Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก ┆▷23 ไม่เป็นเพื่อนกันแล้วก็ได้◃┆
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก ┆▷23 ไม่เป็นเพื่อนกันแล้วก็ได้◃┆  (อ่าน 9071 ครั้ง)

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0







มหาสมุทร x มหาเศรษฐี


อุตส่าห์ลงสแตททัน แต่สมองดันไม่เอาคณิต
ป๊อบเพื่อนรักจึงแนะนำให้ผมเกาะคนเก่งเอาไว้
แต่เกาะกันไป เกาะกันมา หัวใจเจ้ากรรมกลับเรียกร้องอยากได้เพื่อนเป็นแฟนซะงั้น :(



+++++++++++++++++++++++++++

ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
:impress2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2019 17:34:25 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก
«ตอบ #1 เมื่อ21-08-2017 21:19:19 »

จิ้มๆๆๆๆๆ
รอจ้า

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก
«ตอบ #2 เมื่อ01-09-2017 07:12:58 »





สมองของไอ้มหาเศรษฐีว่างเปล่า

ที่จริงก็แฮปปี้ที่ลงวิชาสแตทโหดหินทัน แต่เพราะมันโหดหินเนี่ยแหละที่ทำให้ไอ้มหาเศรษฐีรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

“หายเงียบไปทั้งปิดเทอมเลยนะไอ้มิล” ผมผงกหัวขึ้นมองผู้มาใหม่ก่อนซบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้ง

“กูกลับไปช่วยพ่อกรีดยาง”

“กตัญญูสัดๆ เลยว่ะ แล้วนี่มึงเป็นไรทำหน้าเหมือนแดกข้าวบูดมา”

“ลงสแตททันว่ะ”

“มึงควรดีใจ”

“เออ กูโคตรแฮปปี้” ฉีกยิ้มเฟคๆ ให้ไอ้ป๊อบไปที

“แฮปปี้พ่อมึงหน้าอย่างกับตูด”

“มึงก็รู้ไอ้ป๊อบว่าสมองกูไม่เอาคณิต”

“ไม่ใช่แค่คณิตว่ะมิล หัวมึงไม่เอาเหี้ยไรซักอย่าง” ก็ถูกของมัน ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยได้นี่ สมองผมแม่งไม่เอาอะไรซักอย่าง ไอ้มหาเศรษฐีกับสมองที่หายไป จบปิ๊ง

“หรือว่ากูจะถอนดีวะป๊อบ”

“อุตส่าห์ลงได้แล้ว สู้หน่อยสิวะ นี่กูจะบอกเคล็ดลับให้นะไอ้โง่” กอดคอผมแล้วขยับเข้ามาใกล้ๆ เหมือนตอนที่ชวนกันทำเรื่องชั่วๆ อย่างเช่นโดดเรียน “มึงก็เลือกคบคนที่ดูเรียนเก่งๆ แล้วก็เกาะมัน แค่นี้ง่ายมาก จบปิ๊ง”

“เหมือนที่มึงเกาะไอ้บีอะนะ” ได้ทีขอแขวะมันหน่อยเถอะ

“เออ เหี้ยนั่นเก่ง พากูเรียนจนได้บีสแตท แม่งเทพสัด”

“มึงได้ตั้งบี ควรติวให้กู”

“กูคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว” สิ้นหวังสุดๆ

“ขอให้ไอ้บีช่วยดีไหมวะ”

“มันคงสนใจมึงหรอก” ไอ้บีที่พูดถึงเป็นทรัพยากรชายหนุ่มอันน้อยนิดของบัญชี ทำกิจกรรมเห็นหน้าคร่าตากันมาตั้งแต่ปี 1 แต่มันไม่ค่อยเอาใคร เอาแต่เกมส์ เล่นแต่เกมส์ แต่มันเรียนเก่ง ถ้าลองเอาเกมส์ไปล่อมันอาจจะได้ผลก็ได้ใช่มั้ยล่ะ เรื่องใช้เงินขอให้บอกเถอะ ไอ้มหาเศรษฐีถนัดนักแหละ

“งั้นกูจ้างมัน”

“กรีดยางตอนปิดเทอมได้ค่าจ้างมาเท่าไหร่ เลี้ยงข้าวกูเลยไอ้มหาเศรษฐี”

“ไม่อะ กูจะเก็บเงินไว้จ้างติวเตอร์”

ป๊าบ!

โบกหัวกูอีกแล้วห่าป๊อบ นี่หัวเพื่อนไง ไม่ใช่แท็กซี่นะโว้ย โบกได้โบกดี ก็คิดนะเว้ยว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมโง่ เน้นตัวหนาตัวเอียง ‘โง่’







และแล้ววันมหาวิปโยคก็มาถึง

ได้ข่าวจากไอ้ป๊อบเพื่อนรักมาว่าอาจารย์ภัทรนันท์ที่สอนสแตทโคตรโหด เพราะงั้นวันนี้มหาเศรษฐีจึงตื่นเช้าเป็นพิเศษ เรียนว่ายากแล้ว ตื่นเช้าก็ยากพอกันว่ะ

เราเรียนวิชาสแตทในห้องใหญ่ที่ตึกเรียนรวม ตอนแรกตั้งใจจะนั่งด้านหลังกับพวกน้องแบร์เผื่ออยากงีบหลับแต่คำพูดของไอ้ป๊อบก่อนหน้าก็ทำให้ฉุกคิด


‘มึงก็เลือกคบคนที่ดูเรียนเก่งๆ แล้วก็เกาะมัน แค่นี้ง่ายมาก จบปิ๊ง’


คนเรียนเก่งเหรอ ตอนแรกที่รู้ว่าหลานรหัสเรียนด้วยกันก็กะว่าจะเกาะมันแหละ แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็แอบมียางอายอยู่นิดๆ มีอย่างที่ไหนพี่ปี 3 เกาะน้องปี 1 เรียน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

พวกเด็กเรียนน่ะโดยทั่วไปแล้วชอบนั่งหน้าใช่มั้ยล่ะ ผมที่ตั้งท่าจะเข้าประตูหลังจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังประตูหน้า กวาดสายตามองก็พบว่ามีนักศึกษาอยู่กันไม่กี่คน

ก็แน่สิวะ ยังไม่ 8 โมงเลย

แต่ในจำนวนไม่กี่คนผมดันสะดุดตาคนๆ หนึ่ง นั่งหน้า ใส่แว่นหนา อุปกรณ์การเรียนถูกเตรียมพร้อมอยู่บนโต๊ะ บุคลิกเด็กเรียนชัดเจน

ล็อคเป้าแล้วต้องพุ่งชน

“ตรงนี้มีคนนั่งมั้ย” ผมก้าวยาวๆ เข้าไปหยุดตรงหน้าเขา เจ้าของแว่นทรงกลมเหมือนแฮรี่พ็อตเตอร์เงยขึ้นมามอง ก่อนจะเอาหนังสือมาวางที่นั่งข้างกายแทนคำตอบ

กั๊กว่ะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวมหาเศรษฐีย้ายไปนั่งข้างๆ ฝั่งนู้นก็ได้

“เราชื่อมิลนะ บริหารปี 3 แล้วนายอะ แต่ดูจากหน้าไม่น่าจะใช่ปี 1” ไอ้ป๊อบบอกว่าการเข้าหาเพื่อนใหม่ต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมน่ารัก ที่จริงก็ถนัดแหละ คุยกับคนที่บ้านและสาวๆ ก็แทนตัวเองด้วยชื่อตลอด

แนะนำตัวเสร็จสรรพก็ตั้งท่าจะนั่งลงข้างๆ แต่แฮร์รี่กลับลุกขึ้นแล้วใช้สารร่างเขื่องๆ เบียดผมออกห่างแล้วนั่งเก้าอี้ตัวที่ติดผนัง ไม่พอแค่นั้นยังย้ายหนังสือมาวางลงบนโต๊ะข้างมันอีก

ไม่เปิดโอกาสให้กันบ้างเลยอะ เดี๋ยวก็ใช้เงินฟาดหัวซะหรอก

“นาย เรามาดีนะ ขอนั่งด้วยไม่ได้เหรอ”

“ที่นั่งตั้งเยอะแยะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไร้ซึ่งไมตรี แต่ก็จริงของเขาแหละ แล้วไงล่ะผมอยากนั่งตรงนี้ ใครจะทำไม

“เราอยากนั่งตรงนี้ ใกล้ๆ นายอะ นั่งไม่ได้เหรอ” น่ารักป่ะ ใครๆ ก็บอกว่ามหาเศรษฐีโหมดขี้อ้อนน่ารักน่าหยิก

 “มีคนนั่งแล้ว”

“ไหนอะ ไม่เห็นมีใครเลย มาก่อนนั่งก่อนสิวะ” ผมทิ้งตัวนั่งลงไม่สนใจว่าคนข้างๆ จะมีสีหน้าอย่างไร แล้วไม่ต้องมาไล่อีกนะ ยังไงไอ้มิลก็ไม่ไป มิลจะนั่งตรงนี้ พี่จะอยู่ วางซองปากกาลายมินเนี่ยนลงบนโต๊ะ ซองปากกาน่ารักใช่มั้ยล่ะ อนนี้น้องกล้วย ไอ้น้องรหัสปากกรรไกรให้ไว้มองต่างหน้าเวลาคิดถึง มันว่าอย่างนั้นอะนะ แต่ใครจะคิดถึงมัน

นั่งฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะได้ไม่นาน ลืมตาขึ้นมาเพราะโทรศัพท์สั่นก็พบว่านักศึกษาเต็มห้องเรียนแล้ว

7 โมง 59 เชี่ยป๊อบยิงมาปลุก เออดีเพื่อนรัก ได้ข่าวว่าเพื่อนมีเรียน 8 โมง มึงก็เลยปลุกกูก่อนเวลาเรียน 1 นาทีงี้ ซึ้งใจฉิบหาย

ผมคว่ำหน้าจอมือถือลงบนโต๊ะเมื่ออาจารย์เจ้าของวิชาเยื้องย่างเข้ามายืนทำหน้าทมึงหน้าห้อง ที่จริงอาจารย์ภัทรนันท์เป็นคนสวย แต่เป็นสวยสายโหด โสดห้ามจีบ เดี๋ยวถีบยอดหน้า อันนี้ไม่ได้คิดเอง รุ่นพี่เล่าต่อๆ กันมา ผมเองก็ช่างจำ

พอกวาดสายตามองนักศึกษาในคลาสแล้วยิ้มกริ่มพอใจก่อนเริ่มเช็คชื่อ

แต่ว่านะ...เพื่อนแฮร์รี่นี่ก็ยังไม่โผล่ เพื่อนมโนรึเปล่าครับคุณ บุคลิกอย่างนี้นอกจากรอนกับเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่น่ามีใครคบนะ หน้าโคตรจะไม่เป็นมิตร

กระดาษเซ็นชื่อถูกส่งมาจากมือใหญ่ของคนตัวใหญ่ แอบดูชื่อเขาก็พบว่าชื่อแม่งอย่างเท่

‘นายมหาสมุทร จิตติพัฒนกุล’ ชื่อก็คล้ายกัน ไม่น่าหยิ่ง

“ชื่อนายคล้ายชื่อเราเลยอะ พรมลิขิตบันดาลชักพาให้มาเป็นเพื่อนกันชัดๆ”

ชวนคุยเสือกเงียบ แม่ห้ามพูดกับคนแปลกหน้าหรือไง แต่มหาเศรษฐีก็มิได้ละความพยายาม พี่จะอยู่ พี่จะชวนคุยต่อจนกว่าว่าที่เพื่อนจะใจอ่อน

“เราชื่อมหาเศรษฐี อย่าหาว่าโม้แต่บ้านเรารวยอะ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้ให้”

เอาฐานะทางบ้านมาล่อก็แล้วยังไม่มีท่าทีจะหันมาสนใจ ถามจริงเถอะ ใจแข็งหรือสันดานไม่เป็นมิตรติดตัวมาแต่เกิด

“เรา...”

“ชื่ออะไร มาจากคณะไหนน่ะเรา ผีเจาะปากมาพูดเหรอ” กำลังง้างปากชวนคนข้างกายคุย น้ำเสียงเย็นเยียบที่ทำให้ขนอ่อนตรงหลังคอลุกซู่ก็ดังขึ้น เมื่อค่อยๆ หันมองก็สบประสานสายตาเข้ากับอาจารย์คนสวยใจโหด โสดห้ามจีบ เดี๋ยวถีบยอดหน้า

“เอ่อ บริหารปี 3 มหาเศรษฐี ชัยวรนันท์ครับ”

พอผมเอ่ยชื่อทั้งห้องก็กึกก้องด้วยเสียงหัวเราะครืน แต่ไม่เป็นไร ชินแล้ว ทุกคนที่ได้ยินชื่อมักบอกว่าชื่อผมแปลก แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก บ้านรวยอะ ชื่อมหาเศรษฐีก็ธรรมดา

“มหาเศรษฐีชื่อนี้จริงๆ เหรอ”

“ครับ แม่ตั้งให้ บอกว่าเข้ากับฐานะทางบ้าน”

“บ้านรวย”

“ครับ” อาจารย์ถามผมก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“บ้านรวยไม่มีผลต่อเกรด ตั้งใจหน่อย อย่ารบกวนเพื่อน” รบกวนครับยอมรับกึ่งหนึ่งเว้นก็แต่คำว่าเพื่อนผมไม่นับ ก็ในเมื่อแฮร์รี่ไม่ยอมเป็นเพื่อนกัน จะหาว่าผมรบกวนเพื่อนก็ไม่ถูกทั้งหมด

นาฬิกาในห้องเรียนค่อยๆ เดินไป จากนาทีเป็นชั่วโมง จาก 1 ชั่วโมงกลายเป็น 2 เป็น 3 ทว่าเพื่อนแฮร์รี่ก็ยังไม่โผล่มาซักที

เพื่อนมโนแน่ๆ ไอ้มหาเศรษฐีคอนเฟิร์มเลย

“วันนี้พอแค่นี้ ถ้าใครคิดว่าไม่ไหวก็ไม่ต้องมาแย่งอากาศกันหายใจ” เป็นคำบอกลาที่โหดสัดรัสเซีย หากพอได้ยินอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้นผมเองก็ฉุกคิดเหมือนกัน ควรดร๊อปตั้งแต่ตอนนี้เลยดีมั้ยวะ เพราะที่ฟังเมื่อกี้ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมดเลย

คนข้างๆ ผมลุกขึ้นแล้ว ผมเองก็คว้ากระเป๋าดินสอลายกล้วยแล้ววิ่งตาม ถ้าไม่อยากดร๊อปก็ต้องสร้างมิตรภาพครับ

“มหาสมุทร ไอ้มหาสมุทร”

ผมก้าวยาวๆ เพื่อตามให้ทันคนขายาว หากทั้งเรียกทั้งวิ่งแม่งก็หาได้สนใจผมไม่

“มหาสมุทร ไอ้สัดก้าวให้ช้าๆ หน่อยไม่ได้เหรอวะ” สุภาพเหรอ ลืมมันไปก่อน พูดดีด้วยแล้วไม่สนนี่หว่า ตีสนิทด้วยคำหยาบซะเลย

กึก!

และก็ได้ผลเกินคาด เมื่อคนตัวสูงหันขวับมามองผมตาขวาง ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่หรอก

“สนิทกันเหรอ” น้ำเสียงแม่งอย่างเข้ม คงโกรธที่ผมเรียกมันว่าไอ้สัด โทษทีว่ะ ก็เรียกดีๆ แล้วไม่สนใจกันนี่หว่า

“ตอนนี้ยัง แต่เราอยากสนิทกับนาย ได้ป่ะ”

“ต้องการอะไร” เจ้าของร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ พอยืนใกล้กันอย่างนี้ถึงได้รู้ว่ามันสูงกว่าผมมากจนต้องก้าวถอยหลังออกมาเพื่อจะได้ไม่ต้องแหงนหน้ามองกัน

“ก็บอกแล้วไงว่าอยากสนิทด้วย”

“หน้ากูดูเป็นมิตรเหรอ” เนี่ย คนไม่อยากสนิทกันเขาแทนตัวอย่างสนิทสนมว่ากูด้วยแหละ

“ก็ไม่ แต่กูไม่ซีนะ กูไม่ได้อยากสนิทกับมึงเพราะหน้าตา” กูมา กูกลับ ไม่โกงแน่นอน

“แล้วอยากสนิทเพราะอะไร”

“สมอง มึงดูเรียนเก่ง เอาจริงๆ นะมหาสมุทร กูแม่งโคตรโง่คณิตอะ ถ้ามึงไม่ช่วย กูเอฟสแตทแน่ว่ะ”

“แล้วรู้ได้ไงว่ากูเรียนเก่ง”

“ก็ลุคมึงจีเนียส นะมึง สนิทกับกูเถอะ กูสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวเลย แต่ช่วยติวสแตทกูนะ นะครับเพื่อน” มองมันปิ๊งๆ คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนแกร่งแล้วลูบขึ้นลง การกระทำที่ไอ้ป๊อบเคยบอกผมว่าเป็นการอ้อนเลเวล 25 ที่เมื่อใครพบเห็นก็ต้องใจอ่อนระทวยทุกราย

“ดูแค่ลุคก็รู้แล้วเหรอว่ากูเรียนเก่ง”

“อื้อ ใส่แว่นโคตรหนาอย่างกับแฮร์รี่ ไม่สิ หน้ามึงจีเนียสเหมือนไอสไตล์ ต้องเรียนเก่งแน่เลย”

“มึงปัญญาอ่อนป่ะ กูอาจจะใส่แว่นเพราะกูเล่นเกมส์หนักก็ได้”

“ไม่รู้อะ อย่างน้อยมึงก็น่าจะเรียนเก่งกว่ากู กูโง่คณิตจริงๆ นะหมาสมุทร มึงก็รู้ว่ากว่าจะลงสแตทได้แม่งยากเย็นแค่ไหน อุตส่าห์ลงได้แล้วกูก็ไม่อยากดร๊อป แค่ C ก็ได้นะมึง แค่ผ่านอะ ช่วยกูเถอะ” แทบจะก้มกราบแทบอกแกร่งแล้วหากคนตรงหน้าไม่หันหลังให้กันซะก่อน

ไรวะ สรุปยอมสนิทกับมหาเศรษฐีแล้วใช่ป่ะ

“หมาสมุทร!!!”

“ไปคัดชื่อจริงกูมา 1000 จบ แล้วค่อยว่ากัน”

ห๊ะ! อะไรนะ ใครก็ได้กรอกหูไอ้มหาเศรษฐีอีกสักครั้งว่าที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ได้หูฝาดไป

คัดชื่อ 1000 จบเนี่ยนะ เป็นเด็กอนุบาลเหรอ เด็กน้อยชะมัด



[T B C]

สวัสดีค่ะ ทักทายอย่างเป็นทางการกับนิยายเรื่องใหม่
เพื่อน (ที่) รัก เป็นเรื่องราวความรักของมหาบุรุษทั้งสอง
มหาสมุทร กับ มหาเศรษฐี และวิชาสถิติที่แสนจะยุ่งเหยิง
ยังไงก็ฝากติดตามความน่ารักของมหาเศรษฐีคนรวยเงินแต่จนสมองของเราด้วยนะ
ฝากๆ
เม้าท์มอยกันต่อได้ที่ #หมามิล

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
Re: Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก >บทนำ<
«ตอบ #3 เมื่อ01-09-2017 10:54:30 »

ซาวด์เพลงของเดอะ พาร์กินสัน ลอยมาเลย 555
รอตอนต่อไปครับ :pig4:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

01 เพื่อนผมใจกว้างอย่างกับมหาสมุทร_1


มหาสมุทรมีชื่อเล่นว่า ‘ซี’

เอส อี เอ ซีที่แปลว่าทะเล จะฮามากถ้ามันชื่อทะเล มุ้งมิ้งดีแต่ไม่ค่อยเข้ากับหน้าตาเท่าไหร่

มหาสมุทรเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ สอบเข้ามาด้วยคะแนนอันดับ 1 ของคณะ ตามข้อมูลที่ไอ้ป๊อบหามาก็คร่าวๆ ประมาณนี้ ไม่มีข้อมูลของครอบครัวแต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญ รู้ไปก็รกสมอง แค่รู้ว่ามันเรียนเก่งก็เพียงพอแล้ว

ได้ทราบข้อมูลของเพื่อนใหม่แล้วก็แอบยิ้มเล็กๆ ให้กับสายตาอันเฉียบแหลมของตน จะหาว่ามหาเศรษฐีมองคนแค่ผิวๆ ไม่ได้แล้วนะเว้ย มองขาดถึงระดับปัญญาอะคิดดู

“มึงยังคัดชื่อไม่เสร็จอีกเหรอวะ” ผมแหงนมองป๊อบที่ยืนอยู่ด้านหลัง หากมือยังตวัดปากกาเขียนไม่หยุด

พันชื่อนะครับ ไม่ใช่เล่นๆ ถามว่าทำไมว่าง่าย เปล่าเลย ใครว่าง่าย ที่ยอมทำเนี่ยก็เพื่อเกรด C วิชาสแตทล้วนๆ

“มาก็ดี ช่วยกูเขียนเลย”

ไม่ได้ออดอ้อน ไม่ได้อ้อนวอนแต่ยื่นกระดาษเอสี่ให้เพื่อนสนิทที่อ้อมมานั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ไม่อะ งานมึงก็เขียนเอง ให้คนอื่นช่วยเดี๋ยวว่าที่เพื่อนใหม่มึงก็กริ้ว”

“ไม่หรอก ถึงหน้ามันจะไม่เป็นมิตรแต่กูสัมผัสได้ถึงความใจดีของมันนะ”

“อย่ามาโลกสวยไอ้มิล กูว่าไอ้เด็กทุนแม่งแกล้งมึงชัวร์” ถ้าบอกว่ามิลโลกสวยไอ้ป๊อบก็อยู่โลกฝั่งตรงข้าม มองทุกอย่างในแง่ร้ายหมด

ผมเลิกสนใจคนโลกขี้เหร่แล้วก้มหน้าก้มตาคัดชื่อมหาสมุทรด้วยลายมือต่อ

ฟิ้วววว~

อยู่ๆ ลมเจ้ากรรมก็พัดมา พัดพาเอากระดาษบนโต๊ะปลิวว่อนให้รีบคว้าเอาไว้ แต่ก็มีแผ่นนึงที่เกเรปลิวไปเสียไกล หากก่อนที่ผมจะลุกขึ้นตามไปเก็บ กระดาษเจ้าปัญหาก็ถูกมือเรียวของใครบางคนหยิบขึ้นมาซะก่อน

เราสบตาและผมก็เหมือนกับต้องมนต์เมื่อรอยยิ้มสวยถูกส่งมา

“ของเธอเหรอ”

“อื้อ ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้าก่อนยื่นมือไปรับกระดาษเจ้าปัญหามาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทา

“หาอะไรทับไว้ก็ดี ใต้ตึกลมแรง” เจ้าของกลิ่นกายหอมเหมือนดอกไม้ว่าก่อนจะก้าวห่างออกไป

“เหี้ยมิล นั่นพี่ทิวลิป ตัวจริงโคตรสวยแม่ง”

“เค้าเป็นผู้ชายไอ้ป๊อบ สวยเหี้ยไร” จริงๆ แล้วก็เห็นด้วยนะ แต่ไม่อยากคล้อยตามคนจากโลกตรงข้ามไง ก็เลยขัดมันซักหน่อยเพื่อความสบายใจ

“เป็นผู้ชายที่สวยใช่มั้ยล่ะ ตัวหอมมากอะ มิน่า...” แทนที่จะพูดให้จบเสือกกั๊กไว้อีก ผมก็สงสัยใคร่รู้ไงจึงเอ่ยปากถามออกไป

“มิน่าอะไรวะ”

“เค้าลือกันว่าเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นเลย”

“เหรอ แต่เค้าก็ไม่เห็นจะเหมือนคาสโนว่านี่หว่า” พี่ทิวลิปน่ะดูนุ่มนิ่มเหมือนสายไหม พออยู่ใกล้แล้วได้กลิ่นน้ำหอมหวานๆ ยิ่งเหมือนของดีจังหวัดอยุธยาเข้าไปใหญ่

ว่าแล้วก็อยากขับรถไปเที่ยวอยุธยาตามรอยละครที่พี่นุ่นวรนุชกับพี่ป้องแสดงเลยอะ

“คนเราแม่งมองแค่ภายนอกไม่ได้หรอกเว้ย เนี่ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาลือกันว่าเดือนเกษตรกับเดือนสัดแพทย์ต่อยกันแย่งพี่ทิวเนี่ย” ความเพลิดเพลินเรื่องการท่องเที่ยวในสมองก็ผมวูบหายไปเมื่อเสียงไอ้ป๊อบดังแทรกเหมือนสัญญาณรบกวน

“เดี๋ยวนะป๊อบ เดือนเหรอ แต่พี่ทิวลิปเขาเป็นผู้ชาย”

“ผู้ชายแล้วไง”

“ผู้ชายก็ผู้ชาย”

“มึงอย่ามาทำหน้าโง่ไอ้มิล โลกทุกวันนี้เค้าไปถึงไหนแล้ว อย่างเดือนแพทย์ปีเรายังเป็นแฟนกับเดือนสถาปัตย์เลย”

อ๋อ เข้าใจแล้ว เรื่องของหัวใจไม่แบ่งเพศนี่เอง







วันมหาวิปโยคแวะเวียนมากวนอารมณ์อีกแล้ว

ตั้งใจตื่นแต่เช้าแต่เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อยกว่าจะงัดตัวเองลุกจากเตียงได้ก็...

เหี้ย! 7 โมงครึ่ง

ตายแน่มหาเศรษฐีมึงตายแน่ ผมวิ่งเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอนตัวเอง เดี๋ยวนะมิล มึงต้องตั้งสติ ก่อนอื่นต้องล้างหน้าแปรงฟัน ไม่อาบน้ำแม่ง เมื่อคืนก็เพิ่งอาบไปตอนตี 1 ฉีดน้ำหอมซักหน่อยก็ไม่มีใครจับได้แล้ว

เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รีบออกมาโบกพี่วิน จ้างให้ซิ่งไปตึกกลางด้วยเวลาที่เหลือเพียง 20 นาที

ขอบคุณความรักที่พามหาเศรษฐีเข้าห้องเรียนก่อนเวลา 5 นาที

เปิดประตูพรวดพราดแล้วมองไปที่หน้าห้อง ‘จารย์ยังไม่เข้า มองเยื้องไปที่ฝั่งขวามือของกระดานก็พบมนุษย์ทุนเรียนดีนั่งเพียงลำพัง

“ไงมึงมาเช้าเชียว” ผมทักทายอย่างสนิทสนมเมื่อนั่งลงข้างๆ มนุษย์ทุนเรียนดีหันมามองหน้า แปลกที่วันนี้มันไม่ไล่ผมไปนั่งไกลๆ ทั้งยังจ้องหน้าผมไม่วางตาอีก

มองอะไรวะ มองมากๆ มหาเศรษฐีก็แอบเขินเหมือนกันนะเฮ้ย

“เออที่มึงให้กูคัดชื่ออะเสร็จแล้วนะ” ผมรื้อกระดาษเอสี่ออกมาจากแฟ้มลายกล้วยที่ไอ้กล้วยซื้อให้แล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้ามัน

สายตาคมภายใต้แว่นไล่มองกระดาษแล้วขมวดคิ้ว “นี่ใช้มือหรือเท้าเขียน เละเทะอย่างนี้อย่าเรียกว่าคัดเลย เรียกว่าเขี่ยดีกว่า”

เอาน่า ไม่ว่าลายมือจะโหดเหี้ยไก่เขี่ยแค่ไหนก็เขียนมาจนครบพันชื่อแล้วไง

“ไม่คิดว่ามึงจะเขียนจริง”

“เห็นอย่างนี้กูเป็นคนจริงจังนะเว้ย แล้วพูดงี้หมายความว่าไงอะ มึงสั่งกูเล่นๆ เหรอ” มองมันลุ้นๆ พร้อมกับหัวที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นทีละน้อย

“ถ้าบอกว่าสั่งเล่นๆ ล่ะ” ไอ้ฉิบหาย อยากกระโดดถีบยอดหน้ามันจริงๆ แต่ฮึบไว้นะใจ ท่องไว่สิ สแตท เพื่อสแตท เกรดซีสแตท เย็นไว้ๆ

“แกล้งกันได้เนี่ยแปลว่าเป็นเพื่อนกันแล้วดิ อย่าลืมติวสแตทให้กูนะเว้ย อนาคตกูฝากไว้ที่มึงแล้วนะไอ้หมาเพื่อนรัก” ผมฉีกยิ้มกว้างอย่างฝืนๆ พลางยื่นแขนไปกอดคอคนข้างๆ แต่ก็แค่ชั่ววินาทีก่อนจะตัวจะผละออกห่าง

“เรียกใครไอ้หมา”

“มึงไง” ผมชี้หน้าย้ำ “หรือจะให้เรียกมหาสมุทร ยาวไปพี่ยาวไป”

“เรียกอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้หมา”

“งั้นเรียกไอ้หมา โอเคโอเค๊”

“งั้นกูเรียกมึงไอ้เหี้ยดีมั้ย”

“ยังไงก็ได้อะ เอาที่มึงสบายใจ” เรียกเหี้ยเหรอ ชิวล้าว ไอ้ป๊อบเรียกบ่อย พี่รหัสก็ด้วย เหี้ยมิลๆ ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ

“มึงนี่พิลึกคน” ได้ยินคนข้างๆ ว่าอย่างนั้นแต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อก็สั่นซะก่อน

ป๊อบเพื่อนรัก ยังไม่ทันได้กดรับก็ดันตัดสายไปซะก่อน เอาไว้เรียนเสร็จก่อนค่อยโทรบอกมันว่าไม่ต้องโทรมาปลุกกูแล้ว ไร้ประโยชน์ เอาเวลาไปนอนเถอะ

ในห้องเรียนคนอย่างเยอะ แอร์อย่างหนาว ตายเถอะมหาเศรษฐีเพราะตื่นสายก็เลยลืมหยิบเสื้อคลุมมาด้วย ขนาดไม่กังวลเรื่องหนาวยังเรียนไม่รู้เรื่องแล้วในสภาพพะว้าพะวงแบบนี้คิดเหรอว่าจะมีอะไรเข้าไปฝังในสมองได้

ไม่มีเลย ไม่รู้ว่าอาจารย์สอนอะไร รู้แค่ว่าหนาวฉิบหาย

คงเพราะผมนั่งกอดอกสั่นหงึกๆ คนข้างๆ จึงละสายตาจากสมุดที่กำลังจดเล็คเชอร์มาเหลือบมอง เห็นมันอ้าปากจะถามผมจึงยกมือห้ามแล้วพยักหน้าบอกว่าโอเค

โกหกตกนรกว่ะแต่ผมไม่อยากกวนมัน อยากให้มันจดเล็คเชอร์ตั้งใจเรียนแล้วจะได้มาถ่ายทอดวิชาให้ผม

สถิติเรียน 3 ชั่วโมง ผมลุกมาเข้าห้องน้ำแล้ว 6 ครั้ง และนี่ก็เป็นครั้งที่ 7 อาจารย์มองลอดแว่นมาก็ทำเป็นกุมท้องทำปากพะงาบๆ ว่าท้องเสีย

โกหกตกนรกอีกแล้ว แต่ไม่กลัว กลัวตกสแตทมากว่า

“น้องแบร์เลิกเรียนแล้วเหรอ” ออกจากห้องน้ำก็พบกับน้องแบร์ เป็นสายรหัสปี 1 เรียนคลาสเดียวกัน เห็นหน้าน้องมันแล้วก็นึกชื่นชมที่ลงสแตทได้ตั้งแต่ปี 1

“เลิกแล้วสิคะ นี่ไปแอบงีบมาถูกมั้ย” น้องมึงก็มองพี่ในแง่ร้ายเกินไป แต่ก็ไม่อยากจะเถียงจึงพยักหน้ารับไปส่งๆ

ผมเดินสวนคนอื่นๆ กลับมาที่ห้อง ก็พบว่ากระเป๋าดินสอลายกล้วยกับกระเป๋าของผมยังวางอยู่ที่เดิม แต่ไอ้หมานักศึกษาทุนเรียนดีหายหัวไปแล้ว

เสียดายว่ะยังไม่ทันได้ขอเบอร์โทรมันเลย

นอกจากข้อมูลที่ไอ้ป๊อบหามาให้ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมหาสมุทรอีก







“ไงมึง ส่งการบ้านเพื่อนใหม่ยัง” กลับมาที่โต๊ะใต้ตึกก็พบไอ้ป๊อบกำลังนั่งสุมหัวอยู่กับคนอื่นๆ

ตอนเย็นๆ บริเวณนี้จะมีกิจกรรมประชุมเชียร์สำหรับการแข่งกีฬาที่กำลังจะจัดขึ้นในเร็ววันนี้ ผมไม่ใช่เด็กกิจกรรมหรอกแต่ไอ้ป๊อบเป็น พอเพื่อนสนิทผมอยู่นี่ผมก็เลยต้องอยู่ด้วย ผมมันคนขี้เหงา พอสนิทกับใครก็จะทำตัวติดเขาเป็นเหาฉลามแบบนี้

“มันบอกว่าล้อเล่นว่ะ”

“กูว่าละ มึงแม่งจริงจังอยู่คนเดียว”

“กล้าล้อเล่นกับกูแปลว่ายอมเป็นเพื่อนกับกูแล้วใช่ป่ะวะ”

“พี่ป๊อบคะ ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ” น้องนักศึกษาหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดถูกระเบียบยื่นสมุดล่าลายเซ็นมาขัดจังหวะสนทนาให้เจ้าของชื่อหันไปมองหน้า

“มีอะไรมาแลกครับ”

“ไก่ย่าง” น้องอ้อมแอ้มตอบ

“พี่ไม่อยากกินไก่ย่าง” พอวิญญาณพี่สันทนาการปี 3 เข้าสิงแล้วทำเป็นโหดอะคนเรา เมื่อปีที่แล้วผมหลุดขำเลยตอนที่มันเก๊กโหดใส่น้อง แต่ปีนี้ชินแล้วจึงได้นั่งมองเฉยๆ และแอบแซ็วเล็กน้อยเพื่อแสดงการมีตัวตน

“แกล้งน้อง” คนถูกหาว่าแกล้งน้องเบ้หน้าใส่ผมก่อนจะหันไปออกคำสั่ง

“ตอนนี้พี่หิวข้าว ขอไก่ย่าง 5 ตัว ปฏิบัติ” แล้วเมื่อกี้มึงบอกไม่อยากแดกไก่

ไก่ย่างถูกเผา...

เพลงไก่ย่างดังขึ้นพร้อมกับร่างบอบบางของรุ่นน้องปี 1 ที่เต้นลืมตาย เห็นแบบนี้แล้วก็นึกถึงเมื่อตอนปี 1 เต้นไก่ย่างเป็นพันๆ รอบเพื่อแลกลายเซ็นซึ่งไม่รู้ว่าแม่งเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้







ตึกคณะวิทย์กับบริหารอยู่ห่างกันแค่คณะมนุษย์ ครุศาสตร์ ศิลปกรรม  หอสมุดกลาง หอประชุม และสนามบอลกั้นเท่านั้น

สรุปง่ายๆ คือ ไกลกันฉิบหาย

โชคดีที่มหาสมุทรเป็นคนรวยมีบีเอ็มขับก็เลยมาคณะไกลปืนเที่ยงได้ง่ายๆ และใช้เวลาเพียง 10 นาทีรวมรถติด

เคว้งคว้างว่ะ ถึงแม้คณะวิทย์จะไม่ได้ใหญ่โต แต่รู้สึกเคว้งฉิบหาย ชวนไอ้ป๊อบแม่งก็ไม่ยอมมา

ต้องเริ่มต้นหาไอ้มหาสมุทรจากส่วนไหนของตึกก่อนเหรอ

“พี่มิล”

ใครวะรู้จักมิลเลียนแนร์ด้วย หันไปมองก็พบว่าเป็นหญิงสาว ไม่รู้หรอกว่าเจ้าหล่อนเป็นใครจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้อย่างคนมีมารยาท ก็ต้องยอมรับว่าที่บบ้านสอนมาดี

“มาทำอะไรที่คณะวิทย์คะ” ชวนคุยมหาเศรษฐีก็คุยด้วยนะ พอดีเป็นคนเฟรนลี่มาก

“มาหาเพื่อนครับ” แจกยิ้มหวานไปหนึ่งดอก

“มีเพื่อนคณะวิทย์ด้วยเหรอคะ หนูมาที่นี่บ่อยๆ ไม่เคยเจอพี่เลย” จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมรึเปล่าวะ แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อน้องอาจจะเป็นผู้ช่วยชีวิตก็คุยกับน้องมันหน่อยก็แล้วกัน

“เพื่อนที่ลงสแตทด้วยกันน่ะ เพิ่งคบมันก็เลยเพิ่งมาครั้งแรก” น้องมุ่นคิ้ว คงสงสัยที่ทำไมพี่ปี 3 เพิ่งลงสแตท แต่ผมก็ทำเป็นมองข้ามไป “มหาสมุทรน่ะ น้องรู้จักป่ะ”

“นักเรียนทุนสาขาฟิสิกส์ป่ะพี่” คราวนี้เป็นนักศึกษาชายที่ยืนข้างกันถาม ผมจึงพยักหน้า “พี่มหาสมุทรน่าจะอยู่ที่แลปนะครับ ชั้น 5 ห้อง 501 ห้องใหญ่ตรงมุมสุดเลย”

“งั้นเหรอ ขอบคุณนะ ว่าแต่น้องเป็นรุ่นน้องคณะพี่เหรอ” สงสัยต้องถาม เก็บไว้ข้องใจเดี๋ยวนอนไม่หลับ

“เป็นเพื่อนไอ้กล้วยน้องรหัสพี่มิลค่ะ”

“อ้าว ไม่เคยเห็นหน้า แล้วนี่แฟนเหรอ”

“เพื่อนสนิทค่ะ” ตอบอย่างกับดารา แต่หน้าตาน้องก็พอได้อยู่ ถ้าบอกว่าเคยเล่นซีรีส์วัยรุ่นผมก็เชื่อนะ

ล่ำลากันเสร็จผมก็มุ่งหน้าไปหาไอ้หมาเพื่อนรัก

ที่ถ่อมาถึงนี่เพราะมีเรื่องสงสัย ในห้องเรียนมัวแต่หนาวสั่นก็เลยไม่ได้ขอช่องทางการติดต่อมันไว้

ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 5 ที่ปราศจากผู้คนก็ก้าวขาอย่างระมัดระวังไปยังห้อง 501

ไม่คุ้นเคยครับต้องเจี๋ยมเจี้ยมหน่อย

ผังตึกและทุกๆ อย่างไม่ได้แตกต่างจากคณะบริหารเท่าไหร่ ลองเอาหน้าแนบประตูส่องช่องกระจกเล็กๆ ดูก็พบกับเพื่อนใหม่ของผมจริงๆ

มหาสมุทรนั่งอ่านหนังสือลำพังอยู่ในห้องมืดๆ สงสัยว่ามันอ่านได้ยังไง มืดขนาดนั้น เปิดไฟหน่อยไหมประหยัดอะไรนักหนา ค่าเทอมก็จ่ายแล้ว

ผมค่อยๆ เปิดประตู เดินเหมือนนักย่องเบาเข้าไปหยุดใกล้ๆ หากก็ไม่ได้เบามากจนคนที่นั่งอยู่ในความเงียบจะไม่รับรู้ แต่เมื่อไปหยุดตรงหน้าก็พบกับคำตอบที่ว่ามหาสมุทรไม่ได้อ่านหนังสือเว้ยแต่มันกำลังหลับ

เพราะไม่รีบมาก ไม่มีเรียนต่อในช่วงบ่ายรวมทั้งนิสัยขี้เกรงใจจึงนั่งลงข้างๆ มัน มองคนหลับ มองไปรอบห้อง ทำตัวว่างๆ คิดเรื่อยเปื่อยรอไอ้หมาตื่น

รอจนเผลอหลับไป

“มึง” ผมรู้สึกตัวเพราะร่างถูกเขย่าแรงๆ เดี๋ยวมึงใจเย็นๆ กูไม่ใช่กระป๋องเซียมซี เขย่าเบาๆ ก็ตื่นแล้ว

งัวเงียลืมตาขึ้นมาก็พบใบหน้าภายใต้แว่นกรอบหนาที่คุ้นเคย

“มึงมาทำอะไรที่นี่”

“มาหามึงแหละ” ตอบพร้อมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ เชี่ย! บ่าย 2 หลับไปเกือบ 2 ชั่วโมงเลยเหรอวะ

“มีธุระอะไร แล้วทำไมไม่ปลุก”

“เห็นมึงหลับสบาย ที่จริงกูก็ไม่ได้รีบอะไร ว่างมากด้วย รอได้”

“ถ้ากูตื่น 6 โมงเย็น” รู้หรอกน่าว่าลองเชิง

“ก็จะชวนไปกินข้าวเย็น” ว่าแล้วก็หิว ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง “ชวนไปกินข้าวด้วยกันตอนนี้เลยได้ไหมวะ ยังไม่เคยลองกินข้าวคณะวิทย์เลย”

“สรุปมึงมาหากูมีธุระอะไร” ทำไมต้องดุด้วยล่ะ พูดดีๆ ก็ได้ โตๆ กันแล้ว

“อ๋อเรื่องสแตทแหละ จารย์สั่งงานไรป่ะวะ”

“ไม่มี” น้ำเสียงเย็นชาจนเริ่มจะหนาว

“แล้วมึงว่างติวให้กูวันไหนอะ แต่พรุ่งนี้กูไม่ว่างนะมีเรียนทั้งวันตั้งแต่ 8 โมงเช้า แม่งต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าอีกแล้ว โคตรเซ็งเลย” ได้ทีขอบ่นหน่อย หากคนฟังก็หาได้สนใจผมไม่

“ใครบอกว่ากูจะติวให้มึง”

“อ้าวก็เป็นเพื่อนกันแล้ว”

“ใครเพื่อนมึง”

“อ้าวหมาสมุทร” วอนตีนแล้ว เห็นกูไม่ค่อยมีปากเสียงแต่เวลาสู้ก็สู้ขาดใจนะ

“เรียกชื่อกูยังไม่ถูก แล้วมีหน้ามาบอกว่าเป็นเพื่อน”

“โห่ พี่มหาสมุทรครับ นี่มหาเศรษฐีไง ชื่อจริงเราก็คล้ายๆ กันเป็นเพื่อนกันเถอะ อย่าปล่อยให้เพื่อนติดเอฟสิวะ สแตทเนี่ยลงโคตรยากเพื่อนก็รู้ อย่าปล่อยกูลอยทะเลเลยนะ”

อย่างกับเล่นเอ็มวีเพลงคุกเข่าเลยกู

ฉันกำลังขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไป ทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาเธอเอาไว้

“จะติดเอฟหรือติดอะไรก็เรื่องของมึงสิ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับกู” ถือคติตัดบัวอย่าเหลือใยใช่มั้ยแต่ไม่เป็นไรมหาเศรษฐีมีไอดอลเป็นสไปเดอร์แมนเดี๋ยวสร้างใยเองก็ได้

“เป็นถึงเด็กทุนทำไมใจดำ” ผมตัดพ้อ

“เรื่องของกู”

“ชื่อมหาสมุทรแต่ทำไมใจแคบจังวะ”

“ใจกูไม่เกี่ยวกับมึง”

“กูอุตส่าห์คัดชื่อตามที่มึงบอก กูว่าง่ายนะมึง สอนแป๊บๆ ก็เข้าใจแล้ว” อันหลังโกหก หัวไม่เอาคณิตศาสตร์เลย แอนตี้อย่างแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“กูไม่ว่าง มึงไปให้คนอื่นติวเถอะ” ใจแคบอย่างกับซอกนิ้วตีน ใจแข็งอย่างกับเล็บขบ ทิ่มแทงหนังกำพร้าจนมหาเศรษฐีอยากร้องไห้

เอาล่ะ พูดไม่ฟัง ขอร้องไม่ใจอ่อนคงอยากให้ใช้กำลัง ได้นะ ถึงตัวมหาเศรษฐีจะเล็กกว่านิดหน่อยแต่สู้ไม่ถอยหรอกนะจะบอกให้

หมับ!

เดินหนีใช่มั้ย กอดแน่นๆ เอาหน้าซบหลังเหมือนคนพิศวาสกันมาแต่ชาติปางก่อน ทีนี้ก็หนีไม่ได้แล้ว

“มึงทำไร ปล่อย” เจ้าของร่างแกร่งบิดตัวออกจากอ้อมแขนผมอย่างสะดีดสะดิ้งแต่ไร้ประโยชน์ครับเพราะผมรัดแน่นมาก

“ไม่ปล่อยจนกว่ามึงจะยอมตกลงติวสแตทให้กู”

“ก็บอกว่าไม่...” รัดแน่นอีก ซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างจนแก้มแนบไปกับเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาด รู้สึกได้ว่าตัวมหาสมุทรแข็งทื่อ มือหนาที่พยายามแงะแขนผมออกหยุดชะงักลงชั่วขณะ

“มหาสมุทรมึงลองคิดดูดีๆ มึงเคยได้ยินคำนี้มั้ย ที่เขาบอบกว่าการติวหนังสือให้คนอื่นทำให้เราจดจำเรื่องที่เรียนได้กว่าอ่านหนังสือเองคนเดียวอีกนะ คิดดูดีๆ แล้วตอบกูใหม่”

“ซี อ้าว ขอโทษ”

ประตูห้องเปิดออก ผู้มาใหม่ร้อง เมื่อลองชะโงกหน้าไปมองก็เห็นว่าพี่ทิวลิปกำลังป้องปากทำหน้าตกใจ

“ปล่อย” เมื่อยิ่งมีคนมาเห็นคนถูกผมกอดก็ยิ่งเร่งเร้าให้ปล่อย

มาได้จังหวะดีนะพี่ทิวลิปน่ะ ขอฉวยโอกาสเลยละกัน

“ตอบรับคำขอกูก่อนแล้วจะปล่อย”

“มึงแม่ง” ถ้าหักคอผมได้เด็กทุนคงทำ “ก็ได้ๆ ติวก็ติว” ถึงอย่างนั้นมันก็ตอบ แม้จะเป็นการตอบแบบขอไปทีก็เถอะ

“สัญญา” ผมกระดกนิ้วก้อยขึ้นมา กระดิกเร่งให้อีกฝ่ายรีบทำตามก่อนที่ผู้มาใหม่จะเข้าใจผิดไปไกลกว่านี้

“เดี๋ยวทิวออกไปรอข้างนอกนะ” พี่ทิวตัวหอมผละออกจากห้องไปแล้วแถมยังมารยาทงามปิดประตูให้อีก

“ยังไงครับ ไม่รีบตามเขาไปหรือไง”

“มึงนี่” นิ้วก้อยถูกเกี่ยวแรงๆ จนกระดูกเกือบจะหัก แต่ไม่เป็นไรทนได้

“ถ้ามึงผิดสัญญากูแช่งให้อกหักทุกชาติไป” ผมปล่อยเจ้าของร่างสูงให้เป็นอิสระหลังประโยค มหาสมุทรไม่สนใจผมด้วยซ้ำ มันกวาดของบนโต๊ะใส่กระเป๋าลวกๆ แล้ววิ่งหน้าตั้งออกจากห้องไปเลย



[T B C]

เรื่องขี้ตื๊อไว้ใจมหาเศรษฐีได้เลย และเรื่องใจแข็งก็ไว้ใจไอ้หมาของมิลได้เหมือนกันแหละ
แต่ก็ต้องดูกันยาวๆ มั้ยว่าเขาจะใจแข็งได้แค่ไหนกัน
ยังไงก็ฝาก #หมามิล ไว้ในใจของทุกคนที่ผ่านมาอ่านด้วยนะคะ
ขอกำลังใจโหน่ยยยย :)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เค้าเต๊าะกันอยู่ววววววววววว
มหาเศรษฐีไปคั่นกลางงี้ก็สนุกซิ
ความเพื่อนรักรักเพื่อนมาแน่นวน ติดตามๆๆๆ
 :mew1:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

01 เพื่อนผมใจกว้างอย่างกับมหาสมุทร_2

“มึงแม่งไม่มีสมอง” ไอ้ป๊อบด่าผมอีกแล้ว ก็แค่ลืมขอไอดีไลน์ เบอร์โทร เบอร์ห้องมหาสมุทรจำเป็นต้องด่ากันเหมือนหมูหมากาไก่แบบนี้เลยเหรอ

“เดี๋ยวกูไปขอใหม่วันนี้”

“ได้ข่าวว่ามึงมีเรียนทั้งวัน”

“กูคิดออกแล้ว มหาสมุทรรู้จักกับพี่ทิวลิป เดี๋ยวกูไปขอพี่เขา”

“เขาคงให้มึงหรอก อย่าโชว์โง่ไอ้มิล กูล่ะสงสัยฉิบหายว่าตัวเองหลวมตัวมาคบมึงได้ไง”

“กูรวย”

“มึงก็มีดีอย่างเดียวนี่แหละ”

ไม่แคร์นะ อย่างน้อยก็มีข้อดีก็แล้วกัน รวยมาก จบปิ๊ง

กว่าจะเลิกคลาสสุดท้ายของวันพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว คิดว่าจะแวะไปหามหาสมุทรเพื่อนรักซักหน่อยหากเมื่อก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายลงมาก็เห็นมันยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

มาหามหาเศรษฐีรึเปล่าวะ

“ไง” ผมทักทายเพื่อนใหม่ให้ไอ้หมาหยุดฝีเท้าแล้วหันมามุ่นคิ้วมอง สงสัยแค่บังเอิญเจอกันว่ะไม่ได้ตั้งใจมาหากันนี่หว่า ว้า ดีใจเก้อเลย

“มึงชื่อไรนะ” แทนที่จะทักทายกลับถามชื่อให้รู้สึกเสียเซลฟ์หน่อยๆ เลย

“มิล จำบ้างนะ กูบอกมึงหลายครั้งแล้ว”

“มินเนี่ยน” เห็นนะว่าแอบมองกระเป๋าดินสอลายกล้วยหอมในมือผมน่ะ ทำไม มีปัญหาอะไรก็น้องมันให้มาก็ต้องใช้ป่ะวะ เดี๋ยวเสียน้ำใจ แต่ขอโทษนะ มิลเนี่ยไม่ได้มาจากมินเนี่ยนนะโว้ย จะทักอะไรโปรด

สังเกตชื่อตามบัตรประชาชนด้วย

“มิลเลี่ยนแนร์ที่แปลว่ามหาเศรษฐี”

“บิลเลี่ยนแนร์แปลว่ามหาเศรษฐี” ไอ้หมาว่าด้วยน้ำเสียงเนิบช้าแฝงดูถูก

เดี๋ยวนะ คำพูดของมหาสมุทรทำให้ผมหยุดทุกการกระทำ กำลังจะอ้าปากเถียงมันแล้วแต่ฉุกคิดได้ซะก่อนว่ามันเรียนเก่ง จึงหยิบมือถือขึ้นมาเข้ากูเกิ้ล เสิร์ชคำว่ามหาเศรษฐีภาษาอังกฤษ

ไอ้ฉิบหาย โคตรอายเลย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 20 ก็เทียวบอกใครต่อใครว่าชื่อเล่นตัวเองมีความหมายเหมือนชื่อจริง แล้วนี่อะไร พังแล้วโลกของมหาเศรษฐีพังหมดแล้ว

อยากจะร้องไห้จริงๆ แต่ก็ต้องยิ้มไว้สู้ ทำเหมือนมั่นใจทั้งที่ข้างในกำลังร้าวราน

“นั่นแหละ ก็แปลว่าคนมีตังค์เหมือนกันป่ะ นี่ไม่อยากโม้ว่าบ้านกูเศรษฐีน้ำมันนะ”

พอผมบอกด้วยความมั่นอกมั่นใจคนตรงหน้าก็ส่ายหน้าหน่าย ทำไมอะ อิจฉาที่มหาเศรษฐีเกิดมาบนกองเงินกองทองรึไง คิดแล้วก็เศร้าเนอะ พระเจ้าให้หน้าตาหล่อเหลา ฐานะทางการเงินที่ดีมาแต่ลืมให้สมองผมมา

“ไหนๆ ก็เจอแล้วกูขอเบอร์มึงหน่อย จะได้ติดต่อกันได้สะดวก”

“แต่กูไม่สะดวก”

“กูกอดนะ” อ้าแขนขู่แม่งเลยเล่นตัวดีนัก

“มึงนี่เป็นไรมากมั้ย เอามือถือมา”

“ขอกอดทีนึงไม่ได้เหรอ” ผมเย้าปนขำหากอีกคนไม่ขำด้วยเลย

“กวนตีน”

“แล้วนี่มาหาพี่ทิวเหรอวะ” ถามพลางส่งมือถือที่ปลดล็อคแล้วไปให้ “ตาถึงนะมึงอะ แต่จะบอกว่าเผื่อใจไว้หน่อย พี่เขาเสน่ห์แรง”

“ห่วงตัวมึงเถอะ วันเสาร์ 8 โมงถ้าอยากให้ติวก็มาเจอกันที่หอสมุดกลาง ถึงแล้วโทรมา อย่าเลท”

ยัดมือถือคืนแล้วเดินตัวปลิวไปเลย ไม่เปิดโอกาสให้ยื่นอุทธรณ์สักนิด

ให้ตายเถอะ 8 โมงเช้าอะไร คืนวันศุกร์ต้องไปเล่นดนตรีแทนพี่อาร์ตี้ซะด้วย ตื่นได้ก็เก่งแล้ว







มหาเศรษฐีเป็นคนเก่ง ถ้าแม่รู้ว่าผมตื่นเช้าในวันหยุดแม่ต้องเพิ่มยอดเงินในบัตรเครดิตให้แน่ๆ ว่าแล้วก็ส่งไลน์ไปสวัสดีตอนเช้าคุณนายด้วยรูปดอกไม้สีม่วงที่ชอบส่งมาให้ดีกว่า

Manila_mom : ยังไม่นอนอีกเหรอยะ

ดูคุณนายตอบไลน์ผมสิ แต่ก็ไม่ว่ากันนะ ปกติผมตื่นเช้าที่ไหนกันล่ะ

Millionaire_ :  ตื่นเช้าเถอะ เพื่อนนัดติวหนังสือตอน 8 โมงครับ

Manila_mom : ตายแล้ว หิมะต้องตกแน่ ลูกชายแม่ติวหนังสือ

Millionaire_ : แม่อะ มิลก็ขยันบ้างอะไรบ้าง ไม่คุยแล้วดีกว่า รักนะ

บทสนทนาของเราจบด้วยคำบอกรักดั่งเช่นทุกครั้ง มหาเศรษฐีเป็นคนมุ้งมิ้งเหมือนกันนะบางที

มาถึงหน้าหอสมุดที่ไม่ค่อยคุ้นเคยแล้วจึงกดโทรออกหาคนที่คิดว่าคงมาถึงแล้ว ผมไม่ได้มาสายนะ อีกตั้ง 5 นาทีกว่าจะถึงเวลานัด

“สวัสดีครับ” รอสายไม่นานเสียงตอบรับหล่อๆ ก็ดังผ่านสัญญาณมา

“ไม่ต้องเก็กหล่อครับ มิลเลียนแนร์เอง อยู่หน้าหอสมุดแล้ว”

“ขึ้นมาห้องอ่านหนังสือ”

“แล้วมันอยู่ตรงไหนอะ กูไปไม่ถูก” ไม่คุ้นเลย ไม่เคยมา

“ชั้น 5 เดี๋ยวรอหน้าลิฟต์” ถึงจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความใส่ใจ

แม้จะเป็นวันหยุดหอสมุดก็ไม่เหงาแต่เงียบมากเลย เงียบจนผมเกร็งไปหมด ขนาดหายใจยังค่อยๆ ทำเลยกลัวส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเขา

ลิฟต์ที่บรรทุกผมเพียงลำพังจอดที่ชั้น 5 พอประตูเปิดออกก็เห็นอีกคนยืนกอดอกพิงกำแพงรออยู่แล้ว

“หวัดดี มาเช้าเลย”

มหาสมุทรเพียงพยักหน้าตอบ ประหยัดคำพูดอะไรขนาดนั้นวะ แต่ก็ช่างเถอะ มันเดินนำผมก็แค่เดินตาม กลัวหลง

ห้องอ่านหนังสือที่มหาสมุทรว่าเป็นห้องแคบๆ มีโต๊ะตัวนึงกับที่นั่งซึ่งบิวท์อินติดกับกำแพงทั้ง 3 ฝั่ง

ผมวางชีทกับกระเป๋าดินสอลงบนโต๊ะ มองกองหนังสือมากมายแล้วก็นึกหวาดกลัว ถ้าต้องอ่านหมดนั่นขอดร๊อป ไม่สิ ลาออกไปช่วยแม่เก็บปาล์มและกรีดยางเลยดีกว่า

“ทบทวนบทเรียนมาบ้างรึยัง”

“ไม่มีเวลาอะ เมื่อคืนกู...”

“ไม่อยากฟังคำแก้ตัวนะ เอานี่ไปอ่านไม่เข้าใจตรงไหนค่อยถาม”

ผมหยิบสมุดบันทึกขนาดเท่าฝ่ามือมากวาดสายตามองลายมือที่ไม่บรรจงแต่ก็เป็นระเบียบอ่านง่าย พยายามทำความเข้าใจตัวอักษรที่ปรากฏแต่จะหาว่าผมโง่ก็ได้นะ ตัวอักษรพวกนี้มันคืออะไรกันวะ ไม่เข้าใจเลย งงไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสภาวะไร้สมองเฉียบพลัน

“มหาสมุทรครับ” ผมเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เวลาราว 20 นาทีในห้องสมุดอันเงียบงันไม่ได้ช่วยให้ผมปรับตัวได้เลยสักนิด

“อะไร”

“ไม่เข้าใจเลย งงไปหมด”

“ในหัวนั่นมีสมองอยู่บ้างมั้ย” หง่อววว~ ปากร้ายเลเวล 24 แต่ความใจดีก็กลบเกลื่อนความปากร้ายนั้นไปเกือบหมดเมื่อเพื่อนสนิทหมาดๆ ของผมดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา จรดดินสอเขียนอะไรบางอย่างแล้วเริ่มอธิบาย

ปกติมหาสมุทรไม่ใช่คนน่ามอง จะว่าอย่างไรดี เป็นคนตัวโตๆ สวมแว่นเชยๆ ผิวแทนตามประสาหนุ่มไทยแท้ แต่พออีกฝ่ายเริ่มพูด แสดงความเฉลียวฉลาดที่ค่อนข้างเข้ากับบุคลิกมันทำให้เขาดูดีขึ้นจนไม่อาจละสายตาไปที่อื่นได้ พูดง่ายๆ ก็คือน่ามองมากนั่นแหละ

“เข้าใจบ้างมั้ย”

“หืม” เมื่อกี้ว่าไงนะ

พอผมขมวดคิ้วทำหน้างงจัดคนตรงหน้าก็ถอนหายใจใส่แรงๆ จนผมหน้ากระพือ

“ไอ้นั่นน่ะต้องกลับหัวมองเหรอวะ” ลำพังอ่านหนังสือถูกทิศทางยังไม่ค่อยเข้าใจ ดังนั้นเพื่อให้มองกระดาษตรงหน้ามหาสมุทรได้เต็มตามากขึ้นผมจึงย้ายไปนั่งข้างๆ มัน เท้าคางมองแล้วยิ้ม “แบบนี้สิค่อยดีหน่อย”

“เข้าใจแล้วเหรอ”

“เปล่า”

“แล้วอะไรที่บอกว่าดี”

“ก็กระดาษไง นั่งอยู่ฝั่งนู้นตัวหนังสือมันกลับหัว นั่งตรงนี้มองเห็นถนัดเลย ติวสิพร้อมแล้ว”

“มึงควรจะพร้อมตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้แล้ว”

ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่เถียง แต่ก็นะบอกแล้วไงว่าร่างกายแอนตี้คณิตศาสตร์หนักมากเลย

จะว่าไปสแตทนี่ไม่ใช่เรื่องตลก ถ้าไม่ใช่วิชาบังคับที่นักศึกษาทุกคนต้องเรียนผมไม่มีทางเฉียดใกล้มันแน่ๆ กว่าจะซึมซับความรู้ในบทเรียนแรกที่มหาสมุทรกรอกหูเป็นพันๆ ครั้งว่าง่ายที่สุดแล้วเข้าหูมาบางส่วนก็ใช้เวลาตลอดช่วงเช้า ผมเผลอหลับไปตอนมหาสมุทรตรวจแบบฝึกหัดจำนวน 2 ข้อที่ผมเพิ่งทำเสร็จแบบยากลำบาก

“มินเนี่ยน!!!!!”

เหี้ย! ระเบิดลง

ผมสะดุ้งตื่น กวาดข้าวของตรงหน้ามากอดไว้แนบอก ผุดลุกขึ้นตั้งท่าจะก้าวออกจากห้องทว่าก็ถูกมือของใครอีกคนคว้าแขนเอาไว้

“มึงจะไปไหน”

เออ นั่นสิ จะไปไหน

ผมยืนนิ่งรวบรวมสติ มองไปยังมือที่ยังจับแขนของผม ไล่สายตาไปตามต้นแขน ไหล่กว้าง ลำคอจนสบเข้ากับดวงตาเบื่อหน่ายที่คุ้นเคย

“เอ่อ เมื่อกี้เสียงมึงเหรอ” เกาคอเก้อๆ ระหว่างถาม

“เออ แล้วมึงจะไปไหน”

“กู...” ถ้าบอกไปว่าตกใจเสียงมันต้องถูกหาว่าขวัญอ่อนแน่เลย “หิวข้าวว่ะ”

“ก็ควรหิว นี่เที่ยงแล้ว” บอกเวลาผมแต่เจ้าตัวกลับขยับไปนั่งอ่านหนังสือต่อ

“มึงไม่หิวข้าวเหรอ”

“หิวก็ไปหาข้าวกิน อย่ามากวน”

“เที่ยงแล้วไง ไปกินข้าวเดี๋ยวกูเลี้ยง”

“ไม่ต้องมาอวดรวย”

“มหาสมุทรไม่คิดว่ากูเป็นคนดีมีน้ำใจบ้างเหรอ” คนตัวโตเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันแล้วก้มอ่านหนังสือต่อ

“ถ้าอยากเลี้ยงก็รอก่อน อ่านนี่เสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน”

ผมนั่งลงเพื่อรอ หยิบมือถือขึ้นมาเปิดเว็บตูน อ่านกุกูกาก้า คอมมิคสัญชาติเกาหลีที่ไอ้ป๊อบแนะนำมา ลองอ่านไปตอนนึงแล้ว เป็นคอมมิคที่จี้ดีนะ เบาสมอง อ่านแล้วหยุดขำไม่ได้เลย แต่ในห้องสมุดะเนอะ แถมคนตรงข้ามยังอ่านหนังสือด้วยท่าทางเคร่งเครียดสุดๆ อีก ผมก็ได้แต่ขำคิกคักเบาๆ ด้วยความเกรงใจ

“ถ้ามึงจะเสียงดังก็ออกไปรอข้างนอก” ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ไอ้หมาเพื่อนรักก็เงยหน้าขึ้นมาดุกัน ผมก็จ๋อยสิครับบ รีบคว่ำหน้าจอมือถือลงแล้วทำเป็นหยิบหนังสือมากางออก กวาดสายตามองพอเป็นพิธี

เมื่อเห็นว่าผมสงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้ว ไอ้หมาก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

ผมเองก็ฉวยโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาอ่านคอมมิคต่อเหมือนกัน กลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดงอะครับ เหนื่อยฉิบหายแต่หยุดอ่านไม่ได้เลย

แต่ว่า...

อ่านกุกูกาก้าไปหลายตอนมากแล้วอะ ทว่าคนอ่านหนังสือก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดอ่านเลย

“มึง” ชั่งในอยู่นานเลยกว่าจะกล้าสะกิดแขนคนตรงข้ามพร้อมเรียกเบาๆ ให้มันเงยหน้าขึ้นมามอง

“อ้าว ยังรออยู่อีกเหรอ” ไอ้!!! เหี้ย ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามัน นี่ผมนั่งอ่านคอมมิครอตั้งนาน ดุกันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วก็ลืมกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ นี่จดจ่อกับหนังสือมากเกินความจำเป็นหรือเปล่า

“มึงไม่รู้จริงๆ หรือแค่แกล้งกูวะ” การลืมคนที่หัวเราะคิกคักอยู่ตรงหน้าเนี่ยคิดหลายตลบแล้วก็ได้คำตอบว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ทว่าคนถูกถามกลับเพียงแค่ไหวไหล่ไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย

“นี่ไม่หิวแล้วเหรอ”

“รีบเก็บของเถอะ ก่อนที่กูจะโมโหหิวแล้วแดกหัวมึง”

“กูก็ไม่ได้บอกให้รอป่ะวะ”

“ไม่รู้ไม่ชี้เว้ย ไหนๆ กูก็รอแล้ว มึงก็ต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนกู”

ที่จริงผมโมโหหิวแล้ว เห็นไอ้หมาเก็บของบนโต๊ะอย่างอ้อยอิ่งแล้วแม่งหัวอุ่น ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยมันกวาดของลงกระเป๋าเป้ พริบตาเดียวเท่านั้น เสร็จจ้า

“มึงมาไงอะ” ผมถามขณะเดินลงบันไดมายังชั้น 1 ไอ้ห่านี่จะมารักสุขภาพไรตอนกูหิวข้างอะ ชวนลงลิฟต์ก็ไม่ลงเสือกเดินลงบันได

“บัสมอ”

“งั้นไปรถกู”

“บ้านมึงอยู่ไกลเหรอ ขับรถมามอเนี่ย”

“หอพักข้างมออะ”

“ถ้าใกล้ก็ควรใช้บริการบัสนะ เอารถส่วนตัวมาวิ่งเปลืองพลังงานแถมยังทำให้รถติดอีก”

อะไรของมันวะ อยู่ๆ มาสอน รู้น่าว่าขับรถส่วนตัวมามันทำให้เปลืองพลังงานและโลกร้อน แต่ว่ามันสะดวกกว่านี่หว่า บัสมอน่ะ เข้าป้ายบ่อยก็จริงหรอกแต่คนแน่นทุกคันจ้า

“วันเสาร์เขาให้ยืมหนังสือได้ด้วยเหรอ” ผมถามเมื่อคนข้างกายหยุดที่เคาน์เตอร์เพื่อยืมหนังสือหนาๆ เล่มนึง

“มึงเป็นเฟรชชี่เหรอ”

“เห็นหน้าอ่อนๆ งี้ ปี 3 แล้วนะครับผม”

“อยู่มอมาตั้ง 2-3 ปี ควรจะรู้เรื่องมอมากกว่านี้ป่ะวะ ออกจากกะลาบ้างนะมึงอะ” ไอ้สัส อย่างเจ็บ โลกภายนอกแม่งโหดร้าย กลับเข้ากะลาแป๊บ ถุย!

“ละแถวนี้มีอะไรอร่อยๆ กินมั้ยวะ” ถ้าขืนยังคุยเรื่องเดิมต่อมีหวังผมถูกบ่นมากกว่านี้แหง เพราะงั้นก็เปลี่ยนเรื่องเถอะจะได้จบๆ

“ไม่รู้ ปกติกูมาอ่านหนังสือไม่ได้มาหาไรกิน” จ้า พ่อคนขยัน พ่อนักศึกษาทุนเรียนดีผู้รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

“อ้าว อ่านหนังสือแล้งไม่กินข้าวกินปลาวะ”

“เรื่องของกู” หาว่าผมขี้เสือกงี้ป่ะ ไม่เป็นไรหรอก ผมสตรองอยู่แล้ว ยืดอกเสือกต่อ

“เรื่องของมึงก็เหมือนเรื่องของกูอะ เพื่อนกัน”

“ใครเพื่อนมึง”

คุยกันแป๊บๆ ก็มาหยุดข้างบีเอ็มลูกรักผมแล้ว

“นั่งรถกูก็เป็นเพื่อนกูหมดแหละ”

“งั้นกูลง” และมันก็ตั้งท่าจะปลดเบลท์จริงจนผมต้องรีบคว้าไว้

“กินข้าวกับกูก่อน นะครับมหาสมุทรเพื่อนรัก”

“ใครเพื่อนมึง”

“มึงไง เพื่อนกูจบนะ” ผมเลิกคุยกับมันแล้วออกรถ ไปกินร้านตามสั่งแถวหอละกัน ร้านนั้นอร่อย ผมชอบและหวังว่าเพื่อนใหม่จะชอบเหมือนกัน

ช่วงบ่ายวันเสาร์คนก็ยังเยอะอยู่ เราสั่งอาหารง่ายๆ อย่างข้าวผัดไก่ ไข่ดาวสุกๆ กับกระเพราปลาของคนถนอมสมอง ถุย! ไอ้มหาสมุทรแม่งหลอกด่าผมอีกละอะ

“ปกติมึงอ่านหนังสือจนไม่กินข้าวเลยเหรอวะ”

“ไม่เสือก”

“มึงรู้ป่ะว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ”

“กูไม่ได้จะไปรบกับใครซักหน่อย” นี่กวนอวัยวะส่วนล่างใช่มั้ย แต่ไอ้หมามันหน้านิ่งเกินไป เดาไม่ถูกเลยว่าอารมณ์ไหน

“ไม่ไง ก็แบบมึงใช้สมองเยอะ ก็ควรจะกินอาหารให้มันบำรุงทั้งร่างกายและสมองงี้”

“มึงนี่ดูเหมือนจะฉลาดเนอะ”

“เออ กูฉลาด” เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้แม่งด่าผมว่าโง่ป่ะวะ เนี่ยกล้าด่ากัน แปลว่าสนิทกันแล้วชัวร์

เอาจริง นี่คิดว่ามหาสมุทรเป็นคนพูดน้อยซะอีก ที่จริงก็ปากดีใช่เล่นอะ เถียงทุกคำ สมองประมวลผลโคตรเก่ง

“มึง”

“อะไร” ทำไมต้องขู่ด้วยอะ แค่เรียกเฉยๆ ไม่ได้คิดจะแย่งข้าวมึงกินเลย

“ขอชิมคำได้ป่ะ” ซักหน่อยละกัน ยังไม่เคยลองกินกระเพราปลาเลย คิดว่าเนื้อปลาเวลาโดนน้ำมันแล้วจะแหยะๆ แต่ไม่สักนิด ผิวเหลืองๆ น่ากินโคตร

“ไม่” เนี่ยคนใจร้าย ตอบโคตรห้วนไม่สนใจมิลเลียนแนร์ที่กระพริบมองปริบๆ อย่างกำลังโหยหาความรักความเมตตาเลย

“แลกกันมั้ย กูยกไก่ให้มึง 2 ชิ้นเลย ยอมขาดทุน”

“กูไม่อยากเป็นเก๊า”

“เก๊ารักเตง” ผมยิงมุกทันทีเมื่อมีโอกาสพลางยิ้มจนแก้มแทบแตก

“พ่อมึงเป็นระนาดเหรอ” อ่อม เล่นถึงพ่องี้มหาเศรษฐีก็ต้องสงบปากสงบคำหน่อยละครับ กลัวหัวอุ่นเม๊งมันแล้วพี่คนเก่งเขาจะไม่ยอมติวหนังสือให้

“สมุทร มึงทำไงถึงเรียนเก่งวะ”

“ตั้งใจเรียนสิ”

โห ยากอะ เกิดมาไม่เคยตั้งใจเรียน ถามว่ามีวิชาไหนที่ชอบเป็นพิเศษมั้ย บอกเลยว่าไม่มี ก็แค่เรียนๆ ไปให้มันจบ

“นี่สมุทร”

“แดกมั้ยข้าวอะ ชวนคุยอยู่ได้”

“อ่า…” นั่นสิ ขณะที่ข้าวในจานตรงข้ามพร่องไปกว่าครึ่งแล้ว ข้าวผัดในจานผมยังไม่ลดลงสักนิด

ไม่ได้กลัวอะไรไอ้คุณมหาสมุทรซักนิดเลย แต่หิวข้าวไงก็เลยก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายสั่นครืดๆ สนั่นไปทั้งโต๊ะนั่นแหละผมจึงเงยหน้ามองมัน

“ว่าไง” โห ไรวะ พูดกับปลายสายโคตรสุภาพ เสียงนุ่มอย่างกับปุยฝ้าย ไม่ยุติธรรมอะ “อยู่ไหนนะ รออยู่นั่นอะ เดี๋ยวซีไป”

เดี๋ยว ซี ไป

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

เดี๋ยว ซี ไป

หวายยยย!! แทนตัวด้วยชื่ออะ โคตรแบ๊วไม่เข้ากับหน้าตา คงเพราะผมจ้องนานไป คุณเดี๋ยวซีไปจึงตวัดสายตามองกันให้รีบหลบตา

“ค่าข้าวเท่าไหร่”

“กูเลี้ยง” เนี่ย บอกว่าเลี้ยงไง ควักแบ็งค์ 20 สองใบออกมาวางไว้บนโต๊ะทำไมอะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอครับ

“กูกินกูต้องจ่าย” ว่าอย่างนั้นแล้วคว้ากระเป๋ามาสะพายตั้งท่าจะออกจากร้านไปด้วยท่าทางเร่งรีบสุดตีน แต่ก็ถูกผมรั้งเอาไว้

“เดี๋ยวเสะ”

“อะไรอีก” หงุดหงิดเบอร์แรงอะครับ แดกหัวมหาเศรษฐีได้แม่งคงแดก

“ถ้าจะจ่ายก็จ่ายมาให้พอ ค่าข้าว 45 ฉลาดๆ อย่างมึงคงไม่ต้องให้กูบอกเนอะว่าขาดไปเท่าไหร่”

ขาดไป 5 บาทถูกมั้ย

มองไอ้หมาคลำกระเป๋า คลำเป้ากางเกงเพื่อหาเงิน 5 บาทแล้วก็นึกขำ บางทีแม่งก็เด๋อๆ เหมือนกันอะ

“กูแปะโป้งไว้ก่อน” ทาบนิ้วโป้งลงบนหน้าผากผมจนหงายเงิบแล้ววิ่งหนีไปเฉย จะว่าแบ๊วก็แบ๊วนะแต่แม่งกดลงมาได้ นี่หน้าผากนะครับไม่ใช่เครื่องสแกนนิ้วหน้าหอสมุด



[T B C]

ที่จริงไอ้หมาของมิลเป็นคนน่ารักนะคะ ไม่เชื่อล่ะสิ
เราไม่ได้จะโฆษณาชวนเชื่ออยู่แล้ว อยากให้อ่านเพื่อพิสูจน์กันค่ะ
เขาจะน่ารักขึ้นเรื่อยๆ อะ อย่าเพิ่งเชื่อ บอกแล้วว่าต้องติดตาม
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุก Fav. นะคะ รักแหละ
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ตอนนี้มหาสมุทรหายใจเข้าออกเป็นพี่ทิวลิปคนสวย
มินเนี่ยน เอ๊ย บิลเลี่ยนสู้ต่อปาย
ฮาน้องมิลเพิ่งรู้คำแปลบิลเลี่ยนแนร์ ที่รู้มาตั้งแต่เด็กๆ คือไรอ่ะ
อยู่ใกล้ๆ ได้หยิกแก้ม
 :mew1:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

02 เพื่อนผมโดนเท


“พี่มิลแม่งหนังสือไม่เคยจะมีให้น้องอะ” เจอหน้าก็เม้งกูเลยนะน้องกล้วย

นี่มหาเศรษฐีพี่รหัสมึงนะ

“นี่พี่รู้ป่ะ ว่าหนังสือเขามีไว้อ่านไม่ได้มีไว้ต้มแดก”

ด่าเป็นชุด เอาซะสำนึกผิดไม่ทันเลย มองไอ้เด็กตัวแห้งผมยาวเคลียไหล่ ใส่แว่นกลมแฟชั่น เท้าเอวด่าผมด้วยท่าทางเอาเรื่องแล้วก็คิดซ้ำๆ ว่าสรุปใครพี่ใครน้อง

ที่จริงบริหารเนี่ยขึ้นชื่อเรื่องสาวสวยไม่น้อยหน้าบัญชีกับอักษรเลย แล้วทำไมผมถึงได้น้องรหัสเป็นสาวห้าวลูกสาวร้านซักรีดที่ปากมอมอย่างกับหมาด้วยก็ไม่รู้

ตอนเจอกันแรกๆ ก็พี่มิลอย่างนั้นพี่มิลอย่างนี้ จ๊ะจ๋าขอหนังสืออยู่หรอก แต่อยู่กันไปอยู่กันมานี่เริ่มสงสัยแล้วว่านี่น้องรหัสหรือแม่คนที่สอง ด่ากูเช้าเย็นยิ่งกว่าแม่อีก

“มีอย่างที่ไหนวะน้องรหัสให้หนังสือพี่รหัสเนี่ย” ยัง ยังไม่หยุดอีก ถ้าไม่ติดว่ามาขอหนังสือวิชาสถิติเบื้องต้นจากมันเนี่ยไม่มาเจอให้บ่นฟรีๆ หรอก

“ทำไมหนังสือใหม่จังอะกล้วย” พลิกหนังสือไปมาด้วยความสงสัยขั้นสุด มองยังไงในมือนี่ก็หนังสือใหม่ชัดๆ

“หนูเพิ่งซื้อมา” นั่น ว่าแล้วไง

“กล้วย พี่อยากได้หนังสือเก่ามึงไง”

“ให้ไอ้หมีไปแล้ว” เออว่ะ น้องแบร์ก็ลงเรียนเซ็คเดียวกับผม เจ้าตัวบอกในไลน์กลุ่มว่านั่งกินเอ็มร้อยจนตาแข็งกว่าจะลงได้

ผมเข้าใจนะ เคยทำมาแล้ว แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ต้องยินดีกับน้องมันแหละ

“แล้วกล้วยได้สแตทเท่าไหร่”

“เท่าพี่เอ้กอะ” พี่เอ้กเป็นชายหนุ่มตัวโต หน้าตาดีในระดับหนึ่ง รักเวสป้ายิ่งกว่าแฟน และเขาคนนี้คือพี่รหัสผมเอง เกรดสแตทมันน่ะเหรอ อย่างเหี้ยอะ ไม่ติดเอฟก็บุญหัวละ เรื่องเรียนพึ่งพี่มันไม่ค่อยได้ และพอได้ยินว่ากล้วยได้เกรดเท่าพี่มันก็อดคิดว่าสายเราแม่งรวมพลคนหัวทึบที่แท้จริง

“แล้วแบร์บ่นเรื่องสแตทบ้างป่ะ”

“ไม่บ่นนะพี่ แต่ก็นั่นแหละ”

“อะไร”

“ไม่บ่นก็คือแม่งไม่รู้จะบ่นไร อาจารย์สอนอะไรก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมดจ้า” สมองทึบทั้งสายจริงๆ

สุดท้ายก็ต้องควักเงินค่าหนังสือให้น้องมัน เหยดดดด~ จ่ายไอ้กล้วยแพงกว่าจ่ายที่เคาน์เตอร์ศูนย์หนังสืออีก

“พี่มิล”

“ว่า…” เรียกเสียงอ่อนเสียงหวานงี้ขนหน้าแข้งไอ้มหาเศรษฐีลุกซู่ๆ

“เที่ยงแล้วอะ เลี้ยงข้าวน้องนะ”

“นี่เพิ่งต้นเดือนเองกล้วย เงินที่แม่มึงให้มาหมดแล้วเหรอ”

“โหพี่จะไม่หมดได้ไง พวกอีรี่ชวนแดกบุพเฟต์ทุกวัน ดีนะที่หนูพยาธิเยอะก็เลยไม่อ้วน”

อ่อม…มันดีเหรอวะ

เอาเถอะ ถึงพยาธิเยอะไปหน่อยแต่ก็น้องผมอะ เลี้ยงข้าวมันจานละ 40-50 บาทขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก

“นิเทศเนอะ” ตึกนิเทศอยู่ใกล้ๆ นี้ คนน้อยกว่า อาหารอร่อยกว่า

“พี่มิลๆ หมีมันอยู่แถวนี้อะ เลี้ยงมันด้วยได้มะ?” มึงไม่ชวนพี่เอ้กด้วยเลยล่ะ เลี้ยงสายกันไปเลย

กล้วยบอกน้องแบร์กำลังเดินมาสมทบ ผมจึงยืนพิงเสากดมือถือรอ เที่ยงแล้วเนอะ ไม่รู้ว่าไอ้หมาคนติดหนังสือกินข้าวรึยังหรอก

Millionaire_ : มึงแดกข้าวกัน

Millionaire_ : นิเทศนะ ถ้าหิวก็ตามมา กูเลี้ยง

ส่งไลน์หามหาสมุทร กริบเหมือนสั่งขี้มูกลงทะเล แม่งไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่อะไรเลย เน็ตหมดเหรอ มิลเลี่ยนแนร์เติมให้ได้นะ

กระทั่งน้องแบร์มาถึง สั่งข้าว นั่งแดกจนไอ้กล้วยอิ่มไป 3 วัน ไลน์ผมก็ยังกริบอยู่

ไม่สบายใจอะ อย่างนี้ต้องโทร

“พี่มิลขอบคุณนะคะ”

“ค่า” พอผมยกมือรับไหว้ เราก็แยกกันหน้าตึก

ผมนั่งลงบนม้าหินอ่อนข้างตึกขณะโทรหาไอ้หมาเพื่อนรัก ไลน์ไปไม่ตอบก็ต้องโทรจิกงี้แหละ

เนี่ย กดโทรออกจนลายนิ้วมือจางกว่าจะรับ

“อะไร” รับสายเสียงห้วนอีก

“มึงไม่อ่านไลน์กูอะ”

“อือ ว่าแต่มีไร ถ้าไม่สำคัญมึงโดนตีนนะ” โหดจังว้า นี่มิลเลี่ยนแนร์เป็นห่วงหรอกน่าถึงได้โทรหา

“มึงกินข้าวยังอะ”

“กินแล้ว นี่มึงโทรมาเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ”

“กินตั้งแต่กี่โมง”

“9 โมง”

“นั่นมันข้าวเช้าปะครับ นี่มึงอยู่ไหนออกมากินข้าวกัน”

“กูมีสอบ”

“สอบเหี้ยไรเพิ่งเปิดเทอม”

“สนิทกันขนาดพูดสัดพูดเหี้ยกันได้แล้ว” ฟังๆ แล้วอาจเหมือนอีกฝ่ายกำลังตำหนิกันแต่ไม่ใช่หรอก น้ำเสียงมันไม่ได้นิ่งเรียบ ออกจะติดขำนิดๆ ซะด้วยซ้ำ

“อ่า ขอโทษครับคุณมหาสมุทร ว่าแต่คุณอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมซื้อแซนวิชเข้าไปฝาก”

“นี่มึงทำเพราะห่วงกูหรือหวังอะไร”

“มหาสมุทรก็มองมหาเศรษฐีในแง่ร้ายเกินไป ถ้ามึงไม่มีประโยชน์กับกูทำไมกูต้องดูแลมึงวะ”

“กูอยู่แลป ซื้ออะไรที่มีผักเยอะๆ มาละกัน แค่นี้”

คร้าบท่าน ซักครู่นะคร้าบ มหาเศรษฐีจะไปเดี๋ยวนี้แหละคร้าบ







แลปที่มหาสมุทรพูดถึงอยู่ที่คณะไกลปืนเที่ยงแน่นอน และผมก็ช่างเป็นคนดีมีน้ำใจ ออกไปซื้อของกินแล้วเอามาให้มันถึงคณะเลย

“ไงเพื่อน” ผมร้องทักอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี วางข้าวของพะรุงพะรังที่ถือไว้ด้วยมือเดียวลงบนโต๊ะ

มหาสมุทรขมวดคิ้ว ไง งงอะเดะ ซื้อไรมาเยอะแยะไม่รู้ กลัวเพื่อนไม่อิ่มแล้วพาลจะไม่ติวสแตทให้กัน

“อะไรของมึงเนี่ย”

“แม็คชุดใหญ่ไฟกระพริบครับพี่น้อง” ผมหยิบแฮมเบอร์เกอร์ออกมาส่งให้มัน “ผักเยอะพอมั้ยวะ”

“มีแต่แป้ง”

“เลี้ยงยากจังวะ แดกๆ เข้าไปเถอะครับ แดกให้อิ่มก็พอแล้วป่าววะ”

“คิดงี้ไงสมองมึงถึงไม่พัฒนา”

ปากคอเราะร้าย แต่ช่างเถอะ เรื่องอะไรที่พอยอมได้ก็ยอม

“ก่อนหน้านี้มึงก็ลงสแตทไม่ทันเหมือนกันเหรอวะ” คนถูกถามส่งแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากแล้วพยักหน้าเนือยๆ ตอบแบบขอไปที แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างไอ้หมาจะลงสแตทไม่ทัน เข้าใจใช่มั้ย มันดูเก่ง ดูเนิร์ด ดูแล้วไม่น่าพลาดเรื่องลงทะเบียนเรียนอะ

“มึงรูป่ะ”

“ไม่”

“ยัง” ไอ้สัด ขัดตลอด

มหาสมุทรยิ้มน้อยๆ ก่อนสะบัดมือบอกให้ผมเล่าต่อ

“ตอนลงทะเบียนเรียนอะ กูนั่งแดกเอ็มร้อยรอหน้าคอมพ์ตลอด แต่แม่งลงไม่เคยทัน”

เงียบใส่กันอีก กะจิตกะใจจะไม่ถามซักคำว่าทำไมปีนี้ลงเรียนทัน

“มึงอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เหรอวะ”

“เรียนวิทยานี่อยากเป็นหมอมั้ง”

“ฝันให้ไกลไปถึงนะมึง แต่กูอะไม่เคยฝันอยากเป็นหมอเลยนะเว้ย”

“ก็ดีแล้วไง หัดเจียมเนื้อเจียมตัวบ้าง” ด่า ชม สั่งสอนหรืออะไร สมองมหาเศรษฐีประมวลผลไม่ทัน แต่ช่างแม่งเถอะ ขี้เกียจคิด

“เนี่ยกูเห็นมึงอ่านหนังสือตลอดเลย เรียนหนักมากเหรอวะ”

“มาก แล้วช่วงนี้ยังมีตัวภาระมาเกาะอีก โคตรเหนื่อย” ตัวภาระนั่นคือผมถูกมั้ย ช่างแม่ง พี่จะอยู่ใครจะทำไม

“งั้นกูไม่กวนมึงละ” ผมเก็บพวกเศษอาหารใส่ถุง

“ตลอดไป”

“แค่ตอนนี้สิเดี๋ยวกูไปเรียนละ เจอกันมึง”

“ไปเรียนตอนนี้เนี่ยนะ” ผมพยักหน้ารับ ขณะที่มหาสมุทรทำหน้าเหมือนแปลกใจ

“ทำไมอะ”

“บ่ายสองแล้วมึง มีวิชาไหนเขาเริ่มเรียนบ่าย 2”

“คลาสเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงละ แต่ไปตอนนี้ยังทัน ไม่ต้องห่วง กูทำประจำ”

“กูไม่ได้ห่วง แค่คิดว่ามึงโคตรไร้วินัย”

โดนไปอีก 1 ดอก โดนด่าแล้วสบายใจจัง ไปเรียนได้







ไอ้ป๊อบโทรมาปลุกผมตอน 7.55 อีกแล้ว

เหลือเวลาอีก 5 นาทีกว่าอาจารย์จะเข้า ผมจึงตั้งใจจะโทรกลับไปกวนมัน แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่รับ สงสัยปิดเสียงมือถือหนีไปแล้วแน่

“อ้าวๆ มาสาย” ไอ้หมาเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยสภาพสะลืมสะลือ ผมชี้เด่เหมือนคนเพิ่งตื่น

“ยังไม่ 8 โมงเลย”

“สภาพมึงเนี่ย ถามจริงได้นอนมั้ยเมื่อคืน”

“มึงนี่ชอบเสือกเรื่องกูจัง”

“นี่เพื่อนไง” เห็นคนข้างๆ เอาสมุดหนังสือขึ้นมาวางผมจึงทำบ้าง “วันนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคร้าบ”

“ถึงกูไม่รับฝากมึงก็ยัดเยียดตัวเองให้กูอยู่ดี” ก็จริงของมันแหละ ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับไป

อาจารย์เข้าห้องมาพร้อมกับบรรยากาศเย็นยะเยือก โชคดีนะที่วันนี้เอาแจ็คเก็ตมาด้วย สบาย

สบายเกินไปน่ะสิ วันหลังมหาเศรษฐีจะเอาหมอนมาด้วย อากาศเย็นๆ กับเสียงอาจารย์ที่ขับกล่อมชวนให้เคลิ้มหลับ

เป๊าะ!!

ทว่าในตอนที่ตาปรือจวนจะปิด แรงปะทะจากด้ามปากกาก็ฟาดเข้าที่หน้าผากอย่างแรง สดชื่นตื่นเต็มตา

“ถ้ามึงหลับกูไม่ติวให้นะ” คำประกาศิตของไอ้หมาเพื่อนรักทำเอาผมต้องขยับตัวนั่งหลังตรง จัดสมุดหนังสือให้วางไว้ตรงหน้า

“หน้าไหนแล้ววะ”

“12”

ผมเปิดหนังสือไปที่หน้า 12 ตามที่เขาบอก แอบเหลือบมองหนังสือของไอ้หมาแล้วก็นึกอิจฉามัน

“พี่รหัสมึงนี่ดีเนอะ”

“อย่าชวนคุย”

จ้า ผมรีบหุบปากฉับ มองตรงไปยังอาจารย์ที่กำลังร่ายเวทย์ขับกล่อมแล้วก็อ้าปากหาว ตาผมปรือมาก จะหลับแหล่มิหลับแหล่แต่ก็ต้องพยายามเปิดตาไว้ ไม่อยากขัดคำสั่งเพื่อน เดี๋ยวเขาโกรธ

“จดอะไรบ้างมั้ยมึงอะ”

“จดไรอะ ฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่องเลย”

“ถามจริงเถอะ”

“ว่า?”

“มึงพกสมองมาเรียนด้วยมั้ย”

ไอ้!!! เพื่อนรัก ยอมอะ นี่ไม่เคยยอมใครเท่านี้มาก่อนเลยนะขอบอก ผมยิ้มแห้งๆ ให้มันไปทีก่อนเดินออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเผื่อจะสดชื่นขึ้นหน่อย

“หนังสือมึงน่ะ ดีเนอะ”

ผมหันไปคุยกับคนข้างๆ ที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าหลังจากเลิกคลาส

“กูไม่ให้ยืม”

“ไม่ได้จะยืมซักหน่อย มองกันในแง่ดีบ้างก็ได้เถอะ ก็แค่จะชมว่าพี่รหัสมึงดีเนอะ ท่าทางจะเรียนเก่ง จดอะไรเต็มหนังสือเลย”

“อือ” ตอบแค่เนี้ย?

“มึงควรภูมิใจในตัวพี่รหัสมึง”

“ทำไมกูต้องภูมิใจ”

“ก็เขาให้หนังสือมึงไง ไม่เหมือนพี่กู หนังสือไม่เคยมีให้ ขอให้ติวหนังสือแม่งชวนกินเหล้า แถมยังให้กูเลี้ยงอีก ประเสริฐที่สุด”

“วันเสาร์ที่เดิม ทบทวนบทเรียนมาด้วย”

อ่าฮะ โอเคครับท่าน







“มึงเย็นนี้ไปร้านป่าว” วันศุกร์มีเรียน 10 โมงเลิกบ่ายโมง ไอ้ป๊อบเอ่ยถามตอนที่เลิกคลาสแล้ว และร้านที่ถูกกล่าวถึงบาร์เหล้าชื่อ ‘บาร์หลี’ บาร์เล็กๆ ตั้งอยู่ในแหล่งบันเทิงห่างจากมหา’ลัยออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“ไปทำไมอะ”

“วันนนี้มึงไม่ได้เล่นดนตรีเหรอ”

“ไม่อะ พรุ่งนี้กูมีติวหนังสือด้วย”

“กับมหาสมุทรอะนะ”

“อืม”

“สนิทกันได้นะมึงแค่อย่าลืมกูก็พอ” จ้า นี่คือหวงเพื่อนถูกมั้ย

“เอาจริง มันก็คงไม่อยากสนิทกับกูหรอก แต่กูช่างตื๊อไง”

“ละสรุปมึงจะกลับห้องไปนอนใช่มั้ย”

“ใช่แหละ เดี๋ยวต้องทบทวนบทเรียนสแตทซักหน่อย”

“หืม ทำไมมึงขยัน”

“การถูกไอ้หมาด่าไม่ใช่เรื่องสนุกครับเพื่อน”

ผมแยกกับไอ้ป๊อบที่หน้าตึก ต่างคนต่างไป รายนั้นเปรยๆ ว่าจะไปหว่านเสน่ห์น้องนิเทศ เชื่อเถอะว่ามันโม้ไปเรื่อย น้ำหน้าอย่างมันไม่มีทางทำแบบนั้นได้ แค่ยืนต่อหน้าสาวที่ชอบก็ขาสั่นยืนไม่ไหวแล้ว

“ขอโทษนะซี ผิดนัดอีกแล้ว”

พี่ทิวลิป

ผมมองตามเขาที่เพิ่งเดินผ่านกันไป โดยทิ้งกลิ่นน้ำหอมสดชื่นเหมือนยืนในทุ่งดอกไม้เอาไว้

ซีที่พูดถึงนี่คือไอ้หมาเพื่อนผมรึเปล่านะ

เท้าเร็วกว่าสมอง อยู่ๆ ผมก็วิ่งตามพี่ทิวลิปไป ใส่เกียร์หมาตัดหน้าเขา

“พี่ทิวสนิทกับสมุทรปะครับ”

“น้อง...” คนถูกถามเหวอไปนิด ก็แน่ล่ะ อยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้วิ่งตัดหน้าแล้วถามคำถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ที่อยู่ในแลปกับซีวันนั้นปะ”

“ครับ” ผมตอบรับอย่างรวดเร็ว วันนั้นพี่ทิวเห็นตอนที่ผมกอดไอ้หมาพอดี คงไม่คิดอะไรแผลงๆ หรอกใช่มั้ย

“แล้วถามถึงซีทำไมเหรอ”

“ผมติดต่อมันไม่ได้อะพี่ พอดียืมหนังสือมันไว้” บอกเลยว่าสกิลการตอแหลนี้น่าจะติดมาจากพี่เอ้ก พี่รหัสคนดีของผม

“เมื่อกี้พี่ยังคุยกับซีอยู่เลยนะ ติดสายพี่มั้ง น้องลองโทรอีกทีสิ”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนอะพี่”

อยู่สยาม

พี่ทิวบอกว่าอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีรถก็วิ่งมาจอดสนิทติดไปแดงอยู่กลางถนนแล้ว บ้าว่ะ ผมกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย

Millionaire_ : มึง กูอยู่ร้านหนังสือที่สยามอะ

ผมไลน์ไปขณะหาที่จอดรถ และไม่นานนักหน้าจอมือถือก็สว่างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตอบข้อความ

An Ocean : แล้ว?

Millionaire_ : กำลังเลือกซื้อหนังสือ คิดว่ามึงน่าจะช่วยได้

An Ocean : กูไม่ว่าง

Millionaire_ : ทำไมมึงไร้น้ำใจงี้วะ

An Ocean : กูก็เป็นงี้อะ

An Ocean : พรุ่งนี้มึงไม่ต้องมาละ

Millionaire_ : น้อยใจเหรอวะ




แน่ะไม่ตอบ ที่จริงก็คงอารมณ์ไม่ค่อยดีแหละมั้ง ก็เพิ่งโดนเทมานี่หว่า

ผมวนหาที่จอดรถจนเจอแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้าง พี่ทิวบอกว่านัดกับมันไว้ที่ร้านอาหาร นี่เจ้าตัวก็สั่งอาหารไว้แล้วแต่พี่เขากลับมีนัดกระทันหัน ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรหรอก สาบานเลย เสียดายอาหารอะ ไหนๆ ก็สั่งมาเผื่อ 2 คนแล้ว ก็มาช่วยกินจะได้ไม่เสียของ

ข้ออ้างทั้งนั้นแหละ

ไอ้ป๊อบเคยบอกว่าผมเป็นคนรักเพื่อนจนเสียสติ เพื่อนมัธยมก็บอกแบบนั้น ก็คงจริงอย่างมันว่า มหาสมุทรก็เพื่อนผมอะ ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่กี่สัปดาห์ ทั้งเจ้าตัวเขาก็เหมือนไม่อยากคบ แต่เพื่อนก็คือเพื่อน เป็นห่วงความรู้สึกมัน

กว่าจะมาถึงร้านอาหารก็เล่นเอาหอบเลย แอร์ในห้างไม่ช่วยอะไร ณ นาทีนี้

เห็นมหาสมุทรผ่านกระจกใสหน้าร้าน เจ้าของแว่นหนากำลังกินข้าวเหมือนคนเบื่ออาหาร คนโดนเทก็งี้แหละ ผมโดนบ่อย ชินแล้ว

“มึง กูนั่งนะ” คนถูกทักเงยหน้าขึ้น มันอ้าปากเหมือนจะห้ามแต่ไม่ทันหรอก ผมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้เสร็จสรรพแล้ว

“มึงมาไง”

“ก็บอกว่าร้านหนังสือไง หิวอะก็เลยหาของกิน แล้วก็บังเอิญเจอมึง”

“บังเอิญเหมือนแอบตามกูมา”

“กูจะแอบตามมึงทำไมครับ ว่าแต่มึงเถอะ มากับใครวะ สั่งของกินมาเยอะเลย”

“ไม่สนิทไม่เสือก”

“กูกินได้ป่ะ” ผมจัดการโซ้ยอาหารตรงหน้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่หรอก รสชาติมันจืดไปหน่อย ผมคนใต้อะ เน้นอาหารรสจัด

“ถ้าจะขนาดนี้ไม่ต้องถามกูหรอกมั้ง”

“มหาเศรษฐีไม่กินฟรีหรอกน่า เดี๋ยวช่วยจ่าย”

“ยังไม่ได้ว่าอะไร”

“ทีหลังถ้าโดนเท โทรหากูได้นะ ว่างตลอดแหละ”

“อะไรคือโดนเท”

“ช่างเหอะ” ผมบอกปัด ดีหน่อยที่พ่อคนฉลาดไม่รู้ศัพท์วัยรุ่น ผมน่ะไม่ควรพูดประโยคเมื่อครู่เลยใช่มั้ยล่ะ มันดูจงใจเกินไป

และมหาสมุทรก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ มันแค่กินข้าวเงียบๆ ไป ตาก็เหลือบมองมือถือเป็นระยะ ไม่ต้องถามก็รู้ว่ารอข้อความจากพี่ทิวลิป

หมอนี่คงไม่ได้มีดีแค่สมองแล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นคงไม่สนิทกับพี่ทิวลิปได้ขนาดนี้

“ชื่อไลน์มึงอะ เจ๋งดีเนอะ” แอนโอเชี่ยนที่แปลว่ามหาสมุทร ตอนเห็นชื่อไลน์ผผมร้องโอ้โหดังมากเลย

“เจ๋งยังไง”

“แอนโอเชี่ยนงี้ คิดไม่ถึงว่ะ”

“อืม” ตัดบทสนทนากูด้วยคำว่าอืมอีกแล้ว

“ซื้อไปทิ้งได้มั้ยวะ”

“อะไร”

“คำว่าอืมเนี่ย กูไม่ชอบ มันทำให้บทสนทนาจบ นี่กูอุตส่าห์ชวนมึงคุยนะ”

“กูไม่ได้ขอให้มึงชวน” อ่า เข้าใจแล้ว มหาเศรษฐีผิดเองสินะ ไม่เป็นไร ความพยายามไม่เคยทรยศใครเว้ย

“เราเปลี่ยนที่ติวหนังสือบ้างไม่ได้เหรอวะ กูไม่ค่อยชอบบรรยากาศห้องสมุดว่ะ มันเงียบจนเกรงใจ”

“งั้นก็ไม่ต้องมาเรียน” บอกผมเสียงเรียบแล้วก็หยิบบิลค่าอาหารลุกขึ้นไปจ่ายตังค์ที่เคาน์เตอร์เฉยเลย

มองตามแล้วก็แอบหัวเสียอยู่หน่อยๆ อะไรของมันวะ ถามกันซักคำมั้ยว่าอิ่มยัง แม้อาหารบนโต๊ะจะยังเหลือแบบถ้าพ่อครัวเห็นต้องหลั่งน้ำตาแต่ผมก็ต้องตัดความเสียดายทิ้งแล้วรีบวิ่งตามมันไป

“คนละเท่าไหร่วะ” ผมควักกระเป๋าออกมาพลางมองบิลค่าอาหารในมือมัน

เร็วสิวะ อยากจ่ายค่าอาหารจนมือสั่นแล้วเนี่ย

“ไม่เป็นไร”

“ได้ไง กูกินเยอะกว่ามึงอีก”

“ถ้ามึงไม่มากูก็จ่ายคนเดียวอยู่ดี”

“แต่นี่กูมาไง ให้กูช่วยจ่ายดิ”

“กลับเหอะ” จบเรื่องหารค่าอาหารมื้อนี้เพียงเท่านั้นเพราะเจ้ามือขยำบิลทิ้งถังขยะแล้วเดินนำไปแล้ว

แน่นอนว่าผมเดินตามมันสิ

“มึงจะกลับเลยเหรอ กลับไงอะ กูเอารถมานะ กลับกับกูได้”

“หนังสือที่มึงบอกจะซื้อน่ะ ไม่ต้องซื้อให้เปลืองตังค์หรอก”

ก็ไม่ได้คิดจะซื้อแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็แอบสงสัยแหละว่าทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“อย่างมึงน่ะซื้อมาก็ไม่อ่านหรอก เสียของ เปลืองตังค์อีก”

อ๋อ หาเรื่องด่ากันนี่เอง

แต่ไม่เป็นไร โดนด่าแล้วนอนหลับฝันดี

หอพักมหาสมุทรอยู่คนละฝั่งกับหอพักของผมเลย ประมาณว่าพอเดินออกจากมหาลัยฝั่งนิเทศ เลี้ยวขวาไปหอมัน เลี้ยวซ้ายไปหอผม

“จะไม่ขอบคุณกูซักคำ” ผมจอดรถที่หน้าตึกกลางเก่ากลางใหม่ขนาด 7 ชั้น

คนถูกทักที่เพิ่งก้าวลงจากรถยังไม่ปิดประตูดีเอี้ยวตัวกลับมามองแล้วทำหน้าเหนือ

“เลี้ยงข้าวแล้วไง ยังต้องการอะไรอีก”

มาคอยดูกันว่ามันจะใช้เหตุผลนี้กับผมอีกกี่ครั้งกัน





[T B C]

นอกจากเรื่องความรวยแล้ว ความรักและความเอาใจใส่เพื่อนของมิลเป็นอีก 1 ข้อดีที่ซักวันมหาสมุทรต้องใจอ่อนยอมเป็นเพื่อนด้วยจริงๆ แน่
คิดว่าอย่างนั้นนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
คุยกันได้ที่ #หมามิล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ติดตามนะค๊ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

03 เพื่อนผมไม่มีเพื่อนซักคน


“เรียนวิทย์นี่ควิซบ่อยเหรอวะ” การติวหนังสือของเราจบไปอย่างทุลักทุเล ผมแทบกระอักเลือดและตายในห้องติว แต่ก็ต้องนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ไว้ครับ อุตส่าห์ส่งควายมาเรียนก็ต้องอดทนหน่อย

“ก็ปกติ ถามทำไม”

“เห็นมึงอ่านหนังสือตลอด”

“ว่างๆ ก็อ่าน”

“เพราะไม่มีเพื่อนเหรอวะ” เงียบเลย พอมันเงียบผมก็รู้สึกผิดขึ้นมา “ขอโทษเว้ย คือกูเห็นมึงอยู่คนเดียวตลอด ถ้าเหงาหรืออยากกินเหล้าโทรหากูได้นะมึง”

“ไม่เหงา”

“แต่กูเหงานะ เวลาอยู่คนเดียวอะโคตรเหงา เวลาไม่เจอมึงกูก็โคตรคิดถึง”

“คิดถึงเหี้ยไร”

“ไม่ได้คิดถึงเหี้ยแต่คิดถึงมึง คิดถึงจริงๆ นะ คิดถึงไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้” ตัดรอนขั้นสุด

“แล้วถ้าเป็นพี่ทิวล่ะ คิดถึงมึงได้มั้ย” นั่น เงียบอีกละ ผมพูดสิ่งที่ไม่ควรอีกแล้วใช่มั้ยวะ งั้น... “ขอโทษมึงบางทีปากกูก็เร็วไปหน่อย”

“มึงจะกลับยัง กูจะอ่านหนังสือแล้ว”

“วันจันทร์กูไม่มีเรียนอะ ก็เลยว่าจะกลับบ้านคงไปกินข้าวเที่ยงกับมึงไม่ได้นะ” ผมวางแซนวิชทูน่าสลัดที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทหน้าหอลงบนโต๊ะ “มึงอยากได้ไรเป็นของฝากป่าว”

“ไม่” เชื่อแล้วจ้ะว่าไม่อยากได้จริงๆ

“บ้านกูผลิตน้ำมันปาล์มอะ เดี๋ยวเอาน้ำมันมาฝากมึงละกัน”

“ไม่อยากได้”

“เอาหน่อยน่า กูอุตส่าห์มีน้ำใจ” คนถูกผมยัดเยียดน้ำมันไม่ว่าอะไร ผมจึงยิ้มให้มัน บังคับให้กินแซนวิชแล้วหอบสมุดกับชีทเรียนออกจากห้องสมุดมา

จะว่าไปนี่ก็เกือบ 1 เดือนแล้วมั้งที่รู้จักกับมหาสมุทร ไม่คิดเหมือนกันว่าอย่างผมจะมีเพื่อนเป็นเด็กทุน แอบภูมิใจอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน อย่างนี้ต้องอวดแม่ซักหน่อย

บ้านผมอยู่ตรัง แต่ผมกลับบ้านบ่อยเหมือนบ้านอยู่นครปฐม แม่ชอบว่าอย่างนั้นตอนผมโผล่หน้าไปที่บ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

ที่จริงตอนเป็นเด็กผมไม่ใช่คนติดบ้านหรอก ติดเพื่อนมากกว่าอีก แต่พอต้องห่างบ้านจริงๆ กลับโหยหาและอยากกลับมาบ่อยๆ ผมชอบขับรถด้วยแหละ ขับไปเรื่อยๆ ไปโผล่เชียงใหม่ก็เคยมาแล้ว ไม่รู้สิ ผมชอบขับรถไปตามที่ต่างๆ บางคนอาจจะติดกล้องไปด้วยเพื่อเก็บภาพประทับใจ แต่ผมไม่ใช่อย่างนั้น ถ่ายภาพไม่เก่งจึงเลือกเก็บความประทับใจเหล่านั้นด้วยตาและความทรงจำ

ผมแวะที่ทะเล ถ่ายรูปด้วยกล้องมือถือส่งไปให้ไอ้ป๊อบ ไอ้กล้วย น้องแบร์ พี่เอ้ก กำลังจะเก็บมือถืออยู่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรส่งไปทักทายไอ้หมาซักหน่อย

ชื่อมหาสมุทรก็น่าจะชอบทะเลใช่มั้ยล่ะ

คนอื่นเขาก็ตอบไลน์ผมหมดนะ ยกเว้นคนเดียว คนที่คุณก็รู้ว่าใคร แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากมันหรอก ตราบใดที่ยังติวสแตทให้กันก็โอเค

“ป๊า” บนโต๊ะอาหารเย็นวันอาทิตย์ พ่อของผมตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย ขณะมองมายังผม

“อะไร เรียกแล้วก็พูด”

“รู้ป่ะว่ามิลเลี่ยนแนร์แปลว่าเศรษฐีเฉยๆ”

“อ้อหรอ อั๊วไม่รู้หรอก อั๊วเป็นคนจีนไม่ใช่ฝรั่ง” ผมติดนิสัยโยนความผิดให้พ้นตัวมาจากป๊านี่แหละ

“แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะพี่มิล” น้องแบ็งค์เอ่ยถามขณะเคี้ยวข้าวด้วยสีหน้าพะอืดพะอม เห็นบอกว่าจะลดความอ้วนด้วยการกินผัก นี่ผมอยู่กับมันมาเท่าอายุยังไม่เคยเห็นมันกินผักได้

“ก็เพื่อนที่มอ...”

“อย่าบอกนะว่าพี่มิลก็เพิ่งรู้”

“เออดิ”

“ทำไมพี่ชายแบ็งค์โง่งี้อ่ะ”

“ไม่ได้โง่แค่รู้ช้า” โง่แหละแต่ไม่ยอมรับง่ายๆ หรอก

“แต่ชื่อมิลก็ดีแล้วป่ะ ถ้าเอามหาเศรษฐีก็จะเป็นบิลเลี่ยนแนร์ พี่มิลอยากชื่อบิลเหรอ ไม่เห็นจะน่ารักเลย เรียกยากอีก”

ก็ไม่เถียงหรอก ที่จริงผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่สงสัยเฉยๆ แต่ตอนนี้สบายใจละ นอกจากผมที่รู้ช้า ป๊ารู้ช้ากว่าอีก

พอมื้อค่ำจบต่างคนก็ต่างแยกย้าย น้องแบ็งค์รีบวิ่งขึ้นห้อง เห็นบอกว่าอ่านหนังสือค้างไว้ หนังสือนิยายอะ ถ้าเอามาเรียงกันนี่สร้างบ้านได้เป็นหลังละ ป๊าก็ไปนั่งที่หน้าทีวี ดูมวยสบายใจไป

ส่วนผมก็ทำหน้าที่ลูกที่ดีด้วยการเข้ามาช่วยแม่ล้างจานในครัว

“แม่ เพื่อนมิลอะ มันไม่ค่อยชอบกินข้าว”

“คนที่ติวหนังสือให้เราน่ะเหรอ”

“ช่าย” ผมพยักหน้าแรงๆ อย่างที่ชอบทำ

“แล้วทำไมเขาไม่ชอบกินข้าวล่ะลูก เขาเป็นฝรั่งชอบกินขนมปังเหรอ” ดูมุกแม่ผม ขำให้คุณเขาหน่อย เดี๋ยวจะโดนหักค่าขนม

“มันเอาแต่อ่านหนังสืออะดิ ข้าวปลาไม่กิน”

“เป็นเด็กขยันนะเนี่ย เพื่อนอ่านหนังสือก็ดีแล้ว เราก็ควรจะอ่านด้วยเหมือนกันนะ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” ว่าไปถึงโน่นแน่ะคนเรา

“มิลก็อ่าน ไม่อยากตกวิชานี้อะลงยาก แต่เอาจริงๆ นะแม่ มันเพื่อนมิลอะ มิลก็ห่วงสุขภาพมัน”

“ห่วงเขาก็ดูแลเขาสิ เหมือนแม่ดูแลพ่อ”

“ไม่เหมือนกันมั้ยอะ มันเป็นผู้ชาย จะให้มิลดูแลเหมือนผัวเมียเหรอ” แม่หัวเราะเบาๆ วางจานใบสุดท้ายลงในอ่างให้ผมจัดการต่อ

“เป็นผู้ชายก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นห่วงก็ดูแลเขา เราจะได้สบายใจ”

พูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นแล้วก็เดินออกจากครัวไปนั่งเชียร์มวยกับพ่อ

แต่ไหนแต่ไรแล้ว ครอบครัวของผมสอนเสมอว่า เพื่อนคือคนสำคัญรองจากครอบครัว ในโลกใบนี้มีคนมากมายการที่เราได้คบกับใครเป็นเพื่อนนั้นเป็นเรื่องที่ดี และยิ่งเป็นเพื่อนที่จริงใจต่อกันก็ยิ่งต้องรักษาเอาไว้

ไม่รู้หรอกว่ามหาสมุทรเป็นเพื่อนประเภทไหน เอาเข้าจริงมันอาจจะไม่มองว่าผมเป็นเพื่อนมันด้วยซ้ำ แต่ผมเห็นมันเป็นเพื่อนแล้วไง ก็อย่างที่แม่บอกแหละ เป็นห่วงก็ดูแลเขา เราจะได้สบายใจ







“พี่มิลๆ” เช้าวันจันทร์ขณะที่ผมเก็บของฝากไว้ท้ายรถเตรียมตัวกลับกรุงเทพ น้องแบ็งค์ก็วิ่งกระหืดกระหอบอุ้มโน้ตบุ๊กมา

ท่าทางประหลาดๆ ของน้องสาวสร้างความแปลกใจให้ผมมากทีเดียว

“มีอะไร”

“พี่มิลดูนี่สิ ใช้น้องรหัสพี่มิลที่ชื่อพี่แบร์ป่ะ”

บนหน้าจอโน้ตบุ๊กปรากฎหน้าเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของเครื่องเปิดเอาไว้ เนื้อหาในกระทู้นั้นเป็นภาพพอร์ทเทรตที่เหมือนจะธรรมดา แต่มันแตกต่างตรงที่นางแบบเป็นสาวเจ้าเนื้อหน้าตาสวย ใช่แหละ คนในกระทู้คือน้องแบร์

“แล้วไงอะแบ็งค์” ดูรูปแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“ก็เนี่ย เห็นคอมเมนท์ยอดนิยมมั้ย ด่าพี่แบร์เหมือนพี่แบร์ไปเผาบ้านมันเลย”


          ‘ภาพสวยนะแต่เปลี่ยนนางแบบเถอะ ร่างนางโคตรใหญ่
          พูดตรงๆ ก็อ้วนอะ ถึงหน้าจะสวยแต่ก็ไม่ช่วยอะไรนะจ๊ะ
          ก่อนจะมาเป็นแบบถ่ายภาพให้ใครหัดสำรวจดูสารรูปตัวเองบ้างเถอะ
          ตัวใหญ่คับกล้องจนไม่เห็นวิวแล้ว
          เห็นขาหล่อนแล้วฉันไม่อยากกินขาหมูเลยอะ รังเกียจ จะอ้วก’


ยอมรับว่าแรง ขนาดผมไม่ใช่คนถูกวิจารณ์ยังจุกกับคำดูถูกเหยียดหยาม
         
 
           ‘ตามไปดูนางแบบในเฟซ นางเอ็นจอยอีตติ้งนะคะ
          อ้วนขนาดนี้ควรจะลดน้ำหนักค่ะ ไม่ใช่เพิ่มน้ำหนัก
          อย่าหาว่าพี่สอนเลย ห่วงสุขภาพตัวเองบ้าง’


แทนที่คอมเมนท์ในกระทู้จะวิจารณ์ภาพถ่ายอย่างที่เจ้าของกระทู้ต้องการ หากความเห็นส่วนใหญ่กลับผิดประเด็นไปวิจารณ์น้องแบร์จนไม่มีชิ้นดี

ฉิบหายเอ้ย ป่านนี้ไม่รู้ว่าน้องจะเป็นยังไงบ้างเลย

“หูย จำเป็นต้องด่ากันขนาดนี้เลยเหรอ ก็แค่อ้วนเอง อ้วนแล้วผิดตรงไหนวะ” น้องแบ็งค์บ่นอย่างคนอินจัด ก็ควรอินเพราะน้องคนเล็กของผมก็อวบระยะสุดท้ายแล้ว

“ชาวโซเชียลก็แบบนี้แหละ”

“พี่มิลฝากบอกพี่แบร์นะว่าน้องแบ็งค์จะจัดการพวกนางให้เองไม่ต้องเป็นห่วง”

“สนิทกับแบร์เหรอ” เห็นน้องคนเล็กพูดด้วยท่าทีจริงจังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันไปสนิทกันตอนไหนไม่เห็นบอกกล่าวกันบ้าง

“เปล่า ไม่สนิทหรอก แต่น้องแบ็งค์ทนไม่ได้ หัวอกเดียวกันไง น้องแบ็งค์ก็เคยโดนเพื่อนล้อ โคตรเจ็บใจอะ” น้องแบ็งค์เป็นเด็กเจ้าเนื้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนเด็กก็มีแต่คนชมว่าน่ารักแต่พอโตขึ้นกลับโดนล้อซะงั้น คนเรานี่ก็แปลกเนอะ เรื่องสนุกมีให้ทำตั้งมากมายแต่กลับเอาปมด้อยคนอื่นมาพูดเป็นเรื่องสนุกปาก เวรกรรมจริงๆ

“ก็เลยลดความอ้วนเนี่ยเหรอ”

“ช่าย”

“นึกว่ามีความรัก”

“รักอะไรล่ะ แม่บอกให้ตั้งใจเรียนจะได้ไม่โง่เหมือนพี่มิล”

“ประโยคหลังนี่ใครพูด”

“เก๊าเอง” จะโกรธก็โกรธมันไม่ลง ในเมื่อยอมรับออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาปิดแบบนั้น

“งั้นเก๊ากลับกรุงเทพแล้วนะ ไว้เจอกันนะเตง”

“ขับรถดีๆ นะคะ ดูแลพี่แบร์ด้วยนะ”

“ค่า เดี๋ยวถ้าเจอพี่แบร์ พี่จะคอลหาน้องแบ็งค์ จะได้คุยกัน โอเคป่าว”

“ไม่เอาหรอก น้องแบ็งค์เขิน ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวซักหน่อยจะคุยได้ไง”

“ก็เป็นน้องพี่ทั้งคู่อะ ไว้เจอกันนะ”

“จ้า ถึงกรุงเทพแล้วโทรหาน้องแบ็งค์นะ”

ผมสวมกอดน้องคนเล็กของบ้านอีกครั้ง มองหน้ากันแล้วยิ้มก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกมา







ผมมาถึงกรุงเทพช่วงเย็น โทรหาเจ้ากล้วยตอนแวะปั๊มแล้วได้ความว่าอยู่กับน้องแบร์ที่ใต้ตึกคณะ ผมจึงบึ่งรถมาเลย

เมื่อมาถึงก็พบสายรหัสทั้งหมดรวมทั้งสายไอ้ป๊อบอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“เป็นไงบ้างน้องแบร์” คนหน้ามุ่ยเงยหน้าขึ้นมองกันเมื่อผมก้าวไปหยุดตรงหน้า

“หนูโอเค”

“โอเคก็ยิ้มสิคะ”

“ยิ้มไม่ออกอะพี่มิล แม่งเป็นใครด่าหนูอย่างกับหนูไปแย่งผัวมันอะ อย่าหาว่าพี่สอนเลยนะคะ สอนตัวเองเถอะอีวอกว่าอย่าเสือกวิจารณ์เรื่องชาวบ้าน”

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ดูจากท่าทางแล้วคงปลอบกันมาสักพักแหละ ผมเองก็ปลอบใครไม่ค่อยเป็นซะด้วย จึงทำได้เพียงวางมือบนไหล่น้องแล้วตบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“อ้วนแล้วไงวะพี่ หนูอ้วนเพราะขอตังค์มันกินข้าวหรือไงวะ”

“...”

“อ้วนแล้วเบียดเบียนแม่งเหรอวะ เห็นคอมเมนต์นั้นป่ะ แม่งบอกว่าเกลียดคนอ้วน คนอ้วนตัวเหม็น ถามจริงพี่หนูตัวเหม็นเหรอ”

ผมส่ายหน้า น้องแบร์น่ะถึงจะดูจ้ำม่ำแต่เป็นเด็กที่สะอาดมาก “ไม่นะ”

“แล้วมีอีกคอมเมนต์นึงเว้ย บอกว่าเกลียดคนอ้วนเพราะคนอ้วนนั่งกินที่บนรถเมล์ แม่ง ทำไมต้องเหยียดกันขนาดนี้วะ คือยังไงอะ คนอ้วนไม่มีสิทธิ์นั่งรถเมล์เหรอ หนูไปไหนมาไหนต้องนั่งแท็กซี่ตลอดเลยงี้เหรอ แท็กซี่ก็โบกยากชิปเป๋งจะได้กลับบ้านไหมชาตินี้”

“น้องแบร์ถ้าเราอ่านคอมเมนต์แล้วรู้สึกไม่ดี ก็ไม่ต้องอ่านสิ” ผมมั่นใจว่าก่อนที่ผมจะมาต้องมีใครซักคนพูดประโยคนี้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเตือนสติน้องอีกครั้งอยู่ดี

“หนูรู้นะพี่มิลแต่ต่อมเสือกมันสั่นมันอยากอ่านอะพี่ หนูห้ามตัวเองไม่ได้” ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาให้พี่เอ้กต้องรีบตะครุบเอาไว้

“เนี่ย พอมึงอ่านมึงก็นอยด์ แม่งก็วนอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวกูแจ้งลบกระทู้แม่งเลย”

“ลบก็ไม่มีประโยช์ป่ะพี่ ชาวโซเซียลแชร์ในเฟซแล้วก็คอมเมนต์กันอย่างบ้าคลั่งฉิบหายเหมือนนางแบบหุ่นอวบๆ เพิ่งเคยเกิดขึ้นในประเทศไทย” ไอ้กล้วยว่าพลางส่ายหน้าหน่าย ผมเองก็หน่ายชาวโซเชียลไม่ต่างจากมันหรอก

“แล้วช่างภาพเค้าว่าไงบ้าง”

“พี่เค้าก็ขอโทษหนูแหละแต่ไม่ใช่ความผิดพี่เค้านี่หว่า”

“ใครเป็นคนถ่ายวะ”

“พี่เฌอ เอกโฟโต้ปี 3 น่ะพี่ เค้าบอกว่าเค้าเบื่อถ่ายนางแบบหุ่นดีแล้วก็เลยชวนหนู มันก็เป็นโอกาสที่ดีป๊ะแต่ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ พี่เค้าขอโทษหนูใหญ่เลย โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่นั่นแหละ หนูผิดเองที่อ้วน”

“เฮ้ย! ไม่หรอกแบร์” คราวนี้ไอ้ป๊อบเป็นคนร้องออกมา “คนอ้วนไม่ผิดเว้ย คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน เราเลือกเกิดไม่ได้มั้ยอะ แต่เราเลือกได้ว่าเราจะเป็นคนแบบไหน”

“ถูกของพี่ป๊อบนะน้องแบร์” ผมเสริม “เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เราเลือกที่จะเป็นได้นะเว้ย”

“ใช่พี่ เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เราเลือกที่จะเป็นได้ หนูจะลดน้ำหนัก” เคยได้ยินน้องแบร์พูดประโยคนี้ตอนที่เรารู้จักกันแรกๆ แล้ววันเสาร์ต่อมามันก็ชวนผมไปกินบุพเฟต์แซลมอน

“พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นแบร์” ไม่คิดว่าน้องมันจะเข้าใจผิดไปขนาดนั้น “พี่หมายถึง...”

“ช่างแม่งเถอะพี่ เดี๋ยวแบร์กลับหอแล้ว”

“งั้นพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรอะ แบร์อยู่หอใน เดี๋ยวกลับกับไอ้ดรีม” ดรีมคือน้องปี 1 สายรหัสไอ้ป๊อบ เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับน้องแบร์นี่แหละ

“งั้นรอก่อน ซื้อผลไม้มาฝาก ป๊อบไปช่วยกูหน่อย” ท้ายประโยคผมหันไปพยักพะเยิดให้ไอ้ป๊อบเดินตามหลังมา

มังคุดกล่องละ 2 กิโลกรัมถูกส่งให้กับทุกๆ คน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับหอใครหอมัน ส่วนผมต้องแวะส่งไอ้ป๊อบก่อนแล้วกะว่าจะเอาของฝากไปให้มหาสมุทรเพื่อนรักซักหน่อย

          Millionaire_ : มึงกินข้าวยัง

ผมทิ้งข้อความก่อนขับรถออกจากมหา’ลัย

          An Ocean : ยัง

          Millionaire_ : เอาไรป่าว เดี๋ยวกูแวะเข้าไปหา

          An Ocean : พูดอย่างกับมึงอยู่กรุงเทพ

          Millionaire_ : ก็อยู่กรุงเทพ เนี่ยกูซื้อของฝากมา เดี๋ยวจะเข้าไปหามึง

          Millionaire_ : กูยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน กินด้วยกันดิ

          An Ocean : ก็ได้ ถึงแล้วโทรมา เดี๋ยวลงไปรับ

          Millionaire_ : ครับผม

คิดเหมือนกันไหมว่า วันนี้มหาสมุทรใจดีผิดหูผิดตา สงสัยคงได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอล่ะมั้ง แต่ก็ดีแล้วครับ ด่ากันมากๆ ถึงจะดูเหมือนสนิทกันแต่มันก็บั่นทอนจิตใจเหมือนกันนะบางที







“อยู่หน้าหอแล้ว”

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปตอนที่ผมเอ่ยจบประโยค ไม่นานนักมหาสมุทรก็ปรากฏตัวในสภาพเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น คีบรองเท้าแตะ ผมชี้โด่เด่ไม่ได้จัดทรงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสวมแว่นอยู่ดี

“ทำไมมึงไม่ใส่คอนแทคเลนส์วะ”

“ไม่เสือกดิ” คำฮิตติดปากเหรอ “ไหนอะของฝาก”

“ไหนก่อนไปมึงบอกไม่อยากได้ไง”

“ไม่เอาก็ได้นะ”

“งอนเหรอครับ อยู่หลังรถน่ะ เอานี่ไปก่อน” ผมส่งกล่องข้าวในมือให้ก่อนเดินอ้อมไปที่ท้ายรถ ยกกล่องขนาดเท่าลังเบียร์ขึ้นแล้วพยักพเยิดให้มันเดินนำเข้าหอพักไป

“กูแบกขึ้นไปเองก็ได้นะ”

“เดินนำไปเถอะน่า หนักนะครับเนี่ย”

มหาสมุทรไม่ได้ว่าอะไร มันแค่เดินถือกล่องข้าวเดินนำผมขึ้นห้องไป

ห้องของมหาสมุทรอยู่บนชั้น 5 บรรยากาศในหอพักก็ไม่ได้แตกต่างจากหอพักของผมเท่าไหร่ แต่ดูสงบกว่า สงสัยคงเป็นหอเด็กเรียนมั้ง อันนี้เดา ส่วนหอพักผมส่วนมากเป็นเด็กบริหาร นิเทศ พวกชอบสังสรรค์ทั้งนั้น

ส่วนในห้องก็ไม่ค่อยธรรมดาหรอก หนังสือกองเต็มไปหมด โพสอิทบนกำแพงนั่นอีก มองปราดเดียวรู้เลยว่าเจ้าของห้องเป็นเด็กเรียน

“น้ำองุ่นน่ะ ให้กูเอาใส่ตู้เย็นเลยมั้ย”

“วางไว้นั่นแล้วก็กลับไปได้แล้ว”

“โห อุตส่าห์ซื้อข้าวมาให้ ไล่กันแบบนี้เลย”

“อันนี้ของมึง” เอากล่องข้าวตัวเองออกจากถุงแล้วก็ยื่นถุงใบเดิมมาให้ผม ผมก็รับมาแหละ แต่ไม่ได้เดินออกจากห้องอย่างที่เจ้าของเขาต้องการ

“กินข้าวคนเดียวมันเหงานะเว้ย กินด้วยกันดิ” ผมหยิบจานออกมา 2 ใบอย่างถือวิสาสะ เทกระเพราปลาออกจากกล่องแล้วตั้งหน้าตั้งตากินไม่สนใจคนที่เอาแต่จ้องกันไม่ยอมมากินซักที

“มึงนี่แม่งหน้าด้านว่ะ”

“เพื่อนกันน่า ขอน้ำหน่อยสิ”  ผมไม่ได้มองเจ้าของห้องหรอก ไม่รู้ว่ามันเดินไปหยิบน้ำด้วยสีหน้าแบบไหน แต่ก็แอบรู้สึกดีนิดๆ ที่มันยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“ทำไมไอ้นี่เมดอินโคราช” พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เงยหน้าขึ้น

ในมือมหาสมุทรคือน้ำผลไม้ที่ผมเพิ่งแบกขึ้นมาเมื่อครู่นี้

“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วแม่ไปเที่ยวโคราช คุณเค้าชิมแล้วติดใจก็เลยซื้อมาอย่างเยอะ แต่กินไม่ไหวก็เลยให้เอามา แต่ไม่ใช่ของเหลือนะ ซับซ้อนเนอะ”

ผมยิ้มแหยให้คนที่ไม่แสดงความรู้สึกทางสีหน้าก่อนตักข้าวเข้าปากอีกครั้ง

“มินเนี่ยน”

“มิลเฉยๆ มั้ยล่ะ”

“มึงไม่มีเพื่อนเหรอ”

“เยอะแยะ” ไม่ได้โม้นะเว้ย ผมเพื่อนเยอะจริงๆ ก็บอกแล้วไงว่าผมรวย รวยทั้งเงิน รวยทั้งเพื่อน

“แล้วมาตามเกาะติดกูทำไม เรียนด้วยกันแค่ตัวเดียว ต้องสนิทกันด้วยเหรอ” มหาสมุทรว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง เหมือนมันไม่อยากเป็นเพื่อนผมอะ แล้วไงใครแคร์ เรียนตัวเดียวก็สนิทได้

“เรียนตัวเดียวหรือสองตัว เพื่อนก็คือเพื่อนแหละ กูไม่ถือ มึงเถอะมีเพื่อนมั้ยวะ เห็นอยู่คนเดียวตลอดเลย”

“มี”

“พี่ทิวลิปน่ะเหรอ”

แน่ะ ไม่ตอบ หมายความว่าพี่ทิวลิปเป็นมากกว่าเพื่อนล่ะสิ ร้ายกาจชะมัดเลยว่ะเพื่อนผม

“ข้ามเรื่องพี่ทิวลิปไปก็ได้ ว่าแต่ไหนอะเพื่อนมึง โม้ป่ะครับ”

“เพื่อนน่ะมีแต่ไม่ชอบโชว์”

“ไม่มีก็ยอมรับมาดีๆ ครับคุณ กับเพื่อนน่ะไม่จำเป็นต้องมีฟอร์มหรอก กูเพื่อนมึงนะ”

“คือยังไงก็จะเป็นเพื่อนให้ได้ใช่มั้ย”

“ช่าย”

“ตามใจ แล้วมึงจะเสียใจที่อยากเป็นเพื่อนกับกู”

“ไม่เสียใจหรอก”

ผมรินน้ำใส่แก้วทั้ง 2 ใบที่เจ้าของห้องถือมาพร้อมกับขวดน้ำ ดันไปตรงหน้ามันแก้วนึง ยกขึ้นดื่มเองแก้วนึง

“ตอนมัธยมกูเคยทะเลาะกับเพื่อนแล้วก็เลิกคบกันไป กูเสียใจมากเลยเว้ย แต่แม่ปลอบกู เค้าบอกกูว่าการที่เราได้เป็นเพื่อนกับใครซักคนเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา ถึงแม้ว่าจะเลิกคบกันด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ก็ใช่ว่าช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดขึ้น ถึงกูไม่ได้กลับไปสนิทกับเพื่อนคนนั้นเหมือนเดิมแต่กูก็ไม่เคยเสียใจเว้ยที่ได้เป็นเพื่อนกับมัน กับมึงก็เหมือนกัน ถ้าเรียนจบเทอมนี้แล้วเราจะไม่ได้เจอกัน กูก็คงจะยังรู้สึกดีที่ได้รู้จักมึง”

เท่ป่ะ







“มิลมึงเห็นนี่ยัง”

ไอ้ป๊อบถามเมื่อนั่งลงข้างๆ กันในห้องเรียนขณะรออาจารย์เข้าสอน

“อะไรวะ”

“เพจใหญ่แม่งเล่นว่ะ” โทรศัพท์มือถือถูกส่งมาตรงหน้า เนื้อข่าวในหน้าเฟซบุ๊กเป็นเรื่องของน้องแบร์ที่เพจใหญ่เพจนึงแชร์ไป แล้วบอกเล่าวิธีรักษาสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคอ้วน

“ฉิบหายละมึง ถ้าน้องแม่งเห็นทำไงวะ”

“กูว่าเห็นแล้วชัวร์”

“ทำไงดีวะ กูว่าน้องแบร์รับไม่ไหวแน่ๆ ขนาดกูอ่านคอมเมนต์กูยังหัวร้อนเลย”

“เอาไว้ก่อนเถอะ แม่มึงมาโน่นแล้ว” แม่ที่ว่าไม่ใช่แม่ที่คลอดผมออกมาหรอกครับ แต่เป็นแม่ที่คลอดเกรดของผมออกมาต่างหาก ถ้าไม่ทำตัวดีอาจจะได้เกรด D ก็เป็นได้

ถึงแม้จะพยายามตั้งใจเรียน แต่เอาเข้าจริงผมกลับไม่รับรู้อะไรเท่าไหร่ เพราะในหัวเอาแต่จดจ่อเรื่องน้องแบร์ ห่วงมันจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย

ผมรีบโทรหาไอ้กล้วยทันทีเมื่อเลิกคลาสตอนบ่ายโมง แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร

“ดรีมบอกว่าอยู่ห้องสมุดกัน” เป็นไอ้ป๊อบที่เงยหน้าขึ้นจากมือถือบอก

“อ้าวเหรอ ไอ้กล้วยแม่งไม่ได้เรื่องเลยว่ะ”

“มึงไปดูมันเถอะ ดรีมบอกว่าแบร์เอาแต่อ่านคอมเมนต์พวกนั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“กูต้องไปห้องสมุดอีกแล้วเหรอ” เป็นอะไรมากมั้ยวะช่วงนี้ เอะอะเข้าห้องสมุดตลอดเลยอะครับ สงสัยว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นเด็กฉลาดของผมล่ะมั้ง







ให้ทายว่าผมเจอใครหน้าห้องสมุด

มหาสมุทรไง

“มึงมาอ่านหนังสือเหรอ” ผมวิ่งเข้าไปหามันก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าห้องสมุดไป หันมามองกันแล้วทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองนี่มันหมายความว่ายังไง

“มึงก็มาอ่านหนังสือเหรอ”

“บ้า กูดูเป็นเด็กเรียนขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แล้วมาทำไร แต่จะไม่บอกก็ได้นะ กูไปละ”

“เฮ้ย ไรอะ” ผมคว้าแขนมันไว้ “ถามแล้วก็รอคำตอบดิวะ คืองี้นะ น้องกูกำลังโดนไซเบอร์บูลลี่แล้วแม่งก็เอาแต่อ่านข้อความไม่ดีพวกนั้น เป็นห่วงมันก็เลยมาดู”

“อ้อเหรอ” ว่าจบก็เดินตัวปลิวเข้าห้องสมุดไปเลย ไม่มีท่าทีสนใจความเดือดร้อนของน้องผมซักนิดเลยด้วย

“เพื่อนใหม่มึงนี่แม่งไม่เอาใครเลยจริงๆ ว่ะ” ไอ้ป๊อบที่ยืนรออยู่ห่างๆ ก้าวเข้ามาแทนที่มหาสมุทรขณะไม่ละสายตาจากแผ่นหลังเพื่อนใหม่ผม

“มันก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่ยอมรับกูเป็นเพื่อนรึยังก็ไม่รู้”

“ช่างมันเถอะ ไม่สนใจอะไรเลยก็ดีเหมือนกัน”

“อย่างไอ้หมาแม่งก็มากไป แต่อย่างไอ้แบร์ก็มากไปเหมือนกัน มีมั้ยวะความพอดี”

ถึงแม้ว่าทฤษฎีการใช้ชีวิตจะสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างพอดีบนความพอเพียง แต่เอาเข้าจริง ในยุคที่โลกหมุนเร็วจนตามไม่ทัน ไม่มีใครใช้ชีวิตแบบนั้นได้หรอก ต่างคนก็ต่างต้องวิ่งตามโลก เหนื่อยนะแต่ก็ต้องทำเพื่อเอาชีวิตรอดบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้



[T B C]

การโดนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยค่ะ เพราะงั้นแสดงความคิดเห็นกันอย่างมีสตินะคะ
แต่สำหรับคอมเมนต์นิยาย ใส่ได้เต็มที่เลยนะ รออ่านแหละ
คุยกันได้ที่ #หมามิล



ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

04 เพื่อนผมน่ารักนะ


บนชั้น 3 ในส่วนของห้องคอมพิวเตอร์ ไม่ได้มีแค่น้องแบร์กับน้องดรีมแต่ยังมีเพื่อนๆ ในกลุ่มที่กำลังรุมอ่านข้อความกันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวเดียว

“น้องแบร์” น้องๆ ที่รุมล้อมแหวกทางออกให้ผมก้าวเข้าไปถึงคนที่กำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นที่หน้าคอมพ์อย่างน่าสงสาร

“พี่มิล” น้องหันมากอดเอวผม ซบหน้าแล้วก็ปล่อยน้ำตาออกมา ผมก็เป็นพวกอ่อนไหวเห็นน้องร้องแล้วน้ำตามันก็พาลจะไหลตาม

“เหี้ยมิลมึงอย่างร้องนะเว้ย” ไอ้ป๊อบสั่งเสียงรอดไรฟันให้ผมรีบฮึบเอาก้อนสะอื้นไว้

ผมมันพวกคนอ่อนไหวให้ทำยังไงอะ

“น้องแบร์ พี่บอกแล้วไงว่าอย่าอ่าน” ผมบอกพลางตบไหล่ปลอบใจ และเมื่อได้ยินอย่างนั้นน้องก็เงยหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา

“เมื่อคืนแบร์กลับหอแล้วก็นอน คิดว่าพอตื่นมาทุกอย่างจะจบ แต่ไม่ใช่เลยอะพี่มิล มันแย่กว่าเดิม เมื่อเช้าหนูเดินมาเรียนก็มีแต่คนมองเหมือนหนูเป็นตัวประหลาด หนูแค่อ้วนป่ะวะพี่ ทำไมอะ ถึงคนอ้วนจะมีไขมันเยอะก็ใช่ว่าจะไม่มีหัวใจนะ”

ไม่รู้หรอกว่าต้องทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ผมปลอบใจไม่ค่อยเก่ง ปกติถ้าเพื่อนไม่สบายใจก็ชวนไปกินนั่นนี่ให้ลืม แต่ในกรณีน้องแบร์ น้องกำลังกังวลใจเรื่องน้ำหนัก เพราะงั้นเรื่องชวนกินน่ะปัดทิ้งไปได้เลย

“เอาไงดีวะ” ลองหันไปปรึกษาไอ้ป๊อบก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรในเมื่อมันยกไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“พี่ก็ไม่รู้จะปลอบเรายังไงนะเว้ย แต่ทุกปัญหามันมีทางออก”

“หนูรู้ แบร์รู้พี่มิล ทางออกของคนอ้วนอย่างหนูก็การลดน้ำหนักใช่มั้ยล่ะ แต่คนนะเว้ยไม่ใช่ลูกโป่งที่พอปล่อยลมแล้วจะผอมลงเลย มันต้องใช้เวลาป่ะวะ”

มันก็เหมือนจะใช่นะแต่บางอย่างในใจของผมกลับกำลังค้านอย่างหนัก

เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของแบร์ไง มันเกิดจากการแสดงความคิดเห็นไปอย่างสนุกมือของใครก็ไม่รู้ พวกเขาเหล่านั้นทำไปโดยไม่รู้เลยว่าคนถูกวิจารณ์เจ็บปวดแค่ไหน

“ดรีมว่าเราไปเรียนเถอะแบร์ สายมา 20 นาทีแล้วนะ”

 น้องผละออกจากผมก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเช็ดน้ำตาอย่างประณีต ถึงจะเครียดแค่ไหนแต่หน้าน้องแบร์ก็ยังแน่นอยู่

“ร้องไห้มากๆ เครื่องสำอางเลอะนะเว้ย”

“เลอะเหรอพี่” ว่าพลางกุลีกุจอหากระจกขึ้นมาส่อง

“ยังไม่เลอะแต่ถ้าร้องหนักกว่านี้ล่ะก็เลอะแน่ พี่ขอได้มั้ยแบร์ อย่าอ่านคอมเมนต์พวกนั้นอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย อ่านแล้วก็เครียดเปล่าๆ”

“แบร์จะพยายาม ขอบคุณนะพี่มิล รักพี่ว่ะ”

“อือ รักพี่ก็อย่าทำให้พี่เป็นห่วง เคนะ”

น้องพยักหน้ารับ พยายามจะส่งยิ้มสดใสอย่างที่ชอบทำแต่ก็ดูฝืนจนผมปัดมือไล่ให้มันไปเรียนได้แล้ว

“มึงว่าน้องมันโอเคแน่ป่ะวะ” ผมละสายตาจากแผ่นหลังของน้องแบร์มาถามเพื่อนตัวเองที่ยืนอยู่ข้างกัน

“ไม่รู้ว่ะ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป”

“ไซเบอร์บูลลี่แม่งน่ากลัวว่ะ มึงเคยดูซีรีส์เรื่องนั้นป่ะ 13 Reasons Why อะ”

“คุ้นๆ นะ” ไอ้ป๊อบตอบพลางทำหน้าครุ่นคิด หน้าอย่างนี้เห็นได้บ่อยๆ ครับ เพราะเพื่อนผมเป็นคนคิดช้า

“ตัวเอกมันฆ่าตัวตายเพราะไซเบอร์บูลลี่ในโรงเรียนนี่แหละ”

“อ่อ กูพอนึกออกละ ที่มันอัดเทปไว้ก่อนฆ่าตัวตายแล้วส่งให้คนที่เกี่ยวข้องฟังใช่มั้ย เด็กนั่นแม่งโคตรเห็นแก่ตัวนะกูว่า ตายแล้วก็ตายดิวะจะมาทิ้งเรื่องไว้ให้คนอื่นเดือดร้อนทำไม”

“มึงอินป่ะเนี่ยป๊อบ”

“ยอมรับว่าอิน เด็กผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายนั่นก็ทำเกินไปมั้ย แต่ก็นั่นแหละนั่นมันซีรีส์ป่ะวะ เรื่องจริงคงไม่ขนาดนั้นมั้ง”

“มันก็จริง แต่ถ้ามึงลองคิดเยอะๆ มองในมุมของเด็กผู้หญิงคนนั้นมึงอาจจะไม่ด่าเขาแบบนี้ก็ได้เว้ย”

“ไม่อะ กูไม่กลับไปดูอีกรอบแน่ แม่งเอ้ย ดูแล้วเครียดฉิบหาย”

“ขอให้เรื่องแบบนั้นมีแค่ในซีรีส์เถอะว่ะ”

“ก็ไม่แน่หรอก มึงไม่เคยได้ยินที่ผู้จัดละครบ้านเราเขาชอบพูดเหรอ อะไรนะ ละครสะท้อนสังคม ถุย! สังคมเหี้ยอะไร รีเมคอะไรเดิมๆ เป็นสิบๆ รอบ ตั้งแต่แม่กูเป็นเด็กจนแม่กูเข้าสู่วัยทองแล้วเนี่ย”

“นี่มึงก็อินอีกแล้ว” ไอ้ป๊อบหัวเราะแหะแล้วก็เริ่มบ่นแม่มันให้ผมฟัง เอาเถอะ มันดูอัดอั้นตันใจให้ระบายบ้างก็คงดีจะได้ไม่อึดอัด ถ้ามีใครซักคนถามว่านอกจากรวยแล้วผมเป็นเพื่อนแบบไหน ก็คงตอบได้ว่าเป็นเพื่อนที่ยอมรับฟังความอัดอั้นตันใจของเพื่อนล่ะมั้ง

เราเดินออกจากห้องสมุดว่าในระหว่างที่ไอ้ป๊อบยังไม่หยุดพูดซักนาทีเดียว เล่าเรื่องตัวเองจบนั่นแหละถึงวกกลับเข้ามาเรื่องน้องแบร์อีกครั้ง

“มึงน่ะดูแบร์ดีๆ เถอะ เพจใหญ่แชร์ขนาดนั้นกูว่าเรื่องไม่จบง่ายๆ”

งั้นเหรอวะ ผมไม่ค่อยเล่นโซเชียลด้วยก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเพจใหญ่อะไรนี่เท่าไหร่ แต่เรื่องมันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง อีกอย่างผมมั่นใจในตัวน้องแบร์มากเลยว่าน้องจะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยวิธีโง่ๆ แบบนั้น

ถึงจะบอกว่ามั่นใจในตัวน้องแต่ก็ยอมรับว่ากังวล







“เฮ้อ”

“มินเนี่ยนถ้ามึงจะมานั่งแล้วถอนหายใจให้กันฟังเนี่ย ไปไกลๆ กูได้มั้ย อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย” ไอ้หมาเพื่อนรักไม่เข้าใจเพื่อนเลยอะ นี่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวเหงาแต่กลับมาไล่กันอย่างนี้เนี่ยนะ

ไม่รบกวนก็ได้

“มึง น้องสายรหัสกูอะ”

พูดจบประโยคคนตรงข้ามก็เงยหน้ามามองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันผมจึงจำต้องหุบปากแล้วก้มหน้าทำเป็นอ่านหนังสือ

แต่ว่า...แค่ไล่สายตามองเฉยๆ ก็จะหลับแล้ว ผมจึงปิดหนังสือลงแล้วเอามือถือขึ้นมาเล่น

ผมไม่ค่อยติดเฟซบุ๊กแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เล่นเลย นานๆ ครั้งจะกดเข้าไปในแอพเพื่อสอดส่องความเป็นอยู่ของเพื่อนๆ บางครั้งนึกครึ้มใจก็อัพเดตนู่นนี่ เช็คอินให้ทางบ้านรู้ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหนก็เท่านั้น แต่วันนี้ผมตั้งใจจะเข้ามาหาข่าวที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ในตอนนี้และเป็นข่าวที่ทำร้ายน้องผม


          Bankki Winkkii Winkkii  พวกคุณรู้รึเปล่าว่าข้อความแย่ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองจากสมองของพวกคุณทำร้ายจิตใจของเขามากแค่ไหน ถามหน่อยเถอะ หาว่าเขาอ้วนนั่นนี่ ตัวเองหุ่นดีนักรึไง ถ้าแน่จริงก็แนบรูปมาสิ อย่างเก่งแต่ปาก



ไอ้แบ็งค์!!!!

พอเห็นข้อความของน้องสาวตัวเองใต้โพสต์ในเพจดังก็เผลอหัวเราะออกมาให้คนตรงข้ามขว้างปากกาใส่

“ออกไปมินเนี่ยน” ตะโกนไล่อย่างที่คนเข้าห้องสมุดเป็นประจำไม่น่าทำมันเลย โชคดีของเราที่ตอนนี้อยู่ในห้องปิดมิดชิดไม่อย่างนั้นโดนไล่ออกจากห้องสมุดทั้งคู่แน่

“เพื่อนขอโทษ สัญญาว่าจะไม่เสียงดังแล้ว”

“กูบอกให้ออกไป”

“ออกก็ออกครับ แล้วนี่จะกลับกี่โมงวะ” ดื้อไปก็ไร้ประโยชน์จึงต้องฝืนใจยกธงขาวยอมแพ้พลางเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวออกจากห้องตามคำสั่งของไอ้หมามัน

“ไม่รู้ และมึงก็ไม่ควรเสือกเรื่องของกูนะ” โว้ย! ปากคอเราะร้ายว่ะ

“อย่าลืมกินข้าวเย็นนะเว้ย กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ”

“ไปไหนก็ไปเถอะไป” มหาสมุทรปัดมือไล่ผมเหมือนไล่แมลงวัน เห็นท่าทางอย่างนั้นแล้วก็ขำ ไม่รู้สิ  พอมันแสดงความรู้สึกมากขึ้นก็อดคิดไม่ได้ว่าเราสนิทกันแล้ว

ก็คงสนิทแล้วล่ะนะ

ปิดประตูห้องอ่านหนังสือแล้วก็อดหันไปมองคนสวมแว่นที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออีกครั้งไม่ได้ ทั้งที่มันพยักหน้ารับตอนบอกให้กินข้าวกินปลาแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เชื่อใจสักนิดเลย คิดว่ามันต้องอ่านหนังสือเพลินจนลืม ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ







ผมกลับมาที่ห้องสมุดอีกครั้งตอน 1 ทุ่มหลังจากกินข้าวเย็นกับพวกไอ้ป๊อบเสร็จ

ขึ้นมาที่ห้องอ่านหนังสือก็พบว่ามหาสมุทรยังอยู่ที่นี่อย่างที่คาดไว้จริงๆ

ก๊อกๆๆ

ผมเคาะห้องพอเป็นพิธีก่อนจะเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่ประจำตรงข้ามกัน มองที่โต๊ะ เก้าอี้แม้กระทั่งที่พื้นก็ไม่เห็นร่องรอยของอาหาร

เหลือเชื่อเลยว่ะ ไม่กินข้าวกินปลาแล้วจะเอาพลังงานที่ไหนไปบำรุงสมอง

“มึงกินไรยังอะ”

“มึงนี่ชอบเสือกเรื่องปากท้องกูจังเลยเนอะ”

“ยังไม่กินแน่เลย” ผมว่าแล้ววางแซนวิชกับน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ “แค่แวะเอานี่มาให้ เดี๋ยวกูไปละ ไม่กวนๆ”

“ใครเขาให้เอาของกินเข้ามาในห้องสมุด”

“กูนี่ไง กูไม่รู้นะว่าก่อนหน้านี้มึงใช้ชีวิตมายังไง กินอยู่ยังไง แต่หลังจากที่มึงรู้จักกู มึงจะกินอิ่มนอนหลับ กูสัญญา”

“กูไม่ต้องการให้ใครมาดูแล”

“มึงเป็นเพื่อนกูอะ”

“มึงดูแลเพื่อนมึงอย่างนี้ทุกคนเหรอวะ”

“เปล่า คนอื่นเค้าก็กินอิ่มนอนหลับดีนะ มีแต่มึงที่ไม่ชอบกินข้าวกินปลา เดี๋ยวต่อจากนี้มึงอยากกินอะไรโทรบอกกูเลยนะเว้ย ไลน์ทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวมหาเศรษฐีคนนี้จะเสิร์ฟให้ถึงที่เลย”

“ไม่ต้อง” โว้ยคนอุตส่าห์ยื่นน้ำใจให้ยังมีหน้ามาปัดน้ำใจกันทิ้งหน้าตาเฉยอีก นี่มันมนุษย์พันธุ์ไหนกันวะ

“ถ้ามึงลำบากใจก็คิดซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่มึงช่วยติวสแตทให้กูก็ได้ แฟร์ๆ ไง”

“กูติวให้มึงเพราะมึงตามตื๊อกูแล้วกูรำคาญก็เลยเลยตามน้ำ ไม่ได้ต้องการให้ตอบแทนอะไร”

“เอาน่า กินเถอะ ถ้ามึงไม่กินกูไม่ไปนะ” ถูกปฏิเสธตรงๆ แบบนี้ก็มีจุกบ้างเหมือนกันแหละ แต่ให้ทำไงได้อุตส่าห์ซื้อมาแล้วก็กินๆ เข้าไปเถอะ

“มึงนี่แม่ง...” บ่นแหละแต่มือก็แกะแซนวิชแล้วยัดเข้าปาก เคี้ยวคำโต เห็นมหาสมุทรกินได้ก็มีความสุขครับ ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่เพิ่งถูกมันทำร้ายจิตใจมา

ผมไม่ได้ไปไหนอย่างที่บอกมันไปตอนต้น ระหว่างรออีกฝ่ายกินมื้อเย็นก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่น

ข้อความจากน้องแบ็งค์ค้างอยู่เป็นสิบๆ ข้อความ เมื่อเปิดอ่านก็พบว่าเป็นเรื่องของน้องแบร์ทั้งนั้น น้องคนเล็กของผมนี่เป็นชาวโซเชียลตัวจริงเลยล่ะ

เรื่องของน้องแบร์ผ่านไปเกือบจะ 2 วันแล้ว แต่กระแสที่เราหวังกันว่าจะลดลงกลับไม่เป็นอย่างคาด ยิ่งค่ำคนก็ยิ่งแชร์ไปวิจารณ์กันยกใหญ่ ส่วนมากก็พูดเรื่องน้ำหนักตัวนั่นแหละ ตอนแรกผมก็ไม่อินหรอก แต่พออ่านข้อความที่น้องแบ็งค์ส่งมาแล้วก็รู้สึกอินขึ้นมาซะงั้น

สงสัยว่ะว่าคนอ้วนนี่ไปขอเงินพวกมันซื้อข้าวกินหรือว่าไปอ้วนบนหัวใครหรือเปล่าวะ

“อ้วนแล้วผิดมากเหรอวะ”

“อะไรนะ” มหาสมุทรวางขวดน้ำลงแล้วเช็ดปากด้วยหลังมือ

“เศษขนมติดหน้ามึงอะ”

“เหรอ ตรงไหน” ถามพร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยที่มุมปากซ้าย

“ขวา” พอบอกขวามันก็ย้ายมาขวา แต่เศษขนมปังเล็กมากเช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออกผมจึงโน้มตัวเข้าไปแล้วช่วยเช็ดให้ ทุกอย่างมันคงจบแค่นั้นหากไม่เผลอสบตากันซะก่อน

ฉิบหาย ทำไมใจสั่น

“ออกยัง”

“เออ เรียบร้อย” อาการเก้อเขินนี่มันคืออะไรกันวะเนี่ย

“แล้วเมื่อกี้มึงพูดถึงเรื่องอ้วน มีอะไรรึเปล่า แต่จะไม่เล่าก็ได้นะ ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น” เอิ่ม ถ้าจะพูดอะไรแบบนี้ สู้หุบปากไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ ถามเพื่ออะไร

“อือ ไม่เล่าดีกว่า ว่าแต่มึงกลับเลยมั้ย กูเอารถมาเดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่เป็นไร” ถูกปฏิเสธอีกครั้งพร้อมประตูห้องที่เปิดออก

พี่ทิวลิป

“อ้าว อยู่ด้วยกันอีกแล้ว” เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับพวกเราสามคนบ่อยๆ และทุกครั้งก็เป็นผมเองที่ขอตัวก่อน ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน

“งั้นกูไปนะ” ผมเก็บขยะใส่ถุง หันไปทักทายพี่ทิวนิดหน่อยแล้วผละออกมา

ทุกครั้งที่มหาสมุทรปฏิเสธผม เหตุผลหลักๆ ก็คงเป็นพี่ทิวลิปนั่นแหละ







ว่ากันว่าคนไทยน่ะลืมง่าย

เรื่องของน้องแบร์ซาลงเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 3-4 วันเพราะมีเรื่องอื่นที่ใหม่กว่า สดกว่า น่าเผือกกว่าเข้ามาสร้างความอยากรู้อยากเห็น หากคนถูกวิจารณ์อย่างน้องแบร์กลับยังไม่ลืมเรื่องนั้นเสียทีเดียว

น้องยังคงมุ่งมั่นกับการลดน้ำหนัก

          Millionaire_ : ทุกคนกินบุพเฟต์กัน

ผมทิ้งข้อความไว้ในไลน์กลุ่มสายรหัสก่อนอาบน้ำในตอนค่ำ

          Bear_Boonraksa : พี่มิลคะแกล้งน้องป่ะเนี่ย

          Gluay_Khirathi : ไอ้แบร์ไม่ไปก็ช่างมัน แต่กล้วยกับพี่เอ้กว่างมากเด้อ

          Millionaire_ : น้องแบร์เป็นไรอะ เบื่อบุพเฟต์แล้วเหรอ พี่เลี้ยงนะ

          Bear_Boonraksa : หนูลดความอ้วน แง้ T^T

บุพเฟต์เย็นวันศุกร์ก็เป็นอันต้องยกเลิกด้วยประการละฉะนี้







แปดโมงเช้าวันพุธ กับควิซวิชาสแตทที่ทำเอาผมพะอึดพะอมจนอยากจะอ้วกออกมา จะว่ายังไงดี ตอนwvhs,kสอนก็ทำได้อยู่หรอก แต่พอเจอข้อสอบ ไอ้ที่เคยจำได้ก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ที่ท่องจำทำความเข้าใจมาไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยซักนิดเดียว

อยากส่งกระดาษเปล่าด้วยซ้ำแต่ก็เกรงใจคนสอน ถ้ามหาสมุทรรู้เข้าล่ะก็มันต้องไม่สอนผมอีกแล้วแน่ๆ

ดังนั้นจึงต้องค้นเอาความจำทั้งหมดที่มีออกมาใช้

ทำไปได้แค่ไม่กี่ข้อก็หมดเวลา

หลังส่งข้อสอบ อาจารย์ก็สอนต่อเลย ไม่ถามสุขภาพไอ้มหาเศรษฐีซักคำ จะตายคาโต๊ะแล้ว

“เสาร์นี้ติวเสร็จไปดูหนังกันมั้ย” ผมหันไปถามคนข้างๆ หลังจากชั่วโมงเรียนจบลง  ปกติผมก็ไม่ชอบดูหนังหรอกแต่ว่าอยากหาอะไรบันเทิงๆ ทำซักหน่อยก็เลยลองชวนคุณติวเตอร์ดู

“กูไม่ชอบดูหนัง” และก็ถูกปฏิเสธตามคาด

“ทำอย่างอื่นก็ได้ เอาแต่เรียนกับอ่านหนังสือไม่เบื่อบ้างเหรอวะ”

มหาสมุทรส่ายหน้าอย่างเกียจคร้านเป็นเชิงบอกว่าไม่เบื่อ เห็นอย่างนั้นก็คร้านจะตื๊อ

“แล้วนี่มึงไปหอสมุดป่าว กูไปส่งมั้ย”

“ไม่เป็นไรแยกกันเลยดีกว่า”

“วันเสาร์ที่เดิมใช่มั้ย”

“ไม่ว่าง เอาไว้กูนัดอีกทีละกัน”

“ไปไหนอะ”

“ไม่เสือก”

“โอเค” ซึ้งจ้า และที่ปฏิเสธผมก็คงไม่ใช่เพราะไม่ชอบดูหนังหรอก เพราะมีนัดแล้วนี่เอง ไม่ต้องหาคำตอบให้เสียเวลาก็รู้ว่ามหาสมุทรมีนัดกับพี่ทิวลิปแน่ อยากรู้เหมือนกันนะว่านอกจากพี่ทิวลิปแล้วมีใครสำคัญกับมันมากกว่าคนนี้หรือเปล่า

เก็บของเสร็จมองไปยังหลังห้องก็พบพวกน้องแบร์กำลังจะออกจากห้องแล้วเหมือนกัน

“น้องแบร์กลับตึกเปล่า”

“กลับค่ะ” เราต่างก็เดินไปที่ประตู

“กลับด้วยกันมั้ย พี่ขับรถมา”

“ไม่เอาอะ แบร์จะเดินออกกำลังกาย”

“ตอนบ่ายเนี่ยนะ” แดดเปรี้ยงมาก ไม่รู้ว่าผอมกับมะเร็งผิวหนังน้องมันจะได้สัมผัสอะไรก่อนกัน

“ใช่แล้ว เดินตอนไหนก็เหมือนกันแหละ”

“ไม่เหมือนนะ ตอนบ่ายแดดแรงจะตาย”

“ไม่เป็นไร หนูสตรอง อยากผอมต้องอดทนค่ะ” ก็เข้าใจน้อง แต่แอบห่วงอยู่เหมือนกัน ยังดีหน่อยที่มีเพื่อนๆ เดินด้วยกัน

ตั้งแต่วันที่น้องมันร้องไห้หนักมากในห้องสมุด น้องแบร์ก็ตั้งปนิธานไว้ว่าจะลดน้ำหนักให้ตัวเองผอมเพรียว ไม่อยากคิดว่าน้องทำไม่ได้หรอก แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพของแบร์ค่อนข้างเป็นเด็กตัวเล็กแต่เจ้าเนื้อ ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะลดน้ำหนักจนผอมเพรียวได้ นอกเสียจากพึ่งยา แต่นั่นมันก็อันตรายเกินไป

          Gluay_Khirathi : พี่มิลเจอไอ้แบร์บ้างมั้ย

          Millionaire_ : เพิ่งเจอในคลาส มีอะไรรึเปล่า

          Gluay_Khirathi : หนูติดต่อมันไม่ได้ นึกว่าแม่งแดกยาลดความอ้วนจนสติเลอะเลือนจำพี่มันไม่ได้แล้ว

          Millionaire_ : หืม ยาลดความอ้วน

          Gluay_Khirathi : เออดิ เพื่อนหนูแนะนำมันเองแหละ

          Gluay_Khirathi : หนูห้ามแล้วนะแต่มันเถียง ไม่อยากคุยด้วยแล้ว

          Millionaire_ : ใจเย็น น้องมันโตแล้ว มันน่าจะคิดอะไรได้เองแล้วมั้ง

          Gluay_Khirathi : ก็รู้ว่ามันโตแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้ป่ะวะ มันน้องหนูนะเว้ย

          Millionaire_ : แล้วจะให้ทำไง

          Gluay_Khirathi : ไม่รู้ไง พี่มิลเป็นพี่อะ

          Millionaire_ : ไปปรึกษาพี่เอ้กไป

พอถูกไล่ไอ้กล้วยก็หายไปเลย

เข้าใจนะว่าห่วง แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ถ้าขืนไปจู้จี้น้องมันเยอะๆ เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันหรอก ต่างคนก็ต่างแรงในแบบของตัวเอง ผมไม่อยากเห็นสายรหัสต้องมาขาดเพราะเรื่องนี้เลย







วันเสาร์ที่ไม่ต้องตื่นเช้าไปติวหนังสือกับมหาสมุทรมันโหวงๆ พิกล

เพราะไม่รู้จะทำอะไร อยู่ห้องเฉยๆ ก็เบื่อ ผมจึงแต่งตัวแล้วขับรถออกจากหอมา จุดมุ่งหมายคือห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ มหาวิทยาลัยนี้

ดูหนังซักเรื่องดีกว่า
 
ลองโทรชวนไอ้ป๊อบ ไอ้ขี้เกียจนั่นก็ไม่ยอมตื่น แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่มาผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเพิ่ม

ว่าแต่ช่วงนี้มีหนังเรื่องอะไรน่าดูบ้างนะ

ผมยืนดูตารางบ๊อกซ์ออฟฟิศอยู่ครู่หนึ่ง จำชื่อหนังแล้วกลับมานั่งที่โซฟาตรงทางเข้าแล้วหยิบมือถือออกมาหาข้อมูลและพวกรีวิวต่างๆ ประกอบการตัดสินใจ
 
ที่จริงแล้วผมไม่ใช่คอหนังหรอก แต่ดูหนังในโรงทั้งทีก็ต้องเลือกหนังที่มันดีๆ หน่อยใช่มั้ยล่ะ

หาข้อมูลอยู่นานทีเดียวแต่ก็ยังไม่รู้สึกถูกใจหนังเรื่องไหนเลย กำลังจะลุกและเดินไปหาอะไรกินแต่สายตาดันไปสะดุดเข้ากับแผ่นหลังของใครบางคนเข้าซะก่อน

มหาสมุทรกับตั๋วหนังในมือ วันนี้เจ้าตัวอยู่ในชุดไปรเวท เสื้อเชิ้ตสีขาวลายกระบองเพ็ชร คล้ายๆ กับผมที่วันนี้สวมเสื้อขาวพิมพ์ลายต้นมะพร้าวสีดำ เห็นมันก้มมองนาฬิกาอยู่หลายหนเหมือนกำลังรอใครบางคน บางคนที่ว่าก็คงไม่พ้นพี่ทิวลิปหรอก

ที่บอกว่าไม่ว่างเพราะมาเดตนี่เอง แล้วเมื่อวันก่อนใครบอกว่าไม่ชอบดูหนังวะ

เข้าไปทักซักหน่อยดีมั้ยนะ

ถามตัวเองไปอย่างนั้นเอง ขณะที่ขาก็ก้าวเข้าไปใกล้แล้ว กำลังจะสะกิดไหล่แต่เสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้นซะก่อน

“ว่าไง” ไอ้หมารับโทรศัพท์ ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผมด้วยซ้ำ

สักพักก็วางสายด้วยท่าทางหงอยๆ

โดนเทอีกแน่ๆ

“ไง” ผมยกมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นการทักทาย คนถูกทักเหวอไปก่อนจะตั้งสติแล้วเก็บตั๋วหนังใส่กระเป๋าเสื้อ

“มึงสะกดรอยตามกูมาเหรอ” มันหรี่ตามองผมอย่างคนไม่วางใจกัน

“หืม ถึงกูจะชอบมึงมากแต่กูก็ไม่ได้โรคจิตขนาดนั้นป่ะวะ”

“แล้วมาได้ไง”

“ก็ว่าจะมาดูหนัง มึงมาคนเดียวเหรอ”

“อือ เหลือคนเดียวแล้ว”

“ซื้อตั๋วหนังแล้วยัง” ถามไปอย่างนั้นแหละ ตั๋วหนังอยู่ในกระเป๋าเสื้อนั่นไง ถ้ามันโกหกผมก็พร้อมจะค้นตัว

“ซื้อแล้ว”

“งั้นไปดูหนังกัน”

“ไม่อะ ถ้ามึงอยากได้ก็เอาไปเลย” ตั๋วหนังถูกยัดใส่มือผมแล้วเจ้าของมันก็ตั้งท่าจะเดินหนีไปแต่ถูกผมคว้าไหล่เอาไว้ก่อน

“อุตส่าห์ซื้อมาตั้ง 2 ใบ ดูกันเถอะ”

“กูจะกลับไปอ่านหนังสือ”

“หนังสืออ่านเมื่อไหร่ก็ได้น่า กูอยู่เป็นเพื่อนมึงอ่านทั้งคืนยังได้เลย แต่ตอนนี้ดูหนังกัน เข้าโรงเถอะคนมองใหญ่แล้ว มึงไม่อายเหรอ” ภาพผมกับมหาสมุทรตอนนี้เหมือนแฟนกำลังง้องอนกันอะครับ แถมยังใส่เสื้อคล้ายๆ กันอีกก็เลยยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่

พอได้ยินผมว่าอย่างนั้นคนตัวสูงกว่าก็เริ่มกวาดสายตามองรอบตัว เมื่อเป็นจริงดังว่าจึงยอมเดินเข้าโรงหนังง่ายๆ

เพื่อนผมน่ารักเนอะ ทั้งที่มันจะเดินหนีผมไปเลยก็ได้ แต่ก็ยอมเดินเข้าโรงหนังมาด้วยกัน



[T B C]

มีใครเคยดู 13 Reasons Why บ้าง
จำได้ว่าตอนดูเครียดมากจริง แต่ก็หยุดดูไม่ได้ ทำร้ายตัวเองสุดละ 555

สำหรับเรื่องของน้องแบร์ยังไม่จบเท่านี้แน่ๆ มาลุ้นกันต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น
น้องแบร์ใช้ยาลดความอ้วนจริงอย่างที่เจ้ากล้วยกังวลหรือเปล่า
รวมทั้งเรื่องหัวใจของคุณมหาเศรษฐี เริ่มหวั่นไหวนิดๆ แล้วเนี่ย

ฝากติดตามด้วย
 :call:


ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
มิลเริ่มหวั่นไหวหน่อยๆแล้ว
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ซีใจอ่อนให้มิลอีกนิดเถอะ มิลน่ารักมากๆ ใส่ใจคนรอบข้าง

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
05 เพื่อนผมใจดี


เอิ่ม หนังผี

เหมือนผมเข้ามานั่งฟังเสียงซาวน์เอฟเฟ็กและเสียงกรีดร้องเฉยๆ โดยที่ไม่เปิดตาซักนาที

ผมไม่ชอบหนังผี พูดกันตรงๆ ก็คือกลัวผีนั่นแหละ ถามว่าเคยเห็นเหรอ เพราะไม่เคยเห็นไงก็เลยกลัว อะไรที่มองไม่เห็นน่ะมันน่ากลัวจะตายใช่มั้ยล่ะ

นอกจากหนังที่ดูวันนี้จะน่ากลัวมากแล้วยังเศร้ามากจนน้ำตาไหลพรากเลยล่ะ

“มึงร้องไห้เหรอ” มหาสมุทรหันมาถามตอนที่เราลุกและกำลังเดินไปที่ทางออก

“อือ หนังแม่งเศร้าอะ”

“กูเห็นมึงปิดตาตลอดเลย”

“ก็แม่งน่ากลัวอะ ใครเป็นคนอยากดูหนังเรื่องนี้วะ”

“มึงไง”

“ไม่ใช่ดิ หมายถึงระหว่างมึงกับพี่ทิวลิปอะ ใครเลือก”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูนัดกับทิว”

“ก็ไม่เห็นมึงคบใครนอกจากพี่เขานี่หว่า หรือว่ามากับคนอื่น”

“เปล่า”

“เหี้ย!!!” เสียงผมดังลั่นโรงหนังจนคนที่เดินอยู่ข้างหน้า หน้า หน้าหันมามอง นี่ถ้าคว้าไหล่มหาสมุทรไว้ไม่ทันล่ะก็สะดุดบันไดล้มหน้าฟาดพื้นหมดหล่อไปแล้ว

“เดินดูทางบ้าง เอาแต่พูด” ก็คุยกับมึงแหละ

ผมไม่ได้เถียงมันออกไปแต่เลือกจับไหล่มันเอาไว้ตลอดทางที่มืดสลัวจนเห็นแสงสว่างที่ประตูนั่นแหละจึงยอมปล่อย

“มึง หาไรกินกัน” กว่าหนังจะจบก็เลยเที่ยงมาแล้ว ลองชวนมันดูก็ไม่คิดว่าจะตอบรับหรอก

“เอาดิ” ว้ายตายแล้ว ผิดคาดว่ะ

ผมมองมหาสมุทรแล้วเลิกคิ้วหน่อยๆ อย่างไม่เชื่อหู แต่ก็ต้องเชื่อแหละเมื่อเจ้าตัวเดินนำไปแล้ว

มหาสมุทรเดินกดมือถือไปตลอดทาง สงสัยว่ามันเป็นชาวโซเชียลเหรอวะ สักพักเมื่อเดินมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นมันก็แวะไม่ถามความเห็นกันซักคำ

“มึงไม่หิวเหรอวะ” ผมถามเมื่อพนักงานผละออกไปหลังจากรับออเดอร์ของผม

“หิว”

“แล้วทำไมไม่สั่ง”

“เรื่องของกู”

“หาว่ากูเสือกงี้”

“อือ” โอเคเจ็บ

“มึงเป็นชาวโซเชียลเหรอ” ผมถามพลางเหลือบมองมือถือที่ไม่ห่างจากเจ้าของมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“ทำไม”

“มึงเล่นโทรศัพท์ตลอดเลย อยู่กับกูก็สนใจกูดิ” มหาสมุทรละสายตาจากของในมือเพื่อมองผมครู่เดียว

“พอใจยัง”

“กวนตีน”

คุยกับไอ้หมาเพื่อนรักไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ทงคัตสึน่ากินมาก แค่มองน้ำลายก็จะหกแล้ว

“มึง ซักคำมั้ย” กำลังตักข้าวเข้าปากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเผลอสบตากับคนตรงข้ามที่เงยหน้ามองกันพอดี ผมจึงเอาข้าวในช้อนนั่นแหละยื่นไปจ่อที่ปากมัน

“ไม่”

“ซักหน่อยน่า กูรู้มึงหิว”

“ก็บอกว่าไม่ไง มึงรีบกินแล้วก็รีบไปได้แล้ว”

“รีบกินได้ไง น้ำซุปโคตรร้อน ลวกปากหมดดิ” ผมก็ช่างเถียงและคนตรงข้ามก็ทำหน้าระอา

พอมันไม่ยอมกินผมจึงรับข้าวคำนั้นเข้าปากแล้วซดน้ำซุปเสียงดัง

“ถามจริงเถอะ มึงนัดใครไว้ใช่ป่ะ”

“เสือก”

“พี่ทิวลิปใช่มั้ย” ไม่ยอมตอบคำถามแบบนี้ ต้องใช่แน่ๆ คนที่มันนัดไว้ต้องเป็นพี่ทิวลิป 100% “งั้นกูจะรีบกินรีบไปละกัน ไม่อยากไม่ก้างขวางคอ”

ไม่รู้ว่าทำไมต้องน้อยใจ แต่หลังจากจบประโยคนั้นผมก็ไม่คุยกับมันอีก ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอย่างกับคนตายอดตายอยาก รีบกินแล้วก็เอาบิลไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

ผมเดินสวนกับพี่ทิวลิปที่หน้าร้าน พี่เขายังดูดีและเป็นเป้าสายตาเหมือนอย่างเคย ก็ดูดีขนาดนี้อะเนอะ ใครๆ ก็ต้องชอบอยู่แล้วล่ะ







ไม่มีคืนไหนเหมาะแก่การนั่งร้านเหล้าเท่าคืนวันศุกร์และเสาร์แล้ว

“มึงไม่เบื่อเหรอวะ เมื่อคืนก็มา” ไอ้ป๊อบถามหลังจากกระดกเหล้าเข้าปาก

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ จะเบื่อยังไงก็ในเมื่อมาที่ ‘บาร์หลี’ คนละสถานะกับเมื่อคืน คืนนี้มาในฐานะลูกค้าไม่ได้มาในฐานะนักดนตรีเหมือนคืนก่อนซักหน่อย

“โต้รุ่งกันมั้ยวะ”

“สัด ไม่เอา เดี๋ยวเที่ยงคืนกูกลับแล้ว” อีก 20 นาทีเที่ยงคืนอะ

“มึงเป็นซินเดอเรลล่ารึไง”

“สวยเลยค่ะ” เกลียดท่าสะบัดผมสลวยในมโนของแม่งจริงๆ

“ซินเดอเรลล่ารองเท้านันยางอะดิมึง”

“วันเกิดปีนี้กูอยากได้คอนเวิร์ส”

“บอกใครอะครับคุณ”

“พูดลอยๆ” และก็เสือกลอยเข้าหูผมไง

ที่จริงไอ้ป๊อบก็พูดไปงั้นๆ แหละ มันก็อยากได้จริงแต่เคยซื้อให้ครั้งนึงนะ มันเอาไปคืนร้านเฉย เพราะแบบนี้ผมจึงมั่นใจว่ามันคบผมโดยไม่หวังผลใดๆ อย่างมากก็เลี้ยงเหล้าอะ แพงสุดแล้ว

“ว่าแต่มึงเถอะ ชวนแดกเหล้ามีเรื่องไม่สบายอะไรเล่ามา” มันก็ไม่เชิงว่าไม่สบายใจหรอก

“คืองี้…”

และผมก็เล่าเรื่องที่ไปเจอมหาสมุทรวันนี้ให้ฟัง

“สรุปคือมึงกลัวผี ไม่กล้ากลับไปนอนห้องคนเดียวงี้”

“อือ” เรื่องจริงพันเปอร์เซ็น

“ป๊อดสัด งั้นไปนอนห้องกู”

“เมทมึงล่ะ”

“ช่างแม่ง นอนเบียดๆ กัน” นี่แหละที่อยากได้ยิน อยากหอมแก้มมันซักฟอดแต่ไม่เอาดีกว่า ผิดผี “เออมึง…”

“ว่า”

“ในกลุ่มไลน์สายกูอะ ดรีมมันบอกว่าน้องแบร์อาการน่าเป็นห่วงนะ”

“ยังไงอะ เรื่องนั้นคนก็เลิกพูดถึงแล้ว”

“เรื่องนั้นจบ แต่แบร์มันยังไม่จบไง มึงรู้ใช่ป่ะว่ามันกำลังลดน้ำหนัก”

“อือ วันศุกร์คุยกันอยู่”

“แล้วน้องมันบอกมึงมั้ยว่ามันใช้ยา”

“เพื่อนไอ้กล้วยแนะนำยาตัวนี้ให้แบร์อะ” จำได้ว่าไอ้กล้วยเคยบอกไว้ในแชทแต่ก็ไม่คิดว่าน้องแบร์จะลองใช้ยาจริงๆ

“แล้วพวกมึงก็ปล่อยเนี่ยนะ มึงรู้มั้ยว่าโทษของยาลดความอ้วนเป็นยังไง”

“เคยดูข่าวน่า ที่จริงพวกกูก็ห่วงน้องมัน คุยแล้ว เตือนแล้ว น้องมันก็ไม่ฟังไง ก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว”

“เดี๋ยวกูให้ดรีมช่วยดูให้”

“ขอบใจมึงนะ”

“คอนเวิร์ส”

กำลังจะซึ้งอยู่แล้วเชียว








ช่วงนี้ก็เรื่อยๆ นะ บางวันก็ฝนตก บางวันก็แดดออก อย่างวันนี้ ตื่นเช้าออกจากหอมาติวสแตทกับมหาสมุทรแดดกำลังดีเลย พอเที่ยงปุ๊บตั้งใจจะกลับหอไปนอนก็พบว่าฝนตกซะงั้น

ข้าวเขิ้วไม่ต้องกินกันแล้ว

“มึง กูหิวอะ” มหาสมุทรบอกว่าการลองทำควิซเป็นวิธีทบทวนความจำที่ดีที่สุด อันนี้รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ เพราะควิซ 2-3 ครั้งที่ผ่านมา คะแนนของผมออกมาเกินครึ่งตลอดเลย

“ฝนตกขนาดนี้ ดื่มน้ำลูบท้องไป”

เป็นน้ำขวดที่ได้มาตอนเติมน้ำมันครบหนึ่งพันบาทจากรถของผมเอง

ตั้งแต่คบมหาสมุทรมานี่ น้ำเปล่าในรถถูกเอาออกมาใช้หมดแล้ว และกลายเป็นว่าผมที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจเปลี่ยนมาชอบดื่มน้ำอุณหภูมิห้องซะงั้น

เคยบ่นเรื่องนี้ และก็ถูกเพื่อนสั่งสอนว่าดื่มน้ำอุณหภูมิห้องมันดีต่อสุขภาพงั้นงี้

คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลที่แท้จริง

“กูไม่ไหวแล้วอะ เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินนะ มึงเอาไรมั้ย”

“ฝนยังไม่หยุดเลย มึงจะไปยังไง”

“เป็นห่วงกูหรอ”

“จะไปไหนก็ไป”

“งั้นเอาแซนวิชเหมือนเดิมนะ จะได้แอบเอาเข้ามาง่ายๆ หน่อย” มหาสมุทรด่าผมเรื่องแอบเอาของกินเข้าหอสมุดบ่อยมาก ถึงจะด่าแต่มันก็กินนะ ก็ยอมๆ ให้มันด่าไป ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว

ลงมาที่ชั้น 1 กะว่าจะขอยืมร่มแต่กลับพบความผิดหวังเมื่อร่มถูกยืมไปหมดแล้ว

เอาวะ รถจอดอยู่ไม่ห่างจากตัวอาคารมากนัก วิ่งฝ่าฝนด้วยความเร็วซักหน่อยก็ไม่น่าจะเปียกมากหรอกมั้ง

1 2 3 ไปโลด!!!

ไม่เปียกมาก ไอ้มิลเอ้ย ทั้งตัวมึงเนี่ยไม่เปียกแค่กางเกงในครับ แต่ยังโชคดีอยู่มากที่ผมชอบเก็บเสื้อผ้าไว้ในรถเผื่อต้องออกต่างจังหวัดฉุกเฉิน เดี๋ยวเก็บเอาไว้เปลี่ยนตอนกลับมาดีกว่า เพราะไม่แน่ตอนเดินไปซื้อข้าวอาจจะต้องตากฝนอีก ในรถมีเสื้อผ้าแต่ดันไม่มีร่มน่ะสิ

ผมแวะกินข้าวที่ร้านเฮียเอ๋งข้างร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ มอ รีบกินรีบซื้อแซนวิชด้วยกลัวว่าอีกคนจะรอนาน

ลองคิดๆ ดูก็สงสัยนะว่า มีใครห่วงมหาสมุทรเท่าผมมั้ย ผมนี่มันเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ

แต่งตัวเสร็จก็วิ่งตากฝนเข้าตึกอีกครั้ง ยังดีที่ฝนซาลงแล้วก็เลยเปียกแค่นิดหน่อย

“แซนวิชของมึง” สมุดบันทึกที่ถูกเขียนอยู่บรรทัดแรกในตอนที่ผมออกไป ตอนนี้ปากกากำลังจรดอยู่ที่บรรทัดสุดท้าย

มหาสมุทรเงยหน้าขึ้นมองผมผ่านแว่นกรอบหนา เหมือนมันไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่เลยอะ ทำไม ก็เนี่ยแซนวิชสลัดปูอัดที่มันชอบ ผมผิดไรอะ

“มึงกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหอะ เปียกไปทั้งตัวแล้ว”

“ห่วงกูว่างั้น” ตื้นตันนะแต่ก็อดแซ็วมันไม่ได้เลย เวลามหาสมุทรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนคนทำตัวไม่ถูกแล้วน่ารักดี

“แล้วแต่มึงจะคิดเถอะ”

“กูเปลี่ยนแล้วนะรอบนึง แต่ก็คงต้องกลับไปเปลี่ยนที่หออีกทีแหละ”

“ก็รีบไปสิ”

“มึงกลับพร้อมกูเลยเหอะ ดูท่าว่าฝนจะไม่หยุดง่ายๆ นะ”

“ไม่เป็นไร”

“ไปเหอะ” ผมไม่เคยบังคับมหาสมุทรสำเร็จเลยซักครั้ง รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง ผมถือวิสาสะเก็บหนังสือบนโต๊ะ ปากก็พูดไม่หยุด “เนี่ย ถ้าไม่กลับพร้อมกู กูไม่สบายใจมั้ย ใครจะอยากให้เพื่อนติดฝนอยู่คนเดียววะ”

“กำลังทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีว่างั้น”

“แล้วที่ผ่านมากูเป็นเพื่อนที่ไม่ดีเหรอ”

มหาสมุทรไม่ตอบ แต่เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเจ้าตัวกำลังเก็บกระเป๋าอยู่ เห็นอย่างนั้นแล้วอยู่ๆ ก็ฉีกยิ้มกว้างเฉยเลย เห็นมั้ย เพื่อนผมน่ะบทจะว่าง่ายก็น่ารักฉิบหายเลย

เราเดินออกจากห้องอ่านหนังสือมา พอลงมาหน้าตึกก็พบว่าฝนตกหนักอีกแล้ว ร่มก็ไม่มี มหาสมุทรก็หอบหนังสือโคตรเยอะ

“เอาเสื้อคลุมหนังสือไว้เลยมึง” ผมบอกพลางโยนเสื้อคลุมของบริหารให้มันไป

พอได้รับการเอาใจใส่ก็หันมาทำหน้าปลื้มปริ่มใส่ผม คิดว่ามันจะทำอย่างนั้นอะนะ ไม่หรอก มหาสมุทรแค่หันมาบอกว่าขอบคุณเบาๆ เคล้าไปกับสายฝนแล้วเราก็เริ่มออกวิ่ง

คราวนี้เปียกปอนแพ็คคู่เลยทีเดียว

Rrrrr

“มึงรับโทรศัพท์ให้กูหน่อยสิ” อยู่ๆ ในตอนที่กำลังจะเลี้ยวรถออกถนนใหญ่ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น คนถูกขอร้องลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือไปกดรับและเปิดสปีกเกอร์โฟน

“เชี่ยมิล มึงมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

“เกิดไรขึ้นป๊อบ”

“มาเหอะน่า เร็วเลยนะมึง”

“เหี้ยไรเนี่ย โรง’บาลไหน”

“มอ มอ” เหี้ย ร้องเป็นวัวแล้วก็ตัดสายไปไม่บอกไม่กล่าว แต่น้ำเสียงร้อนรนก็ทำให้ผมไม่รีรอที่จะรีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยโดยลืมคนข้างๆ ไปเลย

ผมพยายามขับรถมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่เพราะฝนตกหนักมากแม้จะรีบแค่ไหนก็ไม่ทันใจผมอยู่ดี

“มึงขับรถกูกลับหอไปก่อนเลยก็ได้นะ” ผมวิ่งลงจากรถมาด้วยความเร็ว ไม่สนใจถอดกุญแจออกมา ไม่สนใจแม้กระทั่งฝนที่เทลงมาไม่หยุด

เปียกอีกแล้วอะ ตอนนี้แม้แต่กางเกงในก็แฉะ

พอเข้ามาที่ห้องฉุกเฉินก็พบว่าสายรหัสทั้งของผมและไอ้ป๊อบอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตายกเว้นก็แต่น้องแบร์

“เกิดไรขึ้นวะ”

“น้องแบร์อะดิ”

“แบร์เป็นอะไร” ได้ยินชื่อน้องแล้วก็ยิ่งร้อนรน เผลอกระชากคอเสื้อไอ้ป๊อบเค้นเอาคำตอบ

“กล้วยผิดเองแหละพี่ที่ไม่ห้ามน้องมันตั้งแต่ทีแรก” ได้ยินกล้วยว่าอย่างนั้นผมจึงปล่อยมือจากคอเสื้อเพื่อนตัวเอง มองน้องแล้วก็พบว่าดวงตาของไอ้กล้วยแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้อย่างหนักแล้วเพิ่งหยุดร้อง ผมจึงเข้าไปลูบหลังปลอบใจมัน และไอ้บ้านี้คนอุตส่าห์ปลอบกลับเอาหน้าผากมาซบแล้วร้องไห้สะอึดสะอื้น

เห็นน้องร้องน้ำตาผมก็พาลจะไหลเหมือนกัน

“พวกมึงจะร้องไห้ทำเหี้ยไรเนี่ย น้องมันยังไม่ตายแค่หมดสติเอง ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”

“ทำเป็นพูดดีไปไอ้เอ้กมึงอะร้องแรกแหกกระเชิงหนักกว่าชาวบ้านเค้าเลย ไอ้สัดคนออกมามุงทั้งหอ” พี่สายไอ้ป๊อบว่าพร้อมตบกะโหลกพี่ผมไปทีนึง

“กูห่วงน้องป่ะวะ ตบจนแก้มมันอ้วนแม่งยังไม่ตื่น”

“มันเกิดอะไรขึ้นวะพี่ แบร์เป็นอะไร”

และก็ได้ความว่าอยู่ๆ แบร์ก็หมดสติไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เหตุผลที่พอจะคาดเดากันได้ก็มีแต่เรื่องยาลดความอ้วนที่น้องมันใช้อยู่เท่านั้น ผมเองก็คิดเหมือนกัน

“แล้วหมอว่าไงบ้าง”

“ยังไม่ออกมาเลย”

“เข้าไปนานเท่าไหร่แล้ว”

“ชั่วโมงได้แล้วมั้ง” ไอ้ป๊อบว่าพลางกวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “มึงไปหายาแดกไปไอ้มิล เปียกทั้งตัวอย่างนี้เป็นไข้แน่”

“กูแข็งแรง เกิดมาเป็นไข้นับครั้งได้เลย”

“พี่ป๊อบแหละเร่งพี่มิล” น้องดรีมหันมาดุ

“ก็พี่ตื่นเต้นนี่หว่า อยากให้มากันพร้อมหน้าพร้อมตา”

“เพื่อนหนูยังไม่ตายมั้ยพี่ นี่ก็แช่งจังเลย”

“กูยังไม่ได้แช่งเลยดรีม มึงก็มองพี่ในแง่ร้ายเกินไปป่าว” อ้าว เถียงกันซะงั้น

ขณะที่ผมนั่งมองสองพี่น้องทะเลาะกันคนที่ไม่คุ้นหน้าก็เดินเข้ามาทำให้สงครามน้ำลายครั้งนี้สงบลง คนมาใหม่มองหน้าพวกเราทุกๆ คนก่อนหยุดที่ผม พอสบตากันมันก็ยิ้ม

“เราเฌอนะ” อยู่ๆ ก็แนะนำตัว คืออะไรอะ ควรทำความรู้จักกันไว้เหรอ

“พี่เฌอที่ถ่ายแบบให้น้องแบร์ป่ะคะ” ไอ้กล้วยช่วยไขข้อสงสัยให้พวกเราทุกคน อ๋อ ก็ว่าอยู่ชื่อคุ้นๆ แล้วนี่ใครเรียกมันมาอีกล่ะ

“น้องแบร์เป็นยังไงบ้าง” ถามคำเดียวกับผมเด๊ะ และไอ้กล้วยก็เป็นคนตอบคำถามและเล่าเรื่องทุกอย่างโดยละเอียดให้ฟัง

แต่ว่านะ มึงคุยกับไอ้กล้วยอะเฌอแล้วยังมองมาที่กูบ่อยๆ ทำไม

“มิล” เฌอเดินมาหยุดตรงหน้าผมแล้วยื่นเสื้อคลุมมาให้ “ท่าทางจะหนาวเนอะ ใส่เสื้อเราได้นะ”

“ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น”

“ไม่ต้องเกรงใจ”

“เออ งั้นก็ขอบคุณนะ” แม้ไม่อยากรับแต่พอเขามีน้ำใจให้ก็ไม่อยากปฎิเสธ ผมสวมเสื้อคลุมที่ได้รับมาทับเสื้อที่เปียกอีกชั้น มัวแต่กังวลจนลืมไปเลยว่าเสื้อในรถก็มีนี่หว่า แต่ว่า..ป่านนี้มหาสมุทรขับรถกลับหอไปแล้วมั้ง

ปกติผมเป็นคนหวงรถมาก ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่กล้าทิ้งรถไว้กับเพื่อนที่รู้จักกันยังไม่ถึง 2 เดือน ไว้ใจมันได้ยังไงกันวะเนี่ย

          Millionaire_ : มึงถึงหอยังอะ

กะว่าทิ้งข้อความเอาไว้เฉยๆ เพราะปกติมหาสมุทรไม่ใช่คนอ่านเร็วตอบเร็วซักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ากับพี่ทิวเคยให้อีกฝ่ายรอหรือเปล่าหรอก

เอ้า! เป็นอะไรเนี่ย อยู่ๆ ก็ตัดพ้อเขา ก็แค่เพื่อนอะ ทำไมต้องน้อยใจวะ

          An Ocean : หออะไร กูยังอยู่ในรถมึง

          Millionaire_ : รถติดมากเหรอ

          An Ocean : อือ ติดอยู่ที่ลานจอดรถเนี่ย

เดี๋ยวนะๆ หมายความว่ายังไง คงไม่ใช่ว่ามหาสมุทรนั่งรอผมอยู่ในรถตั้งแต่ตอนนั้นหรอกใช่มั้ย

          Millionaire_ : มึงยังอยู่หน้าโรง’บาลเหรอ

          An Ocean : เออดิ

          An Ocean : อ่านหนังสือ

อะไรของมันวะเนี่ย

          An Ocean : กูไม่ค่อยชอบขับรถคนอื่นด้วย มึงไม่ต้องรีบหรอก ออกมาเมื่อไหร่ค่อยไปส่งกู

หืม แบบนี้ก็ได้เหรอวะ

“พี่ เดี๋ยวผมกลับหอก่อนดีกว่า เริ่มหนาวแล้วว่ะ มีใครจะกลับด้วยมั้ย” กวาดสายตามองทุกคนแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ เว้นก็แต่เฌอที่พยักหน้าเออออพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วบอกลาทุกคน

“งั้นผมกลับเลยละกันนะ ถ้าน้องฟื้นแล้วค่อยมาเยี่ยม”

“ขอบใจมากมึง” พี่เอ้กตอบรับ จะว่าไปไม่ค่อยเห็นพี่มันโหมดซีเรียสแบบนี้เท่าไหร่ ปกติเฮฮาจนคิดว่าเป็นคนบ้า

“กลับกับเรามั้ย”

“นึกว่าจะไม่ชวน”

“แล้วตอนมามาไงอะ ไม่เห็นเปียก”

“มีร่มไง เรามาแท็กซี่ด้วย”

“อ่อ ก็ดี รถเราจอดอยู่กลางลานจอดรถโน่นเลย”

โชคดีที่เฌอมีร่มไม่งั้นรับรองว่าเปียกอีกคราวนี้ต่อให้แข็งแรงแค่ไหนก็ไม่น่าจะต้านไวรัสไหวแล้ว

“เพื่อนมิลเหรอ” เฌอถามตอนที่เข้ามานั่งที่เบาะหลัง ตอนแรกมันเปิดประตูหน้าแล้ว พอเห็นมหาสมุทรนั่งอยู่ก็ตกใจจนสะดุ้งเลย

“แม่ย่านางรถอะ”

“เพื่อนเล่นมึงเหรอมินเนี่ยน”

“แฟนมิล…”

โอ๊ะ! เดี๋ยวนะ เข้าใจผิดไปกันใหญ่ แล้วไอ้มหาสมุทรก็ไม่คิดจะตอบโต้อะไรด้วยสิ

“เพื่อนๆ”

“ใครเพื่อนมึง” อ้าวไอ้หมานี่ มือไม่พายแล้วยังเสือกเอาเท้าราน้ำอีก

“ไม่เป็นไร เราไม่ถือหรอก” มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ แต่ช่างแม่ง หนาวอะ ขี้เกียจคุยแล้วด้วย

“นายพักไหนอะเฌอ”

“รติรักษ์ ตึก 4”

“จริงดิ เราพักตึก 5 ใกล้ๆ กันเลย แต่ว่าต้องไปส่งเพื่อนเราที่โอลีฟก่อนนะ”

“ไงก็ได้อะ เราไม่รีบ”

“ทีกับกูไม่เห็นสุภาพ”

ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังมาจากมหาสมุทรให้ผมหยุดคุยกับเฌอแล้วสตาร์ทรถ

“เมื่อกี้มึงคุยกับกูป่ะ”

“ไม่เสือกนะ” สาธุสิครับได้รับพรแล้ว

จอดรถหน้าหอพักของมหาสมุทรแล้วแต่ฝนก็ยังไม่หยุดตกดี แต่ก็ซาเหลือเพียงฝนเม็ดเล็กๆ ปรอยๆ

“มึง” คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถชะงักไปแล้วหันมามอง

“อะไร”

“แซนวิชมึง” ผมวางแซนวิชที่ตั้งใจซื้อมาให้มันแต่แรกลงบนตั้งหนังสือ

“เออ ขอบใจ”

“เอาไว้ถึงหอแล้วกูโทรมาบอกนะ”

“ไม่ต้องอะ กูไม่อยากรู้เรื่องของมึง”

ได้แต่ยิ้มให้กับท่าทางการปฏิเสธแบบสุดตัวของมหาสมุทร ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมชอบแหย่ให้มันโกรธ เห็นมันหัวร้อนแล้วก็ขำทุกที

“มานั่งหน้าดิ” ผมบอกพลางมองคนที่เบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง

และเฌอก็ทำตามง่ายๆ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอะนะ

“เราขอโทษมิลอีกครั้งนะ”

“เรื่องอะไร”

“เราเป็นต้นเหตุให้น้องแบร์เจอเรื่องแบบนี้ หลังจากเกิดเรื่องเราก็พยายามในส่วนของเราแต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไร”

“อ่า เราต้องบอกว่าไม่เป็นไร เราไม่โกรธนายหรอกงี้เหรอ บ้าแล้ว ถึงแบร์จะเป็นสายรหัสเรา แต่เรื่องนี้เหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเราว่ะ”

“เรารู้สึกผิดอะ ยิ่งน้องแบร์มาเป็นแบบนี้”

“น้องแบร์โกรธนายมั้ยล่ะ”

“ไม่รู้สิ แต่ล่าสุดที่คุยกันน้องก็ปกติดี”

“มันไม่โกรธนายหรอก มันขอบคุณนายด้วยซ้ำที่ชวนไปถ่ายแบบ รูปที่นายถ่ายก็สวยดีนะ”

“มิลได้ดูด้วยเหรอ”

“ดังขนาดนั้นก็ต้องผ่านตาบ้างแหละ”

“แค่ผ่านตาเองเหรอ ผิดหวังจัง”

ปกติรถก็ติดมากอยู่แล้ว ยิ่งในวันที่ฝนตกตลอดทั้งวันแบบนี้ เคยไปถึงที่หมายภายใน 10 นาทีก็ต้องคูณ 5 คูณ 10 เข้าไป

“มิล”

“ว่า”

“ตัวจริงมิลดูดีเหมือนในรูปเลยนะ” อะไรของมันวะ อยู่ๆ มาชม ขนาดไอ้ป๊อบยังไม่เคย มหาสมุทรเหรอ เกิดใหม่อีก 3 ชาติยังไม่รู้ว่าจะได้ยินคำนี้จากมันไหม

“อะไรของนาย ไปแอบส่องรูปจากที่ไหน”

“ไอจีไง มิลเที่ยวบ่อยนะ ปกติไปกับใคร”

“ก็ไปเรื่อยๆ”

“เคยอยากลองเป็นนายแบบบ้างมั้ย”

“เราเนี่ยนะ ไม่เหมาะหรอก”

“รู้ได้ยังไงว่าไม่เหมาะ มิลน่ารักออก”

“ชมกันแบบนี้โคตรหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเลยรู้ป่าว”

“ยังไงอะ”

“ผู้ชายที่ไหนเขาชมกันว่าน่ารัก”

“ปกติออก”

“เหรอ”

“สำหรับเรา มิลน่ารักจริงๆ นะ”

อะไรของมันวะ


[T B C]

นี่ว่าสมุทรไม่ได้ใจดี แต่สมุทรแค่ขี้เกียจขับรถฝ่าฝนกลับหอมากกว่า
เรื่องน้องแบร์ชักจะบานปลายใหญ่แล้วค่ะ ฝากเอาใจช่วยด้วย
ตอนนี้พระรองมาแล้ว พระรองเวอร์ชั่นเรา บอกเลยค่ะว่าเป็นคนดี เพราะเราชอบคนดี แต่ไม่รู้ว่ามิลจะชอบคนดีหรือเปล่า
ฝากติดตามด้วยนะคะ
พูดคุยกันที่ทวิตเตอร์ก็แท้กนี้เลย #หมามิล

แจ๊ส
 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2018 20:53:57 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

06 เพื่อนผมอาจจะอ่อย


มหาสมุทรทำกระเป๋าปากกาหล่นไว้ในรถของผม ไม่ได้อ่อยกันใช่มั้ยวะ

พอๆ บอกตัวเองให้ตื่นจากความคิดบ้าบอแล้วทำตัวเป็นคนไร้มารยาทถือวิสาสะเปิดกระเป๋าดูของข้างในเสียหน่อย บอกตรงๆ ว่าอยากใส่ใจ

กระเป๋าปากกาของไอ้หมาเพื่อนผมเป็นแบบผ้า สภาพเยินเหมือนผ่านการใช้งานมาหลายชั่วอายุคนแต่ก็ยังดูสะอาดดี ข้างในไม่มีอะไรมาก ซองใส่ปากกาอะเนอะก็มีปากกา ดินสอ ยางลบ ไส้ดินสอ แค่นี้

โห ไม่ตื่นเต้นเลยอะ แต่ว่าปากกาลายเป็ดนี่น่ารักดี ไม่คิดว่าคนนิ่งๆ ลุคเด็กเรียนอย่างไอ้หมาจะมีมุมน่ารักๆ กับเขาด้วย เอาจริงๆ มหาสมุทรมันก็น่ารักแบบมันนะ แบบที่พออยู่ใกล้ๆ แล้วจะสัมผัสได้

          Millionaire_ : อ่อยกูป่ะเนี่ย

ผมกดส่งข้อความพร้อมแนบรูปซองปากกาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ทำไมต้องรู้สึกมีความสุขด้วยก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเอง

          An Ocean : มึงเพ้อหนักละ

          Millionaire_ : แน่ะๆ มีเขินด้วย น่ารักนะเนี่ย

          An Ocean : วันพุธเอามาคืนด้วย

          Millionaire_ : แล้วมึงไม่ใช้เหรอ

          An Ocean : ใช้

          Millionaire_ : เดี๋ยวพรุ่งนี้กูแวะเอาไปให้ที่ตึกมั้ย

          An Ocean : ไม่เป็นไร ปากกากูเยอะ

          Millionaire_ : แต่กูไม่ค่อยมีปากกาเลยอะ งั้นซองนี้ยึดเลยได้ป่ะ

          An Ocean : คนรวยเขาทำกันแบบนี้เหรอ

          Millionaire_ : ปกติปากกาที่จิ๊กเพื่อนมามันใช้ดีกว่านี่หว่า กูเลยไม่ซื้อแม่ง

          An Ocean : นิสัยโจร

          Millionaire_ : ขอบคุณที่ชมนะครับผม

          An Ocean : กูจะอ่านหนังสือละ พรุ่งนี้ไม่ต้องเสนอหน้ามาล่ะ

          Millionaire_ : โห ไรวะ

อ่านแต่ไม่ตอบงี้ โอ้ยน้อคนเรา แต่ก็ว่าไม่ได้ล่ะครับ ก็นี่มันนิสัยส่วนตัวของเพื่อนผมที่ตัวผมเองก็ค่อนข้างจะยอมรับได้

ผมเก็บซองปากกาไว้บนโต๊ะที่ที่มองเห็นได้ชัดเจน คิดไว้ว่าพรุ่งนี้จะเอาไปไว้ในรถเผื่อบังเอิญเจอมหาสมุทรจะได้คืนมันเลย แต่ลึกๆ แล้วไม่อยากคืนเลยว่ะ ไม่ใช่นิสัยโจรอะไรหรอก แค่อยากเก็บเอาไว้เผื่อมีเรื่องคุยกันมากกว่าเรื่องติวสแตทกับเรื่องกิน

ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากสนิทกับมหาสมุทรให้มากกว่านี้อีก







แม้จะถูกห้ามไม่ให้ไปหาแต่ไอ้หมาเคยห้ามผมได้รึไง ก็ไม่เคยห้ามกันได้นะ

วันนี้มีเรียน 10 โมง แวะมาคณะวิทย์ก่อน ตอน 10 โมงนิดๆ พร้อมกระเป๋าดินสอกับแซนวิชเจ้าเก่าหน้าหอ

นั่งรออยู่หน้าห้องเรียนครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก คนไม่เยอะมากไม่ต้องมองหามหาสมุทรก็อยู่ในการมองเห็น

อ้าวงง มองกันแล้วทำหน้างงเฉย

“บอกว่าไม่ให้มาไง”

“คิดถึงไง” ผมบอกพร้อมยิ้มกว้าง คนตัวสูงไม่ได้ยิ้มตอบซ้ำยังทำหน้าหน่ายอีก ทำหน้าหน่ายผมบ่อยพอๆ กับครูสอนคณิตศาสตร์ตอนมัธยมเลยอะ

“ตลก แล้วมานี่คือไม่มีเรียนเหรอ” ที่แท้ก็ห่วงกลัวผมจะเข้าเรียนไม่ทันนี่เอง น่ารักนะเนี่ย

“มีเรียน 10 โมงอะ”

“นี่มัน 10 โมงกว่าแล้ว”

“เข้าเรียนกี่โมงก็เหมือนกันแหละ”

“นี่มินเนี่ยน”

“ครับ”

“คนเราอะนะ นอกจากมีเงินแล้วก็ต้องมีสมองด้วย จำเอาไว้” จุกอะ แล้วไงใครแคร์ ความรวยชนะทุกอย่างจำเอาไว้

“รู้ว่าห่วงแต่คำพูดคำจามึงนี่ โคตรเจ็บเด้อ”

“สรุปว่าเป็นคนใต้หรือคนอีสาน”

“เป็นคนทุกที่นิ” สำเนียงใต้แบบแปร่งๆ ของผมเรียกรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าอีกฝ่าย เห็นมันยิ้มได้ก็ชื่นใจว่ะ

“กวนตีน”

“แล้วนี่มึงไปไหนต่อ”

“เสือก” สาธุครับได้รับพรแล้ว

“งั้นกูไปละนะ เจอกันเมื่อบังเอิญ” ผมยัดแซนวิชใส่มืออีกฝ่าย บอกลาแล้วจากมา

มาถึงตึกบริหาตอน 10 โมงครึ่ง ไม่ถือว่าสายหรอกเพราะอาจารย์ไม่เช็คชื่อ

“นี้ซองปากกามึงเหรอ” อ้าวเชี่ยละ เพิ่งรู้ตัวตอนไอ้ป๊อบทักว่าลืมคืนกระเป๋าดินสอ

“ของไอ้หมาน่ะ”

“แล้วมาอยู่ที่มึงได้ไง”

“มันลืมไว้บนรถเมื่อคืน”

“มีซัมติงมั้ยอะ” พอไอ้ป๊อบเอ่ยคำว่าซัมติงหัวใจผมสั่นเฉยเลย ไม่เอาดิวะ ไม่คิดเกินเลยนะ นั่นเพื่อนนะ อีกอย่างมันเป็นเพื่อนที่มีคนที่ชอบแล้วด้วย จำใส่สมองเอาไว้

“ซัมติงเหี้ยไรล่ะ เรียนเสร็จไปเยี่ยมแบร์มั้ย”

“ไปดิ เมื่อเช้าดรีมไลน์มาบอกว่าแบร์ฟื้นแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจ

          Millionaire_ : กระเป๋าปากกาใครเอ่ย

ส่งข้อความแนบรูปถ่ายทิ้งไว้ คิดว่าอีกนานเลยแหละกว่าปลายทางจะตอบ

และก็เป็นดังคาด เรียนเสร็จบ่ายโมง จนมาทำเรื่องย้ายห้องให้น้องแบร์ไอ้หมาเพื่อนผมก็ยังไม่ตอบข้อความ

“มิล”

อยู่ด้วยกันในห้องเกือบ 10 คนแต่ไอ้คนต่างคณะดันทักทายผมคนแรกและเสียงดังมากเหมือนสนิทกันมาแต่ชาติปางไหน แล้วนี่ผมไปสนิทกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ งงใจ

“อือ ไง” คนมีมารยาทอะครับ เขาทักมาก็ต้องทักกลับใช่มั้ยล่ะ พอผมยิ้มแหยให้ไอ้คนต่างคณะก็ยิ้มหล่อส่งกลับมา

“น้องแบร์หลับไปอีกแล้วเหรอ”

“เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้เอง นายมาช้าไปหน่อยเดียว”

“เสียดายจัง”

“คราวหลังก็มาให้มันเร็วๆ หน่อยสิวะ” ไอ้ป๊อบว่า ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพวกมันคุยอะไรกันเพราะไม่สนใจฟัง สักพักพี่เอ้กเปิดประตูเข้ามาพร้อมข้าวมื้อบ่าย

ว่าแต่ไอ้หมาเถอะ กินข้าวกินปลาบ้างรึยัง

คิดแล้วก็โทรหามันเลยละกัน ต่อสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย

“มีอะไร” ไม่เคยทักทายผมด้วยคำว่าฮัลโหลสวัสดี ไม่มี๊ไม่มี

“มึงอยู่ไหนอะ”

“ถามทำไม”

“คิดถึง อยากเจอ”

“กวนตีน” อีกครั้งที่ผมยิ้มให้กับคำว่ากวนตีน มันไม่ใช่คำที่ควรจะทำให้ยิ้มได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ผมกลับหุบยิ้มไม่ลงเมื่อได้ยินคำนั้น เฉพาะจากมหาสมุทร

“มึงกินข้าวกัน กูยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยอะ”

“เรื่องของมึง”

“มหาสมุทรเพื่อนรัก”

“กูไม่รักมึง”

ตัดสายกันเฉยเลย ไอ้คนไร้มารยาท

“มิลยังไม่กินข้าวเหรอ ไปกินด้วยกันมั้ย ข้าวที่นิเทศอร่อยนะ” พอผมวางสายคนที่มานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ก็หันมาถามด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“ยังอะ เดี๋ยวว่าจะแย่งพี่เอ้กกิน” พอได้ยินอย่างนั้นคนถูกพูดถึงก็รีบยัดข้าวใส่ปากคำโตจนเต็มกระพุงแก้ม สภาพพี่มันไม่ต่างจากหนูแฮมสเตอร์ ขาดอยู่อย่างเดียวคือความน่ารัก เห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าระอา

ขอให้ข้าวติดคอมึงครับพี่เอ้ก สาธุ

“ไปดิ กูไปด้วย ไอ้มิลเลี้ยงนะ” ไอ้ป๊อบแม่งได้ทีฉวยโอกาส

แต่ก็นั่นแหละ เรื่องมัดมือชกขอให้บอกเถอะ เขาถนัดนัก รู้ตัวอีกทีก็มานั่งอยู่ในโรงอาหารนิเทศแล้ว

ตรงหน้าผมคือพี่ทิวลิปกับไอ้หมา ข้างซ้ายไอ้ป๊อบ ขวาเฌอ รู้สึกแปลกๆ พิกลแฮะ

“มิลเอาก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่มั้ย อร่อยนะ” เฌอเสนอและตั้งท่าจะเดินไปซื้อให้ แต่เดี๋ยวนะ มิลเลียนแนร์เป็นผู้ชายครับ ดูแลตัวเองได้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มากินข้าวที่นิเทศด้วย

“เดี๋ยวเราไปซื้อเอง”

“สั่งมาเลย เดี๋ยวเราสั่งเผื่อ” คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านก็เลยคอยเทคแคร์เหรอ ที่จริงเฌอก็ดูเป็นคนใส่ใจเพื่อนดี

“กูเอาแบบไอ้มิลที่นึง” ไอ้ป๊อบได้ทีใช้เลย ปกติมันขี้เกียจเข้าแถวซื้อข้าวอยู่แล้ว

“แล้วมิลล่ะเอาอะไร”

“เหมือนเฌอละกัน” ขี้เกียจคิดแล้ว ในเมื่อเฌอแนะนำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ก็จัดซักหน่อยละกันจะได้ไม่เสียน้ำใจ

“น้ำล่ะ”

“เดี๋ยวไอ้ป๊อบไปซื้อ”

ผมยัดเงินแบ็งค์ร้อยใส่มือไอ้ป๊อบก่อนจะหันมามองมหาสมุทรอีกครั้ง

“ไม่คิดว่าจะเจอมึงที่นี่นะเนี่ย เซอร์ไพร์สว่ะ” แม้ใบหน้าของผมจะมีรอยยิ้มแต่ในใจมันกรุ่นๆ พิกล ไม่รู้เป็นอะไร

“กูมาบ่อยนะ” และไอ้คนตรงข้ามก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของผมเท่าไหร่เลย ใช่สิ นี่มินเนี่ยนนี่หว่าไม่ใช่ทิวลิปซักหน่อย เจียมตัวนะ

“อ๋อเหรอ”

“มิลกับซีดูสนิทกันแล้วเนอะ” ถึงแม้จะ ได้ยินชื่อพี่ทิวจากปากเพื่อนตัวเองบ่อยครั้งแต่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับพี่แกจริงจังหรอก

“ไม่สนิทอะ”

“สนิทครับ” เตะตัดขาแม่ง ชอบปฏิเสธดีนัก

“ซีไม่ค่อยมีเพื่อน พี่ดีใจนะที่ซีมีมิล”

“ไม่อยากมีหรอก” นี่ก็จะขัดทุกเรื่องถูกมั้ย กลัวคนที่ตัวเองกำลังตามจีบเข้าใจผิดหรือไงวะ แต่พี่ทิวลิปก็ไม่ได้ดูมีท่าทางแปลกๆ อะไรเลย ระหว่างสองคนนี้ดูปกติจนหาความพิเศษไม่เจอด้วยซ้ำ

“จะดูแลอย่างดีเลยครับ”

“ใครอยากให้มึงดูแล”

“กูไง กูเป็นเพื่อนมึงกูก็ต้องดูแลมึงสิ”

“ตัวเท่าลูกหมา”

“เออ ใจกูก็หมาด้วยนะ แต่เป็นหมาน้อยน่ารัก”

“มิลนี่น่ารักดีนะ” พี่ทิวลิปเท้าคางมองผมด้วยสายตาที่แค่มองผ่านๆ ก็เขินได้

ให้ตายเถอะ มองผู้ชายแล้วใจสั่นก็ได้ด้วยเหรอวะ

“ตาถั่วละทิว”

“ทำไมซีชอบว่าเพื่อนแบบนี้ล่ะ นิสัยไม่ดีนะเรา”

ไอ้ป๊อบกลับมาพร้อมน้ำเปล่ากับน้ำแข็ง 3 แก้ว และเสียงบ่นงุ้งงิ้ง มันยัดเงินทอนใส่กระเป๋าเสื้อผมแล้วก้มหน้ากดมือถือ

“ช่วงนี้มึงติดมือถือจังวะ” เห็นอย่างนั้นแล้วก็แซ็วให้อีกฝ่ายหันมามองแวบเดียวและตอบคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเพื่อนตัวเอง

“จีบสาว”

“จริง?”

“เออดิ” ไม่ลังเลด้วย เอาจริงดิ จะหนีผมไปมีแฟนแล้วเหรอ แอบหวั่นเหมือนกันนะเนี่ย

“น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะ”

“เออน่า เอาไว้เจอแล้วจะแนะนำให้รู้จัก” ไม่เคยรู้เลยอะว่าเพื่อนกำลังติดหญิง

กำลังอ้าปากตั้งท่าจะซักไอ้ป๊อบต่อชามก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ก็ถูกวางลงตรงหน้าส่งกลิ่นหอมชวนหิวซะก่อน

“ขอบใจเฌอ ชามเท่าไหร่อะ” ถามพลางควักแบ็งค์ 20 ยับๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กะว่าจะจ่ายส่วนของไอ้ป๊อบด้วยเลย ทว่าอีกคนถูกถามกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร เราเลี้ยง”

“ไม่ดิ”

“เราอยากเลี้ยง”

“คุ้นๆ ว่าชามละ 50 มั้ยวะ” หันไปขอความเห็นจากไอ้ป๊อบก็เห็นว่ามันเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับมือถือ ไอ้สันขวานเอ้ย

เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อนสนิทผมจึงยัดเงินทั้งหมดในมือให้เฌอไป มันไม่รับผมก็วางไว้บนโต๊ะก่อนจัดการอาหารตรงหน้า

ก็ต้องยอมรับตรงๆ แหละครับว่าก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่อร่อยจริงๆ ผมก็มากินข้าวที่นี่บ่อยทำไมไม่เคยโดนวะ คราวหน้าคงต้องชวนน้องแบร์สายแดกมาชิมซะแล้ว

กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยก็รู้สึกว่าถูกจับจ้อง เงยหน้ามองก็สบตากับไอ้หมาเพื่อนรัก

“มองไร อยากกินเหรอ”

“ใครมองมึง”

“มึงอะ กินป่ะ กูแบ่งไก่ให้” ไก่ชิ้นที่กำลังถูกส่งเข้าปากถูกส่งไปให้คนตรงข้าม แน่นอนล่ะว่ามหาสมุทรต้องไม่ยอมรับไว้แน่ๆ “กลัวเป็นเก๊าเหรอวะ”

“เก๊าเหี้ยไร แดกไป พูดมาก”

“เก๊ารักเตงไง เตงรีบแดกเถอะ เก๊าเมื่อยแขนแล้ว”

“มุกมึงนี่…”

เสียงหัวเราะจากพี่ทิวทำให้ไอ้หมาเพื่อนผมหยุดพูด มีอิทธิพลต่อกันขนาดนี้เชียว

“มิลนี่ตลกดีเนอะ”

“อย่าชมมันพี่เดี๋ยวเหลิง” แม้จะติดมือถือแต่ก็ไม่ยอมเสียโอกาสแขวะผม รักกันมาก ซึ้งเลย

“ช่วงนี้มีแต่คนชมกูว่าน่ารักอะป๊อบ”

“คนชมตาถั่วล่ะสิ” คำนี้จากปากไอ้หมาทำเอาพี่ทิวหันไปมองเคืองๆ รวมทั้งเฌอด้วย

นี่ไงพวกคนตาถั่ว

“แล้วเฌอหานายแบบได้รึยัง” บทสนทนาใหม่ที่ผมไม่มีส่วนร่วมเริ่มขึ้น ผมจึงหันมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ

“มีคนในใจแล้วนะพี่ กำลังจีบ”

“เขาให้หานายแบบไม่ได้ให้หาแฟน”

“ก็ถ้าได้คนที่ดีต่อใจเรามาเป็นแบบให้มันก็ดีใช่มั้ยล่ะ”

“เพ้อเจ้อ ว่าแต่กำลังจีบใคร”

“ก็...”

ไม่ได้ยินหรอกว่าเฌอพูดว่าอะไร เพราะในสายตาของผมมีเพียงผักในจานของไอ้หมาเท่านั้น ทั้งที่กรอกหูผมตลอดว่าชอบกินผักแต่กลับไม่กินแตงกวาในจานข้าวมันไก่เนี่ยนะ พิลึกคน

“อันนี้มึงไม่กินใช่มั้ย” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบรับผมก็จ้วงตักแตงกวาที่มหาสมุทรเขี่ยไว้ข้างจนมากิน ผักนี่อร่อยจริงๆ เหมือนเกิดมาเพื่อผมยังไงอย่างนั้น

เห็นอย่างนี้ผมกินคลีนนะ กินเกลี้ยงอะและชอบกินผักผลไม้มากๆ เลยด้วย







เรียนสแตทอีกแล้ว

ผมพยายามจะไม่นอนหลับในชั่วโมงเรียน แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งจดจ่อ ตื่นขึ้นมาอีกทีอาจารย์ก็เดินออกจากห้องไปแล้ว อย่าคิดว่าผมตื่นเอง เพราะปากกาที่ดีดลงมาตรงท้ายทอยโดยฝีมือของคนข้างๆ นั่นแหละ ดีดลงมาได้ ไม่คิดว่าเพื่อนจะเจ็บบ้างเลยรึไง

เปรี้ยงเดียว ไร้รอยต่อ ทอเต็มผืน หลับเต็มตื่น ชุดเครื่องนอนโตโต้ ถุย!

“ถ้าไม่ไหวก็ดร๊อปนะ” ไอ้หมาแสดงความห่วงใยขณะเก็บของบนโต๊ะ

“ซึ่งอะ เพื่อนเป็นห่วง”

“กูด่า”

“อ้อเหรอ ด่าเหรอแต่ไม่เป็นไรกูจะคิดซะว่าเพื่อนห่วงก็เลยด่า”

“มินเนี่ยน”

“ถ้ามึงเรียกกูมินเนี่ยนอีกที กูจูบปากมึงนะ”

“มินเนี่ยน” ถูกคุณเขาท้าทายสิครับ คิดว่ามหาเศรษฐีไม่กล้างี้ โหย ดูถูก

หมับ!

คนถูกผมกอบกุมใบหน้าถึงกับเหวอ และยิ่งในตอนที่ผมทำปากจู๋แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มือที่เคยวางอยู่บนโต๊ะก็แปะลงบนหน้าผากแล้วยันไว้สุดแรง

ตลกมันอะ มิลเลี่ยนแนร์ออกจะน่ารักทำไมต้องทำท่ารังเกียจกันขนาดนี้ และยิ่งมันขืนตัวออกเท่าไหร่ผมก็ยิ่งพยายามจะใกล้มันมากเข้าไปอีก ไม่สนใจแล้วนาทีนี้ ขอแค่ได้แกล้งไอ้หมาก็พอ

“พี่มิลคะ หนู...” ทั้งผมและคนถูกจู่โจมจูบหยุดทุกการกระทำแล้วมองไปยังเจ้าของเสียง “ขัดจังหวะรึเปล่าคะ”

เป็นมหาสมุทรที่ผละออกไปก่อน มันก้มหน้าเก็บหนังสือปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับน้องดรีมเพียงลำพัง รู้แล้วว่ามันรักผมมากแค่ไหน แค่นี้ไง แค่ขี้เล็บ

“ว่าไงดรีม มีอะไรรึเปล่า”

“ดรีมกับเพื่อนๆ จะไปหาแบร์ พี่มิลไปด้วยมั้ยคะ”

“หมดนี่เหรอ” ประมาณสี่ห้าคนได้มั้ง “ไปรถพี่ได้นะ”

“นี่แหละค่ะที่ดรีมต้องการ” เห็นหน้าหวานๆ ไม่คิดว่าจะกะล่อนเหมือนพี่สายรหัสมัน “งั้นเดี๋ยวดรีมกับเพื่อนๆ ลงไปรอข้างล่างนะคะ”

“โอเคค่ะ” ผมละสายตาจากน้องๆ มามองคนทีตอนนี้ลุกออกจากเก้าอี้แล้ว “จะไปไหนล่ะยังไม่ได้จูบเลย”

“จูบตีนกูมั้ย”

“จูบแก้มก็ได้”

“ไม่ต้องมาทำทะเล้นเลย”

“ล้อเล่นน่า ขำๆ มึง เครียดไรนักหนา เออ วันนี้ไปกินข้าวด้วยไม่ได้นะ วันเสาร์กูไปติวไม่ได้ด้วย ต้องไปรับแบร์ออกจากโรงพยาบาล”

“น้องมันเป็นไงบ้าง”

“หูย เป็นห่วงคนอื่นก็ได้ด้วย มึงเป็นใคร มึงคายมหาสมุทรเพื่อนกูออกมาเดี๋ยวนี้เลย” พอผมตั้งท่าจะเข้าไปหา ไอ้หมาเพื่อนผมก็ถอยกรูด โหย ไรวะ ผมดูน่ากลัวขนาดนั้นเชียว

“กูไม่ขำนะมินเนี่ยน”

“มินเนี่ยนอีกแล้ว อยากสัมผัสริมฝีปากกูขนาดนั้นเชียว”

“มึงจะไปไหนก็ไปเถอะ” สะบัดมือไล่กันเหมือนไล่แมลงวันไม่มีผิด

“มึงไปไหน หอสมุดมั้ย ไปกับกูได้นะ”

“ให้นั่งตักมึงรึไง รถคันแค่นั้น”

“ถ้ามึงอยากนั่งก็นั่งได้นะ”

“กวนตีน”

“ด่าเพื่อนอีกแล้ว เดี๋ยวเอาไว้ปีหน้าขับกระบะมาเรียนดีกว่า จะได้บรรทุกเพื่อนได้เยอะๆ”

“กับเรื่องเรียนก็ควรทุ่มเทแบบนี้บ้างนะ”

“ไปดีกว่าเดี๋ยวสาวๆ รอนาน” พอมหาสมุทรตั้งท่าจะด่าผมก็เตรียมชิ่งเหมือนกัน บอกลา ยิ้มกว้าง แล้วเดินออกจากห้องมา

ที่จริงก็ไม่รีบขนาดนั้นหรอก ผมยืนรออยู่หน้าห้องครู่นึงก็ไม่เห็นว่ามันจะออกมาก็เลยลองเดินกลับไปชะโงกหน้ามองที่ประตูเห็นคุณเขาก้มหน้ากดมือถือหน้าตายิ้มแย้ม หมั่นไส้ว่ะกับผมไม่เคยยิ้มให้กันแบบนี้หรอก

หมับ!!

เร็วกว่าความคิดอีก ผมกระโดดกอดมหาสมุทรจากด้านหลังเต็มแรงจนคนถูกกอดเซไปข้างหน้าก่อนจะชะงักไป

“ถ้าเหงาก็โทรมานะ ไปละ”

พูดจบประโยคผมก็ผละออกแล้วใส่เกียร์หมาวิ่งสุดตีน

แผ่นหลังของมหาสมุทรกว้างและกอดอุ่นเหมือนตอนกอดป๊าเลย







ผมไม่ค่อยชอบโรงพยาบาลตอนกลางคืนเพราะมันทั้งน่ากลัว เงียบและวังเวง

“งั้นพวกพี่กลับแล้วนะ”

“เอาบีเอ็มมารับหนูนะพี่มิล”

“มึงไม่เหมาะเป็นหนูหรอกแบร์ มึงน่ะหมี อีหมี”

“พี่กล้วยก็ไม่เหมาะเป็นหนูหรอก อีแห้ง อียีราฟ”

นี่เราอยู่ในโรงพยาบาลหรือสวนสัตว์วะเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยน้องแบร์ก็อาการดีขึ้นมากแล้ว ร่างเริงมากขึ้นและกินได้เยอะขึ้น

น้องดรีมเดินมาส่งพวกเราที่หน้าห้องพัก โชคดีของไอ้หมี เอ้ย! น้องแบร์จริงๆ ที่มีเพื่อนดีๆ และสายรหัสรวยอย่างผมจึงไม่ต้องไปนอนห้องรวมกับคนอื่นๆ

ผมไม่เคยคิดว่าบีเอ็มลูกรักของผมจะบรรจุคนได้ถึง 7 คน หน้า 2 หลัง 5 นั่งกันมาได้ยังไง

แวะส่งทุกๆ คนที่ตึกเพื่อรอบัสมอ ยกเว้นก็แต่พี่เอ้กที่บอกให้ไปส่งร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์แถวๆ ตลาดข้างมอ

ขากลับต้องผ่านตึกวิทยาศาสตร์พอดี ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กทุนเขากลับบ้านกลับช่องไปรึยัง

          Millionaire_ : มึงกลับหอยังอะ

ทิ้งข้อความเอาไว้ ถ้าโชคดีหน่อยคุณเขาคงตอบภายใน 20 นาทีเป็นอย่างเร็ว

“ขอบใจมากมึง”

“เจอกันพี่”

“เมื่อไหร่จะสอนมิลขี่ไอ้นั่นบ้างอะพี่”

“ฝัน” ขอหมอนหน่อย ผมจะนอน อีก 5 ปี หรือ 10 ปี ก็ไม่รู้ว่าพี่มันจะสอนรึเปล่า หวงจริงเวสป้า แต่ก็เข้าใจนิดๆ ตามประสาคนรักรถว่ามันก็หวง

          An Ocean : อยู่ตึก เพิ่งเลิก มึงมีไร

          Millionaire_ : หิวอะ หาไรกันกัน

          An Ocean : กินข้าวคนเดียวไม่ได้?

          Millionaire_ : เหงาอะ อีก 5 นาทีกูถึงหน้าตึกวิทย์ ลงมารอเลย

          An Ocean : ใครจะไปกับมึง

ก็พูดไปงั้นแหละ พอจอดรถที่หน้าตึกก็เห็นคุณเขารออยู่แล้ว ไอ้หมาเอ้ย

“หมูกระทะมั้ย” ผมถามเมื่อมหาสมุทรเข้ามานั่งข้างๆ

“โจทย์ที่กูให้ทำน่ะ ทำถึงไหนแล้ว ที่จริงกูนัดส่งวันนี้ในคาบไม่ใช่เหรอ”

“ลืมไปเลยว่ะ ช่วงนี้มัวแต่ยุ่งเรื่องน้องแบร์” รู้สึกผิดตงิดๆ ในใจเลยเนี่ย

“มึงก็ยุ่งเรื่องของคนอื่นไปทั่วแหละ”

“กูใส่ใจเพื่อนไง มึงด้วยนะ”

“อะไร”

“กูใส่ใจมึงด้วยเหมือนกันไง เพราะถ้าไม่ใส่ใจกูไม่มาหามึงถึงตึกหรอก”

“หมูกระทะก็ได้” ไอ้หมาน่ารักที่สุด

“โหย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้กินหมูกระทะกับเพื่อนมหาสมุทร”

“พูดมาก”

“มึงควรชินแล้วนะ”

“อือ ชาชิน” เอาเถอะ ก็ดีกว่าผลักไสกันล่ะวะ

ผมก็ชิน ทั้งยังรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำที่มีมันอยู่ข้างๆ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร เพื่อนสนิทอย่างไอ้ป๊อบก็ให้ไม่ได้ พี่เอ้กน่ะเหรอ เฮอะ! ต้องเป็นมหาสมุทรเท่านั้นจริงๆ

“ปกติเวลามึงไปกินหมูกระทะมึงไปกับใครวะ”

“เพื่อนที่คณะไง”

“โม้ป่าว ตั้งแต่คบกับมึงมาไม่เห็นว่ามึงจะมีใคร ยกเว้นก็แต่…” คนที่คุณก็รู้ว่าใคร

“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม”

“อันนั้นผมรู้ครับคุณ แต่มึงอะ”

“ทำไม” โห ทำไมต้องดุด้วยล่ะ “กูทำไม”

“มึงอะเป็นเทวดาคุ้มครองกูจากเกรดดีวิชาสแตทไง”

“ยอกูก็ไม่ใช่ว่าเกรดมึงจะดีขึ้น ตั้งใจเรียนเหอะ เอาแต่ง่วงในคาบเรียน”

“แน่ะ แอบมองๆ”

“แอบเหี้ยไร มองจากดาวอังคารยังรู้ว่ามึงง่วง”

“โห ถ้ามึงมองจากดาวอังคารยังเห็นกูเนี่ย กูต้องพิเศษต่อใจมึงมากๆ เลยงี้”

จุด จุด จุด

ไม่มีสัญญานตอบรับจากไอ้หมาที่ท่านเรียก หวังว่ามันจะตบมุกไง แต่พอละสายตาจากถนนไปมองก็เห็นว่ามันกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์

ลางไม่ค่อยดีเลยว่ะ

“มึง” นั่นไง “หมูกระทะเอาไว้วันอื่นนะ”

“พี่ทิวเหรอ”

“อือ”

“ให้กูไปส่งไหนอะ”

“จอดหน้ามอเดี๋ยวกูนั่งบัสเข้าไป”

ทุกนาทีของไอ้หมาน่ะเป็นของพี่ทิวลิปจริงๆ สินะ




[T B C]
 :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ nopnom

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เรื่องนี้น่ารักมากกกกก  รอตอนต่อไปค่ะ ติดตามๆ

ออฟไลน์ Aphichai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอติดตามมมมมมมมมมมมมมมมมอยู่ๆเรื่องนี้สนุกมากๆ :katai2-1:

ออฟไลน์ Aphichai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รออยู่ๆ รีบๆๆ มาต่อนะ :katai2-1:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 o13 รีบๆมานะ รออยู่

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
มิลช่างเป็นคนมีความพยายาม และคิดบวก เอ็นดูหนูจังลูก

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

07 เพื่อนผมทำให้ใจเต้นแรง


ผมคว่ำจอมือถือลงอย่างอารมณ์เสีย จนคนที่นั่งอยู่ข้างกันหันมามอง

“มึงเป็นไรเนี่ย มือถือไม่ใช่ถูกๆ ถนอมหน่อย” ผมถอนหายใจแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้ออย่างทนุถนอมอย่างไอ้ป๊อบต้องการ

“แม่ง ใครให้ไลน์กูกับไอ้เฌอวะ”

“ไม่ใช่กูแน่ ทำไม มันจีบมึงเหรอ”

“จีบห่าไร” ยิ่งได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่

“ถ้ามันไม่จีบ มันจะทักมึงมาทำไม”

“มันบอกว่าอยากคุยกับกู”

“เนี่ยเค้าเรียกจีบ”

“ไม่ใช่” ผมเถียงด้วยอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยถูกจีบ โดยเฉพาะกับผู้ชายเนี่ยไม่เคยเลย และไม่คิดว่าจะมีด้วย

“แล้วมึงจะหงุดหงิดทำไมล่ะ ปกติก็ไม่เคยหวงไอดีไลน์ไม่ใช่เหรอ” ก็ใช่ไง ปกติผมไม่หวง ถ้าอยากได้ก็ขอผมสิ กล้าขอกล้าให้อยู่แล้ว แต่นี่เล่นไปหามาจากที่อื่นแล้วแอดมา มันดูไม่บริสุทธิ์ใจ ผมไม่ชอบ

“ก็ถ้าขอกู กูก็ให้ไง นี่ไปเอามาจากไหนก็ไม่บอก พอกูบอกว่าไม่พอใจก็ส่งสติกเกอร์อะไรมาก็ไม่รู้ คุยไม่รู้เรื่อง”

“กูว่ามันจีบมึงแน่ๆ ว่ะ”

“ถ้ามึงยังพูดแบบนี้อยู่อีกล่ะก็ กูเตะปากมึงนะ”

“เตะปากกูได้แต่อย่าเลิกคบกู เดือนนี้กูช๊อต” รักกูหรือรักเงินกูครับ ไหนตอบซิป๊อบ

“มึงก็ช๊อตทุกเดือนแหละ ไม่ใช่แค่เดือนนี้”

“สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักกู” ชักไม่อยากจะรักมันแล้วสิ

ก้มหน้าก้มหน้านั่งเล่นมือถือกันอีกครู่ใหญ่ น้องแบร์กับน้องดรีมก็มา พ่วงไอ้กล้วยมาอีก แปลกใจนะ เพราะเท่าที่รู้คือวันนี้ไอ้กล้วยไม่มีเรียน แถมมันยังใส่ชุดนอกมาอีกต่างหาก

“พี่มิล หนูไปกินข้าวด้วยนะ”

“ที่กล้วยลงทุนมานี่เพื่อมากินข้าวฟรีเนี่ยนะ” ยอมใจมัน เห็นแก่ของฟรีอะไรขนาดนี้

“ถูกต้อง ไอ้หมีบอกว่าพี่จะเลี้ยงหนูก็เลยมา”

“พวกมึงนี่รักกันดีเนอะ” บางทีก็กัดกันเหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อนแต่เรื่องเกาะผมกินนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลย “แล้วนี่น้องแบร์โอเคแล้วนะ”

“ก็ยังอยากลดน้ำหนักอยู่นะพี่มิล แต่ไม่กินยาแล้ว กลัวตายก่อนมีผัว” ผู้หญิงสมัยนี้พูดคำแบบนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำขนาดนี้เชียวเหรอ

“นี่ดรีมชวนแบร์ไปฟิตเนสนะแต่แบร์เอาแต่ปฏิเสธอะ”

“ก็เป็นความคิดที่ดี ออกกำลังกายจะได้ฟิตแอนด์เฟิร์มไงคะน้องแบร์” ผมเสริมคำน้องดรีมหวังให้เด็กอ้วนคล้อยตาม

“หนูแพ้เหงื่อตัวเอง” และก็ได้คำตอบที่คาดไม่ถึง

ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอก แต่เพื่อนผมที่เคยเรียนมัธยมด้วยกันก็มีอาการแพ้เหงื่อตัวเองเหมือนกัน พอเหงื่อออกก็จะเป็นผื่นแดง ใช้ชีวิตในประเทศที่ร้อนเหี้ยๆ แบบนี้ลำบากฉิบหายเลย

“งั้นก็อ้วนต่อไปเถอะ”

สาวๆ เลือกไปกินข้าวกันที่โรงอาหารนิเทศ ก็ต้องตามใจเขาแหละครับ ผมแนะนำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ให้น้องแบร์และดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบมาก ตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดไม่จากับใคร กระทั่งกินอิ่ม

“พี่มิล พี่เฌอทักไลน์พี่มามั้ย” นี่ไงตัวการ หาเจอง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปากซะอีก

“แกนี่เอง”

“ก็เค้าขออะ ทำไม ปกติไม่หวงนี่” อีกแล้ว ผมเป็นคนที่ดูเหมือนง่ายเหรอวะ งั้นต่อไปนี้จะไม่แจกไอดีไลน์ใครพร่ำเพรื่อแล้ว

“พี่เฌอที่ถ่ายรูปแกเหรอ”

“ช่าย” หันไปตอบไอ้กล้วย

“เค้าจีบพี่มิลเหรอ” ไอ้กล้วยก็อีกคน ทำไมถึงคิดว่าเฌอจีบผมล่ะ เจอกันนับครั้งได้เลยนะ คนชอบกันต้องหาเรื่องมาเจอกันบ่อยๆ สิ ใช่มั้ย

“จะบ้าเหรอ จีบอะไร”

“ก็เห็นโสดๆ กัน อีกอย่างวันที่เค้าไปเยี่ยมไอ้หมีที่โรง’บาลน่ะ เค้าก็ดูสนใจพี่มิลเป็นพิเศษ ไม่รู้ตัวเหรอ”

“เออ พี่ก็ว่ามันแปลกๆ พวกแกก็คิดเหมือนกันใช่มั้ย”

ไอ้ป๊อบเข้าร่วมอีก ทีนี้ก็เลยพากันเอาแต่คุยเรื่องนี้ ไม่เว้นแม้แต่น้องดรีม เอาเข้าไปพวกมึง เอาที่สบายใจนะ คนถูกพูดถึงก็นั่งอยู่ตรงนี้ไง เป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ด้วย เกรงใจกันซักหน่อยก็ได้นะ

รำคาญพวกมันว่ะ

“กูไปนะ” ผมยกชามไปเก็บหลังจากบอกทุกๆ คน พวกมันก็แสดงความจริงใจด้วยการหันมองผมชั่ววินาทีแล้วกลับไปเม้าท์กันต่อ เอาที่พวกมึงสบายใจละกัน

ออกจากโรงอาหารมาก็พบกับไอ้หมาเพื่อนผมที่นั่งอยู่ใต้ตึกคณะนิเทศ อ่านหนังสือเหมือนเดิมและก็คงมาหาพี่ทิวลิปคนเดิมนั่นแหละ

“ไงคุณ” ผมถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม พอผมทักทายก็เงยหน้าขึ้นมองพลางเสียบที่คั่นหนังสือตรงหน้าที่อ่านค้างไว้ “หาพี่ทิวเหรอ”

“รู้แล้วถามทำไม”

“ก็ถามไปงั้นแหละ เผื่อจะได้คำตอบใหม่ๆ แล้วนี่มึงกินข้าวยังอะ” นี่ก็เกือบจะบ่าย 2 แล้วก็คงกินมาแล้วล่ะมั้ง

“มึงเป็นนักโภชนาการประจำตัวกูเหรอ เจอกันทีไรถามแต่กินข้าวยัง กินข้าวยัง”

“ตอบแบบนี้แปลว่ายังไม่กินชัวร์ กินข้าวกินปลาบ้างนะมึง กูเป็นห่วง”

“ห่วงตัวเองเถอะ จะกลางภาคแล้วจำบทเรียนได้บ้างรึยัง” วกเข้าเรื่องเรียนแบบนี้ไม่อยากคุยด้วยเลยว่ะ ชิ่งดีกว่ามั้ย

“เดี๋ยวมึงรอกูตรงนี้แป๊บ อย่าไปไหนนะ”

ผมวิ่งกลับมาที่โรงอาหาร ซื้อแซนวิชกับน้ำเปล่า แล้ววิ่งกลับไปที่ใต้ตึกนิเทศด้วยความไวแสง

เหนื่อยฉิบหายเลย หอบจนหายใจไม่ทันแล้ว

“เอานี่”

“อะไรของมึง” มหาสมุทรมองของกินที่ผมวางลงบนโต๊ะด้วยสายตาไม่เข้าใจซักเท่าไหร่ จะว่าไป ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองด้วยเหมือนกัน แค่รู้ว่ามันยังไม่ได้กินอะไรเลยก็ดันวิ่งแจ้นไปซื้อของกินมาให้

“เอ่อ กูซื้อแล้วลืมทิ้งไว้ก็เลยวิ่งกลับไปเอามา แต่กูกินข้าวแล้วอะ มึงเอาแซนวิชไปกินดิ”

“น้ำมั้ย เหงื่อมึงออกเยอะมากเลยนะ” มหาสมุทรเปิดขวดน้ำแล้วยื่นมาให้ ประทับใจจนใจสั่นเลยว่ะ

“มึง อ่านหนังสือดิ กูไม่กวนแล้ว”

“ถึงมึงไม่บอกกูก็จะอ่านอยู่แล้ว” ว่าอย่างนั้นแล้วก็หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ผมเองก็ดูดน้ำไปเรื่อยๆ ขณะวางสายตาไว้ที่คนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีน้ำในขวดก็ถูกดื่มจนหมดแล้ว

ให้ตายเถอะ ผมเป็นอะไรวะเนี่ย อาการไม่เป็นตัวของตัวเองนี่มันคืออะไรกัน

นั่งกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่เลย แต่เป็นพักใหญ่ที่สงบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดเจน เป็นพักใหญ่ที่แม้จะนั่งเฉยๆ ก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย และพักใหญ่ๆ ของเราก็สิ้นสุดลงเมื่อพี่ทิวลิปเดินลงจากตึกมาโน่นแล้ว ผมสบตากับเขาแวบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะก้มลงกดมือถือแล้วค่อยเดินตรงมาทางนี้อย่างร่าเริง

“รอนานมั้ย”

“ไม่นะ” ไม่นะห่าไร แค่นั่งกับผมก็เกือบชั่วโมงแล้ว นี่ยังไม่รวมไอ้ที่นั่งก่อนที่ผมจะมานะ แบบนี้เขาเรียกนาน จำเอาไว้

“ไปหาอะไรกินกัน ทิวหิวแล้ว มิลไปด้วยกันมั้ย” ตอนแรกก็เคืองพี่ทิวลิปนะที่ทำให้เพื่อนผมต้องรอนานแต่พอเขายิ้มให้ก็หายเคืองเฉยเลย ไอ้บ้าไอ้บอเอ้ย

“ไปกันเลยครับ จะกลับหอแล้วเหมือนกัน”

“ไม่ไปจริงเหรอ ไปได้นะ”

“เพิ่งกินข้าวเสร็จเมื่อชั่วโมงที่แล้วเอง ขอบคุณที่ชวนนะครับ”

“งั้นเราไปกันดีกว่ามั้ยซี ทิวหิวมากเลย”

“เอาดิ ไปกัน” หนังสือบนโต๊ะถูกเก็บลงกระเป๋า สองคนนั้นเดินไปโน่นแล้ว ทิ้งผมเอาไว้กับแซนวิชที่ถูกส่งไปไม่ถึงคนรับ น่าสงสารเนอะ

ผมละสายตาจากแผ่นหลังของทั้งคู่ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแซนวิชมาถือเอาไว้แล้วลุกออกจากตรงนั้นบ้าง

ทว่าพอเดินพ้นตึกก็พบกับเฌอที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้า มันเท้ามือกับเข่าแล้วหอบตัวโยน สภาพเหมือนไปวิ่งราวใครเขามาแล้วโดนเขาวิ่งกวดหลัง

“นึกว่าจะไม่ทัน”

“ทันอะไรอะ” ผมมุ่นคิ้วเลยตอนที่ได้ยินคำพูดแปลกๆ ซึ่งจับใจความไม่ได้จากคนตรงหน้า

“เราอยากเจอมิลน่ะ”

“อยากเจอทำไม” ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก

“อยากถามให้มั่นใจว่ามิลโกรธเรารึเปล่า”

“โกรธเรื่องอะไร”

“ก็ในไลน์ เหมือนมิลโกรธที่เราแอดไป เราขอโทษนะ เราอยากคุยกับมิลจริงๆ”

“คุย คุยทำไม คุยเรื่องอะไร” จนถึงตอนนี้ถ้าได้คำตอบที่ชัดเจนผมอาจจะยอมคุยด้วยก็ได้

“ตรงๆ เลยนะมิล หาที่นั่งก่อนมั้ย เหนื่อยโคตรๆ เลย” ก็ควรเหนื่อยหรอก สภาพแบบนี้

ผมเดินตามเฌอไปนั่งที่เดิม รอให้อีกฝ่ายหายใจเป็นปกติปราศจากอาการเหนื่อยหอบก่อนแล้วค่อยคุยกัน

“กำลังจะกลับหอเหรอ”

“อือ เรื่องที่นายบอกว่าเราโกรธ ก็ไม่ได้โกรธแต่ไม่ค่อยชอบให้คนอื่นแอดไลน์มามั่วซั่ว”

“เราขอโทษนะ” เห็นสีหน้าสำนึกผิดของอีกฝ่ายแล้วก็ทอดถอนหายใจ จะเคืองก็เคืองไม่ลง

“ช่างมันเถอะ คราวหน้าถ้าอยากได้ไลน์ใครก็ขอเค้าดีๆ ดิ ไม่ใช่ขอจากคนอื่น”

“เรากลัวมิลไม่ให้” มือของเฌอที่วางประสานกันอยู่บนโต๊ะยุกยิกอยู่ไม่สุขเหมือนกำลังประหม่า คำถามก็คือประหม่าเรื่องอะไร เรื่องผมเหรอ

“ให้ดิ ให้อยู่แล้ว กล้าขอก็กล้าให้” ผมยิ้มตรงท้ายประโยคเผื่ออีกฝ่ายจะคลายความกังวลลงบ้าง

“งั้น เราขอเบอร์มิลได้มั้ย”

“ขอไปทำไม ไม่มีธุระอะไรให้คุยกันไม่ใช่เหรอ” ปกติไม่ค่อยมีใครขอเบอร์ผมหรอก พอถูกขอก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน

“เอาตรงๆ เลยนะมิล เราอยากให้มิลมาช่วยเป็นแบบถ่ายรูปให้เราหน่อย เราอยากถ่ายรูปมิลจริงๆ นะ”

“หืม” ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย แต่ก็จำได้คร่าวๆ แหละว่าเฌอเคยพูดเรื่องนี้ทีนึง แต่ตอนนั้นมันไม่ตรงประเด็นขนาดนี้ “เราไม่ถนัดอะ”

“เราช่วยสอนให้ก็ได้ คือโปรเจ็คนี้มันสำคัญกับเรามาก เราอยากทำให้มันดีที่สุด มิลช่วยเราได้มั้ย”

“อยากทำให้มันดีที่สุด นายก็ไปหาคนที่เค้าถ่ายแบบเก่งๆ ดิ เรากลัวว่าเราจะทำงานนายพัง”

“ไม่หรอก ต้องเป็นมิล แค่มิลเท่านั้นจริงๆ” ถึงกระนั้นคำพูดของเฌอและสายตาอ้อนวอนก็ไม่สามารถชักจูงผมได้เลย

“เรารับปากนายไม่ได้จริงๆ จะว่าเราเอาเรื่องในอดีตมาพูดก็ได้ ถึงเราจะไม่โทษนายเรื่องถ่ายแบบไอ้แบร์แต่ว่านายก็มีส่วนทำให้น้องเราต้องเจอกับเรื่องเฉียดตาย เพราะงั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องช่วยนาย นายเข้าใจเราใช่ป่ะ”

“เราเข้าใจ แต่เราอยากให้มิลลองคิดดูก่อน ยังมีเวลาให้คิด เราไม่อยากให้มิลรีบปฏิเสธ”

“จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ หรืออีกเดือนนึง สองเดือน เราก็ปฏิเสธนายอยูดี เราถ่ายแบบไม่ได้ และเราก็ไม่อยากทำด้วย นายไปหาคนอื่นเถอะ เราขอโทษนะ”

ผมเดินออกมาโดยทิ้งเฌอเอาไว้ตรงนั้น คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะโกรธ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงจริงๆ ผมก็ไม่อยากปฏิเสธใครหรอก แต่เรื่องที่เฌอขอมันเกินความสามารถจริงๆ และหากไม่ปฏิเสธออกไปตรงๆ เรื่องมันก็จะค้างคาอยู่แบบนั้นไม่จบไม่สิ้น เฌอก็คงไม่ไปหาคนใหม่ซักทีเพราะมัวแต่หวังกับคำตอบของผม

ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบคือไม่







การสอบกลางภาคใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ปกติผมไม่ค่อยซีเรียสกับการสอบเท่าไหร่หรอก อาศัยเกาะเพื่อนที่เรียนเก่งๆ จับกลุ่มติว ฟังบ้างไม่ฟังบ้างก็ผ่านมาได้ตลอดนะ แต่กับสแตท ผมกังวลมากจริงๆ เพราะมันลงยากก็เหตุผลนึงแต่กลัวถูกไอ้หมาเพื่อนผมด่านั่นแหละเรื่องใหญ่

          Millionaire_ : มึง อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยอะ

ผ่านไปจนผมหลับไปงีบนึงยาวๆ ไอ้หมาเพื่อนผมจึงยอมตอบไลน์

          An Ocean : ไม่เข้าใจตรงไหน

          Millionaire_ : ทั้งหมดเลย

          Millionaire_ : นี่อ่านหนังสือที่หอสมุดรึเปล่า ไปหาได้มั้ย

          An Ocean : อยู่ห้อง

          Millionaire_ : ไปหานะ สตาร์ทรถแล้ว

ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายอนุญาตหรือปฏิเสธ แน่นอนอยู่แล้วล่ะว่าถ้าเปิดโอกาสมันต้องไม่ยอมให้ผมไปหาแน่ กวาดเอาหนังสือใส่ถุงผ้า คว้าเอากุญแจรถกับมือถือแล้วรีบบึ่งไปที่ห้องมหาสมุทรทันที

เพราะว่าเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว และอยู่ในช่วงสอบกลางภาค นักศึกษาส่วนใหญ่จึงใช้เวลาอยู่กับหนังสือ รถราก็เลยไม่ค่อยติดซักเท่าไหร่

          Millionaire_ : อยู่หน้าหอแล้ว ลงมารับหน่อย

ผมส่งข้อความไปตอนที่ติดไฟแดงสุดท้ายก่อนถึงหอโอลีฟ กะเวลาคร่าวๆ ว่าพอมหาสมุทรอ่านผมก็ถึงหอพักมันพอดี จะได้ไม่ต้องรอนาน

แต่ผิดคาดแหละ พอจอดรถแล้วเดินไปที่หน้าหอพักก็เจอไอ้หมายืนกอดอกพิงกำแพงหน้าตึกรออยู่แล้ว

“โกหก” รู้สึกผิดเลยอะ

“มึงอ่านข้อความเร็วเองนี่หว่า ปกติรอตั้ง 10 20 นาทีกว่าจะอ่าน”

“ตามมา มึงนี่นะ” สีหน้าและน้ำเสียงของไอ้หมาแสดงออกชัดเจนเลยว่าไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วไงใครแคร์

ผมเดินตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างมาจนถึงหน้าห้อง มองมือแกร่งที่ไขประตูอย่างคล่องแคล่ว มองตามทุกย่างก้าวที่คนตรงหน้าเคลื่อนไหวอย่างไม่รู้ว่าพอละสายตาแล้วจะเอาไปวางไว้ตรงไหน ก็เลยปล่อยให้ตัวเองมองมันอยู่อย่างนั้น

“นั่งสิ” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างกันตามคำเชิญ จัดการเทอุปกรณ์ทุกอย่างออกจากถุงผ้าจนเต็มโต๊ะ

“ในตู้เย็นมีอะไรกินป่ะ”

“มากินหรือมาอ่านหนังสือ พรุ่งนี้ตอนบ่ายก็สอบแล้วยังมาทำเป็นเล่นอยู่อีก”

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องมั้ยวะ”

“สามทุ่มแล้วนะ”

“หิวอะ ขอลงไปเซเว่นได้มั้ย”

“จะไปไหนก็ไป ถ้าพร้อมแล้วก็บอก” เนี่ยมหาสมุทรโกรธผมตลอดเลย คนหิวก็ต้องโกรธด้วยเหรอ แค่ขอลงไปเซเว่นแค่นี้เอง

“เอาอะไรมั้ย”

“ไม่!” ตะโกนใส่กันซะงั้น

ถึงแม้เจ้าของห้องจะบอกว่าไม่เอาอะไรแต่ผมก็ไม่แล้งน้ำใจขนาดนั้น ซื้อของกินติดไม้ติดมือมาฝากด้วยเผื่ออ่านหนังสือแล้วหิวตอนกลางคืนจะได้สะดวก

ผมเกิดมากับอาหารตามหลักโภชนาการของแม่แต่พอมาอยู่หอ อยู่ไกลหูไกลตา ผมก็ถูกใจพวกอาหารสำเร็จรูปเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบะหมี่ มันอร่อยมากเลย อร่อยเหมือนอาหารที่ถูกส่งมาจากสวรรค์

และในคืนนี้อาหารที่ถูกส่งมาจากสวรรค์ของผมคงไปกวนใจมหาสมุทรละมั้ง ในขณะที่ผมนั่งลงบนโซฟา อ้าปากจะโซ้ยบะหมี่ คนที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ก็ตวัดสายตามามองกัน

“กินป่าว”

“กูขออันนี้เลยละกัน” นั่งลงข้างกันแล้วฉวยเอาชามบะหมี่ในมือผมไปเฉยเลย

โห ไรวะ แต่พอเห็นคนข้างๆ กินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็ไม่กล้าด่าเลย ความรู้สึกบางอย่างพองตัวอยู่ข้างในอก ความรู้สึกที่เหมือนเคยเกิดขึ้นมานานมาแล้ว

เรานั่งกินบะหมี่ ตามด้วยนมจืดและเครื่องดื่มบำรุงสมองที่มหาสมุทรบอกว่าคนอย่างผมกินไปก็เสียของ ผู้ชายประเภทไหนวะปากร้ายฉิบหาย

ถึงแม้จะปากร้ายแต่ไอ้หมาก็ใจดีกับผมเสมอ

หลังจากที่ผมบอกว่าไม่เข้าใจตรงไหนบ้าง มหาสมุทรก็อธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น มือแกร่งตวัดดินสอเขียนลงบนกระดาษก็น่ามอง ริมฝีปากที่กำลังขยับเพื่ออธิบายสิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็น่ามอง ใบหน้าด้านข้างก็น่ามอง

ให้ตายเถอะไอ้มหาเศรษฐีเป็นอะไรของมึงวะเนี่ย

“ลองแก้โจทย์ดู ถ้าทำได้แล้วก็นอนซะ ดึกแล้ว” ใบหน้าที่หันมามองอย่างกะทันหันทำให้ผมตกใจจนสะดุ้ง

ก้มมองโจทย์ในกระดาษก็พบว่าสิ่งที่ถูกสอนเมื่อครู่ไม่เข้าหูผมเลยซักนิด

“สมุทรสอนแบบเมื่อกี้อีกรอบได้มั้ย”

“ไม่โว้ยไอ้สมองทึบ” ด่าไม่พอ ผลักหัวผมอีก

ที่เมื่อกี้บอกว่ามันใจเย็น ผมขอถอนคำพูดได้มั้ย

“ใจร้ายอะ” ผมเบ้หน้าทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาจริงๆ

มหาสมุทรกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือบนโต๊ะของตัวเองต่อ

จะโทษเขาก็ไม่ได้อะเนอะ ผมเองที่ไม่เอาใจใส่ ลองพยายามด้วยตัวเองดูซักตั้ง ไม่แน่ใจหรอกว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ขอแค่มหาสมุทรเห็นถึงความพยายามของผมก็พอ

เดี๋ยวนะ ทำไมต้องอยากให้มันเห็นด้วย โว้ย!!!

ผมแทบจะทึ้งหัวตัวเองเมื่อเผลอคิดอะไรแบบนั้น ทำไมช่วงนี้หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นไอ้หมาวะ

นั่งแก้โจทย์วิชาสแตทถึงเที่ยงคืนกว่าจะเสร็จ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจ้าของห้องก็ยังไม่นอนเหมือนกัน

“ทำเสร็จแล้วอะ” ผมวางกระดาษลงบนโต๊ะ แล้วยืนอยู่แบบนั้นรอให้ติวเตอร์เขาตรวจสอบความถูกต้อง

ระหว่างนี้ก็ชวนคุยซักหน่อยก็แล้วกัน

“พรุ่งนี้มีสอบเช้าไม่ใช่เหรอ”

“อืม”

“มึงควรจะนอนได้แล้วนะ เดี๋ยวก็ตื่นไม่ไหวหรอก”

“ห่วงตัวเองเถอะ สอบบ่ายแต่จะตื่นทันหรือเปล่าหรอก”

“ทันแน่นอน กูมีนาฬิกาปลุก และกำชับไอ้ป๊อบให้โทรมาปลุกแล้วด้วย” ไม่ค่อยไว้ใจไอ้ป๊อบหรอกแต่ก็ยกมาเป็นข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อย

“โตแล้ว รู้จักตื่นด้วยตัวเองได้แล้วนะ”

“พูดอย่างกับตัวเองทำได้”

“ทำได้สิ ไม่ว่าจะนอนกี่โมง พอถึงเวลาตื่นก็จะตื่นเลย” คนหรือเดอะซิมส์วะ มันจะเทพเกินไปหน่อยมั้ย ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอก แต่เพราะมหาสมุทรเป็นคนพูดผมเองก็เริ่มคล้อยตามแล้วเหมือนกัน

“ทำไมตรงนั้นมันผิดล่ะ” อุตส่าห์ตั้งใจทำ แต่ก็ยังมีจุดผิดอยู่อีก

“จะอธิบายให้ฟังเป็นรอบสุดท้ายนะ”

ผมวางมือบนไหล่กว้างของมหาสมุทรข้างหนึ่งท่าทางเหมือนโอบมันไว้ ก่อนยื่นใบหน้าเข้าไปมองกระดาษเอสี่ที่ใช่ประกอบการอธิบายใกล้ๆ

“พอได้มั้ย”

“น่าจะไหว” ผมหันไปตอบเป็นวินาทีเดียวกับที่มหาสมุทรหันมามองกันพอดี

ระยะห่างระหว่างเราแทบไม่เหลือเลย

รอบกายของเราเหมือนกับว่าได้หยุดนิ่งไปแล้ว หัวใจของผมเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมา เคยได้ยินน้องแบ็งค์มันเพ้อๆ ตอนอ่านนิยายแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“พอตั้งใจก็ทำได้นี่นา”

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ยาวนานจบลงแต่เพียงเท่านั้น หากความรู้สึกประหลาดในอกของผมกลับไม่ทุเลาลงเลย

“พรุ่งนี้ก็ตั้งใจทำข้อสอบด้วยล่ะ”

“อือ”

“ซองปากกากูอะ เอามาคืนด้วย ดองไว้นานเหลือเกิน”

“อือ แล้วนี่จะให้นอนไหนอะ”

“กลับไปนอนห้องดิ”

“ดึกแล้วไม่อยากขับรถ นอนนี่นะ” ยัดสมุดเล่มสุดท้ายใส่กระเป๋าแล้วกระโดดขึ้นเตียง ถลกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แล้วหลับตาลง

ก็ไม่ได้ง่วงอะไรขนาดนั้น ที่เห็นรีบๆ นี่คือกลัวเจ้าของห้องเขาจะไล่

“สมุทร”

“ว่า”

“วันศุกร์ สอบเสร็จไปบาร์หลีกันมั้ย”

“ร้านเหล้าเหรอ”

“อือ กูเล่นดนตรีอยู่ที่นั่น ร้านก็มีแต่นักศึกษานี่แหละ ไปดิเดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้า”

“ไม่ชอบดื่ม”

“อาหารอร่อยนะ เพลงเพราะด้วย อยากฟังเพลงอะไรเดี๋ยวร้องให้ฟัง”

“ไม่ชอบฟังเพลง”

“มึงแม่ง!!!” ไม่คุยด้วยแล้ว เสนออะไรไปก็ขัดตลอด ไอ้โน่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา เดี๋ยวจะงอนแล้วนะโว้ย

วูบหนึ่งของความคิด อยู่ๆ ก็อยากถามว่า...

“ถ้าพี่ทิวลิปชวนมึงจะปฏิเสธแบบนี้มั้ยวะ”

ปากผมแม่งไวกว่าความคิดอีกแล้ว


[T B C]

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นต์เลยค่า
 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
อยากอ่านต่อในพาร์ทของมหาสมุทรบ้าง

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ชอบๆๆ มาต่อๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด