ฝานเว่ยซู ... [กำเนิดใหม่มาเฟียรุ่นที่สอง] บทที่ 14 .. 08/07/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฝานเว่ยซู ... [กำเนิดใหม่มาเฟียรุ่นที่สอง] บทที่ 14 .. 08/07/2018  (อ่าน 7155 ครั้ง)

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************







สวัสดีทุกท่าน ฝากติดตามกันด้วยนะคะ อิอิ  :katai4:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2018 18:58:07 โดย ประกาศตา »

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ถึง อาเหลา

ถ้าลื้อได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นั่นก็หมายความว่า อั๊วะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ลื้อก็รู้ดีว่าชีวิตพวกเรามันก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา
แต่อั๊วะก็ไม่เคยนึกถึงช่วงเวลานี้เลย ว่าทุกอย่างที่พวกเราร่วมกันสร้างมา
จะเป็นยังไงถ้าวันนึงอั๊วะไม่อยู่ แต่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

ตอนนี้ทุกอย่างในบ้านอั๊วะคงกำลังร้อนเป็นไฟ
เพื่อนเอ๋ย อั๊วะไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้ว
หากจดหมายฉบับนี้ถูกส่งถึงมือลื้อ ก็ถือว่าอั๊วะขอร้องลื้อเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกันนะอาเหลา

ก่อนหน้านี้ช่วงที่ลื้อกับอั๊วะแยกทางกันไปตามหาฝัน อั๊วะได้พบกับผู้หญิงคนนึง
แน่ล่ะ ลื้อไม่เคยรู้มาก่อนเพราะอั๊วะไม่อยากให้ใครรู้จุดอ่อนของอั๊วะทั้งนั้น
เส้นทางนี้ที่พวกเราเลือกเดิน เรามีคนข้างกายไม่ได้ อั๊วะท่องจำมาตลอด
แต่สุดท้ายอั๊วะก็หนีไม่พ้น อั๊วะตกหลุุมรัก เป็นรักแรกและรักเดียวของอั๊วะ
อั๊วะทิ้งหัวใจเพื่อกลับมาสร้างฝันกับลื้อตอนเราพบกันอีกครั้ง จนเรามีทุกอย่าง
และอั๊วะไม่เคยนึกเสียใจเลยที่ได้ร่วมต่อสู้กับลื้อ

อั๊วะมารู้เมื่อไม่กี่ปีให้หลังนี้ว่าอั๊วะไม่ได้แค่ฝากบาดแผลให้กับคนที่อั๊วะรัก
แต่อั๊วะยังฝากพยานรักของอั๊วะกับเธอคนนั้นไว้ด้วย
เด็กที่เกิดจากความรักอันบริสุทธิ์ของอั๊วะและเธอ อั๊วะเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะมีคุณธรรม
เหมือนแม่ของเขา และยิ่งใหญ่ได้อย่างอั๊วะ

บ้านอั๊วะจำต้องมีผู้ปกครอง และอั๊วะเลือกสายเลือดโดยแท้จริงของอั๊วะเป็นผู้ปกครองคนต่อไป
รายละเอียดทั้งหมดอั๊วะได้เก็บไว้ห้องลับเดิมของอั๊วะกับลื้อนั่นแหล่ะ
อั๊วะจะให้ใครรู้เรื่องนี้ก่อนถึงเวลาอันควรไม่ได้

ถ้าลื้อได้พบกับเขา ลื้อจะจำเขาได้ทันที เชื่ออั๊วะเถอะ
เขาจำเป็นต้องมีคนคอยประคอง อั๊วะขอฝากฝังเขากับลื้อไว้ด้วย
บอกเขาว่าพ่อของเขารักเขาและแม่เขามากแค่ไหน
หากแต่วาสนาของอั๊วะคนนี้มีไม่มากนัก ที่จะได้พบหน้าดวงใจทั้งสอง

เส้นทางบากบั่นที่อั๊วะเดินมา อั๊วะมีทุกวันนี้ได้เพราะลื้อแท้ๆ
ขอบคุณมากนะอาเหลา จนสุดท้ายอั๊วะก็ยังต้องพึ่งลื้อ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อั๊วะจะระลึกถึงลื้อเสมอนะอาเหลาเพื่อนรัก

ลาก่อน...ตลอดกาล








...



...



...







...









...






"จนตายละก็ยังไม่วายทิ้งภาระให้อั๊วะนะอาหมิง"



คำพูดแสนร้ายกาจถูกเปล่งออกมาเมื่อจดหมายของเพื่อนรักจบลง

ช่างต่างกับบรรยากาศโดยรอบในตอนนี้ยิ่งนัก

รอบด้านเงียบสงัด รวมถึงเสียงหัวใจของอาเหลาที่เต้นแผ่วเบาแทบลืมว่ามันยังคงทำงาน

กระดูกทุกส่วนคล้ายจะถูกลมพัดให้ปลิวหลุดไปเป็นผุยผง หยดน้ำมหาศาลไหลรินจากสองดวงตา

กระทบกระดาษแผ่นน้อยจนแทบไม่เหลือพื้นที่แห้งให้สัมผัส





ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่กระดาษแผ่นนี้เปียกและถูกทำให้แห้ง และกลับมาเปียกอีกครั้ง

แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ความรู้สึกสุดแสนเจ็บปวดเจียนขาดใจนี้ก็ไม่เคยหายไปเลยสักครั้ง



"ถ้าลื้ออยู่ถึงตอนนี้ ลื้อจะต้องภูมิใจ ว่าทายาทหนึ่งเดียวจากความรักของลื้อ

เติบโดได้สง่างามที่สุด

อยากให้ลื้อได้มาเห็นด้วยตัวเองนะอาหมิง อยากให้ลื้อได้เห็นจริงๆ"









ก็อก ก็อก ...




"นายท่านเว่ยซูมาพบท่านครับ"

เสียงจากหน้าประตูเรียกสติชายสูงวัยในห้องกลับมาได้อีกครั้ง

สองมือเหี่ยวย่นวางกระดาษสีเก่าลงในลิ้นชัก



"เดี๋ยวอั๊วะออกไป"


ใช้เวลาเพียงไม่นานในการจัดการตัวเองให้พร้อมที่สุด

ก่อนสองขาที่บัดนี้เริ่มสั่นคลอนด้วยอายุที่มากขึ้น

ค่อยๆก้าวเข้าลิฟต์ตัวกว้าง นิ้วสีซีดกดลงไปชั้น 3 เพื่อพบหน้าใครบางคนในความทรงจำ





ติ๊ง!


ผนังกว้างใหญ่โอบล้อมเฟอร์นิเจอร์สีขาวหรูหรามีระดับหลายร้อยชิ้น

ห้องรับแขกที่ถูกตกแต่งตามสไตล์เจ้าของ รองเท้าหนังสูงครึ่งหน้าแข่งเหยียบย่ำพื้นพรมสีน้ำตาลเทา

ย่างเยื้องเข้าใกล้บุคคลที่เข้าเยี่ยมเยียนเขาเป็นประจำทุกวันศุกร์

เก้าอี้สูงใหญ่ตัวเดิมที่เคยว่างเปล่า บัดนี้มีชายที่เขาแสนคุ้นชินใบหน้าและท่าทางสบายนั่นนั่งอยู่


คนตรงหน้าเขานี้ งดงามเสียยิ่งกว่างดงาม

แม้ตอนนั่งก็ยังเดาได้ว่าความสูงนั้น ต้องไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตร


ใบหน้าคมกร้าวเชิดรั้นกับความหนาของร่างกายที่สูงใหญ่สมชายชาตรี




"ไง รอนานไหม"


ชายตรงหน้าไม่ได้ตอบคำถามนั่นแต่อย่างใด เพียงจ้องมองผู้มาทีหลังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่




"อาร้องไห้คิดถึงพ่ออีกแล้วสิ"


แขกประจำยกถ้วยรินน้ำชาให้แก่ผู้มาใหม่ พร้อมยื่นส่งให้ด้วยความเคารพ

ใบหน้านั้นไม่ประหลาดใจอะไร แม้ว่าเจ้าของบ้านจะมีดวงตาแดงก่ำ
 
เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องเดียวที่ทำให้พยัคฆ์ตรงหน้าเขาเสียน้ำตาได้

คงมีอยู่เรื่องเดียว...



ความคิดถึง






"ที่บ้านเป็นไงบ้าง"


"ก็เหมือนเดิม เหนื่อยใจดี"

คำพูดนั้นบ่งชัดว่าไม่ได้โกหก แม้ไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

แต่ลักษณะท่าทางเช่นนี้


อาเหลารู้ดีว่าคนตรงหน้ามีความเหนื่อยหน่ายทางด้านจิตใจมากแค่ไหน




"เดี๋ยวก็ชิน"

ชายสูงวัยรินน้ำชาแล้วยกให้แก่เด็กหนุ่มตอบบ้างคราวนี้ และอมยิ้มน้อยๆอย่างไม่ปิดบัง



"ผมกลัวว่าจะตายก่อนชินหน่ะสิ"

คำพูดประชดประชันชีวิตดั่งคนใกล้วันเกษียร ทำให้ดวงใจแสนหดหู่เมื่อครู่

กลับมาเบิกบานได้อีกครั้ง

และเป็นเช่นนี้เสมอมาตั้งแต่ชายที่นั่งใกล้ๆเขาได้ขึ้นปกครองตระกูลฝาน



แรกเริ่มเดิมทีก็อยู่ในความดูแลของเขา แต่บัดนี้ มังกรน้อยเติบใหญ่และกล้าแกร่ง

จนเขาเองยังคิดว่าตัวเขาในตอนนี้ คงดูแลหรือสั่งสอนอะไรชายคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว

ในใจเต็มไปด้วยความปราบปลื้ม

นัยตาสบมองคนในใจตรงๆพร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหุบมันลงไปได้สักที




"อาเหลาล่ะครับ เป็นยังไง เห็นจื่อคงบอกเมื่อวานหมอมาตรวจที่บ้าน"


"โรคคนแก่ทั่วไปล่ะเว่ยซู ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แถมยังมีอาเหมยดูแลอย่างดี

สบายทั้งกายและใจเลยล่ะ ว่าแต่

อาเหมยไปไหนซะแล้วล่ะ ไม่มาต้อนรับแขกคนสำคัญได้ยังไงกัน เสียมารยาทจริงๆ"



"อาหมิงอย่าดุเหมยเลยน่า ก็รู้อยู่ว่าเหมยไม่ค่อยชอบออกมาพบผมสักเท่าไหร่"

"แต่อีกไม่กี่เดือนลื้อสองคนก็ต้องแต่งงานกันแล้ว จะมัวมาเหนียมอายอะไรนักหนา"


พูดแล้วก็สั่งให้จื่อคงคนสนิทที่ยืนรับใช้ไม่ห่างไปตามคู่หมั้นสาวหมวยแสนสวยของ ฝานเว่นซู

ผู้นำรุ่นที่ 2 ของตระกูลฝาน ลูกชายที่เกิดจากความรักของ ฝานหมิงซู เพื่อนรักของเขา



อาเหมยเป็นคนน่ารัก ถูกเลี้ยงมาในครอบครัวใหญ่ อาเหมยเป็นลูกสาวของภรรยาคนที่ 3 ของอาเหลา

โดยลูกของภรรยาคนอื่นๆล้วนเป็นชายทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคนก็มีหน้าที่เป็นของตนเอง โบราณว่าไว้

ชาวจีนมักไม่รักใคร่ในตัวลูกสาว ช่างแตกต่างกับอาเหลาโดยสิ้นเชิง


แม้จะมีสายเลือดจีนแต่เขากลับรักและเอ็นดูลูกสาวเพียงคนเดียวคนนี้มาก

เด็กคนนี้ว่านอนสอนง่าย รักที่จะดูแลเอาใจใส่เขาทุกๆอย่าง

เพรียบพร้อมด้วยลักษณะของผู้มีบุญญา อย่างแท้จริง

สำหรับบิดาอย่างอาเหยา โดยแวบแรกที่เขาได้พบหน้าลูกสาวในห้องคลอด

ความรู้สึกในใจก็รักเด็กคนนี้โดยทันที ส่วนตัวเว่ยซูเอง ก็เคยเจอเหมย 2 - 3 ครั้ง

และชื่นชมในความงามทั้งใบหน้าและวาจามารยาท
 
ความนอบน้อมที่เขามักพบไม่บ่อยนัก ในสายเลือดพยัคฆ์



และด้วยความที่เว่ยซูเองก็ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานกับใคร อาเหลาจึงขอฝากฝังลูกสาวสุดที่รักของเขา

ไว้กับคนที่เขาเองไว้ใจมากที่สุด



เว่ยซูมีหรือจะปฎิเสธได้ อย่างไรเสีย เขาก็ต้องแต่งงานมีภรรยา

อาจมีสองหรือสามหรือมากกว่า

ก็ต้องดูแลกันไป

เพราะถึงอย่างไร หน้าที่เขาก็ไม่ใช่เพียงแค่ปกป้องดูแลคนในอาณัติ

แต่ต้องเป็นการหาผู้สืบทอด ดำรงค์ตำแหน่งต่อไปหลังจากที่เขาจากไป

มันเป็นกฎที่เขารับรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว และเหมยเองก็เป็นที่ถูกใจเขาอยู่ไม่น้อย



"คุณเหมยเร่งมือทำขนมไปฝากที่บ้านนายท่านเว่ยซูอยู่ครับ จึงออกมาต้อนรับไม่ได้"

จื่อคงเดินกลับมารายงานหลังจากหายไปพักใหญ่ สองอาหลานมองหน้ากันแล้วยิ้ม


วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ทั้งคู่พูดคุยกันเรื่องสุขภาพ ปัญหาเรื่องงานของเว่ยซูบ้างประปราย

แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นช่องลมที่นานกว่าคำพูดใดๆ เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆผู้ดูแล

ความเหนื่อยของเว่ยซูก็หายไปเกือบครึ่ง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้

ก็เห็นจะมีเพียงคนๆนี้ที่เขาไว้ใจมากที่สุด

คนๆเดียวกับที่พ่อเขาไว้ใจมากที่สุดเช่นกัน





...




...




...




...







"วรรณกรรม...วรรณกรรม รอเราด้วย!"


"ปุยฝ้าย ถ่ายรูปกัน"

ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด สวมใส่เสื้อคลุมวันสำเร็จการศึกษายิ้มให้สาวแว่น

ที่วิ่งตามเขามาอย่างหน้าตาตื่น

ทั้งคู่ถือช่อดอกไม้และยิ้มให้อุปกรณ์สี่เหลี่ยมที่มีคนยืนอยู่ด้านหลังนั้น

คนมากหน้าหลายตาล้วนหลั่งใหลกันมาแสดงความยินดีกับลูกหลานที่ได้สำเร็จการศึกษาในวันนี้


วรรณกรรมเองก็เป็นหนึ่งในหลายพันคนนั้น

เพื่อนหลายคนที่รู้จัก ล้วนทักทายพร้อมถ่ายภาพที่ระลึก

เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป เรียกได้ว่าธรรมดาอย่างถึงที่สุด


"วรรณกรรมเจอพ่อแม่รึยัง"


"ยังเลย เรากำลังตามหาพ่ออยู่เหมือนกัน เมื่อกี้โทรหาก็ไม่รับ สงสัยไม่มีสัญญาณ"


"นี่ตากล้องของวรรณกรรมเหรอ หล่อจัง"

หญิงสาวยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับคนด้านหลังอุปกรณ์สี่เหลี่ยมที่ยังคงกดชัตเตอร์ไม่หยุด

แม้ยามที่พวกเขาพูดคุยกัน

"ใช่ เพื่อนของเพื่อนเราเองปุย ชื่อสรา สนใจติดต่องานได้นะ ทักไลน์เรามาเลย"

"ไว้จะทักไปนะ เราไปล่ะ"

หญิงสาวยิ้มกริ่มตลอดการสนทนา

รวมไปถึงสายตาที่มองไปอื่นทางโดยไม่ได้มองหน้าเพื่อนแต่อย่างใด



"พ่ออยู่ไหน ว่านอยู่ตรงที่นัดกันไว้นานแล้วนะ"


"พ่อกำลังเดินไป คนเยอะมากพ่อหาที่จอดรถลำบาก"


"ครับ"


วรรณกรรมยืนรอบิดาตรงนั้นอีกเพียงครู่เดียวก็พบกัน รอยยิ้มผุดขึ้นบนในหน้าแทบทันที

ครอบครัวเขาก็มีเพียงพ่อคนเดียว และวันนี้ก็มีเพียงพ่อเท่านั้นที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเขา


เขาโผเข้ากอดผู้มีคุณ ใบหน้าเปี่ยมล้นความสุข สำหรับเขา เพียงพ่อก็พอแล้ว


"สรา เราขอรูปคู่กับพ่อเยอะๆหน่อยนะ"

บอกเพียงแค่นั้น เขาก็พาพ่อไปยังที่ต่างๆที่เขาชอบในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้

และถ่ายรูปคู่กันสองคนพ่อลูก เดินเจอเพื่อนก็ถ่ายกับเพื่อนบ้าง

วรรณกรรมไม่ได้มีเพื่อนมากมาย

แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเขามีพ่ออยู่แล้วทั้งคน



เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็สิ้นสุดลง ด้วยความเหนื่อยล้าของวรรณกรรม

เขาบอกลาทุกอย่างและกลับบ้านพร้อมบิดา



"ว่านลามากี่วันลูก"


"อาทิตย์นึงแหล่ะพ่อ"

สองพ่อลูกเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยรถยนต์ส่วนตัว

วันนี้เขายิ้มมากจนเหนื่อย แต่ก็ยังพูดคุยกับพ่อไปตลอดทาง


"ลานานขนาดนี้เขาไม่ว่าเอาเหรอ"


"ไม่หรอก ว่านไม่อยู่คนเดียว บริษัทเขาไม่เจ๊งหรอกน่า"

บทสนทนามากมายสำหรับสองพ่อลูกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือนไม่จบลงเพียงแค่นั้น

จนถึงบ้านเกิดพวกเขาก็ยังคงนั่งคุยกันจนดึกดื่น

ก่อนที่วรรณกรรมจะยอมปล่อยให้ผู้เป็นบิดาได้พักผ่อน



วรรณกรรมเดินขึ้นบันไดไปด้านบน ก่อนไขกุญแจเข้าห้องนอนของตนเอง

เขาคิดถึงมันมากมายเหลือเกิน นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กลับมา ด้วยเขาเองเป็นคนติดบ้านมาก

แต่ด้วยภาระหน้าที่ เขาจึงจำต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น แม้ใจจะอยากกลับมาอยู่บ้านดูแลพ่อ

ของเขามากแค่ไหน



มือใหญ่ลูกผ้าปูเบาๆด้วยความคิดถึง ก่อนทิ้งตังลงนอนลืมตามองเพดาน

ที่ด้านบนมีการ์ตูนตัวโปรดแปะไว้ดู

เขาไม่อยากกลับมาที่นี่เลย กลับมาทีไร ไม่อยากกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อทุกที

นอนปล่อยความคิดได้เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป



ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน วันหยุดก็เช่นกัน







...





"พ่อ ว่านไม่กลับไปแล้วได้ไหม"

ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอ้อนบิดาเช่นเคยเมื่อมาถึงสถานีขนส่งประจำจังหวัด


"ไม่ไปได้เหรอ ทุกคนล้วนมีหน้าที่นะลูก"


"..."



'ปกติก็ไม่อยากไปอยู่แล้ว แต่วันนี้มันยิ่งรุนแรง มันเหมือน...จะไม่ได้กลับมาอีก'



วรรณกรรมเพียงรู้สึก หากแต่ไม่ได้พูดออกไป เพื่อไม่ให้บิดาต้องเป็นห่วง

เขากอดบิดาอีกหนึ่งครั้งแล้วหันหลังจากไป บัดนี้ รถรออยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากทำให้ใครเสียเวลา



"พ่อดูแลตัวเองด้วยนะ"



วรรณกรรมกระซิบบอกพ่อทั้งที่ขากำลังก้าวขึ้นรถ

ผู้มาส่งเพียงโบกมือด้วยรอยยิ้มแล้วจากไปเช่นกัน



...




....





...



...







"นายท่านเว่ยซู คุณเทียนหลิงมาขอพบครับ"

คนในห้องเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย

เขาวางมือจากเอกสารตรงหน้าแล้วกลับมานั่งพิงพนักเก้าอี้ในท่าสบาย

ห้องทำงานที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ขัดกับพื้นที่หลายไร่ของบ้านหลังนี้

บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนๆนี้

รักที่จะอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและอบอุ่นปลอดภัย 



ไม่ต้องรอนาน สาวสวยนามเทียงหลิงก็ย่างก้าวเข้ามาด้านใน

รูปหน้าทรงรี ดวงตากลมโต รวมไปถึงผมดำยาวสลวย

ปล่อยยาวเกินกลางหลัง ความสวยที่หาได้ยากในฉบับสาวหมวยจีนทั่วไป

กับใบหน้าที่ถูกแต่งเติมสีจัดจ้าน

เลือกสวมใส่เสื้อผ้าขัดกับผิวขาวและรัดรูปได้สัดส่วนอย่างชัดเจน เรียกรอยยิ้มคนในห้องได้เป็นอย่างดี

นายท่านบ้านนี้ก็เหมือนชายทั่วไป นิยมชมชอบสาวสวย

โดยเฉพาะรูปลักษณ์เช่นคนตรงหน้าตอนนี้

สาวเจ้าเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มละลายใจโดยไม่พูดอะไร

สองเท้าก้าวประชิดเจ้าของห้องด้วยท่าทางสง่า

ก่อนที่จะวางก้นกลมลงบนตักกว้าง



"ทำอะไรอยู่คะเว่ยซู"



"ก็งานเหมือนเดิม คุณจะมาทำไมไม่บอก ผมจะได้ให้คนไปรับ"


แม้คำพูดจะแสนธรรมดา แต่มือปลาหมึกในตำนานบัดนี้กำลังลูบลงต่ำเรื่อยๆจนเกือบถึงจุดยุทธศาสตร์



"เว่ยซู บ้านฉันก็มีรถนะ"

รอยยิ้มหวานตอบกลับอย่างพอใจในสัมผัส เธอไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ

แต่กลับลูบไล้ไปตาม กล้ามเนื้ออันใหญ่โตด้วยเช่นกัน

ความพอใจที่ทั้งคู่ต่างมอบให้กัน เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่มีใครรอให้ช้ากว่านั้น

บทเพลงรักร้อนแรงบนโต๊ะทำงานก็เริ่มขึ้น

ฝานเว่ยซูไม่เคยขาดการบำบัดอารมณ์ด้านความต้องการ

ต่อให้เขานั่งอยู่เฉยๆกับที่ ก็จะมีสาวสวยเช่นนี้ต่อคิวกันมาปรนนิบัติอย่างไม่ขาดสาย


และเมื่อทุกอย่างจบลง เรื่องงานจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ทั้งคู่กลับมานั่งเก้าอี้อีกครั้ง และประจัญหน้ากันในเรื่องเศรษฐกิจ



"คุณเทียนหลิงมาถึงนี่ด้วยตัวเอง ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่"


"ก็บอกไปแล้วไง ว่าคิดถึงคุณหน่ะ"


คำพูดแบบขอไปที พร้อมสายตาที่เสมองไปด้านอื่นของห้อง

ขาด้านซ้ายยกไขว้ขึ้นเป็นท่าไขว่ห้าง คนมองสบมองท่าที

ของแขกตรงๆ ดวงตาหลี่ลงเล็กน้อยด้วยความฉงนใจ และรอคำตอบ

ว่าผู้หญิงคนนี้มาหาตนทำไม



"ไม่เห็นต้องทำหน้าจริงจังอะไรขนาดนั้นเลยเว่ยซู

ฉันแค่จะมาถามคุณ ว่าคุณรู้เรื่องที่ซีรี่ส์บ้างไหม"


"อะไรที่เป็นของผม ผมก็ต้องรู้อยู่แล้ว"


"แล้วทำไมคุณถึงยังนิ่งเฉย ที่คนของฉันถูกคนของคุณทำร้าย!"

น้ำเสียงหญิงสาวกดต่ำคล้ายพยายามสกัดอารมณ์โมโหของตนเองเป็นอย่างมาก

เธอไม่ชอบแสดงอารมณ์ต่อหน้าใคร

โดยเฉพาะเพื่อนร่วมวงการอย่างเจ้าของบ้านที่เธอมาหาในวันนี้


"ผมไม่ได้อยู่เฉย แต่ผมสั่งคนจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว

มันน่าจะเป็นเรื่องปกติไปได้แล้วนะเทียนหลิง

ที่ลูกน้องชั้นล่างของพวกเราจะมีปากเสียงกันบ้าง"


"งั้นคุณก็พลาดแล้วล่ะ เพราะคนของคุณไม่ได้จัดการอะไรเลย

คนของฉันหายตัวไป และมีคนบอกว่าครั้งสุดท้าย

พบว่าอยู่กับกลุ่มคนของคุณ"


คนในความดูแลของเขามีหลายร้อยคน ไม่ว่าจะระดับไหน

เขาก็จัดการวางระบบควบคุมไว้อย่างดีแล้ว

และเรื่องราวทะเลาะเล็กน้อย โดยเฉพาะของลูกน้องระดับล่าง

ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเว่ยซูจำเป็นต้องสนใจ

แม้จะมีใครถูกลักพาตัว อุ้มฆ่า หรือหายไปจากบัญชีรายชื่อ ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ที่เขาไม่ต้องรับรู้ด้วยแต่อย่างใด


เขาจึงแปลกใจไม่น้อย ที่หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรระดับเทียนหลิงจะมาคุยกับเขาที่นี่ด้วยตนเอง



"หวังว่าคนๆนั้นคงพิเศษมากพอที่ทำให้คุณต้องเสียเวลาเดินทางมาถึงนี่นะ"

"ฉันไม่แปลกใจเลย ที่ใครๆก็ว่าคุณไร้หัวใจ"


"ผมแค่รู้ว่าเรื่องไหนควรใช้ เรื่องไหนไม่ควร...ลูกน้องคุณมีปัญหากับใคร"



แปะ



แฟ้มสีน้ำตาลอันใหญ่ถูกโยนลงบนโต๊ะ

เจ้าของบ้านเปิดแฟ้มนั้นและมองภาพจากกล้องวงจรปิด

ปรากฏเป็นชายคนหนึ่งถูกชายอีกสี่คนยืนล้อมไว้ ก่อนที่ภาพในมือใบอื่นๆจะถูกยกขึ้นมาดู

ชายคนนั้นก็กำลังถูกชายสี่คนรุมจับล็อคและทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง



ภาพที่เขาเห็นเป็นประจำ ไม่ได้ทำให้ความสนใจมากขึ้นแต่อย่างใด

เว่ยซูโยนของในมือลงบนโต๊ะตามเดิมพร้อมใบหน้านิ่งสงบ สร้างความไม่พอใจในแววตา

ของสาวสวยฝั่งตรงข้ามได้มากโข



"ให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าลูกน้องคุณคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วล่ะ"


"ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ต้องชดใช้ เพราะสี่คนนั้นเป็นคนของคุณ"

"ผมจะเรียกสี่คนนั้นมาให้ คุณอยากถามอะไรก็เชิญเพื่อความสบายใจ"

โทรศัพท์ไร้สายถูกกดเพียงสองครั้งก่อนที่คนสนิทหน้าห้องจะเดินเข้ามาเพื่อรับฟังคำสั่ง


บรรยากาศมาคุภายในห้องยิ่งประทุขึ้นเรื่อยๆเมื่อนาฬิกาเคลื่อนที่ไป

ลืมไปโดยสนิทว่าเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ บรรยากาศในห้องช่างเร้าใจเพียงใด



ครึ่งชั่วโมงแห่งความอึดอัดจบลง เมื่อหน้าประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น และชายฉกรรจ์สี่คนในภาพ

ถูกนำตัวเข้ามา ทำให้ห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ดูเล็กลงกว่าเดิมไปถนัดตา



ซองเอกสารบนโต๊ะถูกส่งให้ชายคนที่ยืนใกล้ที่สุด ทั้งสี่คนจ้องมองภาพในมือด้วยท่าทางสงบนิ่ง


"ในรูปใช่พวกนายรึเปล่า"


"ครับ"


"แล้วคนที่พวกนายซ้อม มีปัญหาอะไรกัน"


"พวกเราลากมันออกจากซีรี่ส์สองเพราะเมาแล้วอาละวาดครับ"


"หลังจากนั้นหล่ะ"


"พอมันสลบ พวกเราก็ลากมันไปทิ้งไว้ในซอยแถวนั้นห่างไปไม่กี่โลครับ"


ทั้งสี่ร่วมกันตอบคำถาม ชายสามคนมีท่าทีเกรงกลัวต่อเจ้านายและพันธมิตรในห้อง

ส่วนชายอีกคน ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ไม่แสดงท่าทางว่าโกหกต่อคำพูดแต่อย่างใด




"ตายรึเปล่า"



"ไม่ครับ พวกเราไม่เคยซ้อมใครตาย"

เมื่อได้คำตอบที่พอใจ เว่ยซูจึงหันไปมองสาวสวยผมดำที่ตั้งใจฟังอีกฝั่งของห้อง

เขาผายมือให้ทั้งสี่หันไปตอบคำถามจากอีกฝ่ายบ้าง


"ตอนนี้คนของฉันหายตัวไป ภาพพวกนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ฉันมี

พวกนายแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรเขามากกว่านี้"


"ครับ พวกเราไม่ได้โกหก

คนคนนี้ไม่ได้ถูกซ้อมรุนแรงเกินกว่าในรูป แต่คงเพราะเมา เลยสลบไปง่ายๆ"


"...ตอนนั้นพวกเราไม่ทราบเลยนะครับว่าคนๆนี้คือคนของคุณ"

ชายอีกคนสมทบอย่างกล้าๆกลัวๆ




"นั่นน่ะ น้องชายฉันเอง"


คำพูดแผ่วเบาหลุดออกจากปากนายหญิงกลุ่มพันธมิตร ชายสี่คนหน้าถอดสีทันที

พร้อมกับเจ้าของบ้าน ที่ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างกระทันหัน

มิน่าหล่ะเธอจึงลงทุนมาถึงที่นี่ ชายที่หายไปเป็นถึงน้องชาย

แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยได้ยังไงว่าเทียนหลิงมีน้องชาย


"ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณมีน้องชาย"


"ฉันก็ไม่ได้อยากนับเด็กนั่นเป็นน้องชายนักหรอก เขามันไม่ได้เรื่อง ไม่เคยสนใจเรื่องของตระกูล

ไม่เคยคิดช่วยเหลืองานอะไรหรือใครในบ้านทั้งนั้น ไม่ต่างอะไรกับกาฝาก แต่เพราะมีสายเลือดเดียวกัน

ฉันถึงยังต้องดูแล"


"ผมพอเข้าใจ แต่ถ้าคุณบอกว่าน้องชายคุณไม่ได้เรื่องขนาดนั้น แถมยังมามีเรื่องในซีรี่ส์ของผม

ผมก็คิดว่ามันคงไม่แปลก ถ้าเขาจะมีศรัตรูมากมาย โดยเฉพาะถ้ามีใครรู้ว่าเขาเป็นน้องชายนายหญิงเทียนหลิง"


"ฉันถึงไม่คิดจะบอกใครว่าเขาคือน้องชายฉันไง"

สาวสวยเริ่มมีใบหน้าครุ่นคิดหนักขึ้น เมื่อเอาความกับบ้านฝานไม่ได้

เพราะน้องชายล้วนมีปัญหากับใครก็ได้

แต่เธอจะไปตามหาอย่างไรต่อ เมื่อหลักฐานสุดท้ายอยู่กับคนบ้านนี้


"ในฐานะพันธมิตร ผมยินดีช่วยเหลือคุณในเรื่องนี้"

ดวงตาที่เสมองไปตาอื่นหันกลับมาสบตากับผู้พูดทันที แต่หากก็ต้องเสกลับไปมองทางอื่นอีกครั้ง

เพราะรู้อยู่แล้วว่าพันธมิตรบ้านนี้ของเธอ ไม่เคยทำอะไรเพื่อใครฟรีๆ


"คุณต้องการอะไรแลกเปลี่ยน"


"ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่ขาก้าวอี้ให้ตระกูลฝานอีกสักที่ในสภาเท่านั้นเอง"


"ฮึ...ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมนะเว่ยซู คุณมันคนไร้หัวใจ"


คนงามดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คอที่ตั้งตรงไม่หันมองด้านข้างหรือหน้าใครทั้งนั้น

เป้าหมายตรงไปยังประตูห้อง

ก่อนที่ประตูจะถูกกระชากออกอย่างแรง และนั่นคือคำปฏิเสธที่ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ














......โปรดติดตามตอนต่อไป









 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อย่าบอกว่าวิญญาณของว่านจะได้มาอยู่ในร่างน้องชายของคุณเทียนหลิง (จำชื่อไม่ได้อะ น่าจะประมาณนี้)
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 1




...




บันลังก์มังกร ย่อมไม่ได้ประกอบไปด้วยมังกรเพียงสิ่งเดียว

ครอบครัว ลูกน้อง พันธมิตร ศรัตรู หรือแม้กระทั่งกฏหมาย

ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวพันกันทั้งสิ้น




ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่ฝานเว่ยซูแบกอยู่นั้น คือสิ่งที่เขาถูกกำหนดไว้แล้ว

ว่าต้องเป็นเขาเท่านั้น แม้ภายในใจจะหลงใหลในความสงบมากเพียงใดก็ตาม


หากว่ายืน ณ ตรงนี้ มันช่างห่างไกลกับคำว่าความสงบยิ่งนัก

สิ่งเหล่านี้กัดกินดวงใจเขา จนเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่า จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้อีก




แรกเริ่มเดิมที เขาก็ฝืนใจยิ่งนักที่ต้องรับภาระนี้

แต่เมื่อผ่านบทพิสูจน์ รวมถึงระยะเวลาที่เคลื่อนผ่านไปเนิ่นนาน

เขากลับรู้สึกชินกับมันเสียแล้ว และไม่ได้รู้สึกว่าต้องฝืนใจแต่อย่างใด





"เรื่องคุณเทียนหลิงไปถึงไหนแล้ว"



นายใหญ่เอ่ยถามเรื่องที่ยังคงค้างคาใจของเขาเมื่อสองเท้าก้าวเข้ามาในห้องทำงาน


"เราให้คนตามหาเบาะแสอยู่ครับ แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า"



คำรายงานที่ทำให้ผู้มาใหม่ต้องใช้สองนิ้วนวดไปบริเวณหว่างคิ้วของตนเอง


วันนี้ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลย กลับรู้สึกท้อแท้เสียแล้ว


ยิ่งรู้ว่าเป็นน้องชายแท้ของเทียนหลิง พันธมิตรคนสำคัญของเขายิ่งกลุ้มหนัก


ก่อนหน้านี้ปัญหาอื่นก็เยอะมากพออยู่แล้ว และเขาไม่มีเวลามากพอที่จะตามเรื่องนี้

ประเด็นจึงถูกปล่อยให้ล่วงเลยมาโดยที่เขาไม่ได้ใส่ใจ

จนเมื่อศุกร์ที่ผ่านมาเขาถูกอาเหลาท้วงติงเรื่องนี้มา เนื่องจากตระกูลเฟยถือเป็นพันธมิตรคนสำคัญ

และอาเหลาสอนเขาเสมอให้รู้รักษามิตร อย่าได้เห็นแก่คำว่าได้เพียงอย่างเดียว



"เอาเถอะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง"


"แล้วเรื่องซีรี่ย์ 8 ที่ถูกโกงไปเมื่อวานละครับ"


"จิวฝู"


"ครับ"


"นายไปจัดการให้ฉันที"


"ครับนาย"


จิวฝูรับคำสั่งและเดินออกไปในทันที



"มีอะไรอยากพูดรึเปล่าซือเป่า"


"ผมแค่ไม่เห็นว่าเด็กที่ไม่ได้เรื่องคนนั้นจะสำคัญกว่าปัญหาของซีรี่ย์คุณครับ"


คำพูดของซือเป่าเหมือนความในใจของเว่ยซูไม่มีผิด และเพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ใครๆถึงเรียกเขาว่าคนไร้ใจ

แต่ลึกๆเขาก็ยังอยากช่วยเหลือคนไร้ค่า แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเขา

และคงเพราะด้วยเหตุนี้ อาเหลาของเขาจึงส่งจิวฝูมาอยู่กับเขา

เพราะหากปล่อยเขาไว้กับมือซ้ายอย่างซือเป่า เขาคงยิ่งทวีความรุนแรงในจิตใจขึ้นเรื่อยๆ



ถ้าซือเป่าคือความรุนแรงและความถูกต้อง จิวฝูก็เปรียบเสมือนความประณีประนอม

และมันสมองอันชาญฉลาดของเว่ยซู เพราะคานกันอยู่เช่นนี้ การตัดสินใจของเว่ยซู

ในการทำสิ่งต่างๆจึงได้ถูกต้องและง่ายขึ้น



"จิวฝูคงไม่ได้คิดเหมือนนาย...ไปเตรียมรถ ฉันจะไปดูสถานที่สุดท้ายที่พบเด็กนั่น"


"ขอรายงานทั้งหมดด้วย ฉันจะอ่านระหว่างไป"



รถยนต์ขนาดธรรมดาถูกเลี้ยวเข้ายังเคว้งที่จอดเพื่อให้เจ้าของได้ขึ้นไป

เว่ยซูมักเลือกรถธรรมดาในการออกทำงานเอง เพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตา

แฟ้มเอกสารมากมายถูกวางไว้เบาะซ้ายมือ ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยฝีมือจิวฝู

บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาสนใจให้ความช่วยเหลือตามหาคนครั้งนี้มากแค่ไหน

ซือเป่าขึ้นรถฝั่งตรงข้ามคนขับด้วยสีหน้าหน่ายโลก


เขาเบื่องานติดตาม รวมถึงงานช่วยเหลือใคร


เว่ยซูเปิดแฟ้มในมือทีละแฟ้ม ข้อมูลทั้งหมดของเทียนฉิน

บ่งบอกว่าเด็กคนนี้มีปมทางจิตใจด้านครอครัวอย่างรุนแรง

แม้เกิดในตระกูลยิ่งใหญ่ แต่กลับเป็นเพียงลูกชายคนสุดท้ายก็ภรรยาคนสุดท้ายของตระกูลเฟย

มารดาถูกกลั่นแกล้งจนต้องฆ่าตัวตายเมื่อเขาอายุได้เพียง 6 ขวบ

เด็กชายมีพัฒนาการที่ช้ากว่าใครๆ มักเหม่อลอยและเก็บตัว

เมื่อเริ่มเติบโตก็ได้รู้จักกับกลุ่มอันธพาลกลุ่มหนึ่งในสังกัดตระกูล

และได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ผิด


เขามีปัญหาต่อยตีไปทั่วกับแก๊งค์อื่นๆ โดยไม่ได้ป่าวประกาศว่าตนเป็นถึงบุตรชายคนสุดท้องของตระกูลเฟย

ด้วยตนนั้นเกลียดบิดาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเชื่อว่าที่มารดาของเขาตายเพราะบิดาของเขาเอง



เรื่องราวสุดดราม่าที่ถูกเรียบเรียงด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และเข้าถึงความรู้สึก

โน้มน้าวเว่ยซูให้เกิดความสงสารได้จับใจ หากแต่เขาได้รับรู้เรื่องราวปรามาณนี้มามากมายแล้ว

จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก และยังแอบชื่นชมฝีมือการเขียนเรียบเรียงของจิวฝูในใจไม่น้อย


แฟ้มที่สองเป็นภาพถ่ายมากมายที่ถูกเก็บรวบรวมโดยจิวฝู ซึ่งเจ้าของภาพคงไม่รู้ด้วยซ้ำ

ว่าเขามีรูปเช่นนี้อยู่ด้วย



พัฒนาการของเด็กชายที่ควรเติบโตเป็นเด็กปกติ หากว่าไม่ได้เกิดในตระกูลดำมืดเช่นนี้

ยิ่งลงรายละเอียด ยิ่งทำให้เว่ยซูเข้าใจอะไรมากขึ้น


ทุกครั้งที่เขาถามเรื่องนี้จากจิวฝู เขาจะได้รับคำตอบว่าไม่มีอะไรคืบหน้า

แม้ว่าเอกสารในมือจะคืบหน้าไปอย่างมากแล้วก็ตาม


...


จิวฝูกำลังช่วยเด็กคนนี้


"จอดรถก่อน"


"ครับนาย..."



"ย้อนกลับไปบ้านตระกูลเฟย"



ความฉงนใจเกิดขึ้นแก่สารถีและมือซ้ายของเขาที่นั่งสังเกตุการณ์ความปลอดภัยอยู่ด้านหน้า

แต่ก็ยังคงทำตามคำสั่ง รถคันเล็กแล่นถึงรั้วคฤหาสถ์ตระกูลฝาน และรอเพียงไม่นานประตูก็เปิดออก

พ่อบ้านระดับสูงออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญด้วยตนเอง


เว่ยซูถูกเชิญเข้าด้านใน ขึ้นลิฟต์ไปไม่กี่ชั้นก็ถึงห้องรับรองแขกพิเศษ

และแน่นอนว่า เทียนหลิงรอเขาอยู่ในนั้นแล้ว



"สวัสดีค่ะเว่ยซู ฉันได้ยินว่าคุณมา เลยรีบลงมารอ"


"ผมมาเรื่องน้องชายคุณ"


"ค่ะ ฉันรู้ ตกลงหาน้องชายฉันเจอแล้วเหรอ"


"ครับ และผมเสียใจด้วยนะเทียนหลิง ผมคิดว่าน้องชายคุณไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว"





กึก..


หญิงสาวที่อยู่ในท่าสบาย บัดนี้ลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว แต่ก็ยังคงท่าเดิมไว้

จากการฝึกสอนมาตลอดชีวิต แต่ใจเจ้ากรรมกลับห้ามน้ำใสๆที่ไหลรินจากหัวตาไม่ได้

เธอปาดมันทิ้งด้วยมือที่สั่นเทา


เว่ยซูก้าวเข้าไปเพื่อโอบกอดเธอไว้ด้วยความเต็มใจที่แท้จริง


แม้ว่าจะเป็นพันธมิตร คู่นอน และยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งคู่



อีกหนึ่งสถานะที่พวกเขามีให้กันมาตลอด ก็คือ...เพื่อน



"คุณแน่ใจใช่ไหม"


"ผมพูดจริงเสมอ"



เมื่อได้ยินคำยืนยันนั้น ยิ่งทำให้อ้อมกอดถูกกระชับแน่นขึ้น

คล้ายว่าคนในอ้อมกอดเขาบัดนี้กำลังเจ็บปวดอย่างหนัก

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะเขารู้ทุกเรื่องระหว่างเทียนหลิงและเทียนฉิน


แม้จะคนละพ่อ และอายุที่ห่างกันเกือบสิบปี แต่ตลอดมาเทียนหลิงกลับดูแลเด็กคนนั้นดั่งลูกชายแท้ๆ


เนื่องด้วยตั้งแต่มารดาฆ่าตัวตาย คนที่คอยดูแลและคอยแก้ปัญหาต่างๆให้ก็คือเทียนหลิงทั้งสิ้น

เว่ยซูใช้เวลาอยู่ที่นั่นเพื่อปลอบใจเพื่อนเขาเกือบตลอดทั้งวัน และกลับบ้านตนเมื่อพลบค่ำ


เขารอจิวฝูกลับมา และเรียกคุยเป็นการส่วนตัวในห้องทำงานของเขาเช่นเคย

โดยมีซือเป่าอยู่ด้วยไม่ไปไหน

จิวฝูมาถึงและรายงานความเรียบร้อยเรื่องจัดการกับแขกที่โกงเงินซีรี่ย์ไปหลายร้อยล้านได้ภายในวันเดียว


"นายเก็บเด็กนั่นไว้ที่ไหน"


คำถามถูกยิงออกไปทันทีที่จิวฝูรายงานการปฏิบัติหน้าที่จบ


"ผมไม่ทราบว่าคุณพูดเรื่องอะไร"


"เทียนฉิน...เด็กนั่นอยู่ไหน"


ซือเป่าทราบว่านายของตนเข้าพบนายหญิงเทียงหลิงเพื่อบอกเรื่องการเสียชีวิตของเทียนฉิน

แต่ตอนนี้กลับถามจิวฝูว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน สร้างความงงงวยแก่เขาเป็นอย่างมาก


"แต่คุณบอกว่าเด็กนั่นตายแล้ว"


"ใช่ เด็กนั่นตายแล้ว ตายเพราะจิวฝูไง"


"ว่าไงจิวฝู นายคงรู้ว่าปิดฉันไม่ได้อยู่แล้ว"


"ผมทราบครับ และไม่ได้คิดปิดบัง"


"งั้นก็บอกมา นายเอาเด็กนั่นไปไว้ที่ไหน"


จิวฝูมองหน้านายใหญ่ของเขาและหันไปหาซือเป่าด้วยสายตาหวาดระแวง


"ตอบนายไปจิวฝู ฉันไม่ตามไปฆ่ามันหรอก"


"เมืองไทยครับ ผมพาเขาไปฝากไว้กับครอบครัวหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศไทย"



...



ทุกอย่างเงียบลง เมื่อพูดถึงสถานที่ที่เว่ยซูกลัวที่สุด

เขาไม่อยากแม้แต่ได้ยิน เพราะเมื่อได้ยิน เขาจะเจ็บปวดทุกครั้ง

ภาพควาทรงจำมากมายของเขาผลุบเข้ามาในหัว วนเวียนอีกครั้งและอีกครั้ง

ความอึดอัดในหน้าอกกำลังทำให้เขาจุกจนเจ็บและเริ่มหายใจไม่ออก



ความเงียบเนิ่นนานสร้างความอึดอัดให้แกสมุนซ้ายขวาของเขาเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะซือเป่าที่รู้ทุกเรื่องราวที่มาของเจ้านายเขา

และรู้ว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เว่ยซูเจ็บปวดได้ ก็คือความทรงจำ



"นายท่านเว่ยซู ผมจะไปพาเด็กนั่นกลับมาเอง"


"ไม่ได้!"


"ไม่ต้อง!"



สองเสียงประสานกันทันที เสียงแรกเป็นของจิวฝูและเสียงหลังคือของเจ้าของห้องนี้และบ้านหลังนี้


"นายรู้ใช่ไหมจิวฝูว่าทำอะไรอยู่"


"ทราบครับ และผมยินดีรับผิดชอบ"


"และแกก็ลากนายท่านไปซวยกับแกด้วย"


"เบาก่อนซือเป่า ฉันตัดสินใจช่วยเหลือเด็กนั่นเอง"


"บอกได้ไหม ทำไมถึงช่วยเด็กคนนั้น"





"...เพราะการช่วยเด็กคนนั้น ทำให้ผมรู้จักคำว่าชีวิตครับ"



"หมายความว่ายังไง"



"เป็นเพียงความรู้สึกครับ ผมไม่สามารถอธิบายได้"



"นายรักเด็กนั่นหรือ"



"ผมคิดว่าไม่ใช่ความรักครับ แต่การช่วยเหลือเด็กคนนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นมนุษย์และมีชีวิต"



"อะไรของแกวะ"



"อธิบายไปนายก็ไม่เข้าใจหรอกซือเป่า"



"ฉันเองก็ไม่เข้าใจจิวฝู"



เว่ยซูตอบอย่างจริงจัง เขาไม่เข้าใจว่าการช่วยเด็กที่แทบไม่รู้จัก

จะทำให้รู้สึกถึงการมีชีวิตของตนเองได้อย่างไร

แต่อย่างไรเขาก็ตัดสินใจช่วยปิดบังเรื่องนี้แล้ว ก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกัน



"นายคิดว่าที่ที่นายซ่อนเด็กนั่นจะปลอดภัยแน่หรือ"


"แน่ครับ ตราบใดที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้"





ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานกว่าทุกคืน แขนขวาที่ถูกยกมาก่ายหน้าผาก

ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาความคิดมหาศาลในหัวเขาตอนนี้ได้เลยสักนิด

คำพูดอาจิวยังคงวนเวียนครั้งแล้วครั้งเล่า


เขาไม่รู้จัก ไม่เคยรู้สึก และเขาอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ยิ่งนึกยิ่งปวดหัว

แต่ก็นอนไม่หลับ สารพัดเหตุผล ที่มา ที่ไป ทุกอย่างถูกนำมาคิด วิเคราะห์และอนุมาน

ว่าความรู้สึกนั้นควรเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้คำตอบ











...














"ลุกขึ้นมา! แกมันอ่อนแอ!"

ชายหนุ่มผิวคล้ำเต็มไปด้วยรอยฝกช้ำทั้งร่างกายและใบหน้า ถูกกระชากผมให้ลุกขึ้นจน

หนังศรีษะแทบหลุดตามออกมา

เขายืนขึ้นอีกครั้งตามแรงกระชาก สองขาที่สั่นไหวรุนแรง ใบหน้าบวมช้ำเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

และเลือดแดงฉานผสมปนเปกันไป 



การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยที่เขายังคงเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

แต่ขาสองข้างที่ลุกมาได้แล้วก็ยังคงพยายามฝืนยืนต่อไปเพื่อไม่ให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเต็มๆอีกครั้ง

ความเจ็บปวดวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า

อีกนานแค่ไหนกว่าวันนี้จะสิ้นสุดลง


ช่วงเวลาที่เหมือนตกอยู่ในนรก ความเจ็บปวด คับแค้นทั้งร่างกายและจิตใจ

แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะนี่คือการฝึก


แต่แล้วเวลาก็เหมือนเป็นตัวช่วยเช่นเดียวกัน

ความเจ็บปวดจบลง พร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไปทีละนิด

เขานอนหงายหน้ามองท้องฟ้าสีส้มอมแดงด้วยแววตาเลื่อนลอย




"โอ๊ย!"


แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตัวตื่นอีกครั้ง ด้วยความเย็นบางอย่างที่ถูกทาบมาข้างแก้มบวมตุ่ย

แววตาเลื่อนลอยกลับมามีจุดโฟกัสอีกครั้ง เขามองตรงไปยังใบหน้าของเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหัวเขา

เขาพยายามดันตัวเองขึ้นอย่างเชื่องช้า

แขนข้างหนึ่งดันตัวไว้กับพื้นเพื่อไม่ให้ฟุบลงไปนอนอีกรอบ

เด็กหญิงที่เขาเดาว่าอายุน้อยกว่าเขาประมาณสี่ห้าปี

ตามใบหน้าและร่างกายมีรอยฟกช้ำไม่ต่างจากเขา

แต่ใบหน้านั้นกลับไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดตามลักษณะภายนอกเลยแม้สักนิด

การทรงตัวในท่านั่งเป็นปกติดังคนทั่วไปดี



"สวัสดี"

ชายหนุ่มเอ่ยทักทายด้วยคำพูดพื้นๆ เด็กหญิงเพียงยื่นส่งขวดน้ำให้เขาแล้วเสมองไปทางอื่น

ทั้งสีหน้า แววตา คล้ายอย่างมากกับคนอายุสามสิบ



"เจ็บใช่ไหมล่ะ...อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ชิน"


"เธอก็โดนหนักอยู่นะ"


"อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่โดนหนัก"


"ฮ่าฮ่า นั่นสินะ ฉันน่าจะโดนหนักกว่าเธอเยอะ"


"ป่าว ฉันหมายถึงคนพวกนั้น"


เธอชี้ไปอีกฝั่งที่ชายหนุ่มนั่งหันหลังให้ และพบกับชายฉกรรจ์หลายคนนอนหอบหายใจรวยรินอยู่

ชายหนุ่มตาโตเป็นไข่ห่าน คนพวกนั้นโดนเด็กคนนี้ล้มหมดเลยเหรอ น่ากลัวชะมัด


"เธอ ทำได้ยังไงหน่ะ"


"ก็แค่คิดว่า ถ้าฉันต้องเจ็บ จะไม่ใช่ฉันที่เจ็บอยู่ฝ่ายเดียว"


"เธอไม่คิดว่ามันหนักไปหน่อยหรือ ยังไงพวกเขาก็เป็นคนฝึกเธอนะ"


"ถ้าฉันไม่ทำให้พวกนั้นหมอบ คนที่หมอบก็จะเป็นฉันเอง นายก็น่าจะเข้าใจดี"



ชายหนุ่มสุดฝืนทนความเจ็บปวด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเองก็ขอกลับลงไปนอนในท่าสบายตัวดีกว่า

เวลาแห่งความทรมานจบลง และบัดนี้เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า

เด็กคนนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง อายุน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ไม่มีทีท่าเกรงกลัวต่อใครทั้งนั้น







...










'ผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ เราจะทำการพักรถเป็นเวลาสิบห้านาที เชิญเข้าห้องน้ำ และรับประทาน

อาหารด้านล่าง และขอให้กลับเข้ามาบนรถตามเวลาที่กำหนดค่ะ'


"กว่าจะจอด ห้องน้ำ ห้องน้ำ ห้องน้ำ"


วรรณกรรมวิ่งลงรถบัสคันใหญ่ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำทันที เมื่อสบายตัวแล้วเขาก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา

เพื่อกลับขึ้นไปนั่งรอรถออกจากท่าอีกครั้ง



แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด หน้าประตูมีชายสูงใหญ่สองคน

สวมชุดสูทอย่างดียืนกันไม่ให้เขาออกมา

หัวใจดวงน้อยเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว




"คุณวรรณกรรม เชิญไปกับเราด้วยครับ"


"ผ..ผมทำอะไรผิดหรือครับ"


นี่เขากำลังจะถูกตำรวจจับหรือ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย


"คุณไม่ได้ทำอะไรผิดครับ แต่กรุณามากับเราด้วย"



วรรณกรรมทำท่าถอยหลังกลับเข้าด้านในและรีบปิดบานประตูเพื่อป้องกันคนด้านหน้า

แต่ก็ยังช้าเกินไป ประตูห้องน้ำถูกพลักออกอย่างรุนแรง

ชายสองคนเดินเข้าไปด้านใน จับล็อคตัวเขาไว้ และใช้ผ้าปิดจมูกเขา

เพียงเสี้ยววินาที สติที่กำลังตื่นกลัวก็ดับวูบไปทันที



...







"อือ..."



ดวงตาทรงรีค่อยๆเปิดขึ้นอีกครั้งและพบว่าบัดนี้ตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างมาก

กว้างมากจนเขากลัว ห้องนี้ห้องเดียวเท่ากับบ้านทั้งหลังของเขาเลยก็ว่าได้

สายตากวาดไปรอบห้อง แล้วก็ต้องสะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง ห่างไกลจากเขามาก

จนแทบมองไม่เห็นใบหน้า





"สวัสดีวรรณกรรม...ในที่สุดก็ได้พบกันนะ"




...








.....














.....................................โปรดติดตามตอนต่อไป





สวัสดีคุณ sirin_chadada ^^
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ อิอิ ติดตามกันต่อไปนะคะ
แรกๆมันก็อาจจะงงๆหน่อย อิอิ  :pig2: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนนี้ยังกระจัดกระจาย ต้องรอดูต่อไป เก็บจิ๊กซอว์ไว้เยอะ ๆ คงมองเห็นภาพ

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 2








...







อาณาจักรแสนยิ่งใหญ่แห่งแดนดิน ปกคลุมเกือบครึ่งค่อนโลก คงหนีไม่พ้นดินแดงแห่งมังกร

สถานที่ซึ่งถูกจัดวางให้สีขาวและดำถูกแบ่งอาณาเขตจากกันโดยสิ้นเชิง

ด้วยสัญลักษณ์แห่งหยินและหยาง เช่นเดียวกันกับความขาวสะอาดแห่งชีวิตบนผืนดิน

ประชากรขวักไขว่ สัญจรไปมาแน่นขนัด แต่กลับคล้ายอยู่ลำพังกันท่วนหน้า



เพียงเงยหน้าเพื่อมองหาความปลอดภัยกับเพื่อนร่วมโลกบนท้องถนน ก็ยังหาได้ยาก

โลกแห่งความจริง ทุกสิ่งล้วนเร่งรีบ การแก่งแย้งเพื่อเอาชีวิตรอด

ไม่เพียงแต่บนผืนดินที่แห้งแล้งปราศจากความเห็นใจ

ก็ยังคงมีโลกใต้ดินที่คอยควบคุม และหาหนทางเพื่อใช้ประโยชน์จากมนุษย์เบื้องบน




มนุษย์เบื้องบน ที่นึกเสมอว่าตนนั้นดี บริสุทธิ์ โปร่งใสและขาวสะอาด

การดำรงค์ชีวิตที่ถูกจัดวางตามแบบแผนเพื่อตอบสนองความรู้สึกถูกต้องภายในจิตใจตนเอง

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่หลอกลวง และโลกใต้ดินมองเห็นเสมอ





"นายท่านเว่ยซู...คุณชายหลี่มาขอพบครับ ผมให้รออยู่ที่ห้องรับรอง"

เจ้าของห้องทำงานห้องเดิมเพียงพยักหน้าเบาๆ เมื่อพ่อบ้านชั้นผู้ใหญ่เดินเข้ามาแจ้ง

วันนี้มีแขกคนสำคัญมาขอพบเขา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ในแต่ละวัน จะมีคนที่มีชีวิต

และอาศัยในวงโคจรของเขา แวะเวียนมาไม่ขาดสาย

และวันนี้ก็เช่นกัน




ลมหายใจถูกเป่าออกแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงลำพัง เขาแสนจะเบื่อหน่ายกับคุณชายบ้านนี้

แม้จะเป็นพันธมิตรคนสำคัญ แต่เรื่องความดีนั้นหาแทบไม่ได้

ไม่ว่าจะกี่ทีที่บ้านหลังนี้ได้ต้อนรับคนตระกูลนี้ ก็มักเป็นเรื่องที่ไม่ได้ช่วยทำให้

ชีวิตเขาเจริญงอกงามแต่อย่างใด




แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าของบ้านเช่นเขา ก็ไม่เคยที่จะต้องทำให้แขกคนสำคัญต้องรอนาน

เขาตามพ่อบ้านลงมาเพียงไม่กี่นาทีจากนั้น และพบกับคุณชายหลี่

ทายาทลำดับที่ห้าของตระกูลหลี่ มองปร๊าดเดียวก็รู้ ว่าคุณชายหลี่คนนี้

ก็ไม่ได้อยากมาพบเขาสักเท่าไหร่




"คุณชายหลี่...อรุณสวัสดิ์ครับ มาเยี่ยมผมแต่เช้า มีธุระอะไรรึเปล่า"


ฝานเว่ยซูนอกจากจะรูปงามแล้ว กริยาท่าทางการวางตัวและคำพูด

ก็ไม่เคยมีขาดตกบกพร่องแม้สักนิด และมันช่างถูกใจชายหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงดูมา

ในตระกูลที่รู้จักการวางตัวเป็นอย่างมาก เขายิ้มออกมาในทันที

แม้ตอนแรกจะเบื่อหน่ายที่ต้องมาที่นี่ก็ตาม



"ขอโทษที่ต้องรบกวนแต่เช้านะครับคุณฝาน แต่วันนี้ผมต้องไปอีกหลายที่

จึงต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้า"


"มีอะไรสำคัญหรือ?"


"อีกหนึ่งสัปดาห์บ้านหลี่จะจัดงานฉลองวันเกิดครบรอบวันเกิด 20 ปีให้ผม

และงานนี้มันสำคัญมากสำหรับผม คุณก็น่าจะทราบดี ผมจึงอยากมาเชิญคุณเป็นคนแรก"



"ครับ ฟังดูน่าสนุก จัดที่ไหนล่ะ"


"มันอาจจะเสียเวลางานคุณไปสักนิดนะครับ เพราะงานนี้ผมจัด สามวันสามคืน

บนเรือรำราญส่วนตัวของบ้านผมเอง"



ชายหนุ่มย่างเข้าวัย 20 ยื่นบัตรเชิญงานวันเกิดให้แก่เจ้าของบ้าน

การ์ดใบขนาดมารตฐานสีขาว บ่งบอกถึงรสนิยมหรูหราของผู้ให้

ภายในอธิบายรายละเอียดของงานทั้งหมดไว้อย่างกระชับ

เพียงกวาดสายตามองทีเดียว ก็ทำให้ทราบกำหนดการทั้งหมดทันที



"ถือซะว่าไปพักผ่อนก็ได้ครับคุณฝาน ท่านพ่อท่านแม่ผมก็อยากให้คุณไป"


"ผมต้องไปแน่นอนครับ"


คุณชายฝานไม่ได้ใจง่ายแต่อย่างใด เพียงแต่กำหนดการในมือทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก

นอกจากจะได้พักผ่อนระดับหรูแล้ว ยังมีโอกาสได้พบปะกับทางเลือกใหม่ๆ

ในการทำธุรกิจของเขาด้วย การไปร่วมแสดงความยินดีต่อทายาทคนสำคัญของผู้ร่วมองค์กรณ์

ย่อมแสดงถึงความใส่ใจ และเป็นประโยชน์ต่ออนาคตแน่นอน


แถมเขาก็รักท้องทะเล

ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปฏิเสธการได้ไปพักผ่อนครั้งนี้

หากจะมีก็เพียงเหตุผลเดียว




"แต่ผมคิดว่ามันอันตรายเกินไปครับ คุณไม่ควรไปร่วมงานนั้น"


"อันตรายยังไง ไหนอธิบายมาซิ"


"ข้อแรก คือการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มของผู้มีอำนาจชั้นสูง แน่นอนว่าความเสี่ยงจากการ

ถูกลอบทำร้ายก็มีมากตามไปด้วย"



"แต่นายอย่าลืมสิจิวฝู ว่ายิ่งอันตราย การป้องกันก็ยิ่งมากขึ้นตาม"


ซือเป่าให้คำอธิบายจากหลักเหตุผลของจิวฝู ผู้ซึ่งคัดค้างหลังชนฝาในเรื่องที่

เจ้านายเขาจะร่วมล่องเรือสำราญกับตระกูลหลี่



"ฉันตัดสินใจไปแล้ว สิ่งเดียวที่พวกนายต้องทำคือดูแลฉันให้ดีก็พอ"



"ถ้าอย่างนั้นโปรดตอบคำถามผมข้อนึงด้วยครับ"



"ว่ามา"



"งานนี้มีอะไรทำให้คุณสนใจนักหรือครับ ผมทราบว่ามีประโยชน์ทางธุรกิจ

แต่อย่างน้อยคุณก็ควรใช้เวลาไตร่ตรองเสียหน่อย"


"เหตุผลทั้งหมดนายก็รู้อยู่จิวฝู"





"หวังว่าจะไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะครับ"


"ฉันถึงบอกไง ว่านายรู้อยู่แล้ว"



เจ้าของบ้านหยุดพูดเพียงเท่านั้นก่อนก้มหน้าลงไปยังกองเอกสารตรงหน้า









...










"นายท่านเว่ยซู"


"คุณฝาน"


เสียงดังระงม เอ่ยเป็นชื่อฝานเว่ยซูที่บัดนี้ก้าวเท้าลงจากรถยนต์ขนาดกลางคันโปรด

โดยมีรถสีคำคันหรูประกบหัวท้าย สูตรสีขาวสว่าง เรียบ หรู และดูดี

ปรากฏต่อสายตาผู้พบเห็น ไม่ปล่อยให้นานเกินรอ จ้าวบ้านตระกูลหลี่พร้อมคณะก็ตรงปรี่เข้ามาต้อนรับ

อย่างนอบน้อม






"สวัสดีคุณฝาน ยินดีต้องรับสู่งานวันเกิดลูกชายผม ดีใจที่คุณมา"


"นึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว"


ทายาทลำดับที่ห้าของตระกูลหลี่เอ่ยขึ้นเมื่อบิดาตนพูดจบ

เรียกสายตาอีกหลายสิบคู่ที่ยืนไม่ไกลให้หันมาพร้อมกันได้เป็นอย่างดี



"เสียมารยาท! พูดกับคุณฝานแบบนี้ได้ไง"


"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมาช้าจริงๆ พอดีธุระติดพัน ต้องขอโทษเจ้าบ้านหลี่ด้วย"


"ไม่เป็นไรๆ คุณฝาน ไหนๆก็มาแล้ว รีบขึ้นเรือกันเถอะ"


เพื่อไม่ให้กำหนดการล่าช้าไปมากกว่านี้ เจ้าของเรือสำราญลำใหญ่ที่ตั้งตะหง่าน

มีบันไดพาดยาวลงมาจรดพื้นรีบเชิญแขกผู้มีเกียรติคนสุดท้ายขึ้นเรือ พร้อมผู้ติดตามอีกสิบคน

เป็นอันครบจำนวนที่แจ้งว่าจะมา แขกลำดับสุดท้ายเดินขึ้นเรือ ตรงไปยังห้องรับรองภายใน

สุดแสนโอ่อ่าได้เพียงไม่นาน สัญญาณเรือก็ดังขึ้น บ่งบอกว่าบัดนี้เรือได้ละออกจากท่าเป็นทีเรียบร้อย






บรรยากาศภายในเป็นไปอย่างที่คาด นี่มันสังคมใต้ดินชั้นสูง

ทั้งผู้มีอำนาจมากหน้าหลายตา รวมถึงบรรดาสาวสวยที่ถูกคัดสรรมาบริการบนเรืออย่างดี

บ่งบอกรสนิยมสูงค่าของเจ้าของงาน โดยภายในอนุญาตให้บุคคลสำคัญแต่ละท่าน

สามารถพาผู้ติดตามเข้าห้องรับรองได้เพียงสองคน ส่วนที่เหลือจะมีห้องพิเศษจัดไว้ให้

และสามารถเข้าใช้ได้เพียงบางพื้นที่เท่านั้น แต่ก็สามารถเข้าถึงผู้บังคับบัญชาได้ง่ายดายและทันท่วงที

อย่างแน่นอนเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน






จิวฝูและซือเป่าติดตามนายท่านของพวกเขาอย่างไม่คลาดสายตา จิวฝูตรวจตราทุกประตูเข้าออก

สำรวจพิมพ์เขียวของเรือลำนี้ทุกกระเบียดนิ้ว ซือเป่ามองหาของทุกชิ้นที่สามารถนำมาเป็นอาวุธได้

หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

เพราะด้านในมีกฎห้ามพกอุปกรณ์อันตรายทุกชนิด

ไม่ว่าจะแอบซ่อนไว้ลับเพียงไหน ก็ถูกค้นเจอก่อนเข้ามาอยู่ดี






"ยิ้มไม่หุบเชียวนะครับ"


คำพูดลอยลมของจิวฝูทำเอาคนที่กำลังยิ้มอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา


"ก็ที่นี่มีแต่ของน่ามอง นายอย่ากังวลมากไปเลยอาจิว เรามาพักผ่อนกันนะ...ใช่ไหมอาซือ"


"ครับนาย"


มุมปากซือเป่ายกยิ้มขึ้นทันทีเมื่อเจ้านายเรียกร้องขอพรรคพวกเสริม ชวนให้ฝั่งตรงข้ามอย่างจิวฝู

ถึงกับเอือมระอาอยู่ในใจ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียจนจิวฝูอยากจะให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเสียจริง

จะได้รู้จักเข็ดหลาบกันเสียบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น ไม่มีอะไรผิดแผกไปนั้น ย่อมดีกว่า




"นายท่านฝานกรุณารอสักครู่นะครับ ทางเรากำลังทะยอยพาแขกแต่ละท่านไปที่พัก"


"ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้ เชิญตามสะดวก"



แม้จะเป็นคนสำคัญ แต่แขกคนอื่นก็เรียกได้ว่าสำคัญไม่แพ้กันทั้งนั้น

การได้เข้าห้องพักตามคิวจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิ่งที่สมควรต้องเข้าใจ

และการได้เข้าห้องพักเป็นคนสุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้นายท่านบ้านฝานรู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด

เพราะตรงที่เขานั่งอยู่นี้ ช่างเป็นภาพที่น่ามองเหลือเกิน




นอกกำแพงกระจก เป็นสระว่ายน้ำใหญ่ที่บัดนี้มีสาวน้อยสาวใหญ่พากันมาเล่นน้ำ

ล้วนแล้วแต่คัดมาอย่างดีมากจริงๆ นานๆจะได้เห็นสาวสวยนับสิบอยู่รวมกัน

เขาแทบไม่อยากลุกไปไหนเลย รวมไปถึงลูกน้องที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับเขานั่นก็ด้วย

หรือแม้กระทั่งจิวฝูผู้คงแก่เรียนก็ยังแอบหลุดเคลิ้มไปตามๆกัน



"อันตราย อันตรายเสียจริง"


"นายท่านเว่ยซูเชิญทางนี้ครับ ผมขออนุญาตนำคุณไปยังห้องพักรับรองส่วนตัวครับ"


ยังไม่ทันได้เคลิบเคลิ้มอย่างถึงใจ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยพ่อบ้านบนเรือคนเดิม

แต่ทำอย่างไรได้ เขายังไม่อยากไปจากตรงนี้เลย

อันที่จริงก็อยากไปจากตรงนี้ แต่ไม่ได้อยากไปห้องพัก อยากออกไปด้านนอกกระจกเสียมากกว่า




"ไปเถอะครับนาย"



ถึงจะรู้สึกเสียดายมากเพียงไหน เขาก็ต้องจัดการห้ามอกห้ามใจตนเอง ไม่ให้แสดงออกมากเกินไป

และก้าวเท้าตามผู้ดูแลไปด้วยความเชื่องช้า



ผู้นำทางหยุดเดินตรงหน้าประตูห้องมุมสุดของทางเดิน ก่อนไขกุญแกและยื่นให้แก่สมุนด้านซ้าย

ของเจ้าของห้องพักคนใหม่


"เชิญทุกท่านด้านในเลยครับ ด้านในจะมีห้องนอนอยู่สองห้อง"


"ขอบคุณมากที่พามาส่ง คุณไปเถอะ"


"ตารางกิจกรรมต่างๆอยู่ด้านในแล้วนะครับ คุณสามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยเลย

ขอบคุณครับ ผมขอตัวก่อน"



พูดไว้เพียงเท่านั้น ผู้ดูแลก็เดินกลับไปทางเดิมที่ผ่านมาด้วยท่าทางนอบน้อมและทะมัดทะแมงในคราวเดียวกัน



สามหนุ่มสามมุมแง้มเปิดประตูเข้าไปด้านใน ความเย็นสะท้อนกลับมาจนรู้สึกหนาวสะท้าน

ซือเป่าเข้าสำรวจความเรียบร้อยทุกซอกทุกมุม จิวฝูสำรวจตามทางเดิน หน้าต่าง

และทางออกฉุกเฉิน ส่วนเจ้าของห้องพักคนใหม่เดินไปทิ้งตัวลงยังโซฟาตัวแรกที่เขาเห็น



"รู้นะครับ คิดอะไรอยู่"


"ยังไงก็เถอะ เตรียมชุดไหว้น้ำให้ฉันสักชุดสิอาจิว"


จิวฝูหลี่ตามองเจ้านายของตนพร้อมถอนหายใจ และเสียงหัวเราะคิกคักจากซือเป่า


"นายก็อยากไป ฉันรู้"



"ห้องนี้เรียบร้อยดีนะครับ ห้องซ้ายมือจะเป็นห้องเล็ก ผมกับซือเป่าจะนอนห้องนั้น

ส่วนห้องขวามือจะเป็นห้องใหญ่ติดระเบียงมุมท้ายเรือเป็นห้องของคุณนะครับ"



"นายจะปล่อยให้ฉันนอนคนเดียวหรืออาจิว"


"ผมคิดว่าคุณคงไม่ได้นอนคนเดียวหรอกครับ"



จิวฝูอธิบายคร่าวๆแล้วเดินสำรวจอีกหนึ่งรอบเพื่อความมั่นใจ


"ห้องนอนคุณเป็นกำแพงกระจกนะครับ แต่คุณสบายใจได้ มันเป็นกระจกอย่างหนา

ผมคิดว่าคงถูกสั่งทำแบบหนาพิเศษ นอกจากจะทุบไม่แตกแล้ว ยังเก็บเสียงด้วย"


"เสียอย่างเดียว มีประตูทะลุไปห้องพวกนายเนี่ยสิ"


"พวกเราไม่เข้าไปในห้องนายหรอกครับ ตามสบายเลย"



ซือเป่าว่าอย่างทีเล่นทีจริง หน้าตากรุ่มกริ่ม คงไม่พ้นเรื่องเจริญหูเจริญตาที่ได้พบเมื่อครู่


ความสนุกสนานที่ก่อตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศขณะนี้ของทั้งสามหนุ่ม

เป็นไปอย่างผ่อนคลายยิ่งนัก จนลืมไปเสียสนิทว่าแต่ละคนนั้นมีภาระหน้าที่่อะไรรออยู่ข้างหลัง



ทั้งสามแยกย้ายไปยังห้องของตัวเองและพักผ่อนอีกเพียงไม่นานก็ได้ฤกษ์ออกไปเล่นน้ำกลางแจ้ง


แต่กลับกลายเป็นว่า คนที่อยากออกไปเมือครู่มากที่สุด กลับปฏิเสธที่จะไปเสียงแข็ง




"แต่ผมเตรียมชุดว่ายน้ำให้คุณแล้วนะครับ"






"ฉันไม่ไปแล้ว"


นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้อาจิวอยากจะจิกทึ้งหนักศรีษะตัวเองออกมาเป็นอย่างมาก

นอกจากจะค้านหลังชนฝา

ยังมีทีท่าเมินเฉยต่อสมุนทั้งสองที่บัดนี้แต่งตัวเตรียมพร้อมมากที่จะไปลงสระ



"พวกนายก็ไปกันเองสิ ฉันอยากนอนอยู่เฉยๆ"


"คุณก็รู้ว่าพวกเรามาเพื่อดูแลคุณ จะให้เราปล่อยคุณไว้ลำพังได้ยังไงครับ"


"แต่ฉันอนุญาต พวกนายอย่าลืมสิ ที่ฉันพาพวกนายมาด้วย ก็เพราะอยากพามาพักผ่อน"


"พวกเราจะไม่ทิ้งคุณครับ"


"งั้นก็ช่วยไม่ได้"



ฝานเว่ยซูไม่ได้นึกเปลี่ยนใจไปสระว่ายน้ำ

เขาเพียงนั่งบนเก้าอี้หวายอย่างดีในห้องและมองออกไปด้านนอก



กระจกใสบานหนาเงาวับ

ภายนอกเป็นท้ายเรือที่มองเห็นวิวภูเขา ผืนน้ำไกลๆ แสงสว่างที่ตกกระทบกับหลังคาเรือ

สะท้อนดวงอาทิตย์วงกลมให้เฉียดเขาไปเพียงใบหน้า




เขารักบรรยากาศแบบนี้ ทั้งสงบและสดชื่น


นั่งมองมันอยู่อย่างนั้นจนพลบค่ำ


และตามตารางบนโต๊ะตัวใหญ่ในห้องกลางส่วนตัว มีเขียนกำหนดการไว้ว่า




'19.00 น. ร่วมรับประทานอาหาร ณ โถงกลางแจ้งท้ายเรือชั้นสอง'



จิวฝูจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เพียงไม่นานนายท่านเว่ยซูแห่งตระกูลฝาน

ก็เดินเฉิดฉายขึ้นบันไดมาบนดาดฟ้าท้ายเรือ พร้อมกับผู้ติดตามที่ดูดีไม่แพ้กันอีกสองคน



พนักงานต้อนรับด้านหน้าตรงปรี่เข้ามาและเชิญแขกของเขาไปนั่งยังโต๊ะตรงกลางที่ถูกจัดไว้อย่างดี

ภายในงานมีการจัดวางและตกแต่งอย่างสบาย ถูกใจแขกกิตติมศักดิ์คนนี้ยิ่งนัก

เพราะแม้จะเป็นงานของตระกูลร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้เน้นอะไรที่แพงเพียงอย่างเดียว

ทุกอย่างที่ประกอบกันสุดแสนลงตัว ดูเรียบ สบายตา

ผู้คนพูดคุยกันอย่างไพเราะ รอยยิ้มที่เขาสังเกตุได้ว่าออกมาจากใจ

ไม่ใช่เพียงฉาบหน้าที่แต่ละคนมีอยู่



"นานๆได้เห็นนายท่านฝานยิ้มนะครับ"


"ครับ คุณจัดงานได้เยี่ยมมากเลย"



"ทั้งหมดนี้ก็มาจากอาลู่นั่นแหล่ะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรหรอก"



ชายในชุดขาวกระตุกหัวตาเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่างานทั้งหมดถูกจัดโดยเจ้าของวันเกิด

ชายหนุ่มที่เขาได้ยินเรื่องราวตลอดหลายปี และในเนื้อความ ชายคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่

แถมยังเป็นเรื่องรสนิยมดีเช่นนี้ จะมาจากชายคนนั้นได้จริงหรือ



นายท่านฝานเพียงยิ้มกลับไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ และเจ้าบ้านหลี่ก็ขอตัวไปต้อนรับแขกอื่น

อาหารหรูหราถูกเสริฟบนโต๊ะจานแล้วจานเล่า แต่เว่ยซูก็ยังไม่เห็นเจ้าของงานตัวจริงเลยสักที



"คุณกำลังมองหาใครอยู่หรือครับ"


"ตั้งแต่ฉันขึ้นเรือมา ฉันยังไม่เห็นเจ้าของงานเลยอาจิว นายไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ"


"ไม่ครับ เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว ผมคิดว่า

คนที่อยากให้มีงานนี้เกิดขึ้นน่าจะเป็นเจ้าบ้านหลี่มากกว่าที่จะเป็นทายาทของเขา

และวันนี้ก็ยังไม่ถึงวันครบรอบจริงๆ การที่คุณจะไม่ได้พบเขา ก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลก"



จิวฝูวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลเช่นทุกครั้ง


"แต่ฉันอยากรู้ คุณชายบ้านหลี่หรือจะรสนิยมดีขนาดนี้ มันต้องมีอะไรแน่ๆ"


"ก็เรื่องของเขาสิครับ ปกติคุณก็ไม่ได้ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ"


"แต่เรื่องนี้ฉันอยากรู้ นายไปสืบให้ฉันหน่อยสิ"


เป็นอย่างที่จิวฝูว่า เจ้านายเขาไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะยามปกติ

เพราะปัญหาต่างๆก็มากพออยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

คนอย่างเจ้านายเขายิ่งไม่มีทางอยากรู้



"ผมทำรายงานคุณชายหลี่คร่าวๆไว้ให้คุณนานแล้ว คุณก็น่าจะได้อ่านแล้ว"


"เพราะอ่านแล้วไง ฉันถึงไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันไม่ตรงกับที่นายวิเคราะห์ไว้

ดูอย่างงานนี้สิ คนแข็งกระด้างที่ไหนจะเลือกผ้าปูโต๊ะสีพาสเทลได้เข้ากับสีผ้าเช็ดปากขนาดนี้

ไหนจะชนิดผ้าที่เลือกมาทำนี่อีก ฉันว่ามันแปลกๆอยู่นะ"




ซือเป่าที่นั่งสังเกตุการณ์หันมามองหน้าคนพูดชวนสงสัยพร้อมก้มลงมองสีผ้าปูโต๊ะและผ้าเช็ดปากบนตักตน

เขาไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรเหล่านี้แต่แรก จึงไม่รู้ว่าต้องเป็นคนแบบไหนถึงเลือกได้แบบนี้

แต่ฟังๆเจ้านายเขาพูด ก็เข้าเค้าอยู่และพยักหน้าตามคำพูดเจ้านายไป


"หรือนายไม่คิดว่ามันแปลก"


"ผมแค่คิดว่าเจ้าบ้านหลี่อาจพูดโกหกเพื่อให้ลูกชายดูดีเท่านั้นเองครับ"


"ผมไปเองครับนาย ผมก็อยากรู้ว่าคุณชายหลี่หายไปไหน"


คนที่ไม่รู้อะไรแต่แรก แต่จู่ๆก็อยากรู้ ลุกขึ้นทันทีและเตรียมก้าวออกจากที่นั่ง


"อาซือ...นั่งก่อน ให้นายไปฉันคิดว่าคงไม่ได้อะไรกลับมา"



ซือเป่านั่งลงที่เดิม ก่อนที่คนด้านข้างจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นเอง


"ผมจะรีบกลับมารายงานครับ"



จิวฝูเดินออกจากที่นั่งโดยไม่มีใครรั้ง นั่นคือสิ่งที่เว่ยซูต้องการ เขาไม่ได้คิดมากไปเอง

และคนที่วิเคราะห์ความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบตลอดเวลาเช่นจิวฝู

ก็คงรู้สึก แต่ที่ยังคงนิ่งก็น่าจะมีเหตุผลเช่นกัน


























................................โปรดติดตามตอนต่อไป








เนื้อเรื่องออกจะงงๆหน่อยนะคะ คนแต่งแต่งตามอารมณ์ล้วนๆเลยค่ะ
สองตอนแล้ว ท่านไหนผ่านเข้ามา ติชมกันได้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^

 :call: :call: :call:














สวัสดีคุณ sirin_chadada
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ คาดว่าอ่านตอนนี้จบก็น่าจะยังไม่ได้อะไร ฮ่าๆๆ
แต่ยังไงก็ทำให้เราดีใจอยู่นะคะ ขอบคุณมากๆค่า  :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่เป็นไรค่ะ เก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ ฮา

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ค่อย ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ เหมือนปมยังขมวดอยู่

รออ่านตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 3












จิวฝูได้รับคำสั่งให้ออกสืบเรื่องราวไม่ปกติบนเรือสำราญที่เจ้านายเขาถูกเชิญมา

เขาเดินเลียบลงมาจากบันไดดาดฟ้าชั้นสอง ด้านล่างจะเป็นพื้นที่โล่งเช่นด้านบน

จากพิมพ์เขียวที่เขาแอบขโมยดาวน์โหลดมาเขาพบว่า เรือลำนี้มีห้องมากกว่าร้อยห้อง

ความใหญ่โตขนาดสามชั้น โดยดาดฟ้าชั้นสองจะเป็นพื้นที่โล่งและกว้างที่สุดบนเรือ

ซึ่งเป็นที่ที่เจ้านายของเขากำลังรับประทานอาหารและพักผ่อนอยู่ในขณะนี้

นอกจากนั้นยังเป็นโซนนันทนาการทั้งหมด มีทั้งคาสิโน สปา ซาลอน บาร์ ห้องอาหาร

ส่วนห้องพักของแขกทั้งหมดจะอยู่ชั้นหนึ่ง โดยแบ่งเป็นสองโซนคือ แขกพิเศษที่มาร่วมงาน

กับผู้ติดตามที่ถูกจัดไว้ต่างหาก

รวมกับห้องรับรองห้องแรกที่เขาได้เข้าไป

เพื่อรอแยกย้าย ซึ่งเป็นชั้นที่มีสระว่ายน้ำยื่นออกไปด้านนอกด้วยเช่นกัน

และชั้นสามจะประกอบด้วยสี่ห้องใหญ่ ซึ่งเขาไม่สามารถคำนวนได้เลยว่ามีไว้ประกอบการใด





ชั้นหนึ่งที่เขาพักอยู่เขาและเพื่อนได้สำรวจจนครบทุกตารางนิ้วแล้ว

เพราะเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุญาติให้เข้าถึงได้อย่างถูกต้อง

สิ่งที่เขาต้องสำรวจวันนี้คือ ภายในชั้นสอง และชั้นสามหากว่าเขาสามารถเข้าได้




แน่นอนว่าจุดที่เข้ายากที่สุดคือจุดที่เขาคาดว่าจะได้พบคำตอบมากที่สุด

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขาเดินกลับเข้าห้องพักของตน เพื่อเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก

ก่อนเป็นอันดับแรก

โดยใช้กล้องขนาดเล็กติดไว้กับอกเสื้อ และสัญญาณติดตามตัวในกระเป๋ากางเกง

เขาส่งสัญญาณจากอุปกรณ์สื่อสารเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เป็นนาย เพื่อให้รับทราบว่า

เขาอยู่ที่ไหน ในขณะปฎิบัติภารกิจ




เมื่อเตรียมพร้อมด้านอุปกรณ์เสร็จสิ้น เขาจึงค่อยๆเดินกลับขึ้นไปชั้นสองด้วยความระมัดระวัง

การ์ดมีอยู่โดยรอบ และแต่งกายด้วยชุดโทนเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ว่ายังมีการ์ดอีก

จำนวนหนึ่งที่แฝงตัวมาในรูปแบบแขกในงาน




เขาเดินไปตามระเบียงชั้นสอง และจากแผนที่ ที่เขาดาวน์โหลดไว้ในหัว จะมีบันไดเล็กอยู่ตรงสุดปลายทาง

ระเบียงฝั่งปีกซ้ายของเรือ และย่อมเป็นเช่นนั้น เขาพบบันไดลิงเล็กๆที่พาดระหว่างชั้นสองและชั้นสาม

จิวฝูสวมใส่ถุงมือเพื่อไม่เป็นการทิ้งรอยนิ้วมือไว้บริเวณใดๆที่เขาผ่านไป

เขาไต่ขึ้นบันไดลิงจนสุด แต่บันไดกลับพาดไปไม่ถึงชั้นสาม เพราะเป็นเพียงบันไดที่มีไว้เพื่อซ่อมระบบต่างๆ

ของเรือที่อยู่ด้านนอกห้องเครื่องเท่านั้น




เขาต้องหาเชือกเพื่อโหนตัวขึ้นไปให้ถึงพื้นชั้นสาม แต่จะเป็นไปได้อย่างไร

เพราะอุปกรณ์ที่น่าจะเป็นอาวุธทุกอย่างถูกริบไปหมดแล้ว

เขาเตรียมกลับลงไปด้านล่างเพื่อหาทางใหม่ แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้



และใกล้เข้ามาทุกที











"บ้าเอ๊ย!"






เป็นไปได้ว่าทุกที่ๆมีความเสี่ยง ย่อมมีผู้ดูแล

จิวฝูจะทำอย่างไร ทางเดียวที่จะทำได้ให้รอดไปได้คือขึ้นไปด้านบน





เสียงหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เขาจะทำอย่างไรดี

จิวฝูตัดสินใจปีนขึ้นไปจนสุดบันไดอีกครั้ง และแล้วเสียงฝีเท้าก็หยุด

หากผู้ตรวจตราเงยหน้าขึ้นมาสักนิด ต้องพบเขาอย่างแน่นอน
 




เขาก้าวขึ้นยืนบนบันไดขั้นสุดท้ายโดยไม่มีที่จับ และทรงตัวอย่างโงนเงน

ก่อนดีดตัวกระโดดขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้

ปลายนิ้วแตะขอบพื้นชั้นสามในที่สุด เขาห้อยตัวอยู่อย่างนั้น

โดยมีปลายนิ้วแปดนิ้วเกาะเกร็งอยู่ที่ขอบพื้นชั้นสาม





ไม่ทันที่จะดันตัวขึ้นไป ก็ถูกจับได้เสียก่อน

การ์ดเงยหน้าขึ้นมองและเริ่มปืนบันไดลิงตามขึ้นมา

จิวฝูยังไม่สามารถรวบรวมแรงให้ดันตัวขึ้นจากจุดที่ตนห้อยอยู่ตอนนี้ได้

ขาทั้งสองข้างที่ห้อยจึงถูกจับล็อคไว้โดยการ์ดตัวใหญ่ยักษ์

ที่ว่าจิวฝูตัวใหญ่แล้ว เจอขนาดความหนาของผู้คุมคนนี้เข้าไป

เขาถึงกับอยากกลับไปฝึกร่างกายใหม่เลยทีเดียว





ยักษ์ใหญ่ทรงตัวบนบันไดขั้นสุดท้ายและล็อคขาเขาไว้แน่น โดยที่ยังไม่เห็นใบหน้าของผู้บุกรุก

เพื่อความปลอดภัยของทั้งเขาและเจ้านาย จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเป็นเขา

จิวฝูสลัดขาสุดแรง แต่แขนแข็งแรงล็อคไว้แน่นเกินกว่าที่เขาจะสบัดหลุด

แขนนั่นค่อยๆกระชากเขาให้ลงมาทีละนิด

แต่จิวฝูไม่เคยยอมแพ้ นิ้วทั้งแปดของเขาก็เช่นกัน





เขาเบี่ยงตัวไปด้านหน้าและด้านหลัง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนแรงเหวี่ยงเริ่มมากขึ้น

นิ้วมือด้านซ้ายทั้งสี่เกร็งให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

เขาปล่อยมือขวาเพื่อปลดเข็มขัดและตะขอกางเกง

จนในที่สุดแรงเหวี่ยงที่มากพอก็ทำให้คนที่ทรงตัวอยู่ด้านล่างเริ่มเอนเอียง

แขนสองข้างล็อคแน่นขึ้นกว่าเดิม





จิวฝูออกแรงเหวี่ยงอย่างรุนแรงเป็นครั้งสุดท้าย

และได้ผล คนด้านล่างเอนตัวไปด้านหน้าเต็มที่พร้อมกับสองแขนที่ดึงขาเขาไว้

จิวฝูใช้จังหวะนี้ออกแรงยันคนไม่มีการทรงตัว

กางเกงหลุดออกพร้อมกับคนด้านล่างที่หน้ากำลังลงพร้อมกระแทกพื้น

ด้วยแรงดีดตัวทำให้เขามีแรงส่งให้ถึงพื้นชั้นสามได้โดยง่าย

แต่ก็ต้องสละกางเกงแสลกอย่างดีไปหนึ่งตัว






บัดนี้มือขวาของเจ้าพ่อฝานเว่ยซูยืนตะหง่านอยู่บนขอบพื้นเรือชั้นสาม

ด้วยการเกงชั้นในชายปกปิดด้านล่างเพียงตัวเดียว

และสิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าขยับไปไหนเลย ก็คือกล้องวงจรปิดที่ได้องศาจากที่เขาดีดตัวขึ้นมาเมื่อสักครู่


แบบชัดเจนระดับ HD






เขาไม่ได้หันกลับไปดูว่าคนด้านล่างเป็นอย่างไร แต่จากที่คาด คงไม่ถึงแก่ชีวิต

แต่อาจสลบไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ตัวใหญ่ล้มดัง ไม่ต่างกับคำสุภาษิต

เมื่อเกิดเสียงและแรงสลั่นเสทือนอย่างรุนแรงเกิดขึ้น

ผู้ดูแลคนอื่นๆจึงตรงปรี่เข้ามายังจุดเกิดเหตุ

และแน่นอนว่า ตอนนี้หลักฐานทุกอย่างมัดตัว โดยเฉพาะกล้องที่ฉายหน้าเขาอยู่เต็มๆตอนนี้

แต่เขาก็ยังคงเดินต่อไปแม้จะมีหลักฐานเกิดขึ้นแล้วก็ตาม







ชั้นสามไม่ต่างจากภาพที่เขานึกไว้ในตอนแรก ภาพแรกที่เขาพบคือโถงลานกว้าง

ไร้ซึ่งของประดับตกแต่งใดๆ เป็นเพียงพื้นที่ว่างก่อสร้างด้วยปูนเปลือย

มีประตูไม้เก่าๆหลายบานให้เดินเลือกว่าจะเข้าห้องไหนก่อน

เขาเริ่มสำรวจจากด้านนอก เพื่อมองหาหน้าต่างหรือทางเข้าอื่นๆที่ไม่ใช่ประตู

แต่กลับพบว่า ห้องทุกห้องเป็นห้องปิดตาย ไร้ซึ่งหน้าต่าง มีประตูเข้าออกเพียงบานเดียว







เขาไม่สามารถเดินดุ่มๆเข้าไปแล้วเปิดประตูดูได้ว่าด้านในมีอะไร

และหากมีใครผ่านมาตอนนี้ เขาเองก็คงไร้ซึ่งที่ซ่อนเช่นเดียวกัน

เป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป








ปี๊บ!






"นาย...เกิดอะไรขึ้นครับ"







ซือเป่าถามเจ้านายตนเมื่ออยู่ๆก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมากระทันหัน


เว่ยซูไม่ได้ตอบคำถามอะไร เพียงยื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ในมือตนให้แก่คนตั้งคำถาม

ภาพหน้าจอฉายเป็นภาพโครงสร้างขาวดำของอะไรสักอย่าง คล้ายๆโมเดลบ้านจัดสรร







"ครับ?"



"อาจิว...หายไป"




นายท่านฝานตอบให้ผู้ถามกระจ่างใจ และรู้ทันทีที่ว่าอาจิวหายไปคือสัญญาณติดตามที่จิวฝูเปิดทิ้งไว้

ตั้งแต่ทีแรก แต่บัดนี้มันหายไป






"เริ่มไม่ดีแล้วสิ"






นายท่านฝานยังคงนั่งนิ่งเพื่อคิดหาทางออก และภาวนาให้สัญญาณในจอกลับมาอีกครั้ง

แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ภายในใจยิ่งร้อนรน จนเมื่อครบหนึ่งชั่วโมงเขาก็อยู่เฉยๆไม่ได้อีกแล้ว







"นายท่านครับ นายท่านฝานขอเข้าพบครับ"



ฝานเว่ยซูเดินเข้ามาแม้คนดูแลจะยังพูดไม่จบ การ์ดสองคนเข้าล็อกตัวทันที แต่กลับเข้าไม่ถึงตัว

เมื่อซือเป่าเข้าขวางและเริ่มเกิดการต่อสู้





"พอก่อน! เสียมารยาทกับคุณฝานได้ยังไง คุณฝานเชิญนั่งก่อนครับ"


นายท่านหลี่และคุณนายหลี่ที่อยู่ในห้องส่วนตัว กำลังพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าในการต้อนรับแขก

เมื่อตอนเย็น ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามา




"มีอะไรกับผมหรือครับ"



"คุณหลี่ ผมต้องขออภัยที่บุกรุกเข้ามาแบบนี้นะครับ แต่ผมมีเรื่องสำคัญ"




"เกิดอะไรขึ้นคะคุณฝาน"




คุณนายหลี่มีท่าทีตื่นตระหนกไม่น้อย เมื่อผู้มีอิทธิพลเช่นฝานเว่ยซูบุกเข้ามาถึงห้องส่วนตัวด้วยตนเอง





"บอดิการ์ดคนนึงของผมหายตัวไปครับ"





"คุณฝานว่าไงนะคะ แล้วคนของคุณจะหายไปได้ยังไง"





"ผมให้คนของผมไปจัดการธุระอย่างนึงให้ แต่แล้วอยู่ๆก็หายตัวไป

ไม่ทราบเรื่องนี้พวกคุณพอจะช่วยหน่อยได้ไหม"






"ได้สิคะ ถึงเรือลำนี้จะใหญ่ แต่ก็มีคนขอเราเฝ้าดูแลทุกพื้นที่ ดิฉันว่าต้องมีคนพบเห็นคนของคุณบ้างแน่นอนค่ะ"




นายท่านฝานและคุณนายฝานเร่งให้คนตามหาจิวฝูทุกพื้นที่บนเรือ

แต่เรื่องหน้าประหลาดใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

เมื่อไม่มีใครพบเห็นจิวฝูเลยแม้แต่คนเดียว

แม้แต่กล้องวงจรปิดที่นำภาพกลับมาดูย้อนหลัง ก็ไม่พบจิวฝูแม้ที่เดียว

รวมไปถึงความวุ่นวายที่มีคนตกลงมาจากบันได ก็ไม่มีรายงานใดๆถึงนายท่านและคุณนายหลี่


ซึ่งภาพสุดท้ายที่กล้องวงจรปิดถ่ายจิวฝูไว้ได้คือมุมเรือชั้นหนึ่งหน้าห้องส่วนตัวของฝานเว่ยซูนั่นเอง






"เป็นไปได้ยังไง คนทั้งคนจะหายไปเฉยๆได้ยังไง"





ผ่านไปจนดึกดื่นก็ยังหาเบาะแสของจิวฝูไม่ได้ จนทุกคนเริ่มอ่อนแรง




"แล้วคุณชายหลี่ล่ะครับ ตั้งแต่ที่ผมขึ้นเรือมายังไม่พบเจ้าของงานเลย"



"เขาดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านบนหน่ะครับ คาดว่าตอนนี้คงพักผ่อนอยู่"





นายท่านหลี่หลบสายตาขณะพูดถึงลูกชายเจ้าของงาน เว่ยซูจึงออกอุบายขอพบเขาเพื่อปรึกษาเรื่อง

ลูกน้องที่หายตัวไป นายท่านและคุณนายหลี่มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนใช้ให้ผู้ดูแลไปตามลูกชาย

เพื่อมาพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นบนเรือขนเขา







รอนานเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนที่อยากพบจะลงมาพบ

จนฝานเว่ยซูเองก็เริ่มที่จะหมดความอดทน


แต่มีหนึ่งคนที่หมดความอดทนไปก่อนหน้านั้นแล้ว







ซือเป่าเดินออกจากห้องรับรองพร้อมปิดประตูเสียงดัง

เขาสั่งให้คนติดตามที่พามาด้วยอีกสิบคน มาผลัดกันเฝ้านายท่านเว่ยซู

ส่วนตัวเขาออกเดินตามหาที่ต่างในเรือ สอบถามไปทั่วแต่ก็ยังไร้แววจิวฝู








กริ๊ก!






ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในความตึงเครียด เสียงประตูห้องพักของเจ้าบ้านหลี่ก็ดังขึ้น

พร้อมกับคนที่เว่ยซูรอพบมาร่วมชั่วโมง

หลี่ลู่เสียนเดินเข้าห้องพักของบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แต่งกายในชุดสบาย เขาเพียงเดินผ่านหน้าแขกในห้องไปนั่งโซฟาอีกตัวด้านข้าง





"คุณฝานอยากพบผม มีธุระอะไรรึเปล่าครับ"






ฝานเว่ยซูพยายามสังเกตุสีหน้าของผู้มาใหม่ แต่กลับไม่ได้พบอะไรนอกจากความนิ่งเฉย

เนื้อตัวสะอาดสะอ้านพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยเข้ามาเตะจมูก ทำให้เว่ยซูคาดว่าชายคนนี้พึ่งอาบน้ำเสร็จ





"จิวฝู...บอดิการ์ดผมหายตัวไปบนเรือของคุณครับ"



"คนไหนล่ะครับ ตอนขึ้นเรือมาผมเห็นคนของคุณตามมาด้วยเป็นสิบ"


เว่ยซูเปิดภาพจากโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้วยื่นให้คุณชาบหลี่

เขารับมาดูแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อยเท่านั้น




"คุณให้เขาไปทำอะไรล่ะครับ อยู่ๆเขาถึงหายไป"



ดวงตาวาววับจ้องเข้าไปนัยตาของผู้ถูกถามอย่างตรงๆ และแน่นอนว่านายท่านฝานย่อมจ้องกลับ

อย่างไม่ลดละ ดวงตาที่สะท้อนความสะใจเล็กๆ ส่งตรงมาอย่างไม่ปิดบัง






"สำรวจความเรียบร้อยทั่วไป"





"เขาอาจจะ...กำลังสำรวจความเรียบร้อยให้คุณอยู่ก็ได้นะครับ เดี๋ยวก็คงกลับมาเอง"


ชายร่างสูงกล่าวไว้เพียงแค่นั้น ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม




ฝานเว่ยซูไม่ได้คิดไปเอง หรือใจร้อนที่จะตามหา แต่เขาเชื่อว่าจิวฝูคงอยู่กับชายที่เขาสนทนาด้วยเมื่อครู่

อย่างแน่นอน เขากลับไปยังห้องพักของตนเอง นี่เป็นเวลาดึกมากแล้ว อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า

เขาต้องรีบคิดหาทางว่าควรทำอย่างไรต่อไป เพราะเมื่ออาทิตย์ขึ้น แล้วเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป

ย่อมเป็นผลเสียต่อเขามากที่สุด

















............................โปรดติดตามตอนต่อไป









สวัสดีคุณ sirin_chadada   :  ^________________^  :3123:


สวัสดีคุณ ♠DekDoy♠  ด้วยนะคะ ^_______________^   :pig2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หายไปไหนหนอ หรือว่าถูกจับตัวไว้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 4





...








ฝานเว่ยซูสั่งคนออกกระจายตามพื้นที่ทั่วท้องเรือ เพื่อจับสังเกตุพฤติกรรมต่างๆของลูกน้องหลี่ลู่เสียน

วันนี้เป็นวันที่สองที่เขาขึ้นมาบนเรือ และลูกน้องคนสนิทหายตัวไปเมื่อคืนที่ผ่านมา

แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้าแต่อย่างใด






ค่ำคืนนี้จะมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดทายาทเจ้าของเรืออย่างเป็นทางการ

และเป็นการประกาศแต่งตั้งว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปของตระกูลหลี่

ซึ่งคืนนี้แขกทุกคนบนเรือจะมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลอง

เป็นจังหวะเหมาะที่ฝานเว่ยซู จะส่งคนออกตามหาลูกน้องที่หายตัวไป









ก็อก ก็อก ก็อก


"นายท่านฝาน เชิญไปกับผมด้วยครับ"




พ่อบ้านคนเดิมเคาะประตูห้องเจ้าบ้านฝานแต่เช้าตรู่ เว่ยซูไม่รู้ว่าเขาจะถูกนำไปที่ไหน

แต่ก็ยังคงเดินตามไป พร้อมกับซือเป่า พ่อบ้านพาเขาเดินผ่านห้องรับรองแรกที่เขาเข้าไป

เลยไปอีกฟากของห้องพักแขกพิเศษ ซึ่งถูกแบ่งเป็นสองฝั่งทางปีกซ้ายขวา

เขาคุ้นทางเดินนี้ดี เพราะเมื่อคืนเขาก็เดินมาเพื่อไปยังห้องของเจ้าบ้านหลี่

แต่คาดว่าคงเป็นเจ้าบ้านหลี่เช่นเคยที่เชิญเขามาพบเป็นการส่วนตัวแต่เช้าตรู่




แต่คนนำกลับเดินเลยห้องส่วนตัวเจ้าของเรือไปจนสุดทางเดิน

ประตูถูกเคาะสามทีก่อนที่คนด้านในจะเปิดแล้วเชิญแขกเข้าไป

ผู้นำทางเพียงผายมือให้ผู้ถูกเชิญเดินเข้าไปด้านในเท่านั้น ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม



เมื่อแขกเข้าไปถึงในห้องพัก ประตูก็ถูกปิดลงทันที

ฝานเว่ยซูถูกเชิญให้นั่งรอตรงโซฟากลางห้อง






ห้องนี้ตกแต่งเช่นเดียวกับห้องของเขา เพียงอยู่กันคนละฝั่งเท่านั้น

เชื่อว่าคงเป็นห้องของแขกคนสำคัญไม่แพ้ตัวเขาแน่นอน




"สระว่ายน้ำด้านหน้าเมื่อวาน คงถูกใจคุณมากเลยสินะ"





"..."






หญิงสาวในชุดคลุมมันแวววาวสีแดงดำเดินออกมานั่งบนโซฟาด้านข้างเขา

เว่ยซูประหลาดใจไม่น้อย ที่เจอเธอบนเรือลำนี้






"เทียนหลิง...ผมไม่รู้ว่าคุณมางานนี้ด้วย"



"นั่นเพราะว่าคุณมาช้าที่สุด คุณเลยไม่รู้อะไรเลย"



"แต่เมื่อวานเย็นผมก็ไม่เห็นคุณบนดาดฟ้า"




"ฉันเหนื่อย ก็อยากพักผ่อน ยังไม่พร้อมจะออกไปเจอใคร"





สีหน้าและท่าทางที่เป็นธรรมชาติดังที่เว่ยซูคุ้นเคยปรากฏแก่สายตา

เขาเองก็นั่งพิงโซฟาแล้วทอดถอนหายใจอย่างไม่เกร็งใดๆเช่นกัน





"ได้ข่าวว่าอาจิวหายตัวไป"





เว่ยซูยังคงนิ่งไม่ตอบคำถามนั้น เทียนหลิงรู้เรื่อง แสดงว่าบัดนี้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆบนเรือ

ก็คงรู้เรื่องแล้วเช่นกัน เขาหันกลับมามองเทียนหลิงแล้วพยักหน้า




"คงไปเหยียบโดนหางใครเข้า ถึงหาหลักฐานอะไรไม่เจอเลย"



"ตั้งแต่ฉันรู้เรื่อง ก็ให้คนช่วยสอดส่องให้ตลอด แต่ก็ยังไม่ได้ความอะไร...คุณให้อาจิวไปทำอะไร"


"ผมก็แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย"


"หวังว่าอะไรนิดหน่อยของคุณ คงไม่ใช่ว่าที่เจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลหลี่หรอกนะคะ"


"เพราะถ้าใช่ คุณคงไม่ได้เหยียบแค่หาง"



เว่ยซูไม่ตอบคำถามนั้น และนั่นคือคำตอบ เทียนหลิงยกยิ้มน้อยๆพร้อมกับอุทานเบาๆกับตัวเอง

รู้จักกันมาเป็นสิบปี มีหรือจะไม่รู้ ว่าเว่ยซูคิดอะไร ทำอะไร





"แล้วคุณจะทำยังไงต่อ ป่านนี้อาจิวโดนฆ่าไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้"





"ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด พวกมันไม่กล้าฆ่าอาจิวหรอก ยังไงผมก็ต้องรีบพาอาจิวกลับมา"




"คุณพอเดาออกไหมว่าพวกมันขังอาจิวไว้ที่ไหน"





"เมื่อวานสัญญาณอาจิวหายไปที่ชั้นสามของเรือ"






"งั้นก็พอดีเลยค่ะ เพราะพรุ่งนี้ คืนสุดท้าย หลี่ลู่เสียนมีจัดกิจกรรมพิเศษเล็กๆน้อยๆให้พวกเรา

มีแค่บางคนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วม...และงาน จัดที่ชั้นสาม"








"งานอะไร?"




"ไม่มีใครทราบค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง ดูเจ้าตัวจะโปรโมทอย่างมากเลย เดาว่าคุณคงอยู่ในรายชื่อแขกรับเชิญนะ"





"ผมไม่แน่ใจ"



"กลับไปดูตารางในห้องคุณสิคะ อ่านอะไรให้มันละเอียดบ้างเว่ยซู ไม่ใช่ดูแค่ภาพรวม"





เว่ยซูหลี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวแสนสวยที่นั่งข้างๆเขาเริ่มบ่น

เขาไม่รอช้า สั่งให้ซือเป่ากลับไปดูตารางที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องทันที

ก็เป็นอย่างที่เทียนหลิงว่าจริงๆ เขามักมองอะไรเป็นภาพรวม เพราะไม่ชอบรายละเอียด

หรืออะไรที่มันยุ่งยาก




ซือเป่ากลับไปหยิบของสำคัญในห้องเพียงครู่เดียวก็กลับมา พร้อมกับข่าวดีที่ว่า

ในใบกิจกรรมมีตารางแยกพิเศษออกมาจากตารางปกติของแขกทั่วไป

โดยเขาจะเลือกเข้าร่วมตามรายการปกติหรือรายการพิเศษก็ย่อมได้




หากว่าวันนี้เขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อตามหาคนของเขาแล้วก็ยังไม่พบ

นี่คงเป็นโอกาสสุดท้าย ที่เขาจะสามารถช่วยจิวฝูได้

เพราะเมื่อใดที่เรือเทียบชายฝั่ง การที่เขาจะช่วยจิวฝูได้นั้นยิ่งยากทวีเข้าไปเป็นเท่าตัว

ยิ่งเป็นเหตุที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของเขาด้วยแล้ว

ความรู้สึกผิดยิ่งถาโถมเข้าใส่อย่างช่วยไม่ได้

และที่ยิ่งกว่านั้น ความห่วงใยที่เขามีต่อจิวฝูลูกน้องคนสนิท ย่อมมากมายพอที่ให้คนอื่นเดาได้






...





แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่เป็นไปดังที่เขาคาด ในคืนวันฉลองวันเกิดที่ทุกคนต่างพร้อมหน้ากันในงาน

ที่จัดขึ้นในห้องบอลลูมชั้นสองของเรือ มีการประกาศแต่งตั้งว่าที่เจ้าบ้านลู่คนใหม่อย่างเป็นทางการ

โอกาสแรกที่เขาจะให้คนตามหาจิวฝูพังไม่เป็นท่า เมื่อทุกทางเข้ามีคนของบ้านหลี่ดักเฝ้าทุกทาง

เรียกได้ว่า ในงานมีการป้องกันแน่นหนาแค่ไหน นอกงานก็แน่นหนามากเท่านั้น

แน่นอนว่าหลี่ลู่เสียนคงไม่โง่พอที่จะปล่อยให้มีใครเดินไปมาบนเรือตามใจชอบอีกเป็นครั้งที่สอง






ความร้อนใจกัดกินฝานเว่ยซูอย่างรวดเร็ว เพราะหากผ่านคืนพรุ่งนี้ไป เขาจะไม่ได้คนของกลับคืนอีกเลย

และเขาจำเป็นอย่างมาก ที่จะต้องวางแผนให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด

เขาจะไม่ปล่อยให้จิวฝูต้องลำบาก เพียงเพราะคำสั่งของเขาอย่างแน่นอน







ฝานเว่ยซูได้ความช่วยเหลือจากเทียนหลิง ทั้งคู่ร่วมสนทนากันจนดึก

เพื่อให้แผนการออกมาสมบูรณ์ที่สุุด ไม่ว่าอย่างไร เขาจะพลาดไม่ได้





...







ค่ำคืนสุดท้ายในการไถ่บาปเริ่มขึ้น เว่ยซูและเทียนหลิงไม่รู้ว่ากิจกรรมพิเศษที่ได้รับเชิญคืออะไร

แต่พวกเขาพลาดไม่ได้อย่างแน่นอน

ทั้งคู่แต่งกายชุดสวยงามตามงานเลี้ยง

ร่วมรับประทานอาหารพร้อมเอ่ยคำขอบคุณเจ้าภาพที่เชิญมาร่วมงาน

จนประมาณห้าทุ่มเศษ การรับประทานอาหารในห้องอาหารก็จบลง






พ่อบ้านที่คอยดูแลแขกพิเศษแต่ละคนเดินไปเชิญแขกที่ได้รับเชิญให้ขึ้นชั้นสามในค่ำคืนนี้




"ผมได้ยินว่าจะมีโชว์พิเศษจากคุณชายหลี่ คุณพอรู้ไหมครับว่าคืออะไร"




"ไม่ทราบเลยครับ ผมก็ตื่นเต้นอยู่"



คุณชายตะกูลหวังที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย เดินขนาบข้างนายท่านหลี่เพื่อขึ้นบันไดไปชั้นสามด้วยกัน

และมีเทียนหลิงเดินตามมาห่างๆด้านหลังพร้อมพ่อบ้านที่ดูแลเธอ




เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสาม แขกกิตติมศักดิ์หลายคนเกิดความประหลาดใจ

เพราะสิ่งก่อสร้างไม่ได้หรูดูดีดังเช่นชั้นสองหรือสาม

สภาพโดยรอบไม่ต่างจากห้องควบคุมเครื่องมือเดินเรือที่ถูกก่อสร้างด้วยปูนสีหม่น

ไม่ได้มีสิ่งไหนที่ดูแล้วน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ





พ่อบ้านเดินนำเขาไปยังประตูบานหนึ่งทางขวามือ ประตูบานเล็กที่ไม่น่าใช้บนเรือสำราญสุดหรูลำนี้ได้เลย

แขกหลายคนเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี ด้วยไม่ไว้ใจต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

แต่ด้วยมีกฎอนุญาติให้สามารถพาผู้ดูแลเข้าร่วมด้วยกี่คนก็ได้จึงได้เบาใจ

บางคนจึงพาบอดิการ์ดเข้าไปในห้องด้วยถึงสิบคน

หากแต่สำหรับเว่ยซู เขามีสิ่งสำคัญที่ต้องใช้คนมากกว่าการติดตามเขา

สำหรับเขาซือเป่าคนเดียวก็น่าจะเพียงพอ





เมื่อคนทะยอยเข้าไปจนเกือบครบ ก็ถึงคิวเว่ยซูเสียที เขายืนมองโดยรอบเพื่อคำนวนถึงที่

ที่จิวฝูอาจถูกจับตัวอยู่ แต่แล้วก็ถูกเชื้อเชิญให้เข้าห้องการแสดงโดยพ่อบ้านคนเดิม






เขาเดินเข้ามาด้านใน สภาพแตกต่างจากด้านนอกโดยสิ้นเชิง

ด้านในคล้ายโรงละคร มีเบาะบวมหนังอย่างดีถูกจัดวางไว้เป็นขั้นบันได

และทุกที่นั่งมีความพิเศษยิ่งกว่าโรงหนังระดับพรีเมี่ยม






เว่ยซูถูกเชิญให้นั่งตรงกลางโรง โดยแต่ละที่นั่งจะมีแท็ปแล็ตขนาดกลางวางไว้

เมื่อเลื่อนกดหน้าจอก็ปรากฎเป็นชื่อเขา เขาวางนิ้วลงไปบนช่องที่ถูกบังคับ

หน้าจอก็ถูกปลดล็อคทันที





ภายในมีแอพลิเคชันมากมาย บางอันเขาคุ้นตาบ้าง บางอันไม่เคยเห็นบ้าง

แต่มีอันนึงที่สะดุดตา เพราะถูกติดตั้งไว้ตรงกลางจอ ให้ชื่อว่า









'Welcome to wonderland'







เขาไม่รอช้าที่จะกดเข้าไป และได้พบกับโปรแกรมหน้าตาประหลาด

ฝั่งซ้ายมือมีรายชื่อคนที่เขาไม่รู้จักเรียงกันกว่าร้อยรายชื่อ

โดยเป็นชื่อคนที่มีถิ่นกำเหนิดจากทั่วโลก







เราเลื่อนรายชื่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ปรากฏชื่อบางคนที่เขาตามหา

เว่ยซูละสายตาจากจอแสดงผล เพื่อมองหาที่นั่งของพันธมิตรของเขา

ที่เดินตามเขาเข้ามา และพบว่าเธอนั่งเยื้องไปด้านล่างทางซ้ายมือเขาไปไกลนัก





สายตาก้มลงมองเวลา เกือบเที่ยงคืน และแผนการของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ทันใดนั้นเอง มอนิเตอร์จอยักษ์ตรงหน้าเขาก็เริ่มมีไฟฉายขึ้นมา

พิธีกรชายหนึ่งหญิงหนึ่งออกมายืนกลางจอ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่ตัวจริงอยู่ที่ไหน

ภาพบนเวทีเป็นเพียงภาพฮอโลแกรมเท่านั้น






"สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ Wonderland"




ฉากเปิดด้านหลังพร้อมดนตรีประกอบชวนตื่นตาตื่นใจ ผู้ชมในโรงต่างพากันปรบมือ

หลายคนตื่นเต้นว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นคืออะไร

แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีสีหน้าเรียบเฉย ในมือเปิดเพียงแอพลิเคชันที่เว่ยซูเปิดเมื่อครู่

คล้ายกับว่ารู้อยู่แล้วว่าถูกเชิญมาทำไม






พิธีกรคู่ยังคงพูดคุยถึงความประทับใจต่างๆบนเรือตลอดระยะเวลาสามวันที่่ผ่านมา

โดยเปิดภาพประทับใจให้ใครหลายคนได้รู้สึกดี แต่กับเว่ยซู เขาไม่ได้รู้สึกดีมากนัก

เพราะตั้งแต่วันแรกก็เกิดเรื่อง มันทำให้เขานอนหลับไม่สนิทสักเท่าไหร่

มาคราวนี้จะเรียกว่าการพักผ่อนได้จริงหรือ









เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาที่เขาต้องรู้สักทีว่าเชิญเขามาทำไม

ภาพฮอโลแกรมพิธีกรกล่าวเชิญเจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลหลี่ และภาพนั้นก็เปลี่ยนจาก

พิธีกรเป็นฮอโลแกรมของหลี่ลู่เสียนแทน







"สวัสดีทุกท่านอีกครั้งนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้อยู่กับพวกคุณในตอนนี้


อยากให้รู้ว่าผมเสียดายมากจริงๆ เพราะกิจกรรมพิเศษนี้ผมเองก็เลือกสรรมาให้พวกคุณด้วยตัวเอง

ขั้นตอนการเข้าร่วมหรือวิธีประมูลต่างๆจะขอยกให้เป็นหน้าที่ของคุณฉางคนสนิทของผมนะครับ

คุณฉางจะดูแลทุกท่านอย่างเท่าเทียมกัน ผมรับประกัน ขอให้สนุกกับของขวัญพิเศษจากผมครับ"





ภาพฮอโลแกรมคล้ายถูกบันทึกเก็บไว้เพื่อนำมาเปิดเท่านั้น แล้วบัดนี้ตัวจริงคุณชายหลี่ล่ะ



อยู่ที่ไหน?





ไฟตรงกลางเวทีมืดลงพร้อมกับสปอร์ตไลท์ที่ฉายไปยังโพเดียมสีขาวอันใหญ่ด้านข้างแทน

ประกฏคนสนิทของคุณชายหลี่ หรือคุณฉางที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่





"ขอบคุณทุกท่านที่มานะครับ อย่างแรกผมจะขออธิบายวิธีใช้งานอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่กับที่นั่งของทุกท่าน


ในขณะนี้แล้วนะครับ โดยให้ทุกท่านเปิดจอขึ้นมา..."





คุณฉางอธิบายขั้นตอนวิธีการใช้งานแท็ปแลตที่เว่ยซูลองเปิดเมื่อครู่ไปแล้ว

บัดนี้เขากำลังกังวลมากกว่าว่าหลี่ลู่เสียนหายไปไหน รวมไปถึงคนของเขาที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านนอกนั่น

สายตาประจวบเหมาะกับเทียนหลิงที่หันขึ้นมาพอดี ทั้งสองพยักหน้าเป็นอันรู้กัน






เทียนหลิงกวักมือเรียกผู้ดูแลที่ใส่ชุดสูทสีดำที่ยืนไม่ห่างนัก เพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง

ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไป โดยมีบอดิการ์ดของเทียนหลิงตามไปด้วยอีกสองคน





"...หากเข้าใจกติกาแล้ว ผมจะทำการเริ่มต้น ณ บัดนี้"





เขามัวแต่สนใจกับคนที่กำลังเดินออกไป จนไม่ทันได้ฟังถึงเกมส์กิจกรรมที่กำลังดำเนินการ

เว่ยซูหันไปถามซือเป่าที่นั่งข้างกัน หากแต่ซือเป่ากำลังตาค้างเติ่งบนจอยักษ์ไปเป็นที่เรียบร้อย

ไม่รอช้า เว่ยซูหันไปมองบ้างว่าตกลงแล้วนี่มันงานอะไร และได้พบกับ



สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่ขาขวาถูกโซ่ล่ามไว้จนเกรงว่าหากถอดมันออกข้อเท้านั้นต้องเกิดรอยฟกช้ำแน่นอน

และที่ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหญิงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น

เว่ยซูเริ่มเข้าใจแล้วว่าของขวัญพิเศษจากเจ้าของงานคืออะไร






"อาซือ อย่ามัวแต่มอง เทียนหลิงออกไปแล้ว ฉันจะตามออกไปอีกสิบห้านาที นายก็ทำตามแผน เข้าใจไหม"






"ครับ...นาย"





"นายท่านฝาน...มีอะไรให้ช่วยไหมครับ"





"ครับ?"





"นี่แท็ปแล็ตของคุณครับ"





บอดิการ์ดที่อยู่ใกล้เขาที่สุดเดินมาแล้วหยิบแท็ปแล็ตที่ถูกวางทิ้งไว้บนเบาะอย่างไม่ใยดียื่นให้เว่ยซู

เขารับด้วยท่าทางนิ่งสงบ การแสดงที่เขาถนัดมากที่สุด




"ขอบใจ"


เขาหันกลับไปมองบนจอกลางเวทีอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้คนเมื่อครู่หายไปแล้ว




"ไวไปไหม"


เขาไม่ได้แปลกใจเรื่องการประมูลทาสไว้บำเรอกิจของเหล่ามนุษย์มุมมืดมากเท่าไหร่หรอก

เพียงแค่ครั้งนี้เจอกับตัว ปกติก็มีคนเชื้อเชิญให้ไป แต่ก็ไม่ได้สนใจใคร่รู้อะไรมากนัก

คราวนี้มาสัมผัสบรรยากาศเองก็พูดยากเหมือนกัน

เขาเองก็เป็นชายทั้งแท่ง แถมภาพบนจอก็เป็นเด็กสาวและเด็กชายน่าตาน่ารัก

ผิวพรรณเนื้อละเอียดดุจดั่งผ้าฝ้ายแท้

การประมูลเพื่อแย่งชิงจึงได้รวดเร็วและดุเดือดยิ่งนัก






กระทั่งเขาเองก็ยังมีเคลิ้มไปหลายที เมื่อเด็กหนุ่ม เด็กสาวบนจอถูกกระทำโดยชายวัยฉกรรจ์

ในรูปแบบต่างๆเพื่อเรียกเงินประมูล และผู้ที่ถูกเชิญมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นก็

มีทีท่าให้ความร่วมมือเป็นอย่างมากอีกด้วย





เว่ยซูก้มลงมองนาฬิกาเรือนหรูที่สวมติดข้อมืออีกครั้ง อีกห้านาทีเขาจะต้องลุกออกไปแล้ว

ต้องเล็งจังหวะดีๆ ให้ไม่เป็นที่จับตามอง ต้องนิ่งดั่งที่เขาเป็นมาตลอด ต้องไม่พลาดแม้แต่นิดเดียว













......5










....4











...3






























..2









"เห้ย!"



เว่ยซูหันกลับไปยังต้นเสียง นั่นก็คือมือซ้ายของเขาเอง ที่นั่งทำหน้าตกใจอย่างรุนแรงอยู่

เขาหันกลับไปมองที่จออีกครั้ง และครั้งนี้เขากลับไม่ได้พบกับเด็กน้อยน่าเอ็นดูที่ไหน




ผ้าปูสีสดใสน่ารักถูกโชลมไปด้วยสีแดงสดของหยาดโลหิต


ชายฉกรรจ์สองนายถูกกุญแจมืออันหนาฟาดเข้าที่บริเวณศรีษะและใบหน้าอย่างรุนแรง

ชายคนหนึ่งมีร่างกายเปลือยเปล่าเหลือไว้เพียงชั้นในตัวเดียว

เว่ยซูไม่รู้ว่าสามนาทีเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่ได้มองจอแม้สักนิด

และตอนนี้ก็ได้เวลาที่เขาต้องออกไปตามจุดที่ได้นัดพบไว้แต่แรก






"ฉันต้องไปแล้ว"







พรึ่บ!












เหตุการชุลมุลเริ่มเกิดขึ้นทันทีเมื่อไฟสว่าง บอดิการ์ดของผู้มีอิทธิพลหลายคนเริ่มเดินกันวุ่นวาย

รวมถึงซือเป่าที่กำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่งด้วย













...













...












..............................โปรดติดตามตอนต่อไป









สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ ^^ : บอกตรงๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าหายไปไหน ฮ่าฮ่าฮ่า  :-[

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 5






...









"ขอให้แขกทุกท่านอย่าพึ่งลุกไปไหนนะครับ ทางเราจัดการความเรียบร้อยอยู่นะครับ..."



คุณฉางที่มีสีหน้าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย พยายามควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย

คำสั่งปิดห้อง ไม่ให้ใครสามารถเข้าออกได้เพื่อความปลอดภัยถูกใช้ทันที

บัดนี้เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว ดังเช่นที่จิวฝูเคยอยากให้เป็น

แต่ที่แย่กว่านั้นคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คนที่อยากให้เกิด กลับไม่อยู่ช่วยเหลือ

เว่ยซูยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ในใจห่วงเพียงสตรีผู้ซึ่งอยู่ด้านนอกในตอนนี้








ตู๊ม!!!!!!!!!





ถัดจากนั้นอีกเพียงไม่กี่นาที เสียงดังคล้ายฟ้าผ่าก็เกิดขึ้น พร้อมกับการสั่นสะเทือนของลำเรือ

ภายในห้องชุลมุนวุ่นวายไปหมด ผู้มีอิทธิพลหลายคนเริ่มขวัญเสียและโวยวายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

เสียงเมื่อครู่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ไม่ไกลนัก เดาว่าอาจเป็นชั้นสองหรือชั้นสาม

ชนิดที่ว่าใกล้สุดๆเลยก็เป็นได้







"อาซือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีการระเบิดในเรือ"



"ผมก็ไม่ทราบครับ แต่เดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของเด็กคนนั้น"



"เด็ก..?"






ซือเป่าอธิบายคร่าวๆให้เจ้านายของเขาฟังว่าเมื่อครู่มีเด็กชายคนนึงที่ถูกนำมาประมูลเช่นคนอื่น

ปลดล็อคโซ่ตรวนได้ และทำร้ายคนของหลี่ลู๋เสียนจนเป็นอย่างภาพที่เห็น

และคาดว่าเด็กคนนั้นย่อมไม่ธรรมดา ตอนนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

จึงจำเป็นต้องอยู่กับที่ รอให้จับตัวการได้ก่อนถึงจะสามารถออกไปได้






เว่ยซูขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อรับฟังเรื่องราวที่เขาไม่ได้ใส่ใจเมื่อครู่

ทำไมเพียงชั่วครู่เดียว ชั่วครู่เดียวแท้ๆ เหตุการณ์ถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

เขาก้มมองนาฬิกาอีกครั้ง บัดนี้เลยเวลานัดของเขากับเทียนหลิงไปเกือบสิบนาทีแล้ว

เช่นนี้จะทำอย่างไรต่อไป






ยังไม่ทันคิดอะไรออก ก็มีเสียงกริ่งช่วยชีวิตจากเจ้าบ้านหลายคนที่รู้สึกสนุกเหลือเกินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คำต่อรองประมูลยังคงดำเนินต่อไป หากแต่เป็นการจ่ายเดิมพันด้วยความสามารถ


ใครจับเด็กนั่นได้ก่อน ก็จะตกเป็นของคนๆนั้นทันที







คุณฉางย่อมห่วงใยต่อความปลอดภัยของแขกผู้เข้าพัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้

ในเมื่อแขกบางจำพวกนิยมชมชอบที่จะเล่นกับไฟ

และเขาเองก็ห้ามไม่ได้เสียด้วย ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว







เพียงไม่นานคำประกาศดังที่หลายคนรอคอยก็เริ่มต้นขึ้น

ใครใคร่อยากลองของก็เริ่มได้ทันที แต่ทุกคนต้องลงนามไว้ก่อนแล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อทั้งตัวเจ้าบ้านหรือผู้ติดตาม


ตระกูลหลี่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือต้องร่วมรับผิดชอบใดๆ





กระดาษลงนามถูกผู้มีอิทธิพลลงนามไปแล้วหลายสิบคน

แต่ก็ยังคงมีอีกหลายสิบคนที่ไม่เข้าร่วมด้วย

เนื่องจากบางคนก็เป็นพวกรักสงบเสียมากกว่า





"เราต้องออกไปจากที่นี่"








แต่ก่อนออกไปต้องเซ็นลงนามเสียก่อน เขาไม่รอช้าที่จะเดินไปเพื่อลงนามทำสงครามภายนอก

สิ่งเดียวที่เขาสนใจในตอนนี้คือการตามหาจิวฝู และความปลอดภัยของเทียนหลิงเท่านั้น





"ผมจะรีบตามคนของเรามาช่วยคุ้มกันคุณ"






"ไม่ต้อง ซือเป่า ฉันอยากให้คนของเรากระจายกันตามหาจิวฝูกับเทียนหลิง

ตอนนี้บนเรือกำลังวุ่นวาย ฉันคิดว่าเราอาจตามหาพวกเขาง่ายขึ้น

นายไปกระจายคน ส่วนฉันจะไปจุดที่นัดพบเทียนหลิง"









"แต่ผมจะไม่ปล่อยให้คุณไปคนเดียว"






"นายลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นใคร นี่เป็นคำสั่ง"







ซือเป่ามองเจ้านายอีกครั้ด้วยสายตาตัดพ้อ แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่คือคำสั่ง

เขาวิ่งออกจากตรงนั้นแยกไปอีกทาง ด้านเว่ยซูก็แยกไปอีกทางเพียงลำพังเช่นกัน

เขาไปถึงจุดท้ายเรือชั้นสองที่เป็นจุดนัดพบกับเทียนหลิง แต่กลับช้าเกินไป

เทียนหลิงไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เว่ยซูเดินเลียบไปตรงทางระเบียงเรื่อยๆจนได้พบเข้ากับ








ชายในชุดสูทกว่าสิบนายที่เดินขวักไขว่ไปตลอดทางที่เขาเดินผ่าน

เว่ยซูเดินผ่านไปอย่างเงียบๆ แต่แล้วสองเท้าของเขาก็ต้องหยุดเดิน

เมื่อใครบางคนมายืนขวางหน้าไว้








"ดูสิใครมาคนเดียว"





เว่ยซูจำไม่ได้ว่าชายแก่พุงย้วยคนนี้เป็นใคร ในบรรดาผู้มีอิทธิพลบางคนที่เขาไม่ได้สนิท

หรือเป็นพันธมิตรด้วย เขาก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจที่จะจดจำใบหน้าใครเป็นพิเศษอยู่แล้ว



..โดยเฉพาะใครบางคนที่ไม่น่ามอง









"ผมขอทางด้วย"






"ออกมาหาเด็กนั่นเหมือนกันเหรอ"






"..."









"ผมก็ไม่ได้อยากสอนหรอกนะ แต่คุณเองก็ไม่ควรมาคนเดียวแบบนี้

เกิดตกน้ำตายขึ้นมา ใครจะรู้"








เว่ยซูยังคงสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย เขารู้ถึงข้อนี้ดี ที่ว่าเมื่อเซ็นสัญญานั่นแล้ว

ไม่ว่าเขาจะตาย หรือหายตัวไป ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครรับผิดชอบ

ยิ่งเมื่อออกมานอกห้องควบคุมเช่นนี้ บรรดาบอดิการ์ดหรือผู้ติดตามคนอื่นๆ

ของผู้ที่ร่วมลงนาม ย่อมมีสิทธิ์ที่จะใช้อาวุธทุกชนิดเพื่อความสะดวกในการเล่นเกมส์








"ผมไม่สนหรอกนะว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ผมมีอย่างอื่นต้องทำ"






"เดี๋ยว!"


ชายแก่ยังคงขวางทางเว่ยซูเช่นเดิม รอยยิ้มน่ารังเกียจกระซิบข้างหู



"ผมก็ไม่อยากทำให้คุณเสียเวลาหรอกนะ แต่ตอนนี้คุณเป็นคู่แข่งในเกมส์ของผม

ถ้าผมจะกำจัดคู่แข่งออกไป ก็ไม่น่าเสียหายอะไรใช่ไหมล่ะ"






ปืนขนานเล็กถูกจ่อไปยังขมับขวาของเจ้าบ้านฝาน และเขาไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแสดงออกมาสักนิด

ดวงตาแข็งกร้าวมองตรงไปยังเจ้าของปืน แม้ในใจจะหวั่นเพียงใด

แต่เขาไม่มีทางแสดงออกไปให้ใครได้รับรู้อย่างแน่นนอน






นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครได้เข้าประชิดตัวถึงเพียงนี้

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ว่าไปที่ไหน ก็จะมีจิวฝูและซือเป่าคอยอยู่เคียงข้างเสมอ

นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยต้องอยู่ลำพัง ในพื้นที่อันตรายเช่นนี้

แต่หาใช่เวลามากลัวไม่ คนอย่างเขาเด็ดเดี่ยวมากพอที่จะผ่านมันไปได้











กริ๊ก!




"สวัสดีครับคุณเปา ไม่ได้เจอกันแปปเดียว ยังมีนิสัยขี้โกงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ"



ปลายกระบอกปืนลำยาวจ่อเข้าศรีษะชายแก่ ด้านหลังปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง

ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาคมเข้ม บวกกับหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งอย่างดีนั่นแล้ว

ยิ่งขับให้ชายคนนี้ดูดีขึ้นอีกเป็นเท่าตัว








"คุณชายหลี่"




ชายแก่ลดปืนในมือลงอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปยังต้นเสียงแล้วทำหน้าตาเลิ่กลั่ก

เจ้าบ้านป้ายแดงของตระกูลหลี่ ที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานจึงลดปืนในมือลงบ้าง

เมื่อได้เจอกับสายตาดุดัน ชายแก่พุงพลุ้ยจึงรีบเดินหลบออกจากตรงนั้น






ปล่อยทิ้งไว้เพียงชายสองคนที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกัน ทั้งความสูงและความหนาของร่างกาย

และอาจรวมไปถึงฝีมือการต่อสู้ด้วยก็เป็นได้






ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมลดราวาศอก และคนที่เผลอยิ้มก่อนเป็นคนแรก

ก็คือเจ้าของงานวันเกิดเมื่อคืน









"รู้ไหมครับ...ผมชอบจังเวลาคุณทำหน้าจริงจัง"








"..."








"ที่บอกว่าไม่สนเด็กนั่น แต่มีอย่างอื่นต้องทำ นี่คืออะไรหรือครับ"






"ไม่ใช่เรื่องของคุณ ผมขอตัว"







"แต่คุณลงนามเข้าร่วมเกมส์ของผมแแล้ว ผมแนะนำว่า คุณเดินเกมส์ดีกว่านะครับ"






"ถ้าให้ผมเดา คงเป็นการจัดฉากของคุณสินะ"







"เปล่าเลยครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร"





"งั้นผมก็คงต้องขอตำหนิ ว่าคุณจัดงานได้ห่วยแตกมาก"




"ไม่ปฏิเสธครับ คนของผมพลาดเอง แต่ถึงยังไงก็หาเด็กนั่นให้เจอเถอะครับ"





เว่ยซูหมดคำพูดต่อล้อต่อเถียงกับคนตรงหน้า เขาเดินเลี่ยงเพื่อไปจากที่ตรงนั้น

แต่กลับถูกบางคำพูดหยุดไว้









"บอดิการ์ดของคุณที่หายตัวไป..."






"...!"






"คิดว่าเป็นฝีมือผมสินะ"







"..."






"ถ้าอย่างนั้น ก็ลองจับตัวเด็กนั่นมาแลกดูสิครับ"










"นี่นาย..."








เว่ยซูหันกลับไปเพื่อถามอย่างเอาความ แต่กลับช้าไปเสียแล้ว

คนด้านหลังเขาเดินจากไปเสียไกลโข

ฝานเว่ยซูพยายามเดินตามไปแต่ก็ไม่ทัน






หากว่าเป็นอย่างที่หลี่ลู่เสียนว่า หากเขาจับตัวเด็กนั่นได้จริงๆ

คนๆนั้นจะยอมปล่อยลูกน้องเขาจริงหรือ?



แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ทางเดียวที่เขาจะได้รู้ความจริง

คงเป็นการหาตัวเด็กคนนั้นมาให้ได้ก่อน

เว่ยซูเดินกลับไปอีกทางที่เขาแยกกับซือเป่า เขาเดินตามหาซือเป่าในจุดที่มีลูกน้องเขาอยู่เพียงไม่นาน

ก็ได้พบและบอกเล่าเงื่อนไขของคุณชายหลี่








เว่ยซูกลับไปเปิดแท็ปแล็ตอีกครั้ง และเข้าไปยังเมนูชื่อของเด็กชายที่ทุกคนกำลังตามหา










...Carlos Han...









ข้อมูลภายในของหน้าที่ว่างเปล่าจะถูกอัพเดท เมื่อเด็กคนไหนได้รับการเปิดตัวแล้ว

เด็กคนนี้ก็เช่นกัน

ดูก็รู้ว่าข้อมูลปลอม ชื่อนี่ก็น่าจะปลอมด้วย

เพราะภาพของเด็กชายที่ทุกคนตามหา ไม่ได้ดูยุโรปสักนิด

ออกติดไปทางเอเชีย หรืออาจจะเป็นที่เดียวกับที่เขาจากมาก็เป็นได้

เด็กชายมีหน้าตาที่น่ารักมาก ดังเช่นที่ว่าทุกคนต้องอยากครอบครอง

เนื้อตัวเนียนละเอียด ขาวหมดจด ในภาพเพียงสวมเสื้อกล้ามและชั้นในชายเท่านั้น









เขาเดาไม่ถูกเลยว่าเด็กคนนี้แท้จริงแล้วสูงเท่าไหร่ เพราะในภาพกำลังนั่งในท่าพับเพียบ



เว่ยซูอยากให้เทียนหลิงหรือจิวฝูก็ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้เสียเหลือเกิน

เพราะหากได้สมองสุดยอดการวิเคราะห์ของจิวฝู กับความรอบคอบของเทียนหลิงมาอยู่ในมือ


เขาคงตามหาตัวเด็กคนนี้ได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้มีเพียงเขาและซือเป่าเท่านั้น






เขาควรทำอย่างไรดี?






เว่ยซูเดินวนอยู่อย่างนั้น รอบแล้วรอบเล่า แต่ก็ยังนึกไม่ออก

ปกติสมองเขาก็ไม่ได้ตีบตันถึงเพียงนี้ แต่คราวนี้มันเกี่ยวข้องกับใครหลายคนในชีวิตเขา

คนที่เขาเป็นห่วงและคิดถึงเป็นอย่างมาก

แถมยังเกี่ยวพันกับใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่รู้จัก


หากว่าพูดคุยต่อรองได้ เขาคงขอร้องให้เด็กคนนั้นมอบตัวซะ เพื่อแลกกับอะไรก็ตาม

ที่เด็กนั่นต้องการ แต่เขาก็คือคนหนึ่งที่เสมือนเป็นศรัตรูของเด็กคนนั้น

ต่อให้พูดจาต่อรองอย่างไร ก็รับรองได้ว่า คงถูกเกลียดเหมือนคนอื่นๆแน่นอน







"อาซือ"






"ครับนาย"






"ถ้านายเป็นอาจิว นายจะทำยังไง...นายจะจับเด็กนั่นยังไง"







"..."







"ถ้าเป็นอาจิว จะทำยังไง..."







"ไม่ทราบสิครับ แต่ถ้าเป็นจิวฝู ผมเดาว่าเขาคงต้องวิเคราะห์ดูก่อนว่าพื้นฐานเด็กคนนั้นเป็นใคร

มาจากไหน มากับใคร มา..."






"ใช่!"






"???"






"ใช่ เด็กนั่นมากับใคร ฉลาดมากอาซือ"



ซือเป่าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เจ้านายพูด เว่ยซูพูดเพียงเท่านั้นแล้วรีบออกเดินทันที

เขาก้าวขาขึ้นไปยังชั้นสาม และเข้าไปในห้องประมูลอีกครั้ง

ซึ่งบัดนี้บรรยากาศในห้องก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

ยังคงมีผู้ที่รอเพื่อความปลอดภัยอยู่ด้านใน





เว่ยซูเดินเข้าไปหาคุณฉางที่ยังคงเดินสำรวจความเรียบร้อย และความต้องการของแขกภายในห้อง

เขาขอคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อสอบถามถึงที่มาของเด็กคนนั้น

แต่แล้วกลับต้องคว้าน้ำเหลว เมื่อคุณฉางเล่าว่า เด็กทุกคนที่ถูกนำมา จะมีเอเย่นจากต่างประเทศ

ส่งตัวมา ทุกคนล้วนมาเองด้วยความเต็มใจ หากบางคนก็อาจไม่ได้เต็มใจ

แต่ก็มาเพื่อเงินและความสบายของครอบครัว


ถึงอย่างนั้น คุณฉางก็ไม่สามารถเปิดเผยถึงเอเย่นได้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน







เว่ยซูไม่ยอมแพ้ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กนั่นขึ้นมาบนเรือลำนี้ได้อย่างไร

เมื่อถามจากคนในไม่ได้ ก็ต้องถามจากผู้ที่มาด้วยตัวเอง

เขาต้องการเข้าไปยังห้องที่บรรดาเด็กๆถูกเก็บตัวไว้ แต่มีหรือถ้าขอคุณฉางเข้าไปตรงๆ

แล้วตนจะได้เข้าไป






เขาเดินออกจากห้องนั้นแต่เดาว่าห้องเก็บตัวต้องเป็นประตูด้านข้างที่ถูกเฝ้าไว้อย่างแน่หนาแน่นอน

แล้วเขาจะเข้าไปในห้องนั้นได้อย่างไร

แม้ว่าบัดนี้ชั้นสามจะไม่มีคนเดินขวักไขว่มากนัก แต่เชื่อว่าคนเฝ้าประตูทั้งสองต้องมีฝีมือเก่งกาจ

อย่างมากเป็นแน่

































................................................โปรดติดตามตอนต่อไป
















สวัสดีคุณ sirin_chadada อีกครั้งค่ะ และขอบคุณที่ยังคงติดตามนะคะ ^^

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จากชื่อเรื่อง เดาว่าเว่ยซูต้องได้รับอันตรายอะไรสักอย่างแน่
งานเลี้ยงนี่น่าโมโหที่สุด ทั้งเจ้าของงานทั้งเหตุการณ์ในงาน โดยเฉพาะเจ้าบ้านคนใหม่...น่าหมั่นไส้มาก!

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรื่องนี้ซีเรียสดีจัง

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 6











...








ในขณะที่ฝานเว่ยซูกำลังคิดหาทางเข้าไปยังห้องเก็บตัวอยู่นั้น

สมุนมือซ้ายของเขาก็ได้จัดการหักแขนและขาของชายทั้งสองที่เฝ้าหน้าประตูเป็นที่เรียบร้อย



เขายืนมองภาพนั้นด้วยความฉงนใจ




หืม...ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ก็คิดไม่ออกนะ





เขาฉีกยิ้มให้แก่คนสนิทเพื่อเป็นคำชมเชย ประตูห้องเก็บตัวถูกเปิดออก

โดยที่ด้านในมีคนตัวใหญ่เฝ้าอีกหนึ่งคน แม้จะตัวใหญ่แค่ไหน

แต่คนของเว่ยซูก็มีมากกว่า ลำพังซือเป่าคนเดียวก็กินขาดแล้ว









“คารอส ฮาน…”






“…”






“รู้จักคนๆนี้ไหม”






เว่ยซูชูแท็ปแล็ตในมือ แปะข้างลูกกรงของเด็กคนหนึ่งที่ได้รับการเปิดตัว และถูกประมูลไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

เด็กคนแรกที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือใบหน้าสับสนงุนงงไร้สติของเด็กคนนั้น

เขาจึงเดินไปรอบๆและชูภาพในแท็ปแล็ตให้ทุกคนที่อยู่หลังกรงได้ดู บ้างสนใจ บ้างก็เอาแต่ก้มหน้า

บ้างไร้สติเนื่องจากฤทธิ์ยาบางประเภทที่ถูกฉีดเข้าเส้นเลือด



“มีใครรู้จักคนๆนี้ไหม เมื่อไม่กี่นาทีนี้เกิดอุบัติเหตุกับเขา

ฉันอยากรู้ว่าใครพอจะติดต่อคนรู้จักเพื่อพาเขาไปรักษาตัวได้รึเปล่า”





ฝานเว่ยซูไม่ยอมแพ้ ยังคงตะโกนคำบอกเล่าและชูภาพในแท็ปแล็ตที่ถูกขยายจนเห็นได้ชัด

แต่ก็ยังไร้ซึ่งผู้มีปฏิกริยาตอบสนอง เขาเดินวนอยู่อย่างนั้น ไม่ต่ำกว่าสามรอบจนเริ่มถอดใจ





“ใครรู้จักโปรดแสดงตัวด้วย เราต้องรีบนำเขาไปรักษา และคนรู้จักของเขาก็จะได้ลงจากเรือนี้

ไปพร้อมเขาด้วย ฉันรับประกันความปลอดภัยเอง”








กึก!














“…ปั้น…”









ในที่สุด…







“เธอรู้จักเด็กคนนี้หรือ?”






“ค..ค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”








“เขาพลาดโดนระเบิด ที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้”







“รบกวนมากับเราด้วยครับ”







ซือเป่าเดินเข้ามาและใช้กุญแจที่ได้จากผู้คุมเปิดตามเลขที่ระบุไว้บนกรงขังกับลูกกุญแจ

เด็กสาวถูกนำตัวออกไปพร้อมคนบ้านฝาน










ตุ่บ ตุ่บ ตุ่บ








“มันไปทางนั้น ตามมันไป!!!”






บรรยากาศชั้นสองของเรือแสนวุ่นวาย ไม่ต่างอะไรกับเกมส์ตำรวจจับผู้ร้ายที่เขาเคยเล่นกับเพื่อนตอนเด็กๆ

เด็กคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ไม่เช่นนั้นคงแผลงฤทธิ์ขนาดนี้ไม่ได้








“ช้าก่อนครับคุณฝาน ไม่ทราบว่าเด็กคนนี้…”






ฝานเว่ยซูและพรรคพวกถูกการ์ดกลุ่มหนึ่งที่พบเห็นและจำได้ว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้วย

คือคนที่อยู๋ในแคทตาล็อกสินค้าประมูลในวันนี้ดักหน้าเอาไว้






“ผมขอยืมมาช่วยจับคน เดี๋ยวจะเอาไปคืนให้”





“แต่ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ”





“งั้นนายก็รอให้เรือถูกระเบิดทั้งลำก่อนดีไหม ค่อยให้ฉันใช้วิธีของฉัน”










รอบด้านเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์วิ่งไปมาอย่างวุ่นวาย แต่ตรงหน้านายบ้านฝานตอนนี้กลับเงียบงัน

คาดว่าบอดิการ์ดคนนั้นคงกำลังใช้ความคิด และสายตากดดันจากผู้มีอิทธิพลแห่งโลกใต้ดิน

ให้รอต่อไปคงไม่ไหวแน่ เจ้าบ้านฝานจึงให้บทสรุปแทนการตัดสินใจของชายผู้ลังเล






“เอาเป็นว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรับผิดชอบเอง”






“…”







ไม่มีคำอนุญาตหรือห้ามปรามใดหลุดออกมาจากปาก

ชายผู้ลังเลเพียงหลีกทางให้กลุ่มบ้านตระกูลฝานและเด็กติดประมูลหนึ่งคนเดินผ่านไปยังห้องกัปตันเรือ

ห้องเครื่องถูกเปิดประตูออก ภายในเป็นห้องปฏิบัติการณ์กัปตันเรือ ทุกคนมีสีหน้าวุ่นวายและร้อนรน

เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นบนเรือ และทุกอย่างกำลังใช้มาตรการฉุกเฉิน

กัปตันเรือเดินแก้ปัญหาให้ว่อน และหยุดการกระทำลงเมื่อผู้มาใหม่พร้อมพรรคพวกอาวุธครบมือ

เดินเข้ามาหาตน






“คุณเข้ามาในนี้ไม่ได้นะครับ”


“ผมเพียงอยากขอยืมเครื่องกระจายเสียงคุณประกาศอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง หวังว่าจะไม่ติดอะไรนะ”


ซือเป่าที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายกระชับอาวุธที่ถูกเหน็บไว้ข้างกระเป๋ากางเกงพร้อมส่งสายตาข่มขู่

ยังไงเสียก็งานถนัดเขาอยู่แล้ว ถึงแม้เจ้านายเขาไม่ค่อยอยากให้ทำเช่นนี้สักเท่าไหร่ แต่ ณ เวลานี้

เขาไม่จำเป็นต้องสนใจหรือใส่ใจอะไรมากเกินกว่าคนที่เขาระลึกเสมอว่าคือครอบครัว






กัปตันผายมือไปด้านขวาเพื่อสั่งให้ลูกน้องเตรียมเครื่องกระจายเสียง

และเชิญให้คุณท่านฝานใช้งานด้วยความเต็มใจ...?






เสียงประกาศถูกขยายไปทั่วท้องเรือ





‘ปั้น…’







กึก กึก กึก






แฮ่ก แฮ่ก…









ชายหนุ่มผิวขาวละเอียดที่บัดนี้สวมใส่เสิ้อผ้าเต็มชุด วิ่งหลบฝูงคนไปตามริมขอบระเบียบเรือ

เขาปืนขึ้นไปหลบยังชั้นสามของเรือ ในจุดที่ปลอดคน และไม่มีใครคิดว่าสามารถหลบซ่อนตัวได้

เขานั่งหอบหายใจ เสื้อผ้าเต็มไปด้วยลิ่มเลือดสีแดงที่บัดนี้เริ่มคล้ำสีลงและส่งกลิ่น




เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ จำได้ครั้งสุดท้ายเขายังอยู่ที่มหาลัย

แต่แล้วทำไมจู่ๆตื่นขึ้นมาอีกทีถึงได้มาอยู่ในห้องที่มีกล้องติดทั่วทุกมุม

แถมยังเป็นบนเรือสำราญลำใหญ่ ทุกอย่างสับสนปนเป

แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็ช่วยให้เขาหลุดจากพันธนาการมาได้

เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิต

และไม่คาดคิดว่าตัวเขาเองจะสามารถทำร้ายคนได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นเมื่อครู่ได้


กระทั่งระเบิดที่เขาทำขึ้นเองจากคลิปวีดีโอในยูทูปที่เคยดูเพื่อฆ่าเวลา











‘ปั้น…’







สติกลับมาได้เพียงไม่นาน ลำโพงตัวเล็กที่แอบซ่อนอยู่ในผนังก็ดังขึ้น

เสียงที่เขาจำได้ว่าคือหนึ่งในคนรู้จักของเขา แต่ใช่แน่หรือ ใช่เสียงของคนๆนั้นแน่หรือ

แล้วทำไมคนๆนั้นที่เขารู้จักถึงมาอยู่ที่นี่กับเขาได้






‘ปั้น…นี่แพรวเองนะปั้น ปั้นยังอยู่บนเรือใช่ไหม ถ้าปั้นได้ยิน ปั้นมาหาแพรวที่ดาดฟ้าชั้นสองได้ไหม…’








กึก








‘…อุ่ก’








วีดดดดดดดดด









ประโยคถูกตัดไปพร้อมสัญญาณที่ขาดหายไปทันทีเมื่อประโยคเดียวที่ถูกสั่งให้พูดจบลง

ชายหนุ่มวัยใสกุมอกด้านซ้ายของตนเองแล้วขยำมันอย่างแรง เขากำลังเจ็บ มันปวดหนึบที่หัวใจ

เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่บีบคั้นหัวใจเมื่อไหร่ เขามันเจ็บปวดเช่นนี้เสมอ

และครั้งนี้ก็เช่นกัน เขากดดันเหลือเกิน เดาไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อไป

แต่ที่แน่ๆเขาไม่มีทางปล่อยให้คนรู้จักของเขาคนนั้นต้องถูกจับอยู่เพียงลำพัง

ไม่ว่าใครก็ตามที่จับตัวพวกเขามา เขาไม่มีวันให้อภัยอย่างแน่นอน









...












“ปั้น…”









ชายในชุดสีเลือดปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของคนบนเรือที่ได้ยินประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียง

บางคนคิดแผนการดักจับตัวเด็กก่อนให้ถึงตัวผู้หญิงในเครื่องกระจายเสียง

แต่ก็ไม่สามารถมีใครจับตัวเขาได้ ปั้นผ่านชายเหล่านั้นมาได้อย่างสบายๆ

และถึงดาดฟ้าชั้นสอง ที่มีโต๊ะอาหารเรียงกันอยู่ละลานตา







“สวัสดี”








เพียงแวบแรกที่พบหน้า ฝานเว่ยซูประหลาดใจเล็กน้อย

เมื่อเห็นเด็กชายตัวจริง

เด็กที่เขาเห็นในภาพกับชายตรงหน้า

ใช่คนเดียวกันแน่หรือ เด็กน้อยน่ารักไม่ได้ดูน่ารักเช่นในภาพสักเท่าไหร่

หากแต่ผิวกายขาวอมชมพูเนียนละเอียดนั้นเป็นของจริง

แต่ร่างกายกำยำพร้อมส่วนสูงที่เว่ยซูคิดว่าพอๆกับเขาแน่ๆ  บดบังความน่ารักของใบหน้านั้นไปเสียสิ้น








“แพรว…”





เด็กสาวตรงหน้าไม่ได้ถูกพันธนาการแต่อย่างใด หากแต่ถูกยืนบังโดยชายรูปร่างสูงใหญ่หลายคน




“แพรวมาอยู่นี่ได้ไง แล้วที่นี่มันที่ไหน เรามาอยู่นี่ได้ไง”




“ปั้น…นี่เรือของเจ้าพ่อหลี่ เรามาที่นี่ด้วยความสมัครใจเอง แต่เราไม่รู้ว่าปั้นก็มาที่นี่ด้วย”




“แต่เราไม่ได้สมัครใจมา เราไม่เข้าใจ ทำไมเรามาอยู่นี่”



“เราก็ไม่รู้หรอกนะปั้น แต่ปั้นหยุดก่อความวุ่นวายที่นี่เถอะ”



“เราไม่ได้เต็มใจมา คนพวกนี้เป็นคนไม่ดีนะแพรว ทำไมแพรวถึงยอม”




“เราจำเป็นปั้น”






“ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะ แต่ฉันไม่สนว่านายจะเต็มใจมาหรือไม่เต็มใจ

แต่นายต้องหยุดก่อความวุ่นวายบนเรือลำนี้”






“มีสิทธิอะไรมาสั่งไปทราบ”




“แก”






ซือเป่าโมโหเมื่อเขาพยายามพูดจาอย่างข่มอารมณ์แต่กลับถูกตอกกลับด้วยคำพูดเช่นนี้

ปืนในมือถูกควักขึ้นมาพร้อมเล็งไปยังศรีษะคนตรงหน้าทันที






“เชิญยิงได้เลย เพราะยังไงผมก็เหมือนตายตั้งแต่ถูกจับมาละ”








“ซือเป่า…”







เป็นเจ้าบ้านฝานที่จับลำปืนแล้วกดลงไม่ให้ชี้ไปยังหน้าของชายที่เขาไม่รู้จัก

เว่ยซูไม่ชอบใช้ความรุนแรงนัก ยิ่งกับเด็กที่เขาพึ่งได้รู้ว่าถูกบังคับมาโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ

เขายิ่งรู้สึกไม่พอใจต่อคุณชายหลี่ ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ หาเหาใส่หัวตัวเองแท้ๆ

แววตาชายหนุ่มที่เพ่งมองมามีแต่ความชิงชังและเคียดแค้น



เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ถือว่าเป็นโชคร้ายสำหรับเด็กคนนี้เหลือเกิน

หากว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาแล้วต้องมาเจอเรื่องแบบนี้










“อย่าให้ต้องถึงตายกันเลย ฉันเพียงอยากยื่นข้อเสนอให้เธอ”




“ผมไม่รับ”






“..คนฉลาด มักเป็นผู้ฟังที่ดีและนำมาเพื่อใช้เป็นประโยชน์แก่ตนเองเสมอนะ”








เจ้าบ้านฝานยังคงสงบนิ่งเช่นเคย และครั้งนี้เขาก็ไม่ได้พยายามอะไร

เพราะในใจไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโหอะไรเด็กคนนี้สักนิด

เขาเข้าใจดีว่าการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ฝืนใจนั้นเป็นเรื่องที่แย่เกินบรรยาย













ชายสองคนพบกันบนทางเดินแห่งโชคชะตา หนึ่งคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความชิงชังในดวงใจ

ส่วนอีกคนเอ่อล้นไปด้วยความเห็นใจและเข้าใจ ช่างเป็นการพบกันที่สวนทางซะเหลือเกิน









"ฟังเสียหน่อย "









คล้ายกับคนใจร้อนได้รับการเตือนสสติ เด็กหนุ่มตาใสสงบลงออย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าจะมีท่าทีขัดขืนเช่นคนดื้อรั้น แต่ก็ไม่ได้ตัดบทปฎิเสธทันทีอย่างเมื่อครู่









"ฉันยื่นข้อเสนอให้เธอ แลกเปลี่ยนตัวกับเพื่อนเธอคนนี้

เพื่อนเธอจะได้รับเงินมากพอตามความเหมาะสม

และถูกปล่อยตัวไป จากนั้นสิทธิในตัวเธอจะเป็นของฉัน

ฉันมีเหตุผลที่จะต้องให้สิทธิในตัวเธอเป็นของฉัน

แต่เมื่อหมดธุระแล้ว เธอจะเป็นอิสระตามเดิม โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ฉันขอแค่เวลา ที่จะจัดการ

ธุระให้เรียบร้อย รับรองว่าไม่นาน...ลองคิดทบทวนดู เพื่อนเธอจะไม่ถูกขาย ส่วนเธอเอง

ก็จะเป็นอิสระในอีกไม่นาน"










คำพูดโน้มน้าวต่อรองเช่นนักธุรกิจไม่เคยใช้ไม่ได้ผล ยิ่งหากใครหลงกลตั้งใจฟังและเคลิ้มตามด้วยแล้ว

ยากนักที่จะปฎิเสธน้ำเสียงไพเราะน่าฟังและสัมผัสได้ว่าเป็นความจริง


แม้ชายหนุ่มจะไม่อยากเชื่อนักก็เถอะ












"ทางเลือกของเธอไม่ได้มีมากนักหรอกนะ จะเลือกตาย หรืออยู่เพื่อสู้ต่อ

สู้เพื่อคนอื่น สู้เพื่อความเป็นคนของเธอเอง จะเอาอย่างไร ก็เลือกเอาแล้วกัน"











"ปั้น..."







เด็กหนุ่มนิ่งสนิท เขาเองแม้จะธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่คนขี้คลาด เขาเหลือบมองคนยื่นข้อเสนอสลับกับหญิงสาว

คนรู้จัก ใบหน้าเธอบัดนี้ฉายชัดด้วยความกลัว เขารู้ดีว่าเธอไม่อยากได้รับความเสียสละอะไรจากเขานักหรอก



ดังเช่นตลอดมา ที่เธอไม่เคยมองเห็นเขาในสายตาเลยสักครั้ง

แต่ถึงอย่างนั้น













"ตกลง"





ไม่เลยสักนิด
ไม่เลยสักคน
ไม่เคยมีผู้ใดมองเห็นความเสียสละของเขา

ไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งไหนๆ

แต่ก็ช่างมันเถอะ

อย่างไรเขาก็ยังอยากเห็นผู้หญิงที่ยืนไม่ห่างจากเขานักคนนี้ได้หลุดพ้นจากความโหดร้าย

ของโลกแห่งความจริงนี้ แม้เธอจะเป็นคนเลือกที่จะเดินเข้ามาเอง และนี่อาจเป็น


การเสียสละสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเธอได้











"ปั้น...ปั้นอย่าทำแบบนี้...ปั้น"









หญิงสาวถูกนำตัวเพื่อไปเซ็นหนังสือสัญญาอะไรบางอย่างที่ถูกจัดเตรียมไว้ไม่ไกลนัก

ก่อนที่ซือเป่าจะนำสัญญาฉบับเดิมนั้นยื่นส่งให้ชายหนุ่มที่ยืนระวังภัยใกล้ๆนั้น







หนังสือสัญญาฉบับสั้นที่ถูกเขียนขึ้นตามคำบอกเล่าของเจ้าบ้านฝากทั้งหมด

เขากวาดสายตาอ่าน

และพบว่าเป็นดั่งที่ได้ยินเมื่อครู่ จึงลงนามยอมรับไปในทันที




หากเดาไม่ผิด สายตาที่เขามองทุกคนในที่นี้ มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัดอย่างหาที่สุดไม่ได้

เมื่อชายหนุ่มเซ็นเสร็จ หนังสือสัญญาฉบับนั้นก็ถูกส่งกลับมายังเจ้าบ้านตระกูลฝาน

เขาใช้ตราสัญลักษณ์ประจำตัวลายพยัคฆ์จากสร้อยที่ห้อยคออยู่

ทาบนิ้วลงไปบนหัวพยัคฆ์ เพียงไม่นาน หยาดโลหิตสีแดงก็ทะลักออกมาอาบไล้ไปบนนิ้วมือ


เขาวางทางนิ้วลงบนสัญญา และจากนั้นทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้น











"เดินมานี่สิ"








ฝานเว่ยซูออกคำสั่งแรกแก่ลูกน้องป้ายแดง ปั้นยืนเว้นระยะตั้งแต่แรก

ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ที่เดิม เขาค่อยๆเดินเข้าใกล้เว่ยซู เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนเดิมถูกนำตัว

เพื่อเตรียมไปลงเรือเล็กออกจากที่นี่ เขาก็เดินไปยืนตรงหน้านายท่านคนใหม่

พร้อมกับซือเป่าที่อ้อมมาจากด้านหลัง และจากนั้นภาพชายตรงหน้าก็มืดลับดับไปในทันที






























.........................................โปรดติดตามตอนต่อไป   :katai5: :katai4:









สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ : ฮ่าฮ่าฮ่า ใจเย็นๆนะคะ เดาว่าน่าจะน่าหมั่นไส้ขึ้นเรื่อยๆค้ะ 555555

สวัสดีคุณ Laliat ค่ะ : เราแต่งตามอารมณ์เลยค่ะ เดาว่าน่าจะเป็นอารมณ์ซีเรียสด้วย
เนื้อเรื่องมันเลยค่อนข้างดูเครียดๆ ^^

ออฟไลน์ skyberry

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ปูเสือรอตอนต่อไปค้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เฮ้ย อย่าบอกนะว่าจะเอาปั้นไปแลกกับลูกน้องน่ะ (แลกไม่ว่าแต่ต้องช่วยกลับมานะ)

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 7






...










ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งและพบว่าบัดนี้เขานอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างขวาง

ประดับไปด้วยเครื่องใช้สีน้ำเงินปนขาว เตียงนอนสีขาวสะอาดตานุ่มสบายเสียจน

ไม่อยากลุกไปไหน แต่ในเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจะมัวแต่นอนสบายได้อย่างไร

สองขาลุกขึ้นเดินไปยังประตูบานใหญ่แล้วเปิดออก





ที่ด้านนอกพบชายสองคนยืนเฝ้าอยู่ ชายหนุ่มถอยหลังเตรียมสู้ฝ่าออกไป

แต่ก่อนที่จะได้ออกกำลังกาย ชายคนหนึ่งในนั้นก็กล่าวเชิญให้เขาเดินผ่านไป







"เชิญครับ"




เขาเดินไปตามการผายมือของชายตรงหน้า สำรวจจุดที่เขายืนอยู่ และพบว่าบัดนี้เขาอยู่ในบ้านเดี่ยว

หลังขนาดกลาง หากแต่หรูหราทีเดียว ชายหนุ่มเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ และพบว่าด่านล่างบัดนี้

มีชายสองคนกำลังสนทนากัน คนหนึ่งมีท่าทางนิ่งเฉย ส่วนอีกคนวางท่าสบายตัว

และยิ้มกริ่มตลอดการสนทนา

เขาจำชายหน้านิ่งคนนั้นได้ และกำลังจะเดินเข้าไปหา






"กลับขึ้นไปบนห้องก่อน"






ยังไม่ทันได้เดินลงถึงพื้นล่างสุดของบันได ก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่ขวางหน้าไว้

และเขาจำชายคนนี้ได้ ไม่ชอบขี้หน้าเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม





"ผมอยากคุยกับเจ้านายคุณ"




"ฉันจะแจ้งนายท่านไว้ ถ้าท่านสะดวกให้พบแล้วจะให้คนไปตาม"



"ตอนนี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะไม่สะดวกอะไร"



"ตาบอดรึไง! เห็นไหมว่านายท่านกำลังมีแขก"



"ตาดีตาบอดแล้วจะทำไม!"






เหตุการณ์เริ่มปะทุอีกครั้งที่หน้าบันได เมื่อชายตัวใหญ่สองคนเตรียมพร้อมวางมวย

อีกฟากของบทสนนา ชายสองคนที่อยู่ไม่ไกลหันไปมองความวุ่นวายนั้นพร้อมกัน

คนหนึ่งมีสีหน้าเหนื่อยใจ ส่วนอีกคนนัยตาลุกวาว คล้ายกำลังสนุกอะะไรบางอย่าง




บัดนี้มวยคู่เอกกำลังมาคุได้ที่ ต่างฝ่ายต่างกระชากคอเสื้อ พร้อมจ้องตากันเขม็ง




ท่านเจ้าบ้านที่กำลังอ่อนอกอ่อนใจ จึงต้องเอ่ยห้ามทัพเสียก่อน








"อาซือพอก่อน ให้เขาเข้ามา"



ยังไม่วายแม้ได้รับคำสั่ง ซือเป่ายังคงจ้องหน้าตาไม่กระพริบ พร้อมส่งสายตาอาฆาตรุนแรง


เด็กคนนี้เป็นใครกัน อายุห่างกับเขาจะหนึ่งรอบแล้วมั้ง ทำไมถึงได้ไม่รู้จักมารยาทใดๆเลย

แม้จะหงุดหงิดใจมากเพียงใด ก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

สองมือใหญ่ละออกจากคอเสื้อยืดทรงย้วย

ชายอีกคนกระชับคอเสื้อที่ถูกดึงจนยานให้เข้าที่ แล้วสาวเท้าไปยังโซฟาตัวยาว

ที่บัดนี้มีชายหน้าตาดีสองคนนั่งอยู่








"สวัสดี"




ชายเสื้อย้วยไม่รู้จักว่าคนที่ทักทายเขาเป็นใคร แต่ท่าทางไม่น่าไว้ใจมีอะไรแอบแฝงแน่นอน




"นั่งก่อนสิ"




ชายหนุ่มมาใหม่นั่งลงตามคำเชิญของชายแปลกหน้า สายตานั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวอะไรบางอย่าง





"หน้าตาน่ารักทีเดียว...ไม่น่าระเบิดเรือฉันเล่นเลยนะ"






!!!





หลี่ลู่เสียนเอ่ยทักทายตายิ้มหยีขัดกับประโยคบอกเล่า ไม่รอช้าชายหนุ่มใจร้องที่สงบไปได้ชั่วครู่

ลุกขึ้นหวังเข้าประชิดตัวเจ้าของเรือ หวังมองของขวัญให้สักหนึ่งหมัด

ข้อหาจับตัวเขามาด้วยความไม่เต็มใจ


แต่ยังไม่ทันจะได้กระทำดังใจหวัง

ชายตรงหน้าเขาก็เอี้ยวตัวหลบเล็กน้อยและใช้มือข้างเดียว ล็อคแขนเขาไปทางด้านหลัง









"อยากก่อสงครามหรือ? หืม?

คุณฝานครับ ผมว่าแสบขนาดนี้คุณจะรับมือไหวหรือ ขายคืนให้ผมดีกว่าไหม"



ใช่ว่าคนถูกล็อคจะนิ่งเฉยให้ถูกกระทำฝ่าายเดียว เขาพยายามดิ้นรนสุดชีวิต แต่อย่างไรก็ไม่หลุดเสียที

ดูท่าทางชายคนนี้ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าเขาสักเท่าไหร่ ทำไมมือถึงแข็งเป็นคีมขนาดนี้









"ปล่อยเขาเถอะครับคุณชายหลี่ ส่วนเธอ ถ้าไม่พร้อมคุยดีๆก็กลับขึ้นไปด้านบนก่อน


ตอนนี้เธอเป็นคนตระกูลฝานแล้ว และคุณชายหลี่ก็เป็นพันธมิตรคนสำคัญของเรา


ถ้าเธอคิดจะทำร้ายพันธมิตรของฉัน ฉันคงใจดีกับเธอไม่ได้อีก"






เสียงเรียบและสีหน้าจริงจังหยุดสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้าได้ชงัด

คุณชายหลี่ปล่อยชายหนุ่มเป็นอิสระ แต่ไม่วายถูกส่งสายตาดุดันไปให้ก่อนกลับไปนั่งที่ ที่นั่งเมื่อครู่อีกครั้ง









"ผมทำตามเงื่อนไขของคุณแล้ว ตอนนี้เด็กคนนี้เป็นคนของผมแล้ว หวังว่าคุณจะทำตามสัญญา"






"ครับ...ผมเห็นแล้ว ไม่มีอะไรที่คนอย่างคุณฝานทำไม่ได้จริงๆ"





"ผมยินดีทำตามสัญญาครับ ถ้า..."




"คนของคุณอยู่กับผม แต่พอดีว่า เขาไม่ได้อยู่กับผม"





คำบอกเล่าแสนง่ายดายที่คนพูด พูดคล้ายไม่มีอะไรพิเศษหรือร้ายแรง

ทำให้หัวใจอันแสนสงบนิ่ง เต้นแรงเสียจนแทบหลุดออกจากอก เขากำลังโมโห

และโกรธเป็นอย่างมาก โกรธเสียจนอยากร้องไห้ หมัดถูกกำแน่นด้วยเจ้าตัวพยายามข่มใจ







"หมายความว่าไง"




น้ำเสียงที่ถูกกดลงต่ำเพื่อสะกดอารมณ์สร้างความอึดอัดแก่คนรอบข้างที่ได้ยิน

หากแต่คนที่อยู่ในวงสนทนากลับยกน้ำชาตรงหน้าดื่มด้วยรอยยิ้มและใบหน้าระรื่น







"ก็ผมสัญญาว่าจะคืนคนของคุณให้ ถ้าคุณจับเด็กคนนี้ได้ แต่พอดีคนของคุณ

ไม่ได้อยู่กับผม คุณปักใจเชื่อไปเอง"







"แต่อาจิวหายตัวไปบนเรือของคุณ"





"อันนั้นผมก็ไม่ทราบ แต่ผมพูดความจริง ผมไม่ได้จับคนของคุณไป

ผมจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรล่ะครับ"







"งั้นผมก็หมดหน้าที่แล้ว ปล่อยผมไปได้แล้วสิ"



ชายหนุ่มผู้มาใหม่แทรกขึ้นทันทีเมื่อเริ่มเรียบเรียงประโยคและความเป็นไปในใจได้แล้ว






"ยัง... ไว้ฉันจะคุยกับเธอทีหลัง อาซือ พาเขากลับขึ้นห้องไปก่อน"





"ครับนาย"









ซือเป่าเดินเข้ามา ชายหนุ่มมีท่าทางขัดขืนแต่ก้ต้องนิ่งลง เมื่อหันไปมองคนด้านข้าง

คนๆนี้กำลังแผ่รังสีน่ากลัวอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

คำพูดแสนเรียบเฉยแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธมหาศาลที่อัดแน่นอยู่


คุณชายหลี่มองตามชายหนุ่มขึ้นไปด้านบนจนลับตา แสดงออกชัดเจนอย่างถึงที่สุดว่าถูกใจ









"หมดประโยชน์แล้ว จะขายคืนให้ผมก็ได้นะครับ"





"ขอบใจที่หวังดี แต่ไม่ดีกว่า ผมจับได้ แบบที่คุณแนะนำไง"





"งั้นก็เลี้ยงแมวน้อยดีๆหน่อยล่ะ ดูท่าทางจะเชื่องยาก"





"ถ้าคุณยืนยันว่าอาจิวไม่ได้อยู่กับคุณก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าผมสืบรู้ทีหลัง

ว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมจะเล่นจนคุณไม่เหลืออะไรเลย

กระทั่งขาเก้าอี้ที่ยังไม่ใช่ของคุณตอนนี้ด้วย หมดธุระแล้ว เชิญ!"



ฝานเว่ยซูข่มอารมณ์อย่างหนัก เขากัดฟันพูดประโยคสุดท้ายกับแขกที่เขาไม่ได้เชิญ

แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้น หันหลังเดินขึ้นด้านบนทันที










"เบามือกับเด็กหน่อยนะครับคุณฝาน ฮึฮึ"




ไม่พ้นโดนรุมกระทืบ ยังกวนบาทาเจ้าของบ้านเป็นครั้งสุดท้ายอีก

คนๆนี้ช่างน่ารังเกียจดังรายงานของจิวฝูเสียจริง

ยิ่งอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเหม็นเน่าในจิตใจยิ่งโชยฟุ้ง



เจ้าของบ้านเดินขึ้นไปด้านบน

หากแต่ไม่ได้เลี้ยวเข้าไปในห้องของชายอีกคนที่พึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวเขา

เขาไม่พร้อมพูดคุยกับใครตอนนี้ เว่ยซูเดินเข้าห้องนอนส่วนตัวและขังตัวเองอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง

จนคนรอห้องข้างๆเริ่มหงุดหงิดใจ ว่าจะเอาอย่างไรแน่










"อาจิวไม่ได้อยู่กับคุณชายหลี่ ฉันจะทำยังไงต่อดี จะไปตามหาเขาได้ที่ไหน"



ซือเป่าเคาะประตูพร้อมเดินเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นว่าเจ้านายหายไปสงบใจเป็นเวลานาน




"ขออภัยที่ผมคงตอบคำถามนั้นไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่แน่นอน

คุณจะต้องได้พบเขาอีกครั้งครับ"




"ขอบใจ"



เจ้าบ้านฝานจิบชาที่ได้รับจากซือเป่า ในหัวเขาตอนนี้มีแต่ควันดำเต็มไปหมด เขาคิดอะไรไม่ออก

ทั้งโกรธทั้งโมโห แถมยังมีภาระติดมาอีกหนึ่งชีวิต เขาไม่น่าโง่หลงเชื่อคำพูดของจิ้งจกเจ้าเล่ห์

อย่างหลี่ลู่เสียนเลย ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้ว ว่าคนๆนี้หาได้ยากมากที่จะพูดความจริง







"เทียนหลิงเป็นไงบ้าง"





"อาการดีขึ้นตามลำดับครับ อีกไม่กี่วันคงกลับบ้านได้"






"ฉันจะกลับจีนพรุ่งนี้ ส่งเด็กนั่นไปจัดการของใช้จำเป็นที่บ้านเขาให้เรียบร้อย"





"คุณจะให้เขากลับบ้านเหรอครับ"





"ใช่ แล้วก็เอาสัญญาให้เขาท่องจำด้วย ว่าถ้าคิดจะบิดพริ้วล่ะก็จะเป็นยังไง"





"ทราบแล้วครับ"






ซือเป่าเดินออกไปจัดการตามคำสั่งเจ้านาย บัดนี้ฝานเว่ยซูอยู่ในที่ๆเขาไม่อยากมามากที่สุด

แต่ด้วยเรือที่ได้รับความเสียหายของตระกูลหลี่ ทำให้การเดินทางถึงที่หมายเป็นไปได้ลำบาก

จึงจำต้องเทียบท่าที่ใกล้ที่สุดไปก่อน









...ทำไมคุณถึงยังไม่ปล่อยผมไปสักที?




...อาจิวคือใคร?




...ที่บ้านผมจะปลอดภัยใช่ไหม?







ระหว่างทางบนเครื่องบินที่ถูกเช่าเหมาลำเพื่อเดินทางโดยด่วนของเจ้าพ่อฝานเว่ยซู

เต็มไปด้วยคำถามมากมาย จากเด็กที่เขาคิดว่า อายุน่าจะห่างจากเขาเกือบหนึ่งรอบได้

แม้เขาจะพยายามเลี่ยงความสนใจมากแค่ไหน

ความพยายามในการได้คำตอบของเด็กคนนั้น

ก็ไม่ได้มีท่าว่าจะน้อยลงเลย






"อาซือ ขอยาให้ฉันด้วย"




เขาไม่ได้ไว้ใจใครมากพอที่จะคิดวางยาตัวเองตอนนี้ หากแต่ในจิตใจมันสับสน ร้อนรุ่ม

ทั้งยังรำคาญเด็กชายตัวโข่งที่มีคำถามมากมายส่งมาให้เขาและคนรอบข้าง

จึงขอใช้ยาให้สมองมึนเบลอไปบ้างชั่วขณะก็ยังดี

ซือเป่าจัดการยานอนหลับชนิดไม่รุนแรงให้แก่เจ้านาย จากนั้นจึงเริ่มตรวจตราความเรียบร้อย



อีกครั้งและอีกครั้ง










เที่ยวบินใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงที่ลงจอดส่วนตัวของเจ้าบ้านฝาน หากแต่บัดนี้คนที่หลับสนิท

พร้อมทั้งเสียงกรนชวนให้รำคาญใจ กลับกลายเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก หากแต่เจ้าปัญหา


ส่วนคนที่วางยาตัวเอง แม้สติจะมึนเบลอ แต่สมองกลับคิดอยู่ตลอดเวลา

แม้จะพยายามข่มตาให้หลับมากเพียงใด ก็ยังหยุดความคิดที่สับสนปนเปในสมองไม่ได้

สุดท้ายก็เดินลงเครื่องบินเช่นเดียวกับคนอื่นทั่วไป

คล้ายยากล่อมประสาทเมื่อครู่เป็นเพียงลูกอมสีหวานเท่านั้น








"ให้คนพาเด็กคนนี้ไปที่บ้านก่อน ฉันจะไปเยี่ยมเทียนหลิง"







รถลีมูซีนคันหรู พร้อมเบนซ์สีดำปิดหัวท้าย เข้าเทียบยังลานลงจอดเครื่องบิน

หากแต่เจ้าบ้านกลับไม่ขึ้น

เพียงสั่งให้ปลุกและพาคนขี้เซากลับบ้านไปก่อนเท่านั้น

ส่วนตนเอง รอให้รถคันโปรดมารับตามไปทีหลัง








"นายไปกับฉันซือเป่า"






เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าบ้านฝานจึงรีบขึ้นรถที่วนมารับรอบหลัง และตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลเอกชน

ที่อยู่ค่อนข้างไกลจากลานลงจอด หากแต่บัดนี้มีบางคนที่เขาอยากเจอและพูดคุยเป็นอย่างมาก

ด้วยหวังเพียงว่า ควันดำมืดในหัวจะจางหายไปบ้าง









...







ประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเปิดออก พร้อมผู้ดูแลร่างยักษ์สองคนด้านในที่เดินสวนออกมา

เมื่อแขกคนพิเศษของคนไข้มาเยี่ยมและต้องการความเป็นส่วนตัว







"ไงคะเว่ยซู มาเร็วกว่าที่คิดนะ"





"เป็นไงบ้าง"







หญิงสาวที่บัดนี้มีผ้าพันแผลพันรอบหัวไหล่ขวา แต่ใบหน้ายังคงความงามด้วยเจ้าตัวแต่งเติมตลอดเวลา

มองเห็นสีหน้าและท่าทางที่ช้าลงกว่าปกติของผู้มาเยี่ยม จึงได้เผลอยิ้มออกมา







"น่าจะเป็นฉันมากกว่านะที่ต้องถามคุณว่าเป็นยังไงบ้าง"





"..."





"ดูคุณสิ ท่าทางอย่างกับจะมีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว"







"เทียนหลิง อาจิวไม่ได้อยู่กับคุณชายหลี่"





"ค่ะ"






"ดูคุณไม่แปลกใจเลยนะ"






"เพราะมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้นค่ะ"





"แล้วทำไมคุณยังต้องขอร้องให้ผมเก็บเด็กนั่นไว้"














...



















"เดินมานี่สิ"







ตุ่บ...





ชายหนุ่มล้มลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก เมื่อโดนยานอนหลับชนิดพิเศษ

เขาสลบทันทีจากนั้น

ฝานเว่ยซูสั่งให้คนพาเด็กชายเตรียมลงเรือเล็กพร้อมตนเพื่อออกจากเรือลำนี้ หากแต่

เจ้าบ้านหลายคนที่ร่วมเล่นเกมส์ตำรวจจับผู้ร้ายนี้กลับไม่พอใจ










"คุณโกงนี่คุณฝาน แลกเปลี่ยนอะไรกัน เด็กผู้หญิงคนนั้นคุณยังไม่ได้ประมูลได้เลยด้วยซ้ำ"



"ผมก็คิดว่าคุณทำไม่ถูกกติกานะครับคุณฝาน"





"ผมไม่คิดว่าเกมส์นี้จะมีกติกานะครับ และการที่ผมจับเด็กคนนี้ได้ ก็ช่วยชีวิตลูกน้องพวกคุณไปได้หลายคน

..กี่รายแล้วล่ะครับ ที่ต้องส่งรักษาตัวด่วน หรืออยากให้เรือลำนี้ถูกระเบิดจนมันจมไปซะก่อน"







"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังคิดว่ามันไม่ถูกต้องอยู่ดี"






"คิดได้ไม่ทันนายท่านก็หุบปากไปดีกว่านะ"




ซือเป่าเริ่มที่จะหงุดหงิดกับคำพูดแสนเห็นแก่ตัวของเจ้าบ้านและลูกน้องหลายฝ่าย

ทำไมจึงต้องโต้แย้งในตอนสุดท้ายที่ทุกคนปลอดภัยแล้ว

ตีโพยตีพายได้ แต่ไม่มีปัญญาจับได้ด้วยตัวเอง ยังมีหน้ามาโวยวายอีก







"ผมว่ายังไงก็จับเด็กนั่นไว้ก่อน แล้วค่อยตัดสินทีหลังอีกทีดีกว่าว่าจะทำอย่างไร หรือใครได้ไป"





"ผมก็คิดว่านั่นน่าจะถูกต้องที่สุด"





"เจาเจา ไปพาเด็กคนนั้นออกมา"






หนึ่งคำสั่งจากผู้นำกลุ่มหนึ่งออกมาทันที

และลูกน้องผู้อยู่ใต้อาณัติก็เดินออกมาหวังแย่งชิงชายหนุ่ม

ที่บัดนี้หลับไม่รู้เรื่องให้ซือเป่าประคองอยู่ด้วยความยากลำบาก







"กรุณาหยุดด้วยครับ คุณกำลังเสียมารยาท"





ซือเป่ายังคงข่มความหงุดหงิดไว้ให้ลึกที่สุด เนื่องจากบางคนที่โต้แย้งกับฝานเว่ยซู

ก็เป็นพันธมิตรของตระกูลฝานด้วยเหมือนกัน










"เจาเจา ดึงออกมาเลย"







ซือเป่าไม่ยอมให้ใครมาดึงหรือจับตัวชายหนุ่มได้ทั้งสิ้น เขาสู้สุดใจ ยื้อยุดกับหลายคน

ทั้งฝ่ายบ้านตระกูลฝานและอีกหลายฝ่ายที่ต่างส่งคนมาช่วยกันดึงชายผู้หมดสติให้มาอยู่กับตน















ปัง!



เสียงดังสนั่นด้วยอาวุธขนาดเล็กในมือ สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งเผยตัวออกมา

พร้อมกับทุกสายตาที่จับจ้องไปในที่เดียวกัน วงหน้าที่เริ่มมีริ้วรอย

บวกกับดวงตาเรียวรีที่จ้องเขม็งไปที่ฝานเว่ยซูอย่างไม่วอกแวกไปไหน



ความจริงจังของคนตรงหน้าทำเอาเว่ยซูขนลุกชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้








"คุณฝาน คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าจะทำตามที่คุณเหลียงบอก"







นายหญิงแห่งตระกูลจางก็นับเป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก


และเธอขึ้นชื่อในเรื่อง อยากได้ก็ต้องได้






"คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะเด็กคนนี้เซ็นสัญญากับผมเรียบร้อยแล้ว"






"ก็ฉีกมันทิ้งซะสิ!"






เว่ยซูอึดอัดใจ ทำไมเขาต้องมาเข้าร่วมเล่นเกมส์แข่งขันบ้าบอนี้ด้วย

เด็กคนนี้เป็นใครยังไม่รู้เลย เขาคร้านจะพูดคุยต่อคำใดๆกับมนุษย์ที่เต็มไปด้วยราคะทั้งหลายแหล่


เขาเพียงพยายามเดินเลี่ยงไปให้พ้นจากที่ตรงนี้เสียที แต่ก็เป็นไปได้อย่างลำบาก

เมื่อบัดนี้เขาและลูกน้อง ถูกผู้นำและคนของหลายฝ่ายปิดล้อมเอาไว้ และเริ่มใกล้เข้ามายื้อแย้งตัว

เด็กชายพิเศษคนนี้แล้ว










จะออกไปยังไงล่ะทีนี้?














ปั่ก!










เสียงของแข็งกระทบกับอะไรบางอย่าง หยุดความชุลมุนลงได้ในที่สุด

เสียงที่เว่ยซูเดาได้ทันทีว่าซือเป่าคงโดนอะไรหนักๆฟาดใส่เต็มๆแล้วเป็นแน่



หากแต่เมื่อหันไปมองอย่างเต็มตา กลับพบว่าบุคคลที่ถูกแท่งเหล็กหนาฟาดเข้าเต็มๆ

คือหญิงสาวคนสวยขวัญใจนายท่านฝานนั่นเอง











"เทียนหลิง!"




จุดศูนย์กลางความตื่นตระหนก ตกมาเป็นของคนงามที่บัดนี้ยืนหลังตรง ตัวแข็งทื่อ

ไหล่ขวาที่ถูกแท่งเหล็กฝาดใส่จนเกิดเสียงดังไม่พอ

ความคมของเหล็กที่ถูกงัดออกมาใช้งานในสภาพที่ไม่พร้อม

ทำให้รอยต่อกรีดลึกเข้าไปยังหัวไหล่

ความแรงและความเจ็บที่กระทบเข้าใส่นั้น

ฉายชัดความเจ็บปวด ปรากฏเป็นหยาดโลหิตสีแดง

ไหลเปื้อนลงตามแขนขาวนวลผ่องสะท้อนแสงแห่งดวงอาทิตย์






ใบหน้าคมสวยไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวด เธอยืนขวางทุกคนที่คิดจะยื้อแย่งตัวชายหนุ่มไปจากซือเป่า

สองขากางออกในท่ามั่นคง ดวงตาดุดันอย่างที่น้อยคนจะเคยได้เห็น

น้ำเสียงเปลี่ยมพลังถูกเปล่งออกมา

ดังก้องไปทั่วท้องเรือ จนคนที่อยู่ใกล้ๆแทบหูระเบิด








"หยุดวุ่นวายกันสักที! เด็กคนนี้ทำสัญญาเป็นคนของตระกูลฝานด้วยความสมัครใจแล้ว

ถ้าใครคิดขัดขวาง ฉันจะถือว่าคนๆนั้นเป็นศรัตรูกับบ้านตระกูลหลิน!"







คำประกาศกร้าวทำเอาใครหลายคนถึงกับนิ่งสนิทไปทันที

นอกจากจะกลายเป็นศรัตรูกับตระกูลฝานแล้ว

ยังต้องกลายเป็นศรัตรูกับคนตระกูลหลินอีก ขาเก้าอี้แห่งโลกใต้ดินไม่ได้มีที่นั่งเยอะนัก

ตระกูลฝานและตระกูลหลินก็ถือเป็นขาสำคัญในสภา หากมีปัญหากับทั้งคู่ คาดว่าอีกไม่นาน

บ้านๆนั้นคงไม่มีที่ยืนเป็นแน่







"งั้นฉันก็จะถือว่าพวกแกเป็นศรัตรูก็แล้วกัน!"















...











ปัง!







ปืนในมือที่เคยลั่นไกออกไปแล้วครั้งหนึ่ง บัดนี้ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง

ตระกูลจางประกาศเป็นศรัตรูกับบ้านหลินและบ้านฝานแล้วเป็นที่เรียบร้อย


ลูกเหล็กเล็กเจาะทะลุหัวไหล่ที่มีรอยบาดของเหล็กหนาแต่แรกอีกครั้ง

คำพูดที่หลุดออกมาแสนเยียบเย็น พร้อมรอยยิ้มสุดแสนวิกลจริตหากแต่นิ่งสนิทนั้น

ทำเอาสถานการณ์ชักเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ






หากแต่มันกลับยิ่งแย่เข้าไปอีกเมื่อสาวสวยที่โดนกระสุนเจาะไปเมื่อสักครู่ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

และยังคงมีสีหน้าปกติแม้บัดนนี้แขนขวาจะไม่รู้สึกอีกแล้วก็ตาม



เธอถือปืนกระบอกเล็กด้วยมือซ้าย
















ปัง!










อีกนัดที่ถูกยิง หากแต่คราวนี้สาวสวยไวกว่า และเธอไม่จำเป็นต้องใจดีกับใคร

กระสุนนัดเดียวปลิดชีวิต ความไวเจาะทะลุกะโหลกด้านหน้าของสตรีวัยกลางคน

ผ่าไปจนสุดท้ายทอย หยุดการทำงานของก้านสมองในทันที



ร่างไร้วิญญาณล้มลงไปกองกับพื้น บัดนี้เหตุการณ์นองเลือดที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้ว










เสียงกรีดร้องของผู้พบเห็นดังระงมไปทั่วดาดฟ้าชั้นสอง

หากแต่ยังไร้วี่แววของเจ้าของเรือ หรือแม้กระทั่งเจ้าบ้านหลี่


























..............................................โปรดติดตามตอนต่อไป   :ling2:














วันนี้ขอแนะนำ เจ้าหนูจำไมของเราค่ะ นางน่ารักนะคะ ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วย 555555555
  :man1:






สุขสันต์วันแม่ค่ะ
  :L2:









สวัสดีคุณ skyberry ค่ะ :  :pig2: :L1:  :L1:



สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ : อิอิ  :กอด1:



สวัสดีคุณ Laliat ค่ะ : มาต่อแล้วนะคะ ^^  :L2:  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2017 15:59:13 โดย ประกาศตา »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เจ้าบ้านหลี่คนปัจจุบันน่าหมั่นไส้และน่ารังเกียจมาก ฮึ่ย

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 8









...











"เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง"



"ดูคุณเป็นห่วงเขาจังเลยนะ มีอะไรถูกใจมากนักหรือ"



ความเงียบเข้าปกคลุมห้องพักคนไข้พิเศษไว้โดยรอบ ไร้ซึ่งคำตอบจากคนไข้ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

สายตาสาวสวยเสมองไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายจะมีน้ำตา หากแต่ก็ไม่มี

ฝานเว่ยซูไม่รู้ว่าบัดนี้หลินเทียนหลิงคิดอะไรอยู่ แต่คงต้องเป็นเรื่องของเด็กคนที่เธอปกป้องด้วยชีวิตไว้แน่นอน







"เขาทำให้ฉันนึกถึงคนๆนึง"




"หลินเทียนฉิน?"




ดวงตาที่แห้งผากเมื่อครู่บัดนี้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาด้วยชื่อใครบางคนที่ถูกเอ่ยออกมา

และเจ้าตัวไม่คิดที่จะปาดมันออก



เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เธอเข้าใจ ถ้าหากน้องชายเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะขอดูแลเขาให้ดีกว่านี้

เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เขาต้องพบเจอกับความโหดร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพัง

หรือจะไม่แม้แต่พูดว่าเธอเกลียดชังเด็กคนนั้น แต่โอกาสนั้นของเธอได้หมดลงแล้ว


เธอพยายามอย่างหนักที่จะลืม เพราะเมื่อเธอนึกถึงและจำได้ เธอจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด





ในวันเกิดเหตุ เธอออกมารอฝานเว่ยซูในจุดนัดพบ หากแต่เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นไปดั่งที่คาด

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นทำให้เธอถูกพาตัวไปยังที่ปลอดภัย

นั่นก็คือห้องส่วนตัวที่มีคนของเธอคุ้มกันอย่างแน่นหนา

และขณะที่อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว เธอจึงรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

ทันทีที่ทราบว่ามีเด็กชายคนหนึ่งถูกหมายหัว

และเป็นเหยื่อให้พวกมีอิทธิพลได้เล่นจับกันอย่างสนุกสนาน

ภาพแรกคือเธออธิษฐานขอให้เด็กคนนั้นคือน้องชายของเธอ


ไม่ว่าจะปาฏิหาริย์หรืออะไรก็ตาม เธออยากให้คำพูดของฝานเว่ยซูเป็นเพียงคำลวง






เธอออกจากพื้นที่ปลอดภัย เพื่อตามหาเด็กชายคนนั้นเช่นกันกับคนอื่นๆที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมา

จนได้ยินเสียงประกาศและเธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปยังจุดนัดพบเพื่อไปดูหน้าน้องชายดั่งตั้งใจ

หากแต่เมื่อไปถึง ความหวังลมๆแล้งๆนั้นก็สลายลงในทันที เมื่อมองในมุมที่เธอยืนอยู่

ชายคนนั้นไม่มีส่วนละม้ายคล้ายเด็กคนนั้นเลยแม้สักนิด

หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ เธอไม่รับรู้สิ่งรอบกายใดๆอีก








ยากมากที่จะเป็นเช่นนี้ ในบรรดาพี่น้อง เธอคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด

โหดเหี้ยมที่สุด และฉลาดมากที่สุด หากแต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกได้ว่า

ตัวเองเป็นเพียงมนุษย์อ่อนแอธรรมดาคนหนึ่ง ที่ยังคงมีความฝันลมๆแล้งๆ

กระทั่งเสียงปืนนัดแรกที่ถูกยิงออกจากปากกระบอกนั่นล่ะ ที่เรียกสติเธอให้กลับมา

และแม้ว่าเธอจะรู้อยู่เต็มอกแล้วว่านั่นหาใช่น้องชายเธอไม่

แต่ขณะนั้น ทุกสิ่งที่เธอทำไปอยู่เหนือการควบคุมของสมอง

ร่างกายสั่งให้เธอปกป้องเด็กคนนั้น เด็กที่ถูกซือเป่าวางยาสลบและหลับไปไม่รู้เรื่องอะไรเลย





นรกหน่ะหรือ เธอไปเยือนมาหลายครั้งหลายหนแล้ว

ในขณะที่ใบหน้าเธอนิ่งเฉย นั่นหมายถึงเธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใดโดยแท้จริง

และไม่ว่าอย่างไร เด็กชายคนนี้ต้องปลอดภัย และเธอ...จะขอเดินพันด้วยชีวิต





"อาจิวไม่ได้อยู่กับคุณชายหลี่ อีกไม่นานผมคงปล่อยเด็กนั่นกลับไปในที่ของเขา"



"อีกสักพักเถอะเว่ยซู คุณก็รู้ หากปล่อยไปตอนนี้เด็กนั่นไม่รอดแน่"




เหตุผลที่ฝานเว่ยซูย่อมรู้อยู่แก่ใจ เด็กชายที่ระเบิดเรือตระกูลหลี่ผู้ยิ่งใหญ่

แถมยังหักหน้าใครหลายคนเพื่อเซ็นสัญญากับเขาแลกเปลี่ยนตัวกับคนอื่น

หากประตูเมืองเปิดออกเมื่อไหร่ ข้าศึกที่ซุ่มอยู่ภายนอก ไม่วายโจมตีโดยพลันเป็นแน่





"ถือว่าฉันขอร้องเถอะนะเว่ยซู"




"คุณก็รู้นะเทียนหลิง เด็กนั่นไม่ใช่หลินเทียนฉิน แต่หากคุณยืนยันที่จะให้เด็กนั่นยังอยู่กับผม

ผมจะดูแลเด็กคนนั้นเพื่อเห็นแก่คุณก็แล้วกัน"




เว่ยซูกลับบ้านไปพร้อมคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เทียนหลิง เขาพอเข้าใจที่เธอจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กคนนั้น

แต่ที่ไม่เข้าใจจริงๆ คือรู้ทั้งรู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่น้องชายเธอ แต่ทำไมถึงยังยอมประกาศศึกสงคราม

ทำไมจึงยอมหลั่งเลือด หรือกระทั่งชีวิต





เจ้าของคฤหาสถ์หลังใหญ่เดินเข้าบ้านด้วยจิตใจอันล่องลอย หากแต่สมองกลับทะเลาะเบาะแว้งกัน

อย่างไม่มีบทสรุป





"อาซือ ดูแลเด็กคนนั้นด้วย แล้วพรุ่งนี้เช้าพาไปพบฉันที่ห้องทำงาน"





ซือเป่าที่อาศัยร่วมกับนายท่านของเขามานานหลายปี รู้ดีว่าต้องจัดการกับแขกประเภทไหนอย่างไร

แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ได้สั่งให้พ่อบ้านจัดเตรียมห้องรับแขกให้เขาอยู่ชั่วคราวไปก่อนแล้ว








"เรียบร้อยดีไหม"




"คุณเข้าไปดูเองเถอะค่ะ"





ผิดคาดจากสิ่งที่ซือเป่าเดาเอาไว้ ชายหนุ่มสงบเงียบกว่าที่เขาคิด เมื่อเดินเข้าไปด้านใน

ก็พบว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตียง หันมามองเขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร





"นายเจอคนดูแลความเรียบร้อยที่นี่แล้ว พ่อบ้านและแม่บ้านเจียง

มีอะไรขาดเหลือก็เดินลงไปขอได้ ล่างขวามือ ไม่ไกลจากห้องนายเท่าไหร่"






"..."




"พรุ่งนี้เช้าฉันจะพานายไปหานายท่าน นายท่านมีเรื่องจะคุยด้วย"






ไม่มีคำขานรับหรือปัญหาใดๆซักถาม และซือเป่าก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้ไอ้เด็กคนนี้สักเท่าไหร่

ดูหน้าตาก็ยังอายุน้อย แต่ขนาดตัวกับนิสัยกลับตรงกันข้ามเสียจนน่ากลัว

ก่อนหน้านี้ก็ใจร้อนไม่ฟังใคร มาคราวนี้กลับเงียบใส่ชวนน่าหงุดหงิดใจ


ซือเป่าเดินออกจากห้องมาพร้อมความไม่สบอารมณ์ และเป็นความรู้สึกที่ไม่ห่างจาก

คนที่นั่งเงียบเมื่อครู่เท่าไหร่








เขาเกลียด เกลียดทุกอย่าง เกลียดทุกคน เกลียดจนไม่อยากจะพูดคุย

ไม่อยากมองหน้า หรือใช้อากาศหายใจร่วมแม้สักนิด

ไม่รู้หรอกว่าทำไม รู้แต่ว่าคนพวกนี้เป็นคนไม่ดีแน่ๆ

ช่างน่ารังเกียจเสียจริง ทำไมชีวิตเขาต้องมาพบมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด







เมื่อแขกที่เขาเกลียดขี้หน้าเดินออกห้องไป เขาก็ล็อคประตูและขังตัวเองอยู่ในนั้น

รู้ทันทีว่าไม่สามารถหนีจากคนบ้านนี้ไปได้ง่ายๆ ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่มัดตัวเขาอยู่

และเขาเองก็ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนตัวเพื่อคนๆหนึ่งแล้ว

เขาเลือกเองและเขาพร้อมที่จะยอมรับชะตากรรม แต่คืนนี้ขอนอนทำใจหน่อยเถอะ

ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง















...













ก๊อก ก๊อก ก๊อก











เสียงเคาะประตูดังขึ้นและเพียงอึดใจก็ถูกเปิดออก ซือเป่านำตัวเด็กชายเข้าไปพบเจ้านายเขา

เด็กหนุ่มจำคนๆนี้ได้ดี แม้จะเคยพบหน้ากันเพียงสองครั้งเท่านั้น 







"นั่งก่อนสิ"




"..."




"เธอชื่อปั้นใช่ไหม แนะนำตัวคร่าวๆให้ฉันฟังหน่อย"






ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผู้เชิญ วันนี้ชายตรงหน้าเขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ๊ตสีขาว

ช่างตัดกับสีผิวเป็นอย่างดี

ก็ไม่อยากนั่งหรอกนะ เก้าอี้พวกคนเลวเนี่ย

แต่ก็ต้องจำใจนั่ง เพราะยังไม่ได้อยากออกกำลังกายตอนนี้







"ผมชื่อปั้น เป็นนักศึกษา แต่คาดว่าตอนนี้จะไม่ได้เป็นแล้ว"




"ฉันจะทำเรื่องโอนย้ายหน่วยกิตให้ แต่หลังจากนี้เธอต้องเรียนและสอบออนไลน์"






"..."





"เล่าต่อสิ"





"ไม่มีแล้ว"






เหนื่อยจะสนทนา เขาไม่อยากคุยกับคนตรงหน้าสักเท่าไหร่ ไม่เจริญตาเจริญใจ

พูดด้วยแล้วมันฝืนใจ








"งั้นฉันจะพูดให้เธอฟัง ตอนนี้เธออยู่บ้านฉัน บ้านตระกูลฝาน ฉันชื่อเว่ยซู

จะเรียกคุณฝาน หรือคุณเว่ยซูก็ได้ทั้งนั้น ระหว่างที่อยู่ที่นี่ เธอจะได้เรียนหนังสือตามปกติ

ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป และฉันขอให้เธอ อยู่เฉพาะในที่ของเธอ

อย่าไปวุ่นวายในส่วนอื่น ฉันจะให้แม่บ้านเจียงคอยดูแลเธอ


มีอะไรบอกผ่านแม่บ้านเจียงได้หมดทุกอย่าง แล้วซือเป่าจะจัดการหาสิ่งที่เธอขอมาให้"










"..."






"ถ้าไม่มีคำถามอะไรล่ะก็...เชิญ"








ฝานเว่ยซูผายมือไปทางประตู เมื่อเห็นปฏิกริยาของคนตรงหน้าแล้ว

ดูเด็กคนนี้จะไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่

และไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เขาบังคับเด็กคนนี้มานี่ ไม่รู้ว่าคนยโสคนนี้จะรู้รึเปล่า

ว่าที่ยังไม่ถูกปล่อยเกาะก็เพราะมีสาวสวยขอร้องเขาไว้ ยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีก








ไม่ต้องรอให้เชิญออกจากห้องนาน คนยโสลุกพรวดพราดเดินออกไปทันที

ซือเป่าที่ยืนมองปฏิกริยาแต่แรก อยากยกเก้าอี้ตัวข้างๆฟาดไปที่ศรีษะเต็มๆแรงๆเสียจริง

หากแต่ทำไม่ได้ เขาไม่ได้อยากเป็นศรัตรูกับใคร โดยเฉพาะนายหญิงเทียนหลิง














ความเบื่อมหาศาลที่ต้องอยู่แต่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ นั่ง นอน เรียน

ทำแบบนี้วนเวียนมาหลายสัปดาห์ เขาอยากออกไปเดินเล่น ไปสูดอากาศบ้าง

แต่เคยขอซือเป่าให้พาไปแล้วก็ไม่ได้ผล อย่างไรฝานเว่ยซูก็ไม่อนุญาติให้เขาออกจาก

พื้นที่ ที่เขาอยู่ตอนนี้ไปไหนเด็ดขาด





หากแต่คนดื้อรั้นย่อมคือคนดื้อรั้น ไม่มีอะไรขวางเขาได้หรอก

ความอยากรู้อยากเห็นบวกกับความเบื่อหน่าย ชนะความกลัวหรือคำเตือนทุกอย่างไป

วันนี้เขาจะต้องได้ออกไปสูดอากาศสดชื่อด้านนอกบ้าง ยังไงก็จะไปให้ได้








ชายหนุ่มเรียนหนังสือช่วงเช้าเก้าโมงถึงเที่ยง และช่วงบ่าย บ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น

โดยลงเรียนวิชาคล้ายกับเรียนของจริงในมหาวิทยาลัย

เพียงแต่คนที่เขาเรียนด้วยเป็นอาจารย์พิเศษ ที่ได้รับค่าจ้างมหาศาลเพื่อสอนในเวลาปกติให้แก่เขา

เขายังคงเลือกเรียนสาขาเดิม บริหารธุรกิจ ไม่ได้รักหรือสนใจใคร่อยากมีกิจการใดๆหรอก



เพียงแค่มันโอนย้ายหน่วยกิตจากที่เขาเรียนค้างไว้ได้ จะได้รีบๆจบสักที







หลังสี่โมงเย็นจะเป็นช่วงที่เขาได้จะพักผ่อนตามอัธยาศัย เล่นเกม ดูทีวี

เขามีกีต้าร์อยู่ตัวนึง ส่งคำขอผ่านแม่บ้านเจียงไป

วันต่อมายักษ์หน้าโหดก็สะพายกีต้าร์อย่างดีมาให้ถึงที่

เขาเล่นไม่ค่อยเก่งหรอก แต่ช่วงเวลาแบบนี้มันน่าเบื่อเกินไป

อะไรก็ได้ขอให้มีกิจกรรมสนุกๆทำบ้าง








และวันนี้จะเป็นวันที่เขาจะได้สนุกที่สุดตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่

เขาอยากรู้ว่าเรดโซน หรือโซนสีแดงที่แอบเคยได้ยินซือเป่าคุยในโทรศัพท์คืออะไร

เคยแอบถามแม่บ้านเจียงอยู่หนหนึ่ง ก็พอรู้ว่าไม่ควรไป เป็นสถานที่ที่อันตราย

อยู่ด้านหลังรั้วบ้านเยื้องๆไปทางริมน้ำ แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีไว้ทำอะไร







"อื้ม อร่อยเหมือนเดิมเลยครับป้า"





ซือเป่าหยิบคุกกี้ของว่างที่แม่บ้านเจียงนำมาเสริฟหลังเรียนเสร็จและเอ่ยชมเช่นทุกที

แม่บ้านเจียงจะลงไปด้านล่าง และอีกประมานครั้งชั่วโมงจะขึ้นมาเก็บจานกับแก้ว

เขาจะรอให้ขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ปั้นรีบยัดทุกอย่างในจานลงท้องและคืนจานให้แม่บ้านทันที







"ขอบคุณมากครับ"



ยื่นจานคืนทั้งที่ขนมยังเต็มปาก




"ป้าจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นเดินลงหลายรอบ"





เขาให้เหตุผลว่าอย่างนั้น และดูท่าทีก็ไม่ได้คิดที่จะโกหกคนแก่แต่อย่างใด

เขาไม่อยากให้ป้าเดินขึ้นเดินลงบันไดจริงๆนั่นล่ะ แต่ก็มีเหตุผลอื่นด้วย







แม่บ้านเจียงไม่ได้นึกเอะใจอะไร เธอเดินลงบันไดไปเป็นปกติ

ปั้นไม่ได้รีบร้อนที่จะไปทันที เขาต้องดูลาดราวก่อนว่าจะมีใครมาอีกไหม

จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ปรากฏว่าทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติ


ไม่มีใครขึ้นมาหาเขา







สบโอกาส และเขาไม่รออีกต่อไป เขาค่อยๆย่องออกจากห้องพักผ่อนชั้นสอง

ลงบันไดที่ทั้งสูงและใหญ่มาอย่างไม่ยาก แม้จะมีคนเดินสำรวจไปมาตลอดเวลา

แต่เขาพอจะรู้อยู่แล้ว ว่าใครจะสำรวจส่วนไหน ช่วงไหนบ้าง

เขาใช้จังหวะที่ผู้ดูแลเดินไปทางซ้ายแล้วรีบวิ่งเบาออกจากตัวบ้านไป








คนตัวใหญ่หลบอยู่หลังเสาหน้าบ้าน ที่บัดนี้ในสนามหญ้าหน้าบ้านมีคนเดินขวักไขว่เต็มไปหมด

เขาไม่ได้ตัวเล็ก แต่โฟกัสของเขาไม่หลุดจากคนตรงหน้า เพียงแวบเดียวที่หันไปทางอื่น

เขาก็วิ่งแทรกตัวไปหลบอีกเสาหนึ่ง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนถึงแถบหลังบ้าน







เรดโซนที่เขาได้ยินมาเป็นสีแดงจริงๆ ตั้งแต่รั้วทางเข้าที่สร้างไว้ในบ้านอีกทีหนึ่งก็เป็นสีแดง

มีทางยาวพื้นสีแดงเข้าไปด้านในทางเดียวในตอนนี้ที่เขาเห็น และหน้าประตูมีคนตัวใหญ่สองคนเฝ้าอยู่

ประภาคารเป็นทรงสูง แต่ไม่ยักกะมีหน้าต่าง เสมือนหอคอยที่สร้างปิดทึบ

ด้านในจะมองเห็นได้ต้องอาศัยแสงสว่างจากไฟฟ้าเท่านั้น







แล้วเขาจะเข้าไปยังไง?




ไม่มีทางไหนที่เขาจะพอเข้าไปได้แบบไม่ถูกจับได้เลย

ชายหนุ่มไม่ถอดใจ หากแต่วันนี้อาจยังไม่ใช่วันของเขา

ที่มาไกลได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นที่พอใจแล้ว เขาต้องรีบกลับเข้าไปก่อนห้าโมงเย็น

เนื่องจากแม่บ้านเจียงจะนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เขาเปลี่ยนใส่หลังอาบน้ำ

และลงไปรับประทานอาหารกับครอบครัวเจียงเวลาหกโมงเย็น








ปั้นเก็บทุกรายละเอียดที่เขาพบเห็นในวันนี้ และยอมถอยทัพกลับเพื่อไปตั้งหลัก

เขาทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถทำอะไรได้

ชายหนุ่มย่องเบากลับไปด้วยวิธีเดิมที่ออกมาจากตัวบ้าน และทุกอย่างเป็นไปอย่างง่ายดาย

เขาสามารถกลับขึ้นไปทัน โดยที่ยังแวะแอบมองการทำงานของการ์ดในส่วนต่างๆที่เขาเดินผ่านอีกด้วย







"หิวข้าวจังเลยครับ"




ชายหนุ่มที่แสร้งนั่งบนโซฟาตัวยาวพร้อมแขนที่โอบกีต้าร์ตัวโปรดไว้




"ถ้าหิวก็รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ นี่ชุดของคุณนะคะ"




แม่บ้านเจียงใจดี และปั้นเองก็ชอบพ่อบ้านแม่บ้านเจียง

คนใจดีแบบนี้ไม่น่าทำงานให้คนเลวๆเลย


หากแต่เมื่อพูดถึงเจ้านายของทั้งคู่เวลาทางอาหาร ก็จะได้ยินแต่คำชมเชยที่เรียกได้ว่า

บูชาไว้สูงเสียกลัวว่าถ้าตกลงมาจะคอหักตายได้เลย






"เดี๋ยวผมรีบลงไป ขอบคุณมากครับ"





ปั้นส่งยิ้มจริงใจให้แก่แม่บ้านเจียง วันนี้ได้ออกไปเปิดหูเปิดตามา

รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ดูอะไรๆก็รู้สึกดีไปหมด

เสียอย่างเดียว อยากรู้จริงๆว่าด้านในนั้นมีไว้ทำอะไร

แต่ก็ช่างเถอะ รีบอาบน้ำแล้วลงไปทานข้าวดีกว่า







...










'เมื่อกี้นายเห็นไหม'






'เด็กนั่น?'







'อืม น่าจะเป็นเด็กใหม่คุณฝาน'







'ฮึฮึ ไม่เคยรู้ว่าคุณฝานจะมีรสนิยมแบบนี้ แต่ก็น่าสนุกดี'






'อยู่เฉยๆไม่ดีกว่าหรือเหยียนเล่ย'







'...'








ไร้สุ่มเสียงตอบกลับเพื่อนพ้อง มีเพียงรอยยิ้มเย็นยะเยือกจากใบหน้านิ่งสนิท


ไม่ต่างจากคนแสร้งฉีกยิ้มแม้สักนิด หากแต่ยิ้มนี้ทั้งน่ากลัวและแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง




































.........................................โปรดติดตามตอนต่อไป  :mc4:













สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ ^^ :   :L2:  :L2:  :L2:


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุสินะเด็กดื้อ คราวนี้ไม่รู้จะพาตัวอันตรายอะไรเข้ามาในชีวิตอีก

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 9













"ไปไหนมา?"






!!!







ชายหนุ่มที่พึ่งแหกกฏไปหมาดๆ เดินกลับห้องพักส่วนตัว แต่ภายในห้องกลับมีใครอีกคนนั่งรออยู่แล้ว

เขาไม่ได้ตอบกลับคำถามนั้นแต่อย่างใด เพียงเดินไปเปิดหนังสือบทเรียนที่วันนี้ได้เรียนไป

วางท่าคล้ายกำลังทบทวนบทเรียนอย่างขะมักเขม้น ไม่สนใจว่าจะมีคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง





แขกที่นั่งรอคำตอบ เมื่อไม่ได้คำตอบจึงไม่ได้ใส่ใจจะถามอีกเป็นรอบที่สอง

ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องถามไถ่อะไรมากมาย หรือคาดคั้นเอาความให้ได้แต่อย่างใด





"ตั้งใจเรียนก็ดีแล้ว"






เก้าอี้ถูกเลื่อนออกจากที่นั่ง และแขกผู้มาเยี่ยนเยือนลุกขึ้นยืน เห็นชายหนุ่มที่เจ้านาย

ให้ความดูแลตั้งอกตั้งใจเรียนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อยู่ในวัยเรียนก็ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้

ซือเป่าเดินไปที่ประตูทางออกอย่างแผ่วเบาโดยไม่หันกลับมามองเจ้าของห้องอีก









"อย่าคิดทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทาง นายจะเดือดร้อนเอง"





คำพูดลอยลมก่อนเสียงปิดประตูจะดังขึ้น ทำเอาขนบริเวณสันหลังของเจ้าของห้องลุกวาบ

ซือเป่าจะรู้หรือไม่นะ ว่าเขาแอบออกไปแถวๆเรดโซนมา

ความกังวลเริ่มแผ่ซ่านไปเรื่อยๆ ความคิดที่หลากหลายผุดขึ้นในหัว

ทำไมอยู่ๆซือเป่าถึงพูดอย่างกับว่ารู้ว่าเขาไปไหนมา

แต่ถ้ารู้จริงๆ ทำไมถึงไม่ว่าหรือทำโทษอะไรเลย เขายังคงครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน

แม้ตรงหน้าจะมีหนังสือปกหนากางอยู่ก็ตาม









อาหารเย็นแสนอร่อย รวมถึงอาหารจานโปรดที่เขาเคยบอกแม่บ้านไป

เขามักได้รับประทานเป็นประจำ และเขาเจริญอาหารเป็นอย่างมากตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

อย่างว่าล่ะ มีทั้งมื้อเช้า หลังเรียนเสร็จครึ่งเช้า กลางวัน ขนมตอนบ่าย

แถมยังอาหารเย็นที่เป็นของโปรดเขาทุกวัน

สบายจนตัวเป็นขนแล้ว










และคืนนี้ก็เช่นกัน เขายังคงกินอิ่มและพร้อมนอน

หากแต่สมองก็ยังคงครุ่นคิดถึงเรือนหลังใหญ่ที่เขาได้ไปเยือนมาตอนบ่าย

อยากรู้จริงๆว่าด้านในจะเป็นอย่างไร ทำไมถึงมีการคุ้มกันที่หนาแน่นถึงเพียงนั้น

เขากำลังคิดหนัก จะมีโอกาสได้ไปอีกเมื่อไหร่ จะหาทางเข้าไปเยี่ยมชมได้อย่างไร

ความใคร่รู้ไม่จบสิ้น และมันต้องได้รับการตอบสนองให้หากอยากรู้เท่านั้นจึงจะพอใจ












ในขณะที่หัวหนุนบนหมอนนุ่ม พร้อมผ้านวมผืนหนาที่โอบกายเขาไว้ทุกองศา

ความสบายฉุดให้เขาเคลิ้มหลับไปพร้อมความคิดลอยลม

สบายอะไรถึงเพียงนี้...



















กึ่ก กึ่ก กึ่ก











เอี๊ยดดดด







..กรี๊ดดดดดดดดดดดดด !!!!!













...อร๊ากกกกกกกกกกกกกก !!!!!!!!














ตุ่บ...
ตุ่บ.....
ตุ่บ.........

















เสียงกรีดร้องดังลั่นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ห้องซึ่งไร้หน้าต่างทางเข้า

ห้องซึ่งถูกทาไปด้วยสีขาวสะอาด ห้องซึ่งไร้สิ่งของตกแต่งใดๆ

มีเพียงโซ่ตรวนติดผนังความสูงเท่าศรีษะชิ้นเดียวเท่านั้น








ห้องที่บัดนี้ อาบไล้ไปด้วยสีแดง ปิดทับความขาวสะอาดของสีผนัง

กลิ่นคาวค่อยๆคลุ้งขึ้นเรื่อยๆเมื่อเลือดแดงสดไหลรินออกจากสองส่วนของร่างกาย

ผู้ลงมือประหารยืนมองศีรษะมนุษย์กับตัวที่ขาดออกจากกัน

กระเด็นกระดอนไปยังอีกมุมห้อง นัยน์ตาเหลือกโปนผุดเส้นเลือดสีแดงฉาน

อาบไล้ไปทั่วนัยน์ตาจนแทบไม่เห็นสีขาว






ส่วนข้อมือจิกเกร็งถูกล่ามติดกับโซ่ตรวน อุปกรณ์ชิ้นเดียวที่ห้อยให้ร่างกายยังคง

ไม่ล้มลงพื้นไปตามศีรษะที่กระเด็นออกไป








เพียงไม่นานเพชฌฆาตก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยสิ่งต่างๆด้านในให้คงอยู่อย่างนั้น

ไร้ซึ่งทางหลบหนี ไร้ซึ่งที่ระบาย หากปล่อยไว้นานกว่านี้ เกรงว่ากลิ่นคาวเลือดคงเกาะกรังฝังติดผนัง

ชายสองคนในชุดคลุมหัวจรดเท้า ในมือ ถืออุปกรณ์เก็บกวาดชนิดพิเศษ

เดินเข้าไปคล้ายเดินเข้าห้างสรรพสินค้า

ชายคนที่สองหยุดหน้าห้อง แล้วอ่านป้าย









...ห้องสีขาว...









สองเท้าที่ก้าวออกจากห้องสุดสยองเมื่อครู่ ก้าวต่อไปตามพรมสีแดงที่พาดไปเป็นแนวยาว

สองฝั่งของทางเดินมีห้องเรียงกันอยู่มากมาย เขาเดินต่อไปเรื่อยๆจนสุดริมทางเดิน

และขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เมื่อเดินขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้พบกับชั้นสอง

ที่ยังคงเหมือนกับชั้นแรกที่เดินผ่านมา สองด้านเป็นห้องมากมายเรียงกันคล้ายโรงแรม








กระดาษแข็งสีน้ำตาลถูกทาบลงบนช่องว่างหน้าห้อง เพียงไม่นานประตูก็เปิดออก

ด้านในคล้ายเป็นห้องส่วนตัวในการอยู่อาศัยทั่วไป

เขาเดินผ่านชั้นวางของ ทีวี โซฟาตัวยาวไปเรื่อยๆ จนพบกับประตูสีน้ำเงินอีกบาน

ประตูถูกทาบด้วยกระดาษแข็งสีน้ำตาลใบเดิม และมันก็เปิดออก












กริ๊งงงงงง…!







นาฬิกาปลุกยามเช้าเป็นสิ่งสำคัญของชายหนุ่มผู้ซึ่งมาอาศัยใหม่ในคฤหาสน์ตระกูลฝานแห่งนี้

จะเรียกว่าอาศัยได้ไหมก็ไม่แน่ใจ เมื่อเจ้าตัวคล้ายกับว่าถูกบังคับมาอย่างไรอย่างนั้น

แต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้เรียนหนังสือ ได้กินของอร่อยๆ แม้ว่ามันจะน่าเบื่อไปสักหน่อยก็เถอะ










"วันนี้ต้องเรียนอะไรเนี่ย"




เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มาจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียน เขาค้นหาหนังสือที่ต้องใช้ประกอบการเรียน

ออนไลน์วันนี้ แล้วจับมันใส่ในกระเป๋าถุงผ้าใบใหญ่ เพื่อเดินไปอีกห้องหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากห้องนี้นัก

วันนี้เขาต้องเรียนวิชาที่เขารู้สึกเบื่อมันมากที่สุด จริงๆไม่ได้เบื่อในความรู้หรอก

หากแต่เบื่อผู้สอนเสียมากกว่า เขาพอเดาได้ ว่าคนที่สอนเขาล้วนแล้วแต่ได้ค่าตอบแทนที่สูงมากๆ

ทำให้หลายท่านเต็มใจและใส่ใจในการสอน หากแต่กับผู้ที่เขาต้องเรียนด้วยในวันนี้

กลับแสดงท่าทีออกมาชัดเจน ว่าหน่ายกับการต้องสอนเขา








บัดนี้เขานั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ตัวใหญ่ที่ถูกต่อจากคอมพิวเตอร์เพื่อให้เขาได้เรียนอย่างสะดวก

หากแต่คนในจอ ไม่ได้หันมาสนใจเขาเลยสักนิด ยังคงเขียนกระดานแล้วลบ

เขียนแล้วลบไปเรื่อยๆ โดยไม่หันมาถามว่าเขาจดทันไหม และเขาเองก็ไม่ได้ซักถามอะไรกลับไป








วันนี้ก็ผ่านมาสัปดาห์ที่สามแล้วที่เขาแอบไปที่นั่น ความอยากรู้ยังคงเต็มในใจ

แต่ไม่มีโอกาสที่จะไปได้เลย ยิ่งช่วงหลังๆทั้งพ่อบ้านแม่บ้านเจียง

ดูจะรักเขาเป็นพิเศษกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ จากอาหารห้ามื้อ บัดนี้กลายเป็นแปดแล้ว

และทุกครึ่งชั่วโมงจะมีการเสริฟและเก็บจาน ทำให้เขาไม่สามารถไปไหนได้เลย

แต่อย่างไร เขาก็ต้องหาทางออกไปอีกครั้งให้ได้








"ขอโทษครับ"








กึ่ก







"วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอเลิกก่อนได้ไหม"

ชายหนุ่มเอ่ยทักขึ้นเมื่ออาจารย์พิเศษของเขาเขียนกระดานบรรทัดที่ห้า


หลังจากลบไปได้ห้ารอบแล้ว มือนั้นหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงนักเรียนของตน

ใบหน้าคนในจอภาพยังคงนิ่งเฉย หากแต่สองมือกลับเก็บอุปกรณ์การสอนอย่างรวดเร็ว






"งั้นก็เอาไว้เท่านี้ก่อน ผมจะส่งไฟล์การบ้านไปที่อีเมลล์คุณ อย่าลืมทำส่งล่ะ"

เอ่ยเพียงเท่านั้นหน้าจอก็ดับไป และอีกเพียงไม่นานเสียงเล็กๆหนึ่งเสียงก็ดังขึ้น



เป็นสัญญาณว่าบัดนี้เขามีการบ้านรออยู่แล้ว

งานที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะไม่ได้ตั้งใจเรียนเลยสักนิด

ชายหนุ่มไม่ลืมความต้องการของตนเอง และตอนนี้เขาสบโอกาสแล้ว




ของทุกอย่างบนโต๊ะถูกกวาดเรียบลงกระเป๋าผ้าใบใหญ่ในทีเดียว

เขาหอบหิ้วถุงนั้นไว้ข้างๆ แล้วสูดลมหายใจลึกๆ

ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงที่เขาสามารถหลบหนีออกไปเที่ยวเล่นได้

และเขาจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ








เขาเดินเลาะลงมาทางบันไดใหญ่ และเช่นเคย ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเขา

เขาแทรกตัวไปตามทางเดินจนได้มาหยุดยืนในจุดที่เขามาเมื่อครั้งก่อน








หากแต่คราวนี้ทุกอย่างกลับแปลกไป บรรดาผู้ดูแลบางตาไปมาก

หรือแม้กระทั่งทางเข้า ก็ไร้ซึ่งคนเฝ้า มีเพียงเดินผ่านไปมาประปรายเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปในที่ที่ไม่รู้จัก

เขาพยายามมองหาทางเข้าอื่นอีกครั้งแต่ก็ไม่พบจนถอดใจไปอีกครั้ง

หรือเขาจะขอให้ฝานเว่ยซูพาเข้าไปเยี่ยมชมตรงๆเลยจะดีกว่า












แต่ก่อนที่สองเท้าจะก้าวถอยหลังกลับ ก็มีใครบางคนเดินเข้าประตูไป

เขามองคนๆนั้นอย่างไม่สามารถละสายตาได้ สองเท้าก้าวออกโดยอัตโนมัติ

ลอบตามคนๆนั้นไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าสีแดงที่ถูกปิดไว้









หัวใจเต้นรัวจนมันแทบหลุดออกจากอก สองมือเคลื่อนประตูไปด้านหน้าอย่างช้าๆ

ความหนักของบานประตูทำให้เสียงเปิดนั้นเบาเสียจนแทบไร้สิ้นเสียงใดๆ








เข้ามาได้แล้ว





 
"สวัสดี"












!!!




เสียงกระซิบเย็นเยียบจากทางด้านหลังทำให้เขาสะดุ้งตัวโยน หันหลังกลับไปอย่างกะทันหัน

แต่กลับช้ากว่าคนด้านหลังที่เหวี่ยงตัวเองมายืนด้านหน้าเขาเสียแล้ว











ฮึฮึ






เสียงหัวเราะสุดสยองยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หัวกลมโตของคนตรงหน้าเอียงซ้ายทีขวาที

คล้ายกำลังสงสัยสุดขีดกับอะไรบางอย่าง ภาพที่เจ้าตัวคิดว่าแสนน่ารักและเป็นมิตร

แต่กับผู้พบเห็นกลับมองว่ามันเป็นภาพที่สยดสยองเสียยิ่งกว่าหนังฆาตกรรมเลือดสาดเสียอีก










ชายรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดคลุมยาวสีดำ สวมหมวกปีกกว้างและแว่นตาดำ

กับปฏิกิริยาการแสดงออกนี้ ช่างน่าขนลุก ก่อนที่เจ้าตัวจะทำในสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแทบ

อยากกระโดดบีบคอเสียตรงนั้น







" มีผู้บุกรุก !!!!!!!! "










ชายหนุ่มกระโจนเข้าหาชายแปลกหน้า หวังปิดปากเสีย

หากแต่ไม่สามารถแตะต้องตัวชายคนนั้นได้

เขาว่องไวเกินกว่าจะตามทัน แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่ว่าจะตะโกนเสียงดังแค่ไหน

ก็ไม่ได้มีสัญญาณดัง หรือใครที่เข้ามาจับตัวเขาไว้แต่อย่างใด






คนตรงหน้าแสยะยิ้มอีกครั้ง และครั้งนี้โชว์ฟันเรียงสวย

ชายหนุ่มแอบเห็นมีซี่นึงด้านในเป็นสีทอง

หากแต่ใบหน้าเต็มๆก็ยังไม่เห็นชัดอยู่ดี

เขาทำใจดีสู้เสือ

หากแต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกสยองชายตรงหน้าอยู่ไม่น้อย






ชายหนุ่มเบี่ยงตัวไปยังประตูทางออก หวังหนีจากความน่ากลัวนี้ให้พ้น

หากแต่ชายที่เคลื่อนไหวเร็วกลับดักหน้าเขาไว้ทัน

และเขาก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้แล้วตอนนี้

ชายหนุ่มถอยหลังเข้าด้านในลึกขึ้นเรื่อยๆ

โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกต แต่บัดนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงไออุ่นแปลก

ที่ยืนซ้อนเขาอยู่ด้านหลัง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป










บึก!





ความไม่รู้ ทำให้มนุษย์ดูโง่


หากแต่ความไม่รู้แต่อยากรู้ ในสิ่งที่ไม่สมควรรู้ ทำให้โง่จนเกินอภัย














เสียงรถยนต์คันหรูจอดเทียบที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมาต้อนรับ

พร้อมเปิดประตูรถให้ หากแต่สีหน้าของหญิงชรากลับซีดเผือดจนสังเกตได้

และแน่นอนว่าไม่มีทางพ้นสายตาอันแหลมคมของเจ้าบ้านได้








"แม่บ้านเจียง มีอะไรรึเปล่า"



"นายท่านเว่ยซู..."


เธอไม่กล้าสบตาของเจ้าบ้าน ลมหายใจก็สะดุดเป็นช่วงๆ

จึงเป็นหน้าที่ของผู้เป็นสามีในการบอกเล่า

ถึงการหายตัวไปของเด็กหนุ่มที่เจ้าบ้านพาเข้ามาอยู่ในความดูแล

ฝานเว่ยซูสบตากับมือซ้ายคนสนิทก่อนตรงไปยังอีกฝั่งของตัวบ้าน

ก่อนหน้านี้ลูกน้องเขาเคยรายงานอยู่ครั้งหนึ่ง

ว่าเด็กคนนั้นแอบหนีออกไปบริเวณใกล้ๆกับเรดโซน

และก็ได้มีการตักเตือนกันไปแล้ว หากแต่คราวนี้หายไปนาน

เขาก็แน่ใจแล้วว่า...







"คุณเว่ยซู"




เจ้าบ้านเดินไปตามทางยาว และตรงเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว พร้อมกับซือเป่าที่เดินตามมาติดๆ

ทำเอาคนแถวนั้นแตกตื่นกันยกใหญ่ เพราะไม่บ่อยนักที่เจ้านายจะมาที่แห่งนี้







ประตูบานน้ำตาลชั้นสามเปิดออกอย่างไม่ได้ขออนุญาต

ด้านในปรากฏชายสามคนกำลังนั่งเสวนากันอย่างสบายๆ

หนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนพรวดพราด





"เหยียนเล่ยล่ะ?"


"ครับนายท่าน..."



ชายอีกคนเดินออกจากครัวเล็กๆภายในห้องมาพร้อมกับมือสองข้างที่ข้างหนึ่งถือแก้วไวน์สีสวย

กับขวดสีขุ่นแปะป้ายไวน์ชั้นดีที่บ่นมาหลายสิบปี




"เห็นเด็กคนนึงผ่านมาแถวนี้บ้างไหม"



"ครับ...ผมเห็น และผมก็แจ้งซือเป่าไปแล้วเมื่อสามอาทิตย์ก่อน"



"แล้ววันนี้ล่ะ"




เหยียนเล่ยสบตากับชายในห้องอีกสามคนที่บัดนี้ยืนขึ้นชิดขอบห้องไปเป็นที่เรียบร้อย

ก่อนที่ทุกคนจะส่ายหน้าพร้อมกัน นัยน์ตาดูฉงนคล้ายว่าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ





"วันนี้ยังไม่เห็นนะครับ ถ้าเห็นแล้วผมจะรีบแจ้งไป"





ชายสองคนที่คนหนึ่งเป็นเจ้านายส่วนอีกคนเป็นลูกน้อง ยืนปะทะสายตากัน

อย่างไม่มีใครยอมใคร เหยียนเล่ยไม่มีทีท่าว่าเกรงกลัวต่อเจ้านายแม้สักนิด

หากแต่ก็ยังคงให้ความเคารพอย่างเป็นมารยาท








ฝานเว่ยซูทำได้เพียงเดินกลับไปอย่างหงุดหงิด นี่ด้วยละมั่ง

หนึ่งสาเหตุที่เขาไม่ชอบมาที่นี่นัก

เป็นลูกน้องประสาอะไร ไม่เกรงกลัวต่อเขาเลยสักนิด








"ฉันว่า..."





"ปล่อยให้พวกมันสนุกกันอีกหน่อยแล้วค่อยปล่อยกลับไป"






หนุ่มเจ้าของเสื้อสีแดงเลือดหมูกระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวโปรดพร้อมจิบไวน์ชั้นดี

วันนี้เป็นวันที่ดี วันที่เขาจะได้เห็นชายเจ้าของบ้านกังวลใจเสียบ้าง









...คนบางคน

จำเป็นต้องได้รับการเรียนรู้อะไรบ้าง

ว่าโลกนี้ ไม่ได้มีแต่พื้นที่บริสุทธิ์อย่างที่เคยเข้าใจ...




...เผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง...












"เจ้าเด็กปั้นอยู่ที่นั่นแน่นอนครับ"



"ฉันรู้"



"แล้วทำไมคุณถึงปล่อยไว้ล่ะครับ"




"เด็กนั่นต้องรู้จักรับผิดชอบผลของความอยากรู้อยากเห็นของตนเองบ้าง"






ฝานเว่ยซูละทิ้งเรื่องเด็กหนุ่มและเดินเข้าห้องทำงานส่วนตัว แม้จะพูดอย่างนั้น

แต่ก็กลับอดห่วงไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ชอบความรู้สึกที่ว่าห่วงใยใครนัก

เพราะมันทำให้เหตุผลในการทำสิ่งต่างๆของเขาลดลง






เขาใช้เวลานานกว่าจะมีสมาธิกับงานตรงหน้าได้


และปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ









































.................โปรดติดตามตอนต่อไป











สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ ^^   :L2:

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูเหมือนนายท่านฝานจะยังไม่สามารถกุมใจลูกน้องได้อย่างเบ็ดเสร็จนะ

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

บทที่ 10

















"คุณเหลามากับใครน่ะ?"



ชายวัยกลางคนเดินเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลฝาน

ชายผู้เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้มาตลอด

หลังจากที่เจ้านายของเขาจากไป

หากแต่วันนี้ใครหลายคนกลับสงสัยถึงเด็กหนุ่มหน้ามนที่ถูกพาตัวมาด้วย

ชายที่ใครหลายคนในคฤหาสน์เรียกว่า ไอ้หน้าจืด






"ว่าน มาทางนี้สิ"





วรรณกรรมเดินเข้ามาในตัวบ้านพร้อมกับชายคนหนึ่ง

ที่ไม่ว่าจะเดินผ่านทางไหนก็มีแต่คนก้มหัวให้

แต่กับเขาทุกคนต่างมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

บางคนถึงกับทำกริยาไม่สุภาพออกมาอย่างตรงๆ

และบอกตรงๆว่าเขารับไม่ได้เลยจริงๆ สองเท้าจึงรีบจ้ำอ้าวตามชายด้านหน้าไปติดๆ





จำได้ว่าพอตื่นขึ้นมาก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่คนนี้นั่งอยู่ปลายเตียงกล่าวทักทายเขา

จะว่าอย่างไรดีล่ะ เขาถูกพามาที่นี่ด้วยความไม่เต็มใจ ไม่รู้อะไรสักนิด

เขาเป็นเพียงนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังจะเดินทางกลับไปทำงานที่กรุงเทพ

แต่แล้วอยู่ๆกลับถูกพามาที่นี่ ยังคงงุงงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย

ชายที่ใครๆเรียกว่าอาเหลา พูดให้ฟังเพียงคร่าวๆว่าจะพาเขากลับบ้าน







แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เขาคิดไว้แล้วว่าตนเองคงกำลังถูกลักพาตัว

แต่ในใจไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน

ปากไม่โวยวาย ร่างกายก็โอนอ่อนตามเขามาอย่างว่าง่าย



ไม่ธรรมดาแล้วนะวรรณกรรม

เขาควรหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วว่าทำไมไม่ขัดขืนสักนิด









ที่โถงกลางบ้านปรากฏรูปถ่ายขนาดใหญ่ของเจ้าของบ้านคนเก่า

ภาพที่ทำให้เขาถึงกับตะลึงและขนลุกเกลียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยนั้น

เหมือนกันกับเขาในตอนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน หากแต่พอจ้องให้นานขึ้นอีกนิด

กลับพบว่าชายในภาพนั้น แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง








ตรงไหนกันนะที่ต่าง ทำไมจึงรู้สึกว่าเหมือน แต่ก็ไม่เหมือน...







อาเหลาหยุดชะงักกลางบันไดสูง เขาเร่งให้ชายหนุ่มรีบตามขึ้นไปด้านบน

หากเมื่อมองตามก็เห็นภาพที่กำลังถูกมอง







"งดงามมากเลยใช่ไหมล่ะ ฉันเองก็ชื่นชมเขาเหมือนกัน”





พูดไว้เพียงแค่นั้น แล้วเร่งให้ชายหนุ่มแปลกหน้าตามตนขึ้นไปด้านบนของบ้านให้ไว

ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่ชายในภาพมีแต่เขาไม่มี...ความสง่างาม




ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดมาถึงด้านบน เลี้ยวขวาตามอาเหลาไปอีกนิดก็พบกับห้อง

ที่ใหญ่โตและกว้างขวางที่สุดในบ้าน ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกันสองด้าน

ประตูสีเงินแกะสลักลวดลายธรรมชาติดั่งที่เจ้าของห้องชอบ

พรมสีเทาลาดยาวไปจนสุดขอบเตียง ภายในกว้างขวางเสียจนเขายังคิดว่ากว้าง

กว่าบ้านของเขาทั้งหลังเสียอีก หากแต่กลับสะอาดตาด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะ

และเรียบง่ายเสียจนรู้สึกเสียดายพื้นที่







เขาก้าวตามเข้าไปด้านในเรื่อยๆ และสัมผัสได้ว่า เจ้าของห้องห้องนี้

รสนิยมดีเหลือเกิน ภาพบนผนังยังคงติดตา

เขาหลงรักคนๆนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ มันรู้สึกอุ่นๆในใจ

คล้ายว่ารู้จักกันมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว

ยิ่งได้มาสัมผัสบรรยากาศรอบตัวที่คนๆนั้นพบเจออยู่ทุกวัน

ยิ่งทำให้รู้สึกว่า คนๆนั้นอยู่ใกล้เขาเพียงลมหายใจ













คิดได้ดังนั้น ในใจก็แอบหวั่นๆ หากเจ้าของห้องกลับมา

และพบว่าอาเหลาพาคนแปลกหน้าเข้ามาในห้อง คงเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่ๆ

ไม่รอช้าเขาจึงเดินเลี่ยงไปทางประตูเพื่อออกจากห้องส่วนตัวนี้








"เดี๋ยว!"







ชายหนุ่มหยุดเท้าไว้ แล้วหันกลับมามองที่ต้นเสียง

ตั้งแต่เข้ามาที่นี่เขาไม่ได้สังเกตชายด้านหน้าเลย

พึ่งได้สังเกตดีๆก็ตอนนี้ล่ะ ว่าชายคนนี้มีสีหน้าคล้ายว่ากำลังเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดอยู่

มือสองข้างถูกกำแน่นคล้ายกำลังสะกดอารมณ์ลึกๆอยู่ภายใน








"เธอชอบห้องนี้รึเปล่า"










วรรณกรรมพยักหน้าเบาๆ เขาไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้า

ไม่ว่าจะมีอะไรในใจมากแค่ไหน

ห้องๆนี้งดงาม และเหมาะสมกับคนในภาพคล้ายกับว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

คนเช่นเขามีสิทธิเพียงชื่นชมเท่านั้น






"ห้องนี้จะเป็นของเธอ...เมื่อวันที่เธอพร้อม"






คำพูดแผ่วเบาของอาเหลาทำให้ชายหนุ่มหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ

เกิดอะไรขึ้น

ทำไมล่ะ

ทำไมจะได้เป็นของเขา คนอย่างเขาเนี่ยนะ คนธรรมดาอย่างเขา

จะเป็นไปได้อย่างไร






คำถามวนเวียนเต็มสมองทันทีเมื่อจบประโยค

และใบหน้าก็ฉายชัด แม้ไม่ได้เอ่ยความรู้สึกใดๆออกมา












"ตามฉันมา"







อาเหลานำชายหนุ่มให้เดินลงไปด้านล่างดังเดิม

และเดินผ่านภาพของชายที่เขารักไป

เขายิ้มอีกครั้งเมื่อมองเห็นภาพนั้น คล้ายกับว่า ภาพๆนี้เป็นที่พึ่งพิงของเขา

เป็นความรู้สึกลึกๆล่ะนะ









ชายสองคนเดินออกจากประตูบานใหญ่แล้วเลียบมาตามทางเดิน

ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ความเงียบยิ่งปกคลุมเท่านั้น

จนเขาได้พบกับอีกฝั่งของพื้นที่บ้าน พื้นปูด้วยสีแดงคล้ำเก่า

คล้ายผ่านการใช้งานมานานหลายปี

หอคอยสูงยาวที่ถูกทาฉาบไปด้วยสีแดงทั้งหลัง ทำเอาขนลุกไม่น้อย








หน้าประตูทางเขามีคนเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา

หนึ่งในผู้ดูแลเปิดประตูและโค้งตัวให้แก่อาเหลาเช่นคนอื่นๆ

หัวใจชายหนุ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดง

ประตูห้องสองข้างทาง คล้ายกับโรงแรม

ถูกทาทับด้วยสีแดงทั้งสิ้น









อาเหลาพาเขาเดินไปจนถึงบันไดทางขึ้นและเดินนำเขาขึ้นบันไดไปชั้นแล้วชั้นเล่า

จนมาหยุดที่ชั้นห้า

เดินตรงเข้าไปก็ยังคงถูกตกแต่งไปด้วยสีแดง เขาหยุดยืนหน้าห้อง 513

อาเหลาหยิบลูกกุญแจสีเก่าและไขเข้าไปด้านใน







ภายในเหม็นอับรุนแรง ด้วยไม่มีหน้าต่างระบาย

มีเพียงพัดลมดูดอากาศตัวเล็กที่ติดผนังห้องน้ำเท่านั้น

ไฟดวงใหญ่ถูกเปิดขึ้น และเป็นเพียงไฟดวงเดียวที่มีในห้อง

ภายในมีเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าเก่าๆขนาดเล็ก และโต๊ะวางของตัวเก่า

ห้องน้ำมีเพียงปูนที่ถูกฉาบขึ้นเป็นกำแพงบางๆกั้นไว้เท่านั้น









ความกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจเขา เขาไม่ชอบที่นี่เอาซะเลย

มันแย่กว่าหอพักที่เขาเคยอยู่มาเสียอีก

เขาคิดถึงชายในภาพเมื่อครู่จับใจ เขาควรทำอย่างไร เขาไม่อยากอยู่ที่นี่

ในใจยังคงคร่ำครวญไม่หยุด

หากแต่ใบหน้านิ่งที่ถูกส่งมา เป็นการย้ำชัดว่า เขาต้องอยู่ที่นี่








"คุณบอกว่าจะพาผมกลับบ้าน แล้วทำไมถึงพาผมมาที่นี่"







ในใจเขาไม่ต้องการที่นี่มากเสียจนยอมพูดออกมา อย่างไรก็ไม่ขออยู่



"นี่ล่ะ บ้านของเธอ"




"...นี่ไม่ใช่บ้านของผม ผมไม่อยากอยู่ที่นี่"







หัวใจเขาเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เขากลัว กลัวจนน้ำตาไหลออกมา

เขาอยากกลับบ้าน ที่นี่น่ากลัว และไม่คุ้นชิน ได้โปรด เขาอยากกลับบ้าน







"ถ้าเธอคือสายเลือดตระกูลฝาน เธอต้องอยู่ได้ทุกที่

อย่าพูดมากแล้วเลิกร้องไห้ซะ

อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะให้คนพาลงไปข้างล่าง"











ปัง!








ประตูห้องเก่าที่ขูดกับพื้นทุกครั้งที่มีการเปิดปิด ถูกกระแทกปิดใส่หน้าเสียงดัง

ชายหนุ่มผู้ไม่รู้อะไรเลยกระตุกหัวคิ้วพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างมากมาย

เขาวิ่งไปที่ประตู และถึงจะพยายามอย่างไร ก็เปิดประตู้บานเก่านี้ไม่ออก


สองขาเริ่มสั่นไหว เขาประคองร่างกายกลับมา และทรุดลงด้านข้างเตียง

เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา

เขากลัวเหลือเกิน ทั้งกลิ่นอับ ทั้งความสลัวของแสงไฟ ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีทางออก

เขาอยากไปจากที่นี่ เขาไม่อยากถูกขัง ได้โปรด ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที


คุณคนในภาพ ทำไมเขาถึงถูกทิ้งเช่นนี้ เขากลัวทุกสิ่งที่ต้องเจอตอนนี้

เขาไม่เคยนึกถึง ว่าชีวิตของเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทั้งๆที่มันกำลังไปได้สวย

เขาพึ่งเรียนจบ และกำลังจะสร้างเนื้อสร้างตัว เก็บเงินดูแลตัวเอง

ดูแลพ่อ ที่รอเขาที่บ้าน

แต่บัดนี้ทุกอย่างมันพังทลายไปหมด เขาถูกจับมาขังไว้ในห้องปิดตาย



กลัวเหลือเกิน








ความคิดจมดิ่ง ลึกลงเรื่อยๆ จนสติลอยไป ไม่อยู่กับความคิดนั้นอีกแล้ว

ชายหนุ่มผู้ไม่รู้อะไรเลยนอนร้องไห้อยู่กับพื้น เจ็บปวดเจียนตาย

ร้องไห้ฟูมฟายคล้ายคนบ้า มีห้วงความคิดหนึ่งที่อยากตายไปเสียให้พ้นๆจากที่นี่ซะ

หากเขาถูกทรมาน เขายอมตายเสียดีกว่า













ก็อก ก็อก ก็อก!








เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่เขาไม่ได้ยินมันสักนิด

ชายสองคนเดินเข้ามาด้านในพร้อมรอยยิ้มประหลาด


แม้จะเห็นผู้มาใหม่นอนร้องไห้ไร้สติอยู่ ก็ยังคงยิ้มไม่หุบเช่นเดิม






ทั้งคู่หิ้วคนบนพื้นขึ้นแล้ววางลงบนเตียง







"อาบน้ำซะหน่อยดีไหม"






"ไม่ต้องอาบหรอก ล้างหน้าเฉยๆก็พอ เปลืองน้ำนะ"






"นายไม่ได้จ่ายค่าน้ำสักหน่อย จะบ่นทำไม"







"ก็ฉันขี้เกียจ"






คำพูดทะเลาะกันของชายสองคนที่เขาไม่รู้จัก เริ่มดึงสติเขาให้กลับมาอีกครั้ง

และเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ถึงกับตกใจเมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดไม่เหลือสักชิ้น

น้ำเย็นถูกราดลงบนศีรษะ ปล่อยให้ไหลลงเรื่อยๆ เขาอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว

แล้วสองคนนี้เป็นใคร ยืนจ้องเขาอยู่ได้ !!!






แม้จะมีคำถามมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมาแต่อย่างใด

ชายสองคนเดิมเข้ามาและเริ่มลงมือขัดๆถูๆไปตามร่างกายเขา

พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ คุยกัน คล้ายทะเลาะกันตลอดเวลา









ครั้นจะขัดขืนก็สุดแรง เขาไม่ได้อ่อนแอเสียจนต้านทานใครไม่ไหวหรอกนะ

หากแต่สองคนนี้ต่างหากที่แรงเยอะ เยอะชนิดที่ว่าเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

มีคนเช่นนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ










"ฮ๊าาา หอมฉุย"







ใบหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ไม่หุบนั้นจะน่ากลัวมาก หากว่าพวกเขาไม่พูดมันออกมา

มีคนอาบน้ำทาครีมทาแป้งให้ใช่ว่าจะดีหรอกนะ แม้จะดูเป็นการปรนิบัติ

แต่ดูๆแล้ว เหมือนกับเล่นสนุกกับตุ๊กตาเสียมากกว่า

ชายสองคนนี้รู้ไหมว่าจริงๆแล้วเขามีชีวิตมีลมหายใจหน่ะ












เมื่อทุกอย่างเรียบร้อบ ก็มีชายอีกคนเดินเข้ามาและพาวรรณกรรมเดินลงไปด้านล่าง

โดยที่ชายหน้ายิ้มสองคนไม่ได้ตามลงไปด้วย

จะเจออะไรอีกรึเปล่านะ เขาล่ะเริ่มไม่ไว้ใจที่นี่แล้ว









ชายแปลกหน้าคนใหม่ พาเขาเดินลงจากหอคอยสีแดงเลือด จนสุดพื้นดิน

เมื่อเดินออกมาถึงด้านนอก ทำไมเขาถึงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายนักนะ

อยู่ด้านในไม่ต่างจากอยู่ในคุกเลยสักนิด

ได้ดื่มด่ำกับแสงสว่างได้เพียงชั่วครู่ ก็ถูกพาตัวไปในห้องมืดอีกครั้ง

เขาไม่ได้ถูกพาไปในตัวบ้าน หากแต่เป็นห้องโถงใหญ่ที่มืดสนิท









ชายที่เดินนำหน้าหยุดชะงักเท้าครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาที่เขา

หัวใจที่เต้นแรง บัดนี้เต้นแรงขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า

หากมากกว่านี้แม้เพียงสักนิด เขาเกรงว่าจะไม่สามารถมีชีวิตถึงชั่วโมงถัดไปได้









ชายคนนั้นหยุดและเดินกลับมาหาเขา แขนใหญ่ล่ำบึกกระชากแขนเขาให้เดินตาม

อาจเพราะเขาเดินช้า หรือกลัวว่าเขาจะหยุดเดินเสียกระมัง

มือนั้นลากเขาให้เดินไปเรื่อยๆ ความเงียบและเย็นตกกระทบทุกส่วนของร่างกาย

บัดนี้มันเย็นยะเยือกเสียกว่าห้องที่เขาได้ผ่านมาเมื่อสักครู่เสียอีก









ทำไมกันนะ หัวใจล่ะอยากให้คนสองคนที่อาบน้ำปะแป้งให้เขาอย่างดีเมื่อครู่

อยู่ตรงนี้ด้วยจัง มือนั้นยังคงพาเขาเข้าไปด้านในลึกขึ้นเรื่อยๆ

จนในที่สุดก็น่าจะถึงจุดที่เขาจะได้รู้ว่าพาเขามาที่นี่ทำไม









"ยืนตรงนี้ ห้ามไปไหน"



คำสั่งแสนดุดัน ตรึงสองขาเขาไว้กับที่ อันที่จริงไม่ต้องดุเขามากขนาดนี้

เขาก็คงไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนในที่แบบนี้คนเดียวหรอก












 
พรึ่บ!






ความตกใจจากแสงสปอร์ตไลท์ที่สาดเข้ามาในดวงตาเขากะทันหัน

ทำเอาสองตาที่เริ่มเคยชินกับความมืดต้องปิดลงอย่างรวดเร็ว 

มันค่อยๆหลี่ตาเปิดขึ้นทีละนิด เมื่อเริ่มปรับแสงได้

และสิ่งที่เขามองเห็น สามร้อยหกสิบองศาด้านข้างกาย

ก็ยังคงเป็นความืดมิด เขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งรอบข้างได้

เนื่องจากแสงที่สาดเข้าตาเขา เขาอยู่ในที่สว่าง

หากแต่ก็สัมผัสได้ว่า ในพื้นที่มืดมิดที่เขามองไม่เห็น มีอะไรบางอย่าง

โอบล้อมอยู่รอบกายเขามากมาย มันแผ่รังสีไออุ่นของลมหายใจ










อาจจะเป็นสัตว์ร้ายก็ได้ เขากำลังจะถูกฆ่าอย่างนั้นหรือ?










สารพันความคิดที่โลดแล่นอย่างน่าอัศจรรย์ในหัว เกิดขึ้นได้เพียงไม่นาน

มันถูกสงบลงด้วยเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงตัวใหญ่

และเป็นเสียงของคนที่เขาจำได้ดี เพราะเป็นคนเดียวกับที่พาเขามาที่นี่นั่นเอง







เขาจำเสียงนั้นได้ หากแต่ไม่สามารถจับใจความถึงประโยคที่เขาประกาศได้เลย

ตอนนี้สมองเขาไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้ เนื่องจากความกลัวและตกใจสุดขีดเมื่อครู่

เสียงสลัวของแสงไฟค่อยๆเปิดขึ้น ชายหนุ่มผู้ยืนตัวสั่นมองไปรอบๆ

แม้หูดับ ใจดับ หากแต่สายตาก็ยังคงกวาดไปเรื่อยๆ

ไฟเริ่มสว่างจนเริ่มมองเห็นรอบข้างชัดเจน

และใบหน้าที่เขาจำได้ก็เป็นสิ่งแรกที่เขามองเห็นในตอนนี้











ชายสองคนที่อาบน้ำให้เขาเมื่อครู่ ไม่รู้ทำไมหรอก แต่ความกลัวและตกใจสุดขีด

ทุเลาลงมากเหลือเกิน สติเขาค่อยๆกลับมาอีกครั้ง และบัดนี้สิ่งที่อยู่ในดวงตาสองข้างของเขาคือ

กลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคนที่ยืนล้อมรอบตัวเขา

และตำแหน่งที่เขายืนอยู่ก็เป็นจุดกลางคล้ายบนเวทีวงกลม














แววตาสั่นระริกด้วยความกลัว เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

เขาก็มองหาชายสองคนที่เป็นที่พึ่งในใจของเขาในตอนนี้

เขาส่งสายตาวิงวอนไป หวังว่าจะสามารถสร้างความเห็นใจจากชายสองคนนั้นได้

หากแต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมา เป็นเพียงรอยยิ้ม รอยยิ้มเช่นเคยที่เขาเห็น

รอยยิ้มที่ถูกฉีก แม้ว่าดวงตาไม่ได้ยิ้ม









"จง ฉี ออกมานี่สิ"







เสียงชายวัยกลางคนที่เขาคุ้นเคย เรียกชื่อของใครบางคนที่เขาไม่รู้จักให้เดินมาทางที่เขายืนอยู่

และชายสองคนที่หน้าเหมือนกันก็เดินมายืนด้านหน้าอาเหลา ห่างจากวรรณกรรมไปไม่ไกล






"ดูแลเขาด้วย"






ชายหน้ายิ้มสุดหลอนสองคนเดินมาขนาบซ้ายขวาของชายหนุ่มแล้วจับแขนทั้งสองข้างของเขาไว้

โอบไว้ไม่ยอมปล่อย แม้จะรู้สึกกลัว หากแต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาก

คล้ายกับรู้ว่าวรรณกรรมไม่ชอบที่โล่งกว้าง มีคนอยู่ด้านข้างเช่นนี้ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาก








"เข้าใจกันหมดแล้วนะ ต่อไปให้ทุกคนช่วยกันดูแลเขา เขาจะอยู่ที่เรดโซนชั่วคราว

จนถึงเวลาอันควร แล้วฉันจะแจ้งทุกคนอีกที วันนี้พอแค่นี้"







เขายังไม่ทันเข้าใจในสิ่งที่อาเหลาพูดเลยสักนิด ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว

แวบสุดท้ายที่เขามองเห็น สีหน้าแต่ละคนในที่นี้ดูหยาบกร้านและน่ากลัว

ทุกคนมองเขาคล้ายกับว่าเขาเป็นสิ่งที่อัปลักษณ์น่ารังเกียจที่สุดในโลก

ไม่มีใครชอบเขาสักคน บางคนถึงกับแสดงท่าทางคล้ายอยากจะต่อยตีเขาเต็มที่








ไม่ไหวแล้ว จะให้ทำอย่างไร ต่อให้มีคนยืนอยู่ข้างๆก็ไม่ไหวแล้ว

ไม่ไหวจริงๆ










และแล้วภาพตรงหน้าก็มืดสนิทไป


























































.................................................โปรดติดตามตอนต่อไป



















สวัสดีคุณ xexezero ค่ะ ^^ :  :pig2: :pig2: :call: :call:


สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ ^^ :  อิอิ  :L2: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
งง แล้ว ง.งู แพ็คคู่ก็โผล่มาเต็มเลยยย

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สวัสดีค่ะ>< รอตอนต่อไปนะคะ กำลังลุ้นเลย555
 :impress2:

ปล. อ่านไปอ่านมา เริ่มงงเองว่า ปั้น กับ ว่าน นี่เป็นคนเดียวกัน หรือคนละคนหว่า??

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด