@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115087 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


*** ตอนนี้คนเขียนใช้เวลากับมันนานไปนิด เลยมีความยาวทำลายสถิติคือประมาณ 90,000 ตัวอักษร ก็ว่าทำไมเขียนไม่จบซักที เนื่องจากขี้เกียจตัดตอน ก็เลยขอปล่อยให้ยาวเฟื้อยไปแบบนี้ โปรดอ่านตอนว่างจริง ๆ นะคะ ***




---- Away Again (ตอนปลาย) ----



 

“ต้องเลิกนิสัยนี้ได้แล้วนะครับ คุณจิวจี๋โหล่ว”

คริสซึ่งนั่งรออยู่ที่ม้านั่งปลายเตียงพูดทันทีที่อาโหล่วเดินกลับเข้าห้องมา ทันทีที่เข้าถึงห้องนอน อาโหล่วก็รีบขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คริสก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ คนคนนี้ยังคงติดนิสัยคิดว่าตัวเองนั้นสกปรกและต้องชำระร่างกายทุกครั้งก่อนที่จะมามีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาและผองเพื่อน 

“ฉัน...เอ่อ มันติดเป็นนิสัยไปแล้วน่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนานนะ”

เดวิด จิวเกาศีรษะด้วยความเก้อเขินก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ คริส ใจของเขาเต้นโครมครามเมื่อได้กลิ่นสบู่อ่อน ๆ จากกายของคนที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว

“เออ นานจริง ๆ แหละ นายจะอาบให้ตัวเปื่อยหรือยังไง? หรือว่าห้องอาบน้ำมันอยู่ไกลนัก?”

คนแซ่จิวยิ้มแหย ๆ เมื่อสักครู่เขาได้สละห้องอาบน้ำในห้องนอนใหญ่ให้คริสใช้ในขณะที่ตัวเองออกไปอาบน้ำที่ห้องนอนสำรองซึ่งอยู่ข้าง ๆ แต่ที่ใช้เวลานานก็เพราะนิสัยที่ต้องขัดสีฉวีวรรณตัวเองจนรู้สึกว่าตนนั้นหมดกลิ่นคาวเลือดหรือความโสมมที่ติดตัวมาจากงานที่กำลังทำอยู่

“ฉันก็เคยบอกแล้วว่านายไม่ได้สกปรกเลยซักนิด”

คริสถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะทำใจกล้าแล้วเป็นฝ่ายกระเถิบเข้ามานั่งเบียดไหล่กับเพื่อนเก่าแก่ เขาพยายามนึกภาพในหัวว่าพวกเด็ก ๆ ของเขาจะทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้

“ตัวนายหอมดีออก ไม่ได้เหม็นอะไรเลยสักนิด” 



“อาซิง!” 

จิวจี๋โหล่วอุทานออกมาเมื่อปลายจมูกโด่งแบบลูกครึ่งตะวันตกของหว่องซีซิงแตะเข้าที่ซอกคอของเขา ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดมาทำให้ใจเขารู้สึกปั่นป่วนอย่างหนัก คนที่โดยปกติไม่ค่อยปล่อยให้ใครเข้าใกล้หรือสัมผัสตัวขยับกายออกห่างอย่างลืมตัว คริสหน้าเสียทันทีด้วยนึกว่าตนคงรุกเร็วเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายตกใจ เขารีบลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนีหากมือเรียวเล็กแต่แข็งแรงของจิวจี๋โหล่วก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา กว่าจะทันรู้ตัว เขาก็ถูกอีกฝ่ายรวบเข้าไปกอดแน่น

“ขอโทษที ฉัน เอ่อ ฉันแค่ไม่นึก...”

จิวจี๋โหล่วพูดออกมาได้เพียงแค่นั้นแล้วก็ต้องหยุดเพื่อกลั้นก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ สำหรับเขา การที่คริสยอมเปิดปากพูดว่าต้องการคบหาดูใจกับเขานั้นก็เป็นเหมือนความฝันอันสูงสุดแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ อย่างการร่วมเรียงเคียงหมอนหรือมีสัมพันธ์ทางกายกันนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คิดหวังไว้ด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้คริสกลับส่งสัญญาณว่าเจ้าตัวพร้อมที่จะผูกสัมพันธ์มากขึ้น มันทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มจนแทบหลั่งน้ำตาออกมา เขาซึ่งยังคงนั่งบนเก้าอี้ยาวปลายเตียงกระชับวงแขนที่กอดเอวคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจนแน่นแล้วแนบแก้มลงบนหน้าท้องของอีกฝ่าย

“คิดมากอะไรอีกล่ะครับ คุณจิว”

คริสถอนหายใจน้อย ๆ เขายกมือขึ้นลูบผมสีดอกเลาของคนที่ซบหน้าอยู่กับกายของเขาเบา ๆ

“เมื่อเช้าฉันยังบอกนายไม่ชัดพออีกเหรอ? หืมม์?”

หว่องซีซิงดันกายคนที่เขาตั้งใจจะฝากหัวใจไว้ออก ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงคำพูดเชิญชวนของตน เพื่อแก้ขวยเขาตัดสินใจเลียนแบบท่าทางของลูกชายที่เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ เขาเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่มีแววสั่นไหว 

“อ๊ะ อาโหล่ว!”

ก่อนที่เขาจะทันทำอะไร คริสก็ต้องอุทานเรียกชื่ออีกฝ่ายลั่นเมื่อรู้สึกว่าเท้าทั้งสองของตนลอยขึ้นจากพื้น แม้ร่างกายจะเล็กบาง จิวจี๋โหล่วนั้นแข็งแรงมากกว่าที่เห็นนัก ประกอบกับทักษะด้านวิชาการต่อสู้ มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะยกร่างเพรียวของคริสให้ลอยขึ้น จากนั้นทิ้งตัวลงบนที่นอนโดยมีร่างของอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมอก

 

“ฉันรักนาย อาซิง รัก รักเหลือเกิน”

คริสหลับตาพริ้มและฟังเสียงกระซิบกระเส่าที่ข้างหู เขายกมือขึ้นโอบหลังคนที่กอดเขาแน่นและกอดกระชับเข้า ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากและปลายจมูกที่กดย้ำ ๆ เข้าที่ซอกคอและพวงแก้ม แต่แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น เดวิด จิวก็ยังไม่กล้าที่จะประทับจูบลงบนริมฝีปากที่ดูเหมือนจะเผยอรออยู่แล้ว

“รออะไรอยู่ครับ คุณจิว”

คริสแกล้งทำหน้าบึ้งแล้วดันคนที่มัวแต่รีรอออก จากนั้นลุกขึ้นนั่ง เดวิดที่มีใบหน้าเจื่อนจ๋อยรีบลุกขึ้นนั่งตาม เขาพูดพึมพำออกมาเบา ๆ

“ฉัน...ฉันไม่แน่ใจว่านายจะพร้อม”

จิวจี๋โหล่วหยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แล้วฉันก็กลัว...กลัวว่าฉันจะไม่ดีพอสำหรับนาย”

คริสถอนหายใจเบา ๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจือความไม่มั่นใจนั้น เขาเอื้อมมือไปเกาะกุมมือที่กำแน่นของคนเบื้องหน้า

“จิวจี๋โหล่ว”

หว่องซีซิงเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ที่ฉันพูดกับนายไปเมื่อเช้านี้ไม่ได้ทำให้นายเข้าใจเลยเหรอ?”

อาซิงของจิวจี๋โหล่วบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ

“ได้ ถ้านายยังคงไม่มั่นใจ เราก็มานั่งคุยกันหน่อย”

คริสขยับนั่งตัวตรงแล้วกระแอมเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส



“คุณจิวครับ ผมต้องการจะเจรจากับคุณเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคน”

เดวิดมองคนตรงหน้าผู้สวมหน้ากากของ CEO ที่กำลังจะเจรจาและทำสัญญาครั้งสำคัญ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ

“เชิญคุณหว่องเสนอมาเลยครับ”

คริสพยายามปั้นหน้าให้เคร่งขรึมแต่ในที่สุดเขาก็หลุดขำออกมาไม่ได้ เขาโคลงหัวน้อย ๆ และยื่นมือไปเกาะกุมมือของคนที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า

“ฉันอยากถามนายนะ อาโหล่ว ที่นายบอกว่ารักฉันน่ะ นายมั่นใจแล้วใช่ไหม?”

คริสถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน จิวจี๋โหล่วพยักหน้าตอบรับทันควัน

“ฉันไม่เคยมั่นใจเรื่องไหนเท่าเรื่องนี้มาก่อนในชีวิต...”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะประกาศความรู้สึกของตัวเองออกมาอีกครั้ง

“ฉันรักนาย หว่องซีซิง รักมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เรายังเป็นเด็กและจะรักตลอดไป”

จิวจี๋โหล่วบีบมืออาซิงของเขาไว้จนแน่น ส่วนคริสนั้น แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่การได้ยินมันออกอย่างชัดเจนอีกครั้งทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว

 

“ฉันจะยังไม่ถามตอนนี้หรอกนะว่าทำไมนายรักฉัน...”

คริสพูดพร้อมเน้นย้ำคำว่า “ตอนนี้” ที่เขาพูดไปเช่นนั้นก็เพราะรู้ดีว่าพวกเขายังมีเวลาพูดคุยเรื่องนี้อีกนานนัก

“แต่ที่ฉันอยากรู้คือ ในเมื่อนายรักฉัน ทำไมนายถึงลังเลและมีทีท่าเหมือนจะปฏิเสธฉันล่ะ?”

“ฉัน เอ่อ เพราะฉัน...”

หว่องซีซิงอ้ำอึ้ง

“หรือเป็นเพราะนายคิดว่าฉันยังรักอันเดรสและจะไม่มีวันรักนายได้?”

คริสถามรุกไล่ อาโหล่วจนด้วยคำพูดและก้มหน้านิ่ง มือที่เคยเกาะกุมมือของคริสไว้เลื่อนหลุดออกอย่างหมดแรง

“เฮ้อ นายนี่มันจริง ๆ เลยนะ”

คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาจับบ่าทั้งสองของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขย่าอย่างแรงแล้วเอ็ดขึ้นทันที



“บ้า นายมันบ้า รู้ตัวไหม?!...”

เสียงตวาดเบา ๆ ของคริสทำให้เดวิดนั่งตะลึง

“ที่เราคุยกันเมื่อคืนน่ะ นายลืมไปหมดแล้วหรือไงว่าตัวเองพูดอะไรออกมา? ”

คริสแทบอยากทึ้งผมขาว ๆ ของคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้

“นายบอกฉันเองว่าให้ปล่อยวาง บอกฉันเองว่าคนคนนั้นเขาจากไปนานแล้ว ตัวฉันควรจะเลิกยึดติดและมีความสุขได้เสียที นายพูดเองนะ จิวจี๋โหล่ว...”

คริสหยุดพักหายใจแล้วพูดต่อ

“แต่พอฉันปล่อยวางได้จริง พอฉันพร้อมที่จะมีความสุขอย่างที่ฉันควรจะมีได้จริง นายก็กลับมาปอดแหกเองอย่างนั้นเหรอ?”

จิวจี๋โหล่วนั่งตะลึงแล้วปล่อยให้คนตรงหน้าเขย่าคอเขาอยู่เช่นนั้น



“งั้นฉันจะขอพูดกับนายตรง ๆ อีกครั้งนะ ใช่! ฉันยังรักอันเดรส ความรู้สึกที่มีให้เขาจะยังคงไม่เปลี่ยน ทั้งเขาและแคทจะยังอยู่ในใจฉันตลอดไป เหมือนกับที่เมียนายจะยังอยู่ในใจนาย แต่ฉันก็จะไม่ปิดกั้นตัวเองอีก ฉันพร้อมแล้วที่จะมีรักครั้งใหม่ พร้อมแล้วที่จะมอบใจและกายไว้ในมือใครสักคน...”

คริสเอื้อมมือไปเกาะกุมมือคนที่นั่งก้มหน้าอยู่

“และคนคนนั้น คือนาย จิวจี๋โหล่ว ฉะนั้น ขอร้องล่ะ เลิกห่วงเรื่องอันเดรสได้แล้ว โอเคไหม?”

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วบีบฝ่ามือที่เล็กกว่าฝ่ามือของเขาเบา ๆ คนตรงหน้าดูเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไปเสียแล้ว

“ฉัน เอ่อ ฉันไม่ได้กลัวว่านายยังรักคนคนนั้นอยู่ ฉันไม่เคยคิดจะไปแข่งหรือไปแทนที่เขาในใจนายหรอก...”

ผู้แข็งแกร่งในวงการใต้ดินหากอ่อนแอในเรื่องของความรักพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขายกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ ด้วยความประหม่า

“...แต่ฉันไม่มั่นใจว่าจะทำให้นายมีความสุขได้...”

คนที่ยังโลดแล่นอยู่ในโลกแสนอันตรายเงยหน้าขึ้นสบตาทรงเม็ดอัลมอนด์ที่จ้องมองเขาอยู่

“...และฉันก็กลัวว่าวิถีชีวิตและหน้าที่การงานของฉันมันจะไปทำให้นายลำบาก”

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ยามเช้าเมื่อคริสบอกเขาว่าพร้อมจะรับรักเขาแล้วนั้น เขาดีใจจนแทบบ้า ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าต้องการจะกลับมากับเขาที่บ้าน เขายิ่งอดลิงโลดไม่ได้ หากเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาในบ้าน เมื่อถูกถามถึงโรงฝึกที่กลายเป็นที่ทำงานและเป็นที่เก็บสารพัดความลับดำมืดของเขาไปแล้ว เมื่อเจ้าตัวเอ่ยนามภรรยาซึ่งต้องตายไปเพราะถูกลูกหลงจากงานของเขา เหตุการณ์ในวันนั้นก็วนกลับมาให้เห็น เมื่อเขาได้กอดร่างเพรียวไว้แนบอก ใจเขากลับนึกไปถึงร่างโชกเลือดและไร้วิญญาณของซิงเหมย หากสิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับหว่องซีซิง เขาคงให้อภัยตัวเองไม่ได้อีกตลอดชีวิต

 

“ฉันไม่อยากลากนายเข้ามาพัวพันกับชีวิตวุ่น ๆ ของฉัน...ฉัน...”

“ชู่ว์ พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว อาโหล่ว”

คำพูดที่กำลังจะออกมาจากปากของเดวิด จิว ถูกอุ้งมือของอีกฝ่ายหยุดไว้

“จะมีความสุขหรือไม่ จะมีอันตรายหรือไม่ มันเป็นเรื่องในอนาคต และฉันจะเป็นคนตัดสินมันเอง นายไม่ต้องมาคิดแทนฉันหรอกน่า...”

คริสส่งยิ้มละไมให้คนตรงหน้า

“ตอนนี้ฉันแค่อยากถามนายว่า นายพร้อมที่จะรับฉันเป็นคนของนายหรือยัง?”

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์จ้องลึกเข้าไปในตาที่มีแววโศกของคนที่เป็นเพื่อนของเขามาทั้งชีวิต ไวกว่าความคิด จิวจี๋โหล่วพยักหน้าระรัวทันทีทั้งที่ยังมีมือของอีกฝ่ายปิดปากอยู่

“รับ รับสิ รับ โอ๊ย!”

เดวิด จิวรีบละล่ำละลักพูดทันทีที่คริสปล่อยมือออกจากปากของเขา แต่ก็ต้องร้องออกมาเมื่อเผลอกัดลิ้นตัวเองเข้าเต็มเปา คริสหัวเราะร่าพร้อมกับอ้าแขนออกกว้าง หากแทนที่จิวจี๋โหล่วจะโผเข้ามากอดเขาอย่างที่คาดหวัง เจ้าตัวกลับดึงมือเขาอย่างแรงจนเสียหลักล้มเข้าไปในอ้อมอกของอีกฝ่ายแทน

 

“ดีใจ ฉันดีใจเหลือเกิน...”

จิวจี๋โหล่วกระซิบย้ำ ๆ ที่ข้างหูของคนรักหมาด ๆ ของเขา 

“เฮ้ ๆๆ รัดแน่นไปแล้ว”

คริสหัวเราะเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบแขนที่รัดกายเขาไว้จนแน่น

“อ๊ะ ขอโทษจริง ๆ”

อาโหล่วรีบคลายวงแขนทันทีพร้อมกับทำท่าจะดันตัวออก แต่ก็กลับเป็นคริสที่ยกแขนขึ้นโอบร่างอีกฝ่ายจนแน่นแทน เขาแนบแก้มลงกับแก้มของอดีตเพื่อนที่นั่งตัวแข็งไปเรียบร้อย

“เอ๊ะ...”

คริสอุทานเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้ม เขาดันร่างอีกฝ่ายออกแล้วก็ต้องใจหายเมื่อเห็นภาพตรงหน้า 

“โธ่ อาโหล่ว...”

หว่องซีซิงยกนิ้วขึ้นเช็ดหางตาคนที่หลั่งน้ำตาออกมาจนนองหน้า

“ขอโทษที มัน ฮึก อดไม่ได้น่ะ”

จิวจี๋โหล่ว ใช้หลังมือขยี้ตาตัวเองแรง ๆ และพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือ หว่องซีซิงหัวเราะเบา ๆ แล้วขยับกายใกล้เข้า เขารั้งร่างเล็กบางแต่แข็งแรงของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าให้เอนซบมากับกายเขาแล้วลูบหลังเบา ๆ

“อยากร้องก็ออกมาเถอะ”

คริสกระซิบแผ่ว ๆ เพียงเท่านั้น น้ำตาลูกผู้ชายของคนที่แข็งแกร่งมาตลอดชีวิตก็หลั่งไหลออกมาอีกครั้ง มันเป็นน้ำตาของความปลื้มปิติเพราะรักที่เก็บงำไว้ร่วม 50 ปีนั้นได้สมหวังในที่สุด ไม่ว่าจะผ่านเหตุการณ์อะไรมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่ว่าเขาจะเคยได้รับความรักหรือได้กกกอดใครอื่น หรือกระทั่งตอนที่เขาทำหน้าที่สามีอย่างดีเลิศให้กับภรรยาผู้ล่วงลับ ณ ซอกหนึ่งของใจของชายผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ก็ยังคงมีเงาร่างของเพื่อนที่เขาแอบรักอยู่เสมอ

“มันเป็นความจริงใช่ไหม? นายรับรักฉันจริง ๆ แล้วใช่ไหม?”

เดวิด จิวดันร่างคนที่กอดปลอบเขาออกแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คริสบอกเขานั้นเป็นความจริง คริสพยักหน้าน้อย ๆ ให้คนตรงหน้าพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้ เดวิดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะหันไปรอบกาย



“สภาพดูไม่ได้เลยฉัน”

เดวิดซึ่งคว้าผ้าห่มมาใช้แทนผ้าเช็ดหน้าบ่นออกมาเบา ๆ

“นายอุตส่าห์มาหาทั้งที ดันเป็นเสียแบบนี้ ไม่เท่เลย”

“พูดเรื่อยเปื่อยอะไรอีก ฉันเห็นสภาพแย่ ๆ ของนายมาตั้งแต่ยังเดินไม่แข็งแล้ว ยังจะต้องมาห่วงไม่เท่ต่อหน้าฉันอีกนะ”

คริสโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำบ่นของคนรักหมาด ๆ ของเขา จิวจี๋โหล่วหัวเราะเขิน ๆ พร้อมกับจ้องมองคริสอย่างไม่วางตา คำพูดของคริสนั้นถูกต้องทุกประการ พวกเขาทั้งสองเห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แม้ตัวเขาจะใกล้ชิดกับอู่ทินหลงมากกว่าเนื่องจากครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ที่มาเก๊าเช่นเดียวกัน แต่เขากับคริสซึ่งมีนิสัยละเอียดอ่อนช่างสังเกตคล้ายกันกลับรู้ใจกันดียิ่งกว่า ตอนยังเด็ก พวกเขามักต่อคำพูดให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว หรือกระทั่งรู้ความคิดอีกฝ่ายได้เพียงแค่มองตากันเท่านั้น มันเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขารู้สึกว่าอาซิงเคยรู้สึกหวั่นไหวไปกับท่าทีของเขาที่อาจเผลอแสดงออกไปบ้างว่าคิดเกินเพื่อน แต่มันก็เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนที่คริสจะหนีความร้ายกาจของแม่เลี้ยงและความเฉยชาของพ่อไปเรียนที่สหรัฐฯ

 

“จ้องอะไรฉันนักหนา หืมม์? วันนี้ฉันไม่หนีนายไปไหนแล้ว”

อาปาของฆาเบียร์ยกมือปิดสายตาของคนที่จ้องเขาจนหน้าร้อนผ่าวไปหมด จิวจี๋โหล่วดึงมือเรียวที่ยังคงนิ่มนวลแม้จะเริ่มมีร่องรอยของวัยเข้ามาแนบแก้ม

“ถึงนายหนี ฉันก็จะตามหาจนเจอ...”

คริสหน้าแดงซ่านเมื่อริมฝีปากอุ่น ๆ ค่อย ๆ ประทับลงที่หลังมือของเขา เดวิดค่อย ๆ จูบไล่ขึ้นมาตามนิ้ว ทีละนิ้ว เขาไม่ได้พูดเล่นเรื่องที่ว่าจะตามหาคริสให้เจอ ในอดีต แม้จะเป็นช่วงที่เขาหลบหนีออกจากฮ่องกงไป เขาก็ยังคงตามข่าวคราวความเป็นไปของเพื่อนคนสำคัญคนนี้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่เขาไปกบดานอยู่ที่ไชน่าทาวน์ในซาน ฟรานซิสโก มีบางคราที่เขาไปแอบจอดรถอยู่แถวย่านที่คริสและครอบครัวมาร์ติเนซอยู่เพื่อซุ่มดูความเป็นอยู่ของครอบครัวเล็ก ๆ นี้ แม้จะปวดใจที่ได้เห็นความสนิทสนมแบบถึงเนื้อถึงตัวกันของคริสกับหนุ่มละตินอย่างอันเดรสที่ทำให้เขาเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเพื่อนก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้ทุกครั้ง

“นายรู้ไหม อาซิง นอกจากลูก ๆ แล้ว นายคืออีกเหตุผลที่ทำให้ฉันยังมีชีวิตอยู่”

จิวจี๋โหล่วก้มหน้าพูดงึมงำอยู่กับมือนิ่มที่เขาเกาะกุมไว้ เขาเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มละไมให้คนที่บ่นเบา ๆ ว่าเขาพูดเกินจริงก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงจูบมืออีกฝ่ายต่อเพื่อกลบเกลื่อนแววโศกในตา ถึงจะหลุดปากพูดออกแบบนั้น ในตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าตอนที่เขานอนแบ่บจมกองเลือดอยู่ในตรอกสักแห่ง ตอนกำลังหัวซุกหัวซุนหลบห่ากระสุน หรือตอนที่ถูกตำรวจจับหรือเรียกเข้าไปสอบสวน ทุกครั้งที่เผชิญกับเหตุการณ์คับขันจวนตัว ความคิดที่แว่บเข้ามาในหัวและทำให้เขาหาทางเอาตัวรอดได้เสมอมาคือเขาต้องกลับไปหาลูก ๆ และต้องได้พบหน้าอาซิงอีกครั้งก่อนตายให้ได้

 

“...คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้นายหลุดมือไปอีกแล้ว”

ชายผู้ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นพูดเสียงดังฟังชัดพร้อมกับดึงมืออีกฝ่ายเข้ามาแนบที่ตำแหน่งของหัวใจ สิ่งที่ได้ตอบรับมาคือรอยยิ้มกว้างของคนที่นั่งหน้าแดงระเรื่อตรงหน้า

“ถึงนายอยากปล่อย ฉันก็ไม่ยอมให้ปล่อยแล้วล่ะ”

คริสบีบกระชับมือของคนที่เขาจะฝากกายและใจไว้ก่อนที่จะตัดสินใจขยับกายเข้าหา จิวจี๋โหล่วตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อริมฝีปากของคริสสัมผัสเบา ๆ เข้าที่ริมฝีปากของเขา

“มัวแต่ตกใจอะไรล่ะ ตาเฒ่า”

คนที่พยายามทำหน้าหนาเหมือนเด็ก ๆ ของเขาและเป็นฝ่ายรุกก่อนพูดด้วยใบหน้าแดงฉานเมื่อคนตรงหน้านั้นนิ่งสนิท เขาอดใจเสียไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะรุกเร็วไปหรือว่าจูบไม่ได้เรื่องจนทำให้อีกฝ่ายไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ก่อนที่เขาจะขยับกายหนี แขนที่แข็งแรงทั้งสองของจิวจี๋โหล่วก็โอบรัดเขาไว้แน่น

“อะ อืมม์”

คนที่ไร้ประสบการณ์บนเตียงโดยสิ้นเชิงได้แต่ครางผะแผ่วเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวของคนที่โชกโชนกว่าประกบแน่นเข้ากับปากของตน คริสผวากายขึ้นเมื่อลิ้นร้อนที่ดุนดันกลีบปากของเขาให้เผยอออกฉกโฉบเข้ามาและบดเบียดกับลิ้นของเขา จูบครั้งที่สองในชีวิตกับคน ๆ เดิมนั้นช่างชวนให้วาบหวามกว่าครั้งแรกที่เกิดจากความไร้สติมากนัก

“พักหายใจหน่อย อาซิง”

เดวิดถอนริมฝีปากแล้วกระซิบเตือนคนที่เพลินกับรสจูบจนทำท่าจะหายใจไม่ทัน

“...ใจเย็น ๆ ฉันยังไม่หนีไปไหน”

คริสซบหน้าลงกับบ่าของคนรักอย่างเอียงอายเมื่อถูกกระเซ้า เดวิดดันกายของคนขี้อายออกมาแล้วเริ่มสอนจูบให้กับหนุ่มซิงวัยหกสิบเศษอีกครั้ง

 

“ดีไหม?”

จิวจี๋โหล่วถามคนที่นอนระทวยอยู่ใต้ร่าง คริสพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตาพริ้ม ริมฝีปากของเขาแทบหมดความรู้สึกจากการจูบที่ยาวนานและนับครั้งไม่ถ้วน คนที่ทาบทับอยู่ด้านบนแทบทนไม่ได้เมื่อเห็นเรียวลิ้นสีชมพูเลียไล้ริมฝีปากงามได้รูปที่ตอนนี้บวมเจ่อน้อย ๆ เขาก้มหน้าลงเพื่อลิ้มความหวานจากริมฝีปากที่เขาใฝ่ฝันถึงอีกครั้ง

“อ๊ะ อาโหล่ว...”

คริสสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงส่วนแข็งขืนที่ดันดุนอยู่ที่หน้าขาของเขา

“เอ่อ ขอโทษที”

จิวจี๋โหล่วกล่าวขอโทษแล้วขยับกายออก คืนนี้เป็นคืนแรกที่เขาและอาซิงร่วมเตียงกันในฐานะคนรัก ถึงจะอยากกกกอดอีกฝ่ายแค่ไหน เขาก็ยังไม่อยากจะรุกเร้าให้อีกฝ่ายได้แตกตื่นตกใจ 

“ฉันว่าเรา เอ่อ นอนแล้วดีกว่านะ” 

จิวจี๋โหล่วพูดงึมงำพลางหันกายไปปิดไฟที่หัวเตียงแล้วเอนตัวลงนอนเคียงข้างคนรัก แต่หลังจากนอนพลิกไปพลิกมาครู่หนึี่ง เขาก็ต้องผุดลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปพูดกับผู้ร่วมเตียง

 

“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ นายนอนได้เลย”

คนที่ยังรู้สึกปวดหนึบที่กลางกายลุกขึ้นจากเตียง หากคืนนี้เขาไม่จัดการตัวเองก็คงนอนต่อไม่ได้เป็นแน่แท้

“เดี๋ยว...”

คริสลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าข้อมือคนที่กำลังจะลุกออกจากเตียงไป 

“ให้ฉัน เอิ่ม ช่วยไหม?”

คริสพูดด้วยใบหน้าแดงฉาน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เขาดึงจิวจี๋โหล่วให้นั่งลงที่ขอบเตียงก่อนจะขยับกายไปนั่งเคียงข้าง จากนั้นกลั้นใจดึงมืออีกฝ่ายมาให้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยมีใครอื่นสัมผัสมาหลายสิบปี

“ฉันก็ เอ่อ แข็งเหมือนกัน”

แม้จะไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเพราะความมืด แต่จากน้ำเสียงแผ่วเบาเจือความเขินอาย จิวจี๋โหลวพอเดาได้ว่าคนในใจของเขาตอนนี้น่าจะหน้าแดงก่ำไปถึงหูแล้ว

“เอ่อ หมายความว่า...?”

ถึงจิวจี๋โหล่วจะรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่เขาก็ขอถามอีกครั้งให้แน่ใจ

“นายเองก็ช่วยฉันหน่อย ได้ไหม?”

น้ำเสียงกึ่งเว้าวอน ผนวกกับสัมผัสแข็งเกร็งที่ได้รับผ่านกางเกงนอนเนื้อบางทำให้ในหัวของเดวิด จิวเหมือนมีเสียงระเบิดดังปุ้งใหญ่ เขาพลันลุกลี้ลุกลนดันกายอีกฝ่ายลงกับเตียงแล้วตะโบมจูบ คริสเองก็เหมือนปลดล็อคความเขินอายในตัว เขาขยับกายขึ้นนอนเต็มตัวบนเตียงแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายลงทาบทับ ทั้งคู่กอดจูบลูบไล้กายกันอย่างหิวกระหาย หากก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปไกล เดวิด จิวก็พลันหยุดมือ

 

“อาซิง นาย เอ่อ นายพร้อมแค่ไหน?”

แม้ความต้องการของเขาจะมากล้นเหลือ แต่ความห่วงคนรักของเขายังมีมากกว่า หว่องซีซิงอึ้งไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น แม้ตัวเขาจะไม่มีประสบการณ์ใด ๆ เลย แต่ความที่มีลูกชายเป็นเกย์เจ้าเสน่ห์ทำให้เขาได้รู้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างมาบ้าง

“ฉัน เอ่อ ฉันว่า...”

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์พูดอย่างตะกุกตะกัก ใจจริงเขาอยากมอบกายให้จิวจี๋โหล่วเพื่อตอบสนองความรักของอีกฝ่าย แต่เมื่อได้สัมผัสกายอีกฝ่ายไปเมื่อสักครู่แล้วนั้น เขาก็ชักไม่มั่นใจว่าตนเองจะรับมือกับอีกฝ่ายไหวในคืนนี้ 

“หึ ๆ เอาเถอะ ๆ นายไม่ต้องฝืนหรอกนะ”

เดวิด จิวหัวเราะเบา ๆ แล้วโอบรัดร่างของอีกฝ่ายไว้อย่างรักใคร่ สำหรับเขาแล้วแค่คนที่เขาหมายปองมาตลอดห้าสิบปีนี้มีใจตอบสนองความปรารถนาให้เพียงเล็กน้อย เขาก็รู้สึกสุขล้นแล้ว เขาหอมแก้มคนในอ้อมกอดหนักแล้วดันกายอีกฝ่ายให้นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน

“เราทำแบบที่เราเคยทำกันตอนเป็นเด็กก็พอแล้ว”

จิวจี๋โหล่วกระซิบแผ่ว ๆ ที่ข้างหูของคนรัก คริสหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที ใช่สินะ ตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กหนุ่มวัยกลัดมัน เมื่อครั้งที่เขามักไปแอบนอนค้างที่หอของอาโหล่วและอาหลง ในคืนที่มืดมิด บางครั้งเหล่าหนุ่มน้อยก็จะพากันนอนคลุมโปงแอบดูหนังสือปลุกใจเสือป่า เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด มือของเพื่อนข้างกายก็จะกลายเป็นมือสาวงามที่ใช้ช่วยปลดปล่อยความใคร่ให้กันและกัน คนที่ช่วยเขาบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นจิวจี๋โหล่วที่เขามักไปนอนร่วมเตียงด้วย

 

“ยังจำได้ไหมว่าต้องทำยังไง? ขึ้นสนิมแล้วหรือเปล่า?”

เดวิด จิวแซวคนรักหมาด ๆ ของเขาอย่างอารมณ์ดี คริสหน้าร้อนผ่าว เขาสบถเบา ๆ ออกมาแล้วค่อย ๆ เลื่อนมือไปบีบคลึงกลางกายที่เริ่มหดเหี่ยวลงของคนรัก จิวจี๋โหล่วครางเบา ๆ อย่างสมใจ เขาขยับกายเบียดเข้าหามือของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับริมฝีปากของเขาที่เข้าประกบกับริมฝีปากนุ่มนิ่มของหว่องซีซิง เขาจูบสั้น ๆ ย้ำ ๆ สองสามครั้งก่อนส่งเสียงถาม

“ตอนนั้น เราไม่เคยจูบกันตอนทำเลยสินะ”

เดวิดกระซิบเสียงกระเส่าข้างหูคนรักพร้อมกับซุกไซร้ซอกคอที่กรุ่นกลิ่นสบู่อ่อน ๆ เขาลอบยิ้มเมื่ออาซิงของเขาหลุดครางเสียงอ่อนหวานออกมาแทนที่จะให้คำตอบ 

“ว่าไงนะ?”

จิวจี๋โหล่วแกล้งถามซ้ำ แม้จะทำเป็นเงี่ยหูฟัง มือของเขานั้นก็เริ่มรุกรานช่วงล่างของอีกฝ่าย

“ชะ ใช่ อื๊อ อาโหล่ว อย่าแกล้งสิ”

อาปาของฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อมือร้อนผ่าวที่เคยช่วยปลดปล่อยให้ตนได้เริ่มเข้าเกาะกุมแก่นกายของเขาอีกครั้ง ปลายนิ้วที่ถูไล้วนบริเวณส่วนปลายอย่างชำนาญทำให้เขาครางฮือออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อาโหล่วยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงครางอย่างสุขสมของคนรัก มันทำให้เขาอยากป้อนความเสียวให้กับคริสอย่างเต็มอิ่ม พวกเขาทั้งสองช่วยกันใช้มือให้ความสุขกับอีกฝ่ายจนกระทั่งถึงฝั่งฝันไปด้วยกันทั้งคู่ หลังจากปลดปล่อย คริสล้มกายลงนอนแผ่อย่างหมดเรี่ยวแรง หากจิวจี๋โหล่วก็ยังไม่ยอมหยุดและขยับกายอีกครั้ง


“อ๊ะ อาโหล่ว นายจะทำอะไร?!”

คริสซึ่งนอนหลับตาพริ้มอุทานออกมาเมื่อรู้สึกถึงความเย็นชื้นของลิ้นที่ตวัดเข้าพันพัวกับแก่นกาย เขาพยายามหุบขาแล้วดันกายของคนรักออก แต่ก็สู้แรงของจิวจี๋โหล่วไม่ได้ ร่างของคนที่ยังไม่เคยพบความสุขจากโอษฐกามผวาเยือกขึ้นเมือริมฝีปากของอาโหล่วครอบลงและดูดกลืนส่วนแข็งขืนของเขาเข้าจนสุด

“อาโหล่ว อย่า มันเสียว!”

คริสบิดกายเร่า ๆ และร้องห้ามเสียงสั่น หากสะโพกที่เผลอโยกตามจังหวะของจิวจี๋โหล่วและมือที่คอยแต่จะกดหัวอีกฝ่ายทำให้อาโหล่วยิ่งเร่งจังหวะ ไม่นาน คนที่แม้จะผ่านร้อนหนาวมานานแต่อ่อนด้อยเรื่องบนเตียงก็ปลดปล่อยออกมาอย่างแรงอีกครั้ง

“อื้อหือ เยอะเชียวนะ ฉันนึกว่ารอบสองนี้นายจะ shooting blank แล้วซะอีก”

จิวจี๋โหล่วพูดยิ้ม ๆ พลางเช็ดคราบของเหลวที่ทะลักล้นออกมาจนถึงบริเวณคางออก หากคริสซึ่งหอบหายใจถี่เพราะความเสียวซ่านก็ไม่ได้สนใจคำพูดหยอกล้อนั้น แต่กลับดึงร่างของคนที่เพิ่งให้ความสุขสุดยอดแก่เขาไปเข้ามากอดแน่นและประทับจูบโดยไม่รังเกียจคราบคาวในปากของอีกฝ่าย

“มันเยี่ยมมากเลย อาโหล่ว ทำไมนายถึงเก่งแบบนี้ หืมม์? ไปหัดจากไหนมา?”

คริสหลับตาพริ้มด้วยความเหนื่อยอ่อนพร้อมกับชมคนรักของเขาไปตามเรื่อง หากคำพูดของเขานั้นกลับทำให้อีกฝ่ายตัวแข็งเกร็งขึ้นมาทันที


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Away Again - ตอนปลาย (ต่อ) ----




“เป็นอะไรไป? เอ่อ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

คริสลืมตาทันทีเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ จิวจี๋โหล่วปล่อยร่างในอ้อมอกแล้วพลิกกายลงนอนเงียบ ๆ เคียงข้างอาซิงของเขา

“มีอะไร? อาโหล่ว?”

หว่องซีซิงยันกายขึ้นนั่งทันที จิวจี๋โหล่วเม้มปากเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ฉันแค่ เฮ้อ!...”

จิวจี๋โหล่วผุดลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่คือสิ่งหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องเล่าให้ผู้ที่เป็นคนรักฟัง

“อาซิง นายก็รู้ว่าฉันรักนาย รักมาตลอด”

คริสพยักหน้า

“ที่ฉันต้องแต่งงาน ก็เพราะว่าในตอนนั้นฉันหมดหวังจากนายแล้ว อีกทั้งที่บ้านต้องการคนสืบสกุล...”

“เฮ้ ๆ ถ้านายคิดว่าฉันจะรังเกียจที่นายเคยแต่งงานมาแล้วเนี่ย นายกำลังดูถูกน้ำใจฉันอย่างมากเลยนะ อาโหล่ว”

คริสพูดเสียงเข้มแล้วบอกว่าสำหรับเขาแล้ว เขาไม่เคยคิดรังเกียจแต่กลับรู้สึกเกรงใจภรรยาผู้ล่วงลับอีกทั้งลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเดวิดด้วยซ้ำ

 

“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น...”

จิวจี๋โหล่วส่ายหัว เขากัดริมฝีปากน้อย ๆ ก่อนที่จะพูดต่อ

“จำที่ฉันเคยบอกนายได้ไหมว่าสายงานอย่างฉันที่ต้องเจอกับความเครียดและความเป็นความตายอยู่ตลอด ถ้าไม่ได้ผ่อนคลายบ้าง ก็คงเป็นบ้าแน่ ๆ...”

คนที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากพูดเสียงแผ่วเบา

“ก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายนี่ อาโหล่ว ฉันว่านายไม่ได้หรอก”

คริสพูดอย่างงง ๆ สำหรับเขานั้นแม้จะไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวด้านนี้มาก่อน แต่เขาก็คลุกคลีอยู่กับคนที่เปิดกว้างทางเพศอย่างเต็มที่อย่างฆาเบียร์และไม่ได้เห็นว่าสิ่งที่จิวจี๋โหล่วพูดมาจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด 

“มันไม่ใช่แค่นั้นสิ อาซิง...”

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะช่วงที่ฉันต้องหนีออกจากมาเก๊าไปเป็นสิบปีนั้น ฉันก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดหรือเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย...”

ชายแซ่จิวก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอาย

“นายเข้าใจไหมว่าไอ้ทุกอย่างที่ฉันพูดถึงนั้นมันหมายถึงเรื่องที่ต้องฝืนใจตัวเอง เรื่องที่น่ารังเกียจ เรื่องที่ทำให้ฉันต้องละศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ก็จำเป็นต้องทำ”

คริสเม้มปากแน่น น้ำเสียงที่แฝงความปวดร้าวของคนรักทำให้เขาอดไม่ได้และต้องรั้งร่างของเดวิด จิวเข้ามากอดไว้แน่น จากปากคำของคนรักบวกกับคำพูดของเขาที่ไปกระตุ้นความไม่สบายใจของอีกฝ่ายหนึ่งทำให้เขาพอจะเดาได้เลา ๆ ว่าสิ่งที่อาโหล่วต้องประสบมานั้นคืออะไร

 

“อาโหล่ว เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปเถอะนะ”

คริสลูบหัวอดีตเพื่อนเบา ๆ แบบเดียวกับที่เขาเคยทำยามต้องปลอบโยนลูกชาย

“นายไม่ได้คิดว่าฉันน่ารังเกียจ ใช่ไหม?”

เดวิด จิวพูดงึมงำกับอกของคนที่เขารักสุดหัวใจ เขาใจชื้นขึ้นอักโขเมื่อคริสแสดงทีท่าชัดเจนว่าไม่ได้รังเกียจอดีตของเขา

“ไม่เลย อาโหล่ว ที่นายทำก็เพราะความจำใจ ฉันจะไปรังเกียจได้ยังไง”

คริสลูบหลังคนรักเบา ๆ

“อีกอย่าง ในตอนนี้นายก็ไม่ได้ทำแบบนั้นแล้วใช่ไหม?”

จิวจี๋โหล่วดันกายออกจากอ้อมอกคนรักแล้วรีบพยักหน้า

“อายุปูนนี้แล้ว คงไม่มีใครอยากได้ฉัน...”

“มีสิ...”

คริสพูดแทรกประโยคของจิวจี๋โหล่วทันที ผู้ซึ่งมองว่าตัวเองแก่เฒ่าจนไร้เสน่ห์แล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เขามองไปที่คนรัก แสงสลัวที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเผยให้เห็นรอยยิ้มเอียงอายที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของหว่องซีซิง อาโหล่วอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าหาอีกฝ่าย หากคริสรีบขยับหลบ

"เดี๋ยวครับ คุณจิวจี๋โหล่ว คุณต้องให้สัญญากับผมก่อน..."

จิวจี๋โหล่วเอียงคอมองคนที่พยายามทำเสียงเข้ม

“...ว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกเว้นแต่จะจำเป็นจริง ๆ”

จิวจี๋โหล่วพยักหน้าแล้วตอกย้ำคำสัญญานั้นด้วยจุมพิตอย่างยาวนาน หลังจากทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว คู่รักหมาด ๆ คู่นี้จึงได้จัดการชำระล้างร่างกายแล้วตัดสินใจกลับมานอนคุยกันต่อแทนที่จะนัวเนียกันเหมือนอย่างเช่นก่อนหน้านี้ คริสได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ทางฝั่งเขาให้อาโหล่วฟัง ส่วนคนที่อยู่ในโลกใต้ดินนั้นก็ได้เริ่มเปิดปากเล่าถึงเรื่องราวบางส่วนที่เกิดขึ้นในช่วงยากลำบากของเขาที่ไม่เคยเล่ามาก่อนให้อีกฝ่ายฟัง

 

“ดึกมากแล้ว เรานอนกันเถอะ”

คริสซึ่งเผลอสัปหงกหลับไปวูบหนึ่งพูดขึ้นด้วยความงัวเงีย เดวิดพยักหน้ารับคำ เขาตบที่อกของเขาเบา ๆ คริสโคลงหัวแต่สุดท้ายก็ได้กระเถิบกายเข้าไปนอนซบแทบอกของคนรัก จิวจี๋โหล่วซึ่งอ้าแขนไว้รอรับคนในใจของเขาไว้แล้วก็โอบรัดร่างอุ่น ๆ ของคริสไว้อย่างหวงแหน เขาฝังจมูกลงไปบนผมสีทรายของคนรักก่อนจะผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับคริส คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เขาฝันเห็นอันเดรสหลังจากไม่ได้ฝันหามานาน ในฝันนั้น เขาย้อนเวลากลับไปถึงตอนที่เขาได้พบกับเพื่อนผู้เป็นที่รักเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ เรื่องต่าง ๆ ที่เขาทำร่วมกับเพื่อนสนิทก็ได้หลั่งไหลมาให้เห็นเป็นฉาก ๆ ความคะนึงหาได้หวนกลับมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาได้รับรู้ถึงสิ่งอื่นด้วย

“นี่คือสิ่งที่นายอยากบอกฉันสินะ”

ในฝัน เขาหันหน้ากลับไปคุยกับหนุ่มน้อยอายุ 18 ปีชาวปูเอร์โต ริโกซึ่งยืนยิ้มเผล่อยู่ข้าง ๆ เงาร่างในวัยหนุ่มของอันเดรสพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเข้ามากอดและจูบแก้มซ้ายขวาของเขา

“มีความสุขมาก ๆ นะและขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”

ในหูของคริสยังแว่วเสียงกระซิบนั้นยามที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา

 

“อันเดรส”

คริสผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหลุดปากพึมพำชื่อที่เคยอยู่ในใจของเขามานานกว่าสี่สิบปี ฝันนั้นสมจริงจนเขาต้องหันไปรอบ ๆ เพื่อมองหาเพื่อนรักคนนั้น คริสหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อทบทวนสิ่งที่เขาได้รับรู้จากในฝันก่อนจะลืมตาขึ้นมา สิ่งต่าง ๆ ได้กระจ่างอยู่ในหัวของเขาแล้ว 

“ที่แท้ก็เป็นนายมาตลอดสินะ”

อาปาของฆาเบียร์ยกมือขึ้นลูบศีรษะที่มีผมสีดอกเลาของคนที่ยังนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกและพรวดพราดลุกขึ้นทันทีตามความเคยชิน แต่เมื่อรู้ตัวว่าคนที่ลูบหัวของเขานั้นคือคนรัก จิวจี๋โหล่วก็ผ่อนคลายแล้วกลับลงไปนอนต่อ คริสลงนอนซบอกของอาโหล่วแล้วดึงแขนของอีกฝ่ายให้โอบเอวของเขาไว้

‘ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าพวกนายทั้งสองคนเหมือนกันถึงขนาดนี้’

คริสคิดในใจ ในตอนที่เขาเจออันเดรสครั้งแรก ความประทับใจแรกของเขาคือความรุ่มรวยน้ำใจของอันเดรส แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนิทสนมกับเพื่อนใหม่คนนี้ได้อย่างรวดเร็วก็เพราะนิสัยหลาย ๆ อย่างของอีกฝ่าย ในตอนนั้นเขายังไม่รู้ตัว แต่เมื่อมานึกย้อนดู ทั้งความร่าเริงอยู่เป็นนิจ ความใจดี ความรักความยุติธรรม ความเอาใจใส่คนรอบข้างและอีกหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งรอยยิ้มอันสดใสนั้นช่างคล้ายคลึงกับนิสัยของเพื่อนรักอีกคนหนึ่งที่อยู่แดนไกล มันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายและรู้สึกสนิทสนมด้วยได้ในเวลาอันสั้น

‘เป็นอย่างนั้นเองสินะ’

คริสรำพึงกับตนเองในใจ เขารู้ดีว่าความรักที่เขามีให้กับอันเดรสตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นคือของจริง มันเป็นความรู้สึกแท้จริงอันเกิดจากความประทับใจและความผูกพันหลายสิบปี หากจุดเริ่มต้นของความประทับใจนั้นก็คือการที่อีกฝ่ายเป็นเหมือนเงาซ้อนทับของคนที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง คนที่เขาในวัย 16 ปีเลือกที่จะปฏิเสธและรับไว้แค่ความเป็นเพื่อนเนื่องจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง



“อืมม์ อย่าซนสิ อาซิง”

คนที่นอนเป็นหมอนให้เขาซบบ่นออกมาเบา ๆ เมื่อเขาประทับจูบแผ่วเบาลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่า

“เฮ้ มีอะไรหรือเปล่า?”

จิวจี๋โหล่วยกหัวขึ้นจากหมอนเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามของเขา คริสส่ายหัวแล้วซุกหน้าลงกับอกของอีกฝ่าย

“ขอโทษนะที่ทำให้ต้องรอมาเสียนาน”

คนรู้ตัวช้าพูดงึมงำกับอกของคนที่เมื่อเป็นวัยรุ่นไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะสารภาพรัก ในตอนนั้น คริสในวัย 16 ปีได้รู้สึกตัวมานับปีแล้วว่าเพื่อนสนิทของตนนั้นอาจคิดกับตนเกินเพื่อน แต่เขาในช่วงเวลานั้นกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อและแม่เลี้ยงอยู่ในขั้นวิกฤต สิ่งเดียวที่ยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวและทำให้เขายังยิ้มได้คือเหล่าเพื่อน ๆ เขาจึงอยากคงความสัมพันธ์อันดีนี้ไว้และไม่อยากให้มันแปรเปลี่ยนเป็นอื่น แม้เขาจะปฏิเสธไม่ได้ว่าตนนั้นออกจะ “ติด” จิวจี๋โหล่วอยู่มาก แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันอาจจะเป็นเพียงเพราะความสับสนของคนที่ใช้ชีวิตอยู่แค่กับกลุ่มเด็กผู้ชายด้วยกัน หรือเพราะความรู้สึกลึก ๆ ในใจ

 

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคืออู่ทินหลง เมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่วัยรุ่น อาหลงซึ่งโตไวกว่าเพื่อน ๆ เริ่มแสดงทีท่าพิศวาสเพื่อนสนิทที่มีรูปร่างเล็กบางและหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างจิวจี๋โหล่ว หากเมื่อเขาได้รับประสบการณ์ทางเพศกับผู้หญิงที่พ่อส่งมาให้ขึ้นครู เขาก็รู้ตัวว่าความพิศวาสนั้นไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นเพียงความสนิทสนมฉันท์เพื่อนผสมกับความเก็บกดทางเพศ แต่กว่าจะรู้ตัว เจ้าตัวที่ชอบพูดสารภาพรักและไล่กอดปล้ำอีกฝ่ายแบบทีเล่นทีจริงก็โดนคนตัวเล็กกว่าอัดคืนไปหลายครั้ง รวมถึงถูกหมางเมินใส่อีกเป็นปี

ด้วยตัวอย่างนี้ มันทำให้วันหนึ่งหว่องซีซิงวัย 16 ปีตัดสินใจพูดลอย ๆ ให้เพื่อนรักอย่างจิวจี๋โหล่วฟังว่า ตัวเขานั้นยังไม่คิดมีคนรักและมีความสุขที่ได้มีเพื่อน ๆ ที่รู้ใจล้อมรอบมากกว่า หลังจากได้ยินเช่นนั้น เพื่อนที่แสดงทีท่าว่ามีใจให้เขามานานสองสามปีแล้วก็ดูเซื่องซึมไปพักหนึ่ง ก่อนอนจะกลับมามีท่าทีเป็นปกติและทำตัวเป็น “เพื่อนรัก” ของเขาต่อเหมือนกับที่เคยเป็น ท่าทีนั้นของจิวจี๋โหล่วในตอนนั้นทำให้หนุ่มน้อยวัย 16 อดรู้สึกเจ็บแปลบในอกขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาก็คิดไปว่าคงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ต้องทำร้ายจิตใจเพื่อน

‘แต่มันคงไม่ใช่สินะ’

คริสหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองในวัยหนุ่ม ปัจจัยหลาย ๆ อย่างทำให้เขาเลือกที่จะตัดรอนน้ำใจของเพื่อนก่อนที่จะสำรวจความรู้สึกของตัวเองให้แน่ชัดว่าตนคิดอย่างไรกับอีกฝ่ายกันแน่

‘ถ้าฉันคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้น อะไร ๆ ก็คงไม่เหมือนแบบนี้สินะ’

คริสนึกเรื่อยเปื่อยไปถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าเขาเลือกอีกหนทางหนึ่ง แต่ก็ต้องโคลงหัวน้อย ๆ ให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตน ในใจเขารู้ดีว่าแม้จะต้องเผชิญกับความไม่สมหวังในรักและความสูญเสียแบบที่เขาได้ประสบมาตลอดหลายสิบปี หากให้เขามีโอกาสเลือกอีกครั้ง เขาก็ยังคงเลือกชีวิตแบบที่เป็นอยู่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกเสียใจที่ได้รักอันเดรส อีกทั้งชีวิตที่เขาใช้ร่วมกันกับครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวนี้ก็แสนวิเศษจนเขาไม่คิดจะแลกมันกับสิ่งอื่นใด

นั่นคือเรื่องอดีตที่ผ่านพ้นไป หาก ณ เวลานี้ หว่องซีซิงก็พร้อมแล้วที่จะเดินไปบนเส้นทางใหม่ แม้จะยังไม่ได้พูดออกไป เขาก็อยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าไม่ว่าในอดีตเขาจะเคยรักใคร ในตอนนี้เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทุ่มเทใจให้กับคนตรงหน้าเท่านั้น

 

“หนาวเหรอ? เดี๋ยวฉันลดแอร์ให้”

จิวจี๋โหล่วถามคนที่เบียดกายเข้าในอ้อมอก คริสส่ายหน้าแล้วกระชับวงแขนที่กอดร่างคนรักให้แน่นขึ้นโดยหวังให้ความรู้สึกของเขาส่งผ่านไปถึงอีกฝ่าย

“ตัว เอ่อ ตัวนายอุ่นแบบนี้ ฉันไม่หนาวหรอก”

คริสพูดงึมงำด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ จิวจี๋โหล่วหัวเราะน้อย ๆ แล้วจุมพิตเบา ๆ บนเรือนผมของคนที่ซบหน้าอยู่กับอกของเขา

“คุยกับฉันแบบปกติเถอะ อาซิง หวานใส่ฉันตลอดเวลาแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็ทนไม่ได้หรอก”

คริสหน้าร้อนผ่าวและรีบขยับตัวออกห่างจากมือที่เริ่มซุกซนของจิวจี๋โหล่ว

“ไม่ ๆ พอ ๆ ไปไกล ๆ ฉันเลย”

คริสผลักหน้าอดีตเพื่อนของเขาให้ออกห่างจากตัว แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาพันกายจนเหมือนดักแด้เพื่อให้พ้นจากการลวนลามเล็ก ๆ ของคนข้างกาย อาโหล่วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาหยิบนาฬิกาที่ถอดวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดูแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง

“ตายล่ะ แปดโมงครึ่งแล้ว ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ แต่ถ้านายยังอยากนอนต่อก็นอนไปเถอะนะ”

เดวิดพูดพลางลุกขึ้นจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย เขานอนครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนผลอยหลับไปอีกครั้ง

 

“อ๊ะ อาโหล่ว!”

คนที่ยังง่วงงุนอยู่อุทานเบา ๆ ออกมาเมื่อร่างที่กรุ่นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่และอาฟเตอร์เชฟซุกกายเข้ามานอนเบียดในผ้าห่มอีกครั้ง ริมฝีปากเย็น ๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำเย็นมานั้นป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ พวงแก้มและเตรียมจะรุกคืบเข้าหาริมฝีปาก แต่หว่องซีซิงก็ได้ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที

“โธ่ อาซิง ฉันขอมอร์นิ่งคิสไม่ได้เหรอ?”

คนที่เตรียมตัวลงไปทำงานถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หากหว่องซีซิงก็ส่ายหน้าระรัวพร้อมยกมือปิดปากอยู่อย่างนั้น

“ฉัน เอ่อ ฉันยังไม่ได้แปรงฟัน”

เสียงอู้อี้ที่ลอดผ่านฝ่ามือทำให้จิวจี๋โหล่วอดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ ก่อนที่จะตัดสินใจคบหากัน พวกเขาสองคนเคยนอนร่วมเตียงกันแบบนี้มาบ้างยามที่มีนัดเล่นไพ่กันแบบนี้  แต่ในยามนั้นคริสก็ไม่ได้มีทีท่าระวังตัวจนน่ารักเหมือนตอนนี้



“ฉันไม่จูบปากนายก็ได้”

เดวิด จิวพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะค่อย ๆ จรดจูบแผ่ว ๆ ลงบนหลังมือที่ปิดปากไว้แน่น จากนั้นค่อย ๆ ไล่ไปตามนิ้วแต่ละนิ้ว ใบหน้าของคริสภายใต้ฝ่ามือแดงเห่อขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อรู้สึกถึงแรงต้านที่ลดน้อยลง จิวจี๋โหล่วก็ดึงข้อมือที่เขารวบกำไว้ให้ลดลงก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนปากของคนขี้อาย

“ไม่เหม็นสักนิด หอมไปทั้งตัวแล้ว...”

คนที่ดันกายคนรักลงนอนราบบนเตียงแล้วขึ้นคร่อมทับพูดเบา ๆ หลังจากลิ้มรสริมฝีปากคนรักจนหนำใจ คนที่ไม่คุ้นชินกับการจูบนอนระทวยและหอบหายใจถี่ด้วยความรัญจวนใจ เขาผวากายขึ้นน้อย ๆ เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวของคนรักเคลื่อนผ่านมาเคล้าคลึงอยู่ที่ซอกคอและกำลังจะเลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ

“พอ ๆ อาโหล่ว นายว่าจะลงไปทำงานไม่ใช่เหรอ?”

คริสดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากการกดทับของคนรัก เดวิด จิว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอ้อยอิ่งเล็กน้อยก่อนจะยันกายลุกขึ้น เขายังไม่อยากจะลุกจากเตียงที่มีคนรักนอนอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่งานก็คืองาน เขาจึงต้องจำใจจากความหวานชื่นของคนรักหมาด ๆ ของตนไป

“คราวหน้าฉันจะไม่ปล่อยนายไปง่าย ๆ หรอกนะ อาซิง”

จิวจี๋โหล่วพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะออกจากห้องไป หว่องซีซิงระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็พาลนึกไปถึงสัมผัสเร่าร้อนที่เขาและจิวจี๋โหล่วแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเมื่อคืนที่ผ่านมา มันทำให้เขารู้สึกร้อนวาบขึ้นมาทั่วทั้งใบหน้า พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ซุกหน้าลงกับหมอนของอีกฝ่ายที่เขาดึงมากอดไว้เพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตน หากกลิ่นกายของคนรักที่ยังอวลติดอยู่กับหมอนทำให้เขายิ่งอดนึกถึงความวาบหวามที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้ ท้ายที่สุดคริสก็ต้องถอนใจเฮือกแล้วลุกขึ้นนั่ง เขาข่มตานอนต่อไม่ไหวจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป

 

“ไม่นอนต่อแล้วเหรอ อาซิง?”

จิวจี่โหลวที่พึ่งลงมาจากรถกอล์ฟซึ่งพาเขากลับมาจากห้อง “ทำงาน” ทักทายคนที่นั่งอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์อยู่ในศาลาไม้ริมบึงบัวใหญ่ที่มีต้นหลิวเรียงราย คริสเงยหน้าจากนิยายสืบสวนสอบสวนที่เขากำลังอ่านติดพันอยู่แล้วยิ้มให้คนที่มีชีวิตเหมือนในนิยายของเขา

“อืมม์ นอนนาน ๆ ก็ปวดหัว ฉันเลยลุกมาอ่านหนังสือน่ะ มา นั่งด้วยกันสิ”

คริสตบตรงที่ว่างข้างตัวแล้วเรียกคนรักให้ลงนั่งเคียงข้าง แต่จิวจี๋โหล่วส่ายหัวปฏิเสธ

“นายอ่านหนังสือไปเถอะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอาของที่บนบ้านก่อน”

เดวิดพูดแล้วตั้งท่าจะเดินขึ้นไปบนตัวบ้าน เขาชะงักเล็กน้อยแล้วหันมาถามว่าคริสได้กินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง อาปาของฆาเบียร์ตอบรับแล้วไล่อีกฝ่ายให้ไปทำธุระของตนให้เสร็จ เดวิดจึงรีบเดินเข้าไปในตัวบ้าน ไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องกำมะหยี่สีแดงสด หว่องซีซิงทำตาโตเมื่ออาโหล่วยกมือซ้ายเขาขึ้นมาแล้วเอาของที่อยู่ในกล่องคล้องฉับเข้าให้



“เดี๋ยว ๆ อาโหล่ว นี่มันอะไรกัน?”

หว่องซีซิงร้องลั่น

จิวจี๋โหล่วรีบจับมือที่ทำท่าจะรูดกำไลหยกเนื้อใสสีม่วงหวานที่ข้อมือออก

“ห้ามถอดออกนะ อาซิง!”

คริสหยุดมือเมื่อคนรักพูดเสียงแข็ง แต่เขาก็อดพูดต่อไม่ได้ด้วยรู้ถึงความสำคัญของมัน

“นี่มันกำไลที่แม่นายให้ไว้ไม่ใช่เหรอ? เอามาให้ฉันทำไม?”

หว่องซีซิงถามเบา ๆ พร้อมกับมองดูกำไลหยกวงงามที่มีร่องรอยของกาลเวลาปรากฏอยู่บ้าง เขาเคยเห็นกำไลวงนี้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เขาจำได้ว่าเพื่อนของเขาเคยเอากำไลหยกม่วงวงนี้ที่มีมูลค่าสูงลิ่วมาอวดเพื่อนอย่างภูมิใจ แม่ของจิวจี๋โหล่วซึ่งเป็นลูกสาวของตระกูลค้าหยกตั้งชื่อลูกคนแรกที่อยู่ในท้องตั้งแต่ยังไม่รู้เพศว่า จี๋โหล่ว (紫璐) หรือจื่อลู่ในภาษาจีนกลางซึ่งแปลว่า “หยกงามสีม่วง” ด้วยมุ่งหวังให้ลูกคนนี้ได้มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังและพลังที่จะขจัดอุปสรรคอีกทั้งสามารถฟันฝ่าความยากลำบากต่าง ๆ ไปได้ตามความหมายของหยกชนิดนี้ เธอยังได้เฟ้นหากำไลหยกสีม่วงวงงามซึ่งถือว่าเป็นของคู่กับเหล่านักปราชญ์และนักบริหารมาเตรียมไว้ให้ลูกของเธออีกด้วย



“เอาคืนไปเถอะ อาโหล่ว ของสำคัญแบบนี้ฉันไม่กล้ารับไว้หรอก”

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์พยายามส่งกำไลที่มีสีม่วงเสมอกันทั้งวงนั้นคืนให้คนรัก เขาจำได้ว่าอาโหล่วเคยพูดอย่างภูมิใจว่ากำไลวงนี้ของเขานั้นทำมาจากหยกม่วงไร้ตำหนิชั้นเยี่ยมที่นาน ๆ จะหาขนาดใหญ่พอทำกำไลสักวงได้ มูลค่าของมันในปัจจุบันนี้อาจจะพุ่งสูงถึงเจ็ดหลักกลาง ๆ ได้ไม่ยาก

“รับไว้เถอะ อาซิง กำไลวงนี้ของฉันมันคู่ควรเป็นของนายตั้งแต่แรกแล้ว”

จิวจี๋โหล่วพูดยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย หากมือแข็งแรงของเขาก็ยังคงยึดตัวกำไลให้ติดกับข้อมือของคนรัก คริสเบิกตามองคนตรงหน้าเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“แม่ของฉันเคยบอกไว้ว่า กำไลวงนี้แม่ให้ฉันใส่ไว้ติดตัวก็จริง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือแม่ตั้งใจจะให้ฉันเอามันให้กับคนที่ฉันรัก...”

อาโหล่วยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยท่าทีเก้อเขิน

“...แม่บอกว่าถ้าฉันเจอคนที่รักแล้ว ให้เอามันให้คนคนนั้น ให้มันเป็นของแทนตัวของฉัน ให้คนที่ฉันรักได้รู้ว่าเขานั้นได้เป็นเจ้าของตัวและหัวใจของฉันโดยสมบูรณ์แล้ว”

หว่องซีซิงหน้าร้อนวาบ เขาก้มหน้างุดและพึมพำอะไรบางอย่างออกมา



“ว่าไงนะ?”

จิวจี๋โหล่วขมวดคิ้วแล้วยื่นหน้าเข้าไปหาคนรักใกล้ ๆ คริสหน้าแดงซ่านแล้วพูดออกมาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกนิด

“ฉันบอกว่า ฉันยังไม่ได้เป็นซักหน่อย...เจ้าของตัวนายน่ะ”

จิวจี๋โหล่วอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ แล้วยกมือขึ้นไล้แก้มคนที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างหน้าเบา ๆ

“ฉันให้ไว้ล่วงหน้าได้ไหมล่ะ? ยังไงฉันก็ไม่หนีนายไปไหนแน่อยู่แล้ว”

คริสยกมือขึ้นกุมทับหลังมือของจิวจี๋โหล่วแล้วพยักหน้าน้อย ๆ

“ฉันจะ เอ่อ รับฝากไว้ก่อนก็ได้ ถ้าวันไหนนายอยากได้คืนก็บอกแล้วกัน”

จิวจี๋โหล่วขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ชะงักไว้แล้วเปลี่ยนเป็นพยักหน้าตอบรับแทน เขาปล่อยมือที่เกาะกุมมือหว่องซีซิงไว้แล้วปล่อยให้เจ้าตัวยกข้อมือขึ้นส่องดูกำไลวงงามนั้น ในอกเขารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นสิ่งที่เขาเคยใส่ติดตัวบนข้อมือของอีกฝ่าย ในอดีต ถึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายได้มีชายในดวงใจไปแล้วและคงไม่มีวันที่เขาจะมีโอกาสได้ให้กำไลวงงามนี้ จิวจี๋โหล่วก็ได้เก็บกำไลวงนี้ติดตัวไว้และไม่คิดให้ใครแม้กระทั่งภรรยาผู้ล่วงลับ สำหรับผู้เฒ่าที่มีรักมั่นคนนี้ กำไลหยกวงนี้มีเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น



“อาซิง...”

จิวจี๋โหล่วประคองมือของคนรักขึ้นและยกมืออีกข้างขึ้นกุมตาม คริสบีบมือของคนรักเบา ๆ แล้วดึงมือซ้ายของจิวจี๋โหล่วเข้ามาและมองหาบางสิ่งที่เขาจำได้ว่าเคยอยู่ตรงนั้น

"มองหานี่อยู่สินะ"

คนที่โดนพลิกมือไปมาถามเบา ๆ เมื่อรู้ว่าเพื่อนรักของเขายังจำสิ่งที่เคยเห็นแค่ครั้งเดียวเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนได้ เขาดึงมือตนออกจากมือคนรักแล้วถอดแหวนหยกวงใหญ่ที่มีขนาดแทบเต็มโคนนิ้วนางข้างซ้ายออก คริสเหม่อมองรอยสักรูปดาวดวงน้อยสีดำสนิทที่อยู่ใต้แหวนวงนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

"นายยังจำมันได้อยู่เหรอ?"

คริสพยักหน้าน้อย ๆ แม้เขาจะไม่ได้อยู่กับเจ้าตัวตอนที่เขาตัดสินใจสัก แต่เขาก็รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร



ปลายปี 1979 หลังจากไม่ได้กลับไปฮ่องกงเสียนาน คริสก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปร่วมงานศพของย่า เขาอยู่ที่ฮ่องกงหลายวันและมีโอกาสได้ออกไปสังสรรค์กับพวกเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในปีนั้น คริสเพิ่งจบปริญญาโทจากม. S ส่วนเพื่อน ๆ ของเขานั้นก็ต่างเรียนจบจากอังกฤษมาได้ปีหรือสองปีแล้ว และเริ่มเข้ามาสานต่อกิจการของครอบครัว บางคนก็แต่งงานแต่งการไปอย่างเช่นอู่ทินหลงซึ่งดูจะมีชีวิตสมรสที่ชื่นมื่นอย่างหนักและพยายามชักชวนคนอื่นให้สละโสดตามไปด้วย

"นี่ อาซิง การมีเมียคอยดูแลนี่มันสุขที่สุดแล้วนะ รู้ไหม?"

อู่ทินหลงที่ดื่มจนเริ่มลิ้นไก่สั้นแล้วพูดพลางตบไหล่หว่องซีซิงป้าบใหญ่

"อาหลง เบา ๆ หน่อย อาซิงเจ็บแย่แล้ว..."

จิวจี๋โหล่วยื่นมือไปจับมือหยาบหนาของลูกชายชาวประมงอย่างอู่ทินหลงแล้วดึงออกจากไหล่ของหว่องซีซิง

"...อาซิงเพิ่งเริ่มทำงาน ไม่มีเวลามาคิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรอก"

เดวิด จิวพูดเสียงเรียบ ๆ อู่ทินหลงหันไปเบะปากใส่เพื่อน

"ชิชะ ทำเป็นพูดดีไปนะ อาโหล่ว แล้วใครกันที่กำลังอินเลิฟสุด ๆ หืมม์?..."

จิวจี๋โหล่วทำหน้าตาเหรอหราเมื่อจู่ ๆ อู่ทินหลงก็หันมาพูดเรื่องส่วนตัวของเขา อาหลงหัวเราะหึ ๆ แล้วหันไปหาเพื่อนอีกคนของเขา

"...นี่อาซิง นายรู้ไหมว่าไอ้เจ้านี่น่ะหมั้นแล้ว แถมยังหลงแฟนสุด ๆ เลยนะ นี่ ดู!"

ไม่พูดเปล่า อู่ทินหลงฉวยข้อมือซ้ายของเพื่อนที่นั่งตัวแข็งอยู่ขึ้นมาชูให้หว่องซีซิงดู คริสซึ่งไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนสนิทที่ติดต่อกันทางจดหมายตลอดเวลานั้นหมั้นแล้วอึ้งไปเมื่อเห็นรอยสักรูปดาวสีดำดวงน้อยบนโคนนิ้วนางข้างซ้ายของจิวจี๋โหล่ว

"ถึงขนาดสักรูปดาวที่เป็นตัวแทนของแฟนไว้บนนิ้วนางข้างซ้าย จะไม่เรียกว่าหลงได้ไง"

อู่ทินหลงเปิดปากเล่าเรื่อยเปื่อยไป เขาบอกว่าคู่หมั้นของจิวจี๋โหล่วนั้นชื่อหลี่ซิงเหมย

"ซิงเหมยที่เขียนด้วยอักษร 星 ที่แปลว่าดวงดาว และ 美 ที่แปลว่าสวยงามน่ะ เข้าใจมะ ดาวน่ะ ดาว"

จิวจี๋โหล่วรีบดึงมือของตนออกจากเพื่อนรักที่หัวเราะร่า เขาหลุบตาลงและพยายามทำท่าทางให้เป็นปกติ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2020 06:29:52 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Away Again - ตอนปลาย (ต่อ) ----



"ตอนแรกไอ้เจ้านี่นะทำมาเป็นบ่ายเบี่ยงว่ายังไม่อยากแต่งงาน อยากทำงานก่อน แต่พอซักปีที่แล้ว ไม่รู้ยังไง จู่ ๆ ก็เกิดอยากจะดูตัวขึ้นมา"

อู่ทินหลงเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติ ที่ผ่านมาครอบครัวของจิวจี๋โหล่วพยายามให้ลูกชายที่ค่อนข้างเก็บตัวและดูจะไม่สนใจสาว ๆ ที่ไหนได้ออกไปพบปะกับหญิงสาวที่คู่ควรบ้าง ทางจิวจี๋โหล่วก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงมาตลอด แต่จู่ ๆ หลังจากบ่ายเบี่ยงมานาน จิวจี๋โหล่วก็เกิดเปลี่ยนใจและยอมดูตัวกับหญิงสาวซึ่งเป็นลูกของลูกน้องคนสนิทที่เสียชีวิตไปแล้วของพ่อของเขา

"แม่ฉันที่ไปช่วยเลือกสาว ๆ ให้อาโหล่วงี้เนื้อเต้นมาก บอกว่าเป็นรักแรกพบแน่ ๆ ก็นายเล่นเห็นเทียบดูตัวปุ๊บ ก็รีบตอบรับปั๊บเลยนี่ ร้ายจริง ๆ"

อู่ทินหลงหัวเราะฮ่า ๆ พร้อมกับโอบไหล่เพื่อนสนิทแล้วเขย่าเบา ๆ คริสกัดริมฝีปากน้อย ๆ และจ้องมองเพื่อนที่พยายามเลี่ยงไม่ยอมสบตาเขาสักนิด


"อาโหล่ว ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ"

คริสซึ่งดักรออยู่หน้าห้องน้ำดึงข้อมือเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันหลายปีไว้ จิวจี๋โหล่วถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้าน้อย ๆ

"มีอะไรเหรอ อาซิง?"

คนที่ดื่มเข้าไปไม่น้อยเพื่อดับความประหม่าถามคนที่เป็นเจ้าของดวงใจเขามาเนิ่นนานด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง

"ที่นิ้วนาย เอ่อ รูปดาวนั่น...มันหมายถึงซิงเหมยจริง ๆ ใช่ไหม?"

คริสถามเสียงแผ่วเบา เท่าที่ฟังมาจากอู่ทินหลงผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด การหมั้นหมายของจิวจี๋โหล่วเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่เขาตอบจดหมายของเจ้าตัวไป จดหมายฉบับก่อนหน้าของอาโหล่วนั้นแสดงความห่วงใยเขาหลังจากได้ฟังเขาเล่าว่าอันเดรสและเมลิน่าได้แต่งงานและมีลูกชายด้วยกัน จิวจี๋โหล่วยังได้ขอให้เขากลับมายังฮ่องกงแทนที่จะต้องทนเห็นคนที่ตนหลงรักมีความสุขอยู่กับคนอื่น หากคำตอบของเขาคือเขาจะยังคงอยู่ที่สหรัฐฯ ต่อเพื่อทำงาน และเขายังจะต้องการจะอยู่ใกล้อันเดรสในฐานะเพื่อนแม้ว่าอีกฝ่ายจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม

"ใช่สิ ถ้าไม่ได้หมายถึงคู่หมั้นของฉันแล้วมันจะหมายถึงใคร?..."

จิวจี๋โหล่วพูดด้วยน้ำเสียงอันดังและสะบัดมือออกจากการเกาะกุมอย่างลืมตัว

"ฉันรักคู่หมั้นของฉัน รักจริง ๆ และดาวดวงนี้มันเป็นของเขา ไม่ใช่คนอื่น! ฉะนั้น เลิกถามซอกแซกได้แล้ว หว่องซีซิง"

คริสผงะไปเล็กน้อยเพราะน้ำเสียงที่ใส่อารมณ์ของเพื่อนแบบที่เขาเคยได้ยินไม่บ่อยนัก เขาลอบถอนหายใจก่อนจะฝืนยิ้มน้อย ๆ แล้วผงกหัวตอบรับ จากนั้นจึงเบี่ยงกายหลบให้จิวจี๋โหล่วเดินและเดินตามมาเงียบ ๆ




"ดาวดวงนี้ จริง ๆ แล้วเป็นของฉันใช่ไหม?"

หว่องซีซิงถามคนที่เคยโกหกเขาเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว หลังจากจากกันในวันนั้น เขาก็ไม่เคยถามอีกฝ่ายถึงสิ่งที่คาใจเขาเรื่องนั้นอีก แต่ในใจเขานั้นรู้อยู่เต็มอกว่าความจริงมันคืออะไร

"เฮ้อ นายก็รู้ดีนี่"

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอนกายพิงพนักม้านั่ง

"ทำไม?..."

คริสหลุดปากถามออกมาเบา ๆ จิวจี๋โหล่วขมวดคิ้วน้อย ๆ เขาไม่แน่ใจว่าคนรักหมายถึง ทำไมเขาจึงต้องโกหก หรือทำไมเขาจึงต้องไปสัก เขาจึงตัดสินใจตอบข้อหลัง

"จริง ๆ ฉันสักรูปดาวนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะหมั้นกับซิงเหมย"

จิวจี๋โหล่วก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอาย ในตอนนั้นครอบครัวของเขากดดันเขาค่อนข้างหนักเรื่องการแต่งงาน ตัวเขาก็ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ แต่แล้ววันหนึ่งจดหมายจากคริสก็มาถึง เนื้อความที่แสดงเจตจำนงว่าเจ้าของจดหมายต้องการอยู่สหรัฐฯ ต่อไปอีกเรื่อย ๆ อีกทั้งถ้อยคำที่แสดงถึงความรักในตัวอันเดรสทำให้จิวจี๋โหล่วขาดสติ เย็นวันนั้นเขาออกไปดื่มอย่างหนักและตื่นมาในตอนเช้าอีกวันโดยพบว่าเขามีรอยสักรูปดาวอยู่บนนิ้วแล้ว



"จากนั้น ฉันก็ตัดสินใจหมั้นกับซิงเหม่ยเพราะรู้ตัวว่าหมดหวังจากนายแน่แล้ว พอดีว่าชื่อเค้ามีตัวอักษร ดาว อยู่ อาหลงเลยเข้าใจผิดไปใหญ่โตเลย"

เดวิด จิวตัดสินใจเล่าให้คนรักฟังเพียงเท่านี้ เขายังละอายใจเกินที่จะเล่าว่า อันที่จริงเขาตัดสินใจเลือกลูกสาวของลูกน้องคนสนิทของพ่อคนนี้เพียงเพราะเธอมีชื่อที่ใช้ตัวอักษรเดียวกันกับคนที่เขาคิดว่าไม่อาจเอื้อมถึงแล้วคนนี้ และมันกลายเป็นสิ่งที่พาเธอมาพบจุดจบอย่างน่าเศร้า

"อาโหล่ว เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ได้นะ"

คริสเอื้อมมือมาเกาะกุมมือของจิวจี๋โหล่วไว้แล้วบีบกระชับเบา ๆ ใบหน้าที่แฝงแววเจ็บปวดของคนรักทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังนึกถึงภรรยาที่ล่วงลับไปเป็นแน่แท้

"อาซิง ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ นาย..."

ก่อนที่จิวจี๋โหล่วจะทันพูดอะไรต่อ คริสก็รีบปล่อยมือของเขาทันทีพร้อมกับเขยิบกายออกห่าง



“คุณพ่อครับ”

เดวิด จิวถอนหายใจเบา ๆ ออกมาเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เขาหันกลับไปส่งยิ้มละไมให้กับร่างสูงโปร่งสองร่างที่กำลังเดินเข้าประตูรูปวงเดือนมา

“ไง อาฟาง อาเสียน กลับมาแล้วเหรอ?”

ชายประมาณสามสิบเศษสองคนเดินยิ้มร่าเข้ามาหาเดวิด ตามมาติด ๆ ทางด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคือผู้ติดตามในชุดดำซึ่งถือกระเป๋าเดินทางใบย่อมพร้อมกระเป๋าเอกสาร ทั้งสองคนมีความสูงไล่เลี่ยกัน หากร่างหนึ่งนั้นใหญ่หนาและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง ส่วนอีกคนนั้นร่างเพรียวบางติดจะอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ ทั้งสองสวมเสื้อเชิร์ตลำลองกับกางเกงผ้า เดวิดลุกขึ้นสวมกอดคนทั้งสองพร้อมตบหลังเบา ๆ เขากระซิบถามบางอย่างเป็นภาษาที่คริสไม่เข้าใจ ทั้งสองคนค้อมศีรษะรับแล้วพูดโต้ตอบมาสองสามประโยค จากนั้นจึงหันมาทักทายคริสด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุน

“สวัสดีครับ อาหว่อง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

ชายหนุ่มหน้าตาดีผิวแทนร่างบึกบึนซึ่งตัดผมรองทรงสั้นเหมือนทหารค้อมหัวให้คริส พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ค้อมหัวตอบน้อย ๆ

“สวัสดี อาเสียน สบายดีไหม?”

คริสทักทายลู่เสียนหนึ่งในลูกชายฝาแฝดของเดวิด จิว

“แหม ทักแต่อาเสียน ไม่เห็นทักผมเลยครับอาหว่อง ผมชักน้อยใจแล้วนะ”

ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับลู่เสียนแต่ดูอ่อนหวานกว่าส่งเสียงสดใสประท้วงขึ้น คริสหันไปมองใบหน้าขาวผ่องที่ล้อมด้วยผมยาวดำขลับดั่งขนนกกาน้ำแล้วคลี่ยิ้มน้อย ๆ ให้

“ไง อาฟาง เราล่ะ? เป็นยังไงบ้าง?”

ลู่ฟาง แฝดคนพี่ถือวิสาสะนั่งลงข้างคริสและใช้มือนุ่มนิ่มเกาะแขนเขาไว้อย่างฉอเลาะ

“ผมสบายดีครับ ดีใจจังที่วันนี้ได้เจออาที่บ้านพวกผม ปกติตาลุงนี่หวงบ้าน ไม่ค่อยยอมให้ใครเข้ามาเลย”

“เฮ้ย น้อย ๆ หน่อย ไอ้ฟาง”

เดวิด จิวตบหัวลูกชายปากจัดของเขาเบา ๆ ลู่ฟางหันมาค้อนพ่อของเขาปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปปะเหลาะคริสใหม่อีกครั้ง คริสหัวเราะเบา ๆ ถึงเขาจะไม่ได้เจอหน้าเพื่อนของเขาบ่อยนัก แต่เขาได้พบกับลูกชายแฝดของจิวจี๋โหล่วมาตั้งแต่ตอนพวกเขายังแบเบาะ



เด็กทั้งสองซึ่งมีอายุน้อยกว่าฆาเบียร์ 4 ปี เกิดมาในช่วงที่พ่อของคริสเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน ในช่วงนั้นเขาต้องเดินทางจากสหรัฐฯ มายังฮ่องกงบ่อยครั้งเพื่อจัดการเรื่องการโอนถ่ายอำนาจการบริหารบริษัทของพ่อเขา ในระหว่างนั้นเขาก็ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนและเล่นกับลูกที่เพิ่งเกิดใหม่ของเพื่อนสนิทด้วย เดวิด จิวตั้งชื่อเจ้าก้อนหยกแฝดว่าจิวลู่ฟาง (璐芳 หยกหอม) และจิวลู่เสียน (璐贤 หยกบริสุทธิ์) ถึงจะใช้ตัวอักษร 璐 จากชื่อ “จี๋โหล่ว” (紫璐) ของผู้เป็นพ่อ แต่จิวจี๋โหล่วก็เลือกออกเสียงชื่อลูก ๆ เป็นสำเนียงจีนกลางตามพื้นเพเดิมของภรรยามากกว่าที่จะออกเสียงว่า “โหล่วฟง” และ “โหล่วหยิ่น” ตามแบบกวางตุ้ง เด็กทั้งสองเกิดมาเป็นแก้วตาและดวงใจของคนในตระกูลจิว และยังเป็นที่รักของเหล่าเพื่อน ๆ ของอาโหล่วซึ่งพากันแวะเวียนมาเล่นกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่เนือง ๆ

หากเวลาอันแสนสุขของครอบครัวจิวก็ช่างสั้นนัก สามปีหลังจากที่ทั้งสองเกิดมา แม่ของพวกเขาก็ต้องมาเสียชีวิตลง ส่วนพ่อก็ต้องออกจากมาเก๊าไปเพื่อไม่ให้มีภัยลามมาถึงสมาชิกในครอบครัว เด็กทั้งสองโตมาโดยมีครอบครัวของน้องสาวของจิวจี๋โหล่วเป็นผู้อุปการะ พวกเขารวมถึงปู่ผู้กลายเป็นคนพิการและย่าผู้ใจสลายต้องย้ายออกจากบ้านตระกูลจิวไปอยู่กับอาสาวซึ่งเป็นภรรยานายตำรวจใหญ่เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย



ตลอดช่วงเวลาอันยากลำบาก เหล่าเพื่อนของจิวจี๋โหล่วโดยเฉพาะอาหลงและวิคเตอร์ก็พากันแวะเวียนไปช่วยดูแลครอบครัวของจิวจี๋โหล่วรวมถึงเด็กน้อยทั้งสอง ส่วนคริสนั้นก็พยายามข้ามฟากไปหาเด็กทั้งสองทุกครั้งที่กลับมายังฮ่องกง ขนมนมเนยที่เขามักนำมาให้จากสหรัฐฯ ทำให้เด็กทั้งสองโดยเฉพาะอาฟางที่ชมชอบของหวานรอคอยการมาของเขาเป็นพิเศษ

หากเมื่อจิวจี๋โหล่วจัดการกับปัญหาของเขาจนเสร็จสิ้นและกลับมายังมาเก๊า เขาบูรณะบ้านตระกูลจิวที่ถูกทิ้งร้างไปนับสิบปีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หากคราวนี้เขาไม่ได้เปิดมันต้อนรับเหล่าเพื่อนเหมือนที่เคยเป็นมา เขากลับใช้มันเป็นฐานในการปฏิบัติงานใต้ดินของตน เขายังคงฝากลูกที่เริ่มเป็นวัยรุ่นไว้กับน้องสาวเพราะตัวเขาต้องออกไปทำงานต่างแดนบ่อยครั้ง และจะรับกลับมาอยู่ด้วยในเวลาที่ตนว่าง เขามุ่งหวังให้เด็กทั้งสองใช้ชีวิตแบบเด็กธรรมดาและออกห่างจากโลกอันโสมมของเขาให้มากที่สุด

แต่สุดท้าย ลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและโทจากต่างประเทศ ทั้งสองคนก็ประกาศก้องว่าจะกลับมาช่วยงานของผู้เป็นพ่อ หลังจากผ่านการทะเลาะกันใหญ่โตอีกทั้งต้องเสียน้ำตาไปอีกมากมาย สุดท้าย เดวิด จิวก็ต้องยอมแพ้ให้กับความตั้งใจของลูก ๆ ทั้งสองคนกลายมาเป็นแขนซ้ายขวาให้กับผู้เป็นพ่อจนถึงปัจจุบัน



“คุณพ่อครับ ได้เวลาแล้วครับ”

จิวลู่เสียนผู้เคร่งขรึมหันมากระซิบบอกพ่อของเขาเบา ๆ หลังจากที่เลขาฯ คนสนิทได้รับโทรศัพท์แล้วหันมาส่งสัญญาณให้กับเขา จิวจี๋โหล่วพยักหน้ารับคำแล้วหันไปพูดกับหว่องซีซิงด้วยท่าทีลำบากใจ

“อาซิง ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะ ฉันอาจจะ เอ่อ มากินมื้อเที่ยงด้วยไม่ได้...”

“อืมม์ ๆ ไม่ต้องห่วงฉัน นายไปทำงานเถอะ”

คริสพูดแทรกขึ้นแล้วส่งยิ้มละไมให้คนรัก อาโหล่วมองริมฝีปากที่ประดับรอยยิ้มของคนรักหมาด ๆ ของเขาด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในใจ เขาอยากจะเข้าไปกอดและจูบลาคริสสักครั้ง แต่ก็ต้องห้ามใจเพราะยังไม่อยากทำอะไรโฉ่งฉ่างต่อหน้าลูกให้คริสได้เขินอาย เขาบอกลาคริสอีกครั้งแล้วจึงพาลูก ๆ นั่งรถกอล์ฟออกไปยังโรงฝึกซึ่งอยู่ด้านหลัง

 

“อ๊ะ! อาโหล่ว งานเสร็จแล้วเหรอ?”

คริสซึ่งกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านอีเมล์งานในแท็บเล็ตสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อจู่ ๆ คนรักก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ เขาบนโซฟาแล้วเอนกายพิงซบไหล่แบบไม่เกรงใจคนรอบข้าง

“อืมม์ เรียบร้อยแล้ว แล้วนายล่ะ? กินอะไรแล้วใช่ไหม?”

จิวจี๋โหล่วถามเบา ๆ พลางค่อย ๆ เลื่อนกายลงนอนซบแทบตักของอีกฝ่าย คริสอุทานเบา ๆ พลางพยายามดันอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แม้ในห้องนั่งเล่นของบ้านจิวจะมีเขาเพียงสองคนกับชานไหว่ซัน บอดี้การ์ดคนสนิทที่อาโหล่วทิ้งไว้ให้รับใช้เขา คริสก็ยังรู้สึกเขินอายที่จะแสดงทีท่าหวานชื่นกับคนรักหมาด ๆ ของเขา

“อาโหล่ว เดี๋ยวฉันหาหมอนอิงให้”

คริสพูดพลางพยายามเอื้อมมือไปหยิบหมอนอิงมาเพื่อแทนที่ตักของตน หากอาโหล่วก็ยกมือขึ้นกอดเอวคนรักไว้แน่น

“ขอฉันอยู่แบบนี้แป๊บนึงเถอะ อาซิง ขอชาร์จพลังหน่อย”

จิวจี๋โหล่วซุกหน้าลงกับตักของคนรักพลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เขาต้องการสิ่งช่วยรักษาจิตใจอย่างมากหลังจากเรื่องงานที่เขาเพิ่งถกกับลูก ๆ ไป

“หนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

หว่องซีซิงหยุดและเปลี่ยนมือที่ผลักดันอีกฝ่ายออกมาลูบผมสีดอกเลาของคนรักเบา ๆ จิวจี๋โหล่วไม่ตอบแต่เสไปชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอื่นแทน



“อืมม์ ฉันกินข้าวแล้ว คนของนายจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

คริสตอบเมื่ออาโหล่วถามซ้ำว่าเขากินอะไรแล้วหรือยัง จิวจี๋โหล่วหายไปจัดการเรื่องงานนานหลายชั่วโมงจนตอนนี้เวลาผ่านเลยไปจนถึงเกือบบ่ายสามโมงแล้ว

“แล้วนายล่ะ กินข้าวกินปลาอะไรแล้วหรือยัง?”

“กินแล้ว แต่ยังไม่อิ่ม...”

เดวิด จิวเปลี่ยนท่ามาเป็นนอนหงาย แววตาแพรวพรายที่ส่งมาทำเอาคริสใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

“...ขอของหวานล้างปากหน่อยได้ไหมครับ คุณหว่องซีซิง”

คริสหน้าร้อนผ่าวจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนรักใช้นิ้วชี้ที่ริมฝีปากตัวเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จิวจี๋โหล่วหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของอาซิงของเขา

 

“มุกลุงขนาดนี้ยังกล้าใช้อีกนะครับ ป๋า”

คริสที่กำลังโน้มกายลงน้อย ๆ สะดุ้งเฮือกแล้วรีบผลักหัวคนที่นอนยิ้มกริ่มอยู่ให้ลงจากตักเมื่อได้ยินเสียงสดใสของจิวลู่ฟางดังมาจากที่ประตูห้อง คนที่รู้สึกเหมือนตกสวรรค์รีบยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่เจ้าลูกชายตัวดีที่เดินเข้าห้องมานั่งแปะลงที่เก้าอี้นวม

“พ่อเราแค่ล้ออาเล่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก คงติดนิสัยล้อเล่นแรง ๆ จากอาหลงมาแน่ ๆ เลย”

คริสรีบระล่ำระลักแก้ตัวกับลูกชายแฝดของคนรัก เขารีบขยับกายออกห่างอีกฝ่ายด้วยเกรงว่าท่าทางสนิทสนมที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอาจจะทำให้เด็ก ๆ ทั้งสองไม่พอใจได้

“อาโหล่ว พอได้แล้ว! เลิกแกล้งฉันซักที”

คริสที่มีใบหน้าแดงก่ำใช้มือดันไหล่คนที่พยายามกระแซะกายเข้าหาอีกครั้ง



“คุณพ่อครับ...”

จิวลู่เสียนพูดด้วยน้ำเสียงระอาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“...พอเถอะครับ อาหว่องเขินใหญ่แล้ว”

หว่องซีซิงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคนรักเชื่อคำพูดของลูกแล้วหยุดทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสอง แต่เขาก็ต้องตะลึงเมื่อชายหนุ่มทั้งสองซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมฝั่งซ้ายและขวาของพวกเขาหันกายมาหาแล้วค้อมหัวลงต่ำประหนึ่งจะทำความเคารพ

“อาครับ ฝากคุณพ่อของพวกผมด้วยนะครับ”

จิวลู่เสียนพูดด้วยความนอบน้อม

“ถ้าตาลุงนี่ทำให้อาลำบากใจหรือเสียใจ มาบอกพวกผมได้นะครับ พวกผมอยู่ข้างอาอยู่แล้ว”

จิวลู่ฟางรีบเสริมมาทันทีพร้อมกับหันไปทำท่าลอยหน้าลอยตาใส่ผู้เป็นพ่อ

“พวกเรา เอ่อ...รู้แล้วเหรอ?”

คริสที่เพิ่งหายจากอาการตะลึงถามเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจ คู่แฝดสบตากันแล้วหันมาพยักหน้าน้อย ๆ ให้คนรักของพ่อของเขา

“ครับ เมื่อครู่นี้คุณพ่อได้แจ้งให้พวกผมทราบแล้ว”

ลู่เสียนผู้เรียบร้อยและเคร่งขรึมตอบอย่างเป็นการเป็นงาน แต่ถึงผู้เป็นพ่อจะไม่ได้บอกออกมา พวกเขาก็พอจะเดาได้จากการที่ได้พบคริสที่บ้านและจากกำไลหยกม่วงที่พ่อของเขาหวงนักหวงหนาบนข้อมือของเพื่อนสนิทของพ่อคนนี้



“แล้ว พวกเราไม่ เอ่อ...”

คริสพูดตะกุกตะกัก ถึงเขาจะทำใจกล้าขอคบหากับจิวจี๋โหล่วต่อหน้าป้ายวิญญาณของพ่อแม่และจิวซิงเหมย แต่การที่ต้องให้คนเป็น ๆ อย่างสองหนุ่มนี้รับรู้เรื่องด้วยนั้นมันเป็นเรื่องที่เขายังทำใจบอกกล่าวออกไปไม่ได้เพราะเขาไม่แน่ใจเลยว่าหยกแฝดคู่นี้จะมีการตอบรับอย่างไร

“รังเกียจเหรอครับ? โอ๊ย ไม่ต้องคิดมากเลยครับอา พวกผมดีใจเสียด้วยซ้ำ”

จิวลู่ฟางพูดโพล่งแทรกขึ้นมาทันที พร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือของคริสไว้มั่น

“ขอบใจนะ อาฟาง...”

คริสบีบมือลูกชายของคนรักเบา ๆ เขามองหน้าลู่ฟางก่อนจะหันไปหาลู่เสียน จากนั้นขยับขึ้นนั่งตัวตรงด้วยทีท่าเคร่งขรึม

“ไหน ๆ ก็รู้กันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น อาก็จะขอคุยกับพวกเราอย่างจริงจังเลยแล้วกันนะ...”

หว่องซีซิงหันไปหาจิวจี๋โหล่วซึ่งผงกหัวให้เขาน้อย ๆ เป็นเชิงอนุญาต เขาหันกลับมาหาชายหนุ่มทั้งสอง



“อาจะขอคบหากับพ่อของพวกเรา อาขอสัญญาว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าพ่อเราเขายังต้องการอาอยู่ อาก็จะไม่ทิ้งเขาไปเด็ดขาด...”

คริสหยุดและหันหน้าไปยิ้มให้กับคนรักซึ่งเอื้อมมือมากุมมือเขาไว้แน่นอย่างลืมตัว จากนั้นสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วพูดต่อ

“และอาต้องบอกไว้ก่อนว่าอาไม่ได้คิดที่จะมาแทนที่แม่ของเรา ฉะนั้นขอให้พวกเราปฏิบัติต่ออาเหมือนเดิม เข้าใจไหม?”

“ครับอา!”

หยกแฝดทั้งสองตอบรับด้วยความยินดี คริสสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อจิวลู่ฟางโผจากเก้าอี้ของตนเข้ามากอดเขาไว้แน่น เขาแทบทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นหยกผู้พี่น้ำตาร่วงพรูและพร่ำบอกว่าเขาดีใจแค่ไหนที่จะได้คริสมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว คริสโอบร่างสูงเพรียวไว้พร้อมกับหันไปหัวเราะเบา ๆ กับหยกผู้น้องและจิวจี๋โหล่วซึ่งได้แต่ทำหน้าระอา



“ฟาง ลุก”

จิวลู่เสียนดึงคอเสื้อแฝดผู้พี่ซึ่งมักทำตัวเป็นเด็กกว่าให้ลุกขึ้นจากตัวคนรักของพ่อ ลู่ฟางหันไปค้อนแฝดผู้น้องขวับใหญ่ก่อนจะปึงปังกลับไปนั่งที่เดิมของตน ลู่เสียนโคลงหัวน้อย ๆ แล้วลงนั่งบนที่เท้าแขนของเก้าอี้นวมตัวเดียวกับแฝดของตน

“เอ่อ อาครับ งั้นพวกผมมีอะไรจะขออาด้วยเหมือนกันกัน”

ลู่ฟางพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาหันไปยักคิ้วให้พ่อหนึ่งทีก่อนจะหันมาพูดกับคริสด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“พวกผมไม่เรียกอาว่าอาหว่องแล้วได้ไหมล่ะ? ผมว่ามันฟังดูห่างเหินชะมัดเลย”

สำหรับจิวลู่ฟางแล้ว แม้ช่วงหลังเขาจะไม่ได้เจอคริสบ่อยนักเนื่องจากเรื่องงานของพวกเขาและพ่อ อีกทั้งตั้งแต่ประธานมาร์ติเนซและภรรยาเสียชีวิตไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้กลับมาฮ่องกงบ่อยเหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่ในใจของหยกรูปงามคนนี้ยังคงมีภาพจำของคุณอาคนดีผู้มักมีขนมแสนอร่อยจากแดนไกลมาให้เขากับอาเสียนอยู่เนือง ๆ อยู ถ้าอู่ทินหลงคือลุงคนโปรดของจิวลู่เสียน หว่องซีซิงก็คืออาคนโปรดของจิวลู่ฟาง



“แล้วอยากจะเรียกอาว่าไงกันล่ะ?...”

คริสถามอย่างอารมณ์ดี จิวลู่ฟางตาเป็นประกายทันที

“งั้น ผมขอเรียกว่า แด๊ดดี้คริสได้ไหมครับ?”

“เฮ้ย ๆ ไอ้ฟาง!”

“ฟาง! พอ”

จิวลู่ฟางทำหน้าบูดเมื่อทั้งพ่อและแฝดผู้น้องส่งเสียงติงมาอย่างรวดเร็ว เขาหันไปหาคริสพร้อมกับทำหน้าเว้าวอน หากอีกฝ่ายที่มีใบหน้าแดงก่ำก็รีบส่ายหัวปฏิเสธทันที

“เอ่อ เรียกแด๊ดดี้นี่ ฉันขอเถอะ เรียกฉันว่า อาคริสแทนอาหว่องแล้วกันนะ...”

คริสรีบแย้งด้วยใบหน้าร้อนผ่าว

“...สำหรับตอนนี้ล่ะนะ”

ประโยคถัดไปที่คริสพึมพำออกมาเบา ๆ ทำให้ทั้งลู่ฟางและจิวจี๋โหล่วยิ้มกว้างออกมาทันที ส่วนลู่เสียนที่มักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าก็อดยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ออกมาไม่ได้ เขาลอบหันไปมองหน้าทั้งพ่อและแฝดผู้พี่ที่ดูดีใจอย่างออกนอกหน้าแล้วก็อดนึกสุขใจขึ้นมาไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาที่กำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังจำความแทบไม่ได้ก็เคยแสดงท่าทีให้พ่อเห็นมานานแล้วว่าพวกเขาไม่ได้มีปัญหาถ้าพ่อของเขาจะมีรักครั้งใหม่ ฉะนั้นการที่คริสจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพ่อเขานั้นไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด แต่กลับยินดีเสียด้วยซ้ำ

“อาคริส...”

จิวลู่ฟางพึมพำเรียกชื่อของอาคนโปรดของตนด้วยความรู้สึกปลื้มปริ่ม ในช่วงหลายสิบปีมานี้ มิใช่ว่าจะไม่เคยมีคนเข้ามาในชีวิตพ่อของพวกเขา จิวจี๋โหล่วมีทั้งคนที่คบหาฉาบฉวยหรือมีสัมพันธ์กันอย่างยาวนาน แต่ผู้เฒ่าใจแข็งคนนี้ก็ไม่เคยเปิดใจให้คนเหล่านั้นไปมากกว่าคนที่คบกันแค่เพียงเพื่อปลดปล่อยหรือเพื่อประโยชน์ทางด้านการงาน ในซอกหนึ่งของใจเขานั้นมักจะมีเงาของคนผู้หนึ่งซ่อนไว้เสมอและเด็กทั้งสองก็รู้ดีว่าเจ้าของเงานั้นคือใคร แม้พ่อของเขาจะพยายามปกปิดจากพวกเขาเพียงใด มันก็ไม่ยากเย็นเกินความสามารถของทั้งสองที่จะสืบหา

 

“พวกผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ...”

จิวลู่เสียนหยิบโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงเตือนออกมาปัด ๆ ดูแล้วจึงหันไปค้อมหัวให้กับผู้อาวุโสทั้งสอง เขาหันไปพยักเพยิดกับลู่ฟางแล้วพากันลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ป๋าไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวพวกผมจัดการกันเองได้ อยู่คุยกับอาคริสไปเถอะ”

จิวจี๋โหล่วที่ทำท่าจะลุกขึ้นตามชะงักแล้วหย่อนกายลงนั่งตามเดิมเมื่อได้ยินลูกชายคนโตพูด อันที่จริงงานของเขาในวันนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องไปดูแลด้วยตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นฝากหน่อยนะ”

จิวลู่ฟางทำมือเป็นเครื่องหมายโอเคส่งมาให้พ่อ แต่ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไป คริสก็ส่งเสียงเรียกทั้งสองไว้

“เอ่อ ถ้าเป็นไปได้ เย็นนี้ไว้เรากินข้าวด้วยกันนะ”

คู่แฝดชะงักแล้วหันมาพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้กับคริส ผู้อาวุโสกว่าส่งยิ้มตอบ พร้อมกับโบกมือลาทั้งสองที่ต้องไปทำภารกิจของตนเอง

 

บ่ายวันนั้นของคู่รักหมาด ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า คนทั้งสองใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มอิ่มในห้องนั่งเล่นของบ้านตระกูลจิว แม้ช่วงแรกคริสจะรู้สึกขัดเขินคนรอบข้างอย่างชานไหว่ซันที่แวะเวียนเข้ามาบริการเติมน้ำท่าหรือนำขนมขบเคี้ยวมาให้ แต่ไม่นานก็ผ่านเป็นความเคยชิน จิวจี๋โหล่วนั้นก็เฝ้าคลอเคลียอยู่กับคนที่เขารักปักใจมาหลายสิบปี เขาอ้อนขอนอนตักคนรักบ้าง ขอจุ๊บ ขอหอมประหนึ่งพวกเขาทั้งสองยังเป็นหนุ่มน้อย ในช่วงแรกคริสก็ยังมีปัดป้องบ้างด้วยความอาย แต่สุดท้ายก็ต้องใจอ่อนยอมให้อดีตเพื่อนทำตามอำเภอใจ

“อาโหล่ว ช้า ๆ หน่อย”

คริสซึ่งอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนหอบหายใจเบา ๆ เมื่อถูกคนรักจู่โจมจนหายใจไม่ทัน จิวจี๋โหล่วมองริมฝีปากแดงระเรื่อของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล เขาพยายามจะขอจูบอีกครั้ง แต่คริสก็รีบเม้มปากไว้เสียก่อน จึงได้เปลี่ยนเป็นนอนซบลงบนอกของคนที่อยู่ใต้ร่างแทน

“ฉันรักนายนะ อาซิง รักเหลือเกิน”

คริสลูบหัวคนที่พูดอู้อี้อยู่กับอกเบา ๆ ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนเรือนผมสีดอกเลา ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่สามารถบอกรักอีกฝ่ายกลับคืนอย่างเต็มปาก แต่ก็หวังว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้จะช่วยปลอบประโลมจิตใจของอีกฝ่ายได้

 

“ฉันว่าจะเปลี่ยนไปกลับเรือเที่ยวสองทุ่มน่ะ อือฮึ พวกเธอก็ตามสบายเลยนะ ไว้ค่ำ ๆ ก่อนฉันออกจากที่นี่จะโทรบอกฆาบี้เอง ได้ ไว้เจอกัน...”

“เมลิน่าน่ะ ฉันบอกเขาแล้วว่าจะเปลี่ยนไปเรือเที่ยวสองทุ่ม”

คริสซึ่งเพิ่งกดวางโทรศัพท์จากเมลิน่าหันมาบอกคนรักที่กำลังลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่ยับย่น เขายิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นประกายตาแสดงความยินดีอย่างปิดไม่มิดจากอีกฝ่าย

“สัญญากับสองคนนั้นไว้แล้วว่าจะกินมื้อเย็นด้วยกัน ก็ต้องตามนั้น”

คริสพูดพลางติดกระดุมเสื้อเชิร์ตของตนที่ถูกคนมือดีปลดลงไปหลายเม็ด เขาอุทานเบา ๆ เมื่อเหลือบไปเห็นรอยจูบเด่นชัดบนข้อมือข้างที่สวมกำไลหยกของตน

“นายนี่มันร้ายจริง ๆ นะ อาโหล่ว”

อาปาของฆาเบียร์บ่นเบา ๆ พร้อมกับพยายามถูคลึงรอยแดงจาง ๆ นั้น จิวจี๋โหล่วคว้าข้อมือคนรักมาแล้วจรดริมฝีปากลงซ้ำบนรอยแดงนั้นเบา ๆ ก่อนจะดึงร่างของหว่องซีซิงเข้ามากอดไว้แน่น

“ยังไม่กลับไม่ได้เหรอ?”

เดวิด จิวถามคนรักด้วยน้ำเสียงเว้าวอน คริสเม้มปากน้อย ๆ อย่างชั่งใจก่อนจะตัดใจส่ายหัวปฏิเสธ เพราะวันรุ่งขึ้นเขาต้องจัดการเคลียร์งานที่ฮ่องกงให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะบินกลับสหรัฐฯ ในคืนนั้น ถึงจะอยากอยู่ฮ่องกงต่อแค่ไหน เขาก็จำเป็นต้องกลับเพราะมีประชุมสำคัญในอีกไม่กี่วันถัดไป



“เดี๋ยวเดือนหน้าฉันก็อาจจะ เอ่อ มาอีก ว่าจะมาช่วงที่ฆาบี้ไปหาเจที่ไทย แล้วฉันค่อยติดต่อนายมาอีกทีนะ”

“อืมม์ แบบนั้นก็ได้ เออ ใช่สิ...”

จิวจี๋โหล่วทำท่านึกขึ้นได้ เขาเดินไปเปิดกระเป๋าเอกสารของตนพร้อมกับหยิบกล่อง ๆ หนึ่งออกมาส่งให้คนรัก

“ใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ติดต่อฉัน ฉันใส่เบอร์ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

คริสหยิบกล่องกระดาษสีดำหน้าตาเรียบ ๆ ขึ้นมาดูแล้วจึงแกะกล่องออกดู ข้างในเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องสีดำหน้าตาดูธรรมดา จิวจี๋โหล่วยื่นมือไปขอโทรศัพท์เครื่องนั้นมาจากคริสแล้วกดเปิดเครื่อง เขาจัดการกดปุ่มนั่นนี่จากนั้นก็จึงดึงฝ่ามือของคนรักไปทาบบนหน้าจอ



“เครื่องนี้ใช้ระบบสแกนเส้นเลือดดำบนฝ่ามือน่ะ ฉะนั้น เอ่อ...”

“อ๋อ แบบที่ถ้าฉันตายแล้วคนอื่นก็เอามือฉันไปสแกนเปิดไม่ได้ใช่ไหม?”

คริสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ อย่างไม่คิดอะไร หากมันทำให้จิวจี๋โหล่วหน้าเสียทันที

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น อาซิง ฉันหมายถึงมันปลอดภัยกว่าแบบสแกนนิ้วที่คนสามารถไปหาลายนิ้วมือนายมาแตะแทนได้ โธ่...”

จิวจี๋โหล่วใช้มือลูบใบหน้าแรง ๆ ใจเขานึกไปถึงเรื่องร้าย ๆ ต่าง ๆ นานาที่อาจเกิดขึ้น มันทำให้เขารู้สึกมวนท้องขึ้นมาทันที

“ไม่ นี่มันเป็นความผิดพลาด อาซิง ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรลากนายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันเลยจริง ๆ ไม่ดี ไม่ดีแน่ ๆ”

ผู้เฒ่าที่เคยผ่านการสูญเสียคนใกล้ชิดมาทรุดฮวบลงกับเก้าอี้นวม เขาฝังใบหน้าตนลงกับฝ่ามืออันสั่นเทา

 

(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Away Again - ตอนปลาย (ต่อ) ----



“เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้ จิวจี๋โหล่ว!”

หว่องซีซิงลุกพรวดขึ้นแล้วปราดเข้าขยุ้มไหล่ทั้งสองข้างของคนรัก เขากำแรงจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า

“ตั้งสติหน่อย อาโหล่ว อย่าคิดฟุ้งซ่านสิ!”

คริสตบแก้มคนรักเบา ๆ เพื่อเรียกสติ

“ฉันแค่ถามเฉย ๆ เพราะเคยได้ยินมาว่าระบบนี้จะใช้การไหลเวียนเลือดของคนในการปลดล็อค ฉะนั้นถ้ามือนั้นเป็นมือปลอมหรือมือที่ไม่มีการไหลของเลือดแล้ว จะใช้ไม่ได้ แค่อยากรู้ว่ามันแบบเดียวกันใช่หรือเปล่า แค่นั้น! ไม่ได้ถามเพื่อให้นายมาพารานอยด์แบบนี้”

อาปาของฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาดึงมือทั้งสองของจิวจี๋โหล่วมากุมไว้

“นายไม่ต้องห่วงฉันขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เห็นแบบนี้ฉันหนังเหนียวพอตัวน่า”

คริสพูดยิ้ม ๆ จิวจี๋โหล่วเงยหน้าขึ้นมองคนรักด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความกังวล



“โอเค ๆ ถ้านายห่วงนัก นายก็ทำเรื่องที่นายถนัดสิ อาโหล่ว นายก็ทำเรื่องดูแลความปลอดภัยให้ฉันซะ เอาให้เต็มที่เลย ตามที่นายอยากทำเลย แต่ขอแบบไม่ต้องโฉ่งฉ่างนักนะ โอเคไหม?”

อาปาของฆาเบียร์ลูบหัวคนรักเบา ๆ แบบที่เขาเคยปลอบลูกชาย

“ได้ ได้เลย ไม่มีปัญหาเลย อาซิง ถ้านายยอม ฉันจะให้คนจัดการให้ตั้งแต่วันนี้เลย”

จิวจี๋โหลวรีบพูด เขาเคยคุยกับเพื่อน ๆ ทุกคนเรื่องจะจัดการรักษาความปลอดภัยให้ แต่หว่องซีซิงเป็นคนเดียวที่ปฏิเสธ เขามองว่าตัวเองอยู่ไกลถึงสหรัฐฯ และไม่น่าจะมีภัยอะไรจนถึงขั้นต้องใช้บริการเพื่อน



“แต่มีข้อแม้นะ...”

คริสพูดพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจฟังของเพื่อน

“ต้องฟรี โอเค๊?”

“โอ๊ย มันแน่นอนอยู่แล้ว ใครจะกล้าเก็บเงินกับคุณล่ะครับ ที่รัก

จิวจี๋โหลวพูดโพล่งออกมาแล้วก็ต้องหน้าแดงฉานเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเพิ่งเผลอหลุดปากเรียกอีกฝ่ายว่า “ที่รัก” ออกมาเป็นครั้งแรก เขาค่อย ๆ เหลือบตาดูคนรักแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดหน้าไว้แน่น

“อาซิง นายจะปิดหน้าทำไม? หืมม์?”

อาโหล่วค่อย ๆ แกะมือของคนรักออกแม้อีกฝ่ายจะโวยว่าไม่อยากให้เขาดูก็ตาม เขาอมยิ้มเมื่อเห็นแก้มที่แดงก่ำของอีกฝ่าย มันทำให้เขาอดไม่ได้จนต้องหอมคนรักไปฟอดใหญ่



“ที่รัก...ฉันเรียกนายแบบนี้ได้ใช่ไหม อาซิง?”

จิวจี๋โหลวกระซิบถามคนที่ถูกเขาหอม ๆ จูบ ๆ จนอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน

“หืมม์? นายว่ายังไงนะ? ฉันไม่ได้ยิน?”

อาโหล่วเอียงหูไปฟังเสียงคนรักพึมพำตอบเบา ๆ

“นายอยากเรียกก็เรียกไปเถอะ ขอแค่ว่าอย่าเรียกตอนมีคนอื่นอยู่ด้วย...”

คริสพูดงึมงำ จิวจี๋โหล่วหน้าสลดไปทันที เขาคิดไปว่าคนรักคงอายที่จะให้ใครอื่นรับรู้ว่าพวกเขาคบหากัน หากคำพูดถัดไปของคริสทำให้เขามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น

“...เพราะพอนายเรียกแบบนั้น ฉันคงต้องเสียอาการแบบนี้ทุกครั้งแน่ ๆ ฉัน เอ่อ ยังไม่อยากโดนพวกเด็ก ๆ หรืออาหลงล้อเอา โอเคไหม?”

คริสพูดด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว ทันทีที่ได้ยินคำว่าที่รัก ใจของเขาก็เต้นระรัว ริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขายกมือขึ้นปิดหน้าอีกครั้งอย่างเขินอายจนโผล่มาแค่ใบหูแดง ๆ  จิวจี๋โหล่วหัวเราะเบา ๆ และตอบตกลง เขาเองก็ไม่อยากให้ใครได้เห็นท่าทางที่เขาคิดว่าน่ารักเหลือเกินนี้เช่นกัน คริสพยายามข่มความเขินอายลงจนใจที่เต้นรัวกลับมาเป็นปกติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงหันมาคุยกับคนรัก

“เรื่องความปลอดภัยที่ว่าน่ะ ฉันอยากให้นายดูแลเผื่อไปถึงฆาบี้กับเจด้วย ได้ไหม? แต่ไม่ต้องให้คนตามติดอะไรหรอก แค่คอยติดตามข่าว ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ค่อยให้คนเข้าประกบ โอเคนะ?”

จิวจี๋โหล่วพยักหน้ารับ เขาแอบคิดระแวงไม่ได้ว่าคริสอาจรู้ตัวแล้วว่านั่นคือสิ่งที่เขาแอบทำกับอีกฝ่ายมาโดยตลอดตั้งแต่พบหน้ากันอีกครั้งหลังงานศพของสามีภรรยามาร์ติเนซ แต่เขาก็ตัดสินใจปล่อยผ่านไปโดยไม่ซักถามอะไรและขอตัวลุกไปโทรศัพท์เพื่อสั่งการบางอย่างกับลูกน้อง

 


“นายครับ...”

คริสสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อเควินเขย่าตัวเขาเบา ๆ เขายันกายขึ้นนั่งตรงและหันมองไปรอบ ๆ และโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อพบว่าตัวเองยังอยู่บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นของตัวเอง

“ไม่ไหวเลย ฉันนี่เผลอหลับไปซะได้...”

คริสหันไปหัวเราะเบา ๆ กับพ่อบ้านของเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โซฟา เขายกแขนขึ้นบิดขี้เกียจน้อย ๆ

“นี่กี่โมงแล้ว?”

“เที่ยงคืนกว่าแล้วครับ”

“อ้อ...”

คริสพยักหน้ารับ เขานึกว่าเขางีบหลับไปนานกว่านั้น แต่อันที่จริงมันผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง



‘ถึงขั้นเก็บมาฝันหาเชียวนะ หว่องซีซิงเอ๊ย’

อาปาของฆาเบียร์อดหัวเราะตัวเองไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพในฝันของเขาเมื่อก่อนที่จะตื่นขึ้น สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาก่อนตื่นขึ้นคือเหตุการณ์ที่เขาและครอบครัวของจิวจี๋โหล่วนั่งล้อมวงกินข้าวกันซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาทำก่อนที่ตัวเขาจะขึ้นเรือกลับฮ่องกง แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นในฝันคือมีทั้งฆาเบียร์และเจนยุทธมาร่วมวงกินข้าวด้วย

‘ซักวัน พวกเราคงจะได้อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้จริง ๆ จัง ๆ สักทีนะ’

คริสได้แต่หวังในใจ เขาถอนหายใจเมื่อนึกถึงหนทางข้างหน้าของเขากับจิวจี๋โหล่ว แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าตนเตรียมตัวจะล้างมือในอ่างทองคำและออกจากวงการแล้ว แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด

“คิดมากไปก็เท่านั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ฉันก็พร้อมจะลงเรือไปกับนายจนสุดทางล่ะนะ อาโหล่ว”

หว่องซีซิงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืน เขาพยักหน้าให้กับเควินก่อนจะเดินนำพ่อบ้านซึ่งถือกระเป๋าตามขึ้นไปยังชั้นบน

 

“ฆาบี้ครับ”

เจนยุทธซึ่งนอนเล่นเกมและกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงสะกิดคนรักของตนที่เพิ่งปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คลงไปเบา ๆ

“หืมม์? ว่าไงจ๊ะ?”

ฆาเบียร์ซึ่งเพิ่งคุยงานกับฝ่ายเทคนิคที่สหรัฐฯ เสร็จหันมาหาเจ้าตัวดีของเขา

“คืนนี้ เรา เอ่อ เรานอนคุยกันจนหลับไปได้ไหมอ่า?”

คนตัวโตมองคนรักของตัวเองอย่างแปลกใจ

“เอ่อ ได้สิ ว่าแต่ หึ ๆ เจจ๊ะ อารมณ์ไหนเนี่ย?”

ฆาเบียร์ถามกลั้วหัวเราะ โดยปกติแล้วเจ้าตัวดีของเขามักจะเป็นฝ่ายเข้ามานัวเนียทุกครั้งหลังจากปิดไฟแล้ว

“ก็ เอ่อ ผมฟังอาปาเล่าว่าอาปากับลุงเดวิดนอนคุยกันจนหลับไป ผมว่ามัน เอ่อ โรแมนติกดีอ่ะ...”

เจนยุทธพูดอย่างเขิน ๆ โดยปกติแล้วพวกเขาทั้งคู่มักจะโรมรันพันตูกันจนกระทั่งหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ถ้าจะมีการพูดคุยกันบ้าง ก็เป็นการคุยสั้น ๆ หลังมีเซ็กส์ก่อนที่ไม่ใครก็ใครจะหลับไปเพราะความเพลีย

“นั่นสินะ จะว่าไปครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันจนหลับไปโดยไม่ทำอะไรกันก่อนนอนมันก็สักพักแล้วนะ”

ฆาเบียร์ลูบคางตัวเองเบา ๆ อย่างครุ่นคิด เจใช้ศอกกระทุ้งคนรักเมื่อโดนพ่อเจ้าประคุณแซวว่าตัวเขานั้นทนไม่ทำอะไรก่อนนอนไหว แต่กลัวว่าเจเองจะเป็นฝ่ายทนไม่ได้มากกว่า

“มาเห็นผมเป็นตาแก่หื่นกามแบบคุณไปได้ ชิ!”

เจนยุทธบ่นอุบอิบแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้คนรักทันที ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เขาจัดการเก็บอุปกรณ์ทำงานทั้งหลายกลับใส่กระเป๋าแล้วจึงเอื้อมมือไปปิดไฟที่โคมไฟหัวเตียง จากนั้นก็พลิกกายก่ายกอดหมอนข้างอุ่น ๆ ที่ข้างกาย



“อื๊อ ฆาบี้ ไม่ซนสิ ไหนว่าจะนอนคุยกันไง”

เจนยุทธขยับหนีริมฝีปากของคนรักที่กดมาเบา ๆ ที่แก้ม

“โอเค ๆ คุยกัน ๆ ไหน มีอะไรเล่าให้ฉันฟังมั่ง?”

ฆาเบียร์รีบปล่อยร่างคนรักก่อนที่เจ้าตัวเล็กของเขาจะเริ่มงอแง เจพลิกกายกลับมาสบตากับคนรัก เขาครุ่นคิดน้อย ๆ ว่าจะเล่าอะไรให้คนรักฟังดี แม้พวกเขาจะคุยกันบนเตียงน้อย แต่ยามที่อยู่ห่างกัน พวกเขาก็คุยกันผ่านสารพัดช่องทางแทบทั้งวันอยู่แล้ว

“อ๋อ รู้แล้ว ผมเล่าเรื่องไอ้ปรินซ์กับซันซันให้คุณฟังหรือยังนะ?...”

 

“เจ เจจ๊ะ”

ฆาเบียร์เขย่าตัวคนรักที่ผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังคุยกับเขาไม่จบ

“อือ ง่วงชะมัดเลย ขอนอนก่อนน้า”

เจนยุทธพูดงึมงำ เขาซบหน้าลงกับหมอนอย่างง่วงงุน ฆาเบียร์ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับขยับกายคนรักให้เปลี่ยนจากท่านอนคว่ำมาเป็นนอนหงาย

“เดี๋ยวครับ...”

เจร้องเรียกคนที่กำลังจะผละกายออกไปนอนเคียงข้าง

“ขอกู๊ดไนท์คิสก่อนอ่ะ”

ในความมืด ฆาเบียร์เห็นเจ้าตัวดีที่ทำตาปรืออยู่ใช้นิ้วชี้ริมฝีปากตัวเอง เขาโคลงหัวแล้วก้มลงจุมพิตคนรักเบา ๆ

“เอาปากแตะแบบนี้มันคิสตรงไหนอ่า ไม่ใจเลยอ่ะคุณ”

คนตัวเล็กโวยวาย หนุ่มละตินโคลงหัวแล้วหัวเราะหึ ๆ ในคอ เขาก้มลงและประทับจูบอันดูดดื่มให้กับคนรัก เจเผยอปากรับพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบรอบคอคนรัก

“เจ เจจ๊ะ คืนนี้โนเซ็กส์ไม่ใช่เหรอ?”

ฆาเบียร์ส่งเสียงเตือนเบา ๆ เมื่อมือไม้ของคนรักเริ่มเปะป่ายตามความเคยชิน

“ครับ ๆๆ ไม่ทำ ๆ”

เจพึมพำพร้อมกับพยายามเก็บมือไม้ของตน แต่ก็ยังไม่วายเลาะเล็มริมฝีปากคนรักอย่างกระหายอีกครั้ง ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ แต่ก็ยอมตอบสนองตามที่คนรักต้องการ

 

“ฆาบี้ ฆาบี้ครับ ในตัวคุณมันเยี่ยมไปเลย”

เจนยุทธครางกระเส่า

“เจ อย่า มันลึก...อึก”

 

“เจ ฉันไม่ไหวแล้วนะ ไหนว่าจะพอแล้วไง?”

“อีกนิดครับ ฆาบี้ ผมจวนแล้ว”

 

“ฆาบี้ คุณครับ คุณ...”

เจนยุทธตบแก้มคนรักที่เหมือนจะสลบคามือเขาไปแล้วเบา ๆ ด้วยความร้อนใจ เขายิ้มออกมาได้เมื่อเห็นคนรักค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย

“ฉันจะไม่เชื่อนายอีกแล้ว เจนยุทธ จำไว้เลยนะ โอ๊ย!”

คนที่อายุอานามขึ้นเลข 4 แล้วพยายามลุกขึ้นนั่งแล้วก็ต้องร้องโอดโอย เขายกมือลูบบั้นเอวและสะโพกตัวเองเบา ๆ พร้อมกับบ่นอุบอิบ เจนยุทธยิ้มแหย ๆ แล้วพยายามยื่นมือไปช่วยบีบนวดให้

“ตายล่ะ จะตีสี่แล้ว ต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ?”

ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อหยิบมือถือมาดูเวลา เขาไล่เจนยุทธให้ลุกขึ้นแล้วค่อย ๆ ประคองตัวให้ลุกขึ้นตามเพื่อเข้าไปชำระร่างกาย

 

Te amo ครับ คุณมาร์ติเนซ”

เจซึ่งนอนซบอยู่บนแผงอกกว้างของคนรักกระซิบเบา ๆ เขาเงยหน้าขึ้นจุ๊บแผ่ว ๆ ที่ปลายคางที่มีรอยบุ๋มน้อย ๆ ของฆาเบียร์

อ้ายฮักเจนะ เจ้าตัวยุ่งของฉัน”

ฆาเบียร์บอกรักตอบด้วยภาษาแม่ของอีกฝ่ายตามธรรมเนียมของพวกเขาพร้อมจูบเบา ๆ ที่เรือนผมดำขลับ ก่อนจะตบก้นคนที่ทำให้เขาเหนื่อยแทบปางตายเมื่อสักครู่ป้าบใหญ่

“เอ้า นอนได้แล้ว ไม่ต้องยุกยิกแล้วนะเรา”

“ครับ ๆ ไม่ทำแล้ว ไม่กวนแล้วจริง ๆ คราวนี้”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ อย่างรู้สึกผิด เขากอดคนรักไว้แล้วซุกหน้าลงกับแผงอกแน่นก่อนจะผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว ฆาเบียร์เองก็หลับไปอย่างมีความสุขทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่กับเรือนผมของคนรัก

 

“งั้น ผมไปก่อนนะครับ อาปา”

เจนยุทธยกมือไหว้คริสตามประสาเด็กมือไม้อ่อน คริสรับไหว้แบบที่เขาเคยเห็นแม่ของเจทำจากนั้นก็ดึงตัวคนรักของลูกชายเข้ามากอดตามแบบตะวันตก แม้จะนอนเกือบสว่าง แต่เจกับฆาเบียร์ก็จัดการตื่นเช้าขึ้นมาทันเวลาที่คริสลงมารับประทานอาหารเช้าพอดี

“ถ้าจะมาฮ่องกงอีกคราวหน้าก็บอกอาปาด้วยนะ อาปาจะได้จัดตารางมาให้ตรงกัน”

คริสกำชับเจนยุทธซึ่งเจ้าตัวก็รับปากเป็นมั่นเหมาะ

“แหม ผมว่าหลังจากนี้อาปาก็น่าจะมาฮ่องกงบ่อย ๆ แล้วใช่ไหมครับ?”

ฆาเบียร์ถามยิ้ม ๆ ก่อนจะอุทานสั้น ๆ ออกมาเมื่อโดนคนรักตบไหล่แบบไม่เบานัก

“คุณ อย่าแซวอาปาสิ”

เจทำปากหมุบหมิบก่อนจะหันไปยิ้มแหย ๆ ให้กับคริส หากเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อหากเจือไปด้วยแววแห่งความสุขของอาปาแล้ว เจนยุทธก็อดจะยิ้มน้อย ๆ ออกมาไม่ได้

“อืมม์ อาปาก็อาจจะต้องมาบ่อยขึ้นจริง ๆ”

คริสพูดเบา ๆ เขาได้นัดแนะกับจิวจี๋โหล่วไว้ว่าเขาจะมาฮ่องกงให้บ่อยขึ้น โดยอาจจะมาอยู่แทนฆาเบียร์ในช่วงที่เจ้าตัวไปหาเจที่เชียงใหม่หรืออาจจะบ่อยกว่านั้น



“อาปาครับ วันนี้มันร้อนจริง ๆ อาปาเข้าไปนั่งในบ้านดีกว่า อย่ายืนตากแดดตรงนี้เลยครับ หน้าแดงหมดแล้ว”

เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านขึ้นมาของอาปา ฆาเบียร์ก็หลุดปากสัพยอกพ่อบุญธรรมของตนออกไปทันที แม้เขาจะรู้สึกมีความสุขแทนคริสที่ในที่สุดก็มีคนมาคอยรักและดูแลเสียที แต่เขาก็อดแซวชายวัย 60 เศษที่กำลังอินเลิฟเล็ก ๆ คนนี้ไม่ได้

“คุณมาร์ติเนซ นิสัยไม่ดีครับ!”

ฆาเบียร์ครางอู้เมื่อถูกคนรักทุบหลังเข้าอีกบึ้กใหญ่

“เจ ฉันจะช้ำในตายอยู่แล้วนะ”

คนตัวโตหันไปโอดครวญกับคนรักพร้อมกับทำท่าเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา เจนยุทธย่นจมูกให้กับคนรักแล้วหันหน้าหนีไปคุยกับอาปาต่อ คริสยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางของคนหนุ่มทั้งสอง เขานึกดีใจที่ได้เห็นฆาเบียร์กลับไปเป็นเหมือนหนุ่มน้อยผู้สดใสอีกครา ท่าทีแบบนั้นเคยมีให้เห็นเพียงแค่ตอนที่อยู่กับเขา แต่ในตอนนี้เขาเห็นมันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ใช่เพียงตอนอยู่กับเขาและเจ จากปากคำของเมลิน่า เหล่าพนักงานที่ทำงานกับฆาเบียร์ที่ฮ่องกงต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงหลังมานี้ ท่านรองฯ มาร์ติเนซมีท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะยังคงความเฮี้ยบเรื่องงาน แต่ในยามว่างหรือนอกเวลางาน ทุกคนต่างเคยได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะหรือกระทั่งการพูดเล่นหัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แทบไม่เคยได้เจอในช่วงแรกของการทำงาน

 

“ฆาบี้...”

คริสซึ่งเดินเคียงข้างกับลูกบุญธรรมของเขาไปตามทางเดินที่นำไปสู่ลานจอดรถของบ้านเรียกฆาเบียร์เบา ๆ

“ครับ อาปา?”

“อาปาดีใจนะที่ได้เห็นเรามีความสุข”

คริสพูดพร้อมกับตบแผ่นหลังกว้างของลูกชายเบา ๆ

“ผมก็รู้สึกแบบเดียวกันครับ...”

ฆาเบียร์ส่งยิ้มกว้างให้คนที่เปรียบเหมือนพ่อแท้ ๆ อีกคนของเขา

“...ผมเองก็ดีใจกับอาปาด้วยจริง ๆ”




“พูดอะไรรู้เรื่องกันแค่สองคนอีกแล้วอ่ะ”

เจนยุทธสะกิดคนรักของตนที่ใช้ภาษากวางตุ้งคุยกับอาปาคริสอีกครั้ง ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปโอบไหล่คนรัก เขารั้งร่างเพรียวเข้ามาหอมฟอดใหญ่

“แล้วฉันก็ดีใจนะที่ฉันได้เจอเจ”

เจเอียงคอน้อย ๆ มองคนรักแล้วหันไปมองหน้าอาปาคริสที่ส่งยิ้มละไมให้เขา

“อื้ม ผมก็ดีใจที่ได้เจอคุณ แล้วก็อาปาด้วยครับ!”

เจยิ้มกว้างให้คนที่เขารักทั้งสอง คริสลูบหัวคนรักของลูกชายด้วยความเอ็นดู เขาสนทนากับชายหนุ่มทั้งสองอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะปล่อยให้ทั้งสองขึ้นรถไป

 

“งั้น เราจะไปแวะเอาของ ๆ ผมที่ห้องคุณหลังจากกินนี่เสร็จแล้วใช่ไหมครับ?”

เจนยุทธถามคนรักระหว่างที่ยืนรออยู่หน้าร้าน Joy Hing Roasted Meat ที่เขาอยากกินนักหนา ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ พวกเขาตัดสินใจที่จะแวะร้านนี้ซึ่งอยู่บนฝั่งฮ่องกงเช่นเดียวกับบ้านของอาปาบนวิคตอเรีย พีค จากนั้นจึงจะค่อยแวะไปเอาสัมภาระของเจในห้องของฆาเบียร์บนฝั่งเกาลูน

“ก็ดีครับ ผมจะได้เปลี่ยนกระเป๋า ลากกระเป๋าด้วย หิ้วถุงหมูแดงไปด้วยมันดูลำบากไปนิด”

เจที่หมายมั่นปั้นมือจะหอบหมูแดงเจ้าอร่อยกลับไปฝากแม่พูดด้วยสายตามุ่งมั่น ตาเขาจ้องดูของย่างที่ห้อยอยู่ในตู้กระจกหน้าร้านอย่างรอคอย พวกเขามาถึงเร็วกว่าเวลาเปิดร้านเล็กน้อยจึงยังต้องยืนรออีกนิด

“อ๊ะ เปิดแล้ว ๆ”

เจพูดอย่างตื่นเต้น พวกเขาก้าวเข้าไปในร้านขนาดหนึ่งคูหาบนถนน Hennessy ในย่าน Wan Chai ในร้านนั้นไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหราแต่อย่างใด สำหรับเจแล้ว มันแทบไม่ต่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวในเมืองไทยเลย



“เจจะแค่ซื้อกลับบ้านหรือกินด้วยจ๊ะ?”

ฆาเบียร์ถามทั้งที่รู้คำตอบในใจดีอยู่แล้ว แม้เจจะกินมื้อเช้ากับอาปาของเขามาเล็กน้อยแล้ว แต่นั่นคงไม่พอยาไส้คนที่มีกระเพาะหลุมดำอย่างเจนยุทธเป็นแน่แท้

“แหม กินด้วยสิครับ มา ๆ นั่งนี่ก็ได้เนาะ”

เจนยุทธชวนฆาเบียร์นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไร้พนัก เขากวาดตาดูรอบ ๆ ร้านแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อเห็นหมูย่างตัวโตที่มีหนังกรอบทั้งตัวแขวนไว้ที่ด้านหลังเคาเตอร์ ใกล้ ๆ กันนั้นมีตู้กระจกใส่เป็ด ไก่และห่านย่าง อีกทั้งหมูแดงที่เป็นของขึ้นชื่อของร้านนี้

“เอ่อ เจจะสั่งอะไรสั่งเลยนะ ฉันขอคุยงานแป๊บนึง”

ฆาเบียร์ซึ่งเพิ่งได้รับสายจากที่ทำงานหันมาบอกคนรักก่อนจะขอตัวออกไปคุยที่นอกร้าน เจนั่งพลิก ๆ ดูเมนูอาหารซึ่งมีแต่ภาษาจีนอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่จะตัดสินใจสั่ง เขาใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคนรับออเดอร์ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของร้านหญิงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างแคล่วคล่อง เขาสั่งอาหารไปหลายอย่างรวมถึงหมูแดงซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเขาด้วย



“อ้าว ทำไมทำหน้าเซ็งขนาดนั้นล่ะจ๊ะ? ไม่อร่อยเหรอ?”

ฆาเบียร์ถามเมื่อเขากลับเข้ามาในร้านแล้วเจอเจนยุทธนั่งทำหน้ามุ่ยอยู่ที่โต๊ะ ตรงหน้าของเจมีอาหารที่พร่องไปบ้างแล้วอยู่หลายอย่าง

“ไม่ใช่ไม่อร่อยครับ แต่ผมสั่งผิดอ่ะ”

เจนยุทธบ่นด้วยความเซ็งพร้อมกับเลื่อนจานทีมีทั้งหมูแดงและหมูหันหนังกรอบไปให้คนรักดู

“คือ คราวที่แล้วที่ผมมากับพี่นพ ผมสั่งทุกอย่างยกเว้นหมูกรอบ คราวนี้ผมก็ตั้งใจจะสั่งหมูกรอบมาชิมดู ทีนี้ผมเห็นไอ้หมูที่เป็นหมูกรอบทั้งตัวที่แขวนอยู่นู่น...”

เจชี้ไปที่หมูตัวโตที่แขวนอยู่หลังพ่อครัว ขณะที่สั่ง เขาได้ชี้บอกเจ้าของร้านไปว่าเขาต้องการหมูกรอบหรือ crispy pork

“ทีนี้ ผมดันไม่เห็นไง ว่าหลังหมูตัวใหญ่นั่น มันมีหมูน้อยที่เป็นหมูหันแขวนอยู่ด้วย ทีนี้เจ้าของร้านเขาคงเข้าใจว่าผมชี้หมูหัน เค้าก็เลยถามกลับมาว่า baby pig เหรอ?”



เจนยุทธถอนหายใจด้วยความเซ็ง ตัวเขานั้นดันไปสบประมาทความสามารถด้านภาษาอังกฤษของเจ้าของร้านเข้าเต็มเปา

“ไอ้ผมมันก็ดูถูกเขาไปหน่อย ดันไปคิดว่าเขาพูด broken English ว่า belly pig อ่า pork belly อ่ะ”

ด้วยความที่เข้าใจว่าตนจะได้กินหมูกรอบส่วนที่เป็นสามชั้น เจก็เลยตอบรับอย่างไม่ลังเล

“สรุป มาเป็นหมูหันอีกแล้วอ่ะ”

เจนยุทธใช้ตะเกียบเขี่ย ๆ ชิ้นหมูหันหนังกรอบกรุบในจานด้วยความเซ็ง รสชาติของมันนั้นไม่เลวเลย หากเมื่อเทียบกับหมูหันที่ถูกหั่นมันส่วนเกินออกอย่างประณีตของร้านมีดาวอย่าง Lai Heen ที่เขาเพิ่งได้กินไปเมื่อวานซืนนั้น มันช่างต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลย

“แหม ก็ราคามันต่างกันเยอะอยู่ เจ”

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ หมูหันที่เจสั่งมานับเป็นครึ่งหนึ่งของจานย่างรวมซึ่งมีราคา 100 เหรียญฮ่องกงนั้น ราคาอาจเท่ากับหรือถูกกว่าหมูหันจากร้าน Lai Heen เพียงหนึ่งชิ้นน้อยก็ได้

“ก็รู้ แต่ก็อดเซ็งไม่ได้ แล้วนี่อีก ห่านย่าง ผมจะสั่งมาทำไมเนี่ย?”

เจเลื่อนจานห่านย่างส่วนขาติดสะโพกที่เขาสั่งมาไปให้ฆาเบียร์

“เออ นั่นสิ ก็วันนั้นนายเพิ่งกินห่านย่างสุดอร่อยของร้าน Kam’s ไปนี่นา ยังไงของที่นี่ก็อร่อยสู้ไม่ได้หรอกนะ แต่ก็อย่างว่า...”

“ครับ ๆ ๆ ราคามันต่างกัน รู้แล้วน่า ก็แค่เซ็งตัวเองที่พอหิวแล้วอยากจะสั่งมันไปทุกอย่างแค่นั้นเอง”

เจนยุทธบ่นตัวเองพึมพำเป็นภาษาแม่จนคนตัวโตถามออกมา



“เมื่อกี้เจพูดว่าไงนะ?”

ฆาเบียร์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ผมพูดว่าตัวผมน่ะ ‘ปากใหญ่กว่าต๊อง’ ครับ”

เจพูดพลางหัวเราะหึ ๆ เขามักถูกแม่บ่นด้วยสำนวนนี้อยู่เนือง ๆ

“เสียงมันตลกดี มันแปลว่าอะไรจ๊ะ?”

“มันแปลตรงตัวได้ว่า My mouth is bigger than my belly ครับ คุณพอจะเดาความหมายได้ไหม?...ชิ หัวเราะซะขนาดนี้ เดาได้ล่ะสิ”

เจค้อนคนรักวงใหญ่เมื่อคนตัวโตหัวเราะก๊ากออกมาลั่นจนโต๊ะข้าง ๆ หันมามอง

“โอย ขอโทษจ้ะ มันตลกจริง ๆ นี่นา”

“เอา ๆ ขำซะให้พอครับ ฮึ่ย! วันหลังไม่สอนพูดแล้ว”

เจนยุทธฟึดฟัดเมื่อคนตัวโตไม่ยอมหยุดขำเสียที เขาไม่เข้าใจว่าสำนวนที่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาไทยหรือคำเมืองนี้มันน่าขันตรงไหน



“โอเค ๆ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ สรุปว่ามันแปลว่าอะไรล่ะ?”

“แม่ผมจะชอบใช้บ่นผมเวลาที่ไปกินข้าวกันแล้วผมชอบสั่งอะไรมาเยอะเกินน่ะครับ”

“อืมม์ ก็จริงของแม่นะ ปากเจน่ะ ‘ลึก’...กว่าท้องจริง ๆ”

เจนยุทธทำตาโตเมื่อคนรักใช้ศัพท์อย่างผิด ๆ แถมยังจ้องปากเขาเป๋งเขาด้วยสายตาแฝงเลศนัย

“เฮ้ย ๆ ปากใหญ่ ปากกว้างสิ ไม่ใช่ลึก ตาลุงนี่ ทะลึ่งจริง”

เจว๊ากเบา ๆ ตามด้วยคำบ่นลมแล้ง ๆ เป็นภาษาไทย คนตัวโตยิ้มกริ่มแล้วคีบหมูแดงในถ้วยส่งให้ถึงปากคนที่บ่นอุบอิบอยู่อย่างเอาใจ เจย่นจมูกให้ก่อนจะอ้าปากรับมาเคี้ยวหยับ ๆ



“โอย ยังไงผมก็ยกให้หมูแดงที่นี่เป็นที่หนึ่งอ่ะ”

เจนยุทธร้องออกมาด้วยความฟิน ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ อย่างเห็นด้วย หมูแดงของร้าน Joy Hing นั้นชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งผากหรือว่ามันเลี่ยนจนเกินไป การปรุงรสนั้นก็ออกมาพอดี ไม่เค็มเกินไปและติดหวานจากน้ำผึ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หวานนำจนเลี่ยน ส่วนเจนั้น เขาคิดมาตลอดแล้วว่าหมูแดงฮ่องกงร้านไหน ๆ ก็อร่อยกว่าหมูแดงแห้งแกร๋งสีแดงแปร๊ดแถวบ้านอยู่แล้ว

“เห้อ กินกับข้าวแล้วรสชาติพอดี๊ พอดี”

เจนยุทธพึมพำพลางใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ฆาเบียร์หันไปยกมือเรียกพนักงานมาสั่งอะไรไปอีกอย่าง ไม่นาน ผักคะน้าฮ่องกงต้นอวบลวกราดน้ำมันหอยถ้วยหนึ่งก็ถูกยกมาวางลงหน้าพวกเขาทั้งสอง

“อ๋อ แหะ ๆ ผมลืมสั่งผักให้คุณด้วย”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ เขาที่เป็นสายกินเน้อมักจะลืมสั่งผักมาเสมอ

“ผักที่นี่เค้าอร่อยนะ ชิมสิ”

ฆาเบียร์เลื่อนจานผักส่งให้คนรัก เจคีบมากินอย่างไม่อิดออด

“โอ้ ใช้ได้ครับ ผักต้นเบ้อเริ่ม ผมนึกว่าจะแข็งแล้วก็เหม็นเขียวซะอีก”

คนตัวเล็กซึ่งไม่ค่อยนิยมผักคะน้านักชมเปาะ ผักต้นอวบ ๆ พวกนี้ล้วนหวานอร่อย ส่วนน้ำมันหอยที่ราดมานั้นก็รสชาติดี



“เจเอาซอสหน่อยไหม?”

ฆาเบียร์ยกขวดพลาสติกขนาดใหญ่บรรจุซอสสีน้ำตาลขึ้นชูให้เจนยุทธดู เจนยุทธรีบพยักหน้าทันที

“ครับ ๆ ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าที่นี่มีซอสให้ราดเองด้วย”

เจรีบยกถ้วยข้าวของเขาส่งให้คนรักซึ่งค่อย ๆ ราดซอสหมูแดงสูตรพิเศษของร้านลงไปให้ เจคีบหมูหันหนังกรอบกรุบขึ้นกัดกิน แม้จะบ่นว่าชิ้นที่ได้มานั้นติดมันหนาไป แต่มันก็หมดลงในเวลาไม่ช้า

“เสียดายวันนี้ผมสั่งผิด ผมมาร้านนี้สองสามครั้งก็ลืมกินหมูกรอบไปซะทุกที”

เจนยุทธบ่นอย่างเสียดายหลังจากช่วยฆาเบียร์จัดการหมูหันชิ้นสุดท้ายไปจนหมด แล้วจึงหันมาคีบห่านย่างที่เหลืออีกสองสามชิ้นกินต่อ



“คราวที่แล้วที่มาร้านนี้ ผมก็ว่าห่านของที่นี่อร่อยแล้วนะคุณ”

เจพูดพึมพำ ห่านย่างของที่นี่เป็นแบบหนังกรอบที่เขาเคยโปรดปราน

“แต่พอได้ชิมห่านย่างร้าน Kam’s เข้าไปแล้ว ห่านที่นี่กลายเป็นเฉย ๆ ไปเลยอ่ะ เนื้อมันติดเหนียวสู้ของ Kam’s ไม่ได้เลย แถมยังมันเยอะกว่าอีก แล้วยิ่งไม่ต้องเทียบกับของเชฟเฉินเลยนะ”

“แหม เจจ๊ะ ก็ร้านนั้นเขาติดดาวด้านห่านนี่ จะอร่อยกว่าก็ไม่แปลก แถมยังแพงกว่าด้วย”

“ก็ได้ตั้งครึ่งตัวไหมอ่ะ?”

เจบ่นอุบอิบ แต่ก็จัดการกวาดห่านย่างที่เหลือในจานจนเกลี้ยง เขานำมันจิ้มกับซอสบ๊วยเพื่อตัดเลี่ยนก่อนจะส่งเข้าปาก

“เฮ้อ แต่ของอร่อย ยังไงมันก็อร่อยอ่ะเนาะ”

ฆาเบียร์หัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นใบหน้ามีความสุขของคนรัก

“เอ้า เอาไป ฉันให้”

คนตัวโตคีบหมูแดงชิ้นโตที่เหลือเพียงชิ้นเดียวในถ้วยใส่จานให้คนรัก เจรีบยกจานของเขารับทันที



“นี่ จะไม่ปฏิเสธหน่อยเหรอ? แบบ ชิ้นสุดท้าย ไม่เป็นไรครับ ผมให้คุณ อะไรแบบนี้”

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ

“ไม่ปฏิเสธหรอกครับ ก็ผมจะกลับแล้ว อีกตั้งนานกว่าจะได้กินอีกเลยนา”

เจนยุทธหันมาส่งสายตาแป๋วแหววให้คนรัก ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ ในลำคอแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเจ้าตัวดีของเขาอย่างเอ็นดู เจฮัมเพลงในคออย่างมีความสุข แต่แทนที่เขาจะคีบหมูชิ้นโตชิ้นนั้นเข้าปาก เขากลับใช้ตะเกียบตัดแบ่งมันออกเป็นสองชิ้น

“แต่ผมเป็นคนใจดีม๊ากมาก ฉะนั้นผมจะแบ่งให้คุณครึ่งนึง แต่ครึ่งเล็กนะ”

เจคีบหมูแดงสุดอร่อยชิ้นหนึ่งและส่งมันเข้าถึงปากของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและรับมันมาอย่างไม่ลังเล เจส่งยิ้มหวานให้คนรักก่อนจะค่อย ๆ ละเลียดเคี้ยวหมูแดงที่อร่อยที่สุดในโลกในความคิดของเขาจนหมด



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Away Again - ตอนปลาย (ต่อ) ----


 

“เจรู้ไหมว่าร้าน Joy Hing นี้ที่จริงเป็นร้านที่เก่าแก่มากเลยนะ”

ฆาเบียร์ถามคนรักระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งรอให้ทางร้านจัดการแพ็คหมูแดงเพื่อเอากลับเชียงใหม่

“อืมม์ ก็พอรู้ว่ามันเป็นร้านเก่าแก่ แต่ไม่รู้ว่าเก่าขนาดไหนครับ”

“เท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ต้นกำเนิดของร้านนี้อยู่ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงเลยนะ แต่ร้านดั้งเดิมน่ะอยู่ในมณฑลกวางตุ้งนู่น เป็นร้านบาร์บีคิวสไตล์กวางตุ้งร้านแรก ๆ ที่เปิดเลยมั้ง?”

คนตัวโตเล่าต่อว่าร้านนี้ย้ายมายังฮ่องกงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และเริ่มเปิดแผงลอยขายจนมีคนติดมากมาย

“ร้านนี้น่าจะมีความเป็นมาคล้ายครอบครัวของอาปานั่นแหละ ที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือเขาก็ได้รับผลกระทบจากการที่ทหารญี่ปุ่นบุกยึดฮ่องกงในปี 1941 ด้วย”

ในช่วงวิกฤตนั้น แผงลอยหมูแดงชื่อดังแห่งนี้ก็ต้องปิดตัวลง และกลับมาเปิดอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

“ในตอนนั้นเขาก็ทำการปรับสูตรอะไรจนลงตัว แล้วเปลี่ยนชื่อร้านจากชื่อเก่าที่ฉันก็จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร มาเป็น Joy Hing แต่ก็ยังคงเป็นแผงลอยอยู่ จากนั้นก็ย้ายที่ไปมา จนกระทั่งมาเปิดร้านในตึกตรงนี้ในช่วงปี 1980 จ้ะ”



“คุณนี่รู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะครับ...”

เจพูดพลางควักเงินจ่ายค่าหมูแดงพร้อมกับค่าอาหารไปอย่างเนียน ๆ

“...แก่แล้วก็งี้ล่ะน้อ”

“เฮ้! อาปาเล่าให้ฉันฟังสิ แก่ เก่ออะไรกันอีกล่ะ”

คนตัวโตซึ่งทำหน้าเซ็งเพราะถูกชิงตัดหน้าจ่ายค่าอาหารบ่นเบา ๆ เมื่อถูกเจ้าตัวดียั่วเข้าอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะต้องยกมือขึ้นบีบปากน้อย ๆ ช่างจำนรรจาที่มีรอยยิ้มพราย

“เอ้า ไป ไปได้แล้ว เดี๋ยวเราต้องกลับไปเก็บของที่โรงแรมอีก”

หนุ่มละตินลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือไปฉุดคนรักที่ดูท่าอยากจะเลื้อยไปฟุบนอนบนโต๊ะด้วยความอิ่ม แม้จะเป็นมื้อเช้าแบบ “เบา ๆ” เจนยุทธก็กินข้าวหมดไปถึง 2 ถ้วย ไหนจะบวกกับของย่าง 3 อย่างที่เขากินไปเองกว่าครึ่ง มันคงเพียงพอให้หนุ่มไทยซึ่งมีกระเพาะเหมือนหลุมดำคนนี้อิ่มหนำไปอีกพักใหญ่

 





“เฮ้อ ผมคงคิดถึงฮ่องกงไปอีกสักพักแน่ ๆ”

เจนยุทธบ่นน้อย ๆ จากนั้นก็เปิดถุงที่อยู่บนตักดู

“...แต่อย่างน้อยก็ยังมีหมูแดงไว้กินให้หายคิดถึง อ๊ะ คุณดูสิ เค้าซีลให้ดี๊ดี”

เจชูถุงซึ่งบรรจุหมูแดงซึ่งยังไม่ได้หั่นเป็นชิ้น ๆ ไว้ถุงละเส้นให้ฆาเบียร์ดู แต่ละถุงได้รับการดูดอากาศออกจนกลายเป็นสุญญากาศ เมื่อนับถุงดูแล้ว เจนยุทธสั่งหมูแดงกลับบ้านไปเป็นกิโลเลยทีเดียว

“ว่าจะเอาไปฝากแม่ซักสามชิ้น ให้พี่นพกับไอ้สองแสบอีกคนละชิ้น แล้วที่เหลือผมจะเอาใส่ฟรีซไว้แล้วค่อย ๆ เอามากินทีละหน่อย”

เจนยุทธแจกแจงแผนการแจกจ่ายหมูแดงของเขาให้คนที่กำลังขับรถอยู่ฟังอย่างมีความสุข

“อ้อ แล้วถุงนี้ของอาปานะครับ ผมบอกเค้าให้หั่นมาเลยแล้วก็ไม่ต้องซีลสุญญากาศ อาปาจะได้กินได้เลย”

เจยกถุงพลาสติกบรรจุกล่องใส่หมูแดงให้ฆาเบียร์ดู



“เดี๋ยวเจก็ฝากไว้ที่เมลิน่าแล้วกันนะ เห็นอาปาบอกว่าช่วงเที่ยง ๆ หลังเสร็จธุระที่บริษัทของอาปาแล้วก็จะเข้ามาที่ออฟฟิศเรา”

“ผมก็เลยไม่ทันลาอีกรอบเลย...”

เจนยุทธพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง แม้เขาจะบอกลากับคริสตั้งแต่ที่บ้านบนพีคแล้ว แต่เขาก็ยังอยากลาอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนที่จะไปขึ้นเครื่อง

“เดี๋ยวก็เจอกันอีกรอบน่า รอบนี้อาปาน่าจะยุ่งกับเรื่องที่บริษัทนู้นหน่อย ไว้คราวหน้าที่ฉันไปหาเจ ฉันจะลองชวนอาปามาด้วยกันแล้วกันนะ จะได้ไปดูห้องด้วย”

“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกคุณ ปล่อยอาปาเขาได้ใช้เวลากับลุงเดวิดเถอะ คุณน่ะมาคนเดียวก็พอ”

เจนยุทธพูดพลางหัวเราะคิกคัก เขารู้ดีว่าหากคริสกลับมาที่ฮ่องกงอีกครั้ง คู่รักหมาด ๆ คู่นี้คงต้องการจะใช้เวลาด้วยกันมากกว่าที่จะเสียเวลามาหาเขาที่เชียงใหม่

“นายนี่มันร้ายจริง ๆ เลยนะ”

ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแฝงเลศนัยของคนรัก เขายกมือขึ้นลูบหัวเจ้าตัวดีด้วยความเอ็นดู เจหันมาส่งยิ้มอย่างน่ารักให้กับคนรัก พวกเขายิ้มให้แก่กันก่อนที่รถของฆาเบียร์จะเคลื่อนลงสู่ลานจอดรถของอาคาร ICC

 

“งั้น ผมไปก่อนนะครับ”

เจนยุทธพูดก่อนที่จะถูกเมียตัวโตของเขารวบร่างเข้าไปกอดไว้แน่น เจยกมือขึ้นกอดตอบ

“ฉันคงคิดถึงนายแย่เลย”

คนรักผู้อ่อนไหวของเจพูดเสียงเครือ การจากกันของพวกเขายากขึ้นทุกวัน ๆ แม้จะรู้ว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์พวกเขาจะได้พบกันใหม่ แต่ฆาเบียร์กลับรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ต้องพรากจากกัน

“ผม...”

เจนยุทธกลืนคำพูดที่ว่าเขาเองก็ไม่อยากกลับลงท้องไปด้วยรู้ว่ามันจะยิ่งทำให้คนรักเศร้าสร้อย

“ผมจะคุยกับคุณจนกว่าจะขึ้นเครื่องเลย ถึงบ้านก็จะรีบโทรหา เอาไหมครับ?”

เจตัดใจดันอีกฝ่ายออกพร้อมส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ ฆาเบียร์ใช้หลังมือปาดหางตาเร็ว ๆ แล้วยิ้มตอบ

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เซฟแบตมือถือไว้เถอะ อ้อ...”

ฆาเบียร์พูดอย่างนึกขึ้นได้

“...แต่อย่าลืมโทรไปบอกอาปาก่อนขึ้นเครื่องด้วยนะ”

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วจึงยื่นมือไปขอสัมภาระในมือคนรัก



“เอ้า นี่ เป้ของนาย ได้ใช้สักทีนะ ซื้อให้ตั้งนานแล้ว”

ฆาเบียร์สัพยอกพร้อมกับส่งเป้หนังยี่ห้อดังให้เจนยุทธนำไปพายขึ้นหลัง

“แหม ก็ยี่ห้อบ้าอะไร พะชื่อตัวเบ้อเริ่มเทิ่มติดซะยังกะกลัวคนไม่รู้ว่าใช้ของยี่ห้อ”

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ครั้งแรกที่เขาเห็นเป้หนังสีดำที่มีชื่อยี่ห้อสีขาวตัวใหญ่คาดกลาง เขาคิดว่ามันช่างดูไร้รสนิยมจริง ๆ

“แต่ดูไปดูมา มันก็สวยดีอ่ะ”

คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ

“หึ ๆ แต่ถ้าไม่ใช่ว่าห่วงของกินคงไม่ยอมใช้ใช่ไหม?”

คนตัวโตหยอกเจ้าตัวดีของเขา โดยปกติแล้วเจจะใช้กระเป๋าเดินทางแบบลากใบน้อยเพราะไม่ต้องมาแบกน้ำหนักของมัน แต่คราวนี้ด้วยความที่เขาจะหอบของกินประเภทเนื้อสัตว์เข้าประเทศจำนวนค่อนข้างมาก เจ้าตัวเลยเลือกสะพายเป้ที่มักเลี่ยงการสแกนจากเจ้าหน้าที่ไปได้

“ในนี้นี่ขุมทรัพย์เลยนะครับ  7 กิโลในนี้มีทั้งหมูแดง ทั้งขนมจากร้าน Fong Kei เลยนะ”

เจนยุทธอวดกับคนรัก ทุกวันนี้เขาแทบไม่ต้องเอาอะไรมาที่ฮ่องกงนอกจากของใช้ส่วนตัว นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ที่ห้องของฆาเบียร์ยังมีของที่เขาต้องใช้รวมถึงสายชาร์จโทรศัพท์รุ่นของเขาเก็บเอาไว้ด้วย จึงเรียกได้ว่าเจสามารถขึ้นเครื่องมาฮ่องกงได้โดยมีแค่พาสปอร์ตและกระเป๋าเงินเท่านั้น ฆาเบียร์เองก็เช่นกัน ห้องที่เชียงใหม่ของเจมีของทุกอย่างที่เขาต้องการ เว้นแต่สิ่งที่ต้องใช้ในการทำงานอย่างคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค

“เอ้า ไป ๆ ไปได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวช้าจะอดกินของในเล้าจ์นะ”

ฆาเบียร์รีบดันหลังคนที่ทำท่าจะอยากยืนคุยต่อให้ไปที่ประตูทางเข้า เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาโน้มคอคนรักลงมาจุ๊บเร็ว ๆ ที่ข้างแก้มแล้วจึงเดินหันหลังเข้าประตูไปโดยไม่หันกลับมาอีก ฆาเบียร์เองก็ยืนนิ่งส่งคนรักจนลับสายตาแล้วจึงเดินออกจากสนามบินไป

 

“อืมม์ เดี๋ยวเครื่องจะออกแล้วล่ะ ใช่ ถึงประมาณเจ็ดโมงครึ่ง อาฮะ ได้ เราจะกำชับไปอีกทีก็ได้”

คริสซึ่งนั่งรอเครื่องออกอยู่ในที่นั่งบนชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์พูดอย่างอารมณ์ดีกับลูกชายจอมเจ้ากี้เจ้าการของเขาที่มักเป็นห่วงว่าคนขับรถของเขาจะลืมมารับ

“อ๋อ เจเหรอ? โทรมาหาอาปาตั้งแต่ลงเครื่องที่เชียงใหม่แล้วล่ะ”

คริสยิ้มน้อย ๆ และนึกถึงคนรักของลูกชายที่โทรมาหาเขาเป็นสิ่งแรกเมื่อเจ้าตัวพ้นออกจากกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินเชียงใหม่ในช่วงเย็นที่ผ่านมา

“จะมาน้อยใจอะไรอีกล่ะ หืมม์? โทรหาอาปามันก็แป๊บเดียว กับเราเจก็คงอยากจะรอให้กลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วจะได้คุยนาน ๆ ไง”

ผู้เฒ่าชาวฮ่องกงหัวเราะน้อย ๆ เมื่อฆาเบียร์บ่นกระปอดกระแปดอย่างน้อยใจว่ากว่าเจจะโทรหาเขานั้นก็ต้องรอจนกระทั่งเจ้าตัวกลับถึงคอนโดแล้วจึงจะโทรหา



“หึ ไม่ให้น้อยใจได้ยังไงครับ โทรมาช้าอย่างเดียวไม่ว่า แต่นี่ยัง...”

ฆาเบียร์หยุดพูดเมื่อเห็นภาพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสาวเดินเข้ามาหาพ่อบุญธรรมเพื่อเสิร์ฟแชมเปญ

“เมื่อกี้เราว่ายังไงนะ? นี่ทะเลาะอะไรกับเจหรือเปล่า?”

คริสถามอย่างเป็นห่วงเมื่อได้เห็นสีหน้าซังกะตายของฆาเบียร์

“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ว่าเขาคุยกับผมแป๊บเดียวแค่นั้นเอง ก็เลยเซ็ง ๆ นิดหน่อย”

ฆาเบียร์รีบปฏิเสธ แม้การสนทนากับเจเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาจะทำให้เขาไม่สบายใจบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะเล่าให้พ่อบุญธรรมฟังเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะพลอยไม่สบายใจไปด้วย

“...เอ่อ ว่าแต่วันนี้อาปาไม่นั่งข้างหน้าต่างเหรอครับ?”

คนตัวโตรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อเห็นที่นั่งของพ่อบุญธรรม ชั้นเฟิร์สคลาสซึ่งมีเพียงแค่ 4 ที่นั่งของเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-300 ของสิงคโปร์ แอร์ไลน์สที่คริสมักนั่งกลับไปยังสนามบินซาน ฟรานซิสโกนั้นจัดที่นั่งแบบ 1-2-1 หมายความว่าจะมีที่นั่งติดหน้าต่างซ้ายและขวาข้างละ 1 ที่นั่งและมีคู่กลางที่นั่งติดกันอีก 2 ที่ โดยปกติแล้วอาปาของเขามักจะจองที่นั่งติดหน้าต่างเพราะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าคู่กลางที่ต้องนั่งคู่กับคนแปลกหน้า

“อืมม์ อาปาอาจจะจองช้าไป ที่นั่งติดหน้าต่างทั้งสองฝั่งมีคนนั่งหมดแล้ว แต่ข้าง ๆ อาปานี่ก็ยังว่างนะ อาจจะไม่มีคนนั่งก็ได้ แต่ถึงมีก็ไม่เป็นไร อาปาเอาแผงกั้นขึ้นก็ไม่ต้องเห็นกันแล้ว”

คริสพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับดึงแผงกั้นด้านข้างตนขึ้นให้อีกฝ่ายได้เห็น

“อ๊ะ ใกล้ถึงเวลาเครื่องออกแล้ว อาปาวางสายก่อนแล้วกัน”

อาปาของฆาเบียร์พูดเมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ฆาเบียร์รับคำ พวกเขาบอกลากันแล้วคริสจึงกดตัดการสื่อสาร เขาเอนหลังลงกับเบาะหนังสีน้ำตาลอันกว้างขวางแล้วหลับตาครุ่นคิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เขาสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงคนวางกระเป๋าลงบนพื้นที่นั่งด้านข้างที่ยังว่างอยู่  เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ต้องส่ายหน้าเมื่อเห็นว่ามันเลยเวลาออกเดินทางมาหลายนาทีแล้ว เครื่องคงดีเลย์เล็กน้อยเพราะร่วมทางแปลกหน้าของเขาคนนี้มาสายเป็นแน่แท้ เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายลงนั่ง พนักงานก็ทำการปิดประตูและเครื่องบินก็ทำการเคลื่อนที่ออกจากท่าเทียบ

 

ก๊อก ๆ ๆ

หลังอาหารมื้อค่ำ คริสซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่เพลิน ๆ บนที่นั่งซึ่งถูกปรับให้ราบจนกลายเป็นเตียงหันซ้ายหันขวาเมื่อได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ เขาใช้เวลาครู่หนึ่งจึงได้รู้ว่าเสียงมันดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของแผงกั้นข้างตัว เขาขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกระแทกโดนมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

ก๊อก ๆ ๆ

“คุณครับ...เอาแผงกั้นลงหน่อย”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเรียกเบา ๆ เป็นภาษาอังกฤษจากเพื่อนร่วมทาง คริสเริ่มรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินทางมานับครั้งไม่ถ้วน นั่งข้างคนแปลกหน้ามาก็หลายครั้ง หากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกอีกฝ่ายพยายามเข้าหา เขาตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบและรอดูท่าทีของอีกฝ่าย

“อาซิง นายจะไม่สนใจฉันจริง ๆ เหรอ?”


เสียงเคาะพร้อมเสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นภาษากวางตุ้งโดยเสียงนุ่ม ๆ ที่เขาคุ้นหู หว่องซีซิงทำตาโต เขารีบลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วดันแผงกั้นลงทันที ที่เห็นอยู่อีกด้านหนึ่งของแผงกั้นเป็นใบหน้าของชายชราชาวเอเชียที่เขาไม่รู้จัก หากดวงตาสุกใสและรอยยิ้มกว้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนวดเคราขาวนั้นทำให้รู้ว่า ๆ คนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นหากเป็นคนที่ก่อนเขาจะขึ้นเครื่องมาเพิ่งทำหน้าซื่อตาใสบอกว่าคิดถึงเขาอย่างนั้นอย่างนี้



“นาย!...”

“ชู่ว์ อย่าพึ่งด่าฉันนะ อาซิง”

จิวจี๋โหล่วรีบเอื้อมมือไปจับมือคนที่ทำหน้าเหมือนจะกินหัวเขาเข้าไป เขาใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายเงียบ ๆ ไว้

“นี่นายมาทำบ้าอะไรที่นี่?”

คริสรีบลดเสียงลงแล้วกระซิบถามคนรักผู้ไม่ควรขึ้นมาอยู่บนเครื่องไปสหรัฐฯ กับเขา

“ฉันอยากไปส่งแฟนกลับบ้านนี่นา”

จิวจี๋โหล่วกระซิบกลับเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี คริสหันไปมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบใบหน้าของคนรักเบา ๆ

“ขอโทษนะ ที่ต้องมาสภาพนี้”

เดวิด จิวพูดด้วยน้ำเสียงสลด หากคริสส่ายหน้าน้อย ๆ เพื่อบอกว่าเขาไม่ได้ติดใจอะไร เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้คนเห็นเขาอยู่ใกล้ชิดกับ “จิวจี๋โหล่ว” เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง



“ฉันแค่กำลังคิดว่า...”

คริสพูดยิ้ม ๆ พลางใช้มือลูบหนวดบนปากของอีกฝ่าย เขาอดหน้าแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้เมื่อพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา

“ถ้าจะ...จูบคนที่มีหนวดมันจะรู้สึกยังไงกันนะ?”

ไม่ทันขาดคำดี คนที่นั่งสบตาเขาอยู่อีกฟากก็โน้มกายเข้ามาประทับจูบบนริมฝีปากของเขาทันที หว่องซีซิงหลับตาพริ้มแล้วปล่อยให้คนที่ชำนาญกว่าเป็นผู้นำทาง ใจของเขานั้นเต้นระรัวด้วยกลัวว่าจะมีพนักงานต้อนรับหรือผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็น

“อาโหล่ว พอก่อน”

คริสกระซิบเสียงเครือแล้วรีบดันกายอีกฝ่ายให้ออกห่างเมื่อเขาได้ยินเสียงพนักงานต้อนรับเปิดม่านที่กั้นระหว่างส่วนที่นั่งผู้โดยสารกับส่วนเตรียมอาหาร จิวจี๋โหล่วถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนที่จะกลับไปนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ที่ยังไม่ได้ปรับเป็นที่นอนของเขา

“มีอะไร? ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ามากวน”

เขาพูดกับพนักงานสาวด้วยเสียงที่พยายามกดให้เป็นปกติ

“ขอโทษที่ต้องรบกวนจริง ๆ ค่ะ แต่มีสายมาถึงท่าน เรื่องด่วนค่ะ”

พนักงานคนนั้นค้อมหัวเป็นเชิงขอโทษก่อนที่จะยื่นโทรศัพท์แบบที่ใช้บนเครื่องบินให้กับอีกฝ่าย คริสหรี่ตาน้อย ๆ ดูคนรักเมื่อเขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จิวจี๋โหล่วรีบหันมาก้มหัวให้คนรักน้อย ๆ พร้อมทำปากขมุบขมิบบอกขอโทษ จากนั้นดึงแผงกั้นที่นั่งทางฝั่งของตนขึ้น คริสถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนอ่านนิยายของเขาต่อ

 

“อาซิง หลับหรือยัง?”

จิวจี๋โหล่วดันแผงกั้นระหว่างเขากับอีกฝ่ายลงพร้อมถามเบา ๆ อย่างเกรงใจ

“ยัง ๆ แค่เกือบ ๆ น่ะ”

หว่องซีซิงซึ่งกำลังเคลิ้ม ๆ รีบขยับกายลุกขึ้นยิ้มบาง ๆ ให้คนรัก ในความมืดสลัวของเคบินที่ปิดไฟหมดแล้ว เขาทันเห็นเงาร่างของคนซึ่งในคราแรกยืนอยู่ข้างที่นั่งของจิวจี๋โหล่วรีบก้าวหลบสายตาของเขาเข้าไปในที่นั่งซึ่งอยู่ติดหน้าต่าง

“คนของนายเหรอ?”

คริสถามเบา ๆ คนรักของเขาอึกอักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า คริสผงกหัวน้อย ๆ อย่างเข้าใจ เขาก็ไม่คิดอยู่แล้วว่าคนรักผู้ใช้ชีวิตอยู่กับอันตรายจะเดินทางเพียงลำพัง

“ฉันคงต้องเจอแบบนี้อีกบ่อย ๆ สินะ”

จิวจี๋โหล่วหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคนรักรำพึงเบา ๆ กับตนเอง
 


“นาย เอ่อ นึกเสียใจแล้วเหรอ?”

คนที่เริ่มนึกเสียใจเองถามเบา ๆ หากรอยยิ้มละไมของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำให้ใจที่ห่อเหี่ยวของเขาฟูขึ้น

“เสียใจอะไร? ตื่นเต้นดีต่างหาก”

คริสยิ้มละไมพร้อมกับเอื้อมมือไปเกาะกุมมือที่เย็นชื้นของคนรัก

“อย่าคิดมากน่า แต่คราวหน้าน่ะ บอกเค้าไม่ต้องหลบแบบนี้ให้เหนื่อยหรอกนะ ฉันจะทำเป็นไม่เห็นเองแล้วกัน”

จิวจี๋โหล่วมองมือที่บีบกระชับมือของเขา เขาบีบมือเรียวของคนรักตอบเพื่อเป็นการตอบตกลง คริสส่งยิ้มให้คนที่มักวิตกกังวลอีกครั้ง ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะเดินร่วมทางกับอดีตเพื่อนผู้มีอิทธิพลคนนี้แล้ว เขาก็คงต้องทำตัวให้คุ้นชินกับวิถีชีวิตของอีกฝ่าย

“งานนายเสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นก็ให้แอร์ฯ มาปูเตียงให้เสียสิ จะได้นอนสักที”

คริสพูดพลางหาวน้อย ๆ อย่างง่วงงุน เขาประมาณว่าพวกเขาคงออกเดินทางมาได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมงแล้ว และมันก็เลยเวลานอนของเขามานานโข จิวจี๋โหล่วพยักหน้าแล้วจึงกดปุ่มเรียกพนักงานให้มาจัดการเปลี่ยนเก้าอี้ของเขาให้กลายเป็นที่นอน


“อาซิง...”

เดวิด จิวส่งเสียงเรียกคนรักของเขาเบา ๆ หลังจากที่ขึ้นมานั่งบนเตียง เขาชะโงกหน้าไปมองหาที่เตียงของหว่องซีซิง แต่ก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่า

“นายทำอะไรของนาย?”

จิวจี๋โหล่วสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เขารีบหันขวับกลับมาแล้วก็พบคริสที่กำลังหย่อนกายลงนั่งบนเตียงของเขา

“นายนั่นแหละ จะทำอะไร?”

จิวจี๋โหล่วปิดไฟอ่านหนังสือที่เขาเปิดไว้เมื่อสักครู่แล้วรีบแอบหันไปยกมือให้สัญญาณกับคนของเขาซึ่งทำท่าจะลุกขึ้นมาจากที่นั่งริมหน้าต่าง

“ก็จะนอนไง เขยิบไปสิ ฉันง่วงจะตายแล้ว”

คนที่พยายามทำใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้พูดพลางปีนขึ้นมานั่งบนที่นั่งซึ่งจัดเป็นเตียงไว้เรียบร้อย


“อาซิง ฉันว่านายไปนอนที่นายเถอะ เตียงมันแคบ เดี๋ยวก็นอนไม่สบายหรอก”

จิวจี๋โหล่วพยายามพูดให้คนรักกลับไปนอนที่ของตน

“ขนาดมันก็เท่ากับที่นอนขนาดสามฟุต ตอนเด็ก ๆ เตียงนายที่หอใหญ่กว่านี้นิดหน่อย เราก็เคยนอนเบียดกันมาแล้ว ฉันแค่...เฮ้อ”

คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะขยับตัวลงจากเตียง

“ฉันแค่อยากจะเข้านอนแล้วก็ตื่นข้าง ๆ นายโดยที่ไม่มีอะไรกั้น แต่ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ฉันไปล่ะ”

“เดี๋ยว...”

จิวจี๋โหล่วรีบดึงมือคนที่ทำท่าจะเดินกลับไปยังที่นอนของตน

“สะดวกสิ อาซิง ฉันไม่ได้รังเกียจอะไรเลย ฉันแค่อยากให้นายได้นอนสบาย ๆ แค่นั้นเอง”

อาโหล่วระล่ำระลักบอกพร้อมกับดึงรั้งจนอีกฝั่งเซลงนั่งแปะบนเตียงของเขา เขาจัดแจงโน้มกายไปเอาหมอนและผ้าห่มของคริสจากอีกฝั่งหนึ่งมาแล้วแล้วดึงคริสให้ลงนอนเคียงข้างกัน



“มันก็แคบไปหน่อยจริง ๆ แฮะ”

หว่องซีซิงเปรยขึ้น ถึงพวกเขาทั้งสองจะตัวเล็กบาง แต่เตียงขนาดสามฟุตนั้นก็คับแคบเกินกว่าจะนอนสบายไปนิด สุดท้ายก็กลายเป็นว่าพวกเขาต้องนอนตะแคงกอดกันแบบแนบแน่นจึงจะมีพื้นที่ให้ได้หายใจหายคอสะดวกบ้าง

“ไม่ร้อนเกินไปใช่ไหม?”

จิวจี๋โหล่วถามคนในอ้อมกอดเบา ๆ คริสซึ่งซุกหน้าอยู่กับอกคนรักส่ายหน้าระรัว ที่ร้อนนั้นคือใบหน้าของเขาที่ตอนนี้ร้อนผ่าวและหัวใจของเขาก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว ทางฝ่ายจิวจี๋โหล่วเองก็ไม่ต่างกัน เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นพอ ๆ กับที่ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย กลิ่นมินท์จากปากของอีกฝ่ายที่เพิ่งไปแปรงฟันมาและกลิ่นโลชั่นแบรนด์ Lalique ที่แจกให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งทำให้จิวจี๋โหล่วอดไม่ได้ต้องประทับจูบลงบนหน้าผากของคนที่พยายามนอนนิ่ง ๆ

“อาโหล่ว นิ่ง ๆ สิ”

หว่องซีซิงเตือนคนรัก แต่ก็ต้องหลับตาพริ้มลงเมื่อริมฝีปากอุ่น ๆ ที่ซอกซอนไปทั่วใบหน้าประทับเข้าที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา

“ฝันดีนะ หว่องซีซิง”

จิวจี๋โหล่วกระซิบผะแผ่วที่ข้างหูของคนรัก

“ฝันดีเช่นกันนะ จิวจี๋โหล่ว”

คริสกระซิบตอบพลางกระชัดวงแขนเข้าเพื่อให้มั่นใจว่าคนในอ้อมกอดจะไม่หายไปไหน ไม่นานเพื่อนรักที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะทั้งสองก็หลับไปภายใต้ผ้าผวยผืนเดียวกัน

 

“นายจะต่อเครื่องไปแวนคูเวอร์เลยใช่ไหม?”

คริสถามคนที่ยืนรอประตูเครื่องเปิดอยู่เคียงข้างเขาเบา ๆ หลังจากนอนหลับเคียงข้างกันอยู่หลายชั่วโมง พนักงานต้อนรับสาวซึ่งดูเหมือนว่าที่จริงแล้วจะทำงานให้กับคนรักของเขาด้วยได้เดินมาสะกิดทั้งสองพลางบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่พวกเขาจะเสิร์ฟมื้อเช้าแล้ว เมื่อรู้แบบนั้น คริสจึงได้ย้ายกลับมาเอนหลังรอที่เตียงของตนจนไฟในเคบินสว่างขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้ใช้เวลาช่วงมื้อเช้าพูดคุยกัน จนกระทั่งเครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติซาน ฟรานซิสโก

“อืมม์ ฉันมีเวลาต่อเครื่องประมาณสองชั่วโมง นายจะกลับบ้านเลยใช่ไหม?”

จิวจี๋โหล่วตอบรับแล้วถามกลับ

“ใช่ คนรถของฉันน่าจะมารออยู่แล้ว นายไม่ต้องห่วงนะ”

“งั้น ฉันไปก่อนนะ”

เดวิด จิวก้มหัวน้อย ๆ ให้กับคนรักของเขา

“อืมม์ รักษาเนื้อรักษาตัวนะ”

คริสตอบรับ เขาแตะหลังมือคนรักเบา ๆ เพื่อเป็นการบอกลา เดวิดถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกคนรอบข้างแล้วเดินออกจากเครื่องไป คริสหัวเราะกับตัวเอง เมื่อพบว่าชายชาวอาหรับที่นั่งอยู่ในที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งเดียวกับเขานั้นก็ได้ลุกขึ้นเดินตามคนรักของตนไปเช่นกัน เขาโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อคิดถึงว่าคนรักของตนคงต้องใช้กำลังภายในไปไม่น้อยเพื่อหาที่นั่งบนชั้นเฟิร์สคลาสที่เต็มเอี้ยดไปแล้วมาในเวลาอันสั้น

 

“เดี๋ยวผมถือให้ครับ...”

ริคกี้ซึ่งโดยสารมาด้วยในชั้นธุรกิจรีบกุลีกุจอเข้ามารับกระเป๋าลากจากมือของคริสซึ่งยืนรออยู่ที่หน้าเกท คริสส่งสัมภาระของเขาให้ริคกี้ก่อนจะเดินนำเพื่อเตรียมออกไปยังฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง

“อ๊ะ”

คริสอุทานเบา ๆ เมื่อมีชายคนหนึ่งซึ่งมัวแต่ก้มหน้าก้มตากดมือถือเดินมาชนเขาอย่างจัง

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

ริคกี้รีบเข้ามาประคองคริสแล้วส่งสายตาไม่พอใจตามชายคนนั้นไป คริสส่ายหัวให้กับคนสนิทแล้วพาเดินต่อ



‘แล้วจะรีบติดต่อหา รักนะ ดวงใจของฉัน’

คริสใช้เวลาที่ยืนรอกระเป๋ายกกระดาษแผ่นน้อยที่ถูกยัดใส่มือของเขาตอนโดนชนเมื่อสักครู่ขึ้นอ่าน แม้คนที่ชนเขาเมื่อสักครู่จะพูดขอโทษขอโพยออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นชัดเปรี๊ยะ แต่สัมผัสอุ่น ๆ ของริมฝีปากที่ฝากเอาไว้ที่ข้างแก้มของเขาอย่างจงใจกับกระดาษแผ่นนี้ที่ถูกยัดเข้ามาในมือทำให้เขารู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้

“เจ้าเล่ห์นักนะ ตาเฒ่าเอ๊ย”

คริสโคลงหัวน้อย ๆ และพึมพำกับตัวเองเมื่อนึกถึงคนรักที่แปลงโฉมตนเองอย่างไวว่องอีกครั้ง เขาจำได้ว่าเมื่อมองตามกลับไป เขาก็เห็นผู้โดยสารอีกสองคนที่นั่งมากับพวกเขาคอยเดินตามร่างเล็กเพรียวที่ดูเหมือนจะใส่รองเท้าเสริมส้นจนสูงขึ้นอีกเล็กน้อย คนทั้งสองก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและเปลี่ยนรูปโฉมไปเช่นกัน

“ของครบแล้วครับ รถก็มาถึงแล้ว”

ริคกี้ซึ่งเพิ่งวางสายจากคนรถของคริสหันไปบอกนายของเขา คริสหันไปพยักหน้าให้กับคนสนิทเป็นเชิงว่ารับรู้

“อืมม์ งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ ฉันง่วงเต็มทีแล้ว”

คริสพูดพลางเดินนำออกไปยังประตูทางออก โดยปล่อยให้ริคกี้ที่เข็นกระเป๋าตามออกมางงงวยต่อไปว่าทำไมคนที่มีที่นอนราบแบบสบาย ๆ ในชั้นเฟิร์สคลาสยังคงหาวหวอด ๆ ด้วยความง่วงงุน

 

----------------------------------

ขออภัยในความล่าช้าอีกแล้วนะคะ ว่าจะลงตั้งวันสองวันแล้ว แต่เรื่องเมื่อวานและวานซืนทำเอาเขียนไม่ออกไปเลยทีเดียว ตอนนี้ก็ถือว่าสรุปภาคฮ่องกงรอบนี้จบไปแล้วด้วยความยาวเกือบ 90,000 ตัวอักษร รู้งี้ตัดเป็นสองตอนก็ดี แหะๆ ต่อไปกำลังคิดว่าจะต่อเรื่องเจ ฆาบี้เลยดี หรือว่าจะคั่นด้วยภาคพิเศษของลุงโหล่วดี ขอไปคิดแปร๊บนึงนะคะ


ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก ดูคนแก่รักกันให้เบาหวานขึ้นตาเล่นเนาะ ส่วนของกินรอบนี้เขียนไม่ค่อยออกเพราะว่ามันผ่านไปซักพักแล้ว จำอะไรไม่ค่อยได้ค่ะ แหะ ๆ แต่บอกได้แค่ว่าหมูแดงของร้าน Joy Hing นี่อร่อยที่สุดแล้วจริง ๆ แถมยังถูกอีกด้วย ถ้าสั่งแบบเป็นข้าวหน้าหมูแดง ราคาน่าจะประมาณ 30 เหรียญฮ่องกงเองมั้งคะ ส่วนแบบจานที่เห็นในรูป (หมูหัน + หมูแดง) นั้นราคา 100 เหรียญ ที่แพงเพราะว่าหมูหันน่าจะราคาประมาณ 70 – 75 เหรียญ ส่วนห่านย่างจานนั้น 140 เหรียญค่ะ ร้านนี้โดยมากจะคนแน่นทั้งวัน ถ้าจะให้แนะนำก็คงให้ไปนอกเวลาอาหาร อย่างคนเขียนตอนนั้นนอนรร. โนโวเทลที่อยู่อีกฝั่งถนน ก็เลยไปกินตั้งแต่ร้านเปิด ก็คือ 9:30 น. อ้อ อย่าลืมว่าร้านปิดวันอาทิตย์นะคะ

ร้าน Joy Hing Roasted Meat http://bit.ly/39sG7K5

รีวิวร้านหมูแดงฮ่องกง รีวิวเก่าหน่อยนะคะ http://bit.ly/3bATjyD


ส่วนนี่ เอามาให้อ่านเล่น ๆ ค่ะ รีวิวชั้นเฟิร์ส คลาสของสายการบิน Singapore Airlines

http://bit.ly/2HgyElf

ตอนหน้าคิดว่าคงไม่ยาวขนาดนี้แล้ว จะพยายามรีบมาค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2020 16:04:50 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
งวดนี้รอยาว เลยได้อ่านยาว
หวานกันทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ความแตก (ตอนต้น) ----

 


“ครับ เพิ่งถึงเลยครับอาปา อ๋อ แหะ ๆ ยังไม่ได้โทรเลยครับ ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุยทีเดียวเลย...”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ ให้กับคนที่ปลายสายเมื่อถูกถามว่าเขาได้โทรกลับไปหาฆาเบียร์แล้วหรือยัง เขาทรุดตัวลงนั่งบนที่นั่งบริเวณหน้าร้านสตาร์บัคส์

“เอ่อ เดี๋ยวมีเพื่อนมารับครับ ไม่ต้องนั่งแท็กซี่กลับ รอไม่นานครับ เดี๋ยวก็มาแล้ว”

เจยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากอาปาของคนรัก

“แล้วอาปาได้กินหมูแดงหรือยังครับ?”

“ยังเลยลูก เดี๋ยวอาปาว่าจะกินก่อนขึ้นไปสนามบิน”

คริสบอก เที่ยวบินของสิงคโปร์ แอร์ไลน์สซึ่งเขาจะโดยสารจากฮ่องกงไปยังสนามบินซาน ฟราสซิสโกมีกำหนดออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง

“อาปาครับ งั้นผมวางก่อนนะครับ เพื่อนผมน่าจะใกล้ถึงแล้ว...ครับ เดินทางปลอดภัยครับอาปา”

เจนยุทธยกโทรศัพท์อีกเครื่องของเขาขึ้นดูเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้า เขาก้มหัวน้อย ๆ ให้คนที่ปลายสายอย่างเคยตัวแม้ตนจะไม่ได้คุยแบบเห็นหน้ากันก็ตามก่อนจะบอกลาอีกฝ่ายไป

“เออ มึงใกล้ถึงแล้วเหรอ? อยู่ที่สตาร์บัคส์ขาเข้าโดเมสติค ได้ ๆ เดี๋ยวกูเดินออกไป”

เจจัดการหยิบเป้ของเขาขึ้นสะพายพร้อมกับหยิบแก้วกาแฟที่ยังไม่ได้ดูดสักอึกติดมือไปด้วย จากนั้นเดินออกจากอาคารสนามบินไป

 

“เฮ้ย ซื้อรถตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”

เจอุทานอย่างประหลาดใจหลังจากกระจกรถ Honda Civic สีดำใหม่เอี่ยมที่ขับมาจอดตรงหน้าเขาเลื่อนลงเผยให้เห็นคนขับที่ส่งยิ้มกว้างมาให้เขา

“ซึ้อได้เกือบสองเดือนแล้วพี่เจ”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มรุ่นน้องของเจนยุทธตอบคำถามพี่รหัสที่เปิดประตูขึ้นนั่งที่เบาะหน้ารถของเขาอย่างงง ๆ

“แหม กูก็กะจะซ้อนมอ’ไซค์มึงกลับสุดฤทธิ์ ที่ไหนได้ ได้นั่งราชรถใหม่ของมึงแล้วโว้ย”

“โหย แซวงี้ เดี๋ยวผมกลับไปเปลี่ยนมอไซค์มาให้พี่ซ้อนแทนเลยดีกว่า”

คนที่เริ่มเสียดายแล้วว่าตนน่าจะเอามอเตอร์ไซค์คันเก่าคันเดิมของตนมารับอีกฝ่ายเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นพูดอย่างเซ็ง ๆ เจหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่คิดอะไรก่อนจะสำรวจรถที่ยังมีกลิ่นใหม่ฟุ้งของรุ่นน้อง

“ซื้อรถได้นี่ แสดงว่าอะไรเข้าที่เข้าทางแล้วใช่ไหม ไอ้ตั้ม?”

เจถามน้องรหัสที่เขารู้จักดีพอที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางในชีวิตของอีกฝ่ายพอสมควร รุ่นน้องของเขาคนนี้เดิมทีมาจากครอบครัวที่ฐานะค่อนข้างดี มันทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนานได้ในช่วงมหาวิทยาลัย หากก่อนเรียนจบไม่นาน พ่อของเขาซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็ได้เสียชีวิตลง เมื่อนั้นเองที่เด็กหนุ่มได้รู้ว่าอันที่จริงแล้วผู้พ่อได้ทำธุรกิจผิดพลาดและสร้างหนี้ก้อนโตไว้ให้เขาต้องชดใช้แทน เขาต้องขายบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เล็กและย้ายไปอยู่กับครอบครัวของป้าที่เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อ หากหลังจากเรียนจบและเริ่มทำงานได้ไม่นาน เขาก็ตัดสินใจย้ายออกไปเช่าหออยู่เนื่องจากไม่สะดวกใจอะไรหลาย ๆ อย่าง

“เริ่มดีขึ้นแล้วพี่ ก็เพิ่งเคลียร์หนี้หมดไป ต้องขอบคุณพี่เจจริง ๆ ที่คอยอยู่ข้าง ๆ และช่วยผมมาตลอด”

ตั้มพูดเสียงแผ่วเบา ในช่วงแรกที่เขาย้ายออก เจยังเคยชวนรุ่นน้องคนนี้ให้มาพักอยู่ด้วยเป็นช่วงสั้น ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหาที่อยู่ใหม่ได้ อีกทั้งยังคอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองยามที่ขาดมือ แม้เจ้าตัวจะเกรงใจและไม่ค่อยกล้าที่จะรับความช่วยเหลือก็ตาม

“เฮ้ย เรื่องเล็กน้อยน่า มึงก็เหมือนเป็นน้องแท้ ๆ กู ไม่ช่วยกันแล้วจะไปช่วยใครที่ไหนวะ?”

เจหัวเราะร่าพลางตบไหล่คนที่ขับรถพาเขากลับคอนโดเบา ๆ ตั้มเงียบไป เขาหันไปกดเปิดเพลงเพื่อกลบความคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ยิ่งเขาคิดถึงคืนวันสั้น ๆ ที่เคยใช้ร่วมกันกับพี่รหัส นึกถึงความสนิทสนมที่เคยมีให้กันตั้งแต่สมัยเรียน แล้วก็พาลนึกเสียใจที่ตนเลือกที่จะปกปิดความรู้สึกของตนแทนที่จะลองเดินหน้าจีบเจตั้งแต่ยังมีโอกาส

“เฮ้ย ไฟเขียวแล้วมึง”

ตั้มสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อฝ่ามือของหนุ่มรุ่นพี่ตบลงเบา ๆ ที่ไหล่ เขาเหยียบคันเร่งเพื่อขยับรถออกจากสี่แยกไฟแดงและเลี้ยวเข้าสู่ถนนนิมมานเหมินท์

 

“เวรเอ๊ย!”

เจนยุทธสบถลั่นเมื่อกาแฟที่เขายังดูดไม่หมดหกกระจายเต็มอกเสื้อและหน้าขาของรุ่นน้อง ด้วยความซุ่มซ่ามของเขา เป้ซึ่งเขาเอี้ยวตัวไปหยิบมาจากเบาะหลังรถได้ฟาดเข้าอย่างจังกับแก้วกาแฟที่เขาฝากรุ่นน้องถือไว้จนตกกระจายลงบนตัวของอีกฝ่าย

“กูนี่ซุ่มซ่ามจริง ๆ ขอโทษจริง ๆ ว่ะ”

เจระล่ำระลักพูดพลางดึงทิชชู่จากกล่องในรถของเพื่อนรุ่นน้องมาซับตามรอยเปรอะ

“พี่เจ ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเช็ดเองได้”

ตั้มรีบจับมือพี่รหัสที่ทำท่าจะหยิบกระดาษมาเช็ด ๆ ถู ๆ บริเวณหน้าขาของตน เจนยุทธเกาหัวแกร่ก ๆ ด้วยความเซ็งตัวเอง เขามองดูรุ่นน้องที่พยายามใช้ทิชชู่ซับน้ำกาแฟบนตัวแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“ตั้ม เดี๋ยวมึงขึ้นไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวบนห้องกูก่อนดีกว่า ในรถมึงมีเสื้อผ้าสำรองไหม?”

“มีพี่ ผมเพิ่งไปรับผ้ามา”

“เออ ดี งั้นมึงตามกูขึ้นมาเลย”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวออกจากรถคันใหม่ของเขา

“ให้ตายสิ กูนั่งรถใหม่มึงแป๊บเดียวก็เจิมรถให้มึงซะละ”

เจบ่นกะปอดกะแปดไปตามเรื่อง

“ไม่เป็นไรครับ มันหกใส่ตัวผมหมด ไม่ได้ลงเบาะ”

ตั้มพูดพลางเปิดท้ายรถเอาเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งรับจากร้านซักอบรีดออกมาชุดหนึ่ง จากนั้นเดินตามเจนยุทธเพื่อขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง

 

“มึงจะอาบน้ำเลยก็ได้นะ จะไปตัวหอม ๆ ไปทำงาน หนุ่ม ๆ ที่มาติดมึงจะได้เคลิ้มสั่งดริงค์กันเยอะ ๆ ”

เจนยุทธกระเซ้า

“โธ่ ติดเติดอะไรกันพี่ เด็กต๊อกต๋อยอย่างผมใครจะมาสนใจ ไม่ได้เสน่ห์แรงเหมือนพี่ซักหน่อย”

ตั้มพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพี่รหัส

“ทำมาเป็นพูด กูเห็นมึงสับรางหัวกะไดไม่เคยแห้งเหอะ เอ้า มึงมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องกูนี่”

เจหัวเราะเบา ๆ แล้วเปิดประตูห้องนอนไว้ให้หนุ่มรุ่นน้องเข้าไปใช้ห้องน้ำของเขา

“พี่เจ ผมใช้ห้องน้ำเล็กห้องนู้นก็ได้”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มที่คุ้นเคยกับห้องพักของหนุ่มรุ่นพี่เป็นอย่างดีพูดอย่างเกรงใจ

“ห้องนี้แหละ กูขี้เกียจล้างอ่างอาบน้ำห้องนู้น เอ้า นี่ ผ้าเช็ดตัว”

เจนยุทธหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จากในลิ้นชักโยนให้ตั้ม แล้วโบกมือไล่อีกฝ่ายให้รีบไปอาบน้ำอาบท่าเสีย ส่วนตัวเขาเดินออกไปนอกห้องเพื่อจัดการเก็บข้าวของและนำหมูแดงและขนมที่ซื้อมาเก็บใส่ครัวไว้

“ชิบเป๋ง กี่โมงแล้ววะเนี่ย”

เจรีบล้วงมือถือออกมาดูเวลาเมื่อนึกได้ว่าตนยังไม่ได้จัดการโทรแจ้งฆาเบียร์ว่าได้กลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มเจื่อน ๆ กับตัวเองเมื่อเห็นข้อความจำนวนมากจากฆาเบียร์ซึ่งหลัก ๆ แล้วเป็นการถามหาว่าเขาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพแล้วหรือยัง

"แหะ ๆ ขอโทษครับ พอดีผมยุ่ง ๆ อยู่ ก็เลยยังไม่ได้โทรหา"

เจลงนั่งที่เก้าอี้บาร์แล้วส่งยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักที่ทำหน้าตูมผ่านจอมาหาเขา เขาจับโทรศัพท์ของเขาพิงกับตะกร้าผลไม้บนเคาเตอร์บาร์และสนทนากับคนรักต่อ

 

"อืมม์ อาปากินหมูแดงของเจแล้วล่ะน่า เมื่อเย็นฉันกลับไปบ้านก็เห็นคุณเควินให้แม่บ้านจัดไว้ในสำรับอาหารของอาปาให้แล้ว แต่คงกินไม่หมดหรอก นายซื้อมาซะเยอะเลยนี่"

ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เจนยุทธคงจะกลัวว่าคริสจะได้กินหมูแดงร้านโปรดน้อยเกินไป จึงซื้อไว้ให้ถึงสองจานใหญ่ เขาบอกเจว่าเควินน่าจะเก็บส่วนที่เหลือซีลและใส่ช่องฟรีซไว้ให้แล้ว

"แล้วคุณไม่กินด้วยเหรอครับ? อย่าบอกนะว่างดมื้อเย็นอีกแล้วน่ะ"

เจนยุทธไล่เบี้ยกับคนรักทันทีเมื่อได้ยินว่าเจ้าตัวไม่ได้ร่วมโต๊ะกับคริสตอนมื้อเย็น

"เอ่อ มะ ไม่ได้งด แค่ว่าฉันกินมื้อเที่ยงเลท ก็เลยยังไม่ได้กินมื้อเย็นแค่นั้นเอง"

ฆาเบียร์พูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นคนรักแยกเขี้ยวใส่ เขาบอกเจว่าเขาตั้งใจจะสั่งรูมเซอวิสเบา ๆ กินเมื่อกลับไปถึงโรงแรมหลังจากไปส่งคริสที่สนามบินแล้ว

"อ้อ งั้นคุณจะไปส่งอาปาเองใช่ไหมครับ? ไม่ให้ลุงโจวไปส่งล่ะ?"

"ไม่ล่ะจ้ะ ฉันจะไปส่งเอง"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ เขาก็หูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของบุคคลที่ 3 ดังมาจากด้านหลังของเจนยุทธ

 

"พี่เจ เสื้อผ้าผมอยู่ข้างนอกหรือเปล่า?"

"มึงถือมาพร้อมกระเป๋ามึงเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ? อยู่ที่หน้าทีวีหรือเปล่า"


เจหันไปตอบน้องรหัสของเขาที่เดินออกจากห้องนอนมาหา ก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกเมื่อหันไปเห็นใบหน้าที่แสดงความไม่สบอารมณ์ของคนรัก แม้จะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ภาพของบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่เปลือยท่อนบนและมีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างไว้ที่เห็นเพียงแว่บหนึ่งในจอภาพก็เพียงพอที่ทำให้ฆาเบียร์แทบคลั่งได้

"เจ นี่มันอะไรกัน?!"

คนตัวโตคำรามลั่นออกมาทันที เจนยุทธหน้าซีดทันทีเมื่อนึกได้ว่าภาพที่อีกคนเห็นนั้นมันดูไม่ดีแค่ไหน

"เฮ้ย ไม่มีอะไร คุณ ปรินซ์กับซันซันมันไม่ว่างมารับผม พอดีไอ้ตั้มมันว่างเลยมารับผมแทน มีงมานี่เลย ไอ้ตัวดี มาทักทายฆาบี้ก่อน..."

เจอธิบายเร็วปรื๋อพร้อมกับหันไปพูดกับคนนอกจอเป็นภาษาไทย ฆาเบียร์เม้มปากแน่น เขาได้ยินเสียงคนใส่เสื้อผ้าสวบสาบครู่หนึ่งก่อนที่ใบหน้าที่ยิ้มละไมของรุ่นน้องของคนรักจะโผล่เข้ามาในจอ

"เอ่อ สวัสดีครับคุณ ขอโทษจริง ๆ ครับที่โผล่มาสภาพนี้ ผมไม่รู้ว่าพี่เจคุยกับคุณอยู่..."

ตั้มหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้กับคนรักของพี่รหัส หากฆาเบียร์ยังมองเห็นได้ว่าแม้ริมฝีปากได้รูปนั้นจะแย้มยิ้ม ตาของอีกฝ่ายนั้นกลับไม่ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย

"...ตอนลงรถเมื่อกี้พี่เจทำกาแฟหกใส่ผม ก็เลยให้ผมขึ้นมาล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องครับ ไม่มีอะไรจริง ๆ"

ฆาเบียร์ยังคงทำหน้านิ่ง เขาเหลือบมองแขนของบาร์เทนเดอร์หนุ่มซึ่งยื่นมาเท้าเคาเตอร์บาร์ไว้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซึ่งมีใจให้คนรักของเขานั้นตั้งใจหรือไม่ แต่ท่าที่ของชายหนุ่มที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเจนยุทธพร้อมกับยื่นหน้ามาคุยกับเขาไปด้วยนั้น มันทำให้ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังคร่อมหลังและกอดกักคนรักของเขาไว้ในอ้อมแขนก็ไม่ปาน

"อืมม์ ฉันก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอก ก็แค่ตกใจนิดหน่อย ตอนแรกฉันก็นึกว่าเป็นใครก็ไม่รู้ แต่พอเห็นว่าเป็น 'รุ่นน้อง' ของเจก็ค่อยสบายใจหน่อย"

ฆาเบียร์คลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับคนรักของเขา เจย่นจมูกให้พ่อเจ้าประคุณที่เน้นคำว่ารุ่นน้องเสียเสียงเข้ม คนตัวโตคงอยากเน้นย้ำให้อีกฝ่ายได้รู้ถึงฐานะของตน แต่เจก็ไม่ได้คิดที่จะแย้งหรือขัดคอคนรักแต่อย่างใด

 

"คุณไม่เคืองผมก็ค่อยสบายใจหน่อย"

ตั้มยังคงส่งยิ้มละไมให้คนในหน้าจอ เขาปล่อยมือที่เท้าเคาเตอร์ออกแล้วดึงกายกลับไปยืนตัวตรงด้านหลังเจนยุทธ ฆาเบียร์ตาวาวโรจน์ทันทีเมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์หนุ่มก้มหน้าลงจนริมฝีปากและปลายจมูกของอีกฝ่ายเกือบจะสัมผัสกับเรือนผมของเจนยุทธผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่มะรอมมะร่อ จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาของบาร์เทนเดอร์หนุ่มก็เงยขึ้นและสบตาเขาด้วยแววตาท้าทาย ฆาเบียร์ลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์และรีบกลับมาสวมโป๊กเกอร์เฟซของตนอีกครั้ง

"พี่เจ งั้นผมไปก่อนดีกว่า ไม่กวนพี่กับคุณเขาแล้วนะ"

บาร์เทนเดอร์หนุ่มวางมือบนบ่าคนในดวงใจของเขาพร้อมกับบีบเบา ๆ อย่างจงใจ เจหันไปพยักหน้าให้อย่างไม่คิดอะไร เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปจนถึงทุ่มครึ่งแล้ว

"เฮ้ย ไปเหอะ นี่มึงก็เข้างานเลทแล้วนี่หว่า"

"ไม่เป็นไรพี่ ผมโทรบอกที่ร้านไว้แล้วว่าวันนี้มีธุระ จะเข้าไปแค่ไปช่วย เดี๋ยวค่อยไปทำล่วงเวลาวันอื่น"

เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วก็อุทานออกมาเบา ๆ อย่างนึกได้

"มึงรอแป๊บนะ เดี๋ยวกูเอาหมูแดงกับขนมที่ซื้อจากฮ่องกงมาให้ เดี๋ยวมานะครับ mi amor"

เจหันไปค้อมหัวให้คนรักนิดหนึ่งก่อนที่จะลุกเอาของจากตู้เย็นและตู้ในครัว ฆาเบียร์หันไปจ้องตากับหนุ่มรุ่นน้องซึ่งจ้องเขากลับอย่างไม่กลัวเกรง คนตัวโตที่พยายามรักษารอยยิ้มละไมบนริมฝีปากไว้ร้อนในอกทันทีเมื่อเห็นสายตาเย้ยหยันของอีกฝ่าย สีหน้าที่มีรอยยิ้มเยาะประดับอยู่บนริมฝีปากนั้นดูราวกับเป็นคนละคนกับชายหนุ่มที่ทำท่าทางอ่อนน้อมต่อหน้าเจนยุทธ ไฟในตาของอีกฝ่ายทำให้ฆาเบียร์อยากบินไปเชียงใหม่บัดเดี๋ยวนั้น

 

"เอ้า นี่ ของมึง"

เจนยุทธยื่นถุงกระดาษจากร้านสตาร์บัคส์ที่ใส่ซองหมูแดงและขนมจากมาเก๊าให้ตั้ม

"หมูแดงมึงก็เอาใส่ตู้เย็นที่ร้านไปก่อน แล้วค่อยเอากลับไปใส่ฟรีซที่บ้านไว้ ถ้ายังไม่กินเลยอ่ะนะ..."

เจนยุทธสาธยายสรรพคุณและวิธีเก็บรักษาหมูแดงเจ้าอร่อยของเขาให้น้องรหัสฟัง ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ กับตัวเองเมื่อเห็นสายตาและรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือของอีกฝ่าย เขาได้แต่นึกในใจว่าเขาคงต้องระวังเด็กหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้นแล้ว

"งั้น เดี๋ยวผมไปก่อนนะ พี่"


"เจจ๊ะ เจเดินไปส่งน้องเขาที่รถก่อนก็ได้นะ ฉันรอได้"

ฆาเบียร์พูดแทรกคำร่ำลาของบาร์เทนเดอร์หนุ่ม ถึงจะฟังไทยไม่ออก แต่เขาก็เข้าใจคำว่า "ไป"

"เอ๊ย ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ต้องลงไปส่งหรอก ตั้ม มึงลงไปเองได้ใช่ไหม?"

เจนยุทธรีบหันมายิ้มหวานให้คนรักอย่างเอาใจก่อนจะหันไปถามหนุ่มรุ่นน้อง ตั้มขบกรามน้อย ๆ ด้วยความขัดใจ แต่แล้วก็รีบปั้นยิ้มขึ้นบนหน้า

"ครับ งั้น ผมไปนะ เจอกันอีกทีดึก ๆ แล้วกันนะพี่ บายครับ ฆาบี้"

น้องรหัสของเจทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาคนในโทรศัพท์ ฆาเบียร์หน้าตึงวูบเมื่อได้ยินประโยคที่เหมือนการนัดแนะกันจากปากของอีกฝ่าย

 

"คืนนี้จะออกไปข้างนอกเหรอ? นายเพิ่งกลับมาเองนะ"

คนตัวโตหันมาขมวดคิ้วให้กับคนรักที่นั่งทำหน้าเจื่อนอยู่ตรงข้าม หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นออกจากห้องไปเรียบร้อย

"ผมนัดปรินซ์กับซันซันไว้ครับ เห็นสองคนนั้นบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย"

เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วทำท่าปะเหลาะคนรักที่ดูจะยังอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

"อืมม์ หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตนะ เห็นตอนแรกทั้งคู่ว่าจะมารับเจไม่ใช่เหรอ?"

ฆาเบียร์พยายามตะล่อมถามคนรัก เขาต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หนุ่มบาร์เทนเดอร์คนนั้นจึงเป็นฝ่ายมาส่งเจนยุทธถึงห้องแทนเพื่อนทั้งสองที่นัดแนะกันไว้ตั้งแต่แรก

"อ๋อ คือเมื่อเช้าปรินซ์ส่งข้อความมาครับ บอกว่ามันกับไอ้ซันมารับไม่ได้ทั้งครู่เพราะมีธุระด่วนที่ต้องทำกับที่บ้าน ตอนแรกผมก็ว่าจะกลับเอง พอดีไอ้ตั้มมันทักมาช่วงก่อนผมขึ้นเครื่อง..."

เมื่อรู้ว่าเจนยุทธต้องหารถกลับบ้านเอง บาร์เทนเดอร์หนุ่มก็รีบเสนอตัวมารับทันที

“อืมม์ ไม่ต้องนั่งแท็กซี่กลับมาก็ดีแล้ว”

คนตัวโตที่ไม่อยากทำตัวเป็นแฟนหนุ่มขี้หึงแบบที่เขาเคยรำคาญมาตลอดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้ราบเรียบ

“แต่ก็อย่าให้มารับบ่อย...ใช่ไหมครับ?”

เจพูดยิ้ม ๆ เพื่อกระเซ้าคนที่คงไม่รู้ตัวว่าหน้าเข้ม ๆ ของตนยามที่พยายามสะกดข่มอารมณ์นั้นดูน่ากลัวแค่ไหน ฆาเบียร์เม้มปากน้อย ๆ แล้วพยักหน้าเบา ๆ เจหัวเราะคิกคักจากนั้นฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วช้อนตามองคนรักด้วยท่าทีน่ารัก

 

“แฟนผมนี่ขี้หึงเหมือนกันน้า...”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งกายให้หลังกระแทกพนักของโซฟาในห้องนั่งเล่นของบ้านหว่อง

“ขอโทษด้วยจ้ะ แต่มันอดไม่ได้จริง ๆ”

คนตัวโตพูดอุบอิบในคอ

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย เป็นผม เจองี้ก็ปรี๊ดเหมือนกันแหละ แหะ ๆ ขอโทษจริง ๆ ครับ”

เจขยับขึ้นนั่งเท้าแขนพร้อมส่งสายตาแป๋วแหววให้คนรัก เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเมื่อเห็นสายตาสับสนของฆาเบียร์ยามที่เห็นร่างกึ่งเปลือยของรุ่นน้องของเขา ยิ่งคนตัวโตแสดงท่าทีว่าเขานั้นกำลังพยายามข่มอาการหึงหวงลงและไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา เจนยุทธก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น

“อืมม์ ไม่เป็นไร แต่ฉันอยากให้นายระวังตัวหน่อย โอเคไหม?”

ฆาเบียร์พูดอ้อม ๆ แม้จะยังติดใจกับท่าทีของหนุ่มรุ่นน้องของคนรัก แต่ฆาเบียร์ก็ไม่อยากพูดมันออกไปให้คนรักไม่สบายใจ จึงทำได้แค่ตักเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

“ครับ ๆ ผมจะไม่ให้มันมารับอีกแล้ว”

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ เมื่อรู้ตัวว่าสุดท้ายตัวเองก็อดใจอ่อนกับลูกอ้อนของเจ้าตัวดีไม่ได้อีกครั้ง

“ให้แค่ยามจำเป็นเท่านั้น โอเค๊?”

เจยิ้มกว้างและพยักหน้าให้กับคนที่พยายามทำเสียงเข้มทั้งที่ใจอ่อนยวบยาบลงไปแล้ว

“เมียผมน่ารักแล้วก็ใจกว้างที่สุดเลย”

เจพูดแล้วยกปลายนิ้วขึ้นจูบก่อนจะนำไปแตะที่เลนส์กล้องหน้าของมือถือ

“ไม่ต้องมาทำอ้อนเลยนะตัวแสบ คืนนี้ไปข้างนอกกับสองหนุ่มนั่นแล้วอย่าเถลไถลกลับดึกนัก โอเคไหม?”

คนที่พยายามทำตัวให้สมกับที่เป็นผู้ใหญ่กว่ากัดฟันพูด ใจจริงเขาอยากจะให้คนรักไปแค่พบปะกับเพื่อนทั้งสองที่ร้านอาหารหรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ผับข้างคอนโดซึ่งบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนั้นทำงานอยู่ แต่เขาก็ยังไม่อยากที่จะไปบังคับกะเกณฑ์ชีวิตของเจมากจนเกินไปนัก



“ครับ ๆ ผมจะเป็นเด็กดี ไม่เถลไถล สัญญาเลย อีกอย่าง...ฮ้าว”

เจยิ้มจนตาหยีให้คนรักพร้อมยกสามนิ้วแบบลูกเสือให้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากและหาวหวอด ๆ

“ผมก็ว่าจะรีบกลับมานอนด้วยอ่ะ โคตรง่วงเลย คุณไม่ง่วงเหรอ? เมื่อคืนโดนไปหนักขนาดนั้น”

“นายนี่มันโคตรทะลึ่งเลยนะ เจนยุทธ”

คนตัวโตหน้าแดงซ่านกับแววตากรุ้มกริ่มของคนที่ทำให้เขาได้นอนเอาตอนเกือบสว่างเมื่อคืนที่ผ่านมา

“ง่วงสิ เดี๋ยวส่งอาปาเสร็จซักสามทุ่ม ฉันก็ว่าจะนอนแล้ว”

ฆาเบียร์พูดอุบอิบกับตัวเอง เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมาเขาง่วงจัดจนถึงขั้นแอบสัปหงกในห้องประชุมตอนฟังรายงานสรุปจากพนักงาน

“อ่ะ นอนได้ไงครับ กินมื้อเย็นก่อนด้วยสิ ถ่ายรูปมาให้ผมดูด้วย”

เจพูดสวนทันควัน คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาคงต้องสั่งแซนวิชเบา ๆ สักคู่มาเพื่อถ่ายรูปให้เจ้าตัวดีของเขาดูเพื่อความสบายใจ



“เอ เอาแบบนี้ดีกว่า”

ฆาเบียร์พูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ไร้สายที่มีไว้ใช้ในบ้านขึ้นมากดจากนั้นก็พูดสั้น ๆ กับคนที่ปลายสายเป็นภาษากวางตุ้ง

“ทำอะไรอีกล่ะ?”

เจนยุทธถามเมื่อคนรักวางหูแล้ว

“ฉันขอให้ในครัวทำแซนวิชใส่กล่องให้ฉันน่ะ พอไปถึงห้องจะได้กินได้เลย ไม่ต้องรอสั่งรูมเซอร์วิส”

คนที่กะจะนอนเร็วพูดพร้อมส่งยิ้มให้คนรัก เจพยักหน้าหงึกหงัก

“ก็ดีครับ ให้ที่นี่เตรียมให้คุณจะได้ไม่ต้องไปเปลืองตังค์ด้วย รูมเซอร์วิสของที่ริทซ์แพงจะตายชัก”

ฆาเบียร์พยักหน้า พวกเขาคุยกันต่ออีกพักหนึ่งจนกระทั่งคนของคริสนำเอากล่องใส่แซนวิชที่ฆาเบียร์สั่งมาส่งให้

 

“คุณ อันแค่นี้ พอกินเหรออ่ะ?”

เจนยุทธทำหน้านิ่วเมื่อคนรักเปิดกล่องให้เขาดู ในนั้นมีแซนวิชที่ทำด้วยขนมปังเพียงแผ่นเดียวหั่นครึ่งประกบกัน ไส้ของมันนั้นมีเพียงมะเขือเทศ ผักสลัดบัตเตอร์เฮ้ดและเนื้อสัตว์ที่เจดูไม่ถนัดนักว่าคืออะไร ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาให้ที่ครัวของอาปาทำแซนวิชให้ก็เพราะเขาไม่ได้ต้องการกินอะไรเยอะแยะมากมายก่อนนอน หากต้องสั่งรูมเซอร์วิสอย่างที่บอกเจไว้แต่แรก เขาก็คงไม่แคล้วต้องนั่งย่อยอาหารอีกนับชั่วโมงแน่นอน

“ฉันกินแค่นี้ก็พอแล้วจ้ะ กินเยอะไปเดี๋ยวก็จะท้องอืด...”

“เออ เนาะ ผมก็ลืมไปว่า...”

“Hey, stop! Don’t go there!”

คนตัวโตซึ่งรู้เท่าทันว่าเจ้าตัวดีของเขากำลังจะพูดคำที่ทำให้เขาเจ็บใจออกมารีบเบรกอีกฝ่ายไว้ เจหัวเราะคิกแล้วหันมาสนใจแซนวิชในกล่องต่อ

“เนื้อในแซนวิชนี่อะไรครับ ดูน่ากินจัง”

เจนยุทธมองเนื้อสีสวยพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่

“หมูแดงไงจ๊ะ ฉันให้เขาเอาหมูแดงที่เหลือจากมื้อเย็นของอาปามาทำแซนวิชให้”

“น่ากินชะมัดเลย ไว้ผมลองทำกินเองดู”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ เขาหมายมั่นปั้นมืออยู่ในใจว่าจะต้องเจียดหมูแดงซึ่งมีจำนวนไม่มากนักมาทำแซนวิชกินดูบ้าง

 

“โอ๊ะ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนดีกว่าครับ”

เจอุทานและบอกลาคนรักหลังจากเห็นข้อความจากเพื่อนสนิท เขาคุยกับคนตัวโตเพลินจนลืมเวลานัดระหว่างเขากับสองหนุ่มไปเสียสนิท

“คืนนี้คุณนอนไปเลยนะ ไม่ต้องรอผม”

เจนยุทธกำชับคนที่เผลอตัวหาวหวอด ๆ ให้เขาเห็น

“ไม่ได้! นายกลับมาแล้วต้องบอกให้ฉันรู้ด้วย”

“ครับ ๆๆ พ่อคนขี้หึง ผมจะรายงานทันทีที่กลับบ้านแล้วกัน โอเคไหม?”

เจหัวเราะคิกและกระเซ้าเมื่อฆาเบียร์เผลอทำหน้ามุ่ยออกมาให้เขาเห็น เขาบอกลาพร้อมกับกำชับฆาเบียร์ให้ขับรถอย่างระมัดระวังเมื่อยามไปส่งคริส จากนั้นจึงตัดการสนทนาไป

 

เจนยุทธขี่รถเวสป้าสีเขียวมะนาวของเขามาตามถนนมณีนพรัตน์ซึ่งทอดตัวเลียบคูเมืองทางทิศเหนือ จากนั้นตบเลี้ยวเข้าจอดตรงหน้าร้าน S&P เขาถอดหมวกกันน็อคแล้วยัดใส่ถุงผ้าใบใหญ่ที่นำติดตัวมาด้วย จากนั้นเดินไปยังร้านบะหมี่แผงลอยที่อยู่ริมถนน บนรถเข็นที่ดูสะอาดสะอ้านนั้น มีป้ายซึ่งเขียนชื่อร้าน “ราชาบะหมี่เกี๊ยว” และรายการอาหารติดอยู่ แม้ร้านนี้จะเป็นร้านแฟรนไชส์ แต่ด้วยความที่เปิดขายมานาน ความสม่ำเสมอของรสชาติอาหาร และราคาที่ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพอาหาร อีกทั้งยังปิดเกือบเที่ยงคืนทำให้ร้านบะหมี่แผงลอยร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านยอดนิยมของเหล่าคนนอนดึก

“ไง พวกมึง โทษที กูมัวแต่คุยกับฆาบี้เพลิน เลทเลย”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ ก่อนที่จะลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติก เขายกไม้ยกมือขอโทษขอโพยเพื่อนที่มานั่งรออยู่พักหนึ่งแล้ว ปรินซ์บ่นเพื่อนตัวดีของเขาอุบอิบ ส่วนซันซันที่มีถ้วยบะหมี่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ไม่พูดไม่จาอะไร เขาพยักหน้ารับรู้หนึ่งครั้งจากนั้นก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ที่สั่งมาต่อ

“ไอ้ซันมันหิว เลยไม่รอมึงละ แต่กูยังไม่ได้สั่ง มึงจะกินอะไรวะ?”

“อืมม์ นั่นสิ กินอะไรดี กูก็ไม่ได้กินร้านนี้นานแล้ว”

เจครุ่นคิดพลางหันไปดูรายการอาหารที่เรียงกันเป็นพรืดอยู่บนป้าย ก่อนที่เขาจะย้ายออกไปอยู่คอนโด เขาฝากท้องกับร้านนี้ค่อนข้างบ่อยเมื่อเกิดหิวยามดึกขึ้นมาเพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเก่าของเขาที่อยู่ในเขตคูเมือง แต่หลังจากที่เขาย้ายที่อยู่ไปแล้วก็แทบจะไม่ได้แวะมาที่นี่อีก


“กูเริ่มจากเมนูที่กินทุกทีแล้วกัน”

เจนยุทธพูดจากนั้นจึงเรียกคนเสิร์ฟเข้ามาสั่งอาหาร

“หึ ๆ ตัดสินใจไม่ได้ล่ะสิ”

ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสั่งแทบทุกอย่างที่ทางร้านมีอย่าง เกี๊ยวกุ้ง ปู หมูแดง

“ไม่กินหมี่ด้วยล่ะวะ จะได้ครบ”

ซันซันเงยหน้าขึ้นจากชามเพื่อแซวเพื่อนของเขา

“เฮ้ย นั่นเอาไว้อีกถ้วยสิ ถ้วยนี้กูอยากกินเกี๊ยวเน้น ๆ”

เจหันไปตอบเพื่อนของเขาทันควัน ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ

“หิวมาจากไหนวะ? บนเครื่องเค้าไม่มีข้าวให้กินเหรอ? นั่งบิสมาไม่ใช่เหรอมึง?”

เจย่นจมูกน้อย ๆ

“ได้กินที่ไหนล่ะ ขึ้นเครื่องมากูก็หลับเลย ไม่ทันได้เอนเบาะนอนด้วยซ้ำ โคตรขาดทุน”

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ แทนที่จะได้ใช้ความสะดวกสบายที่มีให้บนชั้นธุรกิจ เขากลับผล็อยหลับไปเสียตั้งแต่ก่อนเครื่องบินจะขึ้น และมารู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่อพนักงานต้อนรับมาปลุกเขาเบา ๆ ว่าเครื่องบินถึงที่หมายแล้ว

“อะไรจะง่วงขนาดนั้นวะ? เมื่อคืนหนักไปรึไง?”

ซันซันแซวเพื่อนเล่นไปตามประสาคนปากไว

“เฮ้ย จริง ๆ เหรอวะ? ร้ายนี่หว่า ฮ่า ๆๆๆ”

หนุ่มร่างท้วมหัวเราะลั่นออกมาเมื่อเห็นเพื่อนตัวดีที่ปกติหน้าหนาเหมือนแผ่นซีเมนต์เกิดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ขึ้นมา แถมใบหน้าของเจยังขึ้นสีแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด




(เผลอหลับคาคอม ขออภัยค่ะ ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



[font]

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความแตก - ตอนต้น (ต่อ) ----



“โถ เพื่อนกู น่าสงสารจริง แล้วนี่มึงยังขี่รถเครื่องมาไหวอีกเหรอวะ? เจ็บมะ?”

ปรินซ์ได้ทีกระเซ้าเพื่อนบ้าง เจนยุทธทำตาโตแล้วใช้มือผลักหน้าเพื่อนที่ยื่นเข้ามาแล้วใช้มือป้องปากกระซิบให้ออกห่าง

“เชี่ยนี่ กูยังสบายดีโว้ย...”

เจว๊ากลั่นก่อนจะลดเสียงลงมาเกือบเป็นเสียงกระซิบ

“ก็บอกกี่หนแล้วว่า...ฮึ่ย พวกมึงก็ไม่เคยเชื่อกูเลยอ่ะดิ ว่าฆาบี้เขาเป็น...”

เจนยุทธหยุดคำพูดของตนไว้ด้วยความเกรงใจคนรักที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย หากใจเขาก็ประหวัดคิดไปถึงเมียตัวโตของเขาที่มีท่าทีอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อตอนที่คุยกันก่อนหน้านี้

“ไม่รู้เดี๋ยวจะขับรถไปส่งอาปาไหวหรือเปล่า”

เจพึมพำเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด เขาเล่าให้เพื่อนฟังเบา ๆ ถึงความกังวลของตนเมื่อทั้งสองคนแสดงท่าทีสงสัยออกมา

“กูว่าป๋าคงรู้ตัวเองดีหรอกน่า มึงไม่ต้องห่วงไปหรอก”

ปรินซ์พูดโดยมีลูกคู่อย่างซันซันพยักหน้ารับ

“อืมม์ กูก็หวังว่างั้น เฮ้อ กูก็ไม่น่าไปฝืนสังขารพี่แกขนาดนั้นเลย รู้งี้น่าจะหยุดตั้งแต่...”

“หยุด!”

ซันซันรีบยกมือเบรกเพื่อนที่ทำท่าจะเล่าอะไรต่อมิอะไรออกมา

“กูไม่ได้อยากรู้รายละเอียดเรื่องบนเตียงของมึงขนาดนั้น อย่างน้อย ไม่ใช่ที่ร้านบะหมี่แผงลอยแบบนี้โว้ย!”

หนุ่มลูกร้านเพชรส่ายหัวน้อย ๆ แล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากเพื่อนตัวดีของเขา เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับเกี๊ยวที่เขาทิ้งไว้จนเริ่มอืดน้อย ๆ



“ไม่ได้กินตั้งนาน ยังดูดีเหมือนเดิม”

เจฮัมเพลงเบา ๆ ในลำคอพลางตักเกี๊ยวกุ้งตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ใส่มาจนจุใจขึ้นแล้วส่งเข้าปาก

“ยังโออยู่มะ?”

ปรินซ์ถาม ตัวเขานั้นสั่งข้าวหมูกรอบซึ่งสั่งเป็นประจำทุกครั้งที่มาร้านนี้

“เอ้า มึงเอาไปชิ้นนึง แลกกับหมูกรอบมึง”

เจตักเกี๊ยวในถ้วยไปวางในจานเพื่อนแล้วก็ถือวิสาสะตักหมูกรอบที่ราดน้ำมาจนชุ่มจากจานของเพื่อนมาเข้าปากตัวเอง ปรินซ์ยิ้มน้อย ๆ พวกเขากินข้าวกับเจบ่อยจนรู้นิสัยชอบแลกอาหารกันชิมของเจ้าตัวเป็นอย่างดี

“ไม่ให้กูมั่งอ่ะ?”

ซันซันประท้วงเบา ๆ เจหันไปทำจมูกย่นใส่เพื่อน

“ไม่ต้องเลย ของมึงเมื่อกี้ก็มีเกี๊ยว ไม่ต้องมาเบียดเบียนกู”

“แต่ถ้วยกูไม่มีปูอ่ะ”

หนุ่มลูกร้านเพชรจ้องเนื้อปูในถ้วยของเพื่อนเป๋ง เจทำตาเขียวทันที

“เนื้อปูมีอยู่หย่อมเดียวมึงยังจะมาขอกูอีกนะ”

เจนยุทธยกมือปิดปากชามเกี๊ยวของเขาทันที จริงอยู่ที่ร้านนี้มีชื่อว่าเป็นบะหมี่เกี๊ยวปู หากเนื้อปูที่ใส่มานั้นก็ไม่ได้มากมายหรือว่าชิ้นใหญ่เด้งอะไรนัก

“ชิ ไม่กินก็ได้วะ”

ซันซันทำท่ากระฟัดกระเฟียดแล้วหันไปสั่งเกี๊ยวของตนมาอีกชามบ้าง ส่วนเจก็สั่งบะหมี่แห้งมาต่อทั้ง ๆ ที่เกี๊ยวในชามยังไม่หมด



“พลาดว่ะ กูน่าจะสั่งปูใส่ในบะหมี่แห้งมากกว่า”

เจบ่นเบา ๆ เขาบอกเพื่อน ๆ ว่าเนื้อปูที่ติดจะมาแบบเป็นเศษเล็ก ๆ นั้นเมื่อโดนน้ำซุป รสชาติของมันก็จะถูกซุปกลบไปเสียหมด

“แต่หมูแดงของที่นี่ก็ยังโออยู่ ไม่แห้งผากแล้วรสชาติก็ยังชัด ถือว่ายังดีอ่ะ”

เจกินไปบรรยายไป สองหนุ่มแอบสบตากันและยิ้มออกมา พวกเขาไม่รู้ว่าเจนยุทธจะรู้ตัวหรือไม่ แต่นี่กลายเป็นนิสัยใหม่ของเพื่อนหนุ่มไปแล้ว พวกเขาเดาว่าน่าจะติดมาจากการที่เจรับหน้าที่เขียนรีวิวนั่นนี่ลงในเพจของฆาเบียร์

“มึง ๆ ขอยืมถ้วยมึงมาถ่ายรูปหน่อย”

เจนยุทธสะกิดเรียกซันซันหลังจากที่เกี๊ยวหมูกรอบของเจ้าตัวมาถึง ซันซันส่งถ้วยให้โดยไม่เกี่ยงงอน พวกเขาชินกับนิสัยนี้ของเจนยุทธแล้วอีกเช่นกัน

“เออ เกี๊ยวก็ยังใช้ได้นี่หว่า ถึงกุ้งจะน้อยไปหน่อยก็เหอะ”

หนุ่มลูกร้านเพชรเคี้ยวตุ้ย ๆ เกี๊ยวของที่นี่ไม่ได้ตัวใหญ่อะไรมากมาย เนื้อกุ้งที่ใช้ก็ไม่ใช่กุ้งตัวใหญ่ แต่รสชาติของมันก็นับว่าใช้ได้ถ้าเทียบว่าเป็นของแฟรนไชส์ เจพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ก่อนจะตักหมูกรอบที่ไปจกมากจากจานของปรินซ์เข้าปาก

“โอย กูชอบสุดก็หมูกรอบนี่แหละ ฟูแต่ก็กรอบเสมอกันหมด แต่ถ้ากูจะไม่ชอบก็อิน้ำราดเหนียว ๆ นี่แหละ กินกี่รอบก็ไม่ชอบ”

เจนยุทธทั้งชมและบ่น หมูกรอบของร้านแผงลอยนี้ไล่ความมันออกไปได้ค่อนข้างดีและรักษาความกรอบไว้ได้แม้จะสัมผัสน้ำราดแล้ว แต่สำหรับเขาแล้ว รสชาติของน้ำราดที่ราดมาอย่างชุ่มโชกนั้นออกจะติดหวานและมีกลิ่นเครื่องแรงไปนิด เขาจึงมักเลี่ยงไม่สั่งข้าวหมูแดงหรือข้าวหมูกรอบของร้านนี้



“ตอนไปฮ่องกง มาเก๊า กูกะจะไปกินหมูกรอบร้าน Joy Hing เสียดาย ดันสั่งผิด อดกินเลย”

เจบ่นกับเพื่อน ๆ พร้อมกับหันไปรับบะหมี่ชามใหม่ที่เขาสั่งมา

“เออ พูดถึงร้านนั้น กูเกือบลืม เอ้า นี่ กูซื้อมาฝากพวกมึง”

เจนยุทธเอื้อมมือไปหยิบถุงผ้าที่เขาถือติดมือลงมาด้วย เขาดึงเอาถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาส่งให้เพื่อน

“หมูแดงร้าน Joy Hing กูซื้อมาให้คนละเส้น กูจำได้ว่าพวกมึงชอบ แล้วมีขนมจากมาเก๊าด้วย”

ปรินซ์รับถุงมาแล้วส่งให้ซันซัน

“เดี๋ยวกูฝากมึงไว้ก่อนแล้วกัน ซันซัน ใส่ตู้เย็นบ้านมึงไว้ก่อน”

“หืมม์ เดี๋ยวไอ้ซันจะไม่ไปด้วยเหรอวะ?”

เจนยุทธเลิกคิ้ว ก่อนหน้านี้ปรินซ์เป็นคนโทรชวนเขาออกไปดื่ม ตัวเขานั้นก็นึกว่าคนที่ตัวติดกันอย่างซันซันก็จะตามไปด้วยเหมือนทุกครั้ง

“คืนนี้กูต้องกลับบ้านเร็วว่ะ”

หนุ่มลูกร้านเพชรพูดเสียงอ่อย ๆ เขาหันไปพยักเพยิดกับคนข้างกายเมื่อเห็นเจนยุทธมองอย่างสงสัย

“มึงก็เล่าให้ไอ้เจฟังเองแล้วกัน”

ซันซันพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวของตนต่อ เจนยุทธเองก็ก้มลงไปจัดการกับบะหมี่แห้งหมูกรอบของตนจนหมด แม้เส้นจะติดมันไปนิด แต่รสชาติที่ปรุงมากลมกล่อมกำลังดีก็ทำให้เจนยุทธมีความสุขได้







“งั้นกูไปก่อนนะ”

ซันซันพูดพลางเปิดประตูรถมินิคูเปอร์ของเขา จากนั้นหันกลับมาหาอีกสองหนุ่ม

“เฮ้ย แล้วคืนนี้มึงจะกลับยังไง?”

หนุ่มร่างท้วมถามคนที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่ข้างกาย

“หือ? อ่า กูยังไม่รู้เลย”

ปรินซ์ตอบแล้วทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นคนที่ต้องถามเขาถึงสองรอบทำหน้าชักไม่สบอารมณ์ เขารีบยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินเข้าไปปะเหลาะเพื่อนวัยเด็ก

“ถ้ามึงดื่มทั้งคู่ก็ไม่ต้องทะลึ่งให้ไอ้เจมันขับไปส่งล่ะ เรียกแกร็บไม่ก็นอนค้างที่บ้านมันนั่นแหละ โอเคไหม?”

คนที่เป็นพลขับพาปรินซ์มาที่ร้านบะหมี่กำชับเสียงแข็ง หนุ่มลูกร้านทองยิ้มแหย ๆ แล้วพยักหน้ารับคำ

“เออ ๆ กูรู้แล้ว มึงไม่ต้องห่วงนะ”

คนร่างสูงใหญ่กว่าพูดพลางยื่นมือไปปัดเศษใบไม้ที่ร่วงลงบนหัวคนข้าง ๆ อย่างอ่อนโยน เจหรี่ตาดูบรรยากาศละมุนละไมระหว่างเพื่อนทั้งสองแล้วพ่นลมหายใจออกเบา ๆ

“มึงก็กลับ ๆ บ้านไปกับเมียมึงซะไป๊ ทำท่าอาลัยกันยังกับจะไปออกรบที่ไหน”

เจนยุทธบ่นฟ่อดแฟ่ดตามประสาด้วยความหมั่นไส้เล็ก ๆ

“เมีย เมออะไร พูดน่าเกลียด ไอ้เจ กู กูยังไม่ใช่...โว้ย ไม่คุยแล้ว ไป ๆ หลบ ๆ กูจะออกรถแล้ว”

ซันซันรีบผลุบหายเข้าไปนั่งประจำที่คนขับพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ แต่ก่อนที่เขาจะทันปิดประตู เพื่อนวัยเด็กของเขาก็ใช้ตัวเข้ามากันพร้อมก้มหน้าลงมาหอมแก้มเขาเร็ว ๆ หนึ่งครั้ง

“มึงก็ขับระวัง ๆ หน่อยนะ ระวังหลุมหน้าหมู่บ้านด้วย”

ปรินซ์เตือนคนที่ไม่ค่อยได้ขับรถเองตอนกลางคืนบ่อยนักด้วยความเป็นห่วง ซันซันซึ่งตอนนี้หน้าแดงแปร๊ดพยักหน้าระรัวรับคำแล้วรีบผลักคนรักของเขาออกห่างแล้วปิดประตูปังใหญ่



“เออ นั่น ทำมันงอนละนะ...”

เจหัวเราะหึ ๆ พลางหันไปมองด้านหลัง แม้รถของซันซันจะจอดห่างร้านมาสักหน่อยในมุมที่ค่อนข้างลับตาคน แต่มันก็ไม่ใช่ที่ที่เพื่อนหนุ่มของเขาจะสามารถแสดงความรักได้อย่างประเจิดประเจ้อได้

“มึงก็เหลือเกิน ข้างกำแพงวัดก็ยังอุตส่าห์...โอ๊ย!”

เจนยุทธยกมือขึ้นกุมท้องอย่างสำออยเมื่อถูกศอกแหลม ๆ ของเพื่อนขี้เขินของเขาทิ่มเข้าอย่างจัง

“มึงนี่ก็แซวจริง ไป ๆ ๆ กูหิวเหล้าแล้ว”

ปรินซ์ตบเข้าที่ไหล่เพื่อนอีกป้าบแล้วจึงโอบคอเจนยุทธเดินกลับมาที่รถเวสป้าสีเขียวแปร๋น เจหยิบหมวกกันน็อคในถุงออกมาใส่แล้วจึงยกเบาะรถขึ้นแล้วหยิบหมวกกันน็อคแบบเต็มใบอีกใบออกมาส่งให้เพื่อน

“เอ้า มึง ใส่นี่ซะ”

“อ้าว เออ กูก็ว่าทำไมมึงไม่เอาหมวกเก็บไว้ใต้เบาะ ที่แท้มีสำรองไว้อีกอัน เอ๊ะ?”

ปรินซ์เกาหัวแกรก ๆ อย่างสงสัย เขาไม่ได้บอกเจไว้ตั้งแต่แรกว่าจะขอติดรถกลับไปที่ผับด้วย แต่เจนยุทธก็พกหมวกกันน็อคออกมาสองใบเหมือนกับจะรู้ว่าเขาต้องถูกทิ้งให้ซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับ

“ใบนั้นอ่ะ ของกู เอาติดรถไว้อยู่แล้ว ส่วนใบนี้ เอ่อ ของฆาบี้”

เจนยุทธพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อคิดว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์มาหาเพื่อน เขาก็จัดการคว้าหมวกกันน็อคที่ยังมีกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของฆาเบียร์หลงเหลือมาโดยไม่ต้องคิดอะไรมากอะไรเลย

“หึ แล้วทำมาเป็นว่าพวกกู มึงห่างป๋าได้กี่ชั่วโมงเอง เป็นขนาดนี้แล้ว?”

“เออ เรื่องของกู...มา ๆๆ ขึ้นรถ”

เจบ่นอุบอิบรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการสตาร์ทรถแล้วกวักมือเรียกเพื่อนให้มาซ้อนท้าย ปรินซ์โคลงหัวน้อย ๆ เขายกหมวกกันน็อคขึ้นใส่แล้วเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมรถเวสป้าของเพื่อน

“ป๋าซ้อนรถมึงไปได้ไงวะ กูนั่งยังเสียวตกเลย”

หนุ่มลูกร้านทองบ่นดัง ๆ พลางขยับตัวอย่างไม่ค่อยสบายใจ ความสูงของเขากับฆาเบียร์เท่า ๆ กันคือ 183 เซนติเมตร และมันเหมือนจะเป็นอุปสรรคในการซ้อนรถพอสมควร ขายาว ๆ ของเขานั้นดูจะเกะกะเก้งก้างไปพอสมควร มันทำให้เขารู้สึกว่านั่งซ้อนได้ไม่ค่อยเต็มก้นเท่าไหร่ และสำหรับฆาเบียร์ที่มีร่างกายบึกบึนกว่าเขายิ่งน่าจะต้องนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเจได้ลำบากกว่าเป็นแน่แท้

“ก็ เอ่อ ตอนฆาบี้นั่ง เขานั่งชิดกูกว่านี้อ่ะ มึงจะขยับเข้ามาอีกหน่อยก็ได้นะ”

เจนยุทธอ้อมแอ้มตอบ ปรินซ์ร้องอ๋อแล้วหัวเราะหึ ๆ ทันที เขาพอนึกออกแล้วว่าคนรักของเพื่อนซ้อนรถด้วยท่าทางแบบไหน

“ไม่ล่ะมึง ให้นั่งติดเหมือนจะสิงมึงขนาดนั้น กูขอผ่าน เอ้า ไป ๆ ออกรถ ๆ กูอยากเหล้าแล้ว”

ปรินซ์ตบไหล่เพื่อนปุ ๆ เจโคลงหัวน้อย ๆ แล้วขี่รถออกจากแผงบะหมี่เพื่อพาเพื่อนไปยังผับประจำที่อยู่ไม่ห่างจากคอนโดของเขา

 

“พี่เจ! ผมนึกว่าคืนนี้พี่จะไม่มาแล้วซะอีก”

ใบหน้าหล่อเหลาของบาร์เทนเดอร์หนุ่มเปล่งประกายทันทีเมื่อหันหน้ามาเจอเจนยุทธยืนยิ้มเผล่ให้ที่อีกฟากหนึ่งของเคาเตอร์

“บอกว่าจะมาก็ต้องมาสิวะ”

เจพูดแล้วโดดขึ้นนั่งบนเก้าอี้สตูลหน้าบาร์ เขานั่งเท้าคางดูรุ่นน้องแสดงลีลาการผสมคอกเทลอย่างเพลิดเพลิน บาร์เทนเดอร์หนุ่มผู้เป็นน้องรหัสของเจคนนี้เคยได้รางวัลในการแข่งขันบาร์เทนเดอร์หลายครั้งตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ ๆ แม้ช่วงหลังเขาจะไม่ได้ไปประกวดอีก แต่ฝีมือของตั้มก็ยังไม่ได้ตกไปแม้แต่น้อย

“ดูมึงนี่เพลินดีจริง ๆ มิน่าล่ะ คนติดกันตรึม”

เจหัวเราะคิกคักพลางพยักเพยิดตั้มให้ดูหนุ่มน้อยวัยเพิ่งเข้าผับได้ที่นั่งตาเยิ้มมองอีกฝ่ายอยู่ที่สุดปลายบาร์ น้องรหัสของเจได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วขยับไปทักทายเด็กหนุ่มที่เขาเคยร่วมเตียงด้วยอย่างเร็ว ๆ แล้วก็กลับมายืนข้างหน้าเจนยุทธอีกครั้ง

“เฮ้ย มึงไม่ต้องเกรงใจกู ไปดูเด็กมึงเถอะ”

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยว...”

“อ๋อ ๆ กูลืมไป มึงยังปฏิบัติหน้าที่อยู่นี่หว่า รอออกกะก่อนใช่มะ? อิอิ”

เจนยุทธหลิ่วตาแซวรุ่นน้องอย่างสนุกปาก ตั้มก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำไปเพราะเมื่อครู่เขาก็ได้มีการนัดแนะกับอีกฝ่ายจริงอย่างที่เจกระเซ้าไป

“งั้นพี่เจดื่มอะไร? เดี๋ยวผมลัดคิวให้”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มถาม เจรีบส่ายหน้าทันที่ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดปฏิเสธก็มีเสียงห้าว ๆ ชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“พวกกูเอาเหล้ามา ไม่ต้องกวนมึงหรอก...”

ปรินซ์พูดพลางดึงใช้มือเหนี่ยวคอเพื่อนให้ลงจากเก้าอี้สตูล

“กูก็ว่ามึงหายไปไหน มา ๆ เหล้าพร้อม มิกเซอร์ก็พร้อมแล้ว วันนี้กูเอาของอร่อยมา มึงมาเดี๋ยวนี้เลย...เฮ้ย ไอ้ตั้ม กูขอมันคืนนะ”

“ครับ พี่ปรินซ์ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอกมาได้นะพี่”

ตั้มกัดฟันพูดเมื่อเห็นเพื่อนของพี่รหัสตวัดสายตาคมปลาบมาให้ เขาอดคิดไม่ได้ว่าสายตาที่ปรินซ์ส่งมานั้นแฝงแววขบขันอยู่

“เออ ๆๆ กูไปแล้ว วู้ หิวเหล้าอะไรขนาดนั้นวะ?”

เจนเดินเซแซ่ด ๆ ตามแรงเหนี่ยวของเพื่อน เขาหันไปยกมือโบกลารุ่นน้องที่บาร์ก่อนจะเดินตามเพื่อนสนิทไป

 

“ไหนวะ มีอะไรมาให้กูชิม?”

เจนยุทธถามด้วยความตื่นเต้น เพื่อนหนุ่มของเขาคนนี้มักเสาะหาอะไรแปลกใหม่มาให้เขาชิมได้เสมอ

“เอ้า นี่ ไม่รู้มึงเคยลองหรือยัง มันอาจจะไม่ใหม่อะไร แต่กูเพิ่งเคยเห็นเองแหละ”

ปรินซ์ยกขวดทรงสี่เหลี่ยมที่บรรจุน้ำสีอำพันเข้มไว้ ฉลากสีแดงเพลิงของมันนั้นดูร้อนแรงสมกับคำว่า Tennessee Fire ที่ติดเด่นชัดบนนั้น

“ขวดคุ้น ๆ แจ็คไม่ใช่เหรอวะ?”

เจนยุทธยื่นมือไปรับขวดเหล้าหน้าตาคุ้นเคยจากเพื่อนมาดู เขาเข้าใจไม่ผิด มันคือเหล้าเบอร์เบินยี่ห้อแจ็ค แดเนียลส์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี

“เห้ย ผสมเหล้าซินนามอนเหรอ? น่าสนว่ะ!”

เจอุทานออกมาเมื่ออ่านดูคำอธิบายและส่วนผสมจากฉลาก หนุ่มลูกร้านทองพยักหน้ารับคำและขยายความต่อ

“พอซื้อแล้วกูก็ไปหาอ่านดู เค้าบอกว่าจริง ๆ ควรแช่เย็นแล้วดื่มเพียว ๆ แต่เราก็ไม่สะดวกแบบนั้น งั้นก็เอาไปแกว่งกับน้ำแข็งหน่อยแล้วกัน”

เจนยุทธยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินเพื่อนพูดถึงวิธีดื่มเหล้าแบบมักง่ายที่พวกเขามักใช้เมื่อต้องการดื่มเหล้าแบบ Straight-up การเสิร์ฟแบบ Straight-up ที่คนมักเข้าใจว่าเป็นการดื่มแบบเพียว ๆ อย่างเดียวนั้น อันที่จริงคือการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงไปผสมกับน้ำแข็งอย่างเร็ว ๆ ด้วยการเขย่าหรือคนแล้วจึงเทเอาแต่น้ำเหล้ามาเสิร์ฟ แต่เมื่อไม่มีอุปกรณ์ในการทำอย่างกระบอกเชคหรือแก้วชงเหล้า พวกเขาก็จะใช้วิธีมักง่ายอย่างการเอาเหล้าเทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งหลอดใหญ่อยู่แล้วทำการแกว่งแรง ๆ สักแป๊บหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ เทใส่แก้วอีกใบโดยไม่ให้มีน้ำแข็งปนลงมาด้วย วิธีนี้จะทำให้ได้เหล้าที่เย็นแต่ไม่ได้จืดจางไปเพราะทิ้งน้ำแข็งไว้ในแก้วเหมือนการดื่ม On-the-rock แต่ก็จะนุ่มนวลกว่าแบบ neat หรือการดื่มเหล้าที่เทออกมาจากขวดเพียว ๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการอื่นใด

 

“โหย รสซินนาม่อนชัดเลยว่ะ อร่อยวุ้ย”

ปรินซ์ยกแก้วของเขาขึ้นจิบแล้วอุทานอย่างถูกใจ กลิ่นอันร้อนแรงและรสชาติเผ็ดนิด ๆ ของอบเชยกับความหอมของเหล้าเบอร์เบิน สูตร Old No. 7 ฉลากดำที่คนไทยคุ้นเคยกันดี อีกทั้งกลิ่นวนิลลาที่เจือจาง ๆ ทำให้เหล้าขวดนี้ขึ้นแท่นเป็นของโปรดของคนชอบรสชาติของเครื่องเทศอย่างเขา

“เออ หอมจริง กินง่ายด้วย นี่ถ้ากินผสมโค้กอย่างไอ้ซันนี่เมาไม่รู้ตัวเลยนะ”

เจหัวเราะหึ ๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนที่คออ่อนที่สุดในกลุ่ม

“อืมม์ กูก็ว่ามันคงเมาแน่ เดี๋ยวเหลือไว้ให้มันชิมด้วยนะ”

“เออ ๆ กูไม่กินของมึงหมดหรอก ที่รักมึงต้องได้กิน ไม่ต้องห่วง”

เจนยุทธที่กำลังยกขวดขึ้นเทแก้วที่สองหันมาแลบลิ้นให้เพื่อน ปรินซ์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วส่งแก้วเขาให้เพื่อนจัดการ

“เออ พูดถึงไอ้ซัน วันนี้ทำไมมันไม่มาด้วยวะ? ช่วงนี้มึงกะมันตัวติดกันยังกะตังเม ไหงปล่อยมึงมาได้?”

เจถามด้วยความข้องใจ ปรินซ์หน้าขรึมลงทันทีแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“วันนี้มันติดเคอร์ฟิวว่ะ?”

“หา? ไหงงั้นวะ? ปกติที่บ้านมันปล่อยมันจะตายนี่หว่า”

เจนยุทธเกาหัวอย่างงุนงง นอกจากช่วงที่ซันซันมีมรสุมชีวิตรักจนที่บ้านห้ามออกไปไหนมาไหนคนเดียวแล้ว บ้านของเพื่อนหนุ่มลูกร้านเพชรก็ออกจะเลี้ยงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแบบค่อนข้างปล่อย โดยเฉพาะเมื่อมี “เพื่อนสนิท” อย่างปรินซ์มาคอยประกบด้วย

“ก็ เอ่อ...เฮ้อ...”

ปรินซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ



“...ก็เพราะความแตกแล้วอ่ะสิ”

“ความแตก เอ่อ หมายถึงเรื่องที่พวกมึง...”

“อืมม์ เรื่องที่พวกกูคบกันนั่นแหละ ความแตกไปเรียบร้อย”

เจหน้าตาตื่นทันที เรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับครอบครัวเชื้อสายจีนทั้งสองครอบครัวเป็นแน่แท้

“เชี่ย แล้ว แล้วไปทำอิท่าไหนให้ความแตกได้วะ? ไอ้ซันมันเสียงดังไปเหรอ?”

เจนยุทธหลุดปากออกมาจนโดนเพื่อนตัวล่ำตบหัวเข้าฉาดหนึ่ง

“ไม่ใช่โว้ย! พวกกูยังไม่เคย...อุ๊บ”

ปรินซ์ตะครุบปากตัวเองแล้วหันไปส่งสายตาดุ ๆ ให้เพื่อนที่ทำท่าเหมือนเห็นยูเอฟโอ

“ฮ้า? มึงกับมันคบกันมาตั้งแต่หลังปี๋ใหม่เมือง ยังไม่ได้...อะไออีกเอ๋อ?”

เจพูดอู้อี้เมื่อถูกเพื่อนใช้มือปิดปาก

“ไอ้นี่ มึงจะเสียงดังทำไมวะ? พอ ๆ ถ้ามึงถามเรื่องนี้อีกกูจะไม่เล่าแล้ว”

ปรินซ์พูดอย่างเซ็ง ๆ เจพยักหน้าระรัว ถึงเขาจะอยากรู้เรื่องบนเตียงของเพื่อน แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่เขาอยากรู้มากกว่า ปรินซ์ปล่อยมือจากปากเพื่อนเมื่อเห็นสายตาใสแจ๋วที่แฝงแววอยากรู้อยากเห็นที่จ้องเป๋งมาหาเขา

“เฮ้อ...ความแตกได้ยังไงน่ะเหรอ? ก็เพราะ



---------------------------------------------

ตัดตรงนี้ก่อนนะคะ จริง ๆ ตอนนี้ยังไม่จบ แต่ดูท่าว่าจะลากอีกยาว ขอยกยอดอีกครึ่งไว้ทีหลัง ขออภัยจริง ๆ ที่ตอนนี้มันไม่ถึงไหน ช่วงนี้เขียนไม่ออกจริง ๆ ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง เอาเป็นว่าจะพยายามเร่งมือค่ะ ช่วงครึ่งหลังก็จะเป็นเรื่องของสองหนุ่มปรินซ์ ซันซัน อาจจะไม่ยาวนัก แต่ตอนนี้ขอคนเขียนกลับไปอ่านที่เคยเขียนไว้ก่อน ทิ้งปมนี้ไว้นานจัด ลืมแล้ว แหะ ๆ

วันนี้มีร้านเกี๊ยวยามดึกมาฝาก เป็นร้านที่คนเชียงใหม่ไปกินกันเยอะ นี่พอมาเขียนถึงเพิ่งรู้ว่าเป็นร้านแฟรนไชส์ แหะ ๆ แต่เค้าก็เปิดมานานมากแล้วเหมือนกันนะคะ ผ่านไปทีไรก็คนเยอะ ไม่เคยได้จอดกินสักที มีวันนั้นฟลุ้คได้จอด ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง

ราชาบะหมี่เกี๊ยวปู กุ้ง หมูแดง ลิงค์รีวิวร้านค่ะ http://bit.ly/3aNVY6L

15 ร้านบะหมี่่เกี๊ยวเชียงใหม่ ไม่การันตีว่าอร่อยทุกร้าน ฮ่า ๆ แต่ที่เคยกินหรือได้ยินว่าอร่อยคือ แมน ราชาหน้าเอไอเอส ราชาบุรี แม่จันทร์ ส่วนตัวชอบแม่จันทร์รสชาติฮ่องกงมาก ราคาไม่แพง แต่กำลังจะย้ายร้าน ส่วนฮ่องกงลัคกี้นี่เคยโพสต์แล้ว แต่ตอนนี้ย้ายร้านไปเรียบร้อย สาขาใหม่ยังไม่ได้ไปลอง ส่วนบนห้างเมญ่านั้นจะเน้นขายพวกจานเดียว อาหารอื่นมีน้อยน่อ

http://bit.ly/3aSjcJ2


และวันนี้ พาของโปรดขวดใหม่มาแนะนำค่ะ Jack Daniel's Tennessee Fire หอมซินนามอนมากจริง ๆ กินแบบพวกเจหรือใส่โค้กหรือจินเจอร์เอลก็อร่อยนะ  http://bit.ly/2vivPxP

ไว้เจอกันค่ะ รอบนี้น่าจะเร็วกว่าเดิมเพราะครึ่งตอนเหลือเนื้อเรื่องอีกไม่เยอะ



 

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เจยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าตั๊มแอบชอบ
ปกติออกจะไว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
:L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:

ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด เรียกว่าตั้งแต่เปิดเรื่องเลยมั้ง นี่ก็สองปีกว่าแล้ว ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ เห็นชื่อคุณทีไรก็มีกำลังใจมากเลย

เจยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าตั๊มแอบชอบ
ปกติออกจะไว

ฮ่า ๆๆ รู้ค่ะ ตาลุงเคยสะกิดแล้ว แต่เด็กมันไม่คิดมาก คิดว่าตัวเองก็มีแฟนให้เห็นทนโท่ อีกฝ่ายคงตัดใจไปแล้ว

นาน ๆ ได้เม้ากันที สวัสดีค่า ขอบอกว่าคนเขียนยังไม่ไปไหนนะ ยังอยู่ดี แต่สมองไม่ค่อยแล่น กำลังบิลด์ตัวเองอยู่ค่า

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความแตก (ตอนกลาง) ----





“เฮ้อ...ความแตกได้ยังไงน่ะเหรอ? ก็เพราะไอ้พี่คิงนั่นแหละ”

เจร้องอ๋อออกมาทันทีเมื่อเพื่อนหนุ่มพูดชื่อพี่ชายของเขาออกมา แม้จะขำไม่ออก แต่ปรินซ์ก็อดหัวเราะหึ ๆ ไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ผ่านมา

“เมื่อคืนไอ้ซันกับกูก็ไปเที่ยวกันมาแหละ มันก็มาค้างบ้านกูตามปกติ ก็ นัวเนียกันนิดหน่อยเหมือนทุกทีแล้วก็หลับไป...”

ปรินซ์พูดพลางผลักหน้าเพื่อนหนุ่มที่ยื่นเข้ามาจนใกล้อย่างอยากรู้อยากเห็น เขาโคลงหัวน้อย ๆ แล้วก็เล่าต่อ

“ตอนเช้า กูก็ตื่นมาเข้าห้องน้ำ พอกลับมาที่เตียง ก็กูอยากจะนัวเนียกับมันต่ออีกหน่อย...


 

เมื่อออกจากห้องน้ำ หนุ่มลูกร้านทองก็ปีนกลับขึ้นเตียง เขาพลิกกายกอดก่ายเพื่อนที่ในตอนนี้กลายเป็นคนรักแล้วพรมจูบไปทัวใบหน้าเพื่อปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น ไม่นานคนในอ้อมกอดของเขาก็เริ่มตอบสนอง ทั้งสองกอดจูบกันอย่างดูดดื่มจนไม่ทันได้ยินเสียงประตูเปิด

"เฮ้ย ไอ้ปรินซ์ มึงทำอะไรน้องซัน?!”

คู่รักที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยแล้วทั้งคู่สะดุ้งเฮือกด้วยความตระหนก คนที่ยืนตะลึงอยู่ที่หน้าประตูก็คือ คิง พี่ชายของปรินซ์ซึ่งถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามาเพื่อจะยืมอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่เขาเห็นคือน้องชายกำลังคร่อมร่างเพื่อนในวัยเด็กด้วยท่าทางประหนึ่งจะปล้ำจูบอีกฝ่าย 

 


“ตายห่าน ไอ้ปรินซ์!...”

เจเผลอตัวอุทานออกมาดังลั่นแล้วจึงค่อยลดเสียงลงเมื่อเพื่อนหนุ่มจุ๊ปากเบา ๆ

“...แล้วมึงไม่ล็อคประตูเหรอวะ?”

“ทุกทีกูก็ล็อค แต่เมื่อคืนกูกับซันน่าจะเมากันไปหน่อยเลยลืม”

 ปรินซ์ยิ้มแห้ง ๆ โดยปกติแล้วคนที่บ้านของเขาเดินเข้าห้องของอีกฝ่ายเป็นปกติ และจะเป็นอันรู้กันว่าถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวก็ให้ล็อคประตูเสีย ซึ่งโดยปกติแล้วเขานั้นไม่เคยพลาด แต่เมื่อคืนตัวเขาที่ค่อนข้างจะเมามากนั้นมัวแต่สนใจกับการพาคนรักขึ้นเตียงจนกระทั่งลืมล็อคห้องไปเสียสนิท

“แล้วไงต่อวะ พี่คิงมาเห็นนี่ทั้งบ้านก็รู้หมดเลยอ่ะสิ”

เจนยุทธโคลงหัวพร้อมกับตบบ่าเพื่อนอย่างเห็นใจ

“เออ สิ ไอ้พี่บ้านี่ก็เสียงดังแปดหลอด เอ็ดทีได้ยินกันไปทั้งบ้าน...”

ปรินซ์ใช้แก้วเหล้าเย็น ๆ ประคบเข้าที่ขมับ เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์อันแสนอลหม่าน

“แล้วคือมันเป็นตอนเช้าไง ป๊าม๊ากูก็ยังอยู่บ้านครบ ถ้าแค่พี่คิงคนเดียวก็ไม่ว่า ยังพอหาทางปิดปากกันได้ แต่นี่พอไอ้พี่เวรนั่นตะโกนลั่นบ้านปุ๊บ ม๊ากูก็รีบวิ่งขึ้นมาดูเลย”

“โอย ทำไมมึงซวยงี้วะ ไอ้ปรินซ์”

เจถอนหายใจเฮือก เขาพอจะนึกภาพออกว่าทั้งสองคนที่อยู่บนเตียงจะขวัญหนีดีฝ่อขนาดไหน



“แล้ว...แหะ ๆ แล้วไงต่อ”

ปรินซ์ใช้ข้อนิ้วเคาะหัวเพื่อนจอมเผือกเบา ๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“จะยังไงซะอีกล่ะ พอป๊ากับม๊าเข้ามา ก็มาถามพี่คิงว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นไอ้พี่คิงมันคงพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วล่ะ เพราะก็เห็นอึกอักไม่กล้าเล่า แต่สภาพพวกกูมันก็ฟ้องอ่ะ...”

หนุ่มลูกร้านทองส่ายหัวอย่างจนใจ นอกจากจะอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย ผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้ว ตามอกและคอของซันซันก็ยังมีรอยแดงเป็นจ้ำจากความคึกคะนองของเขาเมื่อคืนที่ผ่านมาหลงเหลือให้เห็นเป็นหลักฐาน

“สุดท้าย กูก็เลยยอมรับกับป๊าม๊าไป ว่ากูกับไอ้ซันเป็นแฟนกันแล้ว”

“โห มึงกล้าใช้คำว่าแฟนต่อหน้าป๊าม๊าเลยเหรอวะ?”

เจนยุทธถามด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊าจนถูกเพื่อนเคาะกบาลไปอีกหนึ่งที

“แล้วมึงจะให้กูใช้คำว่าอะไรวะ แฟนก็คือแฟนสิ”

“แม๊ กูก็นึกว่ามึงจะบอกว่าเป็นมะ...โอ๊ย เออ ๆๆ กูไม่พูดก็ได้”

คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยเมื่อโดนเพื่อนตบหัวป้าบเข้าอีกครั้ง

“ตบหัวบ่อยจนกูจะความจำเสื่อมแล้ว เอ้า แล้วไง เล่าต่อ”

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ปรินซ์ถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่งแล้วจึงเล่าต่อ



“ม๊ากูพอได้ยินปุ๊บก็หันหลังเดินลงบันไดไปเลย ส่วนป๊าก็ยืนอึ้งไปพักนึง แล้วก็บอกให้กูกับซันแต่งตัวแล้วลงไปคุยข้างล่าง...”

ส่วนผู้เป็นพี่ของปรินซ์นั้นก็ได้แต่หันซ้ายหันขวาจนทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดเขาก็พูดขอโทษออกมาเบา ๆ แล้วหันกายเดินออกห้องตามผู้เป็นพ่อไปโดยไม่ลืมปิดประตูตามหลัง

“พวกกูงี้สั่นกันไปหมด ไม่รู้เลยว่าจะเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ถ้าที่บ้านเขาไม่ยอมรับ ให้พวกกูเลิกคบกัน พวกกูจะทำยังไง แล้วถ้าเรื่องของพวกกูทำให้ความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองบ้านต้องขาดสะบั้นลงล่ะ พวกกูกลัวกันไปหมด”

ปรินซ์ฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น แม้จะอยากยื้อเวลาให้นานเพียงใด สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่พากันเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดไปยังห้องรับแขก

“พอเห็นหน้าม๊าเท่านั้น กูงี้ใจแป้วเลยอ่ะ รู้เลยว่าม๊าร้องไห้มา”

เจนยุทธยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อนเบา ๆ น้ำเสียงที่เครือน้อย ๆ ของเพื่อนทำให้เขารู้ถึงสภาพอารมณ์ของหนุ่มลูกร้านทอง

“มึงไม่ต้องเล่าก็ได้นะ ไอ้ปรินซ์ ถ้าไม่สะดวกใจน่ะ”

เจนยุทธพูด หากเพื่อนของเขาก็ส่ายหัวน้อย ๆ

“ไม่เป็นไร กู กูอยากพูดว่ะ กูอัดอั้นตันใจเรื่องนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว”

หนุ่มลูกร้านทองถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาใช้ฝ่ามือถูหน้าแรง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อน ตาที่แดงระเรื่อของปรินซ์ทำให้เจอดสะท้อนใจไม่ได้



“แล้ว เอ่อ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?”

เจพูดพลางส่งเหล้าแก้วใหม่ให้เพื่อน คราวนี้เขาเจือจางมันลงด้วยโค้กเพื่อไม่ให้เพื่อนที่ซดเหล้าโฮก ๆ มาสองสามแก้วแล้วต้องเมามาก

“ตอนแรกกูจะให้ซันกลับบ้านไปก่อน แต่พ่อกูบอกว่าให้มันอยู่ด้วย เพราะเขามีเรื่องจะถาม”

ปรินซ์ยกยิ้มเยาะตัวเอง เขาทั้งสองทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องนั่งลงเผชิญหน้ากับครอบครัว ตรงหน้าพวกเขานั้นคือพ่อแม่ พี่ชายและอากงซึ่งก็ออกจากห้องนอนมานั่งฟังด้วย

“มึงรู้ไหมว่าเขาถามอะไรมั่ง”

เจนยุทธส่ายหน้า เขานึกอะไรไม่ออกแล้วในตอนนี้ หนุ่มลูกร้านทองหัวเราะตัวเองเบา ๆ แล้วนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ ในตอนเช้า

 



“ซัน ตอบป้ามาตรง ๆ นะ ลูกป้ามัน เอ่อ”

แม่ของปรินซ์ข่มก้อนสะอื้นลงแล้วถามคนที่เธอเอ็นดูเหมือนลูกชายคนหนึ่งมาโดยตลอด

“...มันบังคับหรือข่มขู่เราหรือเปล่า? ที่ปรินซ์บอกว่าพวกเราสองคนคบหากันนั้น เราฝืนใจไหม? ถ้าเป็นแบบนั้น บอกป้ามาได้นะ ป้าจะจัดการให้เอง”

“ม๊า ทำไมม๊าพูดแบบนี้ล่ะ! ผมไม่เคยไปฝืนใจอะไรมัน...”

ปรินซ์โวยลั่นทันที หากก็ต้องเงียบลงเมื่อถูกผู้เป็นแม่ถลึงตาใส่

“เราเงียบไปเลย ม๊าถามซัน ไม่ได้ถาม...”

“ไม่ครับป้า ผม เอ่อ ผมเต็มใจ ไม่ได้ฝืนใจเลยสักนิดครับ”

“ซัน...”

คำพูดของแม่ของปรินซ์ถูกขัดกลางคันด้วยคำตอบของหนุ่มลูกร้านเพชร ปรินซ์เรียกชื่อคนรักเบา ๆ อย่างตื้นตันใจ เมื่อได้ยินคำตอบที่แผ่วเบาแต่มั่นคงของซันซัน พ่อแม่ของปรินซ์หันมามองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นสามีจะพยักหน้าให้ภรรยาซักถามต่อ

 

“งั้นป้าถามต่ออีกหน่อย ที่ซันตัดสินใจแบบนี้ มันเป็นเพราะเรื่องของ เอ่อ เรื่องของหนูแตงหรือเปล่า?”

“อาเอื้อง...”

ปู่ของปรินซ์ซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ มาครู่ใหญ่อดส่งเสียงเตือนไม่ได้เมื่อได้ยินสะใภ้พูดพาดพิงถึงเรื่องที่ทำให้ซันซันเกือบคิดสั้นไปเมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว แต่ก็เป็นซันซันที่ชิงส่งเสียงตอบขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ใช่ครับ เรื่องของแตงไม่ได้มีผลทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้”

ซันซันยิ้มบาง ๆ ให้กับผู้ใหญ่ที่รอฟังเขาอย่างใจจดใจจ่อ จากการซักถามของพ่อแม่ของปรินซ์ เขาพอจะเดาได้ว่าทั้งคู่คงระแคะระคายถึงความรู้สึกของปรินซ์ที่มีต่อเขามาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะแทนที่จะถามว่าทำไมปรินซ์ถึงทำแบบนั้น พวกเขากลับถามว่าเขาเต็มใจหรือเปล่า

“ถ้าคุณลุงคุณป้าห่วงว่าผมอาจจะตัดสินใจคบกับปรินซ์เพราะตกบันไดพลอยโจนหรือเพราะว่าสิ้นหวังกับเรื่องความรัก ผมบอกได้เลยว่าไม่ใช่ครับ เรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นความต้องการของผม ไม่ใช่ว่าถูกบีบบังคับหรือกดดัน...”

หนุ่มลูกร้านเพชรนึกขำในใจว่าทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าหลังจากถูกว่าที่ภรรยาหักหลังอย่างร้ายกาจ ตัวเขานั้นก็ไม่ได้เข็ดขยาดผู้หญิง แต่กลับออกเที่ยวอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง



“...แต่จะว่าไป เรื่องของแตงกลับทำให้ผมรู้ใจตัวเองมากขึ้นครับ...”

ซันซันกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ล้อมรอบและมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของปรินซ์ ไม่ว่าเรื่องราวในตอนนั้นจะเลวร้ายเพียงใด สุดท้ายแล้ว ทั้งเรื่องของแตง กับการที่เขาออกเที่ยวเตร่นั้นมันก็นำมาซึ่งข้อสรุปเดียว ชายหนุ่มร่างท้วมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดความในใจของตนออกมา

“...ว่าที่จริงผมรักปรินซ์มันมานานแล้ว รักมาโดยตลอด”

“ฮ้า? มึง มึงว่าอะไรนะ?”

ในขณะที่ผู้ฟังคนอื่นนิ่งเงียบไม่พูดจา กลับเป็นปรินซ์ที่แทบจะลุกไปเขย่าคอคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดและเพิ่งรวบรวมความกล้าสารภาพรักไปได้เดือนเศษ

“มึงใจเย็นก่อน ปรินซ์ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันเรื่องนี้”

ซันซันพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เขาเอื้อมมือไปจับมือเพื่อนรักแล้วบีบกระชับมั่น ก่อนจะหันไปหาพ่อแม่ของอีกฝ่าย

“ผมรักปรินซ์ครับและผมรู้ว่ามันก็รักผม”

หนุ่มลูกร้านเพชรพูดด้วยน้ำเสียงอันมั่นคง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเบิกบานระคนกับความโล่งอกที่ในที่สุดก็สามารถพูดคำรักที่เคยต้องแอบกระซิบกันเพียงแค่สองคนออกไปดัง ๆ เขาหันไปสบตากับอดีตเพื่อนรักที่ในตอนนี้กลายเป็นคนรัก มือของเขายิ่งกระชับมั่นเข้ากับฝ่ามือใหญ่แข็งแรงของอีกฝ่าย แม้ในดวงตาคมวาวของปรินซ์จะสะท้อนความรู้สึกสับสนในสิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวออกไป แต่ความรักที่ฉายออกมาให้เห็นจากดวงตาคู่นั้นก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย

 

“พวกเราเลือกแล้วสินะ”

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ๋ ในที่สุดผู้เป็นแม่ของปรินซ์ก็หาเสียงของตนเจอ

“ครับ พวกผมเลือกแล้ว...”

คราวนี้เป็นปรินซ์ที่ตอบกลับแม่ของตนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไม่ว่าพวกเราจะคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยอย่างงั้นเหรอ?”

หนุ่มลูกร้านทองหน้าเจื่อนลงไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงแห้งแล้งของแม่ หากในใจเขารู้ดีว่าตนนั้นต้องการอะไร

“ครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกผมก็จะขอยืนยันคำเดิม ผมกับปรินซ์ เราคบกันและจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...ใช่ไหม?”

ซันซันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ หลังจากเป็นฝ่ายตอบแทนปรินซ์ที่ยังนิ่งอึ้งอยู่ เขาหันไปสบตากับคนรักแล้วก็ต้องรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาในใจเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าน้อย ๆ ให้เป็นการตอบรับ

“ใช่ครับ ผมจะไม่ปล่อยให้ซันมันห่างผมไปอีกแล้ว ช่วงเกือบสองปีนั้นมัน...เกินทนจริง ๆ แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่สบายใจ พวกผมอาจจะ เอ่อ...”

ปรินซ์พูดอึกอักทันที สิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไปคือสิ่งที่เขาคิดไว้นานแล้ว หากมันก็ยังยากที่จะถ่ายทอดให้ครอบครัวได้ฟัง



“...อาจจะย้ายออกไปอยู่ด้วยกันข้างนอกครับ”

กลับเป็นซันซันที่เป็นฝ่ายต่อประโยคของเพื่อนวัยเด็กจนจบ ปรินซ์หลับตาลงวูบหนึ่งเพราะไม่ต้องการเห็นแววตาของผู้เป็นแม่ แต่เสียงพูดที่ทำให้เขาต้องหันไปมองคือเสียงทุ้มติดแหบของอากงของเขา

“ได้ยินแล้วใช่ไหม อาเอื้อง ทีนี้ก็ปล่อยเด็ก ๆ มันทำตามใจเถอะ”

ทั้งสองหนุ่มได้แต่ตะลึง สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่น่าจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ที่สุดก็น่าจะเป็นอากงวัยเฉียด 80 ของปรินซ์ หากผู้เฒ่าคนนี้กลับมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา 

“หึ ๆ เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ ยิ่งยุคนี้สมัยนี้ด้วยแล้ว หรือลื้อจะยอมปล่อยให้ไอ้ปรินซ์มันต้องออกไปอยู่ข้างนอกจริง ๆ ?”

ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านโบกพัดในมืออย่างสบายอารมณ์พลางหันหน้าไปถามสะใภ้ แม่ของปรินซ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และส่ายหน้า ต่อให้ลูกชายของเธอจะอยู่ในวัยปลาย 20 แล้ว เธอก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกคนเล็กที่ตนตามใจมาตลอดคนนี้ต้องออกไปใช้ชีวิตภายนอกบ้าน

“เมื่อกี้เราก็คุยกันแล้วนะแม่...”

พ่อของปรินซ์ซึ่งค่อนข้างจะเกรงใจภรรยาอยู่มากพูดเสียงอ่อย ๆ 

“รู้แล้ว ๆ !”

แม่ของปรินซ์กระแทกเสียง ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองหน้าดำคร่ำเครียดพลางจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย พวกผู้ใหญ่ที่รออยู่ด้านล่างก็ได้มีการพูดคุยกันเช่นกัน แม้แม่ของปรินซ์จะยังตกใจกับภาพที่ตนเห็น แต่เธอก็ไม่ได้ “แปลกใจ” มากเท่ากับที่เคยคิดไว้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา สัญชาตญาณของคนเป็นแม่บอกเธอว่าลูกชายของเธอรู้สึกกับเพื่อนสนิทวัยเด็กคนนี้มากกว่าเพื่อน และมันก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ และจากการพูดคุยกับสามีและพ่อสามีเมื่อสักครู่ มันทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง



“เราน่ะมันโชคดีนะ ไอ้ตัวแสบ อากงกับป๊าเราน่ะหนุนหลังเราเต็มที่ บอกว่าได้แฟนเป็นซันซันยังดีกว่าพวกผู้หญิงที่เราเคยควงเล่น...”

เถ้าแก่เนี้ยร้านทองโคลงหัวดิก เธอรู้ถึงกิตติศัพท์ความเป็นนักเที่ยวและเป็นเสือผู้หญิงของลูกชายดี เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา แรกเริ่มเดิมทีเธอเคยเขม่นเพื่อนเที่ยวของลูกชายอย่างเจนยุทธเพราะนึกว่าเจ้าตัวเป็นคนพาปรินซ์ไปเสียผู้เสียคน แต่เมื่อได้รู้จักตัวตนของเด็กหนุ่มมารยาทงามคนนั้นแล้ว เธอก็ได้คิดว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นอยู่ที่ตัวลูกชายของเธอ เธอจึงได้แค่เฝ้ามองดู

“...อีกอย่าง ถ้าอยู่กับซันแล้วมันทำให้เราไม่เกิดเรื่องแบบตอนนั้นอีก ก็คง...โอเคล่ะมั้ง?”

ปรินซ์เจ็บแปลบในใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบของแม่ การที่เขาเข้าไปพัวพันกับปาร์ตี้ยาและเซ็กส์หมู่ที่ขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเมื่อหลายปีก่อนยังคงเป็นตราบาปที่ติดตรึง มันทำให้เขาและครอบครัวเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

“ม๊า...”

ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกร้านทองลุกพรวดขึ้นแล้วโผไปคุกเข่ากราบแทบตักของผู้เป็นแม่

“ปรินซ์ขอโทษที่ทำให้ม๊าต้องเสียใจ...”

เอื้องคำลูบหัวลูกชายที่ซบอยู่แทบตักเบา ๆ เธอทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีของสามีและพ่อสามีและลูกชายคนโตที่พยักเพยิดกันไปมา ชายทั้งสามอดยิ้มให้กับภาพเบื้องหน้าไม่ได้ แม้ผู้เป็นแม่จะทำท่าทีกราดเกรี้ยวแค่ไหน แต่เมื่อได้ยินลูกคนเล็กแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นแบบที่เคยทำประจำตอนเป็นเด็ก เธอก็อดใจอ่อนไม่ได้ทุกครั้ง และในคราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน



“...ปรินซ์ขอสัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีก”

หนุ่มลูกร้านทองพูดงึมงำอยู่กับตักของแม่

“ให้มันได้แบบนั้นจริง ๆ เถอะ ไอ้ตัวดี แล้วก็พอ เลิกอ้อนได้แล้ว ยอมแล้ว ๆ”

เอื้องคำถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดันลูกชายให้นั่งตัวตรง ปรินซ์ทำท่าดีใจแล้วโผเข้ากอดแม่อีกครั้งแต่ก็โดนผู้เป็นแม่ยันหน้าหงายออกมา

“หยุดเลย อย่าพึ่งดีใจไป ม๊าจะยอมให้เราคบกับซันซัน แต่ก็ต้องมีข้อแม้ เอ้า พร้อมฟังหรือยัง?”

ผู้เป็นแม่ส่งเสียงกำราบลูกชายขี้อ้อนที่ทำท่าจะงอแงของเธอ ปรินซ์พยักหน้ารับคำทันที

“อย่างแรก เราต้องสัญญาว่าจะไม่ทำให้ซันซันเสียใจ จะไม่เที่ยวเตร่ทำตัวเหลวแหลกแบบสมัยก่อนอีก”

“ข้อนี้ผมให้สัญญาได้เลยครับ”

ปรินซ์พยักหน้าตอบรับทันควัน ข้อนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเขาเลย ที่เขาออกเที่ยวเตร่นอนกับคนอื่นไปทั่วในช่วงที่แล้วนั้นก็เพื่อระบายความอัดอั้นจากรักที่ไม่อาจสมหวังแค่นั้นเอง ในตอนนี้เมื่อเขามีซันซันอยู่ข้างกายแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเถลไถลไปนอกลู่นอกทางอีก

“ผมจะคอยดูแลกำกับปรินซ์เองครับ ป้าเอื้องไม่ต้องห่วง”

ซันซันพูดเสริมขึ้น เอื้องคำพยักหน้ารับ

“ถ้าลูกป้าทำเราเสียใจไม่ว่าจะเรื่องอะไร มาฟ้องได้เต็มที่นะ ไม่ต้องเกรงใจ ป้าจะจัดการมันให้เราเอง”

“ม๊าอ่า ไม่เข้าข้างปรินซ์ซักนิดเลยเหรอ?”

ซันซันซึ่งรอลุ้นอยู่ข้าง ๆ อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้เมื่อเห็นปรินซ์ทำท่าออดอ้อนแม่พร้อมกับพูดเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนตอนสมัยเขายังเป็นเด็ก ไม่ว่าอยู่ข้างนอกคนรักของเขาจะดูมาดเข้มขนาดไหน ลึก ๆ แล้วปรินซ์ก็ยังคงเป็นลูกคนเล็กแสนเอาแต่ใจของแม่อยู่ดี

“ไม่เข้าข้าง ซันซันเค้าเป็นเด็กดีกว่าเราเยอะ ที่ผ่านมามีแต่เราน่ะ ไปทำเค้าเสียคน”

เถ้าแก่เนี้ยร้านทองพูดพร้อมทำท่าระอา ปรินซ์ก็ได้แต่บ่นอุบอิบในคอด้วยแล้วไม่กล้าเถียงอะไรอีก

“อีกข้อหนึ่ง ต่อให้เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ ก็ขอให้คบกันแบบอยู่ในกรอบหน่อย อยู่กันสองคนก็เรื่องหนึ่ง แต่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ก็เกรงใจนิดนึง อย่าให้ประเจิดประเจ้อนัก โอเคไหม?”

ชายหนุ่มทั้งสองหน้าเจื่อนลงไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบตอบรับคำพร้อมกัน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความแตก (ตอนกลาง) ต่อ ----




“และข้อสุดท้าย ข้อนี้สำคัญที่สุด...”

แม่ของปรินซ์หยุดทิ้งจังหวะครู่หนึ่ง เธอหันไปมองสามีและพ่อสามีอย่างหนักใจ ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้คุยกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองหนุ่มแล้ว และทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าข้อนี้คือสิ่งที่ชายหนุ่มทั้งสองพึงกระทำ

“เราต้องไปคุยกับบ้านของซันซันให้เป็นกิจลักษณะด้วย ไม่ใช่แค่ให้พวกม๊ารับรู้แล้วก็จบไป พวกเราต้องได้รับการยินยอมจากบ้านของซันด้วย”

ปรินซ์กับซันซันหันไปมองหน้ากันด้วยความหนักใจทันที บ้านของปรินซ์แม้จะเป็นครอบครัวจีนแท้ แต่ก็มีความเปิดเผยและรับกับค่านิยมสมัยใหม่ได้กว่าทางบ้านของซันซัน อีกทั้งตัวปรินซ์เองก็เป็นลูกชายคนรองที่มีความกดดันเรื่องต้องมีทายาทสืบสกุลน้อยกว่าผู้เป็นพี่ชาย แต่สำหรับซันซันซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะพูดให้ทางครอบครัวนั้นยอมรับได้อย่างไร

“ได้ครับ ป้าเอื้อง เย็นนี้ผมกับปรินซ์จะเข้าไปคุยกับที่บ้านผมให้รู้เรื่อง”

สุดท้าย ซันซันก็เป็นฝ่ายตอบรับข้อเสนอนี้ เขาหันไปยิ้มให้คนรักที่กลับมานั่งเคียงข้าง ปรินซ์ยิ้มตอบเพื่อนวัยเด็กของเขาทันควัน


“เฮ้อ ทีนี้อากงก็อดอุ้มเหลนจากเราแล้วสินะ”

เมื่อเห็นสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านก็กระเซ้าหลานชายเบา ๆ ปรินซ์ส่งยิ้มให้อากงขี้แกล้งของเขาอย่างรู้ทันและจัดการชงเรื่องต่อไปยังเป้าหมายของการแกล้งทันที

“ถ้าเรื่องนั้นก็ต้องฝากไว้กับพี่คิงแล้วล่ะครับ”

“อ้าว เฮ้ย ไหงมาโยนให้กูงี้วะ?”

เพลย์บอยตัวพ่อซึ่งนั่งดูดราม่าเล็ก ๆ ในครอบครัวอยู่เพลิน ๆ สะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อถูกโยนเผือกร้อนให้ เขาทำหน้าปูเลี่ยน ๆ เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นจากทั้งพ่อและแม่

“ว่าไง เรา ขึ้นเลขสามแล้ว เมื่อไหร่จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซักทีล่ะ น้องมันยังมีแฟนแล้วนะ”

คิงแทบร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงเข้ม ๆ ของพ่อถามมา

“ป๊า ผมยังมีความสุขกับชีวิตโสดอยู่นะ”

ลูกชายคนโตของบ้านพูดเสียงอ่อย ๆ เขาหันไปสบตากับแม่เพื่อขอความเห็นใจ แต่ก็ถูกมองเมิน ส่วนน้องชายตัวดีนั้นก็ได้แต่ก้มหน้า แถมยังหัวเราะคิกคักให้ได้ยินเบา ๆ อย่างน่าเจ็บใจ


"อากงครับ..."

สุดท้าย ลูกชายคนโตของบ้านลิ้มสวัสดิกุลก็ต้องหันไปหาความช่วยเหลือจากปู่ที่นั่งกลั้นยิ้มอยู่ข้าง ๆ

“อากงหิวน้ำ ไปก่อนนะ”

หลานคนโปรดของอากงทำหน้าละห้อยเมื่อเห็นผู้เป็นปู่ก็ลุกเดินหนีหายเข้าไปในครัว เขาหันกลับมาส่งสายตาขอความเห็นใจให้พ่ออีกครั้ง

“ป๊า...ผมมีหลานให้ป๊าแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ”

คนที่หวงความโสดยิ่งชีพพูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของผู้เป็นพ่อ

“ไม่ได้ ต้องภายในปีนี้!”

คิงทำตาเหลือกทันที หากเขาก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นสายตาขบขันของผู้เป็นพ่อ คนที่นั่งขำแต่ก็แอบลุ้นแทนพี่ชายอย่างปรินซ์ก็ได้แต่โคลงหัวน้อย ๆ พ่อของเขานั้นขี้แกล้งไม่ต่างจากอากงเลยแม้แต่น้อย

“ป๊าล้อเล่นหรอกน่ะ จะมีหรือไม่มีหลานให้ ป๊าก็ไม่ซีเรียสหรอก ถ้าเรายังไม่เจอคนที่ถูกใจก็หาไปเรื่อย ๆ พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยแต่ง โอเคไหม?”

เถ้าแก่ร้านทองยกมือขึ้นตบบ่าลูกชายเบา ๆ เขานั้นได้รับอิสระในด้านการเลือกคู่จากพ่อแม่และต้องการจะส่งผ่านมันให้กับรุ่นลูกด้วย คิงยิ้มกว้างออกมาทันที เขายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพ่อแม่และให้สัญญาว่าถ้าเจอคนที่พอใจจริง ๆ เมื่อไหร่จะพามาให้พ่อแม่รู้จักอย่างแน่นอน

 

“ซันซัน...”

ปรินซ์เหนี่ยวไหล่คนรักเบา ๆ เมื่อเรื่องราวกับทางครอบครัวคลี่คลายไปได้ด้วยดี พวกเขาทั้งสองก็ขอตัวกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อเคลียร์เรื่องราวของตนบ้าง

“เมื่อกี้ ที่มึงพูดกับม๊ากู มึง เอ่อ หมายความตามนั้นจริง ๆ?”

ปรินซ์ถามเสียงสั่น

"ไม่อ่ะ กูแค่คิดว่าถ้าบอกไปแบบนั้นน่าจะโอเคกว่า"

ซันซันพูดกลั้วหัวเราะแล้วปีนขึ้นไปนอนเอนหลังบนเตียงของคนรักอย่างสบายอารมณ์

"อ๋อ เหอะ ๆ กูก็ว่าน่าจะเป็นงั้น มึงนี่ก็หลอกกระทั่งกูเลยนะ"

ปรินซ์หัวเราะเจื่อน ๆ แล้วลงนั่งที่ขอบเตียง เขาได้แต่หัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจที่หลงดีใจและคิดไปได้ว่าเพื่อนรักที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กนั้นอาจจะหลงรักตัวเองเข้าตั้งแรกเริ่มแล้วเช่นกัน ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซันซันก็ไม่ได้เคยแสดงทีท่าว่ามีใจให้เขาเป็นพิเศษจนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้

"แล้วเดี๋ยวถ้าเราไปคุยกับพ่อแม่มึง มึงจะบอกแบบเดียวกันนี้ด้วยไหมวะ?"

หนุ่มลูกร้านทองถามซันซันที่นอนเล่นเกมในมือถืออยู่อย่างเมามัน

"ไม่รู้สิ ไว้คอยดูสถานการณ์ไป..."

ซันซันถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงพ่อของเขา ครอบครัวของปรินซ์ยังถือว่าหัวสมัยใหม่และเปิดกว้างเรื่องความสัมพันธ์พอสมควร โดยดูได้จากการที่ปล่อยให้ปรินซ์และพี่ชายใช้ชีวิตได้อย่างสุดเหวี่ยง แต่ครอบครัวของเขานั้นค่อนข้างหัวอนุรักษ์นิยมกว่ามาก



"เฮ้อ..."

ปรินซ์ระบายลมหายใจออกมาแรง ๆ บ้างหลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองอยู่พักใหญ่ เขาเอนหลังนอนลงบนเตียงบ้างและพลิกตัวกอดก่ายร่างอวบ ๆ ของคนรัก ซันซันที่ยังเล่นเกมอยู่ก็ขยับให้คนรักได้นอนหนุนร่างเขาอย่างถนัดขึ้น

"ถ้าพ่อแม่มึงไม่ยอมให้เราคบกัน เราจะทำยังไงดีวะ?"

ปรินซ์ถามแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ ซันซันชะงักและเงยหน้าจากจอมือถือของตัวเอง เขากดปิดมันแล้วโยนทิ้งไว้ข้างตัวจากนั้นพลิกกายมาเผชิญหน้ากับคนรัก

"มาครึ่งทางแล้ว มึงยังจะไม่มั่นใจอะไรอีกวะ พ่อแม่กูก็ไม่ได้คุยยากไปกว่าพ่อแม่มึงหรอก อีกอย่าง เราก็มีเวลาเตรียมตัวแล้วด้วย ระหว่างนี้มึงก็นึก ๆ ไว้แล้วกันว่าจะพูดกับพ่อแม่กูยังไง"

"อ้าว เฮ้ย กูต้องเป็นคนพูดเหรอวะ?"

ปรินซ์พูดเสียงอ่อย ๆ เขาหน้าเจื่อนทันทีเมื่อนึกถึงหน้าพ่อของซันซัน

"นี่ คุณปริญญาครับ คุณมึงจะไปขอลูกชายเขานะครับ ยังต้องให้กูเป็นคนพูดเองอีกเหรอวะ?"

"ขะ ขอ...?"

ปรินซ์พูดทวนคำของซันซันอย่างตะกุกตะกัก เขารู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันทีพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านขึ้นมาในใจ เขาอดไม่ได้จนต้องรวบร่างอุ่น ๆ ข้างเข้ามากอดไว้แน่น

"ตกลง กู กูจะพูดเอง กูจะไปขอมึงกับพ่อแม่มึงแบบที่ให้เขาปฏิเสธไม่ลงเลย"

ปรินซ์พูดแล้วจูบแก้มกลม ๆ ของเพื่อนวัยเด็กจ้วบใหญ่ แล้วรีบผุดลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าเคร่งเครียด



"ไม่ได้ละ เดี๋ยวกูต้องไปร้านหน่อย อย่างน้อยต้องมีแหวนซักวง"

"เฮ้ย เดี๋ยว ๆๆ"

ซันรีบลุกขึ้นตามแล้วรั้งตัวคนที่ทำท่าจะพุ่งออกห้องไป เขาดึงอีกฝ่ายให้ลงนอนหนุนตัก

"ใจเย็นน่า กูก็พูดเปรียบเปรยไปงั้น ไม่ใช่จะให้มึงมาขงขออะไรกูจริง ๆ ซักหน่อย อีกอย่าง กูก็ไม่ใช่สาว ๆ ไม่ต้องมีแหวนอะไรหรอก"

หนุ่มลูกร้านเพชรยิ้มน้อย ๆ แล้วลูบผมดำขลับของอีกฝ่ายเบา ๆ

"กูขอแค่ความจริงใจของมึงก็พอ ขอให้มึงแสดงให้พ่อแม่กูเห็นได้ว่ามึงรักกูจริง ทำได้ไหม?"

ซันซันก้มหน้าลงแล้วจ้องลึกเข้าไปในตาของเพื่อน

“เฮ้ย มึงอย่ามาดูถูกความรักยี่สิบปีของกู รับรองพ่อแม่มึงต้องเห็นใจกูแน่นอน”

ปรินซ์พูดด้วยความมั่นใจ เขาดึงมือคนรักที่ลูบผมตัวเองอยู่มาจูบเบา ๆ แล้วรั้งไว้แนบอก ซันซันยิ้มน้อย ๆ

“เกือบยี่สิบปีเลยเหรอวะ ไอ้เตี้ย? เวอร์ไปป่าว?”

หนุ่มลูกร้านเพชรกระเซ้าเพื่อนวัยเด็กของเขา

“ไม่เวอร์!”

ปรินซ์พูดด้วยเสียงหนักแน่น เขายันกายขึ้นนั่งและหันมาเผชิญหน้ากับคนที่เพิ่งเริ่มคบหากันฉันท์คนรักได้ประมาณเดือนเศษ

“กูเคยบอกมึงแล้วไง ซันซัน ว่ามึงสำคัญกับกู สำคัญมาตลอด ตั้งแต่พวกเรายังเป็นเด็ก มึงคือเบอร์หนึ่งในใจกูเสมอมา”

ปรินซ์จ้องลึกไปในตาของคนที่นั่งยิ้มละไมอยู่ข้างหน้า ซันซันหน้าแดงระเรื่อ เขายังจำได้ถึงวันที่เขาได้รับรู้ความในใจของเพื่อนรักอย่างแน่ชัด

 


ปรินซ์สารภาพความในใจกับเขาอย่างเป็นทางการในวันที่พวกเขากลับจากเล่นฟุตบอลและสังสรรค์กับเจ ฆาเบียร์และกลุ่มเพื่อนเก่า แม้เขาจะอยากกลับไปนอนที่บ้านของตัวเองแต่สุดท้ายก็ถูกอีกฝ่ายที่ต้องการเคลียร์ใจลากขึ้นมาบนห้องนอนของอีกฝ่ายจนได้

“กูไม่ได้มีอะไรกับไอ้แป้ง!”

หนุ่มลูกร้านทองกระแทกเสียงพลางขยุ้มไหล่ของคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างลืมตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าดิ้นหนี

“ปรินซ์ มึงปล่อยก่อน กูเจ็บ”

ซันซันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เขาตบเบา ๆ ที่มือของคนที่คืนนี้ดูจะเมามากกว่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ ปรินซ์รีบปล่อยมือทันที หากก็ยังเอื้อมมือไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายมากำไว้ด้วยกลัวว่าซันซันจะหนีไป

“...ตั้งแต่เลิกกันไปตอนม.ปลาย กูก็ไม่เคยยุ่ง ไม่เคยติดต่อกับมันอีก ที่เจอกันคราวนั้นก็เจอกันโดยบังเอิญ และไม่ได้คิดสานต่ออะไร มึงเข้าใจไหม? กูไม่เคยคิด ไม่เคยอยากได้เขากลับมา ไม่เคยเลย”

ปรินซ์พูดออกมายาวยืดรวดเดียวด้วยความอัดอั้นตันใจ

“หึ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเขาก็เสนอตัวให้ขนาดนี้แล้ว มึงไม่ลองคบมันดูล่ะ ไม่แน่ ตอนนี้มึงอาจจะถูกใจมันก็ได้...”

ซันซันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน หากก็ต้องนิ่วหน้าอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ



“ทำไมมึงต้องไล่กูไปหาคนอื่นวะ? ทุกวันนี้กูยังแสดงให้เห็นชัดไม่พออีกเหรอว่ากูคิดยังไงกับมึง?”

ปรินซ์คำรามเบา ๆ พร้อมกับกระชากร่างอีกฝ่ายเข้ามาชิดร่างตน ใบหน้าที่บึ้งตึงของเขาแสดงถึงความไม่พอใจขั้นสุด

“เออ ไม่ชัด!”

หากคราวนี้หนุ่มลูกร้านทองต้องเป็นฝ่ายตะลึงเมื่อถูกอีกฝ่ายตะคอกใส่ด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว

“ที่มึงทำเป็นพูดเล่นกับกู หยอดกูแบบนั้นแบบนี้ ทำเหมือนว่ามึงคิดอะไรกับกู มึงทำไปทำไม ปรินซ์? กูไม่เข้าใจ”

ซันซันลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ น้ำตาที่คลอเอ่ออยู่ในดวงตาของเพื่อนวัยเด็กทำให้ปรินซ์พูดอะไรไม่ออก

“แต่บางที อย่างเมื่อกี้ มึงก็พูดเหมือนกูทำให้มึงลำบาก ตกลงมันยังไง? ถ้ามึงเบื่อที่จะดูแลกูแล้ว มึงก็ไม่ต้องมาทำ กูไม่ต้องการ”

ปรินซ์ตัวชาวาบ คำพูดส่ง ๆ ของเขาที่พูดออกไปเนื่องจากไม่อยากให้อีกฝ่ายไปกินเหล้าต่อกับเพื่อนกลับทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปยกใหญ่

“ซัน กู...”

ในตอนนี้กลับเป็นคนที่เมากว่าที่พยายามรั้งสติของอีกฝ่าย แต่ซันซันก็เหมือนจะน็อตหลุดไปแล้วเรียบร้อย



“กูรู้ว่ามึงห่วงกูตั้งแต่มีเรื่องหนูแตง รู้ว่ามึงรับปากพ่อแม่กูว่าจะเป็นคนดูแลกูให้ และกูก็รู้สึกขอบใจมึงมาตลอด แต่มึงก็อย่าให้กูทำให้มึงสับสนสิ ไอ้ปรินซ์ มีงอย่ามาสับสนไปเลยว่ามึงรักชอบกูหรืออะไร...”

ซันซันหยุดพักหายใจ เขาส่งยิ้มอย่างขมขื่นให้กับเพื่อนที่ดูเหมือนยืนก้มหน้านิ่งอย่างเงียบงันอยู่ด้านหน้า

“มึงอาจจะเห็นไอ้เจกับฆาบี้บ่อย เลยพาลคิดไปว่าความรู้สึกที่มีให้กูมันเป็นแบบนั้นด้วย แต่ปรินซ์...”

หนุ่มลูกร้านเพชรถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วถอยออกห่างจากเพื่อนวัยเด็กอีกหนึ่งก้าว

“...กูอยากให้มึงคิดดี ๆ พิจารณาดี ๆ ว่าใจมึงคิดยังไง ระหว่างเรามันอาจเป็นแค่ความเคยชิน เป็นแค่ อื้อ!”

ซันซันอุทานเสียงอู้อี้เมื่อถูกมือใหญ่ที่ร้อนผ่าวของปรินซ์ปิดเข้าที่ปาก

“ซัน มึงหยุดพูดก่อน กูมีอะไรจะให้มึงดู”

คนที่เริ่มสร่างเมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขามองจนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายยอมโอนอ่อนตามแล้วจึงปล่อยมือออกจากปากของซัน เขาดันอีกฝ่ายให้ลงนั่งรอที่โต๊ะทำงานก่อนจะเดินไปที่หีบไม้ใบใหญ่ซึ่งมีกุญแจล็อคอยู่ จากนั้นเปิดมันออก



“เอ้า รับ...”

ซันซันรีบยกมือขึ้นรับของที่ปรินซ์โยนมาให้ เขากัดริมฝีปากตนเองจนเจ็บเมื่อมองดูลูกฟุตบอลอาดิแดสเก่าคร่ำคร่าในมือ

“นี่คือของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่มึงใช้เงินเก็บของตัวเองซื้อให้กูโดยไม่ต้องขอพ่อแม่ จำได้ใช่ไหม?”

ซันซันพยักหน้าเบา ๆ ทำไมเขาจะจำไม่ได้ บอลลูกนี้ทำให้อีกฝ่ายถูกรุ่นพี่ป. 6 ซ้อมจนใบหน้าบวมปูดเมื่อปรินซ์วัย 9 ปีเศษที่ยังตัวเตี้ยเล็กพยายามจะแย่งมันคืนมาจากเด็กเกเรพวกนั้น

“ส่วนนี่ มึงให้กูมาตอน...”

ปรินซ์หยิบของอีกหลายชิ้นจากหีบนั้นออกมาวางเรียงรายตรงหน้าเพื่อน เขาบรรยายทุกชิ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเปี่ยมไปด้วยความสุข ความทรงจำของเขาที่มีกับของเหล่านั้นยังคงเด่นชัดเหมือนมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน



“แล้วนี่ หมวกกันน็อคของกูในตอนนั้น เป็นชิ้นเดียวที่มึงไม่ได้ให้มา...”

ชิ้นสุดท้ายที่ปรินซ์นำมาให้เพื่อนรักดูคือหมวกกันน็อคยี่ห้อดังระดับโลกซึ่งเขาใส่ตอนออกไปตามหาซันซันที่กำลังจะคิดสั้น รอยถลอกปอกเปิกและรอยร้าวที่กระจกหน้าทำให้ใจของซันซันกระตุกวูบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“นี่มึงเก็บไว้หมดเลยเหรอวะ?”

ซันซันถามเสียงแผ่วเบา เขาไล้นิ้วไปบนของทุกชิ้น มันล้วนเป็นสิ่งที่เขาเคยให้อีกฝ่ายไว้จากหลาย ๆ โอกาส

“ถ้าไม่นับพวกของกินหรือของที่ใช้แล้วหมดไปก็...ใช่ กูเก็บไว้ทุกอย่าง”

หนุ่มลูกร้านทองพูดพร้อมกับยกยิ้มให้เพื่อน

“ทำไม? ทำไมมึงต้องทำถึงขนาดนี้วะ”

ซันซันพูดเสียงแผ่วเบา ปรินซ์ขยับกายเข้าหาคนที่ยืนตะลึงทอดตามองสิ่งของที่ตัวเองเป็นคนซื้อให้ทั้งหมด ก่อนซันซันจะทันรู้ตัว เขาก็ถูกดึงตัวเข้าไปแนบอกกว้าง

“เพราะสำหรับกู ของทุกชิ้นเป็นของสำคัญ...”

หนุ่มลูกร้านทองใจสั่นระรัวไปกับสิ่งที่ตนได้ยิน อ้อมกอดอันอบอุ่นของเพื่อนทำให้เขารู้สึกเหมือนจะละลายลงไป

“...และมันสำคัญก็เพราะมันมาจากมึง ซันซัน...”

หนุ่มลูกร้านทองใช้นิ้วไล้ข้างแก้มของคนในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ ความเมามายที่ทำให้เขากล้าที่จะเผยความรู้สึกของตนให้เพื่อนได้รู้เมื่อสักครู่เริ่มจางหายไป แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเขาก็คงได้แต่พูดมันออกไป



“...มึงคือคนสำคัญของกู เป็นมึงมาตลอด ตั้งแต่กูจำความได้ ตั้งแต่มึงช่วยกูไล่ไอ้พี่อ้นไป ตั้งแต่ตอนกูขาหักและมึงมาช่วยดูแล เป็นมึง ซันซัน...”

ปรินซ์กระซิบที่ข้างหูของเพื่อนก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะหลับตาลงและพูดสิ่งที่ตนอยากพูดมาโดยตลอด

“กูรักมึงนะ ไอ้อ้วน รักมาตลอด”

“...”

คนที่หลับตาปี๋เพราะไม่กล้าจะมองหน้าคนที่อยู่ในอ้อมกอดกลั้นหายใจไว้ครู่ใหญ่ หากความเงียบระหว่างเขาทั้งคู่ทำให้ปรินซ์ต้องยอมเปิดตาขึ้นมองหน้าของเพื่อนรัก ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขาก็ต้องพบกับสายตาที่จ้องมองมาของซันซัน และก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว ริมฝีปากนุ่มนิ่มของคนตรงหน้าก็ประทับเข้าที่ริมฝีปากของเขา ความอดทนของปรินซ์เหมือนพังทลายลงทันที เขาตอบสนองจูบนั้นอย่างร้อนแรง ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ต้องมีคำพูดใดอีก ความรู้สึกทุกหมดทั้งมวลของพวกเขานั้นถูกส่งผ่านมาทางจูบอันยาวนานนี้แล้ว

 


“เออ ๆ กูรู้แล้วน่าว่ามึงรู้สึกกับกูยังไง”

ซันซันพึมพำออกมาเบา ๆ ในคืนนั้นพวกเขาทั้งสองไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแลกจูบซึ่งกันและกัน หลังจากคืนนั้น พวกเขาก็ได้นั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวและตัดสินใจคบหากันอย่างเป็นทางการ แม้ในตอนแรกปรินซ์อยากจะให้เวลาซันซันในการพิจารณาความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง แต่ตัวหนุ่มลูกร้านเพชรเองก็พูดอย่างหนักแน่นว่าเขาพร้อมที่จะตอบสนองความรู้สึกของเพื่อนแล้ว

“แต่กูก็ไม่นึกว่ามึงก็รักกูมาตั้งแต่เด็กแล้วเหมือนกัน...”

“มึงหมายความว่าไงวะ?...”

ปรินซ์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดแฝงเลศนัยของคนรัก ซันซันอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจ้องลึกไปในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่าย

“นั่นสินะ หมายความว่ายังไงน้า?”

ซันซันหัวเราะเบา ๆ แล้วลุกพรวดขึ้นไปยืนที่ข้างเตียง เขาบิดขี้เกียจน้อย ๆ แล้วทำท่าจะเดินเข้าห้องน้ำ

“เดี๋ยว ๆ ๆ มึงกลับมาคุยกับกูก่อน”

ปรินซ์ฉุดข้อมือคนรักไว้แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับคนที่ยิ้มจนตาหยีให้เขา

“ที่มึงพูดเมื่อกี้...”

หนุ่มลูกร้านทองหยุดกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากด้วยความตื่นเต้น

“...หมายความว่ามึงก็...ก็”

“อืมม์ ใช่ ก็หมายความว่าแบบนั้นนั่นแหละ”

ซันซันยิ้มกว้างออกมา เขาหัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นปากที่อ้าพะงาบ ๆ แบบไร้คำพูดของคนตรงหน้า

“กู รัก มึง มานานแล้วเหมือนกัน ไอ้เตี้ย แค่ว่า อื๊อ!”

ซันซันอุทานออกมาได้แค่ครึ่งเสียงก่อนที่คำพูดของเขาจะถูกหยุดลงด้วยจุมพิตของคนที่รัดร่างเขาไว้แน่นจนแทบจะเป็นหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน

 

“มึงมันร้ายนักนะ ไอ้อ้วน นี่มึงปั่นหัวกูมาตลอดเลยเหรอวะ?”

ปรินซ์คำรามเบา ๆ ที่ข้างหูของคนใต้ร่างที่นอนหอบกระเส่าเพราะหายใจไม่ทัน

“กูไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย...”

ซันซันบ่นกะปอดกะแปด เขาดันอกอีกฝ่ายให้ลงนอนเคียงข้างแล้วใช้หัวถูเบา ๆ ที่ต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างเอาใจ

“กูก็แค่นึกว่ามันเป็นรักข้างเดียวมาตลอด แล้วสมัยเราเด็ก ๆ มึงก็รู้นี่ว่า...”

หนุ่มลูกร้านเพชรถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงความรู้สึกของตนในตอนนั้น

 

ตั้งแต่ซันซันจำความได้ เขาก็มีปรินซ์อยู่ข้างกายมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนเรียน เล่น กินข้าว หรือบางครั้งกระทั่งตอนนอน เพื่อนร่างเล็กคนนั้นก็คอยส่งยิ้มมาให้เขาเสมอและคอยอยู่เคียงข้างในทุกช่วงเวลาของชีวิต เขาเคยคิดว่าเขาและปรินซ์จะเป็นเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไปจนกระทั่งแก่เฒ่า หากวันหนึ่งความรู้สึกของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป

ตั้งแต่เด็ก เขามักเป็นคนที่คอยปกป้องปรินซ์ที่มีรูปร่างเล็กบางกว่า แต่เมื่อขึ้นม.ต้น ปรินซ์ซึ่งพยายามดื่มนมและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะต้องการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกลับเริ่มสูงขึ้น รูปร่างที่สมบูรณ์แข็งแรงประกอบกับหน้าตาที่คมคายทำให้เขาเริ่มกลายเป็นที่ถูกตาต้องใจของเหล่าสาว ๆ รุ่นเดียวกัน ไม่นานก็เริ่มมีคำพูดลอยลมเข้าหูเขาที่อยู่ชั้นเดียวกันว่าคนนั้น คนนี้แอบชอบหรือแอบหลงใหลเพื่อนสนิทของเขา ในตอนแรกมันก็เป็นเหมือนลมที่ผ่านหู แต่นานวันเข้าเขาก็กลับรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างน่าประหลาด




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ความแตก (ตอนกลาง) ต่อ ----




“กูเคยคิดว่ามันคือความอิจฉาที่มึงได้รับความสนใจจากสาว ๆ แต่มันไม่ใช่ว่ะ จริง ๆ แล้วมันเพราะ...”

“เพราะมึงหึงกู!”

ซันซันจิ๊ปากเบา ๆ ใส่คนที่นั่งยิ้มจนหน้าบานอยู่ตรงหน้า

“เออ ตามนั้นแหละ ยิ่งตอนมึงแข่งบอลแล้วมีพวกผู้หญิง อิพวกรุ่นพี่ใจกล้าทั้งหลายนั่นน่ะมารุมกรี๊ด กูยิ่งรำคาญ...”

หนุ่มลูกร้านเพชรกระแทกเสียงจนอีกฝ่ายอดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ ซันซันโคลงหัวพลางนึกย้อนไปถึงอดีตอันแสนไกล

 


แม้จะยังอยู่ม. ต้น หนุ่มน้อยปริญญาที่เริ่มมีรูปร่างสูงใหญ่เกินวัยเนื่องจากการเล่นกีฬาก็ยิ่งโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ หน้าตาที่หมดจดสดใสตามประสาหนุ่มลูกจีนบวกกับฝีเท้าที่จัดจ้านทำให้เขาถูกสาว ๆ รุ่นพี่ม.ปลายรุมล้อมด้วยความ “เอ็นดู” ภาพกลุ่มแฟน ๆ ของปรินซ์ที่มาตามเชียร์ที่ข้างสนามทำให้ซันซันรู้สึกขัดเคือง ยิ่งนานวันเข้า ความรู้สึกอึดอัดในใจของซันซันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง สำหรับเด็กหนุ่มวัยรุ่นในยุคต้นปี 2000 การรักชอบเพศเดียวกันนั้นถือเป็นเรื่องที่เขายังไม่สามารถเข้าใจได้ เขาพยายามคิดว่ามันคืออาการหวงเพื่อนและไม่อยากให้เพื่อนชิงมีแฟนไปก่อนตน


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านพักของโต้ง เพื่อนนักบอลของปรินซ์ทำให้ซันซันได้รู้ใจตัวเองเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ซันซันได้ดูหนังผู้ใหญ่ และมันก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนอื่นเกิดอารมณ์ทางเพศ ภาพที่เขาเห็นในจอนั้นไม่ได้เร้าอารมณ์เขาเท่ากับใบหน้าที่แดงระเรื่อและลมหายใจที่กระชั้นขึ้นของปรินซ์ ยิ่งเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายเริ่มดึงกางเกงลงและล้วงควักเอาส่วนสงวนออกมา สติของซันซันก็เริ่มปลิวหาย สิ่งนั้นของเพื่อนที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กนั้นดูไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด ยิ่งเขาเห็นมันถูกกระตุ้นเร้าจนขยายตัวเต็มที่ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง เขาแอบเหลือบมองมันจนตัวเองก็ทนไม่ไหวและออกอาการในที่สุด


สุดท้าย เย็นวันนั้นเขาก็ได้เรียนรู้การปลดปล่อยทางเพศด้วยตัวเองโดยมีเพื่อนรักเป็นคนสอนโดยมีหนังสือปลุกใจเสือป่าเป็นสื่อกลาง หากสำหรับซันซันแล้ว เรื่องราวหรือรูปภาพในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้เร้าใจให้เขาเกิดอารมณ์ได้เท่ากับตอนที่เพื่อนรักเริ่มสาธิตการช่วยตัวเองให้เขาดู ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความเสียวซ่าน เสียงสูดปากและลมหายใจหอบกระชั้นก่อนที่จะปลดปล่อยออกมาทำให้ซันซันรู้สึกร้อนวาบไปจนถึงท้องน้อย แต่สิ่งที่ทำให้หนุ่มน้อยลูกร้านเพชรใจเต้นไม่เป็นส่ำจนแทบหลุดออกมาจากอกคือเมื่อร่างแข็งแรงอันร้อนผ่าวของเพื่อนเข้ามานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง เสียงกระซิบแหบพร่าที่ข้างหู ลมหายใจหอบกระชั้น อีกทั้งมือที่ช่วยกอบกุมส่วนสงวนทำให้ซันซันไปถึงสวรรค์ได้ในเวลาอันสั้น


คืนนั้น ซันซันข่มตานอนไม่ลงเลยแม้แต่น้อย


จากเหตุการณ์ในค่ำนั้น สมองของหนุ่มน้อยวัย 14 ได้แต่วนเวียนคิดถึงความรู้สึกของตนที่มีต่อเพื่อนสนิท เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าตนสามารถเกิดอารมณ์เพศได้กับเพื่อนซึ่งเป็นเพศเดียวกัน ในตอนแรกเขาพยายามคิดว่ามันเป็นเพียงเพราะความอยากรู้อยากลองของตน และพยายามทำตัวให้สนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น แต่แม้จะลองหาสื่อลามกหรือภาพที่กระตุ้นอารมณ์ดูเท่าไหร่ สุดท้ายสิ่งที่ทำให้ซันซัน “ร้อน” ได้ ก็คือปรินซ์ แต่สำหรับหนุ่มวัยสิบต้น ๆ คนนี้ สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่ต้องเสียเพื่อนรักไป มันทำให้เขาไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความต้องการของตัวเอง สุดท้ายเขาก็จึงต้องใช้ข้ออ้างว่าที่บ้านไม่สะดวกในการที่จะเข้าใกล้ปรินซ์เพื่อหาทางปลดปล่อยให้กับตนเอง


 


“มึงคิดว่ากูน่ารังเกียจไหม? ที่หลอกมึงให้ทำแบบนั้นให้”

ซันซันพูดเสียงอ่อย ๆ พลางซบหน้าลงกับอกคนรักด้วยความละอาย หากปรินซ์ไม่ตอบคำถามของเขา แต่กลับยิงคำถามอื่นมาแทน

“เดี๋ยว มึงบอกว่ามึงคิดกับกูแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนนู้น แล้วไอ้แป้งล่ะ? ไอ้แป้งคัพซีที่มึหลงนักหลงหนาในตอนนั้น มันคืออะไร?”

ปรินซ์ถามคนรักถึงคนที่ทำให้เขามีปัญหากับซันซันมาตั้งแต่อดีตจนถึงในคืนนี้ หนุ่มลูกร้านเพชรหน้าแดงก่ำ เขาอิดออดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา

“มึงต้องเข้าใจว่าในตอนนั้นกูยังเด็ก ยังสับสน คือมึงเข้าใจไหมว่ากูรู้ตัวแล้วว่ากูมีอารมณ์กับผู้ชาย แต่ปรินซ์ ในใจกูก็ไม่เคยคิดว่ากูอยากเป็นผู้หญิง กูไม่ได้อยากเป็นแบบไอ้แนน...”

ปรินซ์พยักหน้าน้อย ๆ ในช่วงม.ต้นและม.ปลายของพวกเขา เพื่อนหนุ่มที่เคยเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ประถมหลายคนเริ่มแสดงท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกมาให้เห็น บางคนก็เริ่มมีท่าทางแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนประถม หนึ่งในนั้นคือไอ้แนน หรือน้องแนนซี่แบบที่เจ้าตัวอยากให้คนอื่นเรียก แม้เพื่อน ๆ ในห้องจะเข้าใจและไม่ได้มีท่าทางรังเกียจหรือกลั่นแกล้ง “เพื่อนสาว” กลุ่มนี้ แต่การหยอกล้อหรือแซวด้วยวาจาในบางครั้งก็ทำให้ซันซันอดอึดอัดและผวาตามประสาวัวสันหลังหวะไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเลือกที่จะปิดบังความรู้สึกของตนนั้นเป็นเพราะคนอื่น



“...ที่สำคัญ มึงก็รู้ว่าพ่อกูเขาคิดยังไงกับพวก เอ่อ พวกที่ออกสาวแบบนั้น”

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่ พ่อของเขามักแสดงออกให้เห็นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า “ไม่ปลื้ม” คนที่แสดงออกไปในทางรักชอบเพศเดียวกันโดยเฉพาะคนที่แต่งตัวหรือมีท่าทางกระเดียดไปในทางเป็นผู้หญิง ดังนั้นหนุ่มน้อยซันซันที่มีความลับในใจจึงต้องพยายามแสดงออกให้คนรอบข้างได้เห็นว่าตนนั้นยังมีความชอบเพศตรงข้ามอยู่

“ตอนนั้นกูก็คิดแบบเด็ก ๆ ถ้าจะให้เห็นว่าชอบผู้หญิง อยากให้ดูแมน กูก็ต้องชอบคนนมใหญ่ ๆ กูก็เลยบังคับตัวเองให้คิดว่ากูชอบไอ้แป้ง มึงพอจะเก็ตกูไหม?”

“แปลว่าที่มึงพูดตลอดว่ามึงชอบ มึงอยากได้ไอ้แป้ง จริง ๆ แล้วมึงไม่ได้คิดงั้นเลย?”

“ตอนแรก ๆ กูก็พูดไปงั้นแหละ แต่ไป ๆ มา ๆ กูก็เหมือนสะกดจิตตัวเอง สุดท้ายก็เลยกลายเป็นหมกมุ่นในตัวมันไปอีก”

หนุ่มลูกร้านเพชรพูดเสียงอ่อย ๆ เขาก้มหน้างุดเมื่อถูกอีกฝ่ายมองเหมือนเห็นเขาเป็นตัวประหลาด

“ตอนนั้นมึงเองก็แสดงออกเต็มที่แล้วนี่ว่ามึงชอบผู้หญิง แถมยังเคยมีประสบการณ์แล้วด้วย กูก็เลย...เลิกหวังละ”

ปรินซ์อึ้งไป พอขึ้นม. ปลาย เขาก็ได้ขึ้นครูกับนักศึกษาสาวคนหนึ่ง แม้ตัวเขาจะไม่อยากอวดอ้างเรื่องนี้กับเพื่อนวัยเด็กที่ตนมีใจให้ แต่ซันซันก็รู้มันจากปากของเพื่อนจอมทโมนคนอื่นของเขาอยู่ดี เขาจำได้ว่าในตอนนั้นเพื่อนคนนี้ก็ออกอาการงอนเขาไปอยู่พักใหญ่ แต่เจ้าตัวก็ได้แต่เสบอกไปว่าเป็นเพราะเขาชิงหนีไปมีประสบการณ์ก่อนเพียงคนเดียวโดยที่ไม่ชวนเขาไปด้วย

 

“งั้นตอนนั้นที่มึงงอนกูก็เพราะ...”

“พอ ๆ ๆ เลิกพูด กูจะไม่พูดเรื่องนี้กับมึงแล้ว”

ซันซันซึ่งมีใบหน้าแดงก่ำพยายามดิ้นหนีอ้อมกอดที่รัดแน่นเข้า

“ไม่ได้ มึงพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ซันซัน ไหน บอกกูมาหน่อยซิว่าตกลงเรื่องไอ้แป้งนี่มันยังไงกัน? สรุปมึงชอบมันจริง ๆ หรือว่ายังไง?”

ปรินซ์ถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ซันซันเม้มปากแน่นก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ

“กูแค่พยายามทำใจให้คิดว่ากูชอบมัน ตอนนั้นกูก็เป็นหนุ่มแล้ว จะไม่พูดถึงเรื่องผู้หญิง จะไม่มีแฟนเลยมันก็ประหลาด กูก็เลยต้องหาคนชอบซักคน คนที่ดูเกินเอื้อมกูหน่อย ไอ้แป้งตอนนั้นมันก็ดูน่ารักดี นิสัยดี แล้วก็ เอ่อ...”

“นมใหญ่”

ซันซันหัวเราะแหะ ๆ เมื่อคนรักพูดต่อคำของตนให้เสร็จสรรพ

“อือ ตามนั้น กูก็คิดว่าจะทำเป็น ‘ฮักเมา’ มันไปสักพัก แต่ใครจะไปนึกล่ะ...”

หนุ่มลูกร้านเพชรถอนหายใจเฮือกเมื่อนึกถึงนิสัยที่แท้จริงของสาวที่เขาทำเป็น “แอบหลงรัก” คนนั้น

“ถ้ากูรู้ว่ามันจ้องจะงาบมึงอยู่แล้ว กูก็จะไม่เข้าไปตีสนิทกับกลุ่มมันแล้วไปเล่านั่นนี่เกี่ยวกับมึงให้พวกนั้นฟังหรอก”




เมื่อขึ้นม. ปลาย ปรินซ์ก็เริ่มห่างจากกลุ่มเพื่อนวัยเด็กและใช้เวลาไปกับฟุตบอลมากขึ้น ส่วนซันซันนั้นก็เริ่มสนิทสนมกับสาว ๆ กลุ่มเดียวกับแป้ง ส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาภาพการแอบรักของตนไว้ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะสาว ๆ กลุ่มนั้นมักพูดชมปรินซ์อยู่เป็นประจำ ทำให้เขาที่เป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของเพื่อนอดที่จะคุยโอ่อวดถึงสรรพคุณของเพื่อนรักวัยเด็กคนนี้ออกมาบ่อย ๆ ไม่ได้ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ามันทำให้สาวนักล่าอย่างแป้งเกิดสนใจและ “ไค่ได้” หรืออยากได้เพื่อนรักของเขาขึ้นมา

 


“งั้นวันนั้น วันที่มึงเจอกูอยู่กับไอ้แป้ง...”

“วันนั้นกูโกรธจริง!”

ซันซันกระแทกเสียง เขาเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ภาพของปรินซ์ที่ยืนจูบกับแป้งอย่างเย้ยฟ้าท้าดินทำให้เขาขาดสติ กว่าจะรู้ตัว กำปั้นของเขาก็ลอยเข้าไปกระทบหน้าเพื่อนรักเข้าอย่างจังแล้ว

“ที่กูโกรธก็เพราะมึงมันแร่ด!”

หนุ่มลูกร้านเพชรกระแทกเสียงใส่คนตรงหน้าที่ยังมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก

“กูอุตส่าห์บอกมึงแล้วว่ากูจองคนนี้ มึงก็ยังต้องไปยุ่งกับเขา มึงจะเก็บงวงมึงไว้ในกางเกงไม่ได้มั่งเลยรึไงวะ?”

ซันซันพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อแรกเห็น เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเขาถล่มลง เขายิ่งรู้สึกเหมือนไฟเผาผลาญใจเมื่อเห็นปรินซ์ทำท่ายื้อยุดแป้งที่ทำท่าจะปรี่เข้าหาเขา ท่าทีที่ดูเป็นห่วงเป็นใยกันนั้นทำให้ซันซันเลือดขึ้นหน้า ความหึงหวงที่อัดแน่นอยู่ในใจทำให้เขาต้องระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนรักอย่างที่ไม่เคยคิดทำมาก่อน

“ตอนนั้นกูโคตรโกรธเลย รู้ไหม? กูก็รู้อยู่ว่ามึงเล่นไปทั่ว กูก็พยายามจะมองข้ามไปเพราะรู้ว่ามึงมันใจง่าย...เฮ้ย ไม่ต้องมาจับ”

ปรินซ์หน้าจ๋อยทันทีเมื่ออีกฝ่ายปัดมือเขาที่พยายามจะคว้ามือตนมาเกาะกุม หากซันซันหัวเราะหึ ๆ ในลำคอแล้วเป็นฝ่ายดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้เอง



“...แต่กับไอ้แป้งน่ะ มันคนละเรื่อง คือพวกสาว ๆ คนอื่นของมึงน่ะ กูรู้ว่าเป็นพวกชอบสนุกเหมือนกับมึง แต่แป้งน่ะ ภาพมันดีมาตลอด กูถึงเลือก ‘ชอบ’ มัน แต่พอมึงมาทำแบบนั้นกูก็เลยโมโหว่า เฮ้ย นี่มึงมันแย่ขนาดที่ไปยุ่งกับคนที่กูออกปากบอกว่าชอบเลยเหรอ?”

ซันซันโคลงหัวน้อย ๆ

“กูก็เลยด่ามึงไปแบบนั้น ตอนนั้นกูก็หมดใจแล้ว คิดว่าไม่เอาแล้ว กูทนรับนิสัยแบบนั้นของมึงไม่ได้ ใจกูไม่พร้อมที่จะเห็นมึงไปคั่วกับคนนั้นคนนี้อีก โดยเฉพาะกับไอ้แป้ง กูก็เลยตัดสินใจตัดขาดกับมึง”

“โธ่ ไอ้ซัน...กูขอโทษ”

ปรินซ์อุทานออกมาพร้อมกับดึงคนรักเข้ามากอดไว้ ซันซันกอดคืน เขาลูบหลังคนรักเบา ๆ แล้วพูดต่อ

“ตอนแรกกูก็กะจะห่างกับมึงสักพักจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น แต่พอเปิดเทอมมา ก็เสือกมาเจอข่าวที่พวกไอ้แป้งมันลือ แถมโดนพวกไอ้บอลไอ้ป้อมมันล้อกูก็เลยน็อตหลุด”

ปรินซ์ขบกรามด้วยความเจ็บใจ เขายังจำเหตุการณ์นั้นได้แม่น เมื่อเปิดเทอม ซันซันก็ถูกสาว ๆ กลุ่มเดียวกับแป้งพูดถึงอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ว่าเจ้าตัวนั้นหึงหวงที่เขากับแป้งสนิทสนมกัน ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกเพื่อนผู้ชายปากหมาในห้องหยิบยกเอาไปล้อเจ้าตัวจนกระทั่งมีเรื่องราวกันและถูกฝ่ายปกครองเรียกไปตักเตือน



“เอ้า ๆ จะเครียดไปไหน? เรื่องมันผ่านไปแล้วน่า...”

ซันซันหัวเราะเบา ๆ พลางใช้นิ้วคลึงรอยย่นยู่ที่หว่างคิ้วของปรินซ์

“...จะว่าไป ก็จริงของสาว ๆ พวกนั้นนั่นแหละ กูหึงมึงจริง ๆ แต่ที่กูต่อยปากไอ้ป้อมก็เพราะกูยังรับไม่ได้ที่มันแซวว่ากูชอบผู้ชาย”




สำหรับหนุ่มน้อยวัย 17 ที่ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองนั้น การถูกเพื่อนแซวว่าเป็นคนชอบเพศเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสนัก ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกรังเกียจที่ตัวเองรู้สึกกับเพื่อนแบบนั้น อีกส่วนหนึ่งเขาก็กลัวว่าปรินซ์จะได้ยินคำแซวนั้นแล้วเกิดรังเกียจตัวเขาขึ้นมา เขาจึงได้ประกาศกร้าวออกมาว่าตนจะไม่มีวันชอบเพศเดียวกันเป็นอันขาดแถมยังได้แยกตัวออกห่างจากเพื่อนรักอย่างเห็นได้ชัด



“ตอนนั้นอิข่าวลือบ้านี่ก็แรงนัก ไอ้พวกปากหมาก็แซวกูจัง แถมตอนนั้นมึงก็เริ่มคบกับไอ้แป้งแล้ว กูก็เลย เออ ในเมื่อมึงก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ก็คงถึงเวลาที่กูจะตัดใจจากมึงซะที กูก็เลยพยายามเลี่ยงไม่เจอหน้ามึง...”

ซันซันยิ้มน้อย ๆ ให้คนที่ได้แต่ทำตาปริบ ๆ ปรินซ์แทบพูดอะไรไม่ออก เขาไม่กล้าบอกอีกฝ่ายเลยว่าทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นเป็นเพียงความพยายามที่จะกันแม่เสือสาวอย่างแป้งออกจากเพื่อนวัยเด็กของเขาแค่นั้น

“...มึงรู้ไหม ช่วงหลายเดือนนั้น สำหรับกูมันยาวนานมาก พอไม่มีมึงอยู่ด้วยกูก็เคว้งไปหมด วัน ๆ ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะพูดจะคุยเรื่องนั่นนี่กับใคร แต่จะให้กูกลับไปคุยกับมึง มึงก็มีไอ้แป้งอยู่ด้วยแล้ว จะให้กูทนนั่งยิ้มดูพวกมึงจู๋จี๋กัน กูก็ทำใจดูไม่ได้...”

“หึ แต่มึงก็ยังอุตส่าห์หาสาวได้”

ปรินซ์แค่นเสียงเบา ๆ แล้วแซวเพื่อนรักออกมาอย่างอดไม่ได้ ซันซันหน้าแดงระเรื่อเมื่อนึกถึง “แฟนสาว” คนแรกของตนที่คบหาช่วงที่ห่างหายจากเพื่อนในวัยเด็กไป

“ก็...ก็มึงมีแฟนไปแล้วไง กูจะมีมั่งไม่ได้เหรอ? เค้าก็อุตส่าห์มาชวนกูคุย กูก็เลย...โว้ย เราไม่ต้องพูดถึงเค้าแล้วได้ไหม?”

ปรินซ์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีขัดเขินของคนรัก เขาหอมแก้มกลม ๆ ที่ขึ้นสีอย่างน่าเอ็นดูฟอดใหญ่

“โอเค ๆ ไม่พูดถึงแล้วก็ได้ กูก็ไม่อยากนึกถึงให้ปวดใจหรอก แล้วที่มึงบอกว่าจะตัดใจจากกูน่ะ ตัดได้จริงไหม?”

หนุ่มลูกร้านทองถามยิ้ม ๆ ในใจเขายิ่งพองโตเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเบา ๆ



“มึงเอ๊ย พอเห็นมึงโดนชนล้มไปในสนามบอลเท่านั้นแหละ กูแทบแดดิ้นลงไปเลย รู้ไหม? ใจกูงี้แทบหยุดเต้น กูไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพุ่งลงไปในสนามเมื่อไหร่”

นับแต่วินาทีนั้น ซันซันก็สาบานกับตนเองว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งเพื่อนคนนี้ไปไหนอีกเป็นอันขาด

“กูคิดเลยว่าหัวเด็ดตีนขาดกูก็จะไม่ยอมเลิกคบกับมึงอีก ต่อให้มึงจะมีแฟนหรืออะไรไปก็ช่าง กูกับมึงต้องไม่ตัดขาดกัน กูทนที่จะไม่ได้พูดคุยกับมึงไม่ได้อีกแล้ว”

ซันซันบอกกับปรินซ์ว่าเขานั้นพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมที่จะทนดูเพื่อนรักคบหากับแป้ง แต่เมื่อฝ่ายหญิงทำท่าทีหมางเมินและไม่ใส่ใจใยดีเพื่อนที่กำลังเจ็บป่วยของเขา แทนที่เขาจะดีใจ มันกลับทำให้เขาขุ่นเคืองในตัวอีกฝ่ายอย่างแรง ยิ่งเขาได้เห็นภาพบาดตาบาดใจของแป้งที่กำลังนอกใจเพื่อนของเขา มันจึงนำไปสู่การปะทะกันระหว่างเขากับแป้งในที่สุด

“ตอนนั้นกูสงสารมึงมากเลยนะ ปรินซ์ เสียทั้งทุนกีฬา เสียทั้งแฟน แถมยังจะเล่นบอลอาชีพไม่ได้อีกแล้ว กูโคตรเจ็บใจตัวเองเลยที่ช่วยอะไรมึงไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่ด่าไอ้แป้งให้มึงแค่นั้น อ๊ะ!”



หนุ่มร่างท้วมอุทานลั่นเมื่อตนถูกดึงไปกอดไว้แน่นอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปรินซ์ซุกหน้าลงกับอกคนรักด้วยความรู้สึกตื้นตัน ซันซันลูบผมอีกฝ่ายเล่นแล้วพูดต่อ

“ไหนจะเรื่องเรียนอีก ตอนนั้นมึงก็ชะล่าใจคิดว่าตัวเองจะได้ทุนกีฬาใช่มะ เลยไม่ได้ตั้งใจเรียนมากนัก คะแนนโอเน็ตเอเน็ตมึงก็ไม่ดี โควตาม.ช. ก็ไม่ได้สอบ...”

“ไอ้ซัน มึงพูดงี้เอามีดมาแทงกูเลยดีกว่า”

ปรินซ์โอดครวญเมื่อถูกอีกฝ่ายลากเรื่องเรียนอันร่อแร่ของเขาขึ้นมาพูดถึง ซันซันหัวเราะคิกคักแล้วจรดริมฝีปากลงบนเรือนผมคนรักเบา ๆ อย่างเอาใจ

“อย่าพึ่งงอน ฟังกูก่อน...ในตอนนั้นกูก็เลยคิดว่าไหน ๆ กูก็ไม่ได้อยากอยู่ห่างมึงอยู่แล้ว ก็เลยว่าจะเรียนอยู่แถว ๆ เชียงใหม่นี่แหละ แต่กูก็ไม่ได้อยากเรียนคณะสายวิทย์อย่างที่พ่อกูอยากให้เรียน กูก็เลยลองดู ๆ สาขาอื่นที่กูอยากเรียนแล้วที่คะแนนมึงพอเข้าได้หรือไม่ต้องใช้คะแนนสอบโอเน็ตเอเน็ตเลย สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะชวนมึงเรียนการโรงแรมนี่แหละ”

“ซัน! นี่มึง!”

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็น กูไม่ได้ทิ้งอนาคตตัวเองเพื่อมึงอะไรขนาดนั้น...”

ซันซันส่งยิ้มให้คนที่เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตะลึง

“...กูเองก็ไม่ได้อยากเรียนแบบที่พ่ออยากให้เรียนอยู่แล้วน่า มึงไม่ต้องคิดมาก”

หนุ่มลูกร้านเพชรพูดยิ้ม ๆ สำหรับเขาที่สุดท้ายต้องกลับมาสืบทอดกิจการของที่บ้านแล้ว การได้เรียนอะไรตามใจตัวเองถือเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดอย่างหนึ่งในช่วงชีวิตวัยรุ่น และเขายิ่งสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ทำมันโดยมีเพื่อนรักเคียงข้าง แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังคงทำตัวเป็นเพลย์บอยควงสาวไม่ซ้ำหน้า เขาก็ยอมรับมันได้โดยไม่ปริปากบ่นใด ๆ ที่สุดเขาก็พอใจกับสถานะเพื่อนสนิทแบบนี้



“งั้นกูขอถามมึงหน่อย ไอ้ซัน แล้วในตอนนั้นที่มึงมีแฟน แต่มึงก็ยังยอมให้กู เอ่อ...ทำนั่นนี่กับมึง นั่นคือเพราะ...”

ปรินซ์ถามหลังจากอึ้งไปพักใหญ่

“นั่นก็เพราะกูอยากทำกับมึง อยากให้มึงสัมผัส แต่กูไม่กล้าพูดตรง ๆ เลยต้องบอกไปว่ากูอารมณ์ค้างจากทางนั้นเค้ามา”

ซันซันกระซิบเสียงแผ่วเบา สุดท้ายแล้ว ถึงจะพยายามคบกับสาวน้อยซึ่งได้คบหากันมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบอย่างจริงจังเพื่อตัดความรู้สึก “เกินเพื่อน” ที่มีให้ปรินซ์ให้ขาด แต่ร่างกายของเขากลับเรียกร้องหาสัมผัสจากผู้เป็นเพื่อน แม้จะเสียจูบแรกให้กับผู้หญิงที่ถือเป็นแฟนคนแรก แต่ก่อนจะจูบเธอคนนั้น ภาพที่เขาหลับตาเห็นนั้นกลับเป็นภาพของเพื่อนรักที่ใช้นิ้วเกลี่ยริมฝีปากเขาเบา ๆ ยามที่เขาขอให้อีกฝ่ายสอนการจูบให้ มันทำให้เขาเกิดอารมณ์พอที่จะสัมผัสกับสาวน้อยคนนั้นได้

“แล้วกับ เอ่อ กับแตงล่ะ?”

ปรินซ์ถามเสียงแผ่วเบา หลังจากเลิกรากับแฟนคนแรก ซันซันก็ไม่ได้คบกับใครเป็นตัวเป็นตนอีกจนกระทั่งมาเจอกับหญิงสาวที่ทำให้เขาเจ็บช้ำจนถึงขั้นเกือบทิ้งชีวิตของตนไปคนนั้น

“กับหนูแตงนั่น กูรักเค้าจริง ๆ อย่างน้อยกูก็คิดว่ารักเค้าอ่ะนะ”



-----------------------------------------

ขอตัดตรงนี้ก่อนนะคะ นึกว่าจะจบตอนนี้ได้ภายในสองตอน แต่เขียนไปเขียนมา ยืดอีกแล้ว เลยเอามาลงให้แค่นี้ก่อน ตอนนี้เปลี่ยน font เป็นสามแบบเพราะสามช่วงเวลาค่ะ หวังว่าจะไม่งงเนาะ เหตุการณ์ในตอนนี้บางส่วนจะคู่ขนานไปกับตอนเก่าที่เคยเขียนเรื่องความรู้สึกของปรินซ์ไปนะคะ แค่ไม่ได้ลงรายละเอียดเท่า (ตอน "แอบรัก 1-6") ส่วนช่วงที่ปรินซ์สารภาพรักจะเป็นตอนที่ต่อจากเหตุการณ์ในตอน "Why Me?" หลังจากที่เจกับฆาบี้ขับรถไปส่งทั้งสองคนที่เมามากหลังกินข้าววันที่ไปเตะบอลกัน

ช่วงนี้ก็เขียนแบบเนือย ๆ นิดนึงนะคะ อะไร ๆ ไม่ค่อยเป็นใจเลย คนอ่านเองก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ถ้าไม่จำเป็นก็อยู่บ้านกันเถิดไม่ต้องไปไหน ถ้าได้ออกข้างนอกก็ใส่มาสก์ พกแอลกอฮอล์เจล และล้างมือบ่อย ๆ ด้วยค่ะ ช่วงนี้คนเขียนไม่ได้หยุดงานแต่ก็รีบไปรีบกลับ ไม่ได้เวิ่นเว้อไปไหนเหมือนช่วงที่แล้ว ที่ลำบากใจคือต้องทำอาหารกินเอง มันแค่พอกินได้ หาความอร่อยไม่ค่อยเจอ เหมือนความรื่นรมย์ในชีวิตหายไปเลยอย่างหนึ่ง รันทดมากค่ะ

ไว้เจอกันใหม่เร็ว ๆ นี้กับตอนท้ายของบทนี้นะคะ




ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ตามมาอ่านเรื่อยๆ ..
(หลับไหล)

ออฟไลน์ Ninjokris

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
    • แทงบอลออนไลน์
เนื้อเรื่องเพลินดีครับอ่านแล้วรู้สึกอยากให้มีต่อ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แอบรักกันเองมานาน เสียเวลาไปนานเลยนะ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ถึง สมุย ละ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
มาอีกนิด ..

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



ขอโทษค่าาาาา บอกว่าจะเอามาลงเล้าเป็ดหลายวันแล้วละก็ไม่ได้ลงซักที ฮือออ มาแล้วค่ะมาแล้ว



---- ความแตก (ตอนปลาย) ----





“กับหนูแตงนั่น กูรักเค้าจริง ๆ อย่างน้อยกูก็คิดว่ารักเค้าอ่ะนะ”

ซันซันถอนหายใจ เขาโบกมือบอกปรินซ์ว่าเขาไม่เป็นไรและสามารถพูดเรื่องนี้ได้

“อย่างที่บอกว่ากูทำใจที่จะอยู่ข้างมึงในฐานะเพื่อนแล้ว กูก็ต้องเดินหน้ามีชีวิตของตัวเองบ้าง พอเจอหนูแตง กูก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เข้าที เค้าคุยสนุก มารยาทดี ครอบครัวเราก็รู้จักกันด้วย ถ้ากูพาเค้าเข้าบ้าน พ่อแม่ก็น่าจะโอเค...”

ปรินซ์ลอบถอนหายใจ เขานึกได้ว่าพ่อแม่ของเขาเคยมาคุยให้ฟังว่าที่บ้านของซันซันนั้นค่อนข้างกังวลที่ซันซันไม่มีวี่แววจะคบหากับผู้หญิงคนไหนอย่างจริงจังอีกเลยตั้งแต่เลิกกับแฟนคนแรกไปตอนปีหนึ่ง นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันให้คนรักของเขาต้องเร่งหา “แฟน” ไปให้พ่อแม่เห็นตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่ที่ผ่านมาซันซันก็เจอแต่คนที่หลอกให้เลี้ยงบ้าง หรือไม่พร้อมที่จะคบหาอย่างจริงจังบ้าง จนกระทั่งมาเจอแตง

“...พอคบกันไปกูก็ยิ่งถูกใจ แล้วก็คิดว่า เออ นี่แหละ ถ้าเป็นคนนี้คงสามารถเป็นแม่ที่ดีให้ลูกกูได้ กูถึงยอมปล่อยใจให้รักเขา แต่ก็ไม่นึกว่าในที่สุด...”

ซันซันหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงอดีตภรรยาโดยพฤตินัยของเขา ปรินซ์กระชับอ้อมแขนเของตนเข้าเพื่อปลอบโยนคนที่ครั้งหนึ่งเคยใจแหลกสลายเพราะผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว



“มึงรู้ไหม ที่ทำให้กูเจ็บที่สุดก็ตรงที่เขาบอกว่ากูตอบสนองเขาทางกายไม่ได้”

ปรินซ์ลูบหลังคนที่เสียงเริ่มเครือน้อย ๆ เขาจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากของซันซันอย่างอ่อนโยน

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว มึงอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย คนมันมักมาก ต่อให้มึงพยายามทำแค่ไหนก็ตอบสนองเค้าไม่ได้หรอก”

หนุ่มลูกร้านทองกระชากเสียง เขาอดรู้สึกเคืองหญิงสาวหน้าซื่อคนนั้นที่เกือบทำให้คนรักของเขาต้องตายขึ้นมาอีกไม่ได้ แต่ซันซันส่ายหัวดิก

“ไม่ มึงไม่เข้าใจ ปรินซ์ ที่กูเจ็บเพราะที่เขาพูดมันเรื่องจริงทั้งนั้น กูให้เขาน้อยไปจริง ๆ ...”

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตลอดช่วงเวลาที่อยู่กินกันนั้น เขาทำการบ้านแทบนับครั้งได้ แม้จะพยายามให้ความสุขกับว่าที่ภรรยาอย่างที่สุด แต่มันก็ไม่พอที่จะเติมเต็มอีกฝ่ายทั้งทางร่างกายและจิตใจได้

“...แต่กูก็ไม่สามารถฝืนตัวเองได้ สำหรับกูเรื่องเซ็กส์กับเขามัน...มันยากไปจริง ๆ”

“กูไม่เข้าใจ ซันซัน มึงหมายความว่าไง?”

ปรินซ์ขมวดคิ้วทันที ซันซันกัดริมฝีปากน้อย ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเล่าความลับที่เขาเก็บงำมาตลอดออกมา



“กู กูไม่มีอารมณ์กับเขาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะบรรยากาศพาไปจริง ๆ หรือเพราะดื่มมา กูก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะมีอะไรกับเขา”

หนุ่มลูกร้านทองพูดไม่ออกเมื่อคนรักยอมเปิดปากเล่าว่าส่วนมากแล้วยามมีอะไรกันคนที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนั้นมักจะเป็นตัวของฝ่ายหญิงเอง

“พอจะทำอะไรกัน กูก็มักจะนึกถึงตอนที่มึงสัมผัสกู พอนึกถึงตอนนั้นกูถึงจะมีอารมณ์พอ”

ซันซันก้มหน้างุดด้วยความละอาย แม้ในช่วงแรกที่เลิกรากับแตงไปเขาจะรู้สึกโกรธแค้นอีกฝ่ายที่นอกใจ แต่ช่วงหลัง ๆ มานี้เมื่อเขามานึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของตนแล้ว เขาก็อดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้

“หลัง ๆ มากูออกจะรู้สึกเสียใจด้วยซ้ำที่ทำให้เขาต้องมาเสียเวลาอยู่กับกูตั้งสองสามปี เอาเข้าจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ว่าต้องไปเรียนต่อด้วยกันแล้วผู้ใหญ่อยากให้หมั้นกันไว้ก่อน กูก็อาจจะไม่รีบขอเค้าแต่งงานแบบนั้นก็ได้”

“ตอนนั้นกูก็เห็นมึงดูมีความสุขมากนี่ ตกลงว่ามึงไม่ได้อยากแต่งหรอกเหรอ?”

ปรินซ์ถามด้วยความงงงวย ในตอนนั้นซันซันดูมีความสุขมากที่จะได้ขอคนรักแต่งงาน

“ในตอนนั้นกูรักเขามากน่ะ แต่ถ้าถามว่าอยากแต่งงานถึงขนาดนั้นไหม? ก็ยัง แต่แค่คิดว่าอยากอยู่ด้วยกัน อยากใช้ชีวิตด้วยกันสองต่อสอง แต่ที่บ้านกูเขาก็อยากให้หมั้นกันไว้ฝ่ายหญิงจะได้ไม่เสียหาย กูในตอนนั้นก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเรารักกัน”

ซันซันยิ้มเยาะตัวเอง ในตอนนั้น แม้เขาจะคิดว่าตนสามารถตัดใจจากปรินซ์ได้และพร้อมเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงที่ตนรัก หากร่างกายของเขานั้นกลับซื่อตรง และมันก็ทำให้ฝ่ายว่าที่ภรรยาของเขารู้สึกได้เช่นกัน



“มึงรู้ไหมว่ากูเคยกลับไปคุยกับแตงด้วยนะ”

ปรินซ์ทำตาโตแล้วส่ายหัวทันที ซันซันยิ้มบาง ๆ แล้วเล่าให้ปรินซ์ฟังว่าเมื่อปีที่ผ่านมาเขาเคยค้นข้าวของเก่า ๆ ที่เอากลับมาจากออสเตรเลียแล้วไปเจอข้าวของส่วนตัวบางอย่างของอดีตคู่หมั้น หลังจากคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ได้ติดต่อกลับไปหาอีกฝ่ายเพื่อส่งคืน หลังจากนั้นเขาก็ได้มีการติดต่อพูดคุยกันนาน ๆ ครั้งกับอดีตคู่หมั้นซึ่งตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสองและย้ายไปใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่ออสเตรเลีย

“ทั้งเค้าและกูก็ได้ขอขมาลาโทษซึ่งกันและกันแล้ว และสุดท้ายกูก็ได้ถามเค้าว่าตอนนั้นทำไมเค้าถึงเลือกนิค มึงรู้ไหมว่าเค้าตอบว่ายังไง?”

ซันซันถาม ปรินซ์ส่ายหน้าทันที

“เขาบอกว่าถึงตอนเลิกกันจะเคยพูดต่อหน้ากูกับมึงว่ากูรักและถนอมเขาเกินไป แต่นั่นไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่คำพูดแบบถนอมน้ำใจกูเท่านั้น...”

หนุ่มลูกร้านเพชรยกยิ้มเศร้า ๆ

“...แต่ความรู้สึกจริง ๆ ของแตงคือตลอดเวลาที่คบหากัน เขาสัมผัสได้ว่ากูไม่ได้รักเขาคนเดียว เขารู้สึกได้ว่าใจกูอยู่ที่อื่น ถ้าเป็นตอนนี้ เขาก็คงบอกเลิกกูตั้งแต่เริ่มรู้สึกได้แล้ว แต่ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก ยังเกรงใจผู้ใหญ่ เกรงใจอีกฝ่าย เขาก็เลยคิดว่าถ้าแต่งงานกันไปแล้วอะไร ๆ ก็น่าจะดีขึ้น แต่ระหว่างนั้นก็มีไอ้นิคเข้ามาพอดี แล้วก็มามีเรื่อง เอ่อ ท้อง ก็เลยวุ่นกันไปอย่างที่เห็น”

“แค่วุ่นที่ไหนล่ะ? มึงเกือบตายเลยนะเว้ย ไอ้ซัน ขนาดนี้แล้วมึงยังกลับไปคุยกับพวกมันอีก”

ปรินซ์ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วลากคนรักให้ลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากัน เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเขย่าอย่างขัดใจ ซันซันหัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย เขาตบเบา ๆ ลงที่มือของคนรัก

“ใจเย็นน่า กูยังปล่อยวางได้แล้ว มึงก็อย่าไปโกรธเคืองอะไรพวกนั้นแล้วเลย...”

หนุ่มลูกร้านเพชรอมยิ้ม แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่นั่งทำหน้าบูดบึ้งอยู่



“อีกอย่าง ถ้าไม่มีสองคนนี้ กูก็คงไม่กล้าที่จะเดินหน้าเข้าหามึงหรอก”

ปรินซ์ทำตาโตเป็นไข่ห่านเป็นรอบที่นับไม่ถ้วนในวันนี้

“มึง...หมายความว่าไงวะ?”

“หมายความว่ากูมารู้ตัวเอาว่ากูรักมึงมากและจะไม่ยอมเสียมึงไปเอาตอนที่กูเห็นมึงลอยตกเนินอ่างเกษตรไปนั่นแหละ”

ซันซันฝืนยิ้มเมื่อนึกถึงภาพในวันนั้น เขาซึ่งตั้งใจแล้วว่าจะตายเพื่อแก้แค้นคู่หมั้นกลับทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของปรินซ์เสียหลัก ภาพเพื่อนของเขาที่ลอยละลิ่วข้ามรั้วกั้นและกลิ้งลงเนินไปยังคงติดตา

“ตอนที่กูนึกว่ากูจะเสียมึงไปนั้น มันเจ็บกว่าที่แตงทำกูร้อยเท่าพันเท่า กูสาบานกับตัวเองเลยว่ากูจะไม่ปล่อยให้มึงหายไปไหนอีก กูก็เลย...แหะ ๆ”

ซันซันหยุดเล่าแล้วยิ้มเขิน ๆ ให้กับคนที่ทำท่าพูดไม่ออก

“มึง มึงทำอะไร ซันซัน?”

หนุ่มลูกร้านทองที่ในหัวคิดไปร้อยแปดพันเก้าถามออกมาในที่สุด

“กูก็เลยทำตัวเกาะติดมึงหนึบเลยไง แหะ ๆ อย่าโกรธกูนะ...”

ซันซันเกาหัวและหัวเราะแหะ ๆ เขาตบบ่าคนที่นั่งตะลึงอยู่เบื้องหน้าเบา ๆ



“เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวกูค่อยกลับมาพูดเรื่องนี้อีกที เอาเป็นว่ามึงอย่าไปคิดโกรธแตงเค้าเลย...”

หนุ่มลูกร้านเพชรยิ้มเจื่อน ๆ

“จริง ๆ พอมานึกดูตอนนี้ กูควรจะต้องขอบคุณไอ้นิคมันด้วยซ้ำที่ช่วยล่มงานแต่งของกู ส่วนแตงกูก็ขอโทษไปแล้ว...”

“ซัน! มึงนี่มัน...!”

“หยุด ๆ ฟังกูก่อน”

ซันซันใช้มือปิดปากเพื่อนที่ทำท่าจะโวยในสิ่งที่เขาพูด

“ที่กูขอโทษแตงน่ะ ก็เพราะกูเกือบจะใช้เค้าเป็นฉากบังหน้าโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวไปแล้ว เผลอ ๆ ถ้ากูแต่งกับแตงไป พวกเราก็อาจจะทนอยู่ด้วยกันได้อีกแค่ไม่นาน อาจจะหย่ากัน หรืออาจจะแย่ยิ่งกว่า คือมีลูกด้วยกันแล้วต้องทนอยู่กันไปทั้งที่หมดใจแล้ว”

ปรินซ์เม้มปากแน่น แม้เหตุผลของซันซันจะฟังขึ้น ตัวเขานั้นก็ยังยากจะอภัยให้กับคนที่กลายเป็นสามีภรรยากันไปแล้วคู่นั้น แต่ในตอนนี้เขามีเรื่องที่สนใจจะถามคนรัก



“มึงบอกว่าสำหรับมึง เซ็กส์กับแตงนั้นเป็นเรื่องยาก มัน มันหมายความว่าไงวะ? ตอนนั้นมึงกังวลหรือประหม่าว่ามึงยังใหม่ หรือว่าไง?”

หนุ่มลูกร้านทองถามอย่างไม่แน่ใจ แม้เขาจะค่อนข้างจะมั่นใจสิ่งที่เขาคิดไว้ แต่เขาก็อยากฟังมันจากปากของคนที่คบกันในฐานะเพื่อนมาตลอดชีวิต

“อย่างที่แตงเค้าเคยพูดไว้นั่นแหละ กูแทบไม่ค่อยแสดงความรักกับเขา ไม่ค่อยกอด จูบหรือหอมอะไรมากมาย ส่วนหนึ่งก็เพราะกูเกรงใจเขา แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะ เอิ่ม เพราะกูไม่ได้คิดอยากทำมันเลย ไม่อยู่ในหัวเลยซักนิด”

ซันซันยิ้มแห้ง ๆ เมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกับแตงนานวันไปแล้ว เขากลับไม่ได้เกิดอารมณ์พิศวาสอยากจะสัมผัสอีกฝ่ายอะไรมากมายนัก อาจจะมีหอมแก้มหรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบ้าง ก็มักจะเป็นเพราะอารมณ์เอ็นดูอีกฝ่ายคล้ายกับตอนที่เขาอยู่กับน้องสาวที่เชียงใหม่

“อ้าว แล้วไหงตอนก่อนหน้าจะคบเขา หรือตอนคบเขาใหม่ ๆ มึงยังดูดี๊ด๊า ดีใจได้หอมแก้ม ได้จูบเขา ได้มีครั้งแรกกับเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วไหนจะที่บอกว่ารักเขาอย่างนั้นอย่างนี้”

ปรินซ์เกาหัวตัวเองเบา ๆ ซันซันในช่วงนั้นเหมือนจะตกอยู่ในห้วงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

“กูก็บอกแล้วไง ว่าตอนนั้นกูก็นึกว่ากูรักเขาจริง ๆ แต่ที่กูบอกไปว่าอยากทำนั่นทำนี่น่ะ มันเพราะ เอ่อ...”

ซันซันสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพูดสิ่งที่เขาไม่ได้ภูมิใจนักออกมา

“เพราะกูอยากสร้างภาพต่อหน้ามึง แล้วก็ต่อหน้าคนอื่นอย่างเช่นพ่อกูด้วย กูตอนนั้นก็อายุใช่น้อยแล้ว ถ้าจะไม่แสดงออกเลยว่าสนใจผู้หญิง มันก็คง เอ่อ แปลกใช่ไหม?”

ปรินซ์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงเมื่อได้รับฟังคำอธิบายของคนรัก



“แล้วหลังจากแตงล่ะ? หลังจากนั้นตอนมึงไปเที่ยวกับกูกับไอ้เจ ตอนที่มึงเรียกร้องอยากได้สาว ๆ”

“เรื่องนั้น แหะ ๆ ถ้ากูพูดแล้วมึงจะหาว่ากูโรคจิตไหม?”

ซันซันหัวเราะเจื่อน ๆ และทำการชี้แจงแถลงไขให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยรู้

“ตอนแรกที่กูบอกมึงว่ากูอยากเที่ยว กูอยากไปจริง ๆ ที่ว่าอยากนอนกับผู้หญิง ก็จริง แต่ก็เป็นเพราะกูเจ็บใจที่โดนแตงพูดใส่แบบนั้น...”

ซันถอนหายใจเบา ๆ ในตอนนั้นเขายังไม่อยากจะยอมรับว่าตนไม่ได้รู้สึกปรารถนาในตัวผู้หญิง เขาพยายามคิดเอาว่ามันเป็นเพราะตัวเองถูกเลี้ยงมาแบบหัวโบราณนิด ๆ และยังไม่มีประสบการณ์ทางเพศนัก คนเดียวที่เขาเคยมีสัมพันธ์ทางเพศด้วยก็คืออดีตคู่หมั้น เขาจึงคิดว่าตัวเองน่าจะต้องลองมีเซ็กส์กับคนอื่นดูเพื่อให้รู้ว่าที่จริงแล้วตนรู้สึกอย่างไร

“กูก็เลยชวนมึงออกบ้านวันนั้นแหละ กูกะเต็มที่ว่าคืนนั้นกูต้องได้ลองมีอะไรกับคนอื่นดูเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ที่จริงถ้าไม่เจอน้อง น้องอะไรกูก็จำชื่อไม่ได้ละคนนั้น กูก็คงแค่กินเหล้าเมาแล้วกลับบ้านน่ะ...”

ปรินซ์ทำหน้าไม่ถูก เขานึกเจ็บใจที่ตัวเองคิดมากไปจนถึงขั้นจัดแจงหาสาวมาประเคนให้ซันซัน

“แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายกูก็เห็นมึงทำได้นี่ ก็ไม่เคยมีปัญหาสักครั้ง”

หนุ่มลูกร้านทองกัดฟันพูด เขาซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นและกับอีกหลาย ๆ ครั้งที่เขากับซันซันแชร์ผู้หญิงกันหรือแชร์ห้องกัน เขาก็ไม่เคยเห็นว่าเพื่อนของเขาคนนี้จะมีปัญหาเรื่องการมีอารมณ์ร่วมระหว่างประกอบกิจ

“นั่นก็เป็นเรื่องที่ แหะ ๆ ถ้ากูพูดไปมึงอย่าโกรธกูนะ...”

ซันซันพูดเสียงอ่อย ๆ เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมพูดสิ่งที่คิดจะเก็บเป็นความลับไปจนวันตายออกมา



“ตั้งแต่วันนั้น วันที่กูนอนกับน้องนั่น กูก็รู้ตัวแล้วล่ะ ว่ากู เอ่อ กูทำเองไม่ได้จริง ๆ”

ซันซันช้อนตามองคนรักที่ยังทำท่างงเหมือนปลาโดนทุบหัว

“ตอนเข้าไปในห้อง กูงี้ประหม่าไปหมด กลัวว่ามันจะไม่ได้เรื่อง ขนาดน้องเค้าถอดแล้ว เห็นไปถึงไหนต่อไหน มันก็ยังไม่ เอ่อ ไม่แข็ง...

หนุ่มลูกร้านเพชรหน้าแดงก่ำ ปรินซ์อุทานออกมาเบา ๆ เขาพอจำได้แล้วว่าซันซันออกจะมีปัญหาเล็กน้อยในตอนแรก แต่เขาเองก็นึกว่าอาจเป็นเพราะความเมาผสมกับความประหม่า ดังนั้นตัวเขาจึงเป็นผู้เริ่มก่อน หลังจากนั้นสักพัก ซันซันจึงพร้อมรบและเข้าร่วมวงด้วย

“คือ กู เอ่อ ตอนนั้นพอกูเห็นมึงนัวเนียกับน้องเค้าปุ๊บ กูก็ขึ้นเลยว่ะ...”

