ขอบคุณทุกท่านที่คลิกเข้ามาอ่าน หรือมาดูรูป อยากโชว์รูปมากกว่า ไปเที่ยวกันต่อเลยค่ะ
ช่วงนี้ขอเว้นวรรคการรีตอบคนอ่านชั่วคราวนะคะ
แต่ว่าอ่านทุกรี ตอบอยู่ในใจทุกรีค่ะ แต่ตอบว่าไงไม่บอก
*****************************************
#8มฟล.& สปาเก็ตตี้ขี้โมโห
ออกจากบ้านดำก็เกือบเที่ยงแล้ว เราก็เลยต้องหาที่ทานข้าวกัน กิฟโทรหาเพื่อนที่เรียนที่มฟล.หรือมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากครับ
“ฮาโหลพี่คิดครับ อยู่หรือเปล่า กิฟจะมาหาคนพาไปทานข้าวหน่อนครับ” กิฟบอกว่าถ้าเพื่อนว่างก็จะให้เค้าพาไปที่ร้านครับ ถามเจ้าถิ่นน่าจะดูดีที่สุด
“พี่คิดไม่อยู่เหรอ อ้าว แล้วกิฟจะไปยังไง”กิฟทำหน้าเบ้สะบัดมือเป็นสัญญาณบอกเราว่าเพื่อนไม่สามารถพาเราไปได้ครับ แล้วจะเอาไงดีล่ะ
“งั้นพี่คิดบอกทางผมได้ไม๊ครับ เดี๋ยวผมไปกันเอง อ่อ...อืม...อะนะ เข้าซอยเลยทางเข้ามอ.อืมมมมตรงไปไม่ไกลนะพี่..โอเค เดี๋ยวผมลองไปเองถ้าไม่เจอแล้วโทรถามพี่นะครับ ขอบคุณครับ”
กิฟวางหูเสร็จแล้วก็บอกพวกเราว่า “ไปกินกันพี่ หิวข้าวสุดๆแล้วเนี่ย เดี๋ยวผมพาไปเอง”
เราออกเดินทางจากบ้านดำไปบนเส้นทางที่จะไปแม่จัน มหาวิทยาลัยอยู่ห่างจากอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย 22กม. ห่างจากสนามบินเชียงรายพียง 11กม. เราขับรถผ่านสถาบันราชภัฎเชียงรายที่อยู่ด้านซ้ายมือ เลยมานิดเดียวก็จะเห็นทางเข้ามหาวิทยาลัย กิฟเลี้ยวขวาทันที แต่พอเลี้ยวไปยังไม่พ้นปากทางก็นึกมาได้ว่า
“ชิกหายแล้ว ร้านอยู่เลยไปสองซอยนี่หว่าเอาไงดีพี่ สวนเลนเลยนะ”
ได้ยินเสียงพี่ต่ายตะโกนว่าอย่าแต่ก็ไม่ทันแล้วครับ ตกลงกิฟมันบอกครับไม่ได้ถามความเห็นแต่อย่างใด กิฟทำหน้าลอกแลกหันซ้ายหันขวามองหาตำรวจ มองว่าไม่มีนะครับไม่ได้มองให้มาจับ เราขับสวนเลนไปแล้วตอนนี้เหอะๆๆ แหล่มจริงน้องกิฟหน้าหวาน
พอเห็นปากซอยผมก็ดีใจที่รอดตำรวจมาได้ และรอดจากอุบัติเหตุไปได้ด้วย ซึ่งจริงๆแล้วมันอันตรายมากนะครับไม่ควรทำที่สุด แต่ก็ห้ามไม่ทันแล้วนี่ครับก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย พี่ต่ายก็พูดไม่ออกได้แต่ส่ายหัวอย่างเดียว
พอเราเข้าซอยมาได้ก็มาเจอปัญหาอีกครับ ด้านหน้าซอยมีป้ายมาตั้งกั้นไม่ให้เข้า “แต่กูจะเข้านี่หว่า”
กิฟเปิดประตูลงไปเลยครับยกป้ายออก ผมกับพี่ต่ายได้แต่หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม น้องมันจัดการได้ดีเลยครับ น้องไม่ลงผมลงเองแล้ว เรื่องแบบนี้ขอให้บอกชอบนักเชียวแหกกฎ
พอเข้าไปหน่อยเดียวก็รู้แล้วครับว่าทำไมเค้าเอามากั้น ก็รถโม่ปูนกำลังเทปูนคาอยู่กลางซอยเลย รถเข้าออกไม่ได้แน่ๆ
