Round 2 (อัพแก้ขัดไปก่อน

)
“ชักช้าอยู่ได้นะมึง”
“มึงนั่นแหล่ะจะเอายังไงกับกู” มันขึ้นเสียง หน้าซีดปากสั่น สองแขนยังรัดตัวไว้แน่น จนผมต้องยื่นมือไปเบาแอร์ แล้วหันไปทางอื่นให้
“กูยังไม่อยากเห็นคนหนาวตาย”
ว่าแล้วก็มุ่งตรงไปยังจุดหมายต่อ เราสองคนเงียบกันมาตลอดทางเพราะผมเองก็ไม่รู้จะคุยอะไร คุยไปมันก็ไม่วายต้องหาเรื่องมาด่าอีกแน่ ส่วนอีกฝ่ายท่าทางจะหมดอารมณ์ต่อปากต่อคำเช่นกัน นั่งหนาวตัวสั่นหงึกๆ กูช่วยอะไรไม่ได้นะเว้ย ผ้าขนหนูก็มีแค่ผืนเล็กอันที่แกใช้ไปแล้วผืนเดียว แต่จากที่แอบมอง…เน้นว่าแอบมองจริงๆครับ ปากซีดๆ นั่นเริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง
แล้วเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ไม่ต้องดูหน้าจอก็รู้ว่าใคร…เพราะผมตั้งริงโทนไว้เป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น
[อยู่ไหนแล้วซัน] เธอพูดแทรกเสียดแก้วหูขึ้นมาทันทีที่ผมกดรับ
“อีกสักพักแก้ว รถติดมากเลย” ผมจำใจแกล้งโกหกไปพร้อมกับถอนหายใจเสียงดังประกอบให้ดูสมจริง เดี๋ยวคุณเธอจะวีนแตกเสียก่อน
[ไม่ต้องมาโกหก นัดกันทีไรมาสายทุกที ทำไมไม่หัดออกก่อนเวลาเยอะๆ บ้างหือ…] นั่นไงครับ แก้วเป็นคนเดียวที่จับโกหกเนียนๆ ของผมได้ทุกที และไม่ทันขาดคำเธอก็เกิดเริ่มเทศนาโวหาร พูดจากไปวนมาจนผมจับใจความไม่ค่อยถนัดเพราะต้องตั้งสมาธิไว้กับถนน
“ใจเย็น อีกแป๊ปเดียวจริงๆ” ผมพูดไปมองป้ายบอกทางข้างหน้าสีเขียวไป โรงแรมแกรนด์ คอนทิเนนทอล เลี้ยวซ้ายข้างหน้าอีก 500 เมตร
[เอาเถอะ ถึงแล้วก็โทรมาละกัน เลี้ยงด้วยมื้อนี้] น้ำเสียงเธอสะบัดเชิดให้รู้ว่างอนแล้วนะ ทำให้ผมเผลอทำหน้าเซ็งออกมา
“ครับๆ เดี๋ยวเลี้ยงบุฟเฟ่ต์เค้กนะ อย่างอนๆ” ผมปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติตอบกลับไป แล้วค่อยกดวางโทรศัพท์ เก็บเข้าตรงช่องวางของหน้าเกียร์เหมือนเดิม
“หึหึหึ” เสียงจากคนนั่งข้างๆ ที่ตอนนี้เอามือข้างนึงยันประตูแล้วท้าวคางตัวเองไว้ ชายตามามองผมแล้วคลี่ยิ้มบางออกมา
“หัวเราะอะไร” คิ้วผมขมวดโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงมันชวนให้หงุดหงิดชะมัด
“หงอว่ะ” มันพูดแล้วยักคิ้วข้างนึงยั่วพร้อมกับปากเชิดๆ นั่น
“เงียบไปเลยมึง”
“หึหึหึหึ” มันไม่หยุด ฉีกยิ้มมากกว่าเดิม
“ห่านี่ อยากโดนไล่ลงรถอีกรอบมั้ย” ผมกัดฟันกรอดๆ ในปากอย่างไม่รู้ตัว
“กลัวคร้าบบบบบบ แน่จริงมึงไล่กูลงอีกรอบสิ” มันกล้าพูดครับเพราะตอนนี้ทั้งผมและมันเห็นป้ายบอกจุดหมายที่โดนบังคับให้ไปส่งว่าอยู่ข้างหน้านี่แล้ว
ผมไม่ตอบ ขับตรงไปเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวรถเข้าทางลาดชันเทียบเคียงด้วยพุ่มไม้และไฟหลากสีแลดูหรูหรา จอดรถตรงกับประตูทางเข้าที่มีป้ายตัวโตๆ เขียนอยู่ข้างบนว่า Grand Continental Hotel
“ใจว่ะ เท่าไหร่” มันพูดพร้อมกับควักกระเป๋าตังค์ออกมาทำท่าจะยื่นแบงค์สีม่วงให้ผม
“สัตว์ กูบอกแล้วว่าไม่ใช่แท็กซี่ จะลงก็รีบลงไปเลย กูรีบ” ผมพูดจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ
ไอ้หน้าหล่อมันยิ้มแล้วหัวเราะในลำคออีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีกระแสยียวนแต่เป็นเสียงราวกับแกล้งหยอกเย้ามากกว่า มันเก็บกระเป๋าตังค์คืนในกระเป๋ากางเกงแล้วเอื้อมมือไปเปิดรถ แอบโล่งใจที่มันจะหลุดพ้นไปจากวัฎจักรชีวิตกูซักที ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันแค่ราวๆ ครึ่งชั่วโมง แต่ก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนอยู่ด้วยกันเป็นปีๆ ซะงั้น
“ขอบคุณนะครับซัน”
มันพูดพร้อมกับหันมายิ้ม…ยิ้มที่ผมคิดว่าสวยและหวานมากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเห็นมาไม่ว่าหญิงหรือชาย
ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูกันแน่วะ! กูปรับอารมณ์ตามไม่ทัน! แล้วมึงรู้ชื่อกูได้ไง!? สับสนครับ ทำไงได้ล่ะ ก็ได้แต่นั่งอึ้งมือไม้วางไม่ถูกเลยวางไว้บนพวงมาลัยมันนั่นแหล่ะ นี่กูเขินอยู่เหรอวะ…ไม่นะ ไม่ใช่ เฮ้ออ สุดท้ายผมก็เลยต้องงัดไม้ตายสุดท้ายมา… ยิ้มกลับ
“แบร่ ใจง่ายนะมึงงงงงงง” มันพูดพร้อมกับชี้หน้าผม หัวเราะงอหงาย แล้วตบเข่าดังฉาด คราวนี้ผมหน้าแดงเลยครับ ไม่ใช่เพราะเขินแน่นอน หลอกกูได้นะไอ้สาดดดดดดดดด อุตส่าห์คิดแว่บนึงว่ามันสุภาพเป็นกับเค้าด้วย ไม่น่าหลงผิดเลยตู
มันเปิดประตูเอี้ยวตัวจะลงจากรถ หัวเราะหึหึไม่หยุดจนผมจิ๊ปากด้วยความรำคาญ ลีลาจริงนะมึง จะรีบลงก็ไม่ได้ เดี๋ยวปั๊ดถีบส่ง…ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นไอ้หล่อก็หันกลับมา แล้วยกมือขึ้นหยิกแก้มผม
“ไปนะ ไอ้ลักยิ้ม”
อึ้งสิครับ วันนี้กูอึ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ววะ ไม่อยากจะนับ เพราะมัวแต่งงอยู่นี่แหล่ะ ไอ้ตัวดีมันวิ่งถลาลงจากรถเข้าไปในตัวโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ผมได้แต่มองแผ่นหลังเล็กๆ นั่นตาม…
***TBC
มาลงช้าเพราะกูลิโกะแย่งเล่นคอม (อ้างไปเรื่อย)
ง่วงกันม้ายยยยยยยยยย
แล้วก็ใครที่คิดว่าพระเอก นายเอกจะชื่อ พ. กับ ก. ก็เสียใจด้วย
ขอเปลี่ยนไกลๆ ตัวมั่งเห้ออออออออออ
