมเสียงดัง ก่อนจะเบือนหน้าหันไปถามพวกวิศวะฯปี1 รวมถึงไอ้ภาคด้วย

พวกนั้นพยักหน้าตอบพี่เกียร์ด้วยแววตางงๆทุกคน ไอ้ภาคก็ดูงงๆกับการกระทำของรุ่นพี่มัน ผมสบตากับไอ้ภาคกระพริบตาปริบๆเพื่อขอความช่วยเหลือจากมัน พลันสายตาไปหยุดอยู่ที่แทน แววตามันดูแปลกไป

“งั้น ก็เอาตามนี้ ใครมีรถก็ขับไป จากจำนวนจนกับจำนวนรถก็พอจะอัดกันไปได้อยู่” ไอ้ภาคสรุปตัดบท

ไอ้ภาคคคคค มึงช่วยกูก่อน

อินที่ยืนนิ่งมองมาที่ผม สายตาที่ส่งมาคือช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ

“งั้นให้อินไปกับผมด้วย” ผมเงยหน้าพูดกับร่างสูงที่ยังคงจับต้นแขนผมไว้

“ไม่ได้”

“เอ้า ทำไมอ่ะพี่”

“รถกูนั่งได้สองคน เลิกพูดมาก มานี่”


พูดจบ คนที่สูงกว่าผม 10 กว่าเซนฯก็ลากแขนผมให้เดินไปตามทิศทางที่เขาต้องการทันที
โอ้ยยยย นี่จะไม่ให้ตั้งตัวกันก่อนรึไง ล้มไปทำไงวะเนี่ย ละแรงจะเยอะไปไหน ผมได้แต่หันไปมองกลุ่มคนที่ยืนงงกับการกระทำของพี่เกียร์ ไม่มีใครพูดอะไร แล้วทุกคนก็เริ่มแยกย้าย

มีแต่ผมที่แยกมาในสภาพที่เหมือนโดนฉุด

เขาเดินลากแขนผมมาทางที่จอดรถของคณะวิศวะฯ ที่ใช้เวลาเดินปกติไม่นานก็ถึง ผมใช้สายตาสอดส่องหารถพี่เกียร์ว่าคันไหนวะที่มันนั่งได้สองคน ซื้อรถมาไม่มีประโยชน์จริงๆ

สักพักคนเอาแต่ใจก็พาผมมาหยุดยืนอยู่ตรงข้างๆที่จอดรถ

‘มอเตอร์ไซค์’

แต่...เป็นรถบิ๊กไบค์สีดำ ยี่ห้อหรือรุ่นอะไรผมไม่เชี่ยวชาญพอที่จะรู้สึก แยกได้แค่รถมีเกียร์กับไม่มีเกียร์

“ใส่ซะ” พี่เกียร์ยืนหมวกกันน็อคแบบเต็มใบให้ผม กระจกกันลมเคลือบด้วยปรอทเงาวับ แต่ผมยังไม่รับมา

“เดี๋ยวนะ พี่จะพาผมขับเจ้านี่ไปเนี่ยนะ”

“อืม ก็บอกแล้วว่านั่งได้สองคน”

“โหยพี่ มันดูอันตรายอ่ะ ให้ผมไปนั่งกับไอ้ภาคเหมือนเดิมเหอะ” ผมเอ่ยเสียงติดขอร้องนิดๆพร้อมทั้งมองสบไปที่ดวงตาคมของคนตรงหน้า

"..."

พี่เกียร์นิ่งไปเฉยเลย เป็นไรวะ


“ปลาทองหน้าโง่”


“ห๊ะ ว่าไงนะพี่”

“กูบอกว่ามึงอ่ะ เป็นปลาทองหน้าโง่” พี่เกียร์พูดพร้อมกับยื่นนิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากผม

“...”

“อ่าว เอ๋ออีก”

ไม่ได้เอ๋อโว้ยยยย ติดสตั๊นแปบเดียวเอง

“ผมไม่ได้เป็นปลาทองนะ แล้วก็ไม่ได้หน้าโง่ สนิทกันหรอถึงมาว่าผมเนี่ย” พอหายสตั๊นผมก็ร่ายยาวสวนกลับพี่เกียร์ไป

“หึ” พี่เกียร์ทำเสียงหึในลำคอ ที่ฟังยังไงก็เหมือนถูกเยาะเย้ย

“มึงอ่ะปลาทอง หน้าเอ๋อแบบนี้ ไม่ทันคนหรอก นั่นแหละโง่” พี่เกียร์ก้มตัวให้ใบหน้ามาอยู่ในระดับเดียวกับผม แล้วก็เอานิ้วจิ้มที่แก้มผม

“โว้ย พี่แม่ง พูดไม่รู้เรื่อง หึยยยยย” ผมโวยวายลั่นลานจอดรถ หงุดหงิด ทำไมพี่มันพูดจากวนขนาดนี้ ถ้าผมกล้ากว่านี้ผมต่อยพี่มันไปละ

เออ ตอนนี้ไม่กล้าไง ถึงได้หงุดหงิดอยู่เนี่ย ตอนนี้หน้าผมคงยับมากอ่ะ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วผูกเป็นปมละ

“แล้วนี่เมื่อไหร่จะใส่หมวก จะกินวันนี้มั้ย?” พี่เกียร์ใช้นิ้วชี้ที่เพิ่งเอาออกจากหน้าผากผม ไปชี้ที่หมวกกันน็อคที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วถามผม

“จะให้ผมขึ้นเจ้านี่จริงอ่ะพี่” ผมพูดเสียงอ่อย

สารภาพเลยตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมาผมขึ้นมอเตอร์ไซค์นับครั้งได้ ตอนมัธยมผมก็เดินไปเรียน เพราะบ้านผมกับโรงเรียนนี่ใกล้กันมาก แล้วนี่ผมต้องมานั่งไอ้มอเตอร์ไซค์คันเบ้อเริ่มนี่ ขาก็ไม่ถึง จะพยุงตัวยังไงไม่ให้ตก โอ้ยยยย เจ้าเครียด!!

“กลัว?”

“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆแล้วก็ก้มหน้าตอบเสียงเบา ไม่รักษามันละฟอร์มเนี่ย

ผมได้ยินเสียงพี่เกียร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงการปกคลุมของอะไรหนักๆที่ถูกสวมมาที่หัวผม พร้อมกับมือใหญ่ที่จับกระชับหมวกกันน็อคให้เข้าที่แล้วก็จับสายรัดคางมาล็อคให้ผม

ผมเงยหน้ามองพี่เกียร์ เลยได้สบตากับดวงตาคมดุนั่น แววตาที่ผมเดาความหมายอะไรไม่ออก มีเพียงรอยยิ้มมุมปากจางๆก่อนที่พี่เกียร์จะตบที่กั้นลมเคลือบปรอทสีเงินนั่นปิดหน้าผม

ร่างสูงขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ราคาหลายหลักก่อนจะถอยรถออกจากที่จอดมาในตำแหน่งที่จะขับออกไป

“ขึ้นมา” เสียงเรียบเอ่ยบอกผมนี่ยืนยิ่งอยู่ข้างตัวรถที่ติดเครื่องรออยู่แล้ว

"..."

“เจ้า ขี้นมา”

อย่าเร่งสิโว้ยยยย ขอทำใจแปบนึง คำนวณหาองศาก่อนว่านั่งยังไงไม่ให้ตก เจ้าเครียดดดด

“แปบดิพี่ อย่าเร่งดิ” ผมตะโกนเสียงดังเพราะหมวกกันน็อคที่สวมอยู่มันลดระดับเสียงที่ลอดออกไปภายนอกจนกลัวคนฟังไม่ได้ยิน

“ไม่ต้องกลัว ค่อยๆก้าวขึ้นมา”

ผมเคยเห็นคนอื่นนั่ง พอจะนึกภาพออก คือมันดูไม่ยาก แต่ผมจะจัดระบบร่างกายยังไงให้ขึ้นไปได้ ผมพยายามตั้งสติ แล้วสูดลมหายใจลึกๆ

“เจ้าทำได้ เจ้าทำได้” ผมพึมพำเสียงเบาที่มั่นใจมากๆว่าผมจะได้ยินเพียงคนเดียว

และเหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นกับผมโดยไม่ทันตั้งตัว


หวืดดดดดด~~~~~~

ปึก!


ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งสติและรวบรวมความกล้า  อยู่ดีๆขาผมก็ลอยพ้นพื้น รู้สึกเสียววูบเมื่อร่างตัวเองลอยขึ้นโดยมีมือใครบางคนช้อนแผ่นหลังผมไว้ พร้อมกับมืออีกข้างที่สอดใต้ข้อพับเข่าผม อารามตกใจผมก็ยกมือปัดป่ายคว้าหาที่ยึดไปทั่ว ขนยึดได้กับคอคนที่กำลังอุ้มผมอยู่นั่นแหละ

ผมถูกผู้ชายตรงหน้าอุ้ม ผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ได้สนิทใจอะไรกันเลย ผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิตผมได้สองวัน ย้ำ! สองวัน โว้ยยยยย สนิทกันหรอถึงมาอุ้มเนี่ย


ผมถูกอุ้ม ไม่สิ ถูกยกส่งขึ้นให้มานั่งบนบริเวณเบาะด้านหลังของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ด้วยฝีมือของเจ้าของรถ ผมนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้น ปากยังชะงักค้างแต่หัวคิดคำพูดอะไรไม่ออกเลย

“...”

“หนัก” เสียงเรียบเอ่ยขึ้น

“ใครใช้ให้อุ้ม” ไวกว่าสมองก็ปากผมนี่แหละ

“กูจะกินหมูกระทะวันนี้ ขี้เกียจรอ”

“ถ้ารีบก็ไม่ไปก่อนอ่ะ” ผมตอบโต้ด้วยเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด หมั่นไส้

“หึ กูไม่ใจร้ายทิ้งปลาทองหน้าโง่ไว้หรอก”

“...” ครับ เป็นคนดีจังเลยครับ ผมได้แต่พูดในใจ

“จับดีๆ จะไปแล้ว” พี่เกียร์เอียงหน้าเล็กน้อยมาพูดกับผม

ผมที่ไม่รู้จะเกาะอะไร ก็จับตรงท้ายเบาะแบบที่เคยเห็นมา เอาวะ จับตรงนี้ก็คงไม่ตกแล้วแหละ

อยู่ดีๆแผ่นหลังของคนตรงหน้าก็ยืดตั้งตรงแล้วเขาก็ปล่อยมือออกจากตำแหน่งที่ใช้บังคับทิศทางรถ ก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างนั้นเอื้อมมาทางด้านหลัง แล้วมาจับที่ข้อมือผม


หมับ!


“เกาะตรงนี้ ถึงจะไม่ตก” พี่เกียร์พูดพร้อมกับดึงข้อมือผมทั้งสองข้างไปเกาะที่เอวของตัวเอง

การกระทำที่เร็วกว่าสติผมหลังจากนั้นก็คือ...

“เห้ย!!”

เสียงอุทานที่เป็นปฏิกิริยาแบบฉับพลันจากความตกใจของผม เมื่อจู่ๆร่างสูงก็เร่งเครื่องออกตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมยังไม่ได้ตั้งตัวและยังไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ความเร็วของรถที่ทำให้เกือบหงายหลัง เป็นเหมือนการบังคับมือผมที่เขาดึงไปแปะไว้ข้างเอวให้กำเสื้อนักศึกษาบริเวณเอวของเขาไว้แน่น

ทำไมไม่บอกก่อนเนี่ย แล้วก็ขับเร็วไปแล้วโว้ย

“พี่!! ขับช้าๆหน่อย เร็วไปแล้ว” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลมที่กระทบเข้ามาที่หมวกกันน็อค ขนาดผมใส่หมวกกันน็อคยังรับรู้ได้ถึงแรงลมที่กระทบเข้ามา แล้วคนขับนี่มันไม่รู้สึกอะไรหรอวะ

“...”

“พี่ ผมบอกให้ช้าหน่อย!” ผมตะโกนอีกครั้ง ย้ำกับความต้องการของผม เพราะสำหรับผมตอนนี้พี่เกียร์ขับเร็วมาก ผมที่ไม่ค่อยได้อยู่สภาวะแบบนี้ สารภาพเลยว่าเริ่มกลัว มือที่กำเสื้อร่างสูงในตำแหน่งคนขับจนยับยู่ยี่ก็เริ่มชื้นเหงื่อ

“...” เงียบ แถมไม่มีทีท่าจะขับช้าลง

“พี่เกียร์...ขับช้าๆกว่านี้หน่อย เจ้ากลัว…” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ดังพอที่เจ้าของแผ่นหลังด้านหน้าผมจะได้ยิน และถ้าหากเขาได้ยินจริงๆ ก็คงจะรับรู้ได้ว่า เสียงผมมันสั่นมากแค่ไหน


กึก


ร่างสูงชะงักไป ทำให้ล้อหน้าบิดตามแรงชะงักไปนิดหน่อย แล้วรถก็เคลื่อนตัวช้าลงกว่าเดิมจนรู้สึกได้

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคนที่กำลังหันหลังให้ผมด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่า

“อืม...ขอโทษ ไม่ชิน”

“...” พี่เกียร์ได้ยินหรอ

ระหว่างทางที่รถเคลื่อนตัวไปยังร้านหมูกระทะก็ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างเรา ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง แต่ในหัวก็มีอะไรคิดมากมายตามนิสัยของคนขี้สงสัยและคิดมาก


การกระทำแปลกๆของพี่ หมายความว่ายังไงกันนะ


แล้วสรุป ผมกับพี่ เรารู้จักกันมั้ย?



*TBC
04/09/2017

***********************************************


ขออัพรัวๆนะคะ ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แค่เห็นยอดวิวก็มีกำลังใจแล้ว แค่หนึ่งคนที่อ่านก็ทำให้มีแรงอัพต่อละค่า นี่เป็นเรื่องแรก หวังว่าจะเป็นนิยายคั่นเวลาให้อ่านรอนิยายหลักได้นะคะ


แนะนำ ติชม พูดคุย ได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 3

เจ้าเนื้อหอม




บรื้นนนนน~~~~~

“จอดๆ เลยพี่” ผมยกมือขวาตบไหล่ร่างสูงที่หันหลังให้ผมบนรถบิ๊กไบค์ราคาแพง ที่เป็นยานพาหนะพาเราสองคนมาถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

“เออๆ จอดแล้ว”

“นี่ปกติพี่ขับรถเร็วขนาดนี้เลยหรอ?” พูดพลางจัดท่าทางเพื่อลงจากรถคันสูง

“อืม ทำไม?”

“เปล่า ผมแค่คิดว่ามันอันตรายจะตาย เขามีแต่ซื้อรถเอาเหล็กหุ้มเนื้อ แต่อันนี้เอาเนื้อหุ้มเหล็ก คุ้มตรงไหน” ผมอธิบายด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ตามความคิดของตัวเอง ก็มันจริงมั้ยล่ะ

“พูดมาก แล้วจะไม่ลงหรอเอ๋อ”

“ผมชื่อเจ้าพระยานะ เผื่อพี่ลืม”

“เอ๋อ สรุปจะลงได้ยัง  หรือต้องให้อุ้ม?” เขาไม่ฟังเสียงย้ำชื่อตัวเองของผม แถมยังเอี้ยวตัวหันมาพูดพร้อมทั้งสบตากับผมที่ยกกระจกกั้นลมของหมวกกันน็อคขึ้นแล้ว

“เห้ย ไม่ต้องๆ ผมลงเองได้” ผมรีบตะเกียกตะกายลงจากรถสีดำคันสูงเกินเอวผม

“ก็แค่นี้ ขาสั้นสินะ หึ” เขาพูดพร้อมล็อคคอรถแล้ววาดขาลงมายืนข้างตัวรถ

“ไม่สั้นเหอะ ผมสูงตามมาตรฐานชายไทยนะ”

“ก็เตี้ยกว่ากู” ร่างสูงก้มตัวจนหน้าลงมาอยู่ในระดับเดียวกับผม

“เออ พี่มันสูง สูงมากๆ พอใจยัง” ทำอะไรไม่ได้ก็ยู่ปากใส่แม่ง

“หึหึ”

“หัวเราะอะไรอีก”

“หัวเราะมึงไงเอ๋อ จะใส่หมวกกันน็อคเข้าไปกินหมูกระทะหรอ”

“เอ่อ..เออ! พี่ไม่รู้หรอ มันกันควันได้” แถสีข้างถลอกเลือดซิบละผม เอาสิ ก็ใครใช้ให้มาแซว โว๊ะ

“มานี่” พี่เกียร์ดึงผมเข้าไปใกล้ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปลดสายรัดที่คาง แล้วถอดหมวกกันน็อคออกให้ผม


โดยที่การกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาจ้องเข้ามาในตาผม จนผมเผลอจ้องสบตาเขากลับเช่นกัน

แววตาแบบนี้...ชวนให้เกิดความรู้สึก’คุ้น’

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

บทสนทนากลางลานจอดรถระหว่างผมกับพี่เกียร์ก็จบแค่นั้น เราสองคนพากันเดินเข้ามาในตัวร้าน ซึ่งเป็นร้านหมูกระทะแบบบุพเฟ่ต์ ร้านจัดแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วน in door ที่อยู่ในห้องแอร์ และส่วน out door ที่มีอาณาเขตค่อนข้างกว้าง หลังคาเปิดโล่ง มีรั้วไม้สูงประมาณเอวเป็นตัวแบ่งเขตร้านให้ชัดเจน แค่เดินเข้ามาในร้าน จมูกผมก็ได้กลิ่นหอมๆเรียกน้ำย่อยแล้วครับ


เพียงแค่เดินเข้ามา ผมก็สอดส่ายสายตามองหากลุ่มเพื่อนที่คาดว่าน่าจะเดินทางมาถึงก่อนแล้ว และก็เป็นตามที่คิด คนกลุ่มใหญ่ที่คุ้นเคยกันในช่วง 2 วันมานี้นั่งอยู่ส่วน out door ที่ต้องต่อโต๊ะเข้าด้วยกันถึง 4 ตัว

“เจ้า ทางนี้” ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปทัก อินหันมาทางผมพอดิบพอดี เลยยกมือเรียกผมให้เดินเข้าไปร่วมโต๊ะ

“มาถึงกันนานยัง” ผมเอ่ยถามอิน พร้อมกับเอาตัวเองไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างข้างๆอิน ส่วนร่างสูงที่มาพร้อมผม ก็ถูกเพื่อนอารมณ์ดีอย่างพี่มายด์ เรียกไปนั่งตรงหัวโต๊ะ ตำแหน่งของเจ้ามือผู้เสียทรัพย์ หึหึ

“ไม่นานเท่าไหร่ ว่าแต่...ทำไมมึงมาถึงช้าจัง”

“เอ่อ...พอดีรถติด”

“หืม กูมากับไอ้ภาค ไม่เห็นจะติด”

“เออน่ะ หิวแล้ว จะแดกหมูได้เป็นตัวแล้วเนี่ย” ผมตัดบทการตอบคำถามอิน ก่อนที่มันจะถามจี้มากกว่านี้ ใครจะกล้าบอกว่ามัวแต่เถียงกับเจ้าของรถอยู่

ระหว่างที่นั่งอยู่ คนอื่นๆที่คาดว่าลุกไปตักวัตถุดิบในการย่างหมูกระทะแบบฉบับบุพเฟ่ต์ก็เดินกลับมาพร้อมของเต็มสองมือของแต่ละคน

“อ้าว เจ้า เพิ่งถึงหรอ” ส้มเอ่ยถามผมเป็นคนแรก

“อืม หิวมากเลยเนี่ย”

“อ่ะเจ้า เราตักหมูมาเผื่อ” เสียงของแทนเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับยกจานเนื้อหมูสไลด์บางๆมาให้ผม

“เห้ย เดี๋ยวเราไปตักเองก็ได้ แทนกินเลย”

“ไม่เป็นไร เราตั้งใจตักมาเผื่อ” แทนยังยืนยันความตั้งใจมาพร้อมรอยยิ้มที่จะยกจานนั้นให้ผม

“งั้นขอบคุณนะ”


การฉลองครั้งนี้เรามากันทั้งหมด 13 คน กลุ่มพี่มายด์ 4 คน มีพี่เกียร์นั่งหัวโต๊ะ ฝั่งขวามือพี่เกียร์ก็เป็นพี่มายด์ ไอ้ภาค ผม อิน แทน แล้วก็เพื่อนวิศวะผู้ชายอีกคน ส่วนฝั่งตรงข้ามก็ไล่จากพี่พี พี่โซ่ ส้ม แยม มิวซ์ แล้วก็เพื่อนผู้ชายอีกคน กระเป๋าฉีกแน่ หึหึ

“ทำไมมึงมาช้าจังวะ” เสียงพี่มายด์เอ่ยถามเจ้าของตาคมดุ

“ปลาทองมันกลัว”

“แล้วไงวะ”

“เลยขับช้า”

“มึงเนี่ยนะขับช้า เหยดดดดด”

“อืม”

“หนักละเพื่อนกู ฮ่าๆ”


บทสนทนาของพี่สองคนท่างกลางเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของหลายคนในโต๊ะ แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน นินทาระยะเผาขนเลยนะ

“เจ้า อะ เบคอนของมึง กินเยอะๆ” ไอ้ภาคใช้ตะเกียบคีบเบคอนบนเตาที่สุกกำลังได้ที่ลงมาใส่ในจานผม

“ปกติมีแต่บอกให้กูกินน้อยๆ วันนี้จะมอมหมูกูหรอ ฮ่าๆ”

“ก็มึงกินเปลือง กินโคตรเยอะ แต่ไม่อ้วน เสียของชิบหาย” ไอ้ภาคบ่น พร้อมเอาตะเกียบชี้หน้าผม

“คนมันมีบุญเว้ย ฮ่าๆ”

ใช่ครับ ผมเป็นคนที่ระบบเผาผลาญค่อนข้างดี กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ไม่ว่าจะเป็นของคาว ของหวาน ผมจัดหนักหมด แต่หุ่นก็..เหอะ เท่าเดิม สมัยย่างเข้าวัยรุ่นใหม่ๆก็หงุดหงิดเพราะอยากมีหุ่นนักกีฬาแบบเพื่อนคนอื่นบ้าง แต่ตอนนี้ปลงแล้วคร้าบบบบ

“เจ้าโชคดีอ่ะ ส้มนะ แค่ได้กลิ่นก็อ้วนละ”

“ไม่นะ ส้มหุ่นดีแล้ว ไม่อ้วนหรอก”

“หรอๆ งั้นวันนี้เราจะกินให้เต็มที่ ฮ่าๆ”


การฉลองด้วยหมูกระทะก็ดำเนินไปเรื่อยๆ มีทั้งเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและเสียงคนเถียงกันเพื่อแย่งหมูบนเตา ผมล่ะกลัวโต๊ะข้างๆจะปากระทะใส่จริงๆ คนสิบกว่าคน เสียงก็ใช่จะเบาๆ  ผมกับอินที่เป็นเด็กต่างคณะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแตกต่าง เราคุยกันถูกคอจนเหมือนได้เพื่อนเพิ่มเข้ามาในชีวิต รู้สึกดีจัง

“ไอ้ภาค เอาอะไรมั้ย กูจะไปตักของเพิ่ม” ผมหันไปถามเดือนวิศวะฯปี1

“ไม่อ่ะ ไม่อยากกินเยอะ เดี๋ยวกล้ามกูหาย” มันตอบพร้อมยักคิ้วให้ผม

“เออ งั้นเดี๋ยวกูกินเผื่อ”

ผมว่าแล้วก็ลุกขึ้นถอยเก้าอี้ให้พ้นทางเพื่อเดินไปตักอาหารสดบริเวณที่ทางร้านจัดไว้ให้

“เจ้า เราไปด้วยดิ พอดีปูอัดหมด” แทนลุกขึ้นเดินตามผมมา ผมพยักหน้าตอบเป็นเชิงตกลง


ผมเดินไปหยิบจานเปล่าขนาดพอเหมาะ สำหรับการตักเบคอนของโปรดไปเพิ่ม ระหว่างที่ยืนถือคีมคีบอาหารพร้อมชะเง้อมองหาถาดเบคอนที่รัก ร่างสูงกว่าผมนิดหน่อยของแทนก็มายืนข้างๆ

“หาอะไรอ่ะ”

“เบคอน”

“เจ้าชอบกินเบคอนหรอ”

“อื้ม ชอบมากเลย”

“เราก็ชอบนะ” คำตอบที่แทนตอบผมมันธรรมดา แต่สายตาที่เพื่อนต่างคณะคนนี้ส่งมามันมีประกายที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ

“ได้ปูอัดยังอ่ะ”

“อ่อ...กำลังไปหยิบนี่ไง”

“งั้น ถ้าหยิบแล้ว เราฝากถือนี่ไปที่โต๊ะก่อนนะ เราจะตักอาหารเพิ่มอ่ะ” ผมเอ่ยวานเพื่อนต่างคณะพร้อมกับยื่นจานเบคอนไปไว้ตรงหน้าเขา

“ได้เลย เดี๋ยวเราไปรอที่โต๊ะนะ” แทนรับอาสาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาที่ส่งมาก็มีความหมายที่ชัดเจน

ครับ ผมดูออก มันไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่ผมเจอเหตุการณ์หรือได้รับความรู้สึกแบบนี้ และที่ผ่านมาผมก็มีวิธีจัดการให้มันผ่านไปด้วยดี ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เมื่อแทนเดินกลับไปที่โต๊ะ ผมก็หันไปหยิบจานเปล่าเพื่อนำไปใส่กุ้งเทมปุระกรอบๆ สีเหลืองนวลน่ากินสุดๆ

“สวัสดีครับ มากับเพื่อนหรอครับ”

ปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบกลับการได้ยินเสียงทัก ก็ทำให้ผมหันตามเสียงนั้นไป

“ถามผมหรอ?” ผมยกมือหันนิ้วชี้เข้าหาตัวก่อนเอ่ยถามคนแปลกหน้าที่เข้ามาทัก

“ครับ มากับเพื่อนหรอครับ”

“อ่า ใช่ครับ”

“เห็นใส่ยูนิฟอร์มของมหา’ลัย U เลยเข้ามาทักอ่ะ ผมก็เรียนที่นี่นะ”

“หรอครับ” เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มจางๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท อย่างน้อยก็เพื่อนร่วมสถาบัน

“ว่าแต่อยู่คณะอะไร ปีไหนครับ ไม่คุ้นหน้าเลย”

“เภสัชฯปี 1 ครับ” นี่ผมไม่ได้กำลังโดนสอบสัมภาษณ์อยู่ใช่มั้ย บอกที

“ถึงว่าไม่คุ้น พี่อยู่สถาปัตฯปี 2 นะ”

“อ่อ หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ทำความเคารพคนแปลกหน้าที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบัน

“พี่ชื่อไนซ์นะ แล้วน้องชื่อ..”


“เอ๋อ!!”

“...”

“...”

เสียงคุมโทนราบเรียบที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างผมกับพี่ไนซ์ พร้อมกับร่างสูงที่พาตัวเองมายืนข้างๆผม

“นึกว่าตะกละจนหน้ามืดจมกองหมูตายละ”

“ใครมันจะทำงั้น โว๊ะ แล้วพี่มีอะไรอ่ะ”

“ไอ้มายด์ทำตะเกียบกูหล่น”

“พี่ก็ขอพนักงานใหม่สิ เดินมาทำไม”

“มาบอกมึงไง ขอไปให้กูด้วย แล้วก็เร็วๆ”

“ได้ไงวะพี่”

อะไรคือการที่พี่เขาเดินมาเพื่อใช้ผมแค่นี้เนี่ยนะ ผมไม่ใช่พนักงานร้านนะว้อยยยยย

“เอ่อ ขอตัวก่อนนะครับ” ผมรีบหันไปบอกรุ่นพี่อีกคนที่ยืนเงียบตั้งแต่พี่เกียร์เดินเข้ามา

“หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะครับ”

ผมไม่ได้ตอบกลับประโยคที่พี่เขาส่งมา แต่กลับยิ้มจางๆแล้วก้มหัวเล็กน้อยเชิงขอตัวออกมาจากตรงนั้น แล้วเดินไปขอตะเกียบคู่ใหม่จากพนักงานของร้านเพื่อเอาไปให้คนเอาแต่ใจ



“อ่ะ” ผมยื่นตะเกียบคู่ใหม่ไปตรงหน้าร่างสูงเมื่อเดินกลับมาถึงโต๊ะ

“ขอบใจ”

“เอาตะเกียบมาให้มันทำไมน้องเจ้า” เป็นพี่มายด์ที่เงยหน้าขึ้นมาถามผมที่ยืนอยู่ระหว่างเขากับพี่เกียร์ที่นั่งอยู่

“ก็พี่เกียร์…”

“โอ้ย ไอ้เอี้ยเอียร์ อันอ้อน!!” เสียงพี่มายด์โวยวายใส่เพื่อนตัวเอง เพราะถูกหมูร้อนๆจากเตายัดใส่ปากแบบไม่ทันตั้งตัว

“แดกไปมึง อย่าพูดมาก”

“อะไรของมึงเนี่ย แค่กๆ”

เมื่อเห็นพี่ปี 3 ทั้งสองคนมีทีท่าจะเถียงกันต่อ ผมเลยหันตัวออกมาเพื่อจะกลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเอง

หมับ!

“...”

“มึงมานั่งนี่”

“หื้อ นั่งทำไม ผมจะกลับที่ตัวเอง"

“ไอ้มายด์ลุก ไปนั่งแทนไอ้เอ๋อ”

“อ่าว ซวยกูอีก” พี่มายด์เงยหน้าจากจานตรงหน้าที่กำลังจะคีบหมูไปจิ้มน้ำจิ้ม

“เออ ลุก”

“พี่มายด์นั่งนี่แหละครับ ผมจะไปนั่งที่เดิม” ผมบอกพี่มายด์ แต่ตาจ้องมองไปยังดวงตาของคนชอบเอาแต่ใจ

“กูให้มึงนั่งนี่”

“แล้วทำไมผมต้องนั่งอ่ะ”

ตอนนี้สายตาทุกคู่ในโต๊ะพร้อมใจกันหันมามองผมกับพี่เกียร์เถียงกัน โดยที่ไม่มีใครเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขนาดผมยังไม่เข้าใจเลย พี่เกียร์แม่ง เจ้าเครียดดดดดด

“กูยังไม่ได้กิน มาย่างให้กู”

“ห๊ะ! นั่งตั้งนานทำไมไม่กินอ่ะ จะกินก็ย่างเองสิพี่”

“โว๊ะ ลีลานะมึง คืองี้น้องเจ้า ไอ้เกียร์มันย่างหมูไม่เป็น มันดูไม่เป็นว่าสุกหรือไม่สุก” เสียงพี่โซ่ดังแหวกบทสนทนาขึ้นมา

“เห้ย จริงดิพี่”

“จริง พวกพี่ขี้เกียจย่างให้แม่งละ” พี่โซ่ตอบเสียงดังพร้อมทำหน้าซังกะตายใส่เพื่อนของตัวเอง

“ฮะๆ พรืดดดดด...ฮ่าๆๆๆ โหยพี่ โตขนาดนี้ยังดูไม่เป็นอีกรึไง” ผมหลุดหัวเราะเสียงดังให้กับเรื่องที่ได้ยิน

“เออ แล้วจะนั่งย่างให้กูได้รึยัง หิว” ร่างสูงตรงหน้าผมเอ่ยกดเสียงต่ำ เพื่อให้ผมนั่งเป็นพนักงานบริการย่างหมูให้กิน

พี่มายด์ลุกย้ายตัวเองไปนั่งแทนที่ผม ให้ผมนั่งข้างพี่เกียร์แทน

“โอเค ผมย่างให้ก็ได้ นี่เห็นว่าน่าสงสารหรอกนะเนี่ย ฮ่าๆ”

“หุบปาก ละย่างไปเลยเอ๋อ”

“ถึงผมจะเอ๋อ ผมก็แยกหมูสุกกับไม่สุกได้นะ” เอ่อตอบด้วยท่าทางและสายตาล้อเลียนเขาสุดๆ เรื่องนี้ผมจะล้อยันลูกบวชอ่ะ

“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของคนที่นั่งตรงข้ามผมตอนนี้ คนที่ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลยตั้งแต่มาถึง


เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเข็มสั้นเกือบชี้ตรงกับเลขเก้า การเลี้ยงฉลองที่กินเวลาเกือบสามชั่วโมงก็จบลง เราต่างทิ้งซากหลักฐานที่เหลือจากความหิวโซที่ทำให้ตอนกินไม่คิด พอถึงตอนนี้หลายคนแทบพาร่างตัวเองให้ลุกจากเก้าอี้ไม่ไหว กินกันคุ้มมาก มากจนเจ้าของร้านอาจจะซึ้งใจจนน้ำตาไหล ฮ่าๆ เมื่อเดินพ้นตัวร้านออกมาที่ลานจอดรถ ก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

“เดี๋ยวมึงกลับกับกูนะ” ไอ้ภาคหันมาบอกผมตอนที่กำลังเดินไปที่รถสัญชาติญี่ปุ่นของมัน

“อืม ดีเหมือนกัน หนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน”

“พวกมึงกูฝากไปส่งสาวๆด้วยนะ” คนข้างๆผมตะโกนบอกเพื่อนมันที่เดินไปรถครอบครัวหลายที่นั่ง เพื่อฝากส้ม แยม มิวซ์ไปกับพวกนั้น

“ภาค กลับดีๆนะ เดี๋ยวพวกพี่กลับละ” พี่โซ่เอ่ยลา

“เอ้อ พวกพี่ผ่านสุขุมวิทด้วยใช่ปะ ผมฝากอินไปด้วยคนดิ”

“เห้ยภาค ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูนั่งแท็กซี่กลับ” อินรีบปฏิเสธคำขอที่ไอ้ภาคเอ่ยถามป้ารหัสคนสวยของมัน

“น้องอินบ้านอยู่แถวสุขุมวิทหรอ ไปพร้อมพี่เลย เดี๋ยวแวะไปส่ง ทางผ่านบ้านพี่...ไอ้พี เดี๋ยวแวะส่งน้องอินด้วยนะมึง” พี่โซ่อาสาไปส่ง ไม่สนใจคำปฏิเสธของเพื่อนผม

“เอ่อ…”

“ไม่ต้องเอ่อ ไปขึ้นรถ ดึกแล้ว” เสียงทุ้มที่เงียบอยู่นานของพี่พีเอ่ยขึ้นมา พร้อมทั้งพยักหน้าไปทิศทางที่รถจอดอยู่ เป็นเชิงบังคับไม่ให้ปฏิเสธ

“ครับ” อินก้มหน้าตอบเสียงเบา ว่าง่ายตามคำบอกของรุ่นพี่วิศวะฯปี 3

“แล้วมึงกลับไงแทน” พี่มายด์เอ่ยถามรุ่นน้องตัวเอง

“อ๋อ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปหาเพื่อนต่ออ่ะพี่”

“แดกเหล้าอีกล่ะสิมึง”

“รู้ทัน ฮ่าๆ งั้นผมไปนะพี่ หวัดดีครับ ไอ้ภาค เจ้า อิน ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” แทนเอ่ยลาทั้งรุ่นพี่และพวกผม ก่อนจะเดินออกไปทางหน้าร้าน

“งั้นกลับกันได้ละ ไปๆ อินไปขึ้นรถ ไอ้มายด์มึงไปนั่งหน้านะ กูจะนั่งหลังกับน้องอิน คิคิ” พี่โซ่ตัดบทเพื่อให้ทุกคนรีบแยกย้ายกันกลับบ้าน

“งั้นพวกผมกลับละครับ หวัดดีครับ พี่เกียร์ ขอบคุณมากนะพี่ที่มาเป็นเจ้ามือ” ไอ้ภาคเอ่ยลา

“อืม ไม่เป็นไร”

“คราวหน้าเลี้ยงอีกนะพี่”

“เออ ไปๆรีบกลับ” พี่เกียร์ยกมือมาโบกทำท่าไล่พวกผมกลับ

“เอ่อ หวัดดีครับพี่ๆ เจอกันพรุ่งนี้นะอิน” เป็นผมที่เอ่ยลาบ้าง

“อื้ม เจอกัน”

แล้วอินก็เดินตามหลังพี่ปี 3 ทั้งสามคนไป ตอนนี้ที่ยังยืนอยู่ข้างรถไอ้ภาคก็เหลือกัน 3 คน

“รีบกลับสักทีสิ”

“พี่เกียร์...ขอบคุณนะครับที่เลี้ยง” ผมก้มหัวเล็กน้อยพร้อมยกมือไหว้ แล้วเอ่ยขอบคุณร่างสูง

“อืม ตามสัญญา”

“อื้อ”

เอ่ยลากันจนหมดประโยคสนทนาใดๆแล้ว ไอ้ภาคก็เดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วเข้าไปสตาร์ทรถรอ ร่างสูงอีกคนก็กำลังหันกลับไปในทิศทางที่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจจอดอยู่

“พี่เกียร์”

กึก

“...” ร่างสูงหันมาตามเสียงเรียกของผม แต่ไม่มีคำตอบรับใดๆนอกจากการเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“คือ..”

“...”


“อย่าขับรถเร็วมากนะพี่”

สิ้นเสียงของตัวเอง ผมรีบเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วรีบพาตัวเองเข้าไปนั่งด้วยความรวดเร็วก่อนจะปิดประตูรถเสียงดัง

ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมพูดกับเขาไปแบบนั้น เพราะตอนพูด ผมรู้สึกว่ามันแทบไม่ผ่านกระบวนการคิดของสมอง แค่รู้สึกว่าอยากพูดออกไปเฉยๆ แล้วผมก็ไม่รู้เลยว่าคนฟังทำหน้ายังไง


รถสีดำตัวท็อปของรุ่นเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถของร้านหมูกระทะ มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จะไปบ้านของผม ภายในรถมีแค่เสียงเพลงสากลยอดฮิตจากรายการวิทยุที่เจ้าของรถเปิดคลอเพื่อไม่ให้มันเงียบเกินไป

“ไงมึง” เป็นไอ้ภาคที่เอ่ยออกมาทำลายความเงียบ

“ไงอะไร”

“วันนี้เป็นไง”

“โหย โคตรอิ่มเลย สมใจอยากสุดๆ กลับถึงบ้านกูหลับสนิทแน่ๆ”

“หรอ แต่กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นนะ”

“อ่าว แล้วมึงหมายถึงเรื่องไหนวะ”

“เรื่องพี่เกียร์ เรื่องไอ้แทน เรื่องคนแปลกหน้า”

“ห๊ะ!”

“ไม่ต้องมาทำหน้าตกใจ กูรู้กูเห็นนะมึง”

“เห็นเชี่ยอะไร ไม่เห็นจะมีอะไร”

“แหมมมมมมม กูอยากจะแหมให้ถึงดาวพลูโต”

“สัด”

“ว้ายๆๆ เถียงไม่ออก”

“ไม่ได้เถียงไม่ออก กูไม่รู้จะเถียงทำไม ก็ไม่มีอะไรให้เถียง”

“เอาดีๆมึง กูรู้มึงดูออก เพราะกูก็ดูออก”

“อืม”

“อืมอะไรมึง”

“ก็ดูออกไง”

“ทุกคน?”

“หึ แค่เพื่อนมึง”

“อืม ถ้ามึงไม่ชอบก็บอกมันไป”

“ไม่ได้ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ชอบแบบนั้น มึงก็รู้นิสัยกู”

การมีคนมารักมาชอบ มันก็ดีกว่ามีคนเกลียด ผมอยากจะเป็นที่รักของคนรอบข้าง แต่ผมก็มีข้อจำกัดของตัวเองชัดเจน ว่าจะเป็นที่รักของคนรอบข้างได้แค่ไหน

“อืม แล้วคนอื่น?”

“คนไหนวะ เอ่อ ถ้าหมายถึงอีก 2 คนที่มึงว่า ไม่มีทาง โดยเฉพาะรุ่นพี่มึง”

ไม่มีทางแน่ๆ ถึงเขาจะทำอะไรแปลกๆ แต่ผมกลับไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกถึงการถูกจีบเหมือนที่รู้สึกจากแทน สำหรับพี่เกียร์ สิ่งเดียวที่ผมมีเกี่ยวกับเขาคือ คำถามมากมาย

“ให้มันจริงเหอะ”

“จริงอยู่แล้ว”

“กูจะคอยดูนะครับ เจ้าเนื้อหอมมมมม”

“หอมบ้านมึงสิ”

“ฮ่าๆๆๆๆ”

แล้วไอ้ภาคก็หัวเราะลั่นรถประหนึ่งมันกำลังซ้อมหัวเราะไปแข่งโอลิมปิกส์ มันมีอะไรน่าขำ ผมปล่อยให้เจ้าของรถหัวเราะไปอย่างนั้น จนมันหยุดมาฮัมเพลงโปรด พร้อมกับเพ่งสายตาไปตามถนนข้างหน้าอย่างมีสมาธิ


ความมั่นใจของผมที่ว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น


ความรู้สึกของพี่เกียร์จะไม่มีทางเหมือนความรู้สึกของแทน


ผมว่าผมซื้อหวยถูกนะงานนี้


ถ้าไม่...ก็โดนกินเรียบ!!!





*TBC
04/09/2017

*********************************************************
*แก้ไขข้อความล่าสุด ประโยคสุดท้ายของน้องเจ้าเราขอเปลี่ยนคำให้มันสุภาพขึ้นนะคะ
หมดสต๊อกแล้วค่า ยังไงจะรีบมาต่อให้นะคะ

ความน่ารักของเธอนั่นมันเด้งโดด~~~
ความน่ารักของน้องเจ้า ไปกระแทกใจใครหลายคนเข้าแล้ว
พระเอกของเราจะทำเช่นไรหนอ ชักช้าหมาคาบไปกินเด้อพี่เกียร์ ฮ่าๆๆ


เนื้อเรื่องก็ยังคงเรียบๆเน้อ เพราะยังอยากให้รู้จักน้องเจ้าอีกนิด แต่ว่า แต่ว่า มีเสียงกระซิบจากพระเอก นางจะออกโรงแล้วเพราะปลาทองจะโดนขโมย

ติดตามกันได้เลยเน้อ

แนะนำ ติชม พูดคุยได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะค้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2017 18:13:50 โดย chomistry »

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :o8:  :-[  :impress2: อ่านแล้วเขินมากกก....แต่งได้น่ารักมากกก  o13 ไม่เชื่อเลยว่าเรื่องแรก...  o13 ชอบมากจริงๆค่ะ... จะมารออ่านทุกวันเลย...มา ลงบ่อยๆยาวๆน้าาาาา  :mew1: 

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบบ แต่งดีมากค่ะ :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
สงัยเจ้าจะโดน...เรียบ 5555 โดนพี่เกียร์.....เรียบนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
มาต่อเร็วว
เจ้าเนื้อหอม
หิวหมูทะเลย

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
รอตอนต่อไปครับ :3123: :pig4:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
น่ารักมากกกกกก.  o13
ติดตามจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 4

TGIF...ในวันฝนตก




ผมอยากจะถามจริงๆว่า การเปิดเทอมช่วงหน้าฝนมันดีอย่างไร?
สำหรับเจ้าพระยาคนนี้ที่ชื่อเป็นแม่น้ำ แต่ขอบอกไว้เลยว่าเจ้าไม่ชอบน้ำเลย โดยเฉพาะละอองน้ำที่มันเหนอะผิวแบบนี้ เสื้อผ้าก็ชื้น ชวนให้รู้สึกไม่สบายตัวอยู่ตลอดเวลา

ผมบ่นอะไรหรอครับ เหอะ ก็วันนี้วันศุกร์ วันที่ควรจะ Thank God Is Friday ของผม แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่ใต้อาคารเรียนรวมในเวลาที่รายวิชาต่างๆนั้นเลิกเรียน แล้วฝนนี่มันก็นะตกเป็นเวลาเป๊ะยิ่งกว่าเวลาตอกบัตรเข้างานของพนักงานออฟฟิศอีก จากแผนที่คิดว่าจะไปเดินเล่น หาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆมหา’ลัย คงเป็นอันต้องล่มไม่เป็นท่า

“เฮ้อออออออ” ผมถอนหายใจยาวๆหลายครั้ง รวมๆแล้วน่าจะยาวกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาที่เป็นชื่อผมอีกมั้ง เหอะๆ

“จะถอนหายใจอะไรบ่อยขนาดนั้น” อินคงอดทนฟังเสียงถอนหายใจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ถึงได้พูดขึ้นมา

ตอนนี้ผมกับอินนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ใต้อาคารเรียนรวม อาคารที่เป็นแหล่งรวมรายวิชามหา’ลัยที่บังคับให้ปี 1 อย่างพวกผมต้องเรียน แต่ละรายวิชาก็แบ่งเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็ถูกจัดมาจากหลายคณะให้มาเรียนรวมๆกัน คงหวังว่าจะเกิดสัมพันธไมตรีที่ดีในระหว่างเรียนมั้ง

“ก็คนมันเบื่ออ่ะ อุตส่าห์จะได้ไปกินบิงซู”

“เดี๋ยวฝนหยุดก็ได้ไป”

“โอ้โห ตกแรงจนฟ้าขาวขนาดนี้ ขาวกว่าเกล็ดน้ำแข็งบิงซูกูละเนี่ย”

“นี่ก็เว่อร์ตลอดนะมึง ยังไงพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ กลับบ้านค่ำกว่าเดิมก็ไม่เป็นอะไรหรอก” อินพูดปลอบใจผมพลางยกมือมาตบไหล่เบาๆ

“แล้วไอ้ภาคจะไปปะ มันตอบไลน์ยัง” ผมเอ่ยถามออกไปเพราะเพิ่งคิดได้ว่าไลน์ถามมันตั้งแต่ก่อนเริ่มคาบเรียนช่วงบ่าย แต่มันก็ไม่ได้ตอบในทันที แล้วพวกผมที่ติดฝนอยู่ก็ไม่มีอารมณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูสักเท่าไหร่

“แปบ” อินใช้มือล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกับผม ต่างกันก็แค่สี ออกมาเปิดดูกลุ่มไลน์ ‘คนหล่อ2017’ เพื่อตรวจคำตอบของคำถามผม

“อ่ะ”

GU PHAK :

   ‘โทษทีว่ะ วันนี้กูติดงานที่คณะ พี่เขาให้กูมาถ่ายรูปประชาสัมพันธ์งานคณะ
สงสัยจะเลิกเย็น’


ข้อความของไอ้ภาคปรากฎบนจอสมาร์ทโฟนของอิน เป็นอันเข้าใจตรงกันว่า มันไม่ว่าง

“แล้วมันจะเลิกเย็นแค่ไหนวะ เพราะยังไงตอนนี้เราก็ไปกินบิงซูตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ หรือจะรอมันดี”

“อืม โทรไปถามมันมั้ยมึง”

“เออๆ เดี๋ยวกูโทรเอง” ว่าแล้วผมก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องมือสื่อสารทันสมัยสีขาวของผมออกมาบ้าง กดรายชื่อเลื่อนหาเบอร์ที่คุ้นเคย

-ภาคพิสดาร-

ตู้ด…...ตู้ด……..

(ว่าไงมึง)

“มึงถ่ายงานยังอะ”

(ก็กำลังถ่ายอ่ะ ตอนนี้เขาให้ดาวถ่ายเดี่ยวอยู่ เหลือถ่ายคู่ กับกลุ่ม ว่าแต่มีไรป่าว)

“ก็ตอนนี้ฝนตกอ่ะมึง โปรแกรมบิงซูเย็นนี้เลยต้องรอ กะโทรมาถามมึงว่าเลิกค่ำมากมั้ย ไม่งั้นจะได้รอ”

(อืมมมมม...เอางี้ พวกมึงเดินมารอที่คณะกูนี่เลย คิดว่าไม่นานก็เสร็จ)

“เอ่อ แปบ...อินๆ ไอ้ภาคให้ไปรอที่คณะมัน ไปมั้ย?” ผมหันไปถามความคิดเห็นจากเพื่อนตัวขาวข้างๆกัน

“อืม ไปดิ แต่คงเปียกนิดหน่อย มึงโอเคมั้ยละเจ้า”

“เออๆ เปียกก็ช่างละ...ไอ้ภาค อยู่ป่าว”

(เออ เร็วๆ พี่เขาเรียกกูไปถ่ายคู่แล้ว มาก็รอใต้คณะที่เดิมละกัน เสร็จแล้วจะรีบลงไป)

“โอเค เจอกัน”

(เจอกันๆ)

ติ๊ด!

วางสายจากเดือนคณะวิศวะฯปี 1 ผู้หล่อเหลา พวกผมก็เก็บของมีค่าใส่กระเป๋าสะพายใบเก่งที่มีคุณสมบัติกันน้ำเข้าอย่างดี เพราะคงต้องฝ่าสายฝนไปขึ้นเมล์วน เอาน่ะ คงไม่เปียกเหมือนตอนเล่นน้ำสงกรานต์หรอกเนอะ




ใช้เวลาไม่นาน เร็วกว่าเวลาขั้นต่ำของการส่งอาหารเดลิเวอร์ลี่อยู่หน่อยนึง ผมกับอินก็มายืนอยู่ใต้โถงอาคารเรียนของภาควิชาวิศวกรรมโยธา ซึ่งยังมีนักศึกษานั่งยึดครองโต๊ะม้าหินอ่อนใต้อาคารกันอย่างหนาตา คงเป็นผลมาจากการที่ฝนเทลงมาตอนเวลาเลิกเรียนนี่แหละ ทำให้หลายคนเลือกที่จะนั่งหลบฝนสนทนาพาเพลินกับเพื่อนฝูง แทนที่จะวิ่งฝ่าฝนกลับบ้าน ซึ่งผิดกับเด็กต่างคณะอย่างผมสองคนที่สภาพตอนนี้ชื้นแฉะ เหนอะหนะมากๆ ทรงผมที่ลู่ลงตามเม็ดฝนที่ไหลซึมลงหัว เสื้อนักศึกษาสีขาวที่บางจนโปร่งแสงขึ้นกว่าปกติ แต่ยังดีที่มีเสื้อกล้ามสีขาวซ้อนอีกชั้น เฮ้อออออ ไม่ Thank God แล้วได้มั้ย เจ้าเซ็ง

“นั่งรอตรงไหนล่ะทีนี้” เอ่ยพูดกับเพื่อนแต่ไม่มองหน้าคนข้างๆ เพราะมัวแต่ชะเง้อคอหาที่นั่ง

“ถ้าไอ้ภาคบอกว่าใกล้เสร็จแล้ว งั้นก็ยืนรอมันก็ได้เจ้า”

“อืม เอางั้นก็ได้” เออ ออ ห่อหมกไปกับความคิดเห็นของคนข้างๆ เพราะผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน คือมันไม่สบายตัวอ่ะครับ

ระหว่างที่ยืนพิงกำแพงรอเดือนวิศวะฯปี 1 นักศึกษามากหน้าหลายตาก็เดินผ่านเข้าออกอาคาร บางคนก็ไม่สนใจ แต่บางคนก็หันมองคนแปลกหน้าอย่างพวกผมด้วยสายตามีคำถาม ก็แหงล่ะ ยืนมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนตอนนี้เข็มสั้นก็เฉียดเลข 5 ละ คุณภาคภูมิก็ยังไม่ลงมา ไหนมันว่าแปบเดียวเนี่ยยยย

“อ่าว น้องเจ้า น้องอิน มาทำไรตรงนี้?” เสียงคุ้นหูของผู้หญิงที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เอ่ยทักจากทางด้านในตัวอาคารที่เหมือนเพิ่งเดินออกมาจากโถงลิฟต์ พี่โซ่คนสวยนั่นแหละครับ

“สวัสดีครับพี่โซ่/สวัสดีครับ” ผมกับอินพร้อมใจกันเอ่ยทักคนมาใหม่

“ผมมารอไอ้ภาคอ่ะพี่ มันบอกจะถ่ายงานแปบเดียว นี่เป็นชั่วโมงมันยังไม่ลงมา” คนโมโหหิวอย่างผม พอมีคนเปิดก็ใส่แหลกเลยครับ ยืนจนขาแข็งละ

“แล้วทำไมไม่เข้าไปนั่งข้างใน มาๆไปนั่งกับพวกพี่ เดี๋ยวพวกนั้นก็ลงมา พี่ก็เพิ่งลงมาจากห้องถ่ายงานเนี่ย” สาวสวยเข้มแห่งภาควิศวกรรมโยธาปี3 เอ่ยอธิบาย

“ครับๆ”

หันมองหน้ากันแล้วก็ต้องพยัดเพยิดตามกัน ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะตอนนี้เมื่อยกันเต็มทน ปรอยฝนด้านนอกก็ยังคงทำหน้าที่ให้ความชุ่มฉ่ำต่อไป ถึงแม้จะเบาบางลงจากเดิมมากแล้วก็ตาม


เดินตามพี่โซ่เข้ามาด้านไหนตัวอาคาร ที่ต้องเลี้ยวซ้ายจากโถงเดิมไปนิดหน่อย หมายถึงว่า ถ้ายืนหน้าอาคารก็จะมองไม่เห็นที่นั่งโซนนี้ คงเป็นที่ประจำของพวกพี่เขา

“นั่งรอก่อนละกันนะ ยืนซะนานเลย” รุ่นพี่คนสวยเอ่ยล้อด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่จะไปไหนกันอ่ะ”

“นัดกันว่าจะไปกินบิงซูที่สยามกันครับ” บอกจุดประสงค์ด้วยรอยยิ้ม เพราะแค่ได้พูดถึงของกิน เจ้าก็มีความสุข แต่ไอ้ภาค มึงช่วยลงมาเร็วๆเถอะ

นั่งรอกันไปเงียบๆ ต่างคนก็ต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโลกโซเชี่ยลของตัวเอง ไถไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมาย ชอบใจหัวข้อไหนก็นั่งยิ้ม สังคมก้มหน้าขนานแท้เลยครับ

“น้องเจ้า น้องอิน เจอกันอีกแล้วนะ” คราวนี้เป็นเสียงหนุ่มทะเล้นเจ้าเก่า มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ปี3 ของเพื่อนผม แถมยังพ่วงท้ายคนหน้านิ่งมาอีกสองคน นิ่งไม่เคยเปลี่ยน

“สวัสดีครับพี่มายด์ เอ่อ สวัสดีครับพี่ๆ” ผมยกมือไหว้ทำความเคารพรุ่นพี่ต่างคณะ อินก็ทำเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงใดนอกจากส่งรอยยิ้มจางๆตามแบบฉบับของมันไปให้

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่อีกแล้ว ติดใจอะไรคณะพี่เนี่ย” พี่มายด์เอ่ยถาม แต่หนักไปทางแซ็วมากกว่านะผมว่า

“ลมฝน ลมหิว แล้วก็ลมความเป็นเพื่อนเลยพี่” ตอบกลับหน้าซื่อตาใสจนโดนพี่มายด์เอามือใหญ่ดันหัว ถ้าขนาดนี้ก็ตบหัวไปเถอะพี่ จะได้จบๆ

กลุ่มชายหนุ่มผู้มาใหม่ทั้งสามคนก็พาตัวเองลงมานั่งที่โต๊ะเดียวกันกับที่พวกผมและพี่โซ่นั่งอยู่ ระหว่างนั้นก็คุย ถามไถ่อะไรกันเรื่อยเปื่อย โดยบุคคลที่ดำเนินการสนทนาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่มายด์คนเดิม เพิ่มเติมคือพี่เขาเป็นแผนกบุคคลคอยสัมภาษณ์งานด้วยหรอครับ และผมก็เป็นผู้คอยตอบคำถามเหล่านั้น ส่วนอินมันก็ไถโทรศัพท์ลดความประหม่าจากออร่าของมนุษย์หน้านิ่งที่นั่งเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือผม มาถึงพี่เกียร์ก็นั่งควงปากกา ส่วนพี่พีก็นั่งหันหลังให้กลุ่ม หันหน้าออกไปมองฟ้า

“เจ้ากับอินจบจากไหนอ่ะ”

“มัธยมกางเกงดำแถวปากคลองครับ”

“เจ้าชอบเรียนวิชาไหน”

“เคมีครับ”

“ไม่ชอบวิชาอะไร”

“ไม่มีครับ แต่ไม่ค่อยถนัดคณิตศาสตร์”

“เลือกกินหรอ ทำไมผอม”

“ผมกินทุกอย่างอ่ะพี่ แต่มันไม่อ้วนเอง”

“มีสเป็คสาวมั้ย เป็นไงๆ”

“ก็มีนะ รักและเข้าใจในแบบที่ผมเป็น แค่นี้แหละ” คำตอบนี้ผมตอบด้วยรอยยิ้ม เพราะผมคาดหวังกับความรักแค่นี้จริงๆครับ

“โหย น้องเจ้า โรแมนติกนะเรา” เป็นพี่โซ่ที่เงยหน้าจากโทรศัพท์มาแซ็ว

“สงสัยมีคนอยากจะรักและเข้าใจน้องเจ้าเยอะเนอะ ว่ามั้ยมึง” พี่มายด์พูดพร้อมส่งสายตาไปหาลูกคู่อย่างสาวสวยเพียงคนเดียวของกลุ่ม

“นั่นสิ น้องเจ้าออกจะน่ารัก น่าทะนุถนอม น่ากอด น่าฟัด น่า…”

ยังไม่ทันที่พี่โซ่จะสาธยายความน่าต่างๆของผมจบ แรกๆมันก็ดีนะพี่ หลังๆชักแปลก ซึ่งก็มีเสียงเรียบเย็นแทรกขึ้น

“โซ่ น้องมันเป็นผู้ชาย”

ครับ เสียงพี่เกียร์

“ผู้ชายก็น่ารักได้มึง หรือมึงว่าไม่จริง” พี่โซ่ถามสวนกลับทันที

“...”

อืม น่ารัก

“...”

“หึ”

อยู่ดีๆก็เดดแอร์ครับ ทุกคนเงียบ มีเพียงเสียงในลำคอของคนตัวสูงข้างๆพี่เกียร์ที่นั่งเงียบอยู่นาน แล้วที่เขาพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง ถามผมว่ารู้สึกอะไรมั้ยกับสิ่งที่ได้ยิน สารภาพเลยครับว่ารู้สึก แต่รู้สึกแปลกๆ ทั้งน้ำเสียงและสายตามันเป็นในแบบที่ผมไม่ค่อยได้เห็นจากร่างสูงข้างๆ 

“ฮิ้ววววววว หลุดเฉยเลยเว้ย ฮ่าๆ” พี่มายด์โห่แซวเพื่อนตัวเอง พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

ผมที่ไม่รู้ว่าจะต้องเอาตาไปวางไว้ที่ไหน ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไถโทรศัพท์ ทั้งๆที่สมาธิก็ไม่ได้อยู่กับหน้าจอของอุปกรณืสื่อสารตรงหน้า ฝนก็ยังตกปรอยๆ ทำไมหน้าผมมันร้อนๆ ท้องมันหวิวๆ เอ๊ะ หรือผมจะเป็นไข้หรอ เป็นไข้ใช่มั้ย

“น้องเจ้า เป็นอะไร ทำไมหน้าแดง” พี่โซ่เอ่ยถามแต่สายตาสัมผัสได้เลยว่าล้อเลียนผมอยู่

“คือ..สงสัยผมจะแพ้อากาศมั้งพี่”

“เจ้า มึงแพ้อากาศด้วยหรอ กูไม่เห็นรู้ แล้วไหวมั้ย กลับเลยป่าว” เพื่อนอันเป็นที่รักของผมหันมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่มึงอย่าเพิ่งมาห่วงกูตอนนี้เลยได้มั้ยอินนนนนน

“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของคนที่นั่งเก้าอี้ที่วางแนวตั้งฉากกับเก้าอี้ของผม ยังจะมาหัวเราะอีก เพราะพี่เลย

ผมได้แต่ค้อนสายตามองพี่เกียร์ แต่ดูต้นเหตุของเรื่องจะไม่สะทกสะท้านอะไร


Rrrrrrrrrrrrr...............



“อืม ว่าไง” พี่โซ่เอ่ยรับสายโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเมื่อสักครู่

“ห๊ะ! ถ่ายแก้หรอ ทำไมต้องแก้อ่ะ ตอนเช็ครูปก็ดีแล้วนะ ให้ดาวปี 1 ถ่ายไปเลยไม่ได้หรอ”

“โอเคๆ จะรีบขึ้นไป สรุปแก้รูปรวมด้วยใช่มั้ย”

“อืมๆ กำลังจะขึ้นไป”

ติ๊ด!

“ไอ้มายยยยยด์ มึงขึ้นไปชั้น 8 เป็นเพื่อนกูหน่อย ฮืออออออ” พี่โซ่พูดพลางเขย่าแขนเพื่อนขี้เล่น

“ไปทำอะไรวะ เพิ่งลงมา”

“น้องปี 2 ให้ขึ้นไปถ่ายแก้งานเมื่อกี้”

“มึงก็ไปสิ กูไม่ได้ถ่ายด้วย”

“มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยยยยย นะๆ เดี๋ยวกูติดต่อดาวคณะอื่นให้ นะๆ”

“ไปดีมั้ยว้าาาา” คนทะเล้นเอ่ยเล่นตัว

“เออ ไม่ไปก็เรื่องของมึง ชิ น้องเจ้า คงต้องรอไอ้ภาคต่อละนะ งานต้องแก้อ่ะ ยังไงเดี๋ยวพี่บอกมันให้โทรมา” พี่โซ่ตะโกนใส่หน้าเพื่อนจอมลีลา แล้วหันมาพูดกับผม ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเดินออกไปทางโถงลิฟต์

“ไอ้โซ่ รอกูด้วยยยยยย งอนหรอมึง”

เสียงง้อเพื่อนของพี่มายด์ก็ค่อยๆเบาลงเพราะระยะทางที่ไกลออกไป ผลจากการวิ่งตามง้อเพื่อนคนสวยไปในโถงลิฟต์



“เฮ้ออออ กลับเลยมั้ยมึง”

“รอมันโทรมาก่อน ฝนเบาลงละ ถ้ามันยังติดงานอยู่ เราฝ่าฝนกลับกันเลยก็ได้” อินหันมาเสนอความคิดกับผม

“อืม เอางั้นก็ได้”

ผมกับอินคุยกันจนเกือบลืมไปว่า ยังมีมนุษย์รุ่นพี่นั่งอยู่อีกสองคน ถ้าไม่ติดว่าผมรู้สึกได้ว่ามีสายตามองผมอยู่ตลอด ก็สังเกตจากสายตาอินเวลาคุยกับผม มันจะเหลือบมองเยื้องไปด้านข้างซ้ายของผมที่ร่างสูงเจ้าของแววตาคมดุนั่งอยู่


Rrrrrrrrrr………


“ครับ ป้านวล”

“ห๊ะ! เมื่อไหร่ครับ แล้วเต้เป็นยังไงบ้าง”

“อยู่กับหมอแล้วใช่มั้ยครับ”

“ครับๆ ผมจะรีบไป”

“สวัสดีครับป้านวล”

เป็นเหตุการณ์ที่เร็วมากหลังจากอินรับโทรศัพท์ เพราะอยู่ดีๆอินก็ทำหน้าตกใจมาก จนผมที่อยู่ข้างๆพลอยตกใจไปด้วย จากที่ฟังจับใจความได้ว่าต้องมีใครเป็นอะไร ภาวนาขอให้ไม่ใช่แบบที่ผมคิด เพราะสีหน้าอินตอนนี้ดูไม่ดีเสียเลย คิ้วขมวดเป็นปม ปากบางสีชมพูเม้มขีดเป็นเส้นตรงจนกลัวว่าจะห้อเลือด มือซ้ายที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์กำแน่น จนผมต้องเอื้อมมือไปลูบเบาๆให้คลายออก เพื่อสื่อถึงมันว่า ไม่เป็นอะไร

“เจ้า! ลาเต้ท้องเสียเข้าโรงพยาบาล กูต้องรีบไปแล้วว่ะ” อินหันมาบอกผมหลังจากวางสายจากป้านวล ป้าแม่บ้านที่ดูแลมันมาตั้งแต่เด็ก พร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วจนผมแทบคว้าไว้ไม่ทัน พี่เกียร์กับพี่พีก็ดูจะตกใจไม่ต่างกันกับอาการของเพื่อนผม ผมหันไปสบตากับพี่เกียร์แปบนึง ก่อนจะหันมาพูดให้อินใจเย็นลง

“เห้ย! อิน มึงใจเย็น ไปอ่ะไปได้ แต่มึงตั้งสติก่อน ลาเต้ถึงโรงพยาบาลแล้วนี่ มึงบอกกูเมื่อกี้” ผมค่อยๆเรียกสติมัน ผมรู้มันห่วงลาเต้ แต่มันรีบไปแบบไม่มีสติมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

“อืม กูแค่ตกใจ แต่กูคงต้องรีบไปเลยว่ะ คงอยู่รอไอ้ภาคเป็นเพื่อนมึงไม่ได้ละ”

“โอเค ไปยังไง กูไปเป็นเพื่อนดีกว่ามั้ย แล้วค่อยโทรบอกไอ้ภาคมัน”

“ไม่เป็นไร โรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆบ้านกู เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปก็ได้”

“แต่ตอนนี้ฝนตก รถติดนะอิน ไปบีทีเอสมั้ย เดี๋ยวกูไปด้วย ปะ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน จะได้พาอินไปให้ถึงโรงพยาบาลจะได้คลายกังวล

ระหว่างที่ผมกับอินคว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพาย และกำลังจะหันไปลารุ่นพี่วิศวะฯสองคนที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้

“เจ้า อยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ไปส่งอินเอง”

“ห๊ะ!” เสียงผม

“เอ่อ..ไม่เป็น..” เสียงอินที่ยังพูดไม่จบประโยคดี

“เลิกดื้อ!..ไอ้เกียร์ กูยืมรถหน่อย” และเสียงพี่พีที่น้ำเสียงทุ้มแข็งแต่เคลือบไปด้วยความอบอุ่น พลางยื่นมือไปรับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงจากเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆผม

“เอ่อ พี่พี คือเดี๋ยวผมไปกับเจ้าเองก็ได้” อินยังพยายามปฏิเสธความหวังดีของพี่เกียร์

“บอกว่าเลิกดื้อ แล้วฟัง ตอนนี้ฝนตกรถติด ทั้งรถไฟฟ้า ทั้งรถแท็กซี่มันก็ช้าทั้งนั้นแหละ ถ้าอยากถึงโรงพยาบาลเร็วๆ ก็มากับกู” พี่พีเดินอ้อมโต๊ะม้าหินเข้ามาหาอินก่อนจะเอ่ยอธิบายเสียงดุ อื้อหือ แต่เสียงตอนนี้น่ากลัวชะมัด

“แล้วเจ้า…”

“ไม่เป็นไรอิน รีบไปเถอะ ให้พี่พีไปส่งดีแล้ว” ผมเอ่ยคลายความกังวลให้อิน เพราะมันต้องคิดว่าตัวเองทิ้งเพื่อนไว้แน่ๆ

“งั้น...กูไปก่อนนะ”

“อืม ถึงแล้วโทรมาด้วยนะมึง ลาเต้ไม่เป็นอะไรหรอก มันเก่งจะตาย” ผมส่งคำปลอบใจให้เพื่อนด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกมือขึ้นบีบไหล่มันเบาๆ

“พี่พี ฝากเพื่อนผมด้วย อย่าขับรถเร็วนะ” ผมหันไปพูดกับรุ่นพี่ตัวสูงหน้านิ่ง

“อืม”

แล้วทั้งสองคนก็หันหลังเดินออกนอกอาคารไปทางลานจอดรถของคณะ แผ่นหลังของทั้งสองคนค่อยๆลับจากสายตาผมไป ผมรู้ว่าเพื่อนผมมันกังวล และผมก็เป็นห่วงมัน



มีต่อด้านล่างนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 13:41:26 โดย chomistry »

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ต่อจากด้านบน




ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงคนสองคนที่มีขนาดรูปร่างต่างกันยืนอยู่ที่เดิม

“พี่เกียร์ ผมไว้ใจเพื่อนพี่ได้นะ” หันไปถามร่างสูงที่ยังยืนอยู่ข้างกัน

“ไว้ใจเรื่อง?”

“ก็เรื่องที่ให้พาเพื่อนผมไปโรงพยาบาลเนี่ย”

“ถ้าเรื่องนั้นก็ได้ พีมันขับรถแข็ง ปลอดภัย ไม่ต้องห่วงหรอก”

“เพื่อนผม ผมก็ต้องห่วงดิ พี่พีโคตรดุ”

“หึหึ ไม่คิดว่ากูดุบ้างหรอ”

ผมหันขวับกลับไปมองหน้าเจ้าของเสียงหัวเราะนั้นทันที

“ไม่อ่ะ พี่ไม่ดุ แต่โคตรกวนประสาท” ผมหลุดเอ่ยปากสิ่งที่คิดอยู่ในหัวมาตลอด แล้ววันนี้ปากมันก็ดันไวกว่าสมองอีกแล้ว

“ว่าไงนะเอ๋อ ให้พูดใหม่อีกที”

“พูดไร ไม่พูด จะกลับแล้ว” คิดหาทางเอาตัวรอดโดยการชิ่งนี่แหละ ยังไงแผนบิงซูวันนี้ก็ล่ม กลับเลยดีกว่า เดี๋ยวค่อยโทรบอกไอ้ภาค

“อ๊ะ!”

 ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกมา ผมก็ถูกแขนแกร่งล็อคคอจากทางด้านหลัง พยายามดิ้นยังไงก็ไม่คลายลงเลย แหงล่ะ วัดจากขนาดตัวแล้ว ผมก็แพ้อยู่วันยังค่ำ ยอมรับแบบจำนนต่อหลักฐานเลย

“จะไปไหนเตี้ย ด่าแล้วชิ่งหรอ”

“ใครด่า พี่อย่ามาพูดมั่วนะ ผมแค่แสดงความคิดเห็นจากสิ่งที่พี่ถามเอง”

“อย่ามาแถนะเอ๋อ”

“ไม่ได้แถว้อยยยยย พี่แม่ง ปล่อยดิ หายใจไม่ออกละเนี่ย” ผมโวยวายเงยหน้าจ้องตาเจ้าของแขนแกร่งที่ล็อคคอผมอยู่ คิ้วที่ขมวดเป็นปมของผม สื่อให้เขาได้เห็นว่าผมกำลังไม่พอใจ แต่...นี่พี่เกียร์ไง สนใจมั้ย? ก็ไม่

“โวยวายเสียงดัง ไม่อายรึไง” สิ้นคำพูดของคนตัวสูงผมก็เบนหน้าสอดสายตาไปรอบๆ ถึงแม้จะเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว แต่ก็ยังมีนักศึกษาที่หลบฝนอยู่ใต้อาคารคณะจำนวนหนึ่ง และก็คงได้ยินเสียงผม ฮืออออออ เจ้าอาย

“ก็เพราะพี่แหละ จะแกล้งผมทำไมนักหนา ปล่อยเลย จะกลับแล้ว”

“โอเค กลับก็กลับ” คนตัวสูงคลายแขนที่ล็อคคอผมอยู่ ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ

“งั้นผมไปละ”

“อืม”

เอ่ยลาพอเป็นพิธีเสร็จ ผมก็กระชับกระเป๋าสะพายข้างอีกครั้ง แล้วก็ก้าวออกมาจากโต๊ะที่นั่ง เพื่อออกไปจากใต้อาคารของภาควิชาวิศวกรรมโยธา เดินออกจากอาคารมาก็พบว่า ยังมีปรอยฝนร่วงหล่นจากท้องฟ้าตอนใกล้ค่ำ แต่ก็ไม่ได้หนักจนไม่สามารถที่จะเดินฝ่าไปได้ เท้าของผมเลยเดินตามถนนหน้าอาคาร เพื่อมุ่งหน้าไปทางประตูมหา’ลัย ขืนรอเมล์วน ได้ยืนจนเปียกกว่าเดิมแน่ๆ



ระหว่างที่เดินไปข้างหน้า ผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ปฏิกิริยาร่างกายที่ตอบสนองความอยากรู้ก็ทำให้ผมหันกลับไปมอง

“เห้ย!! พี่” เพราะผมหยุดเดินแล้วหันไปมองอย่างเร็ว ทำให้คนที่เดินตามหลังไม่ทันได้หยุด เดินเข้ามาประชิดถึงตัวผม

“จะเสียงดังทำไมเนี่ย”

“พี่ตามมาตอนไหน ตกใจหมด”

“ก็เดินตามออกมาตั้งแต่ใต้คณะแล้วเอ๋อ เพิ่งรู้สึกหรอ” พี่เกียร์ส่งยิ้มมุมปากหลังจากเอ่ยประโยคนั้นจบ แถมด้วยสายตาล้อเลียน พี่แม่ง

“แล้วพี่จะเดินตามผมมาทำไม ผมจะกลับบ้าน”

“ก็กลับไปดิ กูก็จะกลับบ้าน”

“พี่ก็กลับไปดิ จะเดินตามผมทำไม”

“ก็ถ้าทางที่มึงจะออกไปมันคือหน้าประตู ม. กูก็จะออกทางนั้น เอ๋อแล้วยังหลงตัวเองอีก”

“ไอ้.. หึยยยย” ผมไม่รู้จะหาคำไหนเปล่งออกไป เพราะสมองยังประมวลผลไม่ทันกับความกวนประสาทของคนที่เดินตามมา

ระยะทางที่เดินออกไปทางประตู ม. มันก็ไม่ได้ไกล แต่ก็ไม่ได้ใกล้ ซึ่งระหว่างผมกับพี่เกียร์ก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก จนกระทั้ง…


ฟึ่บ!!


ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่คลุมเข้ามาที่ศีรษะ เลยเอื้อมมือข้างขวาไปดึงเลื่อนลงมาดูไขเพื่อไขความกระจ่าง


เสื้อช็อป


ช็อปที่ปักคำว่า CIVIL ENGINEERING ไว้ที่แถบคาดด้านหลัง ซึ่งเจ้าของเสื้อที่อยู่ในมือผมก็คงเป็นคนที่เดินตามหลังอยู่ตอนนี้ ผมเลยหันกลับไปเพื่อถามเอาคำตอบ

“ใส่ซะ”

ได้คำสั่งมาแทนคำตอบทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยคำถามใดๆ

“ใส่ทำไมอ่ะ”

“มีแต่ก้าง ก็ยังอยากจะโชว์นะเตี้ย” ไม่ว่าเปล่า แต่พี่เกียร์ยังใช้สายตามองมายังส่วนลำตัวของผม ที่ตอนนี้เสื้อนักศึกษาที่ใช้ปกคลุมร่างกาย มันบางจนโปร่งแสงกว่าปกติไปมาก ถึงจะมีเสื้อกล้ามซ้อนอีกชั้นก็ไม่ได้ช่วยพลางร่างกายผมเท่าไหร่ และที่สำคัญ ผมเพิ่งรู้ตัว

“ใครจะอยากโชว์กันเล่า” เอ่ยเถียงออกไปพร้อมทั้งรีบหันหลังให้คนที่สูงกว่า

“ไม่อยากโชว์ก็รีบใส่ซะ”

ไม่ต้องรอให้เขาพูดซ้ำ ผมก็สะบัดเสื้อช็อปในมือ จับสาบเสื้อแล้วสอดแขนเข้าไปทีละข้าง จนตอนนี้ตัวผมก็ถูกปกปิดด้วยเสื้อช็อปของภาควิชาวิศวกรรมโยธาจนมิดชิด แบบนี้ยิ่งตอกย้ำไปอีกว่าผมตัวเล็กกว่าเขามากๆ เหมือนแอบเอาเสื้อพ่อมาใส่เลย แต่ตอนนี้เจ้าของเสื้อกลับต้องถูกละอองฝนซึมเข้าชุดนักศึกษาตัวบางจนชื้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

“ขอบคุณนะครับ” เอ่ยออกไปเสียงเบา แต่ก็คิดว่าดังพอที่จะทำให้คนที่เดินตามหลังไม่ห่างนั้นได้ยิน

“อืม ไม่เป็นไร”

คนตัวเล็กได้ยินเสียงตอบรับกลับมาแค่นั้น ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ยังมีประโยคถัดมาที่คนพูดตั้งใจจะไม่ให้คนที่เดินนำหน้าได้ยิน


'ใส่ตลอดไปก็ได้ ยินดี'


ประโยคสั้นๆที่พูดด้วยรอยยิ้ม




การเดินทางเงียบๆระหว่างเราก็สิ้นสุดลงที่ประตูมหาวิทยาลัย ตัวผมที่ตอนแรกจะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปลงสถานีที่เชื่อมกับท่าเรือ พาหนะโดยสารที่ผมจะเลือกใช้บริการเพื่อเดินทางกลับบ้านเป็นประจำ แต่วันนี้ทั้งอากาศ ทั้งความไม่สบายตัว ได้ควบคุมความคิดผมให้สั่งการเลือกที่จะกลับด้วยรถยนต์เอกชนที่ใช้แอพลิเคชันเป็นเครื่องมือในการเรียกใช้บริการ ไม่รอช้าผมก็กดเข้าแอพฯเพื่อกรอกพิกัดจุดหมายปลายทางทันที

“กลับยังไง” เสียงเรียบเอ่ยถาม นี่พี่เขายังไม่ไปไหนอีกหรอ

“กลับแบบนี้อ่ะ” ผมว่าพลางยื่นหน้าแอพลิเคชันสีเขียวขาวให้คนตัวสูงดู

“แล้วอีกนานมั้ยกว่าจะมา”

“ในนี้บอก 10 นาที”

“อืม”

“แล้วพี่กลับยังไงอ่ะ พี่พีเอารถไปแล้วหนิ”

“เดี๋ยวให้ไอ้มายด์ไปส่ง”

“ห๊ะ! แล้วพี่เดินออกมาทำไม”

“ยุ่ง”

“เออ ไม่ยุ่งก็ได้” แลบลิ้นใส่เขา ตามประสาคนไม่มีทางสู้

“พี่เกียร์ เอาเสื้อคืนไปเลยมั้ย” ผมว่าพลางจะถอดเสื้อช็อปคืนเจ้าของ

“ไม่ต้อง”

“อ่าว อืมมม งั้นเดี๋ยวผมไปซักมาคืนนะ”

“อืม ดี ขอหอมๆนะ” ร่างสูงยกยิ้มมุมปากส่งมาให้ผม สายตาเจ้าเล่ห์มากอ่ะ

“ไหงเป็นงั้น ปกติพี่ควรจะบอกว่า ‘เห้ยไม่ต้องซัก เอาคืนมาเลย’ แบบนี้ดิ พี่ดูหวงของจะตาย”

“ไม่อ่ะ มึงใส่ มึงก็ต้องซักอ่ะถูกแล้ว ซักให้สะอาดล่ะ ขอหอมๆเลยนะ ฮ่าๆ” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะตาหยี ดูอารมณ์ผิดไปจากบุคลิกก่อนหน้านี้มาก รอยยิ้มแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมแปลกใจแต่ในขณะเดียวกันก็ รู้สึกดีที่ได้เห็นเขาในมุมนี้

“เนียนว่ะ ชิ”

“เอ๋อ ขอโทรศัพท์หน่อย”

“ห่ะ เอาไปทำไมอ่ะ”

“เออ เอามาแปบนึง”

“แหนะ จะขโมยโทรศัพท์ผมหรอ”

“ไอ้เอ๋อ ขโมยบ้าอะไรมันจะมายืนขอแบบนี้ เร็วๆ อย่าถามมาก อ่ะนี่ ถ้ากลัวนักก็เอาของกูไปเป็นตัวประกัน” คนตัวสูงข้างๆผมยังคงยืนยันจะขอโทรศัพท์ผมให้ได้ แถมยังใจปล้ำยัดโทรศัพท์ตัวเองมาใส่มือผมเพื่อเป็นตัวประกัน ส่วนผมที่งงๆอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก

“อ่ะ เอาไป อย่าให้รู้ว่าแกล้งนะ” ผมชักมือที่ถือโทรศัพท์ตัวเองกลับมา แล้วชี้หน้าขู่พี่เกียร์ด้วยโทรศัพท์ในมือนั้น

“คิดว่ากลัวหรอ ปลดล็อคละเอามานี่” สิ้นคำของเจ้าของตาคมดุ ผมก็ปลดล็อคโทรศัพท์ตัวเองแล้วยื่นให้เขา


คนตัวสูงคว้าโทรศัพท์ไป ก่อนจะกดอะไรยุกยิกๆ จนเป็นที่น่าสงสัย แต่ผมก็สงสัยได้ไม่นานเพราะคำตอบที่ได้ดันมาอยู่ในมือผม
โทรศัพท์ของพี่เกียร์ที่อยู่ในมือผมสั่น หน้าจอปรากฎตัวเลขสิบหลักคุ้นตาที่มองยังไงก็เบอร์ผม

“ทำอะไรของพี่เนี่ย”

“เอ้า ก็เอาเบอร์มึงไง”

“แล้วพี่จะเอาไปทำอะไร”

“ถ้าไม่มีเบอร์ แล้วกูจะได้ช็อปคืนยังไง”

“โหยยย เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวผมฝากไอ้ภาคไปคืนพี่ก็ได้”

“แน่ใจนะจะฝากไอ้ภาค”

“ทำไมผมต้องไม่แน่ใจ” ผมงงกับสถานการณ์ตอนนี้มากพูดเลย รถที่กดเรียกไปก็เลื่อนเวลาไปอีก 5 นาที เพราะการจราจรติดขัดช่วงฝนตกในตอนเย็นวันศุกร์แบบนี้

“แล้วมึงจะตอบคำถามเพื่อนมึงว่ายังไง ทำไมช็อปกูไปอยู่กับมึง” ร่างสูงตรงหน้าเดินเข้าประชิดตัวผมแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมส่งสายตาประกายแวววับแบบคนเจ้าเล่ห์มาให้ สายตาแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ใช่ ความคิดพี่เกียร์เหนือกว่ามาก เพราะผมก็ไม่อยากตอบคำถามไอ้ภาคเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะอยากปิดบัง แต่ไม่รู้จะอธิบายกับมันยังไง โอ้ยยยย เจ้าเครียด!!

“เอ่อ..เออๆ คืนเองก็ได้ พอใจยัง”

“ก็แค่เนี่ย อ่ะ” เขายื่นโทรศัพท์คืนให้ผม แล้วก็คว้าโทรศัพท์ของตัวเองกลับไปเก็บใส่กระเป๋ากางเกง

“นั่น รถมาแล้ว” ผมชะเง้อมองเห็นป้ายทะเบียนตรงตามที่ระบุไว้ในคำตอบรับการเรียกรถ

“อืม กลับดีๆ” เสียงเรียบเอ่ยออกมา ไม่มีท่าทางประกอบการเอ่ยลาใดๆนอกจากสองมือที่ล้วงกระเป๋าอยู่ อืม หน้าแบบนี้มายืนตากฝนปรอยๆ โอเค เท่มาก เหอะ

“ครับ” เอ่ยลาแค่นั้น ก่อนจะเปิดประตูรถสีขาวรุ่นใหม่แล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งในรถ


รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากริมฟุตบาทบริเวณหน้าประตูสถาบันอุดมศึกษาของผม ขณะที่รถเคลื่อนไกลออกมาเรื่อยๆ ผมกลับยังมองเห็นรุ่นพี่ตัวสูงยืนอยู่ที่เดิมผ่านกระจกข้างรถ และมันจะไม่มีอะไรแปลกไปถ้า…


ผมไม่เห็นเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโบกส่งให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มนั้น รอยยิ้มที่ผมเห็นไม่บ่อยนัก แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกบางอย่าง ที่มันยังหาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ มันเป็นความรู้สึกที่ดี


มาคิดๆดูแล้ว ผมว่า...


ฝนตก  มันก็ไม่ได้แย่นะ


Thank God นะครับ







*TBC
05/09/2017

****************************************************************


น้องเจ้ามาแล้ววววววว
สำหรับตอนนี้ให้คำสั้นๆกับพี่เกียร์เลยคือ เนียนว่ะ อย่าคิดว่าไม่รู้นะ ฮ่าๆๆ


ต่อจากนี้นิยายอาจจะลงอาทิตย์ละ 2 ตอนนะคะ ถ้าปั่นสต็อกไว้ แต่ถ้าไม่ทันก็คงอาทิตย์ละตอนน้า

สามารถติชม แนะนำ ได้เสมอนะคะ จะพยายามนำคำแนะนำมาพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้น และจะนำคำชมมาเป็นกำลังใจค่ะ

หวีดนิยายได้ที่ #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 13:40:16 โดย chomistry »

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 เปิดมาเจอน้องเจ้าก่อนนอน.... อิ่มใจ  :heaven จะรอทุกวันค่ะถึงจะบอกว่า twice a week. ... (แอบกดดัน...ว่ายังไงก็ต้องมา..... ล้อเล่นค่ะ  :hao3: )

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
อูยยยยย น่ารักจังเลยยย ทำไใน้องเจ้า จำพี่เกียร์ไม่ได้ ไปรู้จักกันตอนไหนน้าา

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
รอตอนต่อไป
พี่เกียร์กับน้องเจ้าไปเจอกันตอนไหนเนี่ย
พี่พีนี่อะไรกับน้องอินรึเปล่าน้า   :impress2:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
รออ่านพาสพี่เกียร์
ไปรู้จักกับน้องเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่

 :mew3: :mew3:


ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 5


ปลาทองของผม



Gear’s Part



     คุณเคยมีความทรงจำที่รอคอยวันลืมเลือนกันหรือไม่ครับ?

     ความทรงจำที่บันทึกความรู้สึกต่างๆในช่วงเวลานั้นไว้ และเมื่อวันเวลาผ่านไปหากมันไม่ได้ถูกหยิบออกมาทบทวนหวนย้อนคิดถึง มันก็อาจจะถูกความทรงจำชุดใหม่ ความรู้สึกใหม่ ทับซ้อนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายความรู้สึกนั้นอาจจะถูกซ่อนจนไปอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดของลิ้นชักที่ชื่อว่าความทรงจำก็เป็นได้

     สำหรับผม ผมก็มีความทรงจำนั้นครับ เป็นความทรงจำที่ตัวผมเองพยายามที่จะเก็บซ่อนไปให้ลึกที่สุดตั้งแต่ผ่านช่วงเวลานั้นไปแทบจะทันที เพราะผมกลัว กลัวที่โหยหาบุคคลและความรู้สึกที่ดีมากๆในความทรงจำครั้งนั้น ผมใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ลองสิ่งใหม่ๆ ทบทวนความเป็นไปได้ในชีวิตอยู่เสมอ เพื่อจะได้สร้างความทรงจำใหม่ไปทับความทรงจำเหล่านั้น และหวังว่าวันนึงผมจะลืมเลือนมันไปเอง

     แต่นี่มันชีวิตจริง และในชีวิตจริงโชคชะตาก็ชอบเล่นตลกกับเราเสมอ ความทรงจำที่ผมอุตส่าห์เก็บใส่กล่อง ปิดผนึกอย่างดี รอวันลืมเลือนในสักวัน สุดท้ายกล่องความทรงจำของผมก็ถูกกระชากเปิดออกมา ทำให้ความรู้สึกในความทรงจำครั้งนั้น หวนกลับมาอีกครั้ง…



    “ฮัลโหล”

     (มึงถึงไหนแล้วไอ้เกียร์)

     “ยอดพิมานว่ะ ไอ้สายฟ้ากูเสียตรงแถวสะพานพุทธฯ ซวยชิบหาย”

     (อ่าว แล้วมึงจะมายังไงวะ กูไม่วนรถไปรับนะเว้ย บอกไว้ก่อน)

     “แล้งน้ำใจนะสัด เออๆ เดี๋ยวกูนั่งเรือไปลงปิ่นเกล้า มึงมารับกูตรงนั้นก็ได้”

     (โอเค งั้นใกล้ถึงมึงก็โทรมา)

     “อือ”

     ติ๊ด!

     เฮ้อ จากที่เคยต้องโดยสารพาหนะที่รวดเร็ว คล่องตัว ดันต้องมาเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะทางน้ำ เป็นอะไรที่ทำให้ผมหงุดหงิดมากตอนนี้

     เย็นวันนี้ผมนัดกับเพื่อนไปสังสรรค์กันที่สถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ย่านฝั่งธนบุรี แต่ดันเกิดความซวยขึ้นกับผมเพราะเจ้าสายฟ้า พาหนะสองล้อคู่ใจราคาหลายหลักสีดำทะมึนที่เป็นของขวัญจากแม่ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดันมาเกิดอาการงอแงเครื่องดับไปซะอย่างนั้น ผมเลยต้องใช้บริการรถสองล้อไม่ประจำทางที่มีคนขับใส่เสื้อกั๊กสีแสบตาให้มาส่งที่ท่าเรือยอดพิมาน


     ยืนรออยู่ไม่นานเรือโดยสารธงสีส้มปลายทางนนทบุรีที่ผมใช้บริการไม่บ่อยก็กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเทียบท่ายอดพิมาน ผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยที่รอใช้บริการเช่นเดียวกับผม ก็เบียดเสียดกันเดินออกมายืนที่บริเวณโป๊ะเรือในตำแหน่งที่รอให้ผู้โดยบนเรือที่ต้องการลงท่าเรือนี้ทยอยลงมาก่อน

     เมื่อเรือจอดเทียบท่าสนิทแล้ว ผู้โดยสารบนเรือก็ต่างคนต่างก้าวออกจากเรือด้วยความระมัดระวัง เดินผ่านผมไปเพื่อเข้าตัวอาคารยอดพิมาน พลันสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เขาตัวเล็กกว่าผมมาก ผิวขาวสว่างชวนมอง ผมสีน้ำตาเข้มที่ปกคลุมศีรษะรับกับสีผิว แต่ที่จ้องขนาดนี้เพราะเขาก้มหน้าเพื่อก้าวเดินออกจากเรือ เดินไม่ระวังข้างหน้าแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้ชนคนอื่น

     สายตาของผมก็เบนออกจากเขาคนนั้น เพื่อมองเช็คจำนวนผู้โดยสารที่เหลือด้านหลัง จะได้เตรียมตัวขึ้นสักที แต่…

     “อ๊ะ!”

     หวืดดดดดดดดดด

     หมับ!!!

     เขาคนนั้นเดินมาชนผม ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่ทำโดยไม่คิดส่งผลให้เอื้อมมือไปจับต้นแขนของเขาไว้ ไม่ให้เจ้าตัวหงายหลังตกน้ำไปในช่องว่างระหว่างเรือกับโป๊ะ คิดไว้แล้วว่าต้องชนคนอื่นแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนชนเข้าซะเอง

     “ฟู่ววววววววว เกือบไปแล้ว” คนตัวเล็กกว่าผมพึมพำกับตัวเอง

     “...” ผมยังคงยืนเงียบ รอดูปฏิกิริยาว่าเขาจะทำยังไงต่อ

     “ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยขอบคุณผมแบบที่ไม่เงยหน้ามามองคนที่ช่วยไว้ด้วยซ้ำ เป็นคนยังไงเนี่ย

     “อืม เดินดีๆ” น้ำเสียงที่ตอบออกไปของผมถ้าตั้งใจฟังก็จะรู้ว่ามีความเย็นชาอยู่ในนั้น ก็ใครใช้ให้ก้มหน้าก้มตาเดิน คนก็ทยอยขึ้นเรือจะหมดละเนี่ย นี่มันวันซวยอะไรของผม

     แล้ววินาทีนั้นสติของผมก็หลุดลอยไปทันที เมื่อเจ้าของผิวขาวสว่างเงยหน้าขึ้นมาสบตา

     ความรู้สึกในวันนั้นมันย้อนกลับมา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่เคยเต้นช้าตามจังหวะคนปกติก็ปรับจังหวะการสูบฉีดเร็วขึ้นจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากอก โชคชะตาเล่นตลกกับผมจริงๆ โชคชะตาพาเขากลับมากระชากความรู้สึกที่ผมพยายามเก็บซ่อนไปให้ลึกที่สุดในความทรงจำ

     เขาผู้เป็นเจ้าของดวงตากลมโตแต่กลับเหมือนมีเวทมนตร์ที่ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตา

     เขาผู้เป็นเจ้าของแก้มกลมสีเรื่อที่ทำให้ผมแทบห้ามมือตัวเองที่พยายามจะเอื้อมไปสัมผัสไม่ได้

     และ เขาผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่เป็นเหมือนยากระตุ้นหัวใจที่ไร้ชีวิตชีวาของผมให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

     เขาคือคนในความทรงจำเมื่อ 3 ปีที่แล้วของผม


     ผมไม่รู้ว่าผมใช้สายตาแบบไหนจ้องมองไปที่ดวงตาของเขา รู้แค่ว่าผมอยากโลภมากที่จะหยุดเวลาไว้แค่นี้ แต่สุดท้ายผมก็ต้องตื่นจากฝัน

     “เอ่อ..คะ...คุณ มีอะไรหรือเปล่าครับ” คนตากลมเอ่ยถาม ดึงผมให้กลับสู่โลกความจริงที่เป็นปัจจุบัน

     “...”

     “ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ชน พอดีมัวแต่ก้มมองช่องว่าง เลยไม่ทันเงยหน้าดู ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ” เขาเอ่ยอธิบายกับผมยาวเหยียด ตามด้วยรอยยิ้มกว้างตากลมหยีเป็นเส้นโค้ง รอยยิ้มแบบที่ทำให้ผมแทบคลั่ง รอยยิ้มที่ทำให้ผมสับสนกับตัวเองอย่างหนัก และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องอดทนและพยายามที่จะไม่นึกถึงมาตลอดเวลา 3 ปี ทำไมเขาใจร้ายกับผมแบบนี้ แล้วผมจะลืมได้ยังไง

     “...” สตั๊นไปสิกู

     “เอ่อ คุณ คุณ!! ปล่อยแขนผมก่อนดีมั้ย เรือจะไปแล้วนะ”

     “ฮะ!! ว่าไงนะ” เมื่อสติกลับมาครบสมบูรณ์ โสตประสาทของผมก็รับรู้เสียงเรียกของคนตัวเล็ก อ่าว จะตกเรือแล้วไอ้เกียร์เอ้ย

     “คือผมบอกว่า ปล่อยแขนผมก่อน แล้วรีบขึ้นเรือเถอะครับ” คนตาสวยบอกผมเสียงดังชัดเจน ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ปล่อยมือจากต้นแขนเล็กนั้น 

     “อืม ไปละ” ผมมองตามสัญญาณมือของเขา พร้อมคลายมือออกจากต้นแขนเล็กของคนตรงหน้า

      “ครับ ขอโทษและขอบคุณอีกครั้งครับ” ร่างเล็กเอ่ย และกำลังจะเบี่ยงตัวเดินเลี่ยงผมไปอีกทาง จะไปแล้ว เขาจะไปแล้วมึงไอ้เกียร์ คิดสิมึง คิดดดดดด

      “เดี๋ยว!” ผมเอี้ยวตัวหัวไปเรียกคนตัวเล็ก ทั้งๆที่ในหัวยังคิดไม่ออกว่าจะรั้งเขาไว้ทำไม

      “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

      “เปล่า แต่…” แต่อะไร คิดเร็วๆสิไอ้เกียร์ ถามชื่อดีมั้ยวะ

      “...” คนตัวเล็กเลิกคิ้วเชิงถามผม ใครใช้ให้ทำหน้าน่ารักขนาดนั้น
      .
      .
      “ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม” ผมตอบพลางยิ้มมุมปาก แต่ยิ้มนี้ไม่ได้ให้เขานะ ยิ้มเยาะเย้ยตัวเองเนี่ย โถ่ ไอ้เกียร์ พูดอะไรไป ผมหลุดพูดในสิ่งที่อยู่ในความทรงจำครั้งเมื่อตอนเจอเขา ความซุ่มซ่ามของเขาในวันนั้น แต่รู้มั้ยว่ามันโคตรน่ารัก

      “...” คนตัวเล็กไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา แววตามีแค่ความสงสัย

      ผมตัดใจหันหลังก้าวเดินขึ้นเรือที่จอดรออยู่ โชคชะตาคงแกล้งผมจริงๆ พาเขากลับมา แต่คงไม่ได้ตั้งใจให้เราได้รู้จักกัน นี่ผมต้องกลับไปเริ่มต้นเก็บซ่อนความรู้สึกนี้อีกแล้วสินะ

      เมื่อขึ้นเรือมาแล้วผมหยุดยึดตำแหน่งตรงท้ายเรือเป็นที่พิง สายตาผมยังคงจ้องไปที่ร่างบางเจ้าของรอยยิ้มสดใส แม้เขาจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารแล้วก็ตาม สติของผมก็ยังคงอยู่กับเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี่ มันคงเป็นความฝันในโลกของความจริง โอกาสที่ได้มาของผมนั้นเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อยๆตามการเคลื่อนตัวของเรือโดยสารเจ้าพระยา 3 ลำนี้
   

      คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว…


       ในเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ผมจึงตัดสินโทรหาคนๆหนึ่ง

     - FEUANG -

      (คิดถึงกูหรอ ถึงได้โทรมา)

      “เฟือง” ผมตอบกลับคนปลายสายด้วยเสียงที่เรียบนิ่งไร้ความรู้สึก

      (อือ เป็นอะไร เสียงแย่เชียวมึง)

      “เฟือง...กูเจอเขาว่ะ”

      (เขา? ใครวะ มึงช่วยอธิบายให้กูเข้าใจกว่านี้หน่อย)

      “ปลาทองตากลมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว” เสียงผมที่ว่านิ่ง ตอนนี้ใจผมนิ่งสนิทกว่าอีก เพราะมันเย็นวาบทันทีที่คิดว่าจะไม่ได้เจอเขาแล้ว

      (เห้ย! จริงดิ คนที่มาช่วยมึงตอนตีกันเพราะคิดว่ามึงจะโดนลูกหลงอ่ะนะ เชี่ย โลกกลมพรหมลิขิตมากมึง) เสียงตกใจของคนปลายสายดังพอที่จะทำให้ผมยิ้มจางๆเมื่อนึกถึงหน้าตาประกอบการตกใจของมัน

      “อืม แต่เขาจำกูไม่ได้หรอก กูหล่อขึ้น” เล่นมุกตอบโต้ไปขำๆ แต่ความรู้สึกจริงๆของผมตอนนี้ไม่ขำจริงๆ

      (สัด! สภาพตอนนั้นมึงไม่น่าจำมากกว่า นักเลงหัวไม้ชัดๆ แล้วยังไง เจอแล้วมึงทำไง)

      “กู...กู...กูปล่อยเขาไปอีกแล้วว่ะ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ”

      (โอ้ย ไอ้กาก อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นน้องชายกู มึงสับสนกับรสนิยมตัวเองเพราะเขาเป็นปีๆ พอได้เจอ มึงเสือกปล่อยเขาไป โอ้ย กูไม่รู้จะพูดอะไรเลย) คนมีฐานะเป็นพี่ชายแท้ๆบ่นยาวให้กับความกากของผม ผมก็กากจริงๆแหละ แม่งเอ้ย

      “เออ ไม่ต้องตอกย้ำ กูก็ไม่รู้ว่าต้องทำไงเหมือนกันว่ะ เขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อกูมั้งเฟือง”

      (พระเอกสาดดดดดด แล้วแต่มึงละงั้น ละอยู่ไหน มาเมาย้อมใจที่คอนโดกูได้นะ) วิธีการปลอบใจของพี่ชายผม ดีจริงๆ

      “เดี๋ยวไปหาไอ้พี ไอ้มายด์ ไม่เป็นไรหรอก กูทำใจละ เดี๋ยวก็ลืม” ตัดพ้อกับชีวิตสุดๆละตอนนี้

      (ทำปากเก่ง เดี๋ยวก็ลืม เหอะ ถ้ามึงลืมได้จริง วันนี้มึงจะเฟลมั้ยเกียร์ โอ๋ๆๆๆ ฮ่าๆ) สรุปจะปลอบหรือจะตอกย้ำวะ แล้วนี่คิดผิดใช่มั้ยที่โทรมาหามันเนี่ย

      “สัด! แค่นี้นะ คิดผิดจริงๆที่โทรหามึงเนี่ยเฟือง”

      (ฮ่าๆๆ โอ๋ๆ มาให้พี่ปลอบมะ ฮ่…)

      ติ๊ด!

      กดวางสายพี่ชายหน้ามึนก่อนที่มันจะตอกย้ำความกากของผมไปมากกว่านี้  เฟืองเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวความทรงจำในอดีตของผม เพราะมันก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ยังใช้ไม้หน้าสามตีหัวคู่อริอยู่เลย เหอะๆ

     ใช้เวลาไม่นานเรือโดยสารเจ้าพระยา 3 ก็เคลื่อนตัวมาจอดเทียบท่าเรือปิ่นเกล้าที่ผมต้องการจะลง แล้วผมก็โทรหาเพื่อนสนิทให้มารับตามที่นัดกันไว้ว่าจะไปสังสรรค์ สงสัยวันนี้จะได้เมาย้อมใจจริงๆ



*************************************************************



      เมื่อเจ้าสายฟ้าของผมงอแงจนต้องเข้ารับการรักษาที่อู่เจ้าประจำ วันนี้การเดินทางมาเรียนของผมจึงต้องพึ่งไอ้เพื่อนสนิทช่างจ้อให้มันมารับที่บ้าน สำหรับการเลี้ยงสังสรรค์เมื่อวานก็ผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่มีการสูญเสียสติใดๆ เพราะระหว่างกำลังชนแก้วกันเพลิดเพลิน ไอ้โซ่ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มของผมได้รับสายด่วนจากเพื่อนในชั้นปีว่าวันนี้มีนัดเรียนเช้า และตอนบ่ายมีเข้าแลปดิน ช็อคกันทั้งวงสิครับงานนี้ แยกย้ายกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน

      สำหรับการเรียนในคาบเช้าก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นวิชาแลคเชอร์ที่นัดเพิ่มเข้ามาให้นักศึกษาตื่นเช้ามาเรียนจนปวดหัวเล่นๆก็แค่นั้น ปัญหามันอยู่ที่ช่วงบ่าย การเข้าแลปดินนี่แหละครับ ศึกษาและทดสอบดินเพื่อออกแบบการก่อสร้าง ตอนนี้ผมอยากสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อนมากๆ จากเหตุการณ์เมื่อวานสภาพจิตใจผมยังคงอึนๆมึนๆหน่วงๆอยู่เลย เขาจำไม่ได้แล้วยังไม่มีโอกาสจะไปเจอให้เขาจำอีก กากเอ้ย

      พอนึกแล้วเซ็งๆ ซึ่งในตอนนี้กำลังหัวฟูทดสอบดิน A ดิน B อยู่แต่สมาธิแทบเป็นศูนย์จนเป็นที่น่าสังเกตของเพื่อน

      “ไปดูดบุหรี่มั้ย?” ไอ้ปฐพี เพื่อนสนิทหน้านิ่งของผมมันหันมาถาม ไม่แปลกใจที่มันจะทักหรอก เพราะสนิทกันมาตั้งแต่มัธยมต้น มีวีรกรรมร่วมกันมาก็เยอะ

      “อืม ไปดิ” หันไปตอบตกลงพร้อมยิ้มมุมปากส่งไปให้

      เราสองคนเดินออกจากห้องปฏิบัติการแล้วเลี้ยวขวาเดินตามทางเดินเพื่อออกไปที่บันไดหนีไฟที่ยื่นออกไปนอกตัวอาคาร เป็นทำเลดีๆในการออกมาสูดนิโคตินเข้าปอด ต่างคนต่างยืนสูบบุหรี่สายตาทอดมองไกลออกไป เรื่องราวในหัวก็เวียนหวนชวนให้คิดถึง ความเงียบเข้าปกคลุมแต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เพราะคนข้างๆมันรู้นิสัยผมดีจึงไม่ได้เร่งถามอะไร ตามนิสัยมันก็ไม่ใช่คนที่จะมาซักไซร้ไล่เรียงอะไร

     “กูเจอเขาว่ะ” เป็นผมเองที่เอ่ยทำลายความเงียบ
 
     “หืม เขา?” ปฐพีหันมาเลิกคิ้วถามผม มือก็สะบัดขี้บุหรี่ให้ร่วงหล่นลอยไปกับสายลม

     “อืม คนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว” ตอบคลายความสงสัยของไอ้พีด้วยรอยยิ้ม สายตาทอดมองไปยังวิวของเมืองหลวง

     “เจอเมื่อวานสินะ หึ”

     “รู้อีกนะมึง”

     “ก็อาการมึงออกขนาดนั้น แดกเหล้าเหมือนอกหัก” มันหันมายิ้มเหยียดให้ผม ถ้าเป็นสมัยมัธยมปลายที่ยังเฮี้ยวๆกันอยู่ ยิ้มแบบนี้โดนตีนแน่นอน

     “อืม เจอเขา แล้วกูก็ปล่อยเขาไป หึหึ” เอ่ยเสียงเรียบตามความรู้สึกเรียบๆของตัวเองตอนนี้

     “ถ้าคราวนี้ลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม” มันหันมาบอกผมด้วยร้อยยิ้มมุมปาก ผมเข้าใจความหมายที่มันต้องการสื่อนะ เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็คงลืมไม่ได้อย่างที่มันพูดนั่นแหละ

     เมื่อแท่งยาสูบของแต่ละคนหมดลง ก็พากันเดินกลับห้องปฏิบัติการเหมือนเดิม แต่พอถึงหน้าห้องผมก็รู้สึกกระหายน้ำ เลยชวนไอ้พีลงมาซื้อน้ำที่ซุ้มขายของเล็กๆใต้อาคารก่อน คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่



     ใช้เวลาในการซื้อน้ำกับหมากฝรั่งไม่นานก็เดินเข้าตัวอาคารทางปีกซ้ายที่เป็นทางเดินเล็ก เพราะถ้าเข้าทางหน้าอาคารมันก็จะอ้อมไกลไป ปกติพวกผมก็ใช้ทางนี้ประจำ ระหว่างที่ผมเดินตามไอ้พีที่กำลังจะถึงบริเวณโถงรอลิฟต์ ผมก็ได้ยินเสียงใสๆที่รู้สึกคุ้นมาก เสียงที่ทำให้หัวใจกระตุกวูบ ดังมาจากทางด้านโต๊ะม้าหินอ่อนใต้อาคาร
ย่างก้าวชะงักงันเพราะเสียงนั้น ร่างกายผมถูกบังคับด้วยความรู้สึกบางอย่างให้ต้องหันกลับไปมอง พลันสายตาเลื่อนไปหยุดที่ต้นเสียง หัวใจที่มันชาและนิ่งมากของผมกลับเต้นแรงอีกครั้ง

     ใช่ครับ ผมเจอเขาอีกแล้ว ผมได้เจอคนตัวเล็กอีกครั้ง ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกครั้งนี้ยังไง รู้เพียงแค่ว่าอยากขอบคุณอะไรก็ตามที่มอบโอกาสให้ผมอีกครั้ง ขอบคุณที่พาเขากลับมา

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนนิ่งจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าที่คนตัวเล็กกำลังคุยกับรุ่นน้องของผมนานแค่ไหน ทำไมเขามาอยู่ตรงนี้นะ แสดงว่าเขาเรียนที่เดียวกับผมใช่มั้ย หรือเป็นเพื่อนกับใครสักคนในภาควิชาของผมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ปี 1 ของภาควิชาผมชัวร์ เพราะไม่เช่นนั้นเราคงได้เจอกันนานแล้ว

     “เกียร์..ไอ้เกียร์...ไอ้เชี่ยเกียร์!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมจากปากเพื่อนสนิทก็ดังทำลายภวังค์ที่ดึงผมหลุดเข้าไป

     “ห่ะๆ..เอ่อ ว่าไงมึง”

     “เป็นเหี้ยไรเนี่ย หยุดยืนดูอะไรของมึง ไม่รีบขึ้นห้องวะ ไอ้โซ่บ่นตายห่าละ”

     “มึง เขากลับมาอีกแล้วว่ะ” ผมเอ่ยตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่เคลือบไปด้วยความดีใจ ทั้งที่สายตายังไม่เบนออกจากคนตัวเล็กที่อยู่ห่างจากตรงนี้พอสมควร

     “เขา?...ปลาทองมึงอะนะ หึหึ” ปฐพีหันมองตามสายตาผม แต่มันคงยังไม่รู้หรอกว่าคนไหน แต่ตามนิสัยก็คงรอคำตอบจากผมเอง มันเลยเบี่ยงตัวถอยหลังเดินเข้าลิฟต์ไปก่อนผม

   
     คนเราจะได้รับโอกาสในเรื่องเดิมๆสักกี่ครั้ง


     แล้วถ้าครั้งนี้ผมปล่อยโอกาสหลุดมือไปอีก จะมีอะไรรับประกันได้ว่าผมจะโชคดีได้รับโอกาสในครั้งต่อไป



     “ปลาทอง..คราวนี้จะไม่ปล่อยแล้วนะ

   

      ประโยคที่เอ่ยออกไป ก็คงมีแต่สายลมและตัวผมเท่านั้นที่จะได้ยิน แต่ผมก็ขอสัญญากับตัวเองไว้ตรงนี้เลยว่า โอกาสครั้งนี้ที่ได้มาผมจะไม่ปล่อยให้มันเสียเปล่าเหมือนเมื่อวานแน่นอน เตรียมตัวรับมือไว้ได้เลย ปลาทองน้อยของผม




มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2017 10:31:51 โดย chomistry »

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ต่อจากด้านบน


     ในระหว่างที่นักศึกษาวิศวกรรมโยธาชั้นปีที่ 3 กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการทดสอบดินอยู่นั้น ประธานของรุ่นก็มีข่าวมาแจ้งสมาชิกร่วมรุ่นทุกคน ประเด็นของเรื่องด่วนวันนี้ก็คือการต้องลงไปตรวจดูการทำพานไหว้ครูของน้องปี 1 บริเวณใต้อาคารภาค เอ๊ะ ที่ผมเห็นคนตัวเล็กใต้อาคารเขาก็นั่งอยู่ในกลุ่มเด็กปี 1 ของภาคที่กำลังทำพานอยู่นี่ ผมจำไอ้ภาคได้ หลานรหัสของไอ้โซ่เพื่อนผมเอง

     หึหึ


     “ใครจะลงไปวะ” เพื่อนที่มีฐานะเป็นประธานรุ่นเอ่ยถามสมาชิกร่วมรุ่น

     “มึงไง เป็นประธานรุ่นก็ไปดูน้องหน่อยดิ” เสียงหนึ่งดังมาจากทางอ่างล้างอุปกรณ์แลป

     “ก็กูเป็นประธานรุ่นไง ไปดูบ่อยแล้ว ต้องให้พวกมึงไปบ้าง น้องจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะสัด”

     “น้องคนไหนกล้าลืมกูวะ ห๊ะ!” รอบนี้เป็นเสียงไอ้มายด์เพื่อนผมที่ยืนส่องกล้องอยู่ข้างๆผมกับไอ้ปฐพี

     “งั้นถ้ามึงกลัวน้องลืม มึงลงไปเลยไอ้มายด์” ไอ้ประธานรุ่นเอ่ยพร้อมยิ้มเยาะ

     “อ่าว ทำไมต้องกูวะ ไม่ลงเว้ย ผลแลปก็ยังไม่ออกเลยเนี่ย ไม่ว้อยยยย” คนมีนิสัยชอบพูดติดตลกโวยวายออกมาหน้าเครียด

     หลังจากปล่อยมันเถียงกันอยู่นาน ผมคิดว่าโอกาสครั้งนี้ผมต้องคว้าไว้แล้วแหละ

     “พวกมึง เดี๋ยวพวกกูลงไปดูน้องให้เอง” เอ่ยอาสาออกไปเสียงเรียบ

     “หืม มึงเนี่ยนะไอ้เกียร์ ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจน้อง วันนี้อะไรดลใจวะ” ไอ้โซ่เปล่งเสียงถามผมด้วยความสงสัย ก็แหงล่ะ ปกติผมนี่ไม่ค่อยสนใจกิจกรรมยิบย่อยแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ร่วมกิจกรรมอะไรเลย แต่ครั้งนี้ข้อแลกเปลี่ยนมันน่าสนใจ

     “เออ เดี๋ยวกูไปกับไอ้พี ไอ้มายด์”

     “อ่าว สัดเกียร์ เกี่ยวอะไรกับกู เพิ่งบอกอยู่เมื่อกี้ว่าผลแลปกูยังไม่ออก”

     “ก็ให้ไอ้โซ่ทำดิ” ผมตอบสวนมันไป

     “เดี๋ยวก่อนๆ ทำไมมึงดูอยากลงไปจังวะ มีอะไรป่าววะ” เซ้นส์มึงดีไปแล้วนะไอ้มายด์

     “ถ้าอยากรู้มึงก็ไปกับพวกกูดิ หึหึ” ปฐพีตอบเสียงยั่วความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนจอมกวน

     “เออ ไปก็ได้วะ แต่มึงสองตัวต้องบอกกูมาให้หมดนะ”

     “ฮ่าๆ ขี้เสือกได้โล่ห์จริงๆมึง” ไอ้โซ่ปล่อยเสียงหัวเราะใส่เพื่อนคู่แลป


     การตัดสินใจลงไปครั้งนี้ของผมจะทำให้ได้เจอเขาอีกหรือเปล่า เขาจะยังอยู่ใต้อาคารของภาคผมไหมก็ไม่รู้ แต่เมื่อโอกาสมาถึง ผมก็ไม่อยากปล่อยไปอีกแล้ว ถึงลงไปจะไม่ได้เจอ แต่ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าจะตามหาเขา ผมจะไม่ยอมกลับไปอยู่ในจุดที่ต้องพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของความทรงจำเหมือนในอดีตอีกแล้ว

     “สรุปว่ามีอะไร เล่ามาด่วนเลยมึง” ไอ้มายด์เอ่ยถามเมื่อเราทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องปฏิบัติการวิชาปฐพีกลศาสตร์

     “ก่อนเล่า กูอยากบอกมึงไว้เรื่องนึงก่อน ถ้าน้องถามว่าทำไมเป็นพวกเราลงไปตรวจพานน้อง มึงต้องบอกว่า จับฉลากมา”

     “ทำไมกูต้องพูดแบบนั้นวะ งงนะสัด” เออ มึงงงก็ไม่แปลกหรอกมายด์เอ้ย

     “เออน่ะ ถ้าน้องมันถามก็ตอบแบบที่กูบอก เดี๋ยวเรื่องทั้งหมดกูเล่าหลังตรวจพานน้องเสร็จละกันมึง มันยาว”

     “อ่าว เบี้ยวหรอไอ้เกียร์ เกริ่นให้กูหายโง่ก่อนได้มั้ยไอ้เหี้ยยยย” ไอ้มายด์โวยวายเสียงก้องไปทั่วลิฟต์ อาการของคนขี้เสือกกำเริบจริงๆ

     “มันอยากลงมาหาคนๆนึง คนที่ทำให้แม่งไม่ยอมมีเมียเป็นตัวเป็นตน หึหึ” ไอ้ปฐพีเอ่ยตอบไอ้มายด์แทนผม น้ำเสียงล่อตีนมากครับ บอกไว้เลย

     “เห้ย จริงดิ ใครวะ โอ้ยพวกมึง เล่าดิสัด กูอยากรู้” คำว่าเสือกเด่นหรากลางหน้าผากมึงเลยนะไอ้มายด์

     “เออ ก็บอกว่าเดี๋ยวเล่า รู้แค่ว่าลงมาเพราะคนๆนึงก็พอ”

     ติ๊ง

     จบบทสนทนาลิฟต์โดยสารก็พาพวกเราทั้งสามคนลงมาถึงชั้นหนึ่งที่มีโถงใต้อาคารเป็นบริเวณให้นักศึกษานั่งพักผ่อน และเป็นที่ๆทำให้ผมได้เจอกับเจ้าของดวงตากลมโตอีกครั้งเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา

     เมื่อเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่รุ่นน้องปี 1 จับกลุ่มกันนั่งทำพานสำหรับไหว้ครูอยู่ ผมก็เห็นพวกปี 2 มายืนดูน้องอยู่ก่อนแล้ว แถมยังยืนล้อมโต๊ะที่ผมเห็นคนเล็กนั่งอยู่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ไอ้มายด์ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกปี 2 ว่าอะไรน่ารักๆสักอย่าง ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะตอนนี้หัวใจผมบีบรัดเนื่องจากความตื่นเต้นที่เริ่มก่อตัว เขาจะยังอยู่หรือเปล่า ปี 2 ก็ยืนบังจนมองไม่เห็น

     “อะไร ไหนใครน่ารักนะ ได้ยินไม่ชัดว่ะ” ไอ้มายด์เอ่ยทักขัดบทสนทนาของรุ่นน้องทั้งปี 1 และปี 2 บริเวณนั้น

     “อ้าว พี่มายด์ พี่เกียร์ พี่พี มาตรวจพานน้องหรอพี่” คนที่หันมาตอบรับคำทักทายของไอ้มายด์เป็นรุ่นน้องปี 2 ที่สนิทกันในระดับหนึ่ง

     และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปี 2 คนอื่นๆขยับออกไปนั่งโต๊ะข้างๆ ทำให้ผมได้เห็นเขาอีกครั้ง แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังเล็กๆนั่น ผมก็จำได้

     ปลาทองของผม

     “เออดิ ไอ้เกียร์แม่งจับฉลากพลาด กลุ่มพวกกูเลยได้ลงมา แล้วให้กูมาดูอะไรวะ พานนะมึง เข้ากับกลุ่มกูมากมั้ง” ไอ้มายด์แสร้งบ่นอุบให้น้องปี 2 ฟังถึงความซวยที่ต้องลงมาตรวจพาน เอาตุ๊กตาทองมั้ยมึง เนียนฉิบหาย

     ระหว่างนั้นไอ้มายด์กับรุ่นน้องก็ทักทาย สอบถามกันไปเรื่อย แต่สายตาผมยังไม่ละจากแผ่นหลังของคนตัวเล็กเลย เขาก็ไม่ได้หันมามองทางพวกผมที่กดตัวลงนั่งตรงโต๊ะด้านหลังของเขา เห็นนั่งก้มหัว มือก็ทำอะไรยุกยิกๆก็ไม่รู้ เมื่อไอ้มายด์เรียกประธานรุ่นปี 1 เข้ามาถามความคืบหน้า โสตประสาทของผมถึงได้รับรู้เสียงรอบข้างอีกครั้ง จังหวะนั้นไอ้มายด์ก็เรียกพวกผมให้ลุกขึ้นเดินไปตรวจพานไหว้ครูตามที่ได้รับอาสามา เราสามคนเดินอ้อมไปยืนตรงหน้าของคนตัวเล็ก ถึงจะก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างในมือ แต่ผมสัมผัสได้ถึงออร่าของสดใส

     “เหยๆ นี่พวกมึงทำกันเองหรอ สวยนะเนี่ย” ไอ้มายด์หยิบส่วนประกอบของพานไหว้ครูขึ้นมา ผมก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ในสายตาผมมันเป็นงานฝีมือที่ประณีตมาก

     “เอ่อ คือ เอ่อ อันนี้พวกผมไม่ได้ทำพี่” ประธานรุ่นปี 1 ตอบเสียงไม่ค่อยมั่นใจ แต่ให้เดาก็รู้ว่าเด็กวิศวะฯอย่างพวกเราๆ ไม่น่าทำงานที่ละเอียดได้ขนาดนี้

     “อะไร ไหนปี 2 บอกพวกมึงทำกันเอง แล้วทำไมบอกว่าไม่ได้ทำ คือกูงงหรือกูโง่” น้ำเสียงที่ฟังดูติดตลกแต่ก็แอบกดดันของไอ้มายด์ส่งไปให้ไอ้รุ่นน้องที่ชื่อภาค

     “คือผมให้เพื่อนช่วยทำอ่ะ นี่เพื่อนผมคนนี้ชื่อเจ้าพระยา เรียกเจ้าก็ได้พี่ ส่วนนั่นชื่ออินธัช เรียกอินก็ได้” ไอ้ภาคเอ่ยแนะนำคนตรงหน้าผมให้ได้รู้จักชื่อ เป็นเพื่อนไอ้ภาคก็เป็นรุ่นน้องผมสินะ

      หึหึ ได้รู้ชื่อสักทีนะ

     ...เจ้าพระยา... แค่ชื่อก็ทำให้ผมแทบสะกดกลั้นตัวเองไม่ให้หลุดยิ้มไม่ได้ ใกล้กันเข้ามาอีกนิดแล้วนะ ไม่รู้จะบรรยายความดีใจที่ผมมีตอนนี้ยังไง สมองที่ควบคุมการรับรู้เสียงของผมก็ตัดขาดกับโลกภายนอกไปแล้ว ยืนจ้องเจ้าของชื่ออันแสนอบอุ่นจนเกือบลืมตัว แต่ผมก็ถูกกระชากสติกลับมาอีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาเพื่อยกมือไหว้ทำความเคารพรุ่นพี่อย่างผม

     “คุณ..!” เสียงตะโกนลั่นของคนตรงหน้า ดวงตาของคนตัวเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปากสีชมพูชะงักค้าง

     “...”  ผมไม่เอ่ยตอบโต้อะไรออกไป เพียงแค่ยิ้มมุมปากไปให้ แต่ใจจริงๆคือกลั้นยิ้มแทบตาย อื้อหือ ทำหน้าปลาทองใส่ ดาเมจหัวใจเชี่ยๆ ใครใช้ให้ทำหน้าตกใจแบบนี้ น่ารักฉิบหาย


     เข้าใจคำว่า 'ใจบาง' ของไอ้โซ่ก็วันนี้


     เมื่อไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับ ปลาทองของผมก็หันไปคุยกระซิบกระซาบอะไรกับเพื่อนสักอย่าง ต่อด้วยบทสนทนาที่มีเพื่อนของผมอย่างไอ้มายด์เป็นผู้ร่วมบทสนทนา เจ้าของตากลมก็มีอาการเกร็งขึ้นมาจนสังเกตได้ ดูท่าทางตะกุกตะกักกุมหน้างุดเย็บปักของที่อยู่ในมือตัวเอง ตลกดีนะ ฮ่าๆ แต่น่ารักมากกว่า


     “อ๊ะ! เชี่ย” เสียงสบถของเจ้าปลาทองก็ทำให้ผมตกใจ แต่ก็ควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการ เพราะเขาดันทำเข็มแหลมๆในมือทิ่มนิ้วตัวเอง ซุ่มซ่ามไม่เคยเปลี่ยนเลย

     คนตัวเล็กโดนเพื่อนบ่นให้กับความไม่ระวังของเขา แต่ดูจะไม่ค่อยสลดเท่าไหร่นะ หึหึ ทำหน้าระรื่นแล้วน่าแกล้งจังวะ ขอสักหน่อยเหอะ


     “ซุ่มซ่ามเหมือนเดิม” ผมเลยตั้งใจหลุดแซวคำๆเดิมที่เพิ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อวาน

     “...” ปลาทองของผมตาโตเป็นไข่ห่านเลยทีนี้ ฮ่าๆ ไอ้น่ารักเอ้ย น่าแกล้งชะมัด

     “อ่ะ เหลืออันนึง” ผมล้วงพลาสเตอร์ยาจากในกระเป๋าเสื้อช็อปยื่นไปให้คนซุ่มซ่าม ความบังเอิญมันมีอยู่จริงๆ ที่ในช็อปผมมีพลาสเตอร์เหลือหนึ่งแผ่นพอดี แต้มบุญผมเหลือชัดๆ

     คนน่าแกล้งยังทำหน้าเอ๋อใส่ผม อยากจะแกล้งทั้งวันเลยว่ะหน้าแบบนี้ ฮ่าๆ แต่ก็ยอมหยิบพลาสเตอร์ยาจากมือผมไปยื่นให้เพื่อนของเขาแปะให้ แล้วก็หันมาเอ่ยขอบคุณผม กลั้นยิ้มแทบไม่ทันเลยกู


     หลังจากนั้นคนตัวเล็กก็ทำพานไหว้ครูช่วยรุ่นน้องผมต่อไป ผมกับไอ้มายด์ ไอ้พี ก็ย้ายตัวเองมานั่งที่ชุดโต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะของเขา สายตาก็จ้องมองการกระทำของเขาแต่ละอย่าง การหยิบ การจับ อะไรก็ดูคล่องไปหมด บางจังหวะที่เขาคุยกับเพื่อนหรือพวกวิศวะฯปี 1 ก็จะมีรอยยิ้มจางๆหลุดออกมาบ้าง นั่งกลั้นฟินไปสิกู ผมใกล้จะเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกทีละ ฮ่าๆ

     “คนนี้หรอวะ” เป็นไอ้มายด์ที่เอ่ยทำลายความเงียบภายในโต๊ะของกลุ่มปี 3 อย่างพวกผม

     “อืม” ตอบรับด้วยเสียงในลำคอ แต่สายตาผมกลับยังมองไปยังคนซุ่มซ่ามที่ยังคงตั้งอกตั้งใจทำพานไหว้ครู

     “เซอร์ไพรส์สัดๆ กูก็นึกว่าผู้หญิงที่ไหน หึหึ”

     “มายด์..มึงไม่โอเคหรอวะ” ผมรีบหันมาจ้องหน้าถามไอ้เพื่อนสนิทตัวดีนิสัยขี้เล่น

     “ไม่ใช่ไม่โอเค กูก็แค่แปลกใจ ว่าคนนิสัยอย่างมึง ไม่น่าเชื่อว่าจะสนใจแบบนี้ มึงแน่ใจแล้วหรอวะ” มันตอบผม และเอ่ยถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

     “อืม ยิ่งกว่าแน่ใจ เขาทำให้กูสับสนกับตัวเองอยู่เป็นปี แถมยังไม่เคยออกไปจากความทรงจำของกูตั้งแต่วันนั้น” ผมตอบย้ำสิ่งที่อยู่ในใจของผมมาตลอดให้ไอ้มายด์ได้รู้

     “แค่เริ่มสับสน มันก็คือคำตอบแล้ว” ไอ้ปฐพีเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ

     “อือ ไอ้เฟืองก็บอกกูแบบนั้น แต่กูก็คิดว่าวันนึงคงก็ลืมไปเอง เพราะยังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกแน่ๆ หึหึ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ ว่าเขาจะกลับมาอยู่ตรงหน้ากูอีกครั้ง”

     “แต้มบุญเยอะนะสัด แล้วสรุปอะไรยังไง จะเล่าให้กูฟังได้ยัง ไปเจอเขาตอนไหน” ไอ้มายด์จี้ถามเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง


     แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมด เรื่องที่ไม่เคยเลือนออกไปจากความทรงจำของผม เรื่องที่ทำให้ผมได้เข้าใจมาตลอดว่า บางทีเราก็เกิดมาเพื่อรอคอยคนๆนึงจริงๆว่ะ ทั้งเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้วและเรื่องเมื่อวานให้ไอ้มายด์ฟัง ส่วนคนที่รู้เรื่องอยู่แล้วอย่างไอ้ปฐพีมันก็นั่งทอดสายตาชมนกชมไม้มันไปเรื่อย


     “โห ไอ้เกียร์ แม่งอย่างกับละคร”

     “หึหึ”

     “เจอกันแปบเดียว คุยกันนับประโยคได้ มึงไปหลงน้องเขาตรงไหนวะสัด ใจง่ายนะมึง”

     “กูไม่รู้ว่ะ รู้ตัวอีกทีก็เอาภาพเขาออกจากความคิดไม่ได้แล้วว่ะ ไอ้เฟืองมันบอก รักแรกพบ”

     “อี๋ แหวะ พี่มึงนี่เลี่ยนสาดดดดด ฮ่าๆ”

     “ไม่เจอกับตัวเอง มึงก็ไม่เข้าใจหรอก” ไอ้พีเอ่ยขึ้นมากลางบทสนทนา แต่ผมว่าสายตามันไปหยุดอยู่ที่ใครคนนึงนะ

     “เออๆ กูไม่เข้าใจ แต่ว่า...พอเห็นหน้าน้องเจ้าของมึงแล้ว เป็นกูก็คงสับสนว่ะ ฮ่าๆ โคตรน่ารักอ่ะมึง น้องเขากินไฟนีออนแทนข้าวปะวะ”

     “สัด!” จ้องหน้าด่าไอ้เพื่อนปากกวนบาทา อย่ามายุ่งกับปลาทองของกูนะเว้ย บอกไว้ก่อน อย่างอื่นยังพอยอมได้ แต่คนนี้แม้แต่เพื่อนกันกูก็หวงอ่ะ

     นั่งคุยกันไปสักพัก หลังจากไอ้มายด์ไลน์ไปบอกไอ้โซ่ว่าไม่ขึ้นไปห้องแลปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเฮ เสียงปรบมือเสียงดังมาจากกลุ่มที่นั่งทำพานอยู่ ทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มจากคนตัวเล็กอีกครั้ง ยิ้มกว้างตาหยี ทำให้รอบตัวเขาดูสดใสขึ้นมาทันตา กูไปจ่ายเงินซื้อรอยยิ้มแบบนี้มาเก็บไว้คนเดียวได้มั้ยวะ

     เมื่อปี 1 ได้รับคำท้าจากไอ้มายด์ว่าถ้าพานได้รางวัลติด 1 ใน 3 มันจะพาไปเลี้ยงโดยที่มีผมเป็นคนจ่าย ไอ้เพื่อนเหี้ย ทีแบบนี้โยนให้กูจัง ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตกลงรับคำไปนั่นแหละครับ เดี๋ยวจะเสียหน้า หึหึ ตอนนี้เหล่าวิศวะฯปี 1 ก็ช่วยกันเก็บของ เศษใบตอง ดอกไม้ที่เหลือจากการทำพาน ปลาทองของผมก็เอ่ยลาเพื่อนต่างคณะ เขาจะกลับแล้วหรอวะ ซึ่งไม่ต้องสงสัยนานเจ้าตัวกับเพื่อนก็เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายและเดินมาไหว้พวกผมที่นั่งตรงทางผ่านที่จะออกไปหน้าอาคารพอดี เอาไงวะกู

         ตามไปดีไหมวะ

        ตาม

        ไม่ตาม

         .
 
         .
 
         .

        จะรอเหี้ยอะไรล่ะ




     ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่ที่ชานชาลาบนบีทีเอสสถานีสยามแล้วครับ เรื่องอะไรจะปล่อยโอกาสไปอีกละ กูไม่ยอมว้อย ผมยืนทิ้งระยะห่างจากคนตัวเล็กพอสมควร ห่างพอที่จะไม่ทำให้เขารู้ตัวว่ามีผมตามมา ระหว่างนั้นเขาก็หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบไว้ที่หู มือเลื่อนสไลด์ไปบนหน้าจอสมาร์ทโฟน ปากก็ขมุบขมิบเหมือนกำลังฮัมเพลง


     เคยเป็นกันไหมครับ ท่ามกลางคนมากมาย แต่สายตาเรากลับมองเห็นเขาชัดเจนในทุกการกระทำ ตอนนี้ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเลย แม่งเอ้ย อาการหนักละกู



     เมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบชานชาลา ผมกับเจ้าพระยาเราก็ก้าวขึ้นกันคนละโบกี้ แต่สายตาผมก็ยังจับจ้องไปที่ร่างบางในชุดนักศึกษา เจ้าพระยายังคงอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง บางทีก็เห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า จนผมเผลออมยิ้มตามไปด้วย แล้วก็ใช้เวลาไม่นานรถไฟฟ้าสายสีลมก็มาจอดที่สถานีสะพานตากสิน ผมสังเกตเห็นคนตัวเล็กก้าวเท้าไปรอที่ประตูทางออก คงจะลงสถานีนี้ ส่วนผมที่ซื้อบัตรเที่ยวเดียวแบบสุดสายมาก็ไม่มีปัญหา เพราะลงสถานีไหนก็ได้

     ผมเดินตามเจ้าพระยาห่างๆ เดินมาเรื่อยๆตามทางที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือสาทร เขาคงจะนั่งเรือกลับบ้านเหมือนที่ผมเจอเมื่อวานแน่ๆ พอเข้ามาในตัวอาคารของท่าเรือเพื่อต่อคิวขึ้นเรือตามเส้นทางที่ต้องการไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะความซุ่มซ่ามของคนตัวเล็กก็เกิดขึ้นอีก โดยคนในแถวข้างหน้าถอยหลังมาชนจนเจ้าเกือบล้ม ผมที่ตอนแรกก็ไม่อยากแสดงตัวก็อดไม่ได้ที่เข้าไปจับแขนคนที่กำลังจะล้มก้นจ้ำเบ้าไว้ เจอกันทีไรก็ซุ่มซ่าม ไอ้ปลาทองเอ้ย เขาไม่รู้หรอกว่าผมตามมา แต่ก็คงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ และคงแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อผมไม่ได้เดินขึ้นเรือตามเขาไป หึหึ เด็กน้อย งงต่อไปเถอะ ถ้ายังเป็นปลาทองจำเรื่องเมื่อ 3 ปีที่แล้วไม่ได้ ก็คงได้สงสัยไปอีกนาน



    การพบเจอกันระหว่างผมกับเจ้าพระยาก็เกิดขึ้นอีกสองวันติด ผมว่าผมแต้มบุญเยอะเกินไปแล้วนะ แม่งโคตรดีที่ได้รู้จักเจ้าของตาสวยมากขึ้นไปอีก ปลาทองเป็นว่าที่หมอยาที่นิสัย...แสบใช่เล่น ใช่ครับ น้องเจ้าพระยาของทุกคนทั้งแสบ ทั้งดื้อ น่าหมั่นไส้มาก ถ้าไม่ติดว่าชอบไปแล้ว ผมจะเตะให้กระเด็นเลย คนอะไรวะเถียงเก่งฉิบหาย แถหน้าเอ๋อๆด้วยนะบางที ตอนไปกินหมูกระทะฉลองที่พานได้รางวัล ก็กว่าจะได้ไปกิน อารมณ์ใจร้อนที่แก้ไม่หายก็ลืมตัวไปอุ้มเขาอีก ตอนนั้นแม่งเอ้ย หันหลังกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน ปลาทองมันก็ตัวเบาเหลือเกิน ออกแรงนิดเดียวขาก็ลอยละ ละพอผมขับรถเร็วตามความเคยชิน ไอ้เด็กเอ๋อก็ยังมาทำเสียงอ้อนขอให้ขับช้าลงอีก

          ใจกู


          เสียงแบบนี้กูกราบละปลาทอง มึงอย่าไปพูดกับใครได้มั้ย


     พอไปถึงก็มีเรื่องให้ชวนหงุดหงิดใจ เพราะไอ้ปลาทองมันเริ่มแผลงฤทธิ์เดชความน่ารักให้คนอื่นได้เห็นแล้ว งานหยาบอีกแล้วกู คู่แข่งเริ่มมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร ทั้งศึกในคณะ ศึกนอกคณะ เออ จากที่บ่นว่าแต้มบุญเยอะ มีลางว่าจะไม่ใช่ละ เหอะ

     แต่เจ้าพระยามีความน่ารักอย่างนึงที่ชัดเจนมาก คือ น้องเป็นคนรักเพื่อน แถมดูเอาใจใส่ความรู้สึกคนรอบข้างด้วย กับผมที่มีท่าทีแง่งๆขู่ฟ่อๆใส่ ก็ยังได้รับความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆ ปกติก็หลงจะตายแล้ว ยิ่งมาทำแบบนี้ มึงกะจะฆ่ากูให้ตายเลยใช่มั้ยไอ้ปลาทอง

     ตอนนี้ความพยายามเข้าใกล้คนซุ่มซ่ามของผมก็เริ่มเห็นผล และได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หึหึ ละตอนนี้ได้เบอร์มาละเว้ย ด้วยวิธีการอันแนบเนียนแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน เพราะช็อปภาคเลยที่ทำให้ได้มา ฝนตกเลยถอดช็อปให้เจ้าพระยาใส่ เพราะถ้าไม่ใส่ กูตบะแตกแน่ เสื้อเปียกจนบาง ทำลายล้างหัวใจสุดๆ

     การกระทำทั้งหมดของผม ตอกย้ำตามที่สัญญาไว้กับตัวเองแล้วว่าคราวนี้ไม่ปล่อยแล้วนะ คนอย่างอรุณวิชญ์ถ้าได้เดินหน้าก็ยากที่จะถอยหลัง ในเมื่อทำผมสับสนอยู่เป็นปีๆ ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่ต้องเอาคืน หึหึ


     เตรียมตัวไว้เลย!




      ไอ้ปลาทองของผม







*TBC
07/09/2017
*************************************************************


พี่เกียร์ออกโลงแล้วค่า ในส่วนของความจริงในอดีต...ก็ยังไม่รู้ต่อไป ฮ่าๆ พวกเราทีมน้องเจ้า ต้องรู้พร้อมน้องเจ้ากันเนอะ ไม่เทน้องงงง

พาร์ทของพี่เกียร์ เป็นพาร์ทที่เรากังวลมาก ด้วยความที่เป็นเรื่องแรก เรากลัวคาแรคเตอร์พี่มันไม่ชัดจริงๆ ยังไงขอคำแนะนำด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกติดขัดตรงไหน

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากนะคะ พล็อตเรื่อยๆ พล็อตตลาดมากๆ แต่เราก็ตั้งใจถ่ายทอดออกมาที่สุดแล้ว

เจอกันตอนหน้านะคะ


หวีดพี่เกียร์และติชมได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2017 12:26:04 โดย chomistry »

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
พี่เกียร์นี่เป็นเอาหนัก  :-[ หลงน้องเจ้ามากอะ

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :hao3: :hao3: น่ารัก....คนพี่ดูท่าจะเจองานกระด้าง....รีบสะสมแต้บุญด่วน...เดี๋ยวคนน้องโดนงาบแล้วคนพี่จะงืบไม่ออก  :ling1:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 6

จีบไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่






ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“พี่เจ้า! พี่เจ้าขาาาาาา”

“...”

“พี่เจ้าตื่นเร็วๆ แม่ให้มาตามลงไปทานข้าว พี่เจ้าขาาาาาาาา”

“ตื่นแล้วๆไอ้ตัวแสบ” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่สติยังไม่เต็มร้อย นี่มันวันอาทิตย์นะพารัก ทำไมทำกับพี่แบบนี้ ง่วงโว้ยยยย



เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ตอนแรกกะว่าจะนอนยาวตื่นสักเที่ยง แต่คุณน้องสาวนามว่าพารักก็มาทุบประตูเรียกแต่เช้า หลังจากจัดการเรื่องสุขภาพอนามัยของร่างกายตัวเองแล้ว ก็เดินลงมายังห้องครัวของบ้าน เช้านี้โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยมากๆ ถึงจะยังง่วงอยู่ แต่เจอทั้งภาพและกลิ่นระบบ 4 มิติขนาดนี้ เจ้าตื่นก็ได้

“ว่าไงล่ะไอ้ลูกชาย วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะ ฮ่าๆ”

“โห พ่อ ส่งพารักไปปลุกขนาดนั้น ใครไม่ตื่นก็บ้าละ เสียงดังไป 8 คูหา”

“อะไรพี่เจ้า เค้าเรียกเบาๆเองนะ อิอิ” น้องสาวแก้มป่องแก้ตัวไม่ยอมรับความจริง

“ครับ เบามากครับ” เอ่ยพร้อมทำหน้าล้อเลียนน้องสาวตัวเอง

“พอๆ” คนเป็นแม่เอ่ยห้ามศึก “อย่าเพิ่งเถียงกัน กินข้าวก่อนลูก” พร้อมทั้งยกเมนูสุดท้ายมาวางที่โต๊ะอาหาร

อาหารเช้าวันนี้ก็เป็นข้าวต้มกุ๊ยครับ ข้าวต้มร้อนๆที่กินกับผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็ม หัวไชโป้ผัดไข่ ยำผักกาดดอง หมูทอดกระเทียม แต่ละอย่างนี่แบบ อื้อหือ เจ้าฟิน

“แล้ววันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า” หัวหน้าครอบครัวสุดหล่อเอ่ยถามลูกชายหน้าตาดีอย่างผม

“ยังไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ ไม่ได้มีนัดอะไร พ่อมีอะไรหรือเปล่า”

“ก็นึกว่ามีนัดสงนัดสาวกับเขาบ้าง ขึ้นมหา’ลัยมานี่ มีสาวมาจีบยัง” บ้านใครถามลูกแบบนี้บ้างครับเนี่ยยยยย

“โหยยยย พ่อ สาวอะไรเล่า”

“อย่างพี่เจ้าเนี่ย พาว่าไม่มีสาวมาจีบหรอก ถ้าเป็นหนุ่มๆอ่ะไม่แน่...โอ้ยยยย” ยัยตัวแสบพูดยังไม่ทันจบ ผมก็เอื้อมมือไปผลักหัวทีนึง หนุ่มบ้าอะไรล่ะ

“ฮ่าๆๆ ก็ไม่น่าแปลก เล่นถอดแบบความสวยของสุดที่รักของพ่อมาขนาดนี้” หัวหน้าครอบครัวยังไม่หยุดตอกย้ำผม

“พ่อออออออ”

“ไปว่าลูกนะคุณ เดี๋ยวมีจริงๆแล้วจะพูดไม่ออก” คุณแม่คนสวยของผมเอ่ยแซวพ่อ

“ถ้าหล่อไม่เท่าพ่อ ก็อย่าหวัง ฮ่าๆๆ”

“ฮ่าๆๆ” พร้อมใจกันหัวเราะมากครับ มีแต่ผมที่มุ่ยหน้ากินข้าวเงียบๆ ทำไมเช้านี้เจ้าโดนรุมอยู่คนเดียว ว๊ากกกกก


มื้อเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น? คุยกันหลายๆเรื่อง แต่เรื่องที่ดึงความสนใจจากผมมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่พ่อจะพาพวกเราทุกคนไปเชียงใหม่ช่วงปิดเทอมภาคแรก หนาวนี้พี่จะไปแอ่วเหนือ อิอิ

~~บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุหรือลม..~~

เอ๊ะ เบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมที่นั่งจ้องโทรศัพท์พยายามนึกว่าเป็นเบอร์ของใครก็นึกไม่ออก เสียงริงโทนที่ใกล้จะวนครบรอบและก่อนที่สายจะตัดไป ผมก็กดรับได้ทันพอดี

“สวัสดีครับ”

(รับช้า)

“ฮ่ะ?”

(เอ๋อ อยู่ไหน?)

“เดี๋ยวครับ นี่ใครพูดสายครับ แล้วต้องการพูดกับใคร” งงเป็นไก่ตาแตกเลยผม แต่เสียงก็คุ้นๆอยู่นะ

(เอ๋อ...เอ่อ เจ้า กูเอง)

กูเอง กูเอง กูเอง กูไหนวะเนี่ย เอ๊ะ เรียกผมว่าเอ๋อ เห้ยยยยย ใช่มั้ยวะ ใช่อย่างที่คิดมั้ยเนี่ย

“เอ่อ พี่เกียร์?”

(เออ! แล้วนี่ไม่ได้เมมเบอร์กูหรอปลาทอง)

“แหะๆ ผมลืมอ่ะ” ก็คนมันลืมจริงๆนี่ครับ กลับถึงบ้านวันนั้น ตัวชื้นๆไม่สบายตัว พออาบน้ำเสร็จก็หลับเป็นตาย

(แล้วเสื้อช็อปกู ซักเสร็จยัง)

“เสร็จแล้วคร้าบบบ พรุ่งนี้พี่มีเรียนมั้ย เดี๋ยวผมเอาไปให้” ซักรีดเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โดนแม่ถามอีกว่าของใคร

(ไม่!) พี่เกียร์ตอบกลับมาทันที

“อ๋อ ไม่มีเรียน งั้นพี่มีเรียนวันไหนอ่ะ”

(ที่บอกว่าไม่ คือไม่เอาพรุ่งนี้ กูจะเอาช็อปวันนี้ และมึงต้องเอามาให้กูด้วย)

“ห๊ะ!! วันนี้เนี่ยนะ พรุ่งนี้ผมเอาไปให้ที่มอก็ได้นี่ วันนี้ไม่อยากออกไปไหน” วันนี้วันพักผ่อนของผมนะ เรื่องอะไรล่ะ

(เอ๋อ กูจะเอาช็อปวันนี้)

“เดี๋ยวดิพี่ พี่จะรีบไปไหนเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด” ผมบ่นอุบใส่คนปลายสายที่ทำตัวเหมือนโลกหมุนรอบตัวเอง

(เจอกันที่สยาม 11 โมง อย่าช้า เอ้อ แล้วก็เมมเบอร์กูด้วย เข้าใจมั้ยเตี้ย)

“ไอ้…”

ติ๊ด!

ไอ้พี่เกียร์!!!!! โอ้ย วันนี้มันวันอะไรของกูวะเนี่ย กะจะขึ้นมางีบอีกรอบหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ มารความสุขก็มาขัดอีกละเนี่ย

ไม่ไปแม่งดีมั้ย แต่คิดอีกที ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้ชะตาผมขาดแน่ ดูท่าคนอย่างไอ้พี่เกียร์มันตามมาด่าผมถึงคณะแน่นอน เซ็งโว้ย





ย่านการค้าสยามในวันอาทิตย์ แม้จะเป็นช่วงก่อนเที่ยงแต่คนแบบโคตรเยอะ!! เยอะอะไรขนาดนี้ ทั้งคู่รักที่พากันมาเดท แก๊งค์เด็กผู้ชายมัธยมมาส่องสาว เด็กเนิร์ดกับการมาเรียนพิเศษ ขาช็อป บลาๆๆๆ และตัวผมที่ถือถุงกระดาษในมือที่บรรจุเสื้อช็อปของนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมโยธา ยืนหงุดหงิดอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างตัวสถานีรถไฟฟ้าสยามกับตัวห้างสรรพสินค้า

จำนวนคนไม่น้อยที่เดินผ่านผมไป ก็มีบ้างที่หันมามอง ผมเช็คความเรียบร้อยของการแต่งตัวแล้วก็ไม่น่ามีอะไรประหลาดนะ เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ฟอกสีจนซีดและรองเท้าผ้าใบสีขาว แต่เขามองอะไรกันวะ ช่างเถอะ ตอนนี้มาสนใจก่อนดีกว่าว่าผมจะไปไหนต่อ เพราะพี่มันไม่ได้บอกว่าเจอกันตรงไหนของสยาม และผมก็จะไม่โทรหาเขาก่อนแน่ๆ หงุดหงิดแม่ง


~~บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง~~


-เกียร์หมา-

หึหึ อยากให้เมมนักใช่มั้ย


“ฮัลโหล”

(อยู่ไหน)

“สยาม”

(แล้วอยู่ตรงไหนของสยาม)

“หน้าสยามเซ็นต์ ตรงทางเชื่อม พี่รีบมาด้วย จะกลับ”

(เออ รออยู่ตรงนั้นแหละ)

ติ๊ด!



ในระหว่างนั้นผมก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์รอเจ้าของเสื้อช็อปตามที่นัดกันไว้ ไม่ได้สนใจรอบข้างเท่าไหร่ เพราะพอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นคนหันมามองอยู่ก่อนแล้ว คือมันรู้สึกแปลกๆ

“สวัสดีครับ” มีเสียงหนึ่งดังตรงหน้า

ก็เลยเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองตามเสียง “ห๊ะ ทักผมหรอครับ” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้า แต่เขาก็คุ้นๆอยู่นะ เหมือนเคยเจอที่ไหน

“ใช่ไง จำพี่ไม่ได้หรอ วันนั้นที่เจอกันที่ร้านหมูกระทะไง”

“ร้านหมูกระทะ?” ผมเลยเงียบพลางนึกถึงวันนั้นก็เลยพอจะจำได้ “อ๋ออออ พี่ที่เรียนสถาปัตฯใช่มั้ยครับ เอ่อ สวัสดีครับ” ยกมือไหว้รุ่นพี่ร่วมสถาบัน

“ฮ่าๆ จำชื่อพี่ไม่ได้หรอเรา แนะนำตัวใหม่ก็ได้ พี่ชื่อไนซ์ อย่าลืมล่ะ แล้วน้องล่ะชื่ออะไร”

“ชื่อเจ้าพระยาครับ เรียกเจ้าเฉยๆก็ได้”

“อ๋อ เจ้าเฉยๆ” คนพูดทำหน้าล้อเลียนชื่อผม ก็รู้ว่ามันเป็นคำสร้อย ยังจะเล่นอีก โว๊ะ

“เจ้า ไม่มีเฉยๆครับ ตลกนะพี่อ่ะ”

“ฮ่าๆ เจ้าไม่เห็นขำเลย ตลกได้ไง ว่าแต่มาคนเดียวหรอ”

“ก็…”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ


“เอ๋อ!!!”


นั่นแหละครับ ไม่ต้องเดาหรอกเนอะว่าเสียงใคร เสียงทุ้มเข้มดังเข้ามาขัดบทสนทนาเหมือนเดจาวูที่ร้านหมูกระทะรอบที่แล้วเลย ผมกับพี่ไนซ์ที่ยืนคุยกันอยู่ก็หันตามเสียงนั้น แถมเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาประชิดตัวผมอีกนะ

“อะไรพี่ เสียงดังทำไมเนี่ย”

“ก็กลัวไม่ได้ยิน”

“เดินเข้ามาเรียกเบาๆก็ได้ยินแล้วปะ ไม่อายคนหรือไง”

“ไม่อ่ะ แล้วนี่จะไปได้ยัง?”

“ฮ่ะ? ไปไหน?”

“เอ้า ก็นัดกันมาดูหนัง ก็ไปดูหนังสิ หรือมึงจะไปดูฮิปโปที่สวนสัตว์”

“เดี๋ยวพี่! ดูหนังอะไร อ่อกๆ แค่กๆ” คือผมไม่รู้จะงงก่อนหรือจะด่าไอ้พี่เกียร์ก่อนดี ดูหนังอะไรของพี่มันวะเนี่ย แล้วอยู่ดีๆก็ยกแขนมาล็อคคอผม จะลากผมออกจากตรงนั้น คือนี่มันอะไรกัน เจ้าไม่เข้าจ๊ายยยยยย(วิบัติเพื่อเสียง)

“เอ่อ…” พี่ไนซ์พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง

“พี่เกียร์ปล่อยผมก่อน” แขนแกร่งยังล็อคคอผมอยู่ แถมยังออกแรงดึงให้ผมไปยืนซ้อนด้านหน้าตัวเขา แผ่นหลังของผมก็เลยแนบอยู่กับอกแกร่ง และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นี่มันทางเชื่อมรถไฟฟ้านะโว้ย การกระทำเป็นจุดสนใจมาก ด้วยหน้าตาของไอ้พี่เกียร์ กับพี่ไนซ์ แค่ยืนเฉยๆคนก็มองอยู่แล้ว

“ผมว่าพี่ปล่อยน้องเขาก่อนดีไหมครับ” พี่ไนซ์เอ่ยบอกคนด้านหลังผม ว่าแต่เขารู้จักกันหรอ

“เตี้ย จะไปได้ยัง จะถึงรอบหนังละนะ” คนตัวสูงไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ไนซ์ แต่หันมาพูดกับผมแทน

“เออๆ ปล่อยผมก่อน หายใจไม่ออก”

ร่างสูงคลายแขนตรงคอผมออก แต่เลื่อนมาจับที่ข้อมือแทน แถมยังออกแรงดึงให้เดินตามเขาไป ผมได้แต่หันไปผงกหัวเชิงขอโทษพี่ไนซ์ที่ยังยืนมองมาอยู่ที่เดิม ใบหน้าพี่ไนซ์มีรอยยิ้ม แต่แววตานั้นอ่านไม่ออกจริงๆ เขายกมือโบกให้ผมก่อนที่ผมจะโดนลากเลี้ยวไปอีกทาง


ผมโดนลากแขนมาไม่ไกลจากจุดเดิม ก็ขอประท้วงเรียกร้องสิทธิ์หน่อยเถอะ จะมาลากแขนไปมาตามใจแบบนี้ไม่ได้นะว้อย

“พี่ๆ พี่เกียร์ ปล่อยๆ เดี๋ยวๆ ปล่อยผมก่อน” ปากเอ่ยบอกคนที่เดินนำหน้า และมือผมก็พยายามแกะมือของคนเอาแต่ใจออก นี่มือหรือคีม จับแน่นชะมัด

“พูดมาก”

“พี่ก็ปล่อยผมก่อนดิ”

เขาหยุดลากแขนผมแถมยังคลายมือที่กุมข้อมือผมไว้ โอ้โห แดงสิครับ รอยแดงเป็นปื้น ผมก็ได้แต่ยกแขนขึ้นมาลูบเบาๆที่รอยแดงบนข้อมือ จริงๆมันก็ไม่เจ็บหรอก แต่คนผิวขาวอย่างผมมันก็ขึ้นรอยง่ายเป็นปกติ แต่คือตอนนี้หงุดหงิดไอ้พี่เกียร์มากกว่า เป็นอะไรของเขา

“อ๊ะ”

อยู่ดีๆเขาก็เอื้อมมือมาจับแขนผมข้างที่มีรอยแดงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขายกมืออีกข้างขึ้นมาลูบเบาๆที่รอยแดงนั่น

สายตาผมไปหยุดที่ปลายนิ้วที่กำลังลูบไปบนรอยแดง ให้สัมผัสที่เบามาก เหมือนกลัวว่าถ้าจับแรงแขนผมจะหลุด พอเบนสายตาไปที่เจ้าของปลายนิ้วนั้น ก็ได้พบแววตาอ่อนโยน


แล้วทำไมหัวใจของผมมันเต้นแรง


“เจ็บไหม” เสียงเบาหวิวจากปากคนตรงหน้าเอ่ยถาม

“เอ่อ ไม่อ่ะ” ตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก สติของผมหลุดไปกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่ผ่านไปเมื่อกี้

เราต่างคนต่างเงียบ พี่เกียร์ค่อยๆปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ พอเขาเงยหน้าขึ้นมาสายตาเราก็สบกันพอดี

สายตาแบบนั้น สร้างความรู้สึกปั่นป่วนมากมายให้เกิดขึ้นกับผม เหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในแววตานั้น ไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอย่างไร แต่ผมรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดี


“เอ๋อ”

“ฮะ”

“จ้องทำไม” คนถามยกยิ้มมุมปาก ส่งสายตาเชิงล้อเลียนมาให้

เปลี่ยนจากแววตาเจ้าชายเป็นแววตาหมาป่าเลยนะ “จ้องหน้าคนตีเนียน”

“เนียนอะไร”

“ก็ใครมันเนียนลากผมมานี่ล่ะ นัดมาคืนเสื้อ แต่เนียนลากมาดูหนัง อะไรของพี่วะ”

“ก็กูอยากดู” คนตอบตอบแบบไม่สำนึกอะไร

“งั้นพี่ก็ดูไป อะ” ว่าแล้วผมยัดถุงกระดาษที่ใส่เสื้อช็อปไว้ในมือเขา “เสื้อช็อปพี่ ดูให้สนุกนะ งั้นผมกลับละ หวัดดีครับ” เอ่ยลาพร้อมยกมือไหว้ไม่ให้เสียมารยาท

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ

“แต่กูจองไว้ 2 ที่นะ ดูๆไปเถอะ เสียดายตังค์”

“เอ้า ใครบอกให้พี่จอง แล้วนี่เราสนิทกันหรอถึงต้องมาดูหนังด้วยกัน” เอ่ยถามคนตรงหน้า แต่ผมทำสีหน้าล้อเลียนส่งไปให้ หึหึ

“ก็…”

“ก็อะไร หึหึ ถ้าจำไม่ผิดพี่นัดผมมาคืนเสื้อนะ นี่ไง ได้เสื้อแล้ว ก็แยกย้ายสิ” ผมไล่ถามจี้คนตัวสูงที่ตอนนี้ทำหน้ากลืนไม่เข้า คายไม่ออก

“...”

งั้นขอแกล้งคนเอาแต่ใจหน่อยเถอะ ถ้าผมทำเป็นคิดว่าเขามาจีบแล้วถามเขานี่ หน้าไอ้พี่เกียร์ต้องตลกมากแน่ๆ หึหึ คิดจะเล่นกับเจ้าพระยาหรอ

“เงียบทำไมอ่ะพี่ หึหึ แล้วที่มาเนียนทำเหมือนรู้จักผมนี่ จริงๆแล้วไม่รู้จักใช่มั้ย แต่…”

“...”

ผมเดินเข้าไปใกล้คนตัวสูง พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้

“พี่จะจีบผมหรอ จีบไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะพี่” ยกยิ้มให้กับคำถามของตัวเอง

หึหึ คิดจะเล่นกับเจ้าพระยาหรอ

แต่คำตอบที่ได้รับ


ใช่ กูจะจีบมึง!


“...”


เชี่ยยยยยย


นี่มันอะไรวะเนี่ย ทำไมรู้สึกโดนเอาคืน ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคยอมรับจากคนตาดุ ไม่จริงอ่ะ พี่มันแกล้งผม


“ฮ่าๆ ทำหน้าตลกว่ะเอ๋อ”

“อะ เอ่อ โว้ย พี่แม่ง แกล้งผมทำไมเนี่ย” โวยวายว่าเขาแกล้ง แต่ใจนี่ยังไม่หายสั่น

“ใครแกล้งมึง”

“ก็พี่ไง”

“กูแกล้งมึงเรื่องอะไร”

“ก็..ไม่รู้โว้ย”


“ถ้าเรื่องจีบ กูพูดจริง เตรียมตัวไว้เลย หึ”


“...”


บึ๊มมมมมมมม สติกระจายยยย ตาเบิกกว้าง ปากชะงักค้าง ที่สำคัญ ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงด้วย






แล้วผมก็ต้องไปดูหนังกับพี่เกียร์จนได้ เพราะโดนพี่มันลากแขนไปทั้งๆที่สติยังไม่กลับคืนมาสมบูรณ์ ระหว่างที่ดูหนังก็ต่างคนต่างดู แต่เชื่อมั้ยว่าสมาธิผมไม่อยู่ที่ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าเลย ประโยคนั้นของพี่เกียร์วนเวียนอยู่ในหัวทำลายสมาธิผมมาก มีบางครั้งที่แอบเหลือลมองใบหน้าของคนข้างๆ มุมที่มองเห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่ความหล่อ ความดูดีก็ยังทำให้ผมสงสัย ว่าคนอย่างพี่เกียร์เนี่ยนะ จะจีบผม ความเป็นไปได้น้อยกว่าไก่ออกลูกเป็นตัวอีก พี่มันไม่มีแววจะเป็นเกย์ได้เลยนะ โอ้ยยยยย เจ้าเครียดดดดด

เมื่อภาพยนตร์จบลงเราสองคนก็เดินออกมา ผมที่คิดว่าจะแยกตัวกลับก็เป็นอันต้องฝันสลาย เพราะคนที่เพิ่งสารภาพจะจีบผมเมื่อสองชั่วโมงก่อน ได้ถือวิสาสะลากแขนผมเข้าร้านไก่ทอดชื่อดังของเกาหลี ลืมการโวยวาย ประท้วงร้องห้ามไปเถอะ เพราะนี่ใคร พี่เกียร์ไง จำไม่ได้หรอ เหอะๆ

และอีกอย่างที่ไม่ห้ามก็เพราะ...หิวครับ

หิวมากกกกกก

“ค่อยๆกินก็ได้ ไม่แย่งกินหรอก” คนตัวสูงฝั่งตรงข้ามผมยิ้มเยาะกับการกินของผม

แต่มันก็จริง เพราะตั้งแต่อาหารมาเสิร์ฟ ผมก็กินไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย ความหิวชนะทุกอย่าง

“ก็คนมันหิว”

“ครับๆ”


ห๊ะ พี่เกียร์พูด ครับ


“อ่าว มองทำไม กินไปสิ”

“เอ่อ อื้มมม” ไปหมดแล้วสติ เจ้าพระยาเอ้ย

เราสองคนกินกันไปเรื่อยๆ มีเถียงกัน แย่งไก่กันบ้าง แล้วก็มีบางทีที่พี่เกียร์มันหั่นไก่เป็นชิ้นเล็กๆส่งมาในจานผม ทำแบบนี้ก็เป็นหรอ พี่มันจีบผมจริงๆหรอเนี่ย

ด้วยนิสัยของผม ขอไม่สงสัยนาน เพราะถ้าไม่เคลียร์ ผมนอนไม่หลับแน่

“เอ่อ พี่เกียร์ ผมถามอะไรหน่อยดิ”

“อืม ถามมา ตอบได้จะตอบ”

“สรุปเรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

“ไม่รู้จัก”

“อ่าว แล้วทำไมเวลาเจอกันพี่ต้องพูดเหมือนเรารู้จักกันมาก่อนด้วยอ่ะ”

“ไม่รู้จัก แต่เคยเจอ”

“เห้ย จริงอะ เจอที่ไหน ทำไมผมจำไม่ได้”

“ไม่บอก คิดเอง”

“ไม่ได้นะพี่ บอกเหอะ เดี๋ยวคืนนี้นอนไม่หลับ”

“เรื่องของมึง”

“เอ้าพี่ นี่พี่จีบจะจีบผมจริงปะเนี่ย พี่พูดกับคนที่จีบแบบนี้หรอ” ผมทำท่าโวยวายเสียงไม่ดังมาก คำถามคือต้องการล้วงเอาคำตอบจริงๆจากเขา

“อือ จีบจริง ถามมากจังวะ”

“เอ๊ะ ผมก็ต้องถามสิ ผมโดนจีบนะพี่ เผื่อพี่แกล้งผมอ่ะ”

“ทำไมกูต้องแกล้ง”

“ก็...พี่ดูไม่น่าจะเป็น...เป็นเกย์อ่ะ” ปลายเสียงของผมเบาลง เพราะกลัวปฏิกิริยาจากคนที่เดาอารมณ์ไม่ได้

“กูไม่ได้เป็นเกย์”

“ห๊ะ ไม่ได้เป็นเกย์ แต่มาจีบผม นี่ผมงงหรือพี่พูดไม่รู้เรื่อง”

“กูไม่ได้เป็นเกย์ แต่กูจะจีบมึง”

“ผมเป็นผู้ชายนะพี่”

“กูก็เป็นผู้ชาย”

“โว้ย พี่แม่ง ผู้ชายที่ชอบผู้ชาย แล้วจะจีบผู้ชายก็ต้องเป็นเกย์มั้ย”

“กูไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคน”


“...”


แต่กูชอบมึง


ตู้มมมมมมม ใจระเบิดรอบที่สอง

แถมแอร์ในร้านมาพังอีกแน่ๆ เพราะตอนนี้หน้าร้อนมาก ฮือออออ เอาไข่มาทอดบนหน้าผมเลยยยย


“บอกชอบแค่นี้หน้าแดงเลยหรอเตี้ย” ไม่พูดเปล่า พี่แกยังเอื้อมมือมาดึงแก้มผมอีก

ผมยกแขนปัดมือคนตัวสูงออก “โว๊ะ พี่เกียร์แม่ง ทำไมชอบแกล้งวะ”

“บอกชอบนี่แกล้งตรงไหน หึหึ”

“ก็...ก็…” ตรงที่ผมใจสั่นเนี่ย ตรงนี้เลย แต่ก็พูดได้แค่ในใจ ฮึ่ย



เราต่างนั่งเงียบไร้บทสนทนากันอยู่สักพัก ผมเหลือบมองคนตรงข้าม พี่เกียร์ก็เอาแต่จ้องมาที่ผม เมื่อทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมก็ได้แต่เขี่ยเศษอาหารในจานเล่น รอพี่เกียร์เรียกพนักงานมาคิดเงิน แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น

“เจ้า”

“...” ทำไมเรียกชื่อผมด้วยเสียงนุ่มแบบนั้น “มีอะไร” เอ่ยถามทั้งๆที่ก้มหน้าเขี่ยกระดูกไก่ในจาน

“เจ้า เงยหน้าหน่อย” ยัง ยังไม่เลิกใช้เสียงแบบนี้อีก แล้วทำไมใจต้องเต้นแรงขนาดนี้

“เออ เงยแล้ว มีอะไรก็พูดมาสิ” ทำโวยวายกลบเกลื่อนอาการตอนนี้สุดฤทธิ์


“เจ้า”


“ว่า”


พี่ชอบเจ้า


“...”


แล้วก็ขออนุญาตจีบนะ


“...”


เชี่ยยยยย ขอออกซิเจนให้ผมด้วยยยยยยยย
เข้าใจแล้ว เข้าใจคำว่า ใจบางเป็นกระดาษเอสี่ของไอ้ภาคแล้ว ฮืออออ

สติที่หลงเหลืออยู่ของผมถูกกระชากไปกับประโยคเหล่านั้น เสียงอ่อนโยนแบบนั้น เลือดในร่างกายสูบฉีดอย่างแรงจากอัตราการเต้นของหัวใจที่พุ่งสูงลิ่ว และเชื่อได้เลยว่าเลือดไปกองกันบนหน้าหมดแล้ว ร้อนกว่าประเทศไทยก็หน้าผมตอนนี้แหละครับ


ผมเคยถูกผู้ชายมอง


ผมเคยถูกผู้ชายจีบ


ผมเคยถูกผู้ชายบอกชอบ


แต่…


ที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจมีปฏิกิริยาตอบกลับแรงแบบนี้

หัวใจของผมมันกำลังส่งสัญญาณอันตรายใช่ไหม

แต่สิ่งที่อันตรายกว่านั้นคือ



ผมกลับรู้สึกยอมรับสัญญาณอันตรายนั้น…








*TBC
11/09/2017
*****************************************************

รุกฆาต!!!! ฮ่าๆ วันนี้พี่เกียร์ยิงเกมบุกไม่ยั้งเลยครับ ปลาทองมีแววจะโดนขโมย จากจะเล่นชิวๆ พี่แกเดินเครื่องเต็มกำลังเลยฮะ
น้องเจ้าใจระเบิดไป 3 รอบนะวันนี้ ช่วยน้องเจ้าด้วย

อัพตอนนี้แล้ว คงเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ งานเยอะมาก ขอเคลียร์แปบ

แนะนำ ติ ชม แจ้งคำผิดได้เหมือนเดิมนะคะ
คุยกันได้ที่ #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะค้า





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2017 08:30:11 โดย chomistry »

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด