ฝานเว่ยซู ... [กำเนิดใหม่มาเฟียรุ่นที่สอง] บทที่ 14 .. 08/07/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฝานเว่ยซู ... [กำเนิดใหม่มาเฟียรุ่นที่สอง] บทที่ 14 .. 08/07/2018  (อ่าน 5055 ครั้ง)

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 11
















"สวัสดี"



ใบหน้าเรียวยาวพร้อมรอยยิ้มหลอนประสาทเป็นภาพแรกที่ต้อนรับเขา

ออกจากห้วงนิทรา แวบแรกของวันก็ต้อนรับกันอย่างนี้

แล้วชีวิตวันนี้ทั้งวันของเขา จะไม่หม่นหมองไปทั้งวันหรอกหรือ



ชายหนุ่มผู้ซึ่งถูกความอยากรู้อยากเห็นชักนำให้สองเท้าย่างก้าวเข้ามา

ในสถานที่อันตราย สถานที่ที่ถูกใครต่อใครห้ามปรามมาโดยตลอด

วันนี้ครบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขาอยู่ที่นี่

ตอนแรกก็ตกใจไม่น้อยถึงขั้นเป็นลมล้มพับไปซะอย่างนั้น

แต่ใครจะรู้ว่า ที่นี่กลับถูกใจเขาเสียยิ่งกว่าการเรียนหนังสือในทุกๆวัน

ที่คฤหาสน์หลังใหญ่นั่นตั้งเยอะ





"ไม่ต้องใกล้มากก็ได้"






ปั้นผลักคนที่เอาหน้าตาสยองเข้าใกล้ให้ออกห่าง เขาลุกขึ้นจากเตียงเดี่ยว

ที่มีผ้าปูสีขาวหม่นออกแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำไป

เพียงไม่นานประตูไม้เก่าๆก็ถูกเปิดออก และใบหน้าสยองที่เหมือนกับ

คนเมื่อครู่ก็ย่างเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ







"ของฉันล่ะ?"





"ไม่มี อยากกินก็ไปหากินเอง"






"ฉันอยากกินอย่างนี้"





นี้วชี้ไปที่ถาดอาหารในมืออีกคนแล้วทำหน้ามุ่ย






"ไม่ได้! อันนี้ของเจ้าเด็กน้อย"








"ก็ดี จริงๆให้กินเข้าไปเยอะๆ จะได้มีแรง"









ความคิดต่ออาหารตรงหน้าเปลี่ยนทันที

เมื่อพูดถึงเจ้าเด็กน้อยที่เดินเข้าห้องน้ำไปเมื่อครู่

ใบหน้ายิ้มหยีที่เป็นปกติแก่ผู้พบเห็น บัดนี้มุ่ยทั้งคู่




ประหลาดที่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงสีหน้าใดออกไป

อีกฝ่ายหนึ่งจะมีสีหน้าเช่นนั้นตามทันที คล้ายกับว่าพวกเขาทั้งคู่

ส่องกระจกอยู่ตลอดเวลา ครั้นยืนอยู่ใกล้ๆกัน





"ผมพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ"





"กินนี่ซะก่อน ฉันทำเองกับมือ"








เมื่อใบหน้าที่กลับมายิ้มอีกครั้งใบหน้าหนึ่ง ได้ยินว่าอาหารในถาดเป็นฝีมือของอีกใบหน้าหนึ่ง

ใบหน้านั้นก็มุ่ยขึ้นมาอีกครั้ง และใบหน้าที่ถือถาดอยู่ จู่ๆก็มุ่ยตามกัน

แรกๆชายหนุ่มก็แปลกใจ แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว และคิดว่าพวกเขา ช่างเหมือนกันซะเหลือเกิน








ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธต่ออาหารหน้าตาน่ารับประทานตรงหน้า

เพราะจากการได้ลองชิมแล้ว ก็นับว่าเป็นรสชาติที่หรูหราระดับภัตตาคารเลยก็ว่าได้

ชายหนุ่มตักอาหารเข้าปากพร้อมรอยยิ้ม เคี้ยวแล้วกลืนคำแล้วคำเล่า

โดยที่สองใบหน้าสยองยังคงมีสีหน้ามุ่ยตลอดการกินข้าวเช้านี้








เมื่ออาหารในจานถูกตักจนหมด ใบหน้าที่มุ่ยจึงกลับมายิ้มสยองเช่นเดิมอีกครั้ง






"วันนี้พวกคุณต้องทำอะไรบ้าง"




ชายหนุ่มถามออกไปด้วยแววตาตื่นเต้นสุดๆ ที่นี่สนุกเหลือเชื่อ

วันก่อนแฝดสยองพาเขาไปดูห้องปรุงยาพิษของบ้างตระกูลฝาน

ด้วยของมีพิษชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้พิษ แมลงพิษ

ยังมีของบางสิ่งที่เป็นของใช้ แต่กลับเอามาสกัดเป็นยาพิษได้ด้วย

นั่นทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก







เช่นเดียวกันกับเมื่อวาน ที่ห้องๆหนึ่งในอาคารสีแดงนี้

มีการประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่าง โดยที่แฝดสยองเล่าว่า

มันคือพิธีกรรมปลุกจิตมหาอุตในร่างกายมนุษย์ ให้ออกมาโลดแล่นภายนอก

เพื่อทำงานต่างๆให้บ้านตระกูลฝาน ทำให้คนๆนั้นแข็งแกร่งกว่าปกติ

โดยแฝดสยองเล่าให้ฟังถึงที่มาอย่างละเอียดของพิธีกรรมนี้









ปั้นนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่แฝดสยองเล่าหลากหลายความลับให้เขาฟัง

ทั้งๆที่เขาไม่แน่ใจว่าสองคนนี้จะรู้จักว่าเขาเป็นใคร มาจากไหนรึเปล่าด้วยซ้ำ

แต่อย่างไรก็ดี ที่นี่มีอะไรสนุกๆที่เขาคาดไม่ถึงอยู่มากมาย

เรียกได้ว่าครบวงจร





"เธอเห็นแอ่งน้ำด้านหลังอาคารนี้รึเปล่า"





เด็กน้อยของสองแฝดพยักหน้าเบา เขาจำได้ว่าตอนแอบออกมาสำรวจที่นี่ครั้งแรก

ได้เดินวนไป และพบกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของอาคารสีแดงแห่งนี้







"เราจะไปที่นั่นกัน"





"ไปทำอะไรหรือ?"





"ตกจระเข้"







ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ








เสียงหัวเราะร่วนชวนผอืดผอม ผสานกันดังระงมคล้ายว่าจะไม่มีหยุดลงง่ายๆ

ใบหน้ายิ้มหยีพร้อมเสียงหัวเราะบัดนี้ บ่งบอกว่าใบหน้านั้นกำลังยิ้มออกมาจริงๆ

ด้วยความตื่นเต้นคึกคะนองอะไรบางอย่างที่ชวนเสียวสันหลังสิ้นดี









ใบหน้าชวนสยองฉบับพ่อครัวเดินนำลงไปชั้นสอง และหยุดลง

ด้านข้างบันไดที่พาดระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง

ทาบมือลงไปบนราวบันไดที่ถูกทาฉาบไล้ไปด้วยสีแดง









เพียงไม่นานผนังอีกฝั่งของราวบันไดก็ยุบลงไป

แล้วค่อยๆเคลื่อนออกจากกัน จนเกิดเห็นเป็นทางเดินลับ

ที่ถูกซ่อนอยู่








แฝดสยองฉบับพ่อครัวเดินนำเข้าไปด้านใน ไม่รอช้าที่อีกสองคนที่มาพร้อมกัน

จะเดินตามเข้าไป และประตูก็ค่อยๆปิดลงอัตโนมัติ









ทั้งสามเดินลงบันไดหินปูนไป ลึกลงเรื่อยๆเป็นรูปแบบวงกลม

เดินมาสักพักก็จะพบกับทางแยกสามทาง

โดยพ่อครัวนรกได้นำไปทางซ้ายมือ เดินเข้าไปไม่นาน ก็พบกับบันได


ที่เปลี่ยนจากทางทอดลง เป็นทางขึ้น

เดินไปอีกไม่นาน ก็พบกับประตูสีเทา

แฝดฉบับพ่อครัวทาบมือลงบนประตูนั้นเช่นเดียวกับราวบันไดเมื่อครู่

และประตูก็ค่อยๆเลื่อนออกทางขวามือ










ด้านหน้าเป็นแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ครั้งแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์ของปั้น

เขารู้สึกแสบตาไม่น้อย เช่นเดียวกัน กับสองใบหน้าสยอง

ที่แม้จะสวมแว่นตาดำตลอดเวลา ก็ยังคงยืนสงบนิ่งเพื่อปรับโฟกัสอยู่ดี







"มาโผล่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย"






ชายหนุ่มตลึงกับทางลับที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีจริงๆบนโลกใบนี้

เขาเริ่มประมวลภาพออกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

เป็นที่ๆใกล้กับจุดที่เขาเคยเดินมา แต่ใกล้แอ่งน้ำมากกว่าที่เคยมา

แอ่งน้ำสีขุ่น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจระเข้อาศัยอยู่ได้ ไม่เห็นมีลอยขึ้นมาสักตัว

แล้วยังไง คนพวกนี้กินเนื้อจระเข้งั้นหรือ








"พร้อมรึยัง?"








"พร้อมอะไร?"











ใบหน้าสยองใบหน้าหนึ่งเอ่ยขึ้นมาทางเขา

เขายังแยกไม่ออกจริงๆว่าใครเป็นใคร

หากแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจ สองคนนี้จะให้เขาลองตกจระเข้ยังหรือ?








"ตกจระเข้"









"จะให้ผมเป็นคนจับเหรอ"







"ป่าว..."







"จะให้ช่วยเป็นเหยื่อให้หน่อย"








ไม่รอช้าใบหน้าสยองที่ยืนใกล้กว่า คว้าแขนของชายหนุ่มขึ้นมา

แล้วชักมีดเล็กที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุม กรีดลงบนแขนเขาเป็นแนวขวาง

โลหิตสีแดงสดไหลออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว









แขนอีกข้างถูกคว้าไว้ แล้วกรีดลงไปอีกหนึ่งแผล

ขณะนี้ความกลัวที่ไม่คาดคิดแล่นผ่านตามรอยกรีด

สองขาพยายามวิ่งหนีมัจุราชหน้ายิ้ม

หากแต่อย่างไร ก็ไม่มีทางหนีพ้นผู้มีความไวเช่นสองคนนี้ได้เลย

เขาถูกจับตรึงไปใกล้แอ่งน้ำขึ้นเรื่อยๆ








และเมื่อสุดพื้นดิน สองแฝดนรกก็โยนเขาลงไปในน้ำสีขุ่น

ด้วยใบหน้ายิ้มร่าทะลุแว่นดำทั้งคู่









ตู๊มมมมม !!!









เด็กหนุ่มไร้หลักยึดและไร้แรงด้วยเสียเลือดไปมากพักหนึ่งแล้ว

เขาพยายามใช้แรกเฮือกสุดท้ายตะเกียกตะกายขึ้นมายังขอบฝั่ง

แต่ไม่ทันการ เมื่อหันกลับไปด้านหลัง

ก็เห็นคล้ายๆขอนไม้ที่ลอยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

และใช่แน่ๆ ตกจระเข้ที่ไอ้แฝดโรคจิตคู่นี้พูดถึง

คราวนี้คงถึงคราวตายของเข้าแน่แล้ว แต่น่าแปลกที่ภายใน

แม้จะร้อนรนเพียงใด แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความสงบได้

ใกล้แล้วสินะ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าสุดท้ายจะต้องตายกลายเป็นอาหารจระเข้






หมดแรงดิ้นรนแล้ว ยังเหลืออะไรที่ไม่ได้ทำตั้งหลายอย่าง

เขาปล่อยกายไปกับสายน้ำ และฝูงจระเข้ที่รุมเข้ามา

หวังฉีกทึ้ง ลิ้มรสอาหารอันโอชะนี้ให้สมใจ

และภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก็ยังคงเป็นเลือดเขาที่ไหลออกไม่ยอมหยุด











...นี่เองสินะ ผลแห่งความอยากรู้อยากเห็น








 







.......................โปรดติดตามตอนต่อไป
















สวัสดีคุณ sirin_chadada ค่ะ ^^ : ขออภัยในความงงนะคะ ฮ่าๆๆๆ
ตอนนี้มาแบบสั้นๆนะคะ ขอบคุณที่ยังคงติดตามกันเรื่อยมาค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:


สวัสดีคุณ xexezero ค่ะ ^^ : ปั้นกับว่านคนละคนนะคะ และคาดว่าน่าจะยังต้อง งง
กันต่อไปเรื่อยๆ อิอิ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:


สวัสดีคุณ mild-dy ค่ะ ^^ : ติชมกันได้นะคะ คาดว่าเรื่องนี้
จะออกทะเลแบบเมดิเตอเรเนียนไปเรื่อยๆค่ะ ฮ่าๆๆๆ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เหมือนไม่รู้จักสำนึกเสียที
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 12





หมดลงไปแล้ว ลมหายใจที่ขาดห้วง บัดนี้เหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ
ของสมาชิกคนใหม่บ้านตระกูลฝาน
เหยื่อลอยคลอมาติดฝั่ง โดยที่ผู้มาใหม่สั่งลูกน้องคนสนิทให้ลากร่างนั้นขึ้นมา
โลหิตสีแดงที่ซึมไหลออกมาจากบาดแผล ยังคงไหลต่อไปไม่หยุด
ภาพตรงหน้าช่างโหดร้ายเกินทน หากแต่ก็ไม่มีใบหน้าใดที่แสดงอารมณ์ใดออกมา
นอกจากความเรียบเฉยของคนที่ยืนรุมล้อมอยู่ ณ ขณะนี้




“ทำอะไรลงไป รู้จักรับผิดชอบด้วย
เด็กคนนี้ถูกนายหญิงเทียนหลิงขอร้องให้ช่วยเหลือไว้
ถ้าไม่อยากให้นายท่านเว่ยซูเดือดร้อน ก็รีบจัดการให้เรียบร้อย”




ใบหน้าที่เหมือนกันสองใบสลดลงดังไม่มีผู้ใดพบเห็นบ่อยนัก
ชายสองคนที่มักมีรอยยิ้มสยองตลอดเวลา คนหนึ่งยกหัว คนหนึ่งยกท้าย
แล้วพาร่างที่แน่นิ่งนั้นกลับไปยังทางเดิมที่ใช้ลงมายังแอ่งน้ำแห่งนี้



“เอาไงต่อ จะส่งคืนให้นายท่านเลยไหม?”




