ตอนที่ ๐๒ นี่มิใช่การเกี้ยวพาราสีแต่อย่างใด“แค่เด็กคนเดียวยังจับตัวมาไม่ได้?” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนตั่งแค่นเสียงขึ้นจมูก ดวงหน้าคมคายประดับยิ้มที่อ่านยาก นัยน์ตาสีเทาเย็นเยียบชวนขนลุกทอดมองข้ารับใช้ที่ได้รับบาดแผลสะบักสะบอมไปทั้งตัว เขาเหวี่ยงพัดในมือลงพื้น ข้ารับใช้ผู้ทำภารกิจล้มเหลวคุกเข่ากดใบหน้าลงต่ำ ไม่ปริปากใดๆ ยอมรับผิดที่ปฏิบัติภารกิจล้มเหลวแต่โดยดี ไม่ว่าแก้ตัวอย่างไรก็ถูกลงโทษอยู่ดี สู้รีบรับผิดไม่ทำให้เจ้านายต้องขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ดีกว่าแก้ตัวออกไป
องครักษ์เงาได้แต่ทอดถอนใจ ผู้ใดมันคาดคิดว่าเด็กน้อยอายุสิบกว่าปีจะร้ายกาจขนาดล้มเหล่าองครักษ์เงาที่มีฝีมือทั้งกลุ่มลงในชั่วพริบตาเช่นนั้น พูดไปแล้วเขาเองยังไม่อยากเชื่อ พวกเขาทั้งหมดล้วนมีพลังเกือบแตะขั้นเจ็ดต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่เด็กน้อยผู้หนึ่ง คิดแล้วก็อับอายยิ่ง อยากแทรกแผ่นดินหนีแทบแย่แล้ว
เหวินเหลยมองสีหน้าละอายใจกึ่งอับอายขององครักษ์เงาแล้วพ่นลมหายใจออกแรงๆ ทั้งผิดหวังและผิดคาดไม่ต่างจากอีกฝ่าย มือเรียวที่หยาบกร้านไม่น้อยยื่นไปยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบระงับโทสะหัวร้อน ยอดฝีมือที่สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมากลับสู้กระทั่งเด็กผู้หนึ่งมิได้เช่นนี้จะให้เขาเบิกบานใจได้อย่างไร ช่างไร้ประโยชน์ เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวสุกเสียเปล่าๆ กระมัง
ส่วนเด็กผมทองดังไหมทองคำผู้นั้นถึงกลับเอาสยบยอดฝีมือทั้งกลุ่มลงด้วยตัวคนเดียวได้ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญ ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้ขอบถ้วยน้ำชาไปมา ให้ตายเถิด ทั้งรูปลักษณ์ทั้งฝีมืออันร้ายกาจที่แม้กระทั่งองครักษ์ของเขาต่อกรมิได้เช่นนี้ยิ่งทำให้อยากได้มายิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่ตัดใจจากของที่ต้องการง่ายดายเพียงเพราะพลาดพลั้งเพียงครั้ง ของที่ต้องการต่อให้ยากเย็นเพียงใดก็ต้องได้มันมาเอาไว้ในมือจงได้
“จงไปรับโทษที่เรือนลงทัณฑ์ด้วยตนเอง จากนั้นจงตามสืบเรื่องของคนผู้นี้มาให้แก่เรา” องค์รัชทายาทเหวินเหลยวางถ้วยชาลงครุ่นคิดบางอย่างในหัว ก่อนจะโบกมือสั่งเสียงราบเรียบไม่ใส่ใจนัก
เสียงโขกศีรษะดังขึ้นพร้อมกับองครักษ์เงารับคำสั่งอย่างโล่งอกที่ผ่านพ้นวิกฤตเสี่ยงอันตรายนี้ไปได้ แม้ว่าจะถูกลงโทษหนักเพียงใดแต่ก็ยังดีกว่าหมดลมหายใจแล้วนั่นแหละ เขารีบทำความเคารพพร้อมกล่าวคำลาเดินออกไป พริบตาเดียวก็หายไปจากครรลองสายตาของเจ้านาย
รอบข้างเงียบเชียบไร้เงาคน เด็กหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งนุ่มแล้วไขว้แขนไปด้านหลังเดินออกไป ฝีเท้าไม่รีบเร่งมากนัก พอเดินออกมาด้านนอกตำหนักซึ่งมีเหล่าข้ารับใช้เฝ้าอยู่ ทันทีที่เจ้านายปรากฏตัวพวกเขาเหล่านั้นก็รีบคุกเข่าก้มหน้าทำความเคารพ เหวินเหลยโบกมือแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินต่อไป
ขายาวขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นฉิงก้าวนำหน้าข้ารับใช้ที่ต่างวิ่งสาวเท้าตามมาติดๆ เขาขึ้นไปนั่งเกี้ยวที่ตระเตรียมไว้นอกหน้าตำหนักแล้วขบวนเดินทางก็เคลื่อนออกไปทันที ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าตำหนักโอ่อ่าแห่งหนึ่ง ตำหนักที่ประทับของตงฮองเฮา พระมารดาขององค์รัชทายาท เด็กหนุ่มลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปในตำหนัก เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็ชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ซุบซิบกันระหว่างทำความสะอาดมุมอับสายตา
“ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสี่ได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาทอีกแล้ว ช่างเป็นเด็กที่เปี่ยมพรสวรรค์โดยแท้ ทำสิ่งใดล้วนแล้วแต่ดีเยี่ยมไปเสียหมด เฮ้อ! ดูเอาเถิด บุตรชายได้ดีมารดาย่อมได้ดีตาม กุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานมากมาย ต่างจากฮองเฮาที่มีเพียงตำแหน่งสูงสุดกว่าเพียงเท่านั้น อำนาจในมือสู้กุ้ยเฟยยังมิได้”
เหวินเหลยหยุดยืนฟัง สีหน้าเย็นยะเยือก หากมิใช่ว่ามีชื่อของมารดาและเขาอยู่ในประโยค ไหนเลยผู้เป็นขึ้นองค์รัชทายาทเช่นเขาจะใส่ใจถ้อยคำของพวกบ่าวไพร่
“นั่นน่ะสิ หนำซ้ำองค์รัชทายาทยังด้อยกว่าองค์ชายสี่อย่างเห็นได้ชัด เป็นเช่นนี้บ่าวรับใช้เช่นพวกเราจะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้หรือ? พูดไปแล้วข้าก็อิจฉาพวกมันนัก เจ้านายได้หน้าได้ตาก็พากันเชิดหน้าจมูกชี้ฟ้า อย่าให้ถึงคราข้าบ้างก็แล้วกัน”
“ถึงคราเจ้า? แล้วมันเมื่อใดกันเล่า อย่าพูดให้ขำเลย ดูอย่างไรองค์รัชทายาทก็ไม่อาจรุ่งโรจน์ก้าวหน้าดังเช่นองค์ชายสี่เป็นแน่ เฮ้อ เกิดเป็นบ่าวไพร่ก็แย่พอแล้ว ยังต้องมาเป็นบ่าวไพร่ของเจ้านายไร้ค่าด้อยวาสนาอีก น่าเศร้ายิ่งนัก”
“นั่นสินะ อย่าว่าแต่องค์ชายสี่เลย แม้แต่องค์ชายองค์อื่นยังมีหน้ามีตา องค์ชายรองสุภาพอ่อนโยนน่าเลื่อมใส องค์ชายสามเชี่ยวชาญกลอนกวี องค์ชายสี่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ องค์ชายห้าสง่างามน่ามอง องค์ชายหกเองก็กำลังน่ารักน่าเอ็นดู องค์รัชทายาทกลับไม่มีอันใดให้ฮ่องเต้โปรดปรานสำราญพระทัย หนำซ้ำยังทำตัวเหลวไหลไม่ใส่ใจการเรียนใด เช่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไรกัน?”
ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ แย้มยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะเสียงเบาในลำคอ เสียงหัวเราะของเขาทำให้เหล่าข้ารับใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังเหงื่อกาฬแตกพลั่ก หวาดผวาแทนบ่าวรับใช้ปากพล่อยพวกนั้นที่ยังไม่รู้ตัว อยากจะแล่นไปกระโดดเตะพร้อมตวาดให้หุบปากเสียที ไม่รู้รึว่าเทพเจ้าแห่งความตายยืนหายใจรดต้นคออยู่ จนใจจะช่วยเหลือพวกเขาได้แต่ภาวนาขอให้พวกมันเคยทำบุญสร้างกุศลมาบ้าง จะได้บันดาลให้พวกมันรอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจร้าย แต่ดูท่าคงไม่มีผลบุญผลกุศลที่ว่า เพราะหากมีพวกมันคงไม่โชคร้ายเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว!
“ชางกงกง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชางเต๋อสะดุ้งเฮือก ผวาตัวก้าวเท้าไปขานรับเสียงเบา
เหวินเหลยเอี้ยวตัวมามองขันทีคนสนิท สายตาคมกริบคู่นั้นน่าพรั่นพรึงชวนขนหัวลุกตวัดกลับไปมองบ่าวรับใช้ที่ยามนี้ไม่เห็นแม้เงาหัว สายตาบ่งบอกว่า ‘พวกมันได้ตายไปแล้ว’ เพียงการเคลื่อนไหวง่ายๆ ชางเต๋อก็เข้าใจเจตนาของเจ้านาย ด้วยรับใช้มาตั้งแต่เด็กหนุ่มยังอ่อนวัยเป็นเพียงองค์ชายน้อยจนจวบกระทั่งเติบใหญ่ดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท อย่างไรเสียย่อมล่วงรู้ความในใจของเจ้านายผู้นี้ไม่มากก็น้อย จางเต๋อค่อมเอวประสานมือรับคำสั่งสีหน้าเคร่งขรึมแล้วปลีกตัวไปจัดการธุระนั้นทันที เหวินเหลยไม่แม้แต่จะเหลือบแลซ้ำ ก้าวเดินต่อด้วยสีหน้าน่ากลัวที่ทำให้เหล่าผู้ติดตามหายใจติดขัด
อารมณ์ที่ขุ่นมัวอยู่ก่อนแล้วยิ่งเลวร้ายเมื่อมาได้ยินเรื่องระคายหูเข้า เขาน่ะหรือสู้เหล่าน้องชายต่างมารดามิได้? เหอะ! ผู้ใดอยากโอ้อวดศักดาก็เชิญทำให้เต็มที่เถิด สุดท้ายพวกมันก็ต้องก้มหัวอันสูงส่งของพวกมันแก่เขาอยู่ดี! เหวินเหลยเค้นเสียงเยาะหยัน นัยน์ตาสีเทาเย็นยะเยือก ให้พวกมันแสดงปาหี่กันต่อไปเถิด ยิ่งกระเสือกกระสนมากเท่าไรเขายิ่งสำราญใจมากขึ้นเท่านั้น!
ด้วยความคุ้นเคยไม่ต้องรอคำสั่ง เขาเชื้อเชิญตนเองให้เดินอาดๆ เข้าไปในตำหนัก ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มในชุดสีเหลืองทองเดินทะลุเข้าไปในชั้นในของตำหนัก ข้ารับใช้เพียงชำเลืองมองก่อนจะหลุบสายตาต่ำพร้อมกับคุกเข่าทำความเคารพเมื่อเห็นเป็นผู้ใด เหวินเหลยเข้าไปปรากฏตัวที่โถงนั่งเล่น ดวงตาสีเทาที่แข็งกระด้างพลันอ่อนละมุนขึ้นเมื่อทอดมองไปยังสตรีร่างบอบบางที่สวมใส่อาภรณ์สีเรียบๆ ผู้เป็นมารดา
“ถวายบังคมเสด็จแม่”
“...จริงๆ เลยลูกคนนี้นี่ เดินดุ่มๆ เข้ามาเช่นนี้กลัวผู้คนไม่ตกใจจนตายใช่หรือไม่?” ตงฮองเฮาหันไปมองโอรสที่โผล่พรวดเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำให้เหล่านางกำนัลคนสนิทของนางสะดุ้งตัวโหยง นางส่ายหน้าเอือมระอาก่อนจะเอ่ยค่อนแคะบุตรชายด้วยท่าทีอ่อนใจ โผล่มาแต่ละทีหวิดทำคนเฒ่าคนแก่หัวใจวาย เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเหลือบมองนางกำนัลคนสนิทของมารดาที่รีบก้มหน้าก้มตาถอยหลังผละจากไปอย่างรู้ความ เหลือเพียงหญิงชราผมขาวผู้หนึ่งนั่งชิดบนตั่งที่นั่งของตงฮองเฮา เหวินเหลยเดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งบนตั่งเดียวกับมารดา
“จวีมามาน่ะหรือจะตกใจ? ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาสีหน้าจวีมามาก็มิเปลี่ยนไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“แหม ฝ่าบาทก็กล่าวเกินไป มีเรื่องที่ทำให้หม่อมฉันสีหน้าเปลี่ยนอยู่เหมือนกันนะเพคะ” ผู้ถูกกล่าวหาค้านขึ้น จวีมามาที่มีสีหน้านิ่งขรึมเจ้าระเบียบพูดเสียงราบเรียบไม่แพ้ใบหน้า รอยยับย่นบนหน้าแทบไม่กระดิกราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น สายตาจริงจังเจ้าระเบียบตวัดมององค์รัชทายาทที่นางเลี้ยงดูตั้งแต่ยังแบเบาะ ด้วยเหตุนี้นางถึงอาจหาญต่อปากต่อคำด้วยได้ ตงฮองเฮายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยรอชมจวีมามาปากคมกริบปะทะโอรสเจ้าปัญหาเงียบๆ
เหวินเหลยยกยิ้มรอฟัง ในใจเริ่มระแวงว่าอีกฝ่ายจะโจมตีเข้ามาทางใดในครั้งนี้ พูดเกริ่นมาขนาดนี้ย่อมต้องหาเรื่องตำหนิเขาไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่งเป็นแน่ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องใดเพราะเขาดันชอบก่อปัญหาไว้หลายเรื่องเสียด้วย จวีมามาส่งสายตาแฝงไอเย็นและความเข้มงวดไปให้เด็กหนุ่มผู้มีศักดิ์สูงกว่าพร้อมกับกล่าวน้ำเสียงเรียบๆ
“วันใดที่มิได้เห็นฝ่าบาทหลบหนีออกจากวังหลวงวันนั้นหม่อมฉันยังแย้มยิ้มเบิกบานใจยิ่งเป็นแน่”
เหวินเหลยหัวเราะรับถ้อยคำประชดประชัน ชัดเจนว่าเรื่องที่เขาหนีไปเที่ยววันนี้รู้มาถึงหูพระมารดาแล้ว ไม่อย่างนั้นจวีมามาผู้เคร่งระเบียบจะเอ่ยออกมาได้อย่างไร เด็กหนุ่มกลอกตาไปมาพลางลอบถอนหายใจ แต่กระนั้นเขาก็มิได้ปฏิเสธคำกล่าวหา ก็เพราะเขาหลบหนีออกไปนอกวังตามที่ถูกกล่าวหาจริงๆ เหวินเหลยพยักหน้ารับไม่สะทกสะท้านที่ถูกจับได้ มิหนำซ้ำยังเอ่ยรับหน้าตาเฉย
“น่าสน หากวันใดเรามิได้หลบออกไป จะต้องหาเวลามาชมใบหน้ายิ้มเบิกบานของจวีมามาอย่างแน่นอน”
“เพคะ” จวีมามาไร้คำจะเอ่ย นางสะบัดหน้าตอบกลับเสียงแหลม
“ดูเถิด งอนแล้วหรือ? สตรีอายุมากงอนง่ายเสียจริง มิใช่สาวๆ เราไม่ง้อหรอกนะจวีมามา” เหวินเหลยหยอกเย้าอีกประโยคทำเอาจวีมามาที่ถูกห้อยป้ายว่าแง่งอนง่ายสะบัดค้อนอีกวง รัชทายาทหนุ่มน้อยหัวเราะเบาๆ เอียงใบหน้ามองสีหน้าขบขันของมารดาที่กลั้นหัวเราะจนตาหยี รอยยิ้มของเด็กหนุ่มก็กว้างขึ้นอีกนิดที่เห็นมารดาเบิกบานใจ
“เราเพียงล้อเล่น จวีมามายังสาวยังสวยเพียงนี้ ไหนเลยจะเรียกว่าแก่ได้” บุรุษหนึ่งเดียวในห้องหันกลับไปเอ่ยถ้อยคำหวานประจบเอาใจหญิงแก่ผู้เคยเลี้ยงดูตนในวัยเยาว์ เสียงทุ้มเล็กๆ บ่งบอกว่าเขาเริ่มเข้าสู่วัยเจริญเติบโตแล้ว
“วันนี้จวีมามาทำขนมใดงั้นรึ?”
“เป็นวุ้นเหมยกุ้ย” มิใช่จวีมามา แต่เป็นตงฮองเฮาที่ให้คำตอบ
“จวีมามา เมื่อครู่เรานั้นคึกคะนองปากไปเอง อย่าได้ถือสาคำพูดของเราเลย จวีมามายังสาวยังสวย นานวันยิ่งเยาว์วัยขึ้นเรื่อยๆ สาวรุ่นไหนเลยจะเทียบเทียมได้... เอาละ เราจะกินวุ้นได้หรือยัง?”
จวีมามาสีหน้าอ่อนลงเมื่อเด็กหนุ่มทอดเสียงนุ่มนวล แต่ก่อนที่นางจะใจอ่อนไปมากกว่านี้ก็ถูกอีกฝ่ายตีแสกหน้ากลับมาอย่างจัง สตรีวัยกลางคนผู้ที่เลี้ยงดูมารดาจนกระทั่งบุตรชายอีกคนถูกหยอกเย้าจนหัวหมุนก็ถอนหายใจปลงตกออกมา ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลสาวรุ่นไปนำขนมที่เตรียมไว้ออกมา เท่านั้นองค์รัชทายาทก็ยิ้มประจบชมซ้ายชมขวาจนหญิงชราผมขาวทั้งศีรษะส่งค้อนกะหลับกะเหลือกด้วยความหมั่นไส้
เป็นภาพชวนขบขันที่ทำให้คนเห็นต้องอมยิ้ม ตงฮองเฮาหัวเราะเบาๆ มองดูโอรสที่ทำตัวสมวัยยากหาได้ยาก หากมิใช่อยู่ตรงหน้านางหรือหญิงชราผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่ตัวเท่ากำปั้นอย่างจวีมามา ไหนเลยจะได้เห็นองค์รัชทายาทมีสีหน้าและท่าทางเอาแต่ใจและออดอ้อนเป็นเด็กเช่นนี้ได้ หากไม่มีฐานะบรรดาศักดิ์เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ผู้หนึ่งคงไม่ต้องคอยปั้นแต่งเร่งเติบใหญ่กว่าวัยเช่นนี้ ถ้านางมิได้แต่งเข้าราชวงศ์... น่าเสียดายที่เป็นไปมิได้ นางแต่งให้แก่บุรุษที่ทรงอำนาจที่สุดในแคว้น ไหนเลยจะมีชีวิตตามครรลองทั่วไปได้
“ก่อนหน้าที่ลูกจะมาเสด็จแม่กำลังทำอันใดอยู่รึพ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม อ่านจดหมายจากสหายที่มิได้เจอกันนานนมแล้ว”
เหวินเหลยยกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นดวงตาสีเทาดุจดังตนประกายแวววับเปี่ยมสุข สหายอย่างนั้นหรือ? มารดาของเขามีสหายที่เขียนจดหมายหากันด้วยอย่างนั้นหรือ? ที่ผ่านมาแทบจะไม่กล่าวถึงคนสนิทชิดเชื้อ แม้กระทั่งญาติทางตระกูลเดิมนางก็ยังไม่แสดงท่าทางสนิทสนมเช่นนี้ ที่แท้แล้วสหายผู้นี้คือผู้ใดกันแน่? แม้เหวินเหลยจะแปลกใจและใคร่รู้แต่ก็ไม่ได้ไถ่ถามเซ้าซี้ ตงฮองเฮาเองก็มิได้เล่าอันใด ทั้งสองปล่อยหัวข้อนี้เลยผ่านไปกับอากาศ
จานขนมที่จวีมามาเป็นผู้ลงมือทำเองถูกนางกำนัลหน้าตาน่ามองนำมาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นพวกนางก็ชงน้ำชามากาหนึ่งรินเติมใส่จอกพร้อมสรรพ เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ ในใจแช่มชื่นเมื่อมองขนมหน้าตางดงามประณีต รู้ได้ทันทีว่าคนทำต้องเอาใจใส่และตั้งใจทำขึ้นมามากเพียงใด จวีมามามักจะลงมือทำขนมไว้ให้แก่เขาโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าตัวเขานั้นเป็นผู้ชื่นชอบการกิน มิผิด รัชทายาทผู้นี้เป็นนักชิมนักกินตัวยง แถมยังมีรสนิยมลิ้นสูงส่ง หากรสชาติไม่ได้เรื่องไม่มีทางฝืนใจกลืนลงท้อง
หลังจากอยู่พูดคุยกับมารดาจนตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้วเหวินเหลยก็ขอตัวกลับวังตงกง ซึ่งเป็นที่อยู่ของเขาตั้งแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการ เมื่อครั้นกลับมาถึงเขาก็ตรงไปยังห้องนอนเปิดประตูไม่ให้ผู้ใดเข้ามารับใช้ ตอนที่เอนกายพิงพนักบุนวมนุ่มร่างเงาดำสายหนึ่งก็ผลุบลงมาจากขื่อด้านบน สีหน้าอบอุ่นเจือยิ้มนิดๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบชั่วพริบตา มือที่หยาบกร้านโบกอนุญาตให้อีกฝ่ายพูด
“ทูลฝ่าบาท คนผู้นั้นพักอยู่โรงเตี๊ยมเหอเสี่ยงพ่ะย่ะค่ะ เพิ่งเข้าพักวันนี้ เขาเดินทางเข้าเมืองมาพร้อมคาราวานพ่อค้าแคว้นฉู่ โดยอ้างเหตุผลว่าเดินทางมาท่องเที่ยว”
“โรงเตี๊ยมเหอเสี่ยง? ดูท่าจะมีฐานะไม่เบา” เหวินเหลยพยักหน้ารับรู้ ยกคิ้วข้างหนึ่งด้วยความแปลกใจ ปลายนิ้วเคาะพนักวางแขน โรงเตี๊ยมเหอเสี่ยงเป็นโรงเตี๊ยมที่ได้ชื่อว่าหรูหราโออ่า ค่าพักสูงเสียจนคนธรรมดาสามัญแค่เดินผ่านยังเสียดายเงิน แม้แต่ขุนนางตระกูลใหญ่ต่างแดนยังคิดแล้วคิดอีกที่จะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยคนหนึ่งถึงกับเข้าพักไม่เสียดายเงินทองเช่นนี้ แต่เอาเถิด นับว่าโชคเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เพราะที่แห่งนั้นเป็นโรงเตี๊ยมที่เป็นสินเดิมของมารดาของเขาเอง ตอนนี้มันกลายเป็นสมบัติของเขาที่มารดายกให้เมื่อครั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท
นี่เรียกว่า...ชะตาต้องกันใช่หรือไม่?
“ฝ่าบาท จะให้กระหม่อมไปจับตัวมาเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เหวินเหลยกระดกลิ้นหนึ่งทีแล้วเบนสายตาไปตำหนิไร้เสียง องครักษ์หนุ่มสะดุ้งเฮือก ตัวชาและเย็นเยือกไปทั้งร่าง ไม่นานสายตาคมกริบคู่นั้นก็เก็บกลับไป โง่เง่านัก เหวินเหลยไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่มีลูกน้อยเบาปัญหาเช่นนี้ ขนาดตามไปจับตัวยังถูกจัดการยกกลุ่ม คิดหรือว่ามันไปคนเดียวจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้ มิหนำซ้ำหากพลาดเหยื่อก็เอะใจแล้วไว้ตัวทันกันพอดี ไม่รู้ว่าเพราะถูกโบยจนหัวทื่อหรือโง่มาตั้งแต่กำเนิดกันแน่ เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจ ชำเลืองสายตามองคนใต้อาณัติที่ก้มหน้าต่ำเมื่อพูดไม่เข้าหูเจ้านาย ในใจแอบหวั่นไม่น้อยว่าจะถูกลงโทษอีกรอบ
ถูกเจ้านายจ้องอยู่นานองครักษ์เงาก็รู้สึกตัว ครั้งนี้เขาเริ่มหัวไวขึ้นมาบ้างแล้ว รีบรายงานเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึก
“กระหม่อมได้สั่งให้คนจับตามองอย่างใกล้ชิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากมีการเคลื่อนไหวใดจะรีบมารายงานในทันที”
“ดี ไปได้แล้ว”
พอตกเย็นก็มีรายงานความเคลื่อนไหวของเป้าหมาย
เหวินเหลยเลิกคิ้วแปลกใจ ไหนเลยจะคาดคิดว่าเด็กน้อยผมทองผู้งดงามคนนั้นจะเข้าบ่อนพนัน สถานที่อโคจรเช่นหอฟาไฉ ชื่อฟาไฉ(มีโชคลาภ/ร่ำรวย)ก็จริงแต่คนเข้าไปกลับไม่ร่ำรวยอย่างชื่อแสนมงคลนั้น ตรงกันข้ามยิ่งอยู่นานก็ยิ่งห่างไกลคำว่าร่ำรวย บังเอิญอีกครั้งที่หอฟาไฉนั้นเป็นกิจการลับของเขา
แน่ละว่าต้องลับมาก หากมีคนดีเพียบพร้อมคุณธรรมทราบว่ารัชทายาทของแคว้นเปิดสถานที่มอมเมาประชาชนย่อมก่อเรื่องยุ่งยากตามมา ถึงจะไม่ใส่ใจชื่อเสียงนักแต่เพราะเกียจคร้านเกินไปที่จะสนใจถึงได้ปกปิดไว้เป็นอย่างดี ไม่เปิดก็ทรยศต่อใจที่โลภมากดวงนี้เกินไปน่ะสิ โทษเจ้าของบ่อนเช่นเขาฝ่ายเดียวก็มิได้ หากไม่มีความอยากเข้าไปไหนเลยจะเสียเงินทองในกระเป๋า ไม่เพียงแค่บ่อนพนัน เหลาสุรา หอคณิกาเขาก็มีไว้ครอบครองเช่นกัน เพียงแค่ไม่เปิดเผยต่อผู้ใดเท่านั้น แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้ายังไม่ทราบ กิจการของเขาจึงแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแจ้งและส่วนลับ หลงจู๊ที่ดูแลกิจการก็แบ่งแยกออกจากกันชัดเจน แม้จะมิได้ร่ำรวยออกหน้าออกตาแต่ก็นับว่าพอมีฐานะจับจ่ายคล่องมืออยู่บ้าง
หลังจากรู้การเคลื่อนไหวของเป้าหมายเหวินเหลยก็หลบออกจากวัง มานั่งซุ่มมองคนงามตัวน้อยที่หอฟาไฉ มองทุกท่วงท่าเพ่งจนดวงตาแนบติดกับตัวของอีกคน พูดได้คำว่าเพลินตายิ่ง ไม่เพียงแค่เส้นผมสีทอง แม้แต่ดวงตาก็ยังเป็นสีทอง ช่างแปลกตานัก ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์งดงาม ท่าทางสีหน้าเหล่านั้นก็น่ามองไม่แพ้กัน ยิ่งพิศก็ยิ่งสนใจ อยากได้มาครอบครองจนปากคอแห้งผากไปหมด
เหวินเหลยเฝ้ามองเด็กน้อยวาดท่ากอดอกเชิดหน้ามั่นอกมั่นใจ ลงเดิมพันแต่ละตาจัดหนักชนิดไม่เกรงใจใคร ท่าทางจะร่ำรวยมิใช่น้อยจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงเข้าพักโรงเตี๊ยมเหอเสี่ยงที่แพงที่สุดในเมืองหลวงมิได้ แถมยามนี้ยังมานั่งเบ่งวางท่าใหญ่โตอยู่ชั้นบนสุดของหอฟาไฉอีก หอฟาไฉมีทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเป็นผู้มีหลักค้ำประกันน้อยได้แก่ชาวบ้านทั่วไป ชั้นสองหลักประกันสูงขึ้นซึ่งเหล่าคหบดีพ่อค้าทั่วไปจะเล่นในชั้นนี้ สุดท้ายชั้นบนสุดมีเพียงแต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ขุนนางยศสูงศักดิ์ใหญ่ที่สามารถเข้ามาชั้นนี้ได้ เพราะพวกเขามีเงินมากพอที่จะใช้เป็นหลักประกันเข้ามาได้
ผ่านไปเป็นสิบตาแต่เด็กคนนั้นก็ยังชนะเดิมพันจนคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันหน้าเขียวคล้ำ โต๊ะเดิมพันโต๊ะอื่นถึงกับหยุดเล่นเข้ามามุงดูอย่างสนอกสนใจ แม้แต่เหวินเหลยเองก็ยังอดจะสนใจมิได้ หากบอกว่าโชคเข้าข้างก็เข้าข้างเกินไปหน่อย ชนะกวาดตั๋วเงินไปมากกว่าหลายร้อยตำลึงทองเช่นนี้ต้องเรียกว่าเป็นเทพเจ้าโชคลาภมาเองแล้ว ขณะที่ชมความครึกครื้นด้านนอกเหวินเหลยไม่ลืมส่งสายตาไปให้คนของเขา ผู้คุมบ่อนก้มศีรษะคำนับก่อนออกไปทำตามแผนที่วางเอาไว้เพื่อจับเหยื่อมาให้แก่เจ้านาย
เฝ้ามองอยู่เนิ่นนานเห็นว่าแผนการนี้ชักไม่เข้าท่า สีหน้าของเหยื่อดูจะไม่หวาดกลัวหรือกังวลใจใดๆ ตรงกันข้ามออกจะเบื่อหน่ายเสียแล้วซ้ำ ราวกับการถูกกล่าวหาว่าโกงนั้นไม่ใช่เรื่องหนักหนา เหวินเหลยตัดสินใจเดินออกไปเพื่อใช้แผนอีกแผนก่อนที่เหยื่อจะสยายปีกหนีไป และโชคดีที่ตัดสินใจได้ถูกจังหวะกลายเป็นวีรบุรุษช่วยคนงามได้ทันถ่วงที เขาฉวยโอกาสสานสัมพันธ์อย่างรวดเร็วแต่เด็กคนนั้นกลับมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนที่จะคลี่ยิ้มงดงามราวกับบุปผาบานสะพรั่ง
เสี้ยวเวลานั้นรัชทายาทหนุ่มคล้ายจะหน้ามืดไปวูบหนึ่ง ลมหายใจก็ติดขัด ทุกสิ่งอย่างราวกับหยุดนิ่งไปพร้อมๆ กับลมหายใจของเขา มีเพียงข้างในอกซ้ายที่ขยับเต้นตุบตับเร็วผิดปกติ แต่ไม่นานเขาก็เก็บกู้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว งุนงงหน่อยๆ กับอาการผิดปกติเมื่อครู่ มิใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นคนงามมาก่อน มิหนำซ้ำยังคล้ายเห็นมามากจนเอียน อีกฝ่ายก็แค่แปลกตาแตกต่างเล็กน้อยเท่านั้น มีอันใดให้ตื่นเต้นกันเล่า
“เจ้ากำลังเกี้ยวข้าอยู่รึ?”
เกี้ยวงั้นรึ? อ่า... ไม่น่าจะใช่!
รัชทายาทหนุ่มแอบหัวเราะดูแคลนเล็กน้อย
ไร้สาระ ผู้ใดเกี้ยวกัน หาโอกาสฉุดอยู่ต่างหาก!
เขาปฏิเสธหน้าและเสียงราบเรียบ อีกฝ่ายดูเหมือนจะเก้อเขินทำตัวไม่ถูก แก้มนวลน้ำผึ้งนั้นแดงระเรื่อดังผลผิงกั่ว(แอปเปิล) เหวินเหลยจ้องมองไม่วางตา ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาอยากยื่นมือไปหยิกเสียจริง ก่อนที่จะยั้งมือที่คันหยุกหยิกมิได้ก็มีเสียงของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินเข้ามาขวางเสียก่อน ดวงตาสีเทาพันคมกริบดุจกระบี่ปาดไปมองอย่างดุดัน ก่อนจะค่อยๆ คลายความเข้มลงเมื่อรู้ว่าคนที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ในตอนที่เขากำลังวางใจอยู่นั้นเด็กน้อยผู้อับอายจนก้มหน้างุดก็บอกลาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เอ่ยถามชื่อแซ่ร่างผอมบางก็จ้ำเท้าไปไกลเสียแล้ว
เหวินเหลยชะงักงันได้แต่มองตามไปอย่างเสียดาย สักพักใหญ่ค่อยสะบัดแขนเสื้อเดินกลับเข้าไปข้างในหอฟาไฉ
มีต่อ