รอร้อรอว่าเมื่อไหร่จะถึงรี1000ก็ไม่มีคนมารี ไม่ถึงซักที
ถ้าเป็นคนอื่นคงแบบว่า ไม่สิบรีไม่ลง แต่เราอยากลงก็ลง
บอกแล้วไง ไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนรีก็จะลง
ไหนๆก็เริ่มไปแล้วนี่นา ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด ถ้าขึ้นเขาก็จะต้องเข็นครก
ไปๆๆ ไปอ่านกันต่อ เดี๋ยวจะบ้าไปกว่าเดิม อ้อ..เหมือนเดิมค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกัน
***************************************************
#11เช้าของสองเรา
จากการเดินทางที่ยาวนานหลายร้อยกิโล หรือจากกิจกรรมนอกสถานที่ที่ทำไปเมื่อคืนก็ไม่รู้ครับ ทำให้ผมหลับสนิทเป็นตาย ถ้าให้คะแนนระหว่างเรื่องทั้งสองเรื่องผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจะทำให้หมดแรงไปได้มากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆทั้งสองเรื่องก็ทำให้ผม “ถึง”เชียงใหม่ทั้งคู่ แหะๆ
อากาศเย็นๆตอนเช้าๆของเมืองเชียงใหม่ปลุกให้ผมตื่นแต่เช้าอีกแล้วครับ เสื้อผ้าบางเบาที่ผมใส่เมื่อคืนช่วยกันความหนาวเย็นอะไรไม่ได้มาก นอกจากกันไม่ให้อุจาดเพราะนอนโป๊เท่านั้นเอง พอผมขยับตัวไปมาก็ติดร่างกายพี่ต่ายที่นอนอยู่ข้างๆ ผมเลยเบียดตัวเข้าหาพี่ต่ายเพื่อหาความอบอุ่น พี่ต่ายเหมือนจะรู้ก็เลยเอามือมาโอบกอดผมโดยอัตโนมัติ
ผมซุกหน้าเข้าที่หน้าอกพี่ต่ายใจหนึ่งก็อยากตื่น แต่อีกใจยังไม่อยากลุกแอบกังวลใจว่ากิฟจะมารับตอนไหน ผมกวาดตามองไปรอบๆเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี เมื่อคืนแทบไม่ทันได้มองหรือสังเกตอะไรเลยจริงๆ เสร็จกิจกรรมที่ว่าหลับไปตอนไหนยังไม่รู้เรื่องเลย เพิ่งเห็นว่านอกจากเตียงสี่เสาแล้วมุ้งที่ผูกอยู่ผมยังไม่ได้ใช้เลย มุ้งที่ว่าไม่ได้ครอบด้านบน ยังสงสัยว่ามีเพื่ออะไร
เพื่อตอบสนองความอยากรู้ของตัวเองผมเลยขยับตัวจากพี่ต่ายไปค่อยๆปลดมุ้งที่ผูกอยู่สี่ด้านของเตียง ข้างที่อยู่ฝั่งผมก็ง่ายๆไม่มีปัญหาอะไร แต่ฝั่งพี่ต่ายผมต้องพาดตัวข้ามตัวพี่ต่ายไป พี่ต่ายคงจะหนักเพราะตัวผมก็ไม่ใช่เล็กๆ
“โอมทำอะไรครับ” พี่ต่ายดึงแขนผมไว้เมื่อเห็นผมตะกายไปมา
“ผมจะเอามุ้งลง สวยดี อยากเห็นว่าเอาลงมาหมดแล้วจะเป็นยังไง” พี่ต่ายยิ้มซะตาหยี หัวเราะเบาๆ
“ยังไม่เข็ดกับมุ้งอีกเหรอโอม ที่อัมพวาก็ทีนึงแล้วนะ จำไม่ได้เหรอไง หึหึ”
ผมนึกขึ้นได้แล้วก็ขำ “ฮ่าๆๆ จำได้ซิพี่ทุกลักทุเลน่าดู ทีแรกผมนึกว่าเราจะทำมุ้งเค้าขาดด้วย”
“ก็ใช่อีก แล้วยังไม่จำนะเรา” พี่ต่ายนอนหัวเราะไม่รู้ขำอะไรนักหนา
ผมหน้าแดงพอนึกขึ้นได้ว่าเราทำอะไรกันคืนนั้น เลยบ่นๆว่า“แต่วันนี้ไม่เหมือนกันนะพี่ต่าย นี่เราอยู่ข้างในแล้วทั้งคู่” พี่ต่ายยิ้มกริ่มทำตาวิบวับใส่ผม จนผมต้องเอากำปั้นทุบลงไปที่อกพี่ต่าย “ยิ้มทำไม ชอบยิ้มแบบนี้ทุกที”
“อุ๊บส์...เจ็บนะโอม อะไรกันยิ้มก็ไม่ได้”พี่ต่ายคว้าเอากำปั้นผมไว้ไม่ให้ทุบต่อ
“ใครบอกโอมล่ะว่าไม่เหมือนวันนั้น..........”ผมได้แต่กลืนน้ำลายพอพี่ต่ายพูดจบ
“......”ตายอ่า ไม่น่าเลยกรู ไปชี้ช่องให้กระต่ายมันจะวิ่งเข้าโพรงกรูอีกละมั๊งเนี่ย เมื่อคืน “ถึงเชียงใหม่”ไปตั้งกี่รอบยังไม่พออีกเหรอเนี่ย พี่ต่ายดึงตัวผมมาแล้วกอดไว้เริ่มจูบที่แก้มแล้วเรื่อยไปที่คอ ไซ้ไปที่หู เมื่อริมฝีปากพี่ต่ายกัดผมที่หุเบาๆผมขนลูกซู่ แล้วรีบเบี่ยงตัวหนี “ไม่เล่นแต่เช้านะพี่ต่าย”
"ใครว่าพี่เล่น..เอาจริง..ของจริง..ไม่มีสตันท์..ไม่มีตัวแทน"ฮือๆ ฟังพี่ต่ายพูดซิครับกลายเป็นจาพนมไปแล้ว
ผมยังเอามือดันตัวพี่ต่ายออกต่อไป “เดี๋ยวกิฟมารับแล้วนะ…อื้อ..ไปอาบน้ำกันเหอะ” เมื่อคืนก็กินอะไรไปนิดเดียว ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนกันเนี่ย พี่ต่ายไม่สนใจที่ผมพูดเลยยังคงคลอเคลียอยู่ตามลำคอผม
“ให้กิฟรอไป..เสร็จ..แล้วค่อยอาบทีเดียว....อื้อตัวยังหอมอยู่เลย”
ท่าทางผมจะไม่พ้นมือพี่ต่ายแน่ๆ ไม่น่าไปนัวเนียเลย ผมพยายามกลิ้งตัวออกจากอ้อมกอดพี่ต่ายอีกครั้งเผื่อจะรอด คลุกวงในกันไปมาสักครู่หนีไปก็ขำไปทั้งคู่ได้หัวเราะกันแต่เช้าแววรอดรำไรๆ แต่พอตะกายไปเกือบพ้นเตียงพี่ต่ายกลับดึงขาผมไว้อีก
“พี่ต่ายปล่อยผมนะ...ปล่อย”ผมพยายามตีกรรเชียงเตะขาไปมาจะว่ายให้พ้นจากเตียงมันยากเย็นเหลือเกิน ไอ้ความกว้างความหนืดของเตียงไม่เท่าไหร่ ลำบากก็ไอ้หนวดปลาหมึกที่พันแข้งพันขาอยู่ต่างหาก พอผมจะหลุดได้พี่ต่ายกลับดึงกางเกงผมไว้ “นี่แน่ะจะไปไหนพ้น...หึหึ”
“เฮ้ยๆๆๆ...หลุดดดแล้ว..ไม่เอาไม่เล่น...พี่ต่ายยยบ้า..” ผมจะโวยต่อตัวพี่ต่ายก็โถมทับผมมาทั้งตัวแล้วครับ ตัวไม่ใช่เล็กๆ ผมเริ่มจุก หนักไปหมดขยับตัวไม่ได้เลยเว้นแต่แขนที่พยายามว่ายอยู่ รู้สึกเหมือนเป็นนักมวยปล้ำกำลังโดนคู่ต่อสู้ทับอยู่ รอก็แต่กรรมการจะมานับสิบให้ผมรอดกลับมาสู้ใหม่
“พี่ต่ายมันหนักนะ..เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอ ฮือๆๆ” ผมยังคงนอนยันปฎิเสธพี่ต่ายอย่างแข็งขัน
“เมื่อคืนไม่เห็นบ่นหนักเลย ....หืมมม”พี่ต่ายประคองหน้าผมให้หันหน้ามาแล้วหยุดเสียงบ่นของผมด้วยรอยจูบ ลิ้นของพี่ต่ายรุกเร้าเข้าไปในโพรงปากผม แล้วผมก็ตกอยู่ในวังวนของความต้องการพี่ต่ายอีกครั้งจนได้ ใจผมสั่นหวิวไปหมด ผมรู้สึกได้เลยถึงความอึดอัดในเบื้องล่าง มือพี่ต่ายเริ่มปลดกางเกงผมออกอย่างง่ายดาย มันก็ต้องแน่อยู่แล้วเพราะพี่ต่ายเป็นคนผูกมากับมือเองนี่นา
น้ำหนักจากฝ่ามือพี่ต่ายขยำลงที่บั้นท้ายผมเบาๆ เสื้อยืดของผมถูกดันขึ้นไปด้านบนจนมาค้างอยู่ที่ใต้รักแร้ พี่ต่ายค่อยๆจรดริมฝีปากร้อนๆไล่ตามแนวสันหลังของผม ตัวผมสั่นสะท้านไปหมดได้แต่บิดตัวไปมา พี่ต่ายเริ่มสำรวจด้านล่างของผมอย่างจริงจัง
ความรู้สึกของผมเริ่มไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆตามแต่ที่พี่ต่ายต้องการชักจูงไป พี่ต่ายขยับตัวผมเอามือผมให้จับหัวเตียงไว้ เตียงโยกไปเล็กน้อย แต่เราก็มิได้นำพา (ก็จะไปนึกถึงอะไรออกละครับตอนนั้น) พี่ต่ายเริ่มขยับตัวสอดใส่เข้ามาในตัวผม และเริ่มขยับแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือผมเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อกำหัวเตียงไว้แน่น หน้าซุกไปกับหมอน เตียงสั่นโยกไปมาตามแรงที่พี่ต่ายโถมตัวเข้ามาหาผม เสียงไม้เสาเตียงกระแทกกำแพงไปมา ตึงๆๆๆๆ ผมไม่รู้จะทำให้เสียงมันเงียบไปได้ยังไง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย “อึกก.....อือออ....พี่ต่ายยย”
มือพี่ต่ายเอื้อมมาช่วยลูกชายผมที่ตอนนี้มันปวดจนอึดอัดไปหมด มือพี่ต่ายขยับไปพร้อมๆกับแรงจากด้านล่างที่กระแทกเข้ามาเรื่อยๆ พี่ต่ายแนบแก้มไว้ที่แก้มผม ลมหายใจของพี่ต่ายแผ่วๆอยู่ข้างหูผม เราไม่ได้พูดอะไรกัน มีแต่หยาดเหงื่อที่รินรดกายกันและกัน แบบนี้เรียกว่าอาบเหงื่อต่างน้ำได้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้
เสียงตึงๆๆที่กระแทกกำแพงกลบเสียงที่เกิดจากการเสียดสีของร่างกายเรา จนเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงผมกับพี่ต่ายที่เล่นมวยปล้ำกันมา1ยก กลับรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจเหมือนไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลมา10รอบมากกว่า หัวใจเต้นแรงจนแทบจะควบคุมไม่อยู่ เหงื่อไหลโทรมกาย แรงหมดไปทั้งคู่ พี่ต่ายนอนหงายแผ่หายใจแรง ส่วนผมนอนคว่ำหอบอยู่ข้างๆ มือแดงไปหมดเพราะเผลอกำขอบเตียงซะแน่น อากาศที่ว่าเย็นๆไม่รู้สึกแล้วครับร้อนไปหมด
พี่ต่ายพลิกตัวผมให้มานอนกอดพี่ต่ายมือพี่ต่ายลูบหัวผมไปด้วย เรานอนพักเหนื่อยกันเงียบๆแต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆครับ จนเสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นมา ผมที่อยู่ใกล้โต๊ะเครื่องแป้งที่สุดเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มา
“ฮาโหลวว..ทำไรอยู่ครับ ตื่นกันรึยังเอ่ยยย......”