“ให้สองคนนั้นมันจัดการให้เรียบร้อยก่อน แล้วให้คนไปแจ้งฉัน”




กล่าวไว้เพียงเท่านั้น ชายผู้ออกคำสั่งก็เดินจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ปล่อยให้คนที่เหลือจัดการความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบริเวณนั้นเมื่อครู่









อร๊ากกกกกกกก....










แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก










ลมหายใจที่ขาดหาย กลับมาใหม่อีกครั้ง ชายผู้เดินตามแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ไป
ต้องย้อนกลับมาใหม่ สะดุ้งดีดตัวลุกขึ้นอย่างสุดพลัง แล้วก็ต้องล้มฟุบลงกับเตียงอีกครั้ง
เพราะไร้เรี่ยวแรง สายตาเหลือบมองไปยังใบหน้าที่เขาคุ้นชินมาตลอดหลายวัน
ใบหน้าสุดหลอนที่ตอนนี้เขาเริ่มกลัวเข้าจริงๆแล้ว
ด้วยภาพซ้ำจากการถูกกรีดข้อมือแล้วโยนลงน้ำเมื่อครู่ มันฉายวนมา     






“ใจเย็นๆ นายไม่ตายแล้ว”






ครั้นเมื่อเห็นใบหน้านั้นหวาดกลัว พ่อครัวนรกก็พูดปลอบใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าสลดเมื่อครู่ที่โดนต่อว่ายังไม่จางหาย แม้ร่างไร้วิญญาณเมื่อครู่
วิญญาณจะกลับมาแล้วก็ตาม




ไม่นานหนึ่งในสองใบหน้าที่เหมือนกัน ก็แยกตัวเดินออกห้องไป
และกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมชายหน้าตาดีคนหนึ่ง หากแต่ใบหน้าด้านหนึ่ง
กลับมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่คาดอยู่







“เป็นไง”






ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกไว้ใจใครในที่นี้ทั้งนั้น ทุกคนล้วนดูน่ากลัว และก็เป็นจริงอย่างที่คาด






“...กลัวตายงั้นหรือ ไม่ต้องกลัวไปหรอก ไม่วันนี้ ก็ต้องมีสักวัน ที่นายต้องตายอยู่ดี”







“คุณช่วยผมทำไม”







“ฉันเปล่า...นายท่านต่างหากที่ช่วยนาย หัดสำนึกบุญคุญ
และรู้จักเชื่อฟังเสียบ้าง ไม่อย่างนั้น อีกไม่นานคงได้ตายสมใจ”






แววตาเคืองแค้นถูกส่งกลับไป นอกจากจะไม่สำนึกแล้ว
ยังรู้สึกเกลียดนายท่านเว่ยซูอะไรนี่เข้าไปใหญ่ ไม่ได้อยากช่วยเขาหรอก
แค่เขามีประโยชน์ไว้ใช้ต่อรองต่างหากล่ะ เขาถึงยังต้องมีชีวิต






“คราวนี้พวกนายต้องไปคุยกับนายท่านเอง ตามฉันมา”






ชายผู้มีรอยแผลเป็นหันไปพูดกับทางแฝดที่ยังคงฉายสีหน้ากังวล
ทั้งคู่พยุงชายที่นอนราบอยู่ครึ่งหนึ่งให้ค่อยๆลุกขึ้น
ความกลัวที่ชายหนุ่มมีต่อสองคนนี้ยังไม่ได้จางหาย
แต่เขาเองบัดนี้ก็ไม่มีแรงขัดขืนเช่นกัน





ปั้นถูกวางลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนและนำไปส่งยังบ้านใหญ่
เมื่อเข้าไปด้านในก็พบกับเจ้าบ้านและลูกน้องคนสนิท
นั่งคอยที่โซฟาอยู่แล้ว





“...ยังไม่ตายหรอกเหรอ หัวแข็งดีนี่”






ซือเป่าทักขึ้นเป็นคนแรก ส่วนเจ้าของบ้าน ค่อยๆวางแก้วชาที่จิบเมื่อครู่ลง
แล้วเสมองไปทางชายสองคนที่หน้าตาเหมือนกัน
กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง






“พวกเราไม่รู้ ว่าเจ้าเด็กนี่จะตาย”





“กรีดแขนแล้วโยนลงบ่อ จะรอดได้ยังไง”






“เราอยากกินเนื้อจระเข้”





“เหยียนเล่ย ตรงนั้นมีจระเข้หรือ”






“ครับนาย...จง ฉี พึ่งลองเพาะเลี้ยง มาได้ไม่นาน”







คนข้างๆเจ้าบ้านตาโตไปพักหนึ่ง ส่วนเจ้าของบ้าน มีสีหน้าเอือมระอาเต็มแก่






“จง ฉี วันหลังจะทำอะไรบอกฉันก่อนได้ไหม”






“พวกเราจะบอก แต่เว่ยซูไม่อยู่ให้เราบอกเลย”






หน้าตาสลดของทั้งสองตั้งแต่เมื่อครู่
เริ่มทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของฝานเว่ยซู จางหายไปบ้างเล็กน้อย







“เอาเถอะ ยังไงเด็กคนนี้ก็ยังไม่ตาย พวกนายไปได้แล้ว ไว้ฉันจะไปคุยด้วย”






สมาชิกเรดโซนหันหลังและเดินจากไป เหลือไว้เพียง ชายหนุ่มผู้ถูกปลิดชีพ
แล้วช่วยชีวิตไว้เมื่อครู่เพียงลำพัง ซือเป่ายิ้มไม่หุบตั้งแต่เห็นสภาพของคนตรงหน้า
แต่ก็ต้องถูกเจ้านายบอกให้ออกไปก่อน






“ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อฟังอะไรเลย”






เมื่ออยู่ตามลำพัง ฝานเว่ยซูก็ถามขึ้น แม้ชายหนุ่งจะมีท่าทีว่าอ่อนแรง
แต่ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน







“ผมเบื่อ”






“เธอรู้หน้าที่ตัวเองไหม ฉันไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตเธอ
หากว่าเพื่อนของฉันไม่ได้ขอร้องไว้”






“คุณก็ปล่อยผมไปสักทีดิ หมดหน้าที่ของผมแล้ว”





“เธอได้ไปแน่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แต่ช่วยนึกถึงตัวเอง นึกถึงคนอื่นสักนิด
เธอถูกหมายหัวไว้แบบนี้ เธอกลับบ้านไป
ไม่คิดว่าคนที่บ้านจะเดือดร้อนไปด้วยบ้างเลยหรือ”





ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาลืมไปเสียสนิท ว่ากลับบ้านตอนนี้ไม่ได้






“กลับไปอยู่ในที่ของเธอซะ ถ้าไม่อยากให้ตัวเอง หรือใครต้องเดือดร้อนอีก”





“ผมตายไปแล้ว ผมรู้ ทำไมผมถึงฟื้นขึ้นมาได้อีก”





“เธอรู้ไหม ว่าเรดโซนคืออะไร”





“...”






“เรียกง่ายๆ ก็โรงเชือด”








!!!!!!!!!!!








“คนที่นั่นถนัดงานฆ่าในรูปแบบต่างๆ...จง ฉี มีวิธีทำให้เธอฟื้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง”







...







“ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น นี่คือชีวิตจริง มันไม่ได้สวยงาม
ถ้ายังอยากรอดจนได้กลับบ้านอีกครั้ง ก็ทำตามกฏซะ ไปได้แล้ว”





ชายหนุ่มถูกแม่บ้าน ละพ่อบ้านเจียงช่วยกันเข็นรถล้อเลื่อนไปยังชั้นบน
โดยที่เจ้าตัวยังคงช็อคกับเหตุการณ์และคำบอกเล่าที่เกิดขึ้นไม่หาย






“บอกไปแบบนี้จะดีเหรอครับ”





“เด็กนั่นไม่ได้โง่ อีกหน่อยถ้ารู้จักปรับตัว อาจใช้งานได้”






เมือจบการสนทนา แก้วชาก็ถูกยกขึ้นจิบอีกครั้ง
พร้อมกับความทรงจำที่หมุนวนกลับมา









...












“อย่า!!!!!”











“พอแล้ว!!!”











เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมห้องสีขาวสะอาด
ที่บัดนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่ง นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย แขนด้านซ้าย
ถูกเข็มทิ่มเข้าเนื้อ และหยาดโลหิตค่อยๆไหลออกมา
ตามสายที่ต่อเข้ากับพาชนะ
ร้องไปเรื่อยๆจนเริ่มหมดแรง






“ปล่อยผมไปเถอะ...”






เสียงร้องไห้ที่ดังระงม เริ่มแผ่วเบาลง ตามแรงกายที่เริ่มถดถอย
เขากำลังจะหมดสติในอีกไม่ช้า ความตายเข้ากระซิบข้างหูอย่างเยือกเย็น







“ไม่ไหวแล้ว....”







คำพูดสุดท้าย ก่อนที่จะหมดสติไป





เปลือกตาหนักอึ้ง ค่อยๆยกขึ้นอีกครั้ง และก็พบว่าตนเอง
ยังคงนอนอยู่บนเตียงในห้องสีขาวที่เดิม
หากแต่กลับมีชายหลายคนยืนรุมล้อมอยู่ด้านข้าง





และหนึ่งในนั่นคือคนที่เขาเริ่มจดจำได้แล้วว่าเป็นใคร





“อาเหลา ผมกำลังจะตาย...”





“ฮิๆๆ ไม่ตายๆ ดูสิ แข็งแรงแล้ว”





“ใช่ๆ ลองลุกดูสิ”





คำพูดของ จง ฉี ชายหน้าหลอนสองคนที่พูดไปยิ้มไป
วรรณกรรมค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้น และพบว่า เขายังไม่ตาย
และร่างกายก็กลับมามีแรงอีกครั้ง





“รู้สึกเป็นไงบ้าง”





...แปลก ทำไมรู้สึกเหมือนร่างกายแปลกไป





“เธอจะแข็งแรงขึ้น ถ้าใช้วิธีนี้”





อาเหลาพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกจากห้องไป
สองแฝดยังยิ้มให้เขาไม่ขาด หนึ่งในนั้นประคองเขาให้ลุกขึ้นเดิน
และพากลับห้องพักที่เขาไม่ชอบเอาซะเลย












...















สักวัน เธอจะแข็งแรงขึ้น




















............โปรดติดตามตอนต่อไป...............






สวัสดีทุกท่านนะคะ
หายไปแบบข้ามปีเลย กลับมาแล้วคราวนี้ คงอยู่ยาว อิอิ
ฝากติดตามกันต่อด้วยนะคะ
  o18


ฝากนิยายเรื่องเก่าด้วยนะคะ   
ลำนำรักในม่านหมอก ตอน ยากรักสุดหยั่งถึง
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40979.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2018 22:11:07 โดย ประกาศตา »

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เห็นชื่อเรื่องแล้วน่าติดตามมาก แต่พออ่านแล้วแบบบบบ.....วกวนมากอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ  :a5:

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตึ้บเลยค่ะทีนี้5555 แค่ก็สนุกดีค่ะ :hao6:

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


บทที่ 13




วรรณกรรมลืมตาขึ้นอีกครั้ง
กี่วันที่ผ่านพ้น กี่คืนที่ผันผ่าน
ความทรมานภายในเริ่มลดน้อยถอยลงไป

ช่างแตกต่างจากแผลฟกช้ำ รอยแผลเป็น รอยเย็บตามร่างกายยิ่งนัก





‘…ตายแน่…’






ความคิดที่ก่อตัวขึ้นทุกวัน ทุกครั้งที่ถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ
แต่แล้ววันนี้ เขาก็ยังคงหายใจ
ความเจ็บปวดมากมายที่เผชิญ ไม่สามารถปลิดชีพเขาได้

และวันนี้ก็จะเป็นอีกวัน ที่สักส่วนหนึ่งบนผิวหนังนี้
จะถูกแต่งเติมร่องรอยความรุนแรงลงไป


ชายหนุ่มเดินลงบันไดที่วกวนเช่นปกติทุกวัน
พักหลังมานี้เขาไม่ต้องให้ใครมาคอยตามหรือนำทางอีก
จุดนัดพบแรกของทุกวัน คือห้องโถงห้องหนึ่ง ในชั้นล่างสุดของเรดโซน


เขาเดินเข้าไปและยืนอยู่ตรงนั้นได้สักพัก
ชายหน้าตาคุ้นเคยสองคน รูปร่างสูงใหญ่กำยำก็เดินเข้ามา

ดวงตาสองข้างของผู้มารอปิดลง และเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ชายสองคนเดินมาขนาบข้างวรรณกรรม
และทั้งสามก็เดินไปทางประตูอย่างพร้อมเพรียง
โดยที่ด้านนอกของประตู มีชายสวมชุดสูท ยืนรออยู่แล้วอีกหนึ่งคน



“เชิญทางนี้ครับ”



ชายคนนั้นวาดมือ และเริ่มเดินนำหน้าเขาไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกพาออกจากอาคารหลังนี้
ถ้าคาดการณ์ไม่ผิด วันนี้คงหนีไม่พ้น
สกายโซน หรือโซนฝึกอย่างแน่นอน

