ตอนที่ 6
YukYinCouple
แฟนบอยของผมโดนผู้จัดการปลอมๆ ไล่กลับโต๊ะด้วยสีหน้าจืดเจื่อน ดีที่ไม่เกิดเรื่องชกต่อยเพื่อสร้างบรรยากาศแทนวงดนตรีที่เล่นอยู่บนเวที ไม่งั้นมันส์พะยะค่ะ เราอาจได้เห็นไอ้ยุคคลานออกร้าน หรือไม่ก็ผมเนี่ยแหละที่ถูกขวดเหล้าปาหัวเพราะเป็นต้นเหตุให้คนเขม่นกัน
“ผมเช็กบิลแล้ว กลับกัน” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เป็นพ่อกูเหรอ ทำมาเป็นสั่ง
“ยังไงผมก็ต้องกลับอยู่แล้ว ไม่รอให้คุณมาบอกหรอก”
“ทำหน้าแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคุณ”
“ผมจะทำหน้ายังไงก็เรื่องของผมสิ”
“แล้วจะกลับได้หรือยังล่ะ”
“รอเบิร์ดไปเข้าห้องน้ำกลับมาก่อน ค่าเบียร์เท่าไหร่ ผมจะจ่ายให้เพื่อนผมทั้งสองคน” มือข้างหนึ่งเตรียมท่าล้วงกระเป๋ากะจ่ายให้จบๆ ไป
“สี่พันสามอ่ะ”
“ฮะ!” แบงค์พันบางๆ สั่นแรงมาก
“หารสี่ก็คนละหนึ่งพันเจ็ดสิบห้าบาท ถ้าจะจ่ายให้เพื่อนด้วยก็สามพันสองร้อยยี่สิบห้า” อย่าว่าแต่จ่ายให้เพื่อนเลย แม้แต่ของตัวเองยังไม่พอ
ใคร! ใครมันแดกขนาดนี้วะ
แต่เมื่อหันไปมองไอ้ท็อปที่เมาแอ๋นอนฟุบอยู่ตรงโต๊ะก็ได้คำตอบที่กระจ่างชัด แม่งเล่นซดโฮกแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายจนหยดสุดท้าย แถมเบียร์ธรรมดาดันกลืนกันไม่ลงด้วยไง ต้องเบียร์แพงๆ เท่านั้นถึงจะดีต่อกระเพาะ ถุย!
ยากจนเลยกู
“เอ่อ...จำได้ว่าลืมกดตังค์อีกแล้ว เอาไปพันนึงก่อนเดี๋ยวผมรีบคืนให้วันหลัง” ว่าแล้วก็รีบล้วงแบงค์พันสุดท้ายในชีวิตไปให้ เพื่อความอยู่รอดเราต้องเนียนเข้าไว้
“ไม่เป็นไรผมออกให้”
“ไม่ต้องมาทำตัวป๋าหรอก ยังไงผมก็ไม่ลืมว่าคุณทำอะไรกับแฟนเพลงผม”
“ที่ทำไปคือช่วยนะ อยากโดนจีบเหรอ”
“ใครจะมาจีบ เขาแค่ขอคอนแท็กไว้ติดต่องานต่างหาก”
“จนแล้วยังโง่อีก”
แม่~~~~~~~~
เจ็บจนไม่รู้จะอธิบายให้เข้าใจยังไง ไอ้ฟาย โดนกระทืบจากคนนับสิบยังไม่ได้ครึ่งกับประโยคก่อนหน้าของไอ้ยุคเลย แม่กูยังไม่เคยทำร้ายจิตใจลูกอย่างกูขนาดนี้เลยนะเว้ย
“โอ๋จะร้องไห้เหรอ อ่ะ! เอาไปสองพันแล้วหยุดร้องไห้ซะ” ธนบัตรสีเทาถูกวางลงกลางโต๊ะ ผมก้มมองเงินสลับกับใบหน้าของไอ้ยุคไปมาด้วยความไม่พอใจ
“คิดจะเอาเงินฟาดหัวเหรอ”
“ผมวางบนโต๊ะ ฟาดหัวตรงไหน”
โว้ยยยยยย ไม่เถียงแล้วแม่ง เถียงไปก็ไม่ชนะ
ผมนั่งหันหลังใส่ รอจนไอ้เบิร์ดเดินเป๋กลับมาโน่นแหละผมถึงจะหลุดออกจากวงโคจรของความอัปปรีย์นี้ไปได้ แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนรัก สุดท้ายก็จำต้องเดินไปตามหามันถึงส้วม แต่ข่าวร้ายที่ได้คือไอ้เบิร์ดไม่อยู่ที่นี่แล้ว
จากเมาๆ อยู่ถึงกับสร่างในทันที รีบก้าวเท้าไปยังลานจอดรถข้างนอก ซึ่งก็โป๊ะเชะ ไม่มีแม้แต่เงารถยนต์ที่ขับมา ไอ้เหี้ยเบิร์ดดดดด มึงลืมกู!
ผมพยายามต่อสายหามันนับครั้งไม่ถ้วนแต่กลับไม่มีใครรับ เลยโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตรงนั้นกระทั่งไอ้ศตวรรษหามไอ้ท็อปที่หมดสติไปแล้วตามออกมา
“เพื่อนคุณล่ะ” มันเอ่ยถาม ผมเลยกึ่งตอบกึ่งบ่นไปพลาง
“กลับไปแล้ว ลืมด้วยซ้ำว่าพาผมมาด้วย”
“งั้นกลับด้วยกันสิ นี่ผมก็จะพาไอ้ท็อปกลับเหมือนกัน”
“ผมขับรถไอ้ท็อปได้ เดี๋ยวพาไปส่งเอง คุณกลับเถอะ” บอกตามตรงว่าไม่อยากอยู่กับนักเขียนในคราบนักฆ่าอย่างมัน จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้น
“รู้จักห้องท็อปเหรอชยิน ผมเดาว่าคุณไม่รู้นะ”
“...” เออว่ะ ซวยไปอีกกู
สุดท้ายเราเลยต้องทิ้งรถของพ่อคอลัมนิสต์ขี้เมาเอาไว้ที่ร้าน แล้วโดยสารไปบนรถยนต์ของไอ้ยุคเพียงคันเดียว ซึ่งผมก็พอรู้แหละว่ามันสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดรู้ที่อยู่กันและกัน แต่หลังจากแบกไอ้ท็อปไปทิ้งไว้ที่ห้องเนี่ยสิ อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็บังเกิดอีกครั้ง เพราะผมต้องนั่งรถออกมากับไอ้ศตวรรษเพียงลำพัง
“ส่งหน้าคอนโดก็พอนะคุณ”
“อืม”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ปล่อยให้บรรยากาศมันเดดแอร์ไปอย่างนั้น ก่อนความเงียบจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลงคลอเบา และความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่เผลอปิดเปลือกตาและหลับไป...
กว่าจะรู้ตัวเสียงเครื่องยนต์ก็ดับแล้วเรียบร้อย ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้น ตั้งใจหันไปขอบคุณคนมาส่งและรีบลงจากรถ แต่ภาพที่อยู่หน้ากระจกกลับไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
“เฮ้ยคุณ ที่นี่ไม่ใช่คอนโดผม”
“อ้าว เมาจนลืมว่าต้องไปส่งคุณเลย” ดูคำตอบมัน
“ไม่ต้องมาเนียน เอาผมมาปล่อยที่ไหนวะเนี่ย” กูก็ยังคงโวยวายไม่หยุด
“คอนโดผมเอง”
“...!”
“โทษที พอดีแกล้งเมา”
ไอ้คนข้างๆ เปิดประตูรถแล้วเดินออกไป ทิ้งให้ผมนั่งเข่นเขี้ยวอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะโดนกดดันให้ตามออกไปอย่างเงียบๆ
“คืนนี้ดึกแล้ว นอนห้องผมก่อนเถอะ”
“ไม่เอา ผมจะไปเรียกแท็กซี่”
“มีเงินเหรอ หนึ่งพันที่ให้มาก็อยู่ที่ผมนะ” โหยหา...ความรักความเมตตา~
เกลียดตัวเองที่จนกรอบถึงขนาดไม่มีเงินขึ้นแท็กซี่ คนอะไรมันจะกากได้ขนาดนี้วะ ชื่อแปลว่าชนะแต่นี่กูกลับแพ้ทุกอย่างเลย
ถ้าไม่นับรวมรางวัลชนะเลิศการแข่งวิ่งเปี้ยวสมัยอยู่อนุบาล ชีวิตผมก็ไม่มีความภูมิใจอะไรเหลือเลย
“ง่วงหรือยัง” เจ้าตัวถาม โดยมีผมเดินตามหลังต้อยๆ
“ไม่อ่ะ”
“อืม” มันไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากเดินเข้าไปในลิฟต์ กดไปยังชั้น 32 ซึ่งน่าจะเป็นชั้นสูงสุดของคอนโดแล้ว แต่เท่าที่จำได้ ไอ้ยุคแม่งอยู่ชั้น 21 นี่หว่า นี่กะหลอกกูไปฆ่าหรือเปล่าเนี่ย
“เดี๋ยวนะคุณ ห้องคุณไม่ได้อยู่ชั้นสามสิบสองหนิ” ผมทักท้วงออกไป คนตัวสูงเลยหันมายิ้ม
“จำได้ด้วยเหรอ”
“ก็คุณเคยบอก อีกอย่างผมเป็นคนความจำดีมาก”
“รู้แล้วครับ” ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบอะไรเพิ่มเติม กระทั่งลิฟต์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นสูงสุดและประตูเปิดออก ไอ้ยุคก็เดินนำไปยังบันไดหนีไฟด้านขวาสุดทันที
“เราจะไปไหนเนี่ย เดินทางข้ามมิติไปกอนดอร์เหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก”
เราเดินขึ้นบันไดไปอีกหลายขั้นก่อนจะเจอประตูสีเทาเข้ม มือหนาจัดการดึงกลอนที่ลงเอาไว้แล้วผลักออกไปโดยแรง สิ่งแรกที่กระทบบนใบหน้าเลยก็คือความเย็นจากลมที่พัดโกรกเข้ามา ความสดชื่นของมันทำให้อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้ง
ที่แท้ก็เป็นดาดฟ้าคอนโดนี่เอง
“มาสิคุณ ที่นี่วิวสวยนะ”
“ทำเหมือนผมเป็นเด็กที่จะตื่นเต้นกับอะไรแบบนี้ไปได้” รอบข้างก็มีแต่ตึก ท้องฟ้าก็มืดสนิทไม่มีดาวสักดวง แต่แปลกเหมือนกันที่พอมายืนอยู่ตรงขอบกำแพงที่ก่อขึ้นมาถึงระดับเอวแล้ว บรรยากาศที่ได้รับมันกลับแตกต่างจากที่คิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง
ถนนนับสิบเส้นตัดกันไปมา ยานพาหนะยังคงสัญจรอยู่แต่บางเบากว่าช่วงกลางวันมาก แสงไฟจากตึกสูงส่องสว่างแข่งกันเป็นภาพที่ดูเพลินตาไปอีกแบบ ปกติผมไม่ค่อยขึ้นไปบนดาดฟ้าเพราะคิดว่ามองจากระเบียงห้องก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ความคิดนี้ก็ถูกตีแตกกระจายไปในที่สุด
“มันโอเคมั้ย” คนตัวสูงถาม
“ก็ดีอ่ะ”
“ความจริงพื้นที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาหรอก หลังๆ มันเลยกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของผมไปเลย”
“เจ้าของเขาไม่ว่าเหรอ”
“นี่ก็เป็นหนึ่งในเจ้าของ จ่ายเงินซื้อคอนโดแล้วก็ต้องมีสิทธิ์ใช้”
“เก๋ามาจากไหน”
“ไม่รู้อ่ะไม่ได้เป็นญาติกับเก๋า”
ถ้าไม่กวนตีนกูสักวินาทีมันจะชักตายสินะ
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกพักใหญ่ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านร่างกาย มันช่วยให้ผ่อนคลายและสร่างเมาค่อนข้างมาก มีบางครั้งที่จะหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ ซึ่งเจ้าตัวก็เหมือนจับสังเกตได้หันมามองอย่างสงสัยอยู่บ่อยครั้ง
เอาจริง ความค้างคาใจบางอย่างมันยังติดอยู่ในหัว เพียงแต่ผมไม่มีความกล้าพอจะพูดออกไป นอกจากพาออกทะเลอยู่เรื่อย
“ที่ร้านเหล้าจำได้ว่ามีคนมาขอเบอร์คุณ ได้มากี่เบอร์กันล่ะ”
ไอ้ยุคหันมามอง พลางเอ่ยตอบราวกับไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก
“ไม่ได้”
“ได้ไงอ่ะ”
“เพราะผมไม่อยากได้ไง”
“หล่อเหลือเกิ๊น” ถึงกับต้องพูดแดกดัน
“ก็เรื่องจริง คุณไม่หล่ออย่างผมคงไม่เข้าใจ” โอ้โหหหห โคตรดูถูกหนังหน้าหลีดคณะสมัยเรียนมหา’ลัยเลย แม้ใครบางคนจะเคยบอกว่าหน้าผมเหมือนปลาดุกอะไรก็ช่าง แต่ผมมั่นใจว่าความลิมิเตดนี้ก็ยังคงดูดีอยู่บ้าง
“ผมจะบอกอะไรให้นะ ตอนสมัยเรียนผมมีแต่คนตามกรี๊ด เอาขนมเอาดอกไม้มาให้แทบไม่ขาดสาย เท่จนสาวทั้งคณะต้องถวายตัวให้อ่ะคิดดู”
“แล้วตอนนี้หายไปไหนหมดล่ะ”
“อย่ากวนตีนได้ป่ะ ผมชอบสันโดษมากกว่าไง”
ความจริงน่ะเหรอ กูแทบจะซื้อกิน ถ้าเกิดมารวยตอนนี้คงเทคโอเวอร์อาบอบนวดเป็นของตัวเองแล้ว ไม่มาหวังลุ้นจะเจอรักแท้ห่าเหวอะไรเหมือนทุกวันนี้หรอก
“โอเค สันโดษมากจริงๆ” ดูมันพยักหน้าตอแหลใส่ ผมจึงต้องพูดเกทับไปอีกนิดหน่อย
“ไม่เชื่อเหรอ อย่างห้างนี่ผมไม่เดินเลยนะ กลัวแมวมองมาเจอเลยอยู่แต่ในห้อง”
“ไม่ใช่คุณไม่มีเงินออกไปข้างนอกเหรอ”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว” ไขความกระจ่างเสร็จ ผมรีบยกมือขึ้นมาเสยผมเปิดหน้าผากไอ้อีกฝ่ายดู “นี่เห็นมั้ยสิวที่ขึ้นหน้าผากเม็ดนึงนี่ตั้งใจนะ”
“ยังไง”
“ผมตั้งใจไม่ล้างหน้าเพื่อจะได้ขี้เหร่บ้าง เบื่อความหล่อของตัวเองแล้วเอาจริง”
“ยอมรับแล้วก็ได้ว่าคุณหน้าตาดี”
“ใช่มั้ย” ผมยิ้มอย่างผู้ชนะ เป็นครั้งแรกที่เหมือนกรรมการจะเอนเอียงมาฝั่งผม เป็นความภูมิใจลึกๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนตั้งแต่อนุบาล
“เหมือนเด็กจังเลย” ไอ้ยุคมองหน้าผมนิ่ง บรรยากาศเริ่มแปลกแปร่งอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว “คุณเชื่อมั้ยว่าวันนี้วันเกิดผม”
ไม่รู้ว่าตาของผมเบิกกว้างมากแค่ไหน แต่ยอมรับว่าค่อนข้างตกใจมาก
“เฮ้ยจริงดิ”
“พรุ่งนี้ก็ใช่ มะรืนก็ใช่”
“คนบ้าอะไรเกิดทุกวันวะ”
“วันไหนก็เป็นวันเกิดผมได้ทั้งนั้นแหละถ้าผมอยากจะเกิด”
วันตายมึงก็เหมือนกันสินะ กวนตีนทั้งขึ้นทั้งล่อง
“วันเกิดก็เหมือนวันธรรมดา วันสำคัญอะไรสำหรับผมมันธรรมดาทั้งนั้น จริงๆ วันนี้ก็คือวันธรรมดาอีกหนึ่งวัน แต่ผมก็อยากบอกความรู้สึกบางอย่างกับคุณ”
ตอนกูเมาเบียร์เนี่ยนะ
ความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกว่าการกระทำของคนตรงหน้าเริ่มไม่ปกติ เรายืนอยู่ข้างกันตรงระเบียงดาดฟ้า คนตัวสูงกว่าหันมามองผม สายตาดูจริงจังจนสัมผัสได้ และเพราะสายตาแบบนี้เลยทำให้ใจของผมกวัดแกว่งขึ้นมาดื้อๆ
กลัวอะไรก็ไม่รู้ที่ยังมาไม่ถึง ขณะเดียวกันก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่คิด
“ผมชอบคุณ”
“นั่นไงว่าแล้ว ฮะ!!” ถึงกับตกใจแทบผงะ แต่ข้อมือกลับถูกตรึงไว้ไม่ให้ผมขยับถอยไปด้านหลัง หรือล้มตึงไปซะก่อน
ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเองนัก อยากถามกลับไปแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง หน้าตอนนี้คงถอดสีไปมาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำยังไง
กว่าจะรวบรวมสติได้ก็ใช้เวลาอยู่นานเลย แถมคนตรงข้ามก็ไม่ยอมพูดอะไรเพิ่มเติมอีก
“คุณ ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่มีเวลามาเล่นเป็นเด็กๆ” เอ่ยบอกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่นิสัยคุณแม่งโคตรเด็กเลย”
“คุณนั่นแหละที่เด็ก พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า เมาใช่มั้ย หรือหยอกเล่น ผมบอกตรงๆ ว่าไม่ตลกเลย” ผมพูดทุกประโยคด้วยความอัดอั้น และยังมีอีกมากมายที่อยากพูดออกไป
“ผมพูดจริง อืม...ก็ชอบแหละตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักเลย”
เสียงทุ้มนั้นบางเบามาก เบาจนคล้ายกับมันได้เจือจางไปกับสายลมจนหมด
คนกวนตีนแบบนี้ หน้ามึนขนาดนี้ แถมยังดูแปลกประหลาดไปซะทุกอย่างทำไมถึงได้มาชอบผม ทำไมถึงได้พูดอะไรตรงเผงจนน่าตกใจ
“แต่ผมไม่ได้ชอบคุณแบบนั้น”
“เข้าใจไม่ชอบก็ไม่ชอบสิ ผมก็แค่อยากบอก”
จนตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่านี่จริงจังหรือล้อเล่น ความจริงหรือความฝัน เมาหรือปกติดี ทุกอย่างดูปนเปไปหมดคล้ายกับถูกค้อนหนักๆ ทุบหัวซ้ำๆ แต่ก็ยังรู้สึก
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด เลือกบิดข้อมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนจะบอกความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
“ผมไม่ได้รักใครมานานแล้วอ่ะคุณ”
“...”
“ที่รู้สึกเหงา ที่เคยต้องการใครสักคนมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่พอถึงเวลามันไม่ง่ายหรอกที่จะเริ่มต้น” ยิ่งกับใครสักคนที่ตรงข้ามกับความชอบน่ะ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
“ชยิน” มือหนาเอื้อมมาจับหน้าของผมให้หันไปสบตาตรงๆ “ความรู้สึกของผมคือชอบ”
“...”
“ถึงแม้ไม่ได้เป็นอย่างใจคิด อย่างน้อยผมก็หวังว่าจะมีคุณอยู่ในชีวิต ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม”
พระรองในละครสัดๆ แล้วกูก็กลายเป็นนางเอกละครน้ำเน่าไปเลย ไม่ได้โรแมนติกเลยนะเว้ยเอาจริง
“แต่ผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง”
“แล้วไง”
“คุณเป็นนักเขียน มีชื่อเสียง หลายคนรู้จัก คุณไม่กลัวเขาจะมองคุณไม่ดีเหรอ”
“อะไรคือไม่ดี”
“การที่คุณชอบผู้ชาย”
“ผมไม่แคร์อ่ะ ผมแคร์คนที่อยู่กับผม แนะนำผมให้ดีขึ้น ไม่ใช่มาด่าแล้วก็ไป มันตลก”
“เอาความจริงนะ ตอนนี้ผมยังมึนๆ อยู่เลย” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชื่อศตวรรษ เป็นนักเขียนแนวสืบสวนที่บังเอิญมารู้จักกันตอนไปสัมภาษณ์นิตยสารเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน แต่ตอนนี้กลับมายืนสารภาพรักผมทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
ความชอบของคนคนนี้คืออะไร ผมไม่เข้าใจ
“ยุค”
“ว่า...”
“คุณชอบผมเพราะอะไร จะบอกว่าผมหล่อก็คงไม่ใช่มั้ง เงินก็ไม่มีด้วย แถมคอนโดยังผ่อนอยู่เลย ผมไม่เคยทำดีเพื่อคุณสักอย่างแต่ทำไมคุณถึงชอบผม”
เป็นครั้งแรกที่จริงจังกับการพูดอะไรสักอย่างขนาดนี้ ขนาดขอแฟนคนแรกเป็นแฟนยังไม่เคยเรียบเรียงประโยคให้วุ่นวายเลย
“เพราะคุณทำให้ผมเติบโต และเพราะคุณอีกเหมือนกันที่ทำให้ผมกลายเป็นเด็ก” เสียงนั้นดูเพราะกว่าทุกครั้งที่เปล่งออกมา...
“ผมเกลียดการเป็นผู้ใหญ่เพราะต้องแบกรับหน้าที่อะไรหลายๆ อย่าง ผมอยากเป็นเด็กที่ไม่ต้องคิดอะไรนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ แต่กาลเวลาเอาความเป็นเด็กกลับมาไม่ได้”
“...”
“ตอนที่ผมได้เจอคุณครั้งแรก มันทำให้ผมคิดว่าผมอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากดูแลคุณ อยากแบกรับภาระทุกอย่างที่มีคุณอยู่ ขณะเดียวกันความสดใสของคุณ ความคิดเด็กๆ ของคุณมันทำให้ผมได้รับช่วงเวลาวัยเด็กกลับมาพร้อมๆ กัน”
“...”
“คุณเป็นมันทุกอย่าง”
ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไง รู้แค่ว่าอยากร้องไห้ ฮือ...
มึงเหยียบตีนกู สัดยุค!
ผมต้องกลั้นใจดึงตีนตัวเองออกมา ก่อนจะก้มมองรอยเปื้อนบนรองเท้าผ้าใบที่สวมอยู่
“เดี๋ยวซักให้” และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้รีบแก้ต่างทันที อะไรที่พูดมาก่อนหน้าแทบลืมไปหมด กว่าจะวกกลับเข้าเรื่องได้เวลาก็ปาไปเกือบตีสาม
“เรื่องรองเท้าช่างมันเถอะน่า ไหนๆ คุณก็ตรงไปตรงมากับผมแล้ว ผมก็อยากจะพูดตรงๆ กับคุณเหมือนกัน” เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองฮอตมาก เวลาต้องปฏิเสธใครสักคน “ผมไม่ได้ชอบคุณแบบนั้น แต่ถ้าเป็นเพื่อน...ก็อาจจะดีกว่า”
“อืม” ตอบมาสั้นๆ แค่นี้เหรอ นี่ผมคาดหวังอะไรอยู่วะเนี่ย
“ไม่ตื๊อเหรอ”
“ไม่ใช่วิถีผมอ่ะ”
“ตัดใจง่ายว่ะ”
“ได้บอกเหรอว่าตัดใจ แค่เข้าใจ”
“แล้วเคยมีแฟนที่เป็นผู้ชายมาก่อนมั้ย”
“ไม่อ่ะ คุณคนแรก”
“ผมยังไม่ใช่แฟนคุณไง”
“เออ ก็เข้าใจอีกนั่นแหละ”
ทำไมเข้าใจอะไรง่ายจังวะ คงมีผมคนเดียวสินะที่อึ้งอยู่ วันดีคืนดีมีคนมาบอกชอบ แต่พอปฏิเสธคนคนนั้นก็บอกว่าเข้าใจ โอ้โห! อะไรมันจะอินดี้ปานนั้น
“ชยิน”
“หืม”
“จากวันแรกที่เจอคุณจนวันนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่...”
“...”
“ผมชอบคุณมากขึ้นทุกวันเลยว่ะ” ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ต่างฝ่ายต่างพิงตัวไปกับระเบียง สายตาเพิ่งมองไปยังแสงไฟจากตึกนับร้อยที่อยู่รายรอบ คืนนี้ไม่มีดาว ไม่มีพระจันทร์ ท้องฟ้าก็มืดสนิทเหมือนทุกครั้งที่เป็นอยู่ แต่แปลกดีเหมือนกันที่ความรู้สึกของผมกลับไม่เหมือนเดิม
ยี่สิบห้า ปีชง ผมไม่มั่นใจนักว่าชีวิตที่ผ่านมาจะมีแต่เรื่องแย่ๆ ซะทีเดียว
อืม...อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่มีใครสักคนชอบที่เราเป็นเรา
อ่านต่อด้านล่างค่ะ