█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 15 ┨
“กองทัพเอ้ย ไคว้เตี่ยน กายชือจ่ายฟ่านเลอ”
เช้านี้คุณย่าตะโกนจากหน้าห้องบอกให้ผมรีบไปกินข้าวเช้าไวๆ ด้วยภาษาจีน ผมอยากจะลุกขึ้นไปตามเสียงเรียกของคุณย่าแต่ทว่าร่างกายของผมมันไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อน
อาทิตย์ที่ผ่านมาเกิดเรื่องมากมายจนผมตั้งรับไม่ทัน หลังจากที่ส่งเต็มขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ผมก็กลับไปดูงานถ่ายทำโฆษณาบริเวณชายหาด ผมโดนพี่นายต่อว่าเรื่องไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าลูกน้องและทีมงาน แต่ด้วยหน้าที่ผมจึงอดทนหน้าด้านอยู่ต่อ
ขณะทำงานผมได้รับโทรศัพท์จากดักแด้ว่ารถของเต็มเกิดอุบัติเหตุและเต็มได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมทิ้งทุกอย่างแล้วรีบตามไปที่โรงพยาบาล ช่วงเวลาที่เฝ้ารออีกฝ่ายอยู่หน้าห้องฉุกเฉินนั้นยาวนานและทรมานอย่างที่สุด
เต็มเสียเลือดมากและต้องการเลือดโดยด่วน ครอบครัวฉัตรักษ์บริบูรณ์มีกันแค่ 3 คน ออมเองก็ประสบอุบัติเหตุถึงจะไม่ได้สาหัสมากมายแต่สภาพร่างกายไม่พร้อม ในขณะที่ท่านกิตติและคุณหญิงหยดก็ไม่สามารถให้เลือดกับลูกชายได้ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบในเหตุผล เอาเป็นว่าเหลือแค่ผม ดักแด้ พี่ซัน และพี่โบว์ แต่สุดท้ายแล้วเลือดที่สามารถใช้ได้มีเพียงแค่ผมคนเดียว
พวกเราก็ยังคงนั่งรอฟังอาการกันต่ออีกหลายชั่วโมง จนกระทั่งคุณหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับบอกว่าคนเจ็บพ้นขีดอันตราย แต่ก็ไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยม หลังจากนั้นคุณหมอเชิญท่านกิตติและคุณหญิงหยดเข้าไปพูดคุยเรื่องอาการของคนเจ็บต่อ พี่โบว์จะอยู่เฝ้าออมที่โรงพยาบาล ดักแด้โทรบอกให้รถที่บ้านมารับ ส่วนผมกับพี่ซันบ้านเราอยู่ทางเดียวกันและอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่จึงตั้งใจว่าจะเรียกแท็กซี่กลับด้วยกัน
ระหว่างที่กำลังจะแยกย้ายผมก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อของผม และยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวหรือตั้งสติ หมัดหนักแบบเต็มแรงก็ซัดเข้ามาเต็มหน้าจนผมล้มลงไปกองกับพื้น กลิ่นเลือดกบไปทั้งโพรงปาก พี่โบว์ร้องกรี๊ดลั่น ดักแด้พุ่งตัวเข้ามาช่วยประคองผม ส่วนพี่ซันรีบเข้าหาคู่กรณีซึ่งก็คือคุณพ่อของเต็ม ในขณะที่คุณหญิงหยดร้องไห้สะอึกสะอื้นจับแขนห้ามปรามสามีไว้แน่น
ดวงตาที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชนมองผมด้วยโทสะที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ผมมั่นใจว่าท่านกิตติจะต้องปล่อยหมัดใส่ผมซ้ำอีกรอบแน่นอน ผมจึงปาดเลือดที่ริมฝีปากแล้วลุกขึ้นยืนมองหน้าท่านกลับโดยไม่คิดจะหลบสายตา
“เต็มใจเป็นลูกชายของฉัน”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ และมั่นคงทุกคำพูด
“ถ้าแกรักเขาก็อย่าคิดทำร้ายและทำลายเขาอีก”
หากใครได้มาเห็นนัยน์ตาที่แดงก่ำและเอ่อไปด้วยหยาดน้ำแล้วจะหมดความสงสัยในทันทีครับว่าว่าเหตุใดชายชาติทหารผู้เคยเป็นถึงผู้นำกองทัพของประเทศถึงใช้กำลังทำร้ายผมแบบนี้ หมัดที่ท่านปล่อยใส่ผมเมื่อครู่ไม่ใช่การคิดร้าย ข่มขู่ แบบนักเลงโตแต่อย่างใด ทว่ามันเป็นความทรมานที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของคนเป็นพ่อต่างหาก และเหตุผลเดียวที่ท่านโกรธผมขนาดนี้อาจจะเพราะคุณหมอได้รายงานผลการตรวจร่างกายของเต็มให้ท่านฟังโดยละเอียด ซึ่งขณะประสบอุบัติเหตุสภาพของเต็มก็ไม่ได้ต่างจากโดนข่มขืนแม้แต่น้อย ถ้าเป็นจริงอย่างคิดโดนต่อยแค่นี้ก็ยังถือว่าน้อยมากเพราะถ้าหากเป็นผมคงจะทำมากกว่าต่อยและมากกว่ากระทืบด้วยซ้ำ
‘อย่ามาเจอและอย่าติดต่อลูกชายของฉันจนกว่าฉันจะอนุญาต’ นั่นคือประโยคสุดท่ายที่ท่านกิตติทิ้งไว้ให้ผมได้กลุ้มอกกลุ้มใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยิ่งกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในหอพัก ห้องที่ไม่มีสีส้มว่าเงียบแล้วแต่ห้องที่ไม่มีเต็มมันเงียบเหงามากยิ่งกว่า ผมไม่ควรจะปล่อยให้เต็มใจกลับกรุงเทพฯ ก่อน ผมควรจะรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่ออีกสักหน่อยบางทีเรื่องร้ายๆ แบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น
“เฮ้ออ”
ถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ออมเพิ่งมาเรียนเมื่อวานเป็นวันแรกแต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากเพราะดูเหมือนว่าออมจะยังหวาดกลัวเรื่องอุบัติเหตุ ผมอยากจะไปเยี่ยมเต็มที่โรงพยาบาล อยากโทรหา อยากเห็นหน้า แต่ถ้าหากผมยังดื้อแบบไม่ใช้สติโผล่ไปให้ครอบครัวของเต็มเห็นหน้าอีกหรือติดต่ออีกฝ่ายอย่างใจคิด บางทีผมอาจจะต้องสูญเสียคนรักไปอย่างแน่นอน
“ยังโกรธพี่นายกับแม่อยู่รึไง?”
สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงของคุณปู่ ไม่รู้ว่าท่านเข้ามาในห้องและยืนมองผมด้วยสายตาผิดหวังตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง
“พ่อของแกไม่ใช่คนโง่ ปู่กับย่าเลี้ยงมันมาเองกับมือทำไมจะไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นคนยังไง”
คุณปู่เดินไปนั่งตรงโซฟาข้างหน้าต่างแล้วเอ่ยเกี่ยวกับงานที่มีปัญหาจนโดนพี่นายตำหนิและทำให้คุณแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เอาตามตรงผมเองก็เครียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่เท่ากับเรื่องของหัวใจ ผมเลือกที่จะเงียบแล้วเดินไปนั่งบนพื้นเอาหัวซบลงบนเข่าของคุณปู่ ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวของผมด้วยความเอ็นดู
“เด็กคนนี้โตขึ้นจะต้องเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งและกล้าหาญ ตอนท่านกิตติตั้งชื่อให้หลานท่านพูดไว้แบบนี้”
ท่านตบแผ่นหลังของผมหนักๆ ถูกต้องแล้วครับ ชื่อของผมกับพี่นายนั้นท่านกิตติเป็นคนตั้งให้
“เย่า หย่งกั่น.. ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าหัวใจตัวเองหรอก”
ฝ่ามือใหญ่เปลี่ยนจากตบแผ่นหลังมาลูบหัว คุณปู่เน้นย้ำคำภาษาจีนที่แปลว่า ‘ต้องกล้าหาญ’ ราวกับเป็นคำอวยพรให้ผมชนะต่อทุกสิ่ง
“ไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปกินข้าว อย่าให้พ่อเขารอ”
"คุณพ่อมาเหรอครับ?"