และก็เป็นเช่นนั้น

วรรณกรรมถูกพามายังโรงฝึก ที่ถูกแบ่งออกเป็นการต่อสู้ประเภทต่างๆ
โดยที่ตัวเขาเอง เคยถูกอุปกรณ์ต่างๆในโรงฝึกแห่งนี้เกือบทุกชนิด
ฝากรอยแผลไว้บนเรือนร่างเป็นที่เรียบร้อย











‘ผลัวะ’


ยังไม่ทันได้ตั้งตัวแต่อย่างใด ไม้ตะบองอันใหญ่ยักษ์ก็ฟาดเข้าเต็มกลางหลัง
หากแต่คราวนี้ การทรงตัวของเขาดีขึ้นมากจากคราวแรก ที่ล้มฟุบลงไปทันที
กลายเป็นเซเล็กน้อย แล้วกลับมายืนตรงๆได้อีกครั้ง

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของใครบางคนที่ทอดมองลงมาจากห้องกระจกด้านบน
ทั้งท่วงท่าการรับมือ และแววตาที่เริ่มเปลี่ยนไป
ฉายชัดว่า ศิษย์ของเขาคนนี้ เริ่มเรียนรู้ ที่จะปรับตัวแล้ว

ชายคนนั้นย่างเท้าลงมาจากจุดชมวิว จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าวรรณกรรม
มือสากหนาถูกยกขึ้นหนึ่งที ชายอีกสามคนที่มาพร้อมวรรณกรรมก็เดินจากไป





“เว่ยซู…หลับสบายดีนะ”





“…ครับ”


รอยยิ้มขยับเพียงมุมปาก หากแต่ใบหน้าส่วนอื่นยังคงที่เช่นเดิม



“งั้นเรามาเริ่มกันเลย”


ชายคนเดิมยกมือขึ้นอีกครั้ง





‘ผลัวะ’









‘อั่ก!!!’




แผลเดินที่ถูกไม้ตะบองฟาดใส่เมื่อครู่ ถูกฟาดซ้ำลงไปอีกครั้ง และอีกครั้ง
สองมือที่แข็งแรงหากแต่ยังไม่มั่นคง คว้าให้ไม้นั้นหยุดได้เป็นบางครั้ง
แต่ก็สามารถเอนตัวหลบได้อยู่หลายครั้ง

จากหนึ่งคนที่เหวี่ยงไม้ลงมา ก็กลายเป็นสองคนและสามคนในที่สุด




‘ฟึ่บ’



สองเข่าทรุดลงและใบหน้าหล่อเหลาแนบลงกับพื้นเช่นทุกครั้ง
นรกที่เวียนกลับมาอย่างไม่รู้จบ วรรณกรรมไม่รู้ว่าถูกตีไปอีกกี่รอบ

แต่อยู่ๆพายุร้ายที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงก็สงบลง


ชายร่างยักษ์สองคนหิ้วปีกชายโชคร้ายให้ยืนขึ้นตรง
และตอนนั้นเอง
ที่สายตาของวรรณกรรมเหลือบมองไปเห็นชายที่เอ่ยทักทายเขาเมื่อครู่
ยกหูโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้น โดยที่ใบหน้าและท่าทางนั้น หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

ไม่บ่อยนักที่เขาจะเห็นชายคนนี้มีสีหน้าเป็นกังวลและเคร่งเครียด
โทรศัพท์ถูกเก็บลงกระเป๋าพร้อมกับที่ชายคนนั้น
กำลังก้าวกลับขึ้นไปยังที่ของตนเมื่อครู่

วรรณกรรมได้ยินคำสั่งไม่ชัด แต่จับใจความได้ว่า
ให้ชายที่หิ้วปีกเขาอยู่ตอนนี้ พาเขากลับไปรักษา





“เดี๋ยวครับ”





“…”





“ให้ผมไปด้วย”





เสียงดังที่เกือบตะโกน หลุดออกจากปากของชายหนุ่ม
ผู้มีหยาดโลหิตสีแดงไหลเป็นทางยาวจากรูจมูก

ชายผู้ที่กำลังจะเดินจากไป หันกลับมามอง แล้วหลี่ตาลงเล็กน้อย
สิ่งที่พบทำให้เขาชะงักชั่วขณะ
แววตาแน่วแน่ของเด็กหนุ่ม บอกออกมาอย่างชัดเจนในคำพูดที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่
ว่าร้องขอเช่นนั้นจริงๆ




“พาเขากลับไป”





คำสั่งยังคงเดิม ชายคนนั้นเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก
วรรณกรรมถูกพากลับมาส่งยังเรดโซน

ที่หน้าประตู เขาได้พบกับชายหน้าตาเหมือนกันสองคนพร้อมใบหน้างุนงง

ชายสองคนนั้นมีท่าทีรีบร้อน

รีบไปไหน?





“พวกนายอยู่ดูแลเขาที่นี่…เป็นคำสั่งคุณเพ่ย”





ชายร่างยักษ์ผลักวรรณกรรมไปยังแฝดนรก
ทั้งคู่มีท่าทีอิดออดและไม่พอใจ หากแต่ก็รับวรรณกรรมมาประคอง

จงและฉีพาหนุ่มโชคร้ายที่กำลังโชกเลือด
ไปยังห้องสมุนไพรและเริ่มลงมือรักษา

ไม่ใช่เพียงจงและฉีที่มีอาการร้อนรน
วรรณกรรมเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น




“เมื่อกี้อาจารย์เพ่ยดูกังวลมาก เกิดอะไรขึ้นเหรอ จง ฉี”




ชายหน้าเหมือนไม่ตอบคำถามนั้น
ยังคงตั้งหน้าตั้งตาแปะอะไรบางอย่างลงบนร่างกายเขาด้วยรอยยิ้ม

วรรณกรรมพึ่งตระหนักได้ว่า
แม้หยางเพ่ยอวี้จะสั่งคนซ้อมเขาปางตายนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ในทุกครั้ง ก็มักมีคำพูดที่ดังก้องขึ้น
เพื่อให้เขารอดพ้นจากความเจ็บปวด
เป็นเขาเอง ที่ไม่เอาไหน
เมื่อร่างกายถูกทำร้าย ก็ไร้ซึ่งสติในการรับรู้ หรือได้ยินสิ่งใด
แต่พักหลังมานี้ โสตประสาทการได้ยินเริ่มชัดและใช้งานดีขึ้น
สมองเขาเริ่มที่จะประมวลคำสอนนั้นได้ทัน

แม้จะได้รับการฝึกจากหยางเพ่ยอวี้มาหลายเดือน
แต่ก็พึ่งเคยได้เห็นความเครียดขนาดนั้นบนใบหน้าชายผู้หล่อเหลา
และมันช่างกวนใจศิษย์เช่นเขาเหลือเกิน




 
“ผมรู้ว่า จง ฉี ก็กังวล”





อยู่กันมาได้สักพัก วรรณกรรมก็เริ่มเข้าใจอารมณ์ที่แท้จริง
ภายใต้ใบหน้าประดับรอยยิ้มทั้งสอง

พลังชีวิตของทั้งคู่ มักแผ่ความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนเสมอ





“จง…”



“ฉี…”





เสียงเน้นย้ำถูกส่งพร้อมการสบตากับทั้งคู่ตรงๆ
คนถูกกดดัน ถูกกดดันได้ไม่นาน รอยยิ้มก็ค่อยๆหุบลง





“เจ้าเด็กน้อยอยากรู้ บอกดีไหม”





“ไม่”






“ซีรีส์หนึ่งถูกวางเพลิง ตอนนี้อาเหลาติดอยู่ในนั้น”








‘ฟึ่บ’





ชายสองคนหันสบตากันคล้ายกำลังคุยกัน แล้วลงมือแปะสมุนไพรให้วรรณกรรมต่อ





“ซีรี่ส์?”



“แล้วอาเหลาเป็นยังไงบ้าง”



ใบหน้ากังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวรรณกรรม
ไม่ต่างจากคนทั้งสองที่กำลังง่วนกับการรักษาบาดแผลให้เขาในขณะนี้

อาเหลาคือคนที่พาเขามาที่นี่ เรียกว่าบังคับมาที่นี่จะถูกกว่า
แต่เขากลับไม่รู้สึกเกลียด หรือโกรธแค้นใดๆต่ออาเหลาเลยสักนิด
และเขาคิดว่าชายบนฝาผนังก็คงรักและไว้ใจอาเหลามากเช่นเดียวกันกับเขา




“เราไม่รู้”





“เราก็อยากรู้”







“พาผมไปซีรีส์หนึ่งได้ไหม”





!!!!





วรรณกรรมไม่รู้หรอกว่าซีรี่ส์หนึ่งคือที่ไหน
หากแต่เขาอยากไป เพราะบัดนี้ร้อนใจเหลือเกิน

แฝดหน้านิ่วมองหน้ากันอีกครั้งแล้วครุ่นคิด
พวกเขากลายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กหลายเดือนแล้ว
จริงๆมันก็สนุกดีอยู่หรอก
ได้ทดลองอะไรหลายอย่างกับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้

แต่ก็ไม่อยากพาไปเลย จะเรียกว่าความผูกพันได้ไหมนะ
ทั้งคู่ไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องตาย




“ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหา ผมแค่เป็นห่วงอาเหลา
ผมว่า จง ฉี ก็น่าจะเหมือนกัน”



มือสองข้างที่แปะสมุนไพรยังคงดำเนินการต่อไป






“…”







“รักษาก่อน แล้วจะพาไป”
 


















...........โปรดติดตามตอนต่อไป














สวัสดีทุกท่านค่ะ  :call:




สวัสดีคุณ WaterProof ค่ะ
5555555 เราแต่งเรื่องนี้ตามอารมณ์เลยค่ะ
ตอนแต่งเรารู้สึกมันส์กับเนื้อเรื่องมากเลยนะคะ
ออกมาปุ๊บ คนอ่านงงเลย 55555
ยังไงก็ติดตามต่อไปนะคะ เนื้อเรื่องจะค่อยๆเฉลยออกมาค่าาา  :impress2:


สวัสดีคุณ xexezero ค่ะ
ดีใจมากเลยยังจำเรื่องนี้ได้ อิอิ ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1:
เรากลับมาแล้วค่ะ กลับมาพร้อมความงงไม่สร่างซา 5555555555
ยังไงติดตามตอนต่อไปนะคะ อีกไม่นานจะเริ่มกระจ่างแล้ว (รึเปล่า)
55555555555






ฝากนิยายเรื่องเก่าด้วยนะคะ   
ลำนำรักในม่านหมอก ตอน ยากรักสุดหยั่งถึง
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40979.0



ฝากเพจเราด้วยค่า  o18
https://www.facebook.com/Wispapoo55

ออฟไลน์ ประกาศตา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 14





ความเจ็บปวดมิอาจก่อเกิดความแข็งแกร่งได้โดยปราศจากพลังแห่งประจุลบฉันใด
ดวงใจและร่างกายที่ถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยม
ก็มิอาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความแข็งแกร่งพร้อมความแข็งกระด้างฉันนั้น





ปั้นประกาศชัดเจนว่าตนมิได้รักการเรียนรู้ในวิชาที่ตนศึกษา
หากแต่ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำโดยไม่สร้างปัญหาใดๆอีก





“ผมว่าเด็กนั่นดูแปลกๆ ถามอะไรก็ไม่ตอบ”




“ไม่ต้องถามอะไรมากหรอก ให้อยู่แบบสงบไปหน่ะดีแล้ว”




บทสนทนาสร้างความประหลาดหลาดใจแก่ผู้พูดยิ่งนัก
ประเด็นถกเถียงในบ้านมีมากเกินพอแล้ว ไม่คิดว่าจะต้องมาพูดคุยในเรื่อง
ของสมาชิกบางคนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร






ก๊อก ก๊อก ก๊อก




“นายท่านเว่ยซู เด็กคนนั้นมาขอพบครับ”




ไม่ทันได้ต่อกันที่ประเด็นอื่น ชายผู้อยู่ในบทสนทนาก่อนหน้านี้ก็บุกมาถึงที่
คล้ายกับรู้ว่าตนกำลังเป็นหัวข้อของใครบางคนอยู่




ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องทำงาน ที่ไม่ได้กว้างนักของเจ้าของบ้าน
เขาเหลือบมองชายที่นั่งเก้าอี้โต๊ะทำงานใหญ่
แล้วมองไปทางชายร่างยักษ์อีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง




“เรียนเสร็จแล้วหรือวันนี้ มีอะไรกับฉันก็ว่ามา”




เจ้าของห้องเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของผู้มาใหม่เปลี่ยนไป
จนยากจะอ่านออก




“ผมอยากช่วยงานคุณ อะไรก็ได้ทั้งนั้น ที่ไม่ต้องทำร้ายใคร”




ชายสองคนในห้องที่อยู่ก่อนมีสีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะขอช่วยงาน
ท่าทางเขาบ่งบอกชัดเจนแต่แรก ว่าเกลียดคนที่นี่เพียงใด




“ไม่เกลียดงานที่ฉันทำแล้วหรือ”




“ผมแค่ไม่อยากอยู่เฉยไปวันๆก็เท่านั้น”




“ซือเป่า นายว่าอย่างไร”




ซือเป่าหันไปมองผู้เป็นนายแล้วมองกลับไปหาผู้ยื่นคำขอ




“ผมว่าลองให้เขาทำดูก็ได้นะครับ”






.................………………………………….






“ฝากเขาด้วยแม่บ้านเจียง”




สามวันต่อมาซือเป่าพาปั้นลงมาหาแม่บ้านเจียง
ที่กำลังจัดเตรียมขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ที่หั่นพอดีคำกับกาแฟดำเป็นอาหารว่างพร้อมเสริฟ




งานแรกที่ปั้นได้รับมอบหมายคือนำอาหารว่างไปเสริฟแก่เจ้าของบ้านในทุกวัน
แม้จะเป็นงานที่เล็กน้อย แต่กับคนที่อยู่ว่างมาเป็นเวลานาน
กลับทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด




ปั้นหยิบถาดขนมสีสวยน่ารับประทานเดินตามแม่บ้านเจียง
ผ่านห้องโถงใหญ่ไปเรื่อยๆจนสุดทางเดิน
ประตูถูกเคาะสามทีและเปิดออก




แม่บ้านเจียงบอกให้ชายหนุ่นนำจานไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของเว่ยซูเลย
และอีกหนึ่งชั่วโมง ให้กลับมาเก็บไปทำความสะอาด




คนนั่งโต๊ะกำลังวิเคราะห์เอกสารบางอย่างในมือจนคิ้วชนกัน
ไม่ทันได้สังเกตเห็นเด็กฝึกงานคนใหม่ ที่เริ่มปฏิบัติงานวันนี้เป็นวันแรก
เมื่อขนมและกาแฟถูกวางลงบนโต๊ะ
เขาเพียงเอื้อมมือมาหยิบกาแฟไปดื่ม โดยไม่ได้ละสายตาจากเอกสารสักนิด




นอกจากดูแลในเรื่องอาหารว่างของเจ้าของบ้าน เขายังมีหน้าที่
ดูแลอาหารว่างให้กับสมาชิกคนอื่นๆในบ้านอีกหลายคนด้วย




ปั้นขะมักเขม่นกับการดูแลอาหารว่างในทุกวัน
เขาได้รับสิทธิเข้าออกหลายต่อหลายห้องในคฤหาสน์แห่งนี้
สมาชิกในบ้านหลายคนเริ่มที่จะสนิทสนมกับเขา
บางคนไหว้วานเขาให้เดินเอกสารไปถึงเรดโซน
จนทางเดินที่ว่าไกล เริ่มใกล้ลงทุกทีในความรู้สึก




และวันนี้ก็เป็นเช่นทุกวัน ที่เขาต้องนำอาหารว่างของโปรด ไปส่งให้เจ้าของบ้าน
หากแต่เขาไม่ทันได้สังเกตว่าวันนี้ท่านเจ้าของบ้านมีแขก
เมื่อเคาะประตูเรียบร้อย ยังไม่ทันได้รับอนุญาต เขาก็พรวดเข้าไปเช่นทุกวัน













กึก.










สองเท้าหยุดลงเมื่อสายตามองไปเห็นโต๊ะทำงานที่เคยเต็มไปด้วยเอกสาร
บัดนี้มีสตรีผู้หนึ่ง ใบหน้างดงามอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อนนุ่งน้อยห่มน้อยนั่งอยู่
โดยมีเจ้าของบ้าน ที่เปลือยท่อนบน กำลังปฏิบัติการณ์อะไรบางอย่าง
ทั้งหน้า ลำคอ ลำตัว ใบหู แดงเถือกเป็นลูกมะเขือเทศ




ชายผู้ไม่ประสารีบวางถาดขนมลงบนโต๊ะกลมใสใกล้กับประตู
และย่างเท้าออกจากจุดนั้นด้วยความรวดเร็ว






“เดี๋ยวก่อน”




เสียงใสหยุดเท้าคู่นั้นไว้ ก่อนที่มันจะก้าวออกจากห้องไป
หญิงสาวคว้าชุดคลุมสวมทับอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตรงมายังประตูทางออก




“เธอคือปั้นสินะ”




หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมวางมือบนไหล่ของชายหนุ่มผู้เข้ามาขัดจังหวะ
เขาค่อยๆหันมายังคนที่เรียกชื่อ แต่สายตาเจ้ากรรมกลับมองไปทางชายผู้เป็นชายของห้อง
ที่บัดนี้พยายามติดกระดุมเสื้อตัวเอง




เจ้าของห้องมองขึ้นมา และเห็นสายตาของใครบางคนมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา
คล้ายกำลังลืมว่าตนมองเขาอยู่
สองมือรีบติดกระดุมไวขึ้นอีก




“ครับ”




เมื่อได้สติก็หันมาตอบคำถามที่ถูกถามเมื่อครู่ แต่แล้วก็ต้องเผลอเลื่อนสายตา
ไปมองอีกคนที่ยังคงนั่งหน้าแดงอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม




“คุณรู้จักผมด้วยเหรอ”




คำถามถูกส่งไปโดยไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา




“นี่เทียนหลิง ผู้มีพระคุณของเธอ คนที่ขอร้องให้ฉันรับเธอมาอยู่ที่นี่”




เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาก็เปลี่ยนไปมองที่หญิงสาว
ที่กำลังจ้องมายังเขา ด้วยแววตาเป็นประกาย




ปั้นยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ สมองเขาประมวลผลไม่ทัน
และสายตาไม่อาจพยายามที่จะละจากใบหน้าแดงก่ำนั้นได้




เทียนหลิงยิ้มละมุนพร้อมคว้าแขนชายหนุ่มออกจากห้องไป
ทิ้งใครบางคนไว้ให้ได้จัดการอะไรบางอย่างเพียงลำพัง




เทียนหลิงพาปั้นมานั่งด้วยกันที่ห้องโถงใหญ่ และยังคงจ้องเขาไม่วางตา
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ปั้นก็ได้สติกลับมาครบสมบูรณ์



“คุณเทียนหลิง ทำไมถึงช่วยผมล่ะ”




“เอาเป็นว่า ฉันมีเหตุผลก็แล้วกัน”




“…”




“เธออยู่ที่นี่เป็นยังไง สบายดีนะ”






ประโยคคำถามมากมายจากคนแปลกหน้าที่ถูกส่งมาไม่ขาดสาย ไม่ได้ทำให้ปั้นรู้สึกอึดอัด
มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังได้นั่งคุยกับคนในครอบครัว
แม้ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของสตรีผู้นี้
แต่เขาก็สัมผัสได้ ถึงความหวังดีและห่วงใยที่ส่งมาถึงเขาอย่างแท้จริง




ภาพหญิงสาวที่เมื่อครู่นั่งบนตักเขา บัดนี้กลับนั่งคุยตาเป็นประกายกับชายอื่น
สร้างความรู้สึกปวดแปร๊บในอกอยู่น้อยๆ
แต่เมื่อเทียบกับความสุขที่เอ่อล้นออกมาทางใบหน้าของหญิงสาว
กับท่าทางสบายๆ เป็นตัวเองของชายหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็น
มันก็น่าจะคุ้มแล้ว กับความเจ็บปวดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในใจ


























...................................................




















วรรณกรรม จงและฉี ออกจากคฤหาสน์ด้วยรถยนต์คันเก่า
สภาพทั้งภายในและภายนอกกรังไปด้วยฝุ่นละออง
แต่เครื่องยนต์ก็ยังวิ่งใช้งานได้อยู่




ฉีรับหน้าที่เป็นคนขับ ขับออกมาได้สักพัก เครื่องยนต์ก็ดับลงด้านหน้าอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง
คล้ายกับห้องแถว ที่ทาสีเดียวกันเรียงติดกันมากกว่าสิบห้อง
รถดับเพลิงยังคนฉีดพ้นของเหลวเพื่อดับเปลวเพลิงที่ยังเหลือลุกไหม้




จงเดินลงจากรถไป เขาคุยกับชายชุดดำครู่หนึ่ง จึงเดินกลับขึ้นรถมา
ได้ข้อมูลมาว่าตอนนี้เหตุการณ์สงบลงแล้ว
หยางเพ่ยอวี้นำทีมหัวหน้าบอดิการ์ด พาอาเหลาไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง
เมื่อได้ฟังที่อยู่โรงพยาบาล ฉีก็ออกรถทันที

















เอี๊ยด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!













รถแล่นออกมาได้ไม่ไกลนัก ฉีก็เบรกรถกระทันหัน ด้วยมีรถอีกคันขับปาดหน้า
และขวางทางเอาไว้
เหตุการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากล แต่ชายที่มีใบหน้ายิ้มตลอดเวลา
ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น






“ตื่นเต้นจัง”




“ลงไปเล่นกัน”




ชายหน้ายิ้มที่คราวนี้ยิ้มจริง พวกเขาให้วรรณกรรมหลบอยู่ในรถ
และพวกเขาก็เปิดประตูออกไปยืนรอด้านนอก ว่าจะเป็นใครกัน
ที่จะมาเล่นกับพวกเขา






เด็กหนุ่มสี่คน รูปร่างกำยำสมส่วน
มองจากภายนอกอายุอานามน่าจะไม่ห่างจากเจ้าเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนรถตอนนี้





ไม่รอช้า กลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนพุ่งเข้าหาชายหน้ายิ้มทันที
สองตัวประหลาดไม่เคยทิ้งความไว เขาแวบไปมาคล้ายล่องหน
แต่ชายสี่คนก็ยังคงสามาถรับมือได้ คล้ายกับว่าถูกฝึกกันมาอย่างดี
จง ลอบไปด้านหลังชายคนหนึ่งและล็อคแขนทั้งคู่ไว้ด้านหลัง
ฉี ตามมาติดๆ หวังฝังคมมีดไปบนต้นคอ แต่ทว่า กลับช้ากว่าชายอีกสองคน
ที่เข้ามาจับล็อคแขนทั้งสองข้างของเขา




ชายที่ถูกจงจับเมื่อครู่ กระโดดยันฉี ที่เตรียมลงมีด เซถลาไปด้านหลังเล็กน้อย




ด้านคนบนรถที่เห็นเหตุการณ์เริ่มไม่สู้ดี จึงตัดสินใจลงมาช่วงจงกับฉี
แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกชายอีกคนที่เหลือซุ่มอยู่ข้างประตูรถ
จับล็อคคอ ลากไปยังอีกฝั่งของถนน
เมื่อเข้าเขตพงหญ้า วรรณกรรมก็ม้วนตัวให้แขนและคอหลุดจากการจับกุม
และเริ่มใช้แขนเป็นเกราะป้องกันไม้หน้าสาม ที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง
คำพูดของท่านอาจารย์เพ่ยดังขึ้นในหัว
เขาใช้กระบวนท่าเบี่ยงตัวหลบคู่ต่อสู้
คล้ายกับว่าวิชาที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ จะถูกปล่อยออกมาทีละชุด
ชุดละสี่กระบวนท่า
เมื่อครบสี่กระบวนท่า ก็จะกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่กระบวนท่าแรก





วรรณกรรมจับจุดได้คล้ายกับเคยโดนกระบวนท่าเหล่านี้ซ้อมมาหลายครั้ง
และครั้งนี้เขารู้วิธีหลบ





คู่ต่อสู้คล้ายกับรู้ว่าเขาอ่านเกมส์ออก จึงเปลี่ยนมาชักมีดสั้นที่ซ่อนอยู่กระเป๋าหลังขึ้นมา
วาดคมมีดไปในอากาศ ควงเช่นนั้นสักพักจึงเริ่มจ้วงแทง
หวังให้ฝ่ายตรงข้ามหลั่งเลือด โดยไม่ใส่ใจถึงความเป็นความตาย






มีดเฉือนเข้าที่หัวไหล่หนึ่งแผล วรรณกรรมไม่เคยซ้อมรับมีดจริง
แม้จะเริ่มอ่านการแหวกอากาศออก แต่ก็ไม่สามารถหลบได้ทุกครั้ง
เขาถูกของมีคมเฉือนไปตามร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า





สองเท้าถอยหลังไปเรื่อยๆจนเจอขอบถนน
เขายังคงถอยหลบคมมีดต่อไป
ทันใดนั้นเอง ก็มีรถพ่วงคันใหญ่ เปิดไฟสูงพร้อมบีบแตรดังลั่นถนน
พุ่งตรงมาทางเขาและผู้จ้วงแทงเขา














เอี๊ยด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!










ดวงตาทั้งคู่เบิกโพรง และผลุบลง











ตึก ตึก ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…











หัวใจที่เต้นรุนแรงแทบกระเด็นหลุดออกมาจากเบ้า ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่หยุด
เปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้ง





‘ยังไม่ตาย?’





พยายามมองฝ่าความมืดออกไป ก็ได้เห็นแต่เพียงความมืด
เป็นความมืดที่อุ่นและเต้นตุ่บตับคล้ายเสียงเต้นของหัวใจ
เขาค่อยๆมองย้อนขึ้นไปด้านบน และก็ได้พบกับ





ใบหน้าเปื้อนยิ้ม หน้าเดิมที่หลอนกว่าเดิมสิบเท่า
หลอนจนเริ่มขนลุก
วรรณกรรมค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น โดยมีใบหน้าหลอนช่วยพยุง
เมื่อดวงตาเริ่มปรับแสงได้ สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือสีแดง
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งทั่วบริเวณ
ร่างกายเขาและใบหน้าเปื้อนยิ้มอาบไล้ไปด้วยโลหิต
ที่ซึมออกจากบาดแผลของมีคมของเขาเอง





อีกด้าน ชายสองคนช่วยกันพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน
เพียงแต่ฝั่งนั้น ผู้ที่ร่างกายอาบเลือด คือชายที่สู้กับจงและฉีเมื่อครู่





ทั้งสองลุกขึ้นหวังเข้าสู้อย่างดุเดือดอีกครั้ง
แต่ก่อนที่ทุกอย่างกำลังจะดำเนินต่อไป รถยนต์คันหรูก็จอดเข้าข้างทาง
ชายสวมสูทสีดำคนเดิมกับที่จงสนทนาด้วยเมื่อครู่ ณ ซีรี่ส์หนึ่ง ก็เดินลงมา

















“ซือเฉียว ซือเป่า หยุด!!!”

































........................โปรดติดตามตอนต่อไป........................



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด