บทที่ 7
"โดนัท นี่ พ่อพี่ให้เอามาให้ ตอบแทนเรื่องขนมคราวก่อน"
"ขอบคุณมากครับ" เด็กหนุ่มยิ้มหวานขณะรับถุงที่ใส่กล่องขนมคุกกี้นมสดอย่างดีให้ เจ้าตัวแง้มปากถุงดูข้างในนิดหนึ่ง "จริงๆ น้าดลไม่ต้องลำบากก็ได้ ผมแค่ตั้งใจเอาไปฝากเฉยๆ เอง"
"เถอะน่า พ่อพี่ตั้งใจเอามาให้ ลองชิมดู เจ้านี้น่ะอร่อยมาก ชอบซื้อมาให้กินประจำ"
"ขอบคุณครับ" เจ้าตัวว่า "พี่ปันนี่สนิทกับคุณพ่อสินะฮะ"
"สนิทไหมเหรอ" เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นนิดหนึ่ง "จะว่ายังไงล่ะ เมื่อก่อนเคยสนิทกว่านี้ แต่ช่วงนี้ห่างๆ ไปบ้าง แต่ก็น่าจะเรียกได้ว่าสนิทอยู่มั้ง ก็มีกันแค่สองคนด้วยนี่นะ"
"แล้ว เอ่อ ขอเสียมารยาทถามได้ไหมฮะว่าแม่พี่ปัน--"
"อ้อ เสียไปตั้งแต่คลอดพี่ได้ไม่กี่เดือนแล้ว ร่างกายอ่อนแอ โรคแทรกซ้อนน่ะ"
"เสียใจด้วยนะครับ"
"เรื่องมันนานแล้ว" ปัญญาฉีกยิ้มกว้างให้รุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี "อีกอย่าง... พ่อพี่ทำหน้าที่ดีน่ะ"
"ดีจังเลยนะครับ ถึงจะอยู่กันแค่สองคนแต่ก็ดูอบอุ่นดี"
"แล้วบ้านโดล่ะ? มีกี่คน มีพี่น้องรึเปล่าเนี่ย"
"อืม จะว่ายังไงดีนะ ผมมีพี่สาวที่ไม่ได้เป็นพี่แท้ๆ คนหนึ่งน่ะ"
"ลูกพี่ลูกน้องเหรอ?"
"ไม่ใช่ครับ พี่สาวต่างสายเลือดน่ะ"
ปัญญานิ่งไปนิดหนึ่ง สมองพยายามประมวลผลของคำบอกเล่านั้น
"แบบว่า ป๊าผมแต่งงานใหม่น่ะครับ แล้วพี่สาวก็เป็นลูกติดมากับแม่เลี้ยงผมน่ะ"
"อ้อ" ปันลากเสียงยาวอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หันมองคนข้างตัวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน "แล้ว เอ่อ แม่นาย--"
"ม๊าจริงๆ ของผมขอหย่ากับพ่อน่ะครับ ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว แต่ยังสบายดี ไม่ได้เสียแล้วแบบแม่ของพี่ปันหรอก"
"อ้อ" เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปบีบไหล่อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว "เสียใจด้วยนะ"
"ไม่หรอกครับ เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วมากกว่า" โดนัทพูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่ทุกข์ร้อน "เพื่อนที่ผมรู้จักก็มีตั้งเยอะแยะที่พ่อแม่หย่ากัน ปกติจะตาย"
"มันก็ใช่อยู่หรอก" ปัญญาว่า แต่ด้วยความที่พ่อของเขาแสดงออกชัดเจนว่ารักแม่มาก ขนาดไม่เคยชายตามองหาผู้หญิงคนอื่นแม้ว่าแม่จะเสียไปแล้วเลย เพราะงั้นเขาถึงนึกไม่ออกว่ามันรู้สึกยังไงกับการที่ต้องมารับรู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองต่างไม่ได้รักซึ่งกันและกันแล้ว "แล้วแม่เลี้ยงกับพี่สาวนายใจดีรึเปล่า คงไม่ใช่แบบในการ์ตูนสโนไวท์นะ"
ใบหน้าหวานหันกลับมามองคนพูดด้วยตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างงงๆ "อะไรนะครับ"
"ก็ไอ้การ์ตูนดิสนีย์ไง ที่มีแม่เลี้ยงใจร้ายแล้วก็พี่เลี้ยงใจร้ายอีกสองคน"
"พี่ปัน นั่นมันซินเดอเรลล่ารึเปล่า ที่แม่เลี้ยงมีแมวหน้าดุๆ ชื่อลูซิเฟอร์"
"ใช่ๆๆ ไอ้ที่มีแมวหน้าตาน่าเกลียดๆ"
"นั่นมันซินเดอเรลล่า พี่"
"..." อายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หน้าแตกหมอไม่รับเย็บสุดๆ
โดนัทสังเกตเห็นเห็นท่าทางนั้นของปัญญาก่อนเจ้าตัวจะระเบิดหัวเราะออกมาท้องแข็ง ทำเอาคนที่อายอยู่แล้วยิ่งอายม้วนเข้าไปอีก โดนัทรู้นะว่าไม่ควรหัวเราะ แต่ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ
"หยุดหัวเราะได้แล้วน่า ขอโทษที่จำผิดได้ไหมล่ะ ปัดโธ่เอ๊ย"
"โอ๊ย พี่ ผมขอโทษ แต่สโนไวท์กับซินเดอเรลล่านี่ห่างกันอยู่พอสมควรนะ จำสลับไปได้ไง"
"หนวกหูน่า พี่เป็นผู้ชายนะ ใครจะไปจำเรื่องเจ้าหญิงของดิสนีย์ที่มีเป็นล้านขนาดนั้นได้ เดี๋ยวเถอะ โด ถ้ายังไม่เลิกหัวเราะพี่จะหนีขึ้นห้องแล้วนะ"
"โอ๋ๆๆ ไม่งอนสิครับ" พูดพลางดึงแขนอีกฝ่ายนิดหนึ่งเป็นเชิงอ้อน ทำเอาปัญญาหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกรอบ แต่คราวนี้มีความยินดีปนมาด้วย "ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ก็พี่ปันเข้าใจผิดตลกอ้ะ"
"เออๆๆ ยอมก็ได้" เห็นแก่ท่าทีอ้อนๆ เมื่อกี้หรอกนะ
"แล้วตกลงพี่ปันจะมาดูผมซ้อมเทควันโดไหมอะ ผมมีซ้อมอีกทีพรุ่งนี้เย็น หลังเลิกเรียน"
"ไปสิ ไปๆ" รีบพูดอย่างรวดเร็ว "ว่าแต่โดจะไปไงอ่ะ พี่ติดไปด้วยได้ไหม"
"ป๊าผมมารับครับ พี่ปันไปด้วยกันก็ได้ งั้นตกลงพรุ่งนี้พี่ไปดูผมซ้อมเนอะ สัญญาแล้วนะครับ"
"ครับๆ สัญญาครับ ไม่เบี้ยวหรอก"
ทั้งคู่เดินผ่านตัดสวน ปัญญายังคงโดนคนนู้นคนนี้ทักอย่างไม่ขาดสายเหมือนเดิม ระหว่างที่เดินไปตามโถงทางเดินของตึกเรียน โดนัทก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้
"ว่าแต่ที่พี่ปันจะไปแลกเปลี่ยน ตกลงจะไปรึเปล่าครับ ตัดสินใจรึยัง"
"อือ... ยังรอฟังเรื่องทุนอยู่เลย แต่ถ้าไม่รีบๆ ตอบรับไปก็อาจจะโดนสละสิทธิ์เหมือนกัน เดี๋ยววันนี้กลับบ้านไปจะลองโทรถามเรื่องทุนดู"
"พี่ปันเก่งจังเลยนะครับ" โดนัทพูดอย่างชื่นชมแกมอิจฉา "ผมนี่ไม่เคยหวังจะได้อะไรแบบนั้นเลย ทั้งชีวิตมีดีอย่างเดียวคือเทควันโด้"
“เก่งอะไรไปเลยอย่างหนึ่งจนไปถึงระดับโลกได้ก็เจ๋งแล้ว” ปัญญายีหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูเมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียนของโดนัท ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ที่มองมาทางพวกเขาอย่างชัดเจน ไหนๆ เรื่องของพวกเขาทั้งคู่ก็โด่งดังในโลกโซเชียลขนาดนั้นแล้ว… ไม่รู้ว่าจะต้องมาคอยหลบๆ ซ่อนทำไมอีก “งั้นพี่ไปก่อนนะ ตั้งใจเรียนล่ะ แล้วเดี๋ยวคุยกัน”
“โอเคครับ ขอบคุณที่มาส่งฮะ”
เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังของคนที่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ปัญญาจะรู้ไหมนะว่าเจ้าตัวเป็นกำลังใจ… เป็นแรงผลักดันที่มหาศาลขนาดไหนสำหรับเขา
โดนัทกลับมาถึงบ้านหลังเลิกเรียนโดยการขึ้นรถโดยสารประจำทางมาเย็นนี้ ป๊าของเขาติดทำงานโอทีจนดึก ส่วนม๊าเองก็ติดต่อไม่ได้ เขาไม่ค่อยเดือดร้อนกับเรื่องนี้เท่าไรนักเพราะบางครั้งก็ต้องกลับบ้านเองแบบนี้อยู่แล้ว
เขาได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในครัว เหลือบมองไปก็เห็นร่างของพัชรีหรือคิตตี้ พี่สาวต่างสายเลือดของเขา เจ้าหล่อนกำลังทำอะไรอยู่หน้าเตาพร้อมกับใส่หูฟังฮัมเพลงไปด้วย เขาเดินเลี่ยงขึ้นไปชั้นบน หยุดที่หน้าประตูห้องของตัวเอง กำลังจะหยิบกุญแจออกมาไขห้องก่อนจะต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นไส้ดินสอสีดำหักเป็นท่อนอยู่ที่แทบเท้า
มีใครบางคนแอบเข้าห้องของเขา… และเขาแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าใคร
“เฮ้อ” โดนัทถอนหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป มือเลื่อนไปกดสวิตช์ไฟ ทันทีที่ห้องสว่างไสวรูปภาพคละขนาดมากมายที่แปะอยู่ทั่วฝาผนังห้องเขาก็เด่นชัดขึ้น รูปพวกนั้นเป็นรูปแอบถ่ายทั้งหมด และทุกรูปจะต้องมีใบหน้าของปัญญา ลิขิตชาญชัยอยู่ในนั้นทั้งจากระยะใกล้และไกล
เด็กหนุ่มจ้องรูปของปันที่มีขนาดเท่าโปสเตอร์หนัง ยกมือไล้รูปใบนั้นอย่างอาวรณ์ เขาชอบที่จะได้เห็นใบหน้านี้ตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง แต่ก็รู้ดีว่าถ้าโดนจับได้คงจะเป็นอะไรที่แย่มากแน่ๆ สงสัยคงถึงเวลาที่ต้องปลดมันออกแล้ว
เด็กหนุ่มเดินกลับมาลงชั้นล่างอีกทีตอนที่คิตตี้ทำข้าวผัดสำหรับกินคนเดียวเสร็จแล้ว เจ้าหล่อนยังคงจ้องหน้าจอมือถือพร้อมกับหัวเราะคิกคักน่ารำคาญ
“พี่ตี้” เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเย็น “เข้าไปในห้องผมทำไม”
หญิงสาวผู้มีอายุมากกว่าเขาสี่ปีเงยหน้าขึ้นมาทั้งที่ยังคงยิ้ม “โทดที นัท พอดีกาวของพี่หมด เลยตั้งใจจะเข้าไปขอยืมหน่อย”
“แล้วไปเอากุญแจมาจากห้องป๊าใช่ไหม”
“ใช่ ตอนแรกฉันก็คิดนะว่าแกจะล็อกทำไมวะ ยุ่งยากจะตายชัก แต่พอก้าวเข้าไป… อืม ก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าทำไมนายถึงอยากได้ความเป็นส่วนตัวนัก”
โดนัทกำหมัดแน่นขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มยียวนของอีกฝ่าย เขากับหญิงสาวตรงหน้าไม่เคยเป็นพี่น้องกันจริงๆ ไม่ว่าจะทางสายเลือดหรือความรู้สึก แต่ในด้านของความรู้สึกมันห่างไกลจากคำว่า ‘คนในครอบครัว’ ไปเยอะมาก
“ฉันก็คิดมาก่อนหรอกนะว่าแกหน้าหวาน ไอ้นัท” คิตตี้ยิ้ม อันที่จริงแล้วหล่อนอิจฉาน้องชายต่างสายเลือดคนนี้ไม่น้อยที่หน้าตาดีจนเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนที่ได้พบเจอ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นหรอกที่ทำให้พวกเขาไม่ชอบขี้หน้ากัน “แต่ก็ไม่นึกว่าแกจะเป็นแบบว่าจริงๆ ถ้าป๊ากับม๊ารู้เข้าล่ะก็… แกตายแน่ ไอ้นัทเอ๊ย”
“จะเอาเท่าไร” เขาถามเสียงลอดไรฟันอย่างรู้เกมนี้ดี
“ห้าพัน”
“ใครจะบ้าพกเงินเยอะขนาดวะ”
“งั้นก็เอาที่มีมา หรือถ้านายไม่มี นายก็เอารองเท้าคู่ใหม่นั่นไปขายต่อสิ ใช้ไปไม่กี่ครั้งเองนี่ ยังไงก็ได้ราคาดีอยู่แล้ว”
โดนัทหรี่ตาลง โน้มตัวไปหาคิตตี้เล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “อย่ายุ่งกับรองเท้าคู่นั้น”
“ทำไมเหรอจ๊ะ อุ๊ย หรือว่าผัวซื้อให้?”
เด็กหนุ่มหน้าหวานไม่ตอบ เขาควักกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วกระแทกธนบัตรใบละพันสามใบลงตรงหน้า คิตตี้รับมันมาถือพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี พูดไล่หลังอีกฝ่ายที่เดินกลับขึ้นห้อง
“นายไปอ่อยผู้ชายแบบไหนเหรอ นัท เขาถึงได้ใจป้ำกับนายขนาดนี้ นี่~ แล้วนายได้กับเขารึยัง?”
ว้อย ยัยพี่จอมปลอมของเขานี่น่ารำคาญจริง!
…
วันนี้นพดลกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติ เจ้าตัวถอดรองเท้าเก็บใส่ตู้ที่หน้าบ้าน เลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นไอ้ตัวแสบนั่งพิมพ์อยู่หน้าโน้ตบุ๊คบนโต๊ะเล็กหน้าทีวี เจ้าตัวหันกลับมามองหน้าดลก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีครับพ่อ วันนี้กลับเร็วนะครับ”
“นี่ไม่ได้นัดไปเตะบอลหรือเล่นเทนนิสกับพวกเบนซ์เหรอ ปัน”
“วันนี้รีบกลับมาเคลียร์งาน่ะพ่อ หิวน้ำไหม ผมไปเอามาให้”
“ขอบใจ”
เจ้าตัวผลุบขึ้นจากโซฟาแล้วตรงดิ่งเข้าครัว นพดลปลดสายกระเป๋า วางมันลงบนโซฟา มือที่ถือซองจดหมายมากมายคลี่ออกมาดูขณะค่อยๆ หย่อนตัวลงบนโซฟา
“พ่อ นี่ครับ น้ำ”
“ขอบใจนะ” เขาว่า รับมันขึ้นมาดื่มขณะกวาดตามองจดหมายทั้งหลาย
หนี้บัตรเครดิตที่ต้องชำระภายในสิ้นเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ประกัน ใบปลิวโฆษณา มีแต่อะไรที่ไม่อยากจะดูทั้งนั้น
“เออ นี่ ปัน”
“หืม? อะไรครับ” เด็กหนุ่มถามขณะที่เริ่มมองหน้าจอคอมแล้วลงมือพิมพ์งานต่อ
“เรื่องรูปของแกกับโดนัทที่อยู่ในเฟสบุ๊คน่ะ”
ปัญญาชะงักไปในทันที รู้สึกกลัววาบขึ้นมา พ่อของเขาไม่ใช่คนที่เล่นโซเชียลมีเดียบ่อยอะไรขนาดนั้น หรือต่อให้เล่นก็จะเล่นพวกไลน์มากกว่า เขาจึงไม่นึกว่าพ่อจะเห็นรูปถ่ายพวกนั้น
“เพลาๆ ลงหน่อยดีไหมลูก”
ปัญญาหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดระคนไม่พอใจ แม้ว่าน้ำเสียงที่คนเป็นพ่อจะใช้ออกแนวขอร้องมากกว่าจะตำหนิก็เถอะ
“แล้วพ่อจะให้ผมเพลายังไงล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นคนถ่ายภาพพวกนั้นสักหน่อย”
“อืม… ก็ ต่อหน้าคนอื่นลดๆ อาการหน่อยดีไหม ปัน เรื่องแบบนี้มันดูไม่ดี”
“ดูไม่ดี?” คราวนี้อารมณ์โกรธมากกว่าอารมณ์รู้สึกผิดแล้ว “แล้วถ้าเกิดโดนัทเป็นผู้หญิง พ่อจะพูดแบบนั้นรึเปล่า หรือที่พ่อพูดแบบนั้นก็เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่”
“ต่อให้โดนัทเป็นผู้หญิงพ่อก็จะพูด” เขาหันไปมองหน้าลูกชายตรงๆ “เรื่องแบบนี้มันดูไม่ดีทั้งนั้นแหละ พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าพยายามโพสท์เรื่องส่วนตัวลงในโซเชียลน่ะ ลูกไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งมันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายลูกได้”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้โพสท์!” ถึงตรงนี้ปัญญาก็โกรธแทบเต้น “คนอื่นเขาแอบถ่ายแล้วเอาไปโพสท์ทั้งนั้น แล้วอะไรที่มันจะมาทำร้ายตามที่พ่อพูด หือ? เรื่องที่ผมเป็นเกย์น่ะเหรอ? ป่านนี้คนเขารู้กันทั้งโรงเรียนแล้ว แล้วก็ไม่มีใครงี่เง่าสั่งห้ามไม่ให้ผมเป็นเหมือนพ่อด้วย!”
“ปัน!” เอาล่ะสิ ไอ้ลูกชายคนนี้ นี่ยังเห็นเขาเป็นพ่ออยู่ไหมเนี่ย “นี่พ่อพยายามเตือนอยู่นะ แล้วพวกครูๆ ในโรงเรียนลูกเขาไม่เห็นภาพพวกนี้เหรอ เขาไม่เตือน ไม่ว่าอะไรเลยรึไง?”
“ไม่” ปันตอบเสียงห้วน “ทุกคนเขาก็รับเรื่องนี้กันได้ทั้งนั้นแหละ ไม่เหมือนพ่อหรอก”
“ปัน แยกแยะหน่อยไหม ที่พ่อกำลังพูดเนี่ยไม่ได้เกี่ยวกับที่ลูกเป็นเกย์นะ”
“อ้อ เหรอครับ แล้วพ่อกำลังพูดอะไรล่ะ”
“พ่อกำลังบอกว่าลูกยังเป็นนักเรียน มีหน้าที่เรียนก็ควรตั้งใจเรียนไปก่อน เรื่องความรักน่ะเอาไว้ค่อยเรียนจบ หางานทำแล้วค่อยมีก็ได้ หรือถ้าชอบพอกับโดนัทจริงๆ ก็ห่างๆ กันไปบ้าง บอกน้องเขาว่ารอให้เรียนจบแล้วค่อยสานสัมพันธ์ก็ได้”
“ผมสงสัยจริงๆ ว่าพ่อหมายความตามนั้นจริงๆ หรือแค่เพราะว่าโดนัทเป็นผู้ชายแล้วผมก็เป็นผู้ชาย”
“ปัน--”
“ถ้าเราสักคนหนึ่งเป็นผู้หญิงพ่อจะยังพูดแบบนี้อยู่ไหม”
“พ่อจะพูด--”
“ถ้าพ่อจะอ้างแบบนั้น แล้วทีพ่อกับแม่ล่ะ! แม่ท้องผมตอนที่พ่อยังอยู่แค่ม.5ด้วยซ้ำ! แบบนั้นมันไม่แย่กว่าอีกเหรอครับ”
คนเป็นพ่อรู้สึกเหมือนโดนตีกลางแสกหน้าอย่างจังกับคำพูดนั้น ใบหน้าอ่อนกว่าวัยนั่นร้อนขึ้นมาด้วยความอายก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะสู้หน้าลูกชายไม่ติด
แม่ของเขา… ย่าของปันเคยเตือนเขาเรื่องนี้แล้ว ถ้าเราคิดจะสั่งสอนลูกในสิ่งที่เราเคยทำผิดพลาดมา… ลูกจะชี้ในจุดนั้นได้และก็จะย้อนกลับมาแบบนี้แหละ
‘ทีพ่อยังทำแบบนั้นได้ ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้...’
เจ็บจนจุกเลยแฮะ แค่จะสั่งสอนลูกตัวเองยังยากลำบากขนาดนี้
“พ่อ…” หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ปัญญาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้นนพดลก็ยังไม่กล้าสู้หน้าลูกชายตัวเองอยู่ดี “พ่อฮะ ผมขอโทษ… ผมไม่น่าพูดแบบนั้นเลย ผมขอโทษจริงๆ”
ปัญญาได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจยาวเหมือนเหนื่อยอ่อน นั่นทำให้เขาใจหาย รู้ตัวว่าได้ทำร้ายจิตใจบุพการีของตัวเองอย่างจัง สู้ให้พ่อเขาโกรธยังจะดีเสียกว่าถอนหายใจแล้วเงียบแบบนี้ มันทำให้เด็กหนุ่มใจคอไม่ดี
“พ่อ ปันขอโทษครับ ปัน… ปัน…”
“พ่อแค่ไม่อยากให้แกทำพลาดเหมือนพ่อ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาในที่สุดและปัญญาก็พยักหน้ารับทันที
“ผมเข้าใจครับ แต่รูปพวกนั้นมัน--”
“อืม พ่อเข้าใจแล้วล่ะ มันช่วยไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เขาหันมามองทางนี้จนได้ และนั่นช่วยให้ปันรู้สึกโล่งอก “แต่ถ้าปันทำได้… พ่อก็อยากให้เพลาลงบ้าง พ่อรู้ว่าปันเรียนเก่งและคงไม่ทำให้พ่อผิดหวัง พ่อเชื่อใจปันได้ใช่ไหม”
“...ครับ” ตอบรับเสียงเบา
“งั้นก็ดีแล้ว”
ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งคู่อีกครั้ง ปัญญาสูดลมหายใจเฮือกพร้อมกับจ้องหน้าจอตรงหน้าเขม็ง ทำทีเป็นอ่านเนื้อหาด้านในและเริ่มลงมือทำงานต่อ ต่อให้จริงๆ จะไม่มีอะไรเข้าหัวตอนนี้เลยก็เถอะ
เสียงพิมพ์งานของลูกชายพอจะกอบกู้สถานการณ์ไว้ได้บ้างเล็กน้อย นพดลเดินไปหยิบกรรไกรมาจากชั้นวางของแล้วลงมือตัดขอบซองจดหมายเงียบๆ แต่แล้วเขาก็ต้องเลิกคิ้วให้กับซองสุดท้ายเมื่อเห็นว่ามันจ่าหน้าถึงใครและจากใคร เขายื่นมันให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว
“เรื่องทุนของแกแน่ะ”
“จริงเหรอครับ!?” ปัญญาหันกลับมาทันที นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นจนน่าขัน เจ้าตัวรับมันมาถือ
“คิดว่านะ ลองเปิดดูก่อน” พูดพลางส่งกรรไกรให้
ปัญญารับมาเล็มที่ขอบด้านหนึ่งออกอย่างระมัดระวัง นพดลเองก็สนใจเหมือนกันว่าเจ้าตัวดีจะได้ทุนตามที่องอาจเคยพูดเปรยๆ ไว้รึเปล่า เพราะถ้าได้จริงก็คงจะดีไม่น้อย
“ดีจังเลย ผมกำลังคิดจะโทรไปถามลุงอาจคืนนี้อยู่พอดี”
“โชคดีนะที่มาพอดี” เขาว่าขณะกวาดตามองเนื้อหาในจดหมายฉบับอื่นๆ ดูหนี้สินที่ต้องชำระ สองพ่อลูกก้มลงมองจดหมายเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนคนลูกจะร้องตะโกนเสียงดังทำเอาคนพ่อสะดุ้งแทบตกจากโซฟาได้
นพดลหันกลับไปมองท่าทีดีอกดีใจเกินเหตุของเจ้าตัวที่แทบจะลุกขึ้นมาเต้นระบำ ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ปัญญาก็ยื่นจดหมายฉบับนั้นมาให้
“พ่อดูนี่! ทุนตัวนี้เขาจะจ่ายให้เป็นรายเดือนระหว่างที่ผมไปที่นู่นแหละ!”
นพดลรับกระดาษมาอ่านดูก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงไม่แพ้ลูกชาย เขาอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัวในขณะที่ปัญญาเริ่มกระโดดโลดเต้นเย้วๆ เหมือนเด็กห้าขวบแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาบรรดาเพื่อนๆ ของเจ้าตัว และคนที่เขาบอกคนแรกก็หนีไม่พ้นโดนัท แต่นพดลงุนงงเกินกว่าจะมาจับผิดเรื่องนั้นได้
เขาอ่านเนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ปล่อยให้ตัวหนังสือเล็ดลอดไปจากสายตาสักตัวอักษรเดียว อ่านทวนซ้ำเป็นรอบที่สอง ที่สาม แต่เนื้อหาข้างในนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน
สิ่งที่ปัญญาจะได้รับก็คือทุนการศึกษารายเดือนในตัวเลขหลักหมื่นระหว่างที่เจ้าตัวไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลาสิบเดือน เป็นทุนให้เปล่าเหมือนกับที่ปันเคยได้มาตลอด
ดลเหลือบไปมองลูกชายที่กำลังยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหูแล้วหันกลับมามองจดหมายในมืออีกครั้ง เหงื่อตก ตัวเลขที่จะได้แต่ละเดือนอาจจะไม่มากขนาดคลอบคลุมทุกอย่างให้ปัญญาได้ก็จริง แต่มันก็มากเกินไป… เกินกว่าที่จะมายกให้กันง่ายๆ โดยไม่ทวงคืนในภายหลัง
เขาเคยเห็นทุนหลายรูปแบบจากที่เคยตามหาในอินเตอร์เน็ต แต่ส่วนมากเป็นแบบที่คนได้ทุนไปต้องใช้คืนหลังเรียนจบและเริ่มทำงานแล้วทั้งนั้น ซึ่งเขาก็คิดว่ามันก็ยุติธรรมดีและเข้าใจได้ แต่ไอ้ทุนให้เปล่าทุกเดือนหลักหมื่นนี่มัน…
“พ่อ! งั้นแบบนี้ผมก็ไปอเมริกาโดยไม่ต้องห่วงเรื่องเงินแล้วใช่ไหมครับ? ผมจะส่งจดหมายไปยืนยันกับทางโครงการแล้วนะว่าจะไปจริงๆ”
“อะ… อื้อ” เขาตอบรับ ในใจคิดว่าจะไปถามรายละเอียดเรื่องทุนตัวนี้จากองอาจเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง และถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลและเขาจำเป็นต้องปฏิเสธทุนตัวนี้ เขาก็จะหาทางส่งปันให้ได้จนได้อยู่ดี เพียงแต่เขารู้สึกไม่สบายใจกับเงินที่จะได้มาฟรีๆ นี้อย่างไรพิกล
“งั้นผมไปเขียนใบตอบรับกับเตรียมเอกสารก่อนนะ”
“นี่แกยังไม่ได้เตรียมอีกเรอะ!” นพดลโวยวายไล่หลังคนที่วิ่งขึ้นห้องไปทั้งๆ อย่างนั้น “ก็บอกตั้งแต่คราวนู้นแล้วไงว่าฉันส่งแกได้น่ะ!”
ไอ้ตัวแสบปิดประตูห้องเสียงดัง ดลถอนหายใจออกมาอีกเฮือก ยกมือเกาหัวอย่างคนคิดไม่ตก
บางทีถ้าตัวเขาเองมีเงินมากกว่านี้ เขาคงไม่ต้องมานั่งสองจิตสองใจเรื่องทุนนี่ ไม่ต้องนั่งกังวลว่าลูกชายเขาจะพลอยคิดมากเรื่องเงินเข้าไปด้วย
นพดลเองก็หวังว่าตัวเองจะทำได้ดีกว่านี้… เป็นพ่อที่ดีกว่านี้
เขาสงสัยว่าคนที่มีลูกทุกคนจะคิดเหมือนกันกับเขารึเปล่า
------------------------------------------
Talk: โดนัทเป็นหนุ่มยันค่ะ 5555555555