“อืม รีบๆ เข้าล่ะ อย่าให้ย่าแกบ่นมากกว่านี้.. เถ่าเยี่ยน”
คุณปู่โบกมือไปมาประกอบคำว่า
‘น่ารำคาญ’ เป็นภาษาจีน ผมจึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วตามคุณปู่ออกไปที่ห้องอาหาร
ผมยกมือไหว้คุณพ่อ ปกติถ้าคุณพ่อว่างก็มักจะมาทานข้าวเช้าหรือไม่ก็มื้อเย็นกับคุณปู่คุณย่าเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง บางทีพี่นายก็แวะมาด้วย ยกเว้นคุณแม่ไม่เคยเหยียบมาที่นี่เลย เท่าที่ผมจำความได้อะนะ
อาหารมื้อเช้าที่คุณย่าลงมือทำในวันนี้เป็นเมนูของโปรดผมเลยล่ะ คุณย่าคงจะเห็นว่าช่วงนี้ผมทานอะไรไม่ค่อยลงจึงพยายามทำอาหารที่ผมชอบ แม้พวกเราจะมีเชื้อสายจีนแต่ก็ชอบความเป็นไทยอย่างที่สุด ซึ่งดูได้จากบ้านทรงไทยหลังนี้นี่แหละครับ
“เป็นไงเรา ได้ข่าวไปก่อเรื่องไว้เหรอ? แม่เขาตามไปฟ้องพ่อถึงที่บริษัทเลยนะ”
ระหว่างมื้ออาหารคุณพ่อก็พูดเรื่องเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วขึ้นมา แต่ท่านพูดเหมือนติดตลกมีหัวเราะขำเบาๆ ตอนท้ายด้วย
“ผมขอโทษครับคุณพ่อ”
“ขอโทษที่ไม่ระวังตัวจนพ่อเกือบเสียสมดุลให้ต่างชาติใช่มั๊ย?”
เรื่องนี้ไม่ตลกสักนิดครับ และในความทรงจำของผมมีเพียงเต็มใจ เต็มใจ และเต็มใจ เต็มจนล้นหัวใจไปหมด คิดถึงแทบจะทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ และดูเหมือนว่าคุณพ่อจะจับความรู้สึกของผมได้ท่านจึงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ
“เมื่อวานพ่อไปเยี่ยมน้องเต็มที่โรงพยาบาล น้องเต็มอาการดีขึ้นก็จริงแต่ก็คงต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกหลายวัน อ่อ.. น้องเต็มถามถึงลูกด้วยนะ”
หูของผมผึ่งและหัวใจที่แห้งเหี่ยวกลับมาเต้นรัวเร็วให้อารมณ์และความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ผมมองคุณพ่ออย่างคาดหวัง ท่านอมยิ้มแล้วเหลือบสายตาไปมองคุณปู่คุณย่าเล็กน้อย
“น้องเต็มถามว่า...
‘กองทัพตายไปแล้วเหรอครับคุณอาดิษฐ์?’ ถามต่อหน้าคุณหญิงหยดเลยล่ะ”
เหมือนมีใครเอามีดมาจ้วงในอกด้านซ้ายดัง
‘ฉึก’ เจ็บฉิบหาย... แต่ทำไมคุณพ่อและคุณปู่คุณย่าพากันหัวเราะร่วนราวกับฟังเรื่องตลกแบบนั้นล่ะครับ??
“ก่อนจะกลับ พ่อก็เลยถือโอกาสคุยกับคุณหญิงเรื่องของลูกกับน้องเต็มเสียเลย พูดตามตรงพ่อก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่หรอกนะเกี่ยวกับความรักแบบนี้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อลูกมั่นใจว่ารักจริงแล้วเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว พ่อเลยพูดทาบทามเอาไว้ก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างพ่อก็รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูน้องเต็มมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ”
ที่ผมเงียบไม่ใช่กำลังดื่มด่ำกับอาหารอยู่หรอกนะครับ แต่เงียบเพราะกำลังอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยคิดและรู้มาก่อนเลยว่าคุณพ่อที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นงานนั้นจะรับรู้ปัญหาและเข้าใจผมถึงเพียงนี้ ราวกับว่าในจุดที่ผมมองไม่เห็นนั้นท่านได้คอยมองผมอยู่ตลอดเวลา
“แล้วคุณหญิงท่านว่ายังไงบ้างล่ะลูก?”