“มิน่าล่ะเค้าถึงห้ามเข้า แต่เราก็ดันทุรัง แล้วนี่จะได้กินไม๊เนี่ย” ผมเริ่มบ่น ทำไมปัญหาเยอะจัง
กิฟต่อโทรศัพท์อีกรอบหาเพื่อนที่ชื่อคิด “พี่คิดซอยนั้นเข้าไม่ได้ มีรถเทปูนปิดซอยเลย เอาไงเปลี่ยนร้านไม๊”
“อืม...โอเคงั้นเดี๋ยวผมลองดูนะ ถึงแล้วจะบอกอีกที ครับๆๆ”กิฟวางสายแล้วหันมาบอกพวกผมว่าไปอีกทางได้
กิฟถอยหลังออกจากซอย แล้วเลี้ยวเข้าไปในบริเวณของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตั้งแต่เราขับรถเข้ามาบนถนนมุ่งสู่มหาวิทยาลัย ผมก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับภูมิทัศน์ที่สวยงามของที่นี่ครับ มิน่าถึงได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีภูมิทัศน์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เกาะกลางของถนนถูกตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธ์ ต่างแข่งกันแสดงสีสันอันสดใส ต้นไม้เขียวชะอุ่ม ถนนคอนกรีตอย่างดี ยังมองไม่เห็นมหาวิทยาลัยเลยครับจากปากทางต้องเข้าไปลึกพอสมควร กิฟก็เลี้ยวออกทางเบี่ยงด้านซ้ายมือซะแล้ว
“อ้าว เราไม่เข้ามหาวิทยาลัยเหรอกิฟ”พี่ต่ายถามขึ้นมาจนได้ “นั่นซิ”ผมก็สงสัย แต่กิฟบอกว่า
“ป่าว พี่คิดบอกกินข้างนอกแต่ไปทางนี้ได้ ไปก่อนเถอะอย่าเพิ่งพูดเพิ่งถามเลย”ผมสองคนได้แต่หุบปากเงียบ โดนน้องดุ ได้แต่ดูทางไปเรื่อยๆ กิฟขับรถวกวนนิดหน่อยแต่พอรู้ว่าจะไปทางไหน กิฟชี้ให้เราดูร้านตึกแถวสีส้มที่เห็นอยู่ลิบๆกลางทุ่งนา ไม่ไกลจากถนนที่รถเราวิ่งอยู่เท่าไหร่ ซักพักเราก็มาถึงได้โดยไม่หลงทาง เราจอดรถใกล้ๆแล้วเดินเข้าไปในร้านที่แนะนำมา ปรากฎว่าคนแน่นมากครับมีแต่นักศึกษาทั้งชายและหญิงมากมาย ทั้งที่ตอนนี้เวลาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้ว มุมหนึ่งของร้านจัดเป็นชั้นหนังสือการ์ตูนมีลูกค้านั่งอ่านไปทานไปกันเยอะทีเดียว
แทบจะทุกโต๊ะเต็มไปด้วยนักศึกษากำลังทานอาหารไปคุยกันไปอย่างเอร็ดอร่อย เราสามคนหันมามองหน้ากันแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง กิฟบอกว่า “ท่าจะดีนะพี่”
ผมกับพี่ต่ายพยักหน้าเห็นด้วยขึ้นมาทันที ดีเหมือนกันมาทานข้าวท่ามกลางเด็กๆเราจะได้รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นนักศึกษาอีกครั้ง( เกี่ยวไม๊ครับ) แต่ท่าทางน้องๆจะไม่คิดแบบนั้น น้องๆมองเราเหมือนเป็นตัวประหลาด ว่าไอ้พวกแก่ๆนี่มาจากไหนกัน ก็พวกผมดูไม่เข้ากับสถานที่เลยครับ ส่วนใหญ่น้องๆใส่ชุดนักศึกษากัน ผู้ชายก็จะไว้ผมทรงเกาหลี ทีแรกผมนึกว่าดงบังชิงกิหรือSJ มาเอง ผมแอบสงสัยมาก่อนว่าทำไมเด็กสมัยนี้คล้ายๆกันไปทุกอย่าง เสื้อผ้าหน้าผม ระบาดไปทุกทิศทั่วไปไทยจริงๆ น้องผู้หญิงก็เขียนขอบตากันดำๆทั้งๆที่หมวยๆก็ยังดูคมเข้มไปได้ มิน่าเค้าถึงว่าตอนนี้อยู่ไกลแค่ไหนก็เหมือนใกล้กัน วัยรุ่นต่างจังหวัดก็ไม่มีที่จะเชยกว่าเด็กกรุงเทพหรอกครับ
เราเดินเข้าไปด้านในซึ่งมีโต๊ะว่างอยู่ พวกเรานั่งกันนานเลยครับไม่มีพนักงานมารับออเดอร์ซักที ได้แต่มองไปมองมาเลิ่กลั่ก “พี่คิดผมถึงร้านที่พี่ว่าแล้วนะ คนยังเยอะอยู่เลย แต่เค้าไม่มาบริการเลยอ่ะ”น้องกิฟโทรฟ้องครับ
“ เนี่ยๆๆนั่งตั้งนานแล้ว มีแต่คนมองความสวยของกิฟ กิฟเขินไปหมดแล้วเนี่ย” ผมแอบหมั่นไส้น้อง หันไปมองพี่ต่ายกำลังส่ายหัวครับ คงทนไม่ไหวเหมือนกัน เวียนหัวกะน้อง หึหึ
กิฟฟังโทรศัพท์แล้วทำตาโต “อ้าวเหรอ บริการตัวเองเหรอ เวร มิน่าล่ะมีแต่คนมอง โอเคคร๊าบ พี่คิดมาด้วยไม๊ ....เหรอ โอเคไม่เป็นไร ขอบคุณครับ”
กิฟวางสายแล้วบอกว่า “พี่คิดบอกว่าบริการตัวเองพี่ เดี๋ยวผมไปเอาเมนูมา พี่โอมไปตักน้ำซิ นั่งเฉยอยู่ได้”ผมสะดุ้ง แล้วกรูจะรู้ไม๊เนี่ยว่าต้องไปตักเอง ต้องรีบลุกไปเลยครับกลัวน้องมันตบเอา ยังทันได้ยินเสียงแว่วๆ
“พี่ต่ายอยากทานน้ำอะไรไปหยิบมาเอง เปิดขวดด้วย” พี่ต่ายลุกตามผมมาติดๆครับหลังจากหนึ่งวันผ่านไปน้องกิฟเริ่มดุขึ้นทุกวันถึงแม้ตายังไม่ขวาง ผมเริ่มสงสัยกลับไปผมต้องไปฉีดยารอบสะดือรึเปล่า เพราะอาจจะติดเชื้อบ้าจากน้องได้ หรือคิดอีกอย่างน้องติดเชื้อบ้าจากผม หึหึ ไม่รู้สมมุติฐานไหนจะเป็นจริง
ที่ร้านมีถาดวางแก้วเปล่าอยู่อีกด้านครับ มีกระติกน้ำแข็งให้ด้วย ผมแอบดูน้องๆทำกันก็พอรู้ว่าต้องทำยังไง(มันยากมาเลยนะกะอีแค่หยิบแก้วน้ำ) ผมหยิบแก้วขึ้นมาก่อนทีละใบแล้วตักน้ำแข็งใส่แก้วแรกเสร็จไปแล้ว หันไปบอกพี่ต่าย “พี่ต่ายเอาน้ำไปวางแล้วช่วยผมเอาไปแก้วนึงซิ ถือไม่หมด” พี่ต่ายพยักหน้ารับรู้แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะก่อน
ผมกำลังจะก้มลงไปหยิบแก้วเพิ่ม ก็มีน้องนักศึกษามั๊งครับแต่ไม่ได้ใส่เสื้อนักศึกษาหน้าตาเป็นมิตรยื่นแก้วให้ผม “ใช้กี่ใบครับ”พูดเสร็จแล้วส่งยิ้มสดใสมาให้ อืมมม...หน้าตาดีจังนะ ผมคิดในใจ
“สองใบครับ”ผมชูสองนิ้ว ซึ่ง....เมิงจะชูทำไมเค้าไม่ได้เป็นใบ้ถึงต้องใช้ภาษามือ ผมรับแก้วมาแล้วขอบคุณไปพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งผมก็ได้เป็นรอยยิ้มกลับมาเหมือนกัน “ไม่เป็นไรครับ” ผมตักน้ำแข็งต่อไปไม่ได้สนใจอีก แต่น้องคนนั้นก็ยืนข้างๆผมรอที่จะตักต่อจากผม
ผมตักเสร็จจะหันกลับไปดูพี่ต่าย พี่ต่ายก็แทรกกลางเข้ามาพอดีระหว่างผมกับน้อง มาเงียบๆทำเอาผมสะดุ้งเกือบปล่อยแก้วหลุดมือไปนึกว่าเจอใครแกล้ง
“เฮ้ย....หูยยย..พี่ตกใจหมด” ผมถอนหายใจโล่งอกแก้วไม่ตกแตก เด็กๆเต็มร้านขอบอกได้อายแน่ๆ
“พี่ต่ายขมวดคิ้ว พี่มาช่วยถือ”ผมก็งงเป็นอะไรไปล่ะเนี่ย หน้าดุจริง ผมถือแก้วสองใบพี่ต่ายถือใบเดียว อีกมือหนึ่งคล้องแขนผมกึ่งดึงกึ่งลากให้กลับไปทีโต๊ะ
“อะไรล่ะพี่” ผมชักฉุนพี่ต่ายจะรีบร้อนไปไหนกัน
กิฟนั่งรออยู่ที่โต๊ะกำลังอ่านเมนูอย่างตั้งใจ ผมมองหน้าพี่ต่ายที่ทำตาขึงใส่ผม อยากจะพูดจะถามกันให้รู้เรื่อง กิฟก็นั่งอยู่จะพูดก็ไม่ถนัด ได้แต่นั่งมองหน้ากันตาปริบๆ “พวกพี่ๆจะทานไรดีคับ กิฟจะเอาข้าวหมูชุบแป้งทอด เอหรือจะเอาสปาเก็ตตี้ดี” กิฟก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
“พี่ๆฟังนะกิฟจะอ่านให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ สปาเก็ตตี้ขี้เมา สลัดทูน่า”
ผมถามแทรกกิฟขึ้นมาแต่มองหน้าพี่ต่าย“กิฟมีสปาเก็ตตี้ขี้โมโหไม๊”
ผมอยากจะถามพี่ต่ายจริงๆว่าโมโหอะไรกัน พี่ต่ายทำหน้าเฉยครับ แต่ไม่ยิ้ม ไม่ขำ ไม่ฮา โอเคมุกแป๊ก ส่วนน้องกิฟก็หาใหญ่เลยครับในเมนู
“ไหนๆอะไรนะกิฟดูก่อน....สปาเก็ตตี้ขี้โมโห...เจ๊ยยยจะมีได้ไง”กิฟเงยหน้ามามองผมหัวเราะกร๊ากกกออกมา กิฟมองผมที่หน้างอ แล้วมองพี่ต่ายที่หน้าเครียด มองไปมาสลับกัน เริ่มผิดสังเกตกับอาการผมสองคน
“เป็นอะไรกันเนี่ยพี่สองคน”
“........”ก็นี่ไงผมก็ไม่รู้พี่ต่ายเป็นอะไร อยากจะถามเหมือนกัน
แต่พี่ต่ายคงรู้เลยเอ่ยขึ้นมาว่า........“เป็นแฟน”
สั้นๆเลยครับ ตรงประเด็นจริงๆนะพี่ต่าย ผมถึงกับอึ้ง ผมถึงกับหน้าแดง
“.........”ตอบไปได้นะพี่ต่าย พี่ไม่อายน้องแต่ผมอาย ถึงน้องจะรู้แต่เราก็ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ
“กิฟแล้วมีสลัดแฟนไม๊”ผมกวนพี่ต่ายต่อ
“เอ่อ...”กิฟอ้าปากค้าง พูดได้แค่นั้น แล้วเริ่มขมวดคิ้ว ไปต่อไม่ถูก
พี่ต่ายคงอยากสั่งอาหารบ้าง “มีข้าวผัดคนเจ้าชู้ไม๊กิฟ”หึหึ พี่ต่ายมาว่าผมเจ้าชู้ได้ไงเนี่ย ชักของขึ้นแล้วนะ ผมชักจะพอเดาๆออกแล้ว ว่าพี่ต่ายงอนเรื่องอะไร
“แล้วข้าวผัดขี้ระแวงล่ะกิฟมีไม๊” ก็ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจะมากล่าวหาได้ไง เป็นไงล่ะ....อึ้งละซิ เล่นกะใครไม่เล่นมาเล่นกับโอม ลูกเจ้าพ่อเขาใหญ่ แต่กิฟคงทนไม่ไหวครับ พูดออกมาซะดัง
“พวกพี่ๆฟังผมนะครับ ผมจะอ่านเมนูให้ฟังอีกครั้ง กรุณาอย่าตั้งเมนูเองเพราะผมเริ่มหิว” ผมกับพี่ต่ายกำลังจะเอ่ยปากขัดขึ้นมากิฟรีบยกมือห้ามเป็นปางห้ามญาติ เริ่มดุอีกแล้วครับสงสัยองค์ลง
