
ท่าทางคนอ่านจะเบื่ออัมพวาแล้ววุ้ย
ขอสัญญาว่าจะไปแล้วจ๊ะ ขออีกตอนแล้วกันนะ

**********************************************
“พี่ต่าย....บอกน้องเดือนเหรอเรื่องเราเป็นอะไรกัน”
พี่ต่ายเหลือบตาขึ้นมองหน้าผมเสมือนจะหยั่งท่าทีผม โดยการวัดจากน้ำเสียงและกริยาของผมในการถาม แต่ผมก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดี ว่าที่ผมทำไปมันควรไม๊ ผมเลยถามซ้ำไปอีกที

“ทำไมพี่ต่ายต้องไปบอกเค้าด้วย เรื่องของเรานะ ไม่เห็นเกี่ยวกับคนอื่นเลย”
น้ำเสียงที่ผมถามแข็งเกินไปโดยไม่รู้ตัว พี่ต่ายยังคงไม่ตอบครับ มองหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมเริ่มหงุดหงิดกับการเงียบของพี่ต่ายแบบนี้ มันเหมือนผมเป็นไอ้บ้าที่พูดอยู่คนเดียว
“นี่พี่จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ ตกลงพี่จะไม่บอกอะไรผมมั่งเลยเหรอ”ผมว่าผมเริ่มพาลครับ ตอนที่พูดๆไปผมก็รู้สึกว่าทำไมผมต้องหัวเสียขนาดนี้ ทำไมผมต้องโมโหพี่ต่าย บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองเหมือนกัน
“พี่ไม่ได้บอกน้องเดือน หรือใครๆถึงเรื่องของเรา พี่ไม่เคยบอก เพราะเค้าไม่ได้ถาม แต่ถ้าเค้าถามพี่...”เสียงของพี่ต่ายเย็นๆครับ ถึงแม้แดดจะร้อนแล้ว แต่ทำไมผมหนาวได้ล่ะ
พี่ต่ายหยุดเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถอนหายใจ “พี่ก็จะบอก....... ถึงแม้มันจะทำให้โอมไม่พอใจก็ตาม”
ผมได้แต่อ้าปากค้างตอนที่พี่ต่ายพูดออกมา แล้วก็ค่อยๆหุบปากเองอย่างช้าๆ ยังไม่กล้าพูดอะไรสวนไป ทำได้แค่กลืนน้ำลาย ก็ผมพอจับน้ำเสียงได้แล้วนี่ครับว่าพี่ต่ายเริ่มโกรธผมแล้ว แต่คงข่มอารมณ์อยู่
เง้อ....นี่ผมทำผิดอีกแล้วใช่ไม๊ ผมคงทำให้พี่ต่ายเสียใจอีกครั้งหนึ่ง ขนาดว่าเราเป็นแฟนกันมาหลายปี ก็ยังมีผมคนเดียวที่ไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนออกมา ในขณะที่พี่ต่ายสามารถประกาศตัวเองตลอดเวลาว่าเป็นแฟนผม หรือผมเป็นแฟนพี่ต่ายต่อหน้าพี่คม
แต่ผมก็ไม่มีเวลาที่จะคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป หรือจะขอโทษพี่ต่ายได้ทันเพราะพี่ต่ายลุกขึ้นไปก่อน พอดีกับที่พี่กั้งและน้องเดือนเดินออกมาจากข้างในพอดี แล้วเรียกเราสองคนเข้าไปทานอาหารกัน
พี่ต่ายเองก็ไม่พูดอะไรตอนที่ลุกขึ้น แล้วผมจะพูดอะไรได้อีก ได้แต่เดินตามพี่ต่ายไปนั่งที่โต๊ะอาหารเงียบๆ หงอยๆ กร๋อยๆ สงบเสงี่ยมเป็นกรณีพิเศษ

“น้องโอม คุณต่ายลองทานฝีมือผมดูนะครับ ว่าจะถูกปากไม๊”
พี่กั้งส่งจานข้าวคลุกกะปิมาให้ผม ผมส่งจานข้าวต่อให้พี่ต่าย ที่........ไม่มองหน้าผมเลยแต่มือก็รับจานไปเงียบๆ บนโต๊ะมีเครื่องเคียงมากมาย ถั่วฝักยาวหั่นเฉลียง หอมแดงซอย แตงกวา มะม่วงซอย หมูหวาน กุ้งแห้งทอด ไข่เจียวหั่นเป็นเส้นๆ ตามด้วยพริกขี้หนูน้ำปลาอีกหน่อย อร่อยแน่นอนครับ แถมมีแกงเลียงร้อนๆไว้ซดเผื่อข้าวติดคออีก ทำไมพี่กั้งทำกับข้าวได้น่าทานขนาดนี้นะ เหมือนผมจะได้ยินเสียงท้องร้องต้อนรับอาหารจานเด็ดเลยครับ
แต่ปัญหาคือ......ผมทานไม่ลงเนี่ยซิ ก็ผมดันไปกระตุกหนวดกระต่าย ที่ตอนนี้นั่งหน้าเฉยเมยใส่หน้ากากเป็นคนไร้อารมณ์อยู่นี่แหล่ะครับ แล้วผมจะมีแก่ใจไปทานให้อร่อยๆได้ไงถึงแม้น้ำย่ิอยจะออกมารอในกระเพาะแล้วก็ตาม แต่พี่กั้งกับน้องเดือนคงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ก็ยังคงชวนเราสองคนคุยตามปกติ
“คุณต่ายกับน้องโอมทานให้เยอะๆนะครับ ถ้าไม่พอเติมได้เลย ไม่ต้องเกรงใจครับ คุยกันถูกคอก็เหมือนเป็นเพื่อนกันแล้วครับ”
“ขอบคุณครับคุณกั้ง อร่อยมากๆเลยครับ ทำกับข้าวเก่งตามที่น้องเดือนชมจริงๆด้วย” พี่ต่ายก็ยังดีครัับคุยกับคนอื่นบ้าง
ช่วงหันไปคุยกับคนอื่นพี่ต่ายก็พูดดีครับ แต่ถ้าเวลาปกติพี่ต่ายต้องคอยเอาใจผมตักนู่นนี่ให้ แต่ตอนนี้ไม่มีเลยครับ เฉยยยยย.... ทำเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์บริการตัวเองซะงั้น ผมอยากได้แกงเลียงสักถ้วยอ่ะพี่ต่ายผมตักไม่ถึง ผมพยายามส่งกระแสจิตไปบอกพี่ต่ายโดยการมองสบตาเป็นระยะ
สบตากับพี่ต่ายแล้วก็ส่งสายตาไปที่แกงเลียง พยายามทำอยู่หลายหนครับ แต่สงสัยว่าจะมีคลื่นแทรกเพราะคนที่ตักมาให้ผมกับเป็นพี่กั้ง ฮือๆๆแย่แล้วทำไงดี

“น้องโอม นี่ครับ... แกงเลียงพี่กลัวจะตักไม่ถึง”พี่กั้งแกลุกเดินอ้อมมาให้ผมเลยครับ ผมละเกรงใจจริงๆ แต่ก็ดีเหมือนกันผมไม่ต้องลุก แหะๆ ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่กั้งไป อยากจะบอกว่าแกงนะตักไม่ถึงก็ถูก แต่ที่ไม่ถึงมากกว่าก็ใจของผมนะซิครับมันส่งไปไม่ถึงใจพี่ต่าย จังหวะนี้ผมก็คิดได้แค่นี้ละครับ

“ขอบคุณครับพี่กั้งเกรงใจจริงๆเลย รบกวนอีกแล้ว”ผมยิ้มให้พี่กั้งแ้ล้วหันมาส่งค้อนให้พี่ต่ายไปครับ แต่เหมือนแกจะขยับตัวหนีทัน ค้อนผมเลยขว้างไปไม่ถึง
พี่ต่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ครับ กวนประสาทอย่างร้ายกาจ ขี้งอนเป็นเด็กๆไปได้ แต่ผมก็ไม่ค่อยเจอแบบนี้หรอกครับ เพราะส่วนใหญ่พี่ต่ายใจเย็นมากๆ ผมเองที่เป็นคนคอยวีนคอยป่วนอยู่เรื่อยๆ สงสัยถึงรอบของผมที่กรรมจะตามสนองแล้วครับ ดันพูดอะไรไม่คิดก่อน ผลก็เลยเป็นแบบนี้
“พี่กั้งทำกับข้าวอร่อยทุกอย่างไม๊ครับเนี่ย สงสัยต้องมีจานเด็ดแน่ๆเลย จานไหนที่น้องเดือนติดใจที่สุดครับ”ผมพยายามชวนคนอื่นคุยเพื่อสร้างบรรยากาศให้รื่นรมย์ครับ
“จานเด็ดของพี่กั้งต้องก๋วยเตี๋ยวค่ะ ทุกอย่างอร่อยหมด”น้องเดือนตอบเสียงร่าเริงเลยครับ โดยมีพี่กั้งคอยเสริม
“ก็รักของเราเกิดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวนี่ครับ ผมไปช่วยเพื่อนทำก๋วยเตี๋ยวขายแค่วันเดียวเอง เลยทำให้ได้มาเจอกับน้องเดือนได้ สงสัยจะเป็นบุพเพหลงทาง หึหึ”
“พี่กั้งก็พูดซะเดือนเขินเลย พี่โอมอย่าไปฟังมากนะค่ะ”ผมก็คุยกันสนุกสนานกับพี่กั้งน้องเดือนครับ แต่พี่ต่ายก็แค่หันมายิ้มให้เป็นระยะไม่ได้ร่วมพูดอะไรเท่าไหร่เลย
พี่ต่ายทานข้าวเร็วมากครับ ทำท่าอย่างกับว่ากำลังแข่งทานข้าวคลุกกะปิให้ไวพี่ต่ายทานอิ่มดื่มน้ำแล้ว ผมยังเพิ่งทานไปสองสามช้อนเองครับ สงสัยจะคุยมากไปหน่อย พอผมเงยหน้าขึ้นมาพี่ต่ายเอากระดาษเช็ดปากเรียบร้อยไปซะแล้ว ก็เร็วขนาดว่าน้องเดือนทักน่ะครับ
“พี่ต่ายไม่อร่อยเหรอค่ะ ทานซะเร็วเลยหรือว่าจะรีบไปไหนค่ะ”
“ไม่ใช่ครับอย่าเข้าใจผิดไป คุณกั้งผัดข้าวอร่อยมากครับ แต่พอดีผมว่าผมจะไปเก็บของเตรียมเช็คเอาท์นะครับ”แล้วพี่ต่ายก็หันหน้ามาพยักเพยิดให้กับผม
“ พอดีโอมต้องไปรับ
เพื่อนสาวก่อนไปงานครับ เลยว่าจะกลับเร็วหน่อยกลัวรถติดน่ะครับ”
อ๋อ.....มันเป็นเช่นนี้เอง (แอบคิดว่าประชดหรือเปล่าเนี่ย) อย่างงี้ผมก็ต้องรีบทานด้วยซิ ผมเลยเริ่มเร่งสปีดทานให้เร็วครับ แต่พี่ต่ายหันมาเห็นผมกำลังจ้วงข้าวใส่ปากพอดีเลยบอกว่า
“โอมไม่ต้องรีบหรอก พี่จัดการเอง ค่อยๆทานเถอะ” เอือกซ์ซซซ ข้าวแทบจะติดคอตาย ผมต้องรีบซดน้ำแกง แล้วก็สำลักไอออกมา “แค๊กๆๆๆ”
“เป็นไรบ้างคับน้องโอม ติดคอเหรอ น่าสงสารจริงๆ ทานช้าๆดีกว่านะครับ ”พี่กั้งเดินมาลูบหลังผมที่กำลังไอครับ โดยที่ผมไม่ได้ต้องการเลยนาทีนี้
ไอ้ผมก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นไปพอดีเห็นตาเขียวๆของพี่ต่ายมองมา แต่พี่ต่ายไม่ได้พูดอะไรกับผมอีกครับ หันไปบอกทางน้องเดือนแค่ว่า “งั้นผมขอตัวซักครู่นะครับ”
พอพี่ต่ายเดินออกไปครับ ผมก็ยังคงไอค่อกแค่กอยู่ ข้าวติดคอครับ แต่มันติดเหมือนกับว่ามีกระดูกมาติดคอเลย ทำไมเหมือนหายใจไม่ค่อยออกยังไงไม่รู้ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่างานนี้ผมอาจจบศพไม่สวยซะแล้วม๊าง ขึ้นต้นก็เป็นลำไม้ไผ่ดีๆ ไปๆมาๆจะกลายเป็นบ้องกัญชาซะแล้ว
ผมเลยตัดสินใจรีบกินรีบกลับดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมไม่ใส่ใจพี่ต่ายไป มันจะไม่งาม
“ผมรีบทานดีกว่าครับไม่อยากให้พี่ต่ายต้องคอยนาน แหะๆ”
ผมรีบทานจนจุกเลยครับ พอกลืนข้าวลงคอทานน้ำเสร็จพี่ต่ายก็เดินลงบันไดมาพอดี ยกกระเป๋าพร้อมแต่งตัวมาเรียบร้อยเชียว ออกเดินทางได้เลยล่ะ
ผมลุกขึ้นยืนรอพี่ต่ายแบบงงๆจุกๆตื้อๆ ตอนที่พี่ต่ายเอากุญแจห้องส่งให้พี่กั้ง แล้วเดินไปจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่ายกัน น้องเดือนหันมามองหน้าเจื่อนๆของผม อาจจะพอรู้ได้ว่าคงมีอะไรซักอย่างแน่ๆ ผมว่าผู้หญิงมีเซนส์เรื่องแบบนี้ดีครับ เรื่องชาวบ้านคืองานของเธอ แต่น้องเดือนก็มารยาทดีพอที่จะไม่พูดอะไรมากครับ
“วันหลังพี่โอมมาเที่ยวอีกนะค่ะ เบื่อๆเมื่อไหร่ก็มาได้เลย ไม่ต้องวันเสาร์อาทิตย์ก็ได้ค่ะ โทรมาได้เลยนะค่ะ พี่กั้งกับเดือนยินดีต้อนรับทุกเมื่อเลย แล้วถ้ามีอะไรที่เราบริการได้ไม่เต็มที่ หรือมีข้อบกพร่องอะไรเดือนต้องขอโทษด้วยนะค่ะ”แล้วน้องเดือนก็ส่งยิ้มหวานมาให้ผม
พี่ต่ายเดินมาพอดีครับ “พี่ต่ายผมไม่ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ ให้กลับชุดนี้นี่นะ”ผมก้มลงมองชุดของผม กางเกงเล กับเสื้อยืดรองเท้าแตะเนี่ยนะ จะสบายๆเกินไปไม๊ เหมือนชุดนอนกลายๆเลย
“ไม่ต้องหรอก ก็นั่งยาวไปจนถึงบ้านเลย ไม่ต้องลงจากรถ จะไปกันเลยไม๊...พี่เคลียร์กับคุณกั้งเรียบร้อยแล้ว”พี่ต่ายยิ้มหวานครับ แต่ตาไม่ยิ้มเลยเหมือนเห็นประกายวิบๆวับๆน่ากลัวส่งมา
“หรือจะอยู่คุยกับน้องเดือนก่อนซักสองสามชั่วโมงก็ได้นะ แต่พี่กลัวจะไปรับ
เพื่อนสาวของโอมไม่ทันน่ะซิ” พี่ต่ายพูดแบบนี้ เอามีดมาฟันหัวผมเลยไม๊ ไปหัดประชดประชันแบบผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ของดีๆไม่จำ จำแต่เรื่องไม่ดี อยากเอาหัวโขกกำแพงจริงๆเลย อายก็อาย น้องเดือนก็ยืนทำหน้าแปลกๆอยู่เนี่ย เฮ้อ

“งั้นไปเลย ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน”ผมชักเริ่มมีอารมณ์ ไรกันว้า แค่พูดผิดหน่อยเดียวเอง จะโกรธไปถึงไหน งอนอะไรนานนักหนา

ผมยกมือไหว้พี่กั้ง แล้วกล่าวคำอำลา “ผมไปนะครับพี่กั้งน้องเดือน ขอบคุณมากๆเลยครับแล้วเจอกันครับ”
“ครับเจอกันครับ ยินดีต้อนรับเสมอครับคุณต่ายน้องโอม”พี่กั้งโบกมือไหวๆลาผม น้องเดือนก็ส่งยิ้มมาให้
“ไปนะครับ ไว้ผมจะมาใหม่ครับ เจอกันแน่นอน”พี่ต่ายก็โบกมือลาคู่รักหวานแหววแห่งอัมพวา
ผมเดินนำหน้าพี่ต่ายมาก่อน เพราะเริ่มหงุดหงิด เดินเร็วมากครับเหมือนกับกำลังแข่งเดินเร็ว ไม่ได้ยินเสียงพี่ต่ายเดินตามมาเลยครับ
ผมมาถึงที่จอดรถต้องเดินหารถตั้งนานว่าไปจอดตรงไหน(วะ)

ผมชะเง้อมองว่าพี่ต่ายมารึยัง พี่ต่ายก็ไม่ตามมาซักที เป็นนิสัยเสียของผมด้วยครับที่ไม่ค่อยสนใจอะไรเลยเวลาไปกับพี่ต่าย ยกภาระหน้าที่ให้พี่ต่ายทั้งหมดรวมถึงจำที่จอดรถด้วย คราวนี้ผลบุญเลยส่งครับให้ต้องเดินวนหารถจนเหงื่อแตก พอเจอรถผมก็ต้องยืนพิงรถรอพี่ต่าย อยู่อีกเกือบสิบห้านาที พี่ต่ายถึงเดินมาหอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ
ผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก แกล้งยกมือดูนาฬิกาขมวดคิ้วเป็นเงื่อนตาย บอกพี่ต่ายกลายๆว่าพี่มาสายนะ ไหนว่าจะรีบไปไงล่ะ พอพี่ต่ายเปิดรถผมก็เข้าไปนั่งหน้าบูดเป็นอาหารหมดอายุรอเลยครับ
“พี่ซื้อของไปฝากแม่ไง เราไม่มีอะไรติดมือกลับบ้านเลยนะ”
พี่ต่ายเข้ามานั่งในรถแล้วก็พูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมไม่ได้ถามนี่ ผมเลยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หันหน้าออกไปข้างนอกเหมือนวิวสวยซะเต็มประดา ในใจก็คิด...ก็ดีแล้วนี่ซื้อของฝากกลับบ้าน ก็ผมลืม มันเป็นหน้าี่ของพี่อยู่แล้ว ก็ทำไปซิ เดี๋ยวจะให้เข็มเกียรติยศลูกเขยชั้นดีระดับหนึ่งพอไม๊
“โอมไม่ใส่เข็มขัดล่ะรถจะออกแล้วนะ”เสียงพี่ต่ายลอยมาอีก อ้าวผมลืมซะงั้น หันไปดึงเข็มขัดมาคาดให้เรียบร้อย ตอนที่เอาเข็มขัดมาเสียบที่ช่องตรงกลางรถ ใบหน้าเราก็จ๊ะเอ๋กันพอดี สายตาก็จ้องมองกัน รู้สึกเสียวซ่านหัวใจ เจ้ยยย... ไม่ใช่แระนั่นมันเพลงรุ่นแม่ พี่ต่ายเองก็กำลังกดล็อคเข็มขัดเหมือนกัน ผมก็ยังหน้ามึนตึงแสดงอาการงอนอยู่ทำปากยื่นด้วย พี่ต่ายยื่นปากมาสัมผัสปากผมโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมถึงกับสะดุ้ง
“พี่ทำอะไรน่ะ”ผมร้องออกไปแบบโง่ๆ ก็มันตกใจนี่นา

“โอมไม่รู้เหรอว่าทำอะไร สงสัยพี่ทำไม่ลึกซึ้งพอ งั้นเอาใหม่แล้วกัน”ผมยังไม่ทันโวยต่อ พี่ต่ายก็เอามือมาประคองใบหน้าผมไว้ แล้วบดริมฝีปากผมอย่างรวดเร็วจนผมตั้งปากเอ๊ยตั้งตัวไม่ทัน พี่ต่ายดูดปากผมแล้วรุกเร้าเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นผม ลิ้นของพี่ต่ายทำเอาผมครางเสียงสั่นไปหมด ในชั่วขณะที่ผมเริ่มเคลิ้มๆ แล้วก็คิดว่าจะมาเล่นอะไรกันตรงนี้พี่ อารมณ์ไหนกันแน่ กลับไปบ้านกันก่อนเลยไม๊พี่...

*********************************************
คราวหน้าคงไปถึงงานแต่งงานซะที เจ้าบ่าวเจ้าสาวรอนานแล้วเนอะ
