13
ผมข่มอารมณ์ตนเอง กดความรู้สึกไว้ ดันให้มันไปอยู่เบื้องล่างสุดของพื้นหัวใจ หลับตาสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกก่อนเอ่ยถาม
“มีอะไร”
“ข้าว” มันว่า พลางหอบต่อ รวบรวมลมหายใจ ต่อเติมประโยคอีกครั้ง “คุยกับผมก่อนได้ไหม”
“ไม่มีอะไรจะคุยนี่”
“ทำไมข้าวชอบไม่คุยให้รู้เรื่อง”
“กูไปทำอย่างนั้นตอนไหน” คนที่คุยไม่รู้เรื่องอ่ะมึงต่างหาก
“ตอนนี้ไง”
“...นั่นเพราะกูไม่อยากคุย”
“ทำไมไม่อยาก”
“คุยแล้วมันจะแย่ลง จะคุยทำไม”
“รู้ได้ไงว่าจะแย่ลง”
ผมสูดลมหายใจเข้า ควบคุมสติที่จะไม่เผลอใส่อารมณ์ ต้นเหตุทุกอย่างก็เพราะมึง กล่าวโทษมันทั้งที่รู้ๆ อยู่ว่าต้นเหตุทุกอย่างคือความรู้สึกของตัวเอง
“แล้วจะคุยทำไม” ผมว่าต่อ
“เพราะผมอยากเข้าใจข้าว”
“แต่กูไม่อยากให้ใครมาเข้าใจ”
“ข้าวอยาก เชื่อผมสิ มีคนเข้าใจมันดีจะตาย ข้าวยังเข้าใจผมเลย”
“กูไม่เคยเข้าใจมึง!”
ผมว่า ขึ้นเสียงตะคอก สะบัดข้อมือหลุดออกจากการควบคุม เดินหันหลังหนี หลบหน้ามันเพราะน้ำที่เอ่อคลอเบ้าจนพร้อมจะหลุดออกมาเป็นน้ำตา ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมรู้สึกกับมันมากแค่ไหน ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะคุย รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังอยู่รอเพื่อหวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ก็ไม่
ฉางยังคงเป็นฉาง
มันคงเข้ามาถามเพราะอยากรู้เรื่องที่ผมหายหน้าหายตาไปหลายวัน อยากเข้าใจว่าทำไมผมถึงทำเช่นนั้น ไม่ได้คิดถึงความรู้สึก กว่าจะคิดออกว่าเป็นเรื่องนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ผมไม่น่าอยู่รอมันเลยจริงๆ
“ข้าว”
“เฮ้ย!” สิ้นเสียงเรียกชื่อผมและคำอุทาน ผมโดนทั้งลากทั้งผลักเข้าไปในซอยแคบๆ ปราศจากผู้คน ผมมองซ้ายขวาเลิกลั่ก ก่อนมาหยุดที่ภาพตรงหน้าที่ปรากฏเป็นใบหน้าไอ้ฉาง จับยึดไหล่ผมไว้มั่นทั้งสองแขน กึ่งบังคับไม่ให้ผมหันไปวอกแวกมองทางอื่น
“มึงมีอะไรอีก”
“ผมทำอะไรให้ข้าวโกรธหรอ”
“...”
“...ผมทำใช่มั้ย ข้าวถึงหนีผมไป”
“...เปล่า”
ผมไม่รู้จะตอบอะไร คำพูดปฏิเสธถูกใช้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“แล้วข้าวทำไมไม่กลับห้อง”
“กูไม่อยาก...”
ผมว่า กลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ จ้องหน้าไอ้ฉางนิ่ง แววตาคนตรงหน้าฉายบอกให้พูดต่อให้จบประโยค ท่ามกลางความเงียบ ผมยอมเอ่ยปากอีกครั้ง
“ไม่อยากกลับไปเจอมึง”
“...”
ครานี้ผลัดกันเงียบ ฉางกระพริบตาถี่ๆ หลายรอบ ขยับตัว เงยหน้ามองซ้ายขวา คล้ายกับประมวลผลข้อความที่ผมบอก ก่อนเอ่ย
“ทำไม”
“...”
“ข้าวต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้สิ ถ้าข้าวไม่ชอบใจผมแล้วก็ช่วยบอกว่าตรงไหนที่ข้าวไม่ชอบผมจะได้ปรับปรุง”
“...”
“หรือถ้าเกลียดผม...ไม่อยากเจอหน้าผมก็บอก ผมจะได้ไป...”
“...”
“ผมไม่ได้อยากมาอยู่ห้องข้าวโดยที่ไม่มีข้าวนะ”
“งั้นจะมาอยู่ทำไม”
“ผมมาเพราะมีข้าว”
“...ทำไม ชอบกูหรือไง” ผมนิ่งไปก่อนโพล่งประโยคโต้ตอบออกมา อย่างไม่รู้ตัว ประชดไปอย่างใจนึกโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ว่ามันจะเป็นยังไง
เป็นอย่างนี้อีกแล้ว...
เคยเป็นคนใจร้อนมาก่อน แต่พอเข้ามหาลัยมาก็พยามปรับปรุงตัว จนเปลี่ยนมาเป็นคนใจเย็นลงได้ ไม่เคยใจร้อนใส่ใครจนถึงขั้นพูดไม่คิดเช่นนี้เลยสักครั้ง พยายามคิดก่อนพูดย้ำคิดย้ำทำมาเสมอ มีครั้งนี้ที่ตบะแตก เพราะเป็นมัน มันที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่ สันดานเก่าผมหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
ผมมองริมฝากคนตรงหน้าที่ค่อยๆ อ้าออก ผมหลุบตา รับรู้เรื่องราวในอนาคต ถามอะไรโง่ๆ จะถามคำถามที่มีคำตอบอยู่แล้วทำไม ผมรู้แล้วว่าฉางไม่ได้ชอบผมแบบนั้น คำพูดครานั้นยังดังก้องอยู่ในหัว แต่แม่งก็ยังถามออกไป เพื่อหวังอะไรบางอย่างที่มันคงไม่เกิด
“ผมชอบข้าว”
“...เหอะ”
สบถออกมาทันทีโดยที่แทบไม่ต้องคิด คำพูดลอยๆ ของไอ้ฉางไม่เคยเชื่อถือได้ อย่างไรเสีย ความหมายมันก็คงไม่เหมือนกัน
“ผมชอบข้าว จริงๆ นะ”
“มึงก็ชอบทุกคน”
“ผมไม่ได้ชอบทุกคน”
“ก็ชอบฟิวเจอร์ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ แค่ถูกใจ มันไม่เหมือนกัน”
“แล้วกับกูมันต่างตรงไหน”
“ต่างสิ ผมชอบข้าว”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหนื่อยที่จะต้องคุยกับมัน
“กับคนเมื่อกี้ก็ชอบไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ได้ชอบ”
“เห็นอยู่ว่าพาไปด้วยกัน”
“ก็แค่พาไปส่ง”
“แต่ผู้หญิงกูชอบมึง”
“แต่ผมไม่ได้ชอบเธอนี่”
“...โกหก”
“ข้าวชอบเธอหรอ”
“...”
ผมไม่ตอบมัน ถ้าไม่ได้ชอบ แล้วไปด้วยกันทำไม ทิ้งผมไว้ทำไม ผมถามคำถามในใจ
“ผมแค่พาเธอไปส่ง ให้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไป ผู้หญิงกลับบ้านคนเดียวตอนนี้มันอันตราย ผมมาร้านนี้เพื่อมาเจอข้าวนะ กว่าจะหาตัวเจอ” มันตอบกลับมาคล้ายอ่านใจผมได้
“แล้วไง” แล้วบอกกันก่อนสักนิดจะตายมั้ย
“ก็เลยรีบกลับมาหาข้าวเพื่อคุยนี่ไง ไปตามหาในร้านเสียทั่ว นึกว่าข้าวกลับไปแล้ว ดีนะที่ผมวิ่งหาข้าวรอบๆ ก่อนถึงได้เจอตัว ข้าวเป็นอะไรหรอ หลบหน้าผมทำไม ผมทำอะไรผิดหรอ”
“ไม่เป็น...ไม่...ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ปล่อยกูอยู่คนเดียวเถอะ”
“ไม่ได้หรอก ข้าวดูไม่สบายใจ ผมเป็นห่วงนะ”
“เลิกมายุ่งกับกูสักที!” ผมข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหว ตะเบ็งเสียงออกมาตะคอกใส่มันอีกครั้ง หลับตาก้มต่ำไม่มองหน้า กักขังน้ำตาเอาไว้ใต้เปลือกตา ภายในหัวหมุนติ้ว ผมสับสน เพราะผมรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป รู้ตัวเร็วเกินไป ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ พอถอยทัพออกมาหวังจะตั้งหลักใหม่ จู่ๆ เจ้าของปัญหาก็โผล่หน้ามาในช่วงที่ไม่พร้อมรับมือ ผมไม่มีสติพอที่จะโต้ตอบกับมัน
“...” ไอ้ฉางเงียบ ทว่าสองแขนของมันยังคงจับไหล่ผมไว้ไม่ให้ไปไหน ผมหนีไม่ได้ ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง จนผมกลืนน้ำตาลงคอไปได้ถึงยอมลืมตา พูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“มึงชอบกู เพราะกูแค่ตรงสเป็คมึงไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่”
“...แต่ก็ไม่ได้พิศวาสอยากได้กูเป็นคนรักนี่”
“ก็ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงกู!”
“ผมชอบข้าว อยากอยู่กับข้าวนี่ ผมต้องทำยังไง”
ผมหมดแรงจะพูดกับมัน คนใจร้ายหน้าตายนี่ทำร้ายผมได้อย่างเจ็บปวด มันทำร้ายผมโดยที่มันไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อหนีไปไหนไม่ได้ สุดท้ายหยาดน้ำตาที่พยายามฝืนกลั้นไว้ก็หยดลงมาบนแก้มผมหนึ่งหยาด กลั่นตัวออกมาทดแทนความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้าอย่างกลั้นไม่อยู่
“ข้าว...” ไอ้ฉางเสียงสั่น สีหน้าตกใจเผยออกมา ผมเบือนหน้าหนีมือมันที่เอื้อมมา
“ปล่อยกู”
เหนื่อยนะไม่ใช่ไม่เหนื่อย สู้กับหัวใจกับความรู้สึกตัวเองมาตลอดทั้งวันที่ผ่านมา พยายามหาจุดสิ้นสุดเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่กลับต้องมาเจอไอ้ฉางมาพูดอะไรไม่รู้จักคิดใส่แบบนี้
ในขณะที่ผมจะเอ่ยบอกให้มันพอ มันกลับเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“ผมชอบข้าว อยากอยู่กับข้าว กว่าจะเจอคนอย่างข้าวไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าการเป็นคนรักกันจะทำให้ผมได้อยู่กับข้าว ผมก็อยากเป็นนะ”
“...”
“สาเหตุนี้ใช่มั้ย”
“มะ...”
ผมพูดไม่ออก ทรมานเมื่อถูกแตะความลับในส่วนลึกของหัวใจ เบิกตาโพลงให้กับคำพูดก่อนหน้านั้นของมัน ไอ้ฉางรู้ว่าผมรู้สึกยังไง จู่ๆ มาเข้าใจอะไรตอนนี้
“ไม่ใช่” ผมเอ่ยประโยคปฏิเสธที่อ่อนแรงที่สุดในโลกใส่มัน
“ข้าวชอบผมใช่มั้ย”
“มึงเอาอะไรมาพูด!”
“ไม่รู้สิ ความรู้สึกมั้ง แล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง แววตาข้าวก็ด้วย...”
“...ไม่คิดว่ากูโกรธที่มึงพาผู้หญิงของกูไปบ้างหรือไง”
ผมรีบปัดข้อกล่าวหา พลันหาข้อแก้ตัว ไม่ได้อยากให้มันรู้ว่าผมรู้สึกกับมันอย่างนี้แล้วมันถึงสงสาร ยอมทำตามสิ่งที่ผมอยากให้เป็น หรือในทางเลวร้าย ผมกลัวว่ามันจะหลอกเอาความรู้สึกผมไปใช้
“ถ้าข้าวชอบเธอจริง ป่านนี้ข้าวคงรีบไปหาเธอแล้ว หรือไม่งั้นก็ต้องโทรหา ส่งข้อความ พยายามหาวิธีทำให้รู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง แต่ข้าวก็ไม่ทำ”
“...”
“ผมชอบข้าวนะ”
ผมไม่พูดอีกครั้ง หรือจะเรียกว่าพูดไม่ออกก็ไม่เชิง เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยมันถึงรู้ความรู้สึกผม เพราะผมตามเกมมันไม่ทัน โพล่งออกมาไม่รู้ตัว ไม่คิดหน้าคิดหลัง เปิดเผยเรื่องในใจออกไปทั้งที่ไม่ต้องการเลยแท้ๆ
“หยุดพูดสักที” ผมว่า เอ่ยคำสั่งขี้ขลาด หมายให้มันหยุดพูดจี้ใจจนทำให้ผมหาคำตอบไม่ได้
“ผมรู้ ข้าวไม่ชอบใจเรื่องที่ผมบอกว่าไม่ได้อยากเป็นคนรักใช่มั้ย”
“กูบอกให้หยุด”
“ผมหมายความตามนั้นแต่ก็ไม่ทั้งหมดนะ คนที่ผมถูกสเปคด้วยไม่ได้แปลว่าผมอยากเป็นคนรักเขาทุกคนนี่ อย่างฟิวเจอร์ผมก็ไม่เคยพิศวาสด้วย”
“...พอ”
“แต่กับข้าว ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตข้าวนะ ผมอยากอยู่กับข้าว ข้าวจำเป็นต่อผมนะ”
“หยุดพูดสักที”
“ที่ข้าวหายไปเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย ผมทำร้ายข้าวใช่มั้ย”
“กูบอกให้หยุดไง!”
“...”
ผมหลับตา ข่มอารมณ์อีกครั้ง ความคิดในหัวตีกันรอบที่พันล้าน ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผมแค่คิดมาตลอดว่าฉางชอบผม แต่จู่ๆ กลับไม่ใช่ ไม่ใช่ชอบอย่างที่ตัวเองคิด ตอนนั้นถึงได้รู้ตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับมัน พอตั้งใจจะถอยหนี มันกลับเดินเข้ามาพร้อมบอกว่าชอบผม ความรู้สึกเดียวกันกับผมที่มีต่อมัน
แล้วผมจะเชื่อได้ยังไง
สุดท้าย มันอาจต้องการแค่อยู่กับผม เพราะอะไรสักอย่าง ไม่ใช่อยู่เพราะความรู้สึกรักชอบจริง
ชอบของมันกับชอบของผมอาจจะคนละความหมาย...
“พอได้แล้ว”
ผมบอก เสียงบางเบาไร้น้ำหนัก สิ้นเสียงผม บรรยากาศแวดล้อมไปด้วยความเงียบ มีคนเดินผ่านข้างนอกซอยแคบเป็นพักๆ แต่ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศตรงหน้ากดดันน้อยลง
ผมจับข้อมือมันทั้งสองข้าง ดันออกหมายจะให้มันปล่อยตัวผมจากการกักขัง ฉางขยับตามอย่างว่าง่าย จนกระทั่งสองมือของผมปล่อยสองแขนของมันร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วง ขยับเท้าก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวกลับถูกคนตรงหน้าเข้ามาบดบังอีกครั้ง มันขยับตัวมาดันให้หลังผมชิดแพงเก่าโสโครก อีกครั้ง
ก่อนจะก้มลงประทับจูบ
อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมสะดุ้ง สองมือผลักอก ดันตัวมันให้ถอยออก ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นดังคาด เมื่อฉางขยับตัวรุกหนักกว่าเดิม สุดท้ายก็เผลอคล้อยตามจังหวะมัน มือที่ผลักไหล่เปลี่ยนเป็นโอบรอบคอ ตวัดเกี่ยวลิ้นที่สอดเข้ามา ดุนดันจนพันกันมั่วซั่ว
สับสน อ่อนโยน วุ่นวาย ล่องลอย
เพิ่งที่จะเข้าใจ จูบกับฉาง...ไม่เหมือนกับคนที่ผ่านๆ มา
ก่อนที่จะล่องลอยไปมากกว่านี้ เสียงฝูงคนนอกซอยแคบดึงสติให้กลับมา ผมรีบผลักมันออก เบิกตาโพลง ถลึงตาใส่มันอย่างเอาความ
“ข้าวชอบผมใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ได้ชอบ!”
“ถ้าข้าวเกลียดผม ป่านนี้ผมโดนต่อยไปแล้ว...”
สะอึก ผมกำหมัดทำท่าจะต่อยมันตามคำพูด ไอ้ฉางรวบแขนผมไว้ทัน กลับกลายเป็นผมจมอยู่ในอ้อมกอดมันอีกครั้ง
“ข้าวชอบผม ผมทำข้าวไปตั้งขนาดนี้แต่ข้าวก็ไม่ต่อย”
ก็จะต่อยอยู่นี่ไง!
“ถ้าผมไม่บอกข้าวคงไม่รู้ตัว จุ๊บ”
“ไอ้!”
ผมหน้าขึ้นสีทันทีเมื่อไอ้ฉางเอ่ยเสร็จพร้อมขโมยหอมแก้มผมไปหนึ่งที เอี้ยวตัวไปมองหน้ามันก่อนไอ้ฉางจะเผยรอยยิ้มประหลาด ผมพูดไม่ออกอีกครั้ง
“ข้าวน่ารักจัง”
ผมไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ทำไมเวลาเจอไอ้ฉางผมมีหลายความรู้สึกเหลือเกิน ตอนนี้เลยได้แต่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนมันอย่างน่าอนาถ
“ฉาง...มึง ปล่อยกูได้แล้ว”
“ยอมคืนดีกับผมก่อน”
“คืนดีเชี่ยอะไร”
“ก็ข้าวโกรธผมนี่นา”
“กูไม่ได้...” โกรธ รึเปล่าวะ จนตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้กับความรู้สึกตัวเอง ตอนแรกคิดว่ารู้สึกผิดหวัง ใกล้เคียงกับคำว่าอกหักเลยถอยออกมาทำใจ เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็หนีออกมานั่นแหละ แต่พอวันนี้มันดันมาทำตัวอย่างนี้ ผมไล่ตามความรู้สึกตัวเองไม่ทัน
มันบอกว่าชอบผม ทว่าผมไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดมันได้มากแค่ไหน
ที่เห็นก็มีแต่คำพูดกวนประสาท ที่เอาแต่ย้ำเรื่องความรู้สึกของผมซ้ำๆ
“ฮื่อ”
จนแล้วจนรอด ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ส่งเสียงร้องอย่างรำคาญใจ
“ปล่อยกูได้แล้ว”
“ไม่ปล่อยหรอก ผมรู้ว่าข้าวอยากให้ผมกอด ผมรู้ใจข้าวนะ”
เอาอะไรมาพูด! ผมดิ้นสุดแรงอีกครั้งเป็นคำตอบให้มันรู้ว่ามันคิดผิด ผมไม่ได้อยากสักหน่อยแล้วมึงก็ไม่ได้มารู้ใจกูด้วย
“ผมชอบข้าวนะ คบกันนะ”
“ชอบมึงคนละอย่างกับกู...”
“คนละอย่างยังไง ผมชอบข้าวแบบอยากอยู่ด้วย อยากให้มีความสุขไปด้วยกัน อยากมีข้าวในชีวิต ข้าวเองก็ชอบผมแบบนี้ไม่ใช่หรอ”
ผมเงยหน้าจ้องหน้ามัน ใช้ความเงียบและแววตาสื่อสารสักพักก่อนเอ่ย
“ก่อนหน้านั้นไม่ได้พูดอย่างนี้นี่”
“ข้าวจะให้ผมบอกว่าผมชอบข้าวแบบคนรักต่อหน้าเพื่อนข้าวเหรอ”
ผมเงียบ นึกคิดตามอย่างที่มันว่า ถ้าเขียนรู้...ไอ้ฉางคงไม่ได้มาอยู่ในสภาพนี้ พลันกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ เริ่มคล้อยตามคำพูดมันไปทีละนิดอย่างไม่น่าให้อภัย
“ตอนนั้นผมคิดว่าข้าวไม่ได้ชอบผมนี่ ก็เลยพูดไป”
“...กู...จะเชื่อมึงได้ยังไง” ว่าความรู้สึกมันเป็นของจริง ไม่ใช่พูดเพื่อเพียงอยากเกาะอยู่กับผม ทำตามความต้องการเห็นแก่ตัวของตัวเอง
“ผมไม่ได้ชอบคนง่าย ไม่เคยชอบใครจนถึงขั้นอยากอยู่ด้วยมาก่อนเลยนะ”
“...”
“ผมไม่รู้จะพูดยังไงให้ข้าวเชื่อ ผมอยากทำให้ข้าวดูมากกว่า แต่ข้าวต้องยอมคบกับผมก่อนนะ”
“แล้วกูจะกล้าคบกับมึงได้ยังไง คิดอะไรโง่ๆ”
“ถึงอย่างนั้น ที่ผ่านมาผมก็เอาแต่พยายามทำตัวติดข้าวมาตลอดไม่ใช่หรือ ข้าวก็รู้นี่ว่าที่ผมทำกับข้าวมันไม่ใช่เรื่องปกติของเพื่อนทั่วไป ข้าวคิดหรอว่าถ้าข้าวเป็นแค่คนที่ผมถูกใจเฉยๆ ผมจะทำขนาดนี้”
“เพราะหอกูอยู่ใกล้ม.นี่”
“บ้านผมก็ไม่ได้ไกลนักหรอก ขับมอไซค์แปบเดียวก็ถึง”
“...”
“ผมชอบข้าวจริงๆ นะ ชอบแบบที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใคร เชื่อผมนะ”
“...”
“เป็นคนรักให้ผมนะ”
“...”
คนรักกัน ฟังดูจริงจังกว่าคำว่าแฟนอีก
ผมหยุดดิ้น ความอัดอั้นที่อยู่ก้นบึ้งลึกสุดของหัวใจค่อยๆ ถูกมันช้อนขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองรักชอบผู้หญิงมาตลอด แต่ไม่เคยปฏิเสธได้เลยว่าทุกครั้งที่ไอ้ฉางสัมผัสหรือทุกครั้งที่เห็นมัน ได้อยู่กับมัน ผมรู้สึกดี... ไม่ได้รังเกียจอย่างที่นึก ไม่อยากยอมรับแต่มันก็ต้องเป็นไป ในเมื่อพยายามถอยห่างแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายพอมันมาอยู่ตรงหน้าก็ได้แต่ยอมมันอยู่เรื่อยไป
ถ้าเช่นนั้น การที่ผมจะไม่ปฏิเสธมันครั้งนี้ก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ผมไม่รู้ว่ามันคิดกับผมลึกซึ้งแค่ไหน ถึงอย่างนั้น...
กลับพยักหน้าแทนคำตอบ
XIII
ข้าวน่ารัก ข้าวน่ารัก น่ารัก น่ารัก
ผมคิดตั้งนานว่าข้าวโกรธผมเรื่องอะไร ข้าวโมโหง่ายพอๆ กับอ่านง่าย ไล่ต้อนนิดหน่อยข้าวก็โพล่งตัวบอกใบ้ออกมามากมาย ทั้งเรื่องที่ผมไม่ได้อยากได้เขาเป็นคนรัก ทั้งเรื่องผู้หญิงของข้าว ทั้งหน้าตา น้ำเสียง ความรู้สึกทุกอย่างของข้าวมันสื่อออกมาหมด
ผมเคยบอกไปอย่างนั้นก็จริง เพราะไม่คิดว่าข้าวจะคิดกับผมลึกซึ้งเช่นนี้ ผมรู้สึกกับข้าวอยู่แล้ว ไม่ได้พิศวาสใครง่ายๆ สักหน่อย ที่ผมนัวเนียกับข้าวก็เป็นคำตอบได้แล้วไม่ใช่หรือ ใช่ว่าผมจะพิศวาสผู้ชายด้วยกันทุกคนนี่
ถึงจะไม่เคยคบใคร แต่ตอนช่วยตัวเองผมก็ดูหนังโป๊ชายหญิงตามปกติ แค่ช่วงหลังๆ เปลี่ยนมาเป็นหน้าข้าว แค่นั้นผมก็รู้ใจตัวเองแล้ว
แต่เพราะไม่อยากให้ข้าวลำบากใจ รวมถึงเพื่อนข้าวก็นั่งอยู่ข้างๆ ให้ผมโพล่งไปว่าผมชอบเขา อยากอยู่กับเขา อยากเป็นเจ้าของเขามันก็ไม่ได้ ผมคงถูกเพื่อนข้าวกินหัวตาย เพื่อนข้าวเองก็ดูไม่ชอบผมเสียเท่าไหร่ เลยต้องพูดแบบนั้นไปก่อน แต่ก็ไม่คิดว่าข้าวจะเสียใจนี่ ผมไม่คิดว่าข้าวจะชอบผมในเร็วๆ นี้ด้วยซ้ำ
ตั้งใจจะตะล่อมข้าวแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน คิดว่าข้าวคงรู้สึกกับผมเข้าสักวัน ถ้าข้าวไม่ชอบ ผมก็จะทำให้ข้าวชอบผมให้ได้อยู่ดี แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้
ข้าวน่ารัก ใจดี คนชอบข้าวคงเยอะไม่เบา ถึงได้ทำตัวไร้ยางอายตามติดข้าวอยู่อย่างนี้ มอบสิทธิพิเศษให้ตัวเองอย่างถือวิสาสะเพื่อจะได้กันคนอื่นไม่ให้มายุ่งกับข้าว
อย่างที่เคยบอก กว่าจะเจอคนอย่างข้าวไม่ใช่เรื่องง่าย ใช่ว่าผมจะต้องอยากอยู่กับทุกคนแบบข้าวเสียหน่อย คนที่ทำให้ผมนอนหลับได้สนิทและปลุกผมได้มีแค่เขาเท่านั้นแหละ ผมถึงต้องรีบคว้าจับข้าวไว้
แม้จะหงุดหงิดเรื่องเขียนที่มานอนทับที่ของผม หงุดหงิดที่ข้าวไปเที่ยวผู้หญิง ทั้งข้าวที่โดนแต่งแต้มกลิ่นน้ำหอมฉุนจมูกจากคนอื่น สูญเสียกลิ่นอันคุ้นเคยของข้าวไป ไหนจะความรู้สึกที่ไม่ชอบเอาเสียเลยเวลาไม่มีข้าวอยู่ แม้จะไม่ถนัดไล่ตามใครแต่เพราะอยากให้ข้าวเป็นของผม ถึงได้ตามตื๊ออย่างนี้
ผลลัพธ์ก็ออกมาน่าพอใจไม่น้อยนะ
ต้นข้าวที่หน้าแดงอยู่ในอ้อมกอดของผมทำเอาแทบบ้า
อยากกอดให้ข้าวจมหายไปในตัวผมเลย
ผมคลายอ้อมกอดออก จับข้าวหันหน้าเข้าหาตัวเอง ข้าวหน้าแดงเถือกอย่างน่ารัก มุดลงไปในอ้อมกอดผม อยากกัดให้จมเขี้ยว ผมหุบยิ้มไม่ไหว อยากกลับห้องไปเชยชมข้าวใจจะขาด จึงขยับปากเอื้อนเอ่ย
“กลับห้องข้าวกันนะ”
“...ห้องอะไรนะ”
“ห้องข้าวไง”
“ห้องใครนะ”
“ห้องข้าวไง..”
“ไหนว่ารู้ใจกูไง...”
ผมชะงัก นิ่งนึกก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“...ห้องเรา”
ข้าวตอบกลับมาด้วยยิ้มกว้าง
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
ยิ้มกว้างๆ : )
ข้าวเป็นคนธรรมดา มีความคิดพื้นฐานเหมือนคนทั่วไปส่วนใหญ่
คิดว่าแต่ละคนคงมีวิธีรับมือด้านความรักแตกต่างกัน
แต่เพราะข้าวต้องมาเจอกับความเพี้ยนๆ ของฉางก็คงจะตามไม่ทันอยู่บ้าง
อาจจะด่วนสรุปง่ายไป ถึงยังไง พอรู้ใจตัวเองแล้ว ดันใจตรงกันกับคนที่ชอบอีก
คงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธให้มันยืดเยื้อ
ตั้งใจจะสื่อประมาณนี้แหละค่ะ

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