คุณย่าถามด้วยความใคร่รู้
“ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ คุณหญิงท่านรักน้องเต็มมากแม้ว่าจะยังไม่ยอมรับแต่ก็คงจะให้น้องเต็มเป็นคนตัดสินใจ แต่ปัญหาอยู่ที่ท่านกิตติมากกว่า ด่านนี้ยากหน่อยคงต้องให้คุณพ่อกับคุณแม่ช่วยออกหน้าแทนหลานด้วย”
ผมเปลี่ยนสายตาไปมองคุณปู่แทนครับ ท่านพยักหน้าน้อยๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“ท่านกิตติท่านเป็นชายชาติทหาร ชอบอะไรตรงไปตรงมา รักก็คือรัก ไม่ใช่ลักลอบ การที่เราเดินไปหาท่านและแสดงให้ท่านเห็นถึงความจริงใจนี่แหละดีที่สุด.. ปู่เองก็เห็นด้วย”
บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นยังไงไม่มีใครรู้แต่ที่ผมรู้ก็คือ....
“ขอบคุณนะครับคุณปู่ คุณย่า.. คุณพ่อ”
ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นกราบลงบนหน้าขาของผู้ที่เป็นแสงสว่างที่ส่องทางออกให้ผมทีละคน คุณปู่หัวเราะชอบใจแล้วบอกให้ผมกินข้าวเยอะๆ จะได้มีแรงไปหาแฟนเพราะช่วงบ่ายคุณปู่กับคุณย่าจะไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาล ผมรู้แล้วล่ะครับว่าอาการดีใจจนเนื้อเต้นมันเป็นยังไง และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่และต้องการความเข้าใจจากพวกท่านเหมือนอย่างวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละครับ
.
.
.
.
ตลอดช่วงเช้าจนถึงเที่ยงผมขลุกอยู่แต่ในครัวเพื่อจะทำเมนูเพื่อสุขภาพไปให้อีกฝ่ายที่โรงพยาบาล พวกคุณไม่รู้กันใช่มั๊ยว่าผมเก่งเรื่องการทำอาหารด้วยนะครับ ครบสูตรความเพอร์เฟคเลยใช่มั๊ยล่ะ? เรื่องอาหารเนี่ยผมได้ครูดีอย่างคุณย่าล้วนๆ ครับ ท่านเลี้ยงผมมาเองกับมือ เวลาเข้าครัวทีไรก็หนีบเอาผมเข้ามาด้วย มันจึงซึมซับมาตั้งแต่เด็ก แต่นานทีปีหนผมจะลงมือทำอาหารเองส่วนใหญ่จะเน้นช่วงโอกาสพิเศษเท่านั้น
ผมตั้งใจจะทำซุปสี่กษัตริย์ หลังจากสำรวจวัตถุดิบในครัวหลวงของไทเฮาจูแล้วก็พบว่ามีครบครันและเหลือเฟือ ดังนั้นก็ลงมือได้ ส่วนประกอบที่สำคัญของซุปสี่กษัตริย์สูตรนายกองทัพก็คือหอยเป๋าฮื๊อ ตังก๋วย กระเพาะปลาสด และผักขมห่อกุ้ง ซึ่งผมใช้ผักขมแทนแผ่นแป้งห่อกับเนื้อกุ้งจะได้เป็นเกี๊ยวหยกเพื่อสุขภาพ ส่วนตัวน้ำซุปนั้นผมปรุงให้มีรสชาติอ่อนๆ เบาๆ แต่เน้นหอมกลมกล่อม และที่เติมไม่ยั้งก็คือความตั้งใจและความรักนี่แหละครับ
เอาละ อาหารพร้อม คุณปู่คุณย่าก็พร้อม ผมเองแม้จะตื่นเต้นจนเหงื่อแตกพลั่กแต่ก็โคตรพร้อม เพราะฉะนั้นออกเดินทางได้ครับ
ถึงจุดหมายตอนบ่าย 2 โมงเศษ ผมสวนทางกับพี่ซันและพี่โบว์ที่กำลังจะกลับตรงล็อบบี้ของโรงพยาบาลพอดี เราหยุดทักทายกันเล็กน้อยครับ พี่ซันเป็นคนพูดน้อยแต่ผมรู้ว่าพี่ซันเป็นคนดีมากๆ รุ่นพี่ตบไหล่ให้กำลังผม ส่วนพี่โบว์นั้นไม่ต้องพูดเลยครับรายนี้เข้าใจ รู้ใจ และเดาใจผมถูกแทบจะทุกอย่าง บางทีผมก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าพี่โบว์เชี่ยวชาญด้านโหราหรือไสยศาสตร์อะไรทำนองนี้รึเปล่า??
ห้องพักผู้ป่วยของคนที่จะมาเยี่ยมอยู่ชั้น 8 ห้องที่ 8 ออมเป็นคนเดินมาเปิดประตู ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยที่เห็นผมแต่แค่แว่บเดียวเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นอมยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมชักจะเสียวสันหลังวูบวาบขึ้นมาทันที
ภายในห้องพักผู้ป่วยตกแต่งและหรูหราจัดแบ่งโซนของระหว่างเตียงคนไข้และคนเฝ้าไข้ มีเคาท์เตอร์ครัวเล็กๆ และชุดโซฟาไว้รับรองคนที่มาเยี่ยม วันนี้คนที่เฝ้าไข้เป็นออม คุณแม่ปอ และคุณอาขวัญครับ พวกท่านดีใจมากที่ได้เจอคุณปู่คุณย่าของผม โดยเฉพาะคุณอาขวัญที่แทบจะก้มลงกราบเท้าแต่โดนคุณปู่ห้ามเอาไว้เสียก่อน และเมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอคุณอาขวัญก็เชิญคุณปู่คุณย่าไปที่เตียงคนไข้ซึ่งมีผนังกั้นเอาไว้ ซึ่งทันทีที่ผมได้เห็นคนบนเตียงนอกจากความรู้สึกของความห่วงหา คิดถึง ก็มาพร้อมกับคิ้วของผมก็กระตุกแบบฉับพลัน
“ไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอกลูก.. ลุงกับป้าแค่จะมาเยี่ยม”
คนเจ็บพยายามจะลุกขึ้นนั่งและยกมือไหว้คุณปู่คุณย่าของผม แต่ติดที่แขนและขาก็เข้าเฝือกหนา แขนที่เหลืออีกข้างก็มีสายน้ำเกลือ บนหัวมีผ้าก๊อตพันเต็มไปหมด ใบหน้ายังคงซีดเซียว ไม่ได้เจอกันแค่อาทิตย์เดียวอีกฝ่ายผอมลงไปมากจนน่าตกใจ ออมเคยบอกว่าอาการภายนอกดีขึ้นเยอะก็จริงแต่ก็ยังมีอาการปวดหัวและเจ็บแน่นตรงหน้าอก บางครั้งก็หายใจติดขัด เพราะเหตุนี้คุณหมอจึงต้องให้อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะ
ผมยืนมองคุณปู่คุณย่าถามไถ่อาการคนเจ็บด้วยความห่วงใยอยู่ครู่ใหญ่ คุณอาขวัญกับแม่ปอก็เชิญคุณปู่คุณย่าไปนั่งคุยกันต่อที่ร้านคาเฟ่ตรงชั้นล่างของโรงพยาบาล และเมื่อพวกผู้ใหญ่ออกจากห้องไปหมดแล้วผมจึงเดินกลับมานั่งที่โซฟา
“จะมาหึงทำพ่องอะไรตอนนี้?”
เพื่อนสาวใช้แขนที่ไม่เข้าเฝือกเท้าสะเอวมองผม ก็จะไม่ให้หึงและน้อยใจได้ยังไงละครับ ภาพแรกที่ผมเห็นก็คืออีกฝ่ายนอนดูทีวีอยู่บนเตียงโดยที่ข้างๆ มีใครบางคนที่ผมไม่คุ้นหน้าและไม่เคยรู้จักมาก่อนนอนเบียดอยู่ข้างกัน พอคุณปู่คุณย่าของผมเข้าไปผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ลงจากเตียง ซึ่งตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนนี้คนๆ นั้นก็ยังคงประคบประหงมเอาอกเอาใจกันไม่ห่าง ในขณะที่ผม... แค่จะปลายตามามองบ้างยังไม่มี
“เฮ้.. นี่เอามาให้อาเต็มรึเปล่า?”
ออมชี้ไปที่กล่องใส่อาหารแบบเก็บความร้อนโชว์ให้ผมดู ผมพยักหน้าตอบว่า ‘ใช่’
“อะไรเหรอ?”
“ซุปสี่กษัตริย์”
“ทำเอง?”
“อืม”
“เฮ้ย! แล้วทำไมไม่เอาไปให้อาเต็มเล่า? ในตู้นั่นมีถ้วยชามช้อนครบชุดเลยนะ”
พูดจบออมก็เดินไปเปิดตู้เล็กๆ ให้ผมดู ซึ่งมีของใช้ตามที่ออมบอกครบถ้วนครับ ออมมองหน้าผมแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหยิบถ้วยช้อนในตู้ออกมา ทำเอาผมต้องรีบเข้าไปช่วยเพราะกลัวเพื่อนรักจะเทกระจาด และก็เข้าทางออมครับ เจ้าตัวออกคำสั่งให้ผมเทซุปลงถ้วยเสร็จสรรพด้วยเลย
“โคตรหอมและน่ากินเลยอะ อาเต็มต้องชอบแน่ๆ นี่ที่บ้านก็เครียดอยู่เพราะอาเต็มกินอะไรไม่ค่อยได้ ถ้านายทำให้อาเต็มกินซุปหมดนี่คุณย่าคงจะใจอ่อนลงไปกว่าเดิมอีกเยอะเลยนะเนี่ย”
ถาดอาหารถูกเลื่อนมาตรงหน้า แต่ทว่าเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังอยู่ในตอนนี้ทำให้อยากจะลุกหนีไปเสียไกลๆ
“นั่งบื้ออยู่ทำไม? ยกไปให้อาเต็มสิ”
ดวงตากลมโตมองจ้องผมอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ออมรู้ว่าผมค่อนข้างจะเป็นคนอ่อนไหวในเรื่องแบบนี้และตอนนี้ผมกำลังรู้สึกยังไง แต่ออมก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเยียดถาดอาหารใส่มือแล้วตะคอกเสียงดัง
“รับไป!”
เพื่อนหรือแม่ครับเนี่ย ดุจริงๆ ออมส่งยิ้มให้ผมพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตรงหางตาให้ อ่า.. ผมร้องไห้เหรอเนี่ย??
“หน้าด้านเข้าไว้”
แผ่นหลังของผมโดนผลักให้เดินไปด้านหน้า และทันทีที่ผมปรากฎตัวขึ้นใบหน้าของคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ระบายรอยยิ้ม ฝ่ายนั้นยืดตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงคนไข้แล้วมองมาที่ผมครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาจากผมแล้วหันกลับไปถามคนเจ็บที่นอนดูทีวีนิ่งๆ อยู่บนเตียงด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงดีเยี่ยมว่า
‘ผมคือใคร?’“ฮูอิซฮี?”
คำตอบก็คือความนิ่งเงียบไม่มีแม้แต่จะหันมามองกันสักนิด ผมอยากจะตอบแทนว่า
‘ผัว’ ก็จุกในอกซะเหลือเกิน เสียงออมกระซิบเป็นทัพหลังบอกว่า
‘เดินเข้าไปเลย หน้าด้านๆ’ ผมจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนออกเพื่อเรียกพลัง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปวางถาดซุปลงบนโต๊ะรถเข็น ปรับระดับให้พอดีแล้วเลื่อนให้คร่อมเตียงคนเจ็บ แค่เอาหมอนวางดันหลังคนบนเตียงไว้ก็จะพอดีกับโต๊ะ
“ทำซุปมาให้.. ลองกินดูสิ”
อารมณ์ในตอนนี้มันทำให้คิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ
“ว้าว.. อิทลุคส์ยัมมี่”
คนที่ตื่นเต้นและพูดว่า
‘มันน่าอร่อยจังเลย’ เป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ก็คงมีแค่คนเดียวแหละครับ หนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของผม นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในโรงพยาบาลผมคงได้กระชากใบหน้ากวนๆ คล้ายแพนด้านั่นมาต่อยสักหมัดแล้วตะโกนใส่หน้าว่า
‘เสือก!’ แต่ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจเท่านั้น
หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง มองไอ้คนชอบเสือกพล่ามไม่หยุดแถมยังเสนอหน้าป้อนซุปที่ผมทำมาเองกับมือให้คนเจ็บคำแล้วคำเล่า ผมถอนหายใจหนักๆ หนีสายตาจากภาพตรงหน้าไปมองหน้าจอทีวีแทน แค่เห็นน้องหมาวิ่งไปมาผมก็รู้แล้วว่ามันคือหนังเรื่องอะไร ครั้งหนึ่งดักแด้เคยชวนผมกับออมไปดูหนังเรื่องนี้แต่ผมก็เลือกที่จะไปดักรอใครอีกคนแทน
ภาพในจอคงเพิ่งจะดำเนินเรื่องมาได้แค่ไม่นาน เป็นเรื่องของวิญญาณของสุนัขตัวหนึ่งจุติความรู้สึกขึ้นและค้นพบว่า เมื่อมันตายจากร่างหนึ่งมันจะเกิดใหม่ในร่างใหม่แต่ความรู้สึกและความทรงจำยังคงเหมือนเดิม มันเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต การเกิด การอยู่และการสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ จนกระทั่งมันไปเกิดในร่างของหมาพันธุ์ โกลเด้น ชื่อว่า เบลีย์ สัตว์เลี้ยงคู่ใจของเด็กชายชื่อว่า อีธาน ทั้งสองเติบโตและผ่านปัญหามาด้วยกัน จนกระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตหมาของเบลีย์ หลังจากมันตาย มันเกิดใหม่อีกครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มันจะลืมอีธาน และเป้าหมายของมันคือ การกลับมาได้พบกับอีธานอีกครั้ง ดูหนังจบแล้วย้อนกลับมาดูตัวเอง.. แล้วผมล่ะ? สีส้มจะตามหาผมและเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งรึเปล่า?
มัวแต่นั่งดูหนังเพลินไปหน่อย หันกลับมาอีกครั้งคนบนเตียงก็หลับไปแล้ว แถมยังนอนตะแคงหันหลังให้ผมอีก แต่นั่นก็ไม่สำคัญไปกว่าผู้ชายแปลกหน้าคนเดิมบังอาจมาลูบศีรษะเมียผมด้วยท่าทางอย่างอ่อนโยน ฝ่ายนั้นยิ้มให้ผมจะเรียกว่ายิ้มเยาะก็ได้นะครับ แต่ผมก็ยังหน้าด้านหน้าทนและหน้านิ่งต่อไป
ผ่านไปหลายสิบนาทีผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ออมเดินมาบอกผมว่าจะลงไปหาอะไรกินกับพวกผู้ใหญ่ที่ด้านล่างของโรงพยาบาล เธอจึงฝากอาเต็มของเธอไว้กับผม
“ไม่จำเป็นมั้งออม.. อาเต็มของออมมีคนดูแลดีอยู่แล้วนี่นา”
“นายกับพี่โอบมันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า?”
คำตอบของออมทำให้ผมยิ่งอ่อนอกอ่อนใจ แต่ชื่อโอบนี่มันคุ้นๆ อยู่นะ เคยได้ยินที่ไหนหว่า? แต่ช่างเถอะครับ ผมไม่ได้สนใจไอ้หมอนั่นอยู่แล้ว
ออกมาจากห้องน้ำก็ไม่มีใครอยู่แล้วครับนอกจากคนเจ็บที่นอนหลับอยู่บนเตียง ผมกวาดสายตามองหาไอ้ตัวเสือกก็ไม่เจอ แต่ก็ช่างเถอะครับ ไม่อยู่หน่ะดีแล้ว ผมนั่งลงที่เดิมแล้วมองออกไปนอกบานหน้าต่างที่แง้มผ้าม่านเอาไว้เล็กน้อย แสงแดดยามบ่ายยังร้อนแรงเหมือนตอนเที่ยงไม่มีผิด อากาศร้อนๆ แบบนี้สีส้มมักจะนอนอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ด้วยท่าทางที่สบายอบนเบาะอันโปรด..
ครืดๆ
ล้วงหยิบไอโฟนที่สั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความจากคุณปู่ ข้อความสั้นๆ ระบุว่า ‘
คืนนี้อยู่เฝ้าน้องเต็มด้วย’ นี่คุณปู่คุณย่าไปทำสัญญาอะไรกับผู้ใหญ่บ้านโน้นครับเนี่ยเขาถึงได้ปล่อยไข่ในหินให้อยู่กับผมแค่สองคน แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ผมก็ต้องทำตามจริงมั๊ยละครับ
ปิดข้อความ แล้วนั่งไล่ดูรูปตั้งแต่เจอสีส้มวันแรก เจ้าแมวตัวเล็กผอมกะหร่องมอมแมมหวาดกลัวต่อทุกสิ่งค่อยๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนกลายเป็นแมวอ้วนจ้ำม่ำขนฟูสุขภาพดี.. ยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึง ผมจึงเก็บไอโฟนกลับเข้าที่เดิมแล้วฟุบหน้าลงบนเตียง ไม่นานนักก็เผลอหลับไป ผมฝันว่ามีสัมผัสนุ่มนิ่มแตะตรงแก้มและมันก็ทำให้ผมนึกถึงสีส้ม ทุกเช้ามันจะมาเลียผมตรงแก้มเพื่อปลุกผมให้ตื่น
“สีส้ม?..”
สะดุ้งตื่นแล้วรีบมองหาเจ้าแมวอ้วน แต่พบเพียงความว่างเปล่า.. ผมมองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มราวกับจะบอกให้ผมรู้ว่าสีส้มมองผมอยู่จากบนนั้น ผมใช้มือขยี้หน้าตาตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ และเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็ได้รู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองผมอยู่ แถมตรงหน้าก็มีชุดอาหารสำหรับมื้อเย็นพร้อมยาที่คุณพยาบาลคงจะเข็นเข้ามาวางไว้ให้ตอนที่ผมหลับไป
“สีส้มทำไม?”
เป็นคำถามที่รู้คำตอบแต่กลับไม่อยากจะเอ่ยมันออกมา ผมเบี่ยงสายตาไปมองผืนฟ้ายามเย็นที่ถูกฉาบไปด้วยสีส้มอีกครั้ง
“อยู่ตรงนั้นไง..”
อีกฝ่ายเบนสายตาตามผม เราเงียบไปด้วยกันทั้งคู่ เงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินบอกเวลาอย่างชัดเจนและนานเสียจนแสงสีส้มเริ่มจางหายและถูกแทนที่ด้วยสีของรัตติกาล
“สีส้มคงกำลังหลงทางอยู่”
ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงแหบพร่า
“ถ้าหมั่นเรียกหาสีส้มบ่อยๆ สีส้มก็จะคงจะหาทางกลับบ้านได้”
เสี้ยวหน้าของคนพูดดูสงบและหดหู่เสียจนความเศร้าที่อยู่ในหัวใจของผมแทบจะเอ่อทะลักล้นออกมา ทว่าไม่นานใบหน้าซีดเซียวหันมามองหน้าผม และมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นให้
“สีส้มรักทาสของมันจะตายไป ยังไงก็ต้องหาทางกลับมาหาทาสของมันเจอ”
มันเป็นคำพูดปลอบใจที่ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งที่กำลังเศร้า ผมพูดว่า
‘นั่นสินะ’ ใครจะไปรู้ว่าบางทีสีส้มมันอาจจะเหมือนน้องหมาในหนังที่ดูในวันนี้ก็ได้
V
V
V
V
V
V
มีต่อด้านล่างอีกนิดนึงนะคะ