@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115029 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Viva l'Italia ----



ฆาเบียร์เปิดประตูห้องให้เจที่หอบของพะรุงพะรังเต็มมือ กลับบ้านทีไรเขาจะได้เสบียงกลับมาแบบพอกินได้ไปอีกหลายวัน เจเอาทุกอย่างมาวางบนเคาเตอร์ครัว คราวนี้แม่ให้ของกินเขามาเยอะกว่าทุกที เขามองกล่องทัปเปอร์แวร์กองสูงเป็นตั้งที่เขาวางแยกออกจากส่วนของตัวเอง ทุกใบมีโพสต์อิทแปะไว้

'ของ Javier เจห้ามยุ่ง'

ชิ เขาชักหมั่นไส้ไอ้ลูกรักคนใหม่ของแม่แล้ว เจมองค้อนคนตัวโตที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เปิดดูเสบียงที่แม่เจแพ็คมาให้เขา

"ยิ้มใหญ่เลยนะ ชิ"

เจพูดอย่างหมั่นไส้ ฆาเบียร์หัวเราะ

"ฉันนึกถึงสมัยก่อนน่ะ ตอนที่ฉันอยู่วิทยาลัย เวลากลับบ้านที่ไรพ่อก็จะทำนั่นทำนี่ให้ฉันเอากลับมาหอด้วยทุกที"

ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อนึกถึงความหลังอันแสนสุข หลังๆ มานี้เขาเกือบจะลืมเลือนความทรงจำเหล่านั้นไปแล้ว คนตัวเล็กใจหายวาบ เขาทำให้อีกฝ่ายนึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดหรือเปล่า...เขาเดินเข้ามากอดเอวร่างกำยำนั้นพร้อมซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง ฆาเบียร์รับรู้ความรู้สึกของเจได้แม้อีกฝ่ายไม่ต้องพูดอะไร

"ไม่เป็นไรหรอก เจ ฉันไม่ได้เศร้า ฉันดีใจเสียอีกที่ฉันยังจำมันได้"

เขาหันไปกอดร่างเพรียวนั้นและหอมอย่างชื่นใจ

"ขอบใจนะ ที่ทำให้ฉันไม่ลืมความรู้สึกของการมีครอบครัว"


"ว่าแต่ คุณบอกว่าพ่อเป็นคนห่อกับข้าวให้ ที่บ้านพ่อคุณเป็นคนทำอาหารเหรอ?"

เจถามอย่างสงสัยหลังเก็บของทั้งหมดเข้าตู้เย็นไปหมดจนได้ สำหรับบ้านเขา คุณนายฟองนวลเป็นคนทำกับข้าว แต่ถ้าพูดถึงเรื่องลาบ เรื่องยำ ขี้เหล้าน้อยอย่างพ่อเขาทำได้สะเด็ดที่สุดแล้ว

"โอ๊ย ถ้าให้คุณหนูอย่างแม่ฉันเข้าครัวนะ เละ"

ฆาเบียร์นึกถึงแม่ของเขาที่ถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน ตอนแต่งงานแม่ของเขาทำงานบ้านไม่เป็นเลยสักอย่าง เขาเล่าว่าตอนเขาเล็กๆ เขาจำได้ว่าเมื่อไหร่ที่แม่เข้าครัว ต้องมีเสียงกรี๊ดเพราะมีอะไรไหม้ ไม่ก็โดนมีดบาด

"มีครั้งนึงแม่พยายามหัดใช้หม้ออบแรงดันทำสตูว์เนื้อแบบปัวเอร์โต ริโก้เพื่อเซอไพรส์พ่อในวันเกิด ผลคือเซอไพรส์จริงๆ หม้อระเบิด ครัวพัง ต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุด ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร"


เขาหัวเราะกับเรื่องที่พ่อเขาเก็บไว้แซวแม่เขาได้ไปอีกเป็นสิบปี

"ตั้งแต่วันนั้น แม่เลยถูกแบนจากการทำอาหารใดๆ ซึ่งแม่ก็รับสภาพไป เรื่องงานบ้านอย่างอื่นแม่มาเรียนรู้เอาที่สหรัฐฯ และทำได้ไม่มีที่ติ มีแต่เรื่องทำอาหารอย่างเดียวที่พยายามยังไงก็ทำไม่ได้"

"แต่แม่กลับทำขนมได้อร่อยมาก งงไหมล่ะ?"

เขานึกถึงรสชาติคุ้กกี้ของแม่ สักวันเขาคงต้องกลับไปค้นสมุดจดสูตรของแม่เพื่อเอามาทำให้เจกินสักที

เจมองใบหน้าคมเข้มที่ยิ้มละไมนั้นแล้วค่อยๆ โน้มคอคนตัวสูงกว่ามาจูบเบาๆ

"ต่อไปนี้นะ คุณต้องเล่าเรื่องพ่อแม่คุณให้ผมฟังบ่อยๆ ให้ผมได้รู้จักท่าน ให้ผมได้ช่วยจำพวกท่าน โอเคไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ และพาเจไปนั่งที่โซฟาและเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มอวลอยู่ในห้องนั้น



"ฉันสงสัยอย่างหนึ่ง ทำไมแม่ของเจพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว?"

สำหรับอดีตแม่ค้าในตลาดวัย 60 เศษ ฟองนวลพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว

"แม่ผมไม่ได้เป็นแม่ค้าแต่แรกหรอกนะ แม่เกิดในครอบครัวข้าราชการ ปู่ผมหวังอยากให้แม่รับราชการเลยส่งให้แม่เรียนในระดับอุดมศึกษา แม่จบออกมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยมของรัฐจนกระทั่งเจอพ่อที่เป็นลูกพ่อค้าในตลาดวโรรส ตอนแรกพ่อเป็นพนักงานแบงค์ แต่เปลี่ยนมาขายของแทนปู่ที่มาขายของไม่ไหวแล้ว"

ฆาเบียร์คิดว่ามิน่าล่ะแม่เจถึงทำให้เขาคิดถึงแม่ของตัวเอง ทั้งคู่เป็นครูเหมือนกันนี่เอง

"ตอนแรกตาผิดหวังมาก ตาไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานกับพ่อค้า แต่ด้วยลูกตื๊อของพ่อสุดท้ายตาก็ใจอ่อน แม่สอนต่ออีกไม่กี่ปี พอมีพี่จืดเลยลาออกมาเลี้ยงลูกแล้วก็ช่วยพ่อขายของด้วย"

จะว่าไปชีวิตครอบครัวของเจกับเขาก็คล้ายๆ กัน แต่ต่างกันที่แม่เขาเลือกที่จะตัดขาดครอบครัวแทนที่จะกลับไปเปลี่ยนใจยาย

คนตัวโตเอนกายลงนอนบนโซฟาโดยมีตักของคนตัวเล็กกว่าเป็นหมอน มือของเจที่ลูบหัวเขาอยู่นั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ณ ตอนนี้เขาไม่หวังสิ่งอื่นใด ขอเพียงมีความสงบในใจเหมือนที่เขากำลังรู้สีกในขณะนี้ก็เพียงพอแล้ว


วันเวลาของฆาเบียร์ผ่านจนล่วงเข้าสัปดาห์ที่ 4 ของการอาศัยอยู่ในประเทศไทย เขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับเจซึ่งพาเขาไปที่นั่นที่นี่เพื่อเก็บข้อมูล ถ้าวันไหนที่เจติดงานแปลก็จะเอาเขาไปฝากไว้กับนพ สำหรับเขาแล้ว ความฝังใจในตัวของนพคนที่เขาเคยรักตอนอยู่สหรัฐฯ นั้นได้หายไปหมดแล้วเหลือแต่ความรักฉันท์เพื่อนที่มีให้อดีตรูมเมทร่างอวบคนนี้

กับเจ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ยังเป็นแบบไร้คำนิยาม เขาทั้งสองไม่เรียกกันและกันว่าแฟนหรือคนรัก ไม่เคยกล่าวคำบอกรัก หากชีวิตของทั้งคู่ผูกพันกันแนบชิด ฆาเบียร์เล่าเรื่องราวของตัวเขา ของครอบครัวให้เจฟังทุกวัน วันละเล็กละน้อย เจก็เปิดเปลือยชีวิตของเขาให้ฆาเบียร์ฟังเช่นกัน ทั้งคู่ตื่นนอนพร้อมกัน กินข้าวด้วยกัน ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ในยามค่ำคืนทั้งคู่เพียรกอดจูบลูบไล้กันไม่หน่าย แม้ส่วนใหญ่จะจบลงด้วยการปลดปล่อยให้กันเพียงแค่ภายนอกแต่บางครั้งที่แค่นั้นไม่อาจระงับความกระหายของทั้งคู่ได้ ฆาเบียร์จะเป็นฝ่ายปล่อยให้เจรุกล้ำช่องทางที่รัดรึงนั้น เขาเริ่มชินกับความรู้สึกที่ถูกแก่นกายอันแข็งแกร่งของเจรุกราน และบางครั้งเขาเองก็เป็นผู้เริ่ม อย่างเช่นในคืนนี้


"ฆาบี้...อ๊ะ"

เจครางด้วยความเสียวเมื่อฆาเบียร์ที่นั่งคร่อมเขาอยู่ค่อยๆ กดปากทางที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยเจลลงครอบส่วนสงวนของเขา เขาร้อนไปทั้งตัวเมื่อเห็นมันค่อยๆ กลืนกินแท่งลำขนาดไม่น้อยของเขา ฆาเบียร์หลับตาแล้วค่อยๆ ควงสะโพกพร้อมกับกดมันต่ำลงจนมิดทั้งอัน...อา มันช่างรู้สึกเยี่ยมจริงๆ เขากดแช่ไว้พักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มบดสะโพกเป็นจังหวะจากช้าๆ แล้วค่อยๆ เร่งเร้า เจเด้งเอวสวนตามจังหวะกดลงมาของฆาเบียร์ เสียงครางอย่างลืมตัวของทั้งสองดังออกมาเป็นระยะๆ เจใช้มือคลึงเคล้นแก่นกายของฆาเบียร์ซึ่งสูดปากด้วยความเสียว มือนิ่มๆ ของเจช่างดีเหลือเกิน เจรู้สึกถึงแรงบีบรัดจากช่องทางที่รัดแน่นนั้น เขาพลันผ่อนมือ ยักคิ้วให้คนตัวใหญ่ที่นั่งคร่อมเขาอยู่

"ห้ามใช้มือนะจ๊ะ เมียจ๋า"

ฆาเบียร์เม้มปาก ไอ้เจ้ากระรอกปลอมนี่ช่างร้ายนัก ได้ เขาจะทำให้มันครางจนเสียงแหบเลย เขาเริ่มบดเบียดสะโพกลงหนักๆ เจมองภาพร่างอันหนั่นแน่นนั้นที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจัดการแท่งร้อนของเขาด้วยความเสียวซ่าน เมียของเขาเซ็กซี่เหลือเกิน ตาคมวาวที่หรี่ปรือ ใบหน้าที่แดงก่ำ เหงื่อที่โทรมไปทั้งกาย สะโพกหนาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์เคลื่่อนที่ไม่หยุดยั้ง ในที่สุดเจก็อดไม่ได้ที่จะต้องใช้มือเหนี่ยวสะโพกนั้นและกระแทกสวนไปแรงๆ เขาที่กกกอดร่างนี้มาหลายครั้งแล้วรู้ว่าตรงไหนที่เป็นจุดกระสัน ช่องทางคับแคบนั้นตอดรัดถี่เร็ว ในที่สุดฆาเบียร์ก็สะดุ้งเฮือกและซวนซบกายลงกับอกของเจพร้อมหลั่งออกมาเต็มหน้าท้อง เจประคองใบหน้าคมเข้มที่ชุ่มเหงื่อนั้นมาประกบจูบอย่างดุดันพร้อมกับกระแทกถี่ๆ อีกไม่กี่ทีก็คำรามลั่น เขาถอนแก่นกายออกและนอนซบไปกับอกกว้างนั้นแล้วทั้งคู่ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย



"โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว..."

เจร้องลั่นร้านสตาร์บัคส์อันเป็นสถานที่ทำงานของเขาในช่วงสองสามวันนี้ ช่วงนี้งานแปลรุมเร้าเขาอีกแล้ว แต่เขาไม่อยากนั่งทำงานที่ห้อง ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะอิคนแก่จอมหื่นที่นั่งทำหน้าหล่ออยู่ตรงหน้าเขานั่นแหละ พออยู่ห้องเขาก็ไม่เป็นอันทำงานทำการ ฆาเบียร์คอยแต่จะมานัวเนีย สุดท้ายก็จบลงที่เตียงไม่ก็โซฟา ไม่ก็ห้องน้ำ ไม่ก็เคาเตอร์ครัว ไม่ก็...โอ๊ย ยุ่ง ไม่ต้องทำงานกันพอดี

"เป็นอะไร?"

ฆาเบียร์มองลอดแว่นสายตากรอบดำอันโต เขาก็หอบงานมาทำที่นี่เหมือนกัน

"ก็ที่ผมกำลังแปลนี่อ่ะ เป็นเรื่องของประเทศอิตาลี ตอนนี้เขาพาไปที่ลิกูเรียที่เป็นแหล่งปลูกเลม่อน แล้วเขาทำสปาเก็ตตี้ใส่เลม่อน เนี่ยๆ ดูสิ"

เจปาดน้ำลาย

"อยากกินสปาเก็ตตี้อร่อยๆ...ผมเคยกินสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่โรมครั้งนึง ปกติผมไม่เคยชอบคาร์โบนาร่าเลยเพราะที่ไทยมันมักจะใส่ครีมเยิ้มๆ เลี่ยนๆ แต่ที่ผมเคยกินที่โรมมันไม่เลี่ยนเลยซักนิด"

เขาเล่าให้ฆาเบียร์ฟังถึงร้าน Al 34 ที่อยู่แถบบันไดสเปน

"อ๋อ ก็เพราะมันเป็นคาร์โบนาร่าสไตล์โรมันที่ไม่ใส่ครีมน่ะสิ หากินยากนะ หาที่ทำอร่อยๆ ยากด้วย เพราะถ้าทำไม่ดีมันจะกลายเป็นสปาเก็ตตี้ผัดไข่แห้งๆ ไป"

คนที่เชี่ยวชาญด้านอาหารตอบ

"อยากกินแบบนั้นอีกจัง..."

เจพึมพำ ซบหน้าลงกับโต๊ะ ท้องเขาร้องจนปวดไปหมดแล้ว

"เดี๋ยวทำให้กิน เอาไหมล่ะ?"

"ฮ้าา ทำได้จริงอ่ะ?"

ฆาเบียร์พยักหน้า

"แต่อาจจะไม่เหมือนเป๊ะนะ เพราะน่าจะหาวัตถุดิบได้ไม่เหมือน"



เพียงแป๊บเดียวพวกเขาก็มาเดินอยู่ที่ริมปิงซุเปอร์มาร์เก็ตเพื่อหาซื้อวัตถุดิบทำสปาเก็ตตี้ พ่อจอมตะกละของเขานั้นรีบลนลานปิดคอมและซิ่งรถมาซื้อของอย่างด่วน

"คาร์โบนาร่าสไตล์โรมันนั้นใช้วัตถุดิบไม่กี่อย่าง แต่หัวใจหลักคือของต้องดี น้ำมันมะกอกที่บ้านน่ะใช้ได้อยู่แล้ว เส้นก็มีแล้ว แต่ไข่ที่บ้านน่ะเป็นไข่เก่า ซื้อใหม่ดีกว่า"

ฆาเบียร์หยิบไข่ยี่ห้อดังที่แช่ในตู้เย็นมา

"ชีสที่ใช้กับเมนูนี้ไม่ใช่พาร์มิจาโน่ เรจจาโน่ (parmigiano reggiano)ที่เราใช้กันทุกทีนะ แต่เป็นชีสเพคอริโน่ โรมาโน่ (pecorino romano) ที่รสแหลมกว่าและทำมาจากนมแกะไม่ใช่นมวัว"

ฆาเบียร์หาชีสเพคอริโน่จากตู้ชีสและหยิบก้อนที่เล็กที่สุดซึ่งหนักประมาณ 100 กรัมมา

"เราไม่ได้ใช้เยอะ เอามานิดเดียวพอ เดี๋ยวไปขูดเอาสดๆ ที่บ้าน"

เจถือตะกร้าเดินตามต้อยๆ


"ทีนี้ ของสำคัญที่สุดคือกวนชาเล่ (Guanciale) หรือแก้มหมูหมักเกลือ เป็นของหายากและฉันว่าเราคงหาที่นี่ไม่ได้แน่ๆ ฉะนั้นเราจะใช้พานเช็ตต้า (pancetta) หรือสามชั้นหมักเกลือแทน ฉะนั้นรสอาจจะออกมาไม่เหมือนที่เคยกินเป๊ะหรอกนะ"

ฆาเบียร์เดินไปดูตู้ขายแฮม โชคดีที่มีพานเช็ตต้าขายด้วย เขาสั่งมา 100 กรัม ถ้าจำไม่ผิดพานเช็ตต้าจะเค็มกว่ากวนชาเล่ เขาจึงลดลงจากในสูตรนิดหน่อย

"ถ้าหาพานเช็ตต้าไม่ได้ จะใช้เบค่อนหนาๆ แทนก็ได้นะ แต่รสควันๆ ของเบค่อนจะกลบรสอื่นๆ ไปหน่อย"

นอกจากวัตถุดิบทำคาร์โบนาร่าแล้วฆาเบียร์ยังซื้อแครอทแท่งน้อย บร็อคโคลี่และซุคินี่กลับไปด้วย เขาต้องระวังน้ำหนักหน่อยแล้ว อยู่กับเจมีแต่กินกับกินจนเขาชักรู้สึกว่าเอวตัวเองหนาขึ้นมาบ้าง เขาไม่อยากให้คนที่อยู่ใต้ร่างเขาต้องมาแบกน้ำหนักเยอะจนเกินไป เขาหน้าร้อนวูบขึ้นเมื่อนึกถึงภาพเมื่อหลายวันก่อน


เมื่อกลับถึงห้อง ฆาเบียร์เอาวัตถุดิบทั้งหมดมาวางทิ้งไว้ที่เคาเตอร์

"ไข่กับพานเช็ตต้าต้องให้อยู่ที่อุณหภูมิห้องน่ะ"

เขาอธิบาย เขาให้เจหั่นพานเช็ตต้า 50 กรัมออกเป็นลูกเต๋าเล็กๆ และขูดชีสเพคอริโน่ครึ่งหนึ่งของก้อนที่ซื้อมาจนเป็นฝอยๆ

"ฉันซื้อของมาเผื่อทำสองรอบน่ะ"

เขาตอบเมื่อเจถามว่าไม่ให้หั่นพานเช็ตต้าทั้งหมดหรอกเหรอ เขาต้มน้ำประมาณ 5 ลิตรจนเดือด ใส่เกลือเล็กน้อยและใส่เส้นสปาเก็ตตี้ 450 กรัมลงไป โดยใช้เวลานานเท่าที่บอกบนซอง ระหว่างรอเขาก็ผัดพานเช็ตต้าที่หั่นแล้วในน้ำมันมะกอกประมาณ  2 ช้อนโต๊ะจนขอบเริ่มเป็นสีน้ำตาล

"อย่าปล่อยให้มันเกรียมเกินล่ะ ไม่งั้นจะแข็งไป"

เขาปรุงรสด้วยพริกไทยดำบดใหม่ๆ เมื่อได้ที่แล้ว เขาปิดไฟและยกออกวางไว้ข้างๆ



'แปะ'

"ทำอะไรน่ะเจ?"

เขาหันไปเห็นเจกำลังขว้างเส้นพาสต้าที่ต้มไว้ไปที่กำแพง

"ก็ดูว่าต้มได้ที่แล้วหรือยังไง" เจตอบ

"ผมเคยเห็นในหนังเกาหลีเรื่อง il Mare น่ะ เขาบอกว่าถ้าจะดูว่าเส้นพาสต้าต้มได้ al dente (ข้างนอกนิ่มข้างในยังแข็งเล็กน้อย) หรือยัง ให้ขว้างไปที่กำแพง ถ้ามันติดแปลว่าได้ที่แล้ว"

"ก็ตักมาชิมซะก็หมดเรื่อง"

ฆาเบียร์หัวเราะกับความติงต๊องของไอ้ตัวเล็ก เขายกหม้อพาสต้าที่ได้ที่แล้วเทน้ำออก แต่เทบางส่วนไว้ในถ้วยเผื่อใช้ทีหลัง เขาให้เจตีไข่ไก่ 1 ฟองกับไข่แดง 1 ฟองในถ้วยและใส่ชีสลงไปเกือบหมด เหลือไว้นิดหน่อยเพื่อโรยหน้า พร้อมใส่พริกไทยดำลงไปอีกหน่อยเพื่อปรุงรส และตีจนส่วนผสมเนียน ฆาเบียร์เอากะทะที่มีพานเช็ตต้าพร้อมน้ำมันขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ เขาแบ่งเส้นพาสต้าครึ่งหนึ่งลงไปคลุกเคล้ากับน้ำมัน กะให้ร้อนพอดี จากนั้นปิดไฟและยกกะทะออก เขาเทส่วนผสมไข่ลงไปแล้วรีบคลุกเร็วๆ


"ขั้นตอนนี้ต้องรีบทำนะ ไม่งั้นจะเป็นสปาเก็ตตี้ผัดไข่"

เขาเติมน้ำต้มเส้นพาสต้าลงไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันแห้ง เชฟที่เขารู้จักบอกว่าถ้ากลัวไข่ไม่สุก ให้ยกกะทะขึ้นเหนือไฟแล้วค่อยเทไข่ลงคลุก แต่เขาว่ามันลำบากไปเลยใช้วิธีนี้ดีกว่า เมื่อไข่ดูเป็นครีมเคลือบเส้นทั้งหมดแล้ว เขาจึงใช้คีมคีบเส้นขึ้นมาใส่จานเดียวพร้อมบิดมือให้เส้นกองสูงเหมือนภูเขา จากนั้นโรยหน้าด้วยชีส

"อ่ะ เสร็จละ สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่า อัลลา โรมาน่า"

"โห ยังกะหลุดมาจากร้านอาหารเลย"

เจพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป เขายังได้แอบถ่ายรูปร่างกำยำที่ใส่ผ้ากันเปื้อนยืนอยู่หน้าเตาไว้ด้วย

"รีบกินซะก่อนที่ไข่มันจะสุกหมด"

คนทำสั่ง ไม่รู้มันจะอร่อยสมใจเจ้าเจน้อยของเขาไหม


"อร่อย!!!"

ไอ้ตัวเล็กพูดทั้งๆ ที่เส้นยังเต็มปาก

"เหมือนที่กินที่โรมเลย ฮือๆๆ"

จะร้องไห้ทำไม ฆาเบียร์นึกขำๆ เขาเดินไปหยิบไส้อั่วดำรงค์ที่เจหั่นเป็นท่อนๆ และฟรีซไว้เมื่อหลายอาทิตย์ที่แล้วออกมา 2 ท่อนเล็กๆ แล้วเอาไปละลายน้ำแข็งในไมโครเวฟ

"แล้วคุณไม่กินกับผมเหรอ?"

ฆาเบียร์เดินไปโน้มคอคนที่นั่งอยู่อีกฟากเคาเตอร์มาแล้วเลียคราบซอสที่ติดเต็มปากน้อยๆ นั้น

"อืมม์ อร่อย"

เขาทำตาหวานใส่คนที่นั่งอึ้งอยู่ เจหน้าแดงก่ำ คนตัวโตนี่ชอบลวนลามเขาจริงๆ



"เดี๋ยวฉันจะทำอย่างอื่นกินน่ะ เจกินไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ"

เขาหันกลับไปตัดบร็อคโคลี่เป็นแขนงเล็กๆ ตัดแครอทแท่งออกเป็นชิ้นน้อยๆ หั่นซุคินี่ครึ่งลูกเป็นลูกเต๋าใหญ่ๆ จากนั้นหยิบมะเขือเทศราชินีในตู้เย็นออกมาห้าหกลูก ล้างน้ำและหั่นครึ่ง สไลซ์กระเทียมจีน 2 กลีบเป็นแผ่นบางๆ หยิบพริกแห้ง 1 เม็ดที่เขาเอาเม็ดออกและแช่น้ำอุ่นสักพักแล้วมาหั่นเป็นท่อนเล็กๆ เจมองร่างใหญ่ที่เคลื่อนไหวในครัวอย่างคล่องแคล่วด้วยความเพลิดเพลิน

ฆาเบียร์เอาแครอทกับบร็อคโคลี่ใส่ไมโครเวฟให้ผักพอสุก ที่จริงแล้วเขาควรเอาลงลวกพร้อมกับเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อประหยัดเวลา แต่เนื่องจากเขาต้องแบ่งสปาเก็ตตี้ไปทำคาร์โบนาร่าให้เจก่อน ก็เลยไม่อยากให้มีกลิ่นเหม็นเขียวของผักติดจึงเอามาเวฟแทน เมื่อผักได้ที่เขาก็เอาลงใส่ในถ้วยพร้อมกับกระเทียมฝานครึ่งหนึ่งกับเส้นพาสต้าที่แบ่งมาเพียงเล็กน้อยและเก็บที่เหลือเข้าตู้เย็น

จากนั้นฆาเบียร์หยิบไส้อั่วที่ละลายน้ำแข็งไว้มาแกะตัวไส้ที่หุ้มข้างนอกออกแล้วบี้เนื้อไส้อั่วพอหยาบๆ เขาเอากะทะขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันให้น้อยที่สุดและใส่กระเทียมที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งลงเจียวพอให้เหลือง จากนั้นใส่ไส้อั่ว พริกแห้ง ซุคินี่และมะเขือเทศลงไปผัดพอให้สลดแล้วปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย เขาเติมน้ำต้มพาสต้าลงไปล้างกะทะให้พอเป็นซอสขลุกขลิก เขาปิดไฟแล้วเทส่วนผสมนั้นลงไปคลุกเคล้ากับเส้นและผักที่เตรียมไว้ในถ้วย โรยหน้าด้วยชีสที่เหลือไว้นิดหน่อย


"พาสต้า พริมาเวร่า อัลลา เชียงใหม่"

เขาตั้งชื่อใหม่ให้จานนี้เสร็จสรรพ

"พาสต้า พริมาเวร่า (primavera) หรือพาสต้า 'ฤดูใบไม้ผลิ' ก็คือพาสต้าใส่ผักหลายๆ อย่างนั่นแหละ"

"ส่วนที่เติมเพิ่มไปว่า alla Chiang Mai ก็เพราะใส่ไส้อั่วลงไปด้วย"

เจทำตาละห้อยมองพาสต้าในจานของฆาบี้ คาร์โบนาร่าของเขาน่ะหมดไปแล้วอย่างรวดเร็วตั้งแต่ฆาบี้ยังผัดไส้อั่วไม่เสร็จด้วยซ้ำ

"อยากชิมก็ชิม ทำมาเผื่ออยู่แล้วน่า"

ฆาเบียร์ยกมือขยี้หัวไอ้ตัวเล็กของเขา เจม้วนเส้นเล็กน้อยพร้อมกับจิ้มผักและไส้อั่วไปอีกนิด

"อาหย่อย"

มันทำหน้าฟิน รสชาติที่เผ็ดนิดๆ กับรสของสมุนไพรในไส้อั่วทำให้พาสต้าที่เหมือนจะเป็นสลัดแล้วจานนี้น่าสนใจมากขึ้น

"ฆาบี้กินเถอะ ผมไม่แย่งแล้ว ยิ่งมีน้อยๆ อยู่ แต่วันหลังต้องทำให้ผมกินอีกนะ"

ฆาเบียร์หัวเราะแล้วก้มหน้ากินอาหารที่เขาคิดว่าแคลอรี่คงต่ำกว่าเจ้าคาร์โบนาร่าแน่นอนอย่างเงียบๆ ระหว่างที่เจไปเอาจานชามที่ใช้แล้วใส่เครื่องล้างจาน



'อืมม์ อร่อยจริงๆ แฮะ'

เขานึกชมฝีมือตัวเองในใจ ผักที่เขาใส่ลงไปเยอะให้ความสดชื่นและทำให้สปาเก็ตตี้จานนี้เป็นเหมือนสลัดทำให้ลดความรู้สึกหนักๆ แบบอาหารจานพาสต้า แถมยังได้รสชาติที่ซับซ้อนของไส้อั่วช่วยเสริมรสของสปาเก็ตตี้จานนี้ให้เด่นขึ้น แต่คราวหน้าเขาคงไม่ใส่พริกแห้งแล้วเพราะแค่ความเผ็ดจากไส้อั่วก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว อีกอย่าง...คราวหน้าเขาคงต้องเอาไส้อั่วไปอบไล่น้ำมันก่อนซะรอบนึง เพราะมันหมูที่อยู่ในไส้อั่วเยิ้มออกมามากตอนที่เขาเอาลงผัด แต่โดยรวมๆ แล้วเขาพอใจในอาหารจานนี้ของเขามาก


(Pasta)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/spaghetti.jpg


เจรินไวน์ Chianti Classico 2011 Caparsa Caparsino Reserva ที่ซื้อมาด้วยเมื่อกี้แต่ลืมเปิดตอนกินข้าวส่งให้ฆาเบียร์ พวกเขามานั่งจิบไวน์ย่อยอาหารที่โซฟา โดยมีดาร์คช็อคโกแลตเป็นของหวาน

"เจชอบอาหารอิตาเลียนเหรอ?" เจพยักหน้า

"ใช่ ผมว่ามันมีรสมีชาติดีแล้วก็กินง่ายกว่าอาหารฝรั่งเศส"

เขาไม่ค่อยชอบความที่ต้องเป็นพิธีรีตรองจนเกินไปของอาหารฝรั่งเศส

"แล้วถ้าจะกินอาหารอิตาเลียนในเชียงใหม่ เจจะแนะนำร้านไหน?" เจคิดไปพักนึง

"สำหรับผมนะ ร้านที่อยู่ในดวงใจเลยก็คงจะต้องเป็น Arcobaleno ที่แถววัดเกตุ"

ฆาเบียร์จำร้านนี้ได้ เขากับนพเคยไปกินกันตอนที่เจปั่นงาน

"เจ้าของร้านนี้คือครอบครัวของเชฟเรนาโต้ มังญี่แห่งร้านบาบีลอนซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียนร้านแรกๆ ของจังหวัดเชียงใหม่เลยนะ"

เจตอบตามประสาแฟนพันธุ์แท้ของทั้งสองร้าน

"ร้านบาบีลอนนี่ถือเป็นร้านประจำของบ้านผมเลย ตอนผมยังเด็กถ้ามีโอกาสพิเศษอะไรพ่อแม่ก็จะพาพวกเราไปกินที่นี่ ถือเป็นอาหารฝรั่งร้านแรกที่ผมเคยกิน และไม่ว่าจะมีโอกาสได้กินอาหารอิตาเลียนร้านอื่นที่ดีแค่ไหน สุดท้ายผมก็ยังติดกับรสชาติของร้านนี้"

เจนึกถึงวัยเยาว์ตอนที่พวกเขาเคยเล่นกับลุงมังญี่แสนใจดีผู้ล่วงลับไปแล้ว

"ตอนหลังพอเชฟมังญี่เสีย ผมไม่แน่ใจว่าหุ้นส่วนร้านเขาขายร้านหรือว่าอะไร แต่ครอบครัวของเชฟพร้อมกุ๊กเดิมบางส่วนก็แยกตัวออกมาเปิดเป็นร้านอาโคบาเลโน่ รสชาติอาหารยังเหมือนเดิมแถมยังมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยขึ้นด้วย" ฆาเบียร์ยอมรับว่าอาหารที่นี่รสมือดีจริงๆ ถึงจะมีการปรับให้เข้ากับลิ้นคนไทยบ้าง แต่ก็ยังมีความเป็นอิตาเลียนแท้ๆ อยู่ เขาติดใจปูอบชีสหรือ Crab meat au gratin


(Arcobaleno)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/arcoset.jpg


"อีกร้านที่ผมกำลังติดใจมากๆ ตอนนี้คือร้าน Allegro ในโรงแรมดาราเทวี"

เจน้ำลายไหลเมื่อนึกถึงพาสต้ายัดไส้เห็ดพอร์ชินี่ในซอสเห็ดทรัฟเฟิล

"ร้านนี้เป็นอาหารอิตาเลียนที่ไม่เหมือนร้านอื่นในเชียงใหม่ อาหารเขาจะดูหรูหราและแปลกใหม่จากพาสต้าแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ในราคาที่รับได้ ที่ผมชอบมากคือบุฟเฟต์เมดิเตอเรเนี่ยนวันเสาร์ที่เรานั่งยาวได้ตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสาม เขาเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อย หมูอบหนังกรอบและของหวานแบบบุฟเฟต์และให้เลือกพิซซ่า พาสต้าแบบพรีเมี่ยม หรือเมนคอร์ส 1 จานในราคา 850 ถ้วน ถ้ารวมค่าน้ำแล้วก็ยังไม่เกินพัน แค่อย่าเผลอสั่งกาแฟเป็นพอ"

เจพูดตามประสาคนเคยพลาด เขาเผลอสั่งกาแฟไปโดยนึกว่ามันรวมในบุฟเฟต์เลยโดนเข้าไปแก้วละ 160...คิดซะว่ากินสตาร์บัคส์แล้วกัน

"ผมกินหมูอบ ชีส เมนคอร์สและมาการองซัก 10 ตัวก็คุ้มแล้ว"

คนที่น่าจะอิ่มแล้วนั่งทำตาลอยนึกถึงอาหารในไลน์บุฟเฟต์ ฆาเบียร์คิดว่าถ้าเขาไปกินคงไม่น่าคุ้ม แต่ถ้าเจคงกินแทนเขาได้

"งั้นถ้าว่างเราไปกันสักวันนะ" เจรีบพยักหน้าตกลง


(Allegro)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/allegroset.jpg


"อีกร้านที่ผมชอบแต่ไม่ค่อยได้ไปก็คือ Piccola Roma Palace หน้าโรงแรมอนันตรา ที่ชอบเพราะร้านนี้เป็นร้านเดียวที่เสิร์ฟคาร์โบนาร่าแบบโรม"

เจยิ้มเมื่อนึกถึงคุณเชฟเจ้าของร้านที่ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าคาร์โบนาร่าต้องไม่ใส่ครีม

"อาหารที่นี่อร่อยเลยนะ แต่ราคาค่อนข้างสูง เมื่อก่อนเขาเคยเป็นร้านอิตาเลียนอันดับ 1 ของจังหวัดเชียงใหม่เลยนะ เคยรับแขกบ้านแขกเมืองมากมายรวมถึงเชื้อพระวงค์ชั้นสูงด้วย"


(Piccola Roma)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/piccolaset.jpg


"ตอนนี้ผมก็กินวนๆ อยู่สองร้านแรกนั่นแหละ ส่วนพิคโคล่าน่ะ นานๆ ไปที แต่ถ้าถามว่ามีร้านไหนอีก มันก็จะมีร้าน Giorgio ตรงแสงตะวัน แล้วก็ Da Antonio แถวๆ ช้างคลาน อีกร้านที่กำลังมาแรงก็คือ Sipolle by Chef Dan ที่สวนบวกหาด ร้านนี้เชฟมาจากร้านดังที่กรุงเทพฯ แต่ผมก็ยังไม่เคยไปลองนะ ไว้เราไปกันสักวัน"

เจยังร่ายชื่อร้านอื่นๆ มาอีกหลายร้าน ฆาเบียร์เชื่อแล้วว่าเขาชอบอาหารอิตาเลียนจริงๆ

ฆาเบียร์มองปากน้อยๆ ที่เจื้อยแจ้วไม่หยุด แก้มใสๆ ของเจแดงที่ระเรื่อเพราะฤทธิ์ไวน์ทำให้เขาเกิดอารมณ์ ฆาบี้วางแก้วไวน์ของเขาและดึงแก้วไวน์ในมือเจออก เขาดันร่างเพรียวนั้นให้เอนนอนกับโซฟาและย้ายกายขึ้นคร่อม เขาจูบคลึงที่ข้างหูแล้วย้ายมาที่พวงแก้ม ซอกคอ ก่อนที่จะหยุดนิ่งเนิ่นนานที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้นซึ่งจูบตอบเขาเบาๆ มือของเขาคลึงเคล้นตุ่มไตที่แข็งดันเสื้อขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรไปมากกว่านั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ตอนแรกเขาไม่คิดจะรับแต่เจดันตัวเขาออก


"ฆาบี้ โทรศัพท์ รับเถอะ"

นานๆ ทีจะมีโทรศัพท์เข้ามาหาฆาเบียร์ และแต่ละครั้งที่โทรมาก็มักจะเป็นเรื่องด่วนเรื่องงานทั้งนั้น ฆาเบียร์ระบายลมหายใจออกปากอย่างขัดใจและรับสายนั้น

"มีอะไร?"

เจแว่วเสียงปลายสายพูดเร็วปรื๋อ สีหน้าของฆาเบียร์เคร่งเครียดขึ้น เขาสบถออกมาเป็นภาษาสเปนและปลีกตัวออกไปคุยที่ห้องนอน เจได้ยินเสียงฆาเบียร์โวยวายลั่น เขาไม่เคยเห็นคนตัวโตเป็นแบบนี้มาก่อน พักใหญ่ฆาเบียร์ก็ตีหน้ายุ่งเดินออกมาหาเขา

"ฉันต้องไปฮ่องกงด่วน" เขาระบายลมออกจากปาก

"ฉันลืมซะสนิทว่าใกล้ครบกำหนด 30 วันที่จะอยู่ในไทยแล้ว ฉันต้องออกนอกประเทศแล้วค่อยกลับมาใหม่" เขาตีหน้าเซ็ง

"แล้วต้องไปเมื่อไหร่?" เจถาม

"มะรืนนี้..."


------------------------------------------------------------

---- UPDATE ----

ปัจจุบัน (26/3/61) ร้าน Allegro ไม่ได้ทำบุฟเฟต์แล้วค่ะ เช็คโปรโมชั่นได้ที่หน้าเพจโรงแรมดาราเทวีได้เลยค่ะ



ฆาเบียร์ อย่าไปนานน้าาาาาาา

แจกสูตรอาหารนะคะ

คาร์โบนาร่า อัลลา โรมาน่า https://goo.gl/HxUkjS

อีกสูตรนึง  https://goo.gl/ygqUb9


พาสต้าพริมาเวร่า...สูตรนี้เป็นแบบพื้นฐานนะคะ ส่วนที่ใส่ไส้อั่วแบบในเรื่องน่ะ คิดมาเอง ยังไม่เคยลองทำ แต่คิดว่าน่าจะพอใช้ได้อยู่ https://goo.gl/yREUau

ฉากพาสต้าในเรื่อง il Mare คิดถึงหนังเรื่องนี้จัง

https://goo.gl/4weyXN


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2018 15:44:35 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แทบจะเป็นนิยายรีวิวอาหารเด็ดของเชียงใหม่ กับสูตรอาหารไปล้าววว แต่เราชอบนะ ฮิฮิ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- หลับใหล ----




คืนก่อนที่ฆาเบียร์จะจากไป ทั้งสองกอดจูบร่วมรักกันทั้งคืนราวกับจะดูดซับความอบอุ่นจากร่างของอีกฝ่ายไว้ในความทรงจำ

"ฉันไปไม่นานหรอก แค่ออกประเทศไม่กี่วัน เดี๋ยวก็กลับมา"

ฆาเบียร์บอกเจ้าตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ย

"เหงาตายเลย"

เจบ่นอุบอิบ...คิดถึงด้วย แต่ให้ตายเขาก็ไม่พูดออกมาหรอก

"น่า เดี๋ยวก็มา เสื้อผ้าก็ยังทิ้งไว้ที่ห้อง แป๊บๆ เดี๋ยวก็เจอกันอีก"

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นเชยคางคนที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

"ยิ้มหน่อยสิ ขอฉันได้เห็นรอยยิ้มเจหน่อย"

เจนยุทธยิ้มกว้าง เขาโบกมือลาร่างกำยำที่เดินเข้าส่วนผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ


เวลาผ่านไปจากหลายวัน เป็นหลายสัปดาห์และเข้าสู่เดือนใหม่ ฆาเบียร์ก็ยังคงไม่กลับมา


เจนยุทธนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ทำไมเตียงของเขามันช่างกว้างและเย็นยะเยือกขนาดนี้ ทุกคืนที่ผ่านมาเขาใช้เวลากว่าครึ่งคืนถึงจะนอนหลับและยังสะดุ้งตื่นอีกเป็นระยะๆ ในช่วงสัปดาห์แรก ฆาเบียร์ติดต่อมาหาเขาแทบทุกวัน ทั้งทาง messenger และทางวีดีโอคอลล์ ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงกันบ้าง

"กลับช้าหน่อยนะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ว่าจะทำวีซ่าเข้าไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย รอฉันหน่อยนะ"

เจยิ้มตอบให้ใบหน้าคมเข้มที่ยิ้มละไมนั้น เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์

"เจ ฉันต้องกลับอเมริกาด่วน มีปัญหาเรื่องงานทางนั้นนิดหน่อย คงอีกสักพักนะ"

ใบหน้านั้นเคร่งเครียด หนวดเคราเริ่มรกครึ้มเพราะความไม่ใส่ใจโกน

"อือ ไม่เป็นไร ตามสบาย take your time นะ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คุณเถอะ รักษาสุขภาพด้วย"

ริมฝีปากบางของคนตัวโตยิ้มน้อยๆ ให้เขา เจยิ้มกว้างกลับไปเพื่อให้ทางนู้นสบายใจ


และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาติดต่อกัน


'ก็คงแค่นี้สินะ...'

เจยิ้มหยัน ใครจะมาจริงจังกับคนที่มีสัมพันธ์กันแค่เพียงชั่วเดือน นี่ไม่นับว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นเพลย์บอยตัวพ่อ เขามันบ้าไปเองที่คิดว่าฆาเบียร์จะคิดแบบเดียวกันกับเขา สำหรับเจ ช่วงเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมาเขาใช้ไปกับการทำงาน เขากลับไปหาแม่บ้างแต่ก็เลี่ยงไม่ตอบถึงฆาเบียร์ตอนที่แม่ถามหา กลางวันวันไหนที่ว่าง เขาก็ไปขลุกอยู่กับนพ ไม่ก็ออกไปนั่งตามร้านกาแฟ ไม่ก็ไปไนท์ซาฟารี เขาออกบ้านตอนกลางคืนไปที่ผับกับเพื่อนๆ เพราะไม่อยากอยู่ที่ห้องคนเดียวเหมือนเช่นสมัยก่อน แต่บางอย่างในตัวเขามันต่างไป เขาไม่ต้องการร่างอุ่นๆ อื่นมาอิงแอบเพื่อลบความหนาวเย็นในใจเหมือนที่เคยเป็นตอนก่อนเจอฆาเบียร์ เขาแค่นั่งดื่มกับเพื่อนเงียบๆ เท่านั้น



"ไอ้เจ สาวโต๊ะนู้นเหล่มึงอ่ะ"

ไอ้ซันใช้ศอกสะกิดเขา เจนยุทธเงยหน้ามองไปที่สาวหุ่นสะบึมที่ยกแก้วให้เขาแล้วก็มองเมิน

'น่าเบื่อ'


"มึงเป็นอะไรวะ ไอ้เจ แล้วนี่เมีย เอ๊ย เพื่อนมึงไปไหน?"

ไอ้ปรินซ์ถามขึ้นอย่างรำคาญ ไอ้เจเป็นแบบนี้มาหลายคืนแล้ว มาถึงก็ไม่สนใจอะไรเอาแต่ซดเหล้าโฮกๆ จนเมาแล้วให้พวกเขาหิ้วปีกไปส่งห้อง เจถอนหายใจยาว

"เขาหนีกูไปแล้ว"

น้ำตาหยดน้อยๆ ไหลออกจากตาที่หรี่ซึมนั้น เพื่อนทั้งสองมองหน้ากัน ไอ้เพื่อนของเขาเป็นเอามาก ค่ำคืนที่ควรจะสนุกก็กลายเป็นคืนที่ต้องมานั่งปลอบคนตัวเล็กแทน


เจที่เพิ่งผลอยหลับไปเมื่อตอนเกือบรุ่งสางตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ เขาลนลานรับ หวังว่าจะได้ยินเสียงทุ้มที่แหบเล็กๆ นั้น

"ฮัลโหล!...อ๋อ พี่นพเหรอ?"

เสียงที่ตื่นเต้นกลายเป็นซึมเซา

"ไอ้เจ มึงเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย"

นพว๊ากใส่หูเขา เขาถอนหายใจแล้วลุกไปเปิดประตูห้องให้นพ

"มึงเป็นอะไรวะ? ไอ้ปรินซ์มันโทรไปเล่าให้ฟังว่าอาการมึงดูไม่ค่อยดี"

นพเดินเข้ามาในห้องแล้วนิ่วหน้า

"ทำไมห้องมึงรกงี้วะ?"

ห้องของเจรกรุงรังเพราะเจ้าของห้องไม่มีกระใจที่จะทำความสะอาด นพลากเจมานั่งที่โต๊ะกินข้าว

"เราต้องคุยกันหน่อย มึงเป็นอะไร เล่ามา"

เจน้ำตาคลอ เล่าเรื่องของเขากับฆาเบียร์ให้นพฟัง เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องที่ทั้งเขาและฆาเบียร์ต่างเปิดใจให้กันและเรื่องที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็หายไป


"มันคงจบแล้ว พี่นพ"

น้ำตาเจ้ากรรมไหลร่วงจากตาของเขาอีก นพถอนหายใจ เขารู้ว่ามีอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนั้นซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาตั้งใจ เขาอยากให้คนที่เขารักทั้งสองคนได้เจอคนที่จะเข้าใจซึ่งกันและกันและต่อยอดความสัมพันธ์กันไปในอนาคต แต่เขาไม่นึกว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนจะทำให้ทั้งคู่ลึกซึ้งกันขนาดนี้และไม่นึกว่าจู่ๆ ฆาเบียร์จะมาหายไป

"หรือ จริงๆ มันก็อาจจะไม่เคยเริ่มเลยก็ได้ ผมกับฆาบี้ก็ไม่เคยพูดกันจริงจังว่าเราเป็นอะไรกัน ถ้าเขาจะไปซะเฉยๆ มันก็สมควรแล้ว"

ไอ้ตัวเล็กซบหน้าลงกับไหล่อวบๆ ของนพอย่างหมดเรี่ยวแรง นพโอบกระชับไหล่ของไอ้น้องชาย เขาไม่นึกจริงๆ ว่ามันจะอาการหนักขนาดนี้

"ไอ้เจ มึงก็อย่าพึ่งมโนไปเองสิวะ ว่าเขาทิ้งมึง"

นพพยายามปลอบน้อง เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ ฆาเบียร์ซึ่งก็ติดต่อเขามาบ้างนั้นหายไป นพเปิดหน้าเฟซบุ๊คของ Valentin De la Rosa ซึ่งเป็นนามแฝงของฆาเบียร์

"นี่ มึงดู"

ในเฟซนั้น ฆาเบียร์หยุดอัพอะไรใหม่ๆ มากว่าสองสัปดาห์แล้ว ช่วงแรกๆ ที่เขาออกไปฮ่องกง ฆาเบียร์ยังอัพเดทเรื่องร้านอาหารนั้นนี้ หรือรีวิวโรงแรมในฮ่องกง แต่หลังสองสัปดาห์ก็มีแต่เอาข้อมูลเก่าจากเชียงใหม่มาวนลง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือทีมงานของเขา

"มึงไม่ว่ามันแปลกๆ เหรอวะ?"

เจใจหายวาบ หรือจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น? เขาลืมนึกถึงเรื่องบล็อกของฆาเบียร์ไปเลย เขารีบเปิดดูไอจีกับบล็อก Vale's Tasty Life ทั้งสองที่นั้นยิ่งไม่มีการอัพเดทใดๆ มากว่าสองสัปดาห์แล้ว

"มึงลองโทรไปหาเขาหรือยัง?"

เจตอบเสียงอ่อยๆ ว่าไม่มีเบอร์ เขาเคยลองโทรผ่าน fb messenger ไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครรับสาย แถมยังขึ้น offline ตลอดเวลาเหมือนเจ้าตัวไม่ได้เปิดอ่าน


"มึงก็ลองโทรเฟซบุ๊คไปที่เพจ Valentin สิ...กูเห็นมันออนไลน์อยู่"

เจรีบหยิบคอมมาเปิดแล้วเสียบหูฟัง เขาส่งวีดีโอคอลล์ไปหาทางนั้น ไม่นานก็มีคนกดรับ แต่คนที่ปรากฏที่หน้าจอนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาคมเข้มแบบละติน ฉากหลังนั้นเป็นเหมือนออฟฟิศสำนักงานแห่งหนึ่ง

"ขอโทษครับ ผมต่อผิด"

เขาพูดออกไปแล้วก็อยากเขกหัวตัวเอง โทรเฟซบุ๊คมันจะต่อผิดได้ยังไง

"เอ่อ...มิสเตอร์ภัทรปรีดาใช่ไหมคะ?"

"ฉันชื่อเมลิน่าเป็นเลขาฯ ของคุณมาร์ติเนซ..."

"We need to talk"

'เราต้องคุยกันหน่อย'



เจนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเครื่องบินอย่างใจลอย เขานึกถึงสิ่งที่ได้ยินจากเมลิน่า

"คุณมาร์ติเนซไม่สบายมาก..."

เสียงของเลขาฯ สาวดังก้องในหัวของของเขา หัวใจเขาหล่นวูบเมื่อได้ยินแบบนั้น

"เขา...เขาเป็นอะไรมากไหม? เขาไม่สบายตรงไหน?"

เมลิน่าถอนหายใจ

"มันไม่ใช่อาการป่วยทางกายค่ะ..."

เมลิน่าเล่าว่าฆาเบียร์เริ่มมีอาการในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ที่อยู่ฮ่องกง เขาหงุดหงิดและเครียดจัดเพราะต้องจัดการเรื่องงานใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นของบริษัท เมื่อกลับไปที่สหรัฐฯ เขาทะเลาะกับทุกคนแม้กระทั่งเพื่อนสนิทของพ่อที่เป็นซีอีโอ ไม่มีใครเข้าหน้าเขาติด แต่ถึงกระนั้นเขาก็จัดการกับงานที่เขาได้รับมาอย่างไม่มีที่ติ

"เฆเฟ่(เจ้านาย) เอ่อ มิสเตอร์มาร์ติเนซกลับมาที่ฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อเตรียมงานเปิดสำนักงานที่ฮ่องกงอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อสามวันก่อนเขาก็ล้มหมดสติไป หมอบอกว่าเป็นเพราะขาดการพักผ่อนมานานนับเดือน"

เมลิน่าทำตาแดงๆ เมื่อนึกถึงอาการของนายรัก

"พวกเราก็วิ่งวุ่นกันมาก เพราะอีกไม่ถึงสัปดาห์จะถึงงานใหญ่แล้ว เฆเฟ่ก็มาเป็นแบบนี้อีก ตอนนี้เขาไม่ยอมออกจากห้องเลยพวกเราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"

"เดี๋ยวฉันจะส่งอีเมล์ตั๋วเครื่องบินให้คุณมาที่ฮ่องกงนะคะ เดินทางเย็นนี้เลย ขอร้องล่ะค่ะ คุณคือความหวังของพวกเรา"

เมลิน่าอ้อนวอน



เจนยุทธต่อคิวเพื่อผ่านการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินเช็คแลปก็อก โชคดีที่เขามีพาสปอร์ตพร้อมเดินทางตลอดเวลา เจมีเพียงกระเป๋าเดินทางเคบินไซส์ใบเล็กๆ ติดตัวมาด้วยใบเดียว เมลิน่าบอกเขาว่าเดี๋ยวค่อยมาหาซื้อของใช้และเสื้อผ้าเอาที่นี่ ทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด เขานึกหวั่นใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับฆาเบียร์

เมื่อเดินออกมาในส่วนโถงผู้โดยสารขาเข้า เขาก็พบกับเมลิน่าที่มายืนรออยู่แล้ว เลขาฯสาวพาเขาออกไปยืนรอที่หน้าสนามบิน ไม่นานนักก็มีรถเบนท์ลี่ย์ มูซานรุ่นยาวพิเศษสีทูโทนดำน้ำตาลมันปลาบขับมาเทียบ เลขาฯ สาวเปิดประตูให้เขาขึ้นนั่งตอนหลังของรถ ส่วนตัวเองขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ในรถคันนั้นมีชายเอเชียสูงวัยคนหนึ่งนั่งคอยอยู่

"สวัสดี มิสเตอร์ภัทรปรีดา ฉันชื่อคริสโตเฟอร์ วอง เธอเรียกฉันว่าคริสก็ได้นะ"

เสียงทุ้มนุ่มนั้นแนะนำตัว

"ฉันขอเรียกเธอว่า เจนยุทธ ได้ไหม?"

"เรียกผมว่าเจก็ได้ครับ"

ชายสูงวัยคนนี้เป็นใครกัน แล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรกับฆาเบียร์



"ฉันเป็นซีอีโอของบริษัท xxxx และเป็นพ่อบุญธรรมของฆาบี้"

คริสที่เห็นสีหน้างุนงงของเจยิ้มและอธิบาย เจขมวดคิ้ว เขารู้แค่ว่าซีอีโอของบริษัทนี้เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของฆาบี้ แต่พ่อบุญธรรมนี่ เขางงไปหมดแล้ว

"ฆาบี้ยังไม่ได้เล่าให้เธอฟังหรอกเหรอ?"

คริสถาม เขานึกว่าเจนยุทธรู้ทุกอย่างแล้ว เขาเล่าเรื่องที่ฆาเบียร์ไม่เคยเล่าให้เจฟัง หลังจากพ่อแม่ฆาเบียร์เสีย คริสที่ไม่เคยแต่งงานมีครอบครัวและเป็นพ่อทูนหัวของฆาเบียร์อยู่แล้วได้จดทะเบียนรับฆาเบียร์มาเป็นลูกบุญธรรมเพื่อที่ฆาเบียร์จะได้ไม่รู้สึกเดียวดายและก็เพื่อให้เป็นการง่ายในการถ่ายโอนอำนาจบริหารให้กับฆาเบียร์ในยามที่เขาพร้อม มีเพียงผู้บริหารระดับสูงที่รู้ว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมืออันเดรสพ่อของฆาเบียร์ซึ่งถือหุ้นโดยมีคริสเป็นนอมินีและบางส่วนก็อยู่ในชื่อของฆาเบียร์ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทมาคริสก็เป็นหน้าตาขององค์กรมาโดยตลอด อันเดรสพ่อของฆาเบียร์นั้นชอบทำงานระบบอยู่เบื้องหลังมากกว่า

"ฆาบี้เข้ามารับผิดชอบบริษัทตอนที่อายุน้อยกว่าเธออีกนะ..."

คริสเล่าว่าแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ของฆาเบียร์ได้พลิกโฉมหน้าบริษัทให้กลายมาเป็นอาณาจักรออนไลน์มูลค่านับพันล้านเหรียญแบบในปัจจุบัน เจนยุทธถึงกับอึ้งไป เขารู้ว่าฆาเบียร์เป็นคนมีความสามารถและฐานะดี แต่ไม่รู้ว่าจะถึงขนาดนี้ แล้วไอ้เด็กกะโปโลที่เที่ยวเล่นไปวันๆ แบบเขาจะเอาอะไรไปเทียบ?


"แล้ว...ฆาเบียร์เป็นป่วยเป็นอะไรครับ?"

คริสถอนหายใจหนักๆ หน้าของเขาเคร่งเครียดลง

"เธอรู้ใช่ไหมว่าฆาบี้เคยเสียผู้เสียคนไปตอนช่วงอยู่ม.ปลาย"

เจพยักหน้า ฆาเบียร์เล่าให้ที่บ้านเขาฟังแล้วเรื่องที่เขาแทบบ้าไปเมื่อตอนอกหัก

"อาการของฆาเบียร์ตอนนั้นคือซึมเศร้า นอนไม่หลับ เครียด ฉุนเฉียวแล้วยังมีอาการของโรคแพนิคเข้าแทรกด้วย เขาหันไปพึ่งเหล้า ยากล่อมประสาท และปาร์ตี้อย่างหนักเพื่อหนีจากอาการพวกนี้ แต่ก็ยิ่งมีแต่ทำให้แย่ลง สุดท้ายเขาต้องเข้าบำบัดจนกระทั่งหายเป็นปกติ"

คริสเล่าว่าฆาเบียร์มีอาการซึมเศร้าช่วงสั้นๆ ตอนจบปี 3 แต่ก็เข้ารับการรักษาได้ทันจึงไม่ได้พัฒนาไปหนักหนาเท่ากับครั้งแรก

'เพราะพี่นพสินะ...'

เจนยุทธยิ้มฝืนๆ

"แต่อาการของฆาเบียร์กำเริบหนักที่สุดเมื่อตอนที่พ่อแม่ของเขาเสียไปพร้อมๆ กัน เขาขังตัวอยู่ในบ้านเป็นเดือนๆ พวกเราต้องจัดคนไปคอยเฝ้าเพื่อไม่ให้เขาคิดสั้น..."

เจนยุทธแทบร้องไห้เมื่อได้ยินเรื่องนี้

"เขาถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลไปหลายเดือน กินยาอีกเป็นปีๆ..."

คริสยิ้มเศร้าๆ สิ่งที่เขาทำเพื่อดึงฆาบี้กลับมาสู่โลกความเป็นจริงคือการหาอะไรสักอย่างให้ฆาเบียร์ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เขามอบบริษัทไว้ในมือของฆาเบียร์ เขาให้งานสำคัญแก่ฆาเบียร์ นั่นก็คือให้ทำบริษัทเจริญเติบโตจนถึงที่สุดเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อผู้ล่วงลับของเขา ซึ่งฆาเบียร์ก็น้อมรับหน้าที่นี้ นั่นเป็นเหตุให้ฆาเบียร์ไม่สนใจสิ่งอื่น งานคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขายังไม่พังทลายลง เขาทำทุกอย่างเพื่อบริษัทที่พ่อสร้างมากับมือ

ในบริษัท เขาคือ ฆาบี้ มาติเนซ ผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่องาน ต่อหน้าคนอื่นๆ เขาคือ ฆาเบียร์ "บาเลนติน" เด ลา โรซ่า หัวหน้าประชาสัมพันธ์อัจฉริยะของบริษัทผู้เสเพล เขาใช้เวลาค่ำคืนสังสรรค์และกกกอดร่างอุ่นๆ ของคนอื่นเพื่อลบความเปลี่ยวเหงาในใจ แต่เขาไม่เหลือใจไว้รักใครเนื่องจากยังลืมภาพของคนที่เขาเทใจให้ตอนปี 3 ไม่ได้

"เรื่องราวมันผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เราคิดว่าฆาบี้คงหายจากโรคนี้แล้ว แต่ไม่นึกว่ามันจะกลับมาอีก"

คริสมองหน้าเจนยุทธ

"เดี๋ยวเธอจะได้เห็นเอง เจ"



เจนั่งซึมไปตลอดทางจนถึงโรงแรมอินเตอร์คอนติเน็นทัลฮ่องกงที่อยู่สุดย่านจิมซาจุ่ย ริมอ่าววิคตอเรีย

คริสและเมลิน่าพาเขาขึ้นไปยังห้อง Executive Suite บนชั้น 4 ของโรงแรม เมื่อเปิดประตูเข้าไป เจถึงกับผงะเพราะกลิ่นอาเจียนที่คละเคล้าไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ห้องนั้นปิดไฟมืด มีเพียงแสงไฟนีออนของเมืองที่ลอดมาจากรอยแยกของผ้าม่านเท่านั้น พวกเขาเดินเข้าไปที่เตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่สุดห้องขนาด 70 ตารางเมตรนั้น

"เราพยายามให้เขาอยู่ห้องที่สบายกว่านี้แต่เขาไม่เอา เขาบอกว่าห้องนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ห้องของเธอ"

เลย์เอาท์ของห้องนี้คล้ายกับห้องของคอนโดของเจจริงๆ

"ตอนแรกที่เขามาที่ฮ่องกง เขาเหมือนเป็นคนละคนกับตอนอยู่สหรัฐฯ"

คริสนึกถึงวันแรกที่เขาเดินทางมาถึงฮ่องกง ฆาบี้ซึ่งเคารพเขาเหมือนพ่อเล่าเรื่องเจให้เขาฟังอย่างกระตือรือร้น แววตาและรอยยิ้มของเขาสดใสมากเมื่อเทียบกับยิ้มปลอมๆ ที่เขาปั้นขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อเขารู้ว่าจะยังจะไม่ได้กลับไทยง่ายๆ ใบหน้าที่สดใสนั้นหม่นหมองลง เขาเริ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือถึงหลับก็สะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อเขาต้องกลับไปสหรัฐฯ เพื่อสะสางงานที่มีปัญหา อาการของเขาก็ยิ่งแย่ลง

เนื่องจากความต่างของเวลาและงานที่รุมเร้าอีกทั้งไม่อยากให้เจเห็นสภาพที่ทรุดโทรมของเขา ฆาเบียร์จึงเลือกที่จะไม่ติดต่อเจ แต่นั่นทำให้จิตใจของเขารับไม่ไหว อาการของโรคแพนิกและโรคซึมเศร้ากลับมา เขาปลีกตัวออกจากผู้คน เขาฉุนเฉียวแม้แต่เรื่องเล็กๆ ไม่มีใครเข้าหน้าเขาติด เขาเริ่มใช้ยาระงับประสาทอย่าง Xanax และ Prozac เพื่อให้หลับได้ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เขากลับมาที่ฮ่องกงอีกครั้งเพื่อเตรียมงานเปิดตัวสำนักงานใหม่ แต่สภาพร่างกายและจิตใจที่ทรุดโทรมถึงขีดสุดทำให้เขาล้มหมดสติไป

หลังจากนอนโรงพยาบาล 2 คืน คริสก็ให้เขาเข้าพักที่โรงแรมอินเตอร์คอนที่จะเป็นสถานที่จัดงานในอีกห้าวันข้างหน้า ถึงตอนนี้ ฆาเบียร์ปฏิเสธทุกอย่าง เขาไม่ยอมกิน เขาหมกตัวแต่ในห้อง เหล้ากับยาระงับประสาทเป็นเพียงสองสิ่งที่ตกสู่กระเพาะของเขา มันช่วยให้เขาหลับได้ เขาไม่ยอมคุยใครแม้กระทั่งคริส คริสคอยจัดคนมาคอยเฝ้าดูอาการของฆาเบียร์ จัดหมอมาให้น้ำเกลือและฉีดยา แต่พวกเขาก็ทำได้แค่เฝ้าดูทางกาย



"ในตอนหลับ เขาละเมอเรียกแต่ชื่อเธอ เจ..."

คริสลูบหัวฆาบี้ที่เขารักเหมือนลูกเบาๆ

"ฉันขอร้องล่ะ เจ ช่วยฆาบี้ด้วย ช่วยพาเขาคนที่เธอเคยรู้จักกลับมา"

คริสอ้อนวอน ดวงตาทรงเม็ดอัลมอนด์ของเขาเอ่อไปด้วยน้ำตา ซีอีโอคนเก่งคนนี้ยอมแลกทุกอย่างได้กับความสุขของลูกชายบุญธรรมสุดที่รักของเขา  เขากับเมลิน่าปล่อยให้เจใช้เวลากับฆาเบียร์เพียงลำพัง เมื่อประตูปิดลง เจนยุทธทรุดกายลงนั่งข้างเตียง ร่างกำยำที่เปลือยท่อนบนนั้นนอนขดในผ้าห่มหนาแต่ก็ยังสั่นสะท้านเบาๆ ใบหน้าคมเข้มที่เคยยิ้มละไมของฆาเบียร์นั้นเศร้าหมอง ใบหน้านั้นซูบซีด แก้มตอบ และเต็มไปด้วยหนวดเคราที่ขึ้นรกรุงรัง ใต้ตาที่ปิดสนิทนั้นดำคล้ำและมีคราบน้ำตาเป็นทางจากหางตา ริมฝีปากแห้งแตกของฆาเบียร์สั่นระริก เขาพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

"คุณว่าอะไรนะ ฆาเบียร์?"

เจเอียงหูแนบริมฝีปากนั้น

"เจ...เจ...อย่าจากฉันไป"

เสียงแผ่วเบานั้นสั่นเครือ น้ำตาไหลออกจากตาคู่งามที่ปิดสนิทนั้นอีกแล้ว เจกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่คลอเบ้า เขาแทบขาดใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น เขาเขย่าร่างนั้นเบาๆ เพื่อปลุก แต่คนตัวโตนั้นก็ไม่ตื่น เจจึงเลือกที่จะซุกกายเข้าไปนอนเคียงข้างร่างกำยำนั้น เขาซุกหน้าเข้าไปกับแผงอกกว้างและกอดก่ายร่างนั้นไว้แน่นเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อคนๆ นั้นตื่นขึ้นจะพบเขานอนอยู่เคียงข้าง



'เจ รอฉันก่อน นายจะไปไหน?'


ในห้วงฝัน ฆาเบียร์วิ่งไล่เจที่วิ่งนำหน้าเขาในป่ามืดมิด ร่างเพรียวบางนั้นหัวเราะร่าและร้องเรียกให้เขาตามมา แต่เขาต่อให้เขาวิ่งไล่เท่าไหร่ ก็ตามไปไม่ทันร่างนั้น พลันเขาเหมือนตกลงสู่หล่มมืดมิดที่หนาวเย็นไร้คนเคียงข้าง นี่คือหนึ่งในฝันร้ายที่เขาฝันมาตลอดสองสามสัปดาห์หลัง บางครั้งก็เหมือนเขาตกลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบ บ้างก็เหมือนติดอยู่กลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ

ในฝันเขาโหยหาความอบอุ่นที่เขาได้รับจากร่างเล็กที่เขากกกอดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตอนอยู่เมืองไทย เขาเสพติดความสุขที่ได้จากการมีใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง เขาคิดถึงดวงตาเป็นประกาย เสียงใสๆ ที่คอยกวนประสาทเขา คิดถึงแก้มป่องๆ ที่เคี้ยวตุ้ยๆ ยามกินข้าว คิดถึงการที่ได้นั่งลงกินอาหารกับใครสักคน คิดถึงสัมผัสอันร้อนแรงของปลายนิ้วและริมฝีปากเล็กๆ นั้น คิดถึงแก่นกายที่มอบความสุขสุดยอดให้เขาทุกครั้งที่ต้องการ

เขาคิดถึงเจ คิดถึงเหลือเกินจนทนไม่ได้ อาหารที่เขากินไม่ว่าจะเลิศรสแค่ไหนกลายเป็นไร้รสชาติเมื่อขาดคนที่คอยจิ้มแย่งจากจานของเขา เตียงที่แสนนุ่มก็กลายเป็นแข็งกระด้าง ผ้าห่มอุ่นๆ กี่ผืนก็ไม่อาจทดแทนความอบอุ่นของร่างเจนยุทธ เขานอนไม่หลับเมื่อขาดสัมผัสอุ่นๆ นั้นจนต้องพึ่งยา แต่กระนั้นเขาก็ยังสะดุ้งตื่นมาแทบทุกคืน แล้วก็ต้องกินยาใหม่อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า



"ฆาบี้...ตื่นเถอะ ผมมาแล้ว"

ในหูของเขาแว่วเสียงใสๆ ที่เขาแสนจะคิดถึง ประสาทของเขาคงเล่นตลกเหมือนเช่นที่เป็นมาทุกค่ำคืน สัมผัสอุ่นๆ ที่เขาโหยหาบนพวงแก้มและริมฝีปากของเขานี่ก็คงเช่นกัน ถ้ามันเป็นฝันก็ขออย่าให้เขาตื่นขึ้นเลย

อา...สัมผัสจากร่างอุ่นๆ ที่ก่ายกอดตัวเขาอยู่นี่ก็ช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ฆาเบียร์อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นโอบรัดร่างที่เขารู้สึกในฝันนั้น...

เดี๋ยวก่อน เขาไม่ได้โอบกอดลมหรือหมอนข้างอยู่ เขาคลำเปะปะไปตามร่างที่เขาคิดว่าเป็นแค่จินตภาพนั้น สัมผัสของเลือดเนื้ออุ่นๆ นั้นเป็นของจริง!

เขาพลันลืมตาตื่นขึ้น

แล้วเขาก็เห็น...ดวงตากลมโตใส ขนตาที่ยาวเป็นแพ จมูกน้อยๆ ที่โด่งเป็นสัน แก้มกลมๆ ปากรูปกระจับสีชมพูที่ยกยิ้มให้เขา เขาหลับตาลงพักใหญ่ เมื่อลืมตาขึ้นใบหน้านั้นก็ยังคงอยู่


"เจ..."

ฆาเบียร์ครางชื่อที่อยู่ในใจเขาออกมา

"นายมา..."

เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ริมฝีปากน้อยๆ นั้นก็ประกบเข้ากับปากที่แตกระแหงของเขา จูบนั้นรุนแรงสมกับความคิดถึงของทั้งคู่ที่ตั้งหน้าตั้งตาดูดดึงเอาความหวานจากริมฝีปากอีกคนให้สมอยาก ลิ้นเรียวของเจเข้าเลียไล้ในโพรงปากของฆาเบียร์ ฆาเบียร์ดูดดึงลิ้นน้อยๆ นั้นก่อนจะส่งลิ้นหนาของตัวเองเข้าไปบดเบียด หัวใจของทั้งคู่เต้นระรัว ความคนึงหาทั้งหมดส่งผ่านออกมาในจุมพิตนี้

เจหอบหายใจถี่และซบหน้าลงกับไหล่ของฆาเบียร์ เขาแทบขาดใจเพราะรสจูบนั้น ฆาเบียร์ใช้มือทั้งสองประคองหน้านั้น

"นั่นนายจริงๆ ใช่ไหม? ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?"

เจจูบริมฝีปากนั้นแผ่วเบาแทนคำตอบ น้ำตาหลั่งไหลออกมาจากตาคมๆ คู่นั้น เจรวบร่างที่สะอื้นไห้นั้นเข้ามาแนบอก เขาลูบหลังกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นเบาๆ

"นายมาได้ยังไง?"

เสียงทุ้มที่แหบพร่าถาม

"เมลิน่าส่งตั๋วไปให้ผม"

"ยุ่งไม่เข้าเรื่อง"

เสียงแผ่วๆ ของฆาเบียร์บ่นอย่างหงุดหงิด เขาไม่อยากให้เจต้องมาเห็นเขาในสภาพนี้เลย เขาพยายามยันกายขึ้นนั่ง เจช่วยเขาให้นั่งพิงหัวเตียง


"ผอมไปหมดแล้ว ได้กินอะไรมั่งไหมเนี่ย?"

คนชอบกินบ่น ร่างใหญ่กำยำนั้นผ่ายผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาเขาหยาดหยดออกมาเพราะความสงสาร​ ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"กินไม่ลง...กินอะไรก็ไม่อร่อย"

ยิ่งช่วงวันหลังๆ เขาอาเจียนเอาทุกอย่างที่ลงกระเพาะออกไปจนหมด น้ำเกลือและอาหารเหลวทางสายยางที่หมอให้เป็นครั้งคราวคือสิ่งที่ให้กำลังแก่เขา

"แล้วได้อาบน้ำมั่งไหมน่ะ"

เจมองหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราแล้วถอนหายใจ สงสัยจะไม่

"ไม่ได้อาบเองน่ะ แต่รู้สึกเหมือนมีคนมาเช็ดตัวให้บ้าง ไม่รู้สิ ไม่ได้สนใจ"

เจถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นจากเตียง

"จะไปไหน..."

ฆาเบียร์จับมือเรียวไว้แน่น เสียงแหบๆ นั้นร้อนรุ่ม

"ปล่อยสิ เดี๋ยวจะเอาน้ำมาเช็ดตัวให้ เหม็นสาบจะแย่แล้ว"


ฆาเบียร์ยอมปล่อยร่างบางนั้น เจเข้าไปในห้องน้ำอันโอ่อ่า เขาตะลึงไปเล็กน้อยกับขนาดอันใหญ่โตของมัน...ใหญ่กว่าห้องนอนตรูอีก เขามองไปรอบๆ แล้วก็เจอกะละมังทองเหลืองที่คว่ำไว้พร้อมกับผ้าเช็ดหนูผืนเล็กๆ มีคนคอยเช็ดตัวให้ฆาเบียร์จริงๆ หวังว่าจะไม่ใช่แม่เลขาฯ คนสวยนั่นนะ

เจเปิดน้ำอุ่นใส่กะละมังแล้วถือเดินมาที่เตียง เขาบรรจงเช็ดตัวให้ร่างกำยำนั้นทุกซอกทุกมุม เขาหน้าแดงเมื่อเช็ดลงมาถึงกลางกายแล้วพบว่าส่วนสำคัญนั้นตื่นอยู่น้อยๆ

"นี่ ฟื้นมาก็หื่นเลยนะ"

ฆาเบียร์หน้าแดง ก็มือเล็กๆ ที่ลูบๆ เช็ดๆ อยู่นั่นแหละที่เป็นเหตุ เจไม่ใส่ใจและเช็ดต่อไปจนครบหมดทุกส่วน


เจกลับมาทอดกายลงนอนเคียงข้างฆาเบียร์ คนตัวใหญ่ซบหัวลงกับไหล่ของเขา แล้วกอดเอวบางๆ เขาไว้แน่น

"เจครับ..."

"ว่าไงจ๊ะ เมียจ๋า"

คำว่าเมียของมันช่างฟังดูอ่อนหวานนัก

"คิดถึง"


อา...เขาก็คิดถึงคนตัวโตนี้จนสุดหัวใจเช่นกัน เขาช่างโง่นักที่คิดดูถูกน้ำใจของคนอย่างฆาเบียร์ว่าจะทิ้งเขาไปง่ายๆ โดยไม่บอกลา

"ผมก็คิดถึงคุณ ฆาบี้ คิดถึงจนสุดหัวใจ"

ในใจเขา เขาอยากใช้คำอื่นแทนคำว่าคิดถึง แต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดมันออกมา...ร่างใหญ่นั้นโอบรัดเขาแน่นจนเจ็บเหมือนจะกลัวว่าเขาจะหายไปอีก

"พอไม่มีเจนอนข้างๆ ฉันนอนหลับไม่เต็มตื่นเลยสักคืนเลย รู้ไหม?"

ทำไมจะไม่รู้ล่ะ เขาเองก็เป็นเช่นกัน

"ห่มผ้าเท่าไหร่ก็ไม่หายหนาว ฉันเหงา...เหงามาก"

เสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงนั้นกระซิบเหมือนคำละเมอ น้ำตาพาลจะไหลออกมาจากตาคู่งามนั้นอีกแล้ว เจจูบเบาๆ เพื่อซับน้ำตานั้น


"ผมมาที่นี่แล้วไง"

เจกอดกระชับร่างใหญ่นั้นไว้กับอก หัวใจทั้งสองเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ฆาเบียร์หาวออกมา เขาเริ่มง่วงโดยที่ไม่ต้องพึ่งยาเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยไปจนเกือบตี 2 แล้ว

"เจจ๋า...ขอฉันนอนกอดเจทั้งคืนนะ"

เขาเว้าวอน เจขยับเปลี่ยนไปนอนซบอกกว้างซึ่งอ้าแขนรับร่างเขาอย่างยินดี

"จูบฉันหน่อยสิ"

ริมฝีปากน้อยๆ ของเจนยุทธสัมผัสริมฝีปากเขาอย่างอ่อนโยน

"ราตรีสวัสดิ์ครับ คนดีของผม"

เสียงใสๆ กระซิบแผ่วๆ ที่หูก่อนที่เขาจะหลับใหลและเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข


------------------------------------------------------------

โอ๊ยยยยยยย ว่าจะไม่ดราม่าอีกแล้ว มาม่ามาเต็มอีกจนได้ สงสารฆาบี้อ่ะ ชีวิตนางผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ แต่ขอสารภาพว่าเรื่องอาการของฆาเบียร์นี่ มโนเองล้วนๆ นะคะ แหะๆๆ จบมาม่าตอนนี้ ตอนหน้าก็เตรียมเที่ยวฮ่องกงกันต่อ ไว้รอติดตามชมนะคะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2018 15:54:13 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เห็นชื่อตอนแล้วทำเอาต้องไปเซิร์จหา แล้วก็เจอมหากาพย์ของ หลับไหล หรือ หลับใหล
ฆาเบียร์เป็นเอามากนะนี่ ทำไมทางนั้นไม่รีบติดต่อหาเจเร็วกว่านี้
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
เห็นชื่อตอนแล้วทำเอาต้องไปเซิร์จหา แล้วก็เจอมหากาพย์ของ หลับไหล หรือ หลับใหล
ฆาเบียร์เป็นเอามากนะนี่ ทำไมทางนั้นไม่รีบติดต่อหาเจเร็วกว่านี้
รอตอนต่อไปค่ะ

ว้ายยย ขอบคุณที่ท้วงค่ะ ลองไปค้นดู สรุปว่าเขียนผิดมาตลอดชีวิตเลย ต้อง หลับใหล เนาะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Hong Kong Romance ----



ฆาเบียร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขารีบควานหาร่างอุ่นที่อยู่ข้างกายแล้วก็ต้องแย้มยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่่ผ่านมาไม่ใช่อาการหลอนเพราะฤทธิ์ยา เจ้าตัวน้อยของเขากลับมาอยู่ในอ้อมอกของเขาแล้ว เขากอดรัดร่างนั้นแน่นเหมือนกลัวจะปลาสนาการไป

"อึดอัด...หายใจไม่ออก"

คนที่ถูกรั้งร่างจนหน้าแนบไปกับอกกว้างนั้นร้องออกมา เขาตื่นมาสักพักแล้ว แต่ไม่อยากลุกออกไปจากร่างใหญ่ที่อบอุ่นนี้ ฆาเบียร์คลายวงแขนออก แล้วดึงตัวเจให้ขึ้นมานอนบนหมอนเดียวกัน ใบหน้าทั้งสองห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือกั้น

"เหม็นขี้ฟัน"

เจนิ่วหน้า แต่ก็จุ๊บเบาๆ ที่ปากแตกระแหงนั้น ตัวเขาเองก็คงเหม็นไม่แพ้กัน เมื่อคืนเขาเข้านอนไปทั้งๆ ชุดที่ใส่ตอนมาถึงฮ่องกง เขาไม่อยากลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะกลัวคนที่หลับไปอย่างสบายอารมณ์แล้วจะตื่น

"เดี๋ยวมานะ"

เจลุกจากเตียงอบอุ่นนั้น คนร่างใหญ่ทำสีหน้าตัดพ้อ เขาไม่อยากห่างร่างอุ่นที่แสนจะคิดถึงนั้นไปแม้สักวินาทีเดียว ​

เจนยุทธเปิดผ้าม่านที่ยาวทั้งผนังกว้างนั้นแล้วต้องตะลึงกับวิวพาโนราม่าของอ่าววิคตอเรียที่อยู่ตรงหน้า เมื่อคืนตอนมาถึงเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าโรงแรมนี้จะตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ หมู่ตึกที่อยู่ตรงข้ามคือทิวทัศน์ของฮ่องกงที่เขาเคยเห็นจากในหนัง ทั้งอาคารแบงค์ ออฟ ไชน่า ที่ประกอบด้วยหมู่แท่งตึกรูปสามเหลี่ยมเล่นระดับที่จะยามค่ำคืนจะประดับไฟเป็นลายเส้นพาดไปมาบนตัวอาคารสีดำ ไหนจะอาคารทู ไอเอฟซีที่เป็นแท่งสูงตระหง่านอยู่ริมอ่าว

(Hong Kong Skyline)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/hk1.jpg


(Executive Room, InterContinental Hong Kong)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/interCon-HK.jpg


"ตอนกลางคืนวิวยิ่งสวยกว่านี้อีกนะ รู้ไหม?"

เสียงทุ้มที่ยังเจือความอ่อนระโหยกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขา...ร่างที่ยังอ่อนแอที่ฝืนลุกจากเตียงนั้นซวนเซเล็กน้อย เจรีบเข้าประคองฆาเบียร์ให้ไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานที่อยู่ริมกระจกหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน

"จะรีบลุกมาทำไม?"

เจตำหนิคนใจร้อนที่ทำหน้าจ๋อย

"ก็อยากอยู่ใกล้ๆ..."

คนตัวโตบ่นอุบอิบ เจให้ฆาเบียร์นั่งรอ ส่วนเขาเข้าห้องน้ำไปเปิดน้ำร้อนใส่อ่างจากุซซี่ขนาดใหญ่พร้อมใส่ผงเกลืออาบน้ำที่มีกลิ่นหอมลงไป เขาประคองคนตัวโตที่ยังอ่อนแรงเข้าห้องน้ำ ช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้า เฝ้ารอตอนฆาเบียร์ขับถ่ายและล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นพาฆาเบียร์เข้าชาวเวอร์บ็อกซ์แล้วอาบน้ำชำระกายให้ ฆาเบียร์มองร่างบางเปล่าเปลือยที่ก้มกายลูบไล้ขัดถูแข้งขาเขาด้วยความอิ่มใจ เมื่อชำระล้างกายให้เสร็จแล้ว เจเดินไปดูว่าน้ำอุ่นได้ที่แล้วหรือยัง ก่อนที่จะพาฆาเบียร์ลงแช่ ฆาบี้ดึงมือร่างเพรียวที่กำลังจะเดินห่างออกไปเป็นนัยว่าให้ลงมาแช่ด้วยกัน เจถอนหายใจ ลงแช่ด้วยกันมันคงไม่ได้แค่แช่ดีๆ แน่ๆ แต่สุดท้ายเขาก็หย่อนกายลงนั่งในอ่างใหญ่นั้น


อย่างที่คาดไม่ผิด แทนที่จะนั่งคนละฟากกัน คนตัวโตรีบแทรกตัวเข้ามานั่งประกบหลังเขา แขนแข็งแรงโอบรอบเอวและปากร้อนๆ นั้นซุกไซร้อยู่แถวต้นคอด้านหลัง เขาขนลุกไปทั้งตัวเพราะสัมผัสร้อนๆ นั้น มันทำให้เขาที่ห่างหายเรื่องนั้นไปนับเดือนแทบจะคลั่งตาย

"ไม่ได้นะ ฆาเบียร์ คุณยังไม่แข็งแรง"

เสียงของเขาแหบพร่า มันยิ่งทำให้คนที่อยู่ด้านหลังรุกเร้าหนัก ความคิดถึงของเขาส่งผ่านไปกับรอยจุมพิตที่เขาทิ้งไว้ตามหลังคอและซอกคอของเจ เขาไม่ค่อยชอบฝากรอยรักไว้กับใคร แต่ในวันนี้ เขาอยากประกาศให้คนอื่นรู้ว่าๆ คนๆ นี้เป็นของเขา

"เมียครับ อย่าซนสิ"

เจขยับกายออกห่าง ใจเขาสั่นระรัว แท่งลำของเขาก็ร้อนแทบระเบิด แต่เขาไม่อยากให้คนตัวใหญ่คนนี้ต้องฝืนมากเกินไป อีกอย่าง...ไอ้จรวดอันใหญ่ที่มันถูไถอยู่แถวๆ บั้นท้ายเขานั้นทำให้เขากลัวเหลือเกิน ฆาเบียร์หัวเราะสีท่าหวั่นๆ ของร่างเพรียวแต่แข็งแรงที่เขากำลังลวนลามอยู่ เขายังอยากจะจับมันกดใจจะขาดแล้ว แต่สภาพเขาในตอนนี้คงยังไม่ไหว มันเองก็คงยังไม่ยอมเขาแน่


"แค่มือก็ได้นะ เจจ๋า ฉันสุดจะกลั้นแล้ว"

เขาร้องขอ เขาไม่ได้ปลดปล่อยมาถึงหนึ่งเดือน หนึ่งเดือน!! นี่นับว่านานที่สุดในชีวิตของฆาเบียร์ บาเลนตินคนนี้แล้ว พอไม่มีเจอยู่ใกล้ๆ เขาไม่มีอารมณ์แม้แต่จะระบายออกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เจขยับย้ายไปนั่งซ้อนหลังเขาแทน มือน้อยๆ นั้นกำรูดไล้ส่วนแข็งเกร็งของร่างกายเขาอย่างมีชั้นเชิง ปากน้อยๆ นั้นซุกไซร้หลังหู ซอกคอของร่างหนั่นแน่นที่เอนกายพิงอกเขา เพื่อไม่ให้ขาดทุน เจฝากรอยรักหลายรอยไว้ที่ร่างกำยำนั้นเช่นกัน ฆาเบียร์ครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อมืออีกข้างของเจเคล้าคลึงแถวใต้ถุงเนื้อและบริเวณปากทางแคบเล็ก นิ้วมือเรียวนั้นเริ่มซุกซน มันชำแรกเข้าในช่องทางเขา...เขาเสียทีมันอีกแล้วสินะ

นิ้วร้อนๆ ที่เริ่มคุ้นชินกับช่องทางแปลกใหม่นั้นรู้ตำแหน่งเสียวของเขาดี เพียงไม่นานเขาก็ปลดปล่อยออกมาอยางสุดกลั้น เขาเหลียวหน้าไปบดจูบกับปากน้อยๆ นั้นอย่างรุนแรง

"จะไม่ปล่อยให้ฉันสักครั้งเลยเหรอ เจ?"

เจส่ายหน้าระรัว เขายังไม่พร้อมในตอนนี้ ฆาเบียร์ดันกายเจนยุทธให้ขึ้นนั่งบนขอบอ่าง ถึงเวลาที่เขาจะบริการคนดีของเขาแล้ว เขาค่อยๆ จูบไล้ตามต้นขาขาวเนียน ลิ้นร้อนๆ ที่ลากไล้ จูบหนักๆ ที่ทิ้งรอยแดงชาดทำให้เจร้อนรุ่ม เขาปิดปากไม่ให้ครางออกมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มนั้นค่อยๆ รุกล้ำเข้าใกล้แท่งลำของเขา สัมผัสของหนวดเคราที่โดนจุดอ่อนไหวทำให้เขาจั๊กจี้และเสียวไปพร้อมๆ กัน ริมฝีปากของฆาเบียร์ที่เคยส่งคนนับไม่ถ้วนไปสู่วิมานนั้นช่างวิเศษนัก ลิ้นร้อนๆ นั้นทำให้เจแทบคลั่ง ฆาเบียร์กลืนกินเขาลงไปแทบมิดอัน เทคนิคอันแพรวพราวของเขาทำให้เจดิ้นเร่าๆ และปล่อยเสียงครางออกมาอย่างสุดกลั้น แต่ก่อนที่เขาจะถึงฝั่งฝัน ฆาเบียร์พลันหยุด...

"ยัง...ยังก่อน เจ ฉันไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ หรอก"

ใบหน้าคมเข้มนั้นยิ้มกริ่ม และเริ่มการทรมานคนตัวน้อยนั้นอีกครั้ง



เจซวนซบกายลงกับขอบอ่างจากุซซี่ ไอ้คนลามกนั่นทำเขาร้องครวญครางจนแทบเสียงแห้ง เขาเสร็จไปถึง 2 ครั้งจนกว่าฆาเบียร์จะยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ คนตัวโตกอดเขาไว้แนบอก ความรู้สึกเขาเต็มอิ่มแล้ว ความเครียด ความกังวลที่เขารู้สึกมาตลอดเกือบสามสัปดาห์หายไปเป็นปลิดทิ้ง เขารู้ตัวแล้วว่าเขาขาดเจนยุทธไปไม่ได้ เขาซบหน้าลงกับหลังเปลือยนั้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยกล่าวสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว เจพลันลุกขึ้นจากน้ำ และยื่นมือมาดึงมือเขา

"น้ำเย็นหมดแล้ว อย่าแช่ต่อเลย...อีกอย่าง..."

เจหน้าแดง

"...มีแต่อะไรลอยอยู่ในน้ำก็ไม่รู้ ไปล้างตัวกันเถอะ"

คนตัวโตลุกตามอย่างว่าง่าย ทั้งสองกอดจูบลูบไล้กันต่อภายใต้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวก่อนที่จะจูงมือกันเดินออกนอกห้องน้ำ

เมื่อเปิดประตูห้อง ทั้งสองต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเจอคริสกับเมลิน่านั่งคอยอยู่ เจนยุทธนึกดีใจที่เขาจับฆาเบียร์ใส่ชุดคลุมอาบน้ำก่อนออกมา ตัวเองก็เช่นกัน ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงน่ากระอักกระอ่วนกว่านี้แน่ๆ แต่ดูจากหน้าของเมลิน่าที่แดงก่ำแล้ว ทั้งคู่คงนั่งอยู่ที่นี่นานพอที่จะได้ยินอะไรต่อมิอะไรจนหมด โว้ยยยย เขาอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว


ฆาเบียร์หน้าซีดมองพ่อบุญธรรมของตน เขาซึ่งไม่รู้ว่าคริสกับเจนยุทธได้เจอและได้สนทนากันแล้วรีบละล่ำละลักแนะนำคริสกับเจ

"เอ่อ เจ นี่คุณคริสที่เป็นเพื่อนพ่อแล้วก็เป็นเจ้านายฉัน คุณคริสครับ นี่เจนยุทธ เป็น เอ่อ เป็น..."

เจบีบมือใหญ่ของฆาเบียร์เบาๆ เป็นนัยว่าให้หยุด

"ผมเจอคุณคริสตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ฆาบี้"

หน้าที่ซีดอยู่แล้ว ซีดหนักลงไปอีก เขาทรุดกายลงนั่งบนเตียง ไอ้ตัวเล็กรู้แล้วว่าเขาโกหกมันเรื่องการงานของตัวเอง เขาจะทำยังไงดี มันจะโกรธไหม?

"ผมไม่โกรธคุณหรอก ฆาเบียร์"

เจนยุทธพูดเหมือนอ่านใจคนตัวใหญ่ออก ถ้าเขาโกรธ คงไม่ปล่อยให้ทำอะไรต่อมิอะไรแบบเมื่อกี้หรอก

"ผมเชื่อว่าคุณปิดบังเพราะมีเหตุผลบางอย่าง..."

เขาหันไปหาคริส

"สวัสดีครับ คุณคริส"

คริสที่ยิ้มละไมผงกหัวน้อยๆ รับการทักทายของเจนยุทธ

"เป็นไงบ้าง ฆาบี้ อาการดีขึ้นหรือยัง?"

ฟังจากเสียงของเจที่ร้องลั่นห้องน้ำขนาดนั้น เขาเดาว่าไอ้ลูกชายของเขาคงแข็งแรงขึ้นแล้ว


"ไงล่ะ ยาของอาปาดีใช่ไหม?"

คริสพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์มองใบหน้าที่ยิ้มละไมนั้นด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ

"อาปาไม่น่าลากเจมาลำบากเลย"

ฆาเบียร์พูดกับคริสซึ่งเป็นชาวฮ่องกงโดยกำเนิดเป็นภาษากวางตุ้ง สำหรับเขา อันเดรสผู้พ่อคือปาปี๊ (Papi) ส่วนคริสซึ่งเขาเคารพเหมือนพ่อคือ อาปา

เจนยุทธมองคนตัวโตที่พูดกวางตุ้งได้เฉยเลยอย่างงุนงง คริสหันไปแปลให้เจฟัง ฆาเบียร์ทำหน้าเซ็งเพราะไอ้คนตัวเล็กก็หันมาว๊ากใส่เขาต่อ

"ไปว่าคุณคริสเขาทำไม เขาหวังดีหรอกถึงไปลากผมมา ผมอยากให้คุณเห็นสารรูปตัวเองจริงๆ เป็นบ้าอะไรทำไมถึงปล่อยตัวขนาดนี้? ทำไมไม่ติดต่อหากัน? ทำไมไม่ให้ผมรับรู้ปัญหาอะไรของคุณบ้าง?"

เจนยุทธเริ่มโกรธขึ้นจริงๆ แล้ว ในเมื่อตอนนี้ฆาเบียร์ดูโอเคขึ้น เขาขออบรมไอ้คนตัวโตนี้หน่อย

"ก็...ก็ ฉันไม่อยากให้นายเห็นฉันในสภาพนี้ ไม่อยากให้ปัญหาของฉันไปกวนใจนาย"

ฆาเบียร์พูดตะกุกตะกัก คราวนี้เขาพลาดไปจริงๆ เขาไม่นึกว่าอาการเก่ามันจะกำเริบหนักขนาดนี้ เจถอนหายใจ

"แล้วเป็นไงล่ะ? สุดท้ายผมก็ต้องเห็นอยู่ดี"

เขาลงนั่งและเอนหัวซบไหล่ร่างกำยำนั้น ณ จุดนี้เขาคงไม่ต้องอายอะไรกับสายตาของคริสและคุณเลขาฯ แล้ว

ในเมื่อเจไม่อาย เขาก็ไม่อาย ฆาเบียร์ยกมือขึ้นโอบไหล่บางนั้นและจูบแก้มเป็นพวงนั้นหนักๆ


"ผมดีขึ้นมากแล้วครับ อาปา วันนี้จะให้ผมเข้าออฟฟิศเลยไหม? จะได้ไปจัดการเรื่องงานเปิดตัวด้วย"

เขาหันไปคุยกับคริสด้วยเสียงจริงจัง เขาสลัดคราบฆาเบียร์ บาเลนตินจอมเสเพลออกและกลายเป็นฆาบี้ มาร์ติเนซในโหมดลุยงานเต็มตัวแล้ว

"ฉันก็ว่าจะมาคุยกับแกเรื่องนี้แหละ..."

"...ฉันอยากเลื่อนงานเปิดตัวออกไปจนกว่าแกจะพร้อม"

คริสพูดอย่างจริงจัง ฆาบี้ปฏิเสธลั่น เขาสร้างความยุ่งยากให้คริสและคนรอบข้างมาพอแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ปัญหาส่วนตัวของเขามากระทบงานใหญ่ของบริษัท คริสถอนหายใจ เขารู้นิสัยไอ้ลูกบุญธรรมคนนี้ดี

"ไม่เลื่อนก็ได้ แต่ฉันขอสั่งแกห้ามยุ่ง หน้าที่ของแกตอนนี้คือโผล่หัวไปตอนวันงานก็พอ แกก็เตรียมงานส่วนของแกเสร็จไปแล้ว ที่เหลือให้คนอื่นทำกันต่อก็ได้"

"หน้าที่แกในอีกสามวันนี้คือทำตัวให้แข็งแรงไว้และพาเจเที่ยวฮ่องกง เข้าใจไหม?"

คริสลุกขึ้นยืน

"ฉันไม่กวนแกแล้ว วันนี้แกพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ถ้าอยากจะไปไหนก็ให้คนรถของฉันพาไป เดี๋ยวฉันจะให้คนจัดอาหารมาให้ พยายามกินเยอะๆ ล่ะ จะได้แข็งแรง"

น้ำตาไหลเอ่อตาสีดำสนิทคู่นั้น

"ฉันเป็นห่วงแกมากนะ ไอ้ลูกชาย"

ฆาเบียร์กลั้นสะอื้นเดินไปกอดพ่อบุญธรรมของเขา

"ผมเสียใจจริงๆ ครับ อาปา ผมขอโทษและต้องขอบคุณอาปาที่หายารักษาใจมาให้ผมได้ทันเวลา"

เขาหันไปยิ้มให้กับเจนยุทธ คริสหัวเราะแล้วบอกว่าที่จริงเขาไม่ได้หามาให้หรอก แต่เป็นเจเองที่ติดต่อเข้ามาในตอนที่พวกเขาเองก็กำลังมืดแปดด้าน ทางนี้ลืมนึกถึงเจไปเสียสนิทจนกระทั่งเมลิน่ารับวีดีโอคอลล์นั้น


คริสเรียกเจมาหา

"ขอบใจเธอมาก เจนยุทธ ต่อไปนี้ เธอก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของฉัน เธอจะเรียกฉันว่าอาปาเหมือนฆาบี้ก็ได้นะ"

เจยกมือไหว้คริสอย่างลืมตัวและเรียกเขาอาปาตามที่เขาต้องการ คริสหัวเราะอย่างพึงใจแล้วกอดเจแน่น เขามีคนในครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว

หลังจากคริสและเมลิน่ากลับไป เจและฆาเบียร์ก็จัดการแต่งองค์ทรงเครื่อง ฆาบี้โกนหนวดเคราที่รกรุงรังออก หลังจากนั้นไม่นานทางโรงแรมก็ส่งเมนูจากหลายห้องอาหารที่มีในโรงแรมมาให้เลือก เจนยุทธดูเมนูแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ละห้องอาหารล้วนแต่ติดดาวมิเชแลงทั้งนั้น ราคาอาหารก็สูงเสียดฟ้า

เขายังไม่ทันจะสั่งอะไรก็มีคนมากดกริ่งที่ประตู จากนั้นก็มีคนเข้ามาตั้งโต๊ะอาหาร อาหารจำนวนมากถูกลำเลียงเข้ามาวางเต็มโต๊ะซึ่งล้วนเป็นอาหารบำรุงแบบจีน มีทั้งเป๋าฮื้อน้ำแดงตัวใหญ่ พระกระโดดกำแพง โจ๊กปลาเก๋า กระเพาะปลาตุ๋นปลิงทะเล รังนกยัดไส้เยื่อไผ่ ที่เจตื่นตาตื่นใจที่สุดคือยอดซุปใส่เป๋าฮื้อ กระเพาะปลา ขาปูและปลิงทะเลตุ๋นในฟักเขียวทั้งลูก นอกจากนี้ยังมีอาหารธรรมดาอย่างเนื้อวากิวผัดพริกไทยอ่อน นกพิราบย่างไฟแดง หมี่ผัดทะเล ทั้งหมดนี้มาจาก Yan-Toh-Heen ภัตตาคารจีนระดับสองดาวมิเชแลงของโรงแรม เจไม่อยากนึกเลยว่าทั้งหมดนี้จะราคาเท่าไหร่

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นไอ้ตัวเล็กทำตาโตเป็นไข่ห่านกับอาหารจำนวนมาก อาปาของเขาคงรู้ดีว่าเจจะไม่กล้าสั่งอาหารจากโรงแรมมากินแน่ๆ ก็เลยจัดให้เองเสียเต็มที่ กลิ่นอาหารที่หอมยั่วใจทำให้เขาเริ่มหิวขึ้นมา ไอ้ตัวดีนั้นนั่งน้ำลายยืดที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาลงนั่งและตักของโปรดอย่างกระเพาะปลาตุ๋นปลิงทะเลใส่ถ้วย แต่กินไปได้สองสามคำ ฆาเบียร์ก็ลุกพรวดไปอาเจียนในห้องน้ำ เจรีบตามเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง กระเพาะของเขายังรับอาหารไม่ไหว


"ฉันลืมกินยา..."

ฆาเบียร์เช็ดคราบอาเจียนที่ปาก หมอได้ให้ยาพวกเคลือบกระเพาะ ลดกรด อะไรพวกนี้ไว้ให้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะกิน เขาเดินไปที่โต๊ะหัวเตียงค้นเอายาที่หมอสั่งให้มากินแล้วหยิบกระปุกยาสีน้ำตาล 2 กระปุกส่งให้เจ

"เอาเททิ้งส้วมไปเลย"

เจพลิกดูฉลากที่มีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ 'Prozac' และ 'Xanax'​​ เขามองหน้าฆาเบียร์

"ฉันได้ยานอนหลับของฉันกลับมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้พวกนี้อีก"


เจนั่งรอให้แน่ใจว่ายาออกฤทธิ์แล้ว อาหารจะเย็นไปก็ช่าง ปล่อยมันไป เขาตักโจ๊กปลาเก๋าใส่ถ้วยแล้วป้อนให้ฆาบี้ซึ่งค่อยๆ กินช้าๆ

"กินคำเล็กๆ นะ ไม่ต้องรีบ"

ไอ้ตัวเล็กสั่ง

"เจเองก็กินมั่งสิ เดี๋ยวฉันกินเอง"

"ไม่เป็นไร รอได้ คุณกินไปก่อน เดี๋ยวผมเหมาที่เหลือเอง"

อ๋อ ที่แท้มันมีแผน...

ฆาเบียร์มองเจที่คอยตักนั่น คีบนี่ใส่จานให้เขาอย่างเพลิดเพลิน เขาค่อยๆ เล็มกินไปเรื่อยๆ ไม่นานอาหารบนโต๊ะก็พร่องไปพอสมควร เขาตักโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปาก อาการผะอืดผะอมบรรเทาไปมาก เขาหยิบยาหลังอาหารมากิน

"ฉันอิ่มแล้วล่ะ"

เขาบอกเจที่จิ้มๆ อาหารไปบ้างแต่ก็ยังรอให้เขากินก่อน เมื่อได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวเล็กก็ไม่เกรงใจแล้วสวาปามอาหารที่เหลือไปจนเกือบหมด เจของเขากินเก่งจริงๆ เขานั่งมองภาพปากน้อยๆ ที่งับอาหารและแก้มตุ่ยๆ นั้นอย่างแสนคิดถึง เจทำให้อาหารทุกอย่างดูอร่อยไปหมดและนั่นทำให้เขาเจริญอาหารตามไปด้วย


"นายรู้ไหม พอนายไม่อยู่ ฉันกินอะไรก็ไม่อร่อย"

มือใหญ่ของเขาลูบไล้แก้มใสๆ นั้น พวกเขามานั่งลงคุยกันที่โซฟา

"อือ...รู้ ผมก็เป็น คุณไม่อยู่ ผมไม่รู้จะกินข้าวกับใคร พี่นพก็ไม่ได้ว่างให้ตลอด นอนคนเดียวก็หนาว"

"...ผมเองก็คิดถึงคุณนะ...รู้ไหม?"

มือเพรียวนั้นกุมทับมือของเขาแล้วดึงมาจูบ ดีนะที่พี่นพเตือนสติเขาจนหาทางติดต่อทางนี้จนได้

"เห้ย ลืมไปซะสนิท!"

เจโพล่งขึ้นแล้วขอยืมคอมพิวเตอร์ของฆาเบียร์ เขาล็อคอินไลน์ของเขาแล้วส่งไลน์วีดีโอคอลล์ไปหาทั้งนพและพี่อิ่ม เมื่อวานเขารีบเก็บของเพื่อเดินทางมาฮ่องกงโดยมีนพมาส่ง พอถึงสนามบินเขาโทรหาแม่และพี่อิ่มบอกว่าเขาจะไปฮ่องกงสักพักและเล่าเรื่องอาการคร่าวๆ ของฆาเบียร์ให้ฟัง ทั้งนพและครอบครัวเขาขอให้รายงานอาการฆาเบียร์ทันทีที่มีโอกาส นี่เขาหายไปไม่ติดต่อพวกนั้นเกือบวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะห่วงกันแค่ไหน


นพบ่นฆาเบียร์เสียยาวยืดตามประสาคนปากร้ายแต่ใจดี ฆาบี้เองก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของนพจากน้ำตาที่เอ่อคลอตาชั้นเดียวนั้น ถ้าเป็นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนเขาคงหัวใจเต้นโครมครามกับภาพที่เห็นนั้น แต่ในวันนี้เขาเหลือแค่ความขอบคุณในน้ำใจของเพื่อนคนนี้ ส่วนอิ่มและแม่ของเจนั้นก็เรียกได้ว่าถึงกับน้ำตาร่วงกับสภาพสุดโทรมของเขา

"แม่สวดมนต์ให้ลูกตลอดเวลาเลยนะ อย่าทำแบบนี้อีกนะลูก แม่ใจไม่ดีเลย"

แม่ของเจพูดทั้งน้ำตา พาลทำให้ฆาเบียร์น้ำตารื้นขึ้นไปด้วย เจรีบตัดบทก่อนที่คนที่จิตใจยังไม่แข็งแรงนักจะปล่อยโฮมาอีก เขาบอกลาแม่แล้วปิดการสนทนานั้น

"ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนะ รู้ไหม? เมื่อก่อนคุณอาจจะมีแค่อาปา แค่งาน แต่ตอนนี้คุณมีพี่นพ มีแม่ฟอง และมีผม จำไว้ให้ดี"

เจทำหน้าเข้ม ฆาเบียร์รวบร่างข้างหน้านั้นเข้ากับอก เขารับรู้ถึงความหวังดีของทุกคนโดยเฉพาะของเจ้าของหัวใจดวงที่เต้นอยู่แนบอกเขานี้

"เจจ๋า..."

ฆาเบียร์ทำเสียงหวาน

"กินของคาวแล้ว ฉันอยากกินของหวาน"

สายตาที่ฉ่ำเยิ้มของเขาส่อแววที่ทำให้เจหน้าร้อนผ่าว นี่เพิ่งหายป่วยนะคุณฆาเบียร์ เขาตัดสินใจเอนกายลงบนโซฟาแล้วดึงร่างกำยำนั้นลงทาบทับ


เจลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่ยับย่นของตัวเอง ใบหน้าสีกุหลาบนั้นทำให้ฆาเบียร์อยากฉุดรั้งร่างเพรียวนั้นกลับลงมาให้เขากอดจูบและกระซิบบอกคำหวานให้สมกับความคิดถึงอีก แต่เวลาก็ล่วงไปถึงบ่ายแก่ๆ แล้ว พวกเขาควรต้องออกห้องเพื่อให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดบ้าง

"เจอยากไปไหนหรือเปล่า?"

"ผมอยากไปซื้อเสื้อผ้าซักหน่อย ไม่รู้ต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน นี่ผมเอาเสื้อผ้ามาแค่สองชุดเองนะ"

เจขำตัวเอง จริงๆ เขารีบมากจนหยิบกางเกงในมาแค่ตัวเดียว แต่เขาเขินจนไม่กล้าบอกฆาเบียร์ว่าจะไปซื้อกางเกงใน

"อ้อ แล้วก็...ผมอยากได้.........ด้วยอ่ะ"

เจยิ้มเขินๆ ฆาเบียร์ขำในสิ่งที่เจขอ เขาโทรศัพท์ไปหาเมลิน่าเพื่อขอรถและสิ่งที่เจต้องการ



ทั้งคู่เดินจับมือกันผ่านล็อบบี้อันโอ่อ่า ด้านหน้าโรงแรมนี้มักมีรถหรูอย่างเฟอรารี่ ลัมบอกินี่ แอสตัน มาร์ตินหรือกระทั่งโรลส์รอยส์จอดเป็นประจำจนเหมือนมอเตอร์โชว์ย่อมๆ และในตอนนี้เบนท์ลี่ย์ มูซานคันงามของคริสก็จอดรอทั้งคู่อยู่ เมื่อขึ้นนั่ง เจก็ลูบๆ คลำๆ ข้างในรถหรูที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้นั่งมาก่อนในชีวิต ตอนที่คริสมารับเขาที่สนามบินเขามัวแต่ห่วงฆาเบียร์จนไม่ได้ชื่นชมความงามของรถคันนี้ เบาะหนังแท้หอมกรุ่นนั้นเลือกสีได้ตามความต้องการของเจ้าของซึ่งในที่นี้คริสเลือกสีเฮเซลนัทขลิบด้วยน้ำตาลทอง ตัวรถที่ยาวพิเศษทำให้​สามารถยืดที่พักขาของเบาะหลังออกและปรับเอนนอนได้ เครื่องยนต์ 8 สูบ ขนาด 6,750 ซีซี ของรถคันนี้ที่ให้พละกำลังถึง 505 แรงม้าพาพวกเขาฝ่าการจราจรที่เริ่มติดขัดของฝั่งเกาลูนไปสู่ห้างฮาร์เบอร์ ซิตี้ที่เป็นช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในย่านจิมซาจุ่ย ห้างนี้เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์ดัง

เจเดินเข้าร้านประจำอย่าง Diesel กับ Calvin Klein และ Armani Jeans นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่ฮาร์เบอร์ซิตี้ เขาเลือกเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นและไม่ลืมซื้อกางเกงในใหม่ด้วย เจไม่ยอมให้ฆาเบียร์จ่ายค่าเสื้อผ้าให้เขาแม้ฝ่ายนั้นจะร้องขอก็ตาม ฆาเบียร์เดินหายไปพักใหญ่กับคนขับรถและกลับมาพร้อมถุงของร้านโปรดของตนอย่าง Balmain Saint Laurent และ Dolce&Gabbana จำนวนหลายถุง เขายื่นส่วนหนึ่งให้เจนยุทธ

"ฉันซื้อให้ รับรองว่าตรงไซส์แน่"

เจเม้มปากแน่น

"เสื้อผ้าผม ผมซื้อเองได้ คุณไม่เห็นต้องมาเสียเงินเสียทองให้เลย"

ไอ้ตัวเล็กนี่ดื้อนัก

"รับไว้เถอะ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่อะไร ฉันก็ซื้อนั่นนี่ให้คนที่ฉันควงด้วยเป็นปกติอยู่แล้ว"

ฆาเบียร์หลุดปากพูดออกไปแล้วแทบอยากกัดลิ้นตัวเอง เจนยุทธหน้าแดงก่ำ ยัดถุงพวกนั้นคืนให้คนขับรถ

"ผมจะไปรอตรงประตูที่เราลงรถ คุณเชิญซื้อของตามสบายแล้วกัน"

เขารู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มันเหมือนฆาเบียร์เอาเขาไปเทียบกับพวกหนุ่มๆ ที่เขาเคยเล่นๆ ด้วย


"เจ รอก่อน"

ฆาเบียร์วิ่งตามและคว้าไหล่บางของเจไว้แล้วพลันรู้สึกหน้ามืด หากเจประคองเขาไว้ทันก่อนที่จะซวนเซล้มไป เจนยุทธพาคนที่ยังไม่หายป่วยดีไปนั่งที่เก้าอี้นั่งพักซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี ฆาเบียร์หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาทำท่าทางร่าเริงมาเดินช็อปปิ้งกับเจ แต่จริงๆ เขารู้สึกเพลียเอาเรื่องเหมือนกัน เขาหลับตาพักสักครู่ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นน้ำตาบนหน้าของคนขี้งอน

"จะวิ่งทำไม? แล้วไม่ไหวทำไมไม่บอก?"

เสียงที่สั่นเครือดุเขาลั่น ฆาบี้หัวเราะแล้วลูบหัวเจเบาๆ

"ห่วงฉันด้วยเหรอ? ฉันไม่เป็นไรหรอก พักเหนื่อยแป๊บนึงก็หายแล้ว"

เจนยุทธแทบอยากบีบคอคนตัวโต

"ห่วงสิโว้ย เมียทั้งคน ถ้าเป็นอะไรไปแล้วผมจะนอนกอดใคร?"

เสียงที่พูดอย่างใส่อารมณ์นั้นเบาซะที่ไหน คนที่เดินจับจ่ายซื้อของอยู่แถวนั้นเริ่มหันมามอง เจหน้าแดงก่ำ รีบลุกขึ้นก้มหน้าลากฆาเบียร์ที่หัวเราะอย่างชอบใจออกไปจากห้าง


"เดี๋ยวเราแวะอีกที่หนึ่งก่อนกลับโรงแรมนะ"

เจมองหน้าคนป่วยเป็นเชิงถามว่าไหวเหรอ?

"น่า แป๊บเดียว นี่เรื่องงานนะ"

ฆาเบียร์ทำเสียงขึงขัง เจถอนหายใจ ถ้าเป็นเรื่องงานก็ต้องแวะสินะ ใจจริงเขารีบอยากพาคนตัวโตนี้กลับห้องเร็วๆ

รถเบนท์ลี่ย์คันงามพาทั้งสองมายังร้านตัดสูทขนาดไม่ใหญ่นักแห่งหนึ่งบนถนนนาธาน ป้ายหน้าร้านเขียนไว้ว่า "Sam's Tailor" เจนยุทธขมวดคิ้ว เขาคุ้นๆ ชื่อร้านนี้ เหมือนเคยเห็นจากในสารคดีที่เคยแปล แล้วเขาก็ถึงบางอ้อเมื่อเห็นรูปคนดังจำนวนมากที่ติดอยู่ตามฝาผนัง


แซมส์ เทเลอร์คือร้านวัดตัวตัดสูทชื่อดังที่สุดของฮ่องกงซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1957 คนดังจำนวนมากมายต่างเคยมาใช้บริการที่ร้านแห่งนี้รวมถึงประธานาธิบดีคลินตันของสหรัฐฯ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งสหราชอาณาจักร

ฆาเบียร์ทักทายเจ้าของร้านชาวอินเดียซึ่งเป็นเจ้าของรุ่นที่สองแล้วอย่างสนิทสนม เจ้าของร้านยังได้ถามไถ่ถึงคริสซึ่งเป็นลูกค้าเก่าแก่ หลังจากทักทายกันแล้วก็มาคุยเรื่องธุระกันต่อ

"ผมอยากตัดสูทใหม่สำหรับงานเปิดตัวออฟฟิศอีกสามวันข้างหน้า ที่ตัดไปช่วงที่แล้วคงใส่ไม่ได้แล้วล่ะ พอดีช่วงนี้น้ำหนักผมลดไปเยอะ"

ทั้งสองคุยกันเรื่องแบบสูทและเนื้อผ้าที่ต้องการ จากนั้นฆาเบียร์ก็พาเจ้าของร้านเดินมาหาเจนยุทธ

"แล้วขอให้เขาด้วย 2 ชุด ให้เขาเลือกแบบเลือกผ้าเอาเองแล้วกัน"

ชายสูงวัยชาวอินเดียพาเจที่ยังงงๆ เข้าไปวัดตัวและเลือกผ้ากับแบบของชุด

"ปกติผมไม่ใส่สูทนะ ไม่ต้องตัดให้หรอก ไม่เอาได้ไหมอ่ะ เปลืองตังค์เปล่าๆ"

ฆาเบียร์ทำหน้าเคร่งเครียดแต่สายตานั้นแพรวพราว ตาแบบนี้ทีไรต้องมีอะไรทุกทีสิน่า

"ไม่ได้!"

เขาทำเสียงแข็ง

"...เพราะนายต้องไปงานเปิดตัวสำนักงานใหม่กับฉันด้วย"

เจอ้าปากจะโวยแต่ก็ต้องหุบปากลงเมื่อฆาบี้พูดต่อ

"...นี่เป็นคำสั่งของอาปา"


-----------------------------------------------------


วันนี้ก็หมกอยู่ในห้องอีกแล้ว พาออกมาห้างบ้างนิดหน่อยน้อ จริงๆ อยากนำเสนอรูปอาหารของร้าน Yan-Toh-Heen มากแต่ไม่มีเพราะยังไม่เคยกินเพราะสู้ราคาไม่ไหว แหะๆๆๆ ได้แต่เปิดเมนูแล้วเลือกชื่ออาหารออกมาใส่ในนิยายค่ะ

(ร้าน Yan-Toh-Heen https://goo.gl/3chYv6)

ส่วนร้าน Sam's Tailor นี้ก็มีจริงๆ ค่ะ เป็นร้านที่เรียกได้ว่าดังไปทั่วโลก

(Sam’s Taylor  https://www.samstailor.com)


เดี๋ยวตอนหน้าฆาเบียร์จะพาเจขึ้นเขาบ้าง กินนั่นกินนี่บ้างไปตามเรื่องนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2018 16:03:44 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หลุดปากทำเจงอนเลยนะฆาเบียร์ ระวังหน่อยสิ อย่าหลุดบ่อยเชียวนะ บ้านจะแตกเอาได้ ฮา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ห่านเอ๊ย!!! ----​




เจนยุทธมีสีหน้าเคร่งเครียดแม้จะกลับถึงห้องพักได้ครู่ใหญ่แล้วก็ตาม เขาไม่รู้ว่าคริสคิดอะไรอยู่ถึงจะให้เขาเข้าร่วมงานเปิดตัวสำนักงานประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคของบริษัทซึ่งน่าจะมีแต่พวกไฮโซและคนดังมาร่วมงาน ไม่มีความจำเป็นเลยที่เด็กกะโปโลอย่างเขาจะต้องไปร่วมงาน

"ห่านเอ๊ย!!!"

เขาสบถออกมาเป็นภาษาไทยดังๆ ด้วยความหงุดหงิด กูหนีกลับซะดีไหมวะ?

"What is ห่านเอ๊ย?"

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย เขาได้ยินเจพูดคำนี้บ่อยๆ เวลาไม่พอใจ ซาวด์ของมันฟังดูน่ารักดี

เจนยุทธมองหน้าคนที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องด้วยความหมั่นไส้ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาห่วงคนๆ นี้ เขาจะหนีกลับไทยแล้วจริงๆ

"มันเป็นแค่คำสบถน่ะ..."

เขาจะตอบปัดๆ แต่ก็ทนสายตาอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

"จะอธิบายยังไงดี? มันเป็นเวอร์ชั่นสุภาพของคำสบถ ถ้าเทียบภาษาอังกฤษก็คงเหมือนกับพูดคำว่า darn it! แทน damn it!..."

ฆาเบียร์ทำท่าเข้าใจ วันนี้เขาเรียนรู้ภาษาไทยเพิ่มอีกคำนอกเหนือจากคำว่าเมียและผัว


"ห่านเอ๊ย!!!..."

คนตัวโตพูดตาม แล้วหัวเราะเบาๆ

"ฉันว่าซาวด์มันน่ารักดี ห่านๆๆ" เจนยุทธหัวเราะก๊ากออกมา

"จริงๆ แล้วคำว่า ห่าน มันแปลว่า goose น่ะ แต่ในที่นี้เอามาแทนคำว่า ห่- ซึ่งความหมายมันเทียบได้กับคำว่า damn ภาษาอังกฤษ แต่คุณอย่าพูดไปเชียว มันไม่ดี"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาคงต้องขอเจเริ่มสอนภาษาไทยให้เขาบ้างแล้ว

"พูดถึง goose แล้วฉันเพิ่งนึกได้ เมลิน่าฝากนี่มาให้เจนะ"

ฆาเบียร์หยิบถุงพลาสติกใสใส่กล่องอะไรบางอย่างส่งให้เจ เมลิน่าเอามันมาฝากไว้ที่ฟรอนท์เมื่อช่วงเย็น


เจนยุทธหยิบกล่องออกดูแล้วทำตาโต 'ห่านเอ๊ย' จริงๆ ในถุงนั้นมีกล่องพลาสติกสองกล่องบรรจุขาห่านย่างไว้ ทั้งสองกล่องมีโพสต์อิทแปะไว้ กล่องหนึ่งเขียนว่า Tai Hing อีกกล่องเขียนว่า Yung Kee ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เขาขอฆาเบียร์ไว้เมื่อตอนก่อนออกไปซื้อของ มาฮ่องกงทั้งที เขาอยากกินห่านย่าง เขาเคยหาข้อมูลเมื่อหลายปีมากแล้วว่าสุดยอดห่านย่างของฮ่องกงที่ดังถึงขั้นติดดาว Michelin มาตั้งแต่ยุค 1980 ก็คือห่านย่างของร้าน Yung Kee เขาเคยมาฮ่องกงกับนพสองสามครั้งช่วงปี 2012 2013 แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสกินสักทีเพราะมัวแต่ไปกินอย่างอื่น เขาเคยเกือบได้กินตอนที่ไปเที่ยวโอซาก้ากับนพรอบที่แล้ว พวกเขาเปลี่ยนเครื่องกันที่สนามบินเช็คแล็ปก็อก แล้วก็เห็นป้ายร้าน Yung Kee ในสนามบิน แต่ด้วยความที่เห็นช้าไปเลยไปกินไม่ทัน  คราวนี้เขาขอซัดให้เต็มคราบ ส่วนอีกร้าน Tai Hing นั้น เขาเห็นร้านมันอยู่ในสนามบินคู่กับร้าน Yung Kee แปลว่ามันน่าจะอร่อยพอๆ กัน

เจรีบเปิดกล่องทันที ห่านย่างทั้งสองกล่องส่งประกายวิ้งๆ เชิญชวนให้เขากิน ของ Tai Hing มีปริมาณน้อยกว่า และมีก้านผักลวกมาให้ด้วย เขารีบแกะตะเกียบคีบห่านชิ้นโตเข้าปาก อืมมม์ เขาหันมาคีบห่านของร้าน Yung Kee ซึ่งไม่มีผักแนมให้ แต่มาพร้อมถั่วลิสงเม็ดโต อืมมมม์ เนื้อห่านจะออกเหนียวกว่าเป็ดและมีไขมันมากกว่า แต่ก็ให้รสชาติอร่อยล้ำลึกไปอีกแบบ ห่านของทั้งสองร้านย่างออกมาจนหนังกรอบ ทั้งสองร้านให้ซอสบ๊วยมาด้วย


เขาเรียกฆาเบียร์มากินด้วยกัน ฆาบี้นิ่วหน้าน้อยๆ ทำไมเจนยุทธถึงอยากกินห่านจากทั้งสองร้านนี้กันนะ เขาคีบจากทั้งสองกล่องขึ้นชิมกล่องละชิ้น จากนั้นชิมแบบที่จิ้มซอสบ๊วยแล้วก็วางตะเกียบไม่แตะต้องอีก เขามีข้อสรุปในใจแล้ว

"เจว่าของที่ไหนอร่อยกว่ากัน?"

เขาขอความเห็นจากคนที่เคี้ยวห่านตุ้ยๆ อยู่ เผลอแผล็บเดียวเจก็กินเกือบหมดแล้ว

"อืมม์ ว่าไงดีล่ะ? ด้วยความที่เราไม่ได้กินมันทันที แถมยังใส่กล่องมา หนังมันก็อาจจะหายกรอบไปบ้าง สำหรับผมนะ หนังของ Yung Kee กรอบอร่อยกว่าและหอมถ่านแต่ก็มีไขมันใต้หนังหนากว่าทำให้เลี่ยน ผมยังชอบเนื้อห่านของ Yung Kee มากกว่าเพราะหนานุ่มกว่า แต่น้ำราดของ Tai Hing รสชาติใกล้เคียงกับน้ำราดเป็ดของไทยเพราะออกหวานและมีกลิ่นออกพะโล้ๆ ในขณะที่ของ Yung Kee จะออกเค็มอย่างเดียว น่าจะเหมาะกินกับข้าวมากกว่า...ส่วนซอสบ๊วยผมชอบของ Yung Kee มากกว่านะ"

"แต่..."

ฆาบี้ยิ้ม คนช่างกินอย่างเจคงรู้สึกได้

"...ผมอาจจะคาดหวังไปเองเพราะเป็นร้านดังทั้งคู่ มันก็อร่อยอ่ะนะ แต่เหมือนยังไม่ว้าวรุ้งพุ่งอะไรงี้ ยิ่งของ Yung Kee ที่เคยว่ากันว่าเป็นห่านย่างที่อร่อยที่สุดในโลกด้วย แถมมีดาวมิเชแลงอีก"

ฆาเบียร์หัวเราะ เจคงไม่ได้ตามข่าวสินะ

"คือเรื่องนี้อ่ะนะ..."

เขาอธิบายให้เจ้าตัวเล็กที่ทำท่าผิดหวังฟัง

"Yung Kee ทำดาวหล่นหายไปหลายปีแล้วล่ะ ตั้งแต่ตัวผู้ก่อตั้งร้านเสียชีวิตไปในปี 2004 ร้านก็เริ่มเป็นช่วงขาลง แถมมีเรื่องแย่งชิงมรดกและสิทธิ์บริหารกันระหว่างคนในครอบครัวอีกทำให้ยิ่งแย่ไปใหญ่ มีการฟ้องร้องกันใหญ่โตจนกระทั่งในช่วงปี 2015 มีข่าวมาว่าอาจจะต้องถึงขั้นปิดร้านเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็ยังเปิดอยู่ได้ ตัวลูกหลานสายที่แพ้คดีก็ออกไปเปิดร้านของตัวเอง อย่างร้าน Kam's Roast Goose ที่ประสบความสำเร็จได้ 1 ดาวมิเชแลงมาตั้งแต่ปีแรก สำหรับคนฮ่องกงหลายๆ คน ร้าน Yung Kee กลายเป็นร้านสำหรับนักท่องเที่ยวที่หากินกับตำนานของตัวเองแล้วล่ะ"

เจเริ่มทำหน้าตูม

"ส่วน Tai Hing Roast Shop ก็เป็นร้านที่มีหลายสาขา รสชาติมาตรฐาน มีเปิดเต็มฮ่องกงไปหมด ถ้าเทียบก็คงเหมือนเป็ดย่าง MK ของไทยนั่นแหละ คือไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ"

"ห่านเอ๊ย!!!"

ฆาบี้ยิ้ม โอเค ทีนี้เขารู้ละว่ามันแปลว่าอะไร

"รู้แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกตั้งแต่ตอนสั่งล่ะ?"

คนที่เซ็งเพราะผิดหวังกับอาหารเริ่มพาล

"ก็ฉันนึกว่าเจสั่งเพราะว่าเคยกินแล้ว และอยากกินจริงๆ นี่นา"

ฆาเบียร์โอบไหล่เจ้าตัวเล็กของเขา ที่ดิ้นขลุกขลักไม่ยอมให้กอด มันท่าจะงอนจริงๆ

"ไอ้ผมก็เห็นในเน็ตแนะนำกันนักหนา ว่าอร่อยงั้นงี้ ทีนี้จะไม่เชื่อมันแล้วพวกรีวงรีวิว บล๊งบล็อกอะไรนั่น พวกบล็อกเกอร์น่ะเชื่อถือไม่ได้!!"

เจพูดพร้อมตวัดสายตาพิฆาตใส่ฆาเบียร์ คนที่เป็นบล็อกเกอร์สะดุ้ง โดนเล่นแล้วตู

"งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันให้คนไปซื้อห่านย่างของร้าน Yat Lok กับ Kam's Roast Goose ให้ น่าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ"

เจส่ายหัว เขาหมดอารมณ์ไม่กงไม่กินมันแล้ว เจบอกฆาเบียร์ว่าจริงๆ แล้วเนื้อห่านก็ติดจะเหนียวไปสำหรับเขา แต่ที่ชอบก็เพราะหนังที่หนาของมันทำให้เวลาย่างออกมาแล้วกรอบอร่อย แต่พอใส่กล่องกลับมากินที่ห้องมันก็มักจะเหนียวไปเสียก่อน ถ้าจะกินไว้รอมีเวลามากกว่านี้แล้วไปนั่งกินที่ร้านเลยดีกว่า


(ห่านย่าง)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/goose.jpg


เจเก็บกล่องเปล่าใส่ถุงไปทิ้งแล้วเดินมาดูว​ิวอ่าววิคตอเรียที่ริมหน้าต่าง ข้างนอกนั้นมืดสนิทแล้วเหลือแต่แสงไฟระยิบระยับของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอย่างฮ่องกง ฆาเบียร์เดินมายืนเคียงข้างเจนยุทธ เขาดูนาฬิกา

"ใกล้จะสองทุ่มแล้วนี่ เดี๋ยวการแสดงแสงสีเสียง Symphony of Light จะเริ่มแล้ว"

เจทำตาโต...เขาเกือบลืมไปซะสนิท

"ตรงนี้เห็นด้วยเหรอ? ผมจำได้ว่าคราวนู้นที่มากับพี่นพ ผมต้องไปเบียดคนมหาศาลยืนดูตรงที่เป็นทางเดินริมน้ำอ่ะ"

เจหมายถึง Avenue of the Stars ที่เป็นทางเดินยาวริมน้ำประดับประดาไปด้วยรอยพิมพ์มือของดาราดังชาวฮ่องกง และมีรูปปั้นของตำนานแห่งวงการภาพยนตร์อย่างบรูซ ลีด้วย

"Avenue of the Stars ก็อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ เจ"

เขาชี้ไปยังพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่ด้านล่างจากห้องพักของพวกเขา

"ตอนนี้ Avenue of the Stars ปิดซ่อม เริ่มตั้งแต่ปี 2015 แล้วและจะเปิดอีกทีตอนปี 2018 ถ้าเจอยากถ่ายรูปกับรูปปั้นบรูซ ลี ตอนนี้เค้าย้ายไปที่ส่วนจัดแสดงที่เรียกว่า Garden of the Stars แทน"

"ส่วนซิมโฟนี่ออฟไลท์ จากห้องเรานี่เห็นชัดเจนเลยล่ะ เจไม่ต้องลงไปเบียดกับคนริมน้ำหรอก นั่งดูเย็นๆ ในห้องนี่แหละ จะเสียอย่างเดียวก็ตรงได้ยินเสียงเพลงแค่เบาๆ เท่านั้น"

ฆาเบียร์ปิดไฟห้องเพื่อให้ได้เห็นการแสดงชัดขึ้น


สองทุ่มตรง การแสดงแสงสีเสียงซึ่งได้รับการบันทึกลงในกินเนสบุ็คว่าเป็นการแสดงแสงสีเสียงแบบถาวรที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เริ่มขึ้น ตึกกว่า 40 แห่งริมอ่าววิคตอเรียทั้งฝั่งฮ่องกงและเกาลูนพากันส่องแสงระยิบระยับ บ้างเปิดไฟป้ายโฆษณาหรือไฟของอาคารค้างไว้เป็นลวดลายต่างๆ หลายตึกมีไฟ LED วิ่ง กระพริบและเปลี่ยนสีไปตามเสียงดนตรี อย่างแถบไฟที่คาดเป็นเส้นซิกแซกบนตึกทรงแปลกตาอย่างอาคารแบงค์ออฟไชน่า ยอดตึกหลายแห่งฉายเลเซอร์หลากสีเป็นลำขึ้นบนท้องฟ้า ลำแสงเหล่านั้นขยับย้ายไปมาตามเสียงเพลง เจมองภาพนั้นอย่างเพลิดเพลิน แม้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ดู แต่มันก็สนุกทุกครั้ง เขาหันไปยิ้มให้ฆาเบียร์...โดยเฉพาะเมื่อมีคนที่รู้ใจอยู่เคียงข้าง มือของเขาจับกระชับกับมือใหญ่ๆ มั่น


(Symphony of the Light)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/symphony.jpg


"สวยจริงๆ"

ฆาเบียร์พูดออกมา เขามาฮ่องกงบ่อยครั้งและผ่านตาการแสดงนี้มาแล้วหลายครั้งก็จริง แต่เขาไม่เคยได้ยืนดูมันอย่างจริงๆ จังๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนอย่างคราวนี้ เขาหันไปมองหน้าเจนยุทธที่ยิ้มร่าชอบใจไปกับแสงสีที่พราวพรายนั้นด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นในอก คนๆ นี้ได้เปลี่ยนชีวิตและมุมมองหลายๆ อย่างของเขาไปจริงๆ

"เจ..."

ฆาเบียร์พูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

"ฉันร..."

ก่อนที่เขาจะทันพูดออกไปริมฝีปากบางของเขาก็ถูกปากน้อยๆ นั้นปิดไว้ คนตัวเล็กกว่าชอบจู่โจมเขาเสมอ เขากอดกระชับร่างเพรียวนั้นไว้แน่น การแสดงที่ยาว 13 นาทีนั้นจบแล้ว ไฟตามตึกที่แพรวพรายนั้นดับลงเหลือแต่ไฟนิ่งๆ ตามปกติ แต่ว่าไฟในห้องกว้างนี้พึ่งจะติดขึ้น ลิ้นร้อนๆ ของเจนยุทธเลียไล้ไรฟ้นและริมฝีปากด้านในของฆาบี้ซึ่งเปิดปากรับมันเข้าไปอย่างเต็มใจ เรื่องที่พูดค้างไว้นั้นเขาค่อยบอกมันทีหลังก็ได้...ร่างกายของทั้งสองเบียดเสียดใกล้ชิด มือของทั้งคู่ต่างปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก ไม่นานนักร่างเปลือยทั้งสองก็ล้มลงบนเตียงนุ่มและปล่อยใจไปกับแรงปรารถนา


ฆาเบียร์มองร่างเพรียวแต่แข็งแรงของเจที่นอนก่ายหลับพริ้มอยู่บนอกกว้างของเขาอย่างหนักใจ...เขาโดนไอ้ตัวเล็กนี่จัดการอีกแล้วและเขาก็ยอมตอบสนองมันเสียเต็มที่ เขาขยำก้นกลมๆ ของร่างนั้นอย่างหมั่นไส้ อย่าให้ถึงทีเขาบ้างล่ะ ไอ้ตัวแสบสะดุ้งเฮือกแล้วตื่นขึ้นทันที พร้อมทำตาแดงๆ จ้องหน้าเขา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วขยี้ผมดำขลับบนหัวทุยๆ นั้น เขาทำอะไรมันไม่ลงจริงๆ มันทำหน้าไร้เดียงสาแล้วยิ้มให้เขา

"เป็นยังไงบ้าง ฆาบี้ ผมไม่น่าทำเลย ลืมไปว่าร่างกายคุณยังอ่อนเพลียอยู่"

มันตีหน้าเศร้า เหอะๆๆ ก็ทำซะเต็มเหนี่ยวแล้วยังจะมาทำห่วงเขาอีก เขางับแก้มป่องๆ นั้นเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เจประคองเขาลุกขึ้นแล้วพาไปอาบน้ำ แล้วก็จบลงที่อ่างจากุซซี่ แต่คราวนี้พวกเขาเพียงแค่นั่งอิงแอบกันแช่น้ำร้อนๆ ให้ผ่อนคลาย

"พรุ่งนี้เจอยากไปไหนเป็นพิเศษไหม?"

เจนยุทธส่ายหน้า เขาเคยมาฮ่องกงแล้ว ถึงจะไม่บ่อยแต่ไม่ใช่ของใหม่ อีกอย่างเขาก็ไม่อยากให้คนตัวใหญ่ที่เพิ่งหายป่วยนี้ฝืนมากเกินไป...เอ๊ะ หรือเขาทำไปซะแล้วนะ?

"แล้วอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?"

อ๊ะ ชักเข้าที

"อยากกินติ่มซำอ่ะ...บะหมี่ก็อยากกิน"

เจทำตาเป็นประกาย

"ติ่มซำก็กินที่โรงแรมก็ได้นี่"

เจส่ายหัว เขาเห็นราคาจากเมนูเมื่อวานแล้ว สั่งไม่ลงจริงๆ

"ผมเคยกินที่ Tim Ho Wan สาขาหม่งก๊กกับพี่นพ อร่อยอยู่ แต่พอกินสาขาที่เปิดที่ไทยแล้วไม่ได้เรื่องเลย สู้กันไม่ได้"

เอาอีกแล้ว...เจจะกินตามลายแทงอีกแล้ว

"เจรู้ใช่ไหมว่าสาขานั้นมันปิดไปแล้ว"

ฆาเบียร์ถาม ทิมโฮวานสาขาแรกที่เคยเป็นร้านหนึ่งดาวมิเชแลงที่ราคาถูกที่สุดในโลกในย่านหม่งก๊กได้ปิดตัวไปแล้วและย้ายไปเปิดที่โอลิมเปียน ซิตี้แทน

"ได้ยินมาเหมือนกันว่าพอย้ายแล้วไม่อร่อยเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้หวังอะไรนะ ขอให้มันอร่อยกว่าที่ไทยก็พอ"

ในเมื่อเจ้าตัวว่าแบบนี้ ฆาเบียร์ก็ไม่ขัดใจ ว่าไงก็ว่ากัน

"ฆาบี้...ตอนเย็นคุณกินห่านย่างไปนิดเดียวเอง ไม่หิวเหรอ?"

เจถาม มื้อสุดท้ายที่พวกเขากินเป็นเรื่องเป็นราวก็คือมื้อกลางวันใหญ่บึ้มที่อาปาจัดให้ฆาบี้ ฆาเบียร์ส่ายหัว เขายังกินอะไรไม่ค่อยลง แล้วตอนนี้ก็ดึกพอสมควรแล้ว เขาไม่ค่อยอยากกินอะไร แต่เขาไม่แน่ใจว่าที่เจถามเนี่ยเพราะมันหิวเองด้วยหรือเปล่า

"ถ้าเจหิว ก็สั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมาก็ได้"

เมื่อหัวค่ำเจ้าตัวออกแรงไป ก็คงต้องเติมพลังกันหน่อย เจยิ้มเขินๆ ดูเมนูรูมเซอร์วิส สุดท้ายก็สั่งพวกแซนวิชขึ้นมากินเบาๆ ก่อนนอน 2 จาน เมื่อเจกินอร่อย เขาก็พาลเจริญอาหารไปด้วย ไม่นานแซนวิชทั้งสองจานก็หมดเกลี้ยง

พอท้องอิ่ม เจก็สดชื่น เขาลงนอนขดซบตักคนตัวโตที่ลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู

"เจจ๋า..."

ฆาบี้เรียกเจด้วยเสียงอ่อนหวาน

"ขอบใจมากที่มาหาฉัน ถ้าเจไม่มา ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหน"

ใบหน้าคมเข้มนั้นยิ้มเศร้าๆ เจขยับกายลุกขึ้นนั่งซบไหล่กว้างนั้น

"ผมกลัวแทบตายเลยนะ ตอนเห็นคุณนอนเพ้อแบบนั้น ผมทนไม่ได้จริงๆ"

เจไม่ได้พูดเกินจริง ตอนเห็นสภาพฆาเบียร์เขาแทบล้มทั้งยืน มือไม้เย็นไปหมด เขาไม่นึกเลยว่าความสัมพันธ์ชั่วเดือนของเขาทั้งคู่จะส่งผลกับพวกเขามากขนาดนี้



"ฆาเบียร์...ผม..."

เจลังเล...เขาควรพูดมันออกไปดีไหมนะ

"ผมคิดว่า...เอ่อ..."

สายตาคมที่จ้องมองเหมือนจะทะลุไปถึงจิตใจทำให้เขาประหม่า

"ผมคิดว่าผมรักคุณ"

--------------------------------------------------------------

โอ๊ย เจเอ๊ยยยย ยังแค่คิดว่าเองเหรอลูก?

เมื่อวานว่าจะพาขึ้นเขา สรุปว่าก็ยังไม่ไปไหนนะคะ วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องห่านๆ วันนี้ขอมาแบบตอนสั้นๆ หน่อยนะคะ มัวแต่หาเรื่องห่านๆ อ่าน

เรื่องร้าน Yung Kee นี่ จริงแท้แน่นอนค่ะ หาอ่านได้จาก https://goo.gl/ig3Lki เมื่อหลายปีก่อนตอนไปกินที่ร้านก็ไม่ค่อยประทับใจ อาหารเฉยๆ  ติ่มซำยังสู้ Tim Ho Wan (สาขาแรก) ไม่ได้ แถมแพงมากด้วย ส่วนTai Hing นั้นได้ลองกินในสนามบินเช็คแล็ปก็อกค่ะ โดยที่สั่งของ Yung Kee มาเทียบด้วย รสชาติก็ตามที่บรรยายในเรื่องไป ถ้าวัดกันแล้วชอบของ Yung Kee มากกว่า แต่ถามว่าคุ้มราคากล่องละ 202 HKD (เกือบพันบาท) ไหม ก็ไม่คุ้มค่ะ (ถ้ากินในเมืองจะถูกกว่า นี่ราคาสนามบิน) ส่วน Tai Hing ที่ได้น้อยกว่าก็ถูกกว่ากันครึ่งนึง 101 HKD ก็เกือบ 500 บาทค่ะ

คราวหน้าถ้าได้ไปฮ่องกงก็คงลองของร้านตามในลิสต์นี้มากกว่า https://goo.gl/C2UrVK

และนี่คือเพจของ Avenue of the Stars นะคะ เผื่อใครไปช่วงนี้แล้วเจอมันปิดก็ไปดูรูปปั้นบรูซ ลีและอื่นๆ ที่ย้ายไปไว้ที่สวนตามที่แจ้งไว้ในนี้ http://www.avenueofstars.com.hk/en/garden-of-star
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2018 16:25:46 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ย้ายจากรีวิวที่กินที่เที่ยวในเชียงใหม่ไปเป็นฮ่องกงฉบับปัจจุบันแล้ว (หัวเราะ)
แทบจะอยากไปเที่ยวตามลายแทงเลยค่ะ
ฆาเบียร์ใจอ่อนให้นุ้งเจอีกแล้ว เมื่อใหร่ฆาเบียร์จะได้จิ้มบ้างล่ะจ๊ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "Touch the Heart" ----


"ผมคิดว่าผมรักคุณ!​"

เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเจ หากมันมิได้ผ่านออกจากปากน้อยๆ ที่สั่นระริกนั้น เขาตัดสินใจกลืนคำพูดนั้นลงไป

"คิดว่าอะไรเหรอ เจ?"

เสียงทุ้มแหบนั้นถามเร่งเร้า...

"ผมคิดว่าคุณมันบ้าที่ปล่อยตัวเองให้เป็นหนักขนาดนี้"

เขาเลือกที่จะโวยวายเพื่อกลบเกลื่อน เขายังกลัวที่จะพูดคำนั้นออกไป เขาไม่รู้จริงๆ ว่าที่เขารู้สึกตอนนี้มันคือความรักจริงๆ หรือเปล่า และที่กลัวที่สุด คือกลัวคนๆ นั้นจะไม่รู้สึกแบบเดียวกัน

'มันยังเร็วไป...อีกอย่างเป็นแบบนี้เราก็มีความสุขดีแล้วไม่ใช่เหรอ?'

นี่คือสิ่งที่เจนยุทธคิดอยู่ในหัว

ฆาเบียร์แอบทอดถอนใจ มีแว่บนึงที่เขารู้สึกได้ว่าเจกำลังจะบอกความในใจของตัวเองออกมาแต่ก็กลับเปลี่ยนใจ เขาเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดความรู้สึกของอีกฝ่าย สำหรับตัวเขา ตอนนี้เขารู้ใจตัวเองแน่นอนแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกนั้นลึกซึ้งหนักแน่นกว่าที่เขาเคยมีให้กับทุกคนกระทั่งนพหรือแฟนคนแรกของเขา แต่ถ้าเจยังไม่พร้อม เขาก็จะไม่ร้องขออะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

"ใช่สิ ฉันมันบ้า"

ฆาเบียร์แกล้งกระแทกเสียงหนักๆ ทำหน้าเศร้าแล้วลุกพรวดเดินไปที่เตียง เจใจหายวาบ เขาพูดทำร้ายจิตใจคนที่สภาพจิตใจยังเปราะบางไปหรือเปล่า? เขารีบลุกขึ้นเดินตามไปหา แต่ก่อนจะทันรู้ตัว ฆาเบียร์ก็ดึงตัวเขาโยนขึ้นไปบนเตียงและตามลงไปนอนทับและจั๊กจี้เอว เสียงหัวเราะของทั้งสองดังไปทั้งห้องก่อนที่จะกลายเป็นความเงียบเมื่อริมฝีปากของทั้งสองล็อคติดกันแน่น ไฟห้องดับลง ความคิดถึงตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมายังไม่จางหายไปง่ายๆ



"เจ...เจ ตื่น"

คนตัวโตเขย่าปลุกเจ้าตัวน้อยที่นอนน้ำลายยืดอยู่บนอกเขา...ฆาเบียร์ค่อยๆ ขยับย้ายเจขึ้นนอนบนหมอนเคียงคู่กับเขา นิ้วของเขาไล้กรอบหน้าน้อยๆ นั้น

"Mi corazón..."

(ดวงใจฉัน...)

"¿​Sabes lo importante que eres para mi?"

(รู้ไหมว่านายสำคัญต่อฉันปานไหน?)


ริมฝีปากบางคู่นั้นจูบที่หน้าผากนวลของเจ

"อือ...บ่นอะไรแต่เช้าจ๊ะ เมียจ๋า?"

เจงัวเงียลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่หลับตา เช้าวันนี้เขาเพลียจริงๆ คนตัวโตนั้นปรนเปรอเขาด้วยปากและมือทั้งคืนจนแทบขาดใจ ฆาเบียร์ลุกไปเปิดม่าน แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้เห็นรอยแดงเป็นจ้ำที่กระจายไปทั่วร่างเพรียวนั้น ทั้งที่คอ อก กระทั่งต้นแขน เมื่อคืนเขาพรมจูบบนร่างนั้นเยอะขนาดนั้นเชียว? ฆาเบียร์ก้มลงมองตัวเองแล้วก็ต้องหน้าร้อนวูบ ตัวเขาเองก็ลายพร้อยไม่ต่างกัน


"เจ อาบน้ำแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวคุณมานูร้านแซมส์ เทเลอร์จะเอาชุดมาให้ลองรอบแรก"

เจ้าตัวอิดออดไม่ยอมลุกจนฆาเบียร์บอกว่าเสร็จแล้วจะพาไปกินติ่มซำ ตาที่หรี่ปรือนั่นถึงเปิดกว้าง ฆาเบียร์รุนหลังคนตัวเล็กเข้าไปอาบน้ำโดยที่ไม่ยอมตามเข้าไปด้วย

'ไม่งั้นไม่ได้ไปไหนกันพอดี'

คนตัวโตคิดอย่างเหนื่อยใจ

หลังลองชุดครั้งแรกเสร็จ พวกเขาก็พร้อมออกไปข้างนอก เจนยุทธมองคนร่างงามที่อยู่ข้างหน้าอย่างอิจฉา วันนี้ฆาเบียร์แต่งตัวเนี้ยบกว่าตอนอยู่เชียงใหม่มาก เสื้อเชิร์ตแขนยาวขาวสะอาดเข้ารูปที่แทบปริเพราะมัดกล้ามอันงดงาม เขาพับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก เจกระเดือกน้ำลายลงคอเมื่อกวาดตามองลงไปยังกางเกงผ้าขายาวสียีนส์อ่อน มันรัดรูปจนเห็นอะไรต่อมิอะไรของฆาเบียร์ชัดเจน ไหนจะก้นงอนๆ นั่นอีก

"ไปเปลี่ยนกางเกงเดี๋ยวนี้เลย"

เขาพูดโดยไม่รู้ตัว ฆาเบียร์หัวเราะคนขี้หวงแล้วเปลี่ยนไปเป็นกางเกงยีนส์ยืดเอวต่ำทรงคอมฟอร์ท ฟิทของ Dolce&Gabbana ที่เน้นให้เห็นขายาวๆ คู่นั้น เจนยุทธมองตาม ก้นงอนๆ นั้นยังดูแน่นหนั่นน่าตีแต่ก็ไม่ได้เห็นฆาบี้น้อยชัดเจนเหมือนเมื่อกี้ ก็ยังดีวะ แล้วจะต้องปลดกระดุมเสื้อลงต่ำทำไม จะเห็นไปถึงตับอ่อนแล้ว คนตัวเล็กค้อนตาแทบกลับ แต่เขาไม่อยากจะบ่นแล้ว ฆาเบียร์ใส่เข็มขัดและรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มและแว่นตาดำทอม ฟอร์ดแบบที่เจมส์ บอนด์ใส่ในตอน Spectre

ฆาเบียร์ส่งแว่นแบบเดียวกันให้เจนยุทธ เขาเอามาลองใส่แล้วมองตัวเองในกระจก เขาใส่ยีนส์ฟอกยี่ห้อดีเซล THAVAR 0850R ทรงสกินนี่ที่มีรอยขาดเล็กๆ กับเสื้อยืดสีขาวเข้ารูปพิมพ์ D&G Dolce&Gabbana Prince I was here ที่ฆาเบียร์ยัดเยียดซื้อให้เมื่อวานกับรองเท้าสนีคเกอร์ที่ใส่มาจากไทย...ดูยังไงเขาก็เป็นเด็กกะโปโล ยิ่งไอ้เจ้าเสื้อยืดพิมพ์ตัวหนังสือนั้นยิ่งดูเหมือนของปลอมซื้อมาจากไนท์บาซาร์ ไหนจะไอ้แว่นตาดำที่ไม่ค่อยจะเกาะดั้งน้อยๆ ของเขานั่นอีก เขาหันไปดูคนจมูกโด่งอย่างอิจฉา ยิ่งใส่แว่นตาดำยิ่งขับให้ฆาเบียร์ดูเหมือนนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารแฟชั่น


ทั้งสองออกจากห้องลงไปยังหน้าล็อบบี้ เขามองหาเจ้ามูซานคันงามแต่ก็ไม่เจอ ฆาเบียร์ส่งภาษากับพนักงานรับรถ ไม่นานก็มีรถ Aston Martin รุ่น DB11 คูเป้ สีเทาเข้มขับมาเทียบ ฆาเบียร์เดินไปเปิดประตูด้านคนนั่งให้เจนยุทธซึ่งมองตาปริบๆ

"ขึ้นรถสิ!"

ฆาเบียร์ซึ่งขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับเรียกเจที่ยังยืนงงอยู่นอกรถ

"เอ่อ..."

เจปิดประตูอย่างเบามือ

"รถใครอ่ะ?"

ฆาเบียร์หัวเราะท่าทางของไอ้ตัวเล็ก

"รถฉันเอง อาปาซื้อให้ไว้ใช้ที่ฮ่องกง ก็คล่องตัวดีนะ"

เจนยุทธลูบๆ คลำๆ รถสปอร์ตคันงาม เขาเป็นแฟนของแอสตัน มาร์ตินมานานเพราะติดใจจากหนัง 007 ฆาเบียร์เลี้ยวออกจากโรงแรมขึ้นสู่ถนนและเหยียบคันเร่ง เสียงคำรามกระหึ่มจากเครื่องยนต์ 12 สูบขนาดกว่า 5,200 ซีซีของมันทำให้เจใจสั่นระรัว เสียงมันทุ้มนุ่ม ไม่แหลมแสบหูเหมือนพวกลัมบอกินี่

'เสียงเหมือนเจ้าของรถ...'

เจนยุทธยิ้มเมื่อนึกถึงเสียงคำรามของคนข้างตัว


"ว่าแต่วันนี้คุณขับรถไหวเหรอ ฆาบี้? ไปเปลี่ยนเอารถที่มีคนขับมาดีกว่าไหม?"

เจถามอย่างเป็นห่วง

"สบายมาก เราไม่ได้ไปไหนไกลนี่ เหนื่อยก็จอดพัก ดีไหม?"

ฆาเบียร์ขับรถด้วยท่าทีสบายๆ เครื่องยนต์กำลัง 600 แรงม้าพาพวกเขามุ่งหน้าสู่อาคารโอลิมเปี้ยน ซิตี้ 2 เมื่อจอดรถเสร็จ ฆาเบียร์พาเขาไปที่ร้าน Tim Ho Wan ที่อยู่บนชั้น G ของห้าง ที่หน้าร้านเริ่มมีคิวบ้างแล้วแม้ว่าจะเป็นเวลาก่อน10 โมง ซึ่งเป็นเวลาเปิดร้าน

"คิวยาวนะ คุณยืนรอไหวไหม?"

เจถามคนที่ชอบฝืนตัวเอง ฆาเบียร์ตอบว่าไหว โชคดีที่ยังมีที่เหลือพอให้พวกเขานั่ง เมื่อเข้านั่งแล้ว พนักงานได้ให้ใบส้่งอาหารและเมนูมาซึ่งมีภาษาอังกฤษให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องใช้วิธีจิ้มมั่วๆ เอาแบบที่เจเคยทำในหลายๆ ร้าน

"สั่งได้ครั้งเดียวนะเจ ฉะนั้นคิดดีๆ ว่าจะสั่งอะไร แล้วอย่าสั่งเยอะ เพราะฉันช่วยกินไม่ไหว"

เจพยักหน้ารับคำ แต่แป๊บๆ เขาก็สั่งไปหกเจ็ดอย่างแล้ว...ฆาบี้คิดว่าเนี่ยนะ ไม่เยอะ? รอไม่นาน อาหารที่เขาสั่งก็มา ได้แก่ฮะเก๋า 2 เข่ง ฝั่นโก๋ว ลูกชิ้นเนื้อ 2 เข่ง ข้าวอบเนื้อกับไข่ ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง ตีนไก่อบน้ำมันหอย และของโปรดของทั้งเขาและเจอย่างซาลาเปาอบหมูแดงและวุ้นดอกหอมหมื่นลี้

ฆาเบียร์มองอาหารจำนวนไม่น้อยบนโต๊ะอย่างเหนื่อยใจ ไอ้ตัวเล็กนี้มันจะยัดของพวกนี้เขาไปหมดจริงๆ เหรอ? เจนยุทธคีบนั่นนี่เข้าปากอย่างสุขใจ



"รสชาติเหมือนที่เคยกินหรือเปล่า?"

ฆาเบียร์ถาม

"อืมม์ มันก็หลายปีแล้วอ่ะนะ ผมก็จำไม่ได้ แต่อย่างก๋วยเตี๋ยวหลอดเนี่ย แป้งหนาขึ้น แล้วก็เหมือนจะขนาดเล็กลง ฮะเก๋ายังอร่อยเหมือนเดิม ตีนไก่ก็ยังเริ่ด ส่วนซาลาเปาเนี่ย...อร่อยสุดยอด"

เจทำหน้าเคลิ้มยกซาลาเปาหมูแดงอบขึ้นกัด ไส้หมูแดงหอมๆ ติดหวานเล็กๆ แป้งหน้าคุกกี้หอมมาการีนที่ไม่แข็งและไม่ร่วนจนเกินไปทำให้เขาฟินเสียเหลือเกิน

"คุณอ่ะ กินมั่ง ผอมไปหมดแล้ว เดี๋ยวถ้ากลับไทยผมต้องจับคุณขุนแล้ว"

เจพูดแล้วก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้คุยกับฆาเบียร์เรื่องนี้เลย...ฆาเบียร์ก็นิ่งเงียบ เขาก็ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกเจ


"รู้ไหม ว่าคำว่าติ่มซำแปลว่าอะไร?"

ฆาบี้พูดทำลายความเงียบขึ้น เจส่ายหน้า

"ติ่มซำเป็นภาษากวางตุ้ง แปลตรงตัวว่า "Touch the heart" หรือ สัมผัสถึงใจ เพราะเขาว่ามันเป็นอาหารคำเล็กๆ ที่กินแล้วอบอุ่นถึงหัวใจ"

ฆาบี้พูดพร้อมคีบฝั่นโก๋วป้อนให้เจ

"แต่บางคนก็บอกว่า มันชื่อนี้เพราะการทำติ่มซำคำเล็กๆ พวกนี้ต้องใช้ความใส่ใจประดิดประดอยให้เป็นรูปร่างต่างๆ"

ฆาบี้อ้าปากรับฮะเก๋าที่เจส่งมาให้

"งั้นสำหรับผม คุณก็เป็นเหมือนติ่มซำนะ"

เจพูดออกมาเบาๆ


"because you've touched my heart"


คนตรงหน้าเขาเหมือนติ่มซำแสนอบอุ่นที่สัมผัสใจน้อยๆ ของเขา ฆาเบียร์มองหน้าแดงๆ นั้นอย่างสุขใจ เจของเขาน่ารักจริงๆ เขาอยากจะรวบตัวมันมากอดแน่นๆ แต่ที่ทำได้ก็แค่ยกมือเจขึ้นมาหอมแค่นั้น พวกเขากินไป คุยกันไป ฆาเบียร์รู้สึกว่าเขากินได้มากกว่าทุกครั้ง เขาก็ยังแอบหนักใจว่าถ้าอยู่กับเจ เขาคงต้องอ้วนแน่ๆ แต่เขาจะอดใจไม่รับของที่เจ้าตัวน้อยมันส่งมาให้ได้ยังไง


(ติ่มซำที่ Tim Ho Van)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/timhw.jpg


"หมดจนได้ นึกว่าจะกินไม่หมดซะแล้ว"

ฆาบี้พูด

"คุณต้องเห็นตอนผมกับพี่นพมากินร้านนี้ครั้งแรก ตอนที่ไปสาขาแรกที่หม่งก๊กน่ะ"

เจนยุทธพูดถึงสาขาที่ปิดไปแล้ว

"ตอนนั้นเรารอคิวนานพอสมควร ร้านนั้นเล็กมาก เรียกได้ว่าต้องไปแชร์โต๊ะกินกับคนอื่น เราสองคนสั่งอาหารมาเยอะสุดๆ เพราะลืมนึกไปว่าติ่มซำฮ่องกงมันตัวใหญ่ แต่ของร้านนี้ก็ยังไม่เรียกว่าใหญ่มากเนาะ ถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ"

ฆาบี้พยักหน้า เขานึกออกเพราะเมื่อก่อนอาปาก็เคยพาเขาไปกินที่ร้านนั้นบ่อยๆ แต่พอร้านนั้นปิดก็แทบจะไม่ได้ไปกันอีก

"เราสองคนสั่งมา 20 กว่าจาน เป็นข้าวอบซะสองอย่างด้วย กินกันแบบแทบคลานเลย ลุงเชฟถึงขั้นออกมาดูว่าใครมันสั่งเยอะขนาดนั้น"

เจหันไปสั่งคิดเงิน เขาขอเป็นฝ่ายจ่ายตามเคย บิลในวันนี้ออกมาประมาณ 240 เหรียญฮ่องกง

"ถูกจริงๆ นะ ร้านนี้ คิดเป็นเงินไทยก็พันนิดๆ ผมกินติ่มซำเมืองไทยก็ถูกกว่านี้ไม่เท่าไหร่"

"อ่ะ เล่าต่อ แล้วคิดดูนะ วันนั้นที่ผมกับพี่นพมากินกัน เรากินหมดไป 339 เหรียญฮ่องกง นั่นขนาดตอนร้านเขายังไม่ขึ้นราคานะ ชาผู่เอ๋อตอนนั้นแก้วละ 2 เหรียญ ไม่ใช่ 3 เหรียญเหมือนตอนนี้"


ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อได้ยินตัวเลขนั้น เขานึกไม่ออกเลยว่าสองคนนั้นยัดอาหารจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไปหมดได้ยังไง

"ตอนคิดตังค์นะ ป้าแคชเชียร์ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้าของร้านด้วยหรือเปล่า แกดูบิลแล้วหัวเราะใหญ่แล้วหันไปพูดอะไรไม่รู้ดังๆ กับลูกค้าคนอื่นในร้าน ผมฟังออกแค่ตัวเลข 339 นี่แหละ แกคงบอกคนอื่นว่าดูไอ้คู่นี้สิ ยัดเข้าไปได้ไงตั้ง 339 เหรียญ ผมกับพี่นพงี้รีบรับเงินทอนแล้วรีบออกร้านมาแทบไม่ทัน อายมากกกก"

ฆาเบียร์หัวเราะลั่นเมื่อนึกถึงภาพสองคนนั้นหน้าแดงรีบลนลานออกร้านไป



"พูดถึงนพก็คิดถึงมันเหมือนกันนะ ไม่เจอหน้ากลมๆ ของมันมาเดือนกว่าแล้ว"

ฆาเบียร์เปรยเมื่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เขาคิดถึงไอ้เพื่อนตัวแสบของเขาเหมือนกัน เจนยุทธปิดปากเงียบไม่พูดอะไร เขานั่งนิ่งตลอดทางจนฆาเบียร์รู้สึกผิดสังเกต เขาพูดอะไรผิดหูคนดีของเขาไปหรือเปล่า

"เจจ๋า...เป็นอะไร ทำไมเงียบไป?"

เขายื่นมือไปกุมมือเรียวที่ชักหนีออกทันใด ชัดเลย...

"ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?"

เจถอนหายใจ เขารู้ตัวว่าตัวเองงี่เง่าแต่มันอดใจเสียไม่ได้ทุกครั้งที่ฆาเบียร์พูดถึงนพ ก็รู้แหละว่าคู่นั้นตอนนี้คิดกันแค่เพื่อน แต่เขาก็อดกลัวไม่ได้ว่าสักวันถ่านไฟเก่าจะคุหรือเปล่า

"ไม่มีอะไรหรอก ฆาบี้ แค่คิดอะไรนิดหน่อย"

"เรื่องนพเหรอ?"

เจหน้าจ๋อย เขาดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเชียว ฆาเบียร์ชะลอรถจอดข้างทาง แล้วรวบตัวคนคิดมากเข้ามากอด

"เลิกคิดมากได้แล้ว โอเค๊? ในตอนนี้ และในอนาคตฉันจะมีแค่เจ ก็จนกว่าเจจะไม่ยอมให้ฉันอยู่ด้วยนั่นแหละ"

เขาถอนหายใจ จะทำยังไงให้ดวงใจของเขาคนนี้รู้ซักทีว่าเขาหนีไปไม่พ้นอุ้งมือน้อยๆ ของเจแล้ว ฆาบี้จุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของเจนยุทธ ก่อนที่จะมอบจูบหวานๆ ให้ที่ริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ รับนั้น

"เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าจูบแบบนี้ฉันมีให้เจเท่านั้น"

เขากระซิบข้างหูคนที่หน้าแดงและหอบหายใจถี่เพราะหายใจไม่ทัน เจยื่นมือไปกุมมือใหญ่นั้นและพยักหน้าเบาๆ ฆาเบียร์ส่งยิ้มกลับคืนและขับรถต่อไป



"เดี๋ยวฉันจะแวะเข้าไปที่ออฟฟิศหน่อยนะ ไม่นานหรอก"

ฆาเบียร์พูด ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าไปยังที่จอดรถของอาคาร ICC ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดของฮ่องกงในปัจจุบัน เจนยุทธตื่นเต้นเพราะเขาอยากขึ้นไปที่ Sky100 อันเป็นจุดชมวิว 360 องศาในร่มซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ 100 ของอาคารนี้ ฆาบี้พาเขาขึ้นลิฟท์ไปยังสำนักงานของเขาบนชั้น 90 ของตึก ICC เจแวะทักทายคริสและเมลิน่า ก่อนที่จะขอแยกตัวไป Sky100 เขานัดเจอกับฆาบี้ที่ล็อบบี้เลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตั้นบนชั้น 102 ตอนบ่ายสองครึ่ง

เขาลงลิฟท์กลับไปที่ชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วขึ้น Sky100 จากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ที่จริงจะไปซื้อที่เคาเตอร์ก็ได้ แต่เขาว่าหยอดตู้ก็สะดวกดี เขาซื้อตั๋วแบบธรรมดาราคา 168 ดอลล่าร์ฮ่องกง จากนั้นก็ใช้มันผ่านประตูที่ชั้น 2 เพื่อขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่ 100 พอประตูลิฟท์เปิดเขาก็เจอทางเดินกระจกที่มีภาพจำลองของอ่าววิคตอเรียอยู่ใต้เท้าเหมือนเราเดินผ่านบนอ่าวจริงๆ จากนั้นก็มาถึงทางรอบตึกซึ่งด้านข้างกรุด้วยกระจกทำให้สามารถเห็นวิวของฮ่องกงได้ทั้ง 360 องศา โชคดีที่วันนี้หมอกน้อยเลยเห็นวิวได้ชัดเจน เจค่อยๆ เดินไป ใช้มือถือถ่ายรูปไปอย่างสบายอารมณ์ จนกระทั่งรอบวง เขาหยุดซื้อโปสการ์ดเพื่อส่งกลับไปที่บ้านและส่งให้พี่นพ จากนั้นเขาก็มานั่งที่ Cafe 100 ซึ่งเป็นร้านอาหารหนึ่งเดียวบนชั้น 100 นี้ เขาสั่งเครปเป็ดกับกาแฟมากินแล้วลงนั่งที่บาร์ติดกระจก กินไปดูวิวไป ไหนๆ ก็มี wifi ฟรีแล้วเขาจึงส่งรูปบนชั้น 100 นี้หลายรูปไปให้ที่บ้านดู พร้อมกับส่งให้พี่นพซึ่งเขารู้ว่าอยากมาที่นี่ใจแทบขาดพร้อมกับคำเยาะเย้ย เขานั่งหย่อนอารมณ์สักพักก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือแขนแข็งแรงคู่หนึ่งโอบเอวเขาพร้อมกับมีริมฝีปากร้อนๆ คลอเคลียที่ต้นคอ

"โอ๊ย ทำอะไรประเจิดประเจ้อ!"

เจโวยลั่น คนตัวโตหัวเราะร่วน คนจะหันมาดูกันก็เพราะเจมันโวยวายมากกว่าเพราะเขาทำประเจิดประเจ้อหรอก

"แล้วขึ้นมาที่นี่ทำไม เสียตังค์เปล่า ค่าเข้าใช่ถูกๆ"

เจนยุทธบ่น

"ก็ยังถูกกว่าค่าอาฟเตอร์นูนทีของ รร. ริทซ์ คาร์ลตั้นละกัน"


ฆาบี้เดินไปสั่งปานินี่แซลม่อนพร้อมกาแฟ เขาซื้อตั๋วเข้าแบบรวมอาหารและเครื่องดื่มมาพร้อมในราคา 250 ดอลล่าร์ฮ่องกง เจนยุทธมองตาเขียว ไม่ยอมบอกกันก่อนอีกแล้วว่ามีตั๋วแบบนี้ เครปเป็ดกับกาแฟเขารวมกันก็เกิน 100 เหรียญแล้วไหนจะค่าตั๋วอีก ซื้อแพ็ครวมแบบนี้ประหยัดไปได้หลายตังค์

"ร้านนี้ก็เป็นของรร. ริทซ์ คาร์ลตั้นเหมือนกันนะ"

ฆาเบียร์บอก



เมื่อกินอะไรกันเสร็จ ฆาเบียร์จับมือเจเดินชมวิว 360 องศาของฮ่องกง  2 เดือนที่แล้วตอนเขามาเตรียมงานที่สำนักงานนี้เป็นเวลา 3 สัปดาห์ก่อนจะไปหานพที่กรุงเทพฯ เขาก็ไม่เคยขึ้นมาบนชั้นที่ 100 นี่เลยสักครั้งเพราะเห็นว่าเขาสามารถดูวิวได้จากออฟฟิศของตัวเองที่เหมาชั้น 90 ทั้งฟลอร์ไว้แล้ว แต่วิวที่เห็นในตอนนี้สวยกว่าที่มองจากออฟฟิศเป็นไหนๆ

"คงเป็นเพราะนายสินะ"

เขารำพึงออกมาและแอบมองหน้าของคนที่มัวแต่ถ่ายรูปข้างๆ เขานี้ เขาดึงมือถือของเจมาถ่ายรูปคู่กันโดยมีวิวอ่าววิคตอเรียอยู่เบื้องหลัง แล้วก็ต้องรู้สึกถึงปากนุ่มๆ ที่ประทับบนแก้มของเขา ทีแบบนี้ไม่เห็นจะอายเลยนะเจ

พวกเขาใช้เวลาอยู่บนนี้พักใหญ่ ฆาเบียร์ถึงได้พาเจลงไปที่รถและขับออกไปจากตึก ICC เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเกือบสี่โมงเย็นแล้ว

"เดี๋ยวเราจะไปไหนกันต่อ?"

เจนยุทธถาม

"ไปที่ The Peak"

ฆาเบียร์หมายถึง Victoria Peak จุดสูงสุดของเกาะฮ่องกง

"เคยไปแล้วอ่ะ"

เจพูดเนือยๆ เขาเคยไปที่นั่นสองรอบแล้ว แต่ก็ต้องทำตาลุกวาวเมื่อฆาเบียร์พูดว่า

"เดี๋ยวจะพาไปกินบะหมี่เจ้าอร่อยนะ"


------------------------------------------------------------


ตัดจบตอนตรงนี้ก่อนนะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนเขียนจะไม่ได้นอน ฮ่าๆๆ

เอาลิสต์ร้านติ่มซำในฮ่องกงจากหลายๆ เพจมาฝากค่ะ ส่วน Tim Ho Wan นี่เค้าบอกว่าไม่ค่อยเท่าไหร่กันแล้ว แต่ก็ยังอร่อยกว่าสาขาที่ไทยค่ะ** **

ร้านติ่มซำดังๆ ในฮ่องกง

https://goo.gl/gDCNgv

https://goo.gl/xij2Qn

https://goo.gl/N9pJwc


เกร็ดความรู้เรื่องติ่มซำค่ะ https://goo.gl/jVbAAy

**ส่วนนี่คือรายละเอียดและรีวิวของ Sky100 ค่ะ **

Sky100   http://sky100.com.hk/

ตั๋วแบบพร้อมอาหารค่ะ https://goo.gl/QxYKvB


ป.ล. เรื่องโดนแคชเชียร์ทิมโฮวานทักเรื่องกินไป 339 เหรียญนี่เรื่องจริงค่ะ อายมากกก
  :o8: :o8: :o8: :o8:

ขอแจ้งไว้ก่อนว่าภาษาสเปนในเรื่องนี้ที่ฆาเบียร์พูดกับเจอาจจะไม่ถูกเป๊ะหมดนะคะ เพราะว่ายังพึ่งบริการกูเกิลทรานสเลทอยู่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2018 16:30:56 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อยากกินติ่มซำเลยอะ  :ling1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เฉียด ----



รถแอสตัน มาร์ตินคันงามพาทั้งคู่ออกจากฝั่งเกาลูนลงสู่อุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมระหว่างฝั่งเกาลูนและเกาะฮ่องกง ฆาเบียร์ขับผ่านท่าเรือวิคตอเรียฮาร์เบอร์ ศาลาที่ว่าการฮ่องกง ผ่านอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของเส้นขอบฟ้าฮ่องกงอย่างอาคารแบงค์ ออฟ ไชน่า ซึ่งเจรีบใช้มือถือถ่ายรูปไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นผ่านสวนสาธารณะฮ่องกง รถคันงามเริ่มไต่ทางขึ้นเนิน ผ่านจุดขึ้นรถรางวิคตอเรียพีค สู่ถนนแม็กกาซีนแก๊ป ฆาเบียร์เริ่มขับด้วยความระมัดระวังเพราะถนนบีบแคบเหลือเพียง 2 เลน ทางเริ่มคดเคี้ยวขึ้นเขา ผ่านเหล่าอพาร์ตเมนท์และทาวน์โฮม หลายหลังมีรถยนต์สปอร์ตงดงามจอดอยู่

"บนวิคตอเรีย พีคนี้เป็นที่ยอดนิยมสำหรับสร้างคอนโดหรูนะ ตั้งแต่แถบมิด เลเว่ลหรือช่วงกลางทางขึ้นยอดเขา ที่มีบันไดเลื่อนขึ้นลงน่ะ ไปจนถึงยอดล้วนเป็นคอนโดหรือบ้านพักอาศัยราคาแพง ใครๆ ก็อยากมีห้องบนนี้ คอนโดบางหลังที่ใหญ่ 3-4  ห้องนอนอาจมีราคาสูงถึงหลายๆ ร้อยล้านฮ่องกงดอลล่าร์ ซึ่งก็น่าจะเป็นพันล้านบาทไทย"

ฆาเบียร์เล่าให้ฟังถึงคอนโดอย่าง Opus ในแถบมิดเลเว่ลซึ่งเป็นห้องอพาร์ทเมนท์ราคาแพงที่สุดในฮ่องกง มันถูกตั้งราคาขายไว้ที่ 470 ล้านเหรียญ เจฟังแล้วก็อยากจะเป็นลม

"ส่วนบ้านที่แพงที่สุดเท่าที่มีการขายบนเดอะพีคนี้ก็เพิ่งมีการซื้อขายกันไปเมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่ได้แพงมากอะไรหรอก...ว่ากันว่าแค่ 2,100 ล้านฮ่องกงดอลล่าร์เอง"

เกือบหมื่นล้านบาท? เจอยากเข้าไปดูในบ้านนั้นจริงๆ อยากรู้นักว่าพื้นมันจะเป็นทองหรือเปล่า


"แล้วคุณล่ะ ฆาเบียร์ อยากมามีบ้านบนนี้บ้างหรือเปล่า?"

เจถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์หัวเราะ

"ไม่ล่ะ บ้านบนนี้มีแต่หลังใหญ่ๆ ฉันไม่ชอบบ้านกว้างๆ หรอก มันเงียบเหงาเกินไป สำหรับฉันขอมีแค่ห้องที่ไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ทำงาน มีครัวเล็กๆ ห้องน้ำดีๆ และที่สำคัญ ขอแค่มีเจอยู่ด้วย ฉันก็พอใจแล้ว"

เขาจับมือเจขึ้นมาจรดริมฝีปาก ขอแค่มีคนๆ นี้ อยู่เขาก็ไม่ต้องการสมบัติพัสถานใดๆ บ้านจะใหญ่กว้างโอ่โถงแค่ไหน หรูหราแค่ไหน หากไม่มีคนรู้ใจเคียงข้างความหรูหราเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย เขารู้ความรู้สึกนั้นดี ไม่ว่าจะเป็นเรซิเดนซ์วิวงามในโรงแรม 5 ดาวที่นิวยอร์ค หรือบ้านหลังใหญ่สไตล์สเปนของเขาที่แถบซิลิคอน แวลลี่ย์ต่างไม่อาจให้ความสุขใจแก่เขาได้เท่ากับตอนที่อยู่ในคอนโดขนาด 100 ตารางเมตรของเจ เจนยุทธบีบมือใหญ่นั้นแน่น ห้องของเขาที่เคยเย็นและว่างเปล่าก็กลายเป็นอบอุ่นเมื่อมีคนๆ นี้อยู่เคียงใกล้


"อยากพักก่อนไหม?"

เจนยุทธถาม ถึงจะขับรถมาเพียง 20 นาที แต่ทางขึ้นเขาที่คดเคี้ยวแบบนี้อาจทำให้คนตัวโตล้าได้

"ยังสบายๆ ไม่เป็นไรหรอก หรือเจจะอยากลองขับดู?"

เขาถามเพราะรู้ว่าคนตัวเล็กกว่าถูกอกถูกใจรถคันนี้ของเขานักหนา

"ไม่เอาอ่ะ"

เจสั่นหัว

"ขืนได้มีโอกาสขับคันนี้ กลับไปขับน้องอัซซูรี่ก็เหมือนขี่ควายเลยสิ"

เจผู้เป็นแฟนตัวยงของทีมอัซซูรี่หรือที่แปลว่าสีฟ้าอ่อนอย่างทีมชาติอิตาลีและได้ตั้งชื่อรถบีเอ็มสีน้ำเงินสดของตัวเองตามฉายาของทีมส่ายหัวปฏิเสธ อีกอย่าง รถแรงขนาดนี้เขาไม่กล้าขับแน่นอนเพราะยังไม่อยากจะลงไปนอนก้นเหวที่ฮ่องกง และเขาก็ไม่มีใบขับขี่สากลด้วย


ทางขึ้นเขาชันและคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ฆาเบียร์ขับรถตามถนนพีคที่เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ข้างทางไม่นานก็ถึงที่จอดรถของห้าง The Peak Galleria ที่อยู่ใกล้ๆ กับยอดวิคตอเรีย พีค เขาหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่พีค แกลเลอเรียมีการปิดปรับปรุงบางส่วน

'ถ้าร้านบะหมี่ปิด ไอ้ตัวเล็กมันต้องอาละวาดแน่ๆ'


ฆาเบียร์ใจตุ้มๆ ต่อมๆ แต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ลอยมา เขาต้องดึงเจที่ทำท่าจะเลี้ยวเข้าร้านบะหมี่ Mak's Noodle ที่อยู่บริเวณชั้น 1 ของห้างฯ

"ไปเดินเล่นกันก่อน เดี๋ยวค่อยกิน"

นี่ขนาดเพิ่งกินมาจากที่ Sky100 นะ เขาสงสัยจริงๆ ว่ากระเพาะเจมีหลุมดำอยู่หรือเปล่า

"ผมไม่ขึ้น The Peak Tower นะ"

เจดักคอเมื่อฆาเบียร์ทำท่าจะพาเข้าไปที่อาคารที่มีรูปทรงเหมือนรูปครึ่งวงกลมวางบนแท่งเหลี่ยมๆ

"อ้าว ก็มันเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดบนนี้นะ ไม่ขึ้นจริงๆ เหรอ?"

เจพ่นลมหายใจออกปาก

"มานี่ เดี๋ยวผมพาไปอีกที่"


เมื่อคราวที่มากับนพเขาก็ขึ้นไปบน The Peak Tower นี่แหละ แล้วก็พบว่ามันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย แล้วจะต้องไปเสียตังค์ทำไม เขาจับมือฆาเบียร์เดินไปตามทางเดินทางขวามือ เพียงแค่ 100 เมตรก็มาถึงซุ้มประตูรูปวงเดือนแบบที่เห็นในหนังกำลังภายใน ข้างๆ กันนั้นมีเก๋งจีนทำจากหินตั้งอยู่

"เนี่ย เรียกว่า Lion Pavilion ศาลาสิงห์ วิวตรงนี้ดีพอๆ กับที่บนหอนั่นแหละ แค่ว่าเวลาถ่ายรูปต้องหลบหัวคนหน่อย"

จริงอย่างที่เจพูด วิวตรงนี้ไม่ได้ต่างจากบนหอสูงเท่าไหร่เลย ถ้าไม่จำเป็นว่าจะต้องถ่ายรูป มายืนชมวิวตรงนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่คนที่มาดูวิวฟรีตรงนี้ก็มหาศาลเหลือเกิน เขามองภาพหมู่ตึกสูงที่ลดหลั่นกันลงไปตามไหล่เขา วิวตรงนี้คือวิวของฮ่องกงที่เห็นกันตามโปสการ์ดไม่ผิดแน่นอน เห็นทั้งตึกแบงค์ออฟไชน่าสีดำที่มีเส้นซิกแซกคาด อาคารทู ไอเอฟซีที่เป็นแท่งกลมๆ เคียงข้างกัน และที่เด่นสง่าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอ่าววิคตอเรียคืออาคารไอซีซีที่ตั้งของ Sky100 และสำนักงานของเขา


"งั้น เราหาที่นั่งพักแถวนี้กันก่อนไหม อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกแล้ว"

เขาอยากจะทำโรแมนติกดูพระอาทิตย์ตกดินกับเจ

"ฆาเบียร์ครับ..."

เจ้าตัวเล็กหันมากุมมือเขาทำตาแป๋ว มันทำหน้าแบบนี้ทีไรต้องมีอะไรทุกที

"ช่างหัวพระอาทิตย์ตกเถอะครับ ไปกินบะหมี่กันเถอะ"

มันทำหน้าเว้าวอน แล้วเขาจะใจแข็งอยู่ได้ยังไง บะหมี่ก็บะหมี่ ช่างหัวความโรแมนติกไปก่อนแล้วกัน เขาพยักหน้าตกลง มันทำหน้าดีใจรีบลากเขาเดินกลับไปที่พีค แกลเลอเรีย


ทั้งคู่เข้าไปนั่งที่ร้าน Mak's Noodle ร้านบะหมี่ที่ดังเรื่องเกี๊ยว ร้านนี้เป็นสาขาหนึ่งของร้านที่มีสาขาหลักอยู่บนถนนเวลลิงตั้นย่านเซ็นทรัล เจดูเมนูอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี เขาได้ยินชื่อร้านนี้มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่ามีสาขาอยู่บนนี้ด้วย คราวที่แล้วที่เขามาก็ไม่ได้สังเกตว่ามีร้านนี้ เขาดูเมนูแล้วก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี หมี่เนื้อตุ๋นก็อยากกิน เกี๊ยวก็อยากกิน หมี่ไข่กุ้งก็อยากได้ อยากกินไปหมดเลย

"สั่งเป็นชุดมาเลย เจ"

ฆาเบียร์ชี้เมนูเซ็ตสำหรับสองคน

"ฮึ่ย มาตั้งหลายถ้วย คุณกินไหวเหรอ?"

ปกติฆาเบียร์จะมีแต่ห้ามไม่ให้สั่งเยอะ วันนี้ให้สั่งเป็นเซ็ตเลย จะดีเหรอ? ในชุดนั้นมีบะหมี่เนื้อตุ๋น 2 ถ้วย เกี๊ยวหมู เกี๊ยวกุ้งอย่างละถ้วย และคะน้าน้ำมันหอย ในราคา 198 เหรียญฮ่องกง

"อือ สั่งมาเถอะ เชื่อฉัน"

เอาวะ ว่าไงก็ว่าตามกัน แต่ราคานี้ก็โอเคเลยนะสำหรับฮ่องกง ก็เท่ากับหมี่ถ้วยละซักสี่สิบเหรียญเอง

พวกเขารอไม่นานบะหมี่ก็มา เขาถึงขั้นต้องมองหน้าฆาบี้ มิน่าพี่แกบอกว่าให้สั่งมาเถอะยังไงก็หมด

"นี่เค้าเอามาให้เซ่นเจ้าเหรอ?"

ไอ้ตัวเล็กมันโวย บะหมี่ที่นี่ถ้วยเล็กที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ถ้วยมันประมาณถ้วยข้าวต้ม ไม่ก็ถ้วยก๋วยเตี๋ยวเรือไซส์เล็กแค่นั้นเอง

"แพง!"

ถ้วยแค่นี้ สี่สิบเหรียญ แพงโคตรๆ มันบ่นกะปอดกะแปดไปตามเรื่อง

"เอาน่า ชิมก่อน"

คนเคยกินและติดใจมาแล้วพูดอย่างมั่นใจ

"ร้านนี้บะหมี่เนื้อตุ๋นไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่อยากให้ชิมเกี๊ยว รับรองว่าเจต้องชอบ"

เจนยุทธตักเกี๊ยวกุ้งเข้าปากอย่างเซ็งๆ แล้วตาก็เป็นประกาย

"โหยย อร่อยโคตร!!"

กุ้งเป็นกุ้ง ไส้เกี๊ยวปรุงรสไว้อย่างพอดี น้ำซุปก็หอมทะเล เจตักเกี๊ยวหมูจากอีกถ้วย โอย นี่ก็สุดฟินน มันเป็นเกี๊ยวหมูและกุ้ง ใส่หน่อไม้และแห้วที่ให้สัมผัสกรุบๆ น้ำซุปเป็นแบบเดียวกับเกี๊ยวกุ้ง เขาทำตาเยิ้มให้ฆาเบียร์ ได้กินของอร่อยแล้วเขามีความสุขจัง คนตัวโตหัวเราะในท่าทางของมัน เจคีบเส้นบะหมี่ในถ้วยหมี่เนื้อตุ๋นของเขา

"โห เส้นเล็กละเอียดมากเลย"

เจสูดเส้นเข้าปากเบาๆ อืมมม์ เส้นลวกไว้แบบพอกรุบๆ ไม่นิ่มเกินไป เนื้อตุ๋นรสชาติดี เปื่อยนิ่มได้ที่ น้ำซุปเป็นแบบเดียวกับเกี๊ยว แต่เขาก็ว่ามันสู้เกี๊ยวไม่ได้จริงๆ

"คุณพูดถูกนะ ฆาบี้ ร้านนี้มีดีที่เกี๊ยวจริงๆ"

เจเงยหน้าจากถ้วยบะหมี่ซึ่งแทบจะหมดเกลี้ยง

"เฮ้ย!!! ทำไมเกี๊ยวเหลืออย่างละสองตัวเองอ่ะ!!!"

เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่คนตัวโต ซึ่งหัวเราะเขินๆ ก็ของโปรดเขาเลยกินเพลินไปหน่อย แต่ที่จริงมันก็มาแค่ไม่กี่ตัวเองนะ เจบ่นอุบอิบแล้วแย่งเนื้อตุ๋นที่มีน้อยนิดในถ้วยเขาไป 1 ชิ้นด้วยความเร็วสูง เขาคิดถึงบรรยากาศการกินข้าวแบบนี้จริงๆ


"เจจ๋า..."

"อะไร?"

นั่น ทำเสียงแข็งมาเชียว งอนเรื่องเกี๊ยวซะงั้น?

"เดี๋ยวถ้าขึ้นรถ ขอจูบหน่อยนะ..."

ฆาบี้พูดหน้าตาเฉย

เจหน้าร้อนวูบ คนหน้าไม่อาย พูดแบบนี้บนโต๊ะอาหารได้ไง คนก็อยู่เต็มร้าน

"อืมม์..."

แต่เขาเองก็ทนสายตาแพรวพรายนั้นไม่ได้ซะด้วยสินะ

"มีข้อแม้...ขอหมี่ไข่กุ้งอีกจานนะ"

สุดท้ายเจ้าเจก็กินหมี่ไข่กุ้งเข้าไปอีกจานจนได้ เขาคีบเส้นแห้งๆ ที่โรยไข่กุ้งตากแห้งรสชาติเข้มข้นไว้ จานนี้มาพร้อมกับน้ำซุปรสชาติเข้มข้นแบบเดียวกับที่เสิร์ฟกับหมี่น้ำ อร่อย...

"แต่ผมก็ชอบของร้าน Wong Kun Sio Kung ที่มาเก๊ามากกว่า บะหมี่เนื้อก็เหมือนกัน ของ Wong Chi Kei ที่จัตุรัสเซนาโด้ก็อร่อยกว่า แต่เกี๊ยวนี่ ของที่นี่เบอร์หนึ่งจริงๆ"

เขาน้ำลายไหล ยังอยากกินอีกซักถ้วย แต่พอละดีกว่า เขาคีบคะน้าฮ่องกงที่เสิร์ฟมาเป็นตัวประกอบกินจนหมด ก้านมันใหญ่แต่ไม่ขมเลยสักนิด ฆาเบียร์เรียกคิดเงิน มื้อนี้เขาขอเป็นคนจ่าย ซึ่งจ่ายไปประมาณ 250 เหรียญ เขาสองคนเดินอย่างมีความสุขเพราะท้องอิ่มไปตามทางเดินน้อยที่มีของวางขายจนเต็มสองข้างทาง ท้องฟ้าตอนนี้มืดสนิทแล้ว คนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลไปชมวิวเงินล้านของเกาะฮ่องกง


ทั้งสองแหวกฝูงชนจนได้ที่ยืนชมวิวในมุมค่อนข้างมืดมุมหนึ่งด้านล่างของศาลา อากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้เจที่ใส่เสื้อยืดบางๆ สะท้านกายเยือก ฆาเบียร์โอบกระชับไหล่ของคนสำคัญไว้แนบแน่น

"สวยจังเนอะ"

เจพูดพลางเหม่อมองไฟระยิบระยับบนตึกสูงที่อยู่เบื้องล่าง นี่แหละภาพของฮ่องกงในความคิดของเขา เขาแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า หากแสงสว่างจากในเมืองจ้าเกินไปจนมองไม่เห็นดาว เจหันกลับมาเจอดาวสองดวงที่ทอประกายอยู่ตรงหน้า ดาวสองดวงที่เป็นของเขาคนเดียว เจนยุทธมองลึกเข้าไปในตาแพรวพรายของคนที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจ เขาโน้มคอของร่างสูงนั้นลงมาและมอบจุมพิตให้เนิ่นนาน วินาทีนี้เขาไม่สนหมู่คนมากมายที่อยู่รอบข้าง ในสายตาเขามีเพียงร่างกำยำที่อยู่เบื้องหน้านี้เท่านั้น ฆาเบียร์หลับตาดื่มด่ำกับความหวานที่อยู่เบื้องหน้า

"เจจ๋า..."

เขาพูดออกมาแผ่วเบา

"ฉัน....เจ"

เสียงของเขาถูกเสียงจอแจของเหล่ามนุษย์ป้าทัวร์จีนที่ล้งเล้งกับวิวแสนงามที่อยู่เบื้องหน้า เจป้องหูแล้วบอกให้เขาพูดอีกที ฆาเบียร์ถอนหายใจ

"ฉันคิดถึงเจ"

เขาเปลี่ยนคำ เมื่อครู่นั้นเขาเผลอตัวไป เขาต้องไม่ไปเร่งรัดเจด้วยคำว่ารักของเขา เขาต้องให้เวลาหนุ่มที่ยังไม่แน่ใจในตัวเองคนได้พิจารณาว่าตัวเองพร้อมที่จะเดินทางสายนี้กับเขาจริงๆ หรือไม่ ถึงปากเจเคยบอกว่าพร้อม แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสำหรับเจแล้ว เขาพูดเพราะว่ายังหลงในสิ่งแปลกใหม่ที่ตนค้นพบหรือว่าอย่างไร เขาคงต้องรอจนกว่าอะไรๆ จะชัดเจนกว่านี้

เจนยุทธถอนหายใจ เมื่อสักครู่เขาเหมือนได้ยินคำบางคำที่ทำให้ใจเขาเต้นแรง แต่เขาไม่แน่ใจว่าหูเขาฝาดไปเองหรือไม่เพราะเมื่อให้พูดใหม่ คำที่ออกมาจากปากฆาเบียร์กลับไม่ใช่คำที่เขาคิดว่าได้ยิน เขาก็คงต้องรอมันต่อไป


(Victoria Peak)
https://www.picz.in.th/images/2017/09/04/victoria.jpg



ฆาเบียร์จอดรถของเขาไว้ที่หน้าทางเข้าโรงแรมและส่งกุญแจให้พนักงานรับรถ เขาเดินกุมมือเจนยุทธอย่างเปิดเผยเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม เขาแวะที่ฟรอนท์เพื่อถามว่ามีใครฝากข้อความอะไรไว้ไหม ที่สำนักงานรู้ดีว่าวันนี้เขาออกไปกับเจทั้งวันและจะไม่มีใครโทรหรือส่งข้อความมากวนเขา แต่จะใช้วิธีฝากไว้ที่โรงแรมแทน

"มีโน้ตจากคุณเมลิน่าค่ะ"

พนักงานสาวส่งซองจดหมายให้เขาซองหนึ่ง เขาเปิดอ่านแล้ว เห้อ บอกว่าให้เขาพักสามวัน สุดท้ายก็ต้องมีอะไรให้ทำจนได้

"เจ พรุ่งนี้ฉันจะอยู่ด้วยไม่ได้ทั้งวันนะ"

เขาพูดพลางปิดประตูใส่กลอนแน่นหนา เขาไม่อยากพลาดให้อาปากับเมลิน่าเข้าห้องมาระหว่างที่เขาทำอะไรๆ อยู่แบบคราวที่แล้วอีกแล้ว

"อือ ไม่เป็นไรหรอก ไปทำธุระเถอะ"

เจนยุทธพูดพลางถอดเสื้อที่ใส่วันนี้ออก เขาเริ่มคุ้นเคยกับการทำตัวสบายๆ ต่อหน้าฆาเบียร์แล้ว แต่คนที่มองดูอยู่นั้นรู้สึกไม่ค่อยจะสบายๆ ด้วย ผิวขาวนวลเนียนของเจ อีกทั้งเม็ดสีทับทิมระเรื่อคู่นั้นส่งผลต่อใจเขาจริงๆ ไหนจะร่องรอยสีเข้มจากเมื่อเช้าที่กระจายอยู่ทั่วผิวขาวๆ นั้นช่างดูยั่วยวนเสียจริงๆ เขากระแอมเบาๆ จนเจหันมามองแล้วก็เห็นแววตาที่ซ่อนแววปรารถนาไว้ไม่อยู่ เขาหัวเราะเบาๆ...หื่นอีกแล้ว เมียกู


เจกระดิกนิ้วเรียกคนร่างใหญ่นั้นเข้ามาใกล้ๆ ซึ่งฆาบี้ก็เดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย เจโอบเอวของคนร่างใหญ่และดึงให้ร่างกายส่วนล่างของทั้งสองบดเบียดกันเขาส่ายสะโพกช้าๆ ให้ร่างกายด้านหน้าถูกับด้านหน้าของอีกฝ่ายและรู้สึกถึงส่วนร้อนๆ ของฆาบี้ที่ค่อยๆ พองทิ่มส่วนร้อนของเขาที่ก็ขยายตัวไม่แพ้กัน เขาเสียดสีอย่างอย่างนั้นจนเริ่มรู้สึกปวด จึงผลักฆาเบียร์ลงนอนหงายพาดขอบเตียง เขาค่อยๆ แกะกระดุมกางเกงยีนส์สีเข้มของร่างใหญ่นั้น และกระชากมันออกทีเดียว แท่งลำใหญ่ของฆาบี้ชูชันดันกางเกงในสีขาว เจนยุทธขึ้นไปคร่อมตรงอกฆาเบียร์แล้วค่อยๆ ปลดซิปกางเกงของตัวเองและปล่อยแกนกายของตัวเองออกมา ฆาเบียร์ไม่ยอมให้เจได้สิ่งที่ต้องการง่ายๆ เขาใช้แรงดันร่างเพรียวนั้นจนเสียหลักไปนั่งคร่อมบนแท่งลำของเขาจัดการถอดกางเกงของเจออกจนได้แม้ทางนั้นจะพยายามยื้อไว้ก็ตาม เขากดสะโพกเจให้แนบกับส่วนสงวนของเขาและถูมันเบาๆ กับรอยแยกด้านหลังของเจ

"เรามาลองของใหม่กันไหม คนดีของฉัน"

เขากระซิบเสียงกระเส่าที่หูของเจ ซึ่งหน้าซีดลงเล็กน้อย

"ผม...ผมยังไม่พร้อม"

เจทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนแข็งขืนของเขาอ่อนยวบลงไปเล็กน้อย ฆาเบียร์หัวเราะออกมา เขาไม่ได้หมายถึงสิ่งที่คนตัวเล็กมันคิด เขารู้อยู่หรอกว่ามันยังไม่พร้อมจะเสียความบริสุทธิ์ด้านหลังให้เขา เขาโน้มกายเจลงมากระซิบสิ่งที่ต้องการที่ข้างหู เจหน้าแดงก่ำแล้วพยักหน้าเบาๆ ฆาเบียร์กดจูบที่ริมฝีปากเจนยุทธอย่างแผ่วเบาแล้วเปลี่ยนเป็นบดหนักด้วยแรงราคะ มือของเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของทั้งสองออกจนเปล่าเปลือยไปทั้งตัว จากนั้นขยับกายขึ้นนั่งคุกเข่าประกบด้านหลังเจ ริมฝีปากเขาซุกไซร้ที่ซอกคอ มือทั้งสองเกาะกุมอกเปลือยเปล่าของเจและใช้นิ้วเขี่ยดุนดึงเม็ดทับทิมคู่นั้นที่ชูชันสู้นิ้วของเขา เจส่งเสียงครางน้อยๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่ได้

"แยกขาออกหน่อยสิ เจ"

ฆาเบียร์กระซิบเสียงแหบพร่า ตอนนี้เขาปวดแกนกายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว เขาถูไถมันเข้ากับร่องแยกด้านหลังของเจซึ่งสะดุ้งน้อย

"ห้ามเข้านะ!"

เสียงของเจนยุทธสั่นเครือ ฆาเบียร์หัวเราะ เขาแค่ถูไถภายนอกเท่านั้น จากนั้นสอดส่วนสงวนของเขาเข้าบดเบียดกับแท่งลำร้อนที่หว่างขาของเจจากทางด้านหลัง

"ทีนี้หนีบขาหน่อยนะ"

เจเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องทำอย่างไร เขาเคยทำแบบนี้เพื่อเป็นการยั่วเย้ากับสาวๆ เหมือนกันแต่นานๆ ครั้ง เขาหนีบต้นขาเข้าหากัน จนส่วนสงวนของฆาเบียร์บดเบียดกับต้นขาทั้งสองและแท่งลำของเขา ฆาบี้เริ่มขยับช้าๆ สัมผัสของเนื้ออุ่นๆ ทำให้เขาครางเบาๆ ออกมา เจเองก็รู้สึกเช่นกัน มือของเขารูดไล้แก่นกายของตนและส่ายสะโพกช้าๆ รับแกนกายของฆาเบียร์ สัมผัสนั้นช่างน่าอัศจรรย์ ฆาเบียร์เร่งจังหวะขึ้น ปากเขาก็เคล้าคลึงที่ต้นคอและใบหูของเจ ความเสียวแผ่ซ่านขึ้นจนแทบทนไม่ได้ เขาใช้มือเกาะกุมมือของเจที่กำส่วนร้อนอยู่แล้วช่วยชักรูด เจครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ก่อนจะปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมา

ฆาเบียร์จับเจนยุทธนอนหงายดันเข่าทั้งสองไปชิดอก เขาข่มใจตนเองไม่ให้เผลอรุกล้ำช่องทางสีชมพูที่โชว์เด่นอยู่ แต่กลับเสือกแก่นกายเข้าไปยังช่องระหว่างขาที่เบียดชิดกันนั้น สัมผัสแนบแน่นนั้นคล้ายคลึงกับช่องทางด้านหลังมาก ตาที่หรี่ปรือและแก้มแดงๆ ของเจทำให้เขาจินตนาการไปถึงวันที่เขาจะมีโอกาสสัมผัสช่องทางแคบแน่นนั้น เขาเสือกแก่นกายเข้ากับหว่างขาขาวเนียนนั้นซ้ำๆ และเร่งจังหวะขึ้น แกนกายของเจเองก็แข็งขืนขึ้นมาอีก สัมผัสของฆาเบียร์ที่ถูไถไปกับถุงเนื้อและลำร้อนของเขาทำให้เขาแทบขาดใจ ไม่นานทั้งสองก็ส่งเสียงครางกระหึ่มออกมาพร้อมๆ กันก่อนที่ฆาเบียร์จะซบกายลงกับอกของเจนยุทธ เหงื่อเขาออกทั้งตัว เขาไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำแบบนี้มานานแล้วแม้จะเพียงภายนอกก็ตาม เจหอบหายใจถี่เร็ว สมแล้วที่ฆาเบียร์เป็นยอดยุทธในทางนี้ เขานึกไม่ถึงว่าจะมีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย

"ติดใจหรือยังจ๊ะ เจ? เมื่อไหร่จะใจอ่อนให้ฉันเสียที"

ฆาเบียร์ที่กอดกระชับตัวเขากระซิบถาม เจนิ่งไปพักนึง แล้วส่ายหน้าระรัว เขามองไปที่แกนกายที่ยังดูใหญ่ทั้งๆ ที่มันพ่นพิษไปแล้ว เขารับมันไม่ไหวแน่ๆ ที่จริงวันนี้เขาก็เฉียดใจอ่อนไปแล้ว แต่ความกลัวเจ็บก็ยังคงมีมากกว่า แม้เขารู้สึกได้ว่าเขาคงทนใจแข็งกับตาสวยๆ คู่นี้ได้อีกไม่นาน แต่ที่แน่ๆ ยังไม่ใช่คืนนี้

ทั้งคู่พากันเข้าไปอาบน้ำในชาวเวอร์บ็อกซ์ ฆาเบียร์เข้ามานัวเนียซุกไซร้จากทางด้านหลังอีกครั้ง แม้เจนยุทธจะพยายามปัดป้อง หากคนที่ติดใจในสัมผัสนั้นแล้วไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ สงครามรักน้อยๆ เริ่มขึ้นอีกครั้งในห้องน้ำและลามต่อไปที่เตียงจนในที่สุดทั้งสองก็ตะคองกอดกันหลับอย่างสนิท



-------------------------------------------------

มาลองของใหม่กันหน่อยนะคะ...เขียนยากมากกกกก หวังว่าจะนึกภาพตามกันออกนะคะ ตอนนี้เจเหมือนจะเริ่มใจอ่อนแล้ว มารอลุ้นกันว่าจะโดนฆาเบียร์จัดหนักเข้าเมื่อไหร่

มาต่อกันเรื่องของกินดีกว่าค่ะ เกี๊ยวร้าน Mak's Noodle นี่อร่อยจริง แต่ตัวบะหมี่เนื้อตุ๋นยังสู้ร้านดังของฮ่องกงอย่าง Chee Kei หรือร้านจากมาเก๊าอย่าง Wong Chi Kei ไม่ได้ค่ะ สาขาที่วิคตอเรีย พีคนั้น ไม่ใช่สาขาที่คนชมว่าอร่อย (แต่สำหรับคนเขียนก็ว่าอร่อยมากแล้วนะ) สาขาที่ควรไปแวะคือสาขาหลักที่ถ. เวลลิงตั้นย่านเซ็นทรัลค่ะ ร้านนี้ก็ไม่ต่างจาก Yung Kee เรื่องการที่ครอบครัวมีปัญหากันแล้วแยกออกไปเปิดร้านอื่น ซึ่งก็คือ Mak An Kee หรือ Chung Kee ค่ะ

รีวิวร้าน Mak's Noodle สาขาพีค แกลเลอเรีย https://goo.gl/9pwqHB

รีวิวร้าน Mak's สาขาใหญ่ https://goo.gl/V7ojN2

ข้อมูล The Peak ค่ะ  http://www.thepeak.com.hk/en/5_2_1.asp


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2018 16:36:08 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ใกล้ความจริงแล้วฆาเบียร์ ฮา

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- งานเปิดตัว ----




เจนอนทำตาปริบๆ อยู่บนเตียงโดยมีหัวหนักๆ ของฆาเบียร์ซุกอยู่ที่อกของเขา เขาแทบอยากจะดิ้นตายเมื่อนึกว่าเมื่อคืนเขาเฉียดเสียตัวไปแค่ไหน เขาไม่ควรปล่อยให้อิเมียหื่นของเขาทำอะไรตามอำเภอใจได้ขนาดนั้น ไม่ได้การล่ะ เขาต้องอย่าใจอ่อนมากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะเสียการปกครองแน่ แต่ฆาเบียร์ที่เป็นฝ่ายรุกเร้านั้นก็ทำให้เขาใจเต้นแบบแปลกๆ เมียของเขาดูทรงเสน่ห์ มั่นใจ และมีพลังดึงดูดจนเขาละสายตาไม่ได้ หรือบางทีเขาควรปล่อยฆาเบียร์ทำในสิ่งที่ถนัดดีกว่า เขาผลักหัวหนักๆ นั้นให้พ้นอกอย่างหงุดหงิด

"โอ๊ย ทำร้ายร่างกายกันแต่เช้าเลยเหรอ เจ"

คนที่กลิ้งตกหมอนไม่รู้ตัวบ่นอุบอิบ เขาตื่นนานแล้วแต่ยังอยากซุกอยู่กับอกอุ่นๆ นั้นอีกสักหน่อย

"ฮึ!" เจนยุทธแค่นเสียงหนักๆ แล้วพลิกหันหลังให้คนตัวโต ฆาเบียร์ตามมากอดเอวคนขี้งอนแล้วหอมลาดไหล่เนียนนั้นอย่างชื่นใจ

"เมื่อคืนดีไหม"

เขาถาม ริมฝีปากร้อนๆ ของเขานั้นซุกซนอีกแล้ว

"ก็ดี"

เจตอบเบาๆ ตามความเป็นจริง แก้มเขาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงท่าทางน่าอายของตนเอง

"งั้นก็ยอมซักทีสิ รับรองว่าดีกว่าเมื่อคืนแน่"

มือของคนหน้าไม่อายเริ่มคลำเปะปะ เจรีบเด้งตัวลงจากเตียงนุ่ม

"ไม่ต้องเลย วันนี้คุณต้องทำงานไม่ใช่เหรอ รีบๆ ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว สายแล้ว ไหนเดี๋ยวร้านแซมส์เค้าจะเอาชุดมาให้ลองอีก"

เจลากคนตัวหนักที่ทำหน้าเซ็งๆ ให้ลุก แล้วรุนหลังให้เข้าห้องน้ำพร้อมปิดประตูใส่หน้าคนที่ทำท่าจะลากเขาตามเข้าไปด้วย


ฆาเบียร์นั่งมองเจลองสูทที่สั่งตัดไว้ทั้งสองชุดอย่างเพลิดเพลิน เขาปล่อยให้เจ้าตัวเลือกผ้าเลือกแบบเอง เจเลือกสูทแบบเป็นทางการเรียบๆ หนึ่งชุด และอีกชุดที่ฆาเบียร์คิดว่าสมกับเป็นเจจริงๆ เขาไม่ว่าหรอกถ้ามันจะใส่สูทแบบนั้นมาที่งาน ก็ดูสนุกสนานสมเป็นตัวมันดี

"ฆาบี้ งานพรุ่งนี้เป็นงานแบบไหนน่ะ?"

เจถาม เขาจะได้เลือกถูกว่าต้องใส่อะไร

"อืมม์ จริงๆ งานเปิดตัวมีตอนกลางวันนะ จัดที่ห้องฟังก์ชั่นข้างล่าง แต่เจไม่ต้องไปก็ได้เพราะเป็นงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชน มีเซ็นลงนามกับพวกพาร์ทเนอร์ของบริษัท อะไรแบบนั้น แต่ที่อาปาอยากให้เจมาด้วยคืองานเลี้ยงขอบคุณตอนเย็น ก็ไม่มีอะไรมากเป็นงานค้อกเทล จัดที่ห้องเพรสซิเดนเชี่ยล ซูอิทของโรงแรม เดี๋ยวเย็นๆ จะพาไปดูนะ"

เจพยักหน้าหงึกหงัก

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนงานเราก็ขึ้นไปแต่งตัวที่ห้องนั้นเลยก็ได้ มีตั้ง 5 ห้องนอน เจจะใส่ชุดไหน? จะได้ให้เขาส่งชุดไปที่นั่น"

เจนยุทธเลือกแบบไม่ต้องคิดมากเลย งานค้อกเทลก็คงไม่เป็นทางการมาก เขาเลือกชุดที่แสดงตัวตนของเขา ฆาเบียร์ยิ้ม เขาก็คิดว่าเจน่าจะเลือกชุดนี้


วันนี้ทั้งวัน ฆาเบียร์ต้องไปๆ มาๆ โรงแรมกับออฟฟิศเพื่อควบคุมการจัดงาน จริงๆ หน้าที่ของเขาเสร็จแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ

"เดี๋ยวฉันจะให้คนของอาปามาพาเจข้างนอกนะ จะกินข้าวหรืออะไรให้เขาพาไปได้" เจพยักหน้า

"คือ...ขออย่างนึงได้ไหมอ่ะ?" เจถามเสียงอ่อยๆ

"ไม่นั่งมูซานแล้วได้ไหม นั่งคนเดียวมันเหงา"

มันทำหน้าจ๋อยๆ น่าสงสาร

"ขอยืมดีบี 11 แทนได้ไหมอ่ะ? ผมนั่งหน้าคู่กับคนขับก็ได้ คล่องตัวกว่า"

"ไม่ได้!"

คนตัวโตตอบเสียงแข็งทันควัน

"หวงรถ!"

ไอ้ตัวเล็กบ่นอุบอิบเบาๆ เขาอยากบอกมันจริงๆ ว่าที่เขาหวงน่ะไม่ใช่รถหรอก แต่ไม่อยากให้เจไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถคู่กับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่เขา เขาถอนหายใจแล้วโทรหาเมลิน่า


ฆาเบียร์เดินลงมาส่งเจนยุทธที่หน้าล็อบบี้ ที่นั่นมีบีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 5 สีดำมันปลาบแต่ข้างในมีของพวกคิตตี้หวานแหววตกแต่งอยู่ เจขมวดคิ้ว

"รถใครเนี่ย?"

"รถเมลิน่า ยืมมาใช้ก่อน."

เขาหันไปแนะนำชายหนุ่มวัยประมาณ 20 กลางๆ ในชุดสูทที่ยืนอยู่ข้างรถ

"แล้วนี่ริคกี้ คนของอาปา เขามาขับรถให้ อยากให้พาไปไหนก็บอก แล้วเดี๋ยวเย็นๆ เจอกันนะ"

พูดจบฆาเบียร์ก็ก้มลงจุ๊บเบาๆ ที่ปากเจนยุทธ ก่อนจะเดินขึ้นรถคันงามของตัวเองที่พนักงานพามาจอดรออยู่แล้ว เจยืนหน้าแดงเขินริคกี้ที่ยืนก้มหน้าซ่อนยิ้มอยู่ เจถอนหายใจแล้วเดินไปเปิดประตูหน้ารถด้านข้างคนขับ ริคกี้รีบวิ่งมาห้ามพร้อมเปิดประตูด้านหลังฝั่งตรงข้ามคนขับให้ทันที ที่ฮ่องกงนั้นลำดับชนชั้นยังคงเข้มข้นเสมอ


เจเปิดโพยของกินที่เขาหามาจากในเน็ต

"นี่เลยๆ โจ๊กนาธาน อยู่ไม่ไกลใช่ไหม?"

ริคกี้รับคำและขับรถพาเจนยุทธไปยังร้านดังกล่าวที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมโนโวเทลนาธานบนถนน Saigon ร้านนี้ดังมากในหมู่คนไทยและเคยออกรายการทีวีและลงนิตยสารไทยหลายต่อหลายครั้ง เจนยุทธจึงไม่พลาดที่จะมาลอง ริคกี้ส่งเจลงที่หน้าร้านส่วนตัวเขาหาที่จอดเลียบข้างถนนพร้อมหยอดค่าจอดรถ และเดินเข้ามาเพื่อช่วยเจสั่งอาหารแต่ก็ไม่ต้องได้ช่วยอะไรเพราะเจ้าของร้านและพนักงานที่นี่พูดไทยได้ แถมยังมีเมนูภาษาไทยให้ด้วย เขาจึงออกไปยืนรอที่หน้าร้าน

เจนยุทธสั่งโจ๊กพื้นฐานที่สุดคือโจ๊กหมูใส่ตับและไข่เยี่ยวม้า หลังจากกินถ้วยไปถ้วยหนึ่งเขาก็สั่งคิดเงิน ริคกี้ก็รีบปราดเข้ามาจ่ายเงินให้ทันที เจถอนใจแล้วเดินตามคนรถออกมา พอขึ้นรถเขาก็ขยำโพยที่อุตส่าห์หามาทิ้ง แล้วบ่นกับริคกี้

"ร้านดงร้านดังอะไรน่ะ ไม่อร่อยเลย เนื้อโจ๊กไม่เนียนเหมือนร้านอื่นที่เคยกินเลย รสชาติบ้านๆ มาก มีแค่ตับที่รสชาติโอเค"

]
(ftp://www.picz.in.th/images/2017/09/04/nathan.jpg[/img)


เจนยุทธทำหน้าเซ็ง โจ๊กจากร้านอาหารแนวฮ่องกงของเชียงใหม่อย่าง Mei Jiang และ Hong Kong Lucky ยังถูกปากเขากว่าอีก

"คราวที่แล้วที่มาผมไปกินโจ๊กปูกับโจ๊กหอยนางรมแห้งที่ร้าน Praise House Congee บน iSquare Mall ยังอร่อยกว่านี้ตั้งเยอะ"

เขาน้ำลายไหลเมื่อนึกถึงความอร่อยของหอยนางรมแห้งของร้านนั้น เขาพยายามหาร้านอื่นที่มีแบบนี้ขายแต่ก็ยังไม่เจอ

"ถ้าร้านนั้น ตอนนี้ร้านย้ายไปอยู่ที่ห้างป๊อบคอร์น แถวๆ สถานี Tseung Kwan O​ แล้วครับ"

เจรีบจำไว้ในสมองเผื่อที่คราวหน้าจะได้ไปถูก

"เออ ผมได้ยินว่าที่นี่มีร้าน Wong Chi Kei จากมาเก๊ามาเปิดด้วยใช่ไหม? ผมเคยกินโจ๊กปูของร้านที่มาเก๊า นั่นก็อร่อยนะ"

ริคกี้ยิ้ม แฟน...หรือเปล่านะของนายเขานี่ช่างรอบรู้เรื่องกินจริงๆ

"ใช่ครับ อร่อย นายจะให้ผมพาไปที่นั่นไหมครับ ร้านอยู่แถวๆ Central ใกล้ๆ ร้าน Yung Kee"

เจปฏิเสธเพราะมันต้องข้ามไปฝั่งฮ่องกง เขาไม่ได้อยากกินถึงขนาดนั้น เขาเลือกที่จะไปร้านที่ชัวร์ว่ารสชาติโอเคแน่ๆ อย่าง Tim Ho Wan สาขาที่ไปมาเมื่อวาน และสำทับริคกี้ไม่ให้เรียกเขาว่านายแต่ให้เรียกเจแทน

"เจแบบ Jay ชื่อฝรั่งนั่นแหละครับ" เจกำชับ


ริคกี้นั่งทำตาปริบๆ ดูเจสั่งอาหาร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมโต๊ะอาหารกับคนที่เขาขับรถให้ ในตอนแรกเขาจะแค่หย่อนเจลงแล้วไปรอที่รถ แต่เจนยุทธอ้างว่าเขาอ่านเมนูไม่ออกแล้วลากเขามาด้วย พอมาถึงเขาถึงเห็นว่าในเมนูมีภาษาอังกฤษเรียบร้อย

"นั่นก็น่ากินนี่ก็น่ากิน เผลอสั่งเยอะไปแล้ว คุณช่วยผมกินด้วยแล้วกัน"

เจทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ลากริคกี้เข้ามานั่งเสร็จสรรพแถมยังสั่งอาหารมาเยอะแยะเพราะรู้ว่าถ้าให้สั่งเอง ชายหนุ่มต้องไม่ยอมสั่งแน่ๆ

"กินเป็นเพื่อนกันหน่อยน่า กินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อย"

เขาชักติดนิสัยคนตัวโตมาแล้ว เวลากินข้าวคนเดียวมันเหงาจริงๆ เจคีบนั่นนี่ใส่ปาก วันนี้เขาสั่งของที่ไม่ซ้ำกับที่เคยสั่งคราวที่แล้ว เขาสั่งซี่โครงหมูอบเต้าซี่ซึ่งอร่อยมาก ขนมจีบหมูกุ้งรสชาติมาตรฐาน เค้กไข่รสชาติจืดๆ ข้าวห่อใบบัวที่เขาว่าอร่อยดี ก๋วยเตี๋ยวหลอดเนื้อก็ใช้ได้ ข้าวอบหมูปลาเค็มก็ใช้ได้ติดจะคาวไปหน่อย ส่วนมะเขือม่วงนึ่งซอสพริก กับลูกชิ้นปลานั้น เขาแตะนิดเดียวก็ไม่กินอีก และเขายังสั่งซาลาเปาหมูแดงอบมาเพิ่มแถมยังสั่งใส่ห่อให้ริคกี้อีกด้วย เขากินไปแล้วก็ชวนริคกี้คุยก็ได้ความว่าคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นคนรถที่จริงแล้วรับหน้าที่ควบเป็นทีมเลขาของคริสอีกด้วย ริคกี้นั้นจบปริญญาตรีและกำลังเรียนต่อโทที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในฮ่องกงและเข้ามาทำงานกับคริสซึ่งมีธุรกิจอื่นๆ ในฮ่องกงมา 2-3 ปีแล้ว

"เดี๋ยวผมก็จะย้ายมาอยู่ทีมเลขาฯ ของคุณฆาเบียร์แล้วครับ"

พอบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย ริคกี้ก็เริ่มพูดคุยมากขึ้น

"ที่สหรัฐฯ น่ะเหรอ?" เจถาม

"ไม่ครับ ที่ฮ่องกงนี่แหละ"

เจขมวดคิ้วคนตัวโตไม่เห็นบอกว่าเขาจะย้ายมาอยู่ฮ่องกง แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องของคนตัวโตไม่เกี่ยวกับเขา เขาคีบขนมจีบคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วรีบแย่งบิลจากมือริคกี้ไปจ่ายเอง ริคกี้ถอนหายใจ ถ้านายรู้เขาคงโดนด่าแน่ แล้วไหนจะเรื่องหลุดปากไปบอกคุณเจเรื่องนายอีกซึ่งดูท่าทางคุณเจจะยังไม่รู้ ซวยหนักแน่ทีนี้

]
(ftp://www.picz.in.th/images/2017/09/04/Timhw2.jpg[/img)


เจนั่งเงียบๆ ตลอดทางกลับโรงแรม เขาเริ่มรู้สึกว่างานใหญ่ของฆาบี้ที่ฮ่องกงนี้คงไม่ใช่แค่การมาเตรียมการและดูแลความเรียบร้อยของงานเปิดสำนักงานแค่นั้น เขาก็คงได้แต่เฝ้ารอดูไป สุดท้ายแล้วมันก็คงไม่ใช่อะไรที่เขาจะไปยุ่มย่ามได้

เจนยุทธกลับถึงห้องตอนบ่ายๆ และนอนรอฆาเบียร์บนห้องจนหลับไป เขาตื่นมาอีกครั้งเมื่อมีร่างอุ่นๆ มากอดรัดเขา

"กลับมาแล้วเหรอ?"

"อือ คิดถึงจัง"

คนตัวโตกอดเขาไว้แนบอกพร้อมหอมแก้มดังๆ ทำยังกะไม่เจอกันเป็นปี เจลอบถอนหายใจ หลังจากกลับมาจากกินข้าว เขานั่งนึกถึงอนาคต เขาไม่รู้เลยว่าเขาทั้งคู่จะสามารถอยู่ด้วยกันตลอดเวลาแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน แล้วถ้าต้องห่างกันจริงๆ จะทำยังไงไม่ให้คนตัวโตคนนี้ไม่เกิดอาการแบบที่เขาเป็นเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน เขารู้สึกว่าอีกไม่นานพวกเขาต้องเลิกใช้ชีวิตแบบนี้แล้วเผชิญหน้ากับความเป็นจริงกันได้แล้ว แต่...ยังไม่ใช่วันนี้ เขาผลักร่างสูงนั้นลงบนเตียงและเริ่มปรนเปรอคนที่เพิ่งทำงานหนักมาอย่างสุดฝีมือ


ฆาเบียร์กอดร่างเปลือยอุ่นๆ ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม วันนี้เจนยุทธเอาใจเขามากจริงๆ แม้จะยังไม่ได้ในสิ่งที่หวังแต่ก็รู้สึกเต็มอิ่ม เขาอยากให้ช่วงเวลานี้อยู่ไปนานแสนนาน

"หิว..."

ฆาเบียร์ยกมือถือขึ้นดูเวลา หกโมงกว่าแล้ว มิน่าจอมตะกละของเขาถึงบ่น เขาโทรลงไปที่คอนเสียจเพื่อถามข้อมูลบางอย่าง จากนั้นลากเจให้ลุกขึ้นจากเตียง

"ไปแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวเราไปกินข้าวกัน"

ฆาเบียร์พาเจนยุทธลงไปที่ห้องอาหาร Harbourside ที่นี่มีบุฟเฟต์ซีฟู้ดมื้อเย็นที่เลิศหรูที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง โดยปกติแล้วต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือน แต่วันนี้โชคดีที่ว่ามีคนแคนเซิลพวกเขาจึงเสียบแทนได้ เจหันซ้ายหันขวาดูไลน์อาหารอย่างตื่นเต้น เขาไม่เคยเห็นล็อบสเตอร์กองสูงเป็นตั้งขนาดนี้มาก่อน พนักงานพาพวกเขาไปนั่งโต๊ะและจากนั้นเจ้าเจก็เริ่มลุย เขาตักล็อบสเตอร์ ปูสารพัดอย่าง หอยนางรม กุ้งและอื่นๆ มา

"นี่ๆ มีน้ำจิ้มซีฟู้ดด้วย!"

เจตื่นเต้น เขากินบุฟเฟต์ซีฟู้ดเมืองนอกไม่เคยอร่อยก็เพราะขาดน้ำจิ้มซีฟู้ดนี่แหละ จากซีฟู้ด เขาก็ไปตักฟัวกราส์ต่อ แล้วก็วนกลับมาซีฟู้ด เขาเดินไปอีกหน่อยก็เจอหอยเป๋าฮื้อขนาดเล็ก เขาก็ตักมาอีก ไหนจะเนื้ออบ หอยเชลล์อบชีส แล้วไลน์ขนมของที่นี่ก็อลังการเหลือเกิน ฆาเบียร์มองคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนอย่างอิจฉา เขาตักล็อบสเตอร์และนั่นนี่อีกไม่กี่อย่าง

"กินไปเถอะ เดี๋ยวค่อยไปออกกำลังกายเอา"

เจทำหน้าเหม็นเบื่อดูเขาที่แตะๆ อาหารแค่ไม่กี่อย่าง

"งั้นเดี๋ยวขึ้นห้องก็ไปออกแรงกันต่อเลยนะ"

ฆาบี้ตอบด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม เจนยุทธหน้าแดงแป๊ด แต่ก็รู้ตัวว่าปฏิเสธไปก็คงไม่มีประโยชน์ ก็เลือกที่จะเงียบดีกว่า


"แล้ว พรุ่งนี้เราต้องทำอะไรมั่งนะ?" เจถามฆาบี้ที่กำลังเช็ดผมให้เขาอยู่

"เจไม่ต้องทำอะไรหรอก รอไปงานเย็นกับฉันก็พอ เดี๋ยวช่วงเช้าเขาจะเอาสูทมาส่ง ฉันจะให้เมลิน่ากับริคกี้เตรียมชุดที่เจจะใช้ไปไว้ที่ห้องเพนท์เฮาส์ให้ เที่ยงๆ ฉันจะขึ้นไปแต่งตัวข้างบนและไปเจอกับอาปาที่นั่นด้วย จากนั้นเจก็รออยู่บนนั้นเลยก็ได้ ฉันไปงานแถลงข่าวเสร็จแล้วก็จะขึ้นมาหานะ"

ในคืนนั้น เจนยุทธห้ามฆาเบียร์ซุกซนและปล่อยให้พักผ่อนเต็มที่

เช้าวันงาน ฆาเบียร์ลงไปดูการจัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่เช้าปล่อยให้เจหลับต่อจนกระทั่งใกล้เที่ยงเขาจึงขึ้นมาปลุกคนขี้เซาให้ลุกมาอาบน้ำแต่งตัว เขาสั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมากินง่ายๆ กันบนห้อง จากนั้นพาเจขึ้นไปยังห้องเพรสซิเดนเชี่ยล ซูวิทอันเป็นที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับในตอนเย็น เมื่อลิฟต์เปิดออกเจก็ต้องตะลึงกับภาพที่ได้เห็น บริเวณชั้นล่างของห้องดูเพล็กซ์สองชั้นขนาด 405 ตารางเมตรที่หันหน้าสู่อ่าววิคตอเรียนี้ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เช่นเดียวกับที่ระเบียงด้านนอกขนาด 225 ตารางเมตร ริมสระน้ำไร้ขอบเล็กๆ มีเทียนน้อยๆ วางเรียงอยู่รอการจุดเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พนักงานจัดเลี้ยงกำลังสาละวนจัดสถานที่เพื่อให้พร้อมที่สุดสำหรับงานในตอนเย็น ฆาเบียร์พาเจนยุทธเดินขึ้นบริเวณชั้นสองไปยังห้องนอน 1 ใน 5 ห้องของที่พักแห่งนี้


"อ้าว ฆาบี้ เจ มากันแล้วเหรอ?"

คริสซึ่งเดินออกมาจากห้องนอนใหญ่ทักขึ้น วันนี้อาปาของฆาบี้ดูภูมิฐานในสูท 3 ชิ้นสีน้ำเงินเข้ม เขาตบไหล่ฆาเบียร์เบาๆ ลูกบุญธรรมของเขาดูแข็งแรงและมีความสุขมากจนไม่น่าเชื่อว่าคือคนๆ เดียวกับร่างที่นอนแบ่บอยู่บนเตียงเมื่อสี่วันก่อน เขาต้องขอบใจเจนยุทธเหลือเกินที่พาฆาบี้กลับมา เขาหันไปกอดลูกชายคนใหม่ของเขาซึ่งกอดตอบอย่างงงๆ

"เดี๋ยวอาปาจะลงไปก่อนนะ รีบแต่งตัวซะ สักพักแขกคงเริ่มมากันแล้ว" ฆาเบียร์รับคำ

เจนยุทธนอนเท้าคางดูฆาเบียร์แต่งตัวอยู่บนเตียง วันนี้เมียของเขาดูสง่างามและเป็นประกายจนเขาไม่กล้ามองตรงๆ ร่างที่แข็งแกร่งกำยำนั้นอยู่ในชุดสูท 3 ชิ้นสีเทาเงิน ที่คอใส่เนคไทสีเดิียวกับสูท ผมสีน้ำตาลที่ยาวปรกต้นคอถูกจัดแต่งด้วยมูสจนอยู่ทรงดูเป็นธรรมชาติ ฆาเบียร์สวมรองเท้าหนังแฟรากาโม่สีดำทรงอ็อกซฟอร์ดสีดำเรียบๆ เขาเปิดตู้เซฟหยิบนาฬิกา A. Lange & Söhne รุ่น 1815 Tourbillon Handwerkskunst ลิมิเต็ด เอดิชั่น ซึี่งมีสายหนังสีน้ำตาล หน้าปัดโรเดี้ยมสีดำที่เปิดโชว์เครื่องนาฬิการเล็กน้อยและกรอบสีโรส โกลด์ นี่เป็นนาฬิกาเรือนเดียวที่เขามี โดยปกติแล้วเขาจะเก็บมันไว้ในตู้เซฟธนาคาร มันคือของขวัญแห่งความสำเร็จที่เขาซื้อให้กับตัวเอง เขาหยิบตุ้มหูอัญมณีสีน้ำเงิน 1 ใน 2 ข้างในกล่องกำมะหยี่สีขาวที่ดูเก่าคร่ำคร่าขึ้นมาใส่ที่หูขวา

"นี่ ตุ้มหูมันไม่เหมาะกับชุดสูทเลยนะ"

เจท้วงขึ้น เขาหัวเราะเบาๆ และอธิบายให้ฟังว่านี่คือเครื่องแสดงความเป็น ฆาเบียร์ บาเลนตินของเขา ทุกครั้งที่เขาออกงานในฐานะหนุ่มเพลย์บอยคนนี้ เขาจะใส่มันเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง เขาลูบหูซ้ายของเจเบาๆ เขาสังเกตมาสักพักแล้วว่าเจเองก็เคยเจาะหู และมันยังไม่ตันไป เขาทำท่าจะเอาตุ้มหูอีกข้างที่เหลือใส่ให้เจ แต่เจนยุทธปฏิเสธอย่างนิ่มนวล และรีบรุนหลังฆาเบียร์ออกห้องไปเมื่อเขาทำท่าจะแตะต้องมากกว่าใบหู


เจนยุทธนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง เวลาผ่านไปแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงเขาก็เริ่มเบื่อแล้ว เขาลงไปแอบดูฆาเบียร์ทำงานหน่อยดีกว่า นึกได้อย่างนั้นเขาก็ลุกขึ้นแต่งตัว

เจยืนหันซ้ายหันขวาดูตัวเองในกระจก วันนี้เขาใส่กางเกงผ้าเข้ารูปสีดำ เขาเลือกสูททรงสลิมฟิตสีเทาเงินสาบดำ เนื้อผ้ามีลายริ้วน้อยๆ เขาใส่หูกระต่ายสีขาวกลืนกับปกเสื้อแล้วเหน็บผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่กระเป๋าสูท เขาเปิดตู้เสื้อผ้าก็เจอรองเท้าหนังปราด้าสีดำเป็นมัน ซื้อของแพงให้เขาอีกแล้ว มีโน้ตติดอยู่ที่กล่องรองเท้าบอกรหัสตู้เซฟ เขาเปิดตู้และเจอนาฬิกาที่ท่าทางจะแพงระยับ เขาจึงเลือกที่จะไม่ใส่มัน เขาสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้งหนึ่งและจัดแต่งผมตัวเองให้เป็นทรงชี้ๆ ตามสมัย

'แหม เรานี่ก็หล่อไม่เบา' เขาคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง

เจนยุทธลงลิฟท์มายังห้องจัดงาน หน้าห้องมีแบ็คดรอปหรูหราติดโลโก้บริษัทที่ประดับประดาด้วยดอกไม้อย่างอลังการ ประตูห้องนั้นปิดอยู่ เขาได้ยินเสียงลอดออกมาจากในห้องแสดงว่าการแถลงข่าวยังไม่เสร็จ เขาโต๋เต๋อยู่หน้าห้องสักพักก็เจอริคกี้ที่เปิดประตูออกมาพอดี จึงขอให้พาเขาเข้าไปในห้องด้วย ริคกี้ขอให้เขาให้ไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้า แต่เจนยุทธไม่ยอม เขาไม่อยากรบกวนงานสำคัญจึงยืนอยู่หลังห้อง เขากวาดตาสำรวจเหล่าพาร์ทเนอร์ของบริษัทที่นั่งบนเวทีแล้วก็ต้องใจเต้น ฆาเบียร์ไม่ได้บอกเขาว่างานนี้สเกลใหญ่ขนาดนี้ ในฐานะอดีตเด็กการโรงแรม เขารู้จักใบหน้าแทบทุกคนที่อยู่บนนั้น หญิงสาวในชุดหรูหราที่นั่งอยู่ข้างฆาเบียร์นั้นคือทายาทสาวของเครือโรงแรมดัง ชายอาหรับร่างใหญ่ที่นั่งข้างคริสนั้นเป็นประธานของกลุ่มสายการบินยักษ์ใหญ่ แล้วไหนจะคุณว.ฮ. นักธุรกิจต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในเมืองไทยและเป็นเจ้าของอาหารและโรงแรมที่กำลังเติบโตไปทั่วโลก แล้วยังมีอีกหลายคนที่เขาเอ่ยนามออกมาได้ไม่หมด

ฆาเบียร์ที่นั่งอยู่บนเวทีนั้นช่างดูเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานต่างกับภาพลักษณ์ตอนที่อยู่กับเขาโดยสิ้นเชิง มันทำให้เขาสงสัยว่าคนไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริง


ช่วงของการแนะนำบริษัทและสำนักงานใหม่ที่จะก่อตั้งขึ้นและการแสดงวิสัยทัศน์และกิจกรรมต่างๆ บนเวทีจบไปแล้ว ตอนนี้คริสผู้เป็นประธานและซีอีโอของบริษัทแม่ที่สหรัฐฯ กำลังขึ้นกล่าว

"ผมมีความยินดีที่จะแนะนำผู้อำนวยการของสาขาเอเชียแปซิฟิค..."

สิ่งที่คริสพูดต่อไปทำให้เจสะท้านไปทั้งใจ

"เขาคนนี้เป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุด เขาเป็นลูกชายของเพื่อนรักที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับผม พวกคุณอาจจะรู้จักเขาในฐานะของประชาสัมพันธ์และบล็อกเกอร์คนหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วเขาคือลูกบุญธรรมและญาติสนิทเพียงคนเดียวของผม เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และรองประธานบริษัทคนปัจจุบันและกำลังจะก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัทและซีอีโอในอนาคตอันใกล้ ขอต้อนรับทายาทของผม ฆาเบียร์ บาเลนติน มาติเนซ เด ลา โรซ่า!"

เสียงอื้ออึงดังขึ้นทั้งห้อง แสงแฟลชสว่างวูบวาบเมื่อฆาเบียร์เดินยิ้มละไมมาสวมกอดคริส เขาหันกายมาเพื่อกล่าวแนะนำตัว แต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเจนยุทธที่สุดห้องจัดงาน ใบหน้าน้อยๆ นั้นแสดงสีหน้าลำบากใจ จากนั้นถอนหายใจและหันกายเปิดประตูออกจากห้องไป ฆาเบียร์แทบอยากกระโดดลงเวทีและวิ่งตามร่างเพรียวนั้น หากเขามีหน้าที่ต้องกระทำ เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ฉีกยิ้มและกล่าวคำทักทายบรรดาสื่อมวลชน

ก่อนจะผลุนผลันออกห้องมา เจมองดูภาพบนเวทีด้วยความสับสนในใจ เขามองดูฆาเบียร์ที่ดูมั่นใจ สง่างามและภูมิฐานแล้วหันมาดูตัวเอง เขาคือเด็กกะโปโลลูกแม่ค้าที่แต่งตัวเหมือนจะไปงานปาร์ตี้สละโสดของเพื่อน แล้วคนๆ นั้นคืออนาคตซีอีโอของอาณาจักรไอทีมูลค่านับพันล้านเหรียญ ความต่างระหว่างเขาสองคนนั้นมันมากเกินไป เขาที่เป็นแบบนี้ไม่สามารถที่จะสนับสนุนหรือเป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่ฆาเบียร์ได้เลย คงถึงเวลาที่เขาจะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว เมื่อคิดถึงตอนนี้ เจจึงตัดสินใจเดินออกจากห้องนั้นมา เขากลับขึ้นไปบนห้อง ลากกระเป๋าเดินทางใบน้อยของเขาออกมาและเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกกว้าง


------------------------------------------------------


จวนจะจบภาคฮ่องกงแล้วค่ะ น่าจะเหลืออีกตอนนึง ถ้าจบภาคนี้แล้วอาจจะลดสปีดในการอัพลงค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2017 16:21:09 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โธ่ เจจะหนีเสียแล้ว ฆาเบียร์รีบตามให้ทันเลยนะ ไม่งั้นก็ต้องส่งคนมาสกัดไว้ก่อน

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- เปลี่ยนแปลง ----



ฆาเบียร์ปั้นยิ้มฝืนๆ ทักทายและขอบคุณแขกวีไอพีที่เข้ามารุมล้อมแสดงความยินดีกับเขา แม้ท่าทางเขาจะดูสบายๆ แต่ในใจเขากลับร้อนเป็นไฟ เจนยุทธหายไปเกือบชั่วโมงแล้ว ตัวเขาเองที่ติดภารกิจไม่อาจปลีกตัวไปตามหาเจได้ ก่อนมาที่ห้องชุดอันเป็นที่จัดงานค้อกเทลนี้ เขาได้กระซิบให้ริคกี้ตามหาเจให้เขา

"เจอไหม?" เขาถามด้วยภาษากวางตุ้ง

"ไม่เจอเลยครับ ผมดูที่ล็อบบี้แล้วก็ไม่เจอ ไปเคาะประตูห้องแล้วก็โทรเข้าที่ห้องนายก็ไม่มีใครตอบรับ"

ริคกี้ที่หน้าซีดเหงื่อโทรมกายตอบ เขาโทษตัวเองที่พาเจนยุทธเข้าไปในห้องแถลงข่าวนั้น

"หาต่อไป"

ฆาบี้กระซิบหนักๆ พร้อมหันไปยิ้มแย้มทักทายประธานกลุ่มโรงแรมยักษ์ใหญ่ คริสที่ยืนทักทายแขกอยู่ริมสระน้ำที่ระเบียงกว้างแอบมองมายังลูกคนโปรดของเขาอย่างเป็นห่วง เขาเองก็สังเกตเห็นเจนยุทธในห้องจัดเลี้ยงนั้น หลังงานแถลงข่าว คริสอนุญาตให้ฆาเบียร์ไปตามหาเจได้ แต่เจ้าตัวไม่ไปเพราะอยากทำภารกิจของตัวเองให้ลุล่วง


ฆาเบียร์กรอกแชมเปญเข้าปากจนหมดแก้วเพื่อพยายามดับอาการประหม่าและหวาดวิตกที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้น มือของเขาสั่น เหงื่อเย็นๆ ผุดออกจากฝ่ามือและขมับ เขาหยิบแชมเปญอีกแก้วมาจากถาดของบริกรที่เดินผ่าน แต่ก็พลันมีมือมาดึงแก้วนั้นออกไปจากมือเขาและวางคืนบนถาด เขาหันไปเพื่อที่จะอาละวาดใส่คนโอหังนั้น

"เจ..."

เขาครางออกมาแผ่วๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่ทำให้เขากระวนกระวายแทบบ้านั้น

"ยังไม่หายป่วยดี กินเหล้าได้ยังไง"

ตาใสๆ นั้นฉายแววระอา

"หายไปไหนมา!"

เขาแทบอยากจับไอ้ตัวเล็กนี่เขย่าซะให้สมกับที่ห่วง เขาดึงร่างเพรียวนั้นเข้าไปในห้องทำงานแล้วรวบร่างนั้นเข้ากับอ้อมอก แขนเขาโอบกระชับแน่นเหมือนกลัวจะหายไปไหนอีก

"เจ็บ ปล่อยก่อน เดี๋ยวชุดยับ"

คนตัวเล็กกว่าดิ้นขลุกขลัก ฆาเบียร์ไม่ยอมปล่อยเจไปง่ายๆ เขาก้มลงจูบหนักๆ ที่ปากรูปกระจับน้อยๆ นั้น เจปิดปากแน่นไม่ยอมให้ลิ้นร้อนๆ ของเขาผ่านเข้าไปได้จนในที่สุดเขายอมแพ้และปล่อยร่างเพรียวนั้นให้เป็นอิสระ

"ไปไหนมา ฉันเป็นห่วงรู้ไหม?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เจปวดใจ

"ก็ไปเปลี่ยนชุดมา สังเกตมั่งไหมเนี่ย?"

เจนยุทธหมุนตัวให้เขาดู ชุดกึ่งทักซีโดดูเฉี่ยวที่มันใส่เมื่อครู่นี้กลายเป็นชุดสูทผ้าไหมเนี้ยบหรูทรงสุภาพสีเทาเข้มพร้อมเนคไทสีน้ำเงิน ผมที่เซ็ตให้ชี้ตั้งแบบวัยรุ่นถูกหวีจนเรียบแปร้ เจตรงหน้าเขานี้ดูเหมือนนักธุรกิจหนุ่มมากประสบการณ์ไม่มีผิดเพี้ยน

"ไป ออกไปข้างนอกได้แล้ว หายไปนานๆ เดี๋ยวคนเค้าว่าเอา"

เจดันหลังเขาให้ออกไปยังงานเลี้ยงรับรอง


คริสแย้มยิ้มเมื่อเห็นเจนยุทธในชุดใหม่เดินเข้ามาในงาน แว่บหนึ่งเขานึกว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะถอดใจและเดินจากไอ้ลูกชายเขาไปเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นเจในลุคใหม่นั้น เขารู้ได้ว่าเขานั้นคิดผิด เด็กคนนี้ไม่มีทางถอดใจจากลูกของเขา ยิ่งเขาเห็นใบหน้าที่สดใสของฆาเบียร์หลังจากที่ทั้งคู่กลับออกมาจากห้องทำงานน้อยนั้น เขายิ่งมีความสุข

"สวัสดีครับ อาปา"

เจนยุทธยกมือไหว้คริสตามความเคยชิน ช่วงสองสามวันนี้เขายกมือไหว้คริสทุกครั้งที่เจอกัน

"มาได้ซะทีนะเรา" คริสตบไหล่เจนยุทธเบาๆ

"นี่กำลังคิดว่าถ้าหาตัวไม่เจอคงจะไม่ได้นอนกันทั้งบริษัทแน่ๆ"

เจทำหน้าจ๋อย ยกมือไหว้ขอโทษคริสอีกรอบ คริสบอกให้เขาทำตัวตามสบายและไปหานั่นนี่กินซะ เขาหันไปหาฆาเบียร์ก็เจอทางนั้นกำลังติดคุยกับแขกเขาเลยปลีกตัวออกไปเดินดูรอบๆ อย่างสนใจ ห้องเพรสซิเดนเชียล ซูอิทขนาด 600 กว่าตารางเมตรนี้ใหญ่พอที่จะรองรับงานเลี้ยงแบบค้อกเทลที่มีแขกประมาณ 60 คนได้ เสียงเปียโนอย่างเพราะพริ้งจากนักเปียโนมากฝีมือสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้งานอันเลิศหรูนี้ ในห้องชุดมีอาหารประเภทคานาเป้หลากหลายชนิดวางไว้เป็นจุดๆ


เจตาวาวเมื่อเห็นคาเวียร์เบลูก้าแท้จากอิหร่าน เขายืนมองพนักงานเสิร์ฟตัก Crème Fraîche ซึ่งเป็นครีมข้นเนื้อเนียนรสออกเปรี้ยวเล็กน้อยแต่ไม่เปรี้ยวเท่าซาวร์ครีมวางบน Blini หรือแพนเค้กแบบรัสเซียที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 นิ้ว ก่อนที่จะใช้ช้อนเล็กๆ ทำจากเปลือกหอยมุกตักคาเวียร์สีดำเทาราคาแพงดั่งทองนั้นวางไว้บนสุด จากนั้นเสิร์ฟโดยวางแพนเค้กโปะคาร์เวียร์ชิ้นน้อยๆ นั้นบนปากแก้วว้อดกาเย็นเฉียบหนึ่งช็อต เจลิ้มรสของคาเวียร์อย่างดื่มด่ำ มันช่างนุ่มนวลชวนฝันนัก เขากระดกว้อดกาเย็นเจี๊ยบตามลงไป สวรรค์แท้ๆ เจนยุทธมองตลับคาเวียร์ตาละห้อย คำเดียวพอแล้วกันเนาะ เขาตัดใจและเดินไปหาอย่างอื่นกินต่อ

เขาเดินไปดูมุมนั้นมุมนี้ กุ้งค้อกเทลก็น่ากิน หอยนางรมสดหวานก็น่าสนใจ คานาเป้หน้าเนื้อกุ้งมังกรกับซอสอาอิโอลี่ก็เริ่ด ไหนจะแฮมอิเบริโกจากสเปนที่วางทั้งขานั่นอีกล่ะ เจชิมนั่นนิดนี่หน่อยให้พอได้รสชาติแล้วก็พอ เขาจะมาเผลอตัวไม่ได้ เขายังต้องรักษาหน้าให้คนตัวโตนั่นหน่อย เขาหันไปดูฆาเบียร์ที่พูดคุยกับบรรดาวีไอพีทั้งหลายอย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็สะท้อนใจ เขาคงต้องพยายามหน่อยเพื่อที่จะไม่ทำอะไรเปิ่นๆ ให้คนๆ นั้นต้องเสียหน้า


เวลาล่วงเลยเข้ายามดึก เจเดินเลี่ยงออกมาข้างนอกระเบียงกว้าง ที่ด้านนอกนี้บรรดาแขกเหรื่อที่เหลืออยู่ไม่มากออกมายืนชมความงามของอ่าววิคตอเรียยามค่ำคืน มุมหนึ่งของระเบียงจัดเป็นบาร์ค้อกเทล และมีหอคอยแชมเปญสูงสองเมตรตั้งอยู่ข้างๆ เขาเดินไปสั่งมาร์ตินี่มาหนึ่งแก้ว และเดินไปที่สุดระเบียงริมสระน้ำเพื่อชมวิว พอหันกลับมาเขาก็ชนเข้ากับร่างใหญ่หนาร่างหนึ่ง เขาซวนเซเกือบตกสระน้ำโชคดีที่ได้แขนแข็งแรงรวบเอวเขาไว้ได้ทัน

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"

ชายต่างชาติหน้าหวานเหมือนผู้หญิงที่ชนเขาถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศส เขาหน้าแดงรีบขอโทษขอโพยก่อนที่จะดึงตัวออกมาจากวงแขนนั้น ไม่ทันไรเขาก็เกือบทำขายหน้าเสียแล้ว

"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่ช่วย ไม่อย่างนั้นผมคงเปียกทั้งตัวแน่" ถ้าเปียกละก็เสียดายสูทสวยตัวนี้แย่

"ผมชื่อ ฌอง ริเชลิเยอ แล้วคุณคือ?" ชายหนุ่มผู้มั่นใจว่าตัวเองรู้จักทุกคนในงานดี ถามหนุ่มเอเชียหน้าคุ้นๆ ที่เขาไม่รู้จักชื่อคนนี้

"เอ่อ ผมชื่อเจนยุทธ คุณเรียกผมว่าเจก็ได้" เขาส่งมือไปให้อีกฝ่ายจับตามมารยาท แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมปล่อยสักที เขามองหน้าชายต่างชาตินั้นอย่างงงๆ ฌองยิ้มกริ่ม เขานึกออกแล้วว่าคนๆ นี้เป็นใคร เดี๋ยวคงสนุกแน่ๆ


"ปล่อย!"

เสียงของฆาบี้ที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เจสะดุ้ง แขนเขาถูกดึงอย่างแรงจนมือหลุดออกจากการเกาะกุมของชายชาวฝรั่งเศสคนนั้น ฆาเบียร์ดึงร่างเขามาไว้แนบกายอย่างหวงแหน

"นายทำอะไรของนาย ฌอง"

ฆาเบียร์เบาเสียงลง แต่เสียงที่ออกมาจากปากนั้นเหมือนจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายหนึ่ง

"แหมๆๆ จับมือนิดหน่อยก็ไม่ได้เลยนะ ฆาบี้"

เจใจสะท้าน 'ฆาบี้...' ชายฝรั่งเศสคนนี้คงสนิทสนมกับฆาเบียร์มากแน่ๆ ฌองซ่อนยิ้มเมื่อเห็นแววตาหวั่นไหวของเจ เขาจำเจ้าของขาขาวๆ จากคลิปในยูทูปคนนี้ได้แล้ว

"นายไม่ต้องมายุ่งกับเจเลย" ฆาบี้เริ่มเสียงดัง

"หวงอะไรนักหนา เด็กนี่ก็เป็นแค่ของเล่นอีกชิ้นของนายไม่ใช่เหรอ?"

เจหน้าแดงก่ำ ไอ้ฝรั่งหน้าสวยนี่พูดบ้าอะไรวะ

"หุบปากซะ ฌอง เจไม่ใช่แค่ของเล่น"

ฌองเลิกคิ้ว ตาฉายแววซุกซน

"อ๋อ...นายจะบอกว่าเด็กนี่ดีกว่าฉันอย่างนั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่เราคบหากันมานานแท้ๆ"

เขาจงใจพูดเสียงดังขึ้น เขาอยากรู้ว่าฆาเบียร์ที่เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและคู่แข่งของเขาคนนี้จะตอบว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คนที่ถูกพาดพิงนั้นหน้าแดงก่ำ ตาใสๆ นั้นเริ่มขุ่นไปด้วยความไม่พอใจ


"เฮ้ย ไอ้ฌอง พูดอะไรวะ?"

ฆาบี้เผลอทำเสียงดัง เขารีบระล่ำระลักอธิบายกับเจนยุทธ สายตารอบข้างเริ่มจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"ไม่ใช่นะเจ ฉันไม่ได้คบหาอะไรกับมันนะ แค่มีอะไรไม่กี่ที ไม่ได้จริงจังสักนิด"  ยิ่งอธิบายก็ยิ่งแย่ เจสุดที่จะทนฟังไหวแล้ว

"หุบปากซะ อยากให้คนมองทั้งงานใช่ไหม?"

เจกระชากคอเสื้อฆาเบียร์ลงมากระซิบเสียงต่ำๆ ที่ข้างหู น้ำเสียงเย็นเยือกนั้นทำให้ฆาเบียร์ขนลุก

"ผมอุตส่าห์ตั้งใจทำตัวดีๆ เพื่อไม่ให้คุณขายหน้า แต่นี่คุณกลับจะทำให้ตัวเองขายหน้าซะเอง? หัดทำตัวดีๆ บ้าง พวกเราสร้างปัญหามามากพอแล้วนะ ฆาเบียร์ พอได้แล้ว"

เจนยุทธหันไปชี้หน้าหนุ่มฝรั่งเศสหน้างามนั้น

"ส่วนคุณ ผมไม่รู้จักว่าคุณเป็นใคร และผมไม่สนใจว่าคุณเล่นเกมอะไรอยู่ ฉะนั้น back off!"

เขาสะบัดหน้าเดินไปหาคริสที่กวักมือเรียกเขาจากด้านในห้องชุด ทิ้งให้คู่กรณีทั้งสองยืนทำตาปริบๆ มองหน้ากัน

"ไอ้เวรฌอง ทำเรื่องยุ่งจนได้นะ" ฆาเบียร์กำหมัดชกเบาๆ ไปที่อกของคนที่ร่วมวงการที่คบหากันมานานในฐานะเพื่อนและคู่แข่ง พวกเขาเคยมีสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดกันแต่นั่นก็เป็นเรื่องของอดีตเมื่อนานมากแล้ว

"งั้น เด็กนี่ก็คือตัวจริงของนายสินะ?"

ฌองถามเพื่อนที่เขาไม่เคยเห็นว่าจะกังวลและใส่ใจกับใครเท่ากับเจมาก่อน ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ

"งั้นนายไปง้อเจ้าหญิงของนายเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ ก่อนที่จะพูดทิ้งท้ายไว้ให้เพื่อนตัวดีอ้าปากค้าง

"เจนยุทธไม่ใช่เจ้าหญิงหรอก แต่เป็นราชาของฉันต่างหาก"


เจเดินหน้าหงิกเข้ามาในห้องชุด ไอ้คนบ้ากามนั่นทำให้เขาประสาทเสียจริงๆ ตัวเขาเองพยายามทำตัวให้เหมาะสมกับฐานะของฆาเบียร์และคริส จริงอยู่ว่าตอนแรกที่เขาหนีขึ้นห้องไปเขาคิดจะเก็บของกลับไทย แต่เมื่อเข้าห้องและนึกถึงอาการของฆาเบียร์ในช่วงที่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เขาควรอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนคนที่เขาแคร์ ที่หายไปนานๆ ก็เพราะเขาอาบน้ำสระผมเอาเจลที่หัวออกและเปลี่ยนชุดเสียใหม่ เขาถอดเอาชุดที่ดูเด็กน้อยนั้นออกแม้มันจะแสดงถึงความเป็นตัวตนของเขาก็ตามและเปลี่ยนใส่ชุดสุภาพที่เขาค่อนแคะว่าแก่ในตอนแรก เขาเห็นแล้วว่าโลกของเขากับฆาเบียร์ต่างกันแค่ไหน และถ้าเขายังอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนๆ นั้นเขาต้องพัฒนาตัวขึ้นเพื่อที่จะสามารถยืนเคียงข้างฆาเบียร์ได้อย่างสมภาคภูมิ เขาจะมาทำตัวเป็นเด็กลอยชายไปวันๆ ไม่ได้อีก แต่ไอ้คนที่เขาห่วงนักหนานั้นกลับทำตัวบ้าบอเต้นตามเกมคนอื่นไปแบบนั้นเสียเอง มันช่างน่าโมโหนัก

เจนยุทธถอนหายใจแล้วเดินไปหาคริส

"มานี่สิ เจ มีคนอยากรู้จักน่ะ" คริสเรียกเจให้เข้าไปพบกับแขกกลุ่มสุดท้ายที่กำลังจะลากลับซึ่งล้วนมีแต่คนที่สนิทสนมกับคริสกับฆาเบียร์และก็เป็นกลุ่มที่ชมวิวอยู่ข้างนอกตอนที่คนไม่รู้จักคิดโวยวายขึ้นพอดี

'ลุงป้าขาเผือกสินะ'

ฆาเบียร์ที่เดินตามเข้ามายืนมองคนดีของเขาที่เสวนากับบรรดาลุงป้าที่ล้วนเป็นวีไอพีหรือผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการได้อย่างไม่ขัดเขิน แม้ภาษาอังกฤษของเจนยุทธจะไม่ได้ชัดเปรี๊ยะเหมือนเจ้าของภาษาแต่ก็ดีพอที่จะทำให้การสนทนาดำเนินไปได้อย่างลื่นไหล มารยาทที่ร่ำเรียนมาตอนเป็นนักศึกษาวิชาการโรงแรมถูกงัดเอามาใช้อย่างเต็มที่ เจของเขาไม่ได้ทำให้เขาขายหน้าเลยสักนิด เขาสาวเท้าเดินเข้าไปร่วมวง

"อ้าว ฆาเบียร์ มาแล้วเหรอ? มาๆ เรากำลังคุยกันเรื่องหลานพอดี"

เพื่อนคริสซึ่งเป็นผู้บริหารใหญ่ของเครือโรงแรมชื่อดังที่มีสาขาไปทั่วโลกทักเขา ลุงแกเริ่มกรึ่มๆ แล้วเลยช่างจ้อเป็นพิเศษ

"คริสเพิ่งแนะนำลุงให้รู้จัก เอ่อ เพื่อนของหลานใช่ไหม? หน่วยก้านดีนี่"

ฆาเบียร์ยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้ยินคำชมนั้น ส่วนเจทำหน้าระอา

"ไม่ใช่แค่เพื่อนเฉยๆ ครับ..."

เจทำตาโต ไอ้คนตัวโตจะพูดอะไร

"...เพื่อนคนพิเศษต่างหาก"

เจถอนหายใจ...เอาวะ อย่างน้อยไม่ใช่คำที่เขาคิด หากทำไมเขารู้สึกผิดหวังกันนะ


แต่สำหรับลุงๆ ป้าๆ กลุ่มนี้แค่คำว่าเพื่อนคนพิเศษกับท่าทางที่แสดงออกมาตอนอยู่ข้างนอกนั่นก็ทำให้พวกเขาตื่นเต้นกันแล้ว ไหนจะท่าทางของคริสที่มีต่อเจนยุทธอีก รับรองว่าไม่นานเรื่องในคืนนี้ต้องเป็นเรื่องเม้าสุดแซ่บในวงการแน่ๆ ลุงป้าที่ดูถูกอกถูกใจเจมากมายพวกนี้ชวนเขาคุยต่ออีกพักใหญ่ก่อนที่จะลากลับ

"ไปก่อนนะเจ หวังว่าคราวหน้าเราจะได้เจอกันอีกนะ"

ลุงประธานเครือโรงแรมดังชาวฝรั่งเศสจูบแก้มซ้าย ขวาเจตามธรรมเนียมยุโรปก่อนที่จะลากฌองลูกชายตัวดีกลับ หนุ่มฝรั่งเศสหน้างามส่งจูบให้ทั้งเจและฆาเบียร์ก่อนที่จะเดินตามพ่อออกไปอย่างเร็ว คริสและฆาเบียร์ตามลงไปส่งแขกชุดสุดท้ายที่หน้าล็อบบี้เพราะว่าไม่ได้พักที่โรงแรมนี้เหมือนแขกอีกหลายๆ คน


เจลงนั่งบนโซฟา ถอดเสื้อนอกและคลายเนคไทออก วันนี้เขาหมดพลังจริงๆ แต่ประสบการณ์ที่เขาได้รับจากวันนี้นั้นหาค่าไม่ได้ เขาเคยเรียนรู้วิธีการเข้าสังคมจากตอนเรียนแต่ไม่เคยนึกว่าจะได้นำเอามาใช้จริง เขาหลับตาพิงกายกับพนักโซฟาจนได้ยินเสียงประตูเปิดออก ฆาเบียร์พุ่งร่างมานอนแทบตักของเขาและกอดเอวไว้แน่น

"โอย เหนื่อยจริงๆ ขอชาร์จแบตหน่อยนะ"

เขานอนนิ่งพักหนึ่งก่อนที่จะยันกายขึ้นกอดร่างบางนั้นเอาไว้แนบอก

"ชื่นใจ"

เขาหอมแก้มนวลเนียนนั้นฟอดใหญ่ แล้วซุกหน้าลงไปที่ซอกคอขาวๆ

"อาปาล่ะ?" เจถามถึงคริส

"กลับไปแล้ว อาปาชอบกลับไปนอนบ้านมากกว่า คืนนี้ห้องนี้เป็นของเรา"

ฆาเบียร์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขานึกไปถึงว่าคืนนี้เขาจะจับเจจัดการตรงส่วนนั้นส่วนนี้หรือส่วนไหนของห้องดี ฆาเบียร์ลุกไปเอาอาหารที่พนักงานกำลังเริ่มเก็บใส่จานมาจำนวนหนึ่ง เขารู้ว่าคนตัวเล็กมันยังไม่อิ่มหรอก เขาคว้าถังน้ำแข็งที่มีแชมเปญเย็นเจี๊ยบแช่อยู่เข้ามาด้วยพร้อมแก้วอีกสองใบ เขารินแชมเปญส่งให้เจซึ่งทำตาละห้อยมองคาเวียร์ที่เหลืออีกเกือบเต็มตลับแบนๆ นั้น เจใช้ช้อนเปลือกหอยตักคาเวียร์โปะบนบลินี่ที่ถูกทอดไว้ให้จำนวนหนึ่ง ถึงไม่มีแครม แฟรชกับวอดก้า แชมเปญกับคาร์เวียร์ก็ถือว่าไม่เลวนัก

ฆาเบียร์ยกแก้วแชมเปญขึ้นชนเบาๆ กับเจนยุทธ

"เหมือนคืนแต่งงานเลยเนาะ"

คนตัวโตเปรยออกมา เจหน้าแดง ฆาบี้พูดอะไรเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว

"ก็ห้องนี้น่ะ เป็นห้องจัดงานแต่งของโรงแรมด้วยนะรับแขกได้ 50 คน ที่จริงโรงแรมนี้ถือว่าดังมากในฮ่องกงสำหรับการแต่งงาน"

เจมองไปรอบๆ เขาไม่สงสัยหรอก สถานที่มันดูโรแมนติกซะขนาดนั้น ไหนจะวิวงามๆ ของอ่าววิคตอเรียอีก

"ตอนนี้เราก็คงทำเหมือนคู่แต่งงานหลายๆ คู่ที่เคยใช้ห้องนี้ หลังส่งแขกหมดแล้ว ก็ลงมานั่งพักให้หายเหนื่อยและจิบแชมเปญกัน แล้วหลังจากนั้นก็..."

คนตัวโตทำหน้ากรุ้มกริ่มแล้วพยายามดันกายเขาลงนอนบนโซฟา เจยันอกกว้างนั่นไว้ พนักงานโรงแรมยังเก็บของกันเต็มห้อง อิเมียหื่นของเขาก็ยังอุตส่าห์จะมีอารมณ์


"ฆาเบียร์ เราต้องคุยกันหน่อย"

เจนยุทธลุกขึ้นนั่งและทำเสียงเป็นการเป็นงาน คนตัวโตหน้าเสีย ทำไมถึงต้องทำเข้มขนาดนั้นด้วย

"เรื่องของเรา มันจะเป็นยังไงต่อไป?"

เจถามคำถามซึ่งเขาเองก็ยังไม่มีคำตอบให้

"บอกตรงๆ นะ ตอนที่ผมเดินออกห้องประชุมนั่น ผมเกือบจะถอดใจหนีกลับบ้านแล้ว"

ฆาเบียร์หลับตาลง นึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เจเปลี่ยนใจ

"คุณที่เจิดจ้าอยู่บนเวที พวกแขกวีไอพีที่ล้อมรอบคุณ ไหนจะเรื่องการประกาศทายาทของอาปาอีก...เรามันอยู่คนละชั้นกันเลยนะ ฆาเบียร์"

เจถอนหายใจ กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

"อีกอย่าง ผมไม่รู้ว่าฆาเบียร์คนที่เฉิดฉายอยู่ที่ฮ่องกงนี้ หรือฆาเบียร์ที่กอดผมตอนอยู่เมืองไทยที่เป็นตัวจริงของคุณ"

ฆาเบียร์ขยับปากกำลังจะพูด แต่เจนยุทธยกมือห้ามไว้

"ฟังก่อน...แต่พอผมกลับเข้าไปในห้อง เห็นเตียง ผมก็อดนึกถึงสภาพของคุณที่ผมเห็นในวันแรกที่มาถึงฮ่องกงไม่ได้..."

น้ำตาเม็ดน้อยๆ หยาดหยดจากตากลมใสนั้น

"ผมถึงรู้ว่าผมทำใจออกห่างจากคุณไม่ได้ ผมไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก"


ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องรวบร่างนั้นเข้าแนบอก เขาบรรจงจูบทั่วทั้งใบหน้าน้อยๆ นั้น

"โอ เจ สิ่งหนึ่งที่ฉันคนที่อยู่ที่ฮ่องกงกับฉันที่อยู่ที่ไทยมีเหมือนกันคือ ทั้งคู่ต่างอยู่โดยขาดเจไปไม่ได้"

สิ่งที่เขาพูดนั้นจริงแท้แน่นอน ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะไหน หัวใจของเขานั้นมีอยู่เพียงดวงเดียวและมันวางอยู่แทบเท้าของเจ้ากระรอกปลอมตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ เจพยักหน้ารับคำ

"ผมเข้าใจ ผมถึงยังไม่หนีกลับ แต่เมื่อผมตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ ผมก็ต้องพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน

"ต่างสิ ที่เมืองไทย คุณจะเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ คุณเป็นแค่ฝรั่งบ้าๆ บอๆ หื่นกามคนนึง"

เจหยิกไปที่หน้าขาฆาเบียร์อย่างหมั่นไส้

"ผมเองก็จะทำอะไร เป็นอะไรก็ได้ เพราะมันอยู่ที่บ้านผม ผมก็เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่"

"แต่ตอนนี้ ที่นี่ เมื่อคุณเข้ารับตำแหน่งใหญ่ ความรับผิดชอบก็ต้องใหญ่ตามมา ด้วยหน้าที่การงานของคุณเด็กกะโปโลอย่างผมจะมีที่ยืนตรงไหน? ถ้าผมคิดจะอยู่ในชีวิตของคุณ ในชีวิตของอาปา ผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะมาทำตัวแบบตอนอยู่เชียงใหม่ไม่ได้"

เจนึกถึงสภาพตัวเองตอนเข้าไปในห้องแถลงข่าวอย่างอดสูใจ ใจฆาเบียร์อยากบอกเจนยุทธใจแทบขาดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรแค่เป็นตัวเองก็พอ แต่เขารู้ว่าความคิดโรแมนติกแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง เจนยุทธพูดถูกทุกประการ

"ผมอยากให้คุณสอนผม สอนทุกอย่าง เรื่องมารยาท การเข้าสังคม การแต่งตัว การปฏิบัติตัวในสถานการณ์ต่างๆ คุณจะทำได้ไหม?" ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ

"จริงอยู่ว่าผมเคยบอกว่าสถานะระหว่างเรายังคลุมเครือ แต่ตราบใดที่ผมยังอยู่ข้างกายคุณ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร ผมอยากยืนเคียงข้างคุณได้อย่างสมภาคภูมิ มันอาจจะทำไม่ได้ทันที แต่ผมจะพยายาม ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อคุณ"

ฆาเบียร์มองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างซึ้งใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจนยุทธจะคิดเพื่อเขาถึงขนาดนี้ เขารับปากว่าจะทำเช่นนั้น


"ทีนี้ มาถึงปัญหาใหญ่..."

เจถอนหายใจเมื่อนึกถึงปัญหาโลกแตกนี้

"เราต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีิวิตเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขารู้แล้วว่าเจจะพูดอะไรต่อไป

"ชีวิตหนึ่งเดือนของเราที่เชียงใหม่ มันไม่ใช่สถานการณ์จริงที่เราจะได้เจอ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เจนยุทธพูดตรงประเด็นไปหมด สิ่งถัดไปที่เจพูดคือสิ่งที่เขากังวลอยู่

"ตอนนี้เมื่อคุณต้องมารับตำแหน่งที่ฮ่องกงแล้ว คุณจะมาใช้เวลาลอยชายที่เชียงใหม่ไม่ได้ โอเค มันยังดีที่คุณอยู่แค่ฮ่องกง บินไปมาหาสู่กันได้แต่คุณก็ไม่สามารถบินกลับมานอนเชียงใหม่ได้ทุกคืน..."

"แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้อาการนั้นของคุณ"


เจนยุทธนึกถึงสภาพฆาเบียร์ในวันแรกที่มาถึงฮ่องกงแล้วก็หนักใจ

"ฉันก็ยังคิดไม่ตกเลยเจ แค่เมื่อกี้ตอนเจหายไปหลังแถลงข่าวเสร็จฉันยังแทบบ้าเลย มือฉันสั่นไปหมด หน้ามืดตาลาย หายใจลำบาก"

ฆาเบียร์บรรยายอาการตัวเองเกินจริงเพื่อให้เจเห็นใจ

"ผมอยากให้คุณปรึกษาหมอเป็นประจำ หายาอะไรกินซะเพื่อบรรเทาอาการ..."

เมื่อผ่านการพูดคุยกันแล้วพวกเขาสรุปกันว่าพวกเขาจะติดต่อหากันทุกวัน ไม่ทางสื่อใดก็สื่อหนึ่ง และถ้าฆาเบียร์เริ่มมีอาการก็ให้โทรหาเจนยุทธในทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นหนัก ถ้าอาการหนักขึ้นมา เจก็พร้อมที่จะเดินทางมาหาที่ฮ่องกง ฆาเบียร์จะพยายามหาเวลาว่างกลับไปที่เชียงใหม่อย่างน้อย 3 ครั้งต่อ 2 เดือน ระยะเวลาแล้วแต่เวลาว่างจะอำนวย

"ให้ฉันไปหาเจที่บ้านดีกว่า ไม่ต้องมาฮ่องกงหรอก ฉันอยากกินข้าวฝีมือแม่ฟองด้วย"

สำหรับฆาเบียร์แล้ว บรรยากาศสบายๆ ของเชียงใหม่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาเขาได้ด้วย


"จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคือที่พักใจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นยังไง ขอให้คุณคิดถึงผม คิดว่ายังมีผมรอคอยคุณอยู่เสมอ"

เจจุมพิตเบาๆ ที่ปากบางนั้นซึ่งจูบเขาตอบอย่างอ่อนหวาน


"ทีนี้ มาคุยเรื่องเงินเรื่องทองกัน"

เจทำหน้าเครียด พลอยทำให้ฆาเบียร์เครียดไปด้วย เขาพูดกระเซ้าเจเรื่องพวกเขาเหมือนคู่แต่งงาน นี่ก็ชักเหมือนเข้าจริงๆ แล้ว เหมือนคู่แต่งงานที่เตรียมเซ็นสัญญาก่อนแต่ง

"ผมรู้ว่าคุณมีเงิน แต่ผมไม่อยากให้ใครครหาว่ามาเกาะคุณกิน"

ฆาเบียร์โอดครวญว่าไม่มีใครคิดหรอก

"ค่าใช้จ่ายที่เชียงใหม่ เราทำเหมือนเดิม หารกัน อยู่ที่เชียงใหม่ขอให้คุณทำตัวเหมือนฆาบี้คนเดิม ไม่มีใครมานั่งสนใจหรอกว่าคุณเป็นผู้บริหารบริษัทดังนั่นนี่"

เจนยุทธพูดถูก เชียงใหม่มีเศรษฐีต่างชาติที่ใช้ชีวิตสมถะติดดินและสบายๆ อยู่จำนวนมากเพราะความชิลของเมืองนี้

"ที่ฮ่องกง ค่าใช้จ่ายอะไรที่เกี่ยวกับงาน เช่น ถ้าคุณเกิดจะต้องลากผมไปงานอะไรด้วยแล้วต้องหาเสื้อผ้าใส่ คุณก็จัดมาให้ผมซะ เลือกที่เหมาะสมให้เลย แต่ผมจะไม่ขนกลับเชียงใหม่ เอาทิ้งไว้ที่ออฟฟิศคุณที่่ฮ่องกงเผื่อใช้คราวถัดไป พวกตั๋วเครื่องบิน อะไรงี้ด้วย แต่เสื้อผ้าส่วนตัวที่ผมมาช้อป ผมจะจ่ายเอง รวมถึงทั้งถ้าผมเป็นฝ่ายเดินทางมาหาคุณ ค่าโรงแรมค่ากินอยู่อะไรผมจะออกเอง"


"แล้วนี่ร้องไห้ทำไม?"

คนตัวโตข้างหน้าเขาน้ำตาไหลพราก ฆาเบียร์รู้ตัวมาตลอดว่าผ่านมาเขาเป็นฝ่ายใช้เงินซื้อน้ำใจคนอื่น คนที่เข้าหาเขาส่วนมากล้วนมาเพราะติดใจความสุขสบายของชีวิตสุดหรูและสิ่งของที่เขาปรนเปรอให้ ในวันนี้เขาตื้นตันนักที่รู้ว่าเจต่างไปจากคนพวกนั้น เขาพูดความคิดในหัวเขาให้เจฟัง ซึ่งเจ้าตัวยิ้มกริ่ม

"ใครว่าผมไม่ติดใจความสบาย..." เจพูดยิ้มๆ

"ผมนะโคตรติดใจมูซานกับดีบี 11 เลย แล้วผมจะกลับไปขี่ควายอย่างน้องอัซซูรี่ได้ยังไงล่ะเนี่ย"

ฆาเบียร์ต้องหัวเราะออกมากับท่าทีจริงจังของเจ้าตัวน้อย เจนยุทธนอนซบลงไปกับตักแข็งแรงของฆาบี้ ความเปลี่ยนแปลงกำลังจะเข้ามาเยือนพวกเขาทั้งสองคน แต่พวกเขาก็พร้อมจูงมือกันเดินฝ่าคลื่นความเปลี่ยนแปลงนั้น เขาไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เขารู้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันปล่อยมือกันและกันโดยเด็ดขาด


---------------------------------------------------------



เริ่มเข้าสู่โลกความเป็นจริงกันแล้วค่าาา แต่อย่ากลัวไป เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายดราม่า อีกตอนนึงก็จะจบภาคฮ่องกง อาจจะมีเรื่องคริสสักตอน ต่อจากนั้นก็จะเป็นเรื่องสองหนุ่มจูงมือกันไปเที่ยวๆ กินๆ ที่นั่นที่นี่ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2017 15:31:58 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดีจังที่เจเลือกจะไม่หนี
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


​****​(ตอนนี้จัดหนักจัดเต็ม ฟินระเบิดระเบ้อแน่นอน เด็กและเยาวชนโปรดข้ามไปอ่านช่วงล่างๆ นะคะ)

​https://www.youtube.com/watch?v=QuszG0YnbYk

ลืมลงคลิปที่มีคนรีวิวห้อง Presidential Suite ของโรงแรมอินเตอร์คอนติเน็นทอลฮ่องกง เอาไว้ดูเพื่ออ้างอิงค่ะ




---- กลับบ้าน ----




ฆาบี้กระเดือกน้ำลายฝืดๆ ลงคอ เมื่อเจนยุทธที่นอนหงายหนุนตักเขาพลิกตัวนอนคว่ำ จริงอยู่ว่ากางเกงผ้าไหมสีเทาเข้มที่เจใส่นั้นเป็นทรงปล่อย แต่ช่วงสะโพกนั้นค่อนข้างพอดี แล้วเมื่อนอนคว่ำแบบนี้ก้นงอนๆ แบบคนออกกำลังกายเป็นประจำก็คับแน่นอยู่ในกางเกงนั้น เขาเขย่าปลุกคนที่ทำท่าจะนอนหลับไปบนตักของเขาให้ลุกขึ้น เจงัวเงียลุกขึ้นนั่ง กระดุมเสื้อเชิร์ตขาวแบบสุภาพที่เจใส่อยู่นั้นหลุดลงจนแทบจะเห็นเม็ดทับทิมสีระเรื่ออยู่รำไร ภาพเจในชุดเป็นทางการทำให้ฆาเบียร์เกิดความคิดวิตถารเล็กๆ อยู่ในใจ เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อคนตัวโตจับเขาขึ้นพาดบ่าเข้าไปที่ห้องทำงานเล็กที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่น ฆาเบียร์จับเขานั่งบนโต๊ะทำงาน ส่วนตัวเองนั่งบนเก้าอี้

"เจจ๋า..." ฆาเบียร์เรียกเสียงอ่อนหวาน

"เรียกฉันว่า เฆเฟ่ หน่อยสิ"

เจหน้าแดงก่ำ คนลามกนี่คิดจะเล่นโรลเพลย์อย่างนั้นเหรอ? ถ้าอยากเล่นเขาก็จะสนองให้

"เฆเฟ่ครับ" 'นายครับ'

เจนยุทธเรียกด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ พลางลงจากโต๊ะไปนั่งตักและใช้แขนโอบรอบคอฆาเบียร์ซึ่งนั่งตัวเกร็ง เจซ่อนยิ้ม เรื่องมารยานี่เขาถนัดนัก

"เจ้านายดูเครียดๆ นะครับ เดี๋ยวให้ผมช่วยนวดให้ไหม?"

เจกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูฆาเบียร์ซึ่งพยักหน้าระรัว เจลุกขึ้นเดินนวยนาดไปด้านหลังของฆาเบียร์ มือเขาค่อยๆ ไล้ตามหลังคอไปตามไหล่แล้วลงมือบีบนวดคลึงไหล่ให้ ฆาเบียร์สูดปาก เจนวดเก่งจริงๆ เขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้ว เจบีบนวดคลึงไหล่ให้ซักพักก็เริ่มใช้ริมฝีปากขบดูดไปตามลำคอ มือเรียวไล้ผ่านไหล่ลงมาแล้วเลื้อยหายเข้าไปใต้เสื้อนอกและเสื้อเชิร์ต นิ้วของเขาเขี่ยดุนไล้ตุ่มไตที่แข็งชูชัน ฆาเบียร์หันหน้าไปจูบริมฝีปากของคนที่กำลังรุกเร้าเขา เขาอัดอั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว


เจนยุทธเปลี่ยนมานั่งคร่อมตักของฆาบี้ เขาถูไถส่วนล่างไปกับหน้าขาของฆาเบียร์ เขารู้สึกถึงความใหญ่โตของสิ่งที่แข็งขืนขึ้น เจร่อนสะโพกบดขยี้ความแข็งแกร่งนั้น

"นายครับ...อย่าจ้องสิ ผมอาย"

เจกระซิบเสียงกระเส่าที่หูของฆาเบียร์ เขารูดเน็คไทของเขาออกมาและใช้มันผูกปิดตาของฆาเบียร์ไว้ ถึงตอนนี้ฆาบี้แทบคลั่งตายแล้ว เซ็กส์ในห้องทำงานเป็นหนึ่งในแฟนตาซีของเขาแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำ เพราะต่อให้เขาเป็นเพลย์บอยแค่ไหนเขาก็ไม่เคยยุ่งกับพนักงานของตัวเอง และยิ่งไม่เคยพาใครมาที่ออฟฟิศ


ในความมืดมิด เขารู้สึกถึงนิ้วของเจที่ค่อยๆ รูดซิปปลดปล่อยความเป็นชายของเขาออกมา เขารู้สึกถึงมืออุ่นๆ ที่กอบกุมมันแล้วก็ต้องครางออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อมีสัมผัสเปียกชื้นไล้เลียไปตามสิ่งสงวนของเขา ถึงเขาจะคุ้นเคยกับลิ้นและปากของเจดี แต่การที่มองไม่เห็นนั้นเร้าอารมณ์เขาถึงขีดสุด ส่วนนั้นของเขาเหมือนจะไวต่อสัมผัสขึ้น แท่งลำของเขาถูกดูดกลืนเข้าไปในความอุ่นชื้นโดยมีสัมผัสจากลิ้นร้อนๆ เข้าโจมตีส่วนปลาย เขาพลันรู้สึกถึงการรุกรานช่องทางด้านหลัง เขาดึงเนคไทที่ปิดตาออก ภาพที่เห็นด้านหน้านั้นทำให้เขาเลือดกำเดาแทบไหล เจนยุทธนั่งคุกเข่าอยู่ใต้โต๊ะโดยมีแกนกายของเขาอัดแน่นอยู่ในปาก นิ้วของเจไล้นวดอยู่รอบทางแคบเล็กของเขา เสื้อเชิร์ตของเจนั้นรุ่ยราย กางเกงของเขารูดลงไปจนเห็นบั้นท้ายงอน เจคงปรนเปรอตัวเองไปพร้อมๆ กับที่ปรนเปรอให้เขา และที่ทำให้เขาแทบคลั่งคือแววตาเอียงอายที่ช้อนมองเขาเหมือนคนที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้

"นายครับ...ผมบอกให้ปิดตาไง"


เสียงแผ่วเบานั้นทำให้เขาอดใจไม่ไหว เขาอยากจัดการเจบนโต๊ะเสียตอนนี้เลย เขาดึงร่างบางนั้นขึ้นมาจูบอย่างรุนแรง คืนนี้เขาจะจัดหนัก 'ผัว' คนนี้ซะให้เข็ด ฆาเบียร์ลืมไปว่าเจเองก็ไม่ใช่หมูในอวย เผลอแผล็บเดียว ข้อมือทั้งสองของเขาก็ถูกเนคไทผูกรวบเข้าด้วยกัน เจผลักคนตัวโตให้กลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานเหมือนเดิม เขาขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานแล้วสลัดกางเกงออกอวดเรียวขาขาวเนียน เขายกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างยั่วยวน จากนั้นเอนกายลงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโต๊ะ แยกขาน้อยๆ เขาสัมผัสลูบไล้ร่างกายตนเองพร้อมส่งสายตาเชื้อเชิญให้ฆาเบียร์ซึ่งแทบคลั่งตาย เขาพยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่เจนยุทธใช้เท้าขาวนวลแตะยันที่อกเขาไว้ ถ้าเป็นคนไทยด้วยกันเจคงไม่กล้าทำแบบนี้แต่ฆาเบียร์เป็นฝรั่งเขาคงไม่ถือ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฆาเบียร์ใช้ปากจูบไล้ข้อเท้าเรียวนั้นขึ้นไปตามแนวขา เจนยุทธเปลี่ยนใจ เขาลงจากโต๊ะและบอกให้ฆาเบียร์รอ จากนั้นเดินท่อนล่างเปลือยเปล่าออกไปในห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้ไม่มีใครอื่นแล้ว เจกลับเข้าห้องมาโดยถือจานอาหารและแชมเปญเข้ามาด้วย


"นายครับ..."

ไอ้กระรอกน้อยของเขายังไม่ยอมหลุดแคแร็คเตอร์ มันทำให้เขาร้อนรุ่มไปทั้งตัว

"รับหอยนางรมหน่อยไหมครับ?"

เจส่งหอยนางรมสดให้เขา แต่ด้วยมือที่ถูกมัดไว้ทำให้เขากินลำบาก เจหัวเราะเบาๆ แล้วใช้ปากน้อยๆ นั้นดูดเอาเนื้อหอยจากเปลือกเข้าไป จากนั้นปากน้อยๆ นั้นก็ประกบกับปากของเขา ปลายลิ้นของเจนยุทธนำส่งเนื้อหอยที่นุ่มหยุ่นนั้นเข้าปากเขา ลิ้นร้อนๆ นั้นพัวพันกับลิ้นของเขาอย่างอ้อยอิ่ง เขี่ยดุนเนื้อหอยหยุ่นๆ นั้นให้สัมผัสไปทั่วโพรงปากเขา ฆาเบียร์เสียวซ่านไปทั้งตัว รสเค็มปร่าๆ ของน้ำทะเล รสหวานน้อยๆ​ และความมันจากหอยนางรมเพิ่มรสชาติให้จูบของพวกเขา เจถอนริมฝีปากออกปล่อยให้เขาเคี้ยวและกลืนหอยนางรมแสนอร่อยตัวนั้นลงไป

"อร่อยไหมครับ นาย"

เจ้าตัวดีพูดยิ้มๆ เขาชอบอาหารพอๆ กับที่ชอบเซ็กส์กับฆาเบียร์ ฉะนั้นทำไมถึงไม่รวมสองอย่างนี้เข้าด้วยกันเสียล่ะ เขาป้อนแชมเปญจากแก้วให้ฆาบี้ล้างปาก แล้วก้มลงไปจูบเพื่อรับรสแชมเปญนั้น


เจนยุทธจูบซุกไซร้ตามลำคอ ไล่เรื่อยลงมาตามแผงอกกว้าง เจถอดเสื้อนอกของฆาเบียร์ออกโยนทิ้งไป และกระชากกระดุมเสื้อเชิร์ตขาวนั้นจนเห็นแผงอกกว้างและกล้ามเนื้อท้องที่งดงาม เขาลูบไล้มันอย่างหลงไหล ริมฝีปากและลิ้นร้อนๆ เขาลากเลื้อยลงต่ำมาเรื่อยๆ เขาดึงกางเกงผ้าเนื้อดีของฆาเบียร์ออกจากเรียวขาแข็งแรง เจนยุทธจุมพิตแกนกายที่โป่งพองที่เขาเก็บกลับไปในกางเกงในก่อนหน้านีพร้อมงับเบาๆ จนรู้สึกถึงน้ำที่เยิ้มออกมา เขาปลดปล่อยแท่งลำนั้นออกมาอีกครั้งพร้อมหยิบบางสิ่งออกมา

ฆาเบียร์ตาวาวเมื่อเห็นถุงยางของเขาที่เก็บไว้ในกระเป๋าของใช้ในห้องน้ำ เจหยิบมันกับเจลหล่อลื่นติดมือมาด้วยตอนออกไปเอาอาหารเมื่อครู่นี้ เจนยุทธค่อยๆ รูดสวมมันให้กับลำกายของฆาเบียร์ผู้ซึ่งตอนนี้ใจเต้นแทบหลุดออกจากอกแล้ว ในที่สุดเจน้อยของเขาก็ใจอ่อนแล้วสินะ เขาฝันหวานถึงช่องทางสีชมพูที่เขาปรารถนามาเนิ่นนาน

เจนยุทธดึงฆาบี้ให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเก็บข้าวของบนโต๊ะออกไปให้พ้นทาง



"เจจ๋า...แก้มัดให้ก่อนสิ ฉันจะได้กอดเจถนัดๆ"

ฆาเบียร์โอดครวญแล้วยกมือที่ถูกมัดไว้ให้ดู เจ้าตัวดีหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร ฆาเบียร์ร้อนใจ เขาอยากลิ้มลองความหวานของเจเต็มแก่แล้ว เขาพยายามใช้ตัวดันเจนยุทธให้เอนลงกับโต๊ะ เจมุดตัวเข้ามาในวงแขนที่ถูกมัดของเขาแล้วใช้มือโน้มคอของลงมาหาเพื่อกระซิบเบาๆ

"Jefe, you've been very very naughty"

'นายครับ คุณนี่ซุกซนจริงๆ เลย'


ก่อนที่ฆาเบียร์จะทันรู้ตัว เจก็มุดตัวออกจากวงแขนของเขาไปยืนประกบอยู่ด้านหลังและเตะข้อเท้าเขาเบาๆ ให้ขาเขาอ้าออกแล้วกดตัวเขาลงแนบกับโต๊ะ เจซ่อนยิ้ม เขาซึ่งเคยเรียนไอกิโดมานิดหน่อยรู้ว่าต้องใช้แรงแบบไหนถึงจะจัดการคนตัวใหญ่กว่าได้

"เด็กไม่ดีต้องถูกทำโทษ"

เสียงใสๆ ที่มีแววยั่วเย้านั้นหัวเราะอยู่ที่ข้างหูฆาเบียร์ มือร้อนๆ ของเจนวดคลึงที่ฐานของแท่งลำร้อนเขาที่ยังพองตัวคับถุงยาง ส่วนมืออีกข้างของเจฟาดลงไปเบาๆ ที่แก้มก้นงอนของฆาเบียร์ซึ่งสะดุ้งเบาๆ ต่อให้ฟาดเบาๆ แต่ก็ยังเป็นแรงและฝ่ามือผู้ชายที่ฟาดลงมา แต่สำหรับฆาเบียร์ความเจ็บนั้นไม่มากเท่ากับความรู้สึกตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านในใจ เขาเดาไม่ถูกเลยว่าเจจะทำอะไรต่อไป เจสั่งฆาเบียร์ให้ใช้มือที่ถูกมัดเกาะกุมแก่นกายของตัวเองไว้ ซึ่งฆาเบียร์ทำตามอย่างว่าง่าย เจทรุดตัวลงเลียไล้ถุงเนื้อและช่องทางด้านหลังของฆาเบียร์ เขาจูบต้นขาด้านในที่เป็นเนื้ออ่อนๆ และดูดหนักๆ จนเป็นรอยแดง ฆาเบียร์ครางออกมาอย่างสุดกลั้น มือเขาเร่งรูดเร้า

"อย่าพึ่งรีบครับ เจ้านาย รอผมก่อน"

เจผู้สวมบทเลขาหนุ่มดึงมือฆาเบียร์ออกแล้วคลายปมเนคไทที่มัดไว้ เขาจับมือทั้งสองของคนตัวโตมามัดไพล่ไว้ข้างหลังแทน เขาโน้มกายไปกัดเบาๆ และดูดดึงเนื้อที่ลำคอหนานั้น ฆาเบียร์กายสั่นสะท้าน มือของเจขยำขยี้เนื้อหนาที่บั้นท้ายของฆาเบียร์ สัมผัสที่รุนแรงของเจวันนี้ทำให้เขาตื่นเต้น เจจูบแรงๆ ทิ้งรอยไล่มาตามแผ่นหลังหนา แท่งลำร้อนของเขาถูคลึงอยู่กับหว่างขาและแท่งลำของฆาเบียร์เหมือนที่ทำเมื่อสองคืนก่อน เขาฟาดแก้มก้นแน่นๆ นั้นอีกซึ่งทำให้ฆาเบียร์ส่งเสียงครางอย่างน่าอายออกมา

"อ๊ะ เจ..."


จนถึงตอนนี้ฆาเบียร์ทนไม่ไหวแล้ว เจนยุทธช่างยั่วเย้าเขาเหลือเกิน เจสัมผัสทุกส่วนที่เป็นจุดเสียวของเขาทั้งตุ่มไตบนอกแกร่ง ใบหู หลัง คอ แต่ไม่ยอมสัมผัสแท่งร้อนของฆาเบียร์เลย เจเอาแต่นวดคลึงบริเวณฐานและรอบๆ ช่องทางด้านหลังของเขา มือที่ถูกมัดทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยให้ตัวเองได้

"เจจ๋า เข้ามาซักทีเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว"

ฆาเบียร์สุดกลั้นแล้วจนต้องอ้อนวอนออกมา​ คนเจ้าเล่ห์หัวเราะกระหึ่ม เขาใช้เจลชะโลมส่วนสงวนของตัวที่แทบจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันและค่อยๆ แทรกเข้าช่องกายฉ่ำเยิ้มที่เริ่มคุ้นชินกับแกนกายของเขา ฆาเบียร์ดันสะโพกไปข้างหลังอย่างลืมตัว เขาอยากได้สิ่งนั้นเร็วๆ จนลืมอายแล้ว เจนยุทธจับเอวคอดเป็นตัววีของฆาเบียร์ไว้แล้วป้อนความสุขให้ร่างกำยำที่ครางกระเส่าออกมาลั่นห้อง เขากระซิบคำลามกที่ปกติไม่ค่อยได้พูดออกมาที่หูของฆาเบียร์ซึ่งเหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟให้ ฆาเบียร์ร่อนสะโพกรับการกระแทกกระทั้นของเจ ไอ้กระรอกปลอมตัวนี้มันร้ายจริงๆ เจเล่นงานเขาจนอยู่หมัดแท้ๆ เขาครางกระหึ่มเมื่อแก่นกายของเจสัมผัสจุดเสียวเขาเต็มๆ เจนยุทธเม้มปากแน่น ช่องทางแคบของฆาเบียร์กระตุกถี่จนเขาจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาปล่อยมือทั้งสองของฆาเบียร์ให้เป็นอิสระ ฆาเบียร์ยันกายขึ้นจากโต๊ะ เอี้ยวคอมาแล้วใช้มือโน้มคอเจเข้าไปบดจูบปากอย่างรุนแรง อีกมือหนึ่งของเขาเร่งเร้าแก่นกายตัวเอง

"โอ ฆาบี้ เยี่ยมมาก"

เจครางอย่างลืมตัวเมื่อช่องทางแคบนั้นตอดลำกายเขาถี่ เขาปล่อยน้ำรักออกมาเต็มช่องทางนั้นพร้อมๆ กับที่ฆาเบียร์สะดุ้งกายเฮือกแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะอย่างหมดแรง เขารู้แล้วว่าเจให้เขาใส่ถุงยางทำไม...ก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องปลดปล่อยออกมาเต็มโต๊ะของทางโรงแรมนี่เอง เขาแอบเจ็บใจที่เสียรู้ไอ้เด็กคนนี้อีกแล้ว


ทุกอย่างในคืนนั้นก็เป็นตามแผนของฆาเบียร์ เขาทั้งคู่ใช้พื้นที่ในห้องชุดกว้างนั้นอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นบนโซฟา โต๊ะประชุม เตียงนอน และสระว่ายน้ำบนระเบียงกว้างที่เห็นวิวของอ่าววิคตอเรีย จะมีผิดแผนก็ตรงที่ฆาเบียร์นั้นเป็นฝ่ายโดนเจนยุทธจัดการเสียเอง

เจนยุทธนั่งเอนกายอย่างหมดแรงพิงซบแผงอกกว้างของฆาเบียร์ในอ่างจากุซซี่ของห้องน้ำที่มีผนังกระจกบานใหญ่เปิดให้เห็นแสงไฟระยิบระยับของฮ่องกง ฆาเบียร์กอดคนเจ้าเล่ห์ของเขาไว้ในอ้อมอก เขาจูบหนักๆ ที่แก้มป่องๆ ของเจอย่างมันเขี้ยว ไม่เคยมีใครทำให้เขาร้องครวญครางจนแทบไม่เสียงแบบที่เจทำ นอกจากเรื่องนิสัยใจคอแล้ว เรื่องบนเตียงของเขาทั้งคู่ยังเข้ากันได้ดีสุดๆ ติดอยู่แค่อย่างเดียว...

"เมื่อไหร่เจจะยอมฉันซักทีนะ"

เขากระซิบใส่หูคนตัวเล็กที่หลับคาอกเขาไปเสียแล้ว สายน้ำอุ่นๆ ที่นวดร่างกายนั้นชวนให้ง่วงงุนแท้ๆ เขาขยับร่างที่หลับไหลนั้นออกแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น เขาซี้ดปากเมื่อช่องทางด้านหลังเสียวแปลบขึ้นมา สะโพกของเขาก็ปวดร้าวถึงเขาจะเริ่มชินกับการเป็นฝ่ายโดนกกกอด แต่โดนจัดหนักขนาดนี้ชายวัยใกล้ 40 อย่างเขาก็เริ่มไม่ค่อยไหวแล้วเหมือนกัน


"เจ...ตื่น"

คนที่ใช้แรงไปจนหมดไม่ยอมตื่น แต่พูดอะไรงึมงำแถมเคี้ยวปากแจ๊บๆ เขามองอย่างนึกขำ สงสัยจะฝันว่ากินของอร่อยอยู่ สมกับเป็นเจจริงๆ เขาช้อนร่างเพรียวนั้นออกจากอ่างและอุ้มไปยังเตียงนุ่มที่ยับยุ่งเหยิงจากสงครามรักก่อนหน้านี้ เขาเอาผ้ามาเช็ดเนื้อตัวเขาและเจจนแห้ง แล้วลงนอนเคียงข้างร่างเพรียวนั้นและกระซิบเบาๆ

"Mi alma"

'วิญญานฉัน'


เขาจูบที่หน้าผากเนียน

"Mi vida"

'ชีวิตฉัน'


เขาจูบแก้มใสๆ นั้น

"Mi corazón​"

'ดวงใจฉัน'

เขาจรดจูบลงบนตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจ

"y mi amor todo son para ti"

'และรักของฉันล้วนเป็นของเธอ'


เขาบรรจงจุมพิตเบาๆ บนริมฝีปากของเจแล้วลงนอนกอดร่างอุ่นๆ นั้นจนหลับไหลไป


เจนยุทธใช้เวลาอยู่กับฆาเบียร์ที่ฮ่องกงอีก 5 วัน พวกเขาย้ายจากโรงแรมไปอยู่ที่บ้านของคริสที่แถบวิคตอเรีย พีค

"ไหนว่าไม่ชอบบ้านกว้างๆ?"

เจถามเมื่อเห็นความโอ่อ่าของตัวบ้านและวิวอันงดงาม ฆาบี้ปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบ แต่ขัดใจคริสที่อยากใช้เวลาอยู่กับเขาและเจไม่ได้ คริสถูกใจเจมาก เขามักชวนเจมานั่งดื่มชาและคุยกันทีเป็นชั่วโมงๆ จนบางทีฆาเบียร์น้อยใจว่าเจนยุทธไม่มีเวลาให้เขา

ช่วงกลางวันที่ฆาเบียร์ต้องทำงาน ริคกี้ถูกส่งมาคอยดูแลเจ เขาชอบคุณเจคนนี้มากถึงจะต้องเหนื่อยใจบ้างเพราะต้องคอยตามเจที่ชอบหนีเที่ยวโดยไปขึ้นรถราง เรือเฟอรี่หรือรถใต้ดินเอง แถมยังลากเขาไปนั่งกินข้าวตามร้านที่จดโพยมาแล้วก็บ่นทุกครั้งที่กิน แต่บางทีเขาก็ต้องเสียวสันหลังวาบกับสายตาของเจ้านายที่มักส่งมาอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นคุณเจสนิทสนมกับเขาจนเกินไป อย่างเช่นตอนนี้


"ไง ริคกี้ วันนี้ไปไหนดีอ่ะ"

เจอหน้ากันเจก็ปรี่เข้ามากอดคอเลขาฯ หนุ่มของฆาเบียร์ที่เป็นเหมือนเพื่อนเที่ยวของเขาในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ริคกี้เหล่มองนายของเขาที่ยืนเท้าเอวตีหน้ายักษ์มองมาจากโต๊ะทำงาน เขาค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากแขนที่โอบไหล่เขา เจมองตามสายตาริคกี้แล้วแอบวางแผนการร้าย เมื่อคืนคนตัวโตนี้เอาแต่ใจนัก เช้านี้เขาขอแกล้งซักหน่อย

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว อยู่บ้านไม่มีคนพาไปกินข้าว ผมต้องคิดถึงริคกี้แน่ๆ เลย"

เจนยุทธทำเสียงอ่อนเสียงหวานจับไม้จับมือเลขาฯ หนุ่มผู้ซึ่งยืนหน้าซีดอยู่

"พอ ไม่ต้องออกไปไหนกันแล้ว ริคกี้ ไปอยู่กับเมลิน่าซะ"

ฆาเบียร์เอ็ดเสียงลั่นแล้วเดินมาลากเจเข้าห้องทำงานของเขาแล้วปิดประตูดังปัง ริคกี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาได้ยินเสียงคุณเจล้งเล้งอยู่ในห้องสักพักก่อนที่จะเงียบไป เขาค่อยๆ ย่องออกจากโต๊ะทำงานของเขาที่อยู่ประจำหน้าห้องของฆาเบียร์อีกทีและแขวนป้ายห้ามรบกวนไว้ที่หน้าห้องนั้น


"แน่ใจนะ ว่าอยู่คนเดียวได้?"

เจนยุทธถามกำชับคนตัวโตที่ยืนทำตาแดงๆ อยู่ ถึงเวลาที่เขาต้องกลับบ้านแล้ว

"อย่าลืมล่ะ กินยาให้ครบ ไปหาหมอตามนัดด้วย อย่ามัวแต่ทำงานเพลิน พักบ้าง ถ้าอยากคุยก็โทรมาได้เลย เปิดเครื่องรอตลอดอยู่แล้ว มีอะไรก็ให้บอกมา"

เจร่ายยาว เขากังวลกับคนที่ไม่รู้ลิมิตตัวเองคนนี้จริงๆ ฆาเบียร์รับปากว่าจะทำตามนั้น เจนยุทธหันไปยกมือไหว้คริสแล้วปรี่เข้าไปสวมกอดและทำตาแดงๆ เวลาหลายวันที่ผ่านมาเขาสนิทกับคริสมากและนั่นทำให้เขาคิดถึงพ่อผู้ล่วงลับของตัวเอง คริสเองก็ปาดน้ำตา เขาคงไม่ได้เจอหนุ่มน้อยคนนี้อีกพักใหญ่เพราะมันก็ถึงเวลาที่เขาต้องกลับไปสะสางงานต่อที่สหรัฐฯ เพื่อที่จะเตรียมส่งไม้ต่อให้กับฆาบี้ผู้เป็นทายาทของเขาในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า

"ไปนะ ไว้เจอกันที่บ้าน"

เจหันมาตบไหล่หนาๆ ของฆาเบียร์ แล้วก็โดนดึงตัวเข้าไปแนบอกแล้วประทับจูบเนิ่นนานแบบไม่อายคนรอบข้างก่อนที่จะปล่อยตัวเขาให้เข้าไปในส่วนผู้โดยสารขาออก


เจนยุทธนั่งเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างเครื่องบิน สิบวันมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายที่เขานึกไม่ถึงว่าจะได้เจอมาก่อน แต่ที่สุดแล้วมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฆาเบียร์หนักแน่นมั่นคงขึ้นและทำให้เขายิ่งมั่นใจในความรู้สึกของตนเองว่าเขาไม่ต้องการใครอื่นในโลกนี้แล้วนอกจากเมียตัวโตของเขาคนนั้น เขาข่มตาลงนอนโดยคิดถึงวันที่จะได้เจอกันอีกครั้ง


ชีวิตของทั้งสองดำเนินต่อไป ฆาเบียร์ทุ่มเทเวลาให้กับงาน เขาออกจากบ้านของคริสมาอยู่ที่โรงแรมริทซ์ คาร์ลตันซึ่งอยู่ด้านบนของสำนักงาน ถึงจะแพงหน่อยแต่ก็สะดวกดี เขาเลือกห้อง suite 1 ห้องนอนขนาดเพียง 70 ตรม. ไว้เป็นที่ซุกหัวนอน ที่จริงเขาโอเคกับห้องที่เล็กกว่านั้น แต่คริสไม่ยอม

ทุกวัน เขาตื่นเช้า กินมื้อเช้าที่คลับโรงแรม ลงมาที่ออฟฟิศและขลุกอยู่ที่นั่นจนถึงเย็นถึงค่ำ ช่วงเที่ยงบางทีเขาก็ขึ้นไปที่ Sky100 ไปเดินชมวิวไม่ก็นั่งกินอาหารเงียบๆ แต่เขาก็ไม่เหงาเพราะที่แห่งนี้มีความทรงจำของเจอยู่ เขาขึ้นไปนั่งดื่มที่คลับเลาจ์บ้างในช่วงแฮ้ปปี้ อาวร์ แต่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมา มันทำให้เขาคิดถึงวันแรกที่เจอกับเจ เขาออกไปเที่ยวกับทีมเลขาฯ ของเขาบ้าง บางครั้งก็มีคนในสเป็คเข้ามาหา แต่เขาไม่เคยหวั่นไหว เขาไปพบแพทย์และกินยาไม่ขาด บางครั้งงานของเขาทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วเอเชีย-แปซิฟิค หรือบางครั้งไกลถึงสหรัฐฯ แต่ก็เขาติดต่อกับเจตลอดเวลาผ่านทางโซเชียลมีเดียและไลน์ ตอนกลางคืนเขาทั้งคู่คุยกันจนหลับไปทุกวัน หลายครั้งที่พวกเขาพลอดรักกันผ่านทางวีดีโอคอล อาการป่วยของเขาไม่กลับมาอีกเพราะเขารู้ดีแล้วว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือไปไกลแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็มีคนคอยต้อนรับเขากลับบ้าน

"เจไม่ต้องมารับหรอก เดี๋ยวฉันกลับเองได้ ปั่นงานต่อไปเถอะ อือ ใช่ บินตรงจากโซลเลย...โอเค ไว้เจอกัน"

เขากดวางโทรศัพท์ และลากกระเป๋าเดินต่อไป วันนี้เขากำลังจะกลับบ้าน


เจนยุทธวางสายจากฆาเบียร์ เขาอมยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงเวลาแสนสนุกที่ฮ่องกง ชีวิตเขาที่เชียงใหม่เป็นไปอย่างเนิบๆ เหมือนเคย เมื่อกลับมาถึงเขาก็รีบตรงดิ่งไปหาแม่เพื่อรายงานอาการของฆาเบียร์และอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง เป็นไปตามคาด แม่สนใจเรื่องฐานะของฆาเบียร์น้อยกว่าเรื่องสุขภาพของเขา จากนั้นเขาก็ถึงติดต่อพี่นพเพื่อเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง นพนั้นยินดีกับทั้งคู่จนออกนอกหน้าจนเขาชักสงสัยว่าที่เขาได้มาเจอกันกับฆาเบียร์นั้นทั้งหมดทั้งมวลก็คงเป็นเพราะตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้เป็นคนจัดฉากให้แน่ๆ

เจใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการทำงาน เขารับงานแปลเยอะขึ้น เที่ยวเล่นน้อยลง เวลาว่างเขาไปลงเรียนภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจและเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมแต่ดูท่าทางจะไม่ค่อยรุ่ง เลยเปลี่ยนไปเรียนภาษาสเปนแทน เขามีแพลนจะไปลงเรียนเต้นรำและมารยาทสากลด้วย นานๆ เขาก็ได้นพซึ่งก็ยุ่งเหมือนกันมาเป็นเพื่อนกินนั่นกินนี่ ชีวิตเขาเริ่มเข้ารูปเข้ารอยและมีแก่นสารขึ้นกว่าเมื่อก่อน


"เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ"

เขาบอกซันกับปรินซ์ นานๆ ทีเขาก็ออกมานั่งดื่มกับพวกนี้ที ซึ่งพวกนี้ก็เลิกหาสาวให้เขาแล้วเพราะรู้ว่าเขาไม่มีตาไปมองใครอีก

"ทำไมวันนี้กลับเร็ววะ รออยู่ช่วยแบกไอ้ซันกลับรถหน่อย" ปรินซ์โอดครวญ

"วันนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ะ อีกไม่นานเครื่องจะลงแล้ว"

เขาวางเงินค่าเหล้าไว้ให้สองหนุ่ม

"เออ ผัวมาแล้วลืมเพื่อน จำไว้เถอะมึง"

ซันที่เริ่มเมาแล้วบ่นกะปอดกะแปด เขาหัวเราะ

"กูก็บอกเป็นสิบรอบแล้วว่าเมียต่างหาก ไม่ใช่ผัว"

เขาพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินกลับห้อง เขาอาบน้ำอาบท่าแล้วก็มาเปิดคอมเริ่มทำงานต่อที่เคาเตอร์ในครัว



"แกร๊ก"

"กลับมาแล้วจ้า"

เสียงประตูดังพร้อมกับเสียงทุ้มแหบที่เขาแสนคิดถึง เจนยุทธเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง



"ยินดีต้อนรับกลับบ้านของเราครับ"



--------------------------------------------------------

**จบภาคฮ่องกงแล้วนะคะ กำลังคิดก่อนว่าจะเขียนเรื่องคริสต่ออีกสักตอนไหม ถ้าเข็นไม่ขึ้นก็คงจะต่อตอนไปเที่ยวๆ กินๆ ที่อื่นแทนค่ะ แต่จะอัพช้าลงแล้วนะคะ ตอนนี้มีแพลนใหญ่คือในช่วงเดือนตุลาจะไปมาเก๊า แล้วก็คงเอาข้อมูลมาเขียนในเรื่องนี้ด้วย แต่ถ้ารีบๆ เขียนเรื่องด้วยสปีดขนาดในตอนนี้ก็เกรงว่าข้อมูลในมือตอนนี้จะลากไปไม่ถึงเดือนตุลา ฉะนั้นก็จะชะลอการอัพลงบ้างนะคะ แต่จะพยายามให้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ตอนต่อสัปดาห์นะคะ หวังว่าคุณผู้อ่านจะยังไม่ลืมฆาเบียร์กับไอ้แสบเจไปเสียก่อน  มานึกๆ ไปตอนจบแบบนี้ก็ถือเป็นจบเรื่องได้เหมือนกัน (แต่ยังไม่ยอมจบหรอกนะคะ แหะๆๆ) หรือจะเรียกว่าจบภาคก็ได้ ความสัมพันธ์ของคู่นี้ไม่มีอะไรต้องลุ้นมากค่ะ ถ้าใครอ่านตอนจบบริบูรณ์ของเรื่อง Para Ti...คำ "รัก" นี้มีแด่เธอ แล้ว ในนั้นมีเฉลยความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้อยู่แล้ว ตอนนี้เหลือแค่มาลุ้นกันว่าฆาบี้จะได้สมใจไหม แล้วเขาจะพากันไปกินไปเที่ยวที่ไหนอีกแค่นั้นค่ะ **

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2017 21:14:45 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Chris Pt. 1 ----



ปี 1972

มหาวิทยาลัย S รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา




ณ ย่านหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย S ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเทคโนโลยีของรัฐแคลิฟอร์เนีย ร่างเล็กของเด็กหนุ่มชาวเอเชียเดินก้มหน้าซอยเท้าถี่ๆ ลากกระเป๋าเดินทางใบโตมาตามริมถนน ตาทรงเม็ดอัลมอนด์สีดำสนิทนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางนั้นเม้มสนิท เขาทนอยู่หอที่นี่ไม่ไหวแล้ว เขามาที่สหรัฐฯ เพื่อหนีความเจ็บช้ำน้ำใจจากการถูกคนเหยียดหยาม แต่เมื่อมาถึงดินแดนแห่งความอิสระเสรีนี้ เขากลับเจอสถานการณ์ไม่ต่างกัน เขาหยุดเดิน ปาดน้ำตาที่หยดหยาดเพราะความเจ็บใจเมื่อนึกถึงหน้าไอ้รูมเมทผิวขาวที่คอยพูดจาเสียดสีเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ฟางเส้นสุดท้ายคือเมื่อเขาได้ยินรูมเมทเรียกเขาตอนมันคุยกับเพื่อนว่าไอ้ลิงเหลืองแถมยังเอานิ้วดึงหางตาให้ชี้ขึ้นเพื่อล้อเลียนเขาอีก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเก็บข้าวเก็บของออกจากหอพักในทันที

เขาถอนหายใจ เขาคงต้องหาบ้านพักแถวๆ ม.อยู่เสียแล้ว ว่าแต่ค่ำนี้จะนอนไหนกัน

"นี่...นาย"

เขาแว่วเสียงใครสักคนเรียกชื่อเขา เขาหันซ้ายหันขวา แล้วก็เห็นเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขายืนคร่อมจักรยานดูเขาอยู่

"นายเรียกฉันเหรอ?" เด็กหนุ่มตาสีดำสนิทถามขึ้นด้วยสำเนียงอังกฤษชัดเปรี๊ยะ

"ใช่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า? ท่าทางนายดูไม่ดีเลย" เด็กหนุ่มเชื้อสายละตินลงจากรถจักรยานแล้วเดินเข้ามาหา ร่างนั้นสูงประมาณ 175 เซ็นติเมตร หน้าตาคมเข้ม ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นฉายแววอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ริมฝีปากอิ่มนั้นส่งยิ้มละไมมาให้เขา

หนุ่มน้อยชาวเอเชียถอยหลังไปนิดหนึ่งอย่างไม่ไว้ใจ คราบน้ำตายังไม่หายไปจากแก้มแดงระเรื่อนั้น หนุ่มน้อยที่ตัวสูงกว่ายืนเท้าสะเอวมองกระเป๋าใบโตของเขา

"นายหาที่พักอยู่เหรอ? นี่มันก็ครึ่งเทอมแล้วนะ ยังไม่มีที่อยู่อีกเหรอ?"
ไม่รู้ทำไม เสียงนุ่มๆ ที่ถามขึ้นนั้นถึงทำให้เขารู้สึกสบายใจ หนุ่มน้อยชาวเอเชียน้ำตาไหลพรากและเรื่องราวต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากปากเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นก็รับฟังอย่างอดทน

"...ฉันถึงได้หอบกระเป๋าผลุนผลันออกมาเลย แต่คืนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะนอนไหน"
เขาปาดน้ำตาแล้วถอนหายใจยาว

"มาบ้านฉันไหมล่ะ เรามีที่ว่างพอดี มาลองดูก่อนไหม หรืออย่างน้อยอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหาห้องได้ โอเคไหม?"
หนุ่มน้อยเชื้อสายละตินที่รู้สึกถูกชะตากับหนุ่มตาสีดำคนนี้ตั้งแต่แรกเจอชวน นัยน์ตาทรงอัลมอนด์นั้นพลันฉายแววยินดี เขาเผลอตัวคว้ามือเรียวนั้นมากุมอย่างยินดี

"นายพูดจริงนะ? ดีเลย บ้านนายอยู่แถวไหน เราไปกันเลยไหม?"
เขาหน้าแดงขึ้นและรีบปล่อยมือ​เมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทกับคนเพิ่งรู้จักไป

"เอ่อ ฉันชื่อคริส, คริส หว่อง แล้วนายล่ะ?"

"ฉันชื่ออันเดรส มาร์ติเนซ นายเรียกฉันว่าแอนดี้ก็ได้"

นี่คือการพบกันครั้งแรกของคนสองคนที่ชีวิตจะผูกพันกันไปจนกระทั่งฝ่ายหนึ่งตายจากไป


คริสนั่งรถเมล์มาตามที่อยู่ที่อันเดรสให้ไว้ ที่พักของอันเดรสอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยประมาณ 2 ไมล์ เขาลงรถที่ป้ายรถเมล์ตามในแผนที่และเจออันเดรสยืนยิ้มรออยู่แล้ว บ้านเช่าของอันเดรสอยู่ห่างป้ายรถเมล์ไม่ไกล มันเป็นบ้านเก่าสไตล์วิคตอเรียนที่แบ่งให้เช่าเป็นห้องๆ ผู้เช่าทั้งหมดเป็นนักศึกษา

"ส่วนใหญ่ในบ้านนี้เป็นละติโน่ ฉะนั้นนายไม่ต้องกลัวจะโดนเหยียดเหมือนตอนอยู่หอ หรือถ้าเจอก็ให้รีบมาบอกฉัน ฉันจะไปจัดการมันเอง"
อันเดรสช่วยลากกระเป๋าใบใหญ่ของคริสขึ้นไปยังชั้น 2 และเปิดประตูห้องๆ หนึ่ง ที่มีเตียง 2 เตียงตั้งอยู่คนละฝั่งห้อง เตียงหนึ่งนั้นว่างเปล่าไม่มีเครื่องนอนใดๆ

"นี่ห้องฉันเอง รูมเมทฉันเพิ่งย้ายออกไปอยู่กับแฟนมัน ตอนนี้เลยว่าง นายพักที่นี่ไปก่อนแล้วส่วนจะอยู่ต่อหรือว่าหาที่อยู่ใหม่ก็ค่อยว่ากันอีกที"
อันเดรสบอก และปล่อยให้คริสจัดข้าวของไป

"อ้อ ช่วงเย็นพวกเรามักจะทำอะไรกินกันในบ้าน นายมากินกับพวกเราได้นะ"


ที่ห้องส่วนกลางของบ้าน คริสนั่งมองพวกหนุ่มๆ ละติโน่ที่โหวกเหวกโวยวายหัวเราะลั่นกันระหว่างกินข้าวอย่างเพลิดเพลิน แม้เขาจะไม่เข้าใจภาษาสแปนิชที่พวกนี้พูดกัน แต่บรรยากาศที่นี่สบายๆ กว่าที่หอพักมากนัก คนพวกนี้ต้อนรับเขาอย่างดี ไม่มีรังเกียจที่เขาแตกต่างไปเลย อันเดรสหันมาแปลเรื่องที่คุยกันให้เขาฟังเป็นพักๆ พร้อมกับตักนั่นนี่บนโต๊ะให้เขาชิม หลังอาหาร

"นี่ คริส นายเรียนอะไร ฉันว่าฉันคุ้นๆ หน้านายนะ"
อันเดรสถามขึ้นตอนทั้งพาคริสออกมาเดินสำรวจแถวบ้าน

"Computer Science แล้วนายล่ะ?"
เขาเลือกเรียนสาขาวิชาที่เปิดมาได้ไม่ถึง 10 ปีนี้เพราะมองว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต และเข้ากับความถนัดด้านตัวเลขและตรรกะของเขาด้วย

"เห้ย เหมือนกันเลย มิน่าล่ะฉันถึงว่านายหน้าคุ้นๆ"
เขาเริ่มจำหน้าหนุ่มเอเชียคนนี้ได้แล้ว เขาจำได้ว่าเคยแอบมองคริสเพราะหน้าตาที่ดูแปลก คริสมีหน้าตาแบบเอเชีย มีตาสีดำสนิท แต่ผมของเขานั้นสีออกน้ำตาลอ่อน อันเดรสบอกคริสไปแบบนั้น

"อ๋อ..." คริสหัวเราะ เขาถูกทักเรื่องนี้บ่อยแล้ว

"ฉันได้ผมสีน้ำตาลมาจากแม่ที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษน่ะ ส่วนพ่อฉันเป็นคนฮ่องกงแท้ๆ"
ส่วนเขาก็จำอันเดรสได้แล้ว ใครจะไม่รู้จักหนุ่มน้อยจากปัวเอร์โต ริโก้ นักเรียนทุนของทางภาคฯ ที่เป็นอัจฉริยะด้านตัวเลขและอัลกอริทึ่มกัน แต่ท่าที่ที่ร่าเริงสดใสตอนอยู่ข้างนอกนี้ต่างไปจากคนที่เคร่งเครียดจดจ่อกับการเรียนในห้องเรียนอย่างลิบลับ

"ฉันตัดสินใจละ..." คริสพูด

"ฉันจะอยู่ที่บ้านนี้ต่อ"


เวลาผันผ่านไปเข้าสู่เทอมหลัง ชายหนุ่มต่างเชื้อชาติทั้งสองกลายเป็นเพื่อนรักที่ตัวติดกันตลอดเวลา เห็นอันเดรสที่ไหนก็ต้องเห็นคริสที่นั่น เขายังเข้ากันได้กับบรรดาหนุ่มๆ ละตินที่พักอยู่ในบ้านเดียวกัน การเป็นเอเชียนเพียงคนเดียวในบ้านไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกแยก นั่นอาจเป็นเพราะเขาเป็นเพื่อนรักของอันเดรสซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางของบ้านด้วย ความสดใส ขี้เล่นและร่าเริงเป็นนิจทำให้เขามีเสน่ห์ดึงดูดใจคนที่อยู่รอบข้าง...รวมถึงคริสด้วย

คริสแอบมองใบหน้าคมสันนั่นอ่านหนังสืออยู่ตรงข้ามเขา อันเดรสไม่ใช่คนหล่อจัด ใบหน้าเขาได้รูป มีสันกราม โหนกแก้มชัดเจน ปากอิ่ม แต่ส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดของใบหน้านั้นคือดวงตาที่ฉายแววร่าเริงเป็นนิจ มันดึงดูดสายตาเขาได้ตลอดเวลา ความรุ่มรวยน้ำใจของอันเดรสก็คืออีกสิ่งที่ตราตรึงในหัวใจน้อยๆ ของหนุ่มชาวฮ่องกงคนนี้ สำหรับเขาซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่เย็นชาของพ่อที่เอาแต่ทำงานและแม่เลี้ยงที่คอยแต่จะค่อนแคะถากถาง อีกทั้งเพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายในหอพักเดิมนั้น รอยยิ้มและน้ำใจที่อันเดรสมอบให้ในวันแรกที่เจอกันนั้นเป็นเหมือนแสงอาทิตย์อันอบอุ่น และตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเขายิ่งรักในนิสัยใจคอของเพื่อนรักคนนี้ คริสได้แต่ภาวนาว่าเขาจะได้อยู่เคียงข้างอันเดรสต่อไปแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน

"ปิดเทอมนี้นายกลับบ้านไหม?"

อันเดรสถามขึ้น ตัวเขาซึ่งเป็นเด็กกำพร้า โตมาโดยการเลี้ยงดูของทางโบสถ์ที่รับอุปการะนั้นคงไม่ได้กลับไปอยู่แล้ว

คริสส่ายหัว ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ยังไม่คิดจะกลับไปฮ่องกงง่ายๆ เขาตัดสินใจเล่าเรื่องครอบครัวเขาให้อันเดรสฟัง เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะ แม้จะไม่ได้ทรงอิทธิพลเหมือนสี่ตระกูลใหญ่แห่งฮ่องกง แต่ก็ร่ำรวยพอที่ปู่จะส่งพ่อเขาให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษจนได้พบกับแม่ของเขาซึ่งเป็นลูกครึ่งฮ่องกง-อังกฤษ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของคนทั้งคู่และโตมาโดยรับความรักจากคนทั้งสองจนกระทั่งแม่ของเขาเสียชีวิตไปด้วยโรคปอดอักเสบตอนเขาอายุได้เพียง 7 ขวบ จากนั้นพ่อของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนบ้างานที่ทำงานตลอดเวลา เขาถูกทิ้งไว้ในบ้านใหญ่โตบนยอดวิคตอเรีย พีคกับปู่ย่าและคนรับใช้เต็มบ้าน เขาถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวดเพื่อเตรียมเป็นทายาทของตระกูล

จุดพลิกผันของชีวิตเขาเกิดขึ้นตอนอายุ 13 เมื่อพ่อแต่งงานใหม่กับดารางิ้วชื่อดังและมีลูกชายด้วยกันอีก 1 คน ต่อหน้าทุกคนแม่ใหม่ของเขาเป็นหญิงใจดี สง่างามและรักครอบครัว แต่กับเขานั้นการแสดงออกของแม่รองต่างไปโดยสิ้นเชิง เขามักโดนมองอย่างเหยียดหยาม โดนก่นด่า โดนไล่ให้รีบๆ ออกบ้านไป แม่รองพยายามทุกอย่างให้พ่อของเขาตั้งลูกชายของเธอเป็นทายาทแทน ซึ่งปู่ย่าของเขาที่ติดใจนางงิ้วคนนี้นักหนาก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่พ่อของเขาก็ยังคงไม่ตัดสินใจและแบ่งรับแบ่งสู้ไป สุดท้ายเมื่อจบม.ปลายเขาจึงตัดสินใจมาศึกษาต่อยังสหรัฐฯ แทนอังกฤษที่พ่อเขาหมายมั่นปั้นมือให้เข้าเรียนเพื่อให้ไกลจากคอนเน็คชั่นของครอบครัวให้มากที่สุด

"นายนี่น้า อยู่บ้านสบายๆ ดีๆ ไม่ชอบ ชอบต้องมาลำบาก"
อันเดรสบ่นเพื่อนชาวเอเชียของเขา
"สบายกายแต่ไม่สบายใจ ก็อยู่ไม่ไหวเหมือนกันนะ"
คริสพูดเบาๆ อันเดรสพยักหน้าเห็นด้วย จริงอยู่ที่เขาโตขึ้นมาแบบไม่มีพ่อแม่ แต่เขาไม่เคยรู้สึกเหงาหรือไม่สบายใจเพราะถูกล้อมรอบไปด้วยเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ที่เป็นเหมือนพี่น้อง บุคลิกที่ร่าเริงและโดดเด่นของเขาทำให้เขาเป็นเหมือนศูนย์กลางของทุกๆ คน

"งั้นก็คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านแล้วกัน"
เขายกมือขึ้นขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนของเพื่อนหนุ่ม
"...พวกฉันจะเป็นครอบครัวให้นายเอง"
คำพูดนั้นที่เจ้าตัวอาจจะพูดออกมาเพียงแค่เพื่อปลอบใจเพื่อนกลายเป็นสิ่งที่ติดตราตรึงในจิตใจของคริสไปนานแสนนาน


ฤดูกาลผันผ่านไป ขึ้นสู่ปีที่สองในรั้วมหาวิทยาลัย ความเป็นเพื่อนของทั้งสองยังคงเหนียวแน่น ทั้งคู่แชร์ความสนใจกันในทุกด้านไม่ว่าจะเรื่องเล่นหรือเรื่องเรียน อันเดรสเป็นเหมือนทุกอย่างของคริส และคริสก็หวังว่าเขาจะเป็นเช่นนั้นในใจของอันเดรสเช่นกัน แต่สิ่งนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป

"อันเดรส ช้าๆ หน่อยนายขี่เร็วเกินไปแล้ว"
คริสซึ่งยืนเกาะไหล่อันเดรสแน่นอยู่บนตอนท้ายของจักรยานร้องลั่นเมื่อเพื่อนหนุ่มปั่นเข้าโค้งอย่างเร็ว
"ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นจะไม่ทันคลาสของอ.ดอน"
อันเดรสหมายถึงศาสตราจารย์ Donald Knuth นักคณิตศาสตร์ซึ่งผันตัวมาเป็นนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเหมือนไอดอลของเขา เขาไม่ยอมพลาดคลาสของอาจารย์เลยสักครั้ง แต่วันนี้พวกเขาพลาดตกรถ Margherite Shuttle ที่เป็นรถเวียนจากย่านดาวน์ทาวน์พาโล อัลโตไปยังม. S เลยต้องเร่งปั่นจักรยานคู่ใจมา พวกเขาใกล้ถึงตึกเรียนแล้วเมื่อมีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินคุยเล่นและหัวเราะข้ามถนนโดยไม่ทันดูรถ


"ระวัง!"
คริสตะโกนลั่น หญิงสาวกลุ่มนั้นสะดุ้งหันมามอง แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว อันเดรสตัดสินใจหักหลบขึ้นบนฟุตบาทแต่ก็สะดุดและพุ่งไปบนสนามหญ้า คริสกระโดดลงทันแต่ไม่ทันคว้าตัวอันเดรสที่กลิ้งไปพร้อมกับจักรยาน หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มวิ่งมาดูอันเดรสพร้อมๆ กับคริส

"เป็นอะไรไหมคะ?..."

"เป็นอะไรไหม?"
ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน คริสหันไปดูหญิงสาวที่ทำให้เพื่อนของเขาเจ็บตัว ใบหน้าน้อยๆ ที่ฉายแววกังวลนั้นงดงามนัก ดวงตากลมโตที่ฉายแววกังวลนั้นสีน้ำตาลอ่อน ขนตายาว จมูกน้อยๆ ที่เชิดขึ้นเล็กน้อยทำให้ใบหน้านั้นส่อแววรั้น แก้มสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากบางที่แต้มสีไว้บางเบา ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย เขาหันไปดูเพื่อนรักแล้วก็ต้องใจสะท้าน อันเดรสที่น่าจะเจ็บร้องโอดโอยกลับมีสีหน้าตะลึงงัน แก้มของเขาแดงระเรื่อ นัยน์ตาคมวาวของเขาจ้องไปยังใบหน้างดงามของสาวน้อยคนนั้น

"คุณเป็นอะไรไหมคะ? ฉันขอโทษจริงๆ"

หญิงสาวพูดขึ้นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ อันเดรสพลันตอบกลับเป็นภาษาสเปน

"estoy bien. No te preocupes"

(ผมโอเค ไม่ต้องห่วงครับ) หญิงสาวทำตาโต

"​¿​​Hablas Español?"

(คุณพูดสแปนิชด้วยเหรอ?)

"Sí, soy de Puerto Rico"

(ครับ ผมมาจากปูเอร์โต ริโก้) อันเดรสตอบอย่างยิ้มแย้ม


"เอ่อ...อันเดรส เข่านาย"

คริสซึ่งฟังทั้งสองพูดไม่รู้เรื่องพูดแทรกขึ้น กางเกงบริเวณเข่าของอันเดรสขาดวิ่นเผยให้เห็นแผลถลอกปอกเปิก เลือดไหลโทรม เจ้าตัวซึ่งดูท่าทางจะลืมเจ็บไปชั่วขณะเริ่มทำหน้านิ่ว หญิงสาวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกมาแล้วรินน้ำจากกระบอกน้ำที่พกพาใส่และบรรจงเช็ดไปที่รอยแผลนั้น

"ร้อนหน่อยนะคะ น้ำยังอุ่นๆ อยู่"

หญิงสาวเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คริสเข้าใจด้วย อันเดรสบอกว่าไม่เป็นไร คริสมองตามเพื่อนที่ทำหน้าเคลิ้มมองดูมือขาวผ่องที่ทำความสะอาดแผลให้เขา

"เรียบร้อยแล้วค่ะ"

หญิงสาวผูกปมผ้าเช็ดหน้าที่พันรอบหัวเข่าของอันเดรส คริสประคองอันเดรสขึ้นยืนและสบายใจที่เพื่อนของเขายังพอเดินไหว


"เอ่อ..."

อันเดรสพูดขึ้นเบาๆ หญิงสาวที่กำลังจะเดินกลับไปหาเพื่อนหันมามอง

"ผมชื่ออันเดรส มาร์ติเนซ คุณชื่ออะไรครับ"
ใบหน้าคมสันของอันเดรสแดงก่ำ

"ฉันชื่อ คาตาลิน่า เด ลา โรซ่าค่ะ"

หญิงสาวซึ่งก็หน้าแดงไม่แพ้กันตอบเบาๆ และยื่นมือมาสัมผัสมืออันเดรสที่ยื่นส่งมา พวกเขาสนทนากันอีกพักหนึ่งก่อนเพื่อนของหญิงสาวจะเดินมาตาม อันเดรสมองตามร่างสูงโปร่งแต่แบบบางนั้นอย่างไม่วางตา

"คริส...ฉันว่าฉันกำลังมีความรักว่ะ"

อันเดรสกระซิบเหมือนละเมอออกมา หัวใจของคริสตกวูบ...เขารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน


"คริส...ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ"

อันเดรสตะโกนบอกเพื่อนที่ยืนโกนหนวดอยู่ในห้องน้ำ

"ไปไหน?"

"ภาคฯ ภาษาอังกฤษ ฉันจะไปหาคาตาลิน่า"

คริสสะดุ้ง เลือดหยดน้อยๆ หยดลงบนอ่างล้างหน้า อันเดรสเดินเข้ามาหาแล้วนิ่วหน้า

"ซุ่มซ่ามจริง มานี่ เดี๋ยวฉันเช็ดให้ ไหนขอดูหน่อย"

เขายื่นหน้ามาดูและหยิบทิชชู่เช็ดแผลเล็กๆ ที่ข้างแก้มของคริส คริสใจสั่นระรัวเมื่อใบหน้าคมเข้มนั้นอยู่ห่างหน้าเขาเพียงชั่วคืบ เขารู้ตัวมาสักพักแล้วว่าเขาคิดกับเพื่อนรักคนนี้เกินเพื่อน แต่สังคมในยุคนั้นยังไม่เปิดกว้างเรื่องเพศ แม้จะเริ่มมีกระแสเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพของชาวรักร่วมเพศ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเขาก็ไม่คิดว่าอันเดรสจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา เขาจึงได้แต่เก็บงำความรู้สึกของตนเองไว้และรักษาความเป็นเพื่อนแบบนี้ไว้


อันเดรสพบปะกับคาตาลิน่าอีกหลายหนก่อนที่จะกล้าพอชวนเธอออกไปกินกาแฟซึ่งสาวเจ้าก็ตอบรับด้วยความยินดี แต่ทุกครั้งที่พบเจอกัน อันเดรสจะลากคริสไปด้วยโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากอยู่กับคาตาลิน่าหรือที่เขาเรียกว่าแคทสองต่อสองเพื่อเลี่ยงคำครหาที่จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของหญิงสาวชาวละตินคนนี้ เขาซึ่งโตมาในโบสถ์รู้ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ สำหรับคริส ก่อนจะทันรู้ตัวเขาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกับสาวน้อยชาวอาร์เจนไตน์นี้ไปอีกคน เขารักในนิสัยเปิดเผยและกล้าแสดงออกของเธอ แคทมีความคิดทันสมัยก้าวหน้ากว่าเพื่อนสาวๆ ของเธอหลายคน เขารู้สึกสนุกที่ได้อยู่กับเธอ

ไม่นานอันเดรสและแคทก็ตัดสินใจคบหากัน ทั้งคู่แลกจูบแรกกันที่มุมปลอดคนในหอสมุดของมหาวิทยาลัย แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่ทั้งคู่ทำ ทั้งอันเดรสและแคทต่างปฏิญานจะถือความบริสุทธิ์ไปจนถึงวันแต่งงาน ฉะนั้น แม้คบหากันอย่างเป็นทางการแล้วชีวิตแบบเราสามคนของอันเดรส แคทและคริสก็ยังคงอยู่ต่อไป อันเดรสและคริสยังคงไปเรียนพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน แต่ระหว่างวัน เมื่อกินข้าว ไปดูหนัง ฟังเพลงก็จะมีแคทเพิ่มขึ้นมา คริสจะหลบหายไปอย่างรู้งานเมื่อทั้งคู่ต้องการความเป็นส่วนตัว สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นอันเดรสมีความสุข และอย่างน้อยเขาก็ยังได้อยู่เคียงข้างเพื่อนรักของเขาคนนี้

หากสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนดั่งฝันแบบนี้ตลอด


"แคท เป็นอะไร?"

คริสถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวตาแดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา วันนี้เขามารับแคทไปกินข้าวแทนอันเดรสซึ่งไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แถบซิลิคอน แวลลี่ย์

"คริส ฉันจะทำยังไงดี?"

แคทปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น คริสทำอะไรไม่ถูกได้แต่ส่งน้ำให้เพื่อนสาวและคอยรับฟัง

"แม่ฉันรู้เรื่องฉันกับอันเดรสแล้ว แม่โกรธมาก ตั้งแต่ก่อนมาแล้วแม่สั่งห้ามไม่ให้ฉันคบหาผู้ชาย แต่ฉันก็รักอันเดรสจริงๆ"

แคทซบหน้าลงกับฝ่ามือ คริสถอนหายใจ แคทเคยเล่าให้พวกเขาฟังแล้วเรื่องครอบครัวของเธอ ครอบครัวของแคทเป็นตระกูลเก่าแก่ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวสเปนรุ่นแรกๆ ที่มาตั้งรกรากที่อาร์เจนติน่า ถึงจะไม่ได้เล่าให้ฟังละเอียดมากแต่พวกเขาก็พอรู้ได้ว่าบ้านของแคทนั้นน่าจะมีฐานะดีพอสมควรและแน่นอนว่าย่อมไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวมาเกี่ยวพันกับเด็กกำพร้าจนๆ จากปูเอร์โต ริโก้

"แม่บอกว่าจะให้ฉันเลิกเรียนและกลับบ้าน"

คริสสะดุ้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าเพื่อนสุดร่าเริงของเขาจะเสียใจแค่ไหน เขาคงทนเห็นภาพนั้นไม่ได้

"ใจเย็นๆ นะแคท เราค่อยมาหาทางแก้กัน"

"แคทรักอันเดรสจริงๆ ใช่ไหม? พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเขาใช่ไหม?" คริสถามเพื่อให้แน่ใจ

"ใช่ แม้กระทั่งทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังฉันก็ยอม"

แคทพูดอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเขาทั้งคู่ตกลงจะยังไม่บอกอันเดรสจนกว่าจะหาทางออกได้


สิ่งแรกที่คริสแนะนำให้แคททำคือหาทุนการศึกษา คาตาลิน่ามาเรียนที่นี่ได้ด้วยทุนจากแม่ ถ้าต้องการจะอยู่ด้วยตนเองก็ต้องหาทุนเรียนเอง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้อันเดรสฟัง ตอนแรกอันเดรสด่าคริสอย่างหนักที่รู้เรื่องแล้วไม่ยอมบอกเขา แต่ก็มีทีท่าอ่อนลงเมื่อแคทบอกเหตุผลว่ายังไม่อยากให้เขาซึ่งเริ่มเข้าทำงานพิเศษกับบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องห่วง และก็เป็นคริสที่ช่วยหาทางออกให้กับปัญหานี้

"ตอนนี้ฉันหาทุนได้แล้ว แต่ต้องเปลี่ยนจากสาขาวรรณกรรมภาษาอังกฤษเป็นวรรณกรรมสเปนและลาตินอเมริกาแทน ซึ่งฉันไม่รังเกียจนะ"

แคทเล่าให้ฟังด้วยหน้าตาเปี่ยมสุข พวกเขานั่งอยู่ที่ห้องโถงของบ้านเช่าของอันเดรสและคริส

"แต่มันก็ยังไม่ใช่ทุนเต็ม ก็ยังมีต้องจ่ายเพิ่มอีกหน่อย ไหนจะยังมีเรื่องค่าที่พักอีก คุณจะไหวเหรอ?"

อันเดรสถาม เขาบอกว่าเขายังมีเงินเก็บอยู่แล้วตอนนี้เขากำลังจะได้เงินก้อนใหญ่จากการเข้าทำงานกับบริษัทที่ซิลิคอน แวลลี่ย์ซึ่งเห็นศักยภาพในตัวเขา เขาพร้อมที่จะใช้มันเพื่อให้คนที่เขารักได้อยู่ต่อที่สหรัฐฯ

"แต่...รวมๆ แล้วมันก็อาจจะยังไม่พอ"

เขาถอนหายใจ คริสที่ฟังอยู่นานผละขึ้นไปที่ห้องของเขาและกลับลงมาพร้อมสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง เขาส่งมันให้อันเดรสซึ่งเปิดดูแล้วทำตาเหลือก ในนั้นมีเงินจำนวนมากกว่าที่พวกเขาต้องการไปมากโข

"มันเป็นเงินที่พ่อฉันโอนมาให้เป็นประจำ แต่ฉันเอาไปใช้แค่พอจ่ายค่าเรียนกับค่าเช่าบ้าน ฉันไม่ได้อยากได้เงินของเขา แต่ถ้ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกนาย ฉันก็ยอม"

"เอาไปใช้ซะ ถือว่าฉันให้ยืมก็ได้"

อันเดรสและแคทขอบคุณคริสทั้งน้ำตา คริสยิ้มน้อยๆ เพื่อความสุขของคนที่เขารักทั้งสองคน เงินแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กมาก

"เดี๋ยวพ่อฉันก็ส่งมาให้ใหม่อีกนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก"


ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แคทบอกแม่ของเธอว่าจะไม่ยอมกลับและเลิกติดต่อกับทางนั้นโดยสิ้นเชิง แคทย้ายออกจากหอมาเช่าบ้านหญิงล้วนที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านเช่าของพวกคริสและอันเดรส ภาพพวกเขาสามคนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลานั้นเป็นภาพที่ชินตาของคนในย่านนี้ไปแล้ว พวกเขาหัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เที่ยวด้วยกันและใช้เวลาด้วยกันแทบตลอดเวลาเว้นแต่ตอนอันเดรสต้องไปทำงานและเวลานอนซึ่งแคทกลับไปนอนที่บ้านของตน ทั้งคู่ยังคงรักษาคำปฏิญานของตนอย่างเหนียวแน่น


"อันเดรส ทำอะไร?"

คริสมองอย่างงงๆ เมื่อเพื่อนหนุ่มลงนั่งคุกเข่าข้างหน้าเขาพร้อมกล่องแหวนที่ยื่นมาข้างหน้า

"ขอซ้อมหน่อยน่า"

อันเดรสพูดยิ้มๆ พรุ่งนี้เขาจะขอสุดที่รักของเขาแต่งงาน เขาพูดคำรักของเขาออกมาเป็นภาษาสแปนิชที่คริสไม่เข้าใจ แต่เขามั่นใจว่าแคทคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ เพราะขนาดเขาที่ไม่ใช่เป้าหมายของคำนั้นได้ฟังน้ำเสียงอันเปี่ยมด้วยอารมณ์รักนั้นเขาเองก็ยังแทบร้องไห้ออกมา

'ได้ ฉันจะแต่งกับนาย'


เขาเผลอตอบเบาๆ ในใจ แต่ปากเขากลับพูดยั่วเย้าไปว่าไม่ ไม่ยอมแต่งแล้วก็โดนเพื่อนรักถีบเข้าแรงๆ เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบ้านเหมือนเช่นทุกวัน


"อันเดรส เป็นอะไร?"
 คริสถามอย่างตกใจเมื่อเห็นเพื่อนรักที่มีทีท่าร่าเริงในตอนเช้ากลับเข้าบ้านมาอย่างเมามายด้วยทีท่าเศร้าสลด

"แคทไม่ยอมแต่งงานกับฉัน ทำไม ฉันไม่เข้าใจ"
อันเดรสพูดพร้อมน้ำตานองหน้า ดวงตาที่ร่าเริงตลอดเวลาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง

"เค้าบอกว่าให้ฉันไปคุยกับนายก่อน ฉันไม่เข้าใจ ทำไมวะ?"
อันเดรสจับคอเสื้อคริสเขย่า

"หรือพวกนายแอบทำอะไรลับหลังฉัน หา?"
เขาตะโกนใส่หน้าคริส แล้วก็โดนอีกฝ่ายชกหน้าอย่างเต็มแรง

"มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงเล่า"
คริสตะโกนใส่หน้าอันเดรสซึ่งนอนกุมหน้าอยู่บนพื้น

"ก็ฉัน...ฉัน..."

'รักนาย'

หากคำนั้นไม่ได้ผ่านออกจากปากของเขาไป

"ฉันไม่เคยคิดกับแคทแบบนั้น"

อันเดรสซึ่งสร่างเมาเพราะฤทธิ์หมัดของเพื่อนรักตะกายขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วกุมหัว

"แล้วทำไมแคทเขาให้ฉันมาคุยกับนาย? หรือว่าแคทรักนาย? ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะยอมหลีกทางให้"
คริสส่ายหน้า เขาก็ไม่เข้าใจว่ายัยบ้านั่นคิดอะไรอยู่ เขาถอนหายใจ

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปคุยกับยัยนั่นเอง"




-----------------------------------------------

ระหว่างรอเรื่องของฆาเบียร์กับเจ เรามาอ่านเรื่องอาปาของฆาเบียร์ตอนหนุ่มๆ ไปก่อนนะคะ น่าจะประมาณสองตอนจบ ถ้าจบลงนะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2017 00:56:00 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โธ่คริส ช่างเป็นคนดีอะไรเช่นนี้ ความรักของคริสคือการเห็นคนที่รักมีความสุขสินะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



--- Chris [Pt.2] ----



               "เธอคิดอะไรของเธออยู่น่ะ คาตาลิน่า" คริสโวยใส่เพื่อนสาวคนสนิทลั่น พวกเขานัดคุยกันที่ห้องโถงในบ้านพักของอันเดรส

"เธอปฏิเสธอันเดรสทำไม? เธอไม่ได้รักมันอย่างนั้นเหรอ?"

"รักสิ ฉันรักเขามาก"

แคทนั่งก้มหน้า น้ำตาหยดน้อยๆ หยาดหยดลงกระทบมือขาวผ่องที่ประสานไว้บนหน้าตัก

"แต่ฉันยังแต่งงานกับเขาไม่ได้ ไม่จนกว่าฉันจะได้รับคำอนุญาตจากเธอ"

"เธอพูดบ้าอะไรของเธอ เธอจะต้องมาขอฉันทำไม ฉันไม่ใช่พ่อมันนะ"

คริสใจเต้นรัว แคทต้องการจะสื่ออะไร

"ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับอันเดรสนะคริส..."

ในหัวของคริสว่างเปล่า เขาดูออกง่ายขนาดนี้เลยหรือ?

"ฉันรู้ว่าเธอรักคริส เผลอๆ จะมากกว่าที่ฉันรักเขาด้วยซ้ำ และไม่ต้องห่วงหรอก อันเดรสเขาซื่อบื้อจะตาย เขาดูไม่ออกหรอก"

คาตาลิน่าตอบ เธอมองออกว่าคริสรู้สึกกับอันเดรสอย่างไรมาโดยตลอด

"ฉันยังจะแต่งงานกับอันเดรสไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ขอสิ่งหนึ่งจากเธอ..."

คริสหน้าซีดเผือด ถ้าคาตาลิน่าขอให้เขาไปจากคนทั้งคู่เขาจะทำอย่างไร ถ้าการที่ทำให้อันเดรสมีความสุขหมายถึงเขาต้องเดินจากไป เขาจะทำได้หรือไม่?


"หลังแต่งงาน ฉันขอให้เธออยู่กับพวกเราต่อไป ฉันอยากให้เธอรักอันเดรสและดูแลเขาเหมือนกับที่เคยเป็นมา"

น้ำตาไหลพรูลงอาบแก้มของคริส

"ฉันอยากให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันหน้า เราสามคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉันขอแค่นี้ ถ้าเธอทำให้ฉันได้ฉันถึงจะยอมแต่งงานกับอันเดรส"

คริสรวบคาตาลิน่าเข้าไว้กับอ้อมอก เขาพร่ำบอกตกลงและขอบคุณ จากนั้นซบหน้าลงกับไหล่เพื่อนสาวและสะอื้นไห้ เรื่องราวมาวุ่นวายขึ้นอีกหน่อยเมื่ออันเดรสกลับมาเห็นทั้งคู่กอดกันแน่นและโวยวายใหญ่ คาตาลิน่าก็เอาแต่หัวเราะว่าที่สามี ปล่อยให้คริสต้องรีบละล่ำละลักอธิบายว่าเขากอดแคทเพราะดีใจที่แคทตอบตกลงจะแต่งงานกับอันเดรสแล้ว อันเดรสที่แสนจะดีใจก็กระโดดโลดเต้นใหญ่ แถมยังวิ่งเข้ามาจูบซ้ายจูบขวาคริสเสียยกใหญ่ บรรยากาศแห่งความสุขอบอวลไปทั้งบ้าน


งานแต่งงานของทั้งคู่มีขึ้นในฤดูร้อนปีที่อันเดรสจบการศึกษา คาตาลิน่ายังต้องเรียนต่ออีก 1 ปีเนื่องจากย้ายสาขาวิชา อันเดรสจึงอยากแต่งงานและจดทะเบียนก่อนเพื่อที่จะให้เธออยู่ต่อในสหรัฐฯ ได้หลังเรียนจบ เขาเผื่อเวลาไว้ 1 ปีในการขอกรีนการ์ด สำหรับตัวเขาแล้วการเป็นคนปูเอร์โต ริโก้ทำให้เขาได้สัญชาติสหรัฐฯ โดยอัตโนมัติ และคนที่แต่งงานกับเขาก็สามารถขอกรีนการ์ดได้เหมือนแต่งงานกับคนสหรัฐฯ

คริสในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวมองเพื่อนหนุ่มของเขาในชุดทักซิโด้สีขาวที่ยืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ที่แท่นพิธีในโบสถ์ของมหาวิทยาลัย วันนี้เพื่อนรักของเขาหล่อเหลือเกิน ประตูโบสถ์เปิดออก คาตาลิน่าเดินเข้ามาช้าๆ โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอเป็นคนส่งตัว แคทใส่ชุดแต่งงานเรียบๆ แต่เด่นด้วยตุ้มหูอัญมณีสีน้ำเงินเข้มทรงโบราณบนหูทั้งสองข้าง คริสซึ่งคลุกคลีกับของมีค่ามาตั้งแต่เด็กมองอย่างสนใจเพราะดูออกว่ามันไม่ใช่แค่พลอยธรรมดา แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ

พิธีดำเนินต่อไปจนถึงตอนที่ทั้งคู่แลกแหวนและจุมพิตซึ่งกันและกัน หัวใจของคริสพองโตที่เห็นคนที่เขารักทั้งสองคนยิ้มร่า จะมีสุขใดมากไปกว่าการที่ได้เห็นคนที่รักมีความสุข

คืนนั้นเขายกห้องนอนของเขาให้กับคู่บ่าวสาว ส่วนตัวเองลงมานั่งดื่มฉลองกับบรรดาหนุ่มๆ ละตินที่ห้องโถงด้านล่าง เขาไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขาดื่มจนสุดท้ายนอนหลับพับไปที่พื้นห้องครัว เมื่อตื่นขึ้นในอีกวันหนึ่ง เขารอจนคนอื่นออกบ้านหมดแล้วขึ้นไปเก็บข้าวของออกจากห้องนอนของเขาและย้ายลงมาอยู่ในห้องนอนเล็กสำหรับคนๆ เดียวบนชั้น 1 ที่ยังว่างอยู่ เขายอมเห็นทั้งสองคนพลอดรักกันดีกว่าให้อันเดรสย้ายไปอยู่อพาร์ทเมนท์รูหนูอย่างที่เคยเปรยๆ ไว้


หลังแต่งงาน พวกเขาก็ใช้ชีวิตแบบเราสามคนตามที่คาตาลิน่าขอไว้เหมือนเดิม อันเดรสเองก็เหมือนจะดูไม่ขัดข้องอะไรแถมยังจะถูกใจด้วยซ้ำที่คริสมาช่วยดูแลคาตาลิน่าให้ตอนที่เขาไปทำงาน อันเดรสเข้าทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เขาทำงานพิเศษด้วยช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา ส่วนเขาและคาตาลิน่ายังเหลือวิชาเรียนอีกหนึ่งปี แคทเนื่องจากต้องย้ายสาขาวิชา ส่วนสำหรับเขาเป็นเพราะเขาได้เลือกเรียนบริหารธุรกิจเพิ่มเป็นเมเจอร์ที่ 2 เขาเพิ่งค้นพบว่าตัวเองถนัดทางด้านบริหารมากกว่าการเขียนอัลกอริทึ่มซึ่งเขาก็ทำได้ดีเช่นกัน เขาเลือกเรียนมันทั้งสองสาขาเพื่อหาทางผสานมันเข้าด้วยกันเพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในอนาคต

กิจวัตรประจำวันของพวกเขาคือในตอนเช้า อันเดรสจูบลาเมียรักแล้วเดินทางไปทำงาน คริสซึ่งตอนนั้นซื้อรถมือสองเก่าๆ มาก็จะขับรถพาแคทไปเรียน ถ้าว่างตรงกันพวกเขาก็จะกินข้าวเที่ยงด้วยกันและนั่งเม้ามอยไปเรื่อยเปื่อย ช่วงเย็นเขาก็รับแคทกลับ ช่วงเย็นอันเดรสกลับมาจากทำงานก็จะเข้าครัวทำอาหารให้พวกเขาทั้งคู่ซึ่งทำอาหารไม่เป็นเลย โดยเฉพาะแคทซึ่งทอดไข่ยังไหม้ วันไหนที่อันเดรสกลับดึก พวกเขาก็จะพากันไปหาข้าวกินนอกบ้านไม่ก็สั่งอาหารจีนมากินที่บ้าน

ในช่วงแรกๆ ก็มีพวกผู้หวังดีประสงค์ร้ายทั้งหลายพากันมาเตือนอันเดรสว่าให้ระวังเมียสาวกับเพื่อนรักจะสวมเขาให้ แต่คนพวกนั้นก็ถูกอันเดรสด่าเปิงไปเสียหมด คริสเองซึ่งก็ไม่สบายใจกับข่าวนั้นก็เตรียมตัวที่จะย้ายออกจากบ้านเช่าและอยู่ห่างๆ จากหนุ่มสาวคู่นี้ แต่ทั้งสองคนทัดทานไว้ โดยเฉพาะอันเดรสที่ถึงขั้นประกาศจะตัดเพื่อนถ้าเขาเลือกที่จะไป

"นายเป็นเพื่อนรัก เป็นคนที่ฉันไว้ใจที่สุดในชีวิต ไม่มีใครอื่นที่ฉันจะวางใจฝากเมียไว้ด้วยมากกว่านาย"

"นายไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนใจลมปากคนอื่น แค่รู้ว่าทั้งฉันและแคทรักและไว้ใจนายมากก็พอ"

สำหรับคริสแล้วนั่นคือทั้งหมดที่เขาต้องการ


เทอมสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาและแคทกำลังจะจบลง แคทซึ่งได้กรีนการ์ดแล้วทำคะแนนสูงลิ่วและได้งานเป็นผู้ช่วยสอนในภาควิชาวัฒนธรรมอิเบเรี่ยนและละตินอเมริกาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบพร้อมๆ กับได้ทุนเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโทในปีการศึกษาหน้า ส่วนเขาถูกทาบทามให้เข้าทำงานในบริษัทเดียวกับอันเดรสแต่คนละแผนกซึ่งงานเบากว่าเพื่อที่เขาจะได้มีเวลาช่วงเย็นไปดูแลแคทแทนอันเดรสซึ่งงานยุ่งขึ้นทุกวัน ความเป็นเอตทัคคะในสายงานของอันเดรสทำให้เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นโปรแกรมเมอร์คนสำคัญของบริษัทในยุคที่คอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมกำลังจะพัฒนาไปเป็น PC


"ฉันกับแคทว่าจะซื้อบ้าน"

อันเดรสเปรยขึ้น คริสซึ่งเพิ่งกลับจากสอบโปรเจ็คท์คีบบะหมี่จากกล่องอาหารจีนแบบสั่งกลับบ้านค้างและเงยหน้าขึ้นมามอง

"ตอนนี้ฉันมีงานทำแล้ว พอจะผ่อนบ้านเองได้แล้ว ด้วยหน้าที่การงานของฉันแบงค์น่าจะให้ผ่านได้ไม่ยาก"

"ก็ดีนะ นายจะได้มีพื้นที่เป็นส่วนตัวกับแคทซะที จะได้ไม่ต้องมาคอยกลั้นเสียงตอนกลางคืนอีก"

คริสแย้มยิ้มกระเซ้าเพื่อนรักที่นั่งหน้าแดง

"อือ...อีกอย่าง ฉันต้องเผื่อที่ให้ไอ้ตัวเล็กด้วย" อันเดรสพูดยิ้มๆ คริสทำตาโต

"แปลว่าแคท...? โอ๊ย ดีใจด้วยนะเพื่อน" เขากระโดดกอดเพื่อนรักซึ่งยกตัวเขาลอยขึ้นอย่างยินดี


อันเดรสพาคริสไปดูบ้านที่เขากำลังจะซื้อ มันเป็นบ้านเก่าชั้นเดียวที่ไม่มีคนอยู่นานปีแล้ว สภาพมันค่อนข้างทรุดโทรม แต่ด้วยราคาที่ถูกและอยู่ในย่านที่ไม่ไกลจากบ้านเดิมนักทำให้เขาตัดสินใจได้ไม่ยาก ระหว่างเดินทางกลับพวกเขาผ่านบ้านที่ประกาศขายอีกหนึ่งหลังซึ่งอยู่เยื้องกัน คริสจำเบอร์โทรของนายหน้าขายไว้และโทรไปถามไถ่ราคา เขาวางหูด้วยสีหน้าหนักใจ บ้านหลังนั้นราคาสูงกว่าเงินเก็บที่เขามีเกือบกึ่งหนึ่ง เขาที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานคงเครดิตไม่ดีพอที่จะขอกู้ได้ เขาตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรกลับบ้าน

"อาปา คริสครับ...ครับ ผมรู้ว่าผมหายไปนาน ผมควรติดต่อกลับมาบ่อยกว่านี้" เขาถอนหายใจ

"ผมมีเรื่องอยากขอรบกวนเรื่องหนึ่ง..."

"ผมจะซื้อบ้านครับ"


พวกเขาใช้เวลาว่างปรับปรุงบ้านเก่าหลังนั้น และตอนนี้คริสและอันเดรสกำลังช่วยกันทาสีด้านนอกบ้านซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องทำ

"คริส นายมีสีติดหน้าอ่ะ"

อันเดรสพูดพลางใช้นิ้วลูบออกให้โดยลืมไปว่านิ้วตัวเองก็เปื้อนสีเหมือนกัน ผลคือยิ่งเปื้อนเข้าไปใหญ่ คริสก็แก้แค้นด้วยการเอามือเปื้อนๆ ประทับเข้าไปที่กลางอกเสื้อของอันเดรส ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นการวิ่งไล่เอาสีป้ายกันโดยมีคาตาลิน่าที่หน้าท้องเริ่มนูนน้อยๆ นั่งหัวเราะความไม่ยอมโตของสามีและเพื่อนรักอยู่ที่ชานหน้าบ้าน ผลสรุปคือทั้งสองต้องทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่มาทั้งชุดและต้องตัดผมกันอีกคนละหลายหย่อมเพราะล้างสีไม่ออก

เมื่อถึงเวลาย้ายเข้าบ้านใหม่ อันเดรสและคาตาลิน่าคะยั้นคะยอให้คริสย้ายมาอยู่ด้วยกัน ถึงบ้านพวกเขาจะเล็กแต่ก็มีที่ให้เพื่อนคนสำคัญคนนี้เสมอ แต่คริสปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาได้ซื้อบ้านใกล้ๆ กันไว้อยู่แล้ว

"ฉันซื้อไว้ลงทุนน่ะ ว่าจะแบ่งเช่าด้วย"

นั่นคือเหตุผลที่เขาอ้าง แต่เหตุผลที่จริงแล้วคือเขาต้องการให้ความเป็นส่วนตัวกับคนทั้งสองและเพื่อที่จะไม่ต้องได้ยินเสียงที่ทำให้เขาทรมานใจมาตลอดในเวลากลางคืน ที่บ้านเดิม แม้เขาจะย้ายอยู่ชั้นล่าง แต่บางครั้งเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงจากห้องของสองคนนั้นซึ่งอยู่บนหัวเขาพอดีก็ดังลงมาให้ได้ยิน มันทำให้หัวใจของเขาแทบระเบิดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทั้งสองกำลังทำ บางครั้งร่างกายของเขาก็ไม่เชื่อฟังและมันทำให้เขาต้องระบายสิ่งที่อัดอั้นออก เขามักหลับตานึกถึงภาพอันเดรสที่แย้มยิ้มและหัวเราะให้เขาก่อนที่จะปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออกมา

คริสเกลียดตัวเองที่ทำแบบนั้น เขาพยายามบอกตัวเองว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่ออันเดรสนั้นเป็นแบบเพื่อน เป็นพี่น้อง แต่ร่างกายเขาบอกเป็นอีกอย่างหนึ่ง เขาซึ่งไม่แน่ใจว่าตกลงตัวเองเป็นเกย์หรือไม่เคยลองไปโรงหนังซึ่งฉายหนังโป๊เกย์ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นแหล่งนัดพบเพื่อประกอบกิจกาม เมื่อนั่งดูหนัง แทนที่เขาจะรู้สึกเสียวซ่านหรือมีความรู้สึกทางเพศ เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง เคยมีคนเข้ามาชักชวนเขา แต่เมื่อถูกฝ่ามือใหญ่สากนั้นลูบไล้ต้นขา เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิตและรีบหนีกลับบ้าน ความรู้สึกของเขานั้นเหมือนจะมีให้อันเดรสแต่เพียงผู้เดียว


RRrrrrrrrrrrrrrrrr

คริสซึ่งกำลังนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเพราะนอนไม่หลับสะดุ้งเฮือก ใครโทรมาตอนดึกขนาดนี้ เขายกหูโทรศัพท์ขึ้น

"คริส เอารถออกเร็ว แคทจะคลอดแล้ว"

อันเดรสพูดเร็วปรื๋อ คริสรีบวางโทรศัพท์แล้วแต่งตัวโดยเร็ว


คริสและอันเดรสเดินกลับไปกลับมาสวนกันอยู่ที่หน้าห้องคลอด คาตาลิน่าเข้าไปนานแล้ว พวกเขาเริ่มเป็นห่วงแล้ว ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก พยาบาลเรียกอันเดรสเข้าไปในห้อง คริสนั่งรอด้วยความร้อนใจ ครู่ใหญ่พยาบาลก็ตามเขาให้ไปที่ห้องพักฟื้น พ่อแม่มือใหม่ทั้งสองรอเขาอยู่ด้วยใบหน้าแสนชื่นมื่น

"คริส ฉันได้ลูกชาย...ไม่สิ เราได้ลูกชาย"

อันเดรสพูดกับเขาที่ทำหน้างงๆ คาตาลิน่าส่งเด็กน้อยในห่อผ้าให้คริสอุ้ม

"ฉันอยากให้นายเป็นพ่อทูนหัวของลูกฉัน"

อันเดรสพูด คริสอึ้งไป หน้าที่สำคัญแบบนี้จะให้คนอย่างเขาเป็นจริงๆ หรือ คริสซึ่งคลุกคลีกับสังคมละตินอเมริกามาพักใหญ่แล้วรู้ดีว่า พ่อแม่ทูนหัว หรือ Padrinos ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ในพิธีล้างบาปหรือบัพติศมาเหมือนในสังคมอื่น แต่เป็นหน้าที่ๆ มีเกียรติที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ มันหมายถึงการเป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สองของเด็กคนนั้นและจะมีบทบาทสำคัญในการเลี้ยงดูและอยู่ในชีวิตของเด็กคนนั้นไปจนตลอดชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่ในด้านศาสนาเท่านั้น อันเดรสบอกเขาว่าไม่ต้องซีเรียสมากเรื่องพิธีกรรมหรือว่าต้องซื้อของอะไรให้เด็กเหมือนตามธรรมเนียมหรอก

"ขอให้คิดเสียว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเธอคนหนึ่งด้วยนะ คริส"

คาตาลิน่าเสริมขึ้น เธอเคยคุยกับอันเดรสไว้นานแล้วว่าจะยกลูกคนแรกของพวกเขาให้เป็นลูกของคริสซึ่งเคยเปรยกับสองคนนี้ไว้ว่าชีวิตนี้เขาคงจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต พวกเขาอยากให้แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วเพื่อนคนนี้ของพวกเขาจะมีคนคอยดูแลในบั้นปลายชีวิต

คริสน้ำตาซึม เขามองดูร่างน้อยๆ ในอ้อมอกของเขา ดวงตาน้อยๆ ที่คมวาวเหมือนอันเดรสจ้องหน้าเขาเป๋ง ริมฝีปากบางที่แย้มยิ้มและหัวเราะร่านั้นเหมือนคาตาลิน่าไม่มีผิดเพี้ยน เขาไกวแขนเบาๆ

"หน้าตาดีนี่ ไอ้หนู"

เขาพูดเบาๆ โตขึ้นลูกชายเขาคนนี้คงต้องทำให้สาวๆ อกหักเป็นว่าเล่นแน่ๆ

"ฆาเบียร์ เขาชื่อฆาเบียร์"

คริสทวนชื่อนั้น ก่อนส่งเด็กน้อยกลับคืนให้แม่


"ฉันอยากให้เธอตั้งชื่อกลางให้ลูกของเราหน่อย"

คาตาลิน่าพูดหลังจากให้นมลูกและส่งลูกให้พยาบาลพาไปห้องเด็กอ่อนแล้ว คริสนั่งคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะหลุดปากออกมาแผ่วเบาว่า

"Valentin..."

"แบบนักบุญวาเลนไทน์ เพราะเขาเป็นเด็กที่เกิดจากความรักของพ่อและแม่ แถมยังเข้ากับนามสกุลเธอด้วยนะ แคท" นามสกุลของแคทคือ de la Rosa แปลว่า แห่งหรือจากดอกกุหลาบ

"ฆาเบียร์ บาเลนติน มาร์ติเนซ เด ลา โรซ่า" อันเดรสทวนด้วยตาเป็นประกาย ไม่มีชื่อไหนเหมาะสมกับลูกเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฆาเบียร์เป็นชื่อบาทหลวงที่เลี้ยงเขามา บาเลนตินเป็นชื่อที่เพื่อนรักของเขาตั้งให้ รวมกับนามสกุลของเขาและคาตาลิน่า เขามั่นใจว่าเด็กคนนี้จะโตมาด้วยความรักอันล้นเหลือแน่นอน เขาหันไปกอดเพื่อนรักของเขาและพร่ำขอบคุณ คริสเองก็กอดเพื่อนรักของเขาแน่น เขาดีใจเหลือเกินที่ทั้งคู่เห็นความสำคัญของเขาถึงขนาดนี้


ชีวิตของพวกเขาดำเนินต่อไป คริสลาออกจากบริษัทที่ทำอยู่ช่วงสั้นๆ เพื่อกลับไปเรียน MBA ที่มหาวิทยาลัย S. แม้อันเดรสจะทัดทานเพราะคริสกำลังเริ่มก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คริสให้เหตุผลว่าเขาอยากกลับไปเรียนก่อนที่จะหมดไฟ แต่จริงๆ แล้วเพราะมันเป็นข้อตกลงที่เขาทำไว้กับพ่อของเขาตอนที่ขอเงินไปซื้อบ้าน และยังมีอีกข้อหนึ่ง

หลังจากเกือบ 6 ปีที่เขาจากฮ่องกงมา ในที่สุดเขาก็กลับบ้าน

คริสเดินออกจากสนามบินไคตั๊ก โรลสรอยซ์คันงามของที่บ้านจอดรอเขาอยู่แล้ว ในรถนั้นว่างเปล่ามีเพียงเขาและคนขับรถ เขายิ้มหยันให้ตัวเอง พ่อของเขาคงไม่ว่างที่จะมารับลูกชายถึงสนามบินหรอก

เขาลงจากรถที่หน้าประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ของบ้านเขาบนวิคตอเรีย พีค เขาส่งกระเป๋าใบน้อยให้แม่บ้านเพื่อเอาไปเก็บ

"ของฉันมีแค่นี้แหละ เดี๋ยวก็กลับแล้ว"

เขาตอบเรียบๆ เมื่อถูกถามเรื่องสัมภาระ

"คุณท่านรอคุณชายอยู่ที่ห้องทำงานค่ะ" แม่บ้านเก่าแก่ของบ้านรายงาน เขาพยักหน้าและเดินเข้าในตัวบ้าน พลันรู้สึกเหมือนมีคนกระตุกชายเสื้อด้านหลัง เขาหันกลับไปก็เจอเด็กชายแต่งตัวดีอายุราว 10 ปียืนบิดไปบิดมาอยู่

"พี่ใหญ่..." เด็กน้อยเรียกเขาเบาๆ

"แอนดี้เหรอ?"

เขาเรียกชื่อน้องชายตัวน้อยซึ่งครั้งสุดท้ายที่เจอยังอายุไม่เต็ม 5 ขวบ เขาไม่เคยเรียกอันเดรสว่าแอนดี้ตามที่เจ้าตัวขอก็เพราะมันซ้ำกับชื่อเด็กน้อยคนนี้

"ผมคิดถึงพี่ใหญ่มาก พี่หายไปไหนมาตั้งนาน"

เด็กน้อยโผเข้ากอดเอวเขาแน่น คริสถอนหายใจ ถึงแม้แม่ของเด็กคนนี้จะร้ายจะเลวกับเขาแค่ไหน แต่เขาก็พยายามที่จะทำตัวเป็นพี่ชายที่ดีให้กับน้องน้อยของเขา สุดท้ายแล้วเด็กก็ไม่มีความผิดอะไร แต่เนื่องจากถูกกีดกัน พวกเขาได้เล่นกันแค่นานๆ ครั้งเท่านั้น เขาถอนหายใจยกมือขึ้นขยี้หัวน้องน้อย แล้วจูงมือพาเดินเข้าในบ้าน

"พี่ใหญ่ไปเรียนหนังสือมา เดี๋ยวก็ต้องกลับไปเรียนอีก"

เด็กน้อยทำหน้าสลด การอยู่บ้านคนเดียวนี้มันเหงาจริงๆ แม่ของเขาก็เอาแต่ไปเที่ยวนอกบ้าน ย่าที่เหลืออยู่คนเดียวก็แสนจะเข้มงวด อาปาก็ไม่อยู่บ้านเลย เขาเหงาจริงๆ

"เราโตขึ้นเยอะเลยนะ อีกไม่นานก็เป็นหนุ่มแล้ว มีสาวๆ มารุมล้อมแน่"

เขากระเซ้าน้องชาย พลันมีเสียงแหลม แสบแก้วหูของอดีตนางเอกงิ้วดังขึ้น

"เหอะ อย่ามายุลูกชั้นให้เสียเด็กนะ คริส"

เด็กน้อยรีบหลบเข้าหลังคริสทันที เขาถอนหายใจแล้วหันไปเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงของเขา

"สวัสดีครับ คุณเจด"

ใบหน้างดงามนั้นบึ้งตึงในทันควัน

"ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่า นายแม่"

คริสตัดสินใจเดินผ่านร่างงามนั้นไปอย่างไม่ใส่ใจ เจดกระชากแขนแอนดี้ให้หยุดและพูดสั่งสอนดังๆ ให้เข้าหูคริส

"อย่าไปยุ่งกับมันมาก แอนดี้ เหม็นสาบฝรั่ง จำไว้นะ ฝรั่งอั้งม้อพวกนี้มันไม่เห็นหัวคนจีนแบบเราหรอก ฉะนั้นเราไม่ต้องไปสุงสิงกับมัน"


คริสขบกรามแล้วเดินต่อไป นี่คือสิ่งที่เขาเจอมาตลอดช่วงวัยเด็ก ปู่กับย่าของเขาซึ่งเคยถูกคนอังกฤษที่มาปกครองข่มเหงมานานเกลียดชังลูกสะใภ้ที่เป็นลูกครึ่งมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่อยากขัดใจลูกชายคนเดียว ยิ่งตอนหลังเมื่อลูกชายจัดการรวบรัดเอาธุรกิจของตระกูลมาบริหารแล้ว ปู่กับย่าของเขาจึงมาลงกับเขาซึ่งมีผมสีน้ำตาลเหมือนกับแม่ ยิ่งมีเจดมาเสริมทัพ ทุกวันของเขาไม่มีวันใดที่จะไม่ถูกสามคนนี้ค่อนแคะ

คริสเปิดประตูห้องทำงานกว้างใหญ่ พ่อของเขานั่งเซ็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน อาปาของเขาดูแก่ลงไปมาก

"กลับมาแล้วเหรอ" เสียงของพ่อฟังดูอ่อนล้า

"กลับมาแล้วครับ อาปา"

"ไม่มาเยี่ยมบ้านบ้างเลยนะ งานศพปู่ก็ไม่ยอมมา เรียนหนักเหรอ?"

เสียงนั้นแฝงแววตัดพ้อ คริสถอนหายใจ อาปาของเขาไม่เคยรับรู้สาเหตุการจากไปของเขา หรือไม่เคยใส่ใจก็ไม่รู้ได้ แต่เขาก็ไม่อยากจะให้มันมาเป็นประเด็น อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก

"ครับ เรียนหนัก"

เขาพูดเสียงเรียบๆ แล้วนั่งลงที่โต๊ะทำงานพ่อ

"อาปาเรียกผมกลับมานี่ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ"

เขาเผลอพูดแรงๆ ออกไปโดยไม่รู้ตัว พ่อของเขาถอนหายใจ

"พ่ออยากเจอลูกบ้างไม่ได้เหรอ?"

คริสสะท้อนใจ เขาคงใจร้ายกับพ่อไปหน่อย เขาลุกขึ้นไปกอดพ่อซึ่งสวมกอดเขาตอบอย่างยินดี

"คริส ถ้าเรียนจบป.โทแล้ว กลับมาฮ่องกงได้ไหม อาปาอยากให้ลูกมาช่วยงานได้แล้ว"

คริสแบ่งรับแบ่งสู้ บอกว่าเขายังอยากทำงานหาประสบการณ์ด้านคอมพิวเตอร์ที่สหรัฐฯ ต่อ เขาเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอ พูดถึงการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์อย่างบริษัทที่เพิ่งตั้งใหม่ที่ชื่อแอปเปิล พูดถึงการสร้างการโครงข่ายสื่อสารยุคใหม่ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะยังใช้กันในวงแคบๆ แต่เขาเชื่อว่าในอนาคตมันจะแพร่หลายไปทั่วโลกและเชื่อมโลกนี้เข้าด้วยกัน เขาอยากจะศึกษาเรื่องนี้เพื่อที่นำมาต่อยอดใช้กับธุรกิจในอนาคต พ่อของเขานั่งฟังอย่างสนใจแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจทั้งหมดดีก็ตาม แต่ในเมื่อมันทำให้ลูกของเขาสนใจ เขาก็พร้อมจะสนับสนุน

"งั้นก็ตามใจลูก แต่ยังไงก็ขอให้กลับมาเยี่ยมอาปาบ้าง..."

"จำไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไร ที่นี่ยังคงเป็นบ้านของลูกเสมอ" คริสรับคำ

เขาใช้เวลาอยู่ที่บ้าน 5 คืนก่อนจะบินกลับแคลิฟอร์เนีย ระหว่างนั้นเขาพยายามเลี่ยงการปะทะกับแม่เลี้ยง เขาสังเกตว่าพ่อและแม่เลี้ยงดูห่่างเหินกันขึ้น เจดใช้เวลาส่วนใหญ่นอกบ้านทำให้เขามีเวลาเล่นกับแอนดี้มากขึ้น แต่ถ้าเจดกลับมาแอนดี้ก็มักจะถูกดุด่าที่มายุ่งกับเขา และเมื่อคำด่านั้นสาดมาถึงเขา ที่เขาทำก็คือเดินหนี คำของแม่เลี้ยงไม่อาจทำร้ายเขาได้เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

คืนก่อนเขากลับ เด็กน้อยหนีมานอนซุกบนเตียงเขาตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าตอนเขาออกเดินทาง แอนดี้วิ่งมากอดเขาทั้งน้ำตา เขาถอนหายใจ เขาหวังว่าเมื่อโตขึ้นเด็กน้อยจะยังคงรู้สึกกับเขาแบบนี้ไม่เปลี่ยน


"กลับมาแล้วจ้า"

คริสตะโกนบอกพ่อแม่ลูกอ่อนที่กำลังง่วนเลี้ยงฆาเบียร์อยู่ ทั้งสองแลดูอ่อนเพลีย ตาลึกโหลเพราะไม่ได้นอน อันเดรสดีใจจนน้ำตาไหลพรากที่ได้เจอคริส มีคนมาเปลี่ยนเวรเขาเล่นกับก้อนกลมๆ ที่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนนี้แล้ว คริสหัวเราะท่าทางของพ่อมือใหม่แล้วอุ้มลูกทูนหัวของเขาขึ้น เด็กน้อยหยุดร้องไห้ทันที เหมือนว่าฆาเบียร์จะชอบเขาทีเดียว เขาเล่นกับเด็กน้อยสักพักแล้วก็เอาของฝากมาให้ทั้งสองคน ของอันเดรสเป็นเสื้อผ้าไหมแบบจีน ส่วนของคาตาลิน่าเป็นกำไลหยกเนื้อดีที่เธอใส่ติดตัวจนถึงวาระสุดท้าย

"ส่วนนี่ เป็นของฆาเบียร์ แต่เราจะเก็บไว้สำหรับตอนแบ็บติสต์แล้วกันนะ"

เขาชูสร้อยทองน้อยๆ ห้อยไม้กางเขนทองขึ้นให้พ่อแม่มือใหม่ดู แล้วเก็บลงกล่องส่งให้สองคนนั้น ถ้าจะให้เขาเป็นพ่อทูนหัว เขาต้องทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียม



-------------------------------------------------


ว่าจะเขียนซักสองตอน ไปๆ มาๆ สงสัยจะงอกเป็น 3 เป็น 4 แน่ๆ เลยค่ะ หวังว่าจะไม่น้ำเน่าเกินน้า แหะๆๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2017 23:21:57 โดย La Vida Sin Tu Amor »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด