ตอนที่ 7
จีบไม่กลัว กลัวแพ้
ไอ้ยุคขับรถมาส่งผมถึงหน้าคอนโด ระหว่างทางเราก็คุยเรื่อยเปื่อยกันไปตลอดทาง ซึ่งมันควรเป็นเรื่องปกติของคนเป็นเพื่อนแถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่สำหรับผมมันไม่ปกติเอาซะเลย ขากลับมานอกจากจะนั่งใจสั่นเป็นกลองชุดแล้ว แต่ละประโยคที่เปล่งออกมาก็ยังติดสั่นไปด้วย
ผมไม่อยากบอกว่าตัวเองกำลังหวั่นไหวกับคนที่มาบอกรัก เพราะสมัยเรียนมหา’ลัยผมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับทุกคนที่มาบอกชอบ หรือเพราะตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความเหงาอยู่กันแน่ ถึงทำให้ความรู้สึกตอนอยู่กับไอ้ยุคเปลี่ยนไป
ด้วยมั่นใจว่ารสนิยมของตัวเองไม่เคยเปลี่ยน หลังจากแยกกับอีกฝ่ายผมก็รีบวิ่งขึ้นห้อง รื้อค้นเอาปฏิทินปลุกใจเสือป่าและแม็กกาซีนรวมภาพวาบหวิวออกมาเพื่อกระตุ้นตัวเอง
ผู้หญิงพวกนี้สิที่เป็นไทป์ของผม เธอดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นหน้าอกหน้าใจหรือตูดงอนๆ ให้ตายเถอะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ ที่รู้สึกแปลกคงเป็นเพราะบรรยากาศพาไปเองมากกว่า
คิดได้เท่านั้นก็จัดการเก็บภาพเสียวตรงหน้าเข้ากรุดังเดิม แล้วเดินผิวปากไปยังห้องนอน
“ฮู้วฮูวววววววว” มีความสุขละ
เริ่มต้นทำงานได้อย่างมีสมาธิซะที ก่อนอื่นเลยตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่ไม่กี่บาท มาม่าก็ใกล้จะหมด ถ้าขืนขี้เกียจอีกก็ไม่แน่ว่าจะอดตายในเร็ววัน ถ้าให้บากหน้าไปขอที่บ้านก็กลัวจะเสียศักดิ์ศรีเพราะบอกไว้แต่แรกแล้วว่าอาชีพนี้ยังไงก็อยู่ได้ สักวันผมจะยิ่งใหญ่
เป็นไงล่ะกู...จนใหญ่เลย
ผมเป็นลูกคนกลางจากบรรดาพี่น้องสามคน และก็นับว่าเป็นคนเดียวที่นอกคอกและแปลกแยกไปจากคนอื่น พ่อผมเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน แม่เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พี่สาวจบมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ส่วนน้องชายตอนนี้เรียนครูอยู่ปีสาม
คิดดู แล้วไอ้เหี้ยนักแต่งเพลงนี่ใคร ลูกคนข้างบ้านเหรอ
ที่บ้านอยากให้ผมเป็นข้าราชการ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อยากให้เรียนในคณะที่จบมามีงานทำมั่นคง ซึ่งบอกเลยว่าผมไม่เข้าใจ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ
สุดท้ายผมตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตัวเองรักและเริ่มเดินทางตามความฝัน เมื่อมาไกลขนาดนี้แล้วก็ยากเกินกว่าจะบากหน้าไปขอเงินที่บ้านอีก ศักดิ์ศรีมันค้ำคอเกินไป
วิธีเดียวที่ประทังชีวิตตัวเองให้อยู่รอดได้และไม่ลำบากคนอื่นคือขุดงานเก่าๆ ที่เคยทำออกมา ปรับเมโลดี้และแก้เนื้อเพลงใหม่ทั้งหมดเพื่อลองเอาไปเสนอทางค่ายดู ผลงานพวกนี้ผมเริ่มทำตั้งแต่สมัยเรียนเลยไม่เคยเอาไปเสนอให้ใครเพราะคิดว่ามันไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร แต่ตอนนี้กูไม่สนคุณภาพละ ปากท้องกูต้องมาก่อนเสมอ
ผมใช้เวลาทั้งคืนในการคิดเนื้อร้องใหม่ ไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่พาตัวเองไปนั่งใกล้เตียงเพราะกลัวจะเผลอหลับซะก่อน สุดท้ายเพลงที่ทำการเผามาตลอดทั้งคืนก็เสร็จตอนเที่ยงของอีกวันพอดี
ผมรวบรวมไฟล์ที่ทำการอัดเสียงแบบง่อยๆ พร้อมเนื้อเพลงไปให้กับโปรดิวเซอร์ที่รู้จักผ่านทางอีเมล จากนั้นก็ได้เวลานอนสักที
“เห้ออออออออ~”
ก๊อกๆๆ
ว็อท เดอะ ฟัคคคคคคคคคค
ล้มตัวลงไม่ถึงสิบวิเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผมดึงทึ้งหัวตัวเองอยู่บนเตียงด้วยความโมโหก่อนจะกระทืบเท้ามาเปิดประตูด้วยความไม่พอใจ พอเปิดมาเจอไอ้ยุคที่ถือของพะรุงพะรังตรงหน้ากูก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก
“มาทำไมตอนนี้ ผมง่วง อยากนอนนนนนน” ผมพูดเสียงยานคางเป็นการเริ่มต้นบทสนทนา
คนตรงหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอดหมวกแก๊ปออกจากหัวแล้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ใส่ชุดเดิมเลย ไม่ได้อาบน้ำเหรอคุณ”
“อือ ไม่ได้นอนด้วย มีอะไรรีบๆ พูดมา ง่วงจนหนังตากระพือแล้วเนี่ยเห็นมั้ย” มันหัวเราะเบาๆ ก่อนแทรกตัวเข้ามาภายในห้องอย่างถือวิสาสะ มือหนาดึงลูกบิดล็อกประตูเช่นเดิมแล้วสาวเท้าไปยังห้องครัว
“กินข้าวยัง” เจ้าตัวถาม ซึ่งผมก็เลือกส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ผมซื้อข้าวกล่องมาให้ กินก่อนแล้วค่อยนอนสิ”
“ไม่เอาจะนอน”
“ชยิน”
“ง่วง ตอนนี้ง่วงกว่าหิวอีก”
“ชยินอย่างอแง”
กูนี่อยากลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อเห็นสายตาเอาจริงเลยจำต้องทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ แล้วเท้าคางลงกับโต๊ะ สายตาจ้องมองการกระทำของคนตัวสูงที่กำลังหยิบกล่องข้าวออกมาจากถุงแล้วยื่นให้ตรงหน้า
“อะไรอ่ะ”
“ข้าวผัดกุ้ง”
“บอกแล้วว่าขี้เกียจแกะ ถึงจะเหลือแค่หางก็ไม่อยากแกะ” ผมพูดเสียงขุ่น
“สั่งให้เขาเอาออกให้หมดแล้ว แค่ตักกินน่ะคุณ รีบกินรีบนอน”
“แล้ววันนี้ว่างเหรอถึงมาหาผมได้” ปากถามแต่มือก็จับช้อนจ้วงข้าวใส่ปากอย่างเชื่องช้า เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะกินหรือจะนอนดี
“ผมว่างทุกวันแหละ วันนี้ออกไปซื้อของข้างนอกเลยแวะมาหา นั่งตัวตรงๆ นอนกินเป็นงูเลย”
“สั่งๆๆ”
เป็นแค่เพื่อนทำมาเป็นวางอำนาจ ถึงจะมาบอกชอบแต่ก็อย่าหวังจะได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นนะเว้ย ในหัวคิดแบบนั้นแต่การกระทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง กูลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทำไมวะเนี่ยยยยยยยย
“น้ำมั้ย”
“เอาน้ำเย็นๆ มาแก้วนึง”
อีกฝ่ายพยักหน้า เดินตรงไปยังตู้เย็นพร้อมกับหยิบขวดน้ำเปล่าออกมา สรุปนี่ห้องกูหรือห้องมันวะเนี่ย รู้ดีอย่างกับเป็นเจ้าของ
“แล้วทำไมถึงนอนดึก” น้ำที่ถูกรินใส่แก้วถูกวางไว้ด้านขวามือ ผมเงยหน้ามองคนตัวสูงพลางตอบเสียงเรียบ
“หาเงิน”
“หมดตัวอ่ะดิ มีอะไรก็บอกผม เดี๋ยวให้ยืมเงินใช้ก่อน”
“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากรบกวนคนอื่น” ท้ายประโยคผมเน้นเสียงหนัก เพื่อให้ไอ้ยุคมันเข้าใจว่าสำหรับผมแล้วมันก็ยังไม่ใช่เพื่อนสนิทของผมอยู่ดี ทิ้งระยะห่างแบบนี้อ่ะดีแล้ว
“แต่งเพลงออกแล้วเหรอ”
“เอาเพลงเก่าที่เคยแต่งแล้วมาปรับใหม่ ช่วงนี้ต้องหาเงิน มีอะไรก็ทำๆ ไปก่อน นี่ก็เพิ่งส่งงานไป” พูดไปก็ตักข้าวใส่ปากไปด้วย เออ เจ้านี้อร่อยว่ะ แถมไม่เสียเวลาแกะกุ้งให้มือเปื้อนด้วย
“เร่งทำขนาดนี้ไม่ดีหรอก คุณไม่ได้ทำมันด้วยแพชชั่น”
“แพชชั่นอ่ะเคยมี ตอนนี้ไม่อยู่แล้วเพราะกินไม่ได้”
“อ้าวงี้ถ้าคุณชอบใครสักคนก็ชอบที่เขาทำให้คุณมีกินมากกว่าตัวของเขาอ่ะดิ”
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น...”
เปรียบเทียบซะกูดูเลวเลย
“บางอย่างถ้ารู้ว่าเถียงไม่ชนะก็อย่าทำ” มันยิ้มอย่างเป็นต่อ ผมเลยส่งนิ้วกลางไปให้เป็นคำตอบ คราวนี้แม่งฉีกปากยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกสัด
“ชนะไม่ได้ตลอดหรอกคุณ”
“เด็กน้อย”
“เลิกเรียกแบบนี้ซะทีน่า ปีนี้ยี่สิบห้าแล้ว”
“ก็เด็กจริงอ่ะ”
ผมจิ๊ปากเสียงดัง แล้วหันมาก้มหน้าก้มตากินข้าวเพื่อจะได้ขอตัวไปนอนอย่างเต็มที่ และเหมือนไอ้ศตวรรษมันจะรู้เลยพูดดักทางไว้ก่อน
“ค่อยๆ กินก็ได้ ถ้าข้าวติดคอผมไม่พาคุณไปโรง’บาลนะ”
“หมดแล้ว ไม่ติดคอด้วย” ผมยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมากระดกจนหมด ก่อนจะเอ่ยปากไล่อย่างไม่รักษาน้ำใจ “คุณกลับไปเลย ผมจะนอน”
“งั้นผมไม่รบกวนแล้ว คุณเองก็อย่าลืมแปรงฟันก่อนนอน”
“รู้แล้วน่า” สั่งเป็นพ่อเลย
เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตรงดิ่งไปหน้าประตูเพื่อสวมรองเท้าและตั้งท่าหมุนลูกบิดออกไป แต่ผมไวกว่านั้นรีบเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ทัน
“คุณ! ลืมของอ่ะ” ไม่พูดเปล่า ยังชี้ไปที่ถุงซูปเปอร์มาเก็ตสองสามถุงที่วางอยู่บนโต๊ะด้วย
“อันนั้นของคุณ ผมซื้อมาให้”
“ได้ไง”
“ซื้อมาแล้วขี้เกียจถือกลับ คุณเก็บไว้เถอะ”
“เดี๋ยว!” ใบหน้าหล่อเหลาหันขวับ ผมจึงเรียบเรียงคำพูดในหัวอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปดีมั้ย แต่ตามธรรมเนียมแล้วมันก็ควรบอก...
“มีอะไร”
“ขอบคุณนะ ที่ซื้อข้าวมาให้” สุดท้ายก็พูดออกไป คนตรงหน้าคลี่ยิ้ม หยิบหมวกขึ้นมาสวม เอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบเหมือนทุกที
“ก็บอกแล้วไงว่าผ่านมาเฉยๆ ไปนอนได้แล้วเด็กน้อย”
“ไม่เด็กโว้ย”
“เด็กน้อย”
“โว้ยยยยยยยยยย”
ผมกระทืบเท้าด้วยความโมโห ก่อนอีกฝ่ายจะปิดประตูหนี ทิ้งให้ผมหงุดหงิดอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อสงบสติอารมณ์ได้สักพักก็รีบเดินมาแหวกถุงบนโต๊ะดู แล้วก็พบว่าในนี้เต็มไปด้วยของกินที่ดีต่อกระเพาะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล่องเวฟที่ง่ายต่อการกิน ขนมปัง นม น้ำผลไม้ ช็อกโกแลต เยลลี่กับมาร์ชเมลโล่มันก็ซื้อมา
ง่ายๆ เลยมึงยกซูปเปอร์ฯ มาไว้ที่ห้องกูเลยดีกว่า
แล้วนี่กูเป็นอะไรเนี่ย จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนหน้าขึ้นมา มึงดีใจเหรอชยิน ใครก็ไม่รู้ซื้อของกินให้เนี่ย เอาของกินมาล่อเหมือนเด็กเนี่ย ผมถามตัวเองในใจก่อนจะตอบตัวเองเบาๆ
อือ...ดีใจ อย่างน้อยก็ได้กินฟรี
ผมนอนไม่หลับ จากที่ง่วงมากๆ ตอนนี้ตาสว่างเฉยเลย
ได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่เกือบชั่วโมง จนต้องยกธงขาวยอมแพ้ จิตใจมันกำลังว้าวุ่นเพราะใครบางคน
จะบอกว่าไอ้ยุคเป็นผู้ชายคนแรกที่เข้ามาสารภาพรักผมมั้ย ตอบเลยว่าไม่ ตอนอยู่มหา’ลัยนอกจากสาวๆ แล้วก็ดันมีผู้ชายหน้ามืดบางคนเข้ามาหาผมเหมือนกัน ไม่รู้แม่งใช้อะไรมอง แต่ทุกครั้งที่ปัดปฏิเสธผมไม่เคยรู้สึกตกค้างหรือรู้สึกผิดอยู่ในใจเลย แล้วทำไมตอนนี้มันดันตรงกันข้ามไปซะหมด
ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย มั่นใจว่าอย่างนั้น
ความคลางแคลงใจส่งผลให้ข่มตาหลับไม่ได้ ดังนั้นผมจึงทำใจกล้าอีกครั้ง เพื่อจะได้นอนหลับสบายสักที
คิดแล้วก็พุ่งลงไปรื้อค้นกรุเก็บของสะสม จัดมาให้หมดครับทั้งหนัง AV ที่เคยซื้อ การ์ตูนปลุกใจชายโฉด 20+ แล้วหอบทั้งหมดขึ้นเตียงพร้อมกับแมคบุ๊กลูกรัก
เอาวะ! ในเมื่อนอนไม่หลับก็ต้องทำกิจกรรมสโตรกกันยาวๆ แม่งเลย
เมื่อวานดูภาพพวกนี้ก็ยังรู้สึกเร้าอารมณ์อยู่ วันนี้หวังว่ามันคงจะได้ผลเหมือนทุกครั้ง ผมหยิบแผ่นหนังใส่เข้าไปในเครื่อง ตั้งหน้าตั้งตาดูอย่างจดจ่อ
หน้าอกหน้าใจเธอนั้นหนอ...
ตูดที่ดูอวบอิ่มชวนน้ำลายสอนั้นหนอ...
ไม่ช่วยอะไรเลย
เหมือนตอนนี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อย่างว่าเลยว่ะ ดูหนังจนหมดแผ่น เปิดการ์ตูนปลุกเร้าอีกเป็นชั่วโมงก็ไม่ช่วยอะไร สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปเพราะเหนื่อยกับความพยายามที่มากเกินไปจนได้
“ชยิน...”
“อือ อย่ายุ่ง ง่วง”
“ชยินตื่นได้แล้ว”
เสียงของใครบางคนลอยวนอยู่ใกล้หู ด้วยความรำคาญเลยดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดเพื่อหลีกหนีเสียงนั้น ซึ่งก็ไม่เคยได้ผลเมื่ออีกฝ่ายดึงมันออกแล้วตรึงไหล่ของผมไว้กับเตียงจนไม่สามารถขยับตัวได้
“ปล่อยเลย ใครเนี่ย”
ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้น รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกรบกวน แต่เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้แล้วร่างกายก็กระตุกด้วยความตกใจ เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไอ้ยุค
“คะ...คุณเข้ามาในห้องผมได้ยังไง เป็นโจรเหรอ”
“เข้ามาปลุกคุณไง”
“ปลุกแล้วก็ปล่อยสิ”
ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุเพราะนอกจากมันจะไม่ปล่อยแล้วยังมีหน้ามาปั้นยิ้มกวนตีนใส่อีก เชี่ยแล้วชยิน ได้แต่ดิ้นขลุกขลักในการควบคุมของร่างหนาเท่านั้น
“เด็กน้อย”
“เลิกเรียกเด็กน้อยสักที ลุกออกไปจากเตียงผมเลย”
“เด็กน้อยชอบเอาแต่ใจ”
จมูกสันโด่งโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเรื่อยๆ จนต้องเผลอกลั้นหายใจ แต่แทนที่จะหยุดเพียงเท่านั้นอีกฝ่ายกลับเคลื่อนลงมาจนปลายจมูกสัมผัสกัน เขาเอียงหน้า ใช้ริมฝีปากแตะประกบกับริมฝีปากของผมจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้
รู้แค่ว่าการกระทำอุกอาจทำให้ผมตั้งตัวไม่ทัน ร่างกายไม่แม้แต่จะดิ้นเพื่อขัดขืน รับรู้เพียงความนุ่มจากริมฝีปากที่สัมผัสลงมาเริ่มอ่อนโยน ละมุนละม่อม ปลายลิ้นร้อนค่อยๆ แทรกเข้ามาในโพรงปากของผม เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อจนขนลุกซู่
มือหนาที่กดอยู่บนไหล่เริ่มเคลื่อนต่ำลง ปัดป่ายไปตามร่างกายจนถึงพื้นผิวใต้กางเกง
“อะ...” ผมเผลอคลางออกมาเมื่อฝ่ามือหนาลูบวนอยู่บริเวณที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก ขณะริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังสัมผัสกันอยู่
ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ประเดประดังเข้ามาไม่หยุด ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แม้ตอนฝ่ามือของอีกฝ่ายกำส่วนนั้นของผมเอาไว้ด้วยความหนักเบาสลับกันไป
“ยุค...ยุค...”
Rrrr..!
“ยุค...อือออออ”
Rrrr..!
เฮือก!!
ผมกระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง มองตามเสียงที่ดังกังวานจนแสบแก้วหูก่อนจะพบว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่ากำลังสั่นครืดอยู่บนหัวเตียง
สายตามองไปโดยรอบเพื่อสำรวจ ไม่มีไอ้ยุค ไม่มีการจูบดูดดื่มอะไรเกิดขึ้น ผมแค่นอนอยู่บนเตียงคนเดียว และกำลังค้นพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมากลางดึกหลังจากหลับไปตั้งแต่ช่วงกลางวัน
มือติดสั่นรีบตลบผ้าห่มที่เกาะอยู่บนตัวออกไป ก้มหน้ามองช่วงล่างที่ยังสวมกางเกงนอนอยู่ด้วยใจสั่นสะท้าน
ดูหนังโป๊ไม่รู้สึก ฝันถึงไอ้ยุคกางเกงเปียกเลย...
“ไม่จริงอ่ะ”
สองเท้ารีบลุกเดินเข้าห้องน้ำ ไม่สนแม่งแล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ พอมองหน้าตัวเองในกระจกก็เห็นว่ามันกำลังซีดเป็นตีนไก่ หัวใจยังคงกระหน่ำรัวไม่หาย เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มกรอบหน้าและแผ่นหลังจนรู้สึกแสบ
“บ้าเอ๊ย!”
เอาจริงดิ ผมรู้สึกกับไอ้ยุคจริงดิ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
ตลอดชีวิตยี่สิบห้าปี ผมไม่เคยฝันถึงผู้ชายถึงเรื่องอย่างว่าเลยสักครั้ง หรือเป็นเพราะหนังที่เปิดดูทำให้เกิดภาพหลอนติดตากันแน่ ใช่! อาจจะเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับไอ้ยุคหรอก ร่างกายแค่มีกลไกตามปกติอย่างที่มันควรจะเป็นเท่านั้น
คิดเข้าข้างตัวเองจนสบายใจจบก็เปิดน้ำล้างหน้าให้สดชื่นและเปลี่ยนกางเกงซะใหม่ เปียกขนาดนี้เดี๋ยวจะรู้สึกผิดต่อตัวเอง มึงฝันได้ไงชยิน บ้าบอว่ะ
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ คว้ามือถือที่แผดเสียงดังหลายครั้งขึ้นมาก็เห็นว่ามิสคอลสี่ห้าสายที่ค้างอยู่เป็นของไอ้เบิร์ด โทรมาหาหอกทำไมตอนเที่ยงคืนวะ และพอต่อสายหาผมก็ได้รับการด่ากราดกลับมาทันที
[ควาย ทำไมไม่รับโทรศัพท์กู นึกว่าตายอยู่ที่ห้อง ทำอะไรอยู่วะ]
“ทำอะไร...กะ...กูไม่ได้ทำอะไร”
กูไม่ได้ฝันเปียกนะ...
[แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์]
“กูหลับ”
[มึงเคยนอนเวลานี้ด้วยเหรอ ตอแหลน่า] ถึงกับกรอกตาด้วยความเอือมระอา ขอโทษที่ปกตินอนเกือบเช้า วันนี้อยากนอนก่อนเพื่อนมันดันไม่เข้าใจอีก
“รีบเข้าประเด็นมาเลย เดี๋ยวกูจะหาอะไรกินแล้วกลับมานอนต่อ”
[เออใจร้อนฉิบหาย คืองี้ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดเพื่อนกู เห็นมึงเหงาเลยอยากชวนมาปาร์ตี้กัน]
“เพื่อนคนไหน”
[เพื่อนต่างโรงเรียนสมัย ม.ปลายอ่ะ มึงคงไม่เคยเจอ]
“นั่นสิ ไม่เคยเจอแล้วจะชวนไปทำไม อีกอย่างกูไม่มีตังค์ซื้อของขวัญให้เพื่อนมึงหรอกนะ”
[มึงห่วงเรื่องนี้เหรอวะชยิน มึงไม่ต้องซื้ออะไรมาเลย ไอ้เจ้าของวันเกิดมันไม่ว่าหรอก อีกอย่างถ้ามาเจอคนเยอะๆ มึงอาจได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำเพลง แถมไม่อุดอู้อยู่แค่ในห้องด้วยนะเว้ย]
“กูไม่รู้จักใครเลยทำไมต้องไปด้วยวะ”
[ไอ้ท็อปก็ไป]
“อ้าวเหรอ แล้วไอ้ยุคล่ะ”
[เห็นบอกว่าไม่ไปนะ]
“เดี๋ยวดูอีกที”
[ไม่ต้องดู สรุปมึงคอนเฟิร์มแล้วนะ แค่นี้แหละ ไปหาอะไรแดกได้เลย]
“ไอ้เบิร์ดกูยัง...”
พูดไม่ทันจบประโยคแม่งตัดสายใส่ละ นรกมีจริงๆ นะครับ มันเนี่ยแหละตัวดีเลย...
จะให้ผมไปงานวันเกิดของคนที่ไม่เคยเจอหน้า ไม่รู้จัก แถมยังเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที แค่คิดก็ประสาทจะแดกแล้วครับ และเกลียดมากเวลาคิดเยอะทีไรกระเพาะจะทำงานหนักกว่าปกติทุกที หิวขึ้นมาเฉยเลย...
ผมเดินไปยังครัวเล็กๆ เปิดตู้เย็นที่ใส่ของกินที่ไอ้ยุคซื้อมาให้จนเต็มตู้ออกมา มองแล้วน้ำตาจะไหล ชีวิตผมไม่เคยมีของกินเต็มตู้มานานเท่าไหร่แล้ว นี่ครั้งแรกในรอบหลายปีเลยนะเนี่ย ฮืออออ
ซาบซึ้งกับของกินตรงหน้าจบก็หยิบเอาอาหารกล่องง่ายๆ ออกมาเวฟ นั่งกินมันเงียบๆ จนอิ่ม จากนั้นก็ดึงขนมบางส่วนเข้าไปกินในห้อง
มือกดเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องที่มักใช้งานประจำออกมา แล้วล็อกอินเข้าไปในโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น หลายวันมานี้ผมไม่ได้คุยกับไอ้หมีใหญ่เลย เพราะมันหายไป ไม่ตอบข้อความที่ค้างไว้แม้แต่น้อย วันนี้เลยจะวัดดวงอีกสักรอบ และผมก็เห็นว่าคนที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่ในสถานะ Available
แถมมันยังตอบข้อความที่ค้างทั้งหมดของผมได้เพียงประโยคเดียว
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… กูไม่ว่าง วันๆ จะให้เล่นด้วยตลอดเหรอ
มึงเคยคิดจะพูดดีกับกูสักครั้งมั้ยไอ้หมีใหญ่
Chayin says… แล้วทำไมตอนนี้มาได้ล่ะ กระแดะออนทำไม
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… ออนให้หมาถาม
Chayin says… สัด!!
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… ʕ→ᴥ←ʔ
Chayin says… มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องด้วยอีโมติคอนกากๆ
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… คิดถึงก็บอกสิ
Chayin says… ใครคิดถึงมึง ช่วงนี้กูมีเพื่อนเยอะ แทบไม่ว่างเปิดคอมแน่ะ
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… แล้ววันนี้เพื่อนไปไหน
Chayin says… อย่าย้อนได้ป่ะ พรุ่งนี้กูก็ไม่ว่างคุยกับมึงอีก
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… ไปตายเหรอ
กูไม่น่ารับแผ่นโปรแกรมจากไอ้เบิร์ดมาเลย ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอคนเหี้ยๆ แบบนี้ในชีวิต พูดอะไรไปโดนย้อนตลอด นี่ขนาดไม่ได้คุยกันหลายวันแม่งก็ยังลากกูมาด่าได้นะ
ผมไม่รู้ว่าไอ้หมีใหญ่คนนี้เป็นใคร คุยกันมาก็หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยรู้อะไรมากกว่านั้นสักนิด ชื่อก็ไม่รู้ รู้แค่อายุกับคณะที่มันเรียน แถมที่บอกมาจริงหรือหลอกก็ไม่แน่ใจ
บางทีเด็กสิบขวบอาจจะขโมยแผ่นมานั่งเล่นกับกูก็ได้ใครจะไปรู้
Chayin says… มึงสิตาย กูจะไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อน
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… เหรอ กูก็มีเหมือนกัน
Chayin says… พูดจริงพูดเล่น
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… จะหลอกมึงให้ได้อะไร แค่ที่โง่ทุกวันนี้ก็น่าสงสารแล้วนะ
สงครามด่ากราดเริ่มขึ้นหลังจากนั้น เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ทำให้รู้สึกเปลืองพลังงานชีวิตฉิบหาย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
หนึ่งคือผมมีเพื่อนคุยด้วย เพราะปกติเวลานี้หลายๆ คนก็คงหนีกันไปนอนหมดแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับตัวเอง
สอง ไอ้หมีใหญ่กวนตีนก็จริง แต่ตอนที่อยากจริงจังมันก็คุยเรื่องมีสาระกับเขาเป็นนะ
สาม นิสัยบางอย่างของมันเหมือนกับผม ไม่รู้ดิ เราอาจเป็นคนเหงาไทป์เดียวกันเลยเข้าใจกันมากขึ้น
หลายอย่างประกอบกันขึ้นมา นี่คือส่วนที่ดีอีกส่วนหนึ่งในชีวิตปีชงของผม และคงรู้สึกเสียใจน่าดูถ้าอีกไม่นานนี้ผมกับมันจะไม่ได้คุยกันอีก
คิดแล้วก็เศร้า จกขนมแดกแป๊บ
ผมไม่รู้จะหลอกถามชื่อหรือคอนแท็กอื่นๆ จากมันก่อนโปรแกรมหมดอายุได้มั้ย รู้แค่ว่าตอนมันอยู่ ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงมัธยมฯ อีกครั้ง
ตอนที่ยังเป็นเด็ก และมีเพื่อนอยู่ในวงโคจรของชีวิต
วันนี้เป็นวันดี
ต้องบอกว่าดีเกินคาดเพราะโปรดิวเซอร์แกบอกว่าเพลงที่ผมเผาเสร็จในหนึ่งคืนมันออกมาดีมาก ดังนั้นทางค่ายจึงตัดสินใจซื้อเพลง ‘จำจนลืม’ ไปก่อนในราคาไม่ถึงหมื่น เอาวะ! กำขี้ดีกว่ากำตด
แต่กว่าจะได้เงินก็อีกนาน ผมจึงใช้ความสนิทสนมกับโปรดิวเซอร์เพื่อขอเงินมาใช้ก่อน ความโชคดีต่อที่สองคือแกบอกว่าไม่มีปัญหา หลังจากนั้นสองชั่วโมงผมก็ได้กอดยอดเงินในบัญชีให้อุ่นใจจนน้ำตาแทบไหล
ความอารมณ์ดีส่งผลให้การแต่งตัวก่อนไปปาร์ตี้ของผมค่อนข้างจัดเต็ม ทั้งเซตผม หาเชิ้ตเหมาะๆ มาใส่ แถมไม่ลืมสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำไปด้วย ง่อววววววว
พอไปถึง...
“เบิร์ด”
“อะไร”
“มึงว่า...กูลืมอะไรไปหรือเปล่าวะ”
“คิดว่านะ”
ผมกับไอ้เบิร์ดนั่งอยู่ตรงโซฟาภายในงาน ปาร์ตี้ฉลองวันเกิดจัดในคอนโดของเจ้าภาพ ไอ้เบิร์ดนัดผมมาเจอที่นี่เมื่อสิบห้านาทีก่อน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในงานถึงเพิ่งรู้
เขามาในธีมเสื้อยีนส์ ถึงแม้เมพเบิร์ดจะไม่รู้ว่าเขาระบุธีมไว้ก่อนแล้ว แต่กางเกงมันก็ยังมีความเป็นยีนส์อยู่ กูนี่สิ เชิ้ตสีแดง แจ็กเก็ตหนัง กางเกงสแลค นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนไอ้เบิร์ดเขาคงนึกว่ากูเป็นคิงส์แมน สาดดดดดดดดดด
“เอาน่า ไม่มีใครสนใจมึงหรอก” อีกฝ่ายเอ่ยปลอบเสียงอ่อย
“มึงก็พูดได้สิ กางเกงมึงไม่ได้ทรยศเหมือนกูหนิ”
“เด่นออก”
“เด่นพ่อง”
“อย่านอยด์ๆ เดี๋ยวกูพาไปเจอเจ้าของวันเกิด” จากนั้นเพื่อนรักมันก็ลากผมไปที่ระเบียงซึ่งมีคนสองคนยืนอยู่ การมาของผมทำให้ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งหันมายิ้ม
“เฮ้ยเบิร์ด ดีใจเว้ยที่มึงมา” น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำ เค้าโครงหน้ารูปไข่ จมูกสันโด่ง ปากงี้เป็นรูปกระจับเลย ยิ่งมองยิ่งเห็นออร่ากระจายไปทั่วตัว ฉิบหาย ไอ้เบิร์ดแม่งรู้จักคนที่ดูดีขนาดนี้เลยเหรอวะ
“ดีใจเหมือนกันที่ชวนกู แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ นี่ของขวัญ” มือขาวยื่นกล่องของขวัญให้ คนตรงหน้ารับไปพร้อมเอ่ยขอบคุณก่อนจะเบี่ยงสายตามามองผม
“แล้วนี่...”
“อ๋อเพื่อนสนิทที่โรงเรียนกูเอง ชื่อชยิน มันเป็นนักแต่งเพลงที่เก่งมากนะเว้ย เออชยินนี่เพื่อนกูชื่อริว เพื่อนแม่งชอบเรียกสหรัฐ อยากเรียกแบบไหนก็ตามสะดวกเลย” การแนะนำตัวโดยคร่าวจบลง ผมยื่นกล่องปากกาที่ซื้อเป็นของขวัญให้อีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยประโยคที่โคตรธรรมดา
“สุขสันต์วันเกิดครับ และยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีมากคุณ หิวกันมั้ย หาอะไรกินก่อนได้ ข้างในมีเพียบเลย เครื่องดื่มก็บริการตัวเองได้เต็มที่” ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนเดินตามเจ้าของวันเกิดเข้าไปภายใน
ความรู้สึกตอนนี้เหรอ อยากมุดหน้าลงดินแล้วหายไปฉิบหาย
เสียเซลฟ์มากเพราะเหมือนตัวเองแปลกแยก เขายีนส์ทั้งตัวเลยมึงเอ๊ย ดังนั้นหลังจากหาเบียร์จิบได้สักพักเลยหลีกเลี่ยงสายตาทุกคนไปอยู่ในห้องน้ำ ถอดเสื้อหนังออกแล้วจ้องมองตัวเองในกระจก
ปาร์ตี้ที่จัดแน่นอนว่าคนไม่ได้เยอะมาก นับคร่าวๆ ก็ประมาณยี่สิบคน แต่มั่นใจเลยว่าไอ้ยี่สิบคนนี้จะต้องมีคนที่หัวเราะกูบ้างล่ะ คิดแล้วก็อยากหนีกลับไปก่อน ถ้าไม่ติดว่าเชี่ยเมพมันขอให้อยู่เป่าเค้กก่อนนะ กูไม่อยู่แล้ว
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมได้สติอีกครั้งเลยเดินไปเปิดประตูเพราะกลัวว่าคนอื่นจะอยากทำธุระบ้าง แต่ไม่เลย ทันทีที่เปิดประตูออกไป คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับเป็นไอ้ยุค
“คุณ...มาได้ไง” ตอนที่เห็นมัน ผมทั้งตกใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน
“มากับไอ้ท็อป อีกอย่างไอ้ริวเป็นเพื่อนผม”
“ฮะ!”
โลกแม่งจะกลมไปไหนวะ
“ไม่ต้องมาทำตาโตเด็กน้อย เข้าไปอยู่ในห้องน้ำทำไมตั้งนาน”
“ไม่มีอะไร แค่...”
ในหัวของผมกำลังคิดหาข้อแก้ตัวไปสารพัด แต่ในวินาทีนั้นมือหนาก็หยิบเสื้อยีนส์ตัวหนึ่งขึ้นมาคลุมไหล่ของผมให้ กลิ่นไอที่ได้รับจากเสื้อตัวนี้ทำให้ผมรู้ในทันทีว่าเป็นของคนตรงหน้า
“ดีขึ้นหรือยัง” มันถาม แต่ผมไม่รู้จะตอบอะไร นอกจากมองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมเห็นไอ้ศตวรรษสวมเสื้อสีอื่นที่ไม่ใช่ขาวกับดำ และดูเหมือนแจ็กเกตยีนส์จะเข้ากับมันค่อนข้างมาก
“แล้วรู้ได้ไงว่าผม...”
“เบิร์ดโทรหาไอ้ท็อป แต่ตอนนั้นผมอยู่กับมันเลยเอาเสื้อมาให้แทน”
“ขอบคุณ”
“ออกไปข้างนอกเถอะ อยู่ในส้วมไม่เหม็นหรือไง”
ผมถูกรั้งออกมาด้านนอกพร้อมความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า หลายคนกล้าเข้ามาทำความรู้จักผมมากขึ้น จากตอนแรกแม่งต่างคิดว่ากูหยิ่ง
กูไม่ได้หยิ่งงงงงงง กูแค่อาย
อ่านต่อด้านล่างค่ะ