“ประกาศ...โปรดฟังอีกครั้ง ข้าวหน้าหมูทอด ข้าวหน้าปลาทอด ............ข้าวหน้าปลาไข่ทอด บลาๆๆๆๆ”กิฟวางเมนูแล้วหยิบกระดาษมาเตรียมจด “ของกิฟเอาข้าวหน้าหมูทอด พวกพี่ๆล่ะ” กิฟชี้มาที่พี่ต่าย
“พี่เอาข้าวหน้าปลา...กัด ทอด”พี่ต่ายมากวนได้อีกครับ
“งั้นพี่เอาสปาเก็ตตี...ซี้ซั๊ว”ผมไม่ยอมแพ้หรอกครับ
คราวนี้น้องกิฟมีโวย “พี่ๆไม่กินใช่ไม๊ กิฟไม่สนแล้ว อยากกินอะไรไปสั่งเอาเอง หิวๆๆๆๆ”แล้วน้องกิฟก็สะบัดหน้า เด้งตูดเดินไปเลยครับ เหลือแต่ผมกับพี่ต่ายนั่งมองหน้ากันอยู่
“โอมเป็นอะไร?” ตาพี่ต่ายดุจัง แต่อย่ากลัว อย่าไปกลัว....ผมสะกดจิตตัวเองไว้
“ผมซิต้องถามว่าพี่เป็นอะไร”ผมถอนหายใจ
“ อยู่ดีๆก็มาหน้าบึ้งใส่ผม แล้วลากผมมาที่โต๊ะ ผมอายนะพี่ ทำอย่างกับผมเป็นเด็กๆ”
น่าโมโหจริงๆคนนั่งกันเต็มร้าน แต่ที่จริงก็ไม่ค่อยมีใครมองหรอกครับ แต่ผมโวยไว้เว่อร์ๆไปก่อนเผื่อต่อ
“ก็โอมไปยิ้มหวานให้เค้าทำไมล่ะ”พี่ต่ายเสียงเย็นเชียวครับ
“เค้าไหน..ไม่เห็นรู้เรื่อง”รู้ครับแต่ทำเป็นไม่รู้ไว้ก่อน ผมแค่ยิ้มเฉยๆหวานตรงไหน แอบหันไปมองกิฟว่ามารึยังก็เลยสบตากิฟที่แอบมองอยู่ พอผมหันไปเห็น กิฟก็แกล้งทำเป็นหันไปคุยกับเจ้าของร้าน
“ก็คนที่หยิบแก้วให้ไง”หน้าเรียบราบไร้อารมณ์ จนน่าเป็นห่วง น่าเป็นห่วงตัวเองนะครับไม่ใช่เป็นห่วงพี่ต่าย
“พี่ไม่มีสิทธิ์หวงโอมเหรอ”พี่ต่ายถามเครียดมาอีก แล้วผมจะตอบยังไงดีล่ะ
“มีสิทธิ์ซิพี่ แต่ผมไม่ได้ยิ้มเลย..แค่ขอบคุณเค้าเฉยๆที่เค้าหยิบแก้วให้ จริงๆนะ”ผมเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทะเลาะด้วย เรื่องไม่เป็นเรื่อง กลัวยาวครับ ไปเที่ยวกันทะเลาะกันจะสนุกตรงไหน แล้วมันก็ไม่น่ามีเรื่องด้วย เอ..หรือว่าผมยิ้มก็น้องน่ารักนี่นา
กิฟเดินกลับมาแล้วครับ เดินแบบย่องๆช้าๆหยั่งท่าทีว่าเคลียร์บอมบ์รึยัง แอบสบตาผมผมเลยพยักหน้าให้กิฟ
“กิฟสั่งให้พี่ๆแล้วนะครับขออนุญาตสั่งให้ เพราะเมนูที่พี่ๆเลือก เค้าไม่มีครับ” กิฟดูพูดเกร็งๆไปเลยครับ
ผมพนักหน้าให้กิฟหงอยๆ มันไม่น่าเลย กำลังสนุกๆอยู่แท้ๆ เซ็งเลย
“ดีแล้ว..พี่กำลังหิวมาก”ผมต้องเนียนแล้วครับ ปรับบรรยากาศหน่อย อากาศก็ไม่ร้อนมากแต่ทำไมผมเหงื่อแตก เริ่มสงสัยว่าผมผิดเหรอ ทำไมผมต้องยอมด้วยเนี่ย
“พี่ต่ายดื่มน้ำอะไรดีครับ”ถามไปก็ปล่อยไก่อีก ก็พี่ต่ายเอามาแต่ชาลิปตัน แล้วเมิงจะถามเพื่อ....?ปลดปล่อยความโง่ รึไงเนี่ย เฮ้อ...เหนื่อยใจกับตัวเอง แต่ก็ยังดีที่พี่ต่ายกลั้นยิ้ม อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์จากความรั่วบ้างละน่า
“พี่ขอแค่น้ำใจจากโอมก็พอแล้ว”พี่ต่ายพูดได้หน้าตาเฉยเลยครับ
“เอิกซ์ซซซ....”เสียงทำลายบรรยากาศมาแล้วครับ จากขาประจำเจ้าเดิม น้องกิฟ รู้อย่างนี้ตอนผมหาน้องไม่เจอที่ภูชี้ฟ้าแกล้งทิ้งไปเลยซะก็ดี ผมได้แต่ทำตาเขียวไปให้กิฟที่ปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่
เรารอกันไม่นานครับ อาหารก็มาเสริฟหน้าตาน่าทานมาก แต่ละจานใหญ่ๆทั้งนั้นทั้งที่ราคาประมาณ 49 บาทเท่านั้นเอง พวกผมไม่รีรอรีบทานกันอย่างรวดเร็ว ทำเวลาเพื่อจะไปเที่ยวต่อครับ
เมนูน่าทานสปาเก็ตตี้ขี้เมา อีกสองจานจำชื่อไม่ได้ แต่อร่อยจริงๆ
ออกจากร้านอาหารกิฟเสนอแนะให้ขับรถชมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอีกครั้ง ซึ่งพี่ต่ายกับผมก็เห็นดีด้วยไหนๆก็มาถึงที่แล้วขอชมหน่อย
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งอยู่ที่ ต.ท่าสุด อ.เมือง จ. เชียงราย สร้างขึ้นในปี 2541 กิฟเล่าว่ามีศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธรด้วย โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อสืบสานปณิธานของสมเด็จย่าที่จะ "สร้างคน สร้างความรู้ สร้างคุณภาพ" โดยเน้นที่การอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ด้อยโอกาสด้วยการให้การศึกษาระดับสูงเพื่อพัฒนาบุคคล เพื่อพัฒนาบ้านเมืองและธำรงไว้ซึ่งประเพณีและศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติพันธุ์ต่างๆในภาคเหนือและ ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน
(ข้อมูลจาก เวปไซท์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
เมื่อเราขับรถเข้ามาในมอ ความรู้สึกคือสงบ สวยงาม แล้วธรรมชาติที่สวยงามก็เคียงคู่ไปกับอาคารสถานศึกษาที่ใหญ่โต กว้างขวาง มีสวนสวยริมน้ำอยู่ที่ด้านหน้าของมหาวิทยาลัย ภายในมหาวิทยาลัยมีรถวิ่งรอบให้นักศึกษาได้ใช้เดินทางระหว่างอาคารเรียน แต่ส่วนใหญ่นักศึกษาก็จะใช้จักรยานหรือมอเตอร์ไซด์เหมือนกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีนักศึกษาอยู่ประปราย อาจจะเป็นเพราะสถานที่กว้างขวางมาก
“แล้วกิฟไม่นัดเจอเพื่อนหน่อยเหรอ”พี่ต่ายถามถึงน้องคิดที่กิฟโทรหาถามเรื่องร้านอาหาร
“พอดีพี่คิดเค้าติดทำรายงานน่ะพี่ ไม่เป็นไรโอกาสหน้ายังมีเดี๋ยวคงได้เจอกันอีกแน่นอน”
แต่เนื่องจากเราต้องรีบเดินทางต่อก็เลยไม่ได้ลงไปถ่ายรูปกัน เก็บมาได้เพียงความทรงจำและภาพที่ผมพยายามถ่ายตอนรถจะเลี้ยวกลับออกจากมหาวิทยาลัย
****************************************
ขอบคุณที่ยังอ่านค่ะ
รูปใหญ่ไปหน่อย แต่ก็เรียกน้ำย่อยดีไม๊ค่ะ ต้องขอบคุณเบ็ตตี้สำหรับรูปสวยๆค่ะ