ตอนที่ 9
ไม่ได้อ่อยแต่อร่อยกว่าทุกคน
ผมถูกไอ้เบิร์ดลากคอกลับมานั่งที่โต๊ะในสภาพมึนงงเต็มแก่ ก่อนหน้าก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากูวิ่งไปหลังเวทีทำไม รู้แค่ว่าตอนนั้นผมไม่เป็นตัวของตัวเองที่สุด เลยพยายามหลีกหนีสถานการณ์ที่ไม่โอเคออกมาสงบสติอารมณ์เงียบๆ
แต่แล้วไง สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งเผชิญหน้ากับไอ้ยุคอยู่ดี
“ถามจริง มึงวิ่งไปหลังเวทีทำไมวะ” เชี่ยท็อปเป็นฝ่ายเริ่มประเด็น แม้ผมจะภาวนามาตลอดทางว่าขอให้ใครอย่าถามเรื่องนี้อีกก็เถอะ
“กู...กูไปช่วยเก็บ อึก...ของ” พูดไปก็สะอึกไปจนรู้สึกสงสารตัวเองฉิบหาย ต้องดับความลนลานที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้วยการคว้าเบียร์ขึ้นมาดื่มจนลดลงไปเกือบครึ่งแก้ว
“เก็บของห่าอะไร กูเจอนีน่า เขาบอกมึงเขินใครไม่รู้อยู่หลังเวที”คนถามหรี่ตามองราวกับไม่เชื่อ ผมเลยรีบแย้งออกไปทันที
“เขินไร นีน่านี่มองอาการคนไม่ออกเหรอ ตรงไหนที่เรียกว่าเขินไม่ทราบ”
“อย่ามาเนียน บอกมาใครเต๊าะมึง”
“ไม่มี เชื่ออ่อ เชื่อที่คนอื่นพูดมากกว่ากูอ่อ”
“เออกูเชื่อเขา แต่ไม่เชื่อมึง แม่ง...ตาลอยแล้วนั่น น้ำเปล่าหน่อยมั้ย” ผมยกมือปัดปฏิเสธ ก่อนยกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมากระดกจนหมดแก้วเพื่อแสดงความเก๋า
ทว่าถึงจะทำตัวแกร่งแค่ไหน เชื่อหรือเปล่าว่าผมก็ยังไม่กล้าที่จะมองหน้าไอ้ยุคอย่างเต็มตาสักที
แปลกดีเหมือนกัน ครั้งหนึ่งมันเคยบอกชอบผม บรรยากาศบนดาดฟ้าทั้งพิเศษและโรแมนติก แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความสับสนงุนงง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกกับไอ้ยุคแบบไหน แต่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิเสธอีกฝ่ายยังไง
ไม่เหมือนคืนนี้ ทุกอย่างต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ที่นี่ไม่ได้เงียบสงบ พลุกพล่านไปด้วยผู้คน บรรยากาศก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรเลย แต่ไม่รู้ทำไม...ใจมันกลับสั่นแปลกๆ
หรือนี่จะเป็นเพราะเวลาวะ เวลาที่เคลื่อนผ่านไปในแต่ละวัน บทสนทนาที่มากขึ้น กับความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้จากเดิม และตอนนี้ไอ้ยุคได้กลายเป็นเพื่อนที่ผมเลือกจะแคร์คนหนึ่ง ซึ่งมัน...
เริ่มมีอิทธิพลกับผมมากขึ้นจนน่าใจหาย
“มึง...กูขอน้ำแข็งเพิ่ม หิวเบียร์โว้ยยยยยยย” ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เพราะงั้นแดกต่อดีกว่า
ผมยื่นแก้วเปล่าให้ไอ้ท็อปจัดการ แต่กลับถูกมือหนาของใครอีกคนคว้าเอาไว้ซะก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สบตากับคนที่พยายามหลบมาตลอดหลังกลับมานั่งตรงโต๊ะ
“พอแล้วคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน ผมเลยยิ้มเย้ยใส่
“ผมยังไม่เมา ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“ไม่ได้ห่วง มันเปลือง”
ไอ้เวร...
“ไม่กินก็ได้” สลดเลยสัด กูจะโทรไปฟ้องแม่ให้เอาก้านมะยมมาตีมึง
“คืนนี้คุณดื่มเยอะเกินไป กลับได้แล้ว”
“เพื่อนผมยังไม่กลับ เพราะงั้นผมก็จะอยู่ต่อ”
“เฮ้ยกูจะกลับแล้ว!” ซูปเปอร์เนิร์ดรีบแทรกทันควัน พากูหน้าแหกแบบหมอไม่รับเย็บไปอีกรอบ แถมไอ้ท็อปยังพยักหน้าคล้อยตามเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีก มึงไปอยู่ด้วยกันเลยป่ะ รำคาญ
“ก็...ก็ถ้าไอ้เบิร์ดจะกลับผมก็ต้องกลับแหละ”
“เดี๋ยวผมไปส่งเอง เบิร์ดบ้านอยู่คนละทางกับคุณจะลำบากเพื่อนทำไม”
“เออใช่ๆ มึงกลับกับคุณยุคน่าจะดีกว่า” แหม...ทีอย่างนี้เร็วเลยนะมึงไอ้เมพพพพพพพพ
หลังเคลียร์กันเรียบร้อยก็ได้ฤกษ์งามยามดีให้พนักงานมาเช็กบิล ก่อนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทั้งคู่จะเผ่นแน่บเข้าป่ากล้วยไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทิ้งผมไว้กับนักฆ่าล่าแต้มเพียงลำพัง แถมตอนนี้ในหัวก็ตื้อไปหมดแล้วด้วย ถ้าโดนลากไปฆ่าตายคงขัดขืนอะไรไม่ได้แน่
“ไหวมั้ย” คนตัวสูงตบแก้มผมเบาๆ
“ไหวดิว้า”
มันยิ้ม พลางเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่งเหยิง เกลียดว่ะ ทำมันทุกคนชอบยุ่งกับหัวกูจัง
“ลุกขึ้นมาได้แล้วเด็กน้อย” มือหนาจับแขนของผมเอาไว้แน่น พยายามรั้งให้ลุกขึ้นยืนแต่ผมเลือกที่จะไม่ขยับ
“เมื่อกี้เรียกผมว่าอะไรนะ”
“เด็กน้อย”
“ห้ามเรียกเด็กน้อยเข้าใจป้ะ”
“โอเคครับที่รัก”
สัด! วันแรกเคยเถียงไม่ชนะยังไง วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไอ้ชยิน มึงแม่งไม่เคยพัฒนาเลยว่ะ
สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นยืนตามแรงรั้งของอีกฝ่าย แต่แทนที่จะก้าวเท้าไปข้างหน้าตามคนตัวสูง ผมกลับต้องหยุดนิ่งเมื่อใครคนหนึ่งรั้งไหล่เอาไว้เสียก่อน
“ริว ยังไม่กลับเหรอวะ” ใช่แล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือไอ้ริว ตอนแรกเข้าใจว่ามันคุยกับเพื่อนหมอที่บังเอิญเจอกันแล้วก็แยกย้ายกลับไปก่อนหน้านั้น ไม่คิดว่าจะยังอยู่อีก
“ถ้ากลับแล้วจะเห็นมั้ย เออนี่ มึงลืมดอกไม้” คนตรงหน้ายื่นช่อกุหลาบมาให้ผมด้วยสีหน้านิ่งๆ
“เฮ้ยโทษที กูลืม ขอโทษจริงๆ นะเว้ย”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่มึงเถอะ กลับกับไอ้ยุคเหรอ”
“อืม” ผมพยักหน้า
“ให้กูไปส่งแทนมั้ย ทางเดียวกันพอดี”
“กูจะไปส่งชยินเอง” ยังไม่ทันได้ตอบอะไร คุณนักเขียนมันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน พอๆ กับไอ้ริวที่สวนกลับทันควัน
“ถ้าไปกับกูคงดีกว่า”
“มีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้ไม่ทราบ!” ไอ้ยุคทุ้มขึ้นเสียง คล้ายกำลังโมโหอยู่นิดหน่อย
“ก็ทางการแพทย์เขาเรียกว่ามันคือความใส่ใจต่อผู้อื่น กูก็ควรทำป่ะวะ”
“แต่ทางวรรณกรรมเขาเรียกว่าเสือกว่ะ”
พวกมึง! อย่าตีก๊านนนนนนนนน
“สรุปมึงจะไปกับใครชยิน”
“เอ่อ...” ฉิบหาย ทำไมโชคชะตาต้องทำให้ชีวิตผมวุ่นวายขนาดนี้ด้วยวะ แทนที่จะได้กลับบ้านดีๆ กลับต้องมายืนเลือกฝั่ง แล้วคอนโดมีเป็นแสนเป็นล้าน แม่งยังเสือกอยู่ทางเดียวกันอีก
“ชยินกลับได้แล้ว” ไอ้ยุคกระตุกแขนผม แต่แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดกลับทำให้สมองเบลอจนหาคำพูดปฏิเสธไอ้ริวค่อนข้างช้า ผมเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ก่อนจะรู้สึกได้ว่าความอบอุ่นที่กอบกุมแขนขวาจางหายไป และไอ้ยุคได้เดินผละออกไปไกลแล้ว
ใจของผมหล่นร่วงไปอยู่ตรงตาตุ่ม
ทุกอย่างในหัวที่เคยพร่าเลือนกระจ่างชัดขึ้นมาทันที
“ริว กูต้องกลับกับยุคว่ะ ขอโทษทีนะ ไว้คราวหน้าเจอกัน” ผมพูดรัวเป็นน้ำไหลไฟดับ แทบไม่รอให้เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยซ้ำ สองเท้าก็ก้าวตามร่างสูงของคนตรงหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต
แผ่นหลังที่ห่างออกไปในตอนแรกค่อยๆ ชัดขึ้น ไอ้ยุคกดรีโมทรถยนต์แล้วแทรกตัวเข้าไปในรถ ผมจึงลนลานเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น รีบเปิดประตูอีกฝั่งและเข้ามานั่งตรงเบาะข้างคนขับอย่างหน้าด้านๆ
หายเมาไปเลยกู
“ไม่ไปกับมันเหรอ” เจ้าของร่างสูงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ก็บอกแล้วว่าจะมากับคุณ แค่...แค่กำลังหาคำพูดปฏิเสธคุณก็เดินหนีมาก่อนแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัวถูกเข้าใจผิด หลายครั้งหลายหนที่ผมพยายามขยับห่างไอ้ยุคอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายกลับเป็นผมเองที่วิ่งกลับเข้ามาพุ่งชนใหม่ ทั้งย้อนแย้งและน่าปวดหัวสิ้นดี
“ก็คุณทำท่าเหมือนอยากไปกับมัน ก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากไปก็ไปสิ”
อารมณ์มาเต็ม! มึงเป็นนางเอกนิยายเหรอศตวรรษ
“ผมไม่ไป ผมนั่งอยู่ในรถคุณแล้ว”
“เดี๋ยวช่วยโทรไปบอกไอ้ริวให้ขับรถมาจอดเทียบได้ ออดี้เลยนะคุณ”
“จะประชดผมทำไมเนี่ย มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”
“ก็หวง ไม่อยากให้ไปกับไอ้ริว ไม่อยากให้คุณเลือกมัน ไม่อยากให้คุณลังเลเวลาอยู่กับผมด้วย จบยัง”
“จะ...จบ”
ไม่เห็นต้องบอกตรงๆ ขนาดนี้เลยนี่หว่า
รถยนต์ถูกขับออกจากลานจอด ท่ามกลางความเงียบงันที่เกาะกุมจนทำตัวไม่ถูก ผมนั่งกอดช่อดอกไม้บนตักอย่างเงียบเชียบ ไม่นานความอึดอัดก็ค่อยๆ คลายลงเมื่อเสียงเพลงจากวิทยุถูกเปิดโดยคนตัวสูง
ผมไม่ได้ใส่ใจจะฟังมันนัก เพราะกำลังเล่นสงความประสาทว่าใครจะเป็นผู้พ่ายแพ้แล้วเริ่มต้นพูดออกมาก่อน จากนาที เป็นสิบนาที ตอนนี้ใกล้จะถึงคอนโดแล้วไอ้ยุคก็ยังคงเงียบ
คนที่กังวลเลยตกเป็นผมทั้งที่ไม่ควรเป็น เบื่อว่ะ กูแพ้อีกแล้ว
“จอดข้างหน้าพอ” พูดก่อนก็ได้วะแม่ง อีกฝ่ายเลยตอบกลับแทบจะทันที
“อืม”
แค่เนี๊ยะ!
“จริงๆ เข้าไปอีกหน่อยก็ได้ ผมรู้สึกมึนหัวแปลกๆ” แพ้แล้วแพ้อีก แพ้จนต้องร้องขอชีวิต ไอ้สัด
“โอเค ผ่านตรงป้อมยามไปคุณเดินขึ้นไปเองได้มั้ย”
“ได้” ผมตอบเสียงแผ่ว ลอบมองเสี้ยวหน้าของคนเคียงข้างอยู่แว๊บหนึ่ง ก่อนอีกฝ่ายจะรู้ทันหันมามองกลับจนผมทำตัวแทบไม่ถูก
“ชยิน ขอโทษ”
อ้าว เกมส์พลิก
“เรื่องอะไร”
“ผมไม่มีสิทธิ์จะหวงคุณ ที่สั่งให้คุณเลือกผม”
“ก็...” ผมคิดหาคำพูดอยู่ในหัว ประมวลผลอยู่นานก็ได้แต่ครางอืออาในลำคอ กระทั่งรถยนต์จอดสนิทอยู่ตรงประตูทางเข้า
“ถึงแล้ว”
“อือ” สองเท้าก้าวลงจากรถพร้อมช่อกุหลาบในมือ แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยประโยคซ้ำซากเฉกเช่นทุกที
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร”
ผมปิดประตูรถยนต์ และในเสี้ยววินาทีที่คนตัวสูงตั้งท่าจะขับออกไป ในหัวก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยรีบตบกระจกรถเพื่อให้อีกฝ่ายชะลอความเร็วลง
บางที บางทีถ้าผมพูดมันอาจไม่อึดอัดใจขนาดนี้ก็ได้
“ยุค” ผมเรียกชื่อเขา หลังกระจกถูกลดลงมาครึ่งหนึ่งและเราได้สบตากันตรงๆ
“ว่าไง”
“ถ้าจะหวงก็ไม่ว่ากัน จริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ที่คุณควรทำล่ะนะ” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว รอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้นเลยนอกจาก…
บึ้ม!
รอยยิ้ม ที่ผมคิดว่าแม่งหล่อเหลาที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกับมันมาเลย
ฮาร์ทแอทแทคซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนบางคนนี่มันเก่งจริงๆ เพราะไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมาย ก็ชนะไปซะทุกอย่างแล้ว สองวันให้หลังผมได้ฤกษ์งามยามดีหาเงินเข้ากระเป๋าก่อนภาวะอดอยากจะวนมาถึงอีกรอบ เนื่องจากไอ้ท็อปได้นัดแนะสัมภาษณ์คอลัมน์หนังสือล่วงหน้า ผมจึงตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวออกไปข้างนอกอย่างมีความสุข
จะแตกต่างกว่าทุกวันหน่อยก็ตรงที่วันนี้ผมเลือกหยิบหมวกแก๊ปใบหนึ่งออกมาปัดฝุ่น มันพอจะช่วยอำพรางสิวที่ผุดขึ้นตรงหน้าผากอยู่สองสามเม็ดได้
ผมเป็นแบบนี้เสมอตอนที่เครียด และจะเห่อขึ้นหนักมากตอนไม่มีเงิน
เรานัดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในช่วงเวลาสิบเอ็ดโมงตรง กะกินไปสัมภาษณ์ไปตามประสาเพื่อน ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีการตระเตรียมคำพูดเหมือนครั้งแรก และก็ไม่ต้องลุ้นว่าคู่สัมภาษณ์จะเป็นใครอีก เพราะตอนนี้...
“ชยิน ตรงนี้เว้ย!” ไอ้ท็อปได้โบกมือเรียกผมหยอยๆ ขณะที่มีใครอีกคนนั่งรออยู่ตรงนั้นด้วยแล้ว
ใครบางคนที่ทำให้ใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก และผมต้องออกรบกับแม่ทัพที่กวนตีนที่สุดในโลก
ไอ้เหี้ยศตวรรษ
ขนาดเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วก็ยังรู้สึกประหม่าแปลกๆ ผมสาวเท้าไปหาคนทั้งคู่ ส่งยิ้มวอนส้นไปให้ทีหนึ่งก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวสูงที่ยังคงคุมโทนด้วยเสื้อผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเคย
“อะไรดลใจให้มึงใส่หมวกวะ รุ่นเดียวกับไอ้ยุคเลย” สิ้นสุดคำพูดของเพื่อนคอลัมนิสต์ คนเคียงข้างก็หยิบหมวกแก๊ปสีดำยี่ห้อ A Bathing Ape ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาสวมเป็นพร็อพประกอบฉาก
“เนื้อคู่” ดูแม่งพูดเข้า
“บังเอิญเหอะ ถ้าสิววัยรุ่นไม่ขึ้นผมก็ไม่หยิบมาใส่หรอก”
“อายุปูนนี้ยังเรียกว่าวัยรุ่นอีกเหรอ”
“โอ้โหหหหห คุณก็อายุเท่าผมมั้ย กล้าพูดได้ยังไง”
“เคๆ เด็กน้อย”
“ไม่ใช่เด็กน้อยโว้ย!”
“พวกมึงนี่เถียงกันสนุกจังเล้ย ให้กูกลับบ้านก่อนมั้ย พร้อมเมื่อไหร่ค่อยโทรมาตาม” ไอ้ท็อปเบรกทุกประเด็น ก่อนยื่นสมุดรายการอาหารมาให้ผมเป็นการตัดรำคาญ
ผมเลยจิ้มๆ สั่งอาหารหนักๆ มากิน ก่อนจะเริ่มต้นกินไปบ่นไปตามประสาเพื่อน เพราะวันนี้เราจะมากันในธีมสายชิลด์ และเมื่ออาหารพร้อมผมจึงถือโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปอัพลงโซเชียลเพื่อเรียกกระแสตามสไตล์คนไม่มีอันจะกินเท่าไหร่นัก
แชะ!
“กล้องไม่ชัดเลย ใช้มะเขือเทศถ่ายเหรอ” นี่เป็นคำพูดจากปากหมาๆ ของไอ้ยุค และมันทำให้ผมโมโหจนอยากปามือถือใส่
มึงดูเงินในกระเป๋ากูก่อนไอ้ฟายยยยยยยยย
“ยุ่งน่า”
ผมทำท่าฮึดฮัด รีบสอดมือถือหน้าจอแตกยับของตัวเองใส่กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดังเดิม ก่อนไอ้ท็อปจะขึ้นประเด็นสัมภาษณ์ในเวลาต่อมา
“เดี๋ยวเชี่ยท็อป มึงไม่เอาสมุดมาจดด้วยหรือไง” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อัดเสียงพอ เดี๋ยวกูกลับไปแกะที่ห้องเอง” มันตอบหน้าตาย
“มึงนี่เป็นคอลัมนิสต์ที่ขยันมากเลยว่ะ”
“ขอบใจ”
“กูประชด”
“ไม่สนอ่ะ”
“ก่อนสัมภาษณ์กูต้องบอกชอบน้ำอัดลมยี่ห้อนี้มั้ย เผื่อเขาใจดีเป็นสปอนเซอร์ให้”
“หยุดเพ้อสักห้านาทีก่อนนะเพื่อน เราไม่มีสปอนเซอร์ ครั้งนี้เป็นสัมภาษณ์คู่ คำถามเดียวกันต่างคนต่างตอบตามมุมมองของตัวเอง เข้าใจตรงกันนะ” อดีตเพื่อนสมัยมัธยมฯ เลื่อนมือไปบนหน้าจอไอแพดซึ่งจดคำถามเอาไว้ยาวเหยียด ก่อนเอ่ยถามคำถามแรก
“แนะนำตัวก่อนเลย”
“ชื่อยุคเป็นนักเขียน” คนเคียงข้างเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมจึงตามน้ำไปติดๆ
“ส่วนผมชื่อชยิน”
“เป็นแฟนไอ้ยุค”
“ตบปาก!” ทายว่าไอ้ท็อปเนี่ยแหละที่ต้องตายก่อนศพแรก โทษฐานปากพล่อยเกินหน้าที่
“แค่ล้อเล่นนิดเดียวทำเป็นซีเรียส อ่ะคราวนี้กูจริงจังละ ชีวิตเป็นยังไงบ้างหลังกระแสคู่จิ้นมาแรง งานเยอะขึ้นหรือเปล่า”
จบคำถามนั้นผมกระทุ้งศอกใส่คนตัวสูง โดยให้มันเป็นฝ่ายตอบก่อน
“ไม่นะ งานไม่ได้เยอะขึ้น แต่มีนิยายให้อ่านเพิ่มขึ้น”
“แนวไหนที่ชอบอ่าน” ถามขยี้ใจกูไปอีกกกกกกกกก จนผมจะกระทุ้งศอกใส่ไอ้ยุคเป็นรอบที่สองให้มันตอบดีๆ
“แนว Mpreg มั้ย เขาเรียกแบบนั้นหรือเปล่า”
“ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อย”
“ก็ผู้ชายที่ท้องได้อ่ะ เคยอ่านเรื่องนึงชยินขี้อ่อยมาก เอะอะคือชวนขึ้นเตียง ผลิตลูกกันทั้งวัน”
“หยุดเลย หยุด!” ผมรีบยกมือปิดปากไอ้ยุคทันที แต่มันแม่งก็สะบัดหน้าออกเร็วมากก่อนจะจับข้อมือของผมเอาไว้
“ชื่อเรื่องว่ารักไม่ยุ่งมุ่งแต่เย ลองไปอ่านดู สนุกดี”
“ยุค! ผมโกรธคุณจริงๆ นะเว้ย”
“โอเค เขาอัพจบไปแล้ว ผมไม่อ่านแล้ว” พูดไปก็ยิ้มไปจนกูอยากจะเอามือไปจกตามึงให้แหก
เบื่อมากนิยายที่เขียนให้ผมท้องเนี่ย เรื่องไหนเรื่องไหนผมก็โดนกดหมด ทำไมไม่มีใครคิดว่าคนอย่างชยินจะกดคนอย่างไอ้ยุคได้วะ คนเดี๋ยวนี้มันตาไม่ถึงกันจริงๆ
“เลิกทำหน้างอได้แล้วน่า” ไม่พูดเปล่า ไอ้ศตวรรษก็ใช้ส้อมจิ้มมะเขือเทศมาไว้ในจานผม ซึ่งเผื่อมึงไม่รู้นะ กูไม่กินมะเขือเทศโว้ยยยยยยย
“เอาไปไกลๆ ผมไม่กิน” ว่าแล้วก็ใช้ส้อมจิ้มกลับไปใส่จานแม่งอีกรอบ
“พูดถึงนิยายเท่าที่ตามไปส่องๆ ดูมันก็เยอะอย่างที่ว่าจริงๆ นั่นแหละ ล่าสุดที่เผลอกดเข้าไปอ่าน เพิ่งเห็นว่ามึงเป็นกะหล่ำปลีด้วยว่ะชยิน” ไอ้ท็อปพูดหน้าตาย แต่คนฟังอย่างผมเนี่ยสิที่ตกใจจนแทบช็อก
“ฮะ?”
“มึงเกิดมาเป็นกะหล่ำปลีอ่ะ ไอ้ยุคเป็นคนสวน ฮ่าๆๆๆ”
“พูดให้กูเข้าใจอีกทีดิ”
“ตำนานรักกะหล่ำปลีไง นิยายสำหรับคู่จิ้น #YukYinCouple เอ้า! ไม่เคยอ่านเหรอ หวายยยยยยยไปอยู่ไหนมาเนี่ย”
เชี่ย! ใครมันกล้าเขียนเรื่องแบบนี้วะ ดูปลาบู่ทองเยอะเหรอ มีต้นมะเขือเป็นแรงบันดาลใจสินะ
โว้ยชีวิตกูนี่หนอ เป็นมันทุกอย่างทั้งคนท้อง ทาสเซ็กซ์ ล่าสุดกูเป็นกะหล่ำปลี ไอ้เหี้ย!
“มึงไม่ต้องเครียดหรอกชยิน คนอ่านไปแค่ล้านสองแสนเอง”
“ฮือออออ”
“ไม่ต้องร้อง ตอบคำถามกูก่อน มึงล่ะชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย” และคราวนี้ไอ้ท็อปก็พาเรากลับเข้ามาในโหมดเป็นการเป็นงานอีกรอบ
“เปลี่ยนสิ เปลี่ยนมากเลย ทั้งงานและกระแสในโลกโซเชียล” โดยไอ้ยุคเนี่ยแหละที่เป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตของผม แถมทำกูน้ำตาซึมในตอนนี้อีกต่างหาก
ทำใจไม่ได้อ่ะ ทำไมไม่มีนิยายที่ผมจะได้รับบทที่ดูดีและมีเสน่ห์บ้างวะ
“แล้วรู้สึกยังไงตอนที่มีคนเห็นหน้ามึงแล้วบอกว่าน่ารัก” ไอ้ท็อปถามต่อ
“มึงไปอ่านข้อความที่ไหนมาไม่ทราบ มีแต่คนชมกูว่าหน้าตาดี หน้าตาดีเว้ยไม่ใช่น่ารัก” ตอบไปก็จ้วงข้าวใส่ปากไป ขณะที่ไอ้ท็อปก็ยิงคำถามใส่ไม่หยุด
“โอเคเปลี่ยนเรื่อง ชอบประโยคไหนในเพลงที่ตัวเองแต่งมากที่สุด และทำไมถึงชอบ”
“คงเป็น...ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ธรรมดาขนาดนี้เลย นึกว่าจะมีประโยคคมๆ อะไรซะอีก”
“แม่งดีนะเว้ย ประโยคนี้มันเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้รู้จักใครสักคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ถึงแม้ว่าตอนสุดท้ายความสัมพันธ์ของเรากับคนๆ นั้นจะดีหรือแย่ก็ตาม”
“...”
“เพราะถ้าดีก็รักษาไว้ แย่ก็แค่จดจำและเรียนรู้เท่านั้นเอง”
“ไอยะ คมแล้วสัด” ไอ้ท็อปพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนเบนสายตาไปยังอีกคน “มึงอ่ะยุค ชอบประโยคไหนในหนังสือของตัวเอง”
“จงซื่อสัตย์กับความรู้สึก”
“จริงดิ” ผมแทรกขึ้น กะแซวเล่นขำๆ แต่กลับได้สายตาสงบนิ่งของเจ้าของคำตอบกลับมาซะอย่างนั้น
“แล้วคุณว่าจริงมั้ย”
“ไม่รู้ ผมไม่ใช่คุณ”
“คุณรู้ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าคุณไม่ได้คิดอะไรกับผม”
“ไม่ใช่นะ!” ฉิบหายละ หลุดปากพูด
“ต๋ายแล่ววววววว มึงไปเต๊าะกันไกลๆ เถอะ เหม็นความรัก”
“เชี่ยท็อปมึงอย่าเข้าใจผิด คุณก็ด้วย ที่พูดว่าไม่ใช่เพราะผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกของผมซะหน่อย”
“พูดอะไรยืดยาว ขี้เกียจฟัง” แล้วไอ้ยุคก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่สนใจความร้อนตัวของผมอีกเลย โฮร่ลลลลล
กูจะร้องไห้แล้วววววว
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนโดนรุมรังแกอยู่ฝ่ายเดียวเลยวะ
“เป็นอะไร เบะปากจนเบี้ยวไปหมด” ยังมีหน้าหันมาถามอีก
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“สรุปผมผิดเหรอเนี่ย”
“ก็คุณกวนตีนไง”
“ไม่ดีเหรอ อย่างน้อยชีวิตคุณจะได้มีสีสัน”
“สีสันกับผีน่ะสิ”
หลังซุ่มเถียงกันอยู่พักใหญ่ จากสัมภาษณ์คู่ดูเหมือนว่าตอนนี้ไอ้ยุคจะให้สิทธิ์ผมในการตอบคำถามก่อนทั้งหมด ซึ่งกูต้องเผชิญกับสายตาล้อเลียนของไอ้คอลัมนิสต์ตัวดีไปอีกหลายสิบนาที แถมยังกินเวลานานจนอาหารในจานพร่องเกือบหมด
ก่อนเพื่อนท็อปจะเบี่ยงประเด็นไปยังคนตัวสูงซึ่งนั่งจิบน้ำรออย่างนิ่งๆ และจู่โจมอีกฝ่ายด้วยคำถามเดียวกัน
“ได้ข่าวว่าผ่านพ้นวันเกิดมาแล้ว ปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ มั้ย”
“อาจจะพิเศษล่ะมั้ง ปกติในวันเกิดกูจะได้ของขวัญสวัสดิการนักเขียนจากสำนักพิมพ์ แต่ปีนี้ดีกว่านั้นหน่อยตรงที่ได้อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วย”
“ดีว่ะ คนๆ นั้นเป็นยังไง”
“เป็นคนที่ปฏิเสธกู แถมยังนั่งหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ไง”
เขร้!!
ทุกสายตาหันมามองผมเป็นจุดเดียว ด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยทำได้แค่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พยายามนึกย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา...
หรือจะเป็นที่ดาดฟ้าในคืนนั้น จำได้ว่าไอ้ยุคเคยบอกกับผมว่าเป็นวันเกิดของมัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่ออย่างจริงจัง มาวันนี้เพิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
“ฮะ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ย้อนหลังนะคุณ” ผมยิ้มแหยส่งไปให้
“ตลกเด็กน้อย ขอบคุณครับ”
“ถ้าคุณบอกผมก่อน ผมก็จะ...”
“จะอะไร”
“ซื้อของขวัญให้”
“มีเงินเหรอ”
“ไม่ได้อดอยากขนาดนั้นมั้ย”
“ผมได้รับของขวัญแล้ว”
“ตอนไหน”
“ได้อยู่กับคุณไง”
“แต่ผมไม่ได้รับรักคุณนะ”
“ไม่เป็นไร อีกหน่อยจะรัก” “ง่อววววววว กูขอตัวไปอ้วกก่อนนะเพื่อน ไม่ไหวละ ความรักกระแทกคอกูแรงไปหน่อย อ้วกกกกกกก” ไม่พูดเปล่า ไอ้ท็อปยังวิ่งปรี่ไปห้องน้ำอย่างที่ปากพูดจริงๆ
ทิ้งผมให้เผชิญหน้ากับไอ้นักฆ่าอยู่ตามลำพังในบรรยากาศที่ชวนวูบโหวงแปลกๆ
ดูเหมือนคนพูดมันจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรด้วยซ้ำ ตรงข้ามกับผมที่ได้แต่เกาท้ายทอยไปมา เพราะไม่รู้จะเอามือไปไว้ตรงไหนมากกว่า
มึงทำสำเร็จแล้วศตวรรษ สุดท้ายผมก็แพ้ให้กับความหน้าด้านของมันอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ขากลับผมไปส่งนะ” ต่างคนต่างเงียบอยู่นาน กระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นในโสตประสาท
“ไม่เป็นไร มาได้ก็ต้องกลับเองได้สิ”
“งั้นตามใจ”
ไม่นานไอ้ท็อปก็กลับมานั่งที่โต๊ะ เราพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยจนทุกอย่างเสร็จสิ้น และทุกคนพร้อมจะแยกย้ายกลับทางใครทางมัน ทว่าจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น
Rrrr..!
พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นชื่อของไอ้ริวปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมรู้ว่าริวเป็นแค่เพื่อน ถึงแม้ว่าเราจะคุยกันผ่าน MSN ด้วยความสนิทสนมแค่ไหนความสัมพันธ์ของเรามันก็เป็นได้แค่นั้น แต่ไอ้ยุคนี่ดิที่ไม่เข้าใจ ยิ่งเวลาต้องมารับโทรศัพท์แบบนี้ผมยิ่งเกรงใจมันแปลกๆ
แต่คิดแล้วก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็กดรับอยู่ดี
“ว่าไง”
[ชยินอยู่ไหน พรุ่งนี้ว่างมั้ย] อีกฝ่ายเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ผมถาม
“ทำไมเหรอ”
[กูอยากแฮงก์เอาท์กับเพื่อน เลยอยากชวนมึงมาด้วยกัน]
“แถวไหนล่ะ”
[ผับแถวคอนโดกู สรุปมาได้มั้ย]
“เอ่อ...ขอดูก่อนนะ ยังไงเดี๋ยวจะให้คำตอบอีกที”
[ได้ แต่อยากให้มานะ กูโทรหาไอ้เบิร์ดแล้วมันบอกจะมาเหมือนกัน]
“โอเค ถ้าจะไปยังไงเดี๋ยวโทรบอก”
หลังวางสาย ผมก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนข้างๆ ทันที ไอ้ยุคไม่ได้มีท่าทีจะถามหรือสนใจอะไรนอกจากหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดเล่นเงียบๆ
ความจริงเราจะแยกย้ายกันตอนนี้ก็ได้ แต่ในใจกูเนี่ยดิที่มันว้าวุ่นจนน่ารำคาญ
“เอ่อ...ริวโทรมาน่ะ” พูดลอยๆ นะเว้ย ไม่ได้อยากให้ใครได้ยินหรอก
ผมคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครถามอะไรกลับมา ไอ้ท็อปง่วนอยู่กับการเช็กเงินในกระเป๋าของตัวเอง ส่วนคุณนักฆ่าที่อยากให้มันพูดอะไรออกมาสักคำก็ยังคงนิ่งเงียบ
ทำไมต้องให้กูพูดซ้ำด้วยวะ!!
“ริวชวนผมไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนๆ คืนพรุ่งนี้ คุณจะไปด้วยกันมั้ย” รู้สึกได้เลยว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่วงท้ายอ่อนลงหลายเท่า
“มันไม่ได้ชวนผมสักหน่อย”
“ก็เดี๋ยวอาจจะชวน”
“คุณไปเถอะผมไม่อยากทำให้งานกร่อย”
“เพื่อนกันทั้งนั้น ไปดื่มเหล้า ผมก็..น่าจะเมานิดหน่อย”
“รู้ด้วยเหรอว่าตัวเองจะเมา”
“ผมเมาง่าย”
“ไอ้ริวดูแลคุณได้อยู่แล้วไม่ต้องห่วงหรอก”
“โอเค ยังไงมันก็ดูแลผมได้จริงๆ นั่นแหละ งั้นกลับก่อนนะ ไอ้ท็อปไว้เจอกันเว้ย” โบกมือให้สองสามทีก็รีบหมุนตัวเดินออกจากร้านโดยไม่คิดมองหน้าไอ้ศตวรรษแม้แต่เสี้ยว
ผมเกลียดความย้อนแย้งของตัวเอง อยากฟอร์มจัดแต่บางทีก็อดแคร์อีกฝ่ายไม่ได้ ผมไม่อยากให้ไอ้ยุครู้สึกไม่ดี ขณะเดียวกันผมก็ไม่อยากมานั่งอธิบายว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ในเมื่อความสัมพันธ์ของเราก็ยังเป็นแค่เพื่อน
เป็นความสัมพันธ์ที่ผมเป็นฝ่ายเลือกเอง...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