คอร์ทรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คอร์ทรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 11  (อ่าน 8927 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ






*****************************************************************





บทนำ : คอร์ดรัก (โคตรรัก)


‘เชิญก่อนเลยครับ’ เสียงหนึ่งพูดขึ้น ดึงสติผมกลับมาจากเพลงโปรดที่ผมกำลังฟังจากมือถือ ขณะที่กำลังต่อแถวเพื่อรอจ่ายเงินค่าหนังสือนิยายสี่เล่มในร้านหนังสือชื่อดัง

‘ไม่เป็นไรครับ’ ผมถอดหูฟังออกและตอบกลับไอ้คนที่อยู่ข้างหน้า

‘เห็นถือมาหลายเล่ม หนักไหมครับ ให้ผมช่วยถือดีไหม’

‘เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมถือเองได้’

คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้  มันเป็นผู้ชายแต่งตัวแบบหนุ่มออฟฟิศทั่วไป ใส่แว่นตา ดูสุภาพดี แต่ผมก็ยังงงๆ อยู่ว่า มันจะให้ผมแซงขึ้นไปก่อนจะถึงคิวมันทำไม ทำอย่างกับหนังสือที่ผมถือมาหนักสัก 40 กิโล แถมยังทำท่าจะเทคแคร์อย่างกับว่าผมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่พอมันเห็นท่าทางที่เริ่มจะหงุดหงิดของผม มันก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วหันกลับไป
จริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรหรอกครับ เรื่องแบบนี้เจอมาบ่อย เพราะตั้งแต่มัธยม (ผมเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดที่ลำปาง เป็นคนเหนือโดยกำเนิดครับ) ผมมักโดนแซวหรือโดนอ้อล้อจากนักเรียนชายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน หรือแม้แต่รุ่นน้อง ทั้งๆ ที่หน้าตาผมมันก็ไม่ได้ดูบ้องแบ๊วหรือกระเดียดไปทางผู้หญิงเลยนะครับ ผิวออกแทนนิดๆ ตากลมๆ คิ้วเข้มหน่อย มีรักยิ้มทั้งสองฝั่งแก้ม ข้อดีอย่างหนึ่งคือผมแทบไม่เคยเป็นสิวเลยครับ หน้าผมเลยเนียนจนเพื่อนมันยังบอกอิจฉา ส่วนสูงผมก็ประมาณ 170 พอดิบพอดี รูปร่างออกจะดูตัวบางนิดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับผอม ที่สำคัญ ผมคิดมาตลอดว่าผมหล่อ เพราะแม่ผมก็บอกแบบนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงไปโดนใจเพศเดียวกัน ทั้งที่ผมอยากจะได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆ ในโรงเรียนมากกว่า

Rrrrrrrrrrrrrrrr

หงุดหงิดยังไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ 02-อะไรสักอย่าง

‘หวัดดีครับ’

[คุณภูพิงค์ ชำนาญวณิชย์ ใช่ไหมคะ ดิฉันโทรมาจากบริษัท XXX เพื่อแจ้งผลการสัมภาษณ์งาน ทางบริษัทตอบรับแล้วค่ะ คุณภูพิงค์สะดวกเริ่มงานเมื่อไรดีคะ]

เยสสสสสสสสสสส งานที่ผมโคตรอยากจะได้ที่สุดในชีวิต ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จแล้วโว้ยยยยย ผมไม่รอช้า รีบต่อสายหาเพื่อนสนิททันที

‘ห๊ะ ไอ้ภู มึงได้งานที่บริษัทเดียวกับกูแล้วเหรอวะ’ เสียงไอ้ปังเพื่อนผมถามมาจากปลายสายด้วยความตื่นเต้น

‘เออดิวะ ฝ่ายบุคคลเพิ่งโทรบอกกูเมื่อกี้นี้เอง กูเลยโทรหามึงคนแรกเลย แม่งโคตรดีใจอ่ะ’

‘เออ ดีใจด้วยว่ะ แล้วมึงเริ่มงานเมื่อไร เดือนหน้าเลยป้ะ’

‘เออดิ แม่งโคตรไว นี่เกือบสิ้นเดือนละ กูจะเตรียมตัวทันป่าววะเนี่ย’

‘ไอ้ห่า...ต้องทันดิวะ ไปหาเสื้อผ้าเตรียมไว้ก่อนเลยมึง พวกแต่งตัวยาก เอะอะก็ต้องดูดีมีสไตล์แบบมึง กูว่ากว่าจะเจอตัวที่ถูกใจก็สิ้นเดือนพอดีอ่ะ ’

‘ไม่ขนาดนั้นป่าววะ เออๆ เดี๋ยวกูโทรบอกแม่กูก่อน ไงไว้คุยกัน’ ผมวางสายจากเพื่อนที่พูดได้ว่า สนิทที่สุดในชีวิตของผม เพราะผมอยากจะรีบบอกข่าวดีนี้กับคุณแม่บังเกิดเกล้าของผมเช่นกัน

...ใช่ครับ ผมเพิ่งได้งานใหม่ในบริษัทชั้นนำอันดับต้นๆ ของประเทศที่เรียกได้ว่ามีการแข่งขันสูงโคตรๆ และนี่ก็เป็นที่ทำงานที่แรกของผม หลังจากที่แม่ส่งผมไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียมาได้ปีนึง ผมเลยเริ่มทำงานงานช้ากว่าไอ้ปัง แต่ผมไม่ปล่อยให้มันนำหน้าไปเยอะหรอกครับ เพราะบริษัทนี้ผมกับมันเล็งไว้ตั้งแต่เรียนปี 3 พอจบคอร์สภาษากลับมา ผมก็พุ่งตรงมาสมัครทันที โชคดีที่ตำแหน่งที่ผมอยากทำกำลังเปิดรับ ผมเลยไฝ้มาจนได้งานนี้มาแบบเลือดตาแทบกระเด็น

‘เป๋นจะไดพ่องลูก (ว่าไงลูกกก)’ เสียงคุณแม่ผมรับสายด้วยซาวน์แทร็คหวานๆ แบบสาวเหนือ

‘แม่ครับ น้องได้ยะก๋านตี้บริษัท XXX ละเน้อ (แม่ครับ ผมได้งานที่บริษัท XXX แล้วนะครับ)’

‘แต๊ก๊ะ...แม่ตึงกึ๊ดไว้แล้ว ลูกแม่เก่งจะไดก่อต้องได้ตี้นี่แน่ๆ แม่ดีใจ๋ขนาด (พูดจริงหรือป่าวลูก แม่ว่าแล้วไม่มีผิด ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเก่งของแม่ ยังไงก็ต้องทำได้ แม่ดีใจที่สุดเลยลูกกก)’

เสียงยานๆ เอ้ย เสียงหวานๆ กับการอวยผมแบบนี้ แม่ผมทำมาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้วครับ ผมเป็นลูกคนเดียว จะทำอะไรแม่ก็ตามใจไปหมด ยิ่งตั้งแต่พ่อเสียไปตอนผม 7 ขวบ แม่ก็ยิ่งประคมประหงมผมอย่างกับผมเป็นเด็กผู้หญิง กลับบ้านดึกก็ไม่ได้ แฟนก็ยังไม่ยอมให้มี บอกต้องเรียนให้จบก่อน จะมีเพื่อนคนไหนแม่ผมต้องรู้จักหมด ไหนจะครีมบำรุงต่างๆ ที่แม่ผมเลือกซื้อมาให้จนเต็มหน้ากระจก แล้วยังบังคับให้ผมทาครีมทุกวัน บอกลูกชายแม่จะได้หล่อๆ แต่ผมก็ทำตามนะครับ ยอมทุกอย่าง ไม่เคยขัดใจแม่เลย ก็มีกันอยู่สองคนนี่ครับ 

‘ครับ น้องก่อดีใจ๋ขนาด เดียวขับรถก่อน แหมบึดโทรหาเน่อ น้องฮักแม่เน่อคร้าบ (ครับ ผมก็ดีใจ แต่ตอนนี้ผมต้องขับรถก่อน เดี๋ยวผมโทรไปหาแม่อีกทีคืนนี้แล้วกันครับ รักแม่นะคร้าบ)’
ผมวางสายจากแม่ แล้วสตาร์ทรถยนต์เพื่อเตรียมขับไปยังห้างชื่อดังกลางกรุง ภารกิจวันนี้ผมต้องซื้อเสื้อเชิ้ตใหม่สำหรับใส่ทำงานหลายตัว อีกประมาณสิบวันผมก็ต้องใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศแล้วครับ...

***********************
สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะครับ เรื่องแรกของผมสำหรับบอร์ดนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกีฬาแบดมินตันอยู่สักหน่อย ไม่รู้ว่าจะชอบกันหรือเปล่า ยังไงก็ขอกำลังใจด้วยนะครับ จะพยายามเขียนให้ดีที่สุดครับ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2018 16:55:22 โดย Chay »

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai5: รอๆๆ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่าติดตาม..อย่าลืมใส่กฏเล้าด้วยนะจ๊ะ   :pig2:

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตอนที่ 1 เสน่ห์แบบนี้ ไม่มีได้ไหมเนี่ย


หลังจากที่ผมรู้ตัวว่าได้งานที่บริษัทเดียวกันกับไอ้ปังเพื่อนสนิท ผมก็ขับรถมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พอจอดรถเสร็จก็เดินดุ่มๆ มาที่ชั้น G ชั้นที่เต็มไปด้วยร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมหิว ก่อนจะเดินหาชุดทำงานใหม่ ผมขอแวะเติมพลังที่ร้านโปรดสักหนึ่งมื้อใหญ่ๆ ก่อนละกัน

แหมะ...ผมทิ้งตัวนั่งลงในร้าน KFC นี่แหละครับร้านโปรด ตอนนี้ออเดอร์ที่ผมสั่งแน่นถาดไปหมด บอกเลยนะครับว่าผมแม่งโคตรชอบกินไก่ ร้านไหนขายไก่ผมกินได้หมด จะให้กินสดหรือกินในน้ำดี ฮ่าๆๆ...

...ขณะกำลังจะเริ่มฉีกไก่เข้าปาก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

‘นั่งด้วยได้ป่ะครับ’ เสียงทุ้มๆ เอ่ยขอมาร่วมโต๊ะเดียวกับผม ผมเงยหน้ามอง เห็นผู้ชายร่างล่ำๆ เหมือนพวก Gym addicted ดูจากเสื้อเชิ้ตทรงรัดติ้ว บวกกับปลายแขนที่ฟิตพอดีกับความล่ำของต้นแขน มันยืนมองผมด้วยรอยยิ้ม สายตาดูยังไงๆ ชอบกล ผมยังไม่ตอบอะไร มองไปทั่วร้านแล้วคนเต็มจริงๆ ครับ นี่ขนาดยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน คนแม่งมาจากไหนกันนักหนาวะเนี่ย

‘นั่งได้ไหมครับ’ ไอ้นี่แม่งก็ยังยืนยิ้มแถมยังทวงคำตอบเป็นรอบที่สอง
 
‘เอ่อ ได้ครับ ตามสบาย’ ผมตอบไปตามนั้น อย่างว่าแหละครับ โต๊ะเต็มใครจะไปอยากยืนกิน แบ่งกันนั่งได้ก็แบ่งไปครับ ผมสบายๆ อยู่แล้ว

‘ขอบคุณครับ’ มันยิ้มขอบคุณ แต่สายตามันส่งมาที่ผมเหมือนมันจะบอกอะไรสักอย่าง ผมนั่งก้มหน้าไม่สนใจ มันวางถาดของมันแล้วเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามกับผม เดี๋ยวนะครับ โต๊ะนี้เป็นโต๊ะใหญ่ที่นั่งได้สี่คน ลำพังแค่ถาดอาหารของผมก็ปาไปครึ่งโต๊ะแล้ว มันยังเสือกวางถาดของมันแล้วนั่งลงตรงข้ามกับผมอีก
 
‘มาคนเดียวเหรอครับ...’ 

‘…’ ถามใครวะ ผมมองไปซ้ายทีขวาที

‘น้องนั่นแหละ มาคนเดียวเหรอครับ’ 

‘…เอ่อออ ใช่ครับ พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ’ ยุ่งไรนักหนาวะ ผมเริ่มหงุดหงิด

‘น้องน่ารักดี’ ห๊ะ!! ‘พี่...ขอไลน์ได้ป่ะครับ’ เหยดดดดดดดดดด เอาแล้วไง!!

ตามผมที่เคยบอกเลยครับ ว่าแม้ผมจะมั่นใจว่าผมอ่ะหล่อ แต่คนที่เข้ามาขายขนมจีบยังไงก็ยังค่อนไปทางเพศชายซะได้ นี่ยังไม่รวมเก้งกวางที่เข้ามากันไม่ขาด จะว่ารังเกียจรึก็ไม่นะครับ ถ้ามาดีๆ ก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่ไอ้พวกที่มาเต๊าะผม หรือมาถึงเนื้อถึงตัวเนี่ย บอกตรงๆ ขนลุกครับ เคยมีครั้งนึงสมัยผมเรียนปี 1 ผมคบกับสาวคณะแพทย์ ยังต้องโดนบอกเลิกเพราะเธอบอกว่าเพื่อนผู้ชายในคณะเอาแต่พูดถึงชื่อผมจนเธอเสียเซฟล์ โถ...ควรสงสารตัวเองดีไหมครับ T^T


และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็น่าจะชัดเจนยิ่งขึ้น...

‘ว่าไงนะครับ’ ผมย้อนถามไปอีกครั้ง

‘พี่อยากได้ไลน์น้อง อยากจีบ’ เชี่ยยยย อยากให้มาเห็นสายตาของมันตอนนี้จังครับ ขนต้นคอผมนี่ลุกกราวไปหมด

‘ผมไม่ได้ชอบผู้ชายครับ’ ยังไงผมก็ไม่ให้เว้ยย

‘พี่ก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่น้อง...น่ารักดี’ อ่าวไอ้ห่า สับสนอะไรกับตัวเองป่าววะ ไม่ได้ชอบผู้ชาย...แต่เสือกมาขอไลน์ผู้ชาย นี่เห็นผมใส่กระโปรงมาหรือไง

‘ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อนดีกว่า’ พอเห็นมันเริ่มเยอะ ผมเลยคิดว่านั่งต่อไปท่าจะไม่ดี เลยไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถาดน้องไก่ที่ยังไม่ทันได้เริ่มกิน เตรียมจะไปให้พนักงานที่เคาท์เตอร์ใส่กล่องกลับบ้าน หมดอารมณ์หิวละครับ

‘เดี๋ยวสิครับน้อง’ มันยังพูดไม่ทันจบ ก็คว้าข้อมือผมกะไม่ให้ไปไหน แต่ด้วยความแรงจากแขนล่ำๆ กับมือสากๆ ของมัน กลายเป็นการกระชากแขนผมซะจนถาดไก่ร่วงกระจัดกระจาย

เพล้งงงง!!!

ไม่ใช่แค่ไก่กระจาย น้ำยังแตกกระจุย หมายถึงน้ำอัดลมแก้วใหญ่ที่ได้มาในเซ็ตนะครับ

‘เชี่ยยย!!’  อารมณ์ผมนี่ปรี๊ดแตกยิ่งกว่าแก้วน้ำอีกครับ

‘เห้ย น้อง พี่ขอโทษ’ ตอนนี้มันทำให้ผมทั้งอายและอารมณ์เสียแบบสุดๆ จนอยากจะซัดหมัดใส่หน้ามันสักทีสองที แต่.....ผมทำไม่ได้หรอกครับ กล้ามมันใหญ่กว่าผมตั้งสองเท่า ซัดครั้งเดียวผมคงลืมเบอร์โทรแม่แน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ลูกค้าและพนักงานมองผมกันเป็นตาเดียว เกิดมาไม่เคยได้รับซีนเด่นขนาดนี้มาก่อน บอกตรงๆ ผมอยากจะกลายร่างเป็นไก่ทอดไปเลยตอนนี้ ผมกลั้นความโมโหไว้แล้วสะพายกระเป๋าให้เข้าที่ เตรียมก้าวขาเดินออกไปจากตรงนั้นให้ไว แต่...........


พรืดดดดดด.....


ไอ้เชี่ยยย เสือกเหยียบไก่ที่ตกอยู่ตรงหน้าไปอีก ขาที่ว่าก้าวยาวเพราะอยากจะรีบพาตัวเองออกจากร้านนี้ แม่งได้ก้าวยาวขึ้นแบบคูณสองจนผมเสียหลัก เคยเห็นภาพการ์ตูนคนลื่นเพราะเหยียบเปลือกกล้วยไหมครับ ท่าเดียวกันเด๊ะ ผมรีบยื่นมือคว้าไปที่เก้าอี้ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ โชคดีที่คว้าไว้ทัน ตัวผมเอียงเล็กน้อย ก่อนจะรีบขอโทษคนที่นั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่

‘ขอโทษครับ’ ถ้าจะด่ากูอีกคนก็ต้องยอมล่ะวะ

เจ้าของเก้าอี้หันมา มันไม่ได้พูดอะไร แล้วผมก็ไม่ทันได้มองหน้ามันนานหรอกครับ แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว จำได้คร่าวๆ ว่าเป็นไอ้หน้าตี๋ๆ คนนึง ตามันเป็นขีดๆ หยีๆ หน้าแม่งก็โคตรนิ่งจนผมไม่รู้มันกำลังด่าผมในใจอยู่หรือเปล่า ผมมองมันได้แค่ไม่ถึงสองวิ ไม่รอฟังมันตอบอะไรกลับมาด้วยซ้ำ แล้วผมก็รีบเดินออกมาจากร้านผู้พันแซนเดอร์ด้วยความไวแสง
วันนี้มันควรจะเป็นวันที่ดีของกูไม่ใช่เหรอวะ เชี่ยยยย...

19.00 น

หลังจากที่เจอแต่เรื่องไม่ค่อยน่าประทับใจมาตลอดทั้งวัน ผมก็เลยพาตัวเองมาที่ๆ หนึ่งที่ผมเรียกว่า มันเป็นโลกอีกใบหนึ่งของผมครับ มันคือโดมขนาดใหญ่ที่มีหลังคาสูงๆ เป็นทรงโค้ง ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้างกลางกรุง ภายในปูไว้ด้วยพื้นยางสีเขียว แบ่งเป็นสนามย่อยๆ ที่มีมากถึง 18 สนาม แต่ละสนามจะคั่นไว้ด้วยตาข่ายสีขาวสูงระดับหน้าอก ดวงไฟหลายสิบดวงช่วยกันส่องสว่างไปทั่วทั้งพื้นที่จนไม่ทำให้รู้สึกว่าตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ข้างๆ สนามเต็มไปด้วยลูกขนไก่ที่ตกอยู่รอบๆ ใช่แล้วครับ ที่นี่คือสนามแบดมินตัน

‘เฮ้ย ไอ้ภู ทางนี้เว้ย’ เสียงทักจากไอ้ปังดังมาจากด้านข้าง มันมารอผมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ผมกับมันชอบตีแบดเหมือนกันครับ ตีด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปี 2 คู่กับมันมาตลอด ผมแทบไม่เคยเปลี่ยนไปคู่กับคนอื่นหรือเล่นกีฬาประเภทอื่นๆ เลยตั้งแต่ได้รู้จักกับแบดมินตัน ยกเว้นแค่ตอนไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ ก็ต้องหากีฬาอื่นๆ เล่นบ้าง นี่ก็เพิ่งกลับมาตีได้สองเดือนครับ

‘แม่งมาช้า มัวไปทำไรมาวะ’ ไอ้ปังเดินมารับพร้อมเสียงบ่น

‘ช้าเชี่ยไร เค้าเริ่มตีทุ่มนึง กูก็มาถึงทุ่มนึงเนี่ย’

‘อ้าวเหรอวะ หรือกูมาเร็ว ฮ่าๆ ไปเตรียมเปลี่ยนรองเท้าแล้วยืดเส้นเลย พี่นัทจัดเกมมึงกับกูไว้คู่ที่สอง’

พี่นัทคือคนจัดก๊วนแบดมินตันที่นี่ครับ ผมเข้ามาตีกับกลุ่มนี้ได้ปีกว่าๆ จนรู้จักกับแทบจะทุกคนแล้ว ผมเดินไปวางกระเป๋าสะพายทรงยาวลงตรงที่ๆ ไอ้ปังวางไว้ก่อนหน้านี้ กระเป๋าแต่ละคนใบใหญ่แทบไม่ต่างกันเลยครับ เพราะต้องขนมาทั้งเสื้อและกางเกงสามสี่ตัวเอาไว้เปลี่ยนเรื่อยๆ เนื่องจากเวลาตีแบดเหงื่อจะออกเยอะโคตรๆ  แล้วยังมีรองเท้าแบด ไม้แบดอีกสามสี่อันเอาไว้สำรองเผื่อเอ็นไม้ขาด นี่ยังไม่นับรวมพวกผ้าขนหนูและอุปกรณ์อาบน้ำหลังตีเสร็จด้วยนะครับ จะให้แบกร่างที่มีแต่เหงื่อขับรถกลับนี่มันอึดอัดโคตรๆ ผมเคยมาแล้ว
   
       น้องภูมาแล้วจ้า น่ารักเหมือนเดิมเลยน้า
       อ้าวน้องภู คิดถึงจังเลยยยย
       วันนี้ขอเจอคู่ภูปังหน่อยนะ ขอชนะคู่สุดหล่อนี้หน่อยเถอะ
       ใครอ่ะ ทำไมไม่เคยเจอเลย น่ารักโคตร
       คนที่ตัวเล็กกว่าเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เค้าเป็นพาร์ทเนอร์น้องปังไงแก
       โห น่ารักทั้งคู่ เลือกใครดีวะเนี่ย


ประโยคเหล่านี้คือประโยคคุ้นเคยเวลาผมกับไอ้ปังมาตีแบดทุกครั้งแหละครับ ก็จะมีบ้างแค่บางคนที่เป็นสมาชิกใหม่ เริ่มมาตีด้วยตอนที่ผมไปเรียนภาษา ก็เลยอาจจะเพิ่งเคยเจอกัน ผมอ่ะชินกับคำแซวพวกนี้แล้ว ส่วนไอ้ปังยิ่งไม่ต้องพูดถึง อดีตเดือนคณะหน้าหล่อคิ้วเข้มจมูกโด่งอย่างมัน แถมตัวสูงกว่าผมเกือบสิบเซนเห็นจะได้ (ผมสูง 170 มันน่าจะ 179) ไอ้นี่แม่งยิ่งดึงดูดทุกเพศทุกวัยเลยครับ มันเองก็ไม่ได้หวงตัวอะไร ใครจะเข้ามาควงเข้ามากอดมันก็ยิ้มให้เค้าหมด แต่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่ามันมีแฟนแล้ว สวย อึ๋ม เอวบาง หน้าแบ๊ว เคยมานั่งเฝ้ามันตีแบดหลายต่อหลายครั้งจนพี่ๆ หลายคนแอบเบ้ปากใส่

ขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่คนตีแบดเก่งอะไรมากมาย แค่ตีมาหลายปีหน่อย สะสมเวล (level) ไปเรื่อยๆ เน้นประสบการณ์ เคยลองคิดไปเรียนได้พักนึงก็ต้องถอนตัว เพราะทั้งเหนื่อยและหนักกว่าที่คิดไว้โคตรเยอะเลยครับ ส่วนไอ้ปังนี่มาเป็นพาร์ทเนอร์ตอนปี 2 รู้จักกันก็ที่สนามแบดมหาลัยครับ ฝีมือพอๆ กัน ก็เลยโดนจับให้แข่งคู่กัน จากนั้นก็สนิทกันมามาตลอด

‘ไอ้ภู วันนี้มึงบุกเยอะๆ นะเว้ย กูไม่ค่อยมีแรง เดี๋ยวกูเล่นหน้าให้’ ไอ้ปังเริ่มวางเกมกับผมก่อนจะลงไปเล่นแมทช์แรก

‘มึงบ้าป่าว จะให้กูลงไปคุมหลังแล้วเจอพี่นัทสายวางเนี่ยนะ กูจะไปวิ่งไงทัน’

‘เชี่ยก็เล่นๆ ไปเหอะ ไม่ทันก็ปล่อยไป มึงให้กูเล่นแยกมึงก็รู้พี่นัทแม่งชอบอัดกู ไม่ยิ่งแพ้ไปใหญ่ไงวะ’

‘แพ้ได้ แต่ขออย่ามาตายเพราะกูเว้ย แบ่งๆ กับตาย ตามนี้’ ไอ้ปังไม่เถียงอะไรต่อ ผมผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็ลงไปยังสนาม ฝั่งตรงข้ามมีพี่นัทและพาร์ทเนอร์วอร์มรออยู่แล้ว ขอเอาเรื่องปวดกะโหลกวันนี้ไปทิ้งลงในเกมสักหน่อยแล้วกันครับ

...จริงๆ แล้วผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ว่าผมหลงรักแบดมินตันไปตั้งแต่ตอนไหน จำได้แค่ว่า ตั้งแต่นาทีที่ได้เริ่มจับลูก การวางหน้าไม้เพื่อเสริฟเปิดเกม หรือจังหวะที่ได้เห็นลูกขนไก่สีขาวลอยมาตรงหน้ารอให้ผมตบลงไปแบบสุดแรง หรือจะเป็นช่วงเวลาที่ไล่ตามเก็บลูกที่มาจากคู่แข่ง การที่เราได้เจอกับฝ่ายตรงข้ามที่มีฝีมือแตกต่างกันไป เก่งบ้าง มือใหม่บ้าง รวมถึงพาร์ทเนอร์ที่ไม่เคยยอมแพ้ เชื่อไหมครับ ยิ่งจังหวะที่พยายามดีดลูกตบจากฝั่งตรงข้ามให้ลอยกลับไปให้ได้นี่ยิ่งโคตรมัน สมัยตอนที่ผมมีแฟน ผมเข้ามาตีแบดบ่อยกว่าไปหาแฟนอีกครับ โดนด่าจนหูชา โดนงอนแล้วงอนอีก...

เกมแรกผ่านไป ผมแพ้จริงๆ ครับ พี่นัทแม่งตีโคตรโหด ไม่รู้หงุดหงิดอะไรมาหรือเปล่า ตบเอาตบเอา จนผมหอบแดกต้องแบกร่างไปตรงร้านขายน้ำ เดินก้มหน้าก้มตาสูดลมหายใจเข้าปอดจนไปชนเข้ากับใครคนนึง เป็นไอ้หน้าตี๋ๆ สักคนที่ผมรู้สึกคุ้นหน้า แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเคยเจอมาตอนไหน ไหล่เรากระแทกกันไม่ได้แรงมาก มันชะงักไปนิด เหมือนจะหันมามองผมแต่ก็ไม่ แล้วมันเดินผ่านผมไปเฉย ไม่พูดไรสักคำ แต่ก็ช่างแม่งครับ ผมเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดไรเหมือนกันตอนนี้

ช่วงก่อนจะเริ่มงานใหม่ กิจวัตรของผมก็ยังไม่ได้มีอะไรพิเศษครับ ส่วนใหญ่ผมใช้เวลาเตรียมตัวหาข้อมูลส่วนงานที่ผมต้องรับผิดชอบเพื่อเตรียมพร้อม ทบทวนภาษาบ้าง นอกนั้นก็ไปตีแบดแทบจะวันเว้นวันตามประสาคนโสดที่ไม่รู้จะไปไหนกับใคร  ผ่านไปประมาณสิบวัน ก็ถึงวันเริ่มงานใหม่ งานวันแรกๆ ไม่ค่อยยุ่งอะไรมากมายครับ ในแผนกเรียกกันว่าเป็นช่วงฮันนีมูน คือช่วงที่คอมพิวเตอร์ โปรแกรมที่ต้องใช้งาน หรืออะไรต่อมิอะไรยังเบิกได้ไม่ลงตัว ทำให้มีเวลานั่งง่วงเกือบทั้งวัน

Rrrrrrrrrrrr

โทรศัพท์ของผมสั่นจากสายเรียกเข้า หน้าจอเป็นชื่อไอ้ปัง

‘ว่าไง’

[โหล ไอ้ภู มึงรู้ยังที่นี่เค้ามีชมรมแบดมินตันด้วยนะเว้ย]

‘ยัง แล้วไงวะ’

[ก็กูจะลงแข่งกีฬาสีประจำปีให้ชมรม กูเลยไปบอกเค้ามาว่าได้พาร์ทเนอร์แล้ว เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่พอดี]

‘เดี๋ยวนะ มึงหมายถึงกูเหรอ’

[เออดิ งั้นกูจะโทรหามึงทำแป๊ะเหรอ]

‘สัส กูจะไหวเหรอวะ ไม่ใช่ไปทำให้เค้าแม่งแพ้ เดี๋ยวเค้าไล่กูออก’

[ไล่ออกพ่องดิ กูตีได้มึงก็ตีได้ เค้ามีซ้อมกันเย็นพรุ่งนี้ กีฬาประจำปีจะมีสองเดือนข้างหน้านี้ละ ตกลงตามนี้นะ]

‘เออๆ กูไงก็ได้’

[ดีมากเพื่อนรัก งั้นพรุ่งนี้มึงเตรียมของมา ละไปซ้อมกับกู แค่นี้]

ไอ้ปังตัดสายไปดื้อๆ ไม่ถงไม่ถามไรผมสักคำ...
ตอนนี้บทบาทหน้าที่นอกจากการเป็นพนักงาน ก็คือการเล่นกีฬาให้บริษัท อันนี้ผมโอเคนะครับ ถ้าจะให้ตีแบด ที่ไหน เมื่อไร ยังไง บอกผมได้ผมเอาหมด!!

วันถัดมาก็ถึงเวลาที่ผมต้องเริ่มมาซ้อมแบดกับชมรมของบริษัท ไอ้ปังดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะได้ข่าวว่าที่ชมรมมีสาวสวยๆ มาร่วมด้วย เรื่องเจ้าชู้ประตูผีต้องยกให้มันเลยครับ ส่วนผมมีแอบเกร็งนิดๆ ไม่รู้ว่าฝีมือคนในชมรมจะเวลสูงขนาดไหน ไอ้ปังขับรถพาผมมาจากออฟฟิศ ขับมาประมาณ 30 นาทีก็ถึง สนามซ้อมที่นี่ค่อนข้างหรูหราครับ เพราะได้เงินอัดฉีดจากบริษัท พนักงานเลยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่นั่นก็หมายถึงความหวังผลงานจากคนจ่ายเงิน นั่นก็คือต้องทำผลงานให้ดีที่สุด...ถูกต้องไหมครับ

‘กูแม่งเกร็งว่ะ’

‘เกร็งเชี่ยไร มึงตีกับกูมาสามปีละยังจะมาเกร็งอีก’ ไอ้ปังด่าผม

‘กูไม่ได้เก่งนี่หว่า กลัวเค้าผิดหวัง’ ผมรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที

‘มึงเก่ง..............ถึงจะน้อยกว่ากูนิดนึงก็เหอะ’ ครับแหม่...ถ้าจะพูดแบบนี้ ไม่ต้องชมกูก็ได้มั้งครับ ‘เอาน่า ก็ตีๆ ไป เน้นสนุก คิดไรมากมาย มีสาวให้ส่องด้วย กูอยากเจอจะแย่ละเนี่ย’

‘เรื่องนี้มึงไม่เคยพลาดเลยจริงๆ เดี๋ยวกูจะบอกน้องใบเฟิร์น’

‘หยุดความคิดไว้เลยครับคุณภู ผมนายขนมปังน้อย มาที่นี่เพื่อตีแบดจริงๆ ครับ ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลย’ ไอ้ปังรีบกลับลำทันที
 
...ผมก็แค่พูดเล่นแหละครับ ผมรู้มันรักแฟนมันขนาดไหน ถึงจะเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือนก็ตาม!!...

หลังจากแนะนำตัวกับสมาชิกที่มีอยู่ประมาณเกือบๆ 30 คนเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มจัดเกมเพื่อทำการซ้อม ไอ้ปังเอาแต่ส่องสาวสวยจริงๆ ครับ ถึงจะมีอยู่แค่คนเดียวก็เหอะ แต่ก็โคตรจะออร่า ไม่แน่ใจว่ามาจากส่วนงานไหน หน้าตาโคตรจะแบ๊ว แถมโนตม ผมยาว เอวคอด ขาเรียว แบบนี้เลยครับ สเป็กไอ้ปัง

ก่อนลงเกมผมเดินแยกมาเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด ห้องน้ำที่นี่แบ่งเป็นห้องอาบน้ำและห้องสุขาแยกฝั่งซ้ายขวา ผมเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ที่นี่จะไม่มีประตูนะครับ แต่เป็นผ้าม่านเอาไว้รูดปิด ห้องไหนม่านปิดไว้ก็เข้าใจตรงกันว่ามีคนอยู่ ผมเลือกเข้าห้องแรกสุด รูดม่าน แล้วก็จัดการเปลี่ยนชุดอย่างไว พอเปลี่ยนจากกางเกงสแลคเป็นกางเกงกีฬา ก็ค่อยถอดเสื้อเชิ้ตออก

แคว่กกก...

เสียงผ้าม่านเปิดออก ผมยังไม่ทันได้ใส่เสื้อเลยครับ เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดทำงาน ที่สำคัญมันห้อยป้ายพนักงานด้วยสายคล้องสกรีนชื่อบริษัทเดียวกับผม

‘เห้ย มีคนอยู่ครับ ผมปิดม่านไว้ไม่เห็นเหรอ’ ผมร้องเสียงดังด้วยความตกใจ ไม่ได้อายอะไรนะครับ ผู้ชายเหมือนกัน แต่จำได้ว่าผมปิดผ้าม่านไว้ แล้วก็ยังมีห้องว่างอีกตั้งหลายห้อง

‘โทษที’ มันพูดออกมา แต่สายตามันจ้องผมไม่กระพริบ งานจะเข้าผมอีกป่าววะเนี่ย ตาขวาเริ่มกระตุก

‘ไม่เป็นไร ออกไปได้ยังครับ’

‘คือ น้องมาจากบริษัท XXX เหรอครับ ไม่เคยเห็นหน้า’

‘ใช่ครับ เพิ่งมาครั้งแรก’

‘...’ มันยังคงยืนนิ่ง พร้อมกับส่งสายตาสำรวจร่างกายท่อนบนของผม

‘มีไรป่าวครับพี่ ผมจะเปลี่ยนเสื้อ’ น้ำเสียงผมเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดออกมาละครับ

‘ไม่มีไร แค่เห็น...น่ารักดี’ นั่งไงไอ้สัด เรื่องแบบนี้ลางสังหรณ์ในผมเคยพลาดที่ไหน เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้งครับที่โดนผู้ชายชม แล้วผมก็ไม่เคยดีใจเลยสักครั้งสาบาน

‘ขอบคุณ ออกไปได้แล้วครับ’ มันถอยหลังออกไปสองก้าว แต่ยังคงมองผมไม่ลดละ

‘ถ้าได้ตีด้วยกันวันนี้แล้วพี่ชนะ พี่จะมาขอเบอร์น้องนะครับ’ แม่งไม่จบ จะมาขอเบอร์ผมทำเชี่ยไร ผมไม่พูดต่อ รีบรูดผ้าม่านปิดแล้วคิดในใจ กูชอบผู้หญิงนะโว๊ยยยยย พวกมึงเข้าใจอะไรผิดกันป่ะเนี่ยยย วันนั้นก็เพิ่งเจอเหตุการณ์น่าขนลุกในร้าน KFC มาวันนี้ต้องเจอกับไอ้นี่อีกแล้วเหรอ ขออย่าให้เกมวันนี้ต้องได้เล่นกับมันเลย เชี่ยเอ๊ยยยยยยยย

พอเปลี่ยนชุดเสร็จผมเดินมาสมทบกับไอ้ปัง จึงได้รู้ว่าเกมแรกของผมถูกพี่ที่ชมรมวางไว้แล้ว ต้องเจอกับชายคู่มือต้นๆ ของชมรม แล้วไอ้ปังมันก็ชี้ไปดูเป้าหมาย

...เชี่ยย..ต้องตีกับไอ้ห่านนั้นจริงๆ ด้วย ชีวิต...!!


จบตอนแรกแล้วนะครับ สำหรับเรื่องราวแบบวายๆ และสนามแบดมินตันที่ผู้เขียนคุ้นเคยและอยากนำมาแบ่งปัน ถ้าหากเพื่อนๆ นักอ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วคอมเม้นต์ฟีดแบคไว้ให้จะดีใจมากเลยครับ อยากให้สนุกและโดนใจผู้อ่าน แล้วพบกันนะครับ


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบเห็นใจน้องภูนะนี่ อะไรมันจะดึงดูดผู้ชายขนาดนั้น ฮา

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 2
«ตอบ #6 เมื่อ14-07-2017 16:55:40 »

ตอนที่ 2 : คนเมารัก และนักแข่งแบด


ได้เวลาเริ่มเกมที่มีเดิมพันสุดแสนจะยิ่งใหญ่แล้วครับ นั่นก็คือถ้าผมแพ้ ผมจะถูกผู้ชายจีบ!!  เหมือนจะตลกแต่เอาจริงก็หัวเราะไม่ค่อยจะออก นี่ผมไม่ใช่สาวสวยโนตมสักหน่อย ผมก็เลยงงว่าไอ้พวกนี้จะมาอะไรกับผมกันนักกันหนา แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมหรอกครับ ขอสู้ตายถวายหัวเลยงานนี้ ตีแบดจนหมดลมก็ยังดีกว่าต้องยอมให้ไอ้หมอนั่นมาจีบ
และเกมนี้บอกเลยครับผมมีแผน แผนที่จะช่วยทำให้ผมไม่แพ้แน่นอน...

‘ไอ้ปัง มึงมานี่หน่อย’ ผมแอบส่งซิกเรียกมันให้เดินมาหาผมที่มุมสนาม ‘กูจะยอมทำอะไรก็ได้ที่มึงขอหนึ่งอย่าง...’

‘ห๊ะ อะไรของมึงวะภู’ ไอ้ปังทำหน้าเอ๋อ งงกับประโยคเมื่อสักครู่

‘เอาเถอะน่า ยังไม่ต้องถาม เกมนี้มึงบุกให้สุดแรงเลยนะ กูขอแค่ชนะ ถ้ามึงทำได้ กูจะยอมทำตามที่มึงขออย่างนึง โอเคป่ะ’

‘…มึงพูดจริงป่ะเนี่ย’

‘เชี่ยมึงไม่ต้องถามแล้ว เอาตามนี้นะเว้ย’ ไอ้ปังไม่ถามต่อ แต่มันยินดีรับข้อเสนอนี้แน่นอน เพราะมุกนี้ผมเคยใช้กับมันมาตั้งแต่สมัยเรียน แม่งได้ผลตลอด มีครั้งหนึ่งผมท้าให้มันเอาชนะนัดชิงเหรียญทองแดงในแมทช์กีฬามหาลัยที่ผมแข่งคู่กับมัน ถ้าทำได้ผมจะยอมขอเบอร์สาวที่มันโคตรจะปลื้มให้ แน่นอนว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ เพราะสาวนั่นมีแฟนแล้วเป็นรุ่นพี่คณะวิศวะ แต่เชื่อไหมครับ ไอ้ปังเอาแรงจากไหนมาตีก็ไม่รู้ อย่างกับกินกระทิงแดงมาสักเจ็ดขวด ตบเอาๆ จนชนะสองเซ็ตรวด ผมเลยต้องแบกหน้าไปขอเบอร์ให้มันจริงๆ เกือบได้ทานหมัดพี่วิศวะแทนข้าวแล้วครับ ดีนะเธอห้ามไว้ทัน ถึงตอนนั้นจะไม่ได้เบอร์สาว แต่การพูดจริงทำจริงของผมก็ได้ใจไอ้ปังไปเต็มๆ


...ฉะนั้นวันนี้บอกเลยครับว่า สำหรับไอ้ปังเนี่ย ถ้ามันเล่นสุดฝีมือ ฝ่ายตรงข้ามมีหนาวแน่นอน

แล้วก็เป็นอย่างที่บอกไว้เลยครับ ไอ้ปังกระโดดตบตู้มๆ จนฝ่ายตรงข้ามตั้งรับแทบไม่ทัน ยิ่งคนที่ไม่เคยตีด้วยกันมาก่อน ยิ่งจับทางกันยากครับ ส่วนผมก็ช่วยวางเกมด้านหน้าตาข่ายให้ เล่นกันอย่างไหลรื่นเพราะเป็นพาร์ทเนอร์กันมานาน จริงๆ แล้วฝีมือเราสองคนไม่เป็นรองอยู่แล้วครับ ตอนแรกก็แอบหวั่นๆ ว่าคู่มือต้นๆ ของชมรมจะเก่งขนาดไหน แต่พอมีข้อตกลงที่ผมเสนอให้ไอ้ปัง มันเลยจัดให้เต็มสตรีม  จบเกมเราชนะไป 2 – 0 เซ็ต แถมระหว่างเกมยังดึงดูดทุกสายตาของสมาชิกในชมรมให้มายืนล้อมดูจนได้รับคำชมว่าเป็นคู่ความหวังประจำปีนี้ไปอีก

‘ตีขนาดนี้เกลียดพวกพี่หรือเปล่าครับน้อง’ เสียงแซวจากคู่ต่อสู้ดังขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่ใช่จากไอ้คนที่มันบอกจะจีบผมนะครับ ไอ้นั่นแม่งนิ่งสนิท ได้แต่ส่งสายตามาให้ผมแทน

‘ไม่ได้ตีเต็มที่มานาน ขอบคุณพี่ๆ ด้วยนะครับ’ ไอ้ปังตอบอย่างสุภาพ ถึงมันจะชอบชัยชนะ แต่มันก็ถ่อมตัวเป็นครับ
‘ดีแล้วน้อง ฝีมือดีแบบนี้ ชมรมของเราจะได้มีความหวัง ปีที่แล้วตกรอบกันระนาวเลย ฮ่าๆๆ’

เสียงหัวเราะของสมาชิกในชมรมดังขึ้นมาพร้อมกับบทสนทนาอย่างสนุกสนาน สำหรับกีฬาแล้ว ไม่ว่าจะที่ไหนอย่างไร มันก็มักจะสร้างมิตรภาพดีๆ ได้เสมอ

หลังจากหมดเวลาซ้อม ผมกับไอ้ปังก็ว่าจะไปแวะหาอะไรกินกันก่อน ตีคู่กันไป 4 เกม ใช้พลังจนหมดแล้วครับ ขอเติมคืนสักหน่อย ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่ๆ

...ระหว่างทางเสียงไลน์จากมือถือของไอ้ปังดังขึ้น

‘มึงดูให้กูหน่อยดิ้ว่าใครไลน์มา’ ไอ้ปังพูดขึ้น

‘มึงดูเองดิวะ อาจจะเป็นสาวๆ ไลน์มาจีบก็ได้นะเว้ย กูไม่อยากเสือก’

‘กูขับรถอยู่ มึงจะให้กูดูยังไงวะ เสือกได้เลยมึง’ สรุปคือกูต้องเสือกอยู่ดี

เบื่อครับ เถียงกับมันไม่เคยชนะ ผมเลยหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ระหว่างเบาะขึ้นมา พร้อมกับกดไปที่ปุ่มล็อคครั้งหนึ่งให้หน้าจอทำงาน

............เชี่ยยยยย...........

ผมคิดในใจนะครับ ไม่ได้ร้องออกมาจริงๆ แต่ข้อความในนั้นทำให้ผมอึ้งไม่ใช่น้อย

‘ว่าไงมึง ใครไลน์มาวะ’

‘มึง... มึงอ่านเองดีกว่า ไว้ถึงร้านข้าวก่อนค่อยอ่านก็ได้เว้ย ไม่มีไรสำคัญอ่ะ’

‘อะไรของมึงเนี่ย ก็แค่อ่านให้กูฟัง มันยากไรวะ’

‘กูอยากให้มึงอ่านเอง’

‘มึงอ่าน!!’ ไอ้ปังเริ่มเสียงแข็ง คิดว่ามันคงพอเดาออกแล้วว่าต้องมีอะไรแน่ๆ จนปัญญาที่ผมจะปฏิเสธมันละครับ

‘น้องใบเฟิร์นไลน์มา...’

‘แล้วไงวะ น้องเค้าว่าไง’

‘...เอ่อ’

‘ไอ้เชี่ยภู...’

‘เค้าไลน์มาบอกเลิกมึง!!’ ผมพูดเสียงดังลั่นรถราวกับขว้างภูเขาในอกใส่ไอ้ปัง นี่มันเรื่องของคนสองคนชัดๆ ทำไมผมต้องเป็นคนสื่อสารให้พวกมันด้วยวะเนี่ย

‘…’

‘มึง’

‘…’

‘มึงโอเคป่ะวะไอ้ปัง’

‘มึงบอกเองใช่ป่ะ ว่ากูจะขอไรมึงก็ได้อย่างนึง’ ไอ้ปังทวงสัญญาที่ผมให้ไว้ตอนตีแบด

‘เออ มึงจะขอไรวะ’

‘ไปแดกเหล้าเป็นเพื่อนกู’

‘อะ เออๆ ได้ดิ เมื่อไรวะ’
 
‘เดี๋ยวนี้!!’ เชี่ยยยยย กูยังมีสิทธิ์ปฏิเสธป่าวว๊า พรุ่งนี้ทำงานเช้านะเว้ยยยย


…แต่ก็นั่นแหละครับคุณผู้ชม ไม่มีแม้คำปฏิเสธใดๆ หลุดออกมาจากปากผม เพราะนาทีนี้คำสัญญาที่ให้ไว้ ยังไม่สำคัญเท่าหัวใจเพื่อนรักที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ

15 นาทีต่อมา ไอ้ปังเลี้ยวรถมาจอดที่หน้าร้านประจำ ที่ผมกับมันกอดคอเมากันมาตั้งแต่สมัยเรียน หน้าร้านมีป้ายตัวโตๆ บอกชื่อร้าน ‘ใครเมา’ ร้านนี้ค่อนข้างลึกลับ ต้องเข้าซอยเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหลายทีกว่าจะถึง แถมร้านก็เล็กๆ มีอยู่ 10 โต๊ะเห็นจะได้ ครั้งแรกที่มาบอกเลยครับว่าหลงกันมา ขับรถเข้าซอยผิด เลี้ยวกันจนงงอยู่ดีๆ มาโผล่ร้านเหล้าเฉย เลยชวนๆ กันแวะ ตั้งแต่นั้นมาเวลาอยากเมาก็มาที่นี่กันตลอด ร้านไม่ติดถนนใหญ่ เมาแล้วออกไปกลิ้งได้ไม่ต้องกลัวรถเหยียบครับ
วันนี้ลูกค้าไม่แน่นมาก เพราะพรุ่งนี้เป็นวันทำงาน พวกผมสนิทกับเจ้าของร้านดี นั่งปุ๊บมองหน้าเด็กเสริฟเป็นอันรู้กันปั๊บว่าผมจะสั่งอะไร

‘มึงตอบน้องเค้าไปยังวะ’ ผมลอบถามอาการไอ้ปัง

‘กูต้องตอบด้วยเหรอ’ เชี่ยย หน้าแม่งโคตรนิ่ง มึงจะพระเอกไปไหนครับ

‘ไม่ตอบแล้วจะเคลียร์เหรอวะ ถ้ามึงไม่อยากเลิกมึงก็ถามเหตุผลน้องเค้าแล้วช่วยกันหาทางออก ถ้ามึงยอมเลิก มึงก็คุยให้มันจบด้วยดี มึงปล่อยไว้แบบนี้ไม่ค้างคาเหรอวะไอ้ปัง’

‘ช่างแม่ง กูยังไม่ตอบ ปล่อยไว้งั้นแหละ’ นี่ไงคนจริง เจอสาวบอกเลิกเลยไม่อ่านข้อความแม่งเลย นิ่งไว้ก่อน สงสัยค่อยไปนอนก่ายหน้าผากทีหลัง ‘วันนี้มึงแค่แดกเป็นเพื่อนกูก็พอ กูอยากเมา’

…จบประโยคนี้ของไอ้ปัง ผมกับมันก็นั่งกินเหล้ากันแบบไร้บทสนทนา นอกจากเสียงเพลงที่โคตรเข้ากับบรรยากาศตอนนี้
 
        เพราะอะไร เหตุใดเธอต้องไป รักของเราที่สวยงาม จางหายไปตอนไหน
       เพราะอะไร คำถามยังค้างในใจ อยากขอสักครั้งได้ไหม กลับมาตอบคำถามที่มีแต่เธอที่รู้...


ไอ้ปังแม่งกระดกเอาๆ แก้วต่อแก้ว แทบไม่มีช่วงพัก ผ่านไปสัก 20 นาทีได้ เหล้าขวดแรกกำลังจะหมด

‘เชี่ยปัง ใจเย็น พรุ่งนี้ทำงานนะเว้ย’

‘ทำก้อออ ทามเส่ะวะ กูม่ายได้มาวเว้ย’ ครับ ไม่เมาเลยครับ เสียงยานจนแทบจะไม่เป็นคำ
 
‘เออ ไม่เมาก็ไม่เมากูรู้แล้ว แต่หมดขวดนี้ก็พอได้แล้วนะมึง นี่จะตีหนึ่งแล้ว เดี๋ยวตื่นสายกันพอดี’

‘กลัว อารายยยวะเชี่ยปัง ตื่นไม่ไหวก็ลาแม่งเลยย’

‘ลาเชี่ยไร กูเพิ่งมาทำยังไม่ถึงเดือน ไม่ได้ทำมาแล้วเป็นปีอย่างมึงจะได้นึกอยากลาก็ลา สัส ไปๆ พอแล้วมึง’

‘ยังไม่หมดขวดดด มึง จะ รีบบ ปายย หนายยย....’ เพล้งงง!!


...สัสปัง เล่นกูแล้วไง บอกไม่เมาแต่แม่งตาปิดจนแก้วเหล้าหลุดมือแตกกระจายจนเค้าหันมามองกันทั้งร้าน แถมไม่พูดห่าไรต่อ หลับคอพับไปเลยครับ ทิ้งกูไว้ให้รับผิดชอบทั้งค่าเหล้าและชีวิตเมาๆ ของมึง ยากเลยทีนี้ ต้องทุลักทุเลแบกร่างควายๆ ของมันไปที่รถ ดีนะไอ้นี่เมาแล้วนิ่ง ไม่หือไม่อือ แต่ตัวแม่งโคตรหนัก ผมเลยต้องเรียกพนักงานร้านมาช่วย แถมพี่เจ้าของร้านก็ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องแก้ว เป็นลูกค้ากันมาหลายปี ผมขอใช้เครดิตความสนิทวันนี้เลยแล้วกันครับ


ผมขับรถไอ้ปังเพื่อมาส่งมันที่คอนโด โชคดีที่ผมดื่มไปไม่ถึงแก้ว นอกนั้นเป็นน้ำอัดลมล้วนๆ (เอาไว้ชนแก้วกับมัน)  เพราะผมกลัวว่าพรุ่งนี้จะตื่นทำงานไม่ไหว ปล่อยให้เพื่อนที่กำลังเฮิร์ทโซโล่ไปแบบจัดเต็ม เลยไม่มีปัญหากับการขับรถ
พอจอดรถเสร็จ ผมก็พยายามสะกิดให้มันตื่น…

‘เชี่ยปัง ถึงแล้ว’

‘…’

‘ไอ้เชี่ยปัง’

‘…’ หมายเลขที่คุณเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...

เอาไงดีวะ แบกมันคนเดียวจะไหวมั้ยเนี่ย ผมถามตัวเองเหมือนมีทางเลือกอื่น

‘ไอ้ห่านี่คราวหน้ากูจะทิ้งมึงให้นอนแม่งกลางร้านเหล้า’ ผมบ่นพร้อมกับเดินอ้อมไปทางประตูรถฝั่งมัน ค่อยๆ แซะร่างยักษ์ออกมาจากรถ

‘น้องเฟิร์นแม่งทิ้งกูววววววว’ เหมือนมันจะเริ่มมีสติขึ้นมา อาการพร่ำพรรณนาก็บังเกิด

‘เชี่ยปัง ตื่น ถึงคอนโดแล้ว ขึ้นไปนอนไอ้สัส’

‘กูจา เดินนไปหา น้อง เฟิร์นนนนน’

‘น้องเฟิร์นพ่อง มีแต่กูเว้ย น้องเฟิร์นไว้ค่อยเคลียร์ ตอนนี้มึงลุกก่อน’

‘กูลุกได้ กูไม่มาววววววว’ มันยังคงลากเสียงยาน แต่มันก็พอจะดึงสติกลับมาได้บ้าง สังเกตจากที่มันเริ่มลืมตาขึ้นมาได้สัก ครึ่งมิล มันหันซ้ายที ขวาที เพื่อจูนสติ  ‘นี่มันคอนโดกูวววนี่หว่า มาได้ไงว้า’

‘เออ นี่แหละคอนโดมึง กูเรียกปอเต๊กตึ๊งมารับ เชี่ยตัวอย่างกะควาย กูแบกคนเดียวไม่ไหวเว้ย’

‘แล้วมึงจามาแบกกูทำไม กูเดินเองได้ไอ้ภู’ พูดจบมันก็ค่อยๆ ตะเกียกตะกายออกมาจากรถ แล้วยืนโยกไปโยกมา

‘มึงไหวป่าววะ’ ผมยังห่วงกลัวมันจะเดินไปนอนกลางน้ำพุหน้าคอนโด

‘กูหวายย มึงกลับได้ ไม่ต้องห่วงครับเพื่อน’

‘แน่นะมึง จำเลขห้องได้ป่ะเนี่ย’

‘1011 ชั้น 10 ไงไอ้สัส มึงลืมเหรอ’ ด่ากูไปอีกไอ้ห่าน
 
‘เออกูลืม ถ้ามึงไม่ลืมก็ดีแล้ว นี่กุญแจห้อง กุญแจรถ กระเป๋าตังค์มึง ส่วนกระเป๋าแบดมึงค่อยมาเอาตอนเช้าก็ได้ไว้ในรถนี่แหละ กูจะกลับละ’

พอเห็นว่ามันไหว ผมก็จะได้กลับห้องผมบ้าง นี่ก็จะตีสองแล้วครับ แถมต้องไปเรียกแท็กซี่อีก  ดีนะคอนโดอยู่ไม่ไกลกันมาก พรุ่งนี้ผมต้องตื่นหกโมงครึ่งทำงาน ส่วนไอ้ปังมันยังลาป่วยได้ สบายเลยสิมึง 

‘เออๆ มึงกลับไปเลยชิ่วๆ กูจานอนนนน’ ไอ้ปังทำท่าโบกมือไล่ ผมไม่สนใจละครับ เดินออกมาหน้าคอนโดปล่อยให้มันรับผิดชอบตัวเอง เพราะถ้ามัวช่วยรับผิดชอบมัน พรุ่งนี้ผมตายแน่ๆ


08.15 น.

Rrrrrrrrrrrrrrr

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นขณะกำลังรีบเดินไปออฟฟิศ สภาพหน้าตาผมตอนนี้นี่ลูกชายหลินปิงดีๆ เลยครับ นอนเกือบตีสามตื่นหกโมงครึ่ง สติยังมาไม่ครบเลย

...ผมมองไปที่เบอร์โทรเข้า ไอ้ปังนี่หว่า ...

‘สร่างแล้วเหรอคร้าบเพื่อนปัง’ ผมรับสายด้วยคำพูดเพราะๆ

[เชี่ยภู เมื่อคืนมึงพากูไปนอนที่ไหนวะ]

‘นอนที่ไหนอะไรวะ ก็มึงบอกจะเดินกลับขึ้นห้องเอง โบกมือไล่กูยิกๆ กูเห็นมึงพอมีสติ กูก็กลับ มีเชี่ยไรวะ’

[เชี่ยยยยยยย……]

‘ทำไมวะมึง’

[กูแม่งไปนอนอยู่ห้องใครไม่รู้ เพิ่งตื่นมาเนี่ย เชี่ยเกือบต่อยมันแล้วสัส]

‘เห้ยย ไรของมึงวะ มึงไปนอนห้องใคร ยังไง กูงง’


เหมือนจะมีเรื่องยาวๆ มาช่วยเรียกสติผมได้ดียิ่งกว่าตอนนาฬิกาปลุกอีกซะครับ แน่นอนว่าผมต้องคาดคั้นมันแน่ๆ ความอยากเผือกมาเต็มกว่าความห่วงเพื่อนซะอีก มันเป็นผู้ชายตัวเท่าควาย  เรื่องใครจะมาทำอะไรมันผมคงไม่ต้องห่วง...มั้งครับ



[คือกูตื่นมาอยู่บนโซฟาห้องใครแม่งก็ไม่รู้ แต่กูจำหน้ามันได้แม่นเลย มันบอกเห็นกูนอนเมาอยู่หน้าลิฟต์ ถามไรกูก็ไม่ตอบ มันเลยพามานอนโซฟาห้องมัน แถมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กูด้วย บอกกูอ้วกเลอะเต็มอก แม่งบอกลากกูไม่ไหว ต้องให้ รปภ. มาช่วย มันจะทำไรกูป่าววะเนี่ย เชี่ยยยยย พรหมจรรย์ของหนุ่มหล่ออย่างกูววววว]

‘ใช่เวลาชมตัวเองป่าววะ แล้วมึงจำเลขห้องได้ป่าวล่ะ ไว้มึงมีสติครบเมื่อไรมึงก็ค่อยไปถามอีกทีดิ ว่ามันจับมึงทำเมียป่าว 555’

‘ไอ้สัสไม่ขำเว้ย ห้องมันแม่งอยู่ห้องมุมติดกับห้องกูเนี่ย ทำไมกูจะจำไม่ได้’

‘โห พรมลิขิตสัส มึงต้องได้เจอมันอีกแน่’

‘กูไม่อยากเจอโว้ยยยย’

‘เชี่ยเบาๆ หูกูจะแตก แล้วนี่มึงจะมาทำงานป่าววะ’

‘ไม่ว่ะ ไม่ทันละ กูลาป่วยแม่ง เดี๋ยวกูจะเคลียร์กับน้องเฟิร์นด้วย ไว้ตอนเย็นเจอกันที่สนามแบดเลยมึง’

‘เออๆ เรื่องมึง แค่นี้ก่อน กูถึงออฟฟิศละ’


ผมวางสายจากมันแบบไม่ได้สนใจไรมาก ไม่ได้เป็นไรแม่งก็ดีแล้วป่าววะ แค่นอนผิดห้อง ดีกว่านอนคากองอ้วก ทำอย่างกับเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปได้...





...ในที่สุดวันแข่งกีฬาบริษัทก็มาถึง สองเดือนตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ ผมซ้อมแบดทั้งกับชมรมของบริษัท และก๊วนประจำที่ผมไปกับไอ้ปังแทบทุกวันหยุด เรียกได้ว่าว่างไม่ได้ ต้องหาเรื่องตีแบดกันตลอด เงี้ยแหละครับ คนโสดสองคนต้องมาอยู่ด้วยกัน ไม่มันชวนผม ผมก็ชวนมัน เจอกันจนจะเบื่อหน้ากันตายอยู่แล้ว

อ่อ...ผมลืมบอกไปครับ ตั้งแต่วันนั้นไอ้ปังก็ไม่ได้คุยกับน้องใบเฟิร์นอีก แล้วมันก็ไม่ค่อยเล่าอะไรให้ผมฟังเท่าไร เท่าที่ผมรู้คือ มันไม่ยอมกดเข้าไปอ่าน line ของน้องเค้าอีกเลย  ผมแอบแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมคราวนี้มันถึงถอดใจง่ายจัง ไหนบอกชอบน้องเค้านักหนา แต่ผมก็ไม่ถามนะครับ อยากเล่าเดี๋ยวมันก็เล่าเอง ขนาดเรื่องที่มันไปนอนห้องใครก็ไม่รู้แล้วตื่นมาก็โวยวายกับผมอย่างกับโดนใครเค้าจับทำมาเมียมา มันยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อเลยครับ บอกตรงๆ เฉพาะเรื่องนี้แหละที่ผมโคตรอยากเผือก เดี๋ยวคงต้องหาโอกาสลองถามมันดูสักหน่อย

ประมาณแปดโมงกว่าๆ ผมเดินทางมาถึงสนามแข่งกีฬาสีประจำปีของบริษัท ยอมรับเลยครับว่าเงินทุนของที่นี่หนาจริงๆ แม่งเล่นปิดโซนของสนามกีฬาระดับเขตวันนึงเต็มๆ เพราะการแข่งขันมีทั้งฟุตบอล บาสเก็ตบอล ว่ายน้ำ วิ่ง แล้วก็แบดมินตันครับ เนื่องจากบริษัทนี้ มีเครือบริษัทลูกอยู่อีก 3 แห่ง รวมกับสำนักงานใหญ่แล้วก็ทำให้มีพนักงานมากถึง 4,000 กว่าคน ถือเป็นการรวมตัวของพนักงานและผู้บริหารแทบจะทั้งหมด สำหรับพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำได้แค่สองเดือนกว่าๆ อย่างผม แน่นอนครับว่าตื่นเต้นโคตรๆ

      แกๆ หล่อว่ะดูดิ
      กรี๊ดดด ดูน้องคนนั้นดิ ทำอยู่เครือไหนเนี่ย หล่อมาก
      น้องหล่อจังเลยค่า มีแฟนหรือยังงงง



ตั้งแต่ไอ้ปังมันจอดรถและเดินลงมา ก็ดูจะเป็นเป้าสายตาของทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ เพราะเกือบจะทุกคนที่เดินสวนกับมันนี่มองกันเป็นตาเดียว แล้วมันก็ดูจะชอบนะครับ ส่งสายตาให้เค้าไปทั่ว

‘ขอโทษครับ’ ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากแซวไอ้ปัง ใครคนหนึ่งก็เดินมาชนผมจนกระเป๋าไม้แบดแทบจะหลุดจากบ่า ‘เป็นไรไหมครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ’

‘เอ่อไม่เป็นไรครับ’

‘ให้ผมเลี้ยงน้ำเป็นการขอโทษดีไหมครับ’

‘ไม่ต้องก็ได้ครับพี่ ผมไม่เป็นไรจริงๆ’ ผมตัดบทแล้วยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะรีบแยกตัวออกมากับไอ้ปัง


...นี่มันกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตผมไปแล้วหรือไงวะ!!


‘เสน่ห์แรงเหมือนเดิมนะมึง’ ไอ้ปังแซวผมขึ้นมา แถมทำหน้าเย้ยๆ แบบยิ้มมุมปาก

‘เสน่ห์เชี่ยไรวะ มีแต่ผู้ชายมาทำแบบนี้กับกูทั้งนั้น มึงคิดว่ากูจะดีใจมั้ย’

‘กูจะไปรู้มึงเหรอวะ ตั้งแต่เป็นเพื่อนมึงมา ก็เห็นมึงโดนแบบนี้มาตลอด แต่ก็ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องมาแย่งกู ให้พวกผู้ชายแซวมึงไป ส่วนสาวๆ นี่กูขอ ดีป้ะ 555’

‘ดีพ่อง กูชอบผู้หญิงนะโว้ย’ ผมตอบกลับไปอย่างหน้าบึ้งๆ นี่ผมทำกรรมอะไรไว้หรือเปล่าถึงต้องมาเจอแต่เพศเดียวกัน จริงๆ แล้วสาวๆ ก็มีนะครับที่มาส่งสายตาส่งยิ้มให้ผม แต่พูดเลย ไม่ถึงครึ่งของไอ้พวกนั้น เห้อออ...ชีวิต


สำหรับกีฬาบริษัทวันนี้จะแบ่งออกเป็น 4 สีครับ แต่ละสีก็จะแบ่งตามแต่ละเครือบริษัทไปเลย เพราะความสะดวกในการซ้อมกีฬาจะง่ายกว่าคละรวมกัน เนื่องจากแต่ละเครือบริษัทไม่ได้อยู่ใกล้กันนัก ผมกับไอ้ปังที่อยู่สำนักงานใหญ่อยู่ทีมสีเหลืองครับ นอกจากนี้ก็มีสีฟ้า ชมพู แล้วก็เขียว ผมเดินกันมาจนถึงโดมสำหรับแข่งแบดมินตัน ภายในถูกจับจองไว้โดยแต่ละสีแล้วครับ สีของผมอยู่ริมในสุดทางฝั่งซ้าย ตรงข้ามกับสีชมพู ผมฝากกระเป๋าไอ้ปังเข้าไปไว้ก่อน เพราะตอนนี้ปวดฉี่มาก อั้นไว้ตั้งแต่ 15 นาทีก่อน


หลังจากที่ผมปฏิบัติกิจเสร็จเรียบร้อย ก็เดินมาล้างมือที่หน้ากระจก เช็คความหล่อตัวเองได้ไม่ทันไร ก็หันไปเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เป็นคนหน้าตี๋ๆ คนหนึ่งที่คุ้นตา(อีกแล้ว) มันยืนนิ่งปล่อยให้น้ำไหลผ่านมือไป สายตามันดูเหมือนจะมองมาทางผมแว้บๆ แล้วก็เสมองไปทางอื่น ผมลอบมองมันอยู่สักแป้บ ในใจก็นึกไปว่า ผมเคยเห็นหน้ามันที่ไหนมาก่อน ตาขีดๆ หยีๆ เป็นเส้นเดียว แต่ก็ดูสดใสดี จมูกก็โด่งได้รูป หน้าขาวๆ ของมันนี่หล่อชะมัด เรียกได้ว่าถ้าเทียบกับไอ้ปังนี่สูสีเลยครับ ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงต้องกรี๊ดมันแน่ๆ ผมมองไปคิดไปแบบไม่รู้ตัวจนมันพูดขึ้นมา

‘หน้ากูมีอะไรติดเหรอไง’

‘…’

‘เห้ย ได้ยินป่ะเนี่ย’

‘…หะ ห๊ะ ว่าไง’ ผมหลุดจากความคิดขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัวว่า ยืนจ้องหน้ามันอยู่เป็นนาทีเห็นจะได้

‘ก็เห็นยืนจ้องหน้ากูอยู่ มีอะไรหรือเปล่า หน้ากูมีอะไรติดอยู่หรือไง’ มันถามพร้อมทำตาหรี่ๆ แหม่..ไม่ต้องหรี่ตามันก็แทบจะไม่ลืมอยู่แล้วคับ

‘ปะ เปล่า ไม่มีไร โทษที’ ผมรีบหลบตาแล้วมองลงมาที่ก๊อกน้ำ ทำเป็นถูมือแรงๆ แก้เขิน นี่ผมมองจนมันรู้ตัวเลยเหรอวะเนี่ย

‘...’ มันไม่พูดอะไร ได้แต่มองผมอยู่สักสองสามวิเห็นจะได้ แล้วก็เดินออกไปด้วยท่าทางกวนๆ ผมแอบมองมันตามหลัง ได้แต่คิดในใจว่ามันจะคิดว่าผมจะหาเรื่องมันป่าววะ หรือคิดจะประกาศศึกก่อนแข่ง อยู่สีตรงข้ามกันด้วย (ผมรู้เพราะมันเปลี่ยนเสื้อเป็นสีชมพูแล้ว) นี่ผมป่าวนะเว้ย แค่รู้สึกคุ้นหน้าแค่นั้นเอง


...และที่สำคัญ ทำไมผมถึงต้องรู้สึกหน้าร้อนๆ ด้วยวะครับ...

*************************************************************
จบตอนที่ 2 แล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เรื่องของกฏกติกาการแข่งแบดอาจจะอธิบายเยอะหน่อย กลัวคนที่ไม่เคยตีแบดจะไม่เข้าใจเอาน่ะครับ ตอนนี้มีการพบเจอกันของตัวละครเกิดขึ้นบ้างแล้ว ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป รับรองว่าสนุกแน่นอน แล้วพบกันตอนต่อไปนะคร้าบ

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o8:ไหนไม่ชอบผู้ชายไงอะภู  :laugh:

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 3
«ตอบ #8 เมื่อ19-07-2017 12:00:02 »

ตอนที่ 3 : ความซวยของคนมอง

[มุมของปัง]
‘เค้าไลน์มาบอกเลิกมึง!!’ เสียงไอ้ภูยังคงดังก้องอยู่ในหูของผม
 
บอกตรงๆ เลยครับว่าผมไม่กล้าเปิดอ่านข้อความนี้จากน้องเฟิร์น ยังไม่แน่ใจว่าตัวผมเองจะทำใจได้ เพราะตั้งแต่ผมคบกับน้องเค้า ผมก็บอกตัวเองว่าจะเลิกนิสัยเจ้าชู้ และจริงจังกับน้อง อย่างมากก็แค่แอบเหล่แอบมองสาวอื่นบ้างพอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ แต่ก็ไม่เคยเกินเลยไปกว่านั้น

7 เดือนที่ผ่านมาถามไอ้ภูได้เลยว่าผมปฏิเสธสาวๆ ไปกี่คน นี่ไม่ได้คุยนะครับ แต่อดีตเดือนคณะอย่างผม คิวหัวใจแทบไม่เคยว่างตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วครับ แต่พอคิดจะจริงจังกับใคร ก็เสือกมาโดนบอกเลิกซะเองแบบนี้ จะไม่ให้เสียใจได้ไง…

‘ไปแดกเหล้าเป็นเพื่อนกู’ ผมออกปากชวนไอ้ภูทั้งที่รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันทำงาน

‘อะ เออๆ ได้ดิ เมื่อไรวะ’ และผมก็รู้ว่าไอ้ภูมันก็ต้องตื่นแต่เช้า

‘เดี๋ยวนี้!!’ แต่ผมอยากเมาโว้ยยย ผมเฮิร์ททททททท!!!

ร้าน ‘ใครเมา’ คือจุดหมายปลายทางของผม พอไปถึงก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก ผมเอาแต่ดื่ม ดื่ม ดื่ม และดื่ม จนนับแก้วแทบไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีเหล้าก็กำลังจะหมดไปพร้อมกับสติซะแล้ว เวลาเมาๆ มันก็ดีนะครับ เหมือนอยากจะหลับอย่างเดียว เกือบลืมแม้กระทั่งเหตุผลที่ผมบังคับให้ไอ้ภูต้องมานั่งคอยชนแก้วอยู่ตรงนี้ด้วย ได้ยินมันพูดอะไรแว่วๆ อยู่ในหูสักพัก หลังจากนั้นผมก็แทบจำอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่ามาอยู่ที่จอดรถใต้คอนโดของผมเองแล้ว ไอ้ภูที่ยืนอยู่ข้างประตูรถกำลังพยายามเรียกให้ผมลุกออกมา

‘เชี่ยปัง ถึงแล้ว’

‘…’ ไอ้ห่านี่แม่งก็เรียกอยู่ได้ ให้กูตั้งสติก่อนดิวะ 
 
...ผมไม่ได้เมาสักหน่อย ผมแค่มองเห็นอะไรหมุนไปหมุนมา ติ้ว ติ้ว ติ้ว... พยายามพยุงตัวเองให้ยืนต้านแรงโน้มถ่วง เดินไปขึ้นลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกลเดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว ไม่น่ายากเกินกว่าจะทำได้ คิดแบบนั้นก็เลยไล่ไอ้ภูให้กลับไปก่อน เพราะยังพอเหลือสติให้คิดได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันพฤหัสบดี มันต้องทำงาน ผมก็ต้องทำงาน และผมจะไปทำงานให้ได้ เมาแค่นี้ทำไรผมไม่ได้หรอก

ผมเดินไปถึงลิฟต์อย่างทุลักทุเล อีกแค่ 10 ชั้นก็ถึงเตียงแล้วไอ้ปัง มึงต้องไหว เดินไป กดลิฟต์ ขึ้นไป เชี่ยยย...ทำไมลิฟต์แม่งให้ความรู้สึกอย่างกับเรือไวกิ้งเลยวะ เหมือนมันจับผมส่ายไปส่ายมา ของเหลวในร่างกายผมเหมือนจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวไปแล้วตอนนี้  ใจเย็นนะครับ ชั้น 7 ชั้น 8 ชั้น 9 ถึงแล้ว...
ติ๊งงง....เสียงลิฟต์ส่งสัญญาณบอกว่าถึงชั้น 10

……..อ๊วกกกกกกกก

ไม่ทันละครับ ผมปล่อยเศษซากของกับแกล้มและ Black label ที่ได้กระดกไปออกมาจนเต็มพื้นไปหมด เท่าที่จำได้คือผมโคตรมึน มึนจนไม่รู้จะลากตัวเองไปไหนละครับ  ไม่สนแล้วด้วยว่าอ้วกผมมันพุ่งไปตรงไหนบ้าง ขอนอนพักตรงนี้แพพนึงก่อน ตื่นมา ค่อย ว่า กานนน
...
...
...
... 


07.50 น.

ผมรู้สึกว่าหัวของผมมันหนักเหมือนกับโดนอะไรวางทับไว้ ทั้งตื้อทั้งปวด ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วมองหาตู้เย็นที่อยู่ตรงครัวมุมห้อง ปกติผมซื้อน้ำส้มติดตู้เย็นไว้เยอะครับ วันไหนไปดริ๊งแล้วตื่นมามีอาการประมาณนี้ผมก็จะดื่มทีละขวดสองขวดให้สมองมันสดชื่น แต่วันนี้ผมมองไป เอ๊ะ...ทำไมตู้เย็นมันกลายเป็นสีนี้วะ แถมเคาท์เตอร์ครัวก็กลายเป็นสีดำ มีแจกันดอกไม้ใบใหญ่วางไว้ด้วย ปกติผมไม่เคยเอาอะไรพวกนี้มาวางนี่หว่า

...มีใครแอบเข้ามาห้องผมป่าววะ...

ผมกวาดสายตาไปมาอย่างงงๆ ก่อนจะมองกลับมาที่ปลายเท้าตัวเอง แล้วไล่ขึ้นมาที่ขา อ้าว ทำไมผมใส่กางเกงบอกเซอร์สีนี้ล่ะ เสื้อยืดก็ดูไม่ค่อยคุ้น มีลายสกรีนเป็นรูปหัวใจดวงบะเริ่ม แถมที่นอนอยู่นี่มันโซฟาหนังสีดำนี่หว่า ไม่ใช่เตียง และที่สำคัญ...ห้องผมไม่ได้มีโซฟาแบบนี้ ไอ้เชี่ยยยย....

ผมเด้งตัวขึ้นมาอย่างกับสปริง ลืมอาการหนักหัวไปในทันที ที่นี่มันที่ไหนวะ!!!

‘ตื่นแล้วเหรอครับ’ เสียงหนึ่งแว่วมาจากทางห้องนอนที่อยู่ถัดไปจากตรงที่ผมนั่งอยู่ ผมค่อยๆ หันหน้าอย่างช้าๆ ไปตามต้นเสียง

 ‘ผมเห็นคุณเมาไม่รู้เรื่อง ก็เลยพาคุณมาพักที่นี่’

…เชี่ยแล้วไง ไอ้นี่ใครวะเนี่ย ผู้ชายหน้ายิ้มที่มีไรหนวดบางๆ ผมมันดูชี้ไปมาแบบคนเพิ่งตื่น มันดูสูงทีเดียว เสื้อกล้ามตัวโคร่งๆ ที่มันใส่ทำให้พอจะเห็นว่าแขนมันมีกล้ามเนื้อสมส่วน มันทักทายพร้อมรอยยิ้ม แม่งจะยิ้มทำไมนี่ต้องเป็นห้องของมันแน่ๆ ว่าแล้วเชียวว่าทำไมเสื้อผ้าที่ใส่มันดูแปลกๆ ข้าวของในห้องก็ไม่คุ้น สาดดดดด กูโดนมันทำไรป่าววะเนี่ยยยยยย

‘มึงเป็นใครวะ แล้วพากูมานอนที่นี่ได้ไง’ อารมณ์ผมขึ้นทันทีที่รู้ว่า ผมถูกไอ้ผู้ชายที่ไหนไม่รู้พามาอยู่ในห้องมัน แถมยังจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเสร็จสรรพ นี่กางเกงในกูยังเป็นตัวเดิมป่าววะเนี่ย

‘ใจเย็นครับ เมื่อวานผมเห็นคุณเมาจมกองอ้วกอยู่หน้าลิฟต์โน่น พยายามเรียกเท่าไรคุณก็ไม่ตอบ ผมไม่รู้จะทำไงก็เลยเรียกให้ รปภ. มาช่วย ถามจนเหนื่อยใจ สุดท้ายไม่รู้ว่าคุณอยู่ห้องไหนเลยพามานอนที่นี่ก่อน นี่ต้องแบกกันสองคนเลยนะครับ ตัวหนักใช่เล่นนะคุณ’ มันยังคงพูดไปยิ้มไป นี่กูไม่ตลกนะเว้ย

‘แล้วทำไมไม่พากูไปที่นิติบุคคล’

‘คุณ มันเกือบตีสามแล้วนะครับ นิติที่ไหนจะมาเปิดให้คุณ ผมพยายามถามห้องคุณแล้ว คุณไม่ตอบผมเองนะ’

‘แล้วเสื้อผ้ากู มึงเปลี่ยนทำไม มึงทำอะไรกูป่าววะเนี่ย กูต่อยมึงตายจริงนะเว้ย’

‘จะไม่ให้เปลี่ยนได้ไงล่ะครับ อ้วกเลอะทั้งเสื้อทั้งกางเกง เหม็นอย่างกะสกั๊งค์ ผมก็เลยเปลี่ยนให้ คุณก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย ผมจะไปทำไรคุณล่ะครับ 555’

…แม่งมันยังขำไม่หยุด ผมแอบแง้มขอบกางเกงบ็อกเซอร์ดู เห็นกางเกงในผมยังเป็นตัวเดิม ค่อยอุ่นใจขึ้นมานิด

‘เอาเสื้อผ้ากูมา กูจะไปแล้ว’ ผมจะไม่ทิ้งอะไรไว้ที่ห้องไอ้นี่แน่นอนครับ แค่นี้ผมก็ทั้งอายทั้งหงุดหงิดมันจะแย่แล้ว ชีวิตนี้ขอไม่ต้องเจอหน้ามันอีกจะดีที่สุด

‘ผมโยนลงเครื่องซักผ้าไปแล้ว น่าจะยังปั่นไม่เสร็จ ไว้คุณค่อยมาเอาวันพรุ่งนี้ก็ได้ครับ’

‘ใครบอกว่ากูจะมาอีกวะ’ ผมพูดพร้อมกับลุกอย่างเร็วแล้วพุ่งตัวไปที่ประตูห้อง กระชากลูกบิดแล้วพุ่งตัวออกไป ไม่สนเสียงแว่วๆ ที่ไอ้เจ้าของห้องกำลังพูดไล่หลังมา

‘คุณครับ นี่กุญแจห้องแล้วก็ข้าวของของคุณครับ เดี๋ยวก็เข้าห้องไม่ได้หรอก’ ผมหันไปเห็นมันเดินตามออกมายืนอยู่หน้าประตู พูดตรงๆ ไม่กล้ามองหน้ามันเลยครับตอนนี้ ไม่แน่ใจว่าผมกำลังหงุดหงิดหรืออายมันกันแน่ แต่ผมก็จำใจต้องเดินกลับมาหามันอีกครั้ง แล้วกระชากถุงใส่สมบัติของผมที่มันรวมไว้ให้อย่างดีมาอย่างเร็ว ก่อนจะม้วนหน้าเดินกลับไปอย่างไว


...พอสังเกตดีแล้วก็เพิ่งจะเห็นว่า นี่มันชั้น 10 นี่หว่า ชั้นเดียวกับห้องผม และที่สำคัญ ห้องไอ้นี่แม่งอยู่ติดกับผมซะงั้น นึกว่าโดนอุ้มไปที่ไหนไกลซะอีก จังหวะที่ผมกำลังไขกุญแจห้อง ไอ้เจ้าของห้องข้างๆ มันก็ยังคงยืนยิ้มให้ผมอยู่
‘อ่าว อยู่ห้องติดกันก็ไม่บอก ให้ถามตั้งนาน อย่าลืมแวะมารับเสื้อผ้าคืนด้วยนะครับ หรือจะให้ผมเอาไปส่งให้ดี’ ไอ้เชี่ยนี่จะแซวไรนักหนาวะ แค่นี้ก็อายจะแย่ ผมไม่ตอบอะไรมันอีก ก้มหน้าก้มตาพยายามเปิดห้อง ไอ้กุญแจห่านี่ก็ไขไม่เข้าสักที ทำไมมือต้องสั่นด้วยวะเนี่ย!!

[จบมุมของปัง]

***************************************


09.50 น.

กีฬาบริษัทเริ่มมาตั้งแต่เก้าโมงเช้าแล้วครับ ผมกับไอ้ปังกำลังจะลงแข่งเป็นรอบที่สองในเกมถัดไป เราสองคนถูกวางให้เป็นชายคู่มือ 2 ของทีมสีเหลือง เกมแรกเราชนะสีฟ้าได้แบบสบายๆ เพราะคู่ต่อสู้ไม่ค่อยหนักมากนัก ส่วนเกมต่อไปนี้เราเจอสีเขียว แล้วต่อด้วยสีชมพู แต่ละมือวางจะต้องแข่งแบบพบกันหมด จากนั้นก็จะรวมคะแนนของทั้งทีม สีที่ดีที่สุดสองสีจะได้มาชิงที่ 1 กัน ส่วนอีกสองสีก็ชิงอันดับ 3 และ 4

จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้ชิงชนะเลิศหรืออะไรหรอกครับ คือเน้นเอาสนุก ตีเอามัน อีกอย่าง ทีมสีผมนี้ คู่มือวางอื่นๆ ก็ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไร มีรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า สีชมพูกับสีเขียวเป็นตัวเกร็ง เค้ายอมดึงตัวนักกีฬาเก่งๆ เข้ามาทำงานเพื่อเล่นกีฬาให้กับเครือบริษัทของเค้าด้วย อารมณ์ว่าอยากให้มีผลงานทั้งผลประกอบการและกีฬาควบคู่กันไป ส่วนสำนักงานใหญ่ที่ผมทำอยู่จะโฟกัสไปที่งานมากกว่า

...พูดถึงสีชมพูขึ้นมาแล้ว คือสีของไอ้หน้าตี๋เมื่อเช้านี่หว่า จะว่าไปผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย แต่ก็ช่างมันดิครับ จะไปนึกถึงมันทำไมวะเนี่ย

ผ่านไปอีกสองเกม ผลตามที่ผมได้บอกไว้เลยครับ สีชมพูกับสีเขียวนี้หนักเกินจะต้านทาน ขนาดผมและไอ้ปังสลับกับทั้งบุกทั้งวางก็ยังสู้แทบไม่ไหว เลยทำได้แค่เสมอกับสีเขียว และแพ้สีชมพู พอรวมคะแนนทั้งหมดในสีแล้ว คะแนนออกมาเป็นอันดับที่ 3 ทำให้ต้องแข่งกับทีมสีฟ้าในเกมสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสีชมพูกับสีเขียวก็ได้ชิงที่ 1 ตามคาด (เห็นว่าเป็นแบบนี้มา 3 ปีติดแล้วครับ)

สำหรับรอบชิงอันดับนี้ จริงๆ มันก็เหมือนแข่งแบบวัดดวงแหละครับ เพราะคะแนนแต่ละสีที่รวมไว้ตั้งแต่รอบที่แล้ว มันก็รู้แล้วว่าสีไหนได้มากสุดน้อยสุด รอบนี้กติกาก็เลยให้แต่ละสี เลือกมือที่ดีที่สุดออกมาสีละ 1 คู่ แล้วแข่งชิงกันแค่เกมเดียว และถ้าหากว่าสีที่ได้คะแนนรวมอันดับสอง(สีเขียว) เกิดฟลุคชนะสีที่ได้คะแนนรวมอันดับหนึ่ง(สีชมพู) ขึ้นมา ก็หมายความว่าสีเขียวจะได้ที่ 1 ของปีนี้ไปเลย อันดับที่สาม(สีเหลือง)และสี่(สีฟ้า) ก็เช่นกัน อาจมีการพลิกโผขึ้นได้ มันเลยกลายเป็นความสนใจของสมาชิกในทีมทุกสีที่มาร่วมลุ้นกันว่า สีของตัวเองจะชิงอันดับขึ้นไปได้หรือเปล่า

ผมกับไอ้ปังไม่ได้ลงแข่งในรอบนี้ครับ เพราะไอ้ปังมีอาการตะคริวจากเกมที่แล้ว ก็แม่งโดดตบเอาๆ อย่างกะม้าคึก สุดท้ายร่างกายแม่งก็เลยงองแงจนได้ ทั้งที่หลายๆ คนยากจะให้คู่ผมออกไปแข่งกันแทบตาย บอกว่าเกมแพ้ได้แต่หน้าตาผมกับไอ้ปังชนะแน่นอน มีน้องหล่ออยากอวดอะไรแบบนี้ ยิ่งทำให้ไอ้ปังมันคึกเลยครับ อยากโชว์สาวๆ แต่ผมต้องเบรกมันไว้ ให้มันปรึกษาสังขารตัวเองบ้าง ก็เลยส่งคู่รุ่นพี่มือ 1 ออกไปแข่งแทนครับ

เวลา 19.30 น. หลังจากที่สีของผมเอาชนะทีมสีฟ้าไปได้อีกครั้งหนึ่ง ก็ถึงเวลาของคู่ชิงชนะเลิศแล้วครับ ผมเดินไปหาที่นั่งตรงสนามที่เต็มไปด้วยกองเชียร์ของทุกสีที่แห่มารวมกันไว้เพื่อลุ้นกับความมันที่กำลังจะบังเกิด ผมทิ้งตัวลงพร้อมกับไอ้ปังตรงท้ายสนามฝั่งหนึ่ง มองไปรอบๆ เห็นด้านข้างสนามทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยสาวๆ ครับ เยอะมากจนผมเริ่มงงว่านี่มาดูคอนเสิร์ตกันหรือเปล่า โดยเฉพาะสาวๆ ของทีมสีชมพูนี่มีทั้งพู่และป้ายเชียร์ด้วยครับ ผมเลยมองเพ่งไปที่ตัวอีกษรในป้าย

      ปกติสู้ตาย
      #ทีมปกติ
      ปกติที่รัก
      ปกติที่สุดของแจ้


บอกตรงๆ เลยครับว่าอ่านแล้วงง งงว่าอะไรคือปกติ แต่ที่ว่า ปกติที่รัก หรือปกติที่สุดของแจ้นี่น่าจะเป็นชื่อคนหรือเปล่า แต่ใครวะแม่งจะชื่อแบบนี้ นั่งคิดไปก็เห็นนักกีฬาทั้งสองสีเดินลงมาที่สนาม แล้วความคิดผมก็ต้องแตกกระเจิงไปด้วยเสียงกรี๊ด

...กรี๊ดดดดดดดดดด...

      ปกติสู้ๆ นะค๊าาา
      ปกติของพี่ สู้ๆ นะะะ
      น้องปกสู้ๆ คร่าาา


นั่นมันไอ้ตี๋เมื่อเช้านี่หว่า มันลงแข่งทีมสีชมพู แถมเป็นคู่ชิงอันดับ 1 ซะด้วย และที่สำคัญ สาวๆ กรี๊ดมันระงมเลยครับ ไม่ใช่แค่สีชมพูด้วยนะ สีอื่นก็ยังส่งเสียงเชียร์มันกันจนนักกีฬาคนอื่นแทบกลายเป็นตัวประกอบไปเลยครับ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก เพราะพอมันไปยืนอยู่ท่ามกลางไฟสปอร์ตไลท์ของสนามแบด ชุดกีฬาแขนกุดสีชมพูก็ยิ่งทำให้ผิวของมันดูขาวออร่าโคตรๆ รูปร่างที่สมส่วนพอดี ไม่สูงไม่เตี้ย บวกกับท่าทางการวอร์มตีลูกที่ช่วยเสริมให้มันดูเท่ขึ้นไปอีก แต่สีหน้าของมันกลับนิ่งสนิท ดูไม่ยินดียินร้ายอะไรกับเสียงเชียร์เหล่านั้นเลยสักนิด

'แม่ง ถ้ากูได้ลงแข่งเกมนี้นะ ไอ้ตี๋นั่นก็เหอะ ไม่ได้เกิดแน่นอน กูหล่อกว่ามันตั้งเยอะ เสียดายไม่ได้เข้าชิง สงสารสาวๆ ที่อดเชียร์กูเลย'

'กูซื้อความมั่นใจของมึงได้ไหมวะเชี่ยปัง ก่อนจะไปสงสารสาวๆ มึงสงสารตัวเองก่อนไหม ตะคริวแม่งจะแดกครบสองขาอยู่แล้ว' ผมเบรกไอ้ปังด้วยสีหน้ากวนๆ

แต่มันก็พูดไม่ผิดไปทั้งหมดหรอกครับ ถ้าเป็นไอ้ปังก็คงได้เสียงกรี๊ดจากสาวๆ ไม่น้อยเช่นกัน แต่ไอ้ตี๋นี่ดูเหมือนจะมากกว่าอีกครับ มากจนผมแอบคิดว่าจะกรี๊ดอะไรกันนักกันหนา

เกมเริ่มต้น เซ็ตแรกฝั่งสีชมอยู่ตรงข้ามกับตรงที่ผมนั่ง ทำให้ผมมองเห็นหน้าไอ้ตี๋นั่นได้ตลอด ตอนนี้ผมเริ่มไม่ค่อยแปลกใจแล้วครับว่าทำไมสาวๆ ถึงกรี๊ดมันนัก ก็แม่งตีโคตรรรรรรเก่ง เก่งมากจริงๆ ครับ เก่งระดับนักกีฬา ยิ่งพอบวกกับหน้าหล่อๆ ด้วยแล้ว โอ้โห ไม่ว่ามันจะเสริฟ จะกระโดดตบ จะหยอด จะทำแต้มได้ หรือทำเสียแต้ม สาวๆ ก็กรี๊ดแล้วกรี๊ดอีก ส่วนสีเขียวก็ใช่ย่อยนะครับ อาจจะดูเหนือกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ การแข่งกันเป็นไปอย่างสูสีจนอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้
เกมดำเนินไปโดยที่ระหว่างนั้นผมเองก็ไม่ทันรู้ตัวเลยว่า ผมกำลังเอาใจช่วยฝั่งสีชมพู(ที่ดูเหมือนจะเป็นมวยรอง)อยู่ และผมก็มองตามทุกจังหวะที่ไอ้ตี๋นั่นกำลังแข่งอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือ แว้บหนึ่งก่อนที่มันจะเสริฟลูก มันจะส่งสายตามาทางผมอยู่หลายครั้ง  มันทำให้ผมแปลกใจจนต้องถามตัวเองว่า นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่า...
หมดเซ็ตแรก สีเขียวพลิกมาเป็นฝ่ายชนะในช่วงท้ายเกม แต่ก็เหนื่อยหอบกันแบบแต้มต่อแต้ม ระหว่างก่อนจะเริ่มเซ็ตที่สอง ผมก้มลงสไลด์มือถือเพื่อรอเวลาดูอีกครึ่งเกมที่เหลือ ระหว่างนั้นสายตาผมก็เหลือบมองไปเห็นรองเท้าแบดคู่หนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมเลยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เห้ย นี่มันไอ้หน้าตี๋นี่หว่า!!

...มันยืนนิ่ง แล้วมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก...

‘อย่ามองได้มั้ยวะ กูเสียสมาธิ’

‘ห๊ะ’

‘กูบอกว่า อย่ามองได้มั้ย กูไม่มีสมาธิ’

ผมอึ้ง มึน และงงกับสิ่งที่มันพูดออกมา แม้กระทั่งไอ้ปังที่นั่งอยู่ข้างๆ มันยังนั่งนิ่งไม่แพ้ผม ไอ้หน้าตี๋หันหลังเดินกลับเข้าไปในสนามเพื่อเตรียมตัวแข่งในอีกครึ่งเกมที่เหลือ 

‘เมื่อกี้นี้ไอ้นั่นมันบอกว่าไม่ให้มึงมองมันเหรอ หมายความว่าไงวะ’

‘เชี่ยปัง กูจะรู้มั้ย กูก็งงอยู่เนี่ย’

‘กูได้ยินมันบอกว่ามันไม่มีสมาธิ รึว่ามัน...จะเขินที่มึงมองมันวะ 555 เห้ย อย่าบอกนะว่า......’

‘หยุดเลยไอ้ปัง ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดแน่นอน’ ผมตบหัวไอ้ปังไปทีหนึ่ง เพื่อเบรกความคิดของมันที่กำลังจะดังลั่นออกมา เดี๋ยวสาวๆ แฟนคลับแถวนี้จะเข้ามีรุมป้อนบาทาให้ผมเอาครับ

เซ็ตที่สองนี้ เกมดูจะหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิมครับ เพราะสีชมพูจะแพ้ไม่ได้แล้ว เลยโหมบุกกันแบบสุดตัว  ส่วนสีเขียวก็คงไม่อยากยืดเยื้อ ทั้งรับทั้งบุกไม่แพ้กัน ดูท่าจะอยากรีบปิดเกมเพื่อล้มแชมป์ 3 สมัยให้ได้ บรรดากองเชียร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างเมามัน สีหนึ่งได้แต้มทีก็กรี๊ดที อีกสีได้แต้มก็กรี๊ดที

ผ่านไปเกือบ 20 นาที การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของสีเขียว ล้มแชมป์อย่างสีชมพูไปได้ เสียงโห่ร้องดีใจดังกระหึ่มราวกับได้แชมป์โอลิมปิก ผมเอ่ยปากชวนไอ้ปังกลับบ้าน เพราะมากันตั้งแต่แปดโมงครึ่ง แข่งแบดไปสามเกม แล้วมานั่งดูการแข่งขันต่อจนเกือบสามทุ่ม  ตอนนี้ผมทั้งง่วงทั้งหิว ไอ้ปังมันก็ลุกตามผมมาด้วยสีหน้าเพลียๆ ไม่แพ้กัน  ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากสนามแข่งขัน…

‘เห้ย เดี๋ยว’ เสียงหนึ่งทักผมตามมาจากด้านหลัง ผมหันไปเห็นไอ้หน้าตี๋มันวิ่งตามมาด้วยท่าทางหอบๆ มันมีอะไรกับผมอีกวะเนี่ย

‘มีอะไรอีก’ ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก

‘มึงทำให้กูแพ้’

‘ห๊ะ อะไรนะ’

‘มึงทำให้กูแพ้ มึงต้องรับผิดชอบ’

‘เห้ย รับผิดชอบอะไรวะ’

ไอ้หน้าตี๋นิ่งไป แต่มันยังไม่ละสายตาไปจากผม ก่อนที่มันจะพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา...

‘มึง ต้อง มา เป็น แฟน กู!!’

****************************************

จบตอนที่ 3 แล้วครับ ตอนนี้ภูของเราโดนขอเป็นแฟนซะอย่างงั้น ทำเอาอึ้ง ทึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับเสียว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามได้ในตอนหน้า

ขอกำลังใจให้ด้วยนะคร้าบบบ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2017 14:36:11 โดย Chay »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 3
«ตอบ #9 เมื่อ19-07-2017 12:56:06 »

งี้เลยเหรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 3
« ตอบ #9 เมื่อ: 19-07-2017 12:56:06 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 3
«ตอบ #10 เมื่อ19-07-2017 15:39:53 »

น้องปกตินี่..ปกติจริงๆใช่ไหม 555
รอตอนต่อไปค่า  :ling1:

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 3
«ตอบ #11 เมื่อ19-07-2017 21:58:29 »

ปกติแล้วรุกหรือรับอะ .... อร๊ายยยย :hao3:

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 4
«ตอบ #12 เมื่อ22-07-2017 22:51:42 »

ตอนที่ 4 : เจอกันอีกแล้ว


วันนี้เป็นวันศุกร์แล้วครับ ผมรู้สึกดีมากที่ทำงานอีกแค่วันเดียวก็จะได้หยุดพักตั้ง 3 วัน (วันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชย) จะได้นอนตื่นสายๆ แล้วก็ไปนั่งชิวที่ร้านกาแฟแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ปล่อยหัวให้โล่งไปเรื่อยๆ หลังจากที่เมื่อเช้านี้ กว่าผมจะแซะตัวเองให้ตื่นขึ้นมาทำงานได้ก็โคตรจะทรมาน เมื่อวานนี้ผมอาจจะใช้พลังงานในการแข่งกีฬาบริษัทมากไปหน่อย ตอนแรกก็งงเหมือนกันนะครับว่าทำไมกีฬาถึงไม่เลือกจัดให้ตรงกับวันเสาร์หรืออาทิตย์ แต่ก็มาทราบจากพี่ๆ ในชมรมว่า บริษัทจะจัดตรงกับวันเดียวกันของทุกปี ไม่ว่าปีนั้นจะตรงกับวันอะไรก็ตาม นักกีฬาบ้าพลังอย่างผมก็เลยต้องตื่นมาทำงานในวันนี้ด้วยสภาพคล้ายซอมบี้

จริงๆ แล้วที่ผมพูดไปอาจจะเป็นข้ออ้าง ผมนอนไม่หลับต่างหากครับ ทั้งที่ร่างกายผมโคตรจะเพลีย แต่สมองมันกลับถูกรบกวนด้วยประโยคหนึ่งซ้ำๆ

...มึง ต้อง มา เป็น แฟน กู...

ผมไม่สามารถสลัดคำพูดนิ่งๆ ของไอ้หน้าตี๋นั่นออกจากหัวได้สักที ทั้งที่พยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระสุดๆ แต่กว่าจะนอนหลับก็เกือบจะตีสอง ทำผมง่วงตั้งแต่เมื่อเช้ามาจนถึงตอนนี้

ติ๊งง...

เสียง Line ในโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมหันไปมองเห็นเป็นข้อความจากไอ้ปัง

UN Pang MAN  เย็นนี้มึงไปไหนวะ

                                                                 PHUPING  ยังไม่รู้ว่ะ ทำไมวะ

UN Pang MAN  ไปตีแบดกัน
                                                                 PHUPING  มึงไม่พักมั่งเหรอไง กูโคตรเพลีย

UN Pang MAN  เชี่ย วันนี้มันวันศุกร์นะเว้ย
                      มึงจะกลับไปนอนตายอยู่ที่ห้องได้ไงวะ

                                                                 PHUPING  กูขี้เกียจจจจจจ

UN Pang MAN  กูเลี้ยงค่าตีแบดมึงวันนี้

                                                                 PHUPING  ไม่ไปเว้ย

UN Pang MAN  กูเลี้ยงข้าวมึงด้วย

                                                                 PHUPING : OK deal !!


บทสนทนาจบลง ถ้าเพื่อนผมจะใจกว้างขนาดนี้ ไปตีแบดแถมยังกินข้าวฟรี ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำใช่ไหมครับ...
พอได้เวลาเลิกงาน ไอ้ปังก็รีบโทรหาผมทันที มันบอกว่ามันเบื่อทำงานจะแย่แล้ว วันนี้มันประชุมหลายนัดจนมึนไปหมด เลิกปุ๊บก็เลยรีบกลับทันที ถึงแม้ว่าวันนี้ก๊วนแบดมินตันจะเริ่มตีเวลาสองทุ่มก็ตาม แต่เย็นวันศุกร์ที่รถโคตรจะติด แล้วไหนจะต้องแวะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมอุปกรณ์ตีแบด ก็คงต้องใช้เวลาอีกพอประมาณเลยทีเดียว

ไอ้ปังอาสารับผมกลับไปด้วย มันเอารถมาทำงานและจอดไว้ที่ลานจอดเอกชนใกล้ๆ ออฟฟิศ ซึ่งต้องเสียค่าจอดเดือนละ 2,500 บาท!! (ที่ออฟฟิศมีที่จอดรถเฉพาะผู้บริหารเท่านั้น) ผมเลยเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าดีกว่า แต่ไอ้ปังมันสบายครับ แม่มันจ่ายให้ ลูกคนเดียวเหมือนผม แต่ที่บ้านมันนี่ตามใจยิ่งกว่าแม่ผม 10 เท่า ครอบครับคนจีนที่มีลูกชายคนเดียวก็แบบนี้ ชีวิตมันแทบจะไม่เคยลำบากเลยมั้งครับ แต่มันก็เคยบ่นๆ กับผมเรื่องครอบครัวให้ฟังอยู่บ้าง ว่าพ่อมันอยากให้มันมีแฟนที่เหมาะสมคู่ควรกับการเป็นแม่ของลูก และมีความสามารถพอที่จะมาช่วยดูแลธุรกิจร้อยล้านของตระกูล ฉะนั้นสาวๆ แต่ละคนที่เคยควงกับมัน ไม่ว่าจะเพราะด้วยหน้าตาหล่อๆ หรือฐานะรวยๆ  พ่อมันปัดตกหมดครับ!!

หลังจากที่ฝ่ารถติด แวะไปเก็บของเรียบร้อย กว่าจะมาถึงสนามแบดมินตันก็ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่ง ผมกับไอ้ปังก็เดินเข้าไปถึงคอร์ดที่ก๊วนประจำได้จองไว้เพื่อลงชื่อและแลกชิปสำหรับใช้ในการจ่ายค่าลูกแบด แล้วผมก็ได้เห็นว่า วันนี้สมาชิกในก๊วนต่างก็ไปนั่งกองรวมกันอยู่ฝั่งขวาสุดของสนาม ทั้งที่ปกติจะกระจายตัวกันนั่งเป็นกลุ่มๆ แต่ยังไม่ทันจะรู้สาเหตุ ผมก็รู้สึกได้ถึงใครคนหนึ่งที่มาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังผม

‘อยากตีแบดด้วย’ เสียงนั้นทักมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองต้องเป็นอันสะดุ้ง เชี่ยยย นี่มันไอ้หน้าตี๋นี่หว่า มาอยู่ที่นี่ได้ไงวะ มันพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของมันก็โคตรจะดึงดูดสายตาให้สมาชิกคนอื่นๆ หันมามองมันเป็นตาเดียว

‘มาได้ไงวะ’ ผมถามมันกลับไป

‘ก็มาหา...’ มันยังคงคอนเซ็ปต์หน้านิ่ง

‘หะ มาหาเราเนี่ยนะ’ แต่ผมนี่ดิ หน้าเริ่มงงละ

‘เออ มาหามึ... มาหานายดิวะ’

ประโยคสุดท้ายนี่ทำพี่นัทที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะแลกชิปต้องหันมามอง ลืมไปเลยครับว่าเมื่อวานนี้มันเพิ่งทิ้งประโยคกวนใจผมไว้นี่หว่า คิดว่ามันพูดเล่น แต่มาวันนี้ผมกลับต้องเจอกับคำพูดแบบนี้จากปากมันอีกครั้ง...

‘แล้ว...ทำไมต้องมาหาเราด้วย’

‘อ้าว ลืมแล้วหรือไงวะ ก็เมื่อวานเราเพิ่งบอกไปว่าให้มาเป็นแฟ.......’ เชี่ยยย หยุดพูดเลย ผมรีบเอามือไปอุดมากมันอย่างแรงจนตัวมันเซไปด้านหลัง ไอ้หน้าตี๋นิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่หือไม่อืออะไร พอนึกได้ผมเลยรีบเอามือออก ไม่รู้ผมกระแทบปากมันแรงไปหรือเปล่า

‘โทษที เจ็บป่าว’ ผมถามมัน

‘...’ มันไม่ตอบครับ ยืนนิ่งอยู่สักสองวิ แล้วมันก็เดินหันกลับไปตรงที่มันวางกระเป๋าแบดของมันไว้

…อ่ออ มันนี่เองครับที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สมาชิกในก๊วนมารวมตัวกันอยู่ฝั่งตรงนั้นของสนาม สงสัยจะอยากต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างไอ้หน้าตี๋ที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก

     มาตีคนเดียวป่าววะ น่ารักอ่ะ
     หูยย ชื่อไรอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย
     หูยย หล่อแบบนี้อยากตีด้วยจัง
    จะได้เล่นคู่กับน้องคนนั้นบ้างมั้ยเนี่ยย โคตรหล่อ


แหม่ เห็นคนหล่อเป็นไม่ได้เลยนะครับพี่ๆ งานนี้ไอ้ปังถึงกับไม่มีบทบาทกันเลยทีเดียว จากที่มันกับผมจะเป็นเป้าหมายที่ถูกแซวมาตลอด วันนี้ไอ้หน้าตี๋นี้มาแย่งบทเด่นไปแล้วครับ มันก้มหน้าก้มตาหยิบกริปสีชมพูอ่อนขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วค่อยๆ พันด้ามไม้แบดไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ตอบคำถามของใครสักคน

สมาชิกที่มาร่วมตีแบดกับก๊วนวันนี้ค่อนข้างเยอะครับ อาจจะเพราะว่าเป็นวันศุกร์ช่วงกลางๆ เดือน ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนกันก็เลยมาลงเอยที่นี่กันหมด ผมตีไปสามเกมก็ตกลงกับไอ้ปังว่าจะกลับกันแล้ว ส่วนไอ้หน้าตี๋นั่นผมเห็นมันลงไปเล่นอยู่สองสามเกมเหมือนกัน ฝีมือมันหาคนเล่นปะทะด้วยยากหน่อย เพราะมันเก่งครับ พวกพี่ๆ ที่รุมแอ๊วมันเมื่อตอนแรก พอเห็นมันตีก็เลยถอนตัวกันเป็นแถว บอกขอนั่งมองอยู่ริมสนามน่าจะดีกว่า

หลังจากที่ผมกับไอ้ปังเก็บของเสร็จ เราก็เดินลงมาชั้นล่างที่เป็นลานจอดรถของสนาม เห็นฝนตกกระหน่ำเลยครับ ฟ้าร้องดังเปรี้ยงปร้าง ไม่รู้ไปตั้งเค้าตั้งแต่ตอนไหน เมื่อหัวค่ำฟ้ายังโปร่งอยู่เลยครับ อยู่ด้านในก็เห็นแต่แสงไฟกับพื้นที่สีเขียว(พื้นคอร์ด) แถมสนามที่นี่ก็ไม่ได้อยู่ติดกับถนนใหญ่ ถ้าใครต้องต่อรถแท็กซี่กลับบ้านบอกเลยลำบากแน่นอนครับ แต่แล้ว...ผมก็เหลือบไปเห็นไอ้หน้าตี๋เดินตามออกมาติดๆ พร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง พอมันเห็นว่าฝนตกหนัก มันก็ทำหน้าเหวอนิดๆ แล้วก็หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น

‘อ้าว กลับไงวะ มึง’ เสียงไอ้ปังหันไปทัก ผมรีบสะกิดมัน

‘มึงไปทักมันทำไมเนี่ย... (กระซิบ)’

‘เอ้า ก็เผื่อมันไม่มีรถมา ฝนตกขนาดนี้ (กระซิบตอบ)’

‘แล้วไงวะ มึงจะชวนมันกลับด้วยรึไง (ยังคงกระซิบอยู่)’

‘ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า ตีแบดด้วยกันเดี๋ยวก็รู้จักกัน มึงจะกลัวเชี่ยไรเนี่ย (ยังคงกระซิบตอบ)’

‘เอ่อ กูไม่ได้เอารถมาว่ะ มาแท้กซี่’ เอ้าเชี่ยย กระซิบกันกับไอ้ปังอยู่ดีๆ ไอ้หน้าตี๋มายืนอยู่ใกล้ๆ ตอนไหนวะเนี่ย

‘อ้าว ฝนตกขนาดนี้ มึงมีร่มหรือเปล่า หรือจะกลับกับพวกกูมั้ยล่ะ แล้วค่อยไปต่อแท็กซี่ตรงอื่นก็ได้’ ไอ้ปังแม่งเสือกเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น

‘เออ กูไปด้วย’ นั่นไง!!

‘งั้นเดินมาด้วยกันเลยก็ได้ กูปังนะ ส่วนไอ้นี่ชื่อภู มึงรู้จักมันแล้วใช่ป้ะ วันนั้นกูเห็นมึงสองคนคุยกัน โอ๊ยยย!!’ ผมเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ด้านข้างไอ้ปัง รู้สึกมันจะพูดมากไปละ ‘มึงเป็นเชี่ยไรเนี่ย กูเจ็บนะเว้ย’

‘ป่าว’ ผมตีมึนมองไปทางอื่น

‘กูรู้จักภูแล้ว’ ไอ้หน้าตี๋ตอบกลับมา มันมารู้จักผมตอนไหนวะ ‘กูชื่อปกติ’

‘หะ ชื่อปกติเนี่ยนะ คนไรวะชื่อปกติ’ ไอ้ปังถามกลับแบบติดตลก

‘สงสัยต้องถามพ่อกูแล้วว่ะ เค้าเป็นคนตั้ง’ มันตอบด้วยหน้าโคตรเฉย นี่มันตลกหรือมันโกรธวะ ดูแม่งไม่ออก

‘เฮ้ย กูล้อเล่น ก็เห็นมันแปลกดี’

‘เออ กูชินละ เรียกกูปกก็ได้’

‘ได้ยินหรือเปล่าไอ้ภู เค้าชื่อปกนะเว้ย ไม่ใช่ไอ้หน้าตี๋’ ไอ้ปังโบ้ยมาทางผมเฉยเลย

‘แล้วไงวะ มาบอกกูทำไม’

‘มึงจะได้เรียกชื่อถูกไง คนจะเป็นแฟนกันก็ต้องรู้ชื่อกันไว้สิคร้าบ’

‘เป็นแฟนห่าไรวะไอ้ปัง มึงพูดเชี่ยไรเนี่ยกูไม่รู้เรื่อง’ ผมเริ่มหน้าร้อนขึ้นมาทันที ตอนนี้ได้แต่ก้าวขาถี่ๆ เพื่อเดินหนี ตามองแต่พื้นอย่างเดียว ไม่กล้าหันไปทางไอ้หน้าตี๋ เอ้ย ไอ้ปกติอะไรนั่นเลย

‘อ้าว ก็วันนั้นกูได้ยินมึงสองคน....โอ๊ยยย’ ผมหันกลับไปกระทุ้งศอกใส่ไอ้ปังอีกรอบ คราวนี้แรงกว่าเดิม ถ้ามันพูดเรื่องเดียวกับที่ผมคิดไว้ละก็ จะให้ผมเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะเนี่ย

‘…’ ไอ้ปกติมันไม่พูดอะไรต่อครับ แต่มันกลับจ้องมาที่ผมแทน จ้องจนผมรู้สึกได้ว่ากำลังถูกมองอยู่แม้ผมจะไม่ได้หันไปสบตาคู่นั้นก็ตาม ผมโยนกระเป๋าไว้ที่ด้านหลังรถไอ้ปัง ก่อนจะรีบเดินไปนั่งที่เบาะด้านหน้าแบบไม่พูดอะไร ยิ่งหน้าไอ้ปกติยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ผมไม่กล้าหันไปมองมันแน่ๆ

‘เราจะแวะกินอะไรกันดีวะ ไว้รอฝนซาก่อนค่อยกลับก็ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวพวกมึงหารถแท็กซี่ลำบาก ว่าไงไอ้ภู ไอ้ปก’ ไอ้ปังเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เลี้ยวรถออกมาจากจากสนามแบด

‘ไงก็ได้’ เสียงไอ้ปกติตอบขึ้นมาก่อนผมอีกครับ มันไปด้วยจริงๆ ว่ะ

‘กูไม่หิว’ งั้นผมปฏิเสธดีกว่า

‘ไม่หิวเชี่ยไร ก่อนออกมามึงบอกมึงหิวข้าว’ นั่นไงไอ้เชี่ยปัง แม่งจะอะไรกับผมนักหนาวะครับ จับผิดผมอีกแล้วเนี่ย
 
‘ก็ กูไม่หิวแล้วไง’

‘ไม่หิวก็กินๆ ไปเหอะ กูรับปากแล้วว่าจะเลี้ยงข้าวมึง นี่กูว่าจะไปกินโจ๊กเปิดหม้อร้านโปรดมึงเนี่ย ทางผ่านคอนโดมึงด้วย อย่าเรื่องเยอะครับเพื่อน’

‘เรื่องเยอะเชี่ยไร กู.....เออๆ ช่างแม่ง’ เถียงไปก็ไม่ชนะครับ ไอ้เพื่อนเลว

‘ภูชอบกินโจ๊กเหรอ’ เสียงไอ้ปกติแทรกถามขึ้นมา จะอยากรู้ไปทำไมวะ

‘ใช่แล้วไอ้ปก จดใส่เมมโมรี่ไว้เลยนะมึง’ ไอ้ปังพูดแกมหัวเราะ ดูท่ามันจะสนุกกับการเสี้ยมเรื่องของผมสองคนมาก

‘…’ ไอ้ปกติไม่พูดอะไร ผมเองก็ไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงเหมือนกันครับตอนนี้ รู้แค่ผมไม่กล้าจะมองหน้ามัน ไม่อยากจะคุยกันมัน ไม่ได้เขิน แล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย โอ๊ยยย...ผมเป็นอะไรเนี่ย 

พอไปถึงร้านโจ๊ก เราก็เลือกโต๊ะนั่งที่ใกล้ๆ กับพัดลมครับ ถึงจะอาบน้ำจากสนามแบดมาแล้ว แต่เหงื่อก็ยังซึมๆ ออกมาอยู่บ้าง ฝนตกแบบนี้คนเลยไม่ค่อยเยอะ เราเลือกเมนูของตัวเองแล้วก็สั่งกับพนักงานที่ร้านไป ผ่านไปสัก 10 นาทีเห็นจะได้ โจ๊กของเราทั้ง 3 คนก็วางเรียงมาพร้อมกันในถาดใบใหญ่

‘โจ๊กหมูเด้งหมูสับใส่ไข่คร้าบ’ ผมยื่นมือไปรับถ้วยโจ๊กตามเสียงของพนักงาน

‘โจ๊กกุ้งพิเศษใส่ไข่คร้าบ’ ถ้วยต่อมาเป็นของไอ้ปัง

‘โจ๊กพิเศษทุกอย่างใส่กุ้งแม่น้ำใส่ไข่ลวกสองฟองคร้าบ’ โอ้โห นี่ไอ้ปกติแม่งจะกินให้อิ่มไปถึงวันไหนวะเนี่ย ชามแม่งโคตรใหญ่

‘โห ไอ้ปก มึงหิวขนาดนั้นเลยเหรอวะ’ ไอ้ปังทักขึ้นมาดังลั่น

‘เออ กูไม่ได้กินข้าวตั้งแต่พักเที่ยง’

‘อ้าวไมวะ งานมึงยุ่งเหรอ’

‘เออ’ ไอ้ปกติยังคงคอนเซ็ปต์ตอบสั้นๆ หน้านิ่งๆ

‘แล้วมึงทำงานบริษัทในเครือนี้มานานหรือยังวะ’

‘กูเพิ่งเข้ามาทำได้ยังไม่ถึงปี พ่อกูอยากให้กูทำที่นี่ กูก็เลยมาสมัคร’

‘มึงสมัครเข้ามาทำ เพราะพ่อมึงอยากให้ทำเนี่ยนะ’

‘เออ’ ไอ้ปังดูอึ้งๆ ไปนิด แต่ไอ้ปกติแม่งยังทำหน้าตาเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาใดๆ

‘แล้วมึงจะชอบงานที่มึงทำอยู่เหรอวะ’ เออนั่นดิ ผมก็คิดแบบนั้น

‘ต้องชอบด้วยเหรอ’ อ้าว ดูมันถาม

‘...’ ไอ้ปังนิ่งไปแป้บนึง ‘ไม่รู้ดิวะ ถ้าอยู่กับสิ่งที่เรารัก กูว่ายังไงมันก็อยู่ได้นานกว่า’

‘มันก็มีสิ่งอื่นไง’ ไอ้ปกติพูดขึ้น

‘สิ่งอื่น เหยดดด อย่าบอกนะว่าหมายถึง...’ ไอ้ปังทำท่าหันมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะแซวอะไรสักอย่าง

‘อะไรของมึง’ ผมรีบเบรกมัน ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา

‘กู หมายถึงตีแบด’ ไอ้ปกติพูดขึ้น ผมค่อยโล่งขึ้นมาหน่อยครับ ‘กูยอมเข้ามาที่นี่ เพราะรู้ว่ามีชมรมแบด’

‘อ๋อ เออ ตีแบดระดับเทพอย่างมึง ก็ไม่แปลกหรอกถ้าจะชอบขนาดนั้น ขนาดกูกับไอ้ภูไม่เก่งเท่ามึง กูก็ยังหาเรื่องไปตีกันแทบจะทุกวัน แล้วนี่มึงเรียนแบดมาป่าววะ’

ไอ้ปกติไม่ตอบอะไรครับ แต่พยักหน้าเป็นการตอบรับแทน สายตามันดูเหมือนคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผมได้แต่ฟังมันสองคนคุยกัน ฟังไปด้วย กินไปด้วย มองมันกินไปด้วย จนมันหันมาสบตากับผมพอดี

‘มองไร อยากกินกุ้งเหรอ’ มันถามผมพร้อมกับหยุดช้อนที่เพิ่งจะตักเนื้อกุ้งชิ้นใหญ่ไว้ก่อนจะถึงปากของมัน แล้วมันก็ยื่นช้อนมาทางผม ‘อ่ะ...’

...เชี่ยยย อะไรของมันเนี่ย ผมไม่ได้อยากกินเว้ยยยย...

‘เอาละเว้ย มีป้อนกันด้วยว่ะ ไอ้ปกกูว่ามึงไม่ได้ชอบแค่แบดอย่างเดียวแล้วมั้งงง’ เสียงแซวจากไอ้ปังดังจนโต๊ะที่ถัดไปสองโต๊ะถึงกับต้องหันมามอง

‘เห้ย ป้อนเปิ้นอะไร กูไม่ได้จะกินเว้ย’ ผมก้มหน้าก้มตา ตักโจ๊กในชามใส่ปากอย่างไวจนลืมว่า ‘โอ๊ย!!’ …ลืมว่าโจ๊กมันยังร้อนอยู่ ผมตักเข้าปากเต็มๆ จนรู้สึกว่าร้อนไปถึงในคอ ไอ้ปกติมันทำท่าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำของมันมาให้ผม

‘กินน้ำก่อน’

‘ไอ้เปนไอเอ้ย อั้นไอ้ไอ้แอ้วเอา (ไม่เป็นไรเว้ย นั่นไม่ใช่แก้วเรา)’ ผมรีบปฏิเสธทั้งที่โจ๊กยังเต็มปาก จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็อายมันอีก

‘เชี่ยภูใจเย็น มึงไม่ต้องเขินขนาดนั้น ปากพองป่าวเนี่ย 555’ ส่วนไอ้ปังก็หัวเราะร่วนอย่างกับผมเป็นตัวตลกไปได้ สาดดด

ผมจิบน้ำอย่างช้าๆ ดีนะครับที่โจ๊กไม่ได้ร้อนขนาดทำผมปากพอง แต่ก็แสบๆ อยู่ หลังจากนั้นเลยต้องค่อยๆ กินทีละนิด กว่าจะหมดก็ใช้เวลาพักหนึ่ง แล้วเราก็เตรียมตัวกลับ ฝนหยุดพอดีเลยครับ

‘ไอ้ปกมึงจะไปแถวไหนวะ’ ไอ้ปังเอ่ยถาม มันเตรียมตัวเป็นโชเฟอร์คอยส่งเพื่อนกลับห้อง

‘บ้านกูอยู่ตรงซอย XXX เดี๋ยวกูต่อแท็กซี่แถวนี้เลยก็ได้’

‘อ้าว ซอยนั้นก็แถวคอนโดไอ้ภูอ่ะดิ ทางผ่านกลับคอนโดกูพอดีแหละ งั้นมึงไปลงพร้อมไอ้ภูละกัน’ นั่นไงไอ้เชี่ยปัง ไมมึงทำงั้นอ่ะ ให้มันไปลงกับกูเนี่ยนะ

ผมได้แต่ทำหน้าเหวอนิดๆ แต่เพราะเกรงใจมันเลยไม่อยากทักท้วง ไหนๆ ก็ติดรถมันมาแล้ว ขับกันมาไม่นานก็มาถึงหน้าคอนโดผม พอผมกับไอ้ปกติลง ไอ้ปังก็ขับกลับคอนโดมันซึ่งอยู่เลยไปไม่ไกลมากนัก ตอนนี้ไอ้ปกติมันก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ครับ แล้วผมควรจะทำไงดี ชิ่งเดินเข้าคอนโดไปเลยได้มั้ยวะ...

‘แล้ว...’ ผมทำท่าเหมือนจะถามมัน 

‘กลับเข้าห้องก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราเรียกแท็กซี่แถวนี่แหละ’ เหมือนมันจะรู้แฮะ

‘เออ... งั้นก็เรียกเลยดิ’ ผมพูดทั้งๆ ที่มองออกไปก็ไม่เห็นจะมีแท็กซี่ผ่านสักคัน

‘...’ มันไม่ตอบ แต่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ผมแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ‘เหนื่อยป่าว’ เชี่ยยย ทำไมต้องทำเสียงแบบนี้วะเนี่ย

‘ก็ ไม่เหนื่อยอ่ะ แต่ง่วง กะ...กลับไปได้แล้ว’ ผมตอบมันพร้อมกับทำท่ามองหารถหน้าคอนโดแก้เก้อ

‘ก็รถยังไม่มา ง่วงแล้วทำไมไม่เข้าไปนอน จะรอเป็นเพื่อนเหรอไง’

‘ป่าวเว้ยย ไปนอนแล้ว กลับดีๆ ละกัน’

...ผมก้มหน้าก้มตาพูดแล้วรีบเดินกลับเข้าคอนโด รถแท็กซี่จะมารับมันหรือยังก็ไม่รู้ ผมไม่ได้หันกลับไปมองด้วยซ้ำ ความรู้สึกของผมตอนนี้มันไม่ได้เหมือนตอนที่เคยโดนคนอื่นๆ เข้ามาจีบ ผมไม่ได้รู้สึกอยากด่าหรืออยากต่อยที่มันเข้ามายุ่ง แต่ผมก็ไม่ได้อยากคุยกับมันนะครับ งงกับตัวเองเหมือนกันตอนนี้ เห้ออ...


เช้าวันเสาร์ ไม่สิครับ น่าจะบอกว่าเที่ยงวันเสาร์ ผมเพิ่มลืมตาตื่นขึ้นมาจากการนอนที่มากกว่า 10 ชั่วโมงซะอีก เมื่อคืนผมฝันด้วยครับ ฝันว่าไอ้ปกติมันนอนหลับอยู่หน้าคอนโดผม ทั้งที่ผมไม่ได้คิดอะไรถึงมันสักหน่อย ผมว่าผมต้องรีบสลัดภาพมันออกจากหัวให้ไวที่สุด

ผมลุกขึ้นมานั่งพิงขอบเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู สไลด์ฟีดในหน้าอินสตาแกรมไปเรื่อยๆ สักแป้บก็กดเข้าไปในหน้าป๊อปปูล่า เลื่อนไปเลื่อนมาก็ไปเจอรูปไอ้ปัง เป็นภาพที่ผมถ่ายให้มันเองครับ กำลังทำท่ายืดเส้นก่อนตีแบด แหม่...เก็กหน้าซะหลายช็อตเลยครับกว่าจะได้รูปนี้ แต่แม่งก็ได้ผล คนไลค์มันเกือบพันทั้งที่มันเพิ่งโพสต์ได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ อย่างว่านะครับ เรื่องความหล่อนี่ผมสู้มันไม่ได้หรอก แต่อินสตาแกรมผมเองก็ไม่ได้ด้อยกว่ามันมากนัก ผิดที่ทั้งคนไลค์และคนคอมเม้นต์เป็นผู้ชายซะเกือบหมดนี่ดิครับ ไหนจะข้อความในไดเร็กแมสเซจที่มีแต่พวกนี้ส่งมาให้ผมเต็มไปหมด พอผมเห็นรูปโปรไฟล์ ผมไม่เคยกดเข้าอ่านสักอัน ไม่เหมือนของไอ้ปังเลยครับ มีแต่สาวๆ หน้าแบ๊วๆ มากดไลค์มันทั้งนั้น เห้อ...ชีวิต

ผมลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแบบสบายๆ ด้วยเสื้อยืดห่านคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น วันนี้ผมว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟอย่างที่ตั้งใจไว้ครับ ผมเดินไปที่ลิฟต์อย่างอ่อนระโหยโรยแรง ท้องผมมันเรียกหาข้าวมื้อใหญ่ๆ แล้วครับ คงไม่ไปฝากท้องที่ไหนไกล เพราะตรงข้ามกับคอนโดผม มีร้านกาแฟดีๆ อยู่ร้านหนึ่ง มีอาหารอร่อยๆ เสร็จสับในร้านเดียว ผมไม่ลืมหยิบหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดติดมือลงมาด้วย เดินแป้บเดียวก็มาถึงร้าน

‘เอาข้าวผัดกระเพราหมูสับไม่ใส่พริก กับเอสเพรสโซ่เย็น แล้วก็น้ำเปล่าขวดนึงครับ’ ผมสั่งออเดอร์ไปกับพนักงานที่ร้าน
โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ในสุดของร้านครับ วันนี้คนค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่ถึงกับเต็ม ระหว่างรอผมหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาเปิดอ่าน

‘อ้าว’ เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำผมต้องเงยหน้ามอง โอ๊ย!! ไอ้ปกติอีกแล้วครับ มันมาได้ไงวะเนี่ย

‘ไอ้ เอ้ย ปกติ มาได้ไงอ่ะ’

‘ก็...ชอบ........ร้านนี้ เลยมาบ่อย ชอบเหมือนกันเหรอ’

‘ก็ร้านมันอยู่หน้าคอนโดเรา ขี้เกียจไปไหนไกล’

‘เออว่ะ’ ไอ้ปกติทำท่าพยักหน้าเหมือนมันไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งที่เมื่อคืนมันก็เพิ่งจะมาต่อรถหน้าคนโดผมเนี่ย ความจำสั้นหรือไงวะ ‘งั้น...เรานั่งด้วยคนดิ’

เอ่ออออ... คือจริงๆ แล้ววันนี้ผมอยากอยู่คนเดียว อยากนั่งคนเดียว ไม่ได้อยากคุยกับใครเว้ย ติสครับติส เข้าใจป่ะครับ แล้วไอ้ปกติมันดันมาขอนั่งกับผม จะให้ผมพูดยังไงวะเนี่ย

‘เออๆ อยากนั่งก็นั่ง’ ผมตอบมันไปส่งๆ มันนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับผม วางกระเป๋ายี่ห้อดังไว้ตรงริมโต๊ะ เชี่ยยย... นี่มันรุ่นที่ผมอยากได้นี่หว่า แต่ราคาแม่งใบละเกือบหมื่น ตัดใจซื้อไม่ลงจริงๆ ครับ

วันนี้ไอ้ปกติมันดูดีกว่าที่ผมเคยเจอ มันเซ็ตผมด้านหน้าของมันให้เป๋ๆ ไปทางขวา ใส่เสื้อยืดสีดำตัวโคร่งๆ กับกางเกงยีนส์สีซีดๆ ตอนนี้สาวๆ ในร้านมองตามมันเป็นแถวเลยครับ สักแป้บพนักงานผู้หญิงก็เดินตามมารับออเดอร์มันด้วยรอยยิ้ม

 ‘รับอะไรดีคะ’

‘เอ่อ ผมเอาแบบเดียวกับเพื่อนผมครับ ฝากดูว่าสั่งอะไร ผมเอาตามนั้นเลยครับ’ อ้าวแม่งลอกผมอีก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองซะงั้น ‘ถ้าไม่อร่อยรับผิดชอบด้วยนะ’

‘อ้าวเฮ้ย สั่งตามแล้วจะมาให้เรารับผิดชอบ ไม่เอาเว้ย ไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินดิ’ พูดจบผมก็เอาการ์ตูนขึ้นมากางปิดหน้าของผมไว้ ไม่อยากเห็นหน้ามันเลยคับ แม่งกวนตีนชะมัด

‘ตอนจบพระเอกได้พลังพิเศษเลยชนะได้ แล้วก็มีลูก ต่อภาคสอง’

‘หะ อะไรนะ’

‘ก็เรื่องนี้ไง’

‘เชี่ยยยย ไอ้ปกติ จะบอกทำไมวะเนี่ย เพิ่งจะอ่านเล่นหนึ่ง แล้วมาบอกตอนจบ แล้วมันจะสนุกไหมวะ’ ตอนนี้มันทำผมปรี๊ดจริงแล้วครับ เสือกสปอยการ์ตูนที่ผมเริ่มอ่านซะได้

‘…’ มันไม่ตอบ ได้แต่กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

‘ขำไรวะไอ้ปกติ’

‘555 ล้อเล่นเว้ย เราเพิ่งอ่านถึงเล่ม 7 เอง’

‘อ่าว’

‘จริงๆ ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นหงุดหงิดไปได้’ ทีงี้มันพูดไปยิ้มไปครับ ยิ่งยิ้มมันยิ่งหล่อ แต่ผมไม่มองหน้ามันนานหรอกคับ ผมไม่ชอบให้มันมายิ้มให้ผมแบบนี้ มันรู้สึกแปลกๆ ไงไม่รู้ พอผมกำลังจะอ่านการ์ตูนต่อ ข้าวของผมกับมันก็มาพร้อมกันพอดี

‘สั่งผัดกระเพราเหรอวะ กำลังอยากกินพอดี’

‘รู้งี้สั่งอย่างอื่นก็ดี’ ผมก้มหน้าก้มตาพูดเบาๆ พร้อมกับเอาช้อนส้อมคลุกข้าวในจานไปด้วย

‘อ้าว แล้วถ้าสั่งอย่างอื่นที่เรากินไม่ได้ทำไง’

‘กินไม่ได้ก็ไม่ต้องกินดิวะ’ ผมทำหน้าตากวนใส่มัน

‘เราแพ้ปู’

‘ห๊ะ แล้วไงวะ’

‘ก็อยากบอกไว้’ คราวนี้มันไม่มองหน้าผมครับ มันก้มหน้าก้มตาพูดเหมือนเสียงติดอยู่ในลำคอ แล้วก็ตักข้าวใส่ปาก

ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คือ...ใช้คำว่าไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า ตอนนี้ผมรู้สึกแปลกๆ ทั้งที่ผมน่าจะหงุดหงิดมันที่ต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับมันแบบนี้ แต่พอมันมาพูดดีๆ กับผม ผมกลับไม่รู้สึกรำคาญมันแฮะ ตอนนี้ผมกำลังพิจารณาความคิดในหัวตัวเองอย่างหนักว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ บางทีการที่ไอ้ปกติมันมาเจอผมบ่อยๆ แบบนี้ หรือจะเพราะว่ามันจะทำอย่างที่มันเคยพูดไว้จริงๆ

…ให้ผมเป็นแฟนกับมัน...ผมไม่เอานะเว้ยยย!!!

***********************************
จบตอนที่ 4 แล้วครับ แก้แล้วแก้อีก อยากให้ตัวละครแต่ละตัวออกมาเป็นแบบที่คิดไว้มากที่สุด และก็อยากให้คนอ่านรู้สึกเห็นภาพเดียวกับเรา ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคร้าบ <3

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 4
«ตอบ #13 เมื่อ22-07-2017 23:16:07 »

ยิ่งอ่านยิ่งน่ารัก...กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อย่าบอกนะว่าปกติเป็นลูกเจ้าของบริษัทปลอมตัวมา #ปกติที่ไม่ปกติ :oni2: :oni2: :oni2:

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 4
«ตอบ #14 เมื่อ23-07-2017 00:32:36 »

คือไรอะ มันค้างมันคา ให้ว่องให้ไว คือไปอะปกติอิอิอิอิอิ  :hao3:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 4
«ตอบ #15 เมื่อ25-07-2017 22:56:05 »

แวะมาทักทาย

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 4
«ตอบ #16 เมื่อ26-07-2017 19:25:42 »

ขอบคุณแอดมินมากครับบบ

พรุ่งนี้ตอนที่ 5 มาแน่นอน งานยุ่งหน่อย แต่อย่าลืมคิดถึงปกติกับภูพิงค์บ่อยๆ นะค้าบ

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
«ตอบ #17 เมื่อ27-07-2017 17:34:55 »

ตอนที่ 5 : หรือผมจะเขิน


วันสุดท้ายของการหยุดยาวมาถึงแล้วครับ ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะอาการปวดฉี่มันเรียกร้องให้ผมต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ หลังจากที่เมื่อวานนี้ผมนอนมาทั้งวัน แทบจะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลยนอกจากกินอาหารเวฟในตู้เย็นและอ่านการ์ตูน แต่วันจันทร์ที่เป็นวันหยุดชดเชยแบบนี้ ผมคิดว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างก่อนที่จะเป็นโรคติดเตียงตายซะก่อน แน่นอนครับ ผมนึกถึงสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำ และมันสำคัญมากกับผมมาก นั่นก็คือ...การออกไปซื้อหนังสือการ์ตูนเล่มที่ 6 มาอ่านต่อ!! ผมหงุดหงิดตัวเองมาที่ซื้อมาถึงแค่เล่มที่ 5 ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ต้องอ่านจนจบเรื่อง แล้วนี่ก็บ่ายแล้วด้วย จะได้ออกไปทานข้าวมื้อแรกของวันทีเดียวเลย

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็หยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และกุญแจห้อง เดินลงไปที่รถ แต่พอคิดได้ว่า กว่าจะไปถึงห้างอาจจะหิวตายซะก่อน เลยเดินออกไปที่หน้าคอนโดเพื่อจะซื้อกาแฟร้านประจำกินรองท้อง

‘เอสเพรสโซ่เย็นเหมือนเดิมนะครับ’ เสียงพนักงานที่ร้านทักขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม เค้าจำเมนูประจำผมได้แบบที่ผมไม่ต้องสั่ง ผมพยักหน้าตอบพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ ‘รับอย่างอื่นเพิ่มเติมไหมครับน้องภู’ อ่าว... ทำไมพนักงานถึงรู้ชื่อผมล่ะครับ ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย แถมยังยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมให้ผมด้วย

‘ไม่เป็นไรครับ’ ผมรีบปฏิเสธแล้วเลี่ยงตัวออกมารอตรงด้านข้างเคาท์เตอร์ ระหว่างนั้นก็กวาดสายตาไปทั่วร้าน วันหยุดแบบนี้ลูกค้ายังคงเยอะเหมือนเดิม แล้วผมก็เห็นใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาเข้า คนๆ นั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน สวมเสื้อยืดสีกรมท่ากับกางเกงขาสั้นสีขาว และแมคบุคเครื่องเล็ก มันคือไอ้ปกติครับ

มันใส่หูฟังสีขาวเหมือนกำลังดูอะไรสักอย่าง ผมคิดในใจว่าควรไปทักมันดีไหม หรือแกล้งทำเป็นไม่เห็น เพราะยังไงพอได้กาแฟแล้วผมก็ไปที่อื่นอยู่ดี มันนั่งกระดิกเท้าซะด้วย ท่าทางจะเพลินกับสิ่งที่อยู่ในจอคอมเป็นอย่างมาก สักแป้บผมเห็นมือของมันปัดไปโดนสิ่งที่เหมือนพวงกุญแจตกลงไปด้านข้าง มันเลยชะงักไปนิดและหันมาเพื่อจะเก็บสิ่งนั้น จังหวะเดียวกันกับที่มันทอดสายตามาทางผมพอดี มันหยุดมองค้างอย่างนั้นสักแป้บ ผมเตรียมจะหันมองไปทางอื่นแต่ไม่ทันละครับ มันยกมือทักทายผมจากระยะไกล และมันก็เห็นแล้วด้วยว่าผมกำลังยืนมองมันอยู่

‘เอสเพรสโซ่เย็นได้แล้วครับน้องภู’ กาแฟของผมได้พอดี แต่จะให้เดินหนีมันไปตอนนี้เลยก็คงไม่ได้ ทักมันซะหน่อยแล้วกัน มารยาทครับมารยาท...

‘มา...กินกาแฟเหรอ’ ผมไม่รู้จะทักมันเรื่องอะไรดี

‘ใช่ แล้ว มานานละเหรอ’

‘เพิ่งมา แวะสั่งกาแฟ เดี๋ยวจะไปละ’ ยังไม่ทันจะจบประโยคดี ผมก็เหลือบไปเห็นที่หน้าจอแมคบุคของมัน เชี่ยยย...นี่มันแอนนิเมชั่นการ์ตูนเรื่องที่ผมกำลังอ่านนี่หว่า ลายเส้นโคตรสวยเลย ‘เห้ย เรื่องนี้ออกเป็นแอนนิเมชั่นแล้วเหรอ’

‘ใช่ๆ โคตรหนุกอ่ะ คนวาดลายเส้นดีไม่แพ้หนังสือการ์ตูนเลย’

‘เออ แล้วมันออกมาจนจบแล้วยังวะ’

‘ยังๆ มันออกมาถึงแค่แผ่น 3 เอง’

‘เหรอๆ ซื้อที่ไหนอ่ะ ร้าน XX มีป้ะ’ ผมตื่นเต้นโคตรๆ เพราะผมกำลังติดการ์ตูนเรื่องนี้มากๆ

‘ไม่รู้ว่ะ ยืมของเราไปดูก็ได้ ไม่ต้องไปซื้อหรอก’ ไอ้ปกติหันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ

จังหวะที่ผมยื่นหน้าไปดูที่หน้าจอคอมของมันนั้น ผมไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า หน้าของผมอยู่ใกล้กับหน้าของมันมาก พอมันหันมาทางผม ผมเลยได้เห็นหน้าของมันชัดเจน หน้ามันโคตรใสเลย ตาก็โคตรตี่ กลิ่นน้ำหอมจางๆ นี่ก็หอมชะมัด

‘เอ่อ...’ คราวนี้มันเป็นฝ่ายหันหน้าหนีจากผมก่อนครับ เห็นมือไม้มันดูงงๆ แปลกๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาด้วยครับ ‘นั่งด้วยกันป่าวล่ะ’ มันเอามือขยับข้าวของของมันไปทางฝั่งหนึ่งของโต๊ะ

‘ไม่อ่ะ เดี๋ยวจะไปเซนทรัล’ ผมถอยตัวเองห่างออกจากมันขึ้นมาอีกหน่อย

‘ไปทำไมวะ’

‘จะไปซื้อการ์ตูน ไปกินข้าวด้วย’

‘งั้นไปด้วย’ อ่าวเห้ย ไอ้ปกติพูดพร้อมกับพับหน้าจอแมคบุคลงโดยไม่รอฟัง นี่ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเลย มันโกยของลงกระเป๋าผ้าอย่างไว แล้วลุกขึ้นยืน ‘ป่ะ ไปเซนทรัลกัน’

ผมได้แต่ยืนงงครับ ไอ้นี่คิดไวทำไว ถามผมก่อนไหมครับ ว่าผมอยากไปกับมันหรือเปล่า

‘ไม่เอาเว้ย จะไปก็ไปเองดิวะ เราจะไปคนเดียว’ ผมปฏิเสธมันอย่างชัดเจน

‘เฮ้ย เราก็ว่าจะไปซื้อการ์ตูน ทางเดียวกันไปด้วยกันไง ไม่เคยได้ยินเหรอ’ พูดจบมันเดินนำหน้าผมไปเลยครับ เชี่ยยย ผมไม่อยากไปกับมันโว๊ยยยย ไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไปไม่ไป... ........................

ปึ๊ง!!

เสียงผมปิดประตูรถยนต์โดยมีไอ้ปกตินั่งอยู่เบาะข้างๆ ผมแพ้ให้กับความหน้าด้านของมันจริงๆ ครับ แม่งเล่นยืนเกาะอยู่ที่ข้างประตูรถผมอย่างกับตุ๊กแก ถ้ามัวแต่ยื้อกับมันคงไม่ได้ไปแน่ๆ แล้วตอนนี้ผมก็หิวข้าวแล้วด้วย

‘ทำไมในรถโล่งจังวะ’ มันเอ่ยปากแซวรถผม

‘อ้าว รถโล่งๆ ไม่ดีเหรอไง เราไม่ชอบอะไรรกๆ’

‘ก็…ดีมั้ง 555’

‘ดีแล้วยังจะมาหัวเราะอีก’ ผมบ่นปากขมุบขมิบ

‘คร้าบ ไม่หัวเราะก็ได้’ มันพูดพร้อมกับเอามือไปปัดฝุ่นบางๆ ที่ตกอยู่แถวคอนโซลหน้ารถผม

‘เห้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องเช็ดหรอก ฝุ่นนิดหน่อยเดี๋ยวเราเช็ดเอง’

‘ไม่เป็นไรๆ เราอยากทำ’

เอาอีกละครับ ไม่ชอบให้มันพูดเพราะๆ แบบนี้เลย เพราะมันทำให้ผมรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ มันไม่เหมือนกับที่ไอ้ปังพูดกับผม ปกติผมเคยแต่โดนด่า หรือไม่ก็โดนหยอดด้วยคำพูดหวานๆ จากคนที่ไม่รู้จัก แต่กับไอ้ปกตินี่ มันไม่เหมือนคนอื่น ผมไม่อยากจะยอมรับตัวเองเลยว่าผมรู้สึกเขินๆ กับน้ำเสียงแบบนี้ มันแปลกๆ ใช่ไหมครับ


ไม่นานนักผมก็ขับรถมาถึงเซนทรัล ผมจอดรถแล้วเดินเข้ามาในห้างโดยมีไอ้ปกติเดินตามมาด้วย จริงๆ แล้วผมอยากเดินคนเดียวมากกว่า แต่ก็ไม่รู้จะบอกมันยังไง อยู่กับมันนานๆ ผมก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูก แถมสาวๆ ที่เดินสวนมาก็เอาแต่ส่งสายตาให้มันกันยกใหญ่ แต่ตาหยีๆ ของมันเหมือนจะมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ได้สนใจใครเลย

‘แอบมองเราเหรอ’ ไอ้ปกติถามผมขึ้นมา

‘ใครมอง ป่าวเว้ย’ แม่งผมแอบมองจนมันรู้ตัวอีกแล้วเหรอวะเนี่ย

‘แน่ใจนะ’ มันพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

‘เออดิ ทำไมต้องมองวะ’

‘เราน่าจะต้องเป็นคนถามป่าววะ ห้าๆๆ’ แม่งยังกวนตีนไม่เลิก เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว ‘อยากกินไรอ่ะ’

อ้าว เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย กวนตีนอยู่ดีๆ กลับมาทำเสียงนิ่มซะงั้น

‘ไม่รู้เว้ย อยากกินไรก็ไปกินดิ’

‘อ้าว ก็กินด้วยกันจะให้เราตัดสินใจคนเดียวได้ไง’

‘ใครบอกว่าเราจะไปกินด้วย’

‘งั้น KFC ละกัน เราอยากกินเมนูที่มันออกใหม่พอดี’ เอ้าไอ้นี่ก็ไม่ฟังสิ่งที่ผมพูดเลย แถมแม่งเดินนำลิ่วๆ ไปเฉย ‘มาเร็วดิ หิวแล้วเนี่ย’ นี่มันยังหันมาบอกให้ผมรีบเดินอีก!!

‘เห้ย’ ผมทำเป็นชักสีหน้าใส่มัน แต่จริงๆ KFC ก็โอเคนะครับ ร้านโปรดผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้อยากนั่งกินกับมันต่างหากล่ะ


พอเดินมาถึงร้าน วันนี้คนเยอะจริงๆ ครับ ผมอาสาเดินหาโต๊ะนั่งว่างๆ แล้วให้ไอ้ปกติมันเดินไปสั่งก่อน ได้โต๊ะขนาด 4 ที่นั่งชิดผนังภายในร้าน ผมนั่งสไลด์มือถือเช็คฟีดเฟสบุคระหว่างรอมันสั่งอาหาร ซึ่งก็น่าจะนานหน่อย เพราะคิวยาวพอสมควร

สักพักก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้น

‘พี่ๆ’ ผมหันไปเห็นเป็นเด็ก ม.ปลายกางเกงสีน้ำเงิน มันยืนมองผมพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ ‘เพื่อนผมฝากมาขอไลน์’

‘หะ’ ผมอึ้งไปเล็กน้อย พยายามทบทวนประโยคว่าผมได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า ‘น้องว่าไงนะ’

‘เพื่อนผมฝากมาขอไลน์พี่ ไอ้นั่นอ่ะ’ น้องมันพูดพร้อมกับชี้ไปทางโต๊ะที่อยู่เยื้องๆ กับผมไปสามโต๊ะ เห็นเป็นนักเรียนชายสามคนนั่งอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าคนไหน แต่ที่แน่ๆ ไม่มีนักเรียนหญิงสักคน เลยถึงบางอ้อพอดีครับ ว่ามาขอเบอร์ไปให้เพื่อนผู้ชายของมันแน่ๆ

‘ไม่เป็นไรคับ พี่ไม่ค่อยสะดวก’ แบบนี้ก็ต้องปฏิเสธดิครับ ไม่แน่ใจว่าลุงแซนเดอร์ไม่ชอบขี้หน้าผมหรือเปล่า ผมถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ในร้าน KFC อีกแล้ว นี่ผมเป็นลูกค้าประจำนะคร้าบลุงงง

‘ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ ก็แค่ให้ไอดีไลน์มาก่อน พี่จะคุยไม่คุยกับมันก็แล้วแต่พี่’ มันยังตื๊อไม่จบครับ แถมยังคะยั้นคะยอยิ่งกว่าตอนแรกซะอีก ‘เร็วดิพี่ ผมเริ่มเขินแล้วเนี่ย’


...อ้าว เขินก็กลับไปดิวะ บอกแล้วว่าไม่ให้เว้ย ผมคิดในใจพร้อมกับกำลังจะปฏิเสธไอ้เด็กนี่แบบเต็มเสียงอีกครั้ง...


‘มีปัญหาไรป่ะน้อง’ ไอ้ปกติถือถาดไก่กลับมาพอดีครับ พอมันเห็นไอ้เด็กนี่กำลังยื่นมือถือมาทางผม มันก็ถามออกมาด้วยเสียงแข็ง

‘ไม่มีไรพี่ ผมก็แค่มาขอไลน์พี่เค้าให้เพื่อน พี่ช่วยบอกเพื่อนพี่หน่อยดิ ได้แล้วผมจะได้รีบไป’ อ้าวเด็กเวร แม่งไปบอกให้ไอ้ปกติช่วยพูดกับผมซะงั้น

‘ใครเค้าพูดให้แฟนตัวเองไปแจกไลน์คนอื่นมั่งวะ หะ?’ ห๊ะ....ประโยคนี้นอกจากจะทำผมอึ้งแล้ว ไอ้เด็กนักเรียนนี่ก็อึ้งไม่ใช่น้อย

‘เห้ย ไอ้ปก...’ ผมเตรียมตัวจะเถียงมัน แต่เหมือนไอ้ปกติมันรู้ทันซะก่อน

‘ภูไม่ต้องพูดไรอ่ะ เดี๋ยวเราจัดการเอง’

‘อ้าว นี่แฟนพี่เหรอ’ เด็กนั่นพูดด้วยหน้าเหวอๆ พร้อมกับหันหน้ามาทางผม ‘มากับแฟนไมไม่บอกวะพี่’ พูดจบมันรีบแทรกตัวหลบไอ้ปกติกลับไปที่โต๊ะของมัน เดี๋ยวดิวะ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าไอ้นี่ไม่ใช่แฟนผม เห้ยยย..เข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว

‘อ่ะ กินซะ หิวใช่ป่าว’ ไอ้ปกติวางถาดไก่ลง เหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น แถมยังเปลี่ยนน้ำเสียงแข็งๆ เป็นเสียงคุยแบบปกติ

‘เดี๋ยวไอ้ปก ไปบอกเด็กนั่นว่าเป็นแฟนเราได้ไงวะ ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย เดี๋ยวแม่งก็เอาไปพูดกันมั่ว’

‘แล้วอยากให้ไลน์ไอ้เด็กนั่นเหรอ’ มันถามผมด้วยสีหน้านิ่งๆ

‘ป่าว’
‘ก็พูดแบบนั้นแล้วมันก็ไปไง ไม่ดีเหรอ’

‘ก็...เออ ไม่รู้เว้ย’ ผมเสมองไปทางอื่น

‘กินเร็ว เดี๋ยวไก่ไม่ร้อนแล้วไม่อร่อย’ มันเลื่อนถาดไก่มาตรงกลาง ผมเพิ่งเห็นว่ามันซื้อมาเยอะมาก ‘เราซื้อมาเผื่อ’

‘ซื้อมาเผื่อทำไม เดี๋ยวเราไปซื้อเองก็ได้’

‘ไม่เห็นเป็นไร เราติดรถมาด้วย ก็อยากเลี้ยงตอบแทน’ มันพูดพร้อมกับก้มหน้าก้มตาหยิบจานแบ่งออกเป็นสองใบ และแบ่งส้อมและมีดส่งมาให้ผม

‘เอ่ออ...งั้น.......ก็...ขอบใจเว้ย’ ผมตอบกลับไปด้วยเสียงเบาๆ ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงเหมือนกันครับ ใจนึงก็กลัวมันจะเสียน้ำใจ อีกใจนึงก็ไม่ชินที่มีคนมาเลี้ยงข้าวแบบนี้ นอกจากเพื่อนสนิทอย่างไอ้ปังแล้ว ผมก็ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า เพราะมันไม่ต้องมานั่งห่วงอะไรใคร แฟนผมก็ไม่ได้มีตั้งแต่ไปเรียนภาษาจนกลับมา พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ มันก็รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเท่าไรครับ
พอเริ่มลงมือทาน ผมก็ได้เห็นไอ้ปกติในมุมที่ไม่เคยคิดไว้ หน้าตาหล่อๆ นิ่งๆ ของมัน พอได้กิน KFC ไอ้นี่แม่งไม่ใช้ทั้งส้อมและมีดเลยครับ มันใช้มือโซโล่อย่างกับอยู่บ้าน ฉีกไก่ ปาดน้ำจิ้ม งาบบบบ กินอย่างกับเด็ก แถมหน้ามันดู enjoy eating โคตรๆ ผมว่าคนที่ชอบกิน KFC มากกว่าผมก็น่าจะมันแล้วล่ะครับ


เมนูบนโต๊ะหมดไปอย่างรวดเร็ว ไอ้ปกติดูดน้ำอัดลมก้นแก้วดังฟื้ดดดด พร้อมกับเรอออกมาดัง เอิ๊กกก...

‘เห้ยย 555 เรอขนาดนี้ไปอ้วกเลยไหม’

‘โทษที ลมมันขึ้น เขินเลย’ ไอ้ปกติตอบพร้อมกับเอามือลูบท้ายทอยตัวเอง

‘เขินทำไมวะ ไม่ทันแล้วมั้ง’

‘จริงอ้ะ ไม่ต้องเขินก็ได้เหรอ’ มันพูดแล้วมองหน้าผม งั้น... ‘เอิ้กกก’ มันปล่อยมาอีกลูกละครับ ใหญ่ไม่แพ้ลูกแรก

...ผมหลุดหัวเราะออกมาพร้อมมัน เพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้นิ่งอย่างที่เห็น จริงๆ มันก็ดูปกติตามชื่อมันนี่หว่า
...ไอ้ปกติ...



...........




หลังจากท้องอิ่ม ผมก็เดินไปที่ร้านหนังสือการ์ตูนเพื่อทำภารกิจที่สองของวันนี้ คราวนี้ผมกวาดเล่มที่เหลือของการ์ตูนเรื่องนี้มาจนครบ

‘เฮ้ย เล่มใหม่ออกแล้วเหรอ’ ไอ้ปกติที่ยืนอยู่ด้านหลังผม ยื่นหน้าผ่านไหล่ของผมมาตรงชั้นขายหนังสือการ์ตูน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กชายสี่ห้าคนเฮเบียดกันมาทางด้านข้างของผมเพื่อแย่งกันหยิบการ์ตูนที่อยากได้ ตัวของผมเลยเซนิดๆ

...แต่เซแค่นิดเดียวนั้น มันก็มากกว่าความห่างระหว่างหน้าของผมกับไอ้ปกติในตอนนี้ แก้มของผมเลยประกบกับแก้มของมันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ...เพียงแค่วินาทีเดียว... แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมสัมผัสได้ว่า แก้มของมันเนียนและก็นุ่ม หัวใจผมเต้นแรงเป็นกลองชุด มันรัวจนแทบจะเด้งหลุดออกมา ผมกลัวมันได้ยิน จึงรีบขยับตัวออกห่างจากมัน แต่ไอ้ปกติก็ทำแบบเดียวกับผม มันผงะตัวออกทันที ผมแอบเห็นสีชมพูจางๆ เจืออยู่บนแก้มของมันทั้งสองข้าง มันเสหยิบหนังสือการ์ตูนเดินไปจ่ายเงินด้วยท่าทีแบบก้มหน้าก้มตา ผมเดินตามไปแบบห่างๆ ไม่กล้าอยู่ใกล้มันตอนนี้เลยครับ


..หรือผมจะเขิน..


ทำไมผมต้องเขินด้วยล่ะครับ สมัยก่อนผมเคยกอดคอเฮฮากับเพื่อนผู้ชาย หน้าก็ใกล้กันแบบนี้ ถึงจะไม่ได้แนบกันก็เหอะ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่ทำไมตอนนี้ ผมถึงรู้สึกร้อนผ่าวๆ ไปทั่วทั้งหน้า แถมยังรู้สึกตัวเบาๆ หวิวๆ แบบคอนโทรลร่างกายไม่ค่อยจะถูก แล้วยังรู้สึกไม่กล้าที่จะมองหน้าไอ้ปกติอีกด้วย
ไม่ใช่ดิ นี่มันไม่ใช่อาการเขิลหรอก น่าจะแค่ตกใจมากกว่า

‘จะจ่ายเงิน พร้อมเราเลย..มั้ย’ ไอ้ปกติหันมาถามผม แต่ตามันกลับมองไปที่พื้น หน้ามันยังดูมีสีชมพูอยู่นิดๆ

‘ไม่เป็นไร จ่ายก่อนเลย เดี๋ยวเราจ่ายของเราเอง’ ว่าแต่มัน ผมเองก็มองแต่อะไรก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

หลังจากจ่ายเงินค่าหนังสือการ์ตูนเสร็จ ผมกับไอ้ปกติก็เดินออกมาจากร้าน ผมเตรียมตัวจะกลับเพราะหมดธุระแล้ว แต่เสียงไอ้ปกติทักดังขึ้นมาก่อน

‘ขอแวะไป Super sport ก่อนได้ป่ะ’

‘เอาดิ ซื้อไรวะ’

‘กริปพันด้ามไม้แบดหมดพอดี’

‘เออๆ'

พูดเสร็จผมกับมันก็เดินตรงไปที่ชั้น 3 ของห้าง พอถึงโซนขายอุปกรณ์กีฬา ไอ้ปกติก็เดินเข้าไปตรงที่แขวนกริปพันด้ามไม้แบด มันพลิกไปพลิกมาเหมือนหาอะไรสักอย่างแล้วก็เดินกลับออกมาตรงที่ผมยืนอยู่

‘อ้าว ไม่ซื้อเหรอ’

‘สีที่อยากได้หมดว่ะ’ มันทำแก้มตุ่ยๆ อย่างกับเด็กที่อดกินขนมเลยครับ

‘สีไรอ่ะ’

‘สี..เอ่ออ ชมพู’

‘ก็นั่นไง แขวนอยู่อันหน้าเลย’

‘ไม่ใช่ชมพูนี้อ่ะ อันนี้มันเข้มไป’

‘หูย เรื่องมากอีก มาถึงแล้วซื้อไปเหอะ นี่กะว่าจะไม่ซื้อสีอื่นเลยหรือไง’

‘ก็ใช้แต่สีนั้นมาตลอดนี่หว่า’

‘แน่ใจนะว่าไม่เอา งั้นกลับนะ’

‘แต่มันก็ไม่มีใช้แล้วจริงๆ ว่ะ เอาไงดี’

‘สรุปเอาไง’

‘งั้น ช่วยเลือกสีให้หน่อยดิ’ ประโยคสุดท้ายนี่เอง ที่ไอ้ปกติมันหันมาสบตาผม นับตั้งแต่ที่ร้านการ์ตูน
 
‘เอ้า ทำไมไม่เลือกเองอ่ะ ใช้เองไม่ใช่เหรอ’

‘เอาน่า เราเลือกไม่ถูก’

‘เออๆ’ ผมเดินตรงเข้าไปยังที่แขวนกริปพันด้าม หยิบสีเหลืองที่แขวนอยู่เป็นแพคที่สองออกมาแล้วส่งให้มัน ‘อ่ะ สีเหลือง’

‘ทำไมต้องสีเหลืองอ่ะ’

‘เราชอบสีเหลือง จะใช้ป่าวล่ะ ไม่ชอบก็เลือกเอง’ พูดจบผมก็เดินหันหลังออกมา จะซื้อไม่ซื้อก็แล้วแต่มันครับ

‘ขอบใจ’ ผมได้ยินเสียงมันพูดตามหลัง แล้วมันก็เดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ สรุปมันซื้อจริงแฮะ


สักแป้บมันก็เดินตามมาข้างๆ ผม ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มหล่อๆ ของมัน  ‘ถ้าชอบสีนี้ จะแบ่งเราไปใช้ด้วยป่าวอ่ะ’


...พอได้ยังวะเนี่ยไอ้ปกติ วันนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับตัวเองมาหลายรอบแล้ว ยังจะมาพูดด้วยเสียงเบาๆ กับรอยยิ้มแบบนั้นของมันอีก หัวใจเพิ่งจะกลับมาเต้นแบบปกติ ตอนนี้มันเริ่มรัวอีกแล้วครับ...ชีวิต



……




หลังจากนั้น ผมกับไอ้ปกติก็ขับรถกลับ มันยังคงไม่วายขอติดรถผมมาลงที่ร้านกาแฟ เห็นบอกว่าจอดรถไว้ที่นั่น เท่ากับว่าตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำนี้ ผมใช้เวลาอยู่กับมันตลอด จริงๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้จักอะไรมันมากขึ้นหรอกครับ แต่ทำให้หัวใจของผมทำงานหนักมากขึ้นต่างหาก หลายรอบที่หัวใจผมเต้นแรงเป็นกลองชุดโดยที่ผมหาสาเหตุไม่ได้

‘เปิดเสียงดังอีกหน่อยได้ป่ะ เราชอบเพลงนี้’ เสียงไอ้ปกติทักขึ้น ทำผมหลุดจากภวังค์

‘ห้ะ เออๆ’ ผมฟังไม่ถนัดแต่ก็พอจับใจความได้ เลยทำตามที่มันบอก

        ได้เจอเธอเมื่อวาน ได้คุยและทักทาย
        บอกไม่ถูกว่าทำไม รู้สึกเหมือนเจอเธอมานาน
        จิตใจมันสับสน แล้วเธอจะรู้ตัวบ้างไหม
        ว่าเธอคือเหตุผล ที่ทำให้ฉัน ต้องกระวนกระวายในคืนนี้...


ไอ้ปกติหันหน้ามองออกไปทางนอกกระจก แล้วร้องคลอไปพร้อมกับเสียงนักร้อง เสียงมันเพราะดีนะครับ ขนาดมันแค่ฮัมเบาๆ

        อยากจะบอกเธอว่ารัก แต่มันคงจะเร็วไป
        เธอคงไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ฉันมีตอนนี้
        ที่เป็นทุกข์ ก็เพราะคงเฝ้าคิดถึงเธอ
        ตั้งแต่วันที่ได้เจอ เธอคือเหตุผลที่ฉันต้องเป็นอย่างนี้...

                  
‘เคยฟังเพลงนี้ป้ะ’ มันถาม ‘เพลงเก่าละ’

‘ไม่เคยอ่ะ’

‘อ้าวเหรอ เราชอบ เคยเปิดไปเจอในยูทูป ก็เลยโหลดมาฟัง’

‘เออ แล้วไงวะ’

‘ก็อยากให้ลองฟังบ้าง เผื่อจะชอบ’

‘ก็ฟังแล้วนี่ไง’

‘แล้วชอบป้ะ’

‘คือเราต้องชอบใช่มั้ยเนี่ย’

‘ก็ถ้าชอบ...ก็อยากให้บอก’

‘…………มะ หมายถึง เพลงนี้อ่ะเหรอ’ ผมเริ่มพูดจาสะดุด เพราะกำลังคิดว่ามันหมายถึงเพลงอยู่...ใช่ไหม

‘ก็ใช่อ่ะดิ คิดว่าหมายถึงอะไรอ่ะ’ เห้ออ ค่อยโล่งหน่อย ผมคิดมากไปเอง คิดอะไรวะเนี่ย!!

‘ป่าว เออๆ ก็เพราะดี’

‘ถ้าชอบเดี๋ยวเราส่งให้’

‘ทำไมต้องส่งให้วะ เราหาฟังเองก็ได้’

‘ไม่เป็นไรหรอก เรามีอยู่ในมือถือพอดี’

‘แล้วไงอ่ะ’

‘เราส่งให้ได้เลยไง’

‘หะ ตอนนี้เลยเหรอ’

‘เออดิ’

‘ส่งยังไง เมลล์เหรอ’

‘ไลน์ ........ก็...ง่ายดีนะ’

‘หะ คือเราต้องแอดไลน์กัน เพื่อส่งเพลงนี้ให้เหรอวะ’

‘เออไม่รู้ว่ะ ก็แล้วแต่ หรือจะให้ส่งเมลล์ก็ได้’ แม่งมีทำเสียงมุ่ยๆ เหมือนเด็กอมกระพุ้งแก้มด้วยว่ะครับ เป็นห่าไรวะเนี่ย ประเด็นคือผมคิดว่าเพลงนี้ก็เพราะดี แต่ก็คงไม่น่าจะหาฟังยากจนต้องให้มันมาส่งให้ผม แค่มันบอกชื่อเพลงผมก็จบ


…‘เพลงชื่อ เธอคือเหตุผล’ … ‘id เรา phupingch’…
 
จากที่ความเงียบเข้าคลอบคลุมได้เกือบนาที ผมกับมันก็พูดขึ้นมาพร้อมกันซะงั้น

‘เมื่อกี้ว่าไงนะ’ มันชิงถามผมก่อน

‘ก็...บอกไอดีไลน์เรา จะส่งเพลงให้ไม่ใช่เหรอไง’ ผมเองก็พูดไม่ค่อยจะเต็มปากเต็มคำ ปกตินอกจากเพื่อนก็ไม่เคยให้ไอดีไลน์กับผู้ชายด้วยกันอยู่แล้วครับ ขนาดสาวๆ ผมยังไม่ได้แจกไลน์คุยกับใครมาก็เป็นปีละ มันเลยรู้สึกแปลกๆ


...แต่ทั้งที่คิดแบบนั้น ผมก็ยังบอกมันไป...


‘อ่อ เออ เดี๋ยวเราแอดเลยละกัน’ ไอ้ปกติพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมา ‘เชี่ยย แบตหมด ลืมชาร์ต’

‘อ่าว ไม่เป็นไร เราไม่ได้รีบ’

‘เฮ้ย งั้นเดี๋ยวเราจดไว้ แล้วเดี๋ยวเราแอดไปละกัน’ มันพูดพร้อมกับหยิบการ์ตูนเล่มใหม่ที่มันเพิ่งซื้อออกมาฉีกพลาสติกออก พร้อมกับจดไว้เป็นตัวหนังสือเล็กๆ ที่หน้าหลังสุดของเล่ม ‘สะกดให้อีกทีดิ’



…...........



เพลงที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกับมันต้องแอดไลน์เพิ่งจบไปได้สักพักก่อนที่เราจะมาถึงร้านกาแฟ วันนี้เป็นวันหยุดยาววันสุดท้าย สงสัยคนจะพักผ่อนกันหมด ถนนเลยโล่ง ไอ้ปกติขอบคุณที่มาติดสอยห้อยตามผมวันนี้ ก่อนจะแยกตัวไปเอารถของมันที่จอดไว้ข้างร้าน ส่วนผมก็วนรถเข้าคอนโดฝั่งตรงข้าม เอาจริงๆ นะครับ ตั้งแต่ผมกลับมาจากไปเรียนภาษา ถ้าผมไม่ได้ไปเดินห้างกับไอ้ปัง ผมก็ไปคนเดียว เพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนมหาลัยมาด้วยกัน ผมก็ติดต่อคุยกันแค่ในโซเชียล ไม่ค่อยได้นัดไปไหนมาไหนนอกจากนานๆ จะนัดรวมตัวกันสักที ผมเลยชินและสบายใจกับการไปไหนคนเดียวมากกว่า
 
แต่การไปกับไอ้ปกติวันนี้ มันมีความรู้สึกแปลกๆ หลายๆ อย่างที่มันทำกับผม เอ้ย...ทำให้ผมรู้สึก แล้วผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าบางเรื่องทำไมผมยอมมัน หรือทำอย่างที่มันขอ ทั้งที่ผมไม่ทำก็ได้ หรือบางทีเวลามีสาวๆ มองมันเยอะๆ ผมคิดว่าผมอิจฉาที่มันหล่อกว่าผม เรตติ้งผมเลยตก แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจ ว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ

 
หรือว่า...


ผมไม่อยากให้คนมองมันเยอะๆ กันแน่วะเนี่ย…


ผมเป็นอะไรวะครับ...

***********************************************

แป้บๆ ผ่านมาจนถึงตอนที่ 5 แล้ว ดูเหมือนว่าภูจะเริ่มสับสนกับตัวเองจากการที่ได้ใช้เวลากับปกติครึ่งวันซะแล้ว แล้วภูจะยอมรับได้ไหม หรือจะทำอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามภูพิงค์กับปกติด้วยนะครับบบบ <3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2017 18:14:58 โดย Chay »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
«ตอบ #18 เมื่อ28-07-2017 00:25:14 »

 :pig4:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
«ตอบ #19 เมื่อ28-07-2017 07:04:24 »

ติดตามจ้า  สนุกค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
« ตอบ #19 เมื่อ: 28-07-2017 07:04:24 »





ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
«ตอบ #20 เมื่อ28-07-2017 07:09:13 »

รออ่านอยู่

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
«ตอบ #21 เมื่อ28-07-2017 23:27:54 »

หวาย ได้ ไลน์กันล้าววววว
 :hao3:

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 5
«ตอบ #22 เมื่อ29-07-2017 00:11:14 »

ชอบบบบ ชอบความใสๆ  คิ้ว ของเรื่องนี้จัง ดีต่อใจ

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 6
«ตอบ #23 เมื่อ03-08-2017 17:03:19 »

ตอนที่ 6 - บังเอิญ

เช้าวันอังคารหลังจากหยุดยาว 3 วัน ผมมาถึงที่ทำงานค่อนข้างเร็ว เพราะลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำตั้งแต่หกโมงเช้า ก็เลยตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ออกมาทำงานซะเลย วันนี้เลยมาถึงร้านกาแฟแถวๆ ออฟฟิศตั้งแต่ 07.20 น. ผมว่าก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องรีบเดินจากรถไฟฟ้าใต้ดินให้เหงื่อแตกเหมือนทุกๆ วัน แถมยังมีเวลามานั่นจิบกาแฟที่ร้านด้วย

วันนี้พอรู้ตัวว่าจะมาถึงเร็ว ผมก็เลยหยิบหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานติดกระเป๋ามาด้วย นั่งอ่านเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบได้เวลาเข้างาน ผมเลยเก็บข้าวของแล้วเดินไปทางโถงลิฟต์ มาถึงก็เห็นคนยืนออกันแถวๆ หน้าลิฟต์ค่อนข้างเยอะ ลิฟต์จะแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวา ทางซ้ายจะขึ้นไปชั้น high zone ส่วนทางขวาจะเป็นชั้น low zone

แล้วผมก็มองไปเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นตา

ไอ้ปกติ... (อีกแล้วครับ)

มันมาทำอะไรที่นี่วะ เท่าที่รู้คือมันทำอยู่บริษัทในเครือซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกรุงเทพนี่หว่า

'มาทำไรที่สำนักงานใหญ่วะ' ผมเป็นฝ่ายเข้าไปทักมันครับ เพราะคิดว่า เมื่อวานนี้ผมก็ได้เจอมันตั้งครึ่งค่อนวัน น่าจะเรียกว่ารู้จักกันได้แล้ว...มั้ง

วันนี้ไอ้ปกติแต่งตัวแบบจัดเต็ม เสื้อเชิ้ตสีดำตัวเรียบ กับกางเกงทำงานทรงสลิมพอดีขา รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ม บวกกับเสื้อสูทเข้าชุด มันหล่อครับ ถามสาวๆ ที่รอขึ้นลิฟต์แถวนี้ได้ มองกันแทบจะไม่ละสายตา

'อ้าว คิดว่าจะไม่ได้เจอซะแล้ว' มันดูตกใจนิดๆ แล้วก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม 'พอดีมีอบรมที่นี่ว่ะ'

'อ่อ เออ' ผมพยักหน้าตอบมัน 'อบรมต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอวะ'

'ก็เค้าสั่งมา อึดอัดจะตาย เหงื่อแฉะไปหมดแล้วเนี่ย' มันพูดไปหัวเราะไปแบบอารมณ์ดี ซึ่งเป็นจังหวะที่ลิฟต์ฝั่ง high zone ที่มันกำลังรออยู่มาพอดี (ผมขึ้น low zone) 'เดี๋ยวเราไปก่อนนะ'

'เออๆ โชคดี ขอให้ไม่ง่วงละกัน' ผมไม่รู้จะลามันด้วยคำว่าอะไร ก็เลยอวยพรมันไปแบบนั้น

'อืม ไงก็...ไว้เจอกันนะ' มันยิ้มให้ผม

ยิ้มแบบนี้อีกแล้วครับ ผมไม่อยากเห็นเลย รอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบไปทั่วทั้งหน้า จำได้ว่ามันคล้ายๆ กับตอนที่ผมเคยจีบสาวเมื่อสมัย ม.ปลาย แต่ไม่ซิ!! มันคงไม่ใช่ความรู้สึกแบบเดียวกันหรอก


สักพักผมก็ได้ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นทำงาน ผมเดินเอื่อยๆ เข้ามาในแผนกด้วยความรู้สึกหนึ่งที่ติดอยู่ในหัว


...ไว้เจอกัน...............เหรอ...


นี่ถ้าไม่บังเอิญ ผมกับมันก็คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ หรอก สี่ห้าวันที่ผ่านมานี้ก็มีแต่ความบังเอิญทั้งนั้น ขนาดเพลงที่มันบอกจะส่งให้ผมตั้งแต่เมื่อคืน มันยังไม่ส่งให้ผมเลยครับ เห็นทำท่ารีบจดไอดีไลน์ซะขนาดนั้น สุดท้ายมันก็ลืมอยู่ดี คงต้องรอให้มันบังเอิญจำได้ซะล่ะมั้ง

วันนี้งานผมไม่ค่อยยุ่ง เพราะเคลียร์งานไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนบ้างแล้ว ค่อยๆ ทำเรื่อยๆ จนได้เวลาพักเที่ยง ผมก็ลงมาทานข้าวกับเพื่อนๆ ในทีม แต่ด้วยความที่งานมันเรื่อยๆ เอื่อยๆ มาตลอดครึ่งเช้า ตอนนี้ผมเลยคิดถึงเตียงที่ห้องขึ้นมาแบบสุดๆ เปลือกตาบนกับล่างกำลังเรียกหากันจนแทบจะทนไม่ไหว ผมเลยแยกวงมาหากาแฟดื่มอีกสักแก้ว ซึ่งก็เป็นร้านเดียวกับเมื่อเช้านั่นแหละครับ พอมาถึงร้านระหว่างจะเปิดประตูเข้าไป ผมก็ได้เจอกับไอ้ปกติ(อีกแล้ว) ที่กำลังเปิดประตูสวนออกมาพอดี

‘อ้าว’ มันทักผมก่อน

‘เออ มาซื้อกาแฟเหรอ’

‘ใช่ โคตรง่วงอ่ะ’ มันยังคงคอนเซ็ปต์ตอบกลับพร้อมตาหยีๆ เป็นเส้นเดียว กับปากแดงๆ ที่ยิ้มจนเห็นฟันขาวๆ ‘ไงเดี๋ยวเราไปก่อนนะ ภาคบ่ายจะเริ่มละ’

พูดจบมันก็พยักหน้าให้ผมอีกทีหนึ่ง ก่อนจะแยกตัวไป ผมก็พยักหน้าตอบแบบส่งๆ เพราะก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับมันเหมือนกัน พอเข้ามาในร้าน กำลังต่อแถวสั่งกาแฟ ก็ได้ยินพนักงานสาวสองคนกำลังพูดถึงใครสักคนอยู่

‘ทำงานร้านนี้มาตั้งนานทำไมไม่เคยเจอเลยวะแก หล่ออ่ะ’ พนักงานสาวอีกคนพยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ พร้อมกับตอบกลับ ‘เออดิ ตี๋ขาว ปากแดง แต่งตัวก็ภูมิฐาน สเป็กเลยอ่ะ’

ถ้าให้ผมเดา ก็น่าจะเป็นลูกค้าตาขีดเดียวที่เพิ่งเดินสวนกับผมไปเมื่อกี้แน่ๆ เพราะถ้าให้มองไปรอบๆ ร้านตอนนี้ ผมก็ไม่เห็นจะมีใครตี๋ ขาว หล่อ อย่างที่ว่าสักคน

...เสน่ห์มันเหลือร้ายจริงๆ ...


ติ๊งงงง

ระหว่างที่ยืนรอกาแฟอยู่ ไลน์ในโทรศัพท์ผมก็แจ้งเตือน เป็นใครสักคนที่ผมยังไม่รู้จัก

AB-Normal : แอดมาละนะ

ใครวะ...

AB-Normal : เราปก

อ่อ สงสัยมันจะบังเอิญจำได้แล้วว่าจะแอดมา…


                                                PHUPING : นึกว่าใคร เออๆ

AB-Normal : ไม่ได้ลืมนะ

                                                PHUPING : ลืมไรวะ

AB-Normal : เพลง

                                               PHUPING : ลืมก็ได้ไม่เป็นไร เดี๋ยวหาฟังเองก็ได้

AB-Normal
: ไฟล์เสียงมันไม่ค่อยดี
                   เดี๋ยวหาโหลดใหม่ รอก่อน

                                               PHUPING : ไม่เป็นไรจริงๆ เว้ย บอกชื่อเพลงมาอีกทีละกัน

AB-Normal : อยากส่งให้


..................ผมควรตอบยังไงดีวะครับ...................


                                                PHUPING : เออๆ แล้วแต่

AB-Normal : โอเค รอก่อนนะ

                                                PHUPING : เออ


บทสนทนาสั้นๆ จบลง แต่ผมยังคงอ่านซ้ำวนไปวนมาเพราะอะไรก็ไม่รู้ แถมยังกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ของมันที่เป็นรูปเครื่องหมายกากบาทสีแดง วันนี้ผมได้เจอไอ้ปกติสองรอบ แต่ก็เป็นการเจอกันแบบบังเอิญ ซึ่งเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันหลายๆ ครั้งในหลายวันมานี้ จะว่าไป ก็เหมือนบังเอิญตั้งแต่เจอกันที่กีฬาบริษัทแล้ว ถ้าวันนั้นผมเกิดง่วงหรือเพลียจนกลับบ้านไปซะก่อนที่จะได้ดูมันแข่งแบดรอบชิงแมทช์สุดท้าย ก็คงไม่มีเรื่องกวนใจผมแบบนี้แน่ๆ แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ ผมว่าถ้าเมื่อไรที่ไม่มีความบังเอิญ ผมกับมันก็คงไม่ได้เจอกันง่ายๆ หรอก


ผมคิดแต่คำว่าบังเอิญเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย

หรือผมคิดอะไรอยู่...


งานภาคบ่ายของผมดำเนินไปแบบไม่มีอะไรต่างจากภาคเช้า ทำไปแบบหลับๆ ตื่นๆ อยากจะหยิบการ์ตูนขึ้นมาอ่านก็กลัวจะโดนเจ้านายด่าเอา สักพักก็มีเสียงเรียกจากเจ้านายนั่นแหละครับ เหมือนจะมีงานเข้าผมซะแล้ว

‘ภูๆ ติดงานอะไรไหม’

‘ก็...ไม่ติดครับพี่ มีอะไรด่วนไหมครับ’

‘งั้นไปกับพี่หน่อย เดี๋ยวพี่ต้องไปเข้าอบรมประมาณ ชม. หนึ่ง แล้วมันต้องใช้ภาษาอังกฤษค่อนข้างเยอะ ไปช่วยพี่จดรายละเอียดหน่อยแล้วกัน’

‘ได้ครับพี่’ ผมหยิบเอาโน้ตบุคพร้อมกับสมุดจดและดินสอ เดินตามเจ้านายมาถึงห้องประชุมใหญ่ ซึ่งผมเคยมาโซนนี้เป็นครั้งแรก ด้านหน้าของห้องประชุมมีป้ายติดเอาไว้ใหญ่โตพร้อมกับการตกแต่งที่ดูหรูหรา มีทั้งของว่างและกาแฟร้อนพร้อมเสริฟ มีผู้ใหญ่สามสี่คนนั่งอยู่ด้านหน้าห้องประชุม ใส่สูทผูกไทน์แบบเต็มยศ

‘พี่ครับ แล้วผมไม่ต้องใส่สูทเหรอครับ’ ผมเริ่มไม่มั่นใจกับการแต่งตัว

‘ไม่ต้องหรอก ดูดีแล้ว เราแค่มาฟังในส่วนงานของเราแค่พาร์ทหนึ่งเท่านั้น พอดีนายใหญ่เพิ่งบอกพี่มาเมื่อกี้ ไม่เกิน ชม. ก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ’ เจ้านายผมเป็นสาววัยกลางคนที่ค่อนข้างสวยเลยล่ะครับ ได้ยินมาว่าโปรไฟล์ก็ดี จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อังกฤษ แถมความสามารถยังโดดเด่น ขนาดภาษาผมว่าใช้ได้แล้ว เจอหัวหน้าเข้าไปผมนี่เด็กประถมเลยครับ

รอหน้าห้องอบรมอยู่สักประมาณห้านาที ก็ได้เข้ามานั่งข้างในห้อง คนที่มาอบรมวันนี้ไม่เยอะมากครับ 30 – 40 คนเห็นจะได้ มีทั้งพนักงานจากสำนักงานใหญ่เองและจากบริษัทในเครือ ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งประมาณหนึ่งถึงจะได้เข้ามาอบรม เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กร โดยทีมวิทยากรถูกเชิญมาจากบริษัทชื่อดังในต่างประเทศ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ ผมกับเจ้านายนั่งลงฝั่งหนึ่งของห้องอบรม ผมเปิดโน้ตบุคขึ้นมาเตรียมตัวพิมพ์รายละเอียดต่างๆ จังหวะนั้นโทรศัพท์ผมก็สั่นเตือนขึ้นมา


จากไลน์จากเจ้าของรูปโปรไฟล์กากบาทสีแดง...


ab-Normal : มองตรงมา

                                                        PHUPING : ทำไมวะ

ab-Normal : มองตรงมาดิ

ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็มองตรงไปตามข้อความที่มันบอก ก็เลยรู้ว่า ไอ้ปกติมันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม ด้วยขนาดของห้องประชุมที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ทำให้ผมมองเห็นมันค่อนข้างชัด มันพยักหน้าให้ผมทีหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปที่โทรศัพท์ของมัน
ab-Normal : ต้องอบรมเหมือนกันเหรอ


                                                       PHUPING : มาช่วยหัวหน้าจดรายละเอียดเฉยๆ
ab-Normal : อ่อๆ

                                                       PHUPING : ไม่คิดว่าจะเป็นห้องเดียวกัน

ab-Normal : หมายถึงไม่คิดว่าจะได้เจอเราอ่ะเหรอ

                                                      PHUPING : ไม่ใช่เว้ย
                                                                                (สติกเกอร์หน้าโหด)

ab-Normal : เลิกงานกี่โมง

                                                      PHUPING : ห้าโมง

ab-Normal : เราอบรมถึงหกโมง
                                                      PHUPING : เออ แล้วไง

ab-Normal : กลับด้วยกันป่าว

                                                      PHUPING : ไม่อ่ะ นัดไอ้ปังไว้แล้ว

ab-Normal : ไปไหนอ่ะ

                                                      PHUPING : ตีแบด

ab-Normal : ฟิต

                                                      PHUPING : แน่นอน

ab-Normal : โอเค

                                                      PHUPING : แล้ว วันนี้ตีแบดหรือเปล่า



ไม่แน่ใจว่าถือเป็นคำชวนหรือเปล่า แล้วถ้าใช่ ทำไมผมต้องชวนมันด้วยวะ...



ab-Normal : ไม่ได้ตีอ่ะ นัดกินข้าวกับม๊าไว้


แต่ต่อให้เป็นคำชวน มันก็ไม่ว่างอยู่ดี...


                                                      PHUPING : เออๆ เดี๋ยวฟังอบรมก่อน

ab-Normal : (สติกเกอร์หน้าตาง่วงๆ)


ผมหันกลับมาตั้งสติในการทำงานอีกครั้ง ถึงเรื่องนี้จะยังกวนใจผมอยู่หน่อยๆ ก็ตาม ความผิดปกติที่ค่อยๆ ก่อตัวในหัวของผมมันยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ผมกำลังคิด...หรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ มันเหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เหมือนคนที่อยากพูด อยากถามอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าคำถามที่ว่าคือเรื่องไหน แต่ที่แน่ๆ มีไอ้ปกติเป็นส่วนประกอบปะปนอยู่บ้าง ซึ่งผมเองต้องเขี่ยมันออกไปให้ได้


17.00 น.

ได้เวลาเลิกงานละครับ วันนี้ผมนัดกับไอ้ปังไปตีแบด เพราะหยุด 3 วันที่ผ่านมา ผมเอาแต่นอนแล้วก็ทำนั่นนี่เรื่อยเปื่อย เลยไม่ได้เข้าไปตีเลยสักวัน ไอ้ปังนัดมารับผมหน้าคอนโดตอนหนึ่งทุ่ม เพราะมันออกไปงานข้างนอก เลยไม่ได้กลับกับมัน แต่รถไฟใต้ดินก็โอเคครับ ไม่ได้ช้าอะไร เผลอๆ อาจจะเร็วกว่าขับรถเองด้วยซ้ำ ผมเดินมาถึงสถานีในช่วงเวลาที่คนยังไม่เยอะมากนัก เพราะออฟฟิศอื่นๆ เลิกงานกันตอนหกโมง ระหว่างเดินทางกลับผมยืนพิงกระจกฝั่งหนึ่งของรถไฟฟ้า แล้วก็หยิบการ์ตูนเรื่องโปรดขึ้นมาอ่านไปพลางๆ

‘ถ้าคิดว่าเราไม่ใช่ ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่แรกวะ’

เสียงจากผู้โดยสารข้างๆ ผม คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางหงุดหงิด ‘เธอก็รู้ว่าเราพยายามทุกอย่างเพื่อให้เธอยอมรับ ถึงเราจะไม่ได้ดีเหมือนคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เราทำมันยังไม่พออีกเหรอ’ ผมพยายามสนใจกับการ์ตูนที่ผมอ่านอยู่ แต่หูผมมันกลับไปโฟกัสกับเสียงคุยโทรศัพท์ซะมากกว่า ‘ถ้าจะบอกให้เราถอดใจ ก็บอกซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะ’


ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องยาว แล้วถึงผมจะพยายามไม่สนใจ แต่มันก็ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องราวสมัยอดีต ผมเคยจีบสาวคณะแพทย์ตอนเรียนปีหนึ่ง ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่แม่ผมอนุญาตให้ผมมีแฟนได้แล้ว หลังจากที่ตอนมัธยม แม่ไม่ค่อยอยากให้ผมมีแฟน เพราะแม่รู้ว่าผมเป็นคนหัวอ่อน กลัวอกหักแล้วจะเสียผู้เสียคน แต่ผมก็เชื่อแม่นะครับ มากสุดก็แค่คุยกัน แต่ยังไม่ถึงกับคบใครจริงจัง แถมส่วนใหญ่คนที่เข้ามาหาผมก็เป็นนักเรียนชายทั้งนั้น ฉะนั้นตัดทิ้งไปได้เลยครับ ผมยอมโสดดีกว่า

แต่พอเข้ามหาลัย ผมต้องย้ายไปอยู่หอพักประจำเลยไม่ได้อยู่บ้านกับแม่ ตอนนั้นผมรู้สึกมีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น อารมณ์เหมือนเด็กที่ออกมาจากกรอบเป็นครั้งแรก พอเจอสาวๆ น่ารักก็ตื่นเต้น เพื่อนมันยุก็เลยลองจีบดู แล้วก็จีบติดซะด้วย ตอนนั้นเธอดูน่ารักและป๊อปในหมู่เฟรชชี่พอดูเลยครับ เราเริ่มคบกัน ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี ไปกินข้าวดูหนังกันบ้าง มีคุยโทรศัพท์กันก่อนนอน แต่เหมือนจะดีอยู่ได้ไม่นาน ท่าทีของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป

‘ภู’

‘ว่าไงแป้ง’

‘เราว่า...เราลองห่างกันสักพักดีกว่านะ’

‘แป้งว่าไงนะ’

‘เราคิดว่า เราไม่มั่นใจที่จะคบกับภูอ่ะ’

‘ทำไมอ่ะ ทำไมแป้งถึงไม่มั่นใจ เราทำให้แป้งรู้สึกแบบนั้นเหรอ’

‘ปะ...ปล่าว’

‘แล้วทำไมแป้งถึงคิดแบบนั้นอ่ะ’

‘ก็เพื่อนผู้ชายในเอกเราอ่ะ’

‘เพื่อนผู้ชายเกี่ยวอะไรด้วยอ่ะ มันมาจีบแป้งเหรอ’

‘ป่าว’

‘แล้วมันเกี่ยวไร’

‘มีแต่คนพูดถึงภู’

‘หะ...?’

‘เพื่อนผู้ชายในเอกเดียวกับเรา มีแต่คนบอกว่าภูน่ารัก มีแต่คนบอกเห็นแล้วใจละลาย ขนาดเป็นผู้ชายด้วยกันยังชอบ มีแต่คนบอกว่าอยากเข้าไปคุยกับภู แล้วภูคิดว่าเราจะรู้สึกยังไง’


‘ก็...ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราป่าววะแป้ง เราไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น แป้งจะไปสนใจทำไม’

‘เราจะไม่สนได้ยังไง ในเมื่อเราได้ยินแบบนั้นทุกวัน ผู้ชายที่คบกับเรา ถูกผู้ชายคนอื่นชมให้ฟังทุกวัน เราคิดว่าต่อไปมันอาจจะกวนใจเรามากกว่านี้ ภูคงจะเข้าใจนะ’

‘เดี๋ยวดิแป้ง’

‘เราไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ภูช่วยทำตามที่เราขอแล้วกัน’



……



พูดจบเธอก็เดินจากไป ผู้หญิงคนแรกที่ผมคบด้วย แค่เพราะว่าผมมีเสน่ห์ต่อผู้ชายเหมือนกัน...
หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ได้คุยกับใครในฐานะแบบนี้อีกเลยครับ ผมเริ่มตีแบดตั้งแต่หลังจากนั้น เพราะไปเข้าชมรมแก้เบื่อ จากนั้นก็ตีมาเรื่อยๆ ฝึกมาเรื่อยๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าผมต้องเลือกระหว่างมีแฟนกับตีแบด ผมเลือกแบดแน่นอนครับ อย่างน้อยมันก็ไม่เคยทำให้ผมเสียใจ

แต่เสียตังค์ครับ...



ประมาณทุ่มครึ่ง ผมกับไอ้ปังมาถึงสนามแบด คนก็ยังเยอะเหมือนปกติครับ หลังจากที่ลงชื่อและแลกชิปเรียบร้อย ผมก็นั่งรออยู่ด้านข้างสนาม ระหว่างนั้นผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิด IG สไลด์ดูอะไรไปเรื่อยๆ ก็นึกได้ว่า ผมไม่ได้อัพรูปมาตั้งนานแล้ว วันนี้เอาสักหน่อยดีกว่า เลยหยิบรองเท้าแบด ไม้แบด แล้วก็กระเป๋าตีแบด มาจัดวางให้ดูน่ามอง แล้วก็เลือกมุมสวยๆ ถ่ายประมาณสี่ห้ารูป พอได้รูปที่ถูกใจก็เลยอัพลงไป ไอจีผมรูปตัวเองไม่ค่อยเยอะหรอกครับ ไม่รูปวิว รูปอาหาร ก็รูปที่เกี่ยวกับการตีแบดเนี่ย น่าจะเยอะกว่า พออัพเสร็จก็มีคนกดมาไลค์เรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อไรที่ผมอัพรูปตัวเอง มันก็จะมี direct message จาก follower เพศชายมาทุกครั้งเช่นกันครับ...เห้อออ


‘ไอ้ภู วันนี้มึงเป็นไรป่าววะ’ เสียงไอ้ปังทักผมขึ้นมาหลังจากที่เราตีเกมแรกจบไป

‘ป่าวนี่ ทำไมวะ’

‘ก็เห็นมึงดูเหม่อๆ ไม่ค่อยพูดมากเหมือนปกติ’

‘สัส มึงด่ากูป่ะเนี่ย’

‘ป่าวเว้ย 555 กูเป็นห่วงมึงจริงๆ’

‘กูไม่ได้เป็นไร แค่คิดไรไปเรื่อยเปื่อยเฉยๆ’

‘คนอย่างมึงกูไม่เห็นจะค่อยคิดอะไรมาก มันมีเรื่องอะไรที่ทำให้มึงดูแปลกๆ ไปด้วยเหรอวะ’ ไอ้ปังเป็นเพื่อนผมมานาน มันแทบจะดูออกทั้งหมดแหละครับ ว่าผมกำลังเป็นอะไรหรือกำลังคิดอะไร แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมมันถึงคิดแบบนั้นวะ ‘แน่ใจนะมึง’

‘เออ’

‘ไม่ใช่ว่า...นึกถึงคนที่ไม่ได้มาตีแบดนะ’

‘ใครวะ ไม่ได้มาตีแบด’

‘ก็นั่นน่ะสิ ใครวะ’ พูดจบไอ้ปังก็เดินแยกตัวจากผมไปทางร้านขายน้ำ แถมยังทำท่าทางเหมือนขำอะไรสักอย่าง มันกวนตีนอะไรผมป่าววะเนี่ย บอกแล้วผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ช่างมันครับ

ผมเดินกลับมานั่งที่เดิม คิดว่าตีอีกเกมเดียวน่าจะกลับไปนอนพักดีกว่า เรี่ยวแรงไม่รู้หดหายไปไหนหมดวันนี้ ตีไม่ค่อยเข้าฟอร์มเลย สงสัยจะหยุดพักมาหลายวัน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตอนนี้ยอดไลค์รูปที่ผมเพิ่งอัพ IG ก็ร้อยกว่าไลค์แล้วครับ มีคอมเม้นบ้าง สี่ห้าอัน แต่ผมไปสะดุดอยู่ตรงคอมเมนต์ล่าสุด เพราะภาพโปรไฟล์ของคอมเม้นต์นี้มันดูคุ้นๆ


เป็นรูปกากบาทสีแดง...

normallamron กริปสีเหลือง 

นอมอล ล... ลัม รอน อะไรวะ ชื่อไอจีอ่านไม่ออก แต่รูปโปรไฟล์กากบาทสีแดง กับคอมเม้นต์ที่ว่า ‘กริปสีเหลือง’ มันก็ทำให้ผมนึกถึงคนที่เพิ่งแชทไลน์กับผมวันนี้...

ไอ้ปกติรึป่าววะ แล้วมันมาเจอ IG ผมได้ไง กดเข้าไปดูก็ไม่ได้ มัน set private ไว้อีก จะ request ไปก็...ไม่เอาดีกว่า ผมไม่ได้อยาก follow มันสักหน่อย
..
..
..


หรือ................ผมจะเม้นตอบมันดีวะครับ

..
..
..

......ก็ได้วะ


what_a_phuping @normallamron yess” 
ผมเม้นตอบมันไปสั้นๆ ไหนๆ ก็คนรู้จักกัน ผมควรตอบมันสักหน่อย ถูกต้องไหมคับ

ผ่านไปไม่ถึงนาที IG ผมก็เด้งเตือนขึ้นมาอีกรอบ


normallamron  ใช้เหมือนกันเลย”

เห้ยๆ เดี๋ยวนะไอ้ปกติ ได้ข่าวผมเป็นคนเลือกสีให้มัน

what_a_phuping @normallamron เลือกเอง?"

normallamron มีคนเลือกให้

what_a_phuping @normallamron เออ ให้มันรู้ซะมั่ง”

normallamron อย่าลืมมาแบ่งกันใช้นะครับ”


….จากที่กำลังจะเป็นสงครามคอมเม้นต์สนุกๆ ระหว่างรอตีแบด กลายเป็นเม้นต่อไม่ออกไปเลยครับ ไอ้นี่เม้นอะไรไม่เกรงใจความรู้สึกผมเลย คนยิ่งกำลังสับสนกับความรู้สึกแปลกๆ ของตัวเองอยู่ ยังจะมาซ้ำเติมให้คิดมากกันไปใหญ่ ไม่น่าเลยกรู ห่านเอ๊ยย!!


ยังไม่ทันจะเก็บมือถือ ก็มีข้อความแจ้งเตือนจาก IG มาอีกครั้ง

bread_space @what_a_phuping @normallamron จีบกันซะด้วย”

คอมเม้นต์แบบนี้ไม่ใช่ใครเลยครับ ไอ้เชี่ยปังนี่เอง ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ เห็นมันกำลังเดินมาหาผมพอดี พร้อมกับรอยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ แถมมันยังท่าทางทำลอยหน้าลอยตาซะด้วย ก่อนจะทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ ผม

‘ไอ้ปัง มึงเม้นเชี่ยไรเนี่ยย...’

‘เม้นไรของมึง กูไม่รู้เรื่องเว้ย’

‘อย่ามากวนทีนไอ้ห่า’

‘เอ้า ด่ากูไมเนี่ย ก็มึงไม่ได้จีบกันอยู่เหรอไงล่ะ 555’ นี่ไงครับ มันสารภาพความกวนทีนออกมาละ

‘จีบเชี่ยไร บ้าไปละมึง’

‘อ้าว เห็นเม้นตอบกันไปมา น่ารักจะตาย ใครจะไปรู้วะ’

‘สัส’ ไอ้ปังไม่ยอมจบ ผมด่าแม่งเลยครับ

‘ไอ้เชี่ยภู กูไม่ได้บอกมึงใช่ป่ะว่าไอ้ปกอ่ะ มันมาถามไอจีของมึงกับกูเนี่ย ตั้งแต่ที่มันมาตีแบดวันก่อนนู้นแล้ว กูก็เลยบอกไป นี่มันก็ฟอลกูด้วย กูก็ฟอลมันกลับ เพื่อนกันทั้งนั้นคิดไรมาก ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย หรือที่มึงหงุดหงิดเนี่ย เพราะว่า....มึงไม่อยากให้มันเป็นแค่เพื่อนวะ...’

‘เชี่ยปัง เดี๋ยวกูต่อยแม่ง เลิกยุกูกับไอ้ปกติได้แล้วเว้ย กูไม่ได้คิดไรกับมันทั้งนั้นแหละ’

‘คร้าบๆ อย่าเพิ่งต่อยกูเลย เดี๋ยวต้องคู่กันอีกเกมนึง ถ้ากูเจ็บตัวแล้วใครจะตีแบดกับมึงละครับไอ้ภูพิงค์’

…ผมไม่ตอบอะไรมัน แต่ก็กลับมานึกย้อนดูว่า IG ผมเนี่ย จริงๆ ก็มีคนมา follow เพิ่มเรื่อยๆ แหละครับ แต่ผมเองก็ไม่เคยมานั่งดูหรอกว่า ใครเป็นใครบ้าง

‘เฮ้ย ไอ้ภู ไอ้ปกแม่งโพสต์รูปคล้ายๆ มึงเลยว่ะ’ ไอ้ปังพูดพร้อมกับยื่นหน้าจอโทรศัพท์ของมันมาให้ผมดู เป็นรูปไม้แปดสองอันวางคู่กัน แล้วถ่ายจากส่วนปลายด้ามที่พันไว้ด้วยที่พันด้ามสีเหลือง แล้วยังมีที่พันด้ามอีก 1 อันวางไว้ข้างๆ ไม้แบด พร้อมกับแคปชั่นใต้รูปว่า

normallomran เหลือ 1 อัน เก็บไว้ให้คนที่ชอบสีเหลือง”

...ขนาดตอนนี้ แม้แต่หน้าไอ้ปังผมยังไม่กล้ามองเลยครับ นี่มันทำผมเขิลหรือยังไงวะเนี่ย โอ๊ยยย ตอนนี้มันแม่งโคตรกวนใจผมเลยครับ...

********************************************
จบไปแล้วกับตอนที่ 6 จิ้นวันละนิดจิตแจ่มใส แต่จิ้นมาจิ้นไปจะเกิดอะไรขึ้นต่อ รับรองความสนุกครับ ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคร้าบบบ <3

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 6
«ตอบ #24 เมื่อ03-08-2017 19:31:30 »

น่าเห็นใจภูนะ แฟนขอเลิกเพราะผู้ชายในคณะสนใจภูเนี่ยนะ

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 6
«ตอบ #25 เมื่อ03-08-2017 22:58:35 »

ยังไงอะ ภู ชอบเค้าแล้วอะจิ
  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 6
«ตอบ #26 เมื่อ04-08-2017 21:35:11 »

ขอบคุณฟีดแบคด้วยนะคราบบ

ออฟไลน์ Chay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 7
«ตอบ #27 เมื่อ12-08-2017 22:04:17 »

ตอนที่ 7 : เธอคือเหตุผล


[มุมของปัง]

วันนี้ผมกลับคอนโดค่อนข้างดึก เพราะเมื่อเย็นไปตีแบดกับไอ้ภู แล้วกว่าจะไปหาไรกิน คุยเพ้อเจ้อกันไปเรื่อยเปื่อย กลับมาถึงห้องก็เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ผมเดินฮัมเพลงเรื่อยเปื่อยตามประสาคนอารมณ์ดี จากที่ตีแบดสองเกมวันนี้ชนะรวด แถมมีแต่เกมคุณภาพทั้งนั้น สำหรับคนที่ชอบเล่นแบดมินตันแล้ว มันมีผลดีต่อใจนะครับ ตอนนี้ใครมาด่าอะไรผมก็ไม่โกรธ พูดเลยเอ้า!!
ระหว่างที่เดินมาถึงหน้าประตูห้อง ผมก็ได้เห็นถุงใส่ของบางอย่างห้อยไว้กับลูกบิดประตู ตอนแรกผมก็ชะงักเล็กน้อย นึกว่าใครเกลียดผมจนแอบเอาขยะเปียกมาห้อยไว้หรือเปล่า แต่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่โชยมาแบบจางๆ ทำให้ผมต้องหยิบถุงนั้นออกมาเปิดดู มันคือเสื้อกับกางเกงกีฬาของผมนั่นเอง ถูกพับไว้ในถุงอย่างดีพร้อมกับกระดาษโน้ตใบหนึ่ง

...ซักแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะครับ...

ผมไม่ต้องนึกย้อนอะไรเลยครับ เสื้อผ้าชุดนี้ผมจำได้ทันทีเลยว่า เป็นชุดที่ผมใส่ไปนั่งกินเหล้ากับไอ้ภู วันที่น้องใบเฟิร์นไลน์มาบอกเลิกผม และคนที่เอามาแขวนให้ ก็คือคนที่สร้างประสบการณ์ห่วยแตกในชีวิตให้ผมนั่นเอง ไอ้มนุษย์ร่างหมีที่บังอาจมาลากผมเข้าห้องมัน ผมไม่ต่อยมันให้ก็ดีแล้วนะครับวันนั้น พาไปนอนห้องไม่เท่าไรยังเปลี่ยนเสื้อผ้าผมอีก ที่พูดนี่ไม่ได้อายถ้ามันจะมาเห็นอะไรต่อมิอะไรผมนะครับ แต่ผมหมายถึงถ้ามันทำอย่างอื่น.............เอ้อ ช่างมันเหอะครับ

‘อ้าว เจอกันจนได้’ เชี่ยย ไอ้มนุษย์ร่างหมีที่ผมเพิ่งพูดถึงมันเดินออกมาจากลิฟต์มาพอดี ทำไมผมไม่ไขประตูเข้าห้องไปให้ไวกว่านี้วะเนี่ย ผมตีมึนทำเป็นไม่ได้ยิน มือก็ควานหากุญแจห้อง ทำไมวันนี้มันหายากหาเย็นจังวะ ปกติผมจะเก็บเอาไว้ในกระเป๋าแบดช่องหน้าสุด วันนี้ผมดันเอาไปไว้ในช่องรวมซะได้ เป็นเรื่องยาวให้ต้องวางกระเป๋าลงแล้วเปิดซิปออกเพื่อคุ้ยหาไปอีก แต่ยังไม่ทันจะหาเจอ สายตาผมก็เห็นปลายเท้าของไอ้หมีนั่นมาหยุดอยู่ด้านข้าง ‘ทักแล้วไม่ตอบกันหน่อยเหรอครับ’

ไอ้หมีมันยังคงไม่หยุดพูด ทั้งที่ผมเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาควานหากุญแจห้องแบบไม่สนใจมัน

‘ไม่มีอะไรจะคุยด้วย’ ผมตอบกลับไปด้วยเสียงเบาๆ ในคอ

‘ว่าไงนะครับ’ มันยื่นหน้าใกล้เข้ามา กลิ่นน้ำหอมฟุ้งมาเชียว

‘บอกว่าไม่มีไรจะคุยด้วยเว้ย’ ต้องให้พูดซ้ำอีกไอ้นี่

‘คุณไม่มี แต่ผมมีนี่นา’

‘มีไรวะ’ ผมหันไปมองมันด้วยท่าทางหงุดหงิด

‘ก็.......ก็เสื้อไง.........หอมป่าว’

‘…’ ผมไม่พูดอะไร ได้แต่หันไปส่ายหน้าให้กับประตูห้อง ผมไม่ได้อยากคุยกับมันอยู่แล้วครับ อยากพูดอะไรก็ให้มันพูดไปเหอะ จังหวะนี้ผมไขประตูห้องเสร็จพอดี เลยก้าวเพื่อจะเข้าห้อง

‘อ้าว ส่ายหัวนี่คือไม่หอมเหรอ คนอุตส่าห์ตั้งใจซักอย่างดี นี่รีดให้แล้วด้วยนะ แต่ไม่ได้แขวนมาให้ จะขอบคุณกันสักหน่อยก็ไม่ได้เนอะคนเรา’ ประโยคกวนๆ บวกกับท่าทีถอนใจยังคงออกมาจากปากมันไม่เลิก ทำผมชะงักไปนิดก่อนจะหันหน้ามาหามัน

‘เออ ขอบใจ พอใจยัง’

‘…’ มันพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม ไรหนวดกับผิวแทนๆ ของมันตัดกับฟันขาวๆ ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เสื้อกับบ็อกเซอร์ของมันก็ยังอยู่กับผมนี่หว่า ผมหมกไว้ก้นตะกร้า จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ซัก เอาไงดีวะ จะหยิบมาคืนมันเลย หรือเนียนๆ ไปก่อน ซักเมื่อไรค่อยหาจังหวะคืนมันน่าจะดีกว่า

‘แล้วเสื้อผ้าของผมอ่ะ’ นั่นไง มันทวงผมจนได้ ‘หรือว่า ถ้าอยากจะเก็บเอาไว้ก็ได้นะครับ’

‘ไม่เอาเว้ย จะเก็บไว้ทำไมวะ’ ตอนนี้ผมเริ่มหงุดหงิดจริงละครับ

‘ก็ไม่เห็นเอามาคืน ผมก็เลยนึกว่าชอบ จะว่าไป เสื้อยืดลายหัวใจตัวนั้นมันก็ดูเหมาะกับคุณดีนะครับ’ นี่ไงครับ เห็นไหมว่ามันกวนทีนขนาดไหน

‘เหมาะบ้าไรวะ กูไม่ชอบลายหัวใจเว้ย’

‘อ้าว แล้วชอบลายอะไรอ่ะ’

‘ก็ต้องลายกราฟฟิกเท่ๆ...’ เห้ยย ผมไปตอบมันแม่งทำไมวะเนี่ยยยย นี่กำลังหงุดหงิดมันอยู่นะ ลืมตัวซะได้ ‘ละ...ลายอะไรก็เรื่องของกู’

‘อ่อ ชอบลายกราฟฟิกนี่เอง ผมมีอยู่หลายตัวเลยนะ จะลองไปเลือกดูมั้ยล่ะ’

‘ไม่ไปเว้ย’ พอเลยไอ้หมี ผมตัดบทแล้วเข้าห้องพร้อมกับปิดประตูอย่างไว ขืนอยู่ต่อไปเดี๋ยวมีวางมวย ไอ้ห่านี่ชอบกวนผมจัง สนิทกันรึก็ป่าว ไม่รู้เป็นบ้าอะไร

ผมยืนถอนหายใจอยู่ตรงประตูห้อง ไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนจะวางกระเป๋าแบดลงตรงโซฟา แล้วก็เดินเข้าไปในครัว เทตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้ซักออกมาทั้งหมด แล้วก็เห็นเสื้อยืดลายหัวใจกับบ็อกเซอร์ของไอ้หมีนั่นตกลงมาเป็นสองชิ้นสุดท้าย นี่ผมหมกไว้กี่วันแล้วเนี่ย ทั้งที่เมื่อวันก่อนก็เพิ่งจะซักผ้าไปแท้ๆ แล้วถ้าซักเสร็จ ผมต้องเอาไปคืนมันที่ห้องด้วยหรือไงวะ หรือ...เอาไปแขวนไว้ให้มันที่ประตูบ้างก็น่าจะดี จะได้ไม่ต้องเจอมัน คิดได้แบบนั้นผมก็เลิกสนใจเรื่องนี้ เลยอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เปิดเพลงฟังเรื่อยเปื่อย สักแป้บก็เข้านอน

ตื่นเช้ามาผมก็แต่งตัวไปทำงานตามปกติ พอเปิดประตูห้องออกมา ผมก็เห็นมีถุงมาแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูอีกแล้ว คราวนี้เป็นเสื้อยืดสีดำ หยิบขึ้นมาดูเลยได้เห็นว่า เสื้อตัวนี้สกรีนลายสวยเชียวครับ เป็นลายเส้นสายแบบกราฟฟิกสกรีนอยู่ทางฝั่งขวาของตัวเสื้อ ส่วนทางซ้ายเว้นพื้นที่ไว้เรียบๆ ให้ดูไม่เยอะเกินไป คือเห็นแล้วชอบ ถ้าเจอที่ร้านผมก็ซื้อครับ จะว่าไป ตัวนี้ก็ยังมีป้ายยี่ห้อแขวนอยู่เลยนี่หว่า กลิ่นใหม่ของเสื้อก็ยังมีติดอยู่จางๆ พอมองลงไปที่ก้นถุงก็เห็นมีกระดาษโน๊ตเขียนไว้อีกแล้วครับ

...ลายกราฟฟิกแบบนี้ ชอบป่ะครับ...

ลายมือเดียวกับเมื่อคืนเป๊ะเลย กระดาษโน้ตก็สีเดียวกัน คงไม่ต้องเดาว่าใครมาแขวนไว้ ไอ้หมีแน่นอน จะมาแขวนไว้ทำไมอีกวะ ผมรีบเดินตรงไปที่หน้าห้องมัน กำลังจะแขวนถุงคืนมันไว้ที่ลูกบิดประตู แต่ยังไม่ทันจะแขวน

แกร๊กก..

ไอ้ห่าหมีเปิดประตูห้องออกมาพอดี เชี่ย!! ทำไมจังหวะของผมต้องแย่แบบนี้วะครับ เจอมันบ่อยไปมั้ย แล้วเจอที่หน้าห้องมันอีก
 
‘อ้าว มาหาผมเหรอ’ นั่นไงครับ ตามที่คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องพูดประโยคกวนทีนแบบนี้

‘ป่าว กูเอาเสื้อมาคืน มึงมาแขวนไว้ใช่ป่ะ’ ผมยื่นถุงเสื้อไปให้มัน ‘กูไม่อยากได้’

‘ผมก็ไม่ได้คิดว่าคุณอยากได้ แต่ผมคิดว่ามันเหมาะกับคุณ แล้วคุณก็บอกว่าชอบลายกราฟฟิก’

‘กูชอบก็ไม่ได้แปลว่ากูอยากได้ จะเอามาให้ทำไมวะ’ ผมว่ามันชักจะวุ่นวายกับผมมากไปละ ‘ส่วนเสื้อ เดี๋ยวกูรีบซักรีบคืนให้ จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก โอเคป่ะ’

‘ใจเย็นสิครับคุณ ไม่เห็นต้องโมโหเลย’

‘ก็มึงจะมายุ่งอะไรกับกูนักหนา’

‘ก็ผมอยากคุยด้วย’


............................อึ้งดิครับ อึ้ง..............................


นอกจากสาวๆ ที่มารุมล้อมผม ก็ไม่เคยมีผู้ชาย (ที่ดูเป็นผู้ชายจริงๆ ไม่ใช่พี่ๆ ชาวเก้งที่สนามแบด) คนไหนมาพูดกับผมแบบนี้มาก่อน 

ประโยคสั้นๆ แต่สตั๊นไปสามวิ !!

‘แต่กูไม่ได้อยากคุยเว้ย’ ผมทิ้งถุงเสื้อที่ไว้ที่หน้าประตูห้องมัน แล้วก็เดินออกมาทันที ไอ้หมีนี้แม่งโคตรกวนประสาท ตอนแรกทำเป็นพูดจายิ้มๆ แล้วเมื่อกี้ทำเป็นหน้านิ่ง แม่งทำผมงง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแอบสังเกตได้เมื่อกี้ คือที่คอปกเสื้อเชิ้ตที่มันใส่อยู่ มันห้อยป้ายบัตรพนักงานไว้ด้วย ผมไม่แน่ใจว่ามันทำงานที่ไหน แต่สีของสายห้อยคอแม่งสีเดียวกับของบริษัทผมเลย ขอให้แค่เหมือนแล้วกัน อย่าให้เป็นที่เดียวกันเลยครับ แค่อยู่ห้องใกล้กันนี่ผมก็ไม่รู้จะหาทางเลี่ยงมันยังไงแล้ว!!

[จบมุมของปัง]

***********************************************




16.25 น.

ใกล้เวลาเลิกงานแล้วครับ วันนี้ผมค่อนข้างยุ่ง เพราะต้องเอาสรุปการอบรมที่ไปช่วยหัวหน้าจดมาเมื่อวาน มาทำเป็น paper แบบให้เข้าใจง่ายส่งหัวหน้า เพื่อทำการแจกให้กับพนักงานในทีมอีกที ถึงจะไม่ใช่งานใหญ่อะไร แต่หัวหน้าผมเป็นคนเป๊ะครับ ผมก็เลยต้องตรวจทานซะหลายรอบ ไหนจะงานหลักของผมที่ต้องทำอยู่แล้ว แล้วก็ยังมี meeting อีก เรียกว่าดูดพลังชีวิตไปเยอะเลยทีเดียว ทำงานจนลืมง่วง เรียกว่าไม่มีเวลาให้ง่วงดีกว่าครับ แต่ตอนนี้ผมเคลียร์เสร็จหมดแล้ว ค่อยมีเวลาสูดลมหายใจยาวๆ ก่อนจะเลิกงานหน่อยครับ

ผมแอบเอาโทรศัพท์มือถือของผมต่อกับหูฟัง เพื่อฟังเพลงระหว่างทำงานไปด้วย มันรู้สึกชิวดีครับ ไม่ต้องได้ยินเสียงใคร เหมือนอยู่ในโลกของเราคนเดียว แต่เพลงที่ผมโหลดไว้ในมือถือมีไม่เยอะ เพลงมันเลยเล่นวนซ้ำๆ จนผมเริ่มเบื่อ ผมเลยเข้าไปที่ app ยูทูปเพื่อจะเปิดหาเพลย์ลิสต์เพลงเพราะๆ ฟัง เลื่อนหาเพลงไปเรื่อย อยู่ๆ ก็นึกไปถึงเพลงหนึ่ง... เพลงที่ไอ้ปกติเคยบอกจะส่งให้ผม แต่ก็ยังไม่ได้ส่งมาให้ซักที มันชื่อเพลงอะไรนะ จำได้คับคล้ายคับคลา แต่ก็นึกไม่ออก รู้แค่ว่าเป็นเพลงเก่ามากๆ แล้วทำไมผมต้องนึกอยากฟังขึ้นมาตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้

...จะไลน์ไปถามมันดีไหมวะ...

ไม่เอาดีกว่า มันก็เคยบอกแล้วว่าจะส่งมาให้ ให้ผมรอก่อน ฉะนั้นทางเดียวถ้าผมอยากฟังคือ ผมต้องนึกชื่อเพลงเองให้ออก

ถ้าผมจำไม่ผิด เพลงนั้นมันเหมือนจะมีคำว่า เหตุผล อยู่ในชื่อเพลง คิดว่าใช่นะครับ ผมเลยพิมพ์คำว่าเหตุผลลงไปในช่อง search แล้วมันก็ขึ้นลิสต์เพลงที่แนะนำขึ้นมา...

เหตุผล
เหตุผลน้ำเน่า
เหตุผลที่หายใจ
เหตุผลง่ายๆ


เหมือนจะไม่คุ้นกับชื่อพวกนี้สักเพลง ไม่น่าจะใช่แฮะ ผมคิดว่าการหาเพลงที่เราคิดชื่อไม่ออก มันน่าจะยากเกินไปนะครับ แต่ถ้าอยากจะฟังแล้ว ผมไม่ยอมแพ้แน่ๆ ผมเลยใช้บริการอากู๋  แล้วลอง search คำว่า ‘เพลง เหตุผล’ คราวนี้ขึ้นลิสต์มาหลายลิ้งค์เลยครับ อันไหนที่ว่าคุ้นๆ ผมก็ลองกดเข้าไปตามลิ้งค์ ฟังได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่ก็ยังไม่ใช่เพลงนั้นอยู่ดี แม่งงง...มันเพลงอะไรวะเนี่ยไอ้ห่าปกติ

ไม้ตายสุดท้าย รอบนี้ผมเลยพิมพ์คำเพิ่มเข้าไปอีกคำหนึ่ง ซึ่งผมเดาว่า น่าจะมีคำนี้อยู่ เพราะชื่อเพลงเหมือนมันจะยาวหน่อย คำว่า ‘เธอ’ คราวนี้จะมีไหม…
หลังจาก search คำว่า ‘เพลง เธอ เหตุผล’ คราวนี้ก็ขึ้นลิสต์ของลิ้งค์ต่างๆ ขึ้นมา อันแรกสุดเลยครับ เป็นลิงค์ยูทูป ชื่อเพลง เธอคือเหตุผล ของ ศิลปินชื่อว่า โอ้ เศกสรรค์ (ใครวะครับ สงสัยผมจะเกิดไม่ทัน) แต่ชื่อเพลงนี้คุ้นมาก ผมเลยกดเข้าไปฟัง

        ได้เจอเธอเมื่อวาน ได้คุยและทักทาย
        บอกไม่ถูกว่าทำไม รู้สึกเหมือนเจอเธอมานาน
        จิตใจมันสับสน แล้วเธอจะรู้ตัวบ้างไหม
        ว่าเธอคือเหตุผล ที่ทำให้ฉัน ต้องกระวนกระวายในคืนนี้


ใช่แล้วครับ เพลงนี้แหละที่ผมได้ฟังในรถตอนที่ผมกลับกับไอ้ปกติวันนั้น ในที่สุดผมก็หาเจอ เก่งไหมล่ะครับ ผมฟังไปเรื่อยๆ เพลงนี้เพราะดีนะครับ จนเพลงมันร้องมาถึงท่อนฮุค

        อยากจะบอกเธอว่ารัก แต่มันคงจะเร็วไป
        เธอคงไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ฉันมีตอนนี้

       
ฟังแล้วทำไมผมรู้สึกวูบวาบไปทั่วทั้งหน้า พร้อมกับรู้สึกหน่วงๆ ข้างในใจ มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เรียกว่ารู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ เหมือนเพลงมันเข้าไปบีบหัวใจของผม แล้วหน้าของไอ้ปกติมันก็ลอยมา

      ที่เป็นทุกข์ ก็เพราะคงเฝ้าแต่คิดถึงเธอ
      ตั้งแต่วันที่ได้เจอ เธอคือเหตุผลที่ฉันต้องเป็นอย่างนี้


ทำไมผมต้องนึกถึงหน้ามันวะเนี่ย ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น.......สักหน่อย

ผมน่าจะแค่อินกับเพลงเพราะๆ เพลงหนึ่ง…


เพลงที่มันบีบหัวใจผมให้รู้สึก...ถึงอะไรบางอย่าง เท่านั้นเอง...


ผมฟังนี้วนซ้ำๆ อยู่หลายรอบ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจโหลดเพลงนี้ลงมาเก็บไว้ในมือถือ เพราะว่าเพลงมันเพราะนะครับ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ตอนนี้ได้เวลาเลิกงานพอดี ผมเลยเก็บของกลับบ้าน วันนี้ผมไม่ได้นัดไอ้ปังตีแบด ขอเว้นวันหนึ่ง รู้สึกง่วงนอน อยากจะกลับไปนอนแย่ละครับ ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินไปขึ้นลิฟต์ เสียงไลน์จากโทรศัพท์ก็ทักทายผมขึ้นมา

...จากเจ้าของโปรไฟล์กากบาทสีแดง...


ab-Normal : เลิกงานยัง

...ตายยากจริงๆ นะครับไอ้นี่
                                                           PHUPING : เลิกแล้ว มีไร
ab-Normal : กลับบ้านกัน

...อะไรของมันวะ อยู่ๆ มาชวนกลับบ้าน ทำงานกันตั้งไกล

                                                           PHUPING : มาแถวนี้หรือไงวะ ถึงมาชวนกลับ

ab-Normal : เออดิ วันนี้อบรมวันที่ 2 นี่เพิ่งเลิก

                                                          PHUPING : อ้าว วันนี้ก็มาที่นี่เหรอ

ab-Normal : ใช่
                                               
                                                         PHUPING : ไม่เห็นเจอเลยวะ

ab-Normal : อยากเจอเราเหรอ

                                                         PHUPING : เปล่าเว้ย แค่ถามดู

ab-Normal : แง่วว...เออๆ  แล้วตกลงว่ากลับบ้านด้วยกันป้ะ

...หัวใจผมเต้นรัวอีกแล้วครับ ตื่นเต้นอะไรอีกเนี่ย
                                                           
                                                         PHUPING : เรากลับ mrt อ่ะ ไปทางเดียวกันเหรอ

ab-Normal : เออ เหมือนกัน เราจอดรถไว้ที่สถานี xxx

                                                           PHUPING : อ่อ

...จริงๆ แล้ว...ผมก็อยากกลับกับมันนะครับ
                                                          PHUPING : เออๆ กลับก็กลับ

ab-Normal : โอเค เจอกันหน้าตึกนะ
                            (สติ๊กเกอร์หน้าคนยิ้มปากฉีก)


ก่อนจะขึ้นลิฟต์ ผมเดินไปเข้าห้องน้ำก่อน ยืนมองตัวเองที่หน้ากระจก เช็คหน้าตาตัวเอง ผมเป็นทรงหล่ออยู่ไหม เสื้อผ้าเป็นไงบ้าง จับตรงนั้นทีตรงนี้ที เดี๋ยวนะครับ นี่ผมแค่กลับบ้านนะ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนสักหน่อย ทำไมต้องมายืนเช็คความเรียบร้อยของตัวเองด้วย ผมก็งงตัวเองเหมือนกันครับ !!

หลังจากที่ผมลงมาถึงหน้าบริษัท ผมก็เห็นไอ้ปกติยืนรออยู่แล้ว มันเอาเสื้อสูทพาดแขนเอาไว้ แล้วก็ถือกระเป๋าไว้ที่มือข้างเดียวกัน ส่วนมืออีกข้างมันถือแก้วน้ำเอาไว้ เสื้อเชิ้ตสีดำพอดีตัวของมันปลดกระดุมเม็ดบนออก ดูท่าทางมันคงจะอึดอัดกับการแต่งตัวแบบจัดเต็มแบบที่ผมเห็นมาตั้งแต่เมื่อวานเป็นแน่ ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงมัน มันก็หันมาเห็นผมซะก่อน รอยยิ้มหล่อๆ ผุดขึ้นบนในหน้าของมันอีกแล้วครับ นอกจากยิ้มแล้ว มันยังทำท่าหันมาหาผม ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับทีนี้ ไม่รู้จะยิ้มตอบ พยักหน้าให้ หรือทำหน้าเฉยๆ ดี

...ยิ้มก็แล้วกัน แค่มุมปากก็พอ

‘ถือของอะไรเยอะแยะวะ’ ผมทักมันก่อนแก้เก้อ

‘ก็เสื้อสูทที่ใส่มานี่แหละ ใส่ทั้งวันโคตรอึดอัดเลย’

‘เออ ขนาดแค่ใส่เชิ้ตออกมาเดินข้างนอกยังร้อนเลย’

‘เนอะ อยากถอดเสื้อเดินซะจริงๆ’ มันพูดแบบติดตลก

‘กล้าก็ทำดิ’

‘ไม่กล้าหรอก เขิน’

‘เขินไรวะ คนเยอะแยะ’ ผมแกล้งแซวมันต่อ

‘คนอื่นเราไม่เขินหรอก’ ไอ้ปกติก้มหน้าก้มตาพูดเบาๆ ‘เขินคนแถวนี้มากกว่า’

‘เหอะ พูดไรเพ้อเจ้อ’ ได้ยินแบบนี้ผมก็ไปไม่ถูกเหมือนกันครับ ทำไรไม่ได้นอกจากพูดประโยคแบบนี้ตอบกลับมันไป

‘หิวอ่ะ’ ไอ้ปกติเปลี่ยนเรื่องซะงั้น แต่ก็ดีละ

‘ก็รีบกลับไปกินข้าวดิ’

‘กินก่อนได้ไหมอ่ะ’

‘แล้วแต่ดิวะ’

‘หมายถึง...ไปกินข้าวด้วยกันก่อนได้ไหม’
..
..
..
..จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นประโยคแปลกประหลาดหรือพิสดารตรงไหน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกตื่นเต้นล่ะครับ ใจเต้นแรงอีกแล้ว หลังๆ เวลาอยู่กับมันนี่ผมมีอาการแบบนี้โคตรบ่อย ทำไมวะทำไมเนี่ย

‘ไป...ป้ะ?’ ไอ้ปกติยังคงถามผม

‘ก็...’ เอายังไงดีวะครับ คราวนี้ผมรู้สึกคิดมากยังไงไม่รู้แฮะ ทั้งที่ก็เคยไปนั่งกิน KFC กับมันมาแล้วครั้งนึง ไม่เห็นจะมีอะไร เอาเถอะ เพื่อนกันนี่ครับ คิดอะไรมาก ‘ไปกินอะไรอ่ะ’

‘…’ ไอ้ปกติมันยิ้มครับ ก่อนที่มันจะตอบ ‘อะไรก็ได้ งั้นไปสยามละกันนะ’


…ตอนนี้หัวใจของผมมันรู้สึกไม่ปกติเลยจริงๆ ครับ...


พอมาถึงสยาม ไอ้ปกติมันก็ให้ผมเลือกว่าอยากกินอะไรดี ผมก็ตอบแบบส่งๆ ไปว่า อาหารญี่ปุ่นก็แล้วกัน มีตัวเลือกเยอะดี
‘ฟูจิเหรอ’

‘ไม่เอาอ่ะเบื่อว่ะ’ ผมกินโคตรจะบ่อยเลยฟูจิเนี่ย

‘ออตโตย่าก็ได้’

‘อันนั้นก็กินบ่อยอยู่นะ’ ผมเพิ่งกินไปเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ

‘แกงกะหรี่โคโค่ก็ได้นะ’

‘เราไม่กินแกงกะหรี่อ่ะ’ กลิ่นมันแรงครับ ผมไม่ชอบ

‘งั้นนี่ก็ได้ บังคาระราเมน’

‘หูยย ราเมนชามละสามร้อยเลยนะเว้ย’ แพงขนาดนี้ กินก๋วยเตี๋ยวเรือเหอะครับ

‘แล้วจะกินอะไรละคร้าบคุณภู นู่นก็ไม่กิน นี่ก็ไม่กิน เลือกเก่งจริงๆ เลย 555’ ไอ้ปกติหัวเราะเสียงดัง แม่งขำอะไรขนาดนั้นวะ ก็มันเลือกไม่ถูกนี่หว่า ‘งั้นก็ตัดสินใจเลย เราไงก็ได้’ สุดท้ายมันก็ยังให้ผมตัดสินใจอยู่ดี

‘เออ งั้น ชาบูแล้วกัน อากิโยชิดีมั้ย’

‘เออก็ดี อยากซดน้ำซุปร้อนๆ เหมือนกัน’ นี่งี้ล่ะอยากซดน้ำซุปร้อนๆ แหม่ แล้วตอนแรกก็ไม่นึกนะไอ้ตี๋


พอเลือกร้านกันได้ ผมกับไอ้ปกติก็เดินข้ามมาที่ฝั่ง siamsquare 1 เพราะร้านที่เราเลือกมันมีสาขาอยู่ที่นี่ พอมาถึงร้านคนก็ค่อนข้างเยอะนะครับ สงสัยจะเป็นเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี

‘แหม พอราเมงชามละ 300 บ่นว่าแพง พอมาเจอชาบูหัวละ 500 นี่ไม่บ่นซักคำนะ’

‘ก็อันนี้มันบุฟเฟต์นี่หว่า ยังไงก็คุ้ม’

‘แต่เรากินบุฟเฟต์ไม่เคยคุ้มเลย’

‘ทำไมวะ อิ่มง่ายเหรอ’

‘เออ แต่ช่างมันเหอะ ภูกินให้คุ้มก็แล้วกัน จะได้นั่งนานๆ’

‘จะนั่งนานทำไม ก็กินให้อิ่ม อิ่มแล้วก็กลับ’

‘ก็ไม่ได้อยากรีบกลับนี่หว่า’

‘ทำไมวะ..’ ผมถามมันไปแบบไม่คิดอะไร แต่ไอ้ปกติมันไม่ตอบครับ มันกลับมองไปทางอื่นแทน แล้วผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ไม่นานก็ถึงคิวผมกับมัน เดาว่ามาสองคนน่าจะหาโต๊ะง่าย เพราะคนที่มาก่อนผมส่วนใหญ่มากันเป็นกลุ่ม อาจจะต้องรอรวมโต๊ะเลยนานกว่า 

ผมกับมันสั่งเมนูที่อยากกินกันมาเต็มโต๊ะ แต่มีเฉพาะหมูนะครับ ผมก็เพิ่งรู้ว่าไอ้ปกติมันไม่กินเนื้อ ส่วนผมยังไงก็ได้ หิวๆ แบบนี้กินได้หมดครับ ไอ้ปกตินี่เป็นพวกกินบุฟเฟต์ไม่คุ้มจริงๆ ด้วย กินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็บ่นละ

‘โคตรอิ่มเลย’

‘ไมอิ่มไวจังวะ นี่เรายังกินไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย’

‘บอกแล้วกินไม่คุ้ม อิ่มแล้วก็กินต่อไม่ไหวละ’

‘แล้วจะรีบไปไหนต่อป่าวล่ะ’

‘ไม่ไปอ่ะ นั่งดูลูกหมูกินอยู่ตรงนี้นี่แหละ’

‘ใครวะลูกหมู ทำมาแซวนะเว้ย เราไม่ได้อ้วนสักหน่อย’

‘กินแบบนี้บ่อยๆ ต่อไปอ้วนแน่ๆ ใครจะเลี้ยงไหววะ’

‘ก็ไม่ต้องมีใครเลี้ยง เลี้ยงตัวเองสบายจะตาย’

‘แล้ว...ถ้ามีคนที่อยากเลี้ยงล่ะ’

…มันกำลังหมายความว่ายังไงวะครับ

‘อยากเลี้ยง...หมายถึงไรวะ’

‘ไม่มีไร ก็แค่แซว ถ้าวันหนึ่งมีคนที่บอกว่าอยากเลี้ยง เลี้ยงไหว จะตอบว่าอะไร’

‘ไม่มีหรอก ใครจะพูด เราไม่ใช่ผู้หญิง ทำไมต้องให้ใครมาเลี้ยง’

‘ไม่เกี่ยวหรอก ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเป็นคนที่เราชอบ เราก็อยากดูแลคนๆ นั้นป่าววะ อยากนั่งมองเค้ากินเยอะๆ แค่นี้ก็คงมีความสุขแล้ว’
..
..
..
...คุณๆ ครับ ตอนนี้...ไอ้ปกติมันกำลังหมายความว่าอะไรกันแน่ มัน...ไม่ได้หมายความว่า...มองอยากนั่งมองผมใช่ไหม...ผมควรจะพูดอะไรต่อดีครับตอนนี้

‘เหรอ’ ผมรู้แค่ว่า ตอนนี้ผมต้องก้มหน้าก้มตากิน ไม่กล้าจะเงยหน้ามองมันเลยครับ

‘เงยหน้ามั่งก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี’ ไอ้ปกติก็คงพอจะดูออก เลยแซวผม ผมค่อยๆ เงยหน้ามองมันทีละนิด จริงๆ ตอนนี้หมูก็เต็มปากผมจนยัดไม่เข้าแล้วครับ ‘มองหน้ากันบ้าง มองแต่หมูในจาน อยากจะเป็นหมูจริงๆ หรือไง’

‘เป็นหมูบ้าไรล่ะ คนกินหมูต้องเป็นหมูด้วยหรือไง’

‘รู้ ว่าไม่ได้เป็น 555’ มันยังคงมองหน้าผมอยู่ ผมเองก็ยังคงมองหน้ามัน ไม่นานหรอกครับ แต่แค่เพียงแป้บเดียวนั้น ผมก็พอจะสังเกตได้ว่า สายตาของมันเหมือนจะคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มกว้างของมันดูหดหายลงไปนิดๆ แต่มันก็ยังคงชวนผมคุยต่อ ‘กลับบ้านแล้วทำอะไรมั่งอ่ะ’

‘ก็คงไม่ได้ทำไรมากอ่ะ กว่าจะถึงก็ดึกละ อาบน้ำ ฟังเพลง อ่านนิยายอีกหน่อยมั้ง’

‘หะ อ่านนิยายด้วยเหรอ’

‘เออ ทำไมวะ’

‘เปล่า แค่ไม่ค่อยได้ยินว่าเดี๋ยวนี้คนยังอ่านนิยาย’

‘อืม ก็จริง แต่เราชอบนะ มันเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของตัวละครดี ชีวิตจริงๆ บางทีมันมีเรื่องน่าเบื่อ ก็ได้นิยายนี่แหละที่ทำให้เรารู้สึกหลุดไปจากความน่าเบื่อนั้น’

‘แล้วพอหยุดอ่านแล้ว จะกลับมาเบื่ออีกไหม’ ไอ้ปกติถาม มันยังคงมองหน้าผม

‘ก็...คงเบื่อแหละมั้ง ทำไมวะ’

‘ไม่มีไร แค่รู้สึกว่า หลายๆ เรื่องในชีวิตจริง มันก็ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ง่ายๆ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องอยู่กับสิ่งนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ หรือไม่น่าเบื่อ เรื่องที่เราชอบ หรือไม่ชอบ...’

‘หมายถึงอะไรวะ’ ทำไมไอ้ปกติมันดูเหมือนจะดราม่าวะครับ

‘เห้ย เราก็พูดไปเรื่อยแหละ ไม่มีไรอ่ะ’

‘เออๆ’ ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผมก็ยังกินต่อไปจนอิ่ม

ไม่นานผมกับมันก็จ่ายเงินแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน เราต้องไปต่อรถไฟฟ้ากันอีกรอบ ระหว่างเดินทาง ไอ้ปกติไม่ค่อยคุยอะไรมากนัก ผมเองก็เหมือนกัน เพราะปกติมันจะเป็นคนชวนผมคุยก่อน พอมันเงียบ ผมก็เลยเงียบตาม ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรเหมือนกันนะครับ ผมก็ไม่กล้าถาม เห็นมันเอาแต่เงยหน้ามองเพดานรถไฟฟ้า สลับกับหันมามองหน้าผมบ้าง แล้วก็หันไปทางอื่น

‘เดี๋ยวเราลงสถานีถัดไปแล้วนะ’ สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนคุยกับมันก่อน

‘จะลงแล้วเหรอ ไวเหมือนกันเนอะ’

‘ไวก็ไม่ดีเหรอจะได้กลับไปนอนไวๆ ง่วงแล้วเนี่ย’

‘อืม...งั้นเดี๋ยวเราส่งเพลงให้นะ’ อ่าว ตั้งนานไม่ยอมส่ง จะมารีบส่งตอนกำลังจะลงรถไฟฟ้าซะงั้น อารมณ์ไหนของมันวะไอ้ตี๋นี่
ไม่ถึงนาที ไลน์ผมก็เด้งเตือนว่า มีไฟล์เพลงที่ส่งมาจากโปรไฟล์กากบาทสีแดง ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมต้องลงพอดี

‘ไปละ’ ผมหันไปบอกมัน

‘อย่าลืมฟังเพลงนะ’ ไม่อยากจะบอกมันเลยครับ ว่ากว่ามันจะส่งให้เนี่ย ผมโหลดมาฟังตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ผมก็เลยพยักหน้าตอบมันกลับไป ไอ้ปกติมันมองผมอยู่อย่างนั้นจนประตูรถไฟฟ้าปิด ผมเองก็ยังมองมันอยู่ ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ นี่ครับ ไม่รู้ความบังเอิญของผมกับมันจะหมดแล้วหรือยัง หรือจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร


ความรู้สึกผมตอนนี้มันเหมือน...เหมือนไม่อยากจะให้รถไฟฟ้าวิ่งไปเลย


...แต่...ทั้งที่ผมรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมผมต้องยืนมองมัน แล้วมันก็ยังมองผม แต่ผมก็ไม่อยากจะละสายตาไปไหน เราสบตากันจนรถไฟฟ้าวิ่งผ่านออกไป ผมมองขบวนรถวิ่งไปจนลับสายตา ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนสถานี ระหว่างนั้นผมกดเพลงที่เพิ่งได้รับมาเมื่อกี้ฟังไปด้วย เสียงเพลงมันชัดกว่าไฟล์ที่ผมโหลดมาวันนี้มาก  มากจนผมได้ยินรายละเอียดทุกๆ อย่างของเพลงนี้ผ่านทางหูฟัง ผมยืนเฉยๆ และตั้งใจฟังอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงท่อนสุดท้ายของเพลง


    ...ที่เป็นทุกข์ ก็เพราะคงเฝ้าแต่คิดถึงเธอ ตั้งแต่วันที่ได้เจอ เธอคือเหตุผลที่ฉัน ต้องเป็นอย่างนี้...


#Kodrak

************************************

จบตอนที่ 7 แล้วครับ ภูเริ่มหวั่นไหวมากขึ้นทุกที ในขณะที่ปกติก็ดูท่าจะไม่ค่อยปกติซะแล้ว ฝากติดตามต่อกันตอนหน้าด้วยนะคร้าบ รับรองว่าเรื่องราวจะค่อยๆ เข้มข้นขึ้นอีกทีละนิดๆ แน่นอน ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับบบบ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 7
«ตอบ #28 เมื่อ13-08-2017 08:16:00 »

ชอบนะค๊ะ เขียนดี อ่านแล้วสนุก เพลินมาก

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คอร์ดรัก (โคตรรัก) ตอนที่ 7
«ตอบ #29 เมื่อ13-08-2017 23:35:42 »

ทำให้อยากตามรอยไปกินชาบูบ้างเลยนะเนี่ย
 :hao6:








 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด