บทที่ 17
เซ็กซ์กับความ...ร
“งานก็ราบรื่น ลูกค้าชมจนนายตัวลอย แถมวันศุกร์แบบนี้มันต้องปาร์ตี้กันแล้วละครับทุกๆ คน”ผมมองไอ้เพื่อนสนิทที่กำลังโหวกเหวกเสียงดังกลางออฟฟิศ ทำเป็นมาบอกว่างานออกมาดีแล้วจะไปดื่ม ผมเห็นก็หาเรื่องดื่มได้ตลอดนั่นแหละงานไม่เสร็จ งานโดนแก้ก็ดื่มแก้เครียด งานดีก็ฉลอง
“เจ้ไป”นี่ก็มาเป็นลูกคู่กันตลอดนี่ถ้าไอ้ต้าร์ไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วนี่ ผมว่ามันคงได้กับเจ้โอ๋ไปแล้วละครับ
“กูขอบายนะ มีนัดแล้ว”ผมบอกออกไปตามตรง ที่จริงช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ไปสังสรรค์กับไอ้ต้าร์แล้วก็เจ้โอ๋บ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วแหละครับ ถึงแม้การไปกับเพื่อนมันจะช่วยคลายเหงา และช่วยลดการคิดฟุ้งซ่านของผมลงไปได้บ้าง แต่พอกลับห้องไปอยู่คนเดียวผมก็อดที่จะจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะไปกับคนที่อยู่กับผมได้ตลอดคืนมากกว่าการไปกับเพื่อน
“เจ้..มานี่”ไอ้ต้าร์เดินมาข้างๆ ผมก่อนจะเรียกเจ้โอ๋ให้มายืนประกบอีกข้าง ก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน ผมมองทั้งคู่อย่างระแวงว่าจะทำอะไรผมหรือเปล่า
“ฟ่าง มึงกับกูก็คบกันมานาน ที่จริงก็รู้นะว่ามึงก็ไม่ชอบให้กูไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมึง แต่เรื่องนี้กูว่ามันไม่โอเควะ แค่คนๆ นึงที่ทำร้ายมึง มันจำเป็นเหรอวะที่ต้องมาประชดชีวิตตัวเองเพราะคนแบบนั้น”จนได้สินะ เห็นมันตั้งท่าจะคุยเรื่องนี้กับผมมาหลายทีแล้วละครับ แต่ในเมื่อมันไม่พูดออกมาตรงๆ ผมเองก็เลยเฉย และใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป
“กูไม่ได้ประชดใครเว้ย กูก็แค่เปิดโอกาสตัวเองให้ได้เรียนรู้ใครสักคน ใครสักคนที่พร้อมเคียงข้างกูไง”แม้จะบอกออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆ แล้วผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่า คำพูดในวันนั้นที่ผมบอกอีกคนไว้ก็ส่งผลกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่ด้วย ที่จริงแต่ไหนแต่ไร ผมเองก็เคยมาบ้างแหละครับที่มีความสัมพันธ์ข้ามคืนกับ ใครสักคนโดยไม่สนใจอะไรเนี่ย แต่นั่นมันก็แค่นานๆ ครั้ง
“แล้วมึงเปิดมากี่คนแล้วละ”ดูไอ้ต้าร์จะไม่ชอบใจเรื่องนี้เอามากๆ เลยมั้งครับเนี่ย
“แล้วยังไง กูก็คบทีละคนไหม”ผมหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไปกับใครมั่วซั่ว หรือจบแค่ความสัมพันธ์คืนเดียวแล้วแยกทาง ตอนนี้ผมก็เปิดใจคุยกับใครเป็นคนๆ ไป แม้มันจะเริ่มต้นจากเซ็กซ์ก็เถอะ
“คนละกี่เดือน ไม่สิคนละกี่วัน มึงคิดดูดีๆ นะว่านี่มึงกำลังทำอะไรอยู่”ผมนิ่งไปเพราะก็เถียงไม่ออกว่าการที่พอเริ่มต้นความสัมพันธ์จากเซ็กซ์ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจะมาพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาว มันก็ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่ละคนที่เข้ามาแม้ทีแรกจะบอกว่าไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ แล้วพอสุดท้ายแทบทุกคนก็แค่ต้องการความตื่นเต้น แปลกใหม่ และต้องการแบบนั้นไปเรื่อยๆ ส่วนผมเหรอครับ ผมก็แค่ยังหวัง หวังว่าสักวันจะเจอคนที่ทำให้ผมลืมคนที่ขยี้หัวใจผมได้
“ปกติเจ้ก็ไม่ค่อยอยากเผือก หรอกนะแต่เรื่องนี้เจ้เห็นด้วยกับต้าร์มันนะ”นี่เรียกกันมารุมผมเลยสินะครับเนี่ย ก็พอรู้ครับว่าที่ทำอยู่มันก็ไม่ค่อยดี แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้กว่าผมจะผ่านแต่ละคืนไปได้ มันก็ยากเหลือเกิน ผมเองก็ไม่คิดหรอกนะครับว่าอีกคนจะมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้
เอาจริงๆ ผมไม่โกรธเค้านะครับ ที่เค้าคิดจะช่วยเพื่อน หรือแฟนเก่าเค้า แม้ผมจะรู้สึกว่าวิธีการของทั้งคู่นั้นไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่ก็นั่นแหละครับ เราทุกคนก็คงมีเรื่องที่ตัดสินใจพลาดหรือเลือกอะไรที่คนอื่นมองว่าตัดสินใจโง่ๆ เพราะงั้นผมจะไม่ตัดสินอะไรกับเรื่องของพวกเค้า แต่สิ่งที่มันทำให้ผมรู้สึกแย่คือการที่ได้รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุดสำหรับเค้าอีกต่อไปแล้ว พอรู้แบบนั้นไม่ว่าเค้าจะพูดยังไง แม้แต่คำที่ว่าเค้ารักผม มันแทบไม่มีน้ำหนักเลยที่จะทำให้ผมรู้สึก
“ถ้ามึงจะเปลี่ยนคู่นอนบ่อยขนาดนี้ มึงไปซื้อกินแบบอิเจ้ดีกว่าไหม”เสียงไอ้ต้าร์เรียกสติผมอีกครั้ง และมันก็ฟังเป็นคำที่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ อย่างมาก แม้จะลากเอาชื่อเจ้โอ๋มาพ่วงให้ดูเป็นการแซวให้ขำด้วยก็เถอะ
“อ้าวอิต้าร์ กูไปบาร์โฮสนี่ไม่ได้หมายความว่ากูจะหิ้วเด็กไปซั่มทุกครั้งนะ อย่ามาพาดพิง”ผมหยุดคิดอีกครั้ง แม้สายตาจะมองที่เจ้โอ๋กับไอ้ต้าร์ ที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กัน แต่ในใจก็มีแต่คำถามว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ทั้งที่นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว ผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที
“กูก็ไม่ได้อยากให้ใครมามีอิทธิพลกับชีวิตกูขนาดนี้นะเว้ย แต่ยิ่งกูพยายามลืม ภาพในอดีตระหว่างกูกับเค้ามันกลับยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”ตั้งแต่เล็กจนโต ระหว่างเรามันมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน แล้วไหนจะคอนโดที่เค้าก็ยังได้เข้าไปให้ผมต้องนึกถึงทุกครั้งที่กลับห้อง ว่าครั้งนึงเค้าก็เคยนอนที่นั่น หรือแม้แต่โทรศัพท์ ที่แม้ผมจะปิดกั้นการติดต่อจากเค้าไปหมดแล้ว แต่ก็เป็นผมเองนี่แหละ ที่ยังย้อนไปอ่านข้อความเก่าๆ ที่เราเคยคุยกัน
“ฟ่าง ฟังพี่นะ ถ้ามันลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม ความทรงจำดีๆ เราก็เก็บมันไว้นั่นแหละเอาไว้บอกตัวเองว่าเราเคยมีความสุข แต่เราก็ต้องใส่ความทรงจำลงไปเพิ่มด้วย ว่าเราจะมีความสุขกับคนเดิมไม่ได้แล้ว”เจ้โอ๋ลูบแขนผมเบาๆ ผมรู้ว่าทุกคนก็อยากให้ผมดีขึ้น แต่เอาจริงๆ ผมว่าเจ้โอ๋เองก็ยังไม่ได้หลุดพ้นจากรักครั้งนั้นของแกหรอกครับ ถ้าเจ้มำได้จริงๆ เจ้คงมีรักครั้งใหม่ไปแล้ว
“แล้วเมื่อไหร่ เมื่อไหร่กันครับเจ้ที่เราจะเริ่มใหม่กับใครสักคนได้จริงๆ”เป็นคำถามที่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ หรอกนะครับ หรือผมควรเปลี่ยนจากการเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยเซ็กซ์ มาเป็นเริ่มเรียนรู้ใครสักคนอย่างจริงจัง แต่ชีวิตผมมันก็ไม่ได้มีโอกาสพบเจอคนที่จะเข้ามาให้เรียนรู้ได้เลย นอกจากที่ทำงานชีวิตผมก็มีแค่ร้านดื่มแค่นั้นแหละมั้ง
“ถ้ามันเริ่มไม่ได้ ก็มาอยู่โสดๆ เป็นเพื่อนเจ้นี่แหละ”
“ใช่ไม่มีผัวมึงก็ยังมีพวกกูนะ เลิกทำตัวอย่างที่ทำนี่ได้แล้ว แล้วไอ้คนที่คุยๆ อยู่ตอนนี้ชื่ออะไรนะ แต่ชื่ออะไรก็ช่างเถอะเดี๋ยวมึงก็เลิกหรือเลิกวันนี้เลยก็ได้นะจะได้ไปฉลองด้วยกัน”ผมคงต้องลองสู้กับความรู้สึกตัวเองอีกสักตั้งสินะ
“พี่ฟ่างคะ เมื่อเช้าสงสัยหนูดูไม่ดีเลยเอามาให้ไม่ครบ”บทสนทนาของพวกผมถูกขัดจังหวะด้วยน้องธุรการที่เอาเอกสารไปรษณีย์มาให้ผม
“ขอบคุณครับ”ผมรับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็อดแปลกใจเล็กไม่ได้ เพราะปกติผมไม่ได้ให้ส่งอะไรส่วนตัวมาที่บริษัทเลย ถ้าจะมีมาก็ต้องเป็นเอกสารเกี่ยวกับงานแต่นี่ดูๆ แล้วมันน่าจะเป็นอะไรส่วนตัวเสียมากกว่า แถมไม่ระบุชื่อผู้ส่งอีกด้วย
“อะไรวะ”ไอ้ต้าร์ถามอย่างไม่จริงจังนัก ผมเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะค่อยๆ เปิดซองออกดู
“ตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตเหรอ”เจ้โอ๋เป็นคนอ่านทวน สิ่งที่อยู่ในมือผม
“นี่มึงอย่าบอกนะว่า มึงยังจะไปเจอไอ้โพดอีกเนี่ย มึงบ้าปะเนี่ย”ไอ้ต้าร์แย่งสิ่งที่ผมถือไปจากมือ
“กูไม่ได้เป็นคนจอง”แม้ในนั้นจะระบุเป็นชื่อผม แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ไอ้ต้าร์กำลังเข้าใจ ซึ่งพอผมบอกไปทั้งสองคนก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ตั๋วเครื่องบินนี้มันมา ไอ้ต้าร์ค้นหาอะไรในซองนั้นเพิ่มเติมก็พบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นนึง
“ไปให้ได้นะครับ”ไอ้ต้าร์อ่านข้อความด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ส่วนผมนะเหรอ แค่รับรู้ว่าไอ้ที่ส่งมานี่มาจากไหนมันก็จุกขึ้นมาในอกแล้วแหละครับ ก็รู้ว่ามันใกล้จะถึงวันที่เราเคยตกลงกันว่าจะไปเจอกันทุกปีแล้ว และเค้าก็คงยังอยากให้ผมไปเจอกันเหมือนเดิม แต่ผมก็บอกไปแล้วนิว่าผมจะไม่ไป ที่เค้าทำแบบนี้เค้าไม่คิดถึงจิตใจผมบ้างเลยหรือไง
“มันเอาอะไรคิดวะที่ทำแบบนี้”ไอ้ต้าร์ขยำกระดาษโน้ตแผ่นนั้นก่อนจะทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ พร้อมกับซองเอกสารทั้งหมด
“ก็แปลกดีเนอะ กูพยายามแทบตายที่จะไม่เอาเรื่องของเค้ามามีอิทธิพลกับชีวิต แต่แค่เค้าส่งตั๋วเครื่องบินมาแค่นี้ ทุกอย่างที่กูพยายามมามันก็แทบจะพังลงเสียหมด จนเหมือนจะต้องเริ่มต้นใหม่”รอยยิ้มเยาะค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าผมเองเป็นการสมเพชตัวเอง เพราะมันเหมือนผมยิ่งพยายามหนีผมกลับยิ่ง ไม่สามารถหลุดพ้นได้
“แต่มึงไม่ได้จะไปเจอมันใช่ไหม”ไอ้ต้าร์ถามย้ำ ทั้งที่ก็เห็นอยู่แท้ๆ ว่าปฏิกิริยาผมเป็นยังไง หรือถ้าผมยังบ้าขนาดดันทุรังจะไปอีกมันจะไปมีประโยชน์อะไร มันจะได้อะไรขึ้นมากับการที่ผมทำแบบนั้น
“เอาเป็นว่าเลิกดราม่าแล้วไปปาร์ตี้กันดีกว่าทุกคน”
“ผมบอกแล้วไงเจ้ว่ามีนัด”เจ้โอ๋เบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะอุตส่าห์พยายามช่วยดึงอารมณ์ให้มันดูน่าสนุกสนานขึ้น แต่ผมก็ยังปฏิเสธแถมยังอยู่ในอารมณ์เบื่อโลกเช่นเดิม
“กูมีทางเลือกให้มึง 2 ทาง ทางแรกชวนคนที่มึงนัดไว้มาจอยกับพวกกู หรือไม่ก็ให้กูกับอิเจ้เนี่ยไปกับมึงด้วย จะได้ช่วยดูว่าไอ้คนที่มึงนัดเนี่ย ควรเลิกๆ ไป หรือยังไงต่อ”ผมว่าไอ้ทางเลือกทั้งสองนี่ก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่หรอกครับ ผมถอนหายใจเบาๆ เพื่อตัดสินใจและกำลังนึกถึงคนที่ผมนัดไว้
“จะไปไหนกันละเดี๋ยวกูถามเค้าดูว่าสะดวกมาด้วยไหม แต่ถ้าไม่มากูก็ไปกับมึงกับเจ้นี่แหละ แต่ถ้าเค้ามามึงอย่า...เออถ้ามาก็ค่อยว่ากัน”ผมตัดสินใจ ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ผมนัดเนี่ยไอ้ต้าร์มันก็รู้จักนี่สิครับ แถมประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่เค้าเป็นคนที่เคยมีเรื่องมีราวกับไอ้ต้าร์มาก่อนนี่สิ
ผมส่งข้อความบอกอีกคนที่นัดไว้ พร้อมแจ้งพิกัดสถานที่ ก่อนออกจากออฟฟิศ ไม่นานนักทั้งผม เจ้โอ๋ ไอ้ต้าร์ ก็มาถึงร้าน ร้านซึ่งเรียกว่าจะเป็นร้านประจำของพวกเราไปแล้วครับ ถ้ามาด้วยกัน อาจจะด้วยความคุ้นชินกับบรรยากาศ สไตล์แนวเพลงหรืออะไรต่างๆ พอเจออะไรที่ใช่ คนเราก็คงไม่อยากเปลี่ยน นั่นสินะจิตใจคนเราบางทีพอฝังใจกับอะไรไปแล้ว มันก็คงยากที่จะเปลี่ยน
“ตกลงนี่กิ๊กมึงมาป่ะเนี่ย”ไอ้ต้าร์ที่เดินกลับเข้ามานั่งเอ่ยถาม มันเพิ่งจะโทรรายงานตัวกับกุ้งเสร็จเรียบร้อย ผมล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความ แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีสายโทรเข้ามาพอดี
“น่าจะถึงแล้วมั้ง โทรมาพอดีเนี่ย”ผมบอกพร้อมกดรับสาย และทักทายคนที่โทรเข้ามา เค้ามาถึงแล้วและกำลังจะเดินเข้ามาในร้าน
“งั้นเข้ามาเลยโต๊ะ 149 นะ”ผมบอกพร้อมหันไปมองทางเดินที่เข้ามาจากหน้าร้าน เมื่อเห็นคนที่นัดไว้ก็วางสายและโบกมือให้เค้าเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงไหน
“นั่นไอ้เชี่ยปู่นิ อย่าบอกนะว่ามึง”ทันทีที่ไอ้ต้าร์เห็นคนที่ผมนัดไว้เดินเข้ามาก็กันมาถามผมเสียงแข็ง
“เออวันนี้กูนัดกับปู่ไว้”ยิ่งได้ยินผมย้ำว่าสิ่งที่มันคิดนั้นถูกแล้ว ไอ้ต้าร์ยิ่งแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนครับ ก็พอรู้อยู่แล้วละครับว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ชีวิตคงไม่เจออะไรขนาดเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดอีกแล้ว
“มึงนี่มัน”
“หยุด มึงเป็นคนให้กูเลือกเองว่าวันนี้กูต้องมากับมึง”ผมรีบชี้ไอ้ต้าร์ก่อนที่มันจะว่าอะไรผมมากไปกว่านี้ ผมหันไปส่งยิ้มตอบคนที่เพิ่งมาถึงใหม่ ส่วนไอ้ต้าร์ก็มองเค้าเสียจนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“เดี๋ยวเจ้ไปนั่งข้างไอ้ต้าร์เอง น้องมานั่งนี่ก็ได้ค่ะ”เจ้โอ๋ที่นั่งข้างผมรีบเสนอตัวเปลี่ยนที่นั่ง
“เอ่อ...ปู่นี่เจ้โอ๋รุ่นพี่ที่ทำงาน แล้วเจ้โอ๋นี่ปู่ เพื่อนสมัยมหา’ลัยพวกผม”ผมแนะนำให้คนที่นั่งลงข้างๆ ผมรู้จักกับเจ้โอ๋ ส่วนไอ้ต้าร์ก็อย่างที่บอกครับ มันกับเค้ารู้จักกันอยู่แล้ว
“ใครเพื่อนมัน มึงไปเป็นเพื่อนกับมันตอนไหน”แต่ก็นี่แหละครับ รู้จักกันก็ใช่ว่าจะญาติดีต่อกัน ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แม้จะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็นึกว่าไอ้ต้าร์มันจะมีเหตุผลมากกว่านี้
“นี่มึงยังโกรธกูอยู่เหรอวะไอ้ต้าร์”ปู่หันไปถามไอ้ต้าร์ ด้วยน้ำเสียงปกติ
“หยุด มึงอย่าเพิ่งพูด กูขอเวลาเคลียร์กับเพื่อนกูสัก 10 นาที มึงจะไปห้องน้ำ ไปสูบบุหรี่ นั่งรอหน้าร้าน หรือรอไม่ไหวกลับไปเลยก็ได้ ลุกสิ”ผมมองหน้าไอ้ต้าร์อย่างไม่เข้าใจว่ามันจะทำอะไร
“เอางี้จริงดิ”ปู่ถามไอ้ต้าร์ย้ำ แล้วมันมามองหน้าผมอย่างขอความเห็น แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ห้ามหรือปรามไอ้ต้าร์ มันก็พูดย้ำเสียดังขึ้นมาอีก
“ลุกสิวะ”
“โอเคๆ”ปู่ยอมลุก ส่งยิ้มจางๆ ให้ผมว่าไม่เป็นไร ผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เค้าแหละครับ เกรงใจเค้าเหมือนกันแหละครับที่ชวนมาแล้วต้องเจออะไรแบบนี้
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”น้ำเสียงคาดคั้นเรียกให้ผมต้องหันกลับมาสนใจกับไอ้เพื่อนสนิทที่ตอนนี้เหมือนกำลังจะเป็นหมาบ้า
“มึงเป็นอะไรวะต้าร์ เรื่องมันตั้งนานมาแล้ว อีกอย่างตอนนั้นจะว่าปู่แย่งแฟนมึงก็ไม่ถูกนะ มึงเองก็ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับน้องเค้า เค้าจะเลือกปู่ก็ไม่เห็นแปลก”ผมยกเรื่องราวที่เคยบาดหมางกันของคนทั้งคู่ขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนจะยังไม่ค่อยได้ผลเพราะไอ้ต้าร์ก็เตรียมง้างปากจะเถียงผมอีกรอบ หากแต่ว่าโดนเสียงของเจ้โอ๋ขัดขึ้นเสียก่อน
“หยุดก่อนค่ะทั้งคู่ ช่วยอธิบายให้เจ้ได้เข้าใจและมีส่วนร่วมด้วยนิดนึงนะคะ”
ผมกับไอ้ต้าร์มองหน้ากัน ต่างคนต่างเงียบจนเป็นผมเองที่ต้องรีบเล่าแบบสรุปให้เจ้โอ๋ฟัง เพราะไม่งั้นคนที่ลุกจากโต๊ะไปนั่นก็คงต้องรออีกนาน จริงๆ แล้ว “ปู่” ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกนะครับ เป็นเพื่อนร่วมคณะของผมกับไอ้ต้าร์นี่แหละครับ แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็เหมือนเพื่อนร่วมคณะคนนึงที่รู้จักและได้สังสรรค์กันบ้าง
จนวันนึงไอ้ต้าร์ดันไปปิ้งรุ่นน้องคนนึง ก็แอบจีบแบบเงียบๆ แต่ไปๆ มาๆ จีบไม่ทันติดน้องก็ดันเปิดตัวคบกับปู่เสียอย่างนั้น จากนั้นมาไอ้ต้าร์กับปู่เลยเกือบๆ จะเป็นคู่อริกันไป ส่วนผมกับปู่นั้นก็
“กูไม่ได้โกรธที่มันเคยได้หญิงปาดหน้ากู แต่กูแค่ไม่เข้าใจว่ามึงจะไปยุ่งกับมันทำไม สมัยเรียนมึงไม่เห็นเหรอวะว่าไอ้เชี่ยนี่ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ดี เจ้าชู้ยิ่งกว่าอะไร แล้วมึงยังจะมาคบกับมันเนี่ยนะ เอาตรงๆ ถ้าเทียบข้อดีระหว่างไอ้เชี่ยปู่เนี่ยกับไอ้โพด กูว่าไอ้โพดแมร่งยังมีข้อดีมากกว่าอีก”โหนี่ก็มาเสียชุดใหญ่ไม่เว้นช่องไฟให้ผมได้พูดบ้างเลย
“ถ้ามึงจะหวงขนาดนี้ ไม่เป็นแฟนฟ่างเสียเองเลยละ”ไม่ใช่ผม ไม่ใช่เจ้โอ๋ แต่เป็นอีกคนที่นั่งลงข้างผมเป็นคนพูดขึ้น ไอ้ต้าร์หันมองเค้าอย่างไม่ปิดบังว่ามีความไม่พอใจมากขนาดไหน
“มึงไม่ต้องมาปากดี กูแค่เป็นห่วงเพื่อนกู ถึงแม้กูกับไอ้ฟ่างจะดูเหมาะกันมากกว่ามึง แต่ยังไงมิตรภาพความเป็นเพื่อนของพวกกูก็ยั่งยืนกว่า ไอ้คนทั่วถึงอย่างมึง”ผมว่าผมคงต้องรีบปรามๆ ไอ้ต้าร์แล้วแหละครับไม่งั้นการสังสรรค์วันนี้คงจะหมดสนุกเสียก่อน
“โอเคมึง เอาเป็นว่ามึงไม่พอใจอะไรกู หรือไม่พอใจอะไรปู่ ทดเอาไว้ในใจก่อน ไว้ค่อยไปด่า ไปบ่น ไประบายวันอื่น วันนี้กูมีเรื่องในหัวมามากพอแล้วขอดื่มอย่างสนุกสนานเถอะนะ”ผมชี้หน้าให้ไอ้ต้าร์หุบปาก เพราะที่จริงผมกับปู่ เราก็มีข้อตกลงของเรา เค้าอาจจะยังไม่ใช่คนที่จะมาลบอีกคนในใจผมได้ และผมก็อาจไม่ใช่คนสุดท้ายที่เค้าจะหยุด แต่ ณ ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างพอใจในสถานะ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“แล้วตกลงน้องฟ่างกับน้องปู่นี่สปาร์คกันตั้งแต่ตอนไหน อะไรยังไงคะเจ้อยากรู้”พอผมบังคับไอ้ต้าร์ให้ทดทุกอย่างไว้ในใจได้ และแอลกอฮอล์เริ่มเข้าสู่กระแสเลือด บรรยากาศในการดื่มก็ผ่อนคลายขึ้น ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น
“หรืออะไรกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”เมื่อทั้งผมและปู่ไม่ได้ตอบ เจ้โอ๋ก็ยื่นมือมาชี้ผมทั้งคู่อย่างคาดคั้นอีกรอบ
“เจ้ตอนเรียนมีแต่คนเข้าใจว่าผมกับไอ้ฟ่างเป็นแฟนกัน มันจะไปอะไรกันได้ยังไง”คำพูดของไอ้ต้าร์ทำเอาผมกับปู่ยิ้มและหันมองหน้ากันและกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ไอ้พวกเชี่ยมองกันแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงได้กันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”ก็ฉลาดใช้ได้นิครับเพื่อนผม เห็นอาการของผมสองคนก็พอจะเดาออกสินะ
“ออกค่ายอาสาตอนปี 3”ปู่เป็นคนตอบซึ่งทำเอาไอ้ต้าร์ซักไซ้ผมเสียยกใหญ่เพราะว่ามันเองก็คิดว่ารู้ทุกเรื่องของผม แต่มีเรื่องนี้แหละครับที่ผมไม่เคยบอกมัน ที่ไม่บอกก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ในเมื่อมันเองก็เขม่นปู่อยู่ แถมปู่เองที่เข้าหาผมในค่ายอาสาครั้งนั้นก็เพราะหมั่นไส้ไอ้ต้าร์แถมเข้าใจว่าผมกับไอ้ต้าร์เป็นแฟนกัน เลยอยากจะเข้าหาผมเพื่อแกล้งไอ้ต้าร์ที่ค่ายครั้งนั้นไม่ได้ไปด้วย
“พวกมึงแมร่ง ไอ้เชี่ยปู่เนี่ยกูเข้าใจเพราะแมร่งคงเลวยันดีเอ็นเอ”
“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องชมกูขนาดนี้ก็ได้”ปู่ตอบรับไอ้ต้าร์ที่กำลังอึ้งที่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับปู่
“แต่มึงไอ้ฟ่าง กูไม่คิดว่ามึงจะแรดได้ขนาดนี้ นี่กูนึกมาตลอดเลยนะว่ามึงจะรักษาพรมจรรย์ไว้รอน้องชายสุดที่รักของมึง”ผมสะดุดกับคำพูดนั้นซึ่งพอเห็นอาการผม ทุกคนก็คงรู้สึกได้ โดยเฉพาะไอ้ต้าร์ที่คงพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มไม่อยากให้ทุกคนเสียบรรยากาศเพราะการพูดถึงคนๆ เดียว
“แต่กูว่ากูทำถูกแล้วนะที่แยกระหว่างเซ็กซ์กับ...ความรู้สึกออกจากกัน”ผมจงใจที่จะเลี่ยงคำๆ นั้นคำที่ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้อีกแล้ว แก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันในมือผมถูกยื่นออกไปกระทบกับแก้วของทุกๆ คน ก่อนที่เราจะดื่มรวดเดียวพร้อมๆ กัน
TBC
แวะมาต่อคร๊าบ
ตอนนี้จะเป็นเรื่องราวหลังจากงานแต่ง เกือบๆ จะครบปีแล้ว
ช่วงนี้ก็จะเล่าในส่วนชีวิตของฟ่างขยายเพิ่มไปบ้างว่าจริงๆ แล้วตัวของฟ่างเองใช้ชีวิตยังไง
หรือจะตัดสินใจไปในทิศทางใดต่อ