█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 9 ┨
ช่างเป็นเช้าที่สดใสที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้..
แม้เซ็กส์ครั้งแรกของเราจะยังไม่ถึงขั้นสุดแต่ความรู้สึกของผมราวกับว่าได้ขึ้นสวรรค์ เราทำออรัลเซ็กส์บนเตียงไปหนึ่งรอบแล้วต่อในห้องน้ำอีกรอบ
กลิ่นคาวเฉพาะตัวคลุ้งอยู่ในปาก ผมกลืนมันไปทั้งหมดโดยไม่คิดรังเกียจ ส่วนปลายสีแดงจัดหลั่งน้ำขาวขุ่น ผมดูดมันเหมือนดูดน้ำหวานแสนอร่อย โอบกอดร่างอ่อนระทวยไว้ในอ้อมแขนก่อนจะขยับสะโพกของตัวเข้ากับโคนขาอ่อน แค่ท่อนเนื้อของผมได้สัมผัสเสียดสีกับผิวกายเรียบลื่นก็ทำเอาแทบคลั่ง มือบางกอบกุมแท่งเนื้อของผมไว้แล้วขยับรูดรั้งอย่างชำนาญ ริมฝีปากของเราไม่ห่างจากกันเกินวินาที ต่อให้มีเวลาแค่ 15 นาที ผมก็คิดว่ามันคุ้มเกินจะคุ้มแล้วล่ะครับ
ย้อนกลับไปตั้งแต่ที่ผมได้เจอรูมเมทที่ชื่อเต็มใจ ผมก็ได้รู้จักกับความรู้สึกที่เหมือนมีดอกไม้ผลิแย้มอยู่ในหัวใจมันทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองเป็นเกย์รึเปล่า และหลังจากทบทวนความรู้สึกอยู่นานพอสมควรด้วยการดูหนังผู้ใหญ่ทั้งแบบชายหญิงและชายรักชาย และปรากฏว่าเมื่อผมดูรักร่วมเพศเดียวกันทุกครั้ง ผมจะจินตนาการว่าได้ครอบครองร่างบอบบางเอาไว้ ริมฝีปากสีสวยเรียกเชื่อผมว่า
‘เทมป์’ ด้วยน้ำเสียงสั่นระริก คุณไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหนที่ได้อยู่ห้องเดียวกับคนที่ทำให้หัวใจและร่างกายปั่นป่วนชนิดที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มได้ขนาดนี้มาก่อน
“นั่งยิ้มเหม่อแบบนี้แสดงว่าเมื่อคืน..?”
ออมหรี่ตาจ้องหน้าผมอย่างจับผิด ผมทำเพียงแค่ยักคิ้วให้เท่านั้นครับ
“แต่... เดาได้เลยว่าแค่ออรัล”
ไม่ต้องตกใจครับว่าทำไมออมถึงพูดแบบนี้ได้หน้าตาเฉย ออมบอกว่าที่อังกฤษสอนเรื่องเพศศึกษาตั้งแต่ระดับประถม การพูดคุยปรึกษาเรื่องเพศกับผู้ปกครองถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าออมจะไปพูดเรื่องแบบนี้กับทุกคนหรอกนะครับเพราะเราเป็นเพื่อนรักและเพื่อนสนิทกันออมถึงได้กล้าพูดต่างหาก
“อาเต็มหน่ะ เห็นนิ่งๆ ไม่ค่อยสนใจใครแบบนั้นเอาเข้าจริงประสบการณ์กับสาวๆ เพียบนะจ๊ะ”
“หมายความว่าไง?”
“อาเต็มเสน่ห์แรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ”
แค่ประโยคเดียวจากออมทำให้คิ้วของผมกระตุกและภายในใจก็เกิดเป็นหลุมเล็กๆ
ถ้าพูดกันตามความจริงมันก็ไม่แปลกหรอกที่ฝ่ายนั้นจะมีสาวๆ รุมล้อม แม้จะเป็นผู้ชายตัวเล็กแต่ทว่าเสน่ห์ล้นเหลือ ขนาดที่ทำให้ผู้ชายแท้ๆ อย่างผมเปลี่ยนใจมาเป็นเกย์ได้ คุณคิดว่าเต็มใจมีพลังทำลายล้างจิตใจให้ผู้คนหวั่นไหวมากแค่ไหนกันครับ เวลานิ่งก็เหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์เย่อหยิ่งและถือตัว เวลายิ้มก็เหมือนเด็กน้อยที่ทำให้โลกทั้งโลกสดใส เวลาโกรธไม่พอใจก็ดูน่ากลัวเสียจนขนลุก และเวลาที่ดวงตาคู่เรียวจ้องมองและยามที่ใบหน้าสมบูรณ์แบบระบายรอยยิ้มตรงมุมปากเพียงน้อยนิดก็สามารถทำให้หลายต่อหลายคนยอมคลานลงไปสยบแทบเท้าได้เหมือนกัน
แล้วผมล่ะ? ชีวิตเกี่ยวกับความรักที่ผ่านมาของผมเป็นยังไงบ้างนะเหรอ เห็นผมหล่อๆ แบบนี้ ถ้าไม่นับแฟนตอนอนุบาลกับประถม ผมก็ไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนเท่ากับออมมาก่อน หรือจะพูดได้ว่าออมเป็นผู้หญิงคนแรกของผมและเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมให้เกียรติเธอมากกว่าใครๆ แต่คนที่ผมจะมอบความรักให้ผมมั่นใจว่ามีแค่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เต็มใจ ต่อให้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนผมก็ไม่เอาทั้งนั้นครับ
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก.. คนอย่างอาเต็มป้องกันตัวเองอย่างดีไม่มีพลาด”
เพื่อนสาวตบไหล่ให้กำลังใจ แล้วเราก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ออมจะเรียกชื่อของผมเบาๆ
“กองทัพ”
“อืม”
“อย่าลืมที่สัญญากันไว้ล่ะ.. ห้ามทำให้อาเต็มเสียใจเด็ดขาด”
ผมพยักหน้าอย่างมั่นใจ ผมจะไม่มีวันทำให้คนที่ผมรักต้องร้องไห้หรือเสียใจเพราะผมเด็ดขาด ยกเว้นเสียว่าคนรักของผมนั่นแหละจะเป็นคนทำร้ายผมเอง เห็นผมดูร่าเริงแบบนี้แต่ผมจริงจังในความรักมากนะครับ อ่อนไหวง่ายมากโดยเฉพาะเรื่องหัวใจ เรื่องในอดีตของอีกฝ่ายผมจะพยายามไม่เอามาคิด ขอแค่ให้ผมเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นก็พอ..
.
.
.
.
คงอีกพักใหญ่ที่อีกฝ่ายจะกลับมานอนที่หอพัก ทุกวันผมจึงมักจะชวนออมไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารคณะแพทย์ วันไหนพักไม่ตรงกันก็ขอให้เห็นป้ายชื่อคณะก็ยังดี แต่อย่างน้อยผมก็ดีใจนะที่เจ้าตัวตอบไลน์และรับสายทุกครั้งที่ผมโทรหา แค่นี้ผมก็รู้สึกดีมากแล้วครับ
วันนี้วันเสาร์ซึ่งบ้านออมมีงานปาร์ตี้ ซึ่งแน่นอนว่าผมกับดักแด้ต้องได้รับคำเชิญ แต่ทั้งที่เมื่อก่อนผมเคยไปรับส่งออมที่บ้านออกจะบ่อย ทว่าตอนนี้ผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองมาตลอดอย่างผมกลับรู้สึกโคตรจะตื่นเต้นแบบสุดๆ ไปเลยครับ
“หลานย่าแต่งตัวหล่อเชียว จะหนีย่าไปเที่ยวไหนล่ะวันนี้?”
“ไปงานปาร์ตี้บ้านออมครับ”
“อั๊ยหยา..”
ดวงตาหยีเล็กหรี่ลงมองผมพร้อมกับอมยิ้ม
คุณย่าของผมท่านเป็นคนอารมณ์ดีครับแต่ก็เข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีแบบจีนอยู่บ้าง จะมีอยู่ 2 เรื่องเท่านั้นที่คุณปู่และคุณย่าของผมไม่เคยปิดกั้น นั่นคือเรื่องเรียน และเรื่องความรัก ผมสนิทกับคุณปู่และคุณย่ามากกว่าสนิทกับคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายเสียอีก อาจจะเพราะคุณพ่อทำงานหนักและพี่ชายของผมต้องไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่เด็กดังนั้นคุณแม่จึงตามไปอยู่ดูแลพี่นายด้วยตัวเอง ผมจึงกลายเป็นหลานรักของคุณปู่คุณย่าไปโดยปริยาย แต่ช่วงเรียนมัธยมคุณพ่อขอให้ผมกลับไปอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ จนเมื่อ 4 ปีก่อนพี่นายเรียนจบและกลับมาเมืองไทย ผมจึงได้ย้ายสำมะโนครัวกลับมาที่บ้านเจ้าสัวยางกับคุณนายจูอีกครั้งและดูท่าว่าผมคงจะได้อยู่ที่นี่แบบถาวร
“ทางบ้านของท่านกับคุณหญิงยังไม่รู้เรื่องของหลานกับคุณเต็มใช่มั๊ย?”
“น่าจะยังนะครับ”
ใบหน้าที่มีริ้วรอยร่วงโรยไปตามวัยตึงเครียดขึ้นนิดหน่อย
“กองทัพ.. ปู่กับย่าไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะหากลูกจะรักจะชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ลูกต้องรู้ด้วยนะว่าคุณเต็มหน่ะท่านกับคุณหญิงหวงและห่วงมากแค่ไหน แก้วตาดวงใจของบ้านเลยเชียวล่ะ”
สิ่งที่คุณปู่และคุณย่ากังวลก็คือความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวครับ
“ผมเข้าใจครับคุณย่า”
เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างและก็พร้อมที่จะรับปัญหาต่างๆ มากมายที่จะเกิดขึ้นด้วย ต่อให้ในยุคปัจจุบันผู้คนยอมรับและเปิดเผยเรื่องรักร่วมเพศกันมากขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะทำมันให้ดีที่สุด
“เออ.. ย่าเกือบลืมเลย พอดีเมื่อวานให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดห้องเก็บของแล้วยายเจอนี่.. หลานลองดูสิ”
จู่ๆ คุณย่าก็เปลี่ยนเรื่องคุย จากนั้นก็ล้วงหยิบรูปใบหนึ่งที่คั่นไว้ตรงหน้าหนังสือนิตยสารให้ผมดู ซึ่งแม้สีภาพจะเก่าแต่รูปของผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งผมซอยสั้นตามแบบนำสมัยแฟชั่นในยุคนั้นยังฉายแววดวงหน้าสดใส องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าดูเหมาะเจาะลงตัวเป็นความน่ารักที่กาลเวลาไม่อาจทำลายลงไปได้
“นี่คือคุณ
‘รดา’ ใช่มั๊ยครับ?”
“ใช่จ่ะ”
‘รดา’ เป็นลูกสะใภ้คนแรกและเป็นสะใภ้คนโปรดของคุณปู่และคุณย่าหรือจะพูดง่ายๆ ก็คือเป็นภรรยาคนแรกของคุณพ่อ
อ่า.. ถูกต้องแล้วครับ คุณพ่อของผมท่านเคยผ่านการแต่งงานมาก่อนจะเจอกับคุณแม่ ผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของเธอมากเท่าไหร่เพราะการรู้เรื่องของเธอก็เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจคุณแม่ของผมเอง แต่คุณย่าเคยเล่าให้ฟังว่าคุณรดาเป็นผู้หญิงตัวเล็กและสวยอ่อนหวาน อีกทั้งยังเก่งงานบ้านงานเรือนและงานธุรกิจ คุณปู่คุณย่ารักและเอ็นดูเธอมากแต่แล้ววันหนึ่งเธอก็หายตัวไป ด้วยความรักที่คุณพ่อมีให้กับคุณรดาทำให้ในตอนนั้นท่านถึงกับเสียใจมากจนต้องเข้ารับการรักษาบำบัดจิตใจกันเลยทีเดียว และคุณปู่ก็ตั้งค่ารางวัลให้คนที่รู้เบาะแสและคนที่ตามหาตัวเธอเจอไว้สูงมาก แต่ผ่านไปจากวันเป็นเดือน เดือนเป็นปีและหลายปีเข้าก็ไร้วี่แววไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณรดาจึงกลายเป็นบุคคลหายสาบสูญ และคุณพ่อก็ได้แต่งงานใหม่กับคุณแม่ของผม
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ถ้าหากไม่มีอะไรคุณย่าไม่เอารูปเสี้ยนหนามหัวใจของคุณแม่มาให้ผมดูหรอกครับ
“ดูดีๆ อีกครั้งสิ.. คุ้นๆ เหมือนใครรึเปล่า?”
เลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ทำตามคุณย่าด้วยการมองภาพนั้นอีกครั้ง รูปร่าง โครงหน้า ดวงตา จมูก และรอยยิ้มแบบนี้.. มันคล้าย...
“เต็ม.. เต็มใจ?”
“เหมือนใช่มั๊ยล่ะ? ตอนเด็กๆ ยังดูไม่ออก แต่พอโตขึ้นมาย่าก็ว่าคลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครบางคนแต่ก็นึกไม่ออก แต่พอได้เห็นรูปนี้ของรดาเท่านั้นแหละ.. ยังกับถอดแบบกันมาเลย”
“คุณย่าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ?”
“บางทีรดาอาจจะมาเกิดใหม่เป็นคุณเต็มก็ได้นะ.. แล้วลองคิดๆ ดู ระยะเวลาที่รดาหายไปกับอายุคุณเต็มในตอนนี้ก็กลับชาติมาเกิดได้เลย”
“นี่คุณย่าเชื่อเรื่องกลับชาติมาเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย?”
ปกติคุณย่าของผมไม่ได้เป็นคนเชื่อหรืองมงายอะไรเรื่องแบบนี้เลยสักนิด แม้ท่านจะอายุเลยวัยเกษียณแต่ท่านก็เป็นผู้สูงอายุหัวสมัยใหม่นั่นคือคิดวิเคราะห์ตามเหตุและผลเสียมากกว่า
“แหม.. ถ้าไม่กลับชาติมาเกิดก็คงเป็นลูกชายของรดา.. เอ๋???”
หลุดขำเลยทีเดียว คุณย่าไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้สักนิด
“ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแหละครับ.. ดูอย่างผมสิยังเหมือนคุณย่าทวดเลย งั้นผมก็คงเป็นคุณย่าทวดกลับชาติมาเกิดหรือไม่ก็เป็นลูกชายของคุณย่าทวดเหมือนกันหน่ะสิครับ”
ผมหัวเราะ
“ไอ้หลานคนนี้.. เซียนโจ่ว”
ฝ่ามือของคุณย่าตีหลังผมดัง
‘อั่ก’ แล้วก็ด่าเป็นภาษาจีนว่าผมกวนตีน ฮ่า แถมยังงอนผมอีกด้วย งานเข้าแล้วล่ะครับ
.
.
.
.
ง้อคุณย่าไม่ใช่เรื่องยากครับ ระดับหลานรักแบบผมแค่เข้าไปอ้อนกอดและหอมแก้มสัก 2-3 ฟอด คุณย่าก็หายงอนแล้วล่ะ แถมยังให้เด็กจัดกระเช้าผลไม้กระเช้าใหญ่ให้ผมถือไปมอบให้ท่านนายพลกิตติกับคุณหญิงหยดด้วย
ออมนัดผมกับดักแด้ไว้ตอน 4 โมงเย็น ซึ่งผมกับดักแด้มาถึงก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง ออมออกมารับผมกับดักแด้ถึงหน้าบ้าน จากนั้นก็ควงแขนเราทั้งคู่เข้าไปกราบสวัสดีคุณปู่คุณย่าของออม ผมจึงถือโอกาสได้มอบกระเช้าผลไม้ให้ท่านทั่งคู่เสียเลย เมื่อก่อนตอนผมยังคบกับออมและยังอยู่บ้านคุณพ่อซึ่งอยู่ในหมู่บ้านระแวกเดียวกัน ผมเคยเจอพวกท่านบ่อยครับดังนั้นแค่เห็นหน้าท่านก็จำผมได้แล้ว
ท่านนายพลกิตติท่านเป็นอดีตนายทหารยศสูงที่รับใช้ประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บุคลิคของท่านจึงดูน่าเกรงขาม น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยอำนาจ อีกทั้งสายตายังมีความเฉียบขาดในการมองทะลุจิตใจคน ขนาดที่ว่าผมเกร็งทุกครั้งที่ได้เจอ ส่วนคุณหญิงหยดท่านเป็นผู้ดีทุกระเบียบนิ้วครับ ไม่ใช่ผู้ดีแค่เปลือกนอกแต่คำว่าผู้ดีในที่นี้คือดีงามทั้งกิริยา วาจา และจิตใจ ท่านเป็นผู้หญิงที่มีความอ่อนหวานและมีความเป็นกุลสตรีไทยอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยเหตุนี้ท่านกิตติจึงไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับชู้สาวหรือนอกใจเลยสักครั้ง อ่อ.. ที่สำคัญก็คือชื่อของพี่นาย
‘นายพล’ และชื่อของผม
‘กองทัพ’ ท่านก็เป็นคนตั้งให้ครับ
หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธี ผู้อาวุโสของบ้านก็ให้ออมพาผมกับดักแด้ไปที่ศาลากลางสวนหลังบ้าน ผมจึงได้รู้ว่าผมกับดักแด้มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย
ท่ามกลางเงาไม้ร่มรื่นเป็นที่ตั้งของศาลาหลังคามุงกระเบื้องที่เพิ่มลูกเล่นตรงเสาและขอบระเบียงด้วยไม้ฉลุสีขาว กลางศาลามีชุดโต๊ะนั่งเล่นที่ถูกจับจองไว้โดยผู้หญิงวัยกลางคน 2 ท่าน และพี่โบว์ ส่วนพี่ซันนั่งอยู่บนขอบระเบียงพิงเสาศาลา และคนสุดท้ายก็คือ.. อาเต็มของออม
ผู้ชายร่างบอบบางที่ผมรู้จักคุ้นเคย ได้เปลี่ยนสีผมจากสีส้มเป็นสีบลอนด์สว่างแถมยังตัดผมให้สั้นลงไปอีก เปลี่ยนจากลุคสดใสให้ดูเฉี่ยวปราดเปรียวยิ่งขึ้น สำหรับผมแล้วไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำผมสีหรือทรงอะไรก็ดูเหมาะเจาะไปเสียหมด ฝ่ายนั้นกำลังยืนรินน้ำใส่แก้วอยู่อีกทาง ผมกับดักแด้ยกมือไหว้ทักทายทุกคน ดวงตาคู่เรียวหันมามองผมเพียงนิดก่อนจะยกถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ
“ผู้หญิงแสนสวยคนนี้คือคุณแม่ของออมเอง ส่วนคุณผู้หญิงที่สวยไม่แพ้กันคนนี้ก็คืออาขวัญ คุณอาของออมเอง”
เจ้าของบ้านแนะนำคุณแม่และคุณอาของตัวเองให้ผมและดักแด้ได้รู้จัก แม้เราทั้งคู่จะเพิ่งได้เจอพวกท่านเป็นครั้งแรกแต่ก็ได้ฟังเรื่องราวของพวกท่านผ่านคำบอกเล่าของออมและเคยเห็นรูปภาพผ่านนิตยสารอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตัวจริงกับในภาพไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่นั่นคือสวยมากจริงๆ ครับ
“ส่วนนี่กองทัพ กับดักแด้ เพื่อนออมเองค่ะ”
“น้องดักแด้เนี่ย แม่รู้แล้วค่ะว่าเป็นเพื่อน แต่พ่อหนุ่มอาร์มมี่คนนี้สิคะแน่ใจนะว่าเพื่อน?”
คุณแม่ของออมหันไปส่งสายตากับคุณอาขวัญจากนั้นทั้งสองท่านก็พร้อมใจกันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“เราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ค่ะ”
น้ำเสียงของออมที่อธิบายย้ำฟังแล้วเหมือนคนกำลังเบื่อโลก ผมเข้าใจออมนะครับ บางครั้งการอธิบายและพูดเรื่องเดิมซ้ำกันบ่อยๆ มันก็น่าเบื่อเหมือนกัน แต่มันก็ไม่แปลกที่จะมีคนสงสัยและไม่เชื่อเราทั้งคู่ นั่นเพราะโดยส่วนใหญ่ของคู่รักเมื่อเลิกรากันไปแล้วมักจะกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้ หากแต่ผมกับออมเราทั้งคู่กลับสนิทใจกันมากกว่าตอนเป็นแฟนกันเสียอีก
“ผมเป็นเพื่อนกับออมครับ”
ยืนยันให้ผู้ใหญ่เข้าใจ คนฟังก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าคล้ายว่าจะเชื่อพวกเรา
“จ้า เพื่อนก็เพื่อน”
“เชื่อเราเถอะค่ะ ออมกับกองทัพเป็นเพื่อนกันจริงๆ แต่ถ้าออมกับ... คนอื่นก็ไม่แน่นะคะ”
คนพูดอมยิ้มเหมือนมีเลศนัย แต่ผมเห็นนะว่าดวงตากลมโตนั่นแอบเหลือบไปมองใครบางคนอยู่ คนอื่นอาจจะตามออมไม่ทันแต่ไม่ใช่ผมครับ เพราะผมรู้ได้ทันทีว่าในตอนนี้ออมมีใครอยู่ในใจ
“คุณขวัญดูหลานสาวของคุณขวัญสิคะ เหลือเกินจริงๆ”
“เด็กวัยรุ่นก็แบบนี้แหละค่ะคุณพี่”
ทั้งสองท่านส่ายหน้าและหัวเราะออมด้วยความเอ็นดู
“อาขวัญกับแม่ปอ ดีใจที่ได้รู้จักกับทุกคนนะจ๊ะ เมื่อตอนกลางวันอาขวัญได้ฟังเรื่องของหนุ่มๆ จากน้องออมและหนูโบว์มาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้มาเจอตัวจริง อาขวัญคิดว่ามันดีเยี่ยมไปเลย”
ทุกคนเลิกคิ้วมองหน้ากันไปมากับประโยคของคุณอาขวัญ ยกเว้นเต็มใจครับ เจ้าตัวไม่แสดงท่าทีใดๆ ทำเพียงอมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง และความสงสัยของทุกคนก็จบลงโดยมีโบว์เป็นคนเฉลย
“อ่อ.. ไม่ต้องทำหน้างง คือฉันและออมคุยกับคุณอาขวัญเกี่ยวกับโปรเจคงานของเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่มีโครงการจะเปิดในอนาคตหน่ะ”
คุณอาขวัญพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะอธิบายเสริมอีกนิดหน่อย
“มันยังเป็นแค่โครงการเพราะต้องดูตลาดและอะไรอีกหลายอย่าง แต่ถ้าหากในอนาคตอาขวัญจะขอให้ทุกคน ช่วย ทุกคนจะยินดีมั๊ยจ๊ะ?”
“แน่นอนครับ ด้วยความยินดี”
จะมีใครกล้าปฏิเสธงานใหญ่ขนาดนี้ได้ล่ะครับ คุณอาขวัญยิ้มดีใจจนดวงตายิบหยีพร้อมกับพูดว่า
‘so cute’นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่ออีกครู่ใหญ่ เด็กรับใช้ก็ทยอยจัดเตรียมเตาปิ้งบาร์บีคิว อาหาร และเครื่องดื่มสำหรับปาร์ตี้ งานปาร์ตี้บาร์บีคิวก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั่งคุยกัน เบียร์เย็นๆ และอาหารปิ้งย่างอร่อยๆ ทว่าทั้งหมดที่พูดมาไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมมาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้ใช่มั๊ยว่าคนที่สามารถดึงดูดความสนใจของผมเอาไว้ทั้งหมดนั่นคือใคร และก็คงมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ไขว่คว้าอยู่ฝ่ายเดียว เพราะจนถึงตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว
‘เรา’ ก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ แม้แต่เวลาที่ผมพยายามจะสบตากันตรงๆ ฝ่ายนั้นก็ยังแกล้งทำเป็นไม่เห็น.. ไม่แม้แต่จะสนใจ..
“เอ๊ะ!”
จู่ๆ ออมก็อุทานขึ้น สีหน้าของเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่พอใจกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในจอไอโฟน ทุกคนจึงหันไปมองออมเป็นตาเดียว
“อาเต็มคะ.. เธอคนนี้จะมาไทยเหรอคะ?”
ออมชูหน้าจอไอโฟนที่โชว์หัวข้อข่าว ‘แฟนคลับเฮลั่น ดาราสาวญี่ปุ่นสุดฮอตจัดมีตติ้งในไทย’ และจากข้อความข่าวนั้นทำให้ทุกสายตาเปลี่ยนเป้าหมายไปมองคนถูกถามแทบจะพร้อมกัน ผมเองก็อยากจะรู้ครับโดยเฉพาะปฏิกิริยาของคนตอบ
“อืม.. ปลายเดือนหน้าหน่ะ”
คนตอบตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย นั่นหมายความว่าเจ้าตัวรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
“เนเนะเหรอคะ?.. อ๋อ.. แฟนน้องเต็มนี่นา”
คุณอาขวัญยิ้มให้น้องชาย แต่เจ้าตัวไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่ยิ้มเขิน ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วล่ะครับ
“ท่าทางลูกเต็มของคุณแม่ปอจะจริงจังกับคนนี้นะเนี่ย คบกันนานทีเดียว”
คำหยอกล้อจากคุณแม่ของออมทำให้เจ้าตัวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังมีความสุข แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมีใครเอาตะปูมาตอกลงกลางหัวใจ เจ็บแต่ไม่มีใครเห็นบาดแผลเพราะมันอยู่ในอกของผมเอง เขาเป็นแฟนกัน แล้วผมล่ะ? ผมเป็นใครอย่างนั้นเหรอ???
ออมลุกขึ้นยืนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นก็มองไปที่คนที่กำลังตกเป็นประเด็นของบทสนทนา
“ถ้าอาเต็มจะพา
‘แฟน’ มาที่บ้านหลังนี้ก็ช่วยบอกออมล่วงหน้าด้วยนะคะ ออมจะได้ไปขอนอนค้างบ้านพี่โบว์”
“น้องออม ทำไมพูดจาไม่น่ารักแบบนั้น ขอโทษอาเต็มเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
“ไม่ขอโทษค่ะคุณแม่ ออมพูดเรื่องจริง ออมไม่พอใจชะนีทุกนางของอาเต็มไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เพราะพวกหล่อนเหล่านั้นแค่มองปราดเดียวออมก็รู้ไส้รู้พุงและยังรู้ไปจนถึงรู...อื่นด้วยค่ะ”
“ว๊ายตายแล้ว น้องออม!”
ผู้อาวุโสที่สุดทั้ง 2 ท่านยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจในคำพูดก๋ากั่นของออม
“ใจเย็นๆ ครับแม่ปอ อย่าดุออมเลยนะครับ”
คนเป็นอารีบแก้ไขสถานการณ์ แล้วก็แอบส่งสายตาบอกให้หลานสาวเข้าบ้านไปก่อน
“ออมขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ทำให้งานกร่อย ออมขอตัวก่อนค่ะ”
ออมยกมือไหว้ขอโทษทุกคน จากนั้นก็เดินมาหาผม
“กองทัพ”
ในดวงตากลมโตที่ร่าเริงสดใสอยู่เสมอตอนนี้แดงก่ำจนน่าสงสาร
“ขอโทษนะ ทำงานกร่อยเลย”
ยกมือลูบหัวและเช็ดหยดน้ำตรงหางตาให้คนตรงหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก”
ผมยิ้มและบอกออมผ่านสายตาไปแบบนั้น แต่ผมก็รู้ครับว่าออมรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าผมไม่โอเคเลยสักนิด ออมหันหลังวิ่งเข้าบ้านไปโดยมีพี่โบว์ตามไปติดๆ แต่ก่อนที่จะไปนั้นผมเห็นพี่โบว์แอบหันมาชี้หน้าคาดโทษเพื่อนของตัวเอง
ท่าทางงานจะกร่อยจริงๆ ล่ะครับ หลังจากออมกับพี่โบว์เข้าบ้านไปก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก เอาแต่นั่งเงียบ ดักแด้จึงกระซิบถามผมเบาๆ
“กองทัพ.. มึงจะกลับเลยปะ?”
“อืม”
“มึงกลับยังไง กลับกับกูมั๊ย? คนขับรถบ้านกูมารออยู่แล้ว”
“เดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่กลับเพราะคืนนี้กูจะค้างบ้านพ่อ”
“อ่อ งั้นเราเข้าไปบอกออมก่อนดีกว่า”
ดักแด้และผมลุกขึ้นลาทุกคน และนี่เป็นครั้งแรกมั้งครับที่ผมเพิ่งจะเห็นว่าดวงตาคู่เรียวนั้นหันมามองผมโดยตรง เราสบตากัน หากเป็นเวลาที่อารมณ์ของผมปกติผมจะไม่มีวันหลบสายตาคู่นี้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนส่วนเกิน เหมือนคนแปลกหน้า หรือบางครั้งก็เป็นเหมือนคนโง่..
หลังจากที่บอกลาออมแล้วผมก็ออกมายืนส่งดักแด้ขึ้นรถ รอจนรถขับออกจากประตูรั้วบ้านหลังใหญ่แล้วผมจึงเดินตรงไปทางประตูรั้ว ท้องฟ้าค่ำคืนนี้มืดสนิทเหมือนหัวใจของผม
“นี่.. จะกลับแล้วเหรอ?”
เสียงตะโกนจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันไปมอง ดวงตาของผมเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างแบบบางที่คุ้นตาเดินจ้ำมาหาผม เมื่อหยุดยืนตรงหน้าก็จ้องผมอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่
“กลับยังไง?”
“แท็กซี่”
“จะกลับบ้านไหน บ้านรังสิตเหรอ ถ้าอย่างนั้นให้รถที่บะ...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าหมู่บ้านเอง และไม่ต้องเดินไปส่งด้วยครับ”
ผมอาจจะเสียมารยาทที่ตัดบทโดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบเสียก่อน เพราะตอนนี้จิตใจของผมมันอยู่ในระดับที่แทบจะดิ่งลงเหวเอามากๆ ด้วยเหตุนี้ผมถึงได้ทำอะไรงี่เง่าออกไป แม้จะรู้ว่ามันโคตรจะทุเรศแต่ผมก็คิดว่าไม่มีอะไรจะน่าทุเรศไปกว่าการคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนตรงหน้ามีใจให้กันโดยที่รู้ทั้งรู้ว่าเขามีแฟนตัวจริงอยู่แล้ว
ในเมื่อยืนรออีกพักใหญ่ อีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรต่อผมจึงหันหลังแล้วออกก้าวเดินไปที่ประตูรั้วต่อ รปภ.ของตระกูลฉัตรักษ์บริบูรณ์ยืนส่งยิ้มให้ผมอยู่ไกลๆ
“เทมป์”
ชื่อที่ผมชอบให้อีกฝ่ายเรียกที่สุดถูกเอ่ยออกมา แม้มันจะไม่ใช่ชื่อเล่นของผมจริงๆ แต่ผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่คนๆ นั้นเรียกผมแบบนี้
“ไม่ได้ยินรึไง? เทมป์!”
เสียงฝีเท้าวิ่งตามผมมา และยังไม่ทันจะได้หันไปมองหมัดหนักๆ ก็ต่อยลงกลางแผ่นหลังแบบไม่ทันตั้งตัว เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่มือหนักฉิบหายเลยล่ะครับ
“ถ้าขืนยังไม่หยุดเดินก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก”
ผมหันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย
“มีอะไรเหรอครับ?.. พี่เต็ม”
ดวงตาคู่เรียวโกรธจนเขียวปั๊ด มือบางกำแน่น คนตรงหน้าพยายามสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ คงกำลังควบคุมอารมณ์อยู่ นี่เป็นครั้งแรกครับที่ผมได้เห็นอีกฝ่ายโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“ไม่เคยขอเป็นแฟนสักคำแล้วกล้าดียังไงถึง...”
“ถึง..?”
“เหี้ย!”
“แล้วอยากได้เหี้ยเป็นแฟนมั๊ยละ?”
“สัส!”
อั่ก! อีกหมัดครับ เข้าตรงท้องเต็มๆ รอบนี้เล่นเอาผมจุก แมร่มเอ้ย! เวลาโกรธแล้วทำไมโหดแบบนี้วะ? ว่าแต่นี่ผมยังไม่รู้เลยนะว่าโกรธผมเรื่องอะไรกันแน่???
“เราเลิกกันแล้ว”
“ว่าไงนะ?”
ใครเลิกกับใคร? พูดให้ชัดๆ อย่าทำให้ใจแป้วแบบนี้
“เมื่อวันก่อนกูบอกเลิกกับเนเนะไปแล้วโว้ย.. ฟัค!”
อ่าว.. ผมได้แต่อ้าปากค้าง แล้วไง? ผมควรจะดีใจ หรือควรจะโกรธที่โดนด่าว่า
‘ฟัค’ ดีครับ แต่ที่แน่ๆ ไอ้ที่แดงเถือกไปทั้งหน้าแถมยังลามมาถึงคอ ผมว่านี่ไม่ใช่โกรธแล้วล่ะครับแต่เรียกว่าโคตรเขินและอายต่างหาก รอยหยักในสมองของผมประมวลผมออกมาอย่างรวดเร็ว สรุปว่าเกมส์พลิกใช่มั๊ย? ผมโกรธและน้อยใจอีกฝ่ายที่ไม่สนใจกัน แต่ตรงกันข้ามอีกฝ่ายโกรธและน้อยใจผมที่ไม่แสดงตัวให้ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็โอเคครับ ผมรู้แล้วล่ะว่าต่อจากนี้ควรจะทำยังไง
“ในเมื่อโสดแล้ว.. เต็มเป็นแฟนเทมป์ได้มั๊ยละ?”
“เพิ่งคิดได้?”
“ก็เพิ่งรู้ว่าโสด”
“คนอะไรขี้หึงงี่เง่าชะมัด”
แน่ะ ไม่ตอบแล้วยังมีเฉไฉไปเรื่องอื่น ถ้างั้นถามใหม่ก็ได้
“เต็ม”
เจ้าของชื่อมองเหวี่ยงเบอร์แรง
“เป็นแฟนกันนะ”
ริมฝีปากสวยเม้มแน่น ดวงตาคู่เรียวเปลี่ยนมาสบตากันตรงๆ ราวกับว่าหากใครกระพริบตาก่อนคนนั้นจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ด้วยผิวแก้มที่แดงจัดจนคล้ายคนเป็นไข้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นสัมผัสแก้มใสเพื่อวัดอุณหภูมิ แต่ยังไม่ทันจะได้แตะต้องผิวมือบางก็จับข้อมือผมไว้เสียก่อน จากนั้นก็ให้คำตอบของคำถามที่ยังค้างคาด้วยการโน้มคอของผมลงไปประกบแล้วบดขยี้ริมฝีปากอย่างเอาแต่ใจ แต่ผมโคตรชอบเลยครับ จึงรีบตอบรับลิ้นเล็กกลับและไล่ต้อนจนฝ่ายจู่โจมยอมพ่ายแพ้และจนมุมในที่สุด
เอิ่ม.. พี่ รปภ. ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมต้องขอโทษจากใจเลยนะครับที่ทำให้พี่ต้องยืนรอเก้อนานเลย...
.
.
.
.
.
.
.
TBC...
ขอโทษนะคะ ตอนนี้มาช้านิดนึง วันนี้ติดภาระกิจหลายอย่างแต่ก็พากองทัพกับเต็มใจมาให้ทุกคนแล้วนะคะ
ร๊ากกกกกคนอ่านทุกคนเหมือนเดิมนะคะ