ถึง อาเหลา
ถ้าลื้อได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นั่นก็หมายความว่า อั๊วะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ลื้อก็รู้ดีว่าชีวิตพวกเรามันก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา
แต่อั๊วะก็ไม่เคยนึกถึงช่วงเวลานี้เลย ว่าทุกอย่างที่พวกเราร่วมกันสร้างมา
จะเป็นยังไงถ้าวันนึงอั๊วะไม่อยู่ แต่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ตอนนี้ทุกอย่างในบ้านอั๊วะคงกำลังร้อนเป็นไฟ
เพื่อนเอ๋ย อั๊วะไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้ว
หากจดหมายฉบับนี้ถูกส่งถึงมือลื้อ ก็ถือว่าอั๊วะขอร้องลื้อเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกันนะอาเหลา
ก่อนหน้านี้ช่วงที่ลื้อกับอั๊วะแยกทางกันไปตามหาฝัน อั๊วะได้พบกับผู้หญิงคนนึง
แน่ล่ะ ลื้อไม่เคยรู้มาก่อนเพราะอั๊วะไม่อยากให้ใครรู้จุดอ่อนของอั๊วะทั้งนั้น
เส้นทางนี้ที่พวกเราเลือกเดิน เรามีคนข้างกายไม่ได้ อั๊วะท่องจำมาตลอด
แต่สุดท้ายอั๊วะก็หนีไม่พ้น อั๊วะตกหลุุมรัก เป็นรักแรกและรักเดียวของอั๊วะ
อั๊วะทิ้งหัวใจเพื่อกลับมาสร้างฝันกับลื้อตอนเราพบกันอีกครั้ง จนเรามีทุกอย่าง
และอั๊วะไม่เคยนึกเสียใจเลยที่ได้ร่วมต่อสู้กับลื้อ
อั๊วะมารู้เมื่อไม่กี่ปีให้หลังนี้ว่าอั๊วะไม่ได้แค่ฝากบาดแผลให้กับคนที่อั๊วะรัก
แต่อั๊วะยังฝากพยานรักของอั๊วะกับเธอคนนั้นไว้ด้วย
เด็กที่เกิดจากความรักอันบริสุทธิ์ของอั๊วะและเธอ อั๊วะเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะมีคุณธรรม
เหมือนแม่ของเขา และยิ่งใหญ่ได้อย่างอั๊วะ
บ้านอั๊วะจำต้องมีผู้ปกครอง และอั๊วะเลือกสายเลือดโดยแท้จริงของอั๊วะเป็นผู้ปกครองคนต่อไป
รายละเอียดทั้งหมดอั๊วะได้เก็บไว้ห้องลับเดิมของอั๊วะกับลื้อนั่นแหล่ะ
อั๊วะจะให้ใครรู้เรื่องนี้ก่อนถึงเวลาอันควรไม่ได้
ถ้าลื้อได้พบกับเขา ลื้อจะจำเขาได้ทันที เชื่ออั๊วะเถอะ
เขาจำเป็นต้องมีคนคอยประคอง อั๊วะขอฝากฝังเขากับลื้อไว้ด้วย
บอกเขาว่าพ่อของเขารักเขาและแม่เขามากแค่ไหน
หากแต่วาสนาของอั๊วะคนนี้มีไม่มากนัก ที่จะได้พบหน้าดวงใจทั้งสอง
เส้นทางบากบั่นที่อั๊วะเดินมา อั๊วะมีทุกวันนี้ได้เพราะลื้อแท้ๆ
ขอบคุณมากนะอาเหลา จนสุดท้ายอั๊วะก็ยังต้องพึ่งลื้อ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อั๊วะจะระลึกถึงลื้อเสมอนะอาเหลาเพื่อนรัก
ลาก่อน...ตลอดกาล
...
...
...
...
...
"จนตายละก็ยังไม่วายทิ้งภาระให้อั๊วะนะอาหมิง"
คำพูดแสนร้ายกาจถูกเปล่งออกมาเมื่อจดหมายของเพื่อนรักจบลง
ช่างต่างกับบรรยากาศโดยรอบในตอนนี้ยิ่งนัก
รอบด้านเงียบสงัด รวมถึงเสียงหัวใจของอาเหลาที่เต้นแผ่วเบาแทบลืมว่ามันยังคงทำงาน
กระดูกทุกส่วนคล้ายจะถูกลมพัดให้ปลิวหลุดไปเป็นผุยผง หยดน้ำมหาศาลไหลรินจากสองดวงตา
กระทบกระดาษแผ่นน้อยจนแทบไม่เหลือพื้นที่แห้งให้สัมผัส
ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่กระดาษแผ่นนี้เปียกและถูกทำให้แห้ง และกลับมาเปียกอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ความรู้สึกสุดแสนเจ็บปวดเจียนขาดใจนี้ก็ไม่เคยหายไปเลยสักครั้ง
"ถ้าลื้ออยู่ถึงตอนนี้ ลื้อจะต้องภูมิใจ ว่าทายาทหนึ่งเดียวจากความรักของลื้อ
เติบโดได้สง่างามที่สุด
อยากให้ลื้อได้มาเห็นด้วยตัวเองนะอาหมิง อยากให้ลื้อได้เห็นจริงๆ"
ก็อก ก็อก ..."นายท่านเว่ยซูมาพบท่านครับ"
เสียงจากหน้าประตูเรียกสติชายสูงวัยในห้องกลับมาได้อีกครั้ง
สองมือเหี่ยวย่นวางกระดาษสีเก่าลงในลิ้นชัก
"เดี๋ยวอั๊วะออกไป"
ใช้เวลาเพียงไม่นานในการจัดการตัวเองให้พร้อมที่สุด
ก่อนสองขาที่บัดนี้เริ่มสั่นคลอนด้วยอายุที่มากขึ้น
ค่อยๆก้าวเข้าลิฟต์ตัวกว้าง นิ้วสีซีดกดลงไปชั้น 3 เพื่อพบหน้าใครบางคนในความทรงจำ
ติ๊ง!ผนังกว้างใหญ่โอบล้อมเฟอร์นิเจอร์สีขาวหรูหรามีระดับหลายร้อยชิ้น
ห้องรับแขกที่ถูกตกแต่งตามสไตล์เจ้าของ รองเท้าหนังสูงครึ่งหน้าแข่งเหยียบย่ำพื้นพรมสีน้ำตาลเทา
ย่างเยื้องเข้าใกล้บุคคลที่เข้าเยี่ยมเยียนเขาเป็นประจำทุกวันศุกร์
เก้าอี้สูงใหญ่ตัวเดิมที่เคยว่างเปล่า บัดนี้มีชายที่เขาแสนคุ้นชินใบหน้าและท่าทางสบายนั่นนั่งอยู่
คนตรงหน้าเขานี้ งดงามเสียยิ่งกว่างดงาม
แม้ตอนนั่งก็ยังเดาได้ว่าความสูงนั้น ต้องไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตร
ใบหน้าคมกร้าวเชิดรั้นกับความหนาของร่างกายที่สูงใหญ่สมชายชาตรี
"ไง รอนานไหม"
ชายตรงหน้าไม่ได้ตอบคำถามนั่นแต่อย่างใด เพียงจ้องมองผู้มาทีหลังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
"อาร้องไห้คิดถึงพ่ออีกแล้วสิ"
แขกประจำยกถ้วยรินน้ำชาให้แก่ผู้มาใหม่ พร้อมยื่นส่งให้ด้วยความเคารพ
ใบหน้านั้นไม่ประหลาดใจอะไร แม้ว่าเจ้าของบ้านจะมีดวงตาแดงก่ำ
เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องเดียวที่ทำให้พยัคฆ์ตรงหน้าเขาเสียน้ำตาได้
คงมีอยู่เรื่องเดียว...
ความคิดถึง
"ที่บ้านเป็นไงบ้าง"
"ก็เหมือนเดิม เหนื่อยใจดี"
คำพูดนั้นบ่งชัดว่าไม่ได้โกหก แม้ไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
แต่ลักษณะท่าทางเช่นนี้
อาเหลารู้ดีว่าคนตรงหน้ามีความเหนื่อยหน่ายทางด้านจิตใจมากแค่ไหน
"เดี๋ยวก็ชิน"
ชายสูงวัยรินน้ำชาแล้วยกให้แก่เด็กหนุ่มตอบบ้างคราวนี้ และอมยิ้มน้อยๆอย่างไม่ปิดบัง
"ผมกลัวว่าจะตายก่อนชินหน่ะสิ"
คำพูดประชดประชันชีวิตดั่งคนใกล้วันเกษียร ทำให้ดวงใจแสนหดหู่เมื่อครู่
กลับมาเบิกบานได้อีกครั้ง
และเป็นเช่นนี้เสมอมาตั้งแต่ชายที่นั่งใกล้ๆเขาได้ขึ้นปกครองตระกูลฝาน
แรกเริ่มเดิมทีก็อยู่ในความดูแลของเขา แต่บัดนี้ มังกรน้อยเติบใหญ่และกล้าแกร่ง
จนเขาเองยังคิดว่าตัวเขาในตอนนี้ คงดูแลหรือสั่งสอนอะไรชายคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ในใจเต็มไปด้วยความปราบปลื้ม
นัยตาสบมองคนในใจตรงๆพร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหุบมันลงไปได้สักที
"อาเหลาล่ะครับ เป็นยังไง เห็นจื่อคงบอกเมื่อวานหมอมาตรวจที่บ้าน"
"โรคคนแก่ทั่วไปล่ะเว่ยซู ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แถมยังมีอาเหมยดูแลอย่างดี
สบายทั้งกายและใจเลยล่ะ ว่าแต่
อาเหมยไปไหนซะแล้วล่ะ ไม่มาต้อนรับแขกคนสำคัญได้ยังไงกัน เสียมารยาทจริงๆ"
"อาหมิงอย่าดุเหมยเลยน่า ก็รู้อยู่ว่าเหมยไม่ค่อยชอบออกมาพบผมสักเท่าไหร่"
"แต่อีกไม่กี่เดือนลื้อสองคนก็ต้องแต่งงานกันแล้ว จะมัวมาเหนียมอายอะไรนักหนา"
พูดแล้วก็สั่งให้จื่อคงคนสนิทที่ยืนรับใช้ไม่ห่างไปตามคู่หมั้นสาวหมวยแสนสวยของ ฝานเว่นซู
ผู้นำรุ่นที่ 2 ของตระกูลฝาน ลูกชายที่เกิดจากความรักของ ฝานหมิงซู เพื่อนรักของเขา
อาเหมยเป็นคนน่ารัก ถูกเลี้ยงมาในครอบครัวใหญ่ อาเหมยเป็นลูกสาวของภรรยาคนที่ 3 ของอาเหลา
โดยลูกของภรรยาคนอื่นๆล้วนเป็นชายทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคนก็มีหน้าที่เป็นของตนเอง โบราณว่าไว้
ชาวจีนมักไม่รักใคร่ในตัวลูกสาว ช่างแตกต่างกับอาเหลาโดยสิ้นเชิง
แม้จะมีสายเลือดจีนแต่เขากลับรักและเอ็นดูลูกสาวเพียงคนเดียวคนนี้มาก
เด็กคนนี้ว่านอนสอนง่าย รักที่จะดูแลเอาใจใส่เขาทุกๆอย่าง
เพรียบพร้อมด้วยลักษณะของผู้มีบุญญา อย่างแท้จริง
สำหรับบิดาอย่างอาเหยา โดยแวบแรกที่เขาได้พบหน้าลูกสาวในห้องคลอด
ความรู้สึกในใจก็รักเด็กคนนี้โดยทันที ส่วนตัวเว่ยซูเอง ก็เคยเจอเหมย 2 - 3 ครั้ง
และชื่นชมในความงามทั้งใบหน้าและวาจามารยาท
ความนอบน้อมที่เขามักพบไม่บ่อยนัก ในสายเลือดพยัคฆ์
และด้วยความที่เว่ยซูเองก็ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานกับใคร อาเหลาจึงขอฝากฝังลูกสาวสุดที่รักของเขา
ไว้กับคนที่เขาเองไว้ใจมากที่สุด
เว่ยซูมีหรือจะปฎิเสธได้ อย่างไรเสีย เขาก็ต้องแต่งงานมีภรรยา
อาจมีสองหรือสามหรือมากกว่า
ก็ต้องดูแลกันไป
เพราะถึงอย่างไร หน้าที่เขาก็ไม่ใช่เพียงแค่ปกป้องดูแลคนในอาณัติ
แต่ต้องเป็นการหาผู้สืบทอด ดำรงค์ตำแหน่งต่อไปหลังจากที่เขาจากไป
มันเป็นกฎที่เขารับรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว และเหมยเองก็เป็นที่ถูกใจเขาอยู่ไม่น้อย
"คุณเหมยเร่งมือทำขนมไปฝากที่บ้านนายท่านเว่ยซูอยู่ครับ จึงออกมาต้อนรับไม่ได้"
จื่อคงเดินกลับมารายงานหลังจากหายไปพักใหญ่ สองอาหลานมองหน้ากันแล้วยิ้ม
วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ทั้งคู่พูดคุยกันเรื่องสุขภาพ ปัญหาเรื่องงานของเว่ยซูบ้างประปราย
แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นช่องลมที่นานกว่าคำพูดใดๆ เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆผู้ดูแล
ความเหนื่อยของเว่ยซูก็หายไปเกือบครึ่ง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้
ก็เห็นจะมีเพียงคนๆนี้ที่เขาไว้ใจมากที่สุด
คนๆเดียวกับที่พ่อเขาไว้ใจมากที่สุดเช่นกัน
...
...
...
...
"วรรณกรรม...วรรณกรรม รอเราด้วย!""ปุยฝ้าย ถ่ายรูปกัน"
ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด สวมใส่เสื้อคลุมวันสำเร็จการศึกษายิ้มให้สาวแว่น
ที่วิ่งตามเขามาอย่างหน้าตาตื่น
ทั้งคู่ถือช่อดอกไม้และยิ้มให้อุปกรณ์สี่เหลี่ยมที่มีคนยืนอยู่ด้านหลังนั้น
คนมากหน้าหลายตาล้วนหลั่งใหลกันมาแสดงความยินดีกับลูกหลานที่ได้สำเร็จการศึกษาในวันนี้
วรรณกรรมเองก็เป็นหนึ่งในหลายพันคนนั้น
เพื่อนหลายคนที่รู้จัก ล้วนทักทายพร้อมถ่ายภาพที่ระลึก
เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป เรียกได้ว่าธรรมดาอย่างถึงที่สุด
"วรรณกรรมเจอพ่อแม่รึยัง"
"ยังเลย เรากำลังตามหาพ่ออยู่เหมือนกัน เมื่อกี้โทรหาก็ไม่รับ สงสัยไม่มีสัญญาณ"
"นี่ตากล้องของวรรณกรรมเหรอ หล่อจัง"
หญิงสาวยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับคนด้านหลังอุปกรณ์สี่เหลี่ยมที่ยังคงกดชัตเตอร์ไม่หยุด
แม้ยามที่พวกเขาพูดคุยกัน
"ใช่ เพื่อนของเพื่อนเราเองปุย ชื่อสรา สนใจติดต่องานได้นะ ทักไลน์เรามาเลย"
"ไว้จะทักไปนะ เราไปล่ะ"
หญิงสาวยิ้มกริ่มตลอดการสนทนา
รวมไปถึงสายตาที่มองไปอื่นทางโดยไม่ได้มองหน้าเพื่อนแต่อย่างใด
"พ่ออยู่ไหน ว่านอยู่ตรงที่นัดกันไว้นานแล้วนะ"
"พ่อกำลังเดินไป คนเยอะมากพ่อหาที่จอดรถลำบาก"
"ครับ"
วรรณกรรมยืนรอบิดาตรงนั้นอีกเพียงครู่เดียวก็พบกัน รอยยิ้มผุดขึ้นบนในหน้าแทบทันที
ครอบครัวเขาก็มีเพียงพ่อคนเดียว และวันนี้ก็มีเพียงพ่อเท่านั้นที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเขา
เขาโผเข้ากอดผู้มีคุณ ใบหน้าเปี่ยมล้นความสุข สำหรับเขา เพียงพ่อก็พอแล้ว
"สรา เราขอรูปคู่กับพ่อเยอะๆหน่อยนะ"
บอกเพียงแค่นั้น เขาก็พาพ่อไปยังที่ต่างๆที่เขาชอบในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
และถ่ายรูปคู่กันสองคนพ่อลูก เดินเจอเพื่อนก็ถ่ายกับเพื่อนบ้าง
วรรณกรรมไม่ได้มีเพื่อนมากมาย
แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเขามีพ่ออยู่แล้วทั้งคน
เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็สิ้นสุดลง ด้วยความเหนื่อยล้าของวรรณกรรม
เขาบอกลาทุกอย่างและกลับบ้านพร้อมบิดา
"ว่านลามากี่วันลูก"
"อาทิตย์นึงแหล่ะพ่อ"
สองพ่อลูกเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยรถยนต์ส่วนตัว
วันนี้เขายิ้มมากจนเหนื่อย แต่ก็ยังพูดคุยกับพ่อไปตลอดทาง
"ลานานขนาดนี้เขาไม่ว่าเอาเหรอ"
"ไม่หรอก ว่านไม่อยู่คนเดียว บริษัทเขาไม่เจ๊งหรอกน่า"
บทสนทนามากมายสำหรับสองพ่อลูกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือนไม่จบลงเพียงแค่นั้น
จนถึงบ้านเกิดพวกเขาก็ยังคงนั่งคุยกันจนดึกดื่น
ก่อนที่วรรณกรรมจะยอมปล่อยให้ผู้เป็นบิดาได้พักผ่อน
วรรณกรรมเดินขึ้นบันไดไปด้านบน ก่อนไขกุญแจเข้าห้องนอนของตนเอง
เขาคิดถึงมันมากมายเหลือเกิน นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กลับมา ด้วยเขาเองเป็นคนติดบ้านมาก
แต่ด้วยภาระหน้าที่ เขาจึงจำต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น แม้ใจจะอยากกลับมาอยู่บ้านดูแลพ่อ
ของเขามากแค่ไหน
มือใหญ่ลูกผ้าปูเบาๆด้วยความคิดถึง ก่อนทิ้งตังลงนอนลืมตามองเพดาน
ที่ด้านบนมีการ์ตูนตัวโปรดแปะไว้ดู
เขาไม่อยากกลับมาที่นี่เลย กลับมาทีไร ไม่อยากกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อทุกที
นอนปล่อยความคิดได้เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน วันหยุดก็เช่นกัน
...
"พ่อ ว่านไม่กลับไปแล้วได้ไหม"
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอ้อนบิดาเช่นเคยเมื่อมาถึงสถานีขนส่งประจำจังหวัด
"ไม่ไปได้เหรอ ทุกคนล้วนมีหน้าที่นะลูก"
"..."
'ปกติก็ไม่อยากไปอยู่แล้ว แต่วันนี้มันยิ่งรุนแรง มันเหมือน...จะไม่ได้กลับมาอีก'
วรรณกรรมเพียงรู้สึก หากแต่ไม่ได้พูดออกไป เพื่อไม่ให้บิดาต้องเป็นห่วง
เขากอดบิดาอีกหนึ่งครั้งแล้วหันหลังจากไป บัดนี้ รถรออยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากทำให้ใครเสียเวลา
"พ่อดูแลตัวเองด้วยนะ"
วรรณกรรมกระซิบบอกพ่อทั้งที่ขากำลังก้าวขึ้นรถ
ผู้มาส่งเพียงโบกมือด้วยรอยยิ้มแล้วจากไปเช่นกัน
...
....
...
...
"นายท่านเว่ยซู คุณเทียนหลิงมาขอพบครับ"
คนในห้องเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย
เขาวางมือจากเอกสารตรงหน้าแล้วกลับมานั่งพิงพนักเก้าอี้ในท่าสบาย
ห้องทำงานที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ขัดกับพื้นที่หลายไร่ของบ้านหลังนี้
บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนๆนี้
รักที่จะอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและอบอุ่นปลอดภัย
ไม่ต้องรอนาน สาวสวยนามเทียงหลิงก็ย่างก้าวเข้ามาด้านใน
รูปหน้าทรงรี ดวงตากลมโต รวมไปถึงผมดำยาวสลวย
ปล่อยยาวเกินกลางหลัง ความสวยที่หาได้ยากในฉบับสาวหมวยจีนทั่วไป
กับใบหน้าที่ถูกแต่งเติมสีจัดจ้าน
เลือกสวมใส่เสื้อผ้าขัดกับผิวขาวและรัดรูปได้สัดส่วนอย่างชัดเจน เรียกรอยยิ้มคนในห้องได้เป็นอย่างดี
นายท่านบ้านนี้ก็เหมือนชายทั่วไป นิยมชมชอบสาวสวย
โดยเฉพาะรูปลักษณ์เช่นคนตรงหน้าตอนนี้
สาวเจ้าเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มละลายใจโดยไม่พูดอะไร
สองเท้าก้าวประชิดเจ้าของห้องด้วยท่าทางสง่า
ก่อนที่จะวางก้นกลมลงบนตักกว้าง
"ทำอะไรอยู่คะเว่ยซู"
"ก็งานเหมือนเดิม คุณจะมาทำไมไม่บอก ผมจะได้ให้คนไปรับ"
แม้คำพูดจะแสนธรรมดา แต่มือปลาหมึกในตำนานบัดนี้กำลังลูบลงต่ำเรื่อยๆจนเกือบถึงจุดยุทธศาสตร์
"เว่ยซู บ้านฉันก็มีรถนะ"
รอยยิ้มหวานตอบกลับอย่างพอใจในสัมผัส เธอไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ
แต่กลับลูบไล้ไปตาม กล้ามเนื้ออันใหญ่โตด้วยเช่นกัน
ความพอใจที่ทั้งคู่ต่างมอบให้กัน เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่มีใครรอให้ช้ากว่านั้น
บทเพลงรักร้อนแรงบนโต๊ะทำงานก็เริ่มขึ้น
ฝานเว่ยซูไม่เคยขาดการบำบัดอารมณ์ด้านความต้องการ
ต่อให้เขานั่งอยู่เฉยๆกับที่ ก็จะมีสาวสวยเช่นนี้ต่อคิวกันมาปรนนิบัติอย่างไม่ขาดสาย
และเมื่อทุกอย่างจบลง เรื่องงานจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ทั้งคู่กลับมานั่งเก้าอี้อีกครั้ง และประจัญหน้ากันในเรื่องเศรษฐกิจ
"คุณเทียนหลิงมาถึงนี่ด้วยตัวเอง ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่"
"ก็บอกไปแล้วไง ว่าคิดถึงคุณหน่ะ"
คำพูดแบบขอไปที พร้อมสายตาที่เสมองไปด้านอื่นของห้อง
ขาด้านซ้ายยกไขว้ขึ้นเป็นท่าไขว่ห้าง คนมองสบมองท่าที
ของแขกตรงๆ ดวงตาหลี่ลงเล็กน้อยด้วยความฉงนใจ และรอคำตอบ
ว่าผู้หญิงคนนี้มาหาตนทำไม
"ไม่เห็นต้องทำหน้าจริงจังอะไรขนาดนั้นเลยเว่ยซู
ฉันแค่จะมาถามคุณ ว่าคุณรู้เรื่องที่ซีรี่ส์บ้างไหม"
"อะไรที่เป็นของผม ผมก็ต้องรู้อยู่แล้ว"
"แล้วทำไมคุณถึงยังนิ่งเฉย ที่คนของฉันถูกคนของคุณทำร้าย!"
น้ำเสียงหญิงสาวกดต่ำคล้ายพยายามสกัดอารมณ์โมโหของตนเองเป็นอย่างมาก
เธอไม่ชอบแสดงอารมณ์ต่อหน้าใคร
โดยเฉพาะเพื่อนร่วมวงการอย่างเจ้าของบ้านที่เธอมาหาในวันนี้
"ผมไม่ได้อยู่เฉย แต่ผมสั่งคนจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว
มันน่าจะเป็นเรื่องปกติไปได้แล้วนะเทียนหลิง
ที่ลูกน้องชั้นล่างของพวกเราจะมีปากเสียงกันบ้าง"
"งั้นคุณก็พลาดแล้วล่ะ เพราะคนของคุณไม่ได้จัดการอะไรเลย
คนของฉันหายตัวไป และมีคนบอกว่าครั้งสุดท้าย
พบว่าอยู่กับกลุ่มคนของคุณ"
คนในความดูแลของเขามีหลายร้อยคน ไม่ว่าจะระดับไหน
เขาก็จัดการวางระบบควบคุมไว้อย่างดีแล้ว
และเรื่องราวทะเลาะเล็กน้อย โดยเฉพาะของลูกน้องระดับล่าง
ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเว่ยซูจำเป็นต้องสนใจ
แม้จะมีใครถูกลักพาตัว อุ้มฆ่า หรือหายไปจากบัญชีรายชื่อ ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ที่เขาไม่ต้องรับรู้ด้วยแต่อย่างใด
เขาจึงแปลกใจไม่น้อย ที่หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรระดับเทียนหลิงจะมาคุยกับเขาที่นี่ด้วยตนเอง
"หวังว่าคนๆนั้นคงพิเศษมากพอที่ทำให้คุณต้องเสียเวลาเดินทางมาถึงนี่นะ"
"ฉันไม่แปลกใจเลย ที่ใครๆก็ว่าคุณไร้หัวใจ"
"ผมแค่รู้ว่าเรื่องไหนควรใช้ เรื่องไหนไม่ควร...ลูกน้องคุณมีปัญหากับใคร"
แปะ
แฟ้มสีน้ำตาลอันใหญ่ถูกโยนลงบนโต๊ะ
เจ้าของบ้านเปิดแฟ้มนั้นและมองภาพจากกล้องวงจรปิด
ปรากฏเป็นชายคนหนึ่งถูกชายอีกสี่คนยืนล้อมไว้ ก่อนที่ภาพในมือใบอื่นๆจะถูกยกขึ้นมาดู
ชายคนนั้นก็กำลังถูกชายสี่คนรุมจับล็อคและทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง
ภาพที่เขาเห็นเป็นประจำ ไม่ได้ทำให้ความสนใจมากขึ้นแต่อย่างใด
เว่ยซูโยนของในมือลงบนโต๊ะตามเดิมพร้อมใบหน้านิ่งสงบ สร้างความไม่พอใจในแววตา
ของสาวสวยฝั่งตรงข้ามได้มากโข
"ให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าลูกน้องคุณคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วล่ะ"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ต้องชดใช้ เพราะสี่คนนั้นเป็นคนของคุณ"
"ผมจะเรียกสี่คนนั้นมาให้ คุณอยากถามอะไรก็เชิญเพื่อความสบายใจ"
โทรศัพท์ไร้สายถูกกดเพียงสองครั้งก่อนที่คนสนิทหน้าห้องจะเดินเข้ามาเพื่อรับฟังคำสั่ง
บรรยากาศมาคุภายในห้องยิ่งประทุขึ้นเรื่อยๆเมื่อนาฬิกาเคลื่อนที่ไป
ลืมไปโดยสนิทว่าเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ บรรยากาศในห้องช่างเร้าใจเพียงใด
ครึ่งชั่วโมงแห่งความอึดอัดจบลง เมื่อหน้าประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น และชายฉกรรจ์สี่คนในภาพ
ถูกนำตัวเข้ามา ทำให้ห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ดูเล็กลงกว่าเดิมไปถนัดตา
ซองเอกสารบนโต๊ะถูกส่งให้ชายคนที่ยืนใกล้ที่สุด ทั้งสี่คนจ้องมองภาพในมือด้วยท่าทางสงบนิ่ง
"ในรูปใช่พวกนายรึเปล่า"
"ครับ"
"แล้วคนที่พวกนายซ้อม มีปัญหาอะไรกัน"
"พวกเราลากมันออกจากซีรี่ส์สองเพราะเมาแล้วอาละวาดครับ"
"หลังจากนั้นหล่ะ"
"พอมันสลบ พวกเราก็ลากมันไปทิ้งไว้ในซอยแถวนั้นห่างไปไม่กี่โลครับ"
ทั้งสี่ร่วมกันตอบคำถาม ชายสามคนมีท่าทีเกรงกลัวต่อเจ้านายและพันธมิตรในห้อง
ส่วนชายอีกคน ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ไม่แสดงท่าทางว่าโกหกต่อคำพูดแต่อย่างใด
"ตายรึเปล่า"
"ไม่ครับ พวกเราไม่เคยซ้อมใครตาย"
เมื่อได้คำตอบที่พอใจ เว่ยซูจึงหันไปมองสาวสวยผมดำที่ตั้งใจฟังอีกฝั่งของห้อง
เขาผายมือให้ทั้งสี่หันไปตอบคำถามจากอีกฝ่ายบ้าง
"ตอนนี้คนของฉันหายตัวไป ภาพพวกนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ฉันมี
พวกนายแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรเขามากกว่านี้"
"ครับ พวกเราไม่ได้โกหก
คนคนนี้ไม่ได้ถูกซ้อมรุนแรงเกินกว่าในรูป แต่คงเพราะเมา เลยสลบไปง่ายๆ"
"...ตอนนั้นพวกเราไม่ทราบเลยนะครับว่าคนๆนี้คือคนของคุณ"
ชายอีกคนสมทบอย่างกล้าๆกลัวๆ
"นั่นน่ะ น้องชายฉันเอง"
คำพูดแผ่วเบาหลุดออกจากปากนายหญิงกลุ่มพันธมิตร ชายสี่คนหน้าถอดสีทันที
พร้อมกับเจ้าของบ้าน ที่ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างกระทันหัน
มิน่าหล่ะเธอจึงลงทุนมาถึงที่นี่ ชายที่หายไปเป็นถึงน้องชาย
แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยได้ยังไงว่าเทียนหลิงมีน้องชาย
"ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณมีน้องชาย"
"ฉันก็ไม่ได้อยากนับเด็กนั่นเป็นน้องชายนักหรอก เขามันไม่ได้เรื่อง ไม่เคยสนใจเรื่องของตระกูล
ไม่เคยคิดช่วยเหลืองานอะไรหรือใครในบ้านทั้งนั้น ไม่ต่างอะไรกับกาฝาก แต่เพราะมีสายเลือดเดียวกัน
ฉันถึงยังต้องดูแล"
"ผมพอเข้าใจ แต่ถ้าคุณบอกว่าน้องชายคุณไม่ได้เรื่องขนาดนั้น แถมยังมามีเรื่องในซีรี่ส์ของผม
ผมก็คิดว่ามันคงไม่แปลก ถ้าเขาจะมีศรัตรูมากมาย โดยเฉพาะถ้ามีใครรู้ว่าเขาเป็นน้องชายนายหญิงเทียนหลิง"
"ฉันถึงไม่คิดจะบอกใครว่าเขาคือน้องชายฉันไง"
สาวสวยเริ่มมีใบหน้าครุ่นคิดหนักขึ้น เมื่อเอาความกับบ้านฝานไม่ได้
เพราะน้องชายล้วนมีปัญหากับใครก็ได้
แต่เธอจะไปตามหาอย่างไรต่อ เมื่อหลักฐานสุดท้ายอยู่กับคนบ้านนี้
"ในฐานะพันธมิตร ผมยินดีช่วยเหลือคุณในเรื่องนี้"
ดวงตาที่เสมองไปตาอื่นหันกลับมาสบตากับผู้พูดทันที แต่หากก็ต้องเสกลับไปมองทางอื่นอีกครั้ง
เพราะรู้อยู่แล้วว่าพันธมิตรบ้านนี้ของเธอ ไม่เคยทำอะไรเพื่อใครฟรีๆ
"คุณต้องการอะไรแลกเปลี่ยน"
"ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่ขาก้าวอี้ให้ตระกูลฝานอีกสักที่ในสภาเท่านั้นเอง"
"ฮึ...ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมนะเว่ยซู คุณมันคนไร้หัวใจ"
คนงามดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คอที่ตั้งตรงไม่หันมองด้านข้างหรือหน้าใครทั้งนั้น
เป้าหมายตรงไปยังประตูห้อง
ก่อนที่ประตูจะถูกกระชากออกอย่างแรง และนั่นคือคำปฏิเสธที่ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ
......โปรดติดตามตอนต่อไป