“...”ยังเหนื่อยหอบขนาดนี้ไม่อยากตอบอะไรออกไปเลยครับ กลัวน้องจับได้ ยิ่งฉลาดๆอยู่ด้วย
“ฮาโหลวว...เป็นไรอ่ะ กิฟจะออกไปรับแล้วนะครับ เสร็จรึยัง” ผมหันไปมองหน้าพี่ต่ายที่นอนเอามือประคองศีรษะฟังอยู่ ริมฝีปากแดงจัด แววตายังหวานอยู่เลย ผมเกือบละเมอเผลอตอบไปว่า “เสร็จแล้ว”หลายรอบด้วยถ้านับเมื่อวานนะ หุหุ
แต่ก็ตอบไปตามประสาแค่ว่า “พี่เพิ่งตื่น..ยังไม่ได้อาบน้ำเลย กิฟไม่ต้องรีบนะจะได้ไม่ต้องมารอพวกพี่” แต่เท่าที่ฟังๆดูน้องยังอยู่บ้าน ยังพอมีเวลาแต่งตัวทัน
“โอเคครับงั้นเดี๋ยวเจอกันนะคร๊าบบบ...”พอกิฟวางสายไปผมก็รีบควานหากางเกงมาใส่ แล้วเขย่าพี่ต่าย “พี่ต่ายไปอาบน้ำกัน กิฟจะมารับแล้ว” พี่ต่ายแกล้งหลับตานอนยิ้ม แก้มแดงระเรื่อ เหงื่อพราวเต็มหน้าผาก ไม่มีทีท่าว่าจะลุกง่ายๆ
“จะมา...ก็แสดงว่ายังไม่มาใช่ไม๊โอม” พี่ต่ายพูดออกมาทั้งที่ไม่ลืมตา เห็นเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก
“ใช่....ยังไม่ออกจากบ้านแต่กำลังจะออก..เร้วพี่” ผมเขย่าพี่ต่ายแรงๆอีกครั้ง พี่ต่ายลืมตาหันมามองหน้าผม อย่างเป็นจริงเป็นจัง “ไม่ต้องเร่งโอม....งั้นเราก็พอมีเวลาต่ออีกรอบซิ...พี่ต้องทำสกอร์เผื่อสต๊อคไว้ก่อน เดี๋ยวคืนนี้อด” พี่ต่ายมองผมแววตาวิบวับเป็นประกาย
ผมได้แต่อ้าปากค้างได้แต่กระพริบตาปริบๆ ที่เร่งให้เร็วนะให้ไปอาบน้ำ นี่ผมพลาดไปอีกครั้งแล้วใช่ไม๊เนี่ย
“ผมเป็นอะไรเนี่ยทำไมต้องมาทำสกอร์ตุนไว้ด้วย...ไอ้พี่หื่น...” ผมเริ่มงอแงแล้วครับฟาดแขนฟาดขา
แต่พี่ต่ายก็ได้แต่ขำ “อ้าว หึหึ..ก็เดี๋ยวกิฟกลับมานอนกับเรา พี่ก็อดซิ โอมอย่าช้าเลยเวลามีน้อยให้ไวหน่อย”นี่เร่งเวลาอย่างกับจะรีบทำงานให้เสร็จไอ้พี่ต่ายนะพี่ต่าย
หลังจากนั้นไม่มีเวลาเกี่ยงงอนครับ มีแต่เร่งทำตามระเบียบปฎิบัติกันสุดฤทธิ์ จนสำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมายไปอีกครั้ง แล้วก็รีบตาเหลือกวิ่งเข้าห้องน้ำกัน เรารีบอาบน้ำกันแบบทหารเกณฑ์ไม่มีเวลามากนัก ภาพพจน์ของเราต้องดีที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าน้อง ซึ่งไม่รู้ว่าภาพพจน์ที่ดีๆจะยังเพอเหลืออยู่ไม๊ หุหุ
พอเราเก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยกิฟก็มาเคาะประตูห้องพอดี ผมเร่งจนถึงกับหอบ“มอนิ่ง...ฮาวอ๋ายู ....สลีบเวล เซ็กส์กู๊ด..ไม๋ค่ะ”
ผมเห็นน้องแต่งตัวมาเต็มที่เสื้อแดงลายขวางสลับขาว กางเกงขาว รองเท้าผ้าใบสีแดง กำลังจะแซวน้องแต่พอเจอคำทักทายตอนเช้าเข้าไปทำเอาอึ้งพูดสวนไปไม่ทัน หรือว่าเมื่อคืนพอพวกผมเข้าห้องน้องมันแอบมาเช่าห้องข้างๆเจาะรูแอบดูพวกผมหรือเปล่าเนี่ย กิฟกวาดตามองไปทั่วแล้วเดินไปรอบๆ ดูเตียง พยักหน้าหงึกหงัก เดินไปชะโงกถังขยะ แล้วหัวเราะกิ๊ก
“ดูจากสมรภูมิรบ และหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ให้เห็น คิดว่าข้าศึกคงทำประตูไปหลายครั้ง รบกันดุเดือดเลือดสาดกันไปเลย ดูท่าทางพวกพี่คงใช้กำลังกันไปไม่น้อย หุหุ”
ผมรู้สึกว่าหูแดงเหมือนโดนใครเอาไปอบ เลือดฉีดปริ๊ดขึ้นใบหน้า พี่ต่ายไม่พูดอะไรเดินไปหัวเราะไป แล้วพอเดินผ่านกิฟก็ตบหัวน้องไปที “ไอ้เด็กทะลึ่ง..เดี๋ยวเหอะเมิง ยกกระเป๋ามา”
สองคนพี่น้องหัวเราะขำกันใหญ่ครับ แต่ผมซิได้แต่อุบปากเงียบ อายเด็ก หมดกันภาพพจน์พี่ชายที่แสนดี เดินไปไม่ถูกเลย จนกิฟตะโกนมา “พี่โอมไม่ไปเหรอ เตียงไม่ต้องเก็บแล้วไปเที่ยวกันแล้ว...บะต้องใช้แล้วปี้โอม ฮ่าๆๆ” ผมรีบวิ่งตามไปตบกระบาลมันอีกที ไม่ติดว่าต้องให้ช่วยพาเที่ยวต่อผมคงยันน้องตกบันไดไปแล้วครับ ใครจะว่ารังแกเด็กก็ยอม
พี่ต่ายกำลังคืนกุญแจพร้อมลูกค้าคนอื่นๆ ยืนรวมๆกันที่เคาท์เตอร์ ผมเลยไปนั่งรอที่เก้าอี้รับแขกด้านหน้าได้ยินเสียงแว่วๆ “เมื่อคืนมีเสียงแปลกๆนะป้าเหมือนอะไรกระแทกกำแพง ตึงๆๆทีแรกผมนึกว่าผี นานเลยนะครับมาเป็นช่วงๆ พอดึกๆถึงเงียบไป นี่พอสายๆอีกละ ตึงๆๆ แต่คราวนี้ไม่นาน แต่ไม่ใช่ผีแน่นะป้า ไม่งั้นวันหลังผมไม่กล้ามาแน่ๆ”
พี่ต่ายหูแดงหันมามองหน้าผมแล้วแอบยิ้ม ส่วนผมสบตาพี่ต่ายแล้วต้องรีบหันหน้าออกไปข้างนอกกลั้นหัวเราะ ไม่กล้าพูดกล้าขำออกมาดังๆ กลัวคนจับได้ ส่วนไอ้น้องกิฟทำหน้าขมวดคิ้วสงสัย ไปกับเค้าด้วย เรารีบเผ่นแน่บกันออกมาแทบไม่ทันกลัวจะมีคนอื่นมาโวยอีก ทั้งอายทั้งขำปนกันไปหมด
พอคืนกุญแจเสร็จมานั่งที่รถ อยู่ดีๆกิฟก็ถามขึ้นมา “พวกพี่ได้ยินเสียงด้วยไม๊ น่ากลัวอ่ะ” ผมไม่อยากมุสาน้อง เลยได้แต่ยิ้มๆ ส่วนพี่ต่ายน่ะหรือ “ได้ยินชัดเลย แต่พี่ไม่เห็นกลัว ชอบด้วยใช่ไม๊โอม” พี่ต่ายหันมายักคิ้วให้ผม
ผมฟังพี่ต่ายพูดแล้วก็กลัวกิฟจะจับได้ว่าหมายถึงอะไรกัน จะทำร้ายพี่ต่ายก็ทำไม่ถนัดได้แต่ส่งสายตาเขียวเรืองแสงไปให้พี่ต่าย พี่ต่ายเลยเบือนหน้ายิ้มออกไปที่กระจกด้านนอกไม่พูดอะไรอีก
“งงจริงๆ เสียงอะไรหว่า แต่ยังดีเนอะพี่เนอะไม่มีเสียงเรียกของผี ถ้ามีเสียงครางละก็ผมว่าผีชัวร์”
ผมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่ก็นึกดีใจตามกิฟไปเหมือนกัน ถ้าเสียงพวกผมลอดออกไปด้วย คงถึงกาลหายนะของที่นี่แน่ๆ หุหุ
******************************************
เฮ้อหมดทางโลกแล้วเราจะได้เข้าสู่ทางธรรมเสียทีนะโยม