ไม่นานเกินรอ ตำแหน่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะที่แขกพิเศษนั่ง มุมที่ตั้งฉากกั้นลมลวดลายนางฟ้าฉางเอ๋อหยอกเย้ากระต่ายน้อย บนโต๊ะมีกู่เจิงยี่สิบเอ็ดสายตั้งตระหง่าน เสี่ยวเอ้อเดินนำมือพิณหนุ่มที่อายุไม่เกินยี่สิบกว่าปีเข้ามา ลักษณะรูปร่างเป็นสุภาพชนหน้าตาหมดจดผู้หนึ่ง คนเรียกร้องจะเอาดนตรีประกอบการรับประทานชำเลืองสายตาเร็วๆ ไปมองคนร่วมโต๊ะที่ขยับมือกินต่อเหมือนไม่สนใจ
ดนตรีน่ะอยากฟังอยู่เหมือนกัน แต่เป้าหมายของนายน้อยผู้นี้มิใช่มือพิณคนนี้เสียหน่อย นายน้อยผู้นี้อยากสดับรับฟังดนตรีจากคุณชายเจ้ามือเลี้ยงข้าวต่างหากล่ะ!
เสียงนุ่มนวลของกู่เจิงดังขึ้นเมื่อนักพิณหนุ่มเริ่มบรรเลงพรมนิ้วมือไปบนสายมากมายนั้น แม้จะมิใช่เป้าหมายแต่เมื่อได้ยินเสียงบรรเลงบทเพลงเล่อหรงก็ค่อยๆ ยืดตัวหลับตาตั้งใจซึมซับทุกเสียงที่เรียงร้อยขับขาน เพลงที่นักดนตรีบรรเลงอยู่นี่เป็นบทเพลงรักหวานเบาๆ เกี่ยวกับคนผู้หนึ่งที่ถูกคนรักไถ่ถามว่ารักเขามากเพียงใด บทเพลงอ่อนหวานเข้ากับกู่เจิงที่มีเสียงหวานละมุน เล่อหรงลืมตาจ้องมองไปยังนักพิณคนนั้นพร้อมกับแย้มยิ้มอ่อนหวาน
“ฝีมือใช้ได้”
นักพิณหนุ่มที่ตั้งใจบรรเลงรับรู้ถึงสายตาที่จ้องตรงมาที่เขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาเข้ากับดวงตาสีทองอำพันราวกับอัญมณีคู่นั้นก็พลันเล่นสะดุด หัวใจกระตุกวูบยามที่เห็นรูปโฉมของคนที่ส่งยิ้มหวานเสียยิ่งกว่าเพลงที่เขากำลังเล่นอยู่
จังหวะที่เล่นพลาดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้างดงามก็พลันละลาย มือพิณหนุ่มกลับมาตั้งสมาธิจดจ่อที่กู่เจิงตรงหน้าและบรรเลงต่อไป ระหว่างนั้นก็แอบลอบมองเด็กน้อยที่ตั้งอกตั้งใจฟังเพลงที่เขาบรรเลง ริมฝีปากพลันแย้มยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นอีกฝ่ายโยกตัวตามจังหวะ
รักเจ้ามากมายกว่าดาวบนนภา รักมากมายกว่า...
“กินข้าว”
ในตอนที่เล่อหรงฮัมบทเพลงไปตามดนตรีเสียงกระด้างก็เอ่ยแทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คนที่กำลังซึมซับความสุนทรีย์เอียงหน้าไปมองเจ้าภาพเลี้ยงข้าวที่หน้าตึงเรียบราวกับมีผู้ใดขึงไว้ เอ่ยเตือนเหมือนไม่มีอะไร แต่เสียงกลับแข็งทื่ออย่างปิดไม่มิด ดูท่าคุณชายท่านนี้จะขี้หึงมิใช่น้อยเลย!
วะฮ่า~ ถูกใจนายน้อยผู้นี้นักละ
ข้าจะปั่นหัวเจ้าให้หมุนจนอ้วกไปเลย คอยดู!
“ข้าชอบคนเล่นดนตรีได้”
ว่าแล้วก็หยอดยั่วไปสักหน่อย
เล่อหรงยังคงไม่สนใจอาหารบนโต๊ะ ดวงตามองไปยังนักดนตรีหนุ่มไม่ละสายตา โยกร่างกายไปตามจังหวะเพลงพร้อมกับยิ้มกระจ่างใสเต็มใบหน้า สักพักก็แอบชำเลืองมองอาการของคนร่วมโต๊ะที่ไม่รู้หยุดกินตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาสีเทาคู่นั้นจ้องมองไปยังนักดนตรีเขม็งราวกับจะทิ่มแทงให้ทะลุทะลวง
มารตัวน้อยแสยะเขี้ยวลอบยิ้มอย่างพอใจ
นี่แน่ะ! เจ้าหึงจนจะแยกเขี้ยวแล้วนะคุณชาย
ไม่รู้ว่ามือพิณคนนั้นมีเจตนาใดบทเพลงต่อมาก็ยังเป็นเพลงรักหวานหยาดหยดเช่นเดิม ท่วงทำนองอ่อนหวานสื่อถึงเรื่องราวของบุรุษผู้หนึ่งที่เอาแต่คิดถึงโฉมงามจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงต้องถ่อร่างกายไปยืนเฝ้าหน้าบ้านของสตรีที่รักคร่ำครวญเพลงรักนี้ขึ้นมา ฝีมือบรรเลงกู่เจิงไม่นับว่าย่ำแย่อันใด พอฟังรื่นหูไปได้ แต่เพื่อกระตุ้นกองไฟแกล้งใครบางคนเล่นเล่อหรงจำใจแสร้งชมชอบออกหน้าออกตา เขาชมไม่หยุดปากประกอบกับมือพิณคนนั้นชะเง้อชะแง้ส่งสายตามาให้
“เสี่ยวเอ้อ เอาไปให้เขา” เล่อหรงตบถุงเงินข้างเอวตกรางวัลเป็นทองคำก้อนโตที่ทำให้เสี่ยวเอ้อและมือพิณตาวาวแสง จากนั้นก็แกล้งเพลิดเพลินกับเสียงบรรเลงกู่เจิงไม่สนใจสิ่งใดอีก ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็ลอบมองคนร่วมโต๊ะว่ามีอาการอันใดบ้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงปกติ
“กินข้าว มัวแต่ฟังดนตรี อาหารเย็นชืดหมดอร่อยกันพอดี”
“อืม” ส่งเสียงรับแต่ไม่ขยับมือแต่อย่างใด
“หากยังไม่หันมากินสักคำ ข้าจะไล่มันไปไม่ต้องฟัง” คราวนี้น้ำเสียงนั้นเพิ่มความกดดันยิ่งขึ้น เล่อหรงหันกลับมายิ้มให้แวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งราวกับต้องการท้าทาย
เหวินเหลยวางตะเกียบลง เขาหันไปมองมือพิณหนุ่มที่เล่นกู่เจิงไปชม้อยสายตาให้แก่เพื่อนร่วมโต๊ะตัวน้อยของเขาไปด้วย เป็นท่าทางที่ดูขัดหูขัดตาพอๆ กับบทเพลงที่แม้แต่คนฟังไม่สำเนียงไม่ออกเช่นเขายังทราบว่ามันเป็นเพลงรัก ช่างเป็นบทเพลงที่ชวนสำรอกนัก! อารมณ์ที่จะกินต่อหดหายไปพร้อมๆ กับอยากลุกไปตะบันหน้ามันให้หงาย
“พอแล้ว ออกไป!” เด็กหนุ่มตวาดเสียงดัง เสียงแฝงไปด้วยถ้อยคำทรงอำนาจน่าเกรงขาม
เสี่ยวเอ้อและนักพิณผู้โชคร้ายสะดุ้งเฮือก เสียงกู่เจิงหยุดลงกลางคัน นัยน์ตาสีเทาดุและเริ่มแผ่กลิ่นอายชวนขนลุก ทั้งสองหวาดกลัวดังมุสิกรีบกระวีกระวาดออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเทาดุร้าย และเด็กน้อยผมสีทองที่แสร้งถอนหายใจเฮือกๆ แกล้งเสียดาย ไม่สำนึกว่าตนนั้นเกือบเป็นต้นเหตุให้สองชีวิตถึงฆาต
“ชอบมันมากหรือ?” เสียงถามเย็นเยือกผิดปกติ
ใบหน้าคมคายหล่อเหลาเกินวัยเริ่มตั้งเค้ากลายเป็นพายุ แม้จะพยายามเตือนตัวเองว่าอย่าทำเสียแผน แต่กระนั้นเขาก็อดทนไม่ไหว ไม่เคยมีครั้งใดที่ถูกเมินเช่นครั้งนี้เลย ด้วยรูปร่างหน้าตาท่วงท่าอ่อนโยนที่ตั้งใจลวงล่อไม่เคยมีเหยื่อรายใดเมินเฉยต่อเขา ยิ่งให้เงินทองของล้ำค่าก็ยิ่งง่ายดายขึ้นไปอีก แต่เหยื่อตัวน้อยรายนี้กลับเอาแต่สนใจชื่นชมเจ้านักดนตรีนั่นจนแทบจะลืมอาหารบนโต๊ะที่ต้องการมาลิ้มรสชาติในคราแรก
“อ้อ ฝีมือยังไม่เข้าขั้น” เล่อหรงส่ายหน้าตอบจากใจจริง แล้วหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวราวกับไม่เชื่อคำตอบของเขา
มือน้อยสีน้ำผึ้งจับตะเกียบยื่นไปคีบเนื้อปลาลูกเต๋าราดพริกขึ้นไปยื่นให้คนตรงข้าม อ้าปากทำท่าจะป้อนให้อย่างเอาใจ เหวินเหลยขมวดคิ้วมองเนื้อปลาที่ถูกคะยั้นคะยอแล้วตวัดสายตาจ้องหน้าคนป้อนที่ยิ้มตาหยีพยักพเยิดให้กิน เขาพ่นลมหายใจแล้วจำยอมกินเข้าไป เล่อหรงยิ้มแล้วเอ่ยต่อ
“อันที่จริงข้าอยากฟังเจ้าเล่นมากกว่า”
องค์รัชทายาทหนุ่มหยุดชะงักก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดที่จ้องหน้าเขาด้วยดวงตากลมโตสีทองอำพันเปล่งประกายวิบวับอย่างคาดหวัง เขาเม้มปากทำเมินไม่สนใจ จับตะเกียบกินข้าวต่อเงียบๆ
ให้เขาเล่นไอ้นั่นน่ะหรือ? เหอะ! ขนาดฟังยังนับครั้งได้ จะให้เล่นคงเป็นไปไม่ได้ บรรเลงพิณมีไว้ให้เพียงแค่พวกสตรีและคุณชายหน้าขาวเล่นเท่านั้นแหละ เขาเป็นถึงรัชทายาทไม่เคยสนใจจะแตะมันสักนิด พูดง่ายๆ ก็คือ...ข้าเล่นไม่เป็นเฟ้ย!
เมิน เมินกันเฉยเลย!
เล่อหรงมองคนตรงหน้าที่ลงมือกินข้าวต่อแทบไม่มองหน้าเขาหลังจากที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น อะไรเล่า แค่ขอให้เล่นกู่เจิงเท่านั้น ทำแค่นี้มิได้หรือไรกัน? เจ้ากำลังจีบข้าอยู่เพราะฉะนั้นต้องเสนอตัวไปเล่นสิถึงจะถูกตามเรื่องตามราว มิใช่นั่งกินเป็ดต่อเช่นนี้! นายน้อยโหยวมึนงงกับการกระทำของอีกฝ่าย เขานั่งกอดอกทำหน้าบูดบึ้งจ้องกดดันหนักหน่วง เลิกกินแล้วไปเล่นกู่เจิงเสียที เจ้าบ้านี่! หากยังเล่นตัวข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ!
“ข้าเล่นไม่เป็น”
เห็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักจ้องจะกินเลือดกินเนื้อเช่นกัน เหวินเหลยก็ข่มความอายที่ผุดขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบบอกความจริงออกไป ใบหน้าอดร้อนผะผ่าวมิได้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกว่าการเล่นดนตรีไม่ได้มันน่าอาย แม้จะได้ยินว่าพี่น้องต่างมารดาเล่นเครื่องดนตรีได้ดีเพียงไรเขาก็หาได้กระตือรือร้นใส่ใจ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดยามนี้เขากลับอับอายนัก
เหวินหลิ่นเล่นกู่เจิง เหวินจิ่นเล่นกู่ฉิน เหวินเสวี่ยเล่นผีผา กระทั่งเหวินถงก็ยังเชี่ยวชาญเครื่องเป่า งานเฉลิมพระราชสมภพที่ผ่านมา เหวินเสวี่ยกับเหวินถงบรรเลงผีผาประสานเสียงเซียวถวายเสด็จพ่อ ส่วนตัวเขาทำไม่ได้เช่นนั้น ยามนั้นเขายังทำแค่แค่นเสียงใส่ และรอชมหายนะของพวกมันที่ทำตัวโดดเด่นอยู่กลางแจ้งอย่างโง่เง่า ไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น
แต่ไฉนเวลานี้กลับต้องมากระอักกระอ่วนเพราะ... เหยื่อตัวน้อยนี่ด้วย?
“ข้าไม่เชื่อ! คุณชายตระกูลเล็กเพียงใดก็ต้องเล่นเป็นสักเพลง แต่เจ้าไม่อยากเล่นใช่หรือไม่? ไยต้องโกหกเช่นนั้นด้วย ไม่อยากเล่นก็แค่บอกออกมาตามตรงสิ”
“ข้าไม่ได้โกหก”
แล้วมันเรื่องอันใดที่ต้องถูกกล่าวหาเช่นนี้ด้วย เขาหรืออุตส่าห์ข่มความอับอายบอกความจริงออกไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเชื่อเสียนี่ จริงอยู่ที่ว่าบุตรหลานคนมีชาติตระกูลต้องเชี่ยวชาญศิลปะทั้งหกศาสตร์ (มารยาท ดนตรี ธนู ขับขี่ หนังสือ และคำนวณ) แต่นั่นมิใช่เขาที่ไม่ชอบเรียน คาบเรียนดนตรีก็มีอยู่แต่รัชทายาทผู้นี้หนีเรียนมันทุกครั้ง พออาจารย์จะอ้าปากพูดว่ากู่เจิงรัชทายาทผู้นี้ก็กระโจนออกจากห้องแล้ว จะไปมีเล่นได้อย่างไร?
“ผู้ใดเชื่อเจ้าก็โง่เต็มทน” หนูน้อยผมทองดังเส้นไหมทำงอแงไม่ยอมเชื่อท่าเดียว ดวงตาคู่สวยยังเริ่มแดงระเรื่อคล้ายจะร้องไห้ที่โดนขัดใจ ทำเอาเหวินเหลยอับจนปัญญา เขาถอนหายใจตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปยังกู่เจิง เด็กหนุ่มเม้มปากนั่งลงมองกู่เจิงตรงหน้าประหนึ่งมันเป็นของน่าขยะแขยง
“เจ้าต้องใส่ปลอกนิ้วก่อนสิ ประเดี๋ยวก็โดนบาดหรอก” เสียงเล็กๆ เตือนเข้ามา เหวินเหลยเรียกเสี่ยวเอ้อกลับมา ไม่นานเขาก็เตรียมพร้อมกับการเล่นกู่เจิงครั้งแรกในชีวิต รัชทายาทหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองเครื่องดนตรีตรงหน้า หากจ้องแล้วมันเล่นเองได้เขาคงจะจ้องมันทะลุไปนานแล้ว
เนิ่นนานเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กน้อยที่จ้องมองมาอย่างคาดหวัง ในใจอดจะวูบไหวมิได้ บัดซบ! หากข้าเล่นไม่เอาอ่าวจะโดนเด็กสบประมาทหรือไม่? รู้เช่นนี้ศึกษาไว้บ้างก็น่าจะดี เสียงปรบมือดังจากเด็กน้อยเจ้าปัญหาเร่งให้รัชทายาทหนุ่มแสดงฝีมือ เขากัดฟันกรอด หลับตาทบทวนสิ่งที่นักพิณก่อนหน้าเล่นไว้
เสียงกู่เจิงจังหวะแรกดังขึ้นเล่อหรงที่ตั้งใจรอฟังอยู่แล้วลืมตาขึ้นทันที เสียงที่ดังออกมานั้นบ่งบอกว่าคนเล่นลังเล เสียงต่อๆ มาก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเฉกเช่นมือใหม่หัดบรรเลง แม้จะแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นมือใหม่จริงๆ ที่บอกว่าเล่นไม่ได้นั้นเป็นความจริงมิใช่แค่เลี่ยงบอกปัด
แม้กู่เจิงจะดังกระท่อนกระแท่นไม่เป็นเพลงแต่เล่อหรงก็ไม่ได้อารมณ์เสียอันใด อีกฝ่ายเป็นมือใหม่คงคาดหวังอันใดไม่ได้มาก เขานั่งฟังไปกินข้าวไป สักพักคิ้วสีอ่อนก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
เสียงกระจัดกระจายของกู่เจิงเริ่มฟังเป็นจังหวะเป็นเพลงมากขึ้น ที่ชวนให้ตกใจมากกว่านั้นทำนองนี้ฟังคล้ายกับเพลงแรกที่นักพิณคนนั้นเล่น และไม่นานมันก็เข้าที่เข้าทางกลายเป็นเพลงเดียวกันกับที่นักพิณคนนั้นเล่นไว้ ฟังเพียงเสียงราวกับนักพิณคนนั้นนั่งเล่นเอง มิใช่คุณชายที่เอ่ยปากว่าเล่นไม่เป็นเป็นคนเล่น เล่อหรงหันกลับไปมองเห็นเด็กหนุ่มผู้สวมอาภรณ์สีครามคนเดิม
เป็น...เป็นไปได้ยังไง!?
เมื่อครู่ยังราวกับมือใหม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้กลับเล่นได้คล่องเชียว!
เล่อหรงนั่งนิ่งสดับฟังอย่างตั้งใจ มองตาไม่กะพริบ ท่าทางการวางมือนั้นชัดเจนว่ามือใหม่หัดเล่นแน่นอน แต่ยิ่งเล่นก็ยิ่งคล่องแคล่วสะบัดความลังเลในคราแรกไปอย่างหมดจด บทเพลงแรกจบไปเพลงต่อมาเริ่มบรรเลงต่อ และเป็นเพลงที่นักพิณคนนั้นเล่นเป็นลำดับที่สอง
ทำไมเขาถึงเล่นเพลงเหมือนนักพิณคนนั้นเล่า?
....อ๊ะ หรือว่า....!?
เล่อหรงตัวชาวาบ ดวงตาของเขาเบิกตาอย่างตกใจ มองอีกฝ่ายเล่นอย่างเก้ๆ กังๆ ในคราแรก และเหมือนกับรอบแรกยิ่งเล่นยิ่งนิ่งมากขึ้น ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ในใจเกิดความรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมา
บัดซบ บัดซบ บัดซบบบบบบ!
มองแค่ครั้งเดียวเจ้าก็เล่นได้แล้วงั้นรึ? บัดซบ แล้วความอุตสาหะพากเพียรของผู้อื่นคืออันใดกัน เล่อหรงนึกถึงตอนที่เขาถูกเคี่ยวเข็ญให้ฝึกฝนเล่นดนตรีชนิดต่างๆ อยู่แรมปี ฝึกมันจนแทบกระอักเลือด เล่นซ้ำๆ จนสองตาคั่งเลือด ถึงแม้หลังจากนั้นเขาจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูง ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่นั่นก็แลกมาด้วยความยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่คนผู้นี้กลับทำได้เพียงแค่มองและฟังแค่ครั้งเดียว!
หัวใจของนายน้อยผู้นี้ราวกับมีเลือดไหลซิกออกมา
เจ็บปวดเหลือทน
หากข้าถูกเรียกว่าอัจฉริยะ แล้วคนผู้นี้นับว่าเป็นตัวอันใด ปีศาจรึ!?
“เล่นไม่ได้เรื่อง! ออกไป ข้าจะแสดงให้เห็นว่ายอดฝีมือเป็นเช่นไร”
เล่อหรงทนไม่ไหวอีกต่อไป หากยังให้อีกฝ่ายเล่นต่อไปเขาจะต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นผลักเหวินเหลยออกไป แย่งปลอกนิ้วมาสวมแล้วปีนไปเก้าอี้ตรงหน้ากู่เจิง
เด็กน้อยสูดลมหายใจตั้งสมาธิก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลงระดับสูงที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุด ต้องใช้ทักษะการเล่นทั้งห้า ดีดควบ กวาดเสียง ดีดลูกไล่ ดีดรัว ดีดไล่ระดับ สื่อถึงความรุนแรงของพายุ หยดน้ำฝน ความสงบหลังพายุ และเกิดพายุอีกครั้ง เป็นเพลงที่มือใหม่ไม่มีทางเล่นได้แน่นอน เป็นเพลงที่ระดับปรมาจารย์ใช้แสดงฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์อย่างไรล่ะ
นายน้อยโหยวใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงบทเพลงนี้ เป็นพายุกราดเกรี้ยวพัดทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งถึงช่วงหลังพายุก็ฟังนุ่มนวลแจ่มใสส่งผลให้จิตใจคนฟังสงบลงจริงๆ และช่วงที่พายุกลับมาอีกครั้งก็โหมกระหน่ำไม่หยุด มือน้อยกวาดผ่านเส้นไหมฟั่นแล้วหยุดมือลงจบบทเพลงอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
เล่อหรงพ่นลมหายใจออกมาอย่างปลอดโปร่งเมื่อระบายความเครียดลงไปในบทเพลง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ใช้การบรรเลงดนตรีเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดมาตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน สักพักใหญ่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด เล่อหรงเงยหน้ามองไปรอบๆ ที่มีดวงตานับหลายสิบคู่จ้องมองมา จากนั้นเขาก็สะดุ้งตกใจกับเสียงปรบมือชื่นชมจากมวลชนที่ไม่รู้ว่าแห่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรดังสนั่นไปทั่วเหลาห่าวชือ
เด็กน้อยที่ถูกชื่นชมมิได้ดีใจแม้แต่น้อย เขากลับทำหน้าสิ้นหวังเสียนี่
ข้าโมโหจนลืมตัว!
“ขนาดข้าไม่แตกฉานก็ยังฟังรู้ว่าฝีมือร้ายกาจนัก!”
“ไม่เคยได้ยินบทเพลงที่โหมกระหน่ำดังพายุเช่นนี้มาก่อน ฝีมือล้ำเลิศ!”
“อายุยังน้อยแต่กลับเป็นยอดฝีมือ อัจฉริยะโดยแท้!”
เสียงชื่นชมดังระงมไม่หยุด กระแสความตื่นเต้นปนตื่นตระหนกทำให้เล่อหรงเม้มปากยุ่งยากใจ เขาหันไปมองคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างๆ หนำซ้ำยังไม่มีท่าทีตื่นเต้นแววตาเลื่อมใสเทิดทูนเขาเหมือนคนอื่นๆ ร่างน้อยโผเข้าไปกอดเกาะแทบจะมุดเข้าไปในตัวอีกฝ่าย หลบหนีจากฝูงชนที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากเข้ามาทำความรู้จัก
เหวินเหลยโอบร่างนั้นประหนึ่งจะปกป้อง เขากวาดดวงตาสีเทาที่เวลานี้ดูดุร้ายน่ากลัวกว่าปกติ เด็กหนุ่มแสยะยิ้มขับไล่มวลชนที่เข้ามารุมล้อมอย่างไร้เสียง บรรยากาศรอบตัวขององค์รัชทายาทนั้นหนักอึ้งและชวนสะพรึงยากจะล่วงเกิน ยิ่งอีกฝ่ายเหยียดยิ้มที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตก็ยิ่งทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน พวกเขากลืนน้ำลายแล้วรีบแยกย้ายกันกลับที่ของตนก่อนที่เหล่าเสี่ยวเอ้อของเหลาจะไล่ด้วยซ้ำ
ไล่กลุ่มคนไปได้แล้วเหวินเหลยก็ก้มมองลิงน้อยที่เกาะเขาไม่ยอมปล่อย ดวงหน้างดงามเงยขึ้นมามองทั้งที่ยังมุดอยู่บนอกของเขา ดวงตากลมโตสีทองสวยช้อนตามองพร้อมกับพึมพำอ้อนเสียงหวาน
“หิวแล้ว”
....เจอแบบนี้เข้าไป ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทแคว้นฉิงก็ไม่รอด!
คนตัวสูงกว่าหัวใจวูบไหวก่อนจะอุ้มอีกคนกลับไปโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่มากมาย คราวนี้เด็กน้อยยอมกินแต่โดยดีไม่มีอิดออด ทั้งยังโยนที่นั่งมานั่งข้างกัน ชี้นิ้วสั่งให้คนตัวโตกว่าปรนนิบัติป้อนให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เล่อหรงทำเพียงนั่งรออ้าปากแล้วเคี้ยวเท่านั้น ฝ่ายเหวินเหลยก็ไม่มีขัดขืน แค่ถูกอ้อนหน่อยมือไม้ก็เคลื่อนไหวไปเองโดยไม่รู้ตัวเห็นอะไรบ้างไหมทุกท่าน? นั่นไง! แววทาสเมียมาแต่ไกล!
สองคนนี้ต่างฝ่ายต่างตั้งใจจะหลอกกันเอง
ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะพลาดพลั้งก่อน ที่แน่ๆ มีเจ็บทั้งสองอะ หึๆ
ยอมรับว่าตั้งใจมาหลอก~ ทุกคำที่บอกล้วนแต่หลอกล้วนแต่ลวง~ //เพลงสมัยไหนฟะ