บทที่ 13
“อึก…” ปัญญาครางขึ้นเบาๆ ขณะยกมือแตะริมฝีปาก รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่อยู่ด้านใน แต่ความเจ็บที่กายมันไม่ทรมานเท่าที่ใจ เขารู้สึกเหมือนก้อนเนื้อข้างซ้ายถูกมือที่มองไม่เห็นเคล้นจนระบมไปหมด
พ่อทำแบบนี้กับเขาได้ยังไง… ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่ออาจจะเคยตีเขาบ้าง แต่ไม่เคยใช้กำลังแบบนี้
“ปัน… พ่อ…” น้ำเสียงของชายหนุ่มดูอึกอักสับสน ปัญญาเงยหน้าขึ้นไปมองเขาตรงๆ ด้วยแววตาผิดหวัง ความสุขที่มีมาตลอดทั้งวันหายวับไปเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น เขารู้สึกถึงน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา
“พ่อเคยบอกว่ารักผม” เขาพูดอย่างเจ็บปวด “ความรักของพ่อมีเท่านี้เองเหรอ”
ปัญญาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เขาผลุนผลันไปเปิดประตูบ้านแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ปล่อยให้ความมืดดูดกลืนเขาไปทั้งๆ อย่างนั้น นพดลมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่หายไปพร้อมกับครางออกมาอย่างเหลืออด ความชาที่เหวี่ยงกำปั้นลงบนหน้าอีกฝ่ายยังคงอยู่ แต่สิ่งที่แย่จริงๆ คือความรู้สึกผิดที่ท่วมไปทั้งใจเขา
หมอนั่นไม่ใช่ลูกของเขา…
แค่เห็นใบหน้านั่น เรื่องที่มิ้นต์ทรยศเขาก็แล่นเข้ามาในใจ เสียบจนทะลุไปถึงอีกด้าน แต่เขารู้ดีว่าต่อให้เขาต้องเจ็บเพราะเรื่องนั้นขนาดไหน เขาก็ยังรักปันเหมือนเดิมอยู่ดี
…
“ไอ้ห่า กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าเรื่องแบบนี้ไม่ต้องบอกพ่อ… ไม่ใช่สิ มึงต้องห้ามให้เขารู้เลยต่างหาก มึงไม่เคยดูหนังคู่รักที่แบบ ครอบครัวไม่เห็นด้วยแล้วเขาต้องคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ เหรอวะ มึงแม่งสะเออะไปบอกเขาโท่งๆ ละเป็นไงล่ะ โดนซัดหน้าหงายเลยไหมล่ะมึง บทเรียนคราวที่แล้วมีไม่เคยจำ”
“อูย ไอ้ห่าบัน มึงทำแผลเบาๆ หน่อย นี่ทำเป็นจริงรึเปล่าเนี่ย” ปันที่ตั้งใจจะหันไปด่าคนพี่ต้องกลับมาด่าคนน้องที่กดสำลีมาซะกะแบบให้ฝังเข้าไปอยู่ในหน้าเขาได้ บันขมวดคิ้วมุ่นนิดหนึ่งก่อนจะบ่นอุบอิบ
“นี่พี่ปันเป็นคนขอให้ผมทำเองนา ไม่ให้พี่เบนซ์ทำให้ล่ะงั้น”
“ไม่เอา ไอ้ห่านี่มือหนักกว่าเป็นร้อยเท่า”
“ก็บอกแล้วว่าให้รอไอ้โดนัทมันมาถึงก่อนแล้วค่อยทำ นี่มันออกจากบ้านมาแล้วเนี่ย” พอพี่ปันมาบ้านเขาด้วยสภาพตาจะปิดไปข้างหนึ่ง บันก็ทำหน้าที่พ่อสื่อที่ดีด้วยการส่งข้อความไปบอกเพื่อนอย่างรวดเร็ว
“สัส กว่ามันจะมาไอ้ปันก็ตาหายไปข้างแล้ว แล้วนี่ยังไง สรุปพ่อมึงเขาโกรธเรื่องที่มึงคบกับโดนัทขนาดนี้ มึงยังจะคบต่อไหม”
“คบสิวะ ไอ้ห่า เพิ่งจะได้คบกันวันแรก ยังไม่ทันได้ข้ามวัน”
“วันนี้นี่มันวันซวยจริงๆ เลยนะพี่” บันที่ยังคงจัดการดูแผลให้อีกฝ่ายพูดขึ้นอย่างไม่คิดอะไร “ล้มจนได้แผลที่เขา ที่หน้าผาก กลับบ้านไปยังโดนพ่อต่อยอีก โคตรจะซวย”
“ไอ้บัน เงียบปากเลย วันซวยบ้าอะไร นี่ฉันเพิ่งได้คบกับโดเองนะโว้ย ก็ต้องเป็นวันดีสิวะ”
“ดูจากสภาพพี่แล้วพูดยากนะ”
“เออ มันก็คงเป็นวันดีหรอก ถ้าแกจะไม่ติงต๊องไปบอกพ่อตัวเองเรื่องคบกับผู้ชายน่ะ”
โดนเบนซ์พูดแบบเดิมใส่เป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ ปัญญาก็ทำหน้าสลดลงนิดหนึ่ง
“มึงว่ากูไม่ควรไม่บอกพ่อจริงๆ เหรอวะ”
“เออ!/แหงสิครับ” พี่น้องประสานเสียงกันมาทีเดียว
“แต่… แต่กูไม่เคยมีความลับอะไรกับพ่อเลยนะเว้ย แล้วพ่อกู… อย่างคราวที่ ซี้ด โอ๊ย… บัน พอล่ะ กูว่าไปหาผ้าอะไรมาประคบน่าจะหายได้เร็วกว่า”
“มึงไปเอาน้ำแข็งห่อผ้ามาอะ โดนต่อยแบบนี้ต้องประคบเย็น” เบนซ์ออกคำสั่ง
“งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาจากในครัวนะครับ”
“ขอบใจนะ” ปันว่าขณะที่อีกฝ่ายเดินออกจากห้อง หันกลับมาคุยกับเพื่อนต่อ “เออ นั่นแหละ อย่างคราวที่แล้วที่กูบอกกูเป็นเกย์ ถึงเขาจะรับไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ดูเกรี้ยวกราดอะไรเลยนะมึง”
“แต่ตอนนั้นเพราะมึงยังไม่ได้จริงจังถึงขั้นคบใครรึเปล่าวะ เขาเลยอาจจะยังไม่อะไร แต่นี่มึงคบผู้ชายจริงจังแล้ว มันก็เหมือนมึงโดดลงหลุมไปจริงๆ จังๆ เขาคงรับไม่ได้”
ปัญญาพยักหน้าเนิบนาบ สิ่งที่เพื่อนพูดก็มีเหตุผล แต่เขาแอบคิดว่าสาเหตุหลักที่พ่อพลั้งมือทำร้ายเขาน่าจะมาจากฤทธิ์เหล้ามากกว่า และช่วงหลังๆ มานี่พ่อก็ดื่มบ่อยมาก
“แต่ก็ไม่แน่ใจว่ะ เบนซ์”
“ทำไมวะ”
“คือหลังๆ มาพ่อกูดูเครียดๆ อ้ะ แล้วก็ดื่มทุกคืนเลย กูว่าอาจจะเพราะเขาเครียดเรื่องอื่นด้วย”
“ไอ้ห่า ก็รู้อยู่ว่าพ่อเครียด แล้วมึงยังเสือกไปบอกเขาเรื่องที่คบกับโดนัทอีกเนี่ยนะ?” น้ำเสียงตำหนินั่นทำเอาปัญญาตีหน้าซึมลงไปอีก เบนซ์ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อนกับความคิดน้อยของเพื่อนคนนี้
“แต่… ไม่ว่าจะยังไงก็เถอะ มึงว่าที่เขาต่อยกูนี่ไม่มากไปหน่อยรึไงวะ”
“เออ กูก็ว่าพ่อมึงทำเกินไปแหละ แต่มึงก็นะ ไปพูดเรื่องแบบนี้ตอนคนเขากำลังเครียดๆ เขาคงฟิวส์ขาด”
“ทำไมวะ แค่เพราะกูคบกับผู้ชายเนี่ยนะ กูไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลยนะเว้ย”
“ไอ้ปัน มึงจะพูดอย่างนี้อีกสักร้อยรอบก็ได้ แล้วก็วนอยู่ในอ่างนี่แหละ แต่มึงคิดถึงมุมเขาดิ มึงเป็นลูกชายคนเดียวของเขา และการที่มึงเป็นเกย์ คบกับผู้ชาย มันก็หมายความว่าไม่มีใครสืบทอดตระกูลมึงต่อแล้วนะโว้ย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นบันกับโดนัทก็ก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าของผู้มาใหม่ซีดเผือด เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า บ่งบอกว่าคงรีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด
“โดนัทมันเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นะครับ ผมเลยพาขึ้นมา” บันอธิบายง่ายๆ ในมือมีผ้าประคบเย็นตามที่พี่ชายสั่ง โดนัทถลาเข้ามาหาคนเจ็บทันที
“พี่ปัน ผมขอโทษที่มาช้าฮะ เจ็บมากไหม บัน กูขอผ้าหน่อย”
“ห่า แย่งซีนกูหมดเลยนะ เอ้านี่”
โดนัทเอาผ้าที่ว่ามาประคบหน้าให้ปันอย่างเบามือ สายตาที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงนั่นทำเอาคนที่โดนค่อนมาว่าวันนี้เป็นวันซวยยกยิ้มออกมาได้ เบนซ์หันหน้าไปทำสีหน้าแปลกๆ ให้น้องชายเป็นเชิงแขวะกับความหวานชื่นของคนทั้งคู่ เพื่อนเขานี่พอมีความรักแล้วทำตัวโคตรเลี่ยน
“กูว่ากูลงไปช่วยแม่เตรียมข้าวเย็นดีกว่า ไป ไอ้บัน เอ็งก็ต้องไปช่วยด้วย วันนี้เรามีแขกตั้งสองคน”
“ครับ” รับคำอย่างรู้ดีว่าพี่ชายอยากปล่อยสองคนนี้ไว้ตามลำพัง และเมื่อเจ้าของบ้านจากไปแล้วโดนัทก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ พี่ปัน บันเล่าให้ผมฟังว่าน้าดลต่อยหน้าพี่… นั่นเรื่องจริงเหรอ?”
“อืม ใช่”
“ให้ตายสิ น้าดลออกจะดูใจดีแท้ๆ ผมนึกภาพไม่ออกเลย”
“ฉันก็งงไปหมดเหมือนกัน พ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” แล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก
“เพราะเรื่องของเราใช่ไหมครับ” ปัญญาเม้มปากแน่นขึ้นนิดหนึ่ง “ผมคิดอยู่แล้วว่าน้าดลต้องไม่ชอบใจเรื่องของเรา แต่ถึงขั้นลงไม้ลงมือขนาดนี้…”
“ไม่เป็นไรหรอก” ปันว่าพร้อมกับบีบมืออีกฝ่ายแน่น “พ่อพี่เขา… เอ่อ เขาแค่อารมณ์ไม่ดีน่ะช่วงนี้ แล้วก็กินเหล้าเยอะไปหน่อย เดี๋ยวรอไว้อารมณ์เย็นๆ แล้วไปคุยอีกที เขาต้องเข้าใจแน่”
“พี่คิดแบบนั้นเหรอครับ” โดนัทไม่อยากมองโลกในแง่ดีนัก อย่างบ้านเขา ถึงป๊าจะรับเรื่องเขาได้ แต่ตั้งแต่ทะเลาะกันใหญ่โตคราวนั้น ม๊าไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลย ถึงปกติแล้วจะไม่ได้ญาติดีอะไรกันอยู่แล้วก็เถอะ แต่สถานะความสัมพันธ์ของพวกเขาตอนนี้คือแย่สุดๆ “ผมกลัวว่าพี่จะลำบากจังเลย”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ว่าจริงๆ พ่อพี่ก็เกือบจะยอมรับเรื่องเราอยู่แล้วนะ”
“...” ดูจากที่พี่เพิ่งโดนต่อยมาแล้วก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไร
“คง… ต้องใช้เวลาสักหน่อยมั้ง” เด็กหนุ่มพูดอ้อมแอ้ม อันที่จริงแล้วก็ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดเหมือนกัน แต่เขาไม่อยากให้โดนัทคิดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ปัญญาเก็บความหนักใจไว้กับตัว ตลอดทั้งคืนนั้นที่นอนบ้านเบนซ์ เขาเฝ้านึกถึงเรื่องของดลและสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไป มันเป็นความรู้สึกอึดอัดและแย่อย่างบอกไม่ถูก การทะเลาะกับคนในครอบครัวเป็นสิ่งที่ชวนให้คับข้องใจเสมอ และเขาไม่แน่ใจเลยว่าคราวนี้ทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามแบบที่มันเคยเป็นมา
…
ไอ้ปันไม่กลับบ้านมาสามวันแล้ว… ผมว่านี่คงเกินลิมิตของพวกเราสองคนมานานแล้วล่ะ
ผมลุกออกจากโต๊ะทำงานทันทีที่เสียงออดหมดเวลาดังขึ้น บอกลาเจ้านายและขอโทษลูกน้องที่ทำงานล่วงเวลาวันนี้ไม่ได้ ตรงไปขึ้นรถ หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบ กดโทรออกหาปันขณะที่เหยียบคันเร่งบึ่งรถเพื่อกลับบ้าน แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเลย ปันไม่รับสายผม คงโกรธที่ผมลงไม้ลงมือถึงขั้นนั้น ก็ไม่น่าแปลกหรอก ขนาดผมยังโกรธตัวเองเลย
แล้วนี่ผมควรจะทำยังไงดี ไปดักรอหมอนั่นที่โรงเรียนหรือว่ากลับบ้านก่อนดี เวลาป่านนี้แล้วหมอนั่นอาจจะไปบ้านเบนซ์แล้ว
หรือไม่… ปันอาจจะยอมกลับมาบ้าน มาเพื่อฟังคำแก้ตัวของผมแล้วก็ได้
ผมก็ได้แต่หวังว่าปันจะยอมยกโทษให้ รอบนี้ผมทำเกินไปจริงๆ
ผมกลับมาถึงบ้าน เห็นรถที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่สองคนก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมแว่นตากันแดดที่ยืนอยู่หน้าบ้านผมสิที่ทำให้แปลกใจมากกว่า ผมเดาว่าเพื่อนบ้านที่ออกมาเมียงๆ มองๆ เจ้าตัวอาจจะพอจดจำลักษณะของชายคนนี้ได้แต่ยังไม่แน่ใจ
ก็แหงล่ะสิ ในเมื่อแถบบ้านเราไม่ได้เป็นย่านสุดหรูที่คนมีชื่อเสียงจะมาอาศัยอยู่กัน
ผมจอดรถที่หน้าบ้าน ลงไปเผชิญหน้ากับใครอีกคนที่คงจะมากดกริ่งที่หน้าบ้านผมแล้วพักใหญ่ ข้างๆ เขามีชายรูปร่างบึกบึนอีกสองคน เป็นอะไรคล้ายๆ กับบอดี้การ์ดของเขาล่ะมั้ง ก็นะ คนมีชื่อเสียงก็แบบนี้ ผมเดินเข้าไปคุยกับเขาตรงๆ
“ผมนึกว่าคุณจะให้อาจโทรมาบอกผมก่อนเสียเรื่องเวลานัดคุย”
บูมหันกลับมามองผม ดันแว่นออกนิดหนึ่งเผยให้เห็นนัยน์ตาคู่คมกริบที่กำลังมองผมอย่างเย็นชา แววตาแบบนั้น… เหมือนไอ้ปันตอนโกรธไม่มีผิด
“ผมอยากมาคุยกับคุณก่อน ไม่เกี่ยวกับอาจรอบนี้”
ผมยักไหล่ให้เขา จากนั้นไขกุญแจประตูรั้วแล้วเดินกลับไปขึ้นรถเพื่อเอารถไปไว้ในตัวบ้าน เสร็จเรียบร้อยแล้วผมถึงเชิญเขามาข้างใน เพิ่งรู้สึกยินดีที่ไอ้ปันไม่กลับบ้านมาก็วันนี้แหละ ไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างก็จะแตก เรื่องที่มันไม่ใช่ลูกผม… จากนั้นปันคงจะเลือกไปอยู่กับคนที่เข้ามานั่งเต๊ะท่าอยู่บนโซฟานั่นแหละ ในเมื่ออีกฝ่ายมีฐานะ มีชื่อเสียงเงินทองทุกอย่าง… ถ้าปันเลือกจะไปอยู่กับหมอนี่จริง ผมจะทนได้ไหมนะ
“ชาหรือกาแฟดีครับ” ผมถามไปตามมารยาท “ฝากถามอีกสองคนที่มากับคุณให้ด้วยนะ” น่ะ ผมมีน้ำใจเผื่อแผ่แค่ไหน คิดดู
“คิดว่าตัวเองเป็นแอร์โฮสเตสเหรอ นี่เราอยู่บนเครื่องบินกันรึไง”
รอบบินไปนรกไหมล่ะ ถ้าแบบนั้นล่ะใช่เลย
“นี่ คุณบูม” ผมพูดด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ขณะเติมน้ำลงในกาน้ำร้อน “ผมแค่พยายามจะมีมารยาทด้วย คุณไม่คิดจะพยายามบ้างรึไงนะ ไม่เข้าใจเลย พวกดารานี่เป็นแบบนี้กันทุกคนเหรอ”
“กับคนอื่นน่ะผมมีแน่” น้ำเสียงของเขาเหี้ยมจนผมนึกหวั่นแปลกๆ “แต่ไม่ใช่กับคุณ จะเอาอะไรก็รีบๆ เอามาเถอะ จะได้เริ่มเรื่องของเราเสียที”
ผมตัดสินใจชงกาแฟสำเร็จรูปแบบทรีอินวันที่ดีที่สุดที่ในบ้านไปให้ คือถึงผมจะกระจอกยังไงผมก็ไม่อยากให้เขามาดูถูกถึงถิ่นขนาดนี้ เข้าใจไหม และผมรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนมันเริ่มต้นไม่ดี… อันที่จริงคือแย่มากๆ ถึงขั้นติดลบ
ยิ่งคิดว่าหมอนี่เคยร่วมมือกับมิ้นต์ในการหักหลังผมอย่างเจ็บแสบที่สุดแล้ว… ผมว่าตัวเองโง่มากที่ยอมให้คนที่ผมเรียกได้ว่าเป็น ‘ศัตรู’ เข้ามาในบ้าน แต่ถึงยังไง… หมอนี่ก็เป็นพ่อของปัน… พ่อของเด็กผู้ชายที่ผมรักยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองเป็นพ่อของปันก็ตาม
“พงศ์ คม” เขาเรียกชายร่างใหญ่อีกสองคนทันทีที่ผมวางกาแฟลงบนโต๊ะครบ แต่ผมเข้าใจผิด เพราะบูมไม่ได้เรียกทั้งคู่ให้มาดื่มกาแฟ “จับมันเอาไว้”
“เฮ้ย… เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวก่อน” ผมร้องโวยวายขณะที่อีกสองคนตรงมาล็อกแขนผมคนละข้าง ผมพยายามดิ้นตัวหนีแต่ก็สู้แรงทั้งคู่ไม่ได้ “นี่มันเรื่องอะ--”
พลั่ก!
บูมประเคนหมัดหนักๆ ลงบนช่องท้องผม มันคงกระแทกที่ไตเข้าเต็มๆ จุกไปหมดเลย ผมเปล่งเสียงสั้นๆ ออกมาเพราะความเจ็บก่อนจะหอบหายใจเบาๆ พยายามรีดความชาออกด้วยการหายใจช้าลง พยายามเงยหน้าขึ้นไปถามชายหนุ่มที่ตอนนี้ดึงแว่นสีชาออก แต่ลิ้นยังไม่ทันเคลื่อนอีกฝ่ายก็ต่อยเข้าที่หน้าผมแรงๆ อีกที หน้าผมหันไปตามแรงนั้น รู้สึกเหมือนเห็นดาวลอยวิ้งขึ้นมา ภาพทุกอย่างมันพร่าเลือนไปหมด รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บ หมัดของไอ้หมอนี่ไม่ใช่เบาๆ เลย… เรียกได้ว่ามืออาชีพชัดๆ
“นี่… ที่แกทำกับลูกฉัน”
“อ่า…” อ้อ เขาโกรธที่ผมต่อยไอ้ปันน่ะเอง ว่าแต่ไปสืบทราบมาได้ยังไงวะเนี่ย คงไม่ได้ใช้นักสืบแบบเดียวกับที่ผมใช้ตอนไปสืบเรื่องของเขานะ
“มองหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงวะ แล้วแกกล้าดียังไงถึงทำเขาแบบนั้น!”
ผัวะ!
ลงบนหน้าอีกหมัด ไอ้ขี้กากเอ๊ย แน่จริงอย่าให้พวกมาล็อกแขนผมสิวะ สู้กันตัวๆ ดิ ถึงผมไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้อะไรแต่ผมก็ไม่ยอมให้ใครมาซัดเอาๆ เฉยๆ แบบนี้แน่
ผมหอบหายใจระรัวขณะที่อีกฝ่ายยังมองผมด้วยแววตาโกรธจัด ความคิดแรกของผมคือเรื่องนี้ต้องถึงหูตำรวจแน่ จากนั้นก็สื่อมวลชน ผมจะแฉทุกอย่างให้โลกรู้ว่าไอ้ดาราคนนี้ที่เป็นขวัญใจใครต่อใครแท้จริงแล้วต่ำทรามแค่ไหน ทั้งเรื่องที่แม่งนอนกับผู้หญิงของคนอื่น เรื่องที่มันบุกมาถึงบ้านแล้วทำร้ายผมแบบนี้ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนเชิญชวนให้มันเข้ามาเองก็เถอะ…
“พอแล้ว” บูมพูดขึ้นหลังจากประเคนหมัดให้ผมทั้งหมดสามหมัดถ้วน ชายทั้งสองคนเอาผมไปนั่งที่โซฟาจากนั้นก็เดินจากไปราวกับจะดูลาดเลาอยู่ห่างๆ ผมถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยอ่อน ยังรู้สึกจุกอยู่ที่ท้อง แถมที่แก้มก็เริ่มบวมจนน่ากลัว ต้องรีบหาอะไรมาประคบ…
“พงศ์ ไปหาผ้ามาชุบน้ำประคบให้ไอ้หมอนี่ที น้ำแข็งด้วย เอาจากในครัวมันนั่นแหละ เร็วๆ ด้วยล่ะ”
เหอะ ตบหัวแล้วลูบหลังงั้นเหรอ ไอ้เลวเอ๊ย
“คิดว่าตัวเองเป็นมาเฟียรึไง” ผมถามพร้อมกับมองชายหนุ่มที่พิงหลังไปบนพนักโซฟา ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง ความหล่อกับท่าทีมั่นอกมั่นใจนั่น… เขามีรัศมีดาราเปล่งประกายชัดเจนจริงๆ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกขยะแขยงผู้ชายคนนี้ยิ่งกว่าอะไร และที่แย่ที่สุดคือผมด้อยกว่าไอ้บ้านี่ไปเสียทุกอย่าง
เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้ม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงติดจะเย้ยหยัน
“โดนไปขนาดนั้นยังพูดได้อีกนะ น่านับถือว่ะ”
“แกต้องการอะไร”
“ไม่ต้องทำเสียงเขียวแบบนั้น นายก็รู้ว่าฉันทำแบบนี้เพราะนายทำร้ายปันก่อน เป็นพ่อประสาอะไร หา ถึงได้ทำลูกตัวเองแบบนั้น”
คำด่าของเขาทำให้ผมสะอึกก็จริง แต่การโดนคนที่ทำผู้หญิงท้องแล้วให้ผู้ชายอีกคนคอยเลี้ยงดูมาตลอดแบบหมอนี่พูดใส่นี่มัน…
“นายทำหน้าที่พ่อที่ดีมากงั้นเลยสิ”
“ไม่ต้องมาย้อน” เขาว่าขณะยกกาแฟที่ผมชงขึ้นดื่ม “ฉันเองก็พยายามทำให้ดีที่สุดในแบบของฉัน นายไม่รู้หรอกว่ามันลำบากแค่ไหนที่ต้องคอยระวังไม่ให้นายกับปันสงสัยเรื่องนี้ ฉันอยากจะส่งเงินให้เขามากกว่านั้นเป็นสิบเท่า แต่ถ้ามากไปก็อาจจะโดนสงสัยได้ และถ้าฉันโดนจับได้ล่ะก็… ห่าเอ๊ย พวกนักข่าวที่เหมือนอีแร้งพวกนั้นคงได้รุมทึ้งตายแน่”
“แล้วตอนนี้ไม่กลัวแล้วเหรอ” ผมแสยะยิ้มให้เขา แม้จะนึกหวั่นในใจเล็กน้อยว่าเจ้าตัวอาจให้ลูกน้องมาล็อกตัวผมแล้วอัดตีนใส่อีกรอบหากไปท้าทายอำนาจเขามากๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ผมมีลูกชายเพียงคนเดียว และผมก็เสียเขาครึ่งหนึ่งไปตอนที่ได้รับรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ใช่ลูกผมจริงๆ และอีกครึ่งหนึ่ง… ชายตรงหน้าก็อาจกำลังพรากเอาไป
“ฉันรู้ว่านายคิดจะทำอะไร นพดล” เขาบอกอย่างไม่เกรงกลัว ใบหน้าได้รูปกับส่วนผสมที่เหมาะเจาะไปเสียทุกอย่างทำให้ผมนึกถึงปันขึ้นมาอีกแล้ว ผมเคยคิดว่าปันเหมือนแม่มากนะ แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวได้รับความหล่อนั่นมาจากพ่อเต็มๆ “บอกให้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่าฉันไม่แคร์ ไม่สนอีกต่อไปแล้ว ฉันทำทุกอย่างเพื่อเขากับมิ้นต์มาตลอดสิบเจ็ดปีนี่ เรื่องมันจะแตก ฉันจะเป็นดาราต่อไม่ได้ก็ช่างแม่ง ตราบใดที่ปันได้รู้ความจริงทั้งหมดฉันก็ไม่สนอะไรอย่างอื่นอีกต่อไปแล้ว”
“แล้วไงวะ” ผมย้อนถามอย่างท้าทายไม่แพ้กัน ถ้าเข้าใจไม่ผิด หมอนี่คงแก่กว่าผมหลายปีอยู่ แต่อย่างกับผมจะสนอย่างนั้นแหละ “นายคิดว่าพอปันรู้ความจริงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ เขาคงเคารพแล้วก็ภูมิใจในตัวนายน่าดูเลยสิที่ทำแม่เขาท้องแล้วก็ทิ้งเขาไปตั้งแต่ก่อนเขาเกิดด้วยซ้ำ”
“ฉันจะอธิบายเรื่องนั้นให้เขาฟัง” สีหน้าแววตาของเขาฉายแววสำนึกผิด แต่ผมไม่รู้สึกสงสารแม้แต่นิดเดียว “ฉันพยายามแล้วจริงๆ ตอนนั้น ขอร้องมิ้นต์… ให้เราหนีไปด้วยกัน บอกยัยนั่นแล้วว่าฉันไม่สนเรื่องชื่อเสียงหรืออะไรพวกนั้นหรอก แค่หล่อนยอมมากับฉัน… แต่มิ้นต์ก็เลือกนาย ดล เขาเชื่อจริงๆ ว่าเด็กคนนั้นคือลูกนาย ฉันบอกกับมิ้นต์แล้วว่าจะลูกใครก็ช่าง ยังไงเสียฉันก็ยอมรับได้ทั้งนั้น แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่าฉันควรจะมีอนาคตที่ดี”
เหี้ยเอ๊ย ฟังแล้วเจ็บสัดๆ
“จะยังไงก็ช่างเถอะ” ผมพูดพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทาง เป็นเวลาเดียวกับที่พงศ์กลับมาพร้อมกับผ้าที่ห่อน้ำแข็งมาอย่างดี ผมยกมันขึ้นประคบตรงที่เริ่มบวมออกมา “ผมไม่อยากรู้หรอกว่าเมียตัวเองรักกับผู้ชายอีกคนมากแค่ไหน”
“ทำไมนายยังพูดจาเหมือนประชดมิ้นต์แบบนั้นอีกวะ เขาตายไปแล้วด้วยซ้ำ!”
ผมมองอีกฝ่ายที่เริ่มมีอารมณ์อีกครั้งด้วยท่าทีเฉยชา เหมือนมันเจ็บจนด้านไปหมดแล้วก็ว่าได้ และท่าทีนิ่งๆ แบบนั้นของผมก็เรียกสติของบูมกลับมา
“แล้วนี่ปันจะกลับบ้านมาวันนี้ไหม”
“ไม่รู้สิ ผมโทรไปหาแล้วแต่เขาไม่รับ”
“ไม่เป็นห่วงบ้างเลยรึไง แล้วให้ลูกตะลอนๆ ไปนอนบ้านคนอื่นอย่างกับขอทาน…”
ถึงตรงนี้ผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆ แม้ว่าการหัวเราะนั่นจะทำให้ซี่โครงผมเจ็บไปหมดก็ตาม แต่หมอนี่กล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงเนี่ย ในเมื่อเขายังปล่อยให้ลูกตัวเองมาอยู่กับผมเป็นสิบปี
“พูดได้ดีนี่ คุณบดิศร”
“อย่ามาหาเรื่องฉันอีกรอบนะ ฉันจะซัดนายให้หมอบอีกกี่รอบก็ได้”
“ทำแบบนี้ไม่กลัวติดคุกเหรอ อ้อ ใช่ ลืมไป พวกคนรวยๆ เขาใช้เงินแก้ปัญหากันนี่นะ ผมมันก็แค่คนสามัญที่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวใช่ไหม”
“นายต่อยปันก่อน”
ผมพยักหน้ารับ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว “เอาไงก็เอาเลย”
“ฉันอยากให้ปันไปอยู่กับฉันหลังจากนี้”
คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักกึกไปทันที ใจที่เริ่มสงบเริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้งอย่างหวาดหวั่น ผมไม่อยากให้ปันจากผมไปไหนทั้งนั้น
“อย่าเข้าใจผิด คุณบูม” เพราะความกลัวแท้ๆ ถึงทำให้ผมพูดเสียงเย็นเยียบออกไปได้ “ผมจะยอมเปิดโอกาสให้คุณบอกความจริงให้ปันรู้เรื่องพ่อแท้ๆ ของเขา แต่เขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เขาเป็นลูกผม ผมเลี้ยงเขามากับมือ”
“ฉันว่านายไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนั้นหรอก นพดล” เขาพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจแบบที่ผมเกลียดแสนเกลียด “ฉันจะหาทนายที่ดีที่สุดมาจัดการเรื่องนี้ จะทำให้เขาเป็นลูกชายของฉันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ สุดท้ายก็เรื่องเงินๆ ทองๆ พูดแบบนี้แปลว่านายจะไม่ฟังความต้องการของปันเลยใช่ไหม”
“แน่นอน ฉันจะเปิดโอกาสให้เขาเลือกแน่ แต่นายลองคิดดูให้ดีๆ แล้วกันว่าอยู่กับใครแล้วเขาจะสบายกว่า”
ผมรู้สึกหน้าชากับคำพูดนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าปันจะเลือกความสบายที่เห็นอยู่กันชัดๆ ว่าเขาคงได้รับมากกว่าถ้าเลือกที่จะอยู่กับคนตรงหน้า คือระดับมันต่างขนาดที่เทียบกันไม่ได้เลย
นี่ยังไม่รวม… เรื่องที่ผมเพิ่งทำร้ายไอ้หมอนั่นไปตอนที่ตัวเองขาดสติเมื่อคืนนั้นด้วยนะ
โอ๊ย…
--------------------------------------------------
Talk: วันศุกร์แล้วค่ะทุกคน ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ผ่านพ้นมาได้อีกสัปดาห์ XD ใครมีแผนไปงานหนังสือบ้างคะ? อย่าลืมเที่ยวเผื่อเราด้วยนะ รอปีหน้าก่อน เรากลับไทยไปเจอทุกคนแน่ๆ รักทุกคนนะคะ//ส่งจูบ