ถึงกับเหงื่อตก

เจ้าโอมกลายเป็นหมาหัวเน่าของจริงแน่เลยงานนี้ รักโอมน้อยๆก็ได้นะ แต่ขอรักนานๆแล้วกัน ผมผิดไปแล้ว

***************************************************
“ก็ทำไมโอมไม่บอกไปล่ะ ว่าแฟนหวง แฟนมาด้วย แฟนยืนอยู่ตรงหน้านี้ ทำไมโอมไม่บอกไปล่ะ ทำไม...ทำไมล่ะโอม????”พี่ต่ายพูดมาแบบนั้นผมก็น้ำตาไหลอีกรอบ ไม่ใช่ด้วยความกลัวนะครับ
ผมไม่ได้กลัว…….ไม่ได้กลัวพี่ต่ายดุ
ถึงแม้ว่าคำพูดที่พี่ต่ายพูดออกมาจะเหมือนโกรธผม แต่น้ำเสียงของพี่ต่ายไม่ได้ดุผมเลยครับ มันเป็นน้ำเสียงที่ตัดพ้อผมมากกว่า เหมือนกับว่าพี่ต่ายกำลังถามผมซ้ำๆย้ำๆว่า
“ทำไมผมไม่พร้อมที่จะแสดงออกสักที ว่าผมรักพี่ต่าย”
ผมร้องไห้เพราะผมเสียใจ ที่ผมมันเป็นแค่คนขี้ขลาดตาขาวคนนึงเท่านั้น เป็นแค่คนแย่ๆนิสัยไม่ดีที่ไม่รู้จักโตสักที แต่พี่ต่ายก็ไม่เคยตำหนิหรือดุผมเลย แล้วผมจะทำยังไงดี
ผมยังคงร้องไห้ต่อไป ยังคงคิดอะไรไม่ออกว่าผมควรจะทำอะไรยังไงในตอนนี้ พี่ต่ายเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะเอามือจับคางผมให้เงยหน้าขึ้นมา พี่ต่ายมองผมเงียบๆ เรายังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อไปก็พอดีมีเสียงคนเข้าห้องน้ำมา
“ปวดเยี่ยวชิบหายเลยว่ะ แมร่งกรูแดกเหล้าไปหลายแก้วเลยเมิง สมกับเป็นงานไอ้ฟร๊องจริงๆเหล้าไม่อั้น มองไปทางไหนมีแต่เสริฟเหล้า เสริฟไวน์ ฮ่าๆๆๆๆ”
“เออใช่ สมกับเป็นงานเฮียแกจริงๆ พี่ว่าผมจะเมาก่อนงานเค้าจะเริ่มไม๊เนี่ย เอิกซ์ซซซ ผมว่าพวกเราคงเมาลืมตัวกันไปเลย นึกว่าเป็นงานสังสรรค์รวมเพื่อนไปแล้ว” เสียงคุยของคนเริ่มๆจะเมายังคงคุยกันต่อไป มีเสียงล้างมือแล้วก็เสียงคุยจุ๊กจิ๊กแล้วก็เงียบเสียงไปครับคงจะออกไปแล้ว
แล้วก็มีเสียงคนเดินเข้ามาอีก ผมเลยได้มีเวลาเช็ดน้ำตาโดยการเอานิ้วขยี้ตาตัวเอง พี่ต่ายดึงมือผมออกแล้วพี่ต่ายค่อยๆเช็ดน้ำตาให้ผม เรามองกันหน้ากันเงียบๆ เสียงคนภายนอกที่กำลังคุยกันไม่ได้มีผลกับเราเลยครับ
พี่ต่ายก้มหน้าลงหอมแก้มผม เอาริมฝีปากนั้นเช็ดน้ำตาให้ผม พี่ต่ายพูดเบาๆให้พอได้ยินกันสองคนว่า
“พี่รักโอมนะ แล้วพี่ก็ไม่ได้โกรธโอมด้วย”
“พี่แค่น้อยใจนิดหน่อยเอง....พี่”
“ไอ้โอมจ๋ามันไปไหนว่ะ เบ็ตตี้ว่ามาเข้าห้องน้ำแล้วก็แยกกันไป เมิงเห็นบ้างไม๊”เสียงเปเล่ครับ มันคงหาผมไม่เจอเพราะก่อนออกมาผมก็ไม่ได้บอกมัน เพราะเห็นมันคุยกำลังคุยกันกับเพื่อนๆอย่างเมามันเลยปลีกตัวออกมาเลย
“ไม่เห็นว่ะ อะไรว่ะไม่เห็นหน้าเมียหน่อยเดียวคิดถึงเหรอว่ะไอ้เล่เอ๊ย ฮ่าๆๆๆๆ”อ้าวๆๆๆไอ้เพื่อนผมอีกคนจะทำผมเป็นเรื่องอีกแล้วซิ ผมเงยหน้ามองหน้าพี่ต่ายกำลังขมวดคิ้วเลยครับ
“ไอ้ห่าติ๊ด มึงอย่าไปแซวโอมจ๋าแบบนี้ต่อหน้าน่ะเว้ย แม่งเดี๋ยวมันกระทืบกรูตาย มันบอกว่าโตแล้วเลิกเล่น” เสียงเปเล่มันจริงจังมากเลยครับ ผมค่อยยิ้มสบายใจกับพี่ต่าย พี่ต่ายเลยคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออกแล้วส่งยิ้มตอบให้ผม
“แล้วอีกอย่่างนึงเดี๋ยวเมียตัวจริงกรูมาแหกอกกรูเอา นี่ก็ไม่รู้พาลูกไปวิ่งเล่นที่ไหน จะพามาแนะนำให้เห็นแม่ใหญ่มันซะหน่อย ฮ่าๆๆๆ โอมจ๋าก็ไม่รู้หายกบาลไปไหน”
ผมแทบปิดปากกลั้นไม่ให้เสียงหัวเราะออกมาไม่ทัน “อุ๊บส์สสสสสส”
พี่ต่ายต้องยกนิ้วมาปิดปากผมทำเสียง “จุ๊ๆๆๆ” แล้วยิ้มๆ
ผมไม่เคยรู้เลยว่าเปเล่มันมีเมียมีลูกแล้ว อะไรกันเนี่ย???? ข่าวนี้ออกจะเป็นข่าวใหม่สำหรับผมจริงๆ แล้วเมื่อกี้มันมานัวเนียผมเป็นคนโสดเลยนะเมิง ไม่ได้กลัวว่าลูกเมียจะมาเห็น คำว่าอายมันคงสะกดไม่เป็น แสบจริงๆ.....แล้วก็เจือกปิดปากเงียบไอ้เสือสิ้นลาย แถมแต่งงานก็ไม่บอกอีกต่างหาก แต่ครั้งนี้ผมเห็นพี่ต่ายฉีกยิ้มหวานเลยครับ ผมเลยรอดตัวไปอีกคดีนึง คงไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอังกฤษแบบคนอื่นที่หนีคดีหรอกครับ เหอๆๆๆ.....

“เออแล้วเมิงก็ไม่พาเมียมารู้จักเพื่อนๆกัน อะไรว่ะทำตัวเป็นคนโสดเลย แยกกันเดินตัวใครตัวมันเลยนะเมิงไอ้เล่ ทำเป็นไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอเลย”เสียงไอ้ติ๊ดหัวเราะเบาๆ
“ก็กรูขอวีซ่าเมียกรูมาอ่ะดิ ขอคุยกะเพื่อนก่อน เดี๋ยวกรูค่อยไปดูลูก สลับเวรกันโว้ย” ก็นับว่ามันยังเป็นคนดีครับเกรงใจภรรยา เสียงของเพื่อนผมค่อยๆเงียบๆไป แล้วก็ได้ยินเสียงปิดประตูเพื่อนผมสองคนเดินออกไปแล้วครับ
พี่ต่ายจูบปากผมเบาๆแล้วก็บอกผมว่า “เลิกร้องไห้ได้แล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนๆก็สงสัยหรอกว่าโอมร้องไห้ทำไม ตาแดงหมดแล้วนะ” ผมพยักหน้าให้พี่ต่าย แล้วสูดน้ำมูกที่กำลังจะไหลออกมาให้เข้าไป พูดด้วยน้ำเสียงอู้ๆอี้ๆว่า
“ก็ผมเสียใจที่ทำให้พี่ต่ายน้อยใจ........ ทำให้พี่ต่ายผิดหวังในตัวผม”ผมคิดแบบนั้นจริงๆครับ เวลาที่เรารู้ตัวว่าเราทำให้คนที่รักเราเจ็บ ผมว่าเราเองก็เจ็บไปไม่น้อยกว่าเค้าหรอกครับ เพราะเมื่อรักกันแล้วก็ไม่มีใครอยากทำร้ายกัน ไม่ว่าทางใดก็ตามหรอกครับ
“เดี๋ยวผมจะไปบอกกับเพื่อนๆทุกคนเองว่า...ว่าพี่ต่ายเป็นแฟนผม แล้วเราก็รักกัน”ผมก็กะว่าจะพูดจริงๆนะครับ ในเมื่อความจริงเป็นแบบนี้ผมจะหลีกจะหลบไปทำไมกัน ยังไงๆความจริงนี้ก็ต้องอยู่คู่กับผมไปตลอดชีวิตที่ผมยังเหลืออยู่
พี่ต่ายรวบตัวผมมากอดแน่น น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูก็รู้ว่าดีใจ ถึงแม้ผมจะไม่เห็นหน้าพี่ต่ายชัดๆก็ตาม
“โอมไม่ต้องทำเพื่อพี่ถึงขนาดนั้น แค่โอมพูดมาแบบนี้ให้พี่ได้ยินพี่ก็ดีใจแล้ว โอมทำไปตามความเหมาะสมเถอะนะ”
ผมโอบกอดตอบพี่ต่ายไปโดยไม่รู้ตัวตอนนี้เราเลยกอดกันกลมเลยครับ
ในบรรยากาศที่เงียบสงบ.....มีเพียงเราสองคน

.............. ในห้องส้วมคนพิการ เอิกซ์ซซซซซซ ถ้าผมจะซึ้งนี่มันจะผิดที่ผิดทางไปไม๊
แต่สงสัยพี่ต่ายกำลังอินครับ ไม่ได้สนใจเลยว่าเราอยู่ที่ไหน พี่ต่ายก็ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
“พี่รู้ว่าคนไหนที่โอมควรบอก คนไหนที่ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้”
พี่ต่ายก็ยังคงเป็นพี่ต่ายที่ใจดีกับผมเสมอๆครับ น้ำเสียงที่อบอุ่นของพี่ต่ายทำให้ผมอุ่นใจเสมอ
“พี่แค่อยากให้โอมยืนอยู่เคียงข้างพี่ แล้วสามารถบอกคนอื่นได้เต็มปาก.... อย่างมีความมั่นใจเพียงพอ ว่าโอมมีพี่เป็นแฟน เป็นคนที่โอมรัก”
“ยังไงพี่ก็ให้ความรู้สึกเชื่อมั่นของเราสองคนมาก่อนเสมอ ถ้าเราเองยังไม่แน่ใจในกันและกัน ความรักเราก็ไปไม่รอดหรอกโอม”
“ความรักของเราในสายตาคนอื่นมันเป็นเรื่องรองนะ พี่จะแคร์ก็เฉพาะความรู้สึกของคนที่เรารัก เราให้ความสำคัญเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆเค้าจะคิดยังไงพี่ไม่สนใจ”
ผมพยักหน้าหงึกๆ ผมเข้าใจที่พี่ต่ายพูดทุกอย่าง และก็เห็นด้วยทุกอย่าง ถ้าแม้แต่ตัวผมเองยังไม่มั่นใจในความรักของเราหรือในตัวพี่ต่าย ถึงผ่านวันนี้ไปได้ ปัญหาเดิมๆก็ต้องกลับมาอีกครั้ง เราก็ผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมายถ้าจะมาตกม้าตายกับเรื่องพวกนี้ เวลาที่ผ่านมาก็คงไร้ความหมาย
ผมได้ยินเสียงคนเข้าห้องน้ำมาอีกแล้วครับ คราวนี้เข้าห้องข้างๆแล้วปิดประตูด้วย สักพักเริ่มมีเสียงมีกลิ่นแล้วครับ ผมเลยปิดจมูกแล้วสะกิดพี่ต่ายว่าออกไปดีกว่าไม่ไหวแล้วครับมันเหม็น
ก่อนที่เราจะออกไปจากห้องน้ำพี่ต่ายพาผมมาล้างหน้า แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้ผมด้วยความอ่อนโยน ผมแอบคิดแล้วเมื่อกี้มีทำไมมาเอากระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำตาให้ผมล่ะ ผมเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความขัดใจ
“แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เอามาให้ผมใช้ล่ะ”
อ้าวตายอ่า....เผลอพูดที่คิดในใจออกมาอีกแล้ว กร๊ากกกกก
“อ้าว....เออ...พี่ลืม...โทษทีโอม ฮ่าๆๆๆๆ ช่างมันเถอะนะครับ”พี่ต่ายส่ายหัวแล้วหัวเราะกับหน้าตางอง้ำของผม
“แก้มกับก้นของโอมก็คล้ายๆกัน ป่องๆ มีสองข้าง น่ารักน่าหยิกเหมือนๆกัน” ไม่พูดเฉยๆครับมาหยิกแก้มผมด้วย
เง้อ....เอากับพี่ต่ายซิ พูดจากดำก็เป็นขาวไปได้เรื่อยเลยนะ แก้มกับก้นนี่มันคนละเรื่องยังเอามาเทียบกันได้อีก
ผมเลยต้องเอามือปัดมือพี่ต่ายออก แล้วรีบจูงมือพี่ต่ายออกมาจากห้องน้ำครัับ ไม่อยากสร้างตำนานรักในส้วมต่อไปแล้ว แค่นี้ก็เริ่มส่งกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาออกมาแล้ว ไหนจะกลิ่นจากคนอื่น ไหนจะกลิ่นเรื่องง้องอนน้ำเน่าของเราอีก
พอเราเข้าไปในงาน ก็พบว่าพิธีนำตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวข้ามาในงานกำลังจะเริ่มแล้วครับเพราะเค้าหรี่ไฟให้เห็นเพียงสลัวๆ ตรงกลางทางเดินที่เดิมมีพรมแดงปูอยู่ได้ถูกเคลียร์พื้นที่จัดให้แขกที่มาในงานยืนแหวกออกจนเห็นทางเดินอย่างชัดเจน
เพลงเริ่มรักบรรเลงเบาๆครับ แขกทุกคนหยุดส่งเสียงคุยเพื่อรอคอยคู่บ่าวสาวที่กำลังจะเดินเข้ามาในงาน แล้วก็มีเด็กผู้หญิงน่ารักๆสองคนแต่งตัวเป็นนางฟ้าน้อยๆมีปีกเดินช้าๆนำบนพรมแดงมาก่อน ถือกระเช้าที่มีดอกกุหลาบเดินโปรยกลีบกุหลาบมาตามทางเดิน
ต่อจากนางฟ้าน้อยๆก็มีนางฟ้าโตๆเพื่อนๆสาวของผมเองครับเดินยิ้มหวานสวยงามกันมานำโดยเบ็ตตี้ ไต๋ คิม วีวี่ บี ตู่ ต้นอ้อ แล้วก็มีเพื่อนๆของนนนี่อีกหลายคนเลยครัับ แต่ละคนแต่งหน้าแต่งตัวกันสวยงามจนผมแทบจำไม่ได้ หรือประกอบกับไฟมันสลัวๆด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ เลยยิ่งดูสวยกว่าปรกติกันไปใหญ่ ฮ่าๆๆๆๆๆ สาวๆเดินถือโคมเล็กๆที่ทำจากกระบอกไม่ไผ่มาเป็นสองแถวครับ โดยมีเจ้าบ่าวเจ้าสาว เดินเคียงคู่มาด้วยกันตรงกลาง บนทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ผมว่าผมมางานแต่งงานทีไรมันก็ดูน่าประทับใจไปซะทุกครั้งเลยครับ ผมไม่รู้ว่าคนสองคนที่มาจากคนละทิศละทาง แล้ววันหนึ่งใคร....หรืออะไรกัน กำหนดให้คนสองคนนี้ได้มารู้จักกัน ได้มารักกัน แล้วเพราะอะไรที่ทำให้คนสองคนตัดสินใจว่า ชีวิตที่เหลือนับจากนี้ของคนทั้งสอง จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ทั้งที่มีคนอยู่มากมายแต่เราก็ไม่เลือก แต่เรากลับเลือกคนๆนี้ ทางเดินนับจากนี้ของทั้งคู่คงจะมีแสงสว่างนำทาง และเดินไปด้วยเส้นทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเหมือนกับพิธีในวันนี้ครับ
แสงเทียนที่รำไรๆ เพลงเพราะๆที่คลอเบาๆ ทำเอาผมแอบตื้นตันโรแมนติคไปกับคู่บ่าวสาวด้วย ผมเลยค่อยๆสอดมือเข้าไปจับมือพี่ต่ายไว้แน่น พี่ต่ายเองก็สอดประสานกับมือผมแล้วบีบมือผมเบาๆ เราหันมายิ้มให้กันและกัน ผมรู้ว่าถึงแม้ผมกับพี่ต่ายจะไม่ได้มีงานแบบนี้ แต่เราก็จะได้เดินเคียงคู่กันไปด้วยกันบนเส้นทางของเราเองในแบบของเรา ผมดีใจจังที่เราเข้าใจกันแล้ว ทำให้เราได้มายืนมองพิธีด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ดีๆได้
พอเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเวที ก็ได้ยินเสียงพิธีกรชายกล่าว “ขอต้อนรับเจ้าบ่าวเจ้าสาวคุณฟร๊องและคุณนนนี่ขึ้นเวทีครับ” แขกที่มางานก็พร้อมใจปรบมือให้ทั้งคู่บ่าวสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่บนเวที
“ครับวันนี้ผมโยในฐานะที่เป็นตัวแทนของคู่บ่าวสาวขออนุญาตมาเป็นพิธีกรในงานครับ”
“ค่ะดิฉันกุ้งก็มาเป็นตัวแทนของทั้งคู่ เป็นพิธีกรคู่กับคุณโยค่ะ”
ช่วงนี้ทุกสายตาต่างมองขึ้นไปบนเวทีครับ พิธีกรชายผมว่าหน้าคุ้นๆครับ หน้าหวาน สวย เอ๊ะหรือเรียกว่าหล่อดี จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวเหมือนคนญี่ปุ่น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มแต่ละทีโลกนี้เป็นของเค้าไปเลยครับ แต่แปลกอยู่หน่อยที่เค้าใส่แว่นดำด้วยครับ เอ....คิดไปคิดมาผมว่าไม่หน่อยหรอกครับแปลกมากเลยด้วยซ้ำไป ทำอย่างกับเป็นนักร้อง ขึ้นคอนเสริททีไรเป็นต้องใส่แว่นดำหรือว่ากลัวตาจะเป็นต้อเพราะเจอแสงมากไปก็ไม่รู้
ส่วนพิธีกรสาวสวยร่างเล็ก ตาโต หน้าหวาน ผิวสีน้ำผึ้ง ก็มีรอยยิ้มหวานไม่แพ้พิธีกรชายครับ เธอใส่ชุดราตรีชีฟองเกาะอกรัดรูปสีเบจ มีดอกไม้เล็กๆที่เอว ปล่อยผมเป็นลอนยาวสลวย ยืนเคียงคู่กับพิธีกรชายที่ผมรู้สึกว่าไซส์ต่างกันมากไปหน่อย หึหึ แต่ก็สมกันดีครับ
“ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับประวัติของคู่บ่าวสาวพอสังเขปนะครับ”เสียงของพิธีกรก็กล่าวบรรยายถึงประวัตินิดหน่อยและหน้าที่การงานของทั้งคู่ให้ฟัง ซึ่งแขกส่วนใหญ่ก็พอจะรู้กันอยู่แล้ว จากนั้นก็เชิญแขกผู้ใหญ่มาอวยพรให้คู่บ่าวสาว คล้องพวงมาลัย แล้วก็เปล่งเสียงไชโยดื่มอวยพรกัน ตามแบบฉบับของงานแต่งงานทั่วๆไป
จากนั้นก็เป็นช่วงฉายภาพน่าประทับใจของทั้งคู่ครับ โดยมีเพลงประกอบที่ผมชอบมากเลยครับ ไฟเริ่มหรี่ให้สลัวๆอีกครั้ง ผมกับพี่ต่ายยืนอยู่ที่เสาเราจับมือกันเงียบๆ ผมขยับตัวเข้าซ้อนไหล่พี่ต่ายอย่างตั้งใจ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใจเมื่อมีพี่ต่ายอยู่ใกล้ๆ เรารับรู้ถึงเนื้อหาของภาพและเสียงอย่างอบอุ่นใจไปด้วยกัน
ทุกทีเวลาจะไปไหน ทุกทีไม่มีใครข้างๆ กาย
จะทำอะไรก็มีตัวคนเดียว จะเป็นยังไงไม่เคยต้องแคร์ใคร
ทุกทีเวลาไปดูหนัง ทุกทีไม่มีใครนั่งข้างกัน
เดินลำพังไม่มีใครสักคน ตอนจะนอนไม่เคยฝันถึงใคร
* (ช) แต่วันนี้ (ญ) ที่ฉันได้มารักเธอ
(ช) รู้สึกดี (ญ) ก็มันเหมือนได้เป็นคนใหม่
(ช) ต่อไปนี้ (ญ) จะไม่มีคำว่าเหงาใจ
สำหรับฉัน
** เธอเปลี่ยนชีวิตของฉันที่ก่อนนั้น มันช่างวังเวง
ให้เป็นชีวิตที่มีแต่เสียงเพลง
เธอเปลี่ยนให้ฉันเป็นคนที่ไม่คิดถึงแต่ตัวเอง
เธอทำให้ฉันคิดถึงแต่เธอ
หัวใจก็เลยมีความหมาย เพราะใจได้มีใครที่คู่กัน
เธอมาเติมสิ่งที่มันหายไป เธอมาเป็นส่วนที่มันสำคัญ
*,**
Change Your life , Change Your life , Change the World
Change Your life , Change Your life , Change the World
*,**
You Change the life ...
You Change my World
http://media.imeem.com/pl/3gu5unrOnY/ พี่ต่ายเป็นคนที่มาเปลี่ยนชีวิตผมจริงๆครับ ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
พอไฟสว่างขึ้นผมก็ยังคงไม่ได้ปล่อยมือพี่ต่าย และพี่ต่ายก็ไม่ได้ปล่อยมือผมเหมือนกัน เบ็ตตี้เดินมายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สะกิดผมเบาๆ ผมเลยต้องปล่อยมือจากพี่ต่ายไปด้วยความเสียดาย
เบ็ตตี้พูดขึ้นมาว่า “น่ารักเนอะ”
ผมพยักหน้าตอบให้กับเบ็ตตี้ “ใช่...เป็นคู่แต่งงานที่น่ารักจริงๆ”
ผมมองคู่แต่งงานที่กำลังโต้ตอบกับพิธีกรบนเวทีอย่างสนุกสนาน ทำให้ผมอดยิ้มไปด้วยไม่ได้
“เปล่า...” เบ็ตตี้เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างจริงจังแล้วพูดต่อ
“เบ็ตตี้หมายถึง.....พี่ต่าย”
ผมฟังแล้วถึงกับสะอึกครับ สงสัยเบ็ตตี้คงจะชอบพี่ต่ายจริงๆ ผมกำมือแน่นจนรู้สึกได้ว่าเหงื่อเต็มมือ ผมไม่ได้จะชกเบ็ตนะครับที่มาปลื้มพี่ต่าย แต่ผมกำลังตัดสินใจกับตัวเอง ผมกำลังบอกกับตัวเอง ผมรู้ว่าผมควรจะทำอะไรบ้างแล้ว......เพื่อพี่ต่าย
********************************************************
งานจะเลิกแล้วนะ เตรียมตัวกลับบ้านกันได้แล้วแขกๆทั้งหลาย อิอิ