หลังจากร่างกายพร้อมแล้ว ซันซันก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ หากสิ่งที่กระตุ้นเร้าเขามากที่สุดในวันนั้นไม่ใช่ร่างกายที่อวบอัดหรือเสียงครางเร้าอารมณ์ชายของคู่นอนของเขา แต่กลับเป็นใบหน้าคมสันที่แสดงอารมณ์ใคร่ออกมารวมไปถึงท่วงท่าของเพื่อนสนิท เมื่อคืนนั้นจบลง หนุ่มลูกร้านเพชรก็กลับไปนอนกังวลนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทั่งครั้งถัดไปที่พวกเขาออกเที่ยว

“มึงจำครั้งที่สองที่มึงกับกูหิ้วสาวเข้าโรงแรมได้มะ ตอนนั้นเราแยกห้องกัน...”

ปรินซ์พยักหน้า คราวนั้น เขาก็ทำเช่นเดียวกับครั้งแรก เขาติดต่อสาวที่เคยคั่วกันมาก่อนให้ซันซัน

“กูเกือบไม่รอดนะ รอบนั้น เป็นเหมือนเดิม จนกูต้องลองนึกถึงว่าวันนั้นพวกเราทำอะไรมั่ง แล้วมึงรู้อะไรไหม? ...”

ซันซันส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ปรินซ์ซึ่งส่ายหัวตอบมา

“พอกูนึกถึงภาพมึงตอนทำปุ๊บก็เหมือนเปิดสวิตช์เลยว่ะ กูเลยบอกน้องเค้าว่าให้จัดการเลย...”

ปรินซ์ตาลุกเมื่อรู้ว่าตลอดเวลาที่ซันซันปล่อยให้หญิงสาวที่เขาหามาให้จัดการปลดเปลื้องความใคร่ให้ ตัวซันซันนั้นกลับนอนนึกภาพว่าถ้าเป็นตัวเขานั้นจะทำอะไรต่อไป



“หลังจากวันนั้นกูก็ โอเค รู้ละ มันไม่ใช่เพราะกูไม่พร้อมหรือว่าอะไรหรอก แต่มันเป็นเพราะว่ากูไม่ได้รู้สึกอยากทำกับคนอื่น”

“แล้วทำไมมึงถึงยังออกเที่ยว แล้วก็บอกว่าอยากได้สาว ๆ อยู่วะ?”

ปรินซ์ถามกลับทันที ซันซันยิ้มอาย ๆ แล้วจึงตอบออกไป คำตอบของเขาทำเอาปรินซ์ไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“ก็เพราะมันเป็นทางที่กูจะได้เห็นมึงแบบนั้น ได้ใกล้ชิดกับมึง ได้เห็นหน้ามึงหรือได้ยินเสียงมึงตอนที่กำลัง...”

“พอ ๆ ๆ ไอ้ซัน ไม่ต้องบรรยายแล้ว กูเข้าใจแล้ว”

ปรินซ์รีบยกมือห้ามคนที่เขาเพิ่งก้าวข้ามเส้นเฟรนด์โซนมาไม่นาน ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อจนซันซันอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“มึงเขินอะไรวะ? ไอ้ปรินซ์”

“ก็...ก็มึงบอกว่ามึงมีอารมณ์ตอนเห็นหน้ากู ตอนเห็นกูกำลังทำ ก็แสดงว่าทุกครั้งที่เราหิ้วสาวไปด้วยกันมึงคอยมองกูตลอด แล้วแบบนี้ไม่ให้กูเขินได้ไงวะ?”

หนุ่มลูกร้านทองพูดเสียงอ่อย ๆ ท่าทีเขินอายแบบที่นาน ๆ เขาจะแสดงออกมาทีทำให้ซันซันยิ่งอยากแกล้งคนรัก

“อือ กูรู้หมดล่ะว่ามึงชอบทำแบบไหน ชอบท่าไหน ชอบให้กระตุ้นยังไง กูรู้กูเห็นหมดแล้ว เฮ้ย!”

ซันซันที่กำลังพูดโอ่อุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อร่างกำยำของปรินซ์โผพรวดเข้ากอดปล้ำเขา

“ไอ้ปรินซ์ ฮ่า ๆ มึงอย่าจั๊กจี้ ฮ่า ๆ ๆ กูหายใจไม่ทัน”

หนุ่มร่างอวบดิ้นไปดิ้นมาเมื่อถูกเพื่อนวัยเด็กโจมตีจุดอ่อนเหมือนกับทุกครั้ง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือริมฝีปากที่คอยซุกไซ้ตามพวงแก้มและซอกคอ

“พอแล้ว ๆ กูเหนื่อย”

ซันซันหอบหายใจ เขาระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคนรักหยุดจั๊กจี้แล้วรวบร่างเขาเข้าไปกอดไว้นิ่ง ๆ



“มึงเป็นอะไร?”

หนุ่มลูกร้านเพชรลูบผมคนที่ซุกหน้าลงกับอกเขานิ่ง ๆ

“สรุปว่ามึงรักกู รักมานานแล้วเหมือนกันใช่ไหม?”

กว่าปรินซ์จะกลืนก้อนสะอื้นลงคอและหาเสียงของตนเจอก็ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถามคนที่นอนเป็นหมอนให้เขาซบอย่างแผ่วเบา

“อืมม์ ถึงกูจะพยายามปฏิเสธตัวเอง แต่ที่สุดแล้วมันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่ะ...”

ซันซันพูดแล้วจรดริมฝีปากลงบนเรือนผมของคนรักเบา ๆ

“กูรักมึงและอยากอยู่กับมึงไปอีกนาน ๆ อยากอยู่กันแบบเพื่อน แบบพี่น้อง แบบคู่ชีวิตหรือแบบอะไรก็ได้ที่มึงอยากเป็น กูไม่สนหรอกว่าจะเป็นรูปแบบไหน ขอแค่ให้กูกับมึงได้อยู่ด้วยกันเป็นพอ”

ปรินซ์ร้องอืมม์เบา ๆ ในคออย่างใจลอย เมื่อฟังคำซันซัน เขาก็อดนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในเย็นวันนี้ไม่ได้ เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง



“ซัน แล้วถ้าเย็นนี้เราคุยกับที่บ้านมึงแล้วอาเคียวเขาไม่ยอมท่าเดียว เราจะทำไงกันดี?”

“ก็หนีตามกันแม่มเลย”

ซันซันหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ปรินซ์ขมวดคิ้วแล้วดันกายออกจากอ้อมอกของหนุ่มร่างท้วม เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย

“กูจริงจังนะ ซันซัน ถ้าพ่อมึงไม่ยอมขึ้นมาจริง ๆ กูหรือที่บ้านกูก็คงไปบังคับหรือโน้มน้าวจิตใจอาเขาไม่ได้ มึงจะยอมแตกหักกับพ่อเพื่อกูจริง ๆ เหรอวะ?”

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นนั่งตาม เขาตบบ่าคนรักเบา ๆ

“มึงอย่าเพิ่งเครียดไป ตอนนี้คิดมากหรือกังวลไปก็เท่านั้น เอาเป็นว่ากูมีวิธีของกูแล้วกัน เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันแล้วได้ไหม?”

คนที่ยังต้องกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อในยามเย็นยิ้มบาง ๆ อย่างมั่นใจ ปรินซ์กัดปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้ารับคำ

“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ วันนี้มึงก็ไม่ต้องเข้าร้านแล้ว เราไปหาอะไรกินกันเถอะ กูหิวแล้ว”

หนุ่มลูกร้านเพชรพูดแล้วขยับกายลงจากเตียง เขาดึงแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นตาม พ่อแม่ของปรินซ์อนุญาตให้ลูกชายไม่ต้องเข้าร้านหนึ่งวันเพื่อให้ทั้งสองได้เตรียมตัวในการเจรจากับพ่อของซันซันในยามเย็น ส่วนซันซันซึ่งปกติแล้วเป็นเพียงผู้ช่วยของน้องสาวที่ทำหน้าที่เป็นคนดูแลร้านและไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานทุกวันก็ถือโอกาสโดดงานด้วย

“เออ ๆๆ กูก็หิว งั้นมึงจะกินอะไร? อย่าแพงนักล่ะ ช่วงนี้กูบ่อจี๊...”





“แล้วไงต่อวะ? เล่าต่อเร้ว อย่าอมพะนำ”

เจนยุทธเคาะนิ้วย้ำ ๆ กับเคาเตอร์บาร์เพื่อเร่งเพื่อนหนุ่มที่หยุดเล่าเพื่อยกแก้วน้ำขึ้นจิบ หลังปรินซ์เริ่มเล่าเรื่องราวสุดแซ่บของเขาได้ไม่นาน เจก็รีบลากเพื่อนที่เริ่มดื่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ กลับห้องด้วยข้ออ้างที่ว่าที่ร้านเสียงดังเกินไปจนไม่ได้ยินอะไร เมื่อกลับมาห้องเขาก็บังคับให้เพื่อนหยุดดื่มและเสิร์ฟน้ำเปล่าให้แทน ส่วนปรินซ์เองก็ไม่ได้ขัดอะไรและนั่งลงเล่าเรื่องของเขาต่อ

“ก็ไม่มีอะไร พวกกูก็ออกห้องไปห้างฯ กินเอ็มเค เดินเล่น...”

“ไม่ใช่โว้ย กูไม่ได้อยากรู้ว่าพวกมึงกินอะไร กูอยากรู้เรื่องนั้นอ่ะ เรื่องนั้น ฮึ่ย!”

เจนยุทธจิ๊ปากอย่างขัดใจ ปรินซ์หัวเราะน้อย ๆ เขาเข้าใจความหมายของเพื่อนดี แต่แค่อยากจะกวนให้อีกฝ่ายร้อนใจเล่นเท่านั้น เขากระแอมเบา ๆ แล้วเริ่มเล่าต่อ

“พวกกูก็เดินห้างฯ กันถึงเกือบ ๆ ห้าโมง จากนั้นก็กลับมาบ้าน ก็เจอว่าป๊าม๊ากูกลับมาแล้ว”

หลังจากไปถึงร้านแม่ของปรินซ์ก็ปลีกตัวไปยังร้านข้าง ๆ เธอดึงแม่ของซันซันซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเธอออกมาจากร้านและพาไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟริมแม่น้ำปิงซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านของพวกเธอในย่านกาดหลวงนัก หลังจากพูดและตกลงอะไรบางอย่างกันเสร็จ เถ้าแก่เนี้ยทั้งสองก็พากันกลับมาที่ร้าน หลังจากรออย่างใจจดใจจ่อนับชั่วโมง สุดท้ายเธอก็ได้รับข้อความจากเพื่อนว่าให้พาทั้งสองหนุ่มมาหาที่บ้านก่อนหกโมงเย็น

“พวกกูก็เหงื่อแตกเลยสิ เข้าบ้านมาก็ห้าโมงแล้ว ยังไม่ทันเตรียมใจอะไรก็ต้องไปคุยแล้ว...”

“อือ ๆ แล้วไงต่อ ให้ไว ๆ”

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งเสียงเร่งเพื่อนต่อ ปรินซ์หัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นตาใสแป๋วที่จ้องมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“มึงนี่มันตัวกินเผือกแท้ ๆ เล้ย ก็จะยังไงต่อได้ล่ะ พวกกูก็นั่งทำใจพักนึงแล้วก็พากันเดินไปบ้านไอ้ซันมัน”




ทั้งสองกุมมือกันแน่นยามที่ค่อย ๆ เยื้องย่างจากหน้าบ้านของปรินซ์ไปยังบ้านของซันซัน แม้ระยะห่างของทั้งสองบ้านซึ่งตั้งหันหลังชนกันอยู่ที่หัวมุมสุดของซอยในหมู่บ้านจะแสนสั้น พวกเขาทั้งสองก็พยายามใช้เวลาเดินให้ยาวนานที่สุด

“มือมึงเย็นมากเลย”

ปรินซ์กระซิบเบา ๆ ด้วยความสะท้อนใจ แม้ปากซันซันจะบอกว่าเขาไม่ห่วง แต่ยิ่งเข้าใกล้หน้าบ้านของตน มือนุ่มนิ่มในมือของปรินซ์ก็ยิ่งเย็นและสั่นเทาน้อย ๆ ปรินซ์กระชับอุ้งมือของเขาเข้าเพื่อให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย ซันซันหันมายิ้มให้คนรักแล้วบีบมือกลับ ทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนจะก้าวเข้าประตูบ้านของซันซัน





“โอย ไปถึงนี่โดนพ่อไอ้ซันด่าเช็ดเลยป่าววะ?”

เจนยุทธนึกภาพเสี่ยร้านเพชรผู้เป็นพ่อของซันซันแล้วก็ต้องทำหน้ายุ่ง เมื่อเทียบกับพ่อของปรินซ์ที่ออกจะขี้เล่นและเป็นกันเองกับเพื่อน ๆ ของลูกแล้ว พ่อของซันนั้นจะดูเคร่งขรึมและเป็นการเป็นงานกว่า มันเป็นนิสัยที่เขาได้รับมาจากผู้เป็นพ่อซึ่งมีนิสัยเคร่งขรึมและพูดน้อยเช่นเดียวกัน หากซันซันนั้นกลับได้นิสัยร่าเริงช่างจำนรรจาแบบผู้เป็นย่ามาแทน

“จะเหลือเหรอมึง”

ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ ให้เพื่อนแล้วยกน้ำขึ้นจิบอีกหน่อยเพื่อให้สร่างเมา

“มึงก็รู้ดีว่าอาเคียวเค้าเฮี้ยบและดุแค่ไหน ขนาดไอ้ซันที่ตอนแรกโม้ไว้นักหนาว่าจะโน้มน้าวใจพ่อได้ พอเห็นหน้าอาเคียวปุ๊บ มันงี้มุดหลบมาอยู่หลังกูเลย”

หนุ่มลูกร้านทองโคลงหัวน้อย ๆ แล้วเอ่ยปากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนของเขาฟังต่อ





(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ความแตก (ตอนปลาย) (ต่อ)  ----





ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าในบ้าน พวกเขาทั้งสองก็พบกับบรรดาญาติผู้ใหญ่จากทั้งสองฝ่ายนั่งรออยู่เรียบร้อยแล้ว ปู่ของปรินซ์และย่าของซันซันซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของทั้งสองฝ่ายนั่งข้างกันบนตั่งไม้แกะสลักตัวยาวของชุดรับแขกแบบจีน โดยมีน้องสาวของซันซันนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังผู้เป็นย่า ที่ด้านข้างฟากหนึ่ง แม่และพ่อของปรินซ์ที่เดินล่วงหน้าลูกชายมาก่อนครู่ใหญ่นั่งอยู่เคียงข้างกับแม่ของซันซันซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นคือพ่อของซันซันซึ่งนั่งทำหน้าถมึงทึงรับลูกชายและเด็กข้างบ้านที่เขาเคยเอ็นดูนักหนา

“อยู่กันพร้อมหน้าเลย”

ซันซันที่เมื่อครู่สะดุ้งเฮือกแล้วรีบมุดหลบเข้าหลังเพื่อนวัยเด็กของเขาหลุดปากพูดออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ ปรินซ์รีบคลายมือของตัวเองที่ยังจับมือกับอีกฝ่ายไว้ หากซันซันก็ไม่ยอมปล่อยมือของเขา ฝ่ามือหนานิ่มที่ตอนนี้เย็นและชื้นเพราะความประหม่ายังคงเกาะกุมมือใหญ่แข็งแรงของคนรักไว้ประหนึ่งจะเก็บไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

“ซัน ปล่อยก่อน”

ปรินซ์หันไปกระซิบเบา ๆ กับหนุ่มร่างท้วม ซันซันซึ่งเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังยืนจับมือกับปรินซ์ต่อหน้าต่อตาญาติผู้ใหญ่ก็รีบปล่อยมือทันที เขาอิดออดเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ขยับกายเดินตามปรินซ์เข้าไปหาคนที่นั่งรออยู่

“อาม่า อาเคียว อามณี สวัสดีครับ”

ปรินซ์ปราดเข้าไปยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ของคนรัก ก่อนจะหันไปพยักหน้าน้อย ๆ ให้กับน้องสาวของซันซันซึ่งนั่งทำหน้าไม่ค่อยจะดีนักอยู่ด้านหลังแม่ของตน ซันซันกัดริมฝีปากน้อย ๆ เมื่อเห็นใบหน้ามึนตึงของพ่อซึ่งยกมือขึ้นรับไหว้ปรินซ์แบบแกน ๆ เขาแทบไม่มองหน้าของคนที่เขาเคยรักเหมือนลูกคนนี้ด้วยซ้ำ



“พ่อครับ...”

ซันซันซึ่งหลบอยู่หลังร่างกำยำของเพื่อนสมัยเด็กโผล่หน้าออกมาส่งเสียงเรียกพ่อของเขาเบา ๆ หากอีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีแถมยังแค่นเสียงเบา ๆ ออกจากลำคออย่างไม่สบอารมณ์

“เฮอะ! ทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้ ยังกล้าเรียกพ่ออีกเหรอ? เฮ้ย!”

เถ้าแก่ร้านเพชรอุทานออกมาดัง ๆ ด้วยความตกใจเมื่อร่างสูงใหญ่ของปรินซ์ที่ยืนเด่นอยู่กลางห้องเดินพรวดเข้ามาหาและยอบตัวลงนั่งแทบเท้าของเขา ซันซันเองก็รีบทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างคนรัก นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกเขาคุยกันไว้แล้วว่าจะทำ

“จะทำอะไร?!”

เถ้าแก่เคียวร้องเสียงหลงพร้อมกับยื่นมือไปรั้งร่างที่ทำท่าจะก้มกราบเท้าของเขาให้หยุด

“ผมอยากกราบขอโทษอาที่ผมทำเรื่องไม่งามกับซันซันไป...”

ปรินซ์พูดเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันไปสบตากับคนรักที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยทำหน้าจ๋อยอยู่ด้านหลัง เขาหันกลับไปหาพ่อของคนรัก หากทางนั้นกลับไม่ยอมสบตาเขาเลยแม้แต่นิด

“ไม่รับ”

คำพูดเย็นชาที่ออกมาจากพ่อของซันซันทำให้ทั้งสองคนหน้าเสียทันที ซันซันทำท่าจะพูดอะไรออกไป แต่ก็ต้องกลืนคำพูดของตนลงท้องไปเมื่อถูกผู้เป็นพ่อถลึงตาใส่ เถ้าแก่ร้านเพชรหันกลับไปหาหนุ่มร่างกำยำที่นั่งอยู่แทบเท้า



“รู้ไหม เรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจที่สุดคืออะไร?”

ปรินซ์ขบกรามน้อย ๆ เมื่อคนที่เคยแทนตัวว่า “อา” มาตลอดกลับมาเปลี่ยนคำสรรพนามเอาในวันนี้ เขาลอบกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องแล้วก็ต้องสะท้อนใจเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของครอบครัวตน เขาหันกลับมาก้มหน้านิ่งเพื่อรอรับคำตำหนิจากพ่อของคนรัก

“ที่ฉันเสียใจที่สุดคือฉันอุตส่าห์ไว้ใจให้แกเป็นคนดูแลซันซัน แต่สุดท้ายแกก็ทำมันเสียคนจนได้”

เถ้าแก่เคียวกระแทกเสียงหนัก ๆ ปรินซ์ปวดใจแปลบเมื่อนึกถึงวันที่เขาพาซันซันออกเที่ยวหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งเลิกรากับแตงไป ในวันนั้นเขาเองก็ได้รับปากกับพ่อของคนรักว่าเขาจะเป็นคนดูแลซันซันไม่ให้ “เสียคน” แต่สุดท้ายในสายตาของคนเป็นพ่อ ก็คงเป็นเขาเองที่ทำให้ลูกแสนดีของอีกฝ่ายทำตัวผิดเพี้ยนไป

“พ่อ! ...”

ซันซันเรียกพ่อของเขาเสียงหลง หากเขาก็ต้องรีบหยุดคำพูดของตนไว้เมื่อเห็นหน้าของผู้เป็นพ่อชัด ๆ ดวงตาของพ่อของเขาแดงก่ำไม่แพ้แม่ของปรินซ์เมื่อเช้านี้เลย น้ำตาที่คลอน้อย ๆ ในตาของเถ้าแก่เคียวทำให้ซันซันพูดอะไรไม่ออกและได้แต่ก้มหน้าลงรับความโกรธเกรี้ยวของพ่อต่อไป เขาเหลือบตามองคนรักซึ่งก็นั่งก้มหน้านิ่งรับคำด่าทอจากปากของพ่อของเขา เขาใจอุ่นวาบขึ้นเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามาหาน้อย ๆ พร้อมกับทำปากขมุบขมิบบอกว่าเขายังไหว ซันซันพยักหน้าตอบน้อย ๆ ก่อนจะก้มหน้าฟังคำเทศนาของพ่อต่อไป เขากับปรินซ์ได้คุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะยอมให้พ่อได้ระบายความรู้สึกของตนออกมาให้เต็มที่ เมื่อเถ้าแก่เคียวใจเย็นลงแล้ว พวกเขาจึงจะเดินหน้าเจรจาและอธิบายความรู้สึกของพวกเขาให้อีกฝ่ายฟัง หากความอดทนของซันซันกลับต้องพังทลายลงเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้เป็นพ่อ

“แล้วที่พวกเราเป็นแบบนี้ ก็เพราะไอ้เด็กเจกับแฟนฝรั่งของมันใช่ไหม? ฉันนึกแล้วว่าซักวัน...”

“พ่อ! พอเลย!”

เถ้าแก่เคียวชะงักกึกเมื่อลูกชายเอ็ดตะโรขึ้นมาลั่นห้อง เสียงที่สั่นน้อย ๆ ด้วยความโมโหของซันซันผู้ไม่ค่อยจะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมาบ่อยครั้งนักทำให้คนอื่น ๆ ในห้องที่ได้แต่นั่งเงียบต้องจ้องมองเขาเป็นตาเดียว





“เออ ซวยกูอีก...”

เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อฟังเพื่อนเขาเล่าถึงเหตุการณ์ตรงนี้

“เฮ้อ แล้วแบบนี้กูจะเข้าบ้านไอ้ซันมันได้อีกไหมเนี่ย?”

เจนยุทธรำพึงออกมาเบา ๆ หนุ่มลูกร้านทองสบถออกมาเบา ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่คนรักกำชับไว้หนักหนาก่อนมาพบเพื่อนคนนี้

“มึงอย่าบอกไอ้ซันมันล่ะว่ากูเล่าเรื่องนี้ให้มึงฟัง มันสั่งกูว่าห้ามบอกมึง”

ปรินซ์ยิ้มเจื่อน ๆ ฤทธิ์เหล้าที่ยังหลงเหลืออยู่ในกระแสเลือดทำให้เขาลืมเสียสนิทว่าซันซันสั่งห้ามเขาไม่ให้พูดเรื่องนี้ให้เจนยุทธฟังเพราะไม่อยากให้เพื่อนของพวกเขาคนนี้ต้องกังวล เจพยักหน้าน้อย ๆ รับคำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก ปรินซ์ซึ่งกังวลต่อท่าทีตอบสนองของเพื่อนรีบพูดต่อทันที

“มึงอย่าโกรธพ่อไอ้ซันมันเลยนะ อาเคียวเขาแค่ไม่อยากยอมรับว่าซันมันเป็นแบบนี้ของมันเอง เลยต้องหาเป้าลงน่ะ”

“เออ ๆ กูไม่โกรธหรอก กูเข้าใจ”

เจนยุทธหัวเราะเบา ๆ เขาเองก็รู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่บ้างเช่นกัน แทนที่จะโกรธผู้เป็นพ่อของเพื่อน เขากลับรู้สึกเข้าใจและเห็นใจเถ้าแก่ร้านเพชรผู้นี้ เขารู้ดีว่ามันยากที่จะยอมรับความจริงว่าลูกชายของเขาที่ไม่เคยทีท่าว่าจะสนใจเพศเดียวกันเลยสักนิดจะอยู่ ๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนรสนิยมโดยไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามามีอิทธิพลด้วย



“อาเขาคงคิดไม่ถึงว่าจริง ๆ พวกมึงน่ะรักกันมาตั้งแต่ก่อนกูจะคบฆาบี้อีก ฮึ อย่างกูมันก็แค่แพะรับบาป ฮือ ๆ โอ๊ย!”

เจนยุทธที่ทำเป็นฟุบหน้าร้องไห้กับเคาเตอร์ร้องลั่นเมื่อถูกเพื่อนเขกหัวดังโป๊กเพราะทนหมั่นไส้การเล่นใหญ่ของเขาไม่ไหว

“ไม่ต้องมาทำสำออยเลย มึงอ่ะ มึงนั่นแหละตัวต้นเหตุ...”

ปรินซ์คลี่ยิ้มให้กับเพื่อนที่ทำหน้ามุ่ยเพราะถูกเขกหัว เขาจับไหล่เจนยุทธเขย่าเบา ๆ

“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นตัวอย่างจากมึงกับป๋า กูก็คงไม่กล้าแสดงออกอะไรกับไอ้ซันมัน แล้วก็คงไม่ได้รู้ว่ามันเองก็รักกูเหมือนกัน...ฉะนั้น ขอบใจมึงมากนะ เจ”

เจนยุทธส่งยิ้มหวานให้กับเพื่อนที่เคยเที่ยวเตร่และเก็บสาว ๆ กินไปวัน ๆ เหมือนกับเขา

“ไม่ต้องมาเสียเวลาขอบใจกู รีบเล่ามาให้ไวว่าเรื่องเป็นไงต่อ กูชักง่วงแล้ว”

ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ เมื่อเห็นแววตากระหายใคร่รู้ของเพื่อนผู้นิยมเผือก

“มึงก็รู้ ปกติซันมันไม่เคยที่จะเถียงพ่อแม่ แต่วันนี้มันปรี๊ดแตกจริง ๆ ...”





“พ่อจะด่าซัน ด่าปรินซ์มันยังไงก็ได้ แต่อย่าลากเจมันมาเกี่ยวด้วย มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยสักนิด!”

เถ้าแก่เคียวหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นลูกชายคนเดียวของเขากล้าขึ้นเสียงด้วย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดโต้กลับ ซันซันก็พูดในสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงจนคิดอะไรไม่ออก

“...ที่ซันเลือกแบบนี้เพราะซันรักปรินซ์ รักมาตลอด รักมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ไม่ใช่เพราะทำตามแบบใครอื่น”

ซันซันกวาดสายตามองคนรอบห้องก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของคนรัก ริ้วสีแดงจาง ๆ บนแก้มของปรินซ์ทำให้หนุ่มลูกร้านเพชรอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อที่ได้แต่นั่งอึ้ง

“มันจะเป็นไปได้ยังไง? แล้ว แล้วหนูแตงล่ะ?”

เถ้าแก่เคียวพึมพำออกมาเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่ซันซันจะได้ยิน หนุ่มแว่นร่างท้วมถอนหายใจเบา ๆ ถึงเขาจะไม่อยากพูดถึงอดีตคู่หมั้นต่อหน้าทุกคนนัก แต่สุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้



“เรื่องหนูแตงมันเป็นความผิดของซันเองครับ ซันเคยคิดว่าซันรักแตง แต่จริง ๆ แล้วซันก็แค่หลอกตัวเอง...”

ซันซันสบตากับพ่อของตน แววตาสับสนของผู้เป็นพ่อทำให้เขาต้องอธิบายเพิ่ม

“ตอนนี้พอซันมานึก ๆ ดูแล้ว ซันรักแตงแบบเพื่อน แบบน้องสาว ไม่ใช่เชิงชู้สาว ไม่ใช่เลย”

“แล้ว แล้วตอนนั้นที่ไปอยู่กินกับเขาเป็นปีสองปีนั่นล่ะ? มันยังไงกัน? ...”

เถ้าแก่เคียวพูดโพล่งออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“พ่อ...”

แม่ของซันซันที่นั่งฟังอย่างนิ่งเงียบด้วยความอดทนแย้งออกมาเบา ๆ เมื่อผู้เป็นสามีพูดย้ำถึงสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาเลี่ยงพูดถึงมาตลอด เถ้าแก่เคียวเงียบเสียงทันที หากซันซันกลับเป็นฝ่ายตัดสินใจพูดถึงประเด็นที่เคยบาดลึกในใจของเขา

“สองปีนั้น ซันฝืนตัวเองมากและแตงเองเขาก็รู้สึกได้ สุดท้ายเขาถึงได้ไปมีคนอื่น แล้วที่ซันออกเที่ยวจีบสาวนั้น ก็ฝืนทำเพื่อบังหน้าเหมือนกัน”

ไม่มีคำถามต่อจากพ่อของเขาหรือคนอื่น ๆ ในห้อง ทุกคนเข้าใจได้แล้วว่าคำว่า “ฝืน” ที่ซันซันหมายถึงนั้นคือเรื่องอะไร ซันซันถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้งก่อนจะพูดกับพ่อของตนด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“ฉะนั้น พ่อครับ ต่อให้พ่อห้ามไม่ให้ซันกับปรินซ์คบกัน ซันก็ไม่มีปัญญาหาลูกสะใภ้ให้พ่อได้หรอก”

ซันซันมองหน้าพ่อของเขาซึ่งตอนนี้นั่งทิ้งกายไปกับเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างหมดเรี่ยวแรง ความเกรี้ยวกราดของเขาถูกความตกตะลึงจากความจริงที่ว่าลูกชายของเขานั้นไม่สามารถรักชอบผู้หญิงได้เข้ามาแทนที่



“...แปลว่าต่อให้ไม่ใช่ปรินซ์ ลื้อก็อาจจะไปชอบผู้ชายคนอื่นก็ได้ใช่ไหม?”

เสียงแผ่วเบาแต่เด็ดขาดของหญิงชราเพียงคนเดียวของทั้งสองบ้านดังขึ้นทำให้สองพ่อลูกต้องหันขวับไปมองผู้เป็นแม่และย่าของตน ซันซันอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะทันปฏิเสธเขาก็สังเกตเห็นท่าทีพยักเพยิดของน้องสาวที่นั่งประกบอยู่ด้านหลังย่าของตน

“เอ่อ ครับ ยังไงผมก็ทนมีแฟนผู้หญิงไม่ได้แล้ว”

ซันซันพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นย่าเพื่อดูปฏิกิริยา หญิงชราพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปหาลูกชาย

“ได้ยินแล้วนี่ ถ้าเป็นแบบนั้น สู้ให้ซันมันคบหากับปรินซ์ไปเลยดีกว่าไหม? ดีกว่าซันมันไปคบกับใครก็ไม่รู้ที่เราไม่เคยรู้จักมักจี่ด้วย”

“ม๊า ไม่ได้ ผมไม่ยอม!”

เถ้าแก่เคียวซี่งเริ่มตั้งสติได้แล้วโวยขึ้นมาดังลั่น

“ซันมันเป็นผู้ชาย จะมามีแฟนเป็นผู้ชายได้ยังไง? ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!”

“อาเคียว ลื้อนี่มันหัวดื้อจริง ๆ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว แค่เด็กสองคนนี่มันรักกันยังไม่พออีกเหรอ?”

“ยังไงผมก็รับไม่ได้! มันไม่ถูกต้อง! ยังไงผมก็ไม่ยอมให้สองคนนี้คบกันเด็ดขาด!”

ซันซันหน้าซีดเมื่อผู้เป็นพ่อลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้และเอ็ดตะโรลั่น หากผู้เป็นย่ากลับยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ อย่างมีชัย



“หึ ลื้อฟังที่ตัวเองพูดเข้าสิ คุ้น ๆ ไหม แม่มณี?”

อาม่าของซันซันพูดพลางหันไปถามผู้เป็นสะใภ้ แม่ของซันซันที่ขมวดคิ้วฟังสามีและลูกเถียงกันอย่างอึดอัดใจมาพักใหญ่พยักหน้าน้อย ๆ เถ้าแก่เคียวชะงักกึก ในหัวของเขาพลันได้ยินเสียง ๆ หนึ่งขึ้นมาทันที

‘ยังไงป๊าก็รับไม่ได้! เราคนแต้จิ๋ว คนจีนฮั่นจะไปแต่งกับพวกฮ่อได้ยังไง? มันไม่ถูกต้อง ป๊าไม่ยอมให้พวกลื้อได้แต่งกันเด็ดขาด’

เถ้าแก่เคียวหลับตาลงทันที ภาพของผู้เป็นพ่อที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงตอนที่เขาพาแฟนสาวชาวแม่สายเชื้อสายพ่อค้าเร่จากยูนนานเข้ามากราบเพื่อขออนุญาตคบหาเพื่อแต่งงานยังคงติดตรึงในใจ

“ตอนนั้นลื้อตอบป๊าลื้อว่ายังไง จำได้ไหม?”

เถ้าแก่ร้านเพชรเม้มปากแน่น ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าตอบผู้เป็นพ่อไปอย่างไร แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่อยากจะพูดมันออกมาให้ลูกของเขาได้ยิน แต่แม่ของเขาก็เหมือนจะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ

“ลื้อบอกว่า จะจีนฮั่นจีนฮ่อยังไงตอนนี้ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน แถมยังบอกอีกว่าพวกลื้อรักกันและพร้อมที่จะพิสูจน์ให้ป๊าลื้อได้เห็นว่าป๊าเขาคิดผิด ใช่ไหม?”

พ่อของซันซันหลบตาของลูกชายที่จ้องมองมา เขาจิ๊ปากเบา ๆ อย่างขัดใจเมื่อหันไปเจอรอยยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปากของภรรยา หลังจากอิดออดอยู่แว่บหนึ่งเขาก็จำต้องพยักหน้ารับสิ่งที่แม่ของเขาพูด

“ลื้อเองก็เคยถูกกีดกันมาก็น่าจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะเป็นคนตัดสินใจว่ารักกันได้หรือไม่ได้ก็คือเจ้าตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นนะอาเคียว”

“มันไม่เหมือนกันนะม๊า!”

เถ้าแก่เคียวประท้วงขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมกับมณี เราก็เป็น...เอ่อ เอาเป็นว่าเรารักกันได้ไม่มีปัญหา แต่เจ้าสองคนนี้มัน มันผิด ผิดธรรมชาติ!”



ใจของซันซันปวดแปลบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดที่เสียดแทงจากปากพ่อของตน เขาหันไปมองคนรักที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ กรามที่ขบแน่นจนสั่นระริกทำให้ซันซันอดเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของอีกฝ่ายไม่ได้ ความอบอุ่นจากมือคนรักทำให้ปรินซ์ที่พยายามระงับโทสะที่พลุ่งพล่านขึ้นมาค่อย ๆ รู้สึกผ่อนคลายลง เขาบีบมือนิ่มของซันซันกลับเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนยังทนไหว ซันซันส่งยิ้มบาง ๆ ให้คนรักแล้วจึงหันกลับไปมอง “อาวุธลับ” ของตนที่กำลังพยายามช่วยเหลือหลานชายคนโปรด

“ม๊าก็ยังไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน เด็กสองคนมันรักกัน ก็ปล่อยให้มันคบกันเป็นเรื่องเป็นราวไป หรือว่าลื้อชอบให้มันไปไปลักลอบคบหากัน หรือว่าชอบให้ไปเที่ยวเตร่แบบสมัยก่อนมากกว่า?”

ผู้เป็นพ่อของซันซันอึ้งไปแว่บหนึ่งก่อนที่จะเถียงแม่ของเขาอีกครั้ง

“แต่ไอ้ซันมันเป็นหลานผู้ชายคนเดียวของม๊านะ เป็นลูกชายคนเดียวของผม ถ้ามันเป็นแบบนั้นไปแล้ว ใครจะเป็นคนสืบสกุล? ใครจะเป็นคนสืบทอดร้านล่ะ? ผมไม่ยอมให้กิจการที่ป๊าอุตส่าห์สร้างมาต้องมาจบลงตรงนี้หรอกนะ”



“ลื้อเป็นบ้าอะไรของลื้อหา? อาเคียว?!”

เถ้าแก่เคียวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงตวาดของแม่ เขาหน้าซีดเมื่อเห็นแววตาแสดงความไม่พอใจของผู้เป็นแม่ที่เขาเคยได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต

“ลื้อพูดหมา ๆ แบบนี้ออกมาได้ยังไง?”

คราวนี้ไม่ใช่เพียงเถ้าแก่เคียวที่ออกอาการตกใจ คนอื่นที่อยู่ในห้องก็ต่างตกตะลึงไปเช่นกัน โดยปกติแล้วอาม่าของซันซันเป็นหญิงชราวัย 80 ผู้มีนิสัยร่าเริงเป็นนิจ น้อยครั้งนักที่หญิงชราผู้นี้จะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวและกล่าวคำบริภาษออกมาแบบนี้

“...ไม่มีคนสืบทอด? ลื้อพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง? แล้วไอ้ที่อยู่ในท้องของอาเง็กนั่นไม่ใช่หลานลื้อรึ?”

อาม่าของซันซันชี้นิ้วไปยังครรภ์แก่ใกล้คลอดของหลานสาวที่นั่งทำหน้าเหรอหราอยู่ข้างหลัง

“ม่า หนูชื่อเจดแล้วนะ”

น้องสาวของซันซันพึมพำออกมาเบา ๆ เธอขอแม่เปลี่ยนชื่อเล่นจากชื่อจีนเป็นชื่อฝรั่งเมื่อตอนประถม แม้จะยอมรับแต่นาน ๆ ทีผู้เป็นย่าก็มักเผลอเรียกหลานสาวด้วยชื่อเดิม

“เออ นั่นแหละ ลูกของอาเจดมันก็หลานลื้อเหมือนกัน จะไม่นับให้มันเป็นผู้สืบสกุลหรือสืบทอดร้านรึ?”

ผู้เป็นย่าหันไปค้อนหลานสาวปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันไปเทศนาลูกชายต่อ

“...ต่อให้ลูกสาวลื้อหรือหลานลื้อมันไม่ได้ใช้นามสกุลลื้อแล้ว ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ใช่เชื้อสายของลื้อ มันมีสิทธิ์ที่จะเป็นคนสืบทอดสิ่งที่ทั้งอั๊วและพ่อลื้อสร้างมาเท่า ๆ กับคนอื่น”

เถ้าแก่เคียวนั่งก้มหน้านิ่ง เขารู้ตัวดีว่าสิ่งที่เขาหลุดปากพูดออกไปนั้นผิดและไม่เป็นธรรมต่อลูกสาวเลยสักนิด ตอนนี้เขารู้สึกละอายและไม่กล้าหันไปมองหน้าลูกสาวที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ท่าทีของเขาอยู่ในสายตาของผู้เป็นแม่ตลอด อาม่าของซันซันลอบถอนหายใจเบา ๆ เธอไม่ได้อยากหักหน้าลูกชายแบบนั้น แต่เพื่อความสุขของหลานชายสุดที่รักแล้ว เธอจำต้องใช้ยาแรงเพื่อให้ลูกชายได้รู้สึกตัว



“มานี่ซิ”

ผู้เป็นแม่กวักมือเรียกลูกชายให้เข้ามานั่งข้าง ๆ เถ้าแก่เคียวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปนั่งแทนที่ปู่ของปรินซ์ซึ่งลุกเดินหายเข้าไปที่ส่วนอื่นของบ้านพร้อมกับคนในครอบครัวของเขาตั้งแต่ตอนที่สองแม่ลูกเริ่มโต้เถียงกัน

“ที่ลื้อไม่ยอมให้อาซันมันคบกับปรินซ์ก็แค่เพราะกลัวเรื่องคนสืบทอดร้านต่ออย่างงั้นเหรอ?”

หญิงชราพยายามมองตาลูกชายที่ก้มหน้านิ่ง เธอถอนหายใจเบา ๆ

“เฮ้อ ลื้อมันหัวรั้นแถมยังคิดมากเหมือนป๊าลื้อไม่มีผิดเลยนะ”

ผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านตบเบา ๆ ที่หลังมือของลูกชาย เถ้าแก่เคียวเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ของเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“ผมกลัว กลัวว่าจะสานต่องานของป๊าไม่ได้ ถ้าร้านของเราขาดคนสืบทอดต่อหรือทำให้ร้านมันเจริญไปกว่านี้ไม่ได้ ผมจะมองหน้าป๊าได้ยังไง?”

ซันซันที่นั่งฟังพ่อกับย่าอยู่เงียบ ๆ เจ็บแปลบในใจขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของพ่อ เขาไม่เคยได้นึกถึงมุมนี้เลยสักนิด



“เด็กโง่เอ๊ย...”

หญิงชรายกมือขึ้นลูบผมลูกชายเบา ๆ

“ที่ป๊ากับม๊าก่อร่างสร้างตัวทำร้านนี้ขึ้นมา พวกเราไม่เคยหวังว่าพวกลื้อต้องขยายมันให้ใหญ่โตหรือสืบทอดมันไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ได้อยากให้มันเป็นภาระกับพวกลื้อขนาดนั้น พวกเราแค่หวังว่ามันจะทำให้พวกลื้อใช้ชีวิตกันอย่างสบายได้โดยที่ไม่ต้องมาเหนื่อยเหมือนรุ่นของป๊ากับม๊า แต่ถ้าสักวันพวกรุ่นหลานหรือเหลนเกิดไม่อยากจะทำร้านต่อแล้ว อยากจะเปลี่ยนไปทำงานสายอื่น ม๊าก็ไม่ว่าอะไรหรอก ป๊าของลื้อก็คงไม่ว่าด้วย...”

อาม่าหันไปขยิบตาให้หลานชายซึ่งเคยคิดจะเบนสายไปทำงานด้านการครัว จากนั้นผินหน้าไปยังหลานสาวซึ่งก็นั่งทำตาแดง ๆ อยู่ข้างหลัง

“ลื้อก็เหมือนกัน อาเง็ก ถ้าสักวันลื้อเกิดไม่อยากทำงานในร้านแล้ว อยากจะเปลี่ยนไปทำงานสายอื่นก็ขอให้บอก อาม่าจะไม่บังคับให้ลื้อต้องสืบทอดแทน...”

“โอ๊ย หนูไม่เปลี่ยนงานแน่ค่ะ เรื่องอะไรจะทิ้งไปล่ะ? ร้านนี้ก็เป็นเหมือนลูกของหนูเหมือนกันนะ”

หญิงสาวซึ่งในตอนนี้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของพ่อและแม่พูดเร็วปรื๋อแทรกขึ้นมาทันที ถึงพี่ชายของเธอจะไม่อยากสืบทอดงานร้านเพชรของครอบครัว แต่เธอซึ่งสืบทอดความรู้ด้านการค้าเพชรพลอยจากแม่มานั้นกลับรักและเต็มใจที่จะสานต่องานของครอบครัวอย่างสุดกำลัง

“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ?”

ผู้เป็นย่าถามยิ้ม ๆ หลานสาวพยักหน้ารับ

“แน่นอนค่ะ อาม่า รับรองว่าหนูจะทำให้ร้านเราดังยิ่งไปกว่านี้อีก เชื่อมือหนูนะพ่อ”

หญิงสาวหันไปพูดประโยคสุดท้ายกับผู้เป็นพ่อด้วยความมั่นใจ เถ้าแก่เคียวซึ่งยังไม่กล้าสบตาลูกสาวตรง ๆ พยักหน้าน้อย ๆ เขารู้ดีว่าลูกสาวของเขาคนนี้มีความสามารถและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในปัจจุบันนอกจากที่หน้าร้านแล้ว ลูกของเขาคนนี้ยังเปิดตลาดออนไลน์เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขาย แถมยังออกไลน์เครื่องประดับที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่มาซึ่งขายดีอย่างที่เขาคาดไม่ถึง แต่ถึงเขาจะพอใจในการทำงานของตัวลูกสาวเพียงไหน ในใจเขาก็ยังมีปมที่ต้องการให้ลูกชายหรือทายาทของลูกชายเป็นผู้สืบทอดสกุลรวมถึงกิจการของครอบครัว หากสิ่งที่แม่ของเขาพูดในวันนี้เป็นเหมือนการตบหน้าเขาแรง ๆ เพื่อเรียกสติ ในที่สุดแล้วเขาก็ได้คิดว่า ไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว ทั้งสองคนก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไม่ต่างกัน



“พ่อขอโทษนะลูก พ่อ...”

เถ้าแก่เคียวกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอแล้วหันไปพูดกับลูกสาวสุดที่รักของเขา เจดยิ้มหวานให้พ่อของเธออย่างคนที่ไม่ได้ติดใจอะไร

“ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าพ่อไม่ต้องห่วงนะ ร้านพ่อหนูจะดูแลเอง”

เจดตบอกตัวเองอย่างมั่นใจ เถ้าแก่เคียวพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วหันกลับมาหาผู้เป็นแม่

“เห็นไหม? บอกแล้วว่าลื้อไม่ต้องกังวลอะไรไปหรอก หรือถ้าลื้ออยากได้คนสืบสกุลจริง ๆ ก็ให้อาเจดมันมีลูกอีกซักคนสองคนแล้วให้ใช้นามสกุลเรา แค่นี้ก็หมดปัญหา”

หญิงชราพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“โหย อาม่า คนแรกยังไม่ทันเกิดเลย อาม่าจะให้หนูท้องอีกคนแล้วเหรอ?”

เจดประท้วงเบา ๆ

“จะสองคนหรือสิบคนอาม่าก็มีปัญญาเลี้ยงน่า”

“อาม่าขา นี่เจดเอง ไม่ใช่แม่หมู”

ซันซันนั่งดูน้องสาวแกล้งเถียงกับผู้เป็นย่าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกโล่งใจที่ผู้เป็นพ่อยอมรับน้องสาวในฐานะผู้สืบทอด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็รู้สึกผิดที่ตนไม่สามารถทำตามที่พ่อต้องการได้และต้องทิ้งทุกอย่างไว้ให้เป็นภาระของน้องสาว



“ซันซัน ปรินซ์”

“ครับ พ่อ/อา”

หนุ่มร่างท้วมสะดุ้งน้อย ๆ และขานรับคำเรียกของพ่อ เขายืดกายขึ้นจนหลังตรงแหนวเช่นเดียวกับปรินซ์ซึ่งออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

“เราสองคนแน่ใจและจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องนี้แล้วใช่ไหม?”

ชายหนุ่มทั้งสองหันมาสบตากัน ก่อนที่ซันซันจะพยักเพยิดให้คนรักเป็นฝ่ายตอบ

“ครับ อา ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน ผมสัญญาว่าตั้งแต่นี้ไป ผมจะดูแลซันซันให้ดีที่สุด จะไม่ให้มันได้เสียใจอีกเป็นอันขาด”

ปรินซ์หันกลับไปมองคนรักด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“ผมรู้ดีว่าอาอาจจะไม่เชื่อคำพูดของผมเพราะที่ผ่านมาผมทำตัวเหลวแหลกมามาก แต่ตลอดมา ในใจผมมีแต่มัน ผมแค่ไม่กล้าคิดฝันที่จะเป็นมากกว่าเพื่อน แต่ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันก็รักผม และผมก็จะไม่ถอยอีกแล้ว...”

ปรินซ์ลอบกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะยกมือซ้ายขึ้นชูสามนิ้ว

“...ฉะนั้นผมสาบานด้วยชีวิตผมเลยครับว่าต่อไปนี้ ผมจะมีแค่ซันซันคนเดียวและจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำตัวลอยชายไปมาเพื่อให้คู่ควรกับที่อาและอาม่าไว้ใจให้ผมดูแลมันครับ”

เถ้าแก่เคียวนั่งนิ่ง ปากของเขานั้นอยากจะพูดเหลือเกินว่าตนไม่เคยคิดยกลูกชายคนเดียวให้กับไอ้เจ้าเด็กที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ตรงหน้า หากเมื่อเขาเหลือบไปเห็นดวงตาฉ่ำน้ำที่ทอประกายรักใคร่แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของลูกชายอีกทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างพออกพอใจของแม่ตน เถ้าแก่เคียวก็พูดอะไรไม่ออก



“เฮอะ พูดซะแบบนี้ จะให้อาเล่นบทเป็นตัวร้ายต่อไปอีกก็คงไม่เข้าท่าสินะ...”

พ่อของซันซันแค่นเสียงเบา ๆ อย่างขัดใจ ปรินซ์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินพ่อของคนรักแทนตัวเองว่าอาเหมือนกับยามปกติแล้ว แต่ก็ต้องหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“...อาขอบอกก่อนว่าตัวอายังไม่เห็นด้วยและยังรับไม่ได้กับเรื่องนี้ แต่...”

เถ้าแก่เคียวหันไปสบตาลูกชายที่ดูซึมลงไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาเช่นกัน เขาถอนหายใจเบา ๆ

“...สุดท้ายแล้ว ก็เป็นอย่างที่อาม่าว่าจริง ๆ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่พวกเราสองคนต้องจัดการกันเอง พวกเราก็ไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้ว อายุก็จะขึ้นเลขสามกันแล้ว ก็ควรจะได้รับผิดชอบชีวิตตัวเองซักที พ่อเองก็คงจะไปยุ่งอะไรกับเรามากไม่ได้แล้ว...”

ผู้เป็นพ่อทอดสายตามองลูกชายและเจ้าเด็กข้างบ้านที่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันที มือที่กุมกันแน่นทำให้เขาอดหมั่นไส้เล็ก ๆ ขึ้นมาไม่ได้ เถ้าแก่เคียวกระแอมเบา ๆ และพูดสิ่งที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาในใจได้

“อย่าพึ่งดีใจไปเจ้าซัน ถึงจะบอกว่าจะปล่อยให้พวกเราคบหากัน แต่ก็ต้องคบกันตามเงื่อนไขของพ่อ ตกลงไหม?”





“อ่า ต้องมีเงื่อนไขด้วยเหรอวะ?”

เจนยุทธเกาหัวแกร่ก ๆ ปรินซ์ยิ้มน้อย ๆ ให้เพื่อน

“อืมม์ ก็มีนิดหน่อย...”

“อย่างเช่น?”

“ก็ตามนี้อ่ะ...”




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ความแตก (ตอนปลาย) (ต่อ) ----




“ถ้าจะคบกัน ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง พ่อจะใช้เงื่อนไขเดียวกับตอนที่เจดคบกับอาจารย์ดิว โอเคไหม?”

“โหย พ่อครับ ซันกับปรินซ์รู้จักกันมาตลอดชีวิต ยังต้องทำแบบนั้นอีกเหรอ?”

ซันซันโวยเบา ๆ เขายังจำช่วงแรกที่น้องสาวเริ่มคบกับสามีได้

“ไม่ต้องบ่นเลย พี่ซัน ‘คนรักกันด้วยใจจริง เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหาหรอกน่า’ ไม่ใช่เหรอ?”

“เออ ๆ ไม่บ่นก็ได้ ฮึ่ย!”

หนุ่มแว่นร่างท้วมหันไปแยกเขี้ยวให้น้องสาวที่ส่งเสียงกระเซ้ามาโดยใช้คำพูดที่เขาเคยพูดไว้ในตอนนั้นมาโยนคืนใส่หน้าเขา ก่อนจะหันไปพยักหน้ารับคำกับพ่อ

“ได้ครับ ผมกับปรินซ์จะทำตามนั้น จะคบหากันแบบอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ไม่ทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าคนอื่น และไม่อยู่กันสองต่อสองในห้องนอนของตัวเอง...”

“พี่ซันต้องห้ามกลับบ้านเกินสี่ทุ่มและห้ามเมาเข้าบ้านมาด้วย!”

คนที่เคยต้องเจอกับกฎเหล็กเหล่านี้รีบส่งเสียงย้ำมาเมื่อพี่ชายทำท่าจะเนียนลืมไปอีกหลายข้อ ซันซันหันไปค้อนน้องสาวปะหลับปะเหลือกก่อนหันไปรับคำกับพ่อ

“ได้ครับ พวกผมพร้อมทำตามทุกข้อ”

ซันซันหันขวับไปหาคนข้างตัวที่พูดแทนตัวเขาไปเสร็จสรรพ ปรินซ์ส่งยิ้มให้คนรักพร้อมบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ หากก็ต้องรีบปล่อยทันทีเมื่อได้ยินเสียงพ่อของอีกฝ่ายกระแอมเบา ๆ

“ถ้าพวกเราทำได้ตามนั้นก็ดี ยังไงก็ขอให้เห็นหัวกันบ้าง เข้าใจไหม?”

สองหนุ่มรีบตอบรับคำทันทีด้วยท่าทีสำรวม

“ดี งั้นพ่อคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว พวกเราก็ตามสบายแล้วกัน”

เถ้าแก่เคียวถอนหายใจเบา ๆ แล้วโบกมือให้ชายหนุ่มทั้งสองลุกขึ้น



“เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป ขออาม่าพูดอะไรหน่อย”

ชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังจะลุกขึ้น รีบยอบตัวลงนั่งดังเดิมเพื่อเตรียมรับฟังคำของหญิงชราผู้มีอำนาจสูงสุดของบ้าน

“อาม่าแค่อยากจะบอกพวกลื้อว่าการใช้ชีวิตร่วมกันนั้นเป็นเรื่องไม่ง่าย อย่าคิดแค่ว่ารักกันแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง...”

ซันซันกับปรินซ์ลอบสบตากันแว่บหนึ่งอย่างไม่ใคร่สบายใจ แม้อาม่าจะดูเหมือนเข้าข้างซันซัน แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าหญิงชราผู้ผ่านโลกมามากคนนี้จะรับเรื่องของพวกเขาได้จริงแค่ไหน

“...ต่างคนต่างต้องคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง อย่าคิดว่าเขารักแล้วจะเอาแต่ใจยังไงก็ได้ ต้องรู้จักปล่อยวาง รู้จักให้อภัย รู้จักเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายบ้าง...”

สองหนุ่มหน้าแดงระเรื่อ สิ่งที่ย่าของซันซันพูดนั้นไม่ต่างจากโอวาทสำหรับคู่แต่งงานใหม่เลย พ่อของซันซันเองก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ดูแม่ของตน ส่วนน้องสาวของซันซันก็ได้แต่หัวเราะคิกคักเมื่อเห็นท่าทีเอียงอายของพี่ชายและพี่ข้างบ้าน



“...พูดจากันก็พูดดี ๆ หน่อย พูดกูมึงกัน อาม่าว่ามันไม่น่ารักเลย...”

“โธ่ อาม่า ผมพูดแบบนี้กันมาทั้งชีวิตแล้ว จะให้มาเปลี่ยนเอาตอนนี้มัน มันขนลุกอ่ะ”

ซันซันโอดครวญ เขานึกภาพตัวเองพูดจาไพเราะเสนาะหูกับคนรักไม่ออกเลยสักนิด

“เออ ๆ ไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่พวกลื้อต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะ...”

อาม่าของซันซันถอนหายใจหนัก ๆ อย่างขัดใจ

“...จริงอยู่ว่าเราต้องรักษาน้ำใจอีกฝ่าย แต่ถ้ามีปัญหาหรือมีเรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจกันแล้ว อย่ามัวแต่เกรงใจ อย่าเก็บเอาไว้ในใจ ให้พูดให้อีกฝ่ายรู้เสีย อย่าเก็บให้มันทับถมจนทนไม่ได้ ทะเลาะกันให้มันจบ ๆ ไปยังดีกว่าเก็บเอาไว้ เข้าใจไหม?”

ซันซันรีบรับคำทันที ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงก่อนอากงของเขาจะเสียชีวิตไป เขาเห็นอาม่ากับอากงผู้เคร่งขรึมของเขาทะเลาะกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันเป็นการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปหรือระบายความในใจออกมา หลังจากถกเถียงกันจนพอใจแล้ว ทั้งคู่ก็กลับไปพูดคุยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดิม

“...แต่ที่ห้ามทำเด็ดขาดระหว่างที่เถียงกันคือ ห้ามใช้คำพูดร้ายกาจใส่กัน คำพูดแบบที่มุ่งหวังให้อีกฝ่ายเจ็บปวดหรือเพื่อทำร้ายจิตใจ เรื่องนี้ ห้ามเด็ดขาด”

“ครับ อาม่า”

สองหนุ่มรับคำอย่างแข็งขัน หญิงชราผู้มีอำนาจสูงสุดของบ้านผงกหัวน้อย ๆ อย่างพึงใจ เธอพูดจาให้กำลังใจหลานชายคนโปรดกับเด็กข้างบ้านที่เธอเอ็นดูเหมือนหลานอีกคนหนึ่งอีกเล็กน้อยก่อนที่จะจบการสนทนาครั้งนี้ลง





“สรุป พ่อซันซันก็ยอมให้พวกมึงคบกันง่าย ๆ แบบเนี้ย?”

เจนยุทธพูดพลางเอื้อมมือหยิบขนมไส้กุ้งแห้งที่เขาซื้อมาจากมาเก๊าเข้าปาก หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง กระเพาะน้อย ๆ ของเขาก็เรียกร้องหาของกินอีกครั้ง

“ง่ายกะผีสิมึง ตอนนี้กูเหมือนยังติดโปรอยู่นะ ต้องทำตามข้อแม้ของอาเขาให้ได้แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าต้องทำแบบนี้ไปนานแค่ไหน”

ปรินซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงพ่อของคนรักจะยินยอมให้พวกเขาคบหากัน แต่การที่ต้องเข้าตามตรอกออกตามประตูและทำตามกฎที่อีกฝ่ายตั้งไว้ก็เป็นเรื่องลำบากสำหรับพวกเขาที่เคยชินกับการใช้เวลาว่างอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลานัก

“มึงคิดดู ช่วงหลังมานี้ นอกจากเวลานอน เข้าส้วม กินข้าวกับที่บ้านแล้วก็เวลาทำงาน กูกับไอ้ซันก็อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา แต่นี่กลายเป็นว่าติดเคอร์ฟิว ได้เจอกันแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงเอง...”

หนุ่มลูกร้านทองบ่นเบา ๆ เพียงแค่วันนี้เขาก็คิดถึงเพื่อนที่กลายเป็นคนรักหมาด ๆ แล้วเหลือเกิน

“กูนึกว่ามึงจะบ่นข้อที่ว่าห้ามอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองซะอีก แล้วแบบนี้มึงไม่อัดอั้นตายเหรอวะ? กูให้ยืมห้องมะ?”

เจนยุทธถามยิ้ม ๆ ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ แล้วเอื้อมมือไปเขกหัวเพื่อนที่ทำหน้ากรุ้มกริ่มจนเกินงามไปอีกหนึ่งครั้ง



“มาให้มึงแอบซ่อนกล้องถ่ายไว้เหรอ? กูไม่เดือดร้อนข้อนี้เท่าไหร่หรอก กูกับซันซันทนกันมากี่สิบปีแล้ว แค่นี้น่ะ พวกกูทนไหว อีกอย่าง...”

ปรินซ์ยกยิ้มมุมปาก

“...ต่อให้อยู่สองต่อสองด้วยกันในห้องไม่ได้ พวกกูก็ยังมีรถ...”

เจนยุทธหัวเราะหึ ๆ เมื่อเพื่อนของเขาทิ้งยังไม่ทิ้งลายเสือของตน

“เออ ๆ ก็ระวังไว้ด้วยแล้วกัน พ่อซันยิ่งดุ ๆ อยู่ ตอนน้องเจด อาเค้าก็ไล่ผู้ชายเปิงไปกี่คนแล้ว พวกมึงก็ทำตัวดี ๆ ไว้แล้วกัน”

“อืมม์ กูก็พูดไปงั้นแหละ เอาจริง ๆ ขอแค่ให้พ่อซันยอมรับ เรื่องแค่นี้กูทำได้อยู่แล้ว”

ปรินซ์ส่งยิ้มให้เพื่อนตัวดี เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงักแต่แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“ดีแล้ว ๆ เอ เดี๋ยวนะมึง แล้วที่ว่าห้ามอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วไอ้ทริปกระบี่ของมึงล่ะ? มันอีกแค่เดือนกว่าเองนี่หว่า”

เจนยุทธถามถึงทริปที่ทั้งเขาและฆาเบียร์วางแผนให้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาท่องเที่ยวร่วมกันโดยยกบัตรห้องพักที่ฆาเบียร์ได้มาแต่ไม่ว่างไปใช้ให้ทั้งสองคน โดยทั้งสองคนก็ได้กำหนดวันเดินทางไว้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมซึ่งก็คืออีกไม่ถึงสองเดือนข้างหน้า



“อ๋อ เรื่องนี้ ไม่ต้องห่วง บัตรของป๋าไม่เสียเปล่าแน่”

ปรินซ์ยิ้มมุมปาก

“...พวกกูมีวิธี รับรองว่าไงก็ได้ไป”

“มั่นใจแบบนี้ มึงจะให้ไอ้ซันใช้อาวุธลับของมันอีกล่ะสิ”

เจนยุทธหัวเราะหึ ๆ เพราะพอจะเดาได้แล้วว่าสุดท้ายแล้วอาม่าของซันซันก็คงออกโรงมาช่วยหลานชายคนโปรดให้ได้ไปเที่ยวแน่นอน ปรินซ์พยักหน้าน้อย ๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

“ไปถึงนู่นแล้ว คราวนี้มึงก็อย่าให้เสียของล่ะ ไอ้ซันนี่มันก็ข้อแม้เยอะจริง...”

เจบ่นกะปอดกะแปดเมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ด้วย ปรินซ์หัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงคนรักของตน ข้อแม้ที่เจนยุทธพูดถึงนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้เขาอดทนไม่รุกล้ำคนรักหมาด ๆ ของตนไปมากกว่าการสัมผัสภายนอก

“...มันว่าไงนะ? จะมีครั้งแรกกันทั้งที จะต้องให้ประทับใจ ไม่เอาม่านรูดหรือโรงแรมจิ้งหรีด? ที่บ้านก็ไม่ได้? ในรถก็ไม่ได้? ให้ตายสิ เพื่อนกู เรื่องมากกว่าสาว ๆ อีก หรือว่าที่จริงแล้วมันป๊อด ไม่กล้ามากกว่าหรือเปล่าวะ?”

เจนยุทธพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสา หากสีหน้าของคนฟังกลับเคร่งขรึมลงทันที



“มึงคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอวะ?”

ปรินซ์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลทันที เขาเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วซันซันอาจจะพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้และไม่ต้องการที่จะไปไกลกว่าการสัมผัสภายนอก

“มันก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

เจซ่อนยิ้มแล้วถามกลับไป

“กูก็เคยนึก ๆ เหมือนกันว่าไอ้ซันมันอาจจะไม่เคยคิดอยากนอนกับกูเลยก็ได้...”

หนุ่มลูกร้านทองถอนหายใจเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อเรียกสติตัวเอง

“...แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง กูก็ยอมรับได้นะ ทุกวันนี้แค่ได้รู้ว่ามันก็รักกูเหมือนที่กูรักมัน ได้มีโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันไปตลอด ได้คบหากันเปิดเผย แค่นี้กูก็สุขจนไม่รู้จะสุขยังไงแล้ว เรื่องอื่นก็แล้วแต่ซันซันมันแล้วกัน มันอยากเป็นแบบไหน อยากค่อยเป็นค่อยไป ก็แล้วแต่ใจมันเลย กูคงไม่ไปบังคับฝืนใจอะไรมันหรอก”

ปรินซ์คลี่ยิ้มให้เพื่อน เจเองก็ส่งยิ้มกว้างกลับคืนให้เพื่อนรัก เขาตบบ่าหนาของปรินซ์เบา ๆ

“เห็นมึงมีความสุขแบบนี้กูก็ดีใจแทนว่ะ ดีใจจริง ๆ”

“อืมม์ กูก็ดีใจ ฮ้าว”

หนุ่มลูกร้านทองหาวออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว

“ง่วงแล้วล่ะสิ มึงไปอาบน้ำอาบท่าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูรายงานตัวกับฆาบี้แป๊บนึง มึงอาบเสร็จแล้วก็มาเรียกกูแล้วกัน”

เจนยุทธลุกขึ้นยืนแล้วดึงเพื่อนให้ลุกจากเก้าอี้บาร์ ปรินซ์พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่เหมือนกับที่เคยทำเป็นปกติทุกครั้งที่เขามานอนที่คอนโดของเจนยุทธ เจเดินไปหยิบแท็บเล็ตของตนมาเพื่อติดต่อหาคนรักของตน



“แล้วนี่เดี๋ยวก็ต้องคุยงานต่อเหรอครับ?”

เจถามฆาเบียร์อีกครั้ง

“ใช่จ้ะ วันนี้มีคุยงานกับทางสหรัฐฯ แต่ก็อีกสักพักน่ะ ยังมีเวลาคุยกับเจได้อยู่”

หนุ่มละตินที่อยู่ในสภาพใส่ชุดทำงานครึ่งท่อนพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนหน้านี้ หลังจากเจนยุทธออกจากห้องไป เขาก็ขับรถไปส่งอาปาคริสที่สนามบิน จากนั้นก็กลับมางีบหลับอีกสองสามชั่วโมง เขาตื่นขึ้นมาเมื่อนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ดังขึ้น เขาลุกมาล้างหน้าและแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จก่อนหน้าที่เจนยุทธจะโทรมาไม่นานนัก

“แล้วไปกินข้าวกับสองหนุ่มเป็นไงบ้าง? สองคนนั้นสบายดีไหม?”

“อืมม์ จะว่าดีก็ดี ไม่ดีก็ไม่ดีครับ...”

เจพูดยิ้ม ๆ ให้คนที่ทำหน้างง

“แล้วมันยังไงกันล่ะ จะเล่าก็เล่ามาดี ๆ เจนยุทธ”

“ครับ ๆ ใจร้อนจริงครับ เมีย”

คนตัวเล็กหัวเราะคิกเมื่อคนรักของเขาเริ่มทำหน้าง้ำ

“เอาเป็นว่าสองคนนั้นเปิดตัวกับที่บ้านแล้วนะ”

ฆาเบียร์เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น

“ฮ้า จริงเหรอ? แล้วไงต่อ?”

เจยิ้มกริ่มเมื่อเห็นทีท่าอยากรู้อยากเห็นของคนรัก

“แหม ๆ แฟนผมนี่ชอบเรื่องเม้ามอยจริง ๆ เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ”

เจนยุทธจัดการเล่าเรื่องอย่างคร่าว ๆ ให้คนตัวโตฟัง



“นี่แหละครับ สุดท้ายก็แล้วแต่อาเคียวละว่าจะ...เฮ้ย!”

เจนยุทธร้องลั่นเมื่อวัตถุลึกลับถูกโยนลงตรงหน้าเขา ฆาเบียร์เองก็อึ้งไปเมื่อเห็นแผงอกเปลือยเปล่าของร่างกำยำที่มองไม่เห็นหน้าว่าเป็นใครปรากฎอยู่ด้านหลังของเจนยุทธ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือสิ่งที่ถูกโยนลงมาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าเขาและเจนยุทธ

“มึงนี่ ของแบบนี้ไม่เก็บให้ดี ๆ วะ วางทิ้งไว้เรี่ยราดไปได้ ฮ่า ๆ”

ปรินซ์ซึ่งใส่เพียงแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพูดกลั้วหัวเราะหลังจากโยนอวัยวะเทียมอันเขื่องที่เขาเจอวางตากหราไว้บนชั้นข้างอ่างล้างหน้าในห้องน้ำลงไปตรงหน้าเพื่อน หากเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นภาพฆาเบียร์ซึ่งนั่งทำตาปริบ ๆ อยู่บนหน้าจอแท็บเล็ตของเจนยุทธ

“เวรละ ขอโทษครับป๋า ผมนึกว่าเจมันคุยเสร็จแล้ว”

หนุ่มลูกร้านทองรีบโน้มตัวลงให้อีกฝ่ายได้เห็นหน้าพร้อมกับขอโทษขอโพยทันที เขาทักทายคนรักของเพื่อนเร็ว ๆ ก่อนที่จะหลบฉากออกไป



“ให้ตายสิ เจ นายนี่ไม่ระวังเลยนะ”

เมื่อฟังเจแปลสิ่งที่ปรินซ์พูดให้ฟังแล้ว ฆาเบียร์ก็โคลงหัวพร้อมกับส่งสายตาดุ ๆ ให้คนที่นั่งหัวเราะแหะ ๆ อยู่อีกฝั่งของจอ เจยิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกได้ว่าตนลืมเก็บของสำคัญที่เอาออกมาใช้ยั่วเย้าอีกฝ่ายยามที่พวกเขาเล่นเสียวออนไลน์กันเมื่อหลายวันก่อน

“ผมล้างเสร็จก็เอาวางผึ่งไว้แล้วก็ลืมไปซะสนิทเลยครับเพราะอีกวันผมก็ขึ้นเครื่องไปฮ่องกง เอ๊า ตายห่านล่ะ!”

เจสบถออกมาเบา ๆ เขาเกาหัวแกร่ก ๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าไอ้ปรินซ์เห็น ไอ้ตั้มมันก็ต้องเห็นด้วยสิ โอย ตาย ๆๆ ผมจะเอาหน้าไปไว้ไหนได้เนี่ย?”

เจบ่นกะปอดกะแปด เขาชะงักและลอบถอนหายใจเมื่อเห็นคนรักทำหน้าแข็งเกร็งเมื่อได้ยินชื่อหนุ่มรุ่นน้องของเขาคนนั้น แต่สีหน้านั้นก็แสดงออกมาให้เห็นเพียงแค่แว่บเดียวก่อนที่รอยยิ้มละไมจะกลับมาแทนที่ริมฝีปากที่เม้มน้อย ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นั้น

“คุณเลยได้เห็นหนุ่มแก้ผ้าสองคนเลยวันนี้ แหะ ๆ ขอโทษจริง ๆ ครับ”

เจนยุทธพยายามทำหน้าเป็นและก้มหัวขอโทษคนในจอ ฆาเบียร์ส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วบอกว่าเขาไม่ได้ติดใจอะไรนัก แม้อันที่จริงแล้วเขาจะสะดุ้งจนใจแทบหยุดเต้นไปครู่หนึ่งยามที่เห็นร่างกึ่งเปลือยของปรินซ์โผล่แว่บเข้ามาในหน้าจอ เขาอดตำหนิตัวเองในใจไม่ได้ที่แว่บหนึ่งเขามองร่างนั้นเป็นหนุ่มรุ่นน้องของคนรัก



“นี่ฉันยังแปลกใจอยู่เลยนะ ตอนแรกฉันคิดว่าคนที่น่าจะรับเรื่องสองคนนั้นคบกันไม่ได้น่าจะเป็นปู่ของปรินซ์กับย่าของซันซันเสียอีก”

หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่ง ฆาเบียร์ก็วกกลับเข้ามาสู่ประเด็นที่ยังคาใจเขา

“นั่นสิครับ ผมก็ยังสงสัย ทางซันซันนี่ผมยังไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะอาม่าเขาตามใจหลานอยู่แล้ว แต่ทางอากงของปรินซ์นี่ ผมก็ยังงง ๆ”

เจนยุทธขมวดคิ้ว ถึงปู่ของเพื่อนตัวล่ำของเขาจะมีนิสัยขี้เล่นและอารมณ์ดีเป็นนิจแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะลุกขึ้นมารับความจริงที่ว่าจู่ ๆ หลานชายคนรองจะเกิดเปลี่ยนใจมาคบหากับผู้ชายได้ง่าย ๆ

“ไว้ผมจะลองถามมันดูแล้วกันครับ”



หลังจากพูดคุยกับฆาเบียร์เสร็จ เจนยุทธที่อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยและอยู่ในสภาพเตรียมเข้านอนก็เปิดปากถามข้อสงสัยของทั้งเขาและคนรักกับเพื่อนที่นอนเล่นมือถืออยู่ข้าง ๆ

“กูสงสัยว่ะ พวกมึงไปทำยังไง อากงมึงกับอาม่าของไอ้ซันถึงยอมรับเรื่องที่พวกมึงคบกันได้?”

“อืมม์ มึงถามกูแล้วกูจะไปถามใครวะ?”

ปรินซ์หัวเราะเบา ๆ ตาเขายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือ

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกอากงอาม่าถึงยอมได้ง่าย ๆ”

หลังจากที่พิมพ์ข้อความส่งหาคนรักเสร็จแล้วหนุ่มลูกร้านทองก็หันกลับไปพูดกับเพื่อนที่ยังทำตาแป๋วรอคำตอบหลัง เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วสรุปเอาว่าคงเป็นเพราะทั้งสองคนเห็นใจหลาน ๆ และต้องการให้คนทั้งคู่มีความสุข ปรินซ์ยิ้มน้อย ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่ออึก



‘แล้วมึงบอกมันว่าไง?’

‘ก็บอกไปว่ากูก็ไม่รู้เหมือนกัน’

ปรินซ์อ่านข้อความของซันซันแล้วจัดการพิมพ์ตอบกลับไป

‘อืมม์ แต่จริง ๆ ถ้ามึงอยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ กูโอเค’

‘ไว้วันหลังแล้วกัน เล่าคืนนี้เดี๋ยวยาว อีกอย่างเจมันก็หลับไปแล้วด้วย พรุ่งนี้ตื่นมาก็คงลืมแล้ว’

ปรินซ์พิมพ์ตอบก่อนจะส่งคำหวานไปอีกสองสามประโยคก่อนที่จะส่งคนรักเข้านอน เขากดปิดหน้าจอแล้วจัดการเสียบชาร์จโทรศัพท์ไว้ จากนั้นก็นอนครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขายกยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ทำให้ทั้งเขาและซันซันตกตะลึงได้เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา




“งั้นเดี๋ยวกูไปลาอาม่ามึงก่อนนะ”

ปรินซ์หันมาพูดกับซันซันก่อนที่จะเดินนำอีกฝ่ายออกประตูหน้าบ้าน พ่อแม่และปู่ของเขาได้เดินกลับบ้านไปก่อนแล้วโดยมีอาม่าของซันซันเดินออกไปส่งด้วย ส่วนตัวเขานั้นอยู่รับการอบรมจากพ่อของซันซันต่ออีกครู่หนึ่งแล้วจึงขอตัวลากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวออกไปหาเจนยุทธ

“อือ ถ้ามึงจัดการตัวเองเรียบร้อยก็ยิงมา กูจะได้ไปรับ...โอ๊ย”

ซันซันอุทานออกมาเมื่อจู่ ๆ ปรินซ์ซึ่งเดินอยู่ก็หยุดกึกจนปลายจมูกเขากระแทกเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเต็มรัก ซันซันลูบจมูกป้อย ๆ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ส่งเสียงโวย อีกฝ่ายก็ดึงเขาให้หลบเข้าไปหลังรถที่จอดอยู่ในโรงรถ

“มึงจะดึงกูหลบทำไมวะ? สองคนนั้นคุยอะไรกัน?”

ซันซันซึ่งโดนเพื่อนบังจนมิดพยายามยืดคอดู แม้จะถูกดึงให้หลบเข้ามา แต่เขาก็ทันเห็นว่าที่หน้าประตูรั้ว อากงของคนรักกับอาม่าของเขานั้นกำลังยืนคุยกันด้วยท่าทีเคร่งขรึม เขาพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน แต่ก็ได้ยินไม่ถนัดถนี่นัก หากปรินซ์ที่อยู่ใกล้กว่ากลับได้ยินทุกอย่างค่อนข้างชัดเจน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอากงมึงร้องไห้วะ?”

หนุ่มลูกร้านเพชรกระซิบเบา ๆ เมื่อเขาเห็นปู่ของอีกฝ่ายซบหน้าลงกับฝ่ามือตนเอง แม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่ไหล่ที่สั่นน้อย ๆ และท่าทีปลอบโยนของอาม่าของเขาทำให้ซันซันรู้ได้ว่าปู่ผู้ร่าเริงของปรินซ์นั้นกำลังร้องไห้

“ว่าไง ๆ ตกลงมันเรื่องอะไรวะ?”

ซันซันดึงแขนเสื้อของคนรักเบา ๆ ท่าทางกระอักกระอ่วนของปรินซ์ทำให้เขายิ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่ก่อนที่เขาจะได้คำตอบ ผู้เฒ่าทั้งสองก็กลับสังเกตเห็นพวกเขาเข้าและกวักมือเรียกให้พวกเขาเข้ามาหา



“ว่าไง จะกลับแล้วเหรอ?”

หญิงชราถามเพื่อนวัยเด็กของหลานชายที่เดินยิ้มร่าเข้ามาหา

“ครับ ผมเพิ่งคุยกับอาเคียวเสร็จ”

ปรินซ์ตอบรับคำโดยใช้คำพูดเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งเดินออกมา เขาแอบเหลือบมองดูปู่ของตนแล้วพบว่าอีกฝ่ายได้เช็ดน้ำตาออกจนหมดเหลือไว้เพียงรอยแดงน้อย ๆ ในตาเท่านั้น

“อยู่กินข้าวกับอาม่าก่อนไหม?”

“เอ่อ ผมกับซันนัดเจไว้ครับ ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ”

หนุ่มลูกร้านทองตอบกลับย่าของคนรักอย่างสุภาพ เขาคุยกับหญิงชราผู้ใจดีต่ออีกเล็กน้อยแล้วจึงขอตัวกลับบ้าน

“ขอบใจนะ หมิงจู”

ปู่ของปรินซ์กระซิบเบา ๆ กับคนที่เป็นเหมือนน้องสาวและเพื่อนสนิท อาม่าของซันซันส่งยิ้มให้พี่ชายที่คอยดูแลเธอมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นจนเขาเดินลับตาไปแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน



“แล้วตกลงอาม่ากูพูดว่าอะไรวะ?”

ซันซันถามคนรักทันทีที่ปรินซ์เปิดประตูขึ้นรถ ปรินซ์เม้มปากน้อย ๆ

“กู กูก็ไม่แน่ใจว่ะ อาม่าพูดแต้จิ๋วกับอากงกู กูแปลได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็จำประโยคได้ มึงอยากรู้จริง ๆ อ่ะ? ...”

“มึงก็บอกมาสิ ทำมาเป็นอมพะนำ...”

ซันซันบ่นพึมพำ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ถนน แต่เขาก็เบรครถจนแทบหัวทิ่มเมื่อปรินซ์พูดประโยคภาษาแต้จิ๋วที่เขาคิดว่าได้ยินอาม่าของตนพูดออกมา

“มึง เอ่อ มึงแน่ใจนะ?”

ซันซันหันมาถามคนรักเสียงสั่น ปรินซ์พยักหน้า ถึงตัวเขาจะไม่แม่นเรื่องแปลความหมายแต่ก็สามารถจำเสียงของคำที่หญิงชราพูดออกมาได้ และจากปฏิกิริยาของคนที่เข้าใจภาษาแต้จิ๋วมากกว่าอย่างซันซัน มันทำให้เขาแน่ใจว่าตนแปลความหมายของประโยคนั้นมาไม่ผิด





“อะไรที่พวกลื้อทำไม่ได้ พวกหลาน ๆ ลื้อมันทำแทนให้แล้วนะ”

ปรินซ์คลี่ยิ้มบาง ๆ นั่นคือสิ่งที่อาม่าหมิงจูของซันซันพูดกับอากงไหฮวงของเขา เขาหันหน้าไปมองเพื่อนที่นอนกรนคร่อกอยู่ข้าง ๆ สักวันเขาอาจจะเล่าเรื่องนี้ให้เจนยุทธฟัง แต่ยังไม่ใช่วันนี้ หนุ่มลูกร้านทองโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงของพวกเขาทั้งสองบ้าน แต่ทั้งเขาและซันซันก็ตกลงกันแล้วว่าพวกเขาจะไม่ถามหรืออยากรู้อะไรไปมากกว่านี้และตัดสินใจให้มันเป็นความลับระหว่างพวกเขาทั้งสอง

'พวกผมจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดครับและขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้ซันซันมันได้เสียใจ'

ปรินซ์นึกในใจโดยส่งความคิดนั้นให้ลอยไปถึงอากงผู้ล่วงลับของคนรัก จากนั้นหลับตาลงแล้วปล่อยกายใจให้ตกสู่ห้วงนิทรา



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



ตัดคำไม่ดี ล้นจนได้ -_-"



---- ความแตก (ตอนปลาย)(ต่อ) ----




แถมท้าย




“ตั้ม ดี ดีมากเลย ขออีก แรง ๆ”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มเม้มปากแน่นและกระแทกสะโพกเข้าใส่ร่างเพรียวบางที่อยู่ข้างใต้อย่างหนักหน่วง ใบหน้าน่ารักที่บิดเบี้ยวเพราะความเสียวซ่านนั้นไม่ได้กระตุ้นเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของเขาเท่ากับเสียงครางกระเส่าที่เรียกชื่อเขา เขาหลับตาลงแล้วปล่อยใจไปกับความหฤหรรษ์

“พี่...พี่เจ ผม ผมไม่ไหวแล้ว”

ตั้มร้องคำรามก่อนจะเสือกแก่นกายเข้าถี่ ๆ เข้าจนเจ้าของชื่อที่เขาเรียกออกไปนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความสุขสม บาร์เทนเดอร์หนุ่มกระตุกกายก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างร่างบางที่นอนหอบถี่อย่างคนสำลักความสุข

“พี่ตั้ม ทำไมวันนี้ดุแบบนี้อ่ะ ผมแทบแย่เลยนะ”

ตั้มกระตุกยิ้มเมื่อหนุ่มหน้าหวานที่เป็นคู่นอนของเขาพลิกกายเข้ามากอดก่ายอย่างออดอ้อน

“บ่นนักนะ ดุแบบนี้มันไม่ดีเหรอ?”

หนุ่มน้อยหน้าใสที่มานั่งรอบาร์เทนเดอร์หนุ่มอยู่ที่บาร์ตั้งแต่ตอนหัวค่ำร้องออกมาเบา ๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายตบก้นหนัก ๆ

“แหม เจก็บ่นไปงั้นแหละ พี่ตั้มก็รู้ ดุ ๆ แบบนี้ ชอบม๊ากมาก”

ตั้มหัวเราะเบา ๆ แล้วจูบแก้มกลมใสฟอดใหญ่ก่อนจะไล่จูบเรื่อยไปตามเปลือกตาที่ซ่อนดวงตากลมวาวและริมฝีปากที่แตกน้อย ๆ จากเซ็กส์ที่รุนแรงเมื่อสักครู่



“ว่าแต่ช่วงหลัง ๆ นี้ ทำไมพี่ถึงชอบให้เจเรียกชื่อพี่ห้วน ๆ อ่ะ แล้วแถมยังเรียกผมว่าพี่อีก? พี่ชอบมีเซ็กส์กับคนแก่กว่าเหรอ?”

เด็กหนุ่มซึ่งขยับกายขึ้นนอนพังพาบบนอกของคู่นอนเอียงคอถามอย่างสงสัย เขานอนกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนี้มาเกือบปีแล้ว หากช่วงหลังมานี้คู่นอนของเขาเริ่มมีรสนิยมแปลก ๆ แบบที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ

“อืมม์ ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”

ตั้มพูดปัดส่ง ๆ ไป เขาดันร่างของคู่นอนออกก่อนจะขยับกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เด็กหนุ่มคู่ขาของเขายักไหล่เบา ๆ แล้วยันกายให้ลุกจากเตียง

“เอาเหอะ ๆ พี่จะเรียกผมยังไงก็ช่าง ถ้าเซ็กส์พี่ยังดีแบบนี้ จะเอาผมเป็นตัวแทนใครก็เชิญตามสบายเลย”

หนุ่มน้อยหน้าหวานพูดพลางขยิบตาให้คนที่แทบสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ เขาก้มลงเก็บเสื้อผ้าของตนที่ตกเกลื่อนอยู่รอบเตียงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตั้มหัวเราะหึ ๆ พลางโคลงหัวน้อย ๆ ให้กับคนที่รู้ทันเขา



“งั้น วันนี้เท่าไหร่อ่ะครับ? เหมือนทุกทีหรือเปล่า?”

เด็กหนุ่มที่อาบน้ำและแต่งกายเรียบร้อยแล้วถามพร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินแบรนด์ดังออกมาเปิด

“วันนี้ฟรี ไม่คิดเงิน”

“ว้าว ใจดีจังเลย มีเรื่องอะไรดี ๆ หรือไงครับเนี่ย?”

เด็กหนุ่มกระเซ้าคนที่ยกมือห้ามเขาไว้ไม่ให้จ่ายเงิน

“อืมม์ จะบอกว่างั้นก็ได้ แล้วนี่ขับรถกลับคอนโดไหวไหม? ให้ไปส่งไหม?”

เด็กหนุ่มพยักหน้าบอกว่าเขายังไหว บาร์เทนเดอร์หนุ่มลุกขึ้นจากเตียงเพื่อส่ง “ลูกค้า” ของเขา เขาจุ๊บหน้าผากอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนที่จะเปิดประตูให้อีกฝ่ายออกห้องไป จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย เขาเปิดฝักบัวจนสุดและยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้น้ำเย็น ๆ ไหลรดหัว



“มีอะไรดี ๆ เหรอ? หึ มีสิ”

ตั้มพึมพำกับตัวเอง เขายกยิ้มอย่างสาแก่ใจเมื่อนึกถึงแววตาวาวโรจน์ของไอ้คนอเมริกันที่เขาเหม็นขี้หน้า แม้มันจะทำท่าเหมือนจะไม่ใส่ใจเขา แต่เขารู้ได้จากแววตานั้นว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะรู้สึกร้อนวาบอยู่ในอกบ้างเช่นกัน

“หึ สะใจดีแท้”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มหัวเราะกับตัวเองเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ลืมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้นอกห้องอย่างที่เขาบอกเจ หากตัวเขาที่ยืนแอบฟังการสนทนาของพี่รหัสกับคู่รักมาครู่หนึ่งก่อนหน้านั้นตั้งใจที่จะปรากฏกายในสภาพกึ่งเปลือยให้คนที่อยู่อีกฝั่งของจอเห็น ท่าทางตระหนกจนเกือบคลั่งของอีกฝ่ายก่อนที่จะควบคุมสติได้นั้นทำให้เขาพึงใจอย่างสุดแสน ยิ่งตอนที่เขาแทบจะฝังจมูกลงไปกับกลุ่มผมของเจนยุทธ ไฟในตาของอีกฝ่ายยิ่งลุกโชน มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงชัยชนะ

“อึก...”

ตั้มสยิวกายขึ้นน้อย ๆ เมื่อความเสียวซ่านพลุ่งพล่านขึ้นตามแรงขยับของมือ เขาอดแตะต้องตัวเองไม่ได้เมื่อนึกถึงกลิ่นกายของหนุ่มรุ่นพี่ที่เขาได้แอบดอมดม เขาหลับตาและนึกถึงอีกฝ่ายโดยนำภาพของเจนยุทธไปซ้อนทับกับเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งร่วมเตียงด้วยเมื่อสักครู่ เขานึกภาพตัวเองกระทำย่ำยีอีกฝ่ายที่บิดกายเร่า ๆ และร้องครวญครางไม่หยุด


“ซี้ด...”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มสูดปาก กรามของเขาขบแน่นเมื่อนึกภาพถึงสิ่งที่ทำให้เลือดในกายของเขาต้องพลุ่งพล่าน เมื่อเข้าไปในห้องน้ำของเจนยุทธ สิ่งที่เตะตาเขาคือดิลโดอันเขื่องที่วางเด่นอยู่บนชั้นข้างอ่างล้างหน้า แม้ในตอนนั้นเขาจะรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาเมื่อนึกถึงว่าไอ้เจ้าฝรั่งคนนั้นอาจเคยใช้มันทำเรื่องลามกกับพี่รหัสสุดที่รักของเขา แต่ในตอนนี้เขากลับจินตนาการถึงภาพตนเองกำลังใช้ของเทียมอันนั้นกระหน่ำเสือกสอดเข้าไปในช่องทางของหนุ่มรุ่นพี่จนอีกฝ่ายดิ้นพล่าน

“อึก พี่เจ ผม ผมรักพี่ รัก...”

ตั้มหลุดปากครางลั่นพร้อมกับปลดปล่อยน้ำขุ่นข้นออกมาเต็มมือ เขายืนหอบถี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจัดการชำระล้างร่างกายจนเสร็จ

“ฝันดีนะครับ พี่”

หนุ่มรุ่นน้องของเจนยุทธกระซิบก่อนจะจุมพิตเบา ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของตน เขาปัด ๆ หน้าจอโทรศัพท์ดูภาพของพี่รหัสซึ่งมีทั้งภาพที่เจโพสต์ท่าให้เขาถ่ายและภาพที่เขาแอบถ่ายอีกฝ่ายจากที่ไกล ๆ เขายิ้มน้อย ๆ ดูภาพที่เขาเพิ่งถ่ายได้มาวันนี้ มันเป็นภาพใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายขณะที่กำลังคุยกับอีกคนที่อยู่ในแท็บเล็ต เขาวางโทรศัพท์ไว้แนบอกแล้วหลับตาลง ขณะที่เริ่มเข้าสู่ภวังค์ ในใจของบาร์เทนเดอร์หนุ่มก็ได้ตั้งมั่นแล้วว่าสักวันเขาจะต้องเอารอยยิ้มงดงามนั้นมาเป็นของตนให้จงได้




-------------------------------------------------


ตอนแรกว่าจะมาเร็ว แต่สุดท้ายก็ช้าจนได้ ช่วงนี้ชีวิตหาความรื่นรมย์ไม่ได้จนไร้อารมณ์เขียนมากค่ะ ตอนนี้ก็เขียนออกมาแบบไม่ค่อยถูกใจตัวเองเท่าไหร่ คงเพราะทิ้งช่วงมานาน ยังไม่แน่ใจเรื่องความต่อเนื่องของเนื้อหาเลย ส่วนชีวิตของสองหนุ่มร้านเพชรร้านทอง น่าจะมีรายละเอียดบางส่วนที่หลุดบ้าง เพราะนึกไม่ออกแล้วว่าเคยเขียนไว้ว่ายังไงบ้าง

พูดถึงสองหนุ่มคู่รอง หวังว่าเรื่องในสามตอนนี้จะพอเป็นการคลี่คลายปมของสองคนนี้ได้บ้าง อาจจะรู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อย แต่ก็ไม่อยากให้มีดราม่านานค่ะ เขียนไปก็กังวลไป เพราะมันเป็นช่วงที่มีดราม่าเรื่องนักเขียนวายกับประเด็น lgbtq...พอดี ก็เลยเขียนไปผวาไป แหะ ๆ

ส่วนเรื่องของอากงสองบ้านนี้ จริง ๆ เคยคิดไว้ว่าจะเขียนเป็นเรื่องแทรก แต่ตอนนี้ก็โดนเรื่องของอาปามาเบียดไปซะเรียบร้อย ตอนแรกกะให้ทั้งคู่เป็นหนุ่มจีนที่พ่อแม่เพิ่งอพยพมาจากเมืองจีน เจอกันในช่วงที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว จะเป็นตัวละครที่มีความขัดแย้งกัน ทั้งคู่รักกันแต่ด้วยสังคมและอื่น ๆ ทำให้ลงเอยกันไม่ได้ และตัดสินใจเป็นแค่เพื่อนรักตลอดชีวิตกันในที่สุด และจะมีลูกสาวร้านทองที่พ่อยกให้แต่งงานกับลูกจ้างคนขยันกับสาวน้อยลูกกำพร้าที่เป็นเหมือนน้องสาวของทั้งสองคนนี้ (เดาได้ไหมเอ่ยว่าเธอเป็นใคร) ก็เอาเป็นว่าถ้าเข็นไหว ก็อยากเข็นออกมา แต่ถ้าเข็นไม่ไหว ก็ตามนี้แล้วกันนะคะ

ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ น่าจะกลับมาที่เจ้าเจกับฆาบี้ละ





ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- First Anniversary ----

 

 

“กูเอาไส้ทอด แป้งนมย่างด้วย อย่างละสองเลยไหม?”

เจก้มหน้าก้มตาอ่านรายการอาหารที่อยู่ในใบสั่งตรงหน้า เขาใช้ปากกาในมือวงกลมล้อมรายการอาหารที่ตนต้องการสั่งอย่างสนุกมือ

“เบา มึง เบาหน่อย นี่หลายอย่างแล้ว อดอยากปากแห้งมาจากไหนวะ?”

ซันซันรีบท้วงพร้อมกับดึงใบสั่งอาหารจากมือเพื่อนไปดู เจยิ้มแห้ง ๆ

“พวกมึงเห็นใจกูหน่อยเหอะ กูอยู่บ้านปั่นงานมาสามสี่วันแล้ว ไม่ได้กินอะไรดี ๆ เลย”

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ เขานั่งหลังขดหลังแข็งโหมทำงานแปลที่เข้ามาใหม่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนเสร็จหมดเรียบร้อยไปเมื่อบ่ายแก่ ๆ

“งานนี้มันเข้ามากะทันหัน ตอนแรกว่าจะไม่รับละ เพราะกูยังมีงานที่ต้องเขียนลงเพจของฆาบี้ค้างไว้อยู่ แต่ดูไปดูมาแล้วคิดว่าทำทัน ก็เลยจัดไป”

เจพูดพลางค่อย ๆ เนียนดึงใบสั่งอาหารกลับมาแล้ววงเพิ่มไปอีกสองอย่าง แม้ช่วงนี้เขาขอนพรับงานแปลน้อยลง แต่ถ้าเจอเรื่องที่น่าสนใจและเวลาเอื้ออำนวย เขาก็จะรับมาทำ

“ปล่อยมันสั่งไปเถอะ ซันซัน ไงมันก็กินหมด”

ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ แล้วหันไปพูดกับคนรักอย่างเห็นใจเพื่อน

“อือ กูรู้ กูก็แซวมันไปงั้นเองแหละ แต่แป้งนมกับไส้ทอดกูลดเหลืออย่างละจานนะ ถ้าไม่พอมึงค่อยสั่งเพิ่ม”

ซันซันยักไหล่แล้วจัดการแก้ไขใบรายการอาหารก่อนจะส่งให้กับพนักงานที่ยืนรอรับอยู่



“ไส้ทอดจานเดียวก็ได้ แต่แป้งนมกูขอสอง นะ ๆ ๆ”

เจนยุทธทำตาละห้อยพร้อมส่งเสียงเว้าวอนเพื่อน ซันซันโคลงหัวแล้วขอใบสั่งอาหารคืนมาจากพนักงาน เขาแก้รายการตามใจเพื่อนแล้วจึงส่งคืน เจยิ้มแป้นออกมาทันทีด้วยความดีใจ ปรินซ์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอเมื่อเห็นท่าทีลิงโลดเกินจริงของเพื่อน

“มึงนี่ก็เวอร์ตลอด เออ ว่าแต่คืนนี้ป๋ามากี่โมงวะ?”

“มาไฟลท์สุดท้ายของไทยสไมล์อ่ะ เครื่องลงห้าทุ่มครึ่ง”

“หือ? ไทยสไมล์บินฮ่องกงด้วยเหรอวะ?”

ซันซันถาม

“ไม่ใช่ ๆ ฆาบี้เขามางานที่กรุงเทพฯ น่ะ ก็เลยบินขึ้นมาจากสุวรรณภูมิเลย”

“อ้าว แล้วทำไมมึงไม่ลงไปหาป๋าด้วยเลยล่ะ?”

ปรินซ์ถามอย่างสงสัย

“ม่ายอ่ะ กูขี้เกียจออกงาน”

เจนยุทธย่นจมูกแล้วส่ายหน้าทันควัน ฆาเบียร์มากรุงเทพฯ คราวนี้เนื่องจากมางานแต่งงานของลูกคู่ค้าคนสำคัญในฐานะตัวแทนของคริสซึ่งติดภารกิจด่วนอื่นที่สหรัฐฯ



“กูก็เคยเห็นมึงไปออกงานกับป๋าบ่อยออกนิ ทำไมงานนี้ไม่ไปล่ะ?”

ซันซันถามขึ้นบ้าง

“ไม่เหมือนกันว่ะ งานก่อน ๆ ที่กูไป ฆาบี้เขาไปในนามบริษัทตัวเอง ไม่ก็ไปในนามส่วนตัว กูก็คิดซะว่ากูไปในฐานะพนักงานบริษัท แต่งานนี้ไปในนามของบริษัทอาปา แล้วคู่ค้าของอาปาคนนี้เค้าก็เป็นไฮโซกรุงเทพฯ กูก็เลยว่ากูไม่ไปดีกว่า”

เจพูดยิ้ม ๆ อันที่จริงฆาเบียร์ได้ถามเขามาก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาจะสามารถลงไปร่วมงานนี้ได้หรือไม่ แต่เขาก็ปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลเดียวกันนี้ไป แม้ฆาเบียร์จะเปิดตัวว่าคบหาเขาอย่างเป็นทางการแล้ว เจนยุทธยังคงมองว่าตนเองยังไม่เหมาะสมที่จะเดินเคียงข้างฆาเบียร์ในงานใหญ่แบบนี้ได้อย่างสมภาคภูมิ ยิ่งคนในงานส่วนใหญ่เป็นคนไทยด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งเกรงว่าตนจะได้ยินคำพูดบางอย่างที่อาจกระทบใจของตนลอยมาให้เข้าหู

“มึงก็คิดมาก ไอ้เจ”

ปรินซ์พูดพลางเอื้อมมือมาดีดหน้าผากเพื่อนเบา ๆ เมื่อเพื่อนเอ่ยปากบอกถึงความกังวลของตนออกมา

“ถ้าป๋าชวน ก็แปลว่าป๋าเขาคิดว่ามึงพร้อมที่จะไปกับเขาได้ คราวหน้าก็ไป ๆ ซะ โอเคไหม? ส่วนคนอื่น มึงก็ไม่ต้องไปใส่ใจมากหรอกน่า”

“อืมม์ คราวหน้าแล้วกันนะ คราวนี้กูยังไม่พร้อมว่ะ”

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ ปรินซ์โคลงหัว แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ อาหารก็ถูกทยอยมาวางลงบนโต๊ะและดึงความสนใจจากพวกเขาจากเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่

 


“หูย น่ากินชะมัด ทำไมมึงไม่เคยชวนพวกกูมากินร้านนี้เลยวะ?”

ซันซันมองดูอาหารอีสานหลากหลายชนิดที่วางอยู่ตรงหน้า เขากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ลงคอเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรเจือกลิ่นหอมของปลาร้าจากหม้อแจ่วฮ้อน เจไม่ตอบเพื่อนเพราะยังง่วนอยู่กับการเคี้ยวแป้งนมย่างที่ย่างออกมาได้อย่างพอดี

“กูก็ไม่ได้มานานจนลืมไปแล้วว่ะว่ามีร้านนี้ แต่ช่วงม. ปลายพวกกูมากินที่นี่บ่อย ๆ ตอนนั้นร้านยังชื่อแจ่วฮ้อนพะเยาอยู่ กูก็ไม่แน่ใจว่าเขาเปลี่ยนเจ้าของหรือเปล่านะ แต่เท่าที่กิน ๆ กูก็ว่ารสชาติเหมือนเดิม”

เจนยุทธตอบในที่สุด โรงเรียนของเขานั้นอยู่คนละฟากถนนกับร้านนี้ หลายครั้งที่หลังเลิกเรียนแล้วว่างเว้นจากการเรียนพิเศษ บางครั้งเขาก็จะนัดกับที่บ้านให้มาเจอกันที่ร้านนี้เพื่อกินมื้อเย็น หรือบางครั้งเขาก็จะมากับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน หากช่วงปีหลัง ๆ นี้เขาก็ไม่ได้มาที่ร้านนี้อีก

“กูก็แทบลืมร้านนี้ไปเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นพี่นพโพสต์รูปในไอจีวันนั้นนะ กูลองถามไปแล้ว พี่แกว่ายังอร่อยเหมือนเดิม”

เจกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ จากการประเมินด้วยสายตาแล้ว ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิมจากครั้งสุดท้ายที่เขาแวะมาเมื่อหลายปีก่อน และจากรสชาติของแป้งนมย่างที่ยังคงชุ่มฉ่ำและแจ่วที่ยังคงเข้มข้น เขาก็ค่อนข้างสบายใจได้ว่าอะไร ๆ ก็น่าจะยังคงเหมือนเดิม



“จะว่าไป ไฮโซอย่างเด็กโรงเรียนมึงมานั่งกินร้านเพิงแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ?”

ปรินซ์กระเซ้า ร้านอาหาร “แจ่วฮ้อนหนองหอย” แบบนี้ เป็นร้านแบบง่าย ๆ สไตล์ร้านลาบทั่วไปที่เปิดโล่งและมีเพียงหลังคากันแดดฝนโดยไม่มีการตกแต่งใด ๆ เก้าอี้ที่ใช้ก็เป็นเก้าอี้พลาสติกธรรมดา กับโต๊ะฟอร์ไมกาที่ดูไม่แข็งแรงนัก

“แหม มันก็ร้านลาบไหมวะ? พวกกูไปกินร้านไหนก็หวังตามชนิดและราคาอาหารโว้ย ถ้าอาหารอร่อย จะให้กูนั่งกินข้างทางกูก็กินได้”

เจแยกเขี้ยวใส่เพื่อนช่างแซวพร้อมเงื้อส้อมในมือ หากแทนที่จะจิ้มแขนเพื่อน เขากลับจิ้มตับหวานชิ้นพอดีคำขึ้นเคี้ยว

“อืมม์ ยังอร่อยเหมือนเดิม แต่พูดถึงตับหวานกูก็ยังว่าของร้านไก่ย่าง SP เมื่อก่อนอร่อยสุด เค้าลวกตับได้นิ่มดี ไม่สุกจนแข็งเกินไป”

“เออ กูก็ชอบตับหวานแบบที่ยังไม่สุกมาก แต่สมัยนี้แทบทุกร้านเค้าลวกจนสุกหมดแล้ว คงกลัวคนกินบ่นมั้ง”

ซันซันซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการจิ้มนั่นตักนี่ใส่ปากพูดตอบ

“อือ สมัยนี้ก็คงกลัวโรคหูดับกันนั่นแหละ อย่างบ้านกูนี่เลิกกินลาบหมูดิบมานานแล้ว หลัง ๆ มานี่แม่จะให้กูเลิกกินลาบเนื้อดิบด้วย แต่กูไปขอต่อรองไว้”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วพูดเสริมต่อว่าแม่เขาจึงอนุญาตให้เขากินได้เฉพาะจากร้านที่รู้จักกันหรือร้านที่มั่นใจว่าใช้เนื้อสะอาดแน่นอน



“เจ ๆ ไอ้นี่อร่อยว่ะ”

คนที่ก้มหน้าก้มตากินไม่สนเพื่อนอย่างปรินซ์ร้องขัดบทสนทนาของเพื่อนร่วมโต๊ะ เขาชี้ไปที่อาหารจานเนื้ออย่างขาอ่อนสะดุ้งหรือยำเนื้อน่องลายที่หั่นมาเป็นแผ่นบางขนาดพอดีคำ ถึงจะติดเหนียวบ้างเล็กน้อยตามเนื้อสัมผัสของเนื้อส่วนปลีน่อง แต่ก็ไม่เกินกำลังที่พวกเขาจะเคี้ยวไหว เนื้อนั้นคลุกเคล้ามากับน้ำยำแบบง่าย ๆ ที่เน้นหนักไปที่รสเปรี้ยว เมื่อกินกับกระเทียมชิ้นโต ๆ ที่ใส่มาด้วยแล้วนั้น ปรินซ์ก็อดที่จะยกแก้วเบียร์ของเขาขึ้นดื่มอึกใหญ่ไม่ได้

“กูว่ารสมันคือหมูคำหวาน แต่ไม่ค่อยติดหวานว่ะ”

“อืมม์ คิดว่างั้นแหละ มีคะน้าอ่อนแนมมาเหมือนกัน แต่เขาใช้พริกหั่นชิ้นแทนพริกโขลกแบบน้ำหมูคำหวาน”

เจนยุทธที่เพิ่งส่งข้าวเหนียวปั้นใหญ่จุ่มน้ำยำจนชุ่มโชกเข้าปากพูดทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวจนแก้มตุ่ย เขาเตือนเพื่อนทั้งสองว่าให้ระวังอย่าให้น้ำยำหกรดเสื้อผ้า

“กลิ่นน้ำปลาจะติดตัวมึงไปจนถึงบ้านเลย”

เจพูดยิ้ม ๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับของโปรดของเขาอีกอย่าง โดยปกติถ้าเขาไปร้านอาหารอีสาน หรือร้านอาหารเมือง เขาก็มักจะสั่งไส้ย่าง แต่สำหรับร้านแจ่วฮ้อนหนองหอยนี้ สิ่งที่เขาสั่งคือไส้ทอดกรอบ ๆ ที่ให้มาจนพูนจาน



“อื้อหือ อย่างเด็ดว่ะ ไอ้เจ ปกติถ้าไปร้านลาบเมือง กูก็ชอบกินไส้ทอดที่เขาโรยหน้าลาบมา แต่มันมีน้อย ได้มาแค่ไม่กี่ชิ้น แต่นี่มาจานเบ้อเริ่ม อย่างฟิน!”

ซันซันเคี้ยวไส้หวานที่ทอดจนกรอบกรุบทั้งชิ้น ความกรอบนี้ขจัดปัญหาไส้เหนียวจนเคี้ยวยากที่มีในไส้ย่างไปจนหมด ถึงจะเจอชิ้นที่ติดขมบ้าง ไส้ทอดร้านแจ่วฮ้อนหนองหอยนี้ก็ขึ้นแท่นเป็นอาหารจานโปรดในใจของตี๋หนุ่มร่างท้วมคนนี้ไปแล้วเรียบร้อย

“ไหน อร่อยขนาดนั้นเชียว?”

ปรินซ์ถามก่อนจะดึงมือคนรู้ใจที่ถือส้อมจิ้มไส้ทอดไว้มาส่งเข้าปากตัวเอง

“แหม อยากให้มันป้อนมึงก็บอกมันตรง ๆ สิ ไม่ต้องมาลีลาท่ามาก”

เจนยุทธอดกระเซ้าเพื่อนไม่ได้เมื่อเห็นแก้มขึ้นสีของซันซัน

“เสือก!”

เจหัวเราะคิกทันทีที่ได้ยินคำด่าแก้ขวยของหนุ่มแว่นที่นั่งหน้าแดงระเรื่อตั้งแต่ถูกดึงมือไปกุมไว้ต่อหน้าต่อตาคนทั้งร้าน แม้จะไม่มีใครจ้องมอง คนที่ยังใหม่กับเรื่องการแสดงออกถึงเนื้อถึงตัวในที่สาธารณะกับคนรักอย่างซันซันยังอดขวยเขินไม่ได้ แม้ตอนที่เขาทำตัวเสเพลเขาจะพยายามแสดงออกเช่นหอมแก้ม หรือโอบสาว ๆ แต่มันไม่ทำให้เขารู้สึกเขินอายได้เท่ากับสิ่งที่ปรินซ์ทำกับเขาในช่วงหลังมานี้

“เอ้า ๆ เลิกสวีทกันแล้วกินจุ่มแซ่บซะ น้ำเดือดแล้ว”

เจย่นจมูกให้เพื่อนก่อนจะหยิบถาดผักขึ้นมาเทลงใส่หม้อจุ่มแซ่บ จุ่มแซ่บของร้านนี้มีให้เลือกหลายชุด ทั้งหมู ไก่ เนื้อและปลาคัง ในคราแรกเจนยุทธอยากสั่งเนื้อปลาคังที่เขาเคยติดใจจากร้านโอชะปลาจุ่ม แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อนึกได้ว่านพเคยพูดให้ฟังว่าเนื้อปลาคังของที่นี่ไม่ได้สดเท่ากับของที่ร้านปลาจุ่ม แล้วตัดสินใจเลือกสั่งชุดเนื้อวัว 2 ชุดแทน

“มึงจะให้ใส่ผักทุกอย่างเลยไหม?”

เจถามเพื่อนหลังจากนึกได้ว่าในตะกร้าผักที่ให้มานั้นอาจจะมีบางอย่างที่เพื่อนไม่อยากกิน ซันซันกวาดตาดูในตะกร้าผักซึ่งมีทั้งผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักบุ้ง โหระพาและขึ้นฉ่ายแล้วก็ต้องเบะปาก

“กูไม่ชอบ ‘ผักกำปืน’ แต่ร้านนี้เขาขยุ้มผักใส่ตะกร้าปนกันมาซะหมดแล้ว ก็...ใส่ไปเหอะ เดี๋ยวกูเขี่ยออกก็ได้”

ซันซันพูดชื่อภาษาเมืองของผักขึ้นฉ่ายด้วยความเซ็ง ร้านนี้ใส่ผักทุกอย่างมาปน ๆ กันในตะกร้าและเขาเองก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะมานั่งไซร้มันออกจากกัน เจพยักหน้าก่อนจะเทผักทุกอย่างลงในหม้อ

 


“ยำผักกระเฉดนี่ก็อร่อยดีนะ เข้ากับเบียร์โคตร ๆ”

ปรินซ์ซึ่งเน้นกินกับแกล้มมากกว่ากับข้าวซี้ดปากเพราะรสชาติเปรี้ยวเผ็ดของยำผักกลิ่นฉุน ยำผักกระเฉดของที่นี่เป็นยำง่าย ๆ ใส่แค่หมูสับ กุ้งแห้งและหอมแดง แต่มันก็เป็นส่วนผสมและรสชาติที่เหมาะสมที่สุดในฐานะกับแกล้มแล้ว แต่เพื่อเพิ่มรสชาติพวกเขาได้สั่งให้เพิ่มหมูยอลงไปในยำนี้ด้วย ปรินซ์สูดปากน้อย ๆ เมื่อกัดโดนพริกในยำ เขายกแก้วเบียร์ซึ่งภายในมีฟองสีขาวขุ่นอยู่เกินครึ่งแก้วขึ้นจิบแล้วส่งเสียงฮื้อฮ้าออกมาอย่างอดไม่ได้

“กูก็รู้นะว่าตามหลักแล้วไม่ควรกินแบบนี้ แต่อากาศร้อน ๆ มันก็ต้องเบียร์เย็นเจี๊ยบ ๆ แบบนี้แหละวะ!”

หนุ่มลูกร้านทองระบายลมหายใจออกมาอย่างสมใจ เบียร์ของร้านนี้แช่มาเย็นจัดจนแทบกลายเป็นเบียร์วุ้นอยู่มะรอมมะร่อ แม้ตอนที่เรียนวิชาการจัดการเครื่องดื่มอาจารย์ของเขาได้ย้ำหนักหนาว่าเบียร์วุ้นนั้นคือเบียร์ที่แช่เย็นเกินไปจนแอลกอฮอล์เสื่อมสภาพและทำให้กลิ่นรสอันเป็นเอกลักษณ์ของเบียร์หายไป แต่ในอากาศที่ร้อนจัดของปลายเดือนพฤษภาคม เขาก็ยังอดกินเบียร์ที่แช่มาจนเย็นจัดไม่ได้หรืออย่างน้อยก็ต้องแอบใส่น้ำแข็งลงไปสักก้อนสองก้อน

“แหวะ กินเข้าไปได้ จืดอย่างน้ำล้างแก้วเบียร์”

หนุ่มที่เรียนด้านการครัวเต็มตัวมาอย่างซันซันย่นจมูกใส่คนรัก ทันทีที่เห็นฟองขาวฟอดเกือบเป็นน้ำแข็งที่เอ่อขึ้นมาหลังจากเทเบียร์ เขาก็เรียกหาน้ำเปล่าแทนทันที ปรินซ์หัวเราะหึ ๆ เมื่อเห็นท่าทีของตี๋แว่น

“น่า ๆ กูกินนิดเดียวให้พอสดชื่น ไม่กินเยอะหรอก เอ้า นี่ มึงตักถึงไหม? กูตักให้ ”


 

ปรินซ์พูดพลางตักแป้งนมย่างและไส้ทอดที่วางตรงหน้าตนใส่จานให้ซันซันอย่างเอาใจ หนุ่มลูกร้านเพชรแกล้งกะปอดกะแปดต่อเบา ๆ จนเห็นในจานตัวเองเริ่มมีของกินพูนแล้วจึงหยุดและก้มหน้าก้มตากิน เขาแอบยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง อันที่จริงเขาไม่ได้มีปัญหากับเรื่องรสนิยมการกินของคนข้างกาย หากแค่อยากแกล้งบ่นอดีตเพื่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้น

“ชิ หมั่นไส้โว้ย!”

คนที่อยู่ห่างแฟนบ่นขึ้นมาดัง ๆ เมื่อเห็นคู่รักหมาด ๆ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนจะลืมเขาไปเสียสนิท

“อ้าว ทีใครทีมันเว้ย”

หนุ่มลูกร้านทองพูดอย่างอารมณ์ดีหลังจากบังคับจับมือคนข้าง ๆ ให้ป้อนข้าวเหนียวใส่ปากตัวเองได้อีกคำ

“หึ จู๋จี๋กันไปเถอะ ดี กูจะได้กินให้หมด ไม่ต้องมีคนมาแย่ง”

เจนยุทธแกล้งสะบัดเสียงแล้วตักแจ่วฮ้อนจากในหม้อขึ้นมาจนเต็มถ้วยแบ่ง จากนั้นเทเนื้อสดที่เขาลวกไว้ในกระชอนอีกสี่ห้าชิ้นลงไป

“เฮ้ย ๆ เหลือให้กูด้วย”

ซันซันรีบสะบัดมือคนที่เนียนจับมือเขาไว้ไม่ปล่อยแล้วรีบตักแจ่วฮ้อนใส่ถ้วยของตนเองบ้าง ปรินซ์จิ๊ปากเบา ๆ แต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อซันซันวางถ้วยแจ่วฮ้อนที่ตักไว้ลงตรงหน้าของเขาก่อนที่จะลงมือตักให้ตนเอง

“ซุปวันนี้หวานเลี่ยนจังวุ้ย มึงว่าไหม?”

คนไร้คู่เคียงข้างแซวดัง ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มทั้งสองก็ทำหูทวนลม เจหัวเราะหึ ๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานของตนต่อไป



“อื้อหือ น้ำซุปมันร้าย”

ปรินซ์พูดเสียงแหบแห้ง เขาไอโขลกออกมาหลังจากซดซุปสีเข้มในถ้วยเข้าไปโดยไม่ระวัง น้ำซุปจุ่มแซ่บของร้านนี้รสออกเผ็ดเค็มแถมยังหอมกลิ่นปลาร้าและสมุนไพร เจพยักหน้าแล้วบอกว่าสำหรับเขาแล้ว น้ำซุปจุ่มแซ่บของร้านนี้ถือว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาแล้ว

“นี่ แล้วมึงกินเผ็ดขนาดนี้ คืนนี้ไม่ลำบากเหรอวะ?”

ซันซันพูดหลังจากซดน้ำเย็นในแก้วเข้าไปอึกใหญ่ เขายกมือขึ้นมาพัดบริเวณริมฝีปากที่แดงก่ำหลังจากซดน้ำซุปแจ่วฮ้อนในถ้วยหมดไป

“ลำบากอะไรวะ?”

เจนยุทธทำหน้างง

“เอ๊า ก็คืนนี้ป๋ามาไม่ใช่เหรอ? แล้วมึงกินเผ็ดขนาดนี้ ไม่ลำบาก เอ่อ...อิอิ”

ปรินซ์ตอบแทนด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม เขาหันไปพยักเพยิดกับคนรักอย่างรู้กัน เจนยุทธหน้าขึ้นสีทันทีที่เข้าใจความหมายแฝงของเพื่อน

“ห่านพวกนี้นี่! ทะลึ่งนักนะ! ไอ้ซัน มึงไม่ต้องหัวเราะ ถึงคราวมึงมั่งกูจะหัวเราะให้ฟันหักเลย ชิ!”

เจว๊ากลั่นก่อนจะลดเสียงลงในประโยคท้าย เขาหยิบน้ำแข็งในถังขว้างใส่อกเพื่อนที่ทำท่าจะแซวเขาไม่หยุด

“ทำมาเป็นว่าพวกกู มึงนี่แหละตัวทะลึ่งเลย ไอ้เจ เออ ว่าแต่อย่าลืมแปรงฟันให้ดี ๆ ก่อนด้วยล่ะคืนนี้ กูสงสารป๋าน้อยว่ะ”

ปรินซ์พูดกลั้วหัวเราะ เจตีหน้ายักษ์พร้อมบ่นโขมงโฉงเฉงใส่เพื่อนแต่สุดท้ายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อนึกภาพตามคำเตือนของปรินซ์

“ฮ่า ๆ ๆ มึงก็คิดได้นะไอ้ปรินซ์ ทำไม เคยโดนมาก่อนเหรอ?”

“เออ สิ น้องมันกินส้มตำพริกสิบเม็ดมาแล้วล้างปากมาไม่ดีพอ...อ๊ะ”

ปรินซ์ที่กำลังจะเล่าวีรกรรมของตนหยุดกึกทันทีที่ได้ยินเสียงกระแอมน้อย ๆ จากคนข้างตัว เขาหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้ซันซันแล้วเสชวนเจนยุทธคุยเรื่องอื่นต่อ เจเองก็ช่วยอดีตเพื่อนเที่ยวของตนด้วยการไม่ถามเรื่องนั้นต่อ พวกเขาทั้งสามชวนกันกินไป คุยไปจนกระทั่งทุกอย่างบนโต๊ะหมดเกลี้ยง



“เฮ้อ อร่อยจริง ๆ ว่ะ ร้านนี้ กูให้ผ่านฉลุยเลย...”

ซันซันเอนหลังพิงพนักพร้อมยกมือลูบพุงเบา ๆ

“อือ กูก็ว่าผ่าน แป้งนมเขาย่างดีจริง ๆ ส่วนลาบอีสานกับตับหวานก็รสชาติดี เผ็ด เปรี้ยว เค็มกำลังดีเลย ส่วนอิเนื้อน่องลาย เอ่อ เขาเรียกขาอ่อนสะดุ้งใช่มะ? อันนี้กูยกให้เป็นเดอะ เบสต์”

ปรินซ์พูดแล้วก็อดเอาช้อนไปแตะ ๆ น้ำยำหนักเปรี้ยวซึ่งเป็นรสที่เขาโปรดปรานแล้วส่งเข้าปากอีกคำ

“เอาข้าวนึ่งมะ? เหลืออีกหน่อย”

ซันซันส่งกระติบข้าวเหนียวที่มีข้าวเหลือติดก้นกระติบเพียงแค่คำหรือสองคำให้คนรัก หากปรินซ์ก็ส่งคืนให้แล้วบอกว่าเขาอิ่มจนแน่นท้องไปหมดแล้ว ซันซันจึงส่งมันให้เจนยุทธที่ส่งสายตาปิ๊งปั๊งมาให้ เจรับกระติบข้าวมาแล้วนำก้อนข้าวเหนียวที่เหลือลงไปคลุกกับน้ำแจ่วฮ้อนที่ยังเหลือเล็กน้อยในถ้วยจนชุ่มโชกแล้วจึงใช้ช้อนตักเข้าปาก

“เฮ้อ อร่อย ถึงเนื้อจะเหนียวไปนิด แต่กูก็ชอบ ยำผักกระเฉดก็ดี...”

ปรินซ์กับซันซันพยักหน้ารับคำ พวกเขาถูกใจอาหารมื้อนี้มากเลยทีเดียว

“ร้านนี้มีอะไรไม่อร่อยหรือว่าไม่ควรสั่งบ้างวะ?”

ซันซันถามพร้อมกับยกมือเรียกคิดเงิน

“อืมม์ ถ้าเอาตามกูว่านะ จิ๊นส้มหมกไม่ค่อยเวิร์ค สำหรับกูชอบกินหนังหมูเส้นใหญ่ ๆ หนา ๆ แต่ของที่นี่หนักเนื้อแล้วมีหนังนิดเดียว”

เจนยุทธเล่าว่าเขาเคยสั่งจิ๊นส้มหมกหรือแหนมห่อใบตองย่างของที่นี่มาครั้งหนึ่งแล้วก็อดรู้สึกเซ็งไม่ได้

“อีกอย่างที่ไม่เวิร์คก็คือส้มตำ เคยกินหลายรอบแล้วรู้สึกว่ายังไม่โดน แต่ก็ไม่แน่ว่ะ ลิ้นใครลิ้นมัน”

เจนยุทธบอกเพื่อน ๆ ว่า สำหรับเขาแล้วส้มตำของร้านนี้ถือว่ายังด้อยกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ นัก



“เท่าไหร่วะ?”

ซันซันชะโงกหน้าไปดูบิลค่าอาหารในมือคนรัก เขาทำตาโตเมื่อเห็นว่าอาหารทั้งหมดที่กินไปนั้นบวกด้วยเครื่องดื่มพรายฟองอีกสองขวดมีราคารวมไม่ถึงใบเทาหนึ่งใบ

“เขาคิดผิดหรือเปล่า?”

ตี๋แว่นถามก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบใบร้อยสามใบออกมาจ่ายอย่างไม่เกี่ยงงอน เจส่ายหน้า อาหารของร้านนี้ราคาไม่แพง ส่วนใหญ่จะอยู่ในเลขสองหลักยกเว้นแต่จะสั่งอาหารจานปลา

“ไว้คราวหน้าถ้ามึงจะมาอีก ชวนกูด้วยนะ กูอยากกินไส้ทอดอีก”

ซันซันหันไปพูดกับเจนยุทธซึ่งพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขันก่อนที่จะบอกลาและขึ้นรถซึ่งปรินซ์สตาร์ทเครื่องรอไว้อยู่แล้ว เจยิ้มน้อย ๆ มองเพื่อนที่เพิ่งข้ามขั้นกลายเป็นคู่รักหมาด ๆ จนรถของทั้งสองลับตาไปแล้วจึงเดินไปขึ้นรถของตนบ้าง







(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- First Anniversary (ต่อ) ----





“มารอรับแฟนเหรอครับ พี่เจ?”

พนักงานร้านสตาร์บัคส์ในสนามบินเชียงใหม่ส่งเสียงทักลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

“อืมม์ มาไฟลท์ดึกของไทยสไมล์น่ะ เอ่อ เอาเหมือนเดิมนะ”

เจนยุทธตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะส่งแก้วส่วนตัวในมือให้พนักงาน ไม่นาน iced venti americano on ice หรือที่จริงแล้วคือกาแฟเอสเปรสโซ 4 ช็อตเทใส่น้ำแข็งโดยที่ไม่เติมน้ำเพิ่มลงไปก็ถูกนำมาวางตรงหน้าเจที่ยืนรออยู่ปลายเคาเตอร์ เขายืนสนทนากับพนักงานที่เขารู้จักเป็นอย่างดีตั้งแต่ที่สาขาโรบินสันแอร์พอร์ทที่เขาเคยนั่งเป็นประจำก่อนที่จะย้ายมานั่งที่สาขาเปิดใหม่อย่างเชียงใหม่ราม

“ขอตัวก่อนนะครับ”

พนักงานหนุ่มค้อมหัวให้เจนยุทธก่อนจะผละไปรับลูกค้ารายใหม่ เจถือแก้วกาแฟและกระเป๋าโน้ตบุ๊คของเขาไปที่โต๊ะแล้วจัดแจงเปิดกระเป๋ายกโน้ตบุ๊คมาตั้งเพื่อทำงานที่ยังคั่งค้างต่อ เขามีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าที่ไฟลท์ของฆาเบียร์จะมาถึง

“รับครัวซองต์แฮมชีสไหมคะ? อ้าว พี่เจ สวัสดีค่ะ”

พนักงานสาวซึ่งยกถาดครัวซองต์กลิ่นหอมกรุ่นที่ตัดเป็นชิ้นน้อย ๆ เพื่อให้ชิมทักเจนยุทธทันทีที่เห็นเขา เจยิ้มและทักทายพนักงานสาวซึ่งย้ายมาจากสาขาเชียงใหม่รามเมื่อไม่นานมานี้กลับคืน เขาคุ้นเคยและจำชื่อพนักงานแทบทุกคนในสาขาที่ตนไปนั่งบ่อย ๆ ได้ด้วยความช่างจำนรรจาของเขา

“ฮ่า ๆ ใช่ ๆ เดี๋ยวฆาบี้เขาก็มาแล้ว เราไม่ได้เจอเขานานแล้วล่ะสิ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่นี่เลยใช่ไหม?”

เจยิ้มร่าเมื่อพนักงานสาวถามถึงคนรักของเขาซึ่งเคยเจอหน้ากันอยู่เนือง ๆ ตอนที่เธอยังทำงานอยู่ที่สาขาเดิม

“เดี๋ยวถ้าเครื่องลงแล้วจะลากมาทักเราด้วยแล้วกัน”

เจพูดกับพนักงานสาวก่อนที่เธอจะขอตัวไปทำหน้าที่ต่อ เจอมยิ้มเมื่อนึกถึงนิสัยของคนรักที่ทำให้พนักงานที่แม้จะไม่ได้พบปะกันกับเขาบ่อยก็ยังสามารถจำเขาได้ และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทั้งเจนยุทธและฆาเบียร์มีเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาทั้งคู่ชอบที่จะสนทนาและมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นพนักงานของร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือโรงแรมที่พัก สำหรับเจนยุทธแล้ว มันเป็นนิสัยเดิมที่ติดตัวมาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาการโรงแรม การที่ได้พูดคุยกับพนักงานส่วนปฏิบัติการเป็นเสมือนการเรียนรู้นอกห้องเรียน มันทำให้เขาได้ความรู้หลาย ๆ อย่างเพิ่มเติมจากในตำราและทำให้เห็นภาพในการทำงานสาขานี้ได้ชัดขึ้น


 

‘Landed. Waiting for luggage’

‘Ok. At Stbx now krub’

เจนยุทธพิมพ์ข้อความตอบกลับฆาเบียร์ เขายกมือขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบจากการนั่งนานหลายชั่วโมงก่อนจะปิดและเก็บโน้ตบุ๊คใส่กระเป๋า เขายกนาฬิกาขึ้นดูเวลาและพบว่ามันเป็นเวลาหลังห้าทุ่มครึ่งแล้ว

“ขอโทษนะ นั่งเกินเวลาไปเยอะเลย”

เจนยุทธพูดกับพนักงานที่กำลังทำความสะอาดและจัดเก็บโต๊ะเก้าอี้ในร้าน

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้วันเสาร์เราเปิดถึงห้าทุ่มครึ่ง พี่เจนั่งจนผมเก็บร้านเสร็จก็ได้”

พนักงานหนุ่มตอบ แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่เจก็จัดการเก็บข้าวของของตนแล้วโยกย้ายไปนั่งรอที่เก้าอี้นั่งรอผู้โดยสารหน้าประตูทางออกแทน ไม่นานเขาก็ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนรักเดินผ่านออกประตูมา เจรีบลุกขึ้นและเดินไปหาคนที่ทักทายเขาตอบด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น

“เดี๋ยวเดินผ่านสตาร์บัคส์หน่อยนะ ไปทักน้อง...หน่อย”

เจนยุทธพูดแล้วดึงมือคนรักให้เดินไปโบกไม้โบกมือทักทายพนักงานสาวที่คุ้นเคยกันดีก่อนที่จะเดินจับมือพาคนรักเดินออกไปยังลานจอดรถ ฆาเบียร์อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของคนรักที่ดูจะไม่ขัดเขินแล้วกับการที่จะเปิดเผยสถานะของเขาทั้งสองในที่สาธารณะ

 


“Te extraño mucho”


ฆาเบียร์กระซิบแผ่ว ๆ บอกเจนยุทธว่าเขาคิดถึงเจ้าตัวมากก่อนจะประทับจูบแผ่ว ๆ บนหน้าผากของคนในอ้อมกอด

“ผมก็คิดถึงคุณครับ”

เจนยุทธตอบและกระชับวงแขนของเขาเข้า ทั้งคู่แลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างไม่เบื่อหน่ายภายใต้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์ที่ชำระล้างฟองสบู่จากกายของพวกเขาออก พวกเขาใช้มือลูบไล้กายของกันและกันเพื่อช่วยล้างฟองสบู่ออกจนหมดก่อนที่จะปิดน้ำ

“ตายอดตายอยากมาจากไหนครับ ฆาบี้?”

เจนยุทธหัวเราะน้อย ๆ แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ห่มคลุมหลังของอีกฝ่ายที่ยังคงยืนโอบกอดเขาไม่ยอมปล่อย ตั้งแต่กลับมาถึงห้อง คนตัวโตยังไม่ออกห่างจากเขาเลยสักนิด แถมยังเพียรกอดจูบจนปากของเขาเริ่มรู้สึกชาขึ้นมาบ้างแล้ว

“ก็ฉันคิดถึงนี่นา”

คนตัวโตพูดงึมงำกับกลุ่มผมที่ยังเปียกชื้นของคนรัก เขารับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาแล้วช่วยเช็ดผมให้อีกฝ่ายในขณะที่อีกคนง่วนกับการอ้อมแขนมาเช็ดถูหลังของเขา แม้จะเพลินกับการมีร่างกายส่วนหน้าของอีกฝ่ายมาเบียดบดกับร่างกายของตน ฆาเบียร์ก็ต้องสะดุ้งเฮือกและยันกายออกเมื่อมือแสนซนของเจ้าตัวดีเริ่มขยับลงไปป้วนเปี้ยนบริเวณบั้นท้ายหนั่นแน่นของเขา

“หวงจังน้า ทีตอนก่อนอาบน้ำไม่ได้เห็นจะมีทีท่าแบบนี้เลย”

เจกระเซ้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อกลับมาถึงห้อง ฆาเบียร์ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ทันทีที่ปิดประตูห้องและวางสัมภาระแล้ว เขาก็ดึงรั้งร่างคนรักเข้ามากอดและจูบให้สมกับความคิดถึง แม้เจจะเพิ่งกลับมาเชียงใหม่ได้ไม่ถึงสามสัปดาห์ ความคะนึงหาของเขาที่เพิ่มขึ้นตามความรู้สึกที่มีต่อคนรักก็ทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เขาแทบจะดึงทึ้งเสื้อผ้าของคนรักทิ้งไปจนหมดตัวตั้งแต่ก่อนถึงประตูห้องนอน แต่แทนที่จะขึ้นไปนัวเนียกันต่อบนเตียง เจก็ดันร่างคนที่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเพราะทำงานมาตั้งแต่เช้าให้เข้าไปในห้องน้ำแทน หลังจากปรนนิบัติฆาเบียร์จนถึงสวรรค์ตามที่คนตัวโตร้องขอ เจนยุทธก็จัดการอาบน้ำอาบท่าให้คนที่ทำท่าทีเหมือนอ่อนเพลียจนไม่อยากขยับตัวจนสะอาดเรี่ยมเร้เรไร




“เหนื่อยไหมครับ วันนี้?”

เจนยุทธถามพลางใช้ไดร์ค่อย ๆ เป่าผมสีน้ำตาลประกายทองของคนรัก

“ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แค่ลุ้นหน่อยว่าจะตกเครื่องไหม”

ฆาเบียร์ที่หลับตาพริ้มให้อีกฝ่ายใช้นิ้วสางผมแทนหวีอย่างสบายอารมณ์ตอบ เจโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อคนรักพยายามตอบเลี่ยงไปทางอื่น เขารู้ดีว่าฆาเบียร์มีงานยุ่งมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เขามาถึงกรุงเทพเอาเมื่อเช้าวันศุกร์เพื่อเข้าร่วมในงานสัมมนาหนึ่งในฐานะผู้บรรยาย จากนั้นในเช้าวันนี้ เขาก็ใช้เวลายามเช้าไปกับการพบปะหารือกับคู่ค้าและเอเจนซี่ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของเขา ก่อนที่จะรีบกลับโรงแรมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปร่วมงานแต่งงานในฐานะตัวแทนของอาปาคริส เขาออกจากงานประมาณสองทุ่มครึ่งเพื่อให้ไปทันเช็คอินไฟลท์ซึ่งออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 22:15 น.

“หึ เห็นว่ามาถึงฉิวเฉียดพอดีนี่ครับ ไหนจะต้องโหลดกระเป๋าอีก วิ่งแน่บไปเกทแทบไม่ทันเลยล่ะสิ ผมก็บอกแล้วว่าให้ค้างกรุงเทพฯ อีกคืน ก็ยังดื้อที่จะมาเชียงใหม่เลยอีก”

เจพ่นลมออกจมูกเบา ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “สาย” ของเขารายงานมาเสร็จสรรพว่าฆาเบียร์ต้องได้วิ่งไปเกทจริง ๆ เพราะลืมไปว่าตนต้องเสียเวลาดร็อปกระเป๋าที่จะโหลดใต้ท้องเครื่องที่เคาเตอร์เช็คอิน ไม่ใช่เดินตัวปลิวไปขึ้นเครื่องได้เหมือนกับทุกครั้งที่มีเพียงแค่กระเป๋าเคบินไซส์ใบเดียว

“จริง ๆ ฉันกะออกงานมาตั้งแต่ก่อนสองทุ่มน่ะ แต่ผิดแผนไปหน่อย”

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อย ๆ เขาตั้งใจจะอยู่แค่ทักทายครอบครัวของคู่ค้าของอาปาที่เขาเองก็คุ้นหน้าดีเสร็จแล้วก็จะรีบออกงานมา แต่กลับถูกเชิญให้ไปนั่งโต๊ะประธานในพิธีและอยู่ร่วมวงสนทนาจนเห็นว่าจะไม่ทันแล้วจริง ๆ จึงได้ขอตัวออกมา เมื่อมาถึงสนามบินและเช็คอินเสร็จแล้ว เขาก็ต้องรีบวิ่งมาที่เกทโดยไม่มีเวลาที่จะได้นั่งพักผ่อนในเลาจ์ของการบินไทยซึ่งสามารถใช้ร่วมกันได้ด้วยซ้ำ

“มาเจอบัสเกทอีก ดีนะที่ฉันไม่ตกเครื่อง”

ฆาเบียร์ถอนหายใจยาว เมื่อเขามาถึงที่เกท พนักงานกำลังเริ่มทยอยส่งผู้โดยสารขึ้นรถบัสที่จะพาไปสู่เครื่องบิน




“เอ ปกติคุณจะนั่งชั้นธุรกิจมาใช่ไหมครับ? แต่ไทยสไมล์เขาเหมือนจะไม่มีชั้นธุรกิจนี่ ขายาว ๆ แบบคุณนั่งสบายเหรอ?”

เจนยุทธถามอย่างข้องใจ เขาหยิบแปรงผมที่เขาซื้อมาเพื่อฆาเบียร์โดยเฉพาะมาแปรงผมสลวยซึ่งตอนนี้เริ่มยาวประบ่าของคนรักอย่างเบามือ

“เขามีชั้น Premium Economy จ้ะ เรียกว่าอะไรน้า?...อ้อ สไมล์พลัส”

ฆาเบียร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา เขาจับมือคนตัวเล็กให้หยุดแปรงผมให้เขาแล้วเปลี่ยนให้เจนยุทธลงนั่งบ้าง เขาเป่าผมให้คนรักแบบเร็ว ๆ เพราะผมของเจยังไม่ได้ยาวมาจากทรงสกินเฮ้ดที่ตัดไปช่วงสงกรานต์มากนัก

“ถึงไหนแล้วนะ? อ้อ สไมล์พลัส อืมม์ ก็เป็นการดัดแปลงที่นั่งชั้น economy จ้ะ”

เจร้องอ๋อ ฆาเบียร์อธิบายต่อว่าแทนที่จะมีการเปลี่ยนเก้าอี้เป็นตัวใหญ่ขึ้น สายการบินไทยสไมล์ก็ทำตามแบบสายการบินอื่นที่มีชั้นพรีเมียมอีโคโนมี ทางสายการบินซึ่งใช้เครื่อง Airbus A320 ที่มีการจัดที่นั่งแบบ 3-3 บินทุกเส้นทางได้จัดสามแถวแรกให้เป็นชั้น Smile Plus โดยจัดให้เก้าอี้มี pitch หรือพื้นที่ระหว่างแถวที่ยาวขึ้นเล็กน้อย และจัดให้นั่งเพียงแค่ 4 คนต่อ 1 แถวโดยให้เว้นที่นั่งตรงกลางไว้

“แล้วฉันนั่งแถวหน้าสุด ก็ยืดขาได้อีกหน่อย”

“ผมก็ว่ามันไม่ค่อยคุ้มจ่ายอยู่ดี”

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ตั๋วเครื่องบินชั้นสไมล์พลัสของไทยสไมล์นั้นอยู่ที่ขาละเกือบ ๆ 4,000 บาท เมื่อเทียบกับที่นั่งชั้นธุรกิจของการบินไทยที่ราคาใกล้เคียงกัน เจก็ยังคิดว่าสายการบินแห่งชาติคุ้มกว่าอยู่ดี



“แล้วอาหารล่ะครับ? ดีไหม? เป็นอาหารร้อนหรือว่าเป็นแซนวิชหรือขนมอบแบบชั้นประหยัด?”

“อืมม์...ฉันก็ไม่ได้กินด้วยสินะ ขึ้นเครื่องมาฉันก็หลับเลย ตื่นอีกทีก็เครื่องกำลังจะลงแล้ว แต่ก็น่าจะเป็นอาหารร้อนเพราะฉันเหมือนจะเห็นเขามาปูผ้าให้คนข้าง ๆ”

คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ ตอนพนักงานต้อนรับมาถามว่าเขาต้องการรับอาหารไหมนั้น เขาซึ่งยังสะลึมสะลืออยู่ได้เปิดตามามองเพียงครึ่งเดียวก่อนที่จะตอบปฏิเสธไป เขาไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่ารายการอาหารในวันนี้มีอะไรให้เลือกบ้าง

“โคตรไม่คุ้มเลยคุ๊ณ!”

เจนยุทธเบิกตาโตและอุทานเสียงสูงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพลาดอาหารจานร้อนที่เสิร์ฟบนเครื่องไป

“เอาน่า ๆ อย่างน้อยฉันก็มาถึงบ้านทันได้กอดเจคืนนี้แล้วกัน”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วใช้มือโอบเอวคนรักเข้ามาหาตัว เขาฝังใบหน้าลงกับกลุ่มผมของเจแล้วหอมเบา ๆ สำหรับเขาความคุ้มค่าของการเดินทางคือการมาถึงจุดหมายในเวลาที่ต้องการ และสายการบินไทยสไมล์ก็ตอบโจทย์ของเขาได้สมบูรณ์แบบแล้ว

“หึ กอดเกิดอะไรครับ มาให้ผมกอดมากกว่า”

คนตัวเล็กยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงฉากรักร้อน ๆ ในห้องน้ำเมื่อสักครู่ ฆาเบียร์หน้าแดงระเรื่อ เจนยุทธจัดการเล้าโลมเขาจนอดรนทนไม่ไหวและในที่สุดต้องออกปากขอให้อีกฝ่ายเข้ามาในกาย



“นายนี่ชักจะได้ใจใหญ่แล้วนะ เจ้าตัวแสบ คราวหน้าฉันจะไม่ปล่อยให้นายทำหน้าระรื่นได้แบบนี้อีกแล้ว”

ฆาเบียร์แยกเขี้ยวแล้วดึงแก้มของคนที่ยิ้มกริ่มอย่างหน้าหมั่นไส้ตรงหน้า เจหุบยิ้มทันที

“คุณจะใจร้ายกับผมขนาดนั้นจริง ๆ เหรอครับ ฆาบี้? ไม่สงสารผมหน่อยเหรอ?”

คนตัวเล็กตีหน้าเศร้า ฆาเบียร์ชะงักไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ เขาถอดปลั๊กและม้วนสายเก็บไดร์เป่าผม แล้วจึงลงนั่งบนเตียงเคียงข้างคนรัก

“ฉันทำนายเจ็บทุกครั้งเลยจริง ๆ เหรอ เจนยุทธ?”

คนตัวโตซึ่งยังคงฝังใจกับภาพคนรักที่ต้องจับไข้ไปเพราะตัวเองพูดพึมพำเบา ๆ

“ถ้ามันเป็นแบบนั้น ฉัน ฉัน เฮ้อ...”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนที่ตั้งใจจะพูดหยอกคนรักเล่น ๆ ใจหายวาบและรีบเอนกายซวนซบเข้ากับต้นแขนล่ำสัน เจเอียงแก้มถูเบา ๆ กับหัวไหล่ของคนรักจนฆาเบียร์อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ที่เห็นคนรักของตนแปลงร่างกลายเป็นลูกแมวน้อยขี้อ้อนไปแล้ว

“มันก็เจ็บนิด ๆ แต่ก็เสียวมาก ๆ นะครับ แหะ ๆ”

คนขี้แกล้งยกมือกอดเอวเมียตัวโตของเขาไว้แล้วจูบแผ่ว ๆ ที่หัวไหล่ ฆาเบียร์หันหน้ามาหาคนที่ส่งสายตาแป๋วแหววมาให้ เขาโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวดีของเขาทำหน้าทะเล้น

“นายนี่มันตัวแสบจริง ๆ นะ หืมม์?”

เจนยุทธหัวเราะคิกคักแต่ก็ต้องอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อร่างใหญ่กำยำโถมเข้าหาเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“เด็กขี้แกล้งต้องโดนแบบนี้”

ฆาเบียร์พูดด้วยความมันเขี้ยว เขาเข้ากอดรัดร่างเพรียวที่พยายามดิ้นหนี แต่ด้วยร่างกายที่เล็กบางกว่า สุดท้ายเจก็ต้องยอมปล่อยให้คนรักปล้ำจูบไปทั้งตามอำเภอใจ



“ช้ำหมดแล้วอ่า”

เจบ่นเบา ๆ เมื่อส่องกระจกดูริมฝีปากแดงก่ำของตน พ่อเจ้าประคุณของเขาไม่ได้ปราณีเลยแม้แต่น้อยและกระหน่ำป้อนจูบไปทั่วใบหน้าและร่างกายส่วนบนเหมือนคนตายอดตายอยากมานาน

“ให้ตายสิ คุณ เราเพิ่งเจอกันไปเมื่อก่อนกลางเดือนเองนะ”

เจร้องลั่นเมื่อเห็นรอยแดงช้ำจาง ๆ เป็นรูปนิ้วที่สะโพก คนตัวโตยิ้มแหย ๆ ด้วยรู้ตัวว่าตนเองเผลอตัวทำรุนแรงกับคนรักไปบ้าง แต่เมื่อครู่ตอนที่เขาได้ก้มลงหอมเรือนผมของเจนยุทธ เขาก็อดนึกถึงใครอีกคนที่ได้ทำท่าเดียวกันเย้ยเขาเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อนขึ้นมามิได้ มันทำให้เขารู้สึกอยากทำร่องรอยไว้บนร่างของอีกฝ่ายให้เหมือนกับเป็นการตีตราและประกาศว่าคน ๆ นี้เป็นของเขา แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่ความหึงหวงที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจกับความน้อยใจในตัวคนรักที่ไม่ค่อยจะระวังตัวเมื่ออยู่กับน้องรหัสคนนั้นทำให้สติของเขาหลุดไป

“ขอโทษจ้ะ”

คนตัวโตกระซิบเสียงผะแผ่ว เขาซบหน้าลงกับแผงอกที่รู้สึกได้ว่าแน่นขึ้น เขาไล้นิ้วไปตามรอยจูบสีแดงเข้มที่ตนทิ้งไว้จากการกอดปล้ำเมื่อครู่นี้อย่างเบามือก่อนที่จะจูบแผ่วเบาทับรอยเหล่านั้น สัมผัสเบาหวิวประหนึ่งขนนกที่ลากผ่านผิวส่วนอ่อนไหวทำให้เจอดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้

“ไม่เอาแล้วครับ จูบไปจูบมาแบบนี้ เดี๋ยวไม่ได้นอนกันพอดี ลุกครับ ลุก เก็บข้าวของก่อนจะได้นอนหลับพักผ่อน”

เจนยุทธดันร่างคนที่โอบรัดกายเขาอยู่ให้ลุกขึ้นแล้วจึงลุกขึ้นตาม

 


“คุณอ่ะ นี่มัน Hermes เลยนะครับ!”

เจนยุทธโวยเมื่อเห็นเสื้อเชิร์ตผ้าไหมที่เจ้าตัวถอดโยนไว้กับพื้นอย่างไม่ใส่ใจตอนที่เร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าก่อนจะพากันเข้าไปในห้องน้ำ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปรับเสื้อเชิร์ตแบรนด์ดังราคาแพงระยับจากมือเจนยุทธ เจโคลงหัวแล้วเดินไล่เก็บเสื้อผ้าที่ทั้งเขาและฆาเบียร์ถอดทิ้งไว้เป็นทางตั้งแต่หน้าประตูห้องมา

“นี่อีก เอามาโยนแบบนี้ได้ยังไง”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นเสื้อนอกแบรนด์เดียวกันที่ถูกโยนพาดไปกับตะกร้าขนมที่เขาวางไว้บนเคาเตอร์ครัว

“ดีนะไม่เปื้อน คราวหน้าโยนไปทางโต๊ะกาแฟนู่นนะครับ”

เจนยุทธบ่นพึมพำแล้วส่งเสื้อนอกสั่งตัดพร้อมทั้งกางเกงให้คนรัก

“ชุดนี้เก็บไปซักที่ฮ่องกงเองนะครับ ผมไม่ไว้ใจร้านซักรีดแถวนี้”

เจกำชับ ทุกครั้งที่ฆาเบียร์ใส่ชุดสูทสั่งตัดราคาเรือนแสนมา เขาจะบอกให้อีกฝ่ายเอากลับไปส่งซักที่ฮ่องกงแทนที่จะจัดการส่งซักแห้งให้เหมือนที่ทำกับสูททำงานธรรมดา ๆ ที่เจ้าตัวมักจะทิ้งเอาไว้เพื่อใส่กลับในคราวถัดไป



“ไม่เห็นเป็นไรเลย คราวที่แล้วที่เจเอาไปส่งซักให้ก็ออกมาโอเคนี่?”

“หือ ตัวไหนครับ?”

เจนยุทธทำหน้างง ทุกครั้งก่อนที่เขาจะเก็บชุดของฆาเบียร์ไปส่งซัก เขาจะดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่สูทแบรนด์เนมราคาแพงระยับเหล่านั้น

“คราวนู้นฉันทิ้งแจ็คเก็ตลำลองของ Kiton ไว้ เจก็ยังส่งซักแห้งให้ฉันได้ ออกมาก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ

“ไอ้เบลเซอร์สีฟ้าเบบี้บลูที่คุณใส่กับยีนส์มาคราวนู้นอ่ะนะ? ตายห่าน นั่นของแพงเหรอครับ?”

เจนยุทธตาเหลือก เขาลองพลิก ๆ ดูเสื้อนอกคนรักทิ้งเอาไว้แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นยี่ห้อที่ไม่คุ้นเคยจึงได้ส่งซักตามปกติเหมือนชุดสั่งตัดจากร้าน Sam’s หรือที่ฆาเบียร์ซื้อใส่แก้ขัดจากตามร้านทั่วไป

“ก็...แบรนด์อิตาเลียนน่ะ ไม่ต้องซีเรียสหรอกน่า ส่งซักตามปกตินั่นแหละ”

คนตัวโตพยายามพูดปัดไปเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งที่ทำให้คนรักต้องกังวลออกมา หากเจก็ได้วางเสื้อผ้าที่เขาหอบไว้ลงบนโต๊ะแล้วหยิบมือถือออกมาค้นหาชื่อแบรนด์นั้น



“ห๊ะ? ตัวละ 7,000 กว่าเหรียญ?”

เจนยุทธร้องเสียงหลงเมื่อเห็นราคาเสื้อนอกที่หน้าตาใกล้เคียงกันกับที่เขาส่งซักแห้งไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวบนเว็บไซต์ของห้างสรรพสินค้าดังในสหรัฐฯ

“ราคานี้แค่เสื้อไม่รวมกางเกงด้วย? ลมจะใส่”

ฆาเบียร์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นความดราม่าของเจ้าตัวดีที่ทำท่าเหมือนจะซวนซบลงกับเก้าอี้บาร์

“คนเรามันต้องใส่เสื้อผ้าแพงขนาดนั้นด้วยเหรอครับ?”

เจนยุทธถามเสียงอ่อย ๆ

“แหม ฉันก็มีแบบนี้ไม่กี่ตัวหรอกน่า โดยมากก็เอาไว้ใส่ไปงาน ที่เหลือก็สูทสั่งตัดหรือ made-to-measure ของแบรนด์ทั่ว ๆ ไปมั่ง หรือบางทีถ้าเจอพวกสูทแฟชั่นแบบที่ใส่ฉาบฉวยฉันก็ซื้อแบบ ready-to-wear มานะ...”

“เอ่อ อิแบรนด์ทั่ว ๆ ไปของคุณนี่ Armani Hermes Zegna อะไรพวกนี้ใช่ไหมครับ?”

เจขัดคอเมียตัวโตเขาอย่างหมั่นไส้ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วโน้มตัวลงโอบเอวคนที่นั่งทอดหุ่ยอยู่บนเก้าอี้บาร์

“ก็ พวกนั้นแหละจ้ะ มันติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่ทำงานสายประชาสัมพันธ์แล้ว นายต้องเห็นคนอื่นในสายงานเดียวกัน พวกนั้นแต่งตัวจัดกว่าฉันอีกนะ”

ฆาเบียร์เอาคางเกยไหล่คนตัวเล็กแล้วสูดดมกลิ่นแชมพูอ่อน ๆ จากเรือนผมของคนรัก เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก เขารู้ดีว่าแม้กระทั่งในปัจจุบัน ฆาเบียร์ก็ต้องรักษารูปลักษณ์ของตนในฐานะหน้าตาของบริษัท



“แล้วไอ้ made-to-measure มันต่างจาก bespoke ตรงไหนครับ?”

เจดึงคนรักให้ลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ตัวข้าง ๆ แล้วถามด้วยความสนใจ เขารู้ว่าแบบ bespoke คือการตัดขึ้นใหม่ตามแบบที่ลูกค้าต้องการโดยมีการเลือกแบบทุกอย่างได้ตามใจชอบตั้งแต่ปกเสื้อ ตำแหน่งกระเป๋า การตีเกล็ด และอื่น ๆ ส่วนการ made-to-measure นั้น เจทึกทักเอาว่ามันคงคล้ายกับการ ”วัดตัวตัด” ของไทย ซึ่งเขาก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะต่างกับการ bespoke ตรงไหน

“ต่างสิ การ made-to-measure หรือก็คือการ custom-made มันคือการดัดแปลงแพทเทิร์นที่มีอยู่แล้ว ถ้าฉันอยากได้สูทแบบนี้สักตัว ฉันก็จะไปที่ร้าน เลือกแบบที่อยากได้ จากนั้นก็วัดตัวเพื่อให้ช่างทำการแก้ไขหรือตัดชุดขึ้นใหม่จากแบบมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว โดยอาจจะเลือกชนิดผ้าอะไรพวกนี้เองได้...”

ฆาเบียร์ยกเสื้อนอกของ Hermes ที่เจเอาแขวนไว้กับพนักเก้าอี้มาเป็นตัวอย่าง

“ตัวนี้ฉันก็ไปเลือกแบบเอาจากชุดมาตรฐานที่เขามี แล้วก็วัดตัว...”

เจนยุทธฟังคนรักเล่าถึงกระบวนการสั่งตัดเสื้อผ้าของแบรนด์ดังอย่างเพลิดเพลิน

“ส่วน Kiton ตัววันนั้น นั่นก็เป็นแบบ made-to-measure เหมือนกัน เป็นคอลเลคชั่นฤดูร้อนปีนี้ มันจะแพงหน่อยเพราะว่าเจ้านี้เค้าดังเรื่องผ้าแคชเมียร์...”

Kiton แบรนด์ผู้ตัดเย็บชุดสูทจากเนเปิลส์ อิตาลีนั้น โด่งดังในเรื่องผ้าขนสัตว์ที่เรียกว่าแคชเมียร์ เป็นที่รู้กันว่าผ้าที่ทำจากขนชั้นในของแพะแคชเมียร์ของแบรนด์นี้มีความบางเบากว่าแบรนด์ไหน ๆ ทำให้ใส่สบายและชุดออกมาดูไม่หนาเทอะทะ แต่เสื้อนอกลำลองที่มีสนนราคากว่า 7,000 เหรียญของฆาเบียร์ตัวนั้นกลับเป็นผ้าแคชเมียร์ผสมกับลินินและไหมซี่งเหมาะกับการใส่ในฤดูร้อนมากกว่า เขาบอกเจนยุทธว่าเขาใส่เสื้อนอกตัวนั้นมาเชียงใหม่เพราะเขามาขึ้นเครื่องทันทีหลังจากนัดรับประทานอาหารกลางวันแบบไม่เป็นทางการกับท่านกงสุลสหรัฐฯ ประจำฮ่องกงและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ

“ฉันก็ลืมบอกนายไปซะสนิทเลยว่าไม่ต้องส่งซักให้ก็ได้”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ แว่บแรกที่เห็นเสื้อนอกตัวนั้นในถุงของร้านซักแห้งเขาก็อดใจหายวาบไม่ได้ แต่หลังจากเปิดสำรวจดูแล้วเขาก็เบาใจที่เห็นว่าทางร้านไม่ได้ทำเสื้อนอกราคาแพงระยับของเขาเสียหายหรือเสียทรง

“เขาก็ดูแลให้ดีอยู่นะ แต่คราวหลังฉันจะพยายามไม่ลืมแล้วกัน เจจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”

“ครับ ดีครับ คุณทิ้งไว้แค่สูททำงานธรรมดา ๆ ที่ตัดจากร้านแซมส์แล้วกันนะ อิพวกแบรนด์นี่ผมไม่กล้ายุ่งจริง ๆ ยิ่งพวกชื่อแปลก ๆ นี่ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นพวกเคาเตอร์แบรนด์ พอรู้งี้ ผมก็ไม่กล้าแตะแล้วอ่ะ”

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ เขารู้จักแค่แบรนด์ที่เป็นแบรนด์แฟชั่นอย่าง Hugo Boss Zegna Hermes หรือ Tom Ford แต่พวกแบรนด์ที่เป็นผู้ผลิตสูทโดยเฉพาะอย่าง Kiton นี้ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลยสักนิด

“แบบนั้นก็ได้จ้ะ ตามที่เจสบายใจเลยแล้วกัน”

“เห้ออออ ค่อยดีหน่อย ผมจะได้ไม่ต้องห่วงว่าจะไปทำสูทตัวละหลาย ๆ แสนของคุณพัง”

เจถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับเคาเตอร์บาร์



“เฮ้ออออออออออ!”

“เป็นอะไรไป หืมม์?”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วซบหน้าลงไปกับโต๊ะเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาของคนที่ตะแคงหน้ามาทำตาแป๋วมองเขา

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่กำลังคิดว่าไอ้เจ้าสูททั้งตู้ของคุณที่ฮ่องกงน่ะคงแพงกว่าน้องอัซซูรี่ของผมอีกน้า”

“ไม่ขนาดนั้นซักหน่อยน่า”

คนตัวโตพูดอ้อมแอ้ม ในหัวของเขากำลังคิดคำนวณถึงราคาเสื้อผ้าที่อัดแน่นอยู่ในตู้แล้วก็พบว่าตัวเองตอบปฏิเสธได้ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนัก

“พวกสูทแบบเป็นทางการที่ฉันสั่งตัดไว้ชุดนึงก็ใช้ได้หลายปีอยู่นะถ้ารูปร่างฉันไม่เปลี่ยน โดยปกติฉันก็จะใช้วิธีตัดเก็บ ๆ ไว้ปีละสองสามชุด พวกที่แพงหน่อยก็ชุดสองชุด ส่วนพวกลำลองหรือสูทแฟชั่น ก็แล้วแต่ว่าถูกใจหรือเปล่า ถ้าชอบก็ซื้อ...”

ฆาเบียร์ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มใสของคนที่ทำตาแป๋วฟังเขาอยู่

“โห งั้นที่เห็นที่ห้องคุณที่ฮ่องกงนี่คงสะสมมาเจ็ดแปดปีแล้วสิครับ กี่ตู้แล้วเนี่ย ทั้งในห้องทำงานแล้วก็ห้องนอน”

เจกระเซ้าคนรักที่ออกจะแฟชั่นจ๋าของเขา

“แหม ไม่ขนาดนั้นหรอก ก็พอมาอยู่ฮ่องกง ฉันก็เลือกตัดสูทร้าน Sam’s เพราะราคาดี คุณภาพก็ดี แถมอยากตัดเมื่อไหร่ก็ตัดได้ ไม่ต้องบินมาตัดเหมือนสมัยก่อน มันก็เลยล้นตู้อยู่แบบนี้ ตอนนี้ถ้าไม่ได้ออกไปพบปะใคร อยู่แค่ที่ทำงาน ฉันก็จะใส่สูทของที่นี่ แต่ถ้าวันไหนออกงาน ฉันถึงจะใส่สูทแบรนด์ ที่เห็นเยอะ ๆ นี่ก็ของร้าน Sam’s ทั้งนั้นนะ”

คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ เขาอดโคลงหัวไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าตัวเองออกจะเพลินกับการที่อยู่ใกล้แหล่งตัดเสื้อผ้าราคาถูกจนกระทั่งต้องเพิ่มขนาดตู้เสื้อผ้ามาหลายรอบแล้ว

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ เงินคุณ ความสุขคุณ อยากซื้อก็ซื้อไปเหอะ ผมเข้าใจน่าว่าคุณต้องแต่งตัวดี ๆ ตลอดเวลาเพื่อรักษาภาพลักษณ์ แค่ว่าวันไหนคุณใส่ของแพงมาก็บอกผมหน่อย จะได้ไม่ไปยุ่งกับมัน”

เจยิ้มบาง ๆ เขากวาดตามองคนตรงหน้าที่อยู่ในชุดอยู่บ้านแบบสบาย ๆ คือกางเกงสะดอและเสื้อยืดธรรมดาพลางคิดว่าเขาคงเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่เคยเห็นผู้บริหารหนุ่มคนนี้ในลุคสบาย ๆ แบบนี้



“ตายล่ะ ตีหนึ่งแล้ว เราเก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อยกันเถอะครับ”

เจนยุทธสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเวลาบนนาฬิกา กว่าพวกเขาจะกลับถึงห้องก็เกือบเที่ยงคืนแล้วแถมยังเสียเวลานัวเนียกันและอาบน้ำไปอีกร่วมชั่วโมง คนตัวเล็กโดดลงจากเก้าอี้บาร์แล้วหอบเสื้อผ้าที่พวกเขาสองคนถอดทิ้งไว้เป็นทางไปใส่ในตะกร้าผ้าโดยที่ไม่ลืมแยกชุดสูทแบรนด์ดังของฆาเบียร์ไว้ต่างหาก

“เอาถุงใส่สูทมาด้วยหรือเปล่าครับ? ถ้าไม่ได้เอามาจะได้เอาของที่บ้านให้ไปก่อน”

“เอามาจ้ะ อยู่ในกระเป๋า”

เจพยักหน้ารับคำพลางเดินไปยกกระเป๋าเดินทางขนาดกลางของฆาเบียร์ขึ้นวางบนเก้าอี้ยาวที่ปลายเตียง แม้จะรู้รหัสเปิด เขาก็ขยับกายออกให้เจ้าของกระเป๋าได้ทำการปลดล็อคด้วยตนเอง ฆาเบียร์ส่งถุงใส่ชุดสูทให้เจและปล่อยให้คนตัวเล็กจัดการกับสูทของเขาไป ส่วนตัวเองก็จัดการรื้อเอาของออกมาจากกระเป๋าเดินทาง

“เอ๊ะ ซื้อแชมเปญมาเหรอครับ?”

เจนยุทธทักขึ้นเมื่อเห็นขวดแชมเปญที่ฆาเบียร์หยิบออกมาวางบนเตียง เขายกขึ้นมาดูและพบว่ามันคือแชมเปญที่เขาเพิ่งได้ลองลิ้มชิมรสและขึ้นแท่นเป็นของโปรดใหม่ของเขาอย่าง Dom Perignon Rose

“เจอถูกมาเหรอครับ แล้วจะเปิดเมื่อไหร่ดีล่ะ? หรือว่าซื้อมาเก็บครับ?”

เจนยุทธถามเรื่อยเปื่อยไป เขาทำท่าสนใจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกขวดหนึ่งที่เห็นคอขวดแพลมออกมาจากใต้เสื้อผ้าในกระเป๋าของคนรัก เขาเอื้อมมือไปเพื่อหยิบมาดูแต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินคำตอบของคนรัก





(อ่านต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- First Anniversary (ต่อ) ----






“ฉันจะเอามาฉลองวันครบรอบเจอกันของพวกเราไงจ๊ะ ฉันมาเปิดแพลนเนอร์ดูแล้วก็นึกได้ว่ามันตรงกับวันที่เจกลับจากฮ่องกงพอดี ตอนนั้นเราไม่ได้มีโอกาสฉลองกัน ก็เลยจะเอามาเปิดตอนนี้แทน”

ฆาเบียร์พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากเขาก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักที่ค่อย ๆ เผือดสีลง

“เราไม่ต้องฉลองวันนั้นได้ไหมครับ? ผม ผมไม่ชอบวันนั้นเลย”

เจพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฆาเบียร์ถอนหายใจแล้วดึงคนรักให้นั่งลงเคียงข้าง

“นายยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ?”

เจนยุทธซึ่งมีใบหน้าเจื่อนจ๋อยพยักหน้าน้อย ๆ เขารู้สึกปวดใจขึ้นมาทุกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งเลวร้ายที่ได้กระทำกับคนตัวโตไปในครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน แม้ฆาเบียร์จะพยายามพร่ำบอกว่าเขาได้ยกโทษให้เจแล้ว หรือบางครั้งก็พูดติดตลกว่าตัวเขาเองก็เล็งที่จะปล้ำเจอยู่ด้วยเช่นกัน แต่มันก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่าเขาได้ข่มขืนฆาเบียร์ไปในครั้งนั้น

“ผม...ผมไม่อยากให้คุณจำวันนั้นเลย ผม ผมขอโทษจริง ๆ ครับ ฆาบี้ ผมมันเลว...”

ฆาเบียร์โอบคนรักที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไว้ในอ้อมอก เขาถอนใจเบา ๆ เขาอยากจะปลอบคนตัวเล็กให้หายเศร้า แต่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าความผิดบาปในใจนี้ไม่อาจลบเลือนไปได้โดยง่าย ตัวเขาเองที่เคยฉวยโอกาสล่วงละเมิดนพไปในขณะที่เจ้าตัวไม่มีสติเพียงพอก็ต้องทนกับความรู้สึกผิดบาปในใจมาเกือบ 20 ปี แม้จะได้รับการอภัยจากอีกฝ่ายและได้เคลียร์ใจกันไปแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่



“ถ้านายไม่อยากนึกถึงวันนั้นก็ได้ ตามใจนายนะ เจนยุทธ”

คนตัวโตดันร่างคนรักออกจากอ้อมอกแล้วหันให้อีกฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน เขายกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาหยดน้อย ๆ ที่ค้างอยู่ที่หางตาของอีกฝ่ายแล้วยกยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“งั้น เรานับเป็นวันพรุ่งนี้แทนดีไหม? วันที่ 27 พฤษภาคม วันที่ฉันได้ไปพบกับครอบครัวเจเป็นครั้งแรก วันที่ฉันได้บอกกับแม่นายว่าฉันอยากลองคบหากับนาย เรานับวันนี้เป็นวันครบรอบของพวกเราแทน หรือถ้านายยังไม่สบายใจ เอาเป็นเดือนกรกฎาก็ได้ ตอนที่นายไปหาฉันที่ฮ่องกงเป็นครั้งแรก หรือจะเป็นเดือนพฤศจิกาที่นายบอกว่านายรักฉันเป็นครั้งแรก เลือกมาเลยเจ เลือกมาเลยว่านายอยากให้วันไหนเป็นวันสำคัญของเรา”

ฆาเบียร์ร่ายออกมายาวเหยียด เจนยุทธหลบสายตาที่แฝงไปด้วยความเว้าวอนของเมียตัวโตของเขาแล้วหันมาจ้องมองมือใหญ่แข็งแรงที่กุมมือทั้งสองของเขาไว้แน่น

“ผม ผมไม่อยากเลือกเลยครับ ฆาบี้”

เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาที่มีแววฉงนของคนรัก

“สำหรับผมแล้วทุกวันที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคุณ มันคือวันสำคัญทั้งนั้น แต่ละวันที่อยู่ร่วมกันมันก็มีเหตุการณ์ที่ให้ได้จดจำหรือสิ่งสำคัญ ๆ ทั้งนั้น ผมเลยไม่รู้จะเลือกวันไหนดี...”

เจคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ฆาเบียร์ซึ่งก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาให้เขา

“งั้นเราฉลองกันทุกวันเลยก็ได้ เปิดแชมเปญมันทุกวันเลย ดีไหม?”

“บ้าสิคุณ เปลืองตายชักหรือคุณแค่จะหาเรื่องกินเหล้า หืมม์?”

เจหัวเราะเมื่อได้ยินคำแนะนำบ้าบอจากคนตรงหน้า



“เอางี้แล้วกัน ถ้าจะต้องเลือกสักวัน ผมเลือกวันที่ผมพาคุณไปหาแม่ก็ได้ เพราะผมก็อยากดื่มไอ้ขวดนี้เต็มแก่แล้วเหมือนกัน”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นคนรักหยิบขวดแชมเปญขึ้นมาดูพร้อมแลบลิ้นเลียปากด้วยท่าทีเปรี้ยวปาก

“ได้ งั้นเราจะฉลองกันทุกวันที่ 27 พฤษภาคมในฐานะวัน...วันอะไรดีจ๊ะ?”

“วันพบแม่ครับ”

เจตอบทันควัน ฆาเบียร์โคลงหัวให้กับความเล่นง่ายของคนรัก

“งั้นพรุ่งนี้เราชวนแม่มากินข้าวด้วยเลยดีไหม?”

“อืมม์ แม่ไม่อยู่ครับ ช่วงนี้แม่ไปเชียงรายกับพี่จืด กว่าจะกลับมาก็อีกสองสามวัน”

“เหรอ? เสียดายจัง อืมม์...”

ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิด

“งั้นชวนอิ่มใจมาแทนก็ได้”

“ได้ครับ งั้นผมชวนพี่นพด้วยดีกว่า เจ๊แกจะได้ดีใจ”

เจพูดยิ้ม ๆ ฆาเบียร์พยักหน้า เขาจำได้ว่าพี่สาวของคนรักนั้นหลงใหลในตัวเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขาคนนี้แค่ไหน

“เดี๋ยวผมจะไลน์ไปชวนไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ พอตื่นแล้วจะโทรไปอีกทีแล้วกันครับ”

“ดีจ้ะ งั้นเจไลน์ไป ฉันจะเก็บของต่อ เสร็จแล้วจะได้นอนกัน ฉันเริ่มง่วงแล้วล่ะ”

เจนยุทธพยักหน้ารับคำแล้วลุกไปหยิบโทรศัพท์มาจากหัวเตียง เขาก้มหน้าก้มตาส่งข้อความอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองคนรักด้วยความห่วงใย เขาลืมนึกไปเสียสนิทว่าฆาเบียร์นั้นได้ตื่นมาทำธุระเสียแต่เช้า



“ขอโทษนะครับ ฆาบี้ แทนที่คุณจะได้พัก ผมกลับลากคุณให้อยู่ต่อเสียดึก”

เจพูดเบา ๆ แทนที่เขาจะปล่อยให้คนตัวโตได้อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเสียทันทีตั้งแต่กลับถึงห้อง เขากลับเข้าไปนัวเนียและทำนั่นนี่เลยเถิดมาอีกนับชั่วโมง

“ไม่เป็นไรหรอกเจ ดีเสียอีกฉันจะได้นอนหลับสบาย”

คนตัวโตที่จัดการปิดกระเป๋าของตนแล้วยกไปวางไว้ข้างตู้เสื้อผ้าหันมายิ้มให้กับคนรัก เขาเดินกลับมาหาพร้อมกับหยิบขวดแชมเปญที่วางไว้บนเก้าอี้ปลายเตียงกับอีกขวดหนึ่งที่เขายกออกมาวางคู่กัน

“ยู้ดดด เดี๋ยวครับ ขอผมดูอีกขวดให้ชัด ๆ หน่อยซิ”

เจนยุทธทำตาโตเมื่อเห็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เขาสนใจตั้งแต่มันยังอยู่ในกระเป๋าในมือของคนรัก ฆาเบียร์ยกขวดแก้วกลมที่มีลายเป็นร่องเล็ก ๆ อยู่รอบขวดในมือขึ้นชูให้เจนยุทธดูฉลาก

“Hibiki!”

เจนยุทธอุทานชื่อวิสกี้สัญชาติญี่ปุ่นจากบริษัท Suntory ที่เขาใฝ่ฝันอยากลิ้มลองมานานออกมาแล้วเผ่นพรวดเข้าไปรับขวดจากมือคนรักมาพลิกดู

“เจชอบฮิบิกิเหรอ?”

ฆาเบียร์ถามเมื่อเห็นทีท่าลิงโลดของคนรัก หากเจนยุทธก็ส่ายหัวทันควัน

“ผมยังไม่เคยลองเลยครับ แต่เคยได้ยินคนนั้นคนนี้บอกว่ามันอร่อยมาก”

เจบอกว่าเขาเคยคิดอยากซื้อหามาลองชิมสักขวด แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ซื้อสักครั้ง

“ช่วงหลังมาผมบินไปเมืองนอกก็ออกจากสนามบินเชียงใหม่ เหล้ามีให้เลือกน้อย ไม่มีฮิบิกิ ส่วนพอกลับจากฮ่องกง ผมก็ลืมดูทุกที กะว่าครั้งหน้าถ้าไปจะไปสอยซักขวด พอดีคุณซื้อมาซะก่อน”

“ฉันก็ไม่รู้ว่านายอยากลอง ไม่งั้นจะซื้อตัว 17 ปี ไม่ก็ 21 ปีมาให้ นี่ฉันกะเอามาจิบ ๆ เล่นก็เลยเอาตัวเบสิคสุดมา”

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ เขาเลือก Hibiki Japanese Harmony ซึ่งเป็นวิสกี้เบลนด์ตัวล่างสุดในไลน์มา

“ไม่เป็นไรครับ แค่ตัวนี้ก็แพงจะแย่แล้ว”

เจนยุทธบอกว่าเขาเคยเห็นวิสกี้ญี่ปุ่นชนิดนี้ขายในร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยสนนราคา 8,000 บาทต่อขวด

“แพง! ฉันซื้อที่ฮ่องกงแค่พันเหรียญนิด ๆ เอง เหรียญฮ่องกงนะ”

ฆาเบียร์อุทานออกมาอย่างตกใจ เขายังคงทำใจให้ชินกับราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทยไม่ได้สักที ยิ่งเมื่อรู้ราคาในไทยเขายิ่งรู้สึกเสียดายที่ตนไม่ได้ซื้อรุ่นที่ดีกว่านี้มาให้เจนยุทธ

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมก็แค่อยากชิม ถ้าติดใจก็ค่อยขยับขึ้นไปซื้อตัวที่แพงขึ้น ว่าแต่ แหะ ๆ...”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ พร้อมทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย



“...เราเปิดชิมตอนนี้เลยได้ไหมอ่ะ?”

“พอเลย ไหนว่าจะนอนแล้วไง?”

ฆาเบียร์ฉวยขวดวิสกี้คืนมาจากมือคนตัวเล็กที่แกล้งทำหน้ามุ่ยทันทีที่โดนห้าม

“ใจร้ายชะมัดเลย เมียครับ”

เจนยุทธบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมปีนขึ้นไปนอนบนเตียงแต่โดยดี ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วเดินเอาทั้งแชมเปญและวิสกี้ไปเก็บในครัวก่อนจะเดินกลับมาขึ้นเตียง

“พรุ่งนี้ก็ได้ดื่มแล้วน่า อย่างอนฉันเลยนะ Mi alma”

คนตัวโตกอดเอวคนที่ทำท่างอนด้วยการนอนหันหลังให้ เจซึ่งพยายามทำท่าทีไม่สนใจหัวเราะคิกออกมาเมื่อคนตัวโตใช้หัวดุนดันหัวไหล่และต้นคอเขาเบา ๆ เหมือนแมวที่พยายามอ้อนเจ้าของ

“ไม่งอนแล้วครับ”

เจหันกลับมาจุ๊บปากคนรักแผ่ว ๆ ฆาเบียร์จูบตอบอย่างยาวนานขึ้นอีกนิด

“คิดถึงฉันไหม? เจนยุทธ”

“คิดถึงสิครับ คิดถึงทุกลมหายใจเลย”

เจตอบพร้อมรัดร่างคนในอ้อมกอดแน่นขึ้น ฆาเบียร์ซุกหน้าลงกับบ่าของอีกฝ่ายพร้อมสูดดมกลิ่นกายของคนตัวเล็กเหมือนจะให้กลิ่นนี้ประทับเข้าไปในใจของเขา

“ฉันก็คิดถึงเจนะ”

ฆาเบียร์พูดงึมงำ เจลูบเรือนผมสีน้ำตาลอันเรียบลื่นเหมือนแพรไหมของคนรักเบา ๆ เขากดจูบเข้าที่ขมับแล้วซบหน้านิ่งอยู่กับศีรษะของอีกฝ่าย

“นอนเถอะครับ ดึกแล้ว”

หลังจากกอดจูบคนรักจนหายคิดถึงแล้ว เจจึงคลายอ้อมกอดแล้วขยับให้อีกฝ่ายอยู่ในท่าที่นอนถนัด ฆาเบียร์จัดท่าทางของตนแล้วจึงดึงคนรักขึ้นมานอนแนบอก

“Buenas noches, mi vida”

“ฝันดีครับ ที่รัก”

ทั้งสองกล่าวคำราตรีสวัสดิ์เพื่อส่งอีกฝ่ายเข้านอนก่อนจะหลับตาลงด้วยความรู้สึกสบายใจ พวกเขารู้ดีว่าคืนนี้พวกเขาจะนอนหลับได้อย่างสนิทที่สุดโดยมีคนรักอยู่ข้างกาย




-----------------------------------------

ลงให้อ่านก่อนนะคะ ส่วนพวกส่วนเสริม ตรวจคำต่าง ๆ จะตามมาดึก ๆ กว่านี้ แหะ ๆ อยากลงภายในเที่ยงคืนวันนี้ค่ะ (สำหรับผู้อ่านเล้าเป็ด ลงไม่ทันวันครบรอบฯ หนึ่งปีปรมาจารย์ลัทธิมารนะคะ แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้แพลนให้มันตรงกันพอดีค่ะ บังเอิญจริง ๆ)

วันนี้เรามาพูดเรื่องสูทก่อนเนาะ ที่ยกมาเขียนใหม่นี่ไม่ใช่อะไรค่ะ ไปได้นิตยสารจีนมาเล่มนึง เล่มบ๊างบาง เปิดหน้าแรกมา ผ่างงง เจอโฆษณารถโรลสรอยซ์ ก็คิดว่าโอ้ หนังสือไฮโซ เปิดไปอีกนิด เจอโฆษณาสูทยี่ห้อ Kiton ตอนแรกก็งง ยี่ห้อไม่คุ้นเลยฟังดูไม่แพง ทำไมลงในเล่มเดียวกับโรลส์เลยเหรอ? ก็เลยเอาไป search ดู เห็นราคาแล้วขนลุกเลยค่า คุณผู้อ่าน แล้วก็เลยเปิดอ่านอีกเรื่อย ๆ สรุปว่าที่เคยมองว่าพวกสูทแอร์เมส ทอม ฟอร์ด อาร์มานี่ เซนญาพวกนี้แพงแล้ว เจอพวกแบรนด์สูทโดยเฉพาะพวกนี้แล้ว บางเจ้าราคาโหดกว่าแบรนด์ดังเยอะเลย แต่อย่างว่า ความแพงมันมาพร้อมกับการที่เลือกได้สารพัด ดูตัวอย่างได้จากคลิปสองคลิปนี้ค่ะ

พาชมช็อป Kiton ที่นิวยอร์คพร้อมกับดูขั้นตอนการทำสูท https://www.youtube.com/watch?v=eXo7g3_reY0

คุณตือ สมบัษรพาชมช็อปทอม ฟอร์ด ที่เซ็นทรัล เอมบาสซี่ ส่วนของการสั่งสูทแบบ Made-to-measure เริ่มตั้งแต่นาทีที่ 14:11 เป็นต้นไปนะคะ https://www.youtube.com/watch?v=w6GqG3C-eE4

สูทที่แพงที่สุดในโลก แต่พวกนี้มักเป็น Bespoke ที่ใส่อัญมณีเข้าไปด้วยหรือใช้ผ้าเฉพาะหายากสุด ๆ นะคะ ส่วนของแบรนด์ Kiton นั้น ผ้าที่แพงมากของเขาที่ใช้ทำสูทตัวละ 5 - 6 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ เรียกว่า vicuña ทำมาจากขนของตัว vicuña สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับตัวลามะและอัลปากาที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ค่ะ https://bit.ly/3eLrV1N

แต่สูทพวกนี้ถึงจะแพงอะไรแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่ามันพอดีกับผู้สวมใส่แค่ไหน เมื่อกี้ตอนหา ๆ อ่านดูก็ไปเจอประโยคถูกใจ ประมาณว่า "สูทราคาหมื่นเหรียญที่ตัดเย็บไม่พอดีกับผู้ใส่ก็สู้สูทหลักร้อยเหรียญที่พอดีตัวและตัดเย็บดีไม่ได้" ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจที่ชาวต่างชาติจำนวนมากที่ต้องใส่สูทเป็นประจำจะเลือกบินมาตัดสูทที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับร้านฝีมือดีแถบเอเชีย โดยเฉพาะร้านที่น่าเชื่อถืออย่าง Sam's (ฮ่องกง)  แล้วเก็บสูทราคาแพงระยับไว้สำหรับโอกาสพิเศษค่ะ

ส่วนที่กรุงเทพฯ เราก็เป็นอีกแหล่งที่ชาวต่างชาตินิยมมาตัดสูทแบบ Made-To-Measure Bespoke กันนะคะ ลองค้น ๆ ดู เห็นแนะนำกันหลายเจ้าเหลือเกิน ก็ขอยกมาแค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ https://bit.ly/2BmeyXu

สุดท้ายนี้ ก็ขอลงรูปจากร้านแจ่วฮ้อนหนองหอยเพิ่มอีกหน่อย เป็นของที่ในเรื่องไม่ได้กิน สองช่องบนคือของไม่แนะนำคือส้มตำ (ในรูปน่าจะเป็นตำลาว จำได้ว่าหวาน เซ็งมากค่ะ) และแหนมหมกที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัวเพราะหนังมันน้อยไปหน่อย แถวล่างคือ "น้ำเก๊กฮวย" ที่บอกไปด้านบนแล้วว่าอันที่จริงไม่ควรปล่อยให้เย็นจัดเพราะกลิ่นรสมันจะหายหมด แต่ถ้าร้อนนัก เลี่ยงไม่ได้ เปรี้ยวปากอยากดื่มเหลือเกินก็ดื่มไปเถอะค่ะ ส่วนรูปสุดท้ายคือซุปหน่อไม้ ของที่นี่เขามีแบบใส่แมงดานาด้วย ถ้ากินก็จะสั่งประจำ อร่อยเหมือนกันค่ะ






ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ของกินแต่ละรอบ ทำเอาอยากไปเชียงใหม่เลย

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- เช้านี้เจกินอะไร? ----

 


“เย็น!”

ฆาเบียร์พูดงึมงำออกมาเบา ๆ ทั้งที่ยังหลับตาเมื่อรู้สึกถึงปลายเท้าเย็น ๆ ของคนข้างกายที่สัมผัสเข้ากับหลังเท้าของเขา เขาลืมตาขึ้นมองแล้วก็ต้องส่ายหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นเจนยุทธที่นอนขดตัวงออยู่นอกผ้าห่ม

“เจ ห่มผ้าด้วย”

คนตัวโตเขย่าตัวคนรักเบา ๆ แต่เจก็ไม่มีทีท่าจะตื่น

“ฝันว่ากินอยู่ล่ะสิ”

ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เมื่อเจ้าตัวดีของเขาละเมอพูดออกมาเป็นภาษาไทยแถมยังเคี้ยวปากแจ๊บ ๆ เขายกนาฬิกาขึ้นดูเวลาก่อนจะเอนกายลงนอนต่อพร้อมกับดึงรั้งร่างคนตัวเล็กให้เข้ามาซบแนบอก

“ตัวเย็นหมดแล้ว”

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ พร้อมกระชับอ้อมกอดเข้าเพื่อให้ไออุ่นกับร่างที่เย็นเยียบเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ตั้งไว้ 20 องศา

“ขี้ร้อนจริง ๆ นะเรา”

คนตัวโตบ่นแล้วจุมพิตเรือนผมดำขลับด้วยความเอ็นดู ทุกครั้งที่เข้านอนพร้อมกัน พวกเขาจะนอนกอดกันจนกระทั่งผล็อยหลับไป หากหลังจากนั้น แต่ละคนก็จะพลิกกายนอนในท่าที่ตนเองถนัด ตัวเขานั้นมักจะนอนหงายหรือนอนตะแคงนิ่ง ๆ จนถึงเข้า หากเจนยุทธนั้นค่อนข้างนอนดิ้น ยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่บางครั้งเครื่องปรับอากาศไม่สามารถทำอุณหภูมิได้ตามที่ต้องการ คนขี้ร้อนอย่างเจก็มักจะถีบผ้าห่มออก แล้วสุดท้ายก็ต้องมานอนขดตัวด้วยความหนาวจนฆาเบียร์มาลากกลับเข้าผ้าห่ม หรือไม่เจ้าตัวก็รู้ตัวตื่นเองแล้วคลานกลับเข้ามาซุกอกคนรักเพื่อหาไออุ่น



“เช้าแล้วเหรอครับ?”

เจที่เพิ่งรู้ตัวตื่นขึ้นถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุนพร้อมเหยียดกายบิดขี้เกียจ

”เพิ่งจะหกโมงครึ่งจ้ะ เจนอนต่อเถอะ”

ฆาเบียร์พูด เขาใช้ฝ่ามืออันอบอุ่นประกบถูตามร่างกายของคนรักตามความเคยชินของคนเคยอยู่เมืองหนาว เจหัวเราะคิกเมื่อปลายนิ้วของฆาเบียร์ที่ใช้ฝ่ามือประกบแก้มเย็น ๆ ของเขาเขี่ยไล้เข้าที่ซอกคอ คนตัวโตซ่อนยิ้ม เขาใช้นิ้วโป้งค่อย ๆ เกลี่ยไล้แก้มนิ่ม ๆ และลากไล้มาเขี่ยวนเบา ๆ ที่ต้นคอและหลังใบหูของคนที่เริ่มตื่นเต็มตาแล้ว

“ไหนว่าจะให้ผมนอนต่อไง”

คนตัวเล็กประท้วงเบา ๆ หากคนตัวโตไม่สนใจ จากใช้ฝ่ามือให้ความอบอุ่น เขาเปลี่ยนเป็นใช้ริมฝีปากร้อนผ่าวค่อย ๆ ประทับจูบและเลาะลากไปตามซอกคอและพวงแก้มของคนรัก

“อืมม์...”

เจนยุทธส่งเสียงเบา ๆ อย่างเคลิบเคลิ้มเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวประกบเข้ากับส่วนเดียวกัน เขาส่งเรียวลิ้นเข้าพันพัวกับลิ้นหนาของฆาเบียร์ที่ส่งเข้ามาในโพรงปาก

“อุ่นขึ้นหรือยัง?”

คนตัวโตถามยิ้ม ๆ เมื่อรู้สึกถึงแก่นกายภายใต้กางเกงในสีขาวของเจนยุทธที่ดุนดันหน้าขาของเขา หากก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมือที่เริ่มร้อนผ่าวของเจตะปบหมับเข้าที่ก้อนเนื้อหนั่นแน่นทั้งสองของเขา ก่อนจะค่อย ๆ บีบเคล้นเล่นอย่างสนุกมือ

“คิดว่าแกล้งเป็นอยู่คนเดียวเหรอครับ mi carino”

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ ให้คนรัก ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อมือนิ่ม ๆ ของอีกฝ่ายเริ่มลวนลามเขาหนักขึ้น

“เฮ้ ๆ ใจเย็นสิจ๊ะ”

ฆาเบียร์คว้าข้อมือของเจนยุทธมากำไว้แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแพรวพรายของคนรัก

“ยั่วกันแบบนี้ อยากทำเหรอ?”

“อื๊อ ไม่อ่ะ อยากแกล้งคุณมากกว่า”

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นยีผมของคนที่หัวเราะคิกคักพร้อมกับทำหน้าเป็นอย่างน่าหมั่นไส้

“เอ้า เล่นพอแล้วก็นอนต่อซะ”

ฆาเบียร์ดึงร่างเจ้าตัวยุ่งของเขาเข้ามาแนบอก เจจุ๊บเบา ๆ ที่ปลายคางของคนรักก่อนจะซบหน้าลงกับอกกว้างที่เขาอาศัยอิงแอบต่างหมอน

“ของีบอีกซักชั่วโมงนะครับ”

เจพูดแล้วหาวออกมาเบา ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วปล่อยให้คนตัวเล็กน้อยหลับต่อ หากตัวเขาเองกลับนอนไม่หลับ หลังจากดูให้แน่ใจว่าเจหลับสนิทแน่แล้ว เขาก็ค่อย ๆ ขยับกายไปหยิบไอแพดของตนขึ้นมาเปิดดูอีเมล์เรื่องงานที่ยังคงคั่งค้างอยู่

“แปดโมงแล้ว”

คนตัวโตรำพึงเบา ๆ เขาวางไอแพดกลับไปบนโต๊ะหัวเตียงแล้วจึงค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงโดยไม่ให้เจนยุทธตื่น หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ เขาก็ค่อย ๆ ย่องออกจากห้องนอนไป


 

“ทำอะไรอยู่ครับ”

ฆาเบีนร์ที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารในครัวหันมายิ้มให้กับคนที่ยืนหาวหวอด ๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องนอน

“ฉันว่าจะทำไข่กวนจ้ะ หรือว่าเจอยากได้ไข่ดาวมากกว่า? หรือว่าออมเล็ตดีไหม?”

คนตัวโตถามพลางตระเตรียมของที่ต้องใช้ เจเดินเข้ามาในครัว เขาจ้องมองร่างกำยำภายใต้ผ้ากันเปื้อนลายนักรบโรมันแล้วต้องกลืนน้ำลายน้อย ๆ ภายใต้ผ้ากันเปื้อนนั้นมีเพียงกางเกงสะดอหรือกางเกงเลบาง ๆ ที่เน้นให้เห็นว่าภายใต้เนื้อผ้าชั้นนั้นคือกล้ามเนื้อก้นแน่น ๆ ที่เขาชอบคลึงเคล้นเล่นยามนอน แผงอกหนาเปลือยเปล่าใต้ผ้ากันเปื้อนนั้นก็ช่างดูเย้ายวน โดยเฉพาะเมื่อยอดอกสีแทนของเจ้าตัวโผล่ออกมาให้เขาเห็นรำไรยามที่เขามายืนมองจากด้านข้าง เจถอนหายใจเฮือก เขาเคยมีแฟนตาซีกับสาว ๆ ในชุดผ้ากันเปื้อนและชุดชั้นในตัวจิ๋ว แต่ก็ไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะสามารถใจเต้นระรัวกับร่างบึกบึนของผู้ชายในผ้ากันเปื้อนได้

“เครื่องเคียงเอาเป็นเบค่อนแล้วกันนะ เมื่อกี้เปิดเจอในตู้เย็น ใกล้หมดอายุแล้ว รีบ ๆ กินดีกว่า เสียดายของ”

ฆาเบียร์หันมายกซองเบค่อนที่มีเหลืออยู่ห้าหกชิ้นให้คนที่ยืนมองเขาไม่วางตาดู หากเจส่ายหน้าน้อย ๆ

“I think I want sausage and eggs for breakfast”

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ หากคนตัวโตขมวดคิ้ว

“ไส้กรอกเหรอ? ฉันไม่เห็นมีในตู้เย็นเลย หรือว่าจะอยู่ในช่องฟรีซ”

ฆาเบียร์พาซื่อถามไป แต่ก่อนที่เขาจะทันหันตัวเดินไปดูที่ตู้เย็นอีกครั้งเจนยุทธก็เดินยิ้มเผล่เข้ามาประชิดกาย



“I meant ‘these’ sausage and eggs…”

ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อถูกมือของเจ้าเด็กลามกตะปบเข้าที่หว่างขา สายตากรุ้มกริ่มของเจทำให้เขารู้สึกร้อนวาบขึ้นมาทันที

“อยาก ‘กิน’ จริง ๆ เหรอ เจนยุทธ”

คนตัวโตถามเสียงกระเส่า เจยักคิ้วแผล็บแทนคำตอบพร้อมแลบลิ้นเลียปากช้า ๆ อย่างยียวน เขาดันร่างคนรักให้กึ่งยืนกึ่งนั่งบนเก้าอี้บาร์ ก่อนที่จะคุกเข่าลงและมุดกายเข้าไปใต้ผ้ากันเปื้อน คนตัวโตสูดปากน้อย ๆ เมื่อมือร้อนผ่าวของเจนยุทธค่อย ๆ คลึงเคล้นและปลุกส่วนอ่อนไหวของเขาจนชูชันอยู่ภายใต้ผ้าเบาบางของกางเกงสะดอ

“เฮ้ ๆ กางเกงฉันเปียกหมดสิแบบนี้”

ฆาเบียร์ประท้วงน้อย ๆ เมื่อเจส่งปลายลิ้นไปเขี่ยวนไล้จนเขารู้สึกได้ว่าผ้าบาง ๆ ที่กางกั้นระหว่างส่วนสงวนของเขากับเรียวลิ้นของเจเริ่มชื้นแฉะขึ้นมา เขาโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากใต้ผ้ากันเปื้อน

“ขี้แกล้งจริงนะ”

คนตัวโตขยี้หัวทุย ๆ ของเจนยุทธผ่านผ้ากันเปื้อนส่วนที่โป่งนูนขึ้นมาแต่ก็ต้องซี้ดปากเมื่อถูกคนขี้แกล้งทำร้ายส่วนอ่อนไหวของตนโดยการงับเบา ๆ

“โอเค ๆ ไม่แกล้งก็ได้ครับ”

เจหัวเราะเบา ๆ แล้วค่อย ๆ แกะเชือกมัดกางเกงของคนรักออกและดึงรั้งกางเกงสะดอเนื้อบางลงจนแก่นกายที่ตั้งชันของฆาเบียร์ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาค่อย ๆ จูบไล้ตามลำอย่างทะนุถนอม ฆาเบียร์สยิวกายขึ้นน้อย ๆ ยามที่เจพ่นลมหายใจแผ่วเบารดส่วนปลายไวต่อสัมผัสก่อนที่จะส่งปลายลิ้นไปหยอกเย้า



“อืมม์ ดี เยี่ยมมาก”

เสียงครางผะแผ่วจากปากของฆาเบียร์ค่อย ๆ ดังขึ้นยามที่เจค่อย ๆ ดูดกลืนแท่งลำของเขาเข้าลึกลงไป คนตัวโตจิกเท้าเกร็งอย่างลืมตัว มือของเขากำส่วนที่คาดว่าเป็นไหล่ของคนรักภายใต้ผ้ากันเปื้อนเนื้อหนาไว้จนแน่น การที่เขามองไม่เห็นสิ่งที่เจกำลังทำอยู่ทำให้เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้น อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนจะรับรู้ถึงสัมผัสของเจนยุทธได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

“อ๊ะ เจ...”

ฆาเบียร์ครางกระเส่าและเสยสะโพกขึ้นอย่างลืมตัวเมื่อรู้สึกถึงแรงดูดจากโพรงปากของเจ เขาส่งเสียงขอโทษขอโพยเมื่อถูกอีกฝ่ายหยิกเบา ๆ ที่หน้าขา แต่ก็ต้องเด้งสะโพกขึ้นอีกครั้งเมื่อเจนยุทธเร่งเดินหน้าจัดการกับ “มื้อเช้า” อย่างไม่ปราณี

“That’s it, baby…Gosh! You’re so good”

คนตัวโตคำรามลั่น เขาพยายามข่มใจไม่ให้กดหัวอีกฝ่ายให้กลืนกินตัวตนของเขาลึกเข้าไปตามอารมณ์ปรารถนาที่พุ่งขึ้นสูง แม้จะยังนับว่าเป็น “มือใหม่” ในทางนี้ หากเจนยุทธก็ช่างรู้จักตัวตนและความชอบของเขาดีจนทำให้เขาแทบคลั่งได้ทุกครั้งที่สัมผัส



“นี่ แล้วจะปล่อย 'นี่' ไว้แบบนี้เหรอ?”

ฆาเบียร์ที่หายใจหายคอได้บ้างเมื่อคนรักลดจังหวะลงถามพร้อมกับใช้ปลายเท้าสะกิดเบา ๆ ไปที่กลางกายที่โป่งพองจนดันกางเกงบอลของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา

“ก็มือผมไม่ว่างอ่ะ ทิ้งมันไว้งั้นก็ได้ครับ ผมอยากให้คุณเสร็จก่อน”

เจนยุทธโผล่หน้าออกมาจากใต้ผ้ากันเปื้อนแล้วยิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์ส่ายหัวน้อย ๆ แล้วดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น เขาขยับขึ้นนั่งเต็มก้นบนเก้าอี้บาร์ จากนั้นเลิกผ้ากันเปื้อนขึ้นแล้วจัดท่าให้อีกฝ่ายขึ้นนั่งคร่อมตัก

“ฉันไม่อยากมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ...”

คนตัวโตพูดแล้วจุ๊บเบา ๆ ที่ปากรูปกระจับช่างจำนรรจา เจยิ้มกว้างแล้วยกแขนขึ้นโอบรอบคอคนรัก ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วใช้แรงยกสะโพกอีกฝ่ายขึ้นแล้วดึงขอบกางเกงบอลลง

“คึกแต่เช้าเลยนะ”

ฆาเบียร์ยิ้มยั่ว พลางใช้มือกอบกุมแก่นกายของคนรักและปลุกมันจนตื่นตัวเต็มที่

“เอ๊ ผมบอกแล้วว่าห้ามเทียบกัน”

เจซึ่งง่วนอยู่กับการจูบ ๆ หอม ๆ แก้มและซอกคอของคนตัวโตหันมาแว๊ดเมื่อฆาเบียร์พยายามเทียบสัดส่วนของพวกเขาทั้งสองคน ถึงเจจะมั่นใจในความเป็นชายของตนแค่ไหน แต่มันก็ยังเทียบกับหนุ่มตะวันตกอย่างฆาเบียร์ไม่ได้อยู่ดี

“อ้าว ก็นายพูดกรอกหูฉันตลอดว่า size doesn’t matter แล้วจะโวยทำไม? โอ๊ย!”

ฆาเบียร์ร้องลั่นเมื่อเจ้าตัวดีเกิดมันเขี้ยวงับคอเขาเข้ากร้วมใหญ่

“ทำดี ๆ ครับ ฆาบี้ ไหนว่าจะสุขไปด้วยกันไง”

เจหัวเราะแล้วใช้ปลายลิ้นเขี่ยดุนติ่งหูอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ต่อ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วปล่อยให้เจ้าตัวดีจูบ ๆ หอม ๆ และเล่นกับยอดอกเปลือยของเขาไปตามใจ ส่วนตัวเองก็ใช้อุ้งมือใหญ่กอบกุมส่วนสงวนของพวกเขาเข้าด้วยกันแล้วจัดการรูดไล้ ไม่นานเจก็เริ่มส่งเสียงครางเบา ๆ ออกมาบ้าง ฆาเบียร์เผยอปากรับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ประกบเข้ามาเมื่ออารมณ์ของพวกเขาพุ่งขึ้นสูงสุด พวกเขาแลกลิ้นกันอย่างดุดันก่อนที่จะปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน



“ผ้ากันเปื้อนคุณนี่กลายเป็นผ้ากันของอื่นเปื้อนซะแล้วนะเนี่ย”

เจหัวเราะคิกคักเมื่อฆาเบียร์ค่อย ๆ ถอดผ้ากันเปื้อนที่เลอะเทอะจากด้านในออก

“ก็ใครอยากเล่นซนก่อนล่ะ หืมม์?”

คนตัวโตจุ๊บเบา ๆ ที่ข้างแก้มกลม ๆ ของคนรักซึ่งเอียงแก้มรับเป็นอย่างดี

“มา ๆ เดี๋ยวผมเอาไปจัดการก่อน ส่วนคุณ ทอดไข่ไปครับ ผมเอาไข่กวนสองฟอง เบค่อนสี่เส้นนะ”

หลังจากสั่งอาหารเสร็จสรรพ เจก็จัดการหอบกางเกงบอลและผ้ากันเปื้อนที่เปื้อนคราบกิจกรรมของพวกเขาเข้าไปในห้อง ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วจัดการใช้ทิชชู่ทำความสะอาดตัวเอง เขาดึงกางเกงสะดอขึ้นสวม จัดการล้างมือล้างไม้แล้วจึงลงมือทำอาหารตามบัญชาของคนรักโดยไม่ลืมหยิบผ้ากันเปื้อนผืนใหม่มาสวมด้วย

 

“เฮ้อ ไข่กวนใส่ชีสแบบนี้นี่อร่อยชะมัด ไม่ได้กินตั้งนานแล้วนะเนี่ย”

เจยิ้มร่าพร้อมกับยกจานที่เคยเต็มไปด้วยไข่เจียวชีสยืด ๆ ขึ้นกวาดไข่ส่วนที่เหลือลงในจานตนเอง ถึงมันจะไม่ใช่ของยาก แต่เจก็ไม่ค่อยได้ทำอาหารเช้ากินเองบ่อยนักเนื่องจากความขี้เกียจ ถ้าไม่กินแค่คอนเฟลคกับโยเกิร์ตหรือนม ก็เป็นพวกขนมปังปิ้งหรือแซนวิชง่าย ๆ แต่ส่วนมากแล้วเขาก็มักจะรวบมื้อเช้าไปกินพร้อมมื้อเที่ยงเลยมากกว่า หากเมื่อฆาเบียร์กลับมาเชียงใหม่ พวกเขาก็มักจะใช้เวลาทำและกินมื้อเช้าไปด้วย อย่างวันนี้ แม้เจจะพูดสั่งฆาเบียร์ปาว ๆ ว่าให้ทำนั่นทำนี่ แต่เขาก็รีบเข้าไปจัดการกับเสื้อผ้าเปื้อนแล้วรีบออกมาช่วยคนรักทำอาหาร

“ดีที่เจมีพวกเชดดาร์ชีสติดตู้เย็นไว้ถึงทำไข่กวนชีสแบบนี้ได้ ว่าแต่พอหรือเปล่า? เอาเพิ่มไหม? เดี๋ยวฉันทำให้อีกได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกินเยอะแล้วล่ะ”

เจนยุทธพูด ฆาเบียร์ทำไข่กวนมามากกว่าที่เขาสั่งพอสมควรโดยใช้ไข่มากถึงหกฟองทำให้ได้ไข่กวนมาเต็มกระทะ สองในสามส่วนนั้นเป็นเจจัดการกินเสียเกือบเกลี้ยง

“แล้วผมชอบที่คุณทอดเบคอนจนกรอบแล้วทำเป็นเบค่อนบิทส์มาโรยหน้า มันใช่มากเลย”

เจทำตาชวนฝันแล้วยกขนมปังปิ้งที่โรยหน้าด้วยไข่กวนชีสยืด เบค่อนและอโวคาโดหั่นบางขึ้นกัดพร้อมกับชมไม่หยุดปาก

“ฉันทำแบบนี้ เจชอบไหม?”

ฆาเบียร์กวาดตามองมื้อเช้าของเขาที่วางอยู่บนเคาเตอร์บาร์ เจนยุทธพยักหน้าระรัวรับคำ คนตัวโตทำไข่กวนของเขาเสร็จแล้วเสิร์ฟมันพร้อมกับเครื่องเคียงอีกหลายอย่าง เขาเตรียมทั้งขนมปังปิ้ง เบค่อน มะเขือเทศหั่นชิ้นที่เขาเอาเข้าอบในเตาติ๊งในช่วงที่กำลังทอดไข่และเบค่อน และอย่างสุดท้ายคืออโวคาโดหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อที่จะได้กินไข่กวนได้หลากหลายแบบ นอกจากกินเปล่า ๆ กับเบค่อนและมะเขือเทศแล้ว เขายังสามารถทำมันเป็นแซนวิชเปิดหน้าโดยเลือกใส่อโวคาโด มะเขือเทศ และเบค่อนกรอบได้ นอกเหนือจากนั้นเจยังได้อุ่นเอาหมูแดงจากฮ่องกงที่เหลืออยู่น้อยนิดมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ แล้วโรยหน้าไข่กวนของเขาอีก



“ไว้คราวหน้าฉันจะเอาหมูแดงมาให้อีกดีไหม?”

ฆาเบียร์พูดเมื่อเห็นเจค่อย ๆ ละเลียดกินหมูแดงแสนอร่อยอย่างเสียดาย แต่เจนยุทธส่ายหน้าน้อย ๆ

“ไม่เอาล่ะครับ กินบ่อย ๆ เดี๋ยวเบื่อก่อน เอาเป็นห่านย่างหรือไส้กรอกตับร้าน Kam’s แทนแล้วกัน”

“ฮ่ะ ๆ ฉันก็นึกว่านายจะบอกว่า ‘ไม่เอาเลยแล้วกันครับ’ เสียอีก”

คนตัวโตยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางเก็บจานชามไปเตรียมล้างคราบมันก่อนจะเอาใส่เครื่องล้างจาน

“แหม แฟนเสนอทั้งที ผมก็ต้องสนองสิครับ”

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ แล้วช่วยยกจานที่เหลือไปไว้ที่ข้างซิงค์น้ำ เขายืนยิ้มมองผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ในชุดผ้ากันเปื้อนที่กำลังล้างจานอย่างขะมักเขม้นพลางนึกในใจว่าตัวเขานั้นโชคดีนักที่มีโอกาสได้เห็นภาพที่น้อยคนนักจะได้เห็นแบบนี้



“ขอบคุณสำหรับมื้อเช้าครับ”

เจเดินเข้าโอบเอวฆาเบียร์ซึ่งกำลังเรียงจานลงเครื่องล้างจานจากด้านหลังแล้วจรดจูบแผ่ว ๆ ลงที่แผ่นหลังกว้าง ฆาเบียร์อมยิ้ม เขาปิดฝาเครื่องแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนรัก

“เจหมายถึง ‘มื้อ’ ไหนล่ะ?”

คนตัวโตยิ้มกริ่มและใช้มือโอบเอวร่างเพรียวตรงหน้าไว้บ้าง

“ไข่กวนสิ ไข่กวน ชิ ตาลุงนี่”

เจนยุทธบ่นอุบอิบใส่ “ตาลุงลามก” พร้อมทั้งเบือนหน้าหนีไปจากสายตาแพรวพรายที่จ้องเป๋งอยู่ที่ริมฝีปากของเขา

“เหรอ ฉันก็นึกว่านายหมายถึง sausage and eggs…จะว่าไป เมื่อกี้ฉันยังไม่ทันได้ดูตอนนาย ‘กิน’ ชัด ๆ เลย เลยไม่รู้ว่ามันอร่อยไหม?”

เจหน้าร้อนผ่าวเมื่อหัวแม่มือของคนรักเขี่ยไล้เข้าที่ริมฝีปาก เขาพ่นลมหายใจออกแรง ๆ แล้วไล่งับนิ้วแสนซนจนยอมล่าถอยออกไป

“คุณนี่ทะลึ่งจริง ครับ! อร่อยครับ! อยากกินอีกครับ! เมื่อกี้ยังกินไม่ครบคอร์สเลย”

ฆาเบียร์หัวเราะร่าเมื่อเห็นคนรักฟ่อดแฟ่ดใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก

“จ้ะ ๆ เดี๋ยวคืนนี้จะปล่อยให้กินให้หนำใจเลย โอเคนะ?”

ฆาเบียร์จูบหน้าผากคนที่ยืนทำหน้ามุ่ยใส่หนัก ๆ แล้วปล่อยคนตัวเล็กออกจากอ้อมแขน เจย่นจมูกใส่คนรักแล้วลากแขนอีกคนให้กลับเข้าไปในห้อง



“เมื่อกี้ผมก็ลืมถามไป ไข่กวนนี่คุณใส่แค่เชดด้าชีสเหรอครับ?”

เจยื่นผ้าเช็ดตัวให้คนตัวโตพลางถามสิ่งที่เขายังคาใจ

“ใช่จ้ะ แต่ที่จริงก็ใส่ได้หลายอย่างนะ ถ้าอยู่ที่สหรัฐฯ ฉันก็จะใส่พวกอเมริกันชีส อย่าง Monterey Jack ปนลงไปด้วยเพื่อไม่ให้รสแหลมเกิน...”

ฆาเบียร์เช็ดตัวจนแห้งแล้วหยิบเสื้อผ้ามาใส่พลางอธิบายต่อ

“...หรือจะใส่อย่างพวกสวิสชีสก็ได้ ที่จริงเมื่อกี้ฉันเปิดตู้เย็นไปเจอห่อชีส Gruyere ของเจก็เกือบหยิบมาใช้แล้วเหมือนกัน แต่เห็นว่ามันเหลือน้อยเลยไม่ได้ใส่ลงไปด้วย”

“โอ๊ย นั่นมันเก่ามากแล้วครับ ราขึ้นแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ถ้าคุณไม่พูดถึงผมก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย...”

เจนยุทธยิ้มเขิน ๆ เขามักซื้อชีสหลากหลายชนิดติดตู้เย็นไว้เพื่อทั้งกินเองและเก็บไว้เผื่อเวลาที่คนตัวโตมาแล้วอยากจิบไวน์แกล้มชีส

“...จะว่าไปช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ซื้อชีสติดบ้านไว้เลย ไว้ถ้าว่างเราแวะไปซื้อกันซักหน่อยดีไหมครับ?”

“อืมม์ ได้สิ ที่ร้าน Great Fine Wine ใช่ไหม? ก็ดี ฉันจะได้ซื้อพวกไวน์อิตาเลียนมาดื่มเล่น ๆ ด้วย”

ฆาเบียร์พูดอย่างตื่นเต้น เขาจำได้ว่าร้าน Enoteca Great Fine Wine ที่เคยไปกับเจนั้นนอกจากจะมีชีสกับแฮมนำเข้าให้เลือกมากมายแล้ว ร้านนี้ยังมีไวน์ให้เลือกมากและหลากหลายเป็นอันดับต้น ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

“ดีเลย ได้คุณไปช่วยเลือกชีส ผมจะได้มีกับแกล้มเพิ่มอีกหน่อย”

เจพูดยิ้ม ๆ ถึงช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยได้นั่งดื่มไวน์เองที่บ้านเท่าไหร่นัก แต่ก็มีเวลาที่ครึ้ม ๆ นึกอยากดื่มขึ้นมาแต่ก็ต้องเซ็งว่าขาดของแกล้ม

“พวกชีสนี่ถ้าเก็บดี ๆ ก็เก็บได้นานจ้ะ พวกฮาร์ดชีสอย่าง Parmigiano-Reggiano, Manchego หรือ Comte นี่ก็เก็บได้เป็นเดือน ๆ เลย ถ้าเก็บถูกวิธี แต่พวกชีสนิ่มอย่าง Brie, Camembert หรือพวกเฟต้านี่ ซักสองสัปดาห์ก็พอแล้ว”

“ผมอาศัยดูว่าถ้าราไม่ขึ้นก็ยังโอเคครับ แหะ ๆ”

เจหัวเราะแหะ ๆ ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกว่าเขาจะพยายามเลือกชีสที่เก็บไว้ได้นานให้



“เดี๋ยวนัดเรา 10 โมงใช่ไหม?”

ฆาเบียร์ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วถามเจนยุทธที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ

“ครับ นี่ก็จวนได้เวลาแล้ว”

เจยกนาฬิกาขึ้นดู วันนี้พวกเขามีนัดเซ็นสัญญากับผู้เช่าห้องคอนโดที่เคยอยู่ข้างห้องของเขา อดีตเพื่อนบ้านของเขาครอบครัวนี้กำลังจะย้ายลงไปอยู่ห้องใหม่ที่ใหญ่กว่าซึ่งฆาเบียร์ซื้อไว้พร้อมกับห้องข้าง ๆ ที่ครอบครัวนี้เคยอยู่

“ผมก็ยังว่าคุณให้เขาเช่าถูกไปอยู่ดี”

เจนยุทธบ่นอุบอิบ หลังจากฆาเบียร์ให้คนติดต่อซื้อห้องข้าง ๆ จากเจ้าของห้อง เขาก็ซื้อห้องเพิ่มอีกห้องในชั้นที่ต่ำกว่าและให้ครอบครัวผู้เช่าห้องข้าง ๆ ย้ายลงมาอยู่ในราคาเดิมแม้ว่าห้องใหม่นั้นจะใหญ่ขึ้นกว่าห้องเดิมกว่าครึ่งก็ตาม

“น่า ๆ มันก็ไม่ได้ต่างกันเยอะ เราให้เขาย้ายกะทันหันด้วย”

คนตัวโตพูดด้วยท่าทีผ่อนคลายแล้วหยิบตุ้มหูเงินรูปดอกกุหลาบที่เจซื้อไว้ใส่คู่กันยามอยู่เชียงใหม่มาใส่ให้คนตัวเล็ก

“จากสองหมื่นห้า ลดให้เหลือหมื่นเก้านี่ไม่ต่างกันเยอะตรงไหนครับ?...”

เจถอนหายใจเฮือก

“...แต่ก็ ห้องคุณ เงินคุณ แล้วแต่จะจัดการแล้วกันครับ ถือซะว่าเป็นทุนแต่งห้องใหม่”

เจนยุทธที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพูดพลางเดินไปหยิบเอกสารที่ต้องใช้มาให้ฆาเบียร์

“เออ ผมเข้าไปดูห้องข้าง ๆ ให้แล้ว พวกเฟอร์นิเจอร์อะไรก็ยังดูใช้ได้ ถ้าจะต้องซื้อใหม่ก็คงเป็นเตียง เพราะผมไม่อยากให้อาปานอนเตียงเก่าที่ผ่านคนนอนมากี่คนบ้างแล้วก็ไม่รู้...”

เจพาคนตัวโตเดินออกจากห้องพร้อมชวนคุยต่อว่าอีกอย่างที่เขาอยากเปลี่ยนคือเครื่องสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ฆาเบียร์ยิ้มพลางฟังคนตัวเล็กพูดจ๋อย ๆ เรื่องที่ว่าเขามีแพลนปรับเปลี่ยนห้องนั้นใหม่อย่างไรบ้าง

“ทีนี้คุณก็ไม่ต้องห่วงแล้วนะว่าจะมีใครมาร้องเรียนเรื่องเสียงของคุณอีก”

เจนยุทธยักคิ้วให้คนรักอย่างยียวน

“เฮ้ คนที่เสียงดังวันนั้นคือเจไม่ใช่เหรอ? ไม่ต้องมาโยนให้ฉันเลยนะ”

“เออ เดี๋ยวเราจะไปดูเตียงให้อาปากันต่อหรือเปล่าครับ?”

เจนยุทธเสคุยไปเรื่องอื่นทันทีที่นึกได้ว่ามันเป็นไปตามที่ฆาเบียร์พูดจริง ๆ คนตัวโตก็ได้แต่โคลงหัวและตอบรับคำของเจ้าตัวดีของเขาไปก่อนที่จะพากันลงลิฟท์มายังสำนักงานของผู้ดูแลคอนโด พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการเซ็นสัญญาและพูดคุยกับครอบครัวผู้เช่า หลังจากนั้นเจก็ขับรถพาฆาเบียร์ไปกินมื้อกลางวันง่าย ๆ ที่ห้างฯ เซ็นทรัลเฟสติวัลก่อนที่จะพากันไปดู Han Solo : A Star Wars Story ซึ่งเป็นภาคแยกของมหากาพย์สงครามอวกาศอย่าง Star Wars



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด