Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018  (อ่าน 21022 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 17
เซ็กซ์กับความ...ร




“งานก็ราบรื่น ลูกค้าชมจนนายตัวลอย แถมวันศุกร์แบบนี้มันต้องปาร์ตี้กันแล้วละครับทุกๆ คน”ผมมองไอ้เพื่อนสนิทที่กำลังโหวกเหวกเสียงดังกลางออฟฟิศ ทำเป็นมาบอกว่างานออกมาดีแล้วจะไปดื่ม ผมเห็นก็หาเรื่องดื่มได้ตลอดนั่นแหละงานไม่เสร็จ งานโดนแก้ก็ดื่มแก้เครียด งานดีก็ฉลอง

“เจ้ไป”นี่ก็มาเป็นลูกคู่กันตลอดนี่ถ้าไอ้ต้าร์ไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วนี่ ผมว่ามันคงได้กับเจ้โอ๋ไปแล้วละครับ

“กูขอบายนะ มีนัดแล้ว”ผมบอกออกไปตามตรง ที่จริงช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ไปสังสรรค์กับไอ้ต้าร์แล้วก็เจ้โอ๋บ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วแหละครับ ถึงแม้การไปกับเพื่อนมันจะช่วยคลายเหงา และช่วยลดการคิดฟุ้งซ่านของผมลงไปได้บ้าง แต่พอกลับห้องไปอยู่คนเดียวผมก็อดที่จะจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะไปกับคนที่อยู่กับผมได้ตลอดคืนมากกว่าการไปกับเพื่อน

“เจ้..มานี่”ไอ้ต้าร์เดินมาข้างๆ ผมก่อนจะเรียกเจ้โอ๋ให้มายืนประกบอีกข้าง ก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน ผมมองทั้งคู่อย่างระแวงว่าจะทำอะไรผมหรือเปล่า

“ฟ่าง มึงกับกูก็คบกันมานาน ที่จริงก็รู้นะว่ามึงก็ไม่ชอบให้กูไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมึง แต่เรื่องนี้กูว่ามันไม่โอเควะ แค่คนๆ นึงที่ทำร้ายมึง มันจำเป็นเหรอวะที่ต้องมาประชดชีวิตตัวเองเพราะคนแบบนั้น”จนได้สินะ เห็นมันตั้งท่าจะคุยเรื่องนี้กับผมมาหลายทีแล้วละครับ แต่ในเมื่อมันไม่พูดออกมาตรงๆ ผมเองก็เลยเฉย และใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป

“กูไม่ได้ประชดใครเว้ย กูก็แค่เปิดโอกาสตัวเองให้ได้เรียนรู้ใครสักคน ใครสักคนที่พร้อมเคียงข้างกูไง”แม้จะบอกออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆ แล้วผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่า คำพูดในวันนั้นที่ผมบอกอีกคนไว้ก็ส่งผลกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่ด้วย ที่จริงแต่ไหนแต่ไร ผมเองก็เคยมาบ้างแหละครับที่มีความสัมพันธ์ข้ามคืนกับ ใครสักคนโดยไม่สนใจอะไรเนี่ย แต่นั่นมันก็แค่นานๆ ครั้ง

“แล้วมึงเปิดมากี่คนแล้วละ”ดูไอ้ต้าร์จะไม่ชอบใจเรื่องนี้เอามากๆ เลยมั้งครับเนี่ย

“แล้วยังไง กูก็คบทีละคนไหม”ผมหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไปกับใครมั่วซั่ว หรือจบแค่ความสัมพันธ์คืนเดียวแล้วแยกทาง ตอนนี้ผมก็เปิดใจคุยกับใครเป็นคนๆ ไป แม้มันจะเริ่มต้นจากเซ็กซ์ก็เถอะ

“คนละกี่เดือน ไม่สิคนละกี่วัน มึงคิดดูดีๆ นะว่านี่มึงกำลังทำอะไรอยู่”ผมนิ่งไปเพราะก็เถียงไม่ออกว่าการที่พอเริ่มต้นความสัมพันธ์จากเซ็กซ์ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจะมาพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาว มันก็ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่ละคนที่เข้ามาแม้ทีแรกจะบอกว่าไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ แล้วพอสุดท้ายแทบทุกคนก็แค่ต้องการความตื่นเต้น แปลกใหม่ และต้องการแบบนั้นไปเรื่อยๆ ส่วนผมเหรอครับ ผมก็แค่ยังหวัง หวังว่าสักวันจะเจอคนที่ทำให้ผมลืมคนที่ขยี้หัวใจผมได้

“ปกติเจ้ก็ไม่ค่อยอยากเผือก หรอกนะแต่เรื่องนี้เจ้เห็นด้วยกับต้าร์มันนะ”นี่เรียกกันมารุมผมเลยสินะครับเนี่ย ก็พอรู้ครับว่าที่ทำอยู่มันก็ไม่ค่อยดี แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้กว่าผมจะผ่านแต่ละคืนไปได้ มันก็ยากเหลือเกิน ผมเองก็ไม่คิดหรอกนะครับว่าอีกคนจะมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้

เอาจริงๆ ผมไม่โกรธเค้านะครับ ที่เค้าคิดจะช่วยเพื่อน หรือแฟนเก่าเค้า แม้ผมจะรู้สึกว่าวิธีการของทั้งคู่นั้นไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่ก็นั่นแหละครับ เราทุกคนก็คงมีเรื่องที่ตัดสินใจพลาดหรือเลือกอะไรที่คนอื่นมองว่าตัดสินใจโง่ๆ เพราะงั้นผมจะไม่ตัดสินอะไรกับเรื่องของพวกเค้า แต่สิ่งที่มันทำให้ผมรู้สึกแย่คือการที่ได้รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุดสำหรับเค้าอีกต่อไปแล้ว พอรู้แบบนั้นไม่ว่าเค้าจะพูดยังไง แม้แต่คำที่ว่าเค้ารักผม มันแทบไม่มีน้ำหนักเลยที่จะทำให้ผมรู้สึก

“ถ้ามึงจะเปลี่ยนคู่นอนบ่อยขนาดนี้ มึงไปซื้อกินแบบอิเจ้ดีกว่าไหม”เสียงไอ้ต้าร์เรียกสติผมอีกครั้ง และมันก็ฟังเป็นคำที่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ อย่างมาก แม้จะลากเอาชื่อเจ้โอ๋มาพ่วงให้ดูเป็นการแซวให้ขำด้วยก็เถอะ

“อ้าวอิต้าร์ กูไปบาร์โฮสนี่ไม่ได้หมายความว่ากูจะหิ้วเด็กไปซั่มทุกครั้งนะ อย่ามาพาดพิง”ผมหยุดคิดอีกครั้ง แม้สายตาจะมองที่เจ้โอ๋กับไอ้ต้าร์ ที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กัน แต่ในใจก็มีแต่คำถามว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ทั้งที่นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว ผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที

“กูก็ไม่ได้อยากให้ใครมามีอิทธิพลกับชีวิตกูขนาดนี้นะเว้ย แต่ยิ่งกูพยายามลืม ภาพในอดีตระหว่างกูกับเค้ามันกลับยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”ตั้งแต่เล็กจนโต ระหว่างเรามันมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน แล้วไหนจะคอนโดที่เค้าก็ยังได้เข้าไปให้ผมต้องนึกถึงทุกครั้งที่กลับห้อง ว่าครั้งนึงเค้าก็เคยนอนที่นั่น หรือแม้แต่โทรศัพท์ ที่แม้ผมจะปิดกั้นการติดต่อจากเค้าไปหมดแล้ว แต่ก็เป็นผมเองนี่แหละ ที่ยังย้อนไปอ่านข้อความเก่าๆ ที่เราเคยคุยกัน

“ฟ่าง ฟังพี่นะ ถ้ามันลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม ความทรงจำดีๆ เราก็เก็บมันไว้นั่นแหละเอาไว้บอกตัวเองว่าเราเคยมีความสุข แต่เราก็ต้องใส่ความทรงจำลงไปเพิ่มด้วย ว่าเราจะมีความสุขกับคนเดิมไม่ได้แล้ว”เจ้โอ๋ลูบแขนผมเบาๆ ผมรู้ว่าทุกคนก็อยากให้ผมดีขึ้น แต่เอาจริงๆ ผมว่าเจ้โอ๋เองก็ยังไม่ได้หลุดพ้นจากรักครั้งนั้นของแกหรอกครับ ถ้าเจ้มำได้จริงๆ เจ้คงมีรักครั้งใหม่ไปแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่ เมื่อไหร่กันครับเจ้ที่เราจะเริ่มใหม่กับใครสักคนได้จริงๆ”เป็นคำถามที่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ หรอกนะครับ หรือผมควรเปลี่ยนจากการเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยเซ็กซ์ มาเป็นเริ่มเรียนรู้ใครสักคนอย่างจริงจัง แต่ชีวิตผมมันก็ไม่ได้มีโอกาสพบเจอคนที่จะเข้ามาให้เรียนรู้ได้เลย นอกจากที่ทำงานชีวิตผมก็มีแค่ร้านดื่มแค่นั้นแหละมั้ง

“ถ้ามันเริ่มไม่ได้ ก็มาอยู่โสดๆ เป็นเพื่อนเจ้นี่แหละ”

“ใช่ไม่มีผัวมึงก็ยังมีพวกกูนะ เลิกทำตัวอย่างที่ทำนี่ได้แล้ว แล้วไอ้คนที่คุยๆ อยู่ตอนนี้ชื่ออะไรนะ แต่ชื่ออะไรก็ช่างเถอะเดี๋ยวมึงก็เลิกหรือเลิกวันนี้เลยก็ได้นะจะได้ไปฉลองด้วยกัน”ผมคงต้องลองสู้กับความรู้สึกตัวเองอีกสักตั้งสินะ

“พี่ฟ่างคะ เมื่อเช้าสงสัยหนูดูไม่ดีเลยเอามาให้ไม่ครบ”บทสนทนาของพวกผมถูกขัดจังหวะด้วยน้องธุรการที่เอาเอกสารไปรษณีย์มาให้ผม

“ขอบคุณครับ”ผมรับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็อดแปลกใจเล็กไม่ได้ เพราะปกติผมไม่ได้ให้ส่งอะไรส่วนตัวมาที่บริษัทเลย ถ้าจะมีมาก็ต้องเป็นเอกสารเกี่ยวกับงานแต่นี่ดูๆ แล้วมันน่าจะเป็นอะไรส่วนตัวเสียมากกว่า แถมไม่ระบุชื่อผู้ส่งอีกด้วย

“อะไรวะ”ไอ้ต้าร์ถามอย่างไม่จริงจังนัก ผมเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะค่อยๆ เปิดซองออกดู

“ตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตเหรอ”เจ้โอ๋เป็นคนอ่านทวน สิ่งที่อยู่ในมือผม

“นี่มึงอย่าบอกนะว่า มึงยังจะไปเจอไอ้โพดอีกเนี่ย มึงบ้าปะเนี่ย”ไอ้ต้าร์แย่งสิ่งที่ผมถือไปจากมือ

“กูไม่ได้เป็นคนจอง”แม้ในนั้นจะระบุเป็นชื่อผม แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ไอ้ต้าร์กำลังเข้าใจ ซึ่งพอผมบอกไปทั้งสองคนก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ตั๋วเครื่องบินนี้มันมา ไอ้ต้าร์ค้นหาอะไรในซองนั้นเพิ่มเติมก็พบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นนึง

“ไปให้ได้นะครับ”ไอ้ต้าร์อ่านข้อความด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ส่วนผมนะเหรอ แค่รับรู้ว่าไอ้ที่ส่งมานี่มาจากไหนมันก็จุกขึ้นมาในอกแล้วแหละครับ ก็รู้ว่ามันใกล้จะถึงวันที่เราเคยตกลงกันว่าจะไปเจอกันทุกปีแล้ว และเค้าก็คงยังอยากให้ผมไปเจอกันเหมือนเดิม แต่ผมก็บอกไปแล้วนิว่าผมจะไม่ไป ที่เค้าทำแบบนี้เค้าไม่คิดถึงจิตใจผมบ้างเลยหรือไง

“มันเอาอะไรคิดวะที่ทำแบบนี้”ไอ้ต้าร์ขยำกระดาษโน้ตแผ่นนั้นก่อนจะทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ พร้อมกับซองเอกสารทั้งหมด

“ก็แปลกดีเนอะ กูพยายามแทบตายที่จะไม่เอาเรื่องของเค้ามามีอิทธิพลกับชีวิต แต่แค่เค้าส่งตั๋วเครื่องบินมาแค่นี้ ทุกอย่างที่กูพยายามมามันก็แทบจะพังลงเสียหมด จนเหมือนจะต้องเริ่มต้นใหม่”รอยยิ้มเยาะค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าผมเองเป็นการสมเพชตัวเอง เพราะมันเหมือนผมยิ่งพยายามหนีผมกลับยิ่ง ไม่สามารถหลุดพ้นได้

“แต่มึงไม่ได้จะไปเจอมันใช่ไหม”ไอ้ต้าร์ถามย้ำ ทั้งที่ก็เห็นอยู่แท้ๆ ว่าปฏิกิริยาผมเป็นยังไง หรือถ้าผมยังบ้าขนาดดันทุรังจะไปอีกมันจะไปมีประโยชน์อะไร มันจะได้อะไรขึ้นมากับการที่ผมทำแบบนั้น

“เอาเป็นว่าเลิกดราม่าแล้วไปปาร์ตี้กันดีกว่าทุกคน”

“ผมบอกแล้วไงเจ้ว่ามีนัด”เจ้โอ๋เบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะอุตส่าห์พยายามช่วยดึงอารมณ์ให้มันดูน่าสนุกสนานขึ้น แต่ผมก็ยังปฏิเสธแถมยังอยู่ในอารมณ์เบื่อโลกเช่นเดิม

“กูมีทางเลือกให้มึง 2 ทาง ทางแรกชวนคนที่มึงนัดไว้มาจอยกับพวกกู หรือไม่ก็ให้กูกับอิเจ้เนี่ยไปกับมึงด้วย จะได้ช่วยดูว่าไอ้คนที่มึงนัดเนี่ย ควรเลิกๆ ไป หรือยังไงต่อ”ผมว่าไอ้ทางเลือกทั้งสองนี่ก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่หรอกครับ ผมถอนหายใจเบาๆ เพื่อตัดสินใจและกำลังนึกถึงคนที่ผมนัดไว้

“จะไปไหนกันละเดี๋ยวกูถามเค้าดูว่าสะดวกมาด้วยไหม แต่ถ้าไม่มากูก็ไปกับมึงกับเจ้นี่แหละ แต่ถ้าเค้ามามึงอย่า...เออถ้ามาก็ค่อยว่ากัน”ผมตัดสินใจ ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ผมนัดเนี่ยไอ้ต้าร์มันก็รู้จักนี่สิครับ แถมประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่เค้าเป็นคนที่เคยมีเรื่องมีราวกับไอ้ต้าร์มาก่อนนี่สิ

ผมส่งข้อความบอกอีกคนที่นัดไว้ พร้อมแจ้งพิกัดสถานที่ ก่อนออกจากออฟฟิศ ไม่นานนักทั้งผม เจ้โอ๋ ไอ้ต้าร์ ก็มาถึงร้าน ร้านซึ่งเรียกว่าจะเป็นร้านประจำของพวกเราไปแล้วครับ ถ้ามาด้วยกัน อาจจะด้วยความคุ้นชินกับบรรยากาศ สไตล์แนวเพลงหรืออะไรต่างๆ พอเจออะไรที่ใช่ คนเราก็คงไม่อยากเปลี่ยน นั่นสินะจิตใจคนเราบางทีพอฝังใจกับอะไรไปแล้ว มันก็คงยากที่จะเปลี่ยน

“ตกลงนี่กิ๊กมึงมาป่ะเนี่ย”ไอ้ต้าร์ที่เดินกลับเข้ามานั่งเอ่ยถาม มันเพิ่งจะโทรรายงานตัวกับกุ้งเสร็จเรียบร้อย ผมล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความ แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีสายโทรเข้ามาพอดี

“น่าจะถึงแล้วมั้ง โทรมาพอดีเนี่ย”ผมบอกพร้อมกดรับสาย และทักทายคนที่โทรเข้ามา เค้ามาถึงแล้วและกำลังจะเดินเข้ามาในร้าน

“งั้นเข้ามาเลยโต๊ะ 149 นะ”ผมบอกพร้อมหันไปมองทางเดินที่เข้ามาจากหน้าร้าน เมื่อเห็นคนที่นัดไว้ก็วางสายและโบกมือให้เค้าเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงไหน

“นั่นไอ้เชี่ยปู่นิ อย่าบอกนะว่ามึง”ทันทีที่ไอ้ต้าร์เห็นคนที่ผมนัดไว้เดินเข้ามาก็กันมาถามผมเสียงแข็ง

“เออวันนี้กูนัดกับปู่ไว้”ยิ่งได้ยินผมย้ำว่าสิ่งที่มันคิดนั้นถูกแล้ว ไอ้ต้าร์ยิ่งแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนครับ ก็พอรู้อยู่แล้วละครับว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ชีวิตคงไม่เจออะไรขนาดเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดอีกแล้ว

“มึงนี่มัน”

“หยุด มึงเป็นคนให้กูเลือกเองว่าวันนี้กูต้องมากับมึง”ผมรีบชี้ไอ้ต้าร์ก่อนที่มันจะว่าอะไรผมมากไปกว่านี้ ผมหันไปส่งยิ้มตอบคนที่เพิ่งมาถึงใหม่ ส่วนไอ้ต้าร์ก็มองเค้าเสียจนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“เดี๋ยวเจ้ไปนั่งข้างไอ้ต้าร์เอง น้องมานั่งนี่ก็ได้ค่ะ”เจ้โอ๋ที่นั่งข้างผมรีบเสนอตัวเปลี่ยนที่นั่ง

“เอ่อ...ปู่นี่เจ้โอ๋รุ่นพี่ที่ทำงาน แล้วเจ้โอ๋นี่ปู่ เพื่อนสมัยมหา’ลัยพวกผม”ผมแนะนำให้คนที่นั่งลงข้างๆ ผมรู้จักกับเจ้โอ๋ ส่วนไอ้ต้าร์ก็อย่างที่บอกครับ มันกับเค้ารู้จักกันอยู่แล้ว

“ใครเพื่อนมัน มึงไปเป็นเพื่อนกับมันตอนไหน”แต่ก็นี่แหละครับ รู้จักกันก็ใช่ว่าจะญาติดีต่อกัน ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แม้จะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็นึกว่าไอ้ต้าร์มันจะมีเหตุผลมากกว่านี้

“นี่มึงยังโกรธกูอยู่เหรอวะไอ้ต้าร์”ปู่หันไปถามไอ้ต้าร์ ด้วยน้ำเสียงปกติ

“หยุด มึงอย่าเพิ่งพูด กูขอเวลาเคลียร์กับเพื่อนกูสัก 10 นาที มึงจะไปห้องน้ำ ไปสูบบุหรี่ นั่งรอหน้าร้าน หรือรอไม่ไหวกลับไปเลยก็ได้ ลุกสิ”ผมมองหน้าไอ้ต้าร์อย่างไม่เข้าใจว่ามันจะทำอะไร

“เอางี้จริงดิ”ปู่ถามไอ้ต้าร์ย้ำ แล้วมันมามองหน้าผมอย่างขอความเห็น แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ห้ามหรือปรามไอ้ต้าร์ มันก็พูดย้ำเสียดังขึ้นมาอีก

“ลุกสิวะ”

“โอเคๆ”ปู่ยอมลุก ส่งยิ้มจางๆ ให้ผมว่าไม่เป็นไร ผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เค้าแหละครับ เกรงใจเค้าเหมือนกันแหละครับที่ชวนมาแล้วต้องเจออะไรแบบนี้

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”น้ำเสียงคาดคั้นเรียกให้ผมต้องหันกลับมาสนใจกับไอ้เพื่อนสนิทที่ตอนนี้เหมือนกำลังจะเป็นหมาบ้า

“มึงเป็นอะไรวะต้าร์ เรื่องมันตั้งนานมาแล้ว อีกอย่างตอนนั้นจะว่าปู่แย่งแฟนมึงก็ไม่ถูกนะ มึงเองก็ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับน้องเค้า เค้าจะเลือกปู่ก็ไม่เห็นแปลก”ผมยกเรื่องราวที่เคยบาดหมางกันของคนทั้งคู่ขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนจะยังไม่ค่อยได้ผลเพราะไอ้ต้าร์ก็เตรียมง้างปากจะเถียงผมอีกรอบ หากแต่ว่าโดนเสียงของเจ้โอ๋ขัดขึ้นเสียก่อน

“หยุดก่อนค่ะทั้งคู่ ช่วยอธิบายให้เจ้ได้เข้าใจและมีส่วนร่วมด้วยนิดนึงนะคะ”

ผมกับไอ้ต้าร์มองหน้ากัน ต่างคนต่างเงียบจนเป็นผมเองที่ต้องรีบเล่าแบบสรุปให้เจ้โอ๋ฟัง เพราะไม่งั้นคนที่ลุกจากโต๊ะไปนั่นก็คงต้องรออีกนาน จริงๆ แล้ว “ปู่” ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกนะครับ เป็นเพื่อนร่วมคณะของผมกับไอ้ต้าร์นี่แหละครับ แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็เหมือนเพื่อนร่วมคณะคนนึงที่รู้จักและได้สังสรรค์กันบ้าง

จนวันนึงไอ้ต้าร์ดันไปปิ้งรุ่นน้องคนนึง ก็แอบจีบแบบเงียบๆ แต่ไปๆ มาๆ จีบไม่ทันติดน้องก็ดันเปิดตัวคบกับปู่เสียอย่างนั้น จากนั้นมาไอ้ต้าร์กับปู่เลยเกือบๆ จะเป็นคู่อริกันไป ส่วนผมกับปู่นั้นก็

“กูไม่ได้โกรธที่มันเคยได้หญิงปาดหน้ากู แต่กูแค่ไม่เข้าใจว่ามึงจะไปยุ่งกับมันทำไม สมัยเรียนมึงไม่เห็นเหรอวะว่าไอ้เชี่ยนี่ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ดี เจ้าชู้ยิ่งกว่าอะไร แล้วมึงยังจะมาคบกับมันเนี่ยนะ เอาตรงๆ ถ้าเทียบข้อดีระหว่างไอ้เชี่ยปู่เนี่ยกับไอ้โพด กูว่าไอ้โพดแมร่งยังมีข้อดีมากกว่าอีก”โหนี่ก็มาเสียชุดใหญ่ไม่เว้นช่องไฟให้ผมได้พูดบ้างเลย

“ถ้ามึงจะหวงขนาดนี้ ไม่เป็นแฟนฟ่างเสียเองเลยละ”ไม่ใช่ผม ไม่ใช่เจ้โอ๋ แต่เป็นอีกคนที่นั่งลงข้างผมเป็นคนพูดขึ้น ไอ้ต้าร์หันมองเค้าอย่างไม่ปิดบังว่ามีความไม่พอใจมากขนาดไหน

“มึงไม่ต้องมาปากดี กูแค่เป็นห่วงเพื่อนกู ถึงแม้กูกับไอ้ฟ่างจะดูเหมาะกันมากกว่ามึง แต่ยังไงมิตรภาพความเป็นเพื่อนของพวกกูก็ยั่งยืนกว่า ไอ้คนทั่วถึงอย่างมึง”ผมว่าผมคงต้องรีบปรามๆ ไอ้ต้าร์แล้วแหละครับไม่งั้นการสังสรรค์วันนี้คงจะหมดสนุกเสียก่อน

“โอเคมึง เอาเป็นว่ามึงไม่พอใจอะไรกู หรือไม่พอใจอะไรปู่ ทดเอาไว้ในใจก่อน ไว้ค่อยไปด่า ไปบ่น ไประบายวันอื่น วันนี้กูมีเรื่องในหัวมามากพอแล้วขอดื่มอย่างสนุกสนานเถอะนะ”ผมชี้หน้าให้ไอ้ต้าร์หุบปาก เพราะที่จริงผมกับปู่ เราก็มีข้อตกลงของเรา เค้าอาจจะยังไม่ใช่คนที่จะมาลบอีกคนในใจผมได้ และผมก็อาจไม่ใช่คนสุดท้ายที่เค้าจะหยุด แต่ ณ ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างพอใจในสถานะ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว

“แล้วตกลงน้องฟ่างกับน้องปู่นี่สปาร์คกันตั้งแต่ตอนไหน อะไรยังไงคะเจ้อยากรู้”พอผมบังคับไอ้ต้าร์ให้ทดทุกอย่างไว้ในใจได้ และแอลกอฮอล์เริ่มเข้าสู่กระแสเลือด บรรยากาศในการดื่มก็ผ่อนคลายขึ้น ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น

“หรืออะไรกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”เมื่อทั้งผมและปู่ไม่ได้ตอบ เจ้โอ๋ก็ยื่นมือมาชี้ผมทั้งคู่อย่างคาดคั้นอีกรอบ

“เจ้ตอนเรียนมีแต่คนเข้าใจว่าผมกับไอ้ฟ่างเป็นแฟนกัน มันจะไปอะไรกันได้ยังไง”คำพูดของไอ้ต้าร์ทำเอาผมกับปู่ยิ้มและหันมองหน้ากันและกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไอ้พวกเชี่ยมองกันแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงได้กันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”ก็ฉลาดใช้ได้นิครับเพื่อนผม เห็นอาการของผมสองคนก็พอจะเดาออกสินะ

“ออกค่ายอาสาตอนปี 3”ปู่เป็นคนตอบซึ่งทำเอาไอ้ต้าร์ซักไซ้ผมเสียยกใหญ่เพราะว่ามันเองก็คิดว่ารู้ทุกเรื่องของผม แต่มีเรื่องนี้แหละครับที่ผมไม่เคยบอกมัน ที่ไม่บอกก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ในเมื่อมันเองก็เขม่นปู่อยู่ แถมปู่เองที่เข้าหาผมในค่ายอาสาครั้งนั้นก็เพราะหมั่นไส้ไอ้ต้าร์แถมเข้าใจว่าผมกับไอ้ต้าร์เป็นแฟนกัน เลยอยากจะเข้าหาผมเพื่อแกล้งไอ้ต้าร์ที่ค่ายครั้งนั้นไม่ได้ไปด้วย

“พวกมึงแมร่ง ไอ้เชี่ยปู่เนี่ยกูเข้าใจเพราะแมร่งคงเลวยันดีเอ็นเอ”

“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องชมกูขนาดนี้ก็ได้”ปู่ตอบรับไอ้ต้าร์ที่กำลังอึ้งที่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับปู่

“แต่มึงไอ้ฟ่าง กูไม่คิดว่ามึงจะแรดได้ขนาดนี้ นี่กูนึกมาตลอดเลยนะว่ามึงจะรักษาพรมจรรย์ไว้รอน้องชายสุดที่รักของมึง”ผมสะดุดกับคำพูดนั้นซึ่งพอเห็นอาการผม ทุกคนก็คงรู้สึกได้ โดยเฉพาะไอ้ต้าร์ที่คงพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มไม่อยากให้ทุกคนเสียบรรยากาศเพราะการพูดถึงคนๆ เดียว

“แต่กูว่ากูทำถูกแล้วนะที่แยกระหว่างเซ็กซ์กับ...ความรู้สึกออกจากกัน”ผมจงใจที่จะเลี่ยงคำๆ นั้นคำที่ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้อีกแล้ว แก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันในมือผมถูกยื่นออกไปกระทบกับแก้วของทุกๆ คน ก่อนที่เราจะดื่มรวดเดียวพร้อมๆ กัน


TBC


แวะมาต่อคร๊าบ

ตอนนี้จะเป็นเรื่องราวหลังจากงานแต่ง เกือบๆ จะครบปีแล้ว

ช่วงนี้ก็จะเล่าในส่วนชีวิตของฟ่างขยายเพิ่มไปบ้างว่าจริงๆ แล้วตัวของฟ่างเองใช้ชีวิตยังไง

หรือจะตัดสินใจไปในทิศทางใดต่อ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฟ่าง ไม่ลืมโพดได้ง่ายๆ  แม้พยายามลืม

การที่ฟ่างเข้าหาใคร หรือใครเข้าหาฟ่าง ก็ไม่แปลก
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

ปู่ ที่เป็นอริกับตาร์ แม้ผ่านไปนาน ตาร์ก็ยังไม่ลืม
อาจเป็นตาร์คนเดียวที่ไม่ลืม
ปู่ ฟ่างเคยคบกันช่วงเรียนแต่สั้นๆสินะ
ปู่ ฟ่าง มาคุยกันใหม่ เหมือนตาร์ไม่โอด้วย
ตาร์ หวังดี แต่ต้องปล่ยให้ฟ่างคิดเอง ตัดสินใจเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 18
หลอกตัวเอง


“ดูอะไรอยู่”เสียงคนที่นอนอยู่ข้างๆ งัวเงียถามผม เค้าขยับตัวเลื่อนไปพิงหัวเตียง เอื้อมมือมาดึงให้ผมขยับเข้าไปหา แต่ผมขืนตัวไว้เพราะตามข้อตกลงแม้เราจะมีสัมพันธ์ทางกายกันแต่ผมก็ไม่ได้ต้องการที่จะอิงแอบแนบชิดอะไรกับเค้ามากนัก ระหว่างเรามันก็แค่ความต้องการทางกายไม่ควรจะให้ความรู้สึกอื่นมันเกิดขึ้น

“เปล่า”ผมปฏิเสธทั้งที่ตายังจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่

“รูปเราสองคนนิ ไหนดูซิ”เค้าไม่ได้สนใจการปฏิเสธของผม แถมฉวยโทรศัพท์จากมือของผมไปด้วย ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรจะปิดบังเค้าหรอกนะครับ เพราะเมื่อคืนตอนถ่ายเค้าก็เห็นและรับรู้อยู่แล้วว่าไอ้ต้าร์จะทำอะไร

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ปู่มึงทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยดิ”ไอ้ต้าร์ที่เริ่มจะเมาพอสมควรแล้วแย่งมือถือผมไปแล้วสั่งผมกับปู่ให้หันหน้ามองกันเหมือนไม่รู้ว่ากำลังจะโดนถ่ายรูป ซึ่งปู่ก็ดูรับมุกดีทีเดียว ใบหน้าเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ผมจนจมูกเราจะแตะกันอยู่แล้ว

“พอๆ เอาแต่พอควรหน่อยไอ้ปู่”เป็นไอ้ต้าร์อีกเช่นเดิมที่ยื่นโทรศัพท์มาแทรกกลางตรงหน้าเรา

“ไม่เอาตอนจูบด้วยเหรอมึง”ปู่ยังคงดูสนุกสนานกับเรื่องที่ทำ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ไอ้ต้าร์กำลังจะให้ผมทำ มันเหมือนจะยิ่งตอกย้ำไหมว่าผมยังอยากให้อีกคนสนใจ ไอ้ต้าร์จะทำอะไรนะเหรอครับ มันก็แค่จะบังคับให้ผมเอารูปคู่ระหว่างผมกับปู่ลงโซเชี่ยล ให้ข้าวโพดเห็น

“ลงสิวะไอ้ฟ่าง อย่าลีลา”แม้ผมจะแทบไม่เหลือช่องทางที่ยังติดต่อกับอีกคนได้ แต่คนเมาอย่างไอ้ต้าร์มีหรือจะยอมครับ มันให้ผมอันบล็อคไอจีของข้าวโพด ซึ่งผมเคยบล็อกไว้ตั้งแต่กลับจากงานแต่งพร้อมๆ กับโซเชี่ยลอื่นๆ ไปแล้ว

“ถ้ามึงอยากหลุดพ้นมึงก็ต้องทำให้มันเห็นว่ามึงมีความสุขดี”ความสุขงั้นเหรอ ความสุขที่แกล้งว่ามีมันจะไปสุขได้ยังไงกันละครับ ผมเลือกที่จะไม่ทำตามที่ไอ้ต้าร์บอก แต่แล้วเช้านี้ผมก็เพิ่งได้รู้ว่ามันคงแอบเอามือถือผมไปโพสต์สักตอนที่ผมเผลอแน่ๆ

“A new beginning”เสียงคนที่อยู่บนเตียงกับผม อ่านข้อความอย่างอารมณ์ดี

“เรตติ้งดีเสียด้วยคนกดไลค์เพียบ ว่าแต่ไหนว่าจะไม่โพสต์ไง”เค้าหันมาถามผมอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็ไม่ได้โพสต์ คงไอ้ต้าร์แหละที่โพสต์ เอามาเราจะลบละ”ผมพยายามจะแย่งมือถือคืนเพราะไม่ได้อยากจะลงรูปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทีจริงไม่น่าไปรับฟังคำพูดของไอ้ต้าร์ตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ ผมควรจะหนักแน่นกับการตัดสินที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก

“เฮ้ยไม่ต้องลบหรอก รูปสวยดีเราชอบ”นี่ก็ดูจะเห็นทุกอย่างสนุกไปเสียหมด บางทีผมก็คิดนะครับว่าอยากทำได้อย่างเค้าบ้าง ไม่ต้องสนใจไม่ต้องแคร์อะไร อยากคบใคร อยากไปกับใครก็ไม่ต้องคิดเยอะ

“ไม่กลัวแฟนคลับหายหรือไง”เมื่อเค้าไม่ยอมคืนมือถือให้ผมก็ต้องยกอะไรที่พอจะโน้มน้าวเค้าได้บ้างขึ้นมาช่วย แต่ก็คงจะไม่ได้ผล เพราะเค้าก็ยังคงหัวเราะชอบใจสนุกกับการแสดงความเห็นจากเพื่อนๆ ที่รู้จักเราทั้งคู่

“ไม่เห็นต้องกลัวเลย สนุกจะตายไป ดูนี่ดิเพื่อนเรามีแต่คนเซอร์ไพรส์ ว่าเราสองคนไปคบกันตอนไหน”

“ไม่เอา ลบเหอะ”ผมยังยืนกรานอยากที่จะลบรูปนั้นเสีย

“กลัวคนๆ นั้นเห็นเหรอ”เค้าหันมามองผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เค้าเห็นแล้ว”ชื่อของเค้าที่อยู่ในรายชื่อคนที่กดไลค์แทบจะเป็นชื่อแรกที่ผมมองเห็นเสียด้วยซ้ำตอนเปิดเข้าไปดู

“จริงดิไหนๆ คนไหนเค้ามาไลค์แล้วเหรอ”ปู่ทำเหมือนเป็นเรื่องตื่นเต้น เค้ารู้เรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดไม่มากนักหรอกครับ แค่รับรู้อย่างผิวเผิน แต่ก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องอธิบายรายละเอียดให้เค้าฟัง

“ช่างเหอะ ปู่จะอยากรู้ไปทำไมกัน”แม้ผมจะพยายามตัดบทไม่อยากพูดถึง แต่ปู่ก็ยังไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้ผม

“ก็แค่อยากรู้ว่าคนแบบไหนที่ทำฟ่างเป็นได้ขนาดนี้”นี่อาการผมมันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย ทำไมดูทุกคนจะอะไรมากมายกับเรื่องนี้ของผม ทั้งไอ้ต้าร์ เจ้โอ๋ นี่มาปู่อีก

“รู้ไหมสำหรับเรา เราว่าเราคงไม่รักใครมากกว่าตัวเราเองหรอก”ผมคิดตามสิ่งที่เค้าบอก ซึ่งมันก็ดูเหมาะกับตัวเค้าดีนะครับ แต่ถ้าถามความเห็นผม ผมก็คงไม่เห็นด้วยกับเค้าสักเท่าไหร่

“ก็เพราะคิดแบบนี้ไง ปู่เลยไม่เจอคนที่ใช่สักที”ผมบอกไปอย่างสบายๆ คือไม่ได้ตั้งใจจะไปตัดสินเค้านะครับ ที่ยังไม่คิดจริงจังกับใคร แต่ผมว่าถ้าการที่เราอยากได้ใจจากใคร เราเองก็ควรให้ไปก่อนเช่นกัน

“แล้วไงอ่ะ ต้องทุ่มทั้งใจให้อีกคนเหมือนฟ่างเหรอ สุดท้ายผลลัพท์ของเราสองคนมันก็ไม่ต่างกันนิ”จริงสินะ บางทีทุกอย่างมันก็ไม่ได้อยู่ที่เราฝ่ายเดียว

“ไม่สิ มันต่างกันต่างตรงที่เรามีความสุขดี แต่ฟ่างทุกข์”แม้จะเป็นคำพูดล้อเล่นขำๆ ก็ทำเอาผมสะอึกเหมือนกันนะครับเนี่ย แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าปู่เองจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ไปได้ตลอด วันนึงเค้าเองก็คงต้องมีใครสักคนที่จะเดินไปพร้อมเค้า

“แรงนะเนี่ย น้ำตาจะไหลเลย ใจร้ายวะ”ผมแกล้งทำเป็นเสียอกเสียใจ เพราะไม่อยากดึงบรรยากาศให้เครียดไปมากกว่านี้

“ก็แค่อยากให้คิด ว่าก่อนที่ฟ่างจะรักใครก็ควรรักตัวเองก่อนไง”ผมเงียบไม่พูดอะไรอีก ขืนพูดอะไรไปความเห็นเราสองคนก็คงไม่ตรงกันอยู่ดี สู้เงียบไม่แสดงความเห็นเพิ่มจะดีกว่า

“คนนี้ใช่ไหม”เค้าหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมดู นี่ระหว่างคุยกับผมเค้ายังสามารถเปิดจนเจอว่าอันไหนคือไอจีของข้าวโพดอีกเหรอครับเนี่ย

“ลูกเค้าน่ารักดีเนอะ”เค้าเลื่อนหน้าจอดูรูปในนั้นอย่างสนใจ

“เหรอ”ผมเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากรับรู้สักเท่าไหร่ นี่ก็กะว่าถ้าได้โทรศัพท์คืนผมคงบล็อกทุกอย่างกลับตามเดิม

“แต่ไม่เห็นมีรูปแฟนเค้าเลย แฟนเค้าเป็นฝรั่งเหรอ”คำถามที่ปู่เองก็คงลืมตัวถามออกมา ซึ่งแน่นอนว่าปู่เองไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดมากนัก และผมเองก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เค้าฟัง

“โทษที ที่จริงเราไม่ควรจะ...”

“ช่างเหอะเราโอเค”ผมโกหกครับแม้ผมจะดีขึ้น แต่ผมก็รู้ดีว่ามันยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ที่ผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

“จริงอ่ะ งั้นถามอะไรหน่อยดิ”ละนี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่โกหกออกไปแบบนั้น นี่ถ้าผมบอกความจริงว่ายังไม่โอเคกับเรื่องนี้เค้าจะหยุดถามผมหรือเปล่านะ

“สมมติถ้าเราไปแต่งงานมีลูกบ้าง ฟ่างจะไปงานแต่งเราไหม”ถ้าเป็นปู่งั้นเหรอ ผมว่าผมแทบจะไปได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำมั้งครับเนี่ย จิตใจคนเรานี่ก็แปลกดีนะครับ แต่มันก็ยังแย่ตรงที่เราบังคับจิตใจตัวเองไม่ได้นี่แหละ

“ก็คงไปแหละ แต่จะไปบอกเจ้าสาวว่าเค้าแย่งแฟนเรา ฮ่าๆ”

“ร้ายนะเนี่ย”เค้าเอื้อมมือมายีหัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว

“แล้วถ้าเราทำแบบนั้นจริงๆ ปู่จะโกรธเราไหม”

“เราว่าฟ่างไม่ทำหรอก เพราะถ้าทำคงทำตั้งแต่งานของคนนี้แล้ว จริงไหม”มันไม่เหมือนกันนี่สิครับงานของข้าวโพดถ้าตามที่เจ้าตัวบอก เจ้าสาวเองอาจจะรู้เรื่องผมอยู่แล้วด้วยซ้ำ

“แต่ถ้างานเรา เราว่าเจ้าสาวเค้าคงเข้าใจแหละ ว่าเราเลือกเค้าแล้ว เรื่องในอดีตเค้าไม่น่าจะแคร์”

“ผู้หญิงเค้าจะรับได้จริงๆ เหรอที่สามีตัวเองเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน”ผมถามอย่างสงสัย เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงทุกคนจะรับเรื่องแบบนี้ได้

“ไม่เห็นจะแปลกเลยโลกทุกวันนี้มันมีทุกรูปแบบแหละ แต่ไม่ต้องรีบคิด เพราะเรายังไม่มีความคิดอยากแต่งงานอยู่ในหัวเลย”นี่สินะครับหนุ่มเจ้าสำราญอย่างแท้จริง แต่หลังๆ ที่ผมกับเค้ามีความสัมพันธ์ทางกายกันแบบนี้ ก็ไม่ค่อยเห็นเค้าไปกับใครเท่าไหร่นะครับ เว้นก็แต่

“แล้วนี่ที่เห็นคุยไลน์ด้วยบ่อยๆ นั่นคนพิเศษเหรอ”จะมีหนึ่งคนที่เห็นเค้าคุยด้วยบ่อยๆ ถึงผมจะไม่ได้สนใจนักยังดูออก แต่ก็คงตอบแทนเค้าไม่ได้ว่าแท้จริงๆ เค้ารู้สึกยังไงกันแน่

“นี่เหรอ”เค้าหันหน้าจองของเค้าเองมาให้ผมดู

“ก็ไม่รู้สิ แค่เป็นคนแรกมั้งที่คุยกันมาเป็นเดือนแล้วแต่ไม่เคยมีอะไรกันเลย”ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง มันเป็นเรื่องแปลกมากเลยสำหรับคนอย่างปู่ที่จะมามีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ อีกอย่างเวลาเค้าคุยกับคนๆ นี้ผมว่าปู่เองก็มีความสุขนะ เพียงแต่ตอนนี้เค้าอาจจะยังไม่รู้ตัว หรือรู้แล้วแต่ยังไม่อยากยอมรับกับตัวเอง

“เซอร์ไพรส์นะเนี่ย งั้นระหว่างเราสองคนควรเลิกทำแบบนี้สินะ”

“ทำไมละ ไม่เห็นเกี่ยวเลย”ผมยกยิ้มมองคนปากแข็ง พอรู้แบบนี้ผมว่าระหว่างผมกับเค้าก็ควรเลิกทำแบบนี้กันเสียทีครับ เผื่อตัวเค้าเองจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง อาจจะรวมถึงตัวผมเองด้วยที่อาจจะต้องยอมรับเสียทีว่าที่ทำอยู่นี่ก็แค่ทำประชดชีวิต

“ปู่คิดดูดีๆ ว่าทำไมปู่ถึงทนคุยกับเค้าอยู่ได้ ทั้งที่ไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยว ทั้งที่ปู่ไม่ใช่คนจะอดทนกับอะไรได้นานขนาดนั้น”เค้านิ่งไปนิดนึงนั่นทำให้ผมแน่ใจแหละครับว่าเค้าก็คงพอจะรู้ตัวบ้างแล้ว

“บ้าไม่มีอะไร ก็แค่คุยเล่นๆ เค้าก็คุยสนุกดีแค่นั้นเอง พอๆ กลับมาคุยเรื่องฟ่างต่อดีกว่า”นั่นไงสุดท้ายก็วกกลับมาที่ผมอีกจนได้

“เฮ้ย”เค้าทำหน้าตกใจเมื่อเปิดหน้าจอโทรศัพท์ผมขึ้นมาอีกครั้ง จนผมต้องรีบแย่งมาดูบ้าง

“อะไร”

“เราไปกดไลค์รูปเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่”ภาพเด็กทารกนอนยิ้มด้วยความไร้เดียงสา เหมือนกำลังทักทายผมที่มองเค้าอยู่ ผมชะงักไปเล็กน้อยกับภาพนั้น แต่มันก็ยังไม่น่าตกใจเท่าชื่อผมไปปรากฏเป็นหนึ่งในคนที่กดถูกใจรูปนั้น และถ้านั่นยังสร้างความตกใจให้ผมไม่พอ ข้อความที่เด้งมาจากอีกคนยิ่งเพิ่มความตกใจให้กับผมมากขึ้นไปอีก

“พี่ฟ่างหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”

“งั้นปีนี้เราก็จะเจอกันที่ภูเก็ตเหมือนทุกปีใช่ไหมครับ”

“นี่อะไร Brokeback Mountain เหรอนัดเจอกันปีละครั้งงี้ ความรักที่ต้องหลบซ่อนงี้”ปู่ที่เห็นข้อความเช่นเดียวกับผม พูดเหมือนเป็นการประชดอยู่ในที

“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วเราก็ไม่ได้จะไปเจอเค้าด้วย”ผมปฏิเสธพร้อมกับกดบล็อคอีกคนอย่างที่ตั้งใจไว้

“ทำไมละ”ปู่ยังคงถามด้วยความสงสัย

“ก็แล้วจะไปให้มันได้อะไร”ถ้าไปไอ้สิ่งที่ผมพยายามมาตลอดมันจะมีค่าอะไร แค่เค้าส่งตั๋วเครื่องบินมา ส่งข้อความมายังมีผลกับความรู้สึกผมขนาดนี้ แล้วการไปเจอมันจะยิ่งไม่มากกว่าเหรอ

“ไปให้เค้าเห็นไงว่าเรามีความสุข”แบบนั้นมันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการหลอกตัวเองสินะ ผมไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่สีหน้าผมก็คงชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เค้ากำลังเสนอ

“ไปให้เห็นว่าเค้าไม่ได้มีอิทธิพลกับเราขนาดนั้น”แม้เค้าจะโน้มน้าวมาขนาดนี้ในใจผมมันก็ยังค้านอยู่ดีว่าผมไม่ควรไป

“เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน”ดูเหมือนปู่จะยังไม่ละความพยายามที่จะให้ผมไป

“คิดดูก่อนแล้วกันนะ”ผมบอกออกไปเพื่อตัดจบบทสนทนา





TBC


ช่วงนี้ก็จะมาห่างๆ หน่อย

ส่วนปู่กะฟ่าง ก็คงไม่พัฒนาไปมากกว่านี้

จริงๆ ตั้งใจใส่ตัวละครปู่มาเพื่อให้ฟ่างได้คิดและเรียนรู้บางอย่าง

ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปในทิศทางดีขึ้นหรือเปล่า

ยังไงก็ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ยังไม่เห็นด้วยกับความคิด การกระทำของโพด  :fire: :fire: :fire:

ปู่ ดูจะวุ่นวายกับฟ่าง มากไป
ทั้งที่มีคนถูกใจ คุยประจำอยู่แล้ว
รอตอนต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 19
เปลี่ยนไปแล้ว



5 ปีแล้วสินะที่ผมไม่ได้มาที่นี่เลย 5 ปีแล้วที่ผมตัดขาดกับอีกคนและนั่นทำให้ผมรู้ว่าผมก็อยู่ได้นิ ผมก็อยู่แบบโสดๆ ของผมมา ผมไม่ได้ทำตัวทั่วถึงไปกับใครอีก อาจจะต้องขอบคุณปู่ที่ตอนเราจะหยุดความสัมพันธ์ทางกายกันทั้งเค้าและผมต่างคนก็ต่างช่วยกันให้อีกฝ่ายคิดได้ ว่าเราไม่ควรใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกต่อไป

ส่วนเรื่องข้าวโพดผมอาจจะยังยึดติดว่ายังมีเค้าอยู่ แต่ก็นั่นแหละครับเวลาผ่านไปอะไรๆ มันก็เริ่มจางไปรวมถึงความรู้สึกต่างๆ ที่เคยมี ตอนนี้เค้าก็คงเป็นแค่คนในความทรงจำของผมเท่านั้นเอง

“โอเคแน่นะมึง”ไอ้ต้าร์ถามผมรอบที่ร้อยได้แล้วมั้งครับตั้งแต่มาถึงภูเก็ตนี่ ใช่แล้วครับตอนนี้ผมไอ้ต้าร์ กุ้ง เจ้โอ๋ เราอยู่กันที่ภูเก็ตซึ่งเป็นการมาภูเก็ตในรอบหลายปีของผมเลยทีเดียว

“นี่ไม่ใช่ว่าจงใจอยากมาเจอเค้าใช่ไหม”เจ้โอ๋ก็เป็นไปด้วยอีกคน ดูเหมือนทุกคนจะไม่ค่อยเชื่อว่าผมไม่ได้อะไรกับข้าวโพดแล้ว ต่อให้ต้องเจอกันจริงๆ ผมว่ามันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้วละครับ

“นี่เรามาเที่ยวกันนะครับ มาสนุกกันแค่พวกเราสิ จะสนใจพูดถึงคนอื่นทำไมกันเนี่ย”ผมบอกปัดอย่างไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับทุกคน พร้อมเดินออกมารับลมที่ริมระเบียง

“ถ้าไม่ได้อยากเจอไอ้โพดทำไมมึงถึงชวนพวกกูมาช่วงนี้”ไอ้ฟ่างเดินตามผมออกมาที่ริมระเบียง ทำไมวันนี้ทุกคนดูกังวลกับผมจัง ทั้งที่เรื่องราวทุกอย่างมันก็จบไปตั้งนาน ตลอดช่วงหลายปีมานี่เราก็แทบไม่ได้พูดถึงกันเลย อยู่ๆ พอมาที่นี่ทำไมถึงพากันขุดเรื่องนี้ออกมากันอีกละเนี่ย

“แล้วช่วงอื่นเราว่างกันหลายวันแบบนี้ไหม”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะที่จริงตอนตัดสินใจมาผมก็ไม่นึกถึงเรื่องข้าวโพดสักเท่าไหร่ เค้าอาจจะไม่มาที่นี่อีกเลยก็ได้

“งั้นเรื่องโรงแรม ทำไมต้องพักที่นี่”

“มึงก็รู้นิว่ากูมีความหลังอะไรกับที่นี่”ผมเลือกที่นี่เพราะอยากมารำลึกถึงพ่อกับแม่ นี่ก็หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้มา ที่จริงนอกจากไอ้ต้าร์ที่ถามแบบนี้แล้ว ป้ามั้นกับลุงถาเองถ้าอยู่ก็คงถามผมเช่นกัน โชคดีที่การมาครั้งนี้ของผมไม่ต้องเจอกับทั้งสองท่าน เห็นว่าพากันไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ แล้วตอนนี้คนที่ดูแลทีนี่ก็ลูกชายคนเดียวของป้ามั้นแกแหละครับ ลูกชายที่เมื่อก่อนเห็นแกบ่นนักหนา พอมารอบนี้แกคงหายบ่นแล้วมั้งครับ

“นั่นไง กูถึงบอกว่ามึงยังลืมไอ้โพดมันไม่ได้”ไอ้นี่ก็ตีความไปอะไรของมันก็ไม่รู้ ตกลงคือจะยัดเยียดให้ผมยังรู้สึกกับอีกคนให้ได้สินะ

“โอเคกูไม่ได้ลืมโพด พอใจยัง”ผมหันไปตอบจนไอ้ต้าร์หน้าเปลี่ยนสี ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะอธิบายต่อ

“กูยังรู้สึกว่ามีเค้าอยู่ในชีวิต ซึ่งกูก็รู้เว้ยว่าที่จริงเค้ายังอยู่ แต่มันก็แค่ในความทรงจำ มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตกูในตอนนี้แล้ว”ช่วงแรกๆ ผมเคยคิดนะครับว่าเวลามันจะช่วยอะไรได้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันช่วยได้เยอะทีเดียว

“แล้วทำไมมึงไม่คบใครสักคน”เสียงไอ้ต้าร์อ่อนลง ผมหันไปยิ้มจางๆ ไม่อยากให้การมาเที่ยวครั้งนี้ดึงไปดราม่าอึมครึมอะไรแบบนั้นเลยพูดให้มันเป็นเรื่องตลกแทน

“ใครสักคนแบบปู่อ่ะเหรอ”ผมหัวเราะในลำคอ

“กูพูดดีๆ ไม่ต้องมาประชด”ที่จริงผมก็ไม่ได้ประชดนะครับ ออกจะพูดขำๆ เสียด้วยซ้ำ อีกอย่างถึงปู่จะเคยทำตัวทั่วถึงไม่ต่างจากผม แต่ตอนนี้ดูเหมือนปู่เองจะไปได้ดีกับใครคนนึงแล้ว นี่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยหรือเจอกับเค้าหรอกนะครับ เพราะก็กังวลว่าคนนั้นของเค้าจะคิดมาก ถึงเรื่องในอดีตของผมกับปู่

“ไม่ได้ประชด กูก็แค่อยากอยู่โสดๆ เป็นเพื่อนเจ้โอ๋”ผมย้ำกับไอ้ต้าร์อีกรอบอย่างยิ้มแย้ม ให้มันมั่นใจว่าผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ

“งั้นเรามากินกันเองเลยไหมน้องฟ่าง จะได้จบๆ ไปไม่มีใครยุ่งเรื่องเราโสดกันอีก”เจ้โอ๋เดินตามออกมาสมทบพร้อมจีบปากจีบคอพูด พูดจบก็เข้ามาคล้องแขนเอียงหัวซบไหล่ผมอย่างเนียนๆ ผมเองก็รับมุกเจ้แกด้วยการยกมือขึ้นลูบหัวเจ้แกเบาๆ ครับ

“เจ้แน่ใจเหรอว่าไอ้นี่มันทำเป็น ปกติมันเป็นผู้ถูกกระทำนะเจ้”อ้าวไอ้นี่เจ้แกก็กำลังเคลิ้มมาเบรคอารมณ์พวกผมเสียหัวทิ่ม

“ไอ้เชี่ยต้าร์”ผมกำลังจะง้างเท้าถีบมัน แต่เสียงที่ดังมาจากด้านในทำเอาเราทั้งสามต้องหยุดก่อน

“โฮก..อั้วะ อ้วก”เสียงคนอ้วกแว่วมาจากในห้องน้ำ ซึ่งไม่น่าจะใช่ใคร ในเมื่อเรามากัน 4 คน อยู่ตรงนี้ 3 ก็เหลือแค่กุ้งแล้วแหละครับ ว่าแต่นี่มาเที่ยวแล้วกุ้งจะป่วยหรือไงเนี่ย

แต่แล้วจากความกังวลก็น่าจะต้องเปลี่ยนเป็นความยินดี เพราะกุ้งออกมาจากห้องน้ำพร้อมที่ตรวจครรภ์ คนที่ดีใจที่สุดน่าจะเป็นไอ้ต้าร์ ทั้งสองคนพยายามกันมานานแล้วเหมือนกันแหละครับ แต่กุ้งก็ไม่ท้องสักที เห็นแล้วก็มีความสุขไปกับทั้งคู่นะครับ

“งั้นกูยังไม่ลงไปริมทะเลนะ ขออยู่เป็นเพื่อนเมียก่อน มึงกับเจ้ลงไปกันสองคนละกัน”ไอ้ต้าร์ปฏิเสธการลงไปนั่งริมทะเลตามที่เราได้ตกลงกันไว้ในทีแรก ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะเหมือนกุ้งจะเริ่มมีอาการแพ้ท้องพอสมควร จริงๆ ก็เห็นเริ่มเป็นตั้งแต่ตอนมาแล้วละครับ พวกผมก็เข้าใจไปกันเองว่าเมาเครื่องเมารถอะไรเสียอีก

“เจ้ขอตัวด้วยอีกคนได้ม่ะ เห็นแดดแล้วเจ้ท้อขอนอนตากแอร์เย็นๆ ก่อนดีกว่า”อ้าวเป็นงั้นไป นี่มาทะเลเพื่อนอนอยู่ห้องนี่จะมาทำไมละครับเนี่ยเจ้ ใช่ว่าเจ้จะแพ้ งท้องกับเค้าเสียเมื่อไหร่ ก็ได้แค่บ่นในใจแหละครับจะให้ว่าเจ้ผมก็เกรงใจ สุดท้ายผมเลยต้องแยกตัวออกมาคนเดียว

“ไอ้ตัวแสบหยุดเดี๋ยวนี้”เสียงผู้ชายน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมกำลังวิ่งไล่เด็กชายตัวป้อม ตรงมาหาผมที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ เด็กน้อยที่เหมือนจะวิ่งไม่สนใจคนตาม พุ่งเข้ามาหาผมแล้วเกาะขาผมมุดลอดใต้หว่างขาผมไปด้านหลัง คือนี่มันอะไรกัน แล้วเด็กนี่ไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยหรือไง

“เอ่อขอโทษนะครับคุณ”คนที่วิ่งตามมาหยุดหอบเล็กน้อย บอกผมอย่างเกรงใจแล้วไอ้เด็กอ้วนนี่จะมาพันแข้งพันขาผมทำไมละเนี่ย

“แอชตั้น”น้ำเสียงกดต่ำ พูดกับเด็กอ้วนที่น่าจะเป็นลูกครึ่งเพราะใบหน้าที่มีความเป็นชาวตะวันตกแต่ก็ยังมีส่วนที่ดูออกว่าคล้ายชาวเอเชียอยู่บ้าง อีกอย่างถ้าคนที่วิ่งตามมานี่คือคุณพ่อของเด็กนี่คุณแม่ก็คงเป็นฝรั่งสินะครับเนี่ย

“อังเคิ่ลตี้จายร้าย”ภาษาไทยแปร่งๆ ออกจากปากเด็กอ้วนที่ยังยึดผมเป็นกำบัง แถมคำแทนตัวของผู้ชายตรงหน้าทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่พ่อลูกกัน

“แอชตั้นมาหาอังเคิ่ลตี้ก่อนนะครับ”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษผม แต่ผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอกนะครับ แม้จะไม่ถึงกับว่าเป็นคนเอ็นดูเด็กแต่ก็ไม่ขนาดว่าเกลียดเด็กอะไรแบบนั้น ผมค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งให้อยู่ระดับเดียวกับเจ้าเด็กอ้วน หน้ากลมๆ เริ่มงอเหมือนโดนขัดใจบางอย่าง

“เป็นอะไรครับคนเก่ง”ผมพูดช้าๆ เป็นภาษาไทยนี่แหละครับเพราะคิดว่าเด็กอ้วนนี่น่าจะเข้าใจภาษาไทย

“แอชจะหาน้อง อังเคิ่ลตี้ไม่ให้แอชไปหาน้อง”ผมหันหน้าไปหาอังเคิ่ลของแอชตั้นอย่างขอคำอธิบาย

“คือแกเข้าใจผิดนะครับว่าลูกๆ ผมคลอดแล้ว”ผมขมวดคิ้วไม่ค่อยเข้าใจลุงกับหลานนี่สักเท่าไหร่

“แอชครับ เดี๋ยวรอแดดดี้กลับมาก่อนไหมค่อยถามแดดดี้ว่าจะเจอน้องได้เมื่อไหร่”เจ้าเด็กอ้วนทำปากยื่นครุ่นคิด แล้วนี่เค้ามาเกาะผมไว้แบบนี้คิดว่าผมจะช่วยอะไรเค้าได้ละครับเนี่ย

“อ้าวตี้ ไอ้ตัวแสบก่อเรื่องอะไรอีกละนั่น”เสียงที่เรียกมาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชาร์ปหรือนายแว่นลูกชายของป้ามั้นกับลุงถา เจ้าของโรงแรมนี่แหละครับ ผมกับชาร์ปอายุเท่ากันกับผม เราเคยเจอกันไม่กี่ครั้งหรอกครับ แต่พอเค้ามาเจ้าเด็กอ้วนก็ผละจากผมไปหาเค้าทันที

“หวัดดีชาร์ป”ผมลุกขึ้นทักทาย แต่เหมือนเค้าจะงงๆ หรือเค้าจำผมไม่ได้แล้วหว่า

“ฟ่างเหรอ เป็นไงบ้างหายไปหลายปีเลย ไม่เจอนานเกือบจำไม่ได้เลย”

“สบายดี เสียดายมารอบนี้ไม่เจอคุณลุงคุณป้า”เราทักทายกันสองคนจนอังเคิ่ลตี้ของแอชตั้นมองมาที่เราอย่างสงสัย ผมเลยหันไปมองเค้าเป็นเชิงให้ชาร์ปได้แนะนำผมกับอีกคน

“อ๋อ นี่ปาร์ตี้นะแฟนเราเอง ตี้นี่ก็ข้าวฟ่าง แขกวีไอพีของพ่อกับแม่เค้าละ”เดี๋ยวนะครับผมไปเป็นแขกวีไอพีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วนี่เค้าสองคนเป็นแฟนกัน งงนะครับว่าผมตกข่าวอะไรไปคือเท่าที่เคยจำได้ ชาร์ปเองก็มีแฟนผู้หญิงนี่นา แล้วตอนแรกอังเคิ่ลปาร์ตี้นี่ก็พูดเรื่องลูก ซึ่งฟังดูหมายถึงลูกเค้านี่นา นี่ผมจะอยากรู้เรื่องพวกเค้ามากไปไหมครับเนี่ย

“แล้วตัวอ้วนนี่ลูกใครละเนี่ย”ทั้งสองคนหันสบตากัน จนผมแปลกใจว่าทำไมเค้าทำท่าเหมือนจะลำบากใจในการตอบผมกันละเนี่ย หรือผมคิดมากไป

“ลูกน้องชายเราเองแหละ”

“ชาร์ปเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ”ผมถามด้วยความสงสัยแถมอีกอย่างเด็กนี่ก็ลูกครึ่งเสียด้วยดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเค้าสักเท่าไหร่ นี่ถ้าบอกว่าเป็นหลานคุณปาร์ตี้ผมอาจจะไม่สงสัยอะไรนะครับ ว่าแต่ผมก็เริ่มงงๆ กับตัวเองว่าทำไมต้องมาอยากรู้เรื่องพวกเค้าด้วย

“น้องชายที่เป็นญาติห่างๆ นะ”ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะบอกลาทั้งสามคน ขอตัวไปรับลมทะเลริมหาด นึกขำกับตัวเองเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็ไปสงสัยอยากรู้เรื่องอะไรของพวกเค้า แต่เห็นชาร์ปกับปาร์ตี้แล้วก็อิจฉานิดๆ นะครับ ดูเค้ารักกันดี เห็นแววตาที่เค้ามองกันมันเหมือนคนที่แคร์กันและกันมาก ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าเค้าคบกันมานานหรือยัง แต่ก็คงไม่น้อยแหละนี่ผมเองก็ไม่ได้มาที่นี่ตั้ง 5 ปีแล้วนี่เนอะ

“พี่ฟ่าง”ผมเดินออกมายังไม่ทันจะพ้นทางออกจากโรงแรมเสียด้วยซ้ำ ก็ต้องชะงักเท้าหยุดเจ้าของเสียงยืนห่างจากผมไปไม่ไกลนัก เค้ายืนยิ้มเหมือนทุกครั้งที่เคยเจอ เค้าดูไม่เปลี่ยนไปเลย แล้วผมละทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่พอมาเจอเค้าจังๆ ตรงหน้าแบบนี้ หัวใจผมมันยังเต้นแรงอยู่เลย

“แดดดี้”ยังไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปทักหรือหันหลังกลับ เด็กน้อยตัวอ้วนที่ผมเพิ่งเจอเมื่อครู่ก็วิ่งแซงผมไปหาเค้าด้วยความเร็ว















TBC
------------------------------------------------
ก็มันเรื่องราวของ 2 คนนี้ เรื่องมันก็ต้องวนให้มาเจอกันเนอะ แฮะๆ

ตอนนี้ก็กระโดดมา 5 ปีให้หลังเลย พี่ฟ่างจะไม่รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ
ข้าวโพดเป็นยังไงมาบ้าง แอชตั้นลูกใคร ก็จะค่อยๆ เล่าออกมาแล้วกันนะครับ

ส่วน ชาร์ปxปาร์ตี้ คู่นี้แต่งจบไปนานแล้ว ใครสนใจก็ลองอ่านดูนะครับ เรื่อง ผิดที่ใคร right or wrong เรื่องนี้ครึ่งหลังจะค่อนข้างหน่วงหน่อย (แอบขายของ ^_^)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0



ส่วน "ปู่" ตัวประกอบนั้นจริงๆ มีแพลนจะแต่งเรื่องยาวให้ ปู่อยู่เหมือนกัน ยังไงรอคู่นี้จบก่อนคงได้เห็น

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามช่วงนี้อาจจะอัพไม่ค่อยถี่ก็อยู่รอเป็นกำลังใจกันด้วยนะครับ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เจอกันและ
ข้าวโพด ข้าวฟ่าง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

แม้ห่างกันห้าปี ฟ่างยังใจเต้นกับโพด
เข้าใจกันได้แล้ว

ชาร์ป ตี้ โผล่มาเข้าฉากด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ขอบคุณที่มาต่อนะ
รอ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 20
คิดถึง




ผมมองภาพของคนที่ผมเคยรัก น้องชายที่ระหว่างผมกับเค้ามีเรื่องราวมากมายเหลือเกินเกิดขึ้นมา ในวันนี้ผมเคยคิดว่าผมสามารถเจอเค้าได้อย่างสนิทใจและไม่รู้สึกอะไรแล้ว ใช่ครับผมรู้ว่าถ้ามาที่นี่ผมอาจจะเจอเค้า ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เป็นไรเมื่อต้องเผชิญหน้าเค้า

แต่พอเจอจริงๆ ผมอาจจะยังไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้ 100% แต่มันก็เกือบแหละครับ แม้จะยังมีใจสั่นๆ อยู่บ้าง แต่เวลาที่ผ่านมามันก็เยียวยาผม จนไม่ใช่คนอ่อนแอคนเดิมอีกแล้ว ชีวิตเราทั้งคู่ต่างต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าจะให้รู้สึกกับเค้าในตอนนี้ผมก็คงมีให้แค่คำว่าพี่น้องเท่านั้นแหละครับ

“ไปอยู่กับอังเคิ่ลตี้ก่อนนะครับ ขอแดดดี้คุยกับ อังเคิ่ลฟ่างก่อนแล้วจะตามไปนะครับ”เจ้าเด็กตัวอ้วนหันมามองผม ที่เหมือนจะมาแย่งเวลาของแดดดี้เขาไป

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ แอชอยู่ด้วยได้ไหมฮ่ะ”แม้ผมจะเป็นคนที่ไม่ถูกกับเด็กสักเท่าไหร่ แต่เจ้าเด็กอ้วนนี่ก็ดูน่าเอ็นดูเสียจนผมเกลียดไม่ลง มือป้อมๆ ของเค้าดึงกางเกงผมพร้อมมองด้วยสายตาอ้อนวอน

“โพดดูแลลูกก่อนก็ได้ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเนอะ”ผมหันไปบอกกับเค้า พร้อมลูบหัวเจ้าเด็กอ้วนที่ยังเกาะกางเกงผมไม่ปล่อยอย่างนึกเอ็นดู ว่าแต่เค้าออกมาหน้าตามีความเป็นตะวันตกผสมอยู่ชัดขนาดนี้ เด็กนี่จะไม่สงสัยเลยเหรอว่าทำไมพ่อกับแม่ของตัวเองเป็นคนเอเชียทั้งคู่แบบนี้

“แอชมาหาแดดดี้มา”เค้าเรียกลูกชายตัวป้อมที่ก็ยิ้มจนตาหยีเมื่อคนเป็นพ่อเรียก ผมหันไปยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะหันหลังเดินแยกออกมา

“พี่ฟ่างครับ”เสียงตะโกนเรียกทำให้ผมต้องหยุดเดินและหันกลับไปมอง เค้ามองมาที่ผมอย่างเว้าวอน จนผมต้องหลบสายตานั้น

“อย่าเพิ่งไปไหนไกลนะครับ รอผมก่อน”เค้าตะโกนมาอีกครั้ง พร้อมกับที่เด็กชายตัวอ้วนที่โบกมือป้อมๆ นั่นมาที่ผม ก่อนที่มือป้อมๆ นั่นจะเอาไปแตะปากตัวเองแล้วทำเป็นการส่งจูบให้ผม ผมยิ้มขำกับท่าทางนั้น นี่ใครสอนให้เจ้าเด็กอ้วนนี่ทำแบบนี้กัน

“อือ”แม้ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงตกปากรับคำไปแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วผมก็เดินเล่นริมชายหาดใกล้ๆ กับโรงแรมนี่ไม่ได้ออกไปไหนไกล จนมาหยุดอยู่ที่มุมนึง มุมที่ผมคุ้นเคย มันคือจุดที่ผมกับเค้ามักจะมาปล่อยโคมกันตรงนี้ ผมเลือกที่จะนั่งลง ทอดสายตาออกไปยังท้องทะเลกว้าง คิดทบทวนหลายๆ เรื่องที่เคยผ่านเข้ามา

วันนี้ที่ตัวผมเองคิดว่าเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่ความจริงผมก็อาจจะแค่ยังเป็นคนเดิม ที่หลอกตัวเองว่าเข้มแข็งแล้ว ทว่าอย่างน้อยๆ ผมก็รักตัวเองมากขึ้นไม่ทำอะไรที่มันลดค่าของตัวเอง ดวงตะวันเริ่มบ่ายคล้อย แสงแดดเริ่มอ่อนลง และผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เงาของใครบางคนทอดมาทาบทับตรงที่ผมนั่งอยู่ ก่อนที่เจ้าของเงานั้นจะค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“สบายดีไหมครับ”น้ำเสียงที่ผมเคยคุ้นเคยเอ่ยขึ้น ผมไม่ได้หันไปมองเค้า แต่ยังคงทอดสายตาออกไปในท้องทะเลเช่นเดิม

“ก็ดี เรื่อยๆ วนไปมากับการทำงาน พักผ่อน สังสรรค์บ้าง”ผมตอบให้ดูปกติที่สุด แม้ในใจลึกๆ จะยังรู้สึกหวิวๆ ที่ต้องมานั่งคุยกับเค้าอีกครั้งแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าการมาที่นี่อาจจะเจอเค้า หรือเอาให้ชัดอาจเป็นผมเองก็ได้ที่อยากเจอเค้า

“ขอโทษนะครับ สำหรับ...ทุกอย่าง”แม้ไม่ได้หันไปมอง แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าเค้ากำลังจ้องมาที่ผม

“มันผ่านไปแล้ว เรื่องเก่าอย่าพูดถึงมันอีกเลย”ถึงจะบอกออกไปแบบนั้น แต่ความจริงเรื่องทั้งหมดมันอาจจะยังคาใจผมอยู่ก็เป็นได้ 

“แสดงว่าพี่ฟ่างหายโกรธแล้วก็ยกโทษให้โพดแล้ว”ผมค่อยๆ หันหน้ามามองเค้า เค้าที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว หลายปีที่ไม่ได้เจอกันเค้าดูไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ อาจจะเปลี่ยนไปตามวัยบ้างเล็กน้อย

“พี่บอกแล้วไง ว่าไม่เคยโกรธหรือเกลียดน้องชายคนนี้ของพี่”ผมส่งยิ้มจางๆ ให้กับเค้า มันเป็นยิ้มที่พี่ชายคนนึงจะมีให้กับน้องชายคนนึง ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่านั้น

“นี่ขนาดไม่โกรธ ไม่เกลียดยังไม่ยอมมาเจอกันตั้งหลายปี ถ้าผมโดนเกลียดนี่ชาตินี้คงไม่เจอพี่ฟ่างอีกแน่เลย”เค้าพูดติดตลก

“ไม่โกรธแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไรนิ ถึงจะไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่พี่ก็มีแผล แล้วแผลนั้นมันก็ต้องใช้เวลาในการรักษา”ผมบอกออกไปตามตรง สีหน้าเค้าดูสลดลงหลังจากได้ฟังในสิ่งที่ผมพูด สัมผัสที่มือของผมทำให้ต้องเบนสายตามอง ตอนนี้มือของเค้าวางทับลงมาที่มือของผม

“ผมนี่มันแย่มากเลยใช่ไหมครับ ที่ทำอะไรโง่ๆ ลงไปแบบนั้น”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับค่อยๆ ดึงมือออกแต่โดนเค้าดึงไว้ไม่ยอมปล่อย

“เรากลับมาเริ่มต้นใหม่ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ”ผมค่อยๆ พยายามแกะมือเค้าออกจนสำเร็จ โดยที่ใบหน้ายังคงยิ้มให้เค้าแต่มันก็แค่ยิ้มที่พี่ชายคนนึง พึงจะมีให้กับน้องชาย ระหว่างเราสองคนมันคงเลยจุดที่จะเป็นอย่างอื่นไปเรียบร้อยแล้ว

“เหมือนเดิมนี่คือจุดไหนละโพด”ผมเหม่อมองออกไปในทะเล ทอดสายตาไปอย่างไม่มีจุดหมายสมองคิดในสิ่งที่กำลังจะพูดกับเค้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผมที่กว่าจะตัดสินใจมาที่นี่อีกครั้ง และมันก็คงไม่ง่ายที่จะให้เป็นเหมือนเดิม

“เหมือนเดิมของพี่ กับเหมือนเดิมของโพดมันคือจุดเดียวกันหรือเปล่า”

“…”

“ตอนนี้พี่ว่าคนที่โพดต้องทุ่มเทให้ น่าจะเป็นเจ้าตัวเล็กนั่นนะ”ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเค้ากับผึ้งมันจบยังไง แต่ถ้าให้เดา การที่เค้ามาพูดกับผมทำนองนี้ ระหว่างเค้าสองคนมันก็คงจบลงแล้ว

แล้วถ้ามันจบลง มันจะมีผลอะไรกับผมเหรอครับ ผมว่ามันก็คงไม่มี สิ่งที่มีได้ในตอนนี้ระหว่างเราสองคนก็คงเป็นแค่พี่น้อง พี่น้องที่มันควรเป็นแค่นั้นมาตั้งนาน

“จริงๆ แม้ผมจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเค้า ผมก็เลี้ยงเค้ามาด้วยความรัก และนั่นมันก็คือความรักในแบบพ่อลูก แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกกับพี่คือความรักในแบบคนรัก”นี่ทำไมดูคิดอะไรไปไกลขนาดนั้น แค่ผมกับเค้ามาเจอกัน มันไม่ได้หมายความว่าเราสองคนจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรอีกเสียหน่อย

“เราสองคนเป็นพี่น้องกัน”ผมตอบโดยใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

“พี่น้องที่เราสองคนต่างก็รู้นิครับ ว่าระหว่างเรามันเกินเลยไปไกลกว่านั้นแล้ว”

“งั้นเราก็ควรทำให้มันถูกต้อง”ผมหันออกไปมองท้องทะเล นึกเล่นๆ ว่าถ้าวันนี้พ่อแม่เรายังอยู่ เราทั้งคู่จะเป็นยังไง เราจะมาถึงจุดๆ นี้หรือเปล่า หรือถ้าพ่อแม่เรารับรู้ว่าระหว่างผมกับเค้าเคยเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่พวกเราจะมีความเห็นกับเรื่องนี้ยังไง

“แล้วความรักที่เรามีให้กันมันผิดเหรอครับ”

“หึ”ผมส่งเสียงในลำคอ เค้ากล้าถามคำถามนี้กับผมได้ยังไงกัน เรื่องระหว่างผมกับเค้าที่เป็นอยู่นี่มันดูเป็นเรื่องราวดีๆ อย่างนั้นหรือ

“ผิดไหมงั้นเหรอ…”

“…”

“รู้ไหม พี่ว่ามันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาคุยกันเรื่องนี้”

“แล้วที่พี่ฟ่างยอมกลับมาเจอผมนี่ละครับ”น้ำเสียงเค้าดูอ่อนลง แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมองว่าตอนนี้เค้ามีสีหน้าท่าทางเช่นไร

“อย่าเข้าใจผิดไป พี่ไม่ได้มาเจอโพด”ผมไม่ได้โกหก เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองเสมอ ว่าผมไม่ได้ยากมาเจอเค้า

“แล้วพี่ฟ่างมาทำไมละครับ”

“พี่ก็แค่คิดถึง…”

“…”

“คิดถึง…พ่อกับแม่”คิดถึงทุกๆ คน คิดถึงที่นี่คิดถึงความทรงจำทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ใช่แล้วสินะ ผมก็แค่หลอกตัวเองว่าผมไม่ได้คิดถึงเค้า ผมลืมทุกอย่างได้ เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่ความเป็นจริงทุกอย่างมันยังชัดในความทรงจำของผม แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อระหว่างผมกับเค้า มันคงไปไกลมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“แต่ผมคิดถึงพี่ฟ่างนะครับ”

“…”ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เราต่างนั่งเงียบกันอยู่สักพักเหมือนต่างฝ่ายต่างปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความคิด เสียงคลื่นดังเป็นระลอกแทนการพูดคุยของเรา

“พี่ไปก่อนนะ ป่านนี้เพื่อนคงรอแล้ว”เป็นผมที่ยอมแพ้ และจะเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อน

“เดี๋ยวครับพี่ฟ่าง”

“…”

“เราจะเจอกันอีกใช่ไหมครับ”

“พี่ก็ยังอยู่ที่เดิม”มันอาจเป็นคำตอบปลายเปิด แต่ก็นั่นแหละครับ ผมรู้ว่าจะเจอเค้าได้ที่ไหน และตัวเค้าเองก็รู้อยู่แล้วว่าจริงๆ จะหาผมได้ที่ไหน

ผมเดินหันหลังให้กับเค้า ก่อนจะค่อยๆ เดินห่างออกมา ดีแล้วแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว จากนี้ไปเราก็จะเป็นแค่พี่น้องที่ต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิต นานๆ ถึงอาจจะได้มาเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว นั่นแหละคือสิ่งที่มันควรจะเป็นมาตั้งนานแล้ว

“ไปเจอไอ้โพดมาใช่ไหม”ทันทีที่ผมกลับเข้ามาถึงห้องพัก ไอ้ต้าร์ที่เหมือนจะดักรอผมอยู่แล้วก็เข้ามาถามผม

“อือ”

“อยากคุยไหม”

“ก็ดี”ผมไม่ปฏิเสธ เพราะเหมือนกำลังไม่แน่ใจในตัวเอง ว่าจะเข้มแข็งเหมือนที่พยายามเป็นอยู่นี่ ให้เป็นต่อไปได้หรือเปล่า

ไอ้หยิบซองบุหรี่ส่งสัญญาน ให้ผมเดินตามออกไปที่ระเบียง เรายังไม่ได้เริ่มบทสนทนากันในทันที ไอ้ต้าร์เหมือนรอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มเล่า แต่ผมก็เพียงหยิบบุหรี่จากมือมันมาจุดขึ้นแล้วสูบเข้าเต็มปอด

“จะมีลูกแล้ว คิดจะเลิกบุหรี่บ้างไหม”ผมเริ่มบทสนทนาที่เรียกว่าเหมือนพยายามเลี่ยงเรื่องที่จะคุยเอาไว้ก่อน

“คงต้องเลิกให้ได้ก่อนที่เค้าจะเกิดมาแหละ นี่คงเป็นอย่างแรกที่กูจะได้ทำเพื่อเค้า”

“รู้สึกยังไงบ้างวะที่กำลังจะมีลูก”

“ก็ไม่ค่อยชินหรอก แต่ว่าเค้าก็ทำให้กูได้รู้จักกับคำว่ารักตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า”

“มันขนาดนั้นเลย”ผมถามกลับไปอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่

“จำไม่ได้เหรอว่ามึงเองก็เคยมีความรู้สึกนั้นมาก่อน”

“กูไปเคยมีลูกมาตอนไหนกันเล่า มึงก็พูดเล่นไป”ผมส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไอ้ต้าร์กลับมีสีหน้าที่จริงจังจนผมเริ่มจะแปลกใจ

“กูไม่ได้หมายถึงลูก กูหมายถึงไอ้โพด”ผมนิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน ที่จริงทุกคนเลี่ยงการพูดถึงข้าวโพดมานานมากแล้ว แต่มาวันนี้อยู่ๆ กลับมาสะกิดความทรงจำต่างๆ ของผมอีกครั้ง ผมพ่นควันบุหรี่ออกไปเพื่อระบายความรู้สึกตึงเครียดที่กำลังเกิดขึ้น




“ไม่จริงพี่ฟ่างรักโพด”ภาพในวัยเด็กที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วผุดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพผมในวัยยังไม่ถึง 6 ขวบด้วยซ้ำ กับอีกคนที่เพิ่งจะ 3-4 ขวบ

“เด็กดื้ออย่างโพดพี่ไม่รักแล้ว”คำพูดที่ผมมักจะขู่อีกฝ่ายเวลาทะเลาะกัน หรือเริ่มมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่คำขู่ของผมมักจะใช้ไม่ได้ผล เพราะอีกคนไม่เชื่อคำพูดของผมเลย นั่นเพราะเค้ามีความเชื่อที่เหมือนถูกฝังชิปเอาไว้แล้ว

“พี่ฟ่างรักโพด แม่บอกว่าพี่ฟ่างรักโพดตั้งแต่โพดอยู่ในท้องแม่แล้ว พี่ฟ่างรักโพด พี่ฟ่างรักโพด”นั่นแหละครับ สิ่งที่ทำให้เค้าเชื่อมั่นแบบนั้นมาตลอด ทั้งที่ความจริงมันเป็นสิ่งที่ผมเองยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

แต่ว่าแม่เปิ้ล หรือแม่ของข้าวโพดเล่าให้พวกเราฟังเสมอว่าตอนแม่เปิ้ลท้อง ใกล้คลอดข้าวโพด ตอนนั้นผมเองเพิ่งประมาณเกือบจะ 2 ขวบ มักจะมาขอแม่เปิ้ลฟังเสียงน้อง คุยกับน้องทั้งที่ตัวเองยังพูดไม่เป็นประโยคด้วยซ้ำ

“ยัก…น้อง”





คำพูดหยอกของแม่เปิ้ลที่มักเอามาไว้ล้อผมเมื่อตอนเด็กๆ เวลาโกรธกับข้าวโพด และมันก็เป็นประโยคที่ผมยอมใจอ่อน หายโกรธน้องเสียทุกครั้งไป แต่ในตอนนี้ คำนั้นมันยังจะใช้กับความรู้สึกของผมได้อีกหรือเปล่า ผมแหงนหน้าขึ้นเพื่อพยายามไม่ให้น้ำตาที่กำลังปริ่มๆ อยู่ไหลออกมา

“ท้ายที่สุดมึงก็เลิกรักไอ้โพดมันไม่ได้ เหมือนที่โพดมันเคยเล่าสินะ”เสียงของไอ้ต้าร์เปล่งออกมาพร้อมๆ กับฝ่ามือที่ตบลงบนบ่าของผมอย่างให้กำลังใจ

“มันก็แค่ความรักที่พี่ชาย ควรจะมีให้น้องชายแค่นั้นแหละ”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว

“มึงลองทบทวนดูดีๆ ว่ามึงทำอย่างที่เพิ่งพูดออกมาได้หรือเปล่า หรือที่ผ่านมาหลายปีเนี่ยมึงมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า หรือวันนี้ ที่นี่มึงมาเพราะอะไรกันแน่ มึงตอบตัวเองให้ได้”

“กูก็แค่…”

“…”

“แค่คิดถึง…กูคิดถึงเค้า”ท้ายที่สุดผมก็ยอมรับออกมา พร้อมกับน้ำใสๆ ที่ไหลออกมาเมื่อผมไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก




TBC



หายไปนานเหลือเกิน

ไม่รู้ยังมีใครรออ่านอยู่บ้างหรือเปล่า

ถ้าใครยังอยู่ก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคร๊าบบบ

จากนี้คงได้มาอัพบ่อยๆ แล้ว เพราะช่วงนี้จะทุ่มให้เรื่องนี้เป็นหลักแล้ว

 o13


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 21
สายเกินไป




“กูคงอ่อนแอเกินไป”ผมบอกกับเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนี้เราก็ยังยืนอยู่ที่ระเบียงเช่นเดิม บุหรี่ที่หยิบออกมาด้วยในตอนแรก ถูกสูบไปจนหมดเรียบร้อย

“กูอยากจะแนะนำมึงนะ แต่กูรู้ว่าแนะนำไปมันก็คงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด กูเลยคิดว่าให้มึงตัดสินใจเองจะดีกว่า มึงเอาให้แน่ว่ามึงต้องการแค่นี้จริงๆ หรือเปล่า แค่พอคิดถึงก็มาเจอ เจอแล้วก็แยกย้ายกันไปต่างคนต่างใช้ชีวิต แบบนี้มึงโอเคจริงๆ หรือเปล่า ส่วนทางที่มึงพยายามตัดไอ้โพดมันออกจากชีวิต มึงก็เห็นแล้วว่ามันเป็นยังไง”

“นี่ขนาดจะไม่แนะนำ มึงยังร่ายยาวมาขนาดนี้”ผมแหย่กลับไป อย่างไม่จริงจังนัก

“กำลังจะซึ้งมึงก็รีบขัดกูจัง”

“เป็นเพื่อนกันมานานไม่ยักรู้ว่ามึงซึ้งก็เป็น”

“แหม กูก็พอจะมีส่วนดีบ้างแหละ ไม่งั้นมึงไม่เป็นเพื่อนกูมานานขนาดนี้หรอก”

“…”

“อีกอย่างนะที่กูอยากบอก คือไม่ว่ามึงจะเลือกเดินไปทางไหน หรือทำยังไงกับชีวิตต่อจากนี้ ขออย่างเดียว”

“…”

“ขอแค่มึงอย่าเลือกที่จะทำร้ายตัวเอง”

ที่ผ่านมานี่สิ่งที่ผมทำ มันคือการทำร้ายตัวเองหรือเปล่า ถามว่าทุกคนก็คงอยากจะมีความสุขกันทั้งนั้นแหละครับ แต่ทุกอย่างมันก็คงไม่เป็นอย่างใจเราทุกอย่างหรอกจริงไหมครับ

“เจ้ร่วมวงด้วยได้หรือยังเนี่ย”เจ้โอ๋ตามออกมาสมทบกับผมและไอ้ต้าร์ที่ริมระเบียง ที่จริงแกก็คงหาจังหวะแทรกมานานแล้วละครับ แต่คงเว้นช่วงให้ผมคุยกับไอ้ต้าร์จบเสียก่อน

“ใครจะห้ามเจ้ได้ละครับ”เป็นไอ้ต้าร์ที่ตอบเจ้โอ๋

“ยังโหมดเศร้าอยู่ไหม เจ้จะได้ทำตัวถูก”สุดท้ายผมก็ยังทำตัวให้ทุกคนต้องเป็นห่วงเหมือนเดิมสินะ

“มาเที่ยวก็ต้องสนุกสิครับเจ้ เศร้าทำไมเยอะแยะ”ผมรีบบอกเจ้โอ๋ที่เหมือนเตรียมจะมาปลอบผมอีกคน ผมไม่อยากให้งานมันกร่อยไปมากกว่านี้เพราะนี่มันทริปส่งท้ายปีเก่าของเราทั้งที แถมกุ้งกับไอ้ต้าร์ก็จะมีตัวเล็กแล้ว ทุกอย่างมันควรเป็นความสุขความยินดี

“งั้นวันนี้ขี้เกียจออกไปข้างนอกแล้ว กุ้งเองก็อาการยังไม่ค่อยดี เราสั่งรูมเซอร์วิซมาปาร์ตี้ที่นี่กันเลยดีไหม”เหมือนจะขอความเห็นจากผมและไอ้ต้าร์ แต่ความจริงเจ้โอ๋เหมือนเป็นการแจ้งให้พวกผมทราบเสียมากกว่า ผมกับไอ้ต้าร์ก็ได้แต่เออออไปกับเจ้แกแหละครับ ส่วนเรื่องของผมก็คงต้องพักมันเอาไว้ก่อน

อาหาร เครื่องดื่ม ถูกทยอยมาส่งตามที่เจ้โอ๋ออร์เดอร์ไป บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้น เพราะเสียงเพลงที่ไอ้ต้าร์เปิดขึ้นเพื่อเพิ่มบรรยากาศ แต่ก็ไม่ได้เปิดเสียงดังจนรบกวนคนอื่นหรอกนะครับ พวกผมเองก็มีกันอยู่แค่ 4 คนแค่นี้จะให้ครึกครื้นมากก็คงไม่ได้

“อยากได้ลูกสาวหรือลูกชายกันละ”เมื่ออาหารพร่องไปเกือบหมด และแอลกอฮอล์เริ่มส่งผลให้มีอาการมึนๆ ก็จะเข้าสู่ช่วงพูดคุยและบทสนทนาที่น่าสนใจที่สุดของพวกเราคืนนี้ก็น่าจะหนีไม่พ้นเรื่องของว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ โชคดีที่มีประเด็นนี้เข้ามา เพราะไม่งั้นผมว่าประเด็นของผมน่าจะถูกขุดมาเป็นหัวข้อสนทนาแน่นอน

“จริงๆ ก็ได้หมดนะเจ้ แต่คนแรกผมว่าลูกสาวก็ดี กุ้งน่าจะชอบเด็กผู้หญิง”

“ดีๆ ถ้าเป็นลูกสาวนะเจ้จองเลย จะเทรนให้เปรี้ยว เข็ดฟันเลย”

“โหเจ้ นี่ลูกผมยังไม่เกิดเจ้จะวางแผนให้ลูกผมแรดแล้วเหรอ”

“อ้าวอิต้าร์ ผู้หญิงทุกวันนี้จะมัวมาสนิมสร้อย มันไม่ใช่แล้วย่ะ”

“แล้วถ้าเกิดผมได้ลูกชาย”

“ก็คงต้องสอนให้เป็นสุภาพบุรุษมากกว่าพ่อมันหน่อย”

“กริ๊งๆๆ”เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นขัดจังหวะ บทสนทนาที่กำลังออกรสของเจ้โอ๋กับไอ้ต้าร์ ผมเองที่เป็นผู้ฟังเลยต้องกลายเป็นคนเดินไปรับสายนั้น ส่วนกุ้งตอนนี้ขอแยกไปพักผ่อนเรียบร้อย ก็เหลือพวกผม 3 คนนี่แหละครับ ที่คาดว่าคืนนี้คงจะอีกยาว

“สวัสดีครับคุณลูกค้า พอดีจะแจ้งให้ทราบว่าอีก 30 นาทีครัวเราจะปิดแล้ว ทางลูกค้าจะสั่งอาหารอะไรเพิ่มเติมไหมครับ”นี่เห็นพวกผมสั่งกันไม่จบไม่สิ้นหรือไง ถึงต้องโทรมาแจ้งขนาดนี้ ผมหันไปถามความเห็นจากอีกสองคนที่เหลือ แต่คำตอบที่ได้นี่มันช่าง…

“อาหารไม่ต้อง เพิ่มแค่ไวน์อีกสอง”นั่นแหละครับ

ผมออเดอร์ไปตามที่อีกสองคนบอก ทั้งที่ความจริง เราทั้งสามคนก็เริ่มตึงๆ กันมากแล้วแหละครับ แค่ก็ช่างเถอะยังไงเมาก็แค่นอน เมาก็คงแค่ฟุบกันคาห้องเนี่ยแหละครับ ไม่นานนักเสียงกริ่งหน้าห้องของพวกผมก็ดังขึ้น

“ขอ…ขอบคุณ”น้ำเสียงผมชะงักไปเมื่อเปิดประตูแล้วพบว่าใครเป็นคนที่นำไวน์มาส่ง

“ดื่มกันไปเยอะแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมยังสั่งเพิ่มอีก”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงเหมือนจะตำหนิอยู่ในที ว่าแต่นี่เค้าสนิทสนมกับชาร์ปที่ดูแลที่นี่ขนาดนี้เลยเหรอ ถึงได้เข้ามาแทรกแซงในการสั่งอาหารเครื่องดื่มของพวกผมได้ขนาดนี้

“เรื่องของพวกพี่น่า แล้วนี่เป็นพนักงานที่นี่หรือไงถึงเอามาเสิร์ฟเนี่ย”ผมเอื้อมมือไปรับขวดไวน์ อย่างพยายามคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการแปลกๆ ออกไปมากนัก เพราะตอนนี้ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็เมาอยู่ไม่น้อย แล้วคนเมามักจะทำอะไรที่ตอนเวลาปกติไม่กล้าทำ หรือบางครั้งก็ควบคุมความต้องการส่วนลึกของตัวเองไว้ไม่ได้

“ผมเข้าไปได้ไหม”เหมือนเป็นการขออนุญาต และมือของเค้าก็ยังยื้อขวดไวน์เอาไว้ไม่ปล่อยมาให้ผม

“น้องฟ่าง ตกลงใช่พนักงานมาเสิร์ฟไวน์หรือเปล่า ทำไมนานจัง เร็วๆ หน่อยเจ้ไม่อยากขาดตอน”เสียงที่เรียกไล่หลังมา ทำให้ผมต้องรีบตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับคำขอของคนตรงหน้า แต่เหมือนผมจะคิดนานเกินไป เลยกลายเป็นว่าอีกคนถือวิสาสะดันผมเข้ามาในห้อง เดินถือไวน์นำหน้าผมเข้าไปถึงไอ้ต้าร์กับเจ้โอ๋ก่อนผมเสียอีก

“โอ้วมายก๊อด”

“นี่มันบ้าอะไรกัน”

ทั้งเจ้โอ๋ ทั้งไอ้ต้าร์ หลุดกันออกมาคนละประโยค พร้อมจ้องมองที่ผมกับข้าวโพดสลับกันไปมา ผมเองก็กำลังมึนๆ งงๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า

“ไอ้โพด ไอ้คนเลว เอาไวน์กูมาเลย”ไอ้ต้าร์ตรงเข้าไปแย่งไวน์จากมือข้าวโพด

“บ้า น้องเค้าไม่ได้เลวหรอก น้องเค้าแค่ใจร้าย ใจร้ายมากๆ ด้วย”ทั้งเจ้โอ๋ ทั้งไอ้ต้าร์ต่างมองข้าวโพดด้วยสายตาที่ไม่พอใจ

“ผมคงไม่มีคำแก้ตัว แต่ตอนนี้ขอยืมตัวพี่ชายของผมหน่อยนะครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำความเข้าใจกับคำพูดของเค้า ข้อมือผมก็ถูกคว้าแล้วลากออกจากห้อง

“จะทำอะไรเนี่ย”ผมพยายามขืนตัวเองไว้ แต่ก็สู้แรงเค้าไม่ได้มากนัก

“เดี๋ยวไอ้โพด”ไอ้ต้าร์ที่ตามออกมา ส่งเสียงเรียกจนทั้งผมและอีกคนต้องหยุดหันไปมอง

“ผมแค่จะพาพี่ฟ่างไปเดินเล่นครับ”

“ตอนนี้เนี่ยนะ”

“ครับ”

“มีเหตุผลดีๆ ที่กูไม่ควรห้ามมึงไหม”

“ต้าร์ กูโอเค”เป็นผมเองที่ตัดสินใจ เพราะก็อยากรู้เหมือนกันว่าเค้าจะทำอะไร หรือต้องการอะไรถึงจะมาลากผมออกจากห้องกลางดึกขนาดนี้ ผมบอกกับไอ้ต้าร์และเจ้โอ๋ว่า จะกลับมาก่อนไวน์หมดแน่นอน ก่อนจะเดินตามอีกคน เงียบๆ เค้าเดินนำผมจนถึงริมชายหาด ลมทะเลพัดมาปะทะจนผมต้องยกแขนขึ้นกอดอก ด้วยรู้สึกว่าอากาศมันเริ่มเย็นเพราะดึกแล้ว

“พี่ฟ่างยังดื่มหนักเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“…”

“ลดลงบ้างก็ดีนะครับ ผมเป็นห่วง”

“สรุปที่ลากพี่ออกมานี่คือเพราะไม่อยากให้ดื่มต่อเหรอ”

“ก็ส่วนนึงครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”เขาเดินไปหยุดตรงเนินทรายก่อนจะค่อยๆ นั่งลงและตบมือเบาๆ เป็นเชิงเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ ไม่รู้เพราะผมเองเมาแล้วหรือเปล่า แต่ผมกลับเลือกที่จะเดินไปตามที่เค้าเชิญชวน ตอนนี้ค่อนข้างดึกมากแล้วทำให้ตรงจุดนี้คงมีแค่เราสองคน

“ขยับมาอีกหน่อยสิครับ”ครั้งนี้ผมไม่ได้ทำตามที่เค้าบอก ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เบนสายตาออกไปทะเลที่มืดสนิท ทำอย่างกับว่าเสียงคลื่นที่ดังเป็นระลอกนั้นน่าสนใจเสียเต็มประตา

“ไม่ขยับใช่ไหมครับ”ผมกำลังจะหันกลับไปถามว่าเค้าจะทำไมถ้าผมไม่ขยับ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเค้าลุกขึ้น และย้ายมานั่งซ้อนที่ด้านหลังของผม

“ทำอะไรเนี่ย”ผมเริ่มดิ้นแต่กลับถูกเค้ากอดไว้แน่น กลายเป็นว่าตอนนี้ตัวผมถูกเค้าล็อคเอาไว้เรียบร้อย

“อยู่นิ่งๆ สิครับ”เมื่อเห็นแล้วว่าดิ้นต่อไปก็คงไม่เป็นผล ผมเลยเลิกที่จะอยู่เฉยแทน พอผมนิ่งก็ได้รู้ว่าตอนนี้หัวใจของเราทั้งคู่กำลังแข่งกันเต้นอย่างแรง นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้รับสัมผัสแบบนี้

“ผมไม่น่าปล่อยให้พี่เหงาอยู่คนเดียวมานานขนาดนี้เลย”

“…”

“ผมรู้ว่าพี่คิดถึงผม”

“…”

“แต่เชื่อเถอะ ว่าผมก็คิดถึงพี่ฟ่างมากเหมือนกัน”

“…”ผมไม่รู้ว่าจะตอบเค้ายังไง ตอนนี้ในใจมันสับสนไปหมด ใจนีงก็ยังเจ็บกับสิ่งที่เค้าเคยทำไว้กับผม แต่อีกใจนึงมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับคำพูดของเค้า หรือเพราะว่าผมกำลังเมา ใช่สิวันนี้ผมเองก็ดื่มไปตั้งเยอะ อาจจะทำอะไรที่ดูไม่มีสติไปบ้าง มันก็คงจะไม่แปลก

“ผมคงเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก ที่ปล่อยเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ แทนที่จะมาหาพี่ฟ่างตั้งนานแล้ว”ไม่เลย เค้าไม่ได้โง่ แต่เพราะเค้าเองก็รู้จักผมดีพอ ว่าถ้าเค้ามาในเวลาที่ผมยังไม่พร้อม ยังไงผมก็คงหาทางออกห่างจากเค้าอยู่ดี แล้วถามว่าตอนนี้ผมพร้อมแล้วอย่างนั้นหรือ ก็คงพร้อมแค่การเผชิญหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ

“พี่ฟ่างยังจำ ครั้งแรกที่ผมบอกว่าจะดูแลพี่ฟ่างได้ไหมครับ”

ผมยังคงฟังเค้านิ่งๆ การที่ผมยอมออกมากับเค้า ยอมมานั่งในอ้อมกอดของเค้าแบบนี้ มันก็เลยเส้นที่ผมเคยขีดให้ตัวเองมามากเกินไปแล้ว วงแขนของเค้ากระชับแน่นขึ้น พร้อมสัมผัสที่วางเกยมาที่ไหล่ของผม นี่ผมกำลังทำอะไร หรือผมต้องการอะไรกันแน่ ที่ผ่านมาผมยังเจ็บปวดไม่พอหรือไงกันนะ

“ถ้าผมจะบอกว่า ตอนนี้ผมพร้อมที่จะดูแลพี่ฟ่างแล้ว พี่ฟ่างจะให้ผมดูแลได้หรือเปล่า”ผมไม่ได้ขัดขืนเมื่อจมูกคมสันนั้นกดลงมาที่แก้มของตัวเอง ทั้งที่ก็รู้ว่าผมไม่ควรให้มันเกิดขึ้น แต่เบื่องลึกในใจก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าผมเองก็ต้องการมัน

“แล่อยก่อนได้ไหม”ผมบอกเสียงเบา แต่อีกคนก็ยอมคลายอ้อมกอดออก ผมยันตัวเองลุกขึ้น และหันไปดึงให้เค้าลุกตามขึ้นมายืนเปชิญหน้ากัน ผมจ้องลึกเข้าไปในแววตานั้น แม้เราจะอยู่ในความมืด แต่ด้วยระยะที่ประชิดกันขนาดนี้ มันทำให้ผมสัมผัสได้ว่าเค้ากำลังอ้อนวอนผม

ผมขยับชิดเข้าหาเค้าเพิ่มขึ้น เรายืนชิดกันจนจมูกแทบชนกันอยู่แล้ว ผมทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองไม่ควรทำ นั่นคือประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเค้า และแน่นอนเค้าก็ตอบรับสัมผัสนั้นของผม เนิ่นนานทีเราต่างตักตวงจากอีกฝ่าย ใช่ผมโหยหาสัมผัสจากเค้าแต่มันจะดีจริงๆ อย่างนั้นหรือ เราค่อยๆ ผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

“นี่แสดงว่า พี่ฟ่างตกลงใช่ไหมครับ”เค้ายิ้มอย่างมีความหวัง ผมยิ้มตอบกลับไป แต่ก้าวถอยหลังห่างออกจากเค้า

“มันสายเกินไปแล้ว สายเกินไปมากแล้วละโพด”







TBC

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หน่วงจริงๆคู่นี้ แต่เราก็ยังเคืองโพดอยู่นะ 555

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 22
หนีไม่พ้น




หลังกลับจากภูเก็ต ชีวิตผมก็กลับสู่สภาพปกติ ชีวิตที่มีแค่ทำงาน กลับบ้านไปแฮงค์เอ้าท์กับไอ้ต้าร์และเจ้โอ๋บ้าง ชีวิตมันก็วนๆ อยู่แบบนั้น วันนี้ก็เช่นกันแม้จะเป็นวันศุกร์ แต่เพราะกุ้งยังมีอาการแพ้ท้องอยู่มาก ไอ้ต้าร์เลยต้องคอยดูแล ผมกับเจ้โอ๋เลยเลือกพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

ผมหอบหิ้วอาหารแช่แข็งที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อด้านล่างคอนโด เพราะขี้เกียจแวะไปซื้อกับข้าวที่ไหน ไอ้ครั้นจะทำเองก็ขี้เกียจครับ ชีวิตคนโสดมันก็คงแบบนี้แหละครับ

“อ้าวเมอซิเอร์เดช็อง สวัสดีครับ นึกว่าคุณย้ายออกไปแล้ว”ผมเอ่ยทักทายชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่ถึงแม้จะไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย แต่ก็พอรู้จักในระดับนึงในฐานะเพื่อนบ้านร่วมคอนโดนี่แหละครับ ห้องเราอยู่ตรงข้ามกันพอดี เลยได้มีโอกาสทักทายกันบ้าน แต่จากที่เคยคุยล่าสุดเค้าเคยบอกว่าจะขายต่อคอนโดนี้ให้กับเพื่อน ซึ่งผมไม่เองไม่เจอเค้าพักใหญ่แล้วก็นึกว่าย้ายออกไปแล้วเสียอีก

“วันนี้เพื่อนผมย้ายเข้ามาพอดี เลยแวะมาช่วยนิดหน่อย”เค้าตอบกลับผมด้วยถาษาอังกฤษ เวลาคุยกับเค้านี่ก็แปลกดีนะครับ คือเค้าก็อยู่ที่ไทยนานพอจะฟังเข้าใจนะครับ ถ้าพูดช้าๆ ชัดๆ หน่อย แต่เค้าไม่ค่อยจะยอมพูดไทยสักเท่าไหร่

“อ่าหะ”ผมแค่พยักหน้ารับและไม่ได้คุยอะไรอีกเพราะนี่เค้าเหมือนจะรีบไปไหนต่อ แต่มาเจอผมที่หน้าลิฟต์นี่เสียก่อน ผมเลยรีบเป็นฝ่ายชิงขอตัวก่อน แต่ไม่วายอีกคนยังฝากฝังเพื่อนบ้านใหม่ไว้กับผม

“เพื่อนผมเพิ่งมาใหม่ถ้าเค้าไปขอความช่วยเหลืออะไร ถ้าพอจะช่วยได้ก็ช่วยเค้าหน่อยนะครับ”

“…”ผมไม่ได้ตอบทำเพียงยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนจะแยกย้ายกัน ผมกดลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่ตัวเองอยู่ กำลังมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามกับผมชั่งใจอยู่ว่าจะกดกริ่ง ทักทายทำความรู้จักจะดีไหม แต่คิดไปคิดมาผมว่าเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

ผมเลือกที่จะเข้าห้องของตัวเองจัดการทำธุระส่วนตัว เวฟอาหารแช่แข็งที่ซื้อมา เสร็จแล้วก็คงหาหนังดูสักเรื่องสองเรื่อง เพราะนี่มันคืนวันศุกร์ พรุ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบตื่น จำได้ว่าในตู้เย็นก็ยังพอมีเบียร์เหลืออยู่หลายกระป๋อง คงพอช่วยให้ผมใช้ชีวิตในคืนสุดสัปดาห์ได้แหละ

เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังจะจัดแจงหยิบกระเบียร์ออกจากตู้เย็น ทำให้ผมต้องละมือ และอดแปลกใจอยู่หน่อยๆ ว่าใครมาหาผม หรือเจ้โอ๋จะมาหา แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะถ้าเป็นเจ้โอ๋คงโทรมาบอกล่วงหน้าแล้ว

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ ผมมาขอความช่วยเหลือฮ่ะ”คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือเด็กชายลูกครึ่งตัวป้อมพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ ที่สร้างความตกใจให้ผมพอสมควร สายตาผมมองเลยไปยังห้องฝั่งตรงข้ามที่ประตูเปิดอยู่ นี่คงไม่ได้หมายความว่า…

“อังเคิ่ลเดช็องจะคุยด้วยฮ่ะ”

เด็กชายตัวป้อมไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธอะไร มือเล็กๆ นั้นยื่นโทรศัพท์มาให้ผม นี่อดีตเพื่อนบ้านของผมไปรู้จักกับอีกคนได้ยังไงกันนะ ถ้าแอชตั้นอยู่นี่ แถมรู้จักกับเดช็องด้วยแสดงว่าเพื่อนที่รู้จักกันตอนเรียนปริญญาโทที่อเมริกาของเดช็องก็คือ “ข้าวโพด” สินะ

“คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเค้ากับผมรู้จักกัน”ผมไม่คิดหรอกนะครับว่าการที่ข้าวโพดจะมาซื้อคอนโดของเดช็องมันจะเป็นเรื่องบังเอิญ

“เค้าขอให้ผมไม่บอกกับคุณ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนได้ไหม คือตอนนี้แดดดี้ของแอชตั้นดันเป็นหวัด ตอนแวะไปก็เห็นว่าท่าทางไม่ค่อยดี นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหนักมากหรือเปล่า”

“แล้วคือจะให้ผมพาเค้าไปหาหมอ?”

“ไม่ๆ คิดว่าคงไม่หนักขนาดนั้น เพียงแค่อยากจะรบกวนฝากแอชตั้นให้อยู่กับคุณสัก 2-3 ชม. แล้วผมจะไปรับแอชตั้นมาค้างด้วยคือไม่อยากให้แกติดหวัดจากแดดดี้ของแก ทีแรกว่าจะให้แยกกันนอนห้องก็ยังจัดไม่เสร็จ คุณพอจะช่วยดูแอชตั้นให้หน่อยได้หรือเปล่า เสร็จธุระแล้วจะรีบไป”

“ผมปฏิเสธไม่ได้สินะ”แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่น้ำเสียงผมก็ติดจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ที่โดนมัดมือชกแบบนี้ แถมเรื่องที่เพิ่งรู้ว่าอีกคนมาซื้อคอนโดตรงข้ามห้องกับผมแบบนี้

“รบกวนด้วยนะฮ่ะ”เด็กน้อยที่วิ่งไปปิดประตูห้องฝั่งตรงข้ามแล้วรีบตามผมเข้ามาในห้อง

“อังเคิ่ลฟ่างโกรธเหรอฮ่ะ”ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจะหงุดหงิด แต่มันก็ไม่ควรที่ผมจะใส่อารมณ์กับเด็กชายตรงหน้านี้

“แดดดี้บอกว่าอังเคิ่ลฟ่างโกรธแดดดี้”

“หืม”นี่เค้าเอาเรื่องระหว่างผมกับเค้าไปเล่าให้เด็กตัวแค่นี้ฟังหรือไงเนี่ย

“ตอนนี้แดดดี้ป่วย อังเคิ่ลฟ่างหายโกรธก่อนได้ไหมฮ่ะ”แม้จะยังอารมณ์ไม่ค่อยดีนักแต่สายตาอ้อนๆ ของเด็กตรงหน้านี่ก็น่าเอ็นดูเหลือเกิน

“อังเคิ่ลฟ่างไม่ได้โกรธครับ”ไม่ได้โกรธ ก็แค่เจ็บ

“งั้นอังเคิ่ลฟ่างไปเช็ดตัวให้แดดดี้หน่อยนะฮ่ะ แดดดี้เคยบอกตอนแอชป่วยว่าต้องเช็ดตัวจะได้หายป่วยเร็วๆ เวลาแอชป่วยแดดดี้เช็ดตัวให้ทุกทีเลย แต่พอแดดดี้ป่วย แอชยังตัวเล็กเช็ดตัวให้แดดดี้ไม่ได้ อังเคิ่ลฟ่างไปเช็ดตัวให้แดดดี้หน่อยนะฮ่ะ”นี่ใครสอนให้เด็กนี่พูดมากขนาดนี้กันนะเนี่ยทำไมดูคำพูดคำจา มันเกินตัวเหลือเกิน

“อังเคิ่ลเดช็องแค่ฝากให้ดูแลแอชตั้นนะครับ นอกเหนือจากนี้ไม่ถือว่าอยู่ในข้อตกลง”

“แต่แดดดี้ยังไม่มีคนเช็ดตัวให้ นะฮ่ะ นะฮ่ะ”นี่เราสนิทกันถึงขนาดจะมาอ้อนผมได้ขนาดนี้แล้วหรือไงเนี่ย แต่ผมจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด เรื่องอะไรผมจะต้องไปเจอกับอีกคน อีกคนที่ตั้งแต่เหตุการณ์คืนนั้นที่ภูเก็ต






“มันสายเกินไปแล้ว สายเกินไปมากแล้วละโพด”

“มันไม่มีอะไรสายไปหรอกครับ ในเมื่อเรายังรักกัน”เค้าวิ่งมาสวมกอดผมจากด้านหลัง

“…”

“ทำแบบนี้แล้วพี่มีความสุขเหรอครับ การที่เราไม่มีกันมันมีความสุขจริงๆ เหรอครับ”

“อย่าพูดเหมือนรู้จักพี่ดีเลย แล้วก็ปล่อยเถอะ”ผมพยายามแกะมือเค้าออก รีบเดินให้พ้นจากเค้าโดยเร็วที่สุด

“พี่ฟ่างกำลังกลัวอะไร หรือหนีอะไรครับ”เสียงตะโกนไล่หลังทำให้ผมชะงักฝีเท้าเล็กน้อย

“…”

“หนีผม หรือหนีความจริง”

“…”

“แต่ไม่ว่าพี่จะหนีอะไร พี่หนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะพี่รักผม”

“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมหันกลับไปมองนิดนึงก่อนจะหันหลังกลับเดินต่อ

“คอยดูแล้วกันว่าผมจะทำให้พี่ยอมรับให้ได้ว่าพี่รักผม”







“หึ”ผมครางในลำคอเมื่อนึกถึงเหตการณ์ในวันนั้น หรือการที่เค้ามาซื้อคอนโดห้องตรงข้ามผมนี่คือหนึ่งในวิธีที่เค้าจะมาทำให้ผมยอมรับในสิ่งที่เค้าพูด

“ตกลงนะฮ่ะ อังเคิ่ลฟ่าง นะฮ่ะ นะฮ่ะ”มือเล็กๆ นั่นมาเขย่าแขนผมอย่างอ้อนวอน

“แล้วถ้าอังเคิ่ลไปเช็ดตัวให้แดดดี้ของแอชตั้น แล้วแอชตั้นจะอยู่กับใครละครับ”เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิดแต่ก็เหมือนจะมีความไม่พอใจหน่อยๆ ที่โดนขัดใจ

“แอชรออยู่นี่คนเดียวได้ฮ่ะ จะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่รื้อข้าวของ จะอยู่นิ่งๆ ที่โซฟานี่ฮ่ะ”เด็กน้อยบอกเสียงใส พร้อมด้วยสายตาวิงวอน แถมยื่นคีย์การ์ดห้องของเค้าให้ผมอีกต่างหาก

ผมแค่สงสารเด็กแค่นั้นแหละครับ ผมไม่ได้ห่วงคนที่นอนซมอยู่นี่เลย นี่ทำไมเค้าปล่อยให้ตัวเองป่วยได้ขนาดนี้ แล้วนี่จะดูแลคนอื่น ดูแลลูกได้ยังไงกัน ผมค่อยๆ วางกะลังน้ำที่เตรียมมาจากห้องของตัวเอง เพราะคิดว่าในห้องนี้คงยังไม่มีอะไรมากนัก

“พี่…ฟ่า..ฟ่าง”เค้าคงรู้สึกตัวว่ามีการมาของผมแต่เสียงที่พยายามเปล่งออกมานั่นก็แหบเหลือเกิน

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก แค่มาตามคำขอของแอชตั้นแค่นั้นแหละ”ผมค่อยๆ บิดผ้าชุบน้ำหมาดๆ เริ่มเช็ดตั้งแต่ใบหน้าของเค้า จากที่ลอกแตะๆ ดูหน้าผากของเค้าในทีแรกที่เข้ามาก็ตัวร้อนประมาณนึงเลยและครับ

“รู้ว่าตัวเองป่วยก็แทนที่จะไปหาหมอ”ผมบ่นไป พร้อมกับค่อยๆ เช็ดตัวเค้าไป พยายามเบนสายตาไม่มองร่างกายเค้าตรงๆ เพราะถึงเค้าจะยังใส่เสื้อผ้าอยู่ แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ผมรีบเช็ดให้เสร็จๆ ไป เพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองอย่างไม่กระพริบ

“แล้วนี่ทานยาไปหรือยัง”เค้าไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด นี่คงเจ็บคอจนแทบไม่มีเสียงเลยสินะ ใบหน้าที่ดูอ่อนเพลียนั้นพยักบอกผมแทนคำตอบ

“งั้นพี่ไปแล้วนะ นอนพักเยอะๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้น”ผมบอกโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเค้าและเตรียมยกกะละมังน้ำ กลับห้องตัวเอง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวลุก ก็โดนมืออีกอีกฝ่าย รั้งผมเอาไว้

“…”เค้าไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองมาที่ผมอย่างเว้าวอน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดก็คงอยากจะให้ผมอยู่ต่อสินะ

“แอชตั้นอยู่ที่ห้องพี่คนเดียว พี่ควรห่วงใครมากกว่ากัน”ผมบอกออกไปเสียงเรียบ เค้าค่อยๆ ปล่อยมือที่จับแขนของผมออก ผมหยุดคิดนิดนึง ก่อนที่จะเลือกเดินออกจากห้องนั้นมา

กลับเข้ามาที่ห้องก็พบว่าเด็กน้อยลูกครึ่งนั่น เหมือนจะหลับไปบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว นี่คงง่วงจนเผลอหลับไปสินะผมเดินเอากะลังไปเก็บก่อนจะหยิบผ้าห่มออกมาคลุมให้กับเด็กน้อยที่หลับอยู่

“แดดดี้”น้ำเสียงพึมพำออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ ว่าผู้ให้กำเนิดที่แท้ของเค้าเป็นใคร นี่ข้าวโพดเองก็คงยังไม่ได้บอกสินะว่าตัวเค้าเองไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเด็กคนนี้ ตอนนี้โลกทั้งใบของเค้าก็คงมีแต่แดดดี้ของเค้า ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าข้าวโพดจะเลือกบอกความจริงไหม ซึ่งถึงแม้มันจะไม่เกี่ยวอะไรกับผม แต่ลึกๆ แล้วผมก็หวังว่าเค้าจะเข้าใจในสิ่งที่แดดดี้ของเค้าทำ อย่าได้ต้องมารู้สึกเหมือนผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ตอนนี้ผมว่า ผมพอจะเริ่มเข้าใจการตัดสินใจของข้าวโพดขึ้นมาบ้าง ว่าถ้าตอนนั้นไม่ทำแบบนี้เด็กน้อยตรงหน้าผมตอนนี้คงไม่ได้เกิดมาสินะ แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับการได้มีชีวิตของเค้าก็คือการอยู่อย่างคนเหมือนไม่มีชีวิตของผมสินะ

“เฮ้อ”ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเบาๆ ของเค้า การจะให้ผมนึกโกรธเกลียดเค้าที่เกิดมาผมก็คงทำไม่ได้กรอกครับ เพราะเค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย หรือแม้กระทั่งผู้ให้กำเนิดเค้าจริงๆ ผมก็คงไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวโทษพวกเค้า ถ้าจะโทษใครก็คงเป็นตัวผมเองที่เข้มแข็งไม่พอในตอนนั้น

เสียงกดกริ่งที่หน้าห้อง ทำให้ผมต้องละสายตาจากเด็กชายตัวน้อย นี่เดช็องคงมาแล้วสินะ ผมเปิดแระตูให้ผู้มาใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาคนเดียว มีอีกคนที่เหมือนทั้งคู่จะแย่งกันแนะนำสถานะให้ผมทราบ ซี่งทำให้ผมได้รู้ว่าผู้มาใหม่อีกคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเดช็อง คือคุณปอนด์ ที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม

“น่าจะหลับไปพักใหญ่แล้วแหละครับ”ผมบอกเมื่อเดินนำคนทั้งคู่มาเจอเด็กน้อยที่นอนอยู่บนโซฟา

“รบกวนคุณแย่เลยนะครับ”เดช็องพูดพร้อมกับค่อยๆ อุ้มแอชตั้นขึ้นพาดบ่า เด็กน้อยงัวเงียนิดหน่อย ไม่ได้งอแงเพียงแค่ปรือตาดูว่าใครเป็นคนอุ้มเค้า ผมเดินมาส่งทั้ง 3 ที่หน้าประตู ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบคีย์การ์ดของห้องฝั่งตรงข้ามที่แอชตั้นให้ไว้มาคืน

“เอาไว้นี้ก็ได้ครับ เผื่อมีอะไรคุณอยู่ใกล้ๆ จะได้ช่วยเหลือกันทัน”

“…”ผมอ้ำอึ้ง เพราะถึงอีกคนที่นอนในห้องตรงข้ามนั่นจะนอนซมมันก็ไม่ได้ถึงกับขนาดว่าคอขาดบาดตาย

“อังเคิ่ลฟ่างอย่าทิ้งแดดดี้นะฮ่ะ”เด็กน้อยที่ตาจะปิดนั่น ยังพยายามจะพูดกับผม ผมเลยทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และถือคีย์การ์ดนั้นไว้ตามเดิม

ทั้งสามคนลงลิฟต์ไปแล้วแต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม อยู่ๆ เรื่องราวในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาให้หัวผมอีกครั้ง เหตุการณ์เมื่อครั้งที่ครอบครัวของเราไปเที่ยวทางภาคเหนือ แล้วก่อนวันกลับผมดันเป็นหวัดเพราะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไม่ได้






“น้องโพดต้องแยกไปนอนอีกห้องนะลูก เดี๋ยวจะติดหวัดจากพี่ฟ่างเอา”แม่ของผมบอกกับน้องชายตัวป่วน ที่ทำหน้างอไม่พอใจ เพราะยังอยากจะนอนห้องเดียวกับผม

“โพดกลัวพี่ฟ่างเหงานี่ฮ่ะ”

“ไว้พี่ฟ่างหายแล้วค่อยมานอนด้วยกันนะ เชื่อแม่สิครับคนเก่ง”

“งั้นถ้าโพดเก่งก็แสดงว่าโพดจะไม่ป่วย โพดจะไม่ติดหวัด โพดก็นอนกับพี่ฟ่างได้ใช่ไหมครับ”เจ้าตัวแสบเถียงข้างๆ คูๆ อย่างเอาแต่ใจ จนผู้ใหญ่อย่างแม่ผมกับแม่เค้าถอนหายใจอย่างอ่อนใจ

“อย่าดื้อสิโพด”น้ำเสียงดุๆ จากแม่ของเค้าเหมือนจะได้ผล เพราะเจ้าตัวแสบเหมือนจะเริ่มอ่อนลง เค้าเดินมาหาผมแต่ก็ยังเว้นระยะห่างไว้ ตามคำสั่งทางสายตาของแม่เค้า

“โพดขอโทษนะฮ่ะที่ปล่อยพี่ฟ่างให้นอนคนเดียว”เด็กบ้าเอ้ย ทำยังกับว่าผมเป็นอะไรหนักงั้นแหละ ที่ผู้ใหญ่เค้าจับแยกก็เพราะกลัวเราจะป่วยกันไปทั้งคู่ต่างหากละ

แล้วทั้งหมดก็ออกจากห้องไปให้ผมได้นอนพักผ่อน ผมหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ยุกยิกๆ อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผม

“ทำอะไรเนี่ยโพด”ผมถามออกไปเสียงดุ เมื่อรู้ว่าอะไรที่มุดเข้ามาในผ้าห่มของผม

“โพดกลัวพี่ฟ่างหนาว เลยมากอดให้อุ่นไงฮ่ะ”

“กลับห้องไปเลยเดี๋ยวก็ติดหวัดกันพอดีหรอก”

“รีบนอนเถอะฮ่ะ ดึกแล้ว”เหมือนเด็กดื้ออย่างเค้าจะไม่สนใจในคำพูดของผมเลย แถมอาการป่วยทำให้ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเค้ามากนัก เลยปล่อยเลยตามเลยละกัน





ผมเงยหน้าจากการมองคีย์การ์ดในมือ มองไปยังห้องตรงข้าม ก่อนจะค่อยๆ เดินไปเปิดประตูห้องนั้น



TBC


ไม่รู้พี่ฟ่างจะใจอ่อนเร็วไปไหมน้า

ก็ต้องรอดูกันต่อปาย  o13

ส่วนเดช็องที่โผล่มานั้น ถ้าใครอยากรู้ว่าเรื่องราวของเดช็อง ปอนด์ เป็นยังไง ก็ลองไปอ่านดูได้ที่เรื่องนี้เลย

คำตอบที่ว่างเปล่า

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0

ตอนท้ายๆ เรื่องจะมีข้าวโพดกับแอชตั้นโผล่ไปนิดนึง นิดแบบนิดกว่าที่เดช็องโผล่มาในเรื่องนี้เสียอีก

5555


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 23
คำแนะนำจากเพื่อน



“สรุปมันไม่กลับไปอยู่เมืองนอกแล้วเหรอวะ”เป็นคำถามจากไอ้ต้าร์หลังผมเล่าเรื่องที่ข้าวโพดกลายมาเป็นเพื่อนบ้านของผมอย่างกะทันหัน

“ไม่รู้ไม่ได้ถาม”ผมตอบกลับไปผ่านๆ จริงๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากคุย ปรึกษาหรือได้คำแนะนำอะไรจากไอ้ต้าร์หรอกนะครับ แค่เล่าให้มันได้รับรู้ไว้เฉยๆ ส่วนผมจะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อไป ผมยังไม่อยากจะคิดถึงสักเท่าไหร่

“แล้วทำไมไม่ถาม”

“ก็ไม่ได้อยากรู้ไหม”

“แหมๆ ไม่ได้อยากรู้… เอาจริงๆ ตกลงนี่ดีใจใช่ไหมที่ไอ้โพดมันย้ายมาอยู่ห้องตรงข้ามเนี่ย”น้ำเสียงในเชิงหยอกล้อตามประสาของไอ้ต้าร์ถูกเปล่งออก ไม่รู้ทำไมพอได้ยินแบบนี้ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“อย่ามาพูดแบบนี้ กูไม่ชอบ”ผมบอกกับเพื่อนออกไปตามตรง แต่ก็ไม่ถึงกับจะเป็นเชิงตำหนิหรือไม่พอใจมันมากนัก แต่ไอ้ต้าร์กลับปรับสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฟ่าง เมื่อก่อนหรือแรกๆ กูโคตรอยากให้มึงมีคนอื่น รักกับใครไปจริงๆ จังๆ สักคนลืมไอ้น้องชายกำมะลอของมึงนี่ไปซะ แต่ที่ผ่านมา กูว่ากูเห็นแล้ว ผลสุดท้ายมึงไม่ได้มีความสุขเลย ถึงมึงพยามแสดงออกว่ามึงมีความสุขดี กูก็ดูออกนะว่ามึงแค่พยายามเพื่อให้คนอื่นสบายใจ เพราะงั้นลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าเดินไปทางไหนที่มึงจะมีความสุข”

“มึงกำลังจะบอกอะไรกู”เรื่องที่มันพูดออกมาก็คิดตามไม่อยากนักหรอกครับ เพียงแค่ผมเองยังไม่อยากรับฟังเลยเลือกที่จะทำเหมือนไม่เข้าใจ

“มึงยอมไปดูแลไอ้โพดมันขนาดนั้น ถ้าให้กูพูดตรงๆ นะแค่เห็นหน้ามันมึงก็ยอมตั้งแต่หน้าประตูแล้ว”ยอมงั้นเหรอ ผมก็แค่เป็นห่วง ที่เค้าไม่สบาย ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้จะยอมอะไรเสียหน่อย อีกอย่างถ้าตามที่ไอ้ต้าร์ชี้นำผม คือให้เลือกที่จะเปิดใจรับข้าวโพดอีกครั้ง แล้วผมจะมีความสุข แต่ทำไมตอนนี้ผมไม่เห็นจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะมีความสุขเลยสักนิดกันละ




คืนนั้นหลังจากที่เดวีพาแอชตั้นออกไป และผมเปิดประตูเข้าไป พยายามเบาเสียงทุกอย่างเพื่อไม่อยากให้อีกคนรู้ตัว ผมหาเหตุผลให้กับตัวเองมากมายว่าทำไมผมถึงเลือกเปิดประตูบานนี้เข้ามา ความทรงจำต่างๆ ระหว่างผมกับคนที่นอนนิ่งๆ บนเตียงในความมืดนั้น พรั่งพรูออกมา ตีกันไปหมด

ภาพน้องชายตัวแสบที่ทำตัวติดผมแจตั้งแต่จำความได้ น้องชายที่เฝ้าบอกว่าจะรีบโตให้ทันผม คนที่ดื้อเอาแต่ใจ แต่สุดท้ายกลับยอมให้ผมแทบทุกครั้ง ทั้งที่ผมเป็นพี่แล้วควรยอมให้น้อง จนวันนึงที่ความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนใจ ความรู้สึกที่ผมเองก็พยายามกดมันเอาไว้ แล้ววันนึงเราทั้งคู่ก็ทำอะไรที่มันเกินเลยคำว่าพี่น้อง ถ้าเรื่องในคืนนั้นไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ไหม

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ความรู้สึกเจ็บ เจ็บจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งที่มันก็ผ่านมานานหลายปี และผมก็คิดว่าเวลาช่วยเยียวยาผมแล้ว แต่เปล่าเลย นั่นผมแค่หลอกตัวเอง ความจริงความเจ็บนั้นมันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มันไม่ได้เจ็บเพราะรู้สึกว่าเค้าไม่รักผม แต่ผมเจ็บเพราะคิดมาตลอดว่าผมเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเค้า ซึ่งวันนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าผมไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ที่เค้าจะสามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อผมได้


แต่อย่างน้อยๆ เรื่องนี้ก็สอนให้ผมได้รู้ว่า เราไม่ควรสำคัญตัวเองขนาดนั้น ทุกอย่างมันไม่ได้หมุนรอบตัวเราเสมอไป มันไม่มีใครจะสมหวังไปเสียทุกเรื่อง ผมค่อยๆ นั่งลงที่พื้นที่ว่างบนเตียงนอนของเค้า พยายามเบาที่สุดแล้ว แต่อีกคนก็ยังขยับตัวและเหมือนจะลืมตาขึ้นมามองผม

“พี่..ฟ่าง”น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเหมือนไม่ค่อยสายตา

“ขอโทษที่ทำให้ตื่น นอนพักต่อเถอะ”ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเค้า เพื่อประเมินอาการ เหมือนไข้เค้าจะลดลงไปแล้ว เพราะสัมผัสได้ว่าตัวเค้าไม่ได้ร้อนเหมือนรอบแรกที่มาเช็ดตัว ผมดึงมือกลับเตรียมจะลุกขึ้น ทำให้อีกคนรีบยันตัวขึ้นมาคว้าข้อมือผมไว้

“แค่มาดูตามคำขอของแอชตั้น”ผมบอกและพยายามแกะมือเค้าออก

“ค้างที่นี่เป็นเพื่อนผมไม่ได้เหรอครับ”แม้น้ำเสียงจะแหบแห้ง แต่เค้าก็ยังพยายามเค้นมันออกมาก สายตาที่เริ่มคุ้นชินกับแสงไฟสลัวๆ ที่ลอดประตูเข้ามาจากทางด้านนอกทำให้ผมเห็นสายตาอ้อนวอนนั้นชัดขึ้น

“พี่ยังไม่อยากติดหวัด ไม่พร้อมจะป่วยเอาตอนนี้”เพราะถ้าป่วยไปมันจะไม่มีใครดูแล ผมต่อประโยคนั้นภายในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้เค้ารับรู้

“พี่ฟ่างป่วยก็ดีสิครับ”

“ป่วยเนี่ยนะดี”

“ก็ถ้าพี่ฟ่างป่วยผมจะได้ดูแลพี่ฟ่างไงครับ”

“ดูแลตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

“…”สีหน้าเหมือนลูกหมากำลังจะถูกเจ้าของทิ้งนั่นทำเอาผมรู้สึกใจโหวงขึ้นมาว่าหรือผมจะพูดกับเค้าแรงเกินไป ผมถอนหายใจยาวๆ อย่างอ่อนใจ ก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เดี๋ยวอยู่ตรงโซฟาข้างนอกนี่แหละ มีอะไรก็เรียกแล้วกัน”ถ้าให้คิดตามหลักเหตุผล ผมก็คิดว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องมาอยู่ตรงนี้ แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับ บังคับให้ผมตอบออกไปแบบนั้น

“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะยังได้เจอพี่ฟ่างใช่ไหมครับ”

“นอนพักเถอะ”ผมไม่ได้รับปากหรือตอบในสิ่งที่เค้าถาม และอาจด้วยความที่ยังป่วยอยู่เลยไม่สามารถที่จะเซ้าซี้อะไรผมอีก ผมเดินออกจากห้องนอนมาเอนตัวลงที่โซฟาด้านนอก ผมก็แค่มีน้ำใจมาดูเค้าแค่ในฐานะพี่ชายคนนึง นั่นคือคำตอบที่ผมให้กับตัวเองก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

ผมรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนเกือบจะตี 5 แล้ว บนตัวของผมมีผ้าห่มผืนบางๆ คลุมอยู่ ทั้งที่ก่อนหลับไปมันยังไม่มี คงไม่ต้องเดาสินะว่ามันมาได้ยังไง ผมรวบผ้านั้นวางไว้บนโซฟา แล้วลุกเดินเบาๆ ไปดูอีกคนในห้อง ห้องที่ประตูไม่ยอมปิด เหมือนเค้าจะยังหลับอยู่ ผมเลยกลับออกมา

ผมกลับเข้าห้องตัวเองจัดการล้างหน้าแปรงฟัน จำได้ว่าร้านโจ๊กที่ตลาดใกล้ๆ นี่คงเปิดแล้ว หลังจากทำธุระส่วนตัวเพียงไม่นานผมก็ออกจากห้อง แล้วกลับมาพร้อมโจ๊กทรงเครื่องถุงใหญ่ นี่ผมก็แค่ทำไปเพราะเห็นว่าเค้าป่วยและเค้าคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาหาอะไรทานเองได้

“พี่ฟ่าง”ยังไม่ทันที่ผมจะเปิดประตูเข้าห้องของเค้า เจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมาอย่างเร็วจนเกือบจะชนผม

“จะไปไหน”ผมเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายที่ยักอึกอัก

“นึกว่าพี่ฟ่างจะไม่กลับมาอีก…เลย”

“ดูเกือบปกติแล้วนิ งั้นก็กินโจ๊ก กินยาก็น่าจะดูแลตัวเองได้แล้วนี่เนอะ”ผมไม่เปิดโอกาสให้เค้าพูดต่อแต่ยัดโจ้กใส่มือเค้า พร้อมคีย์การ์ด แล้วหันตัวกลับจะเข้าห้องตัวเอง

“ทำไมต้องเย็นชาใส่กันด้วยละครับ ทั้งที่จริงๆ พี่ฟ่างก็ห่วงโพด”น้ำเสียงเชิงตัดพ้อนั้นดังอยู่ด้านหลัง แต่ผมก็เลือกจะเปิดประตูเข้าห้องโดยไม่หันไปมองหรือตอบอะไรกลับไป เพราะผมว่าผมทำเต็มที่แล้ว มันไม่มีเหตุผลอื่นให้ผมจะทำอะไรให้เค้าอีก ในเมื่อเค้าก็ดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเยอะแล้ว





“ว่าไงละมึง เหม่อไรเนี่ย”เสียงของไอ้ต้าร์ เรียกสติให้ผมหลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่านนั้น

“เปล่า”ผมรีบปฏิเสธแทบจะทันที

“เปล่าเชี่ยไรนิ่งไปตั้งนาน ฟ่างไอ้โพดกลับมาครั้งนี้ ทั้งกูกับมึงก็รู้กันดีว่ามันคงกลับมาขอโอกาสกับมึง”

“มึงย้ำเหมือนชี้นำ อยากให้กูลองเริ่มต้นกับข้าวโพดจังวะ”ผมยั้งมันไว้ เพราะยิ่งพูดไอ้นี่ยิ่งเหมือนมาช่วยพูดเกลี้ยกล่อมผมยังไงไม่รู้

“ที่ภูเก็ตมึงยอมรับกับกูเองนะว่ามึงยังคิดถึงไอ้โพดมัน นั่นแปลว่ามึงยังรักมัน แล้วที่ไอ้โพดมันถึงกับซื้อคอนโดห้องตรงข้ามมึงเนี่ย มึงคิดว่าเพราะอะไร”

“…”

“กูก็แค่หวังอยากเห็นมึงมีความสุข แค่นั้นแหละ”

“แล้วถ้าความสุขนั้นมันไม่อยู่กับกูไปตลอดละ”

“มึงกลัวอะไรฟ่าง”

“กูกลัวเจ็บ”ในที่สุดผมก็ได้คำตอบให้ทั้งกับตัวเองและกับเพื่อนอย่างไอ้ต้าร์ เพราะถึงในตอนนี้ข้าวโพดจะมาบอกว่าพร้อมจะดูแลผม ยังรักผม แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจในอะไรสักอย่าง อย่างที่ไอ้ต้าร์ถาม ว่าเค้ายังจะกลับไปอยู่อเมริกาหรือเปล่า หรือเรื่องแอชตั้นที่เค้าจะต้องดูแลอีก

“…”

“กูเคยเจ็บมาแล้ว มันหนักหนามากนะ มึงก็เห็นว่ากูเคยผ่านอะไรมา”

“ก็ใช่ไงกูเคยเห็นมึงผ่านมันมาแล้ว และมึงก็ยังอยู่ตรงนี้ มึงเห็นไหมว่ามึงผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้”ผ่านมาได้เหรอ ก็ได้แค่ทุลักทุเลไหมละ

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องเอาตัวเองลงไปเสี่ยงกับจุดนั้นอีก”

“โอเคมึงอาจจะคิดไม่เหมือนกูก็ได้ แต่ถ้าเป็นกู ระหว่างยอมหลอกตัวเองว่าไม่ต้องมีความสุขก็ได้ แต่ไม่ทุกข์หนักกว่าเดิมก็พอ หรือเลือกรับความสุขมาก่อน จากนั้นค่อยมาเสี่ยงว่าจะได้สุขไปตลอด หรืออาจจะกลับไปทุกข์ สำหรับกู กูขอลองเสี่ยงเลือกที่จะมีความสุข”

“…”

“รสชาติชีวิตไงมึง สุขบ้างทุกข์บ้างปนๆ กันไป ยิ่งของมึงกูเชื่อว่ามึงมีภูมิคุ้มกันจากแผลเดิมมาแล้ว มึงต้องแกร่งขึ้น และเหมาะที่จะเสี่ยงดูอีกครั้ง”พูดจบมันก็ไม่รอให้ผมได้เถียง รีบชิ่งออกไปบอกว่าต้องรีบไปรับกุ้ง

ใครบอกมันกันว่าคนที่เคยเจ็บจนมีแผลแล้วจะแกร่งขึ้น ถ้าคนส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น ผมเองก็คงจะเป็นส่วนน้อย ที่ถ้าเจ็บอีกครั้งอาจจะหนักกว่าเดิม ผมสลัดความคิดทุกอย่างไป เก็บข้าวของกลับบ้านเพราะนี่ก็เลิกงานแล้ว วันนี้ผมก็คงทานข้าวคนเดียวอีกตามเคยสินะ ไอ้ต้าร์ต้องดูแลกุ้งที่กำลังท้อง เจ้โอ๋ช่วงนี้ก็มีนัดบ่อยๆ ถึงจะสงสัยว่านัดกับใคร แต่ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่เล่า เราก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเค้าไป

“พี่ฟ่างคะ”เสียงนึงเรียกผมไว้ ตอนที่ผมลงลิฟต์ออกมาและกำลัง จะออกจากตึก หญิงสาวร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของเสียงเรียกนั่นทำเอาผมใจเต้นไม่น้อย

“ครับ”ผมไม่มีคำไหนที่จะนึกทันนอกจากคำนี้ เพราะไม่คิดและไม่ตั้งตัวว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับคนตรงหน้านี้อีก

“ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะคะ”ผมยิ้มแห้งๆ อย่างทำตัวไม่ถูกนั่นแหละครับ

“ครับ ไม่เจอกันนานเลย ตั้งแต่…”

“งานแต่ง”หญิงสาวต่อประโยคให้ผมจนจบพร้อมด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ใช่แล้วครับหญิงสาวที่ผมคุยด้วยตอนนี้คือผึ้ง คนที่แต่งงานกับข้าวโพดและเป็นแม่แท้ๆ ของแอชตั้น

“…”เราต่างเงียบกันไปนิดนึง เพราะถึงแม้ต่างฝ่ายจะรู้ว่าอีกคนคือใคร แต่เราก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นจะมาพูดคุยกันได้อย่างปกติสักเท่าไหร่

“พอจะมีเวลาคุยกันสักนิดไหมคะ”แม้จะรู้สึกว่าผมไม่มีเรื่องอะไรจะต้องคุยกับอีกคน แต่ผมก็ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เป็นการเช็คเวลา

“ก็น่าจะยังได้แหละครับ พอดีไม่ได้มีธุระอะไรอยู่แล้ว”






TBC

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ข้าวฟ่าง ดูมึนๆ เบลอๆ
ไม่ว่ายังไงข้าวฟ่าง ก็ยังห่วงใยข้าวโพดไม่เสื่อมคลาย

ข้าวฟ่าง คิดอย่างที่เพื่อนบอกให้ได้ไวๆนะ
อะไร ใคร ที่ทำให้ข้าวฟ่างมีความสุขที่สุด  :hao3:

ข้าวโพด ข้าวฟ่าง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
หน่วงแทนฟ่าง

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 24
กองหนุน





ผมกับผึ้งนั่งกันอยู่ในร้านกาแฟ ใกล้ๆ กับออฟฟิศของผม เหมือนเราทั้งคู่ต่างก็เกร็งๆ ซึ่งกันและกันอยู่ อย่างว่าแหละครับ การรู้จักกันของเราสองคนมันออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย

“ขอโทษที่มารบกวนเวลานะคะ”อีกฝ่ายเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ไม่เป็นไรครับ บอกแล้วว่าพี่ก็ไม่ได้มีธุระอะไร ตกลงน้องผึ้งมีเรื่องอะไรพูดมาเลยก็ได้นะครับ”แม้จะไม่ได้รีบอะไรแต่ผมเองก็ไม่อยากจะอ้อมค้อมสักเท่าไหร่

“ผึ้งอยากจะมาขอโทษพี่ฟ่าง”

“ครับ?”ผมงงนิดหน่อยกับสิ่งที่หญิงสาวกำลังเริ่มบอก

“ตั้งแต่เรื่องราวมันเริ่มขึ้น จริงๆ ผึ้งควรเป็นคนมาคุยกับพี่ฟ่างตั้งแต่ตอนนั้น ควรมาขอโทษที่เป็นต้นเหตุ ให้พี่ฟ่างกับข้าวโพดต้องเป็นแบบนี้”เจตนาของคนตรงหน้าอาจจะมาดีนะครับ แต่ผมกลับต้องสูดลมหายใจลึกๆ เพราะเหมือนกับกำลังถูกเปิดปากแผลที่พยายามปิดไว้มานานแสนนาน

“เรื่องระหว่างพี่กับโพด ที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้มันก็เป็นเพราะพี่กับเค้าแค่นั้นแหละ มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอก”คิดว่าการที่คนตรงหน้าเปิดมาขนาดนี้ ผมว่าเค้าคงรับรู้เรื่องราวระหว่างผมกับข้าวโพดมาหมดแล้ว

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าวันนั้นผึ้งจะไม่ขี้ขลาด ยอมบอกความจริงกับที่บ้าน เรื่องทุกอย่างมันคงไม่ออกมาแย่เหมือนทุกวันนี้ แต่ตอนนั้นผึ้งเองก็ไม่ทันคิดว่ามันจะกระทบกับใครบ้าง ส่วนของพี่ฟ่างเองผึ้งก็คิดว่าโพดเค้าจะจัดการได้ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องมาไม่มีความสุขเพราะผึ้งเป็นต้นเหตุ”

“อย่าคิดแบบนั้นเลยครับ”อยากจะหาคำปลอบที่ดีกว่านี้เพราะ อีกฝ่ายเหมือนน้ำตาจะเอ่อขึ้นมาแล้ว แต่ฝั่งผมเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

“พี่ฟ่างด่าหรือต่อว่าผึ้งสักนิดก็ได้ค่ะ ผึ้งยังจะรู้สึกดีกว่านี้ แถมแทนที่ผึ้งจะมาขอโทษพี่ฟ่างให้เร็วกว่านี้ ผึ้งก็ไม่ทำ”ผมว่ายิ่งพูดไป อีกฝ่ายก็คงจะมัวแต่โทษตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องราวที่มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เนี่ย

“จะว่าพี่ไม่รู้สึกเสียใจหรืออะไรเลยมันก็คงไม่ใช่หรอก เพียงแต่พี่ผ่านจุดนั้นมานานมากแล้ว คิดเสียว่าเราทุกคนก็เสียสละกันทุกคนเพื่อให้แอชตั้นได้เกิดมา แอชตั้นดูเป็นเด็กฉลาดแล้วก็น่ารัก ดีแล้วละครับที่ทั้งน้องผึ้งและโพดเลือกจะให้เค้าได้ออกมามีชีวิต”ผมพูดไปโดยไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่พอมองอีกที ผึ้งก็น้ำตานองหน้าไปแล้ว ดีที่ในร้านไม่ค่อยมีคนแล้ว ไม่งั้นผมคงดูเหมือนผู้ชายที่รังแกผู้หญิง

“ไหวไหมครับ”ผมเลือกที่จะไม่ปลอบ เพราะรู้สึกว่าเธอเองก็คงจัดการตัวเองได้เพียงแต่อยากระบายความอัดอั้นออกมาเท่านั้น

“แอชอั้นเป็นเด็กฉลาด น่ารัก โพดเลี้ยงเค้ามาดีมาก ดีจนเค้าไม่น่ามีแม่แย่ๆ อย่างผึ้งเลย”จากที่เห็นอาการของคนตรงหน้าทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าแอชตั้นคงยังไม่รู้แน่ๆ ว่าคนตรงหน้าผมนี้คือแม่แท้ๆ ของตัวเอง

“อะไรที่เราเคยทำผิดพลาดไปแล้วมันคงย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราก็แก้ไขจากปัจจุบันได้จริงไหมครับ”ถึงผมจะเป็นคนพูดประโยคนี้เอง แต่ผมก็รู้ครับว่ามันไม่ง่ายเลย

“มันก็เป็นผลจากที่ผึ้งสร้างขึ้นมาแหละค่ะ เรื่องของผึ้งเองมันอาจจะยากที่จะแก้ไข หรืออาจไม่มีโอกาสได้แก้ แต่เรื่องของพี่ฟ่างกับโพดมันยังแก้ไขได้นะคะ ผึ้งเองยังอยากเห็นทั้งสองคนที่ผึ้งเป็นคนพรากความสุขจากพวกเค้าไป ให้กลับมามีความสุขอีกครั้งนะคะ”

“…”

“ตั้งแต่ผึ้งรู้จักโพดมา ไม่เคยมีวันไหนเลยที่โพดจะไม่พูดถึงพี่ฟ่าง เค้ารักพี่ฟ่างมากนะคะ เพียงแต่อาจจะเคยตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปหน่อย”

“…”

“เชื่อเถอะค่ะว่าเค้ารักพี่มาก ขนาดตอนผึ้งเป็นแฟนเค้า เค้ายังเอาแต่อะไรๆ ก็พี่ฟ่างๆ จนตอนนั้นผึ้งเองยังเผลอไม่ชอบพี่ฟ่างไปเลย ต้องขอโทษอีกทีนะคะทั้งที่ตอนนั้นผึ้งยังไม่รู้จักพี่ฟ่างดีพอด้วยซ้ำ”

“พี่ก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นนะ แต่ขนาดเค้าเป็นแฟนกับผึ้งตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แรกๆ เค้ายังไม่เคยบอกพี่เลย จริงๆ พี่อาจจะไม่ได้สำคัญกับเค้าอย่างที่ผึ้งคิดก็ได้”ผมแย้งออกไปเมื่อยังคงจำได้ว่าเคยได้รับรู้ตอนไปงานแต่งว่าทั้งคนตรงหน้ากับข้าวโพดแม้จะบอกว่าแต่งงานกันเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่จริงๆ ครั้งนึงทั้งคู่ก็เคยเป็นแฟนกัน

“นั่นแหละข้อเสียของน้องชายพี่ฟ่างเลย มีอะไรไม่ยอมพูดตรงๆ ความจริงที่เค้าตัดสินใจคบกับผึ้งในตอนนั้นเพราะเค้าเข้าใจว่าพี่ฟ่างเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทของพี่ที่ชื่อพี่ต้าร์แหละค่ะ”ผมขมวดคิ้ว เรื่องผมกับไอ้ต้าร์นี่มันแค่ระยะสั้นๆ เองนะครับที่เค้าเข้าใจผิด

“แต่ท้ายที่สุดพอรู้ความจริง โพดก็ยังเลือกที่จะปิดบัง”

“โพดเค้าก็แค่กลัวค่ะ กลัวว่าพี่ฟ่างจะไม่รักเค้า”

“หึ”ผมเผลอหลุดน้ำเสียงที่ออกจะเป็นการเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที ความจริงถ้าในตอนนั้นผมรับรู้ว่าข้าวโพดกับผึ้งเป็นแฟนกัน เรื่องราวมันก็อาจจะไม่กลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ หัวใจของผมมันอาจจะไม่ถลำลึกมามากขนาดนี้

“อย่าหาว่าผึ้งยุ่งเลยนะคะ แต่ทั้งพี่ฟ่างกับโพดเมื่อก่อนรู้สึกยังไงก็ไม่ยอมรับกันออกมาตรงๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูด แถมพอจะได้เปิดใจกัน ผึ้งก็ดันหาเรื่องมาแทรกกลางอีก เอาเป็นว่าวันนี้ผึ้งมาขอโทษ สำหรับทุกอย่างที่เคยเป็นต้นเหตุให้พี่ฟ่างเสียใจ พี่ฟ่างจะไม่ยกโทษให้ผึ้งก็ได้นะคะ แต่ขอโอกาสให้โพดเค้าอีกสักครั้งเถอะค่ะ”

“นี่โพดให้น้องผึ้งมาช่วยพูดเหรอครับ”ทำไมช่วงนี้มีแต่คนมาเกลี้ยกล่อมผมในเชิงนี้กันนะ ทั้งเพื่อนสนิทของผมอย่างไอ้ต้าร์ ก็อยากให้ผมลองเสี่ยงกับข้าวโพดอีกสักครั้ง แล้วนี่ยังจะผู้หญิงตรงหน้านี่อีก

“เค้าไม่ได้บอกหรอกค่ะ แต่ที่เจอกันล่าสุดเห็นสภาพเค้าแล้ว ผึ้งว่ามันคงถึงเวลาที่ผึ้งต้องมาจัดการปัญหาที่ผึ้งเป็นคนเริ่มมันขึ้นมา”ผมถอนหายใจมองหน้าอีกคน ที่เหมือนรอคำตอบจากผม แต่บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรตัดสินใจยังไง

“เอาเป็นว่าพี่ไม่โกรธหรือติดใจถือโทษอะไร น้องผึ้งก็ไม่ต้องคิดมากหรือโทษตัวเองอะไรอีก ส่วนเรื่องอื่นๆ ในตอนนี้พี่คงยังไม่มีคำตอบอะไรให้”เพราะขนาดตอบตัวเองผมยังทำไม่ได้ ประสาอะไรจะไปตอบคนอื่น

“อย่างน้อยแค่พี่ฟ่างไม่ปฏิเสธ ก็แสดงว่าโอกาสของข้าวโพดได้รับการพิจารณาแล้วละค่ะ”

“คือพี่ไม่ได้…”คำพูดของผมถูกคนตรงหน้ายกมือขึ้นห้าม เธอส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันเป็นยิ้มที่ผมเองก็รู้สึกได้แหละครับว่าเธอหวังดีกับผม แต่ผมจะกล้ารับความหวังดีนั้นไว้หรือเปล่า เราบอกลากันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันออกมา  ผมกลับคอนโดด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันอยู่ในหัว ทั้งคำพูดของไอ้ต้าร์และผึ้ง ต่างก็มีผลกับการตัดสินใจของผมทั้งสิ้น

ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองหนักแน่นพอแล้ว กับการที่จะไม่กลับไปรู้สึกอย่างเดิมอีก ซึ่งผมก็ได้รับรู้ว่าตัวเองอ่อนไหวเหลือเกิน มัวแต่คิดอะไรในหัว รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในห้องตัวเองแล้ว นี่ผมมัวแต่คิดเรื่องนี้จนเพิ่งรู้สึกตัวว่า ไม่ได้แวะซื้อของกินอะไรติดมาด้วยเลย นี่ในห้องผมเหลืออะไรให้ประทังชีวิตไปได้บ้างไหมเนี่ย ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะเดินไปเปิดตู้เย็น เสียงกดกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น

“หวัดดีฮ่ะอังเคิ่ลฟ่าง”เด็กน้อยลูกครึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยทักทายขึ้น สายตาผมมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่มีใครอื่นอีก เพราะใจนึงก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนที่มากดกริ่งจะเป็นเจ้าของห้องฝั่งตรงข้าม แต่ไม่คิดว่าจะเป็นตัวเล็กนี่ที่มากด

“หวัดดีครับ”ผมเอ่ยทักทายกลับ พร้อมลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู เห็นเจ้าตัวเล็กนี่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงอนาคตของเค้า วันนึงถ้าเค้ารู้ความจริงว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงเค้าจะเป็นยังไงกันนะ แต่เหมือนเจ้าตัวเล็กจะไม่ปล่อยให้ผมคิดอะไรนานนักเพราะรีบบอกเจตนาของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“แอชจะมาขออนุญาตฮ่ะ”

“…”ผมเลิกคิ้วรอฟังคำขออนุญาตนั้นอย่างตั้งใจ ท่าทางใสซื่อนั่นทำเอาผมอดที่จะเอ็นดูไม่ได้

“แอชจะมาขอทำอาหารขอบคุณอังเคิ่ลฟ่างที่ช่วยดูแลแดดี้ฮ่ะ”ผมย่อตัวลงเพื่อคุยกับเจ้าตัวเล็ก แทบจะลืมความกังวลที่ติดอยู่ในใจเพราะนึกขำกับคำพูดของคนตัวเล็กนี่

“ตัวแค่นี้ทำอาหารเป็นแล้วเหรอเรา”

“ให้แดดดี้ทำฮ่ะ”ผมรีบเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้เสียงประตูเปิดออกมา

“…”คนที่แอชตั้นพูดถึงยืนส่งยิ้มมาพร้อมกับในมือที่หิ้วของสดหลายอย่างพะรุงพะรังอยู่เต็มมือ

“อังเคิ่ลฟ่าง อนุญาตใช่ไหมฮ่ะ”

“…”ผมนิ่งเงียบมองสองพ่อลูกสลับกันไปมา เพราะเหมือนกำลังโดนบังคับอย่างปฏิเสธไม่ได้

“นะฮ่ะ นะฮ่ะ”มือเล็กๆ นั่นเอื่อมมาเขย่าแขนผมไม่หยุด จนในที่สุดผมต้องพยักหน้าตอบตกลง

“เย้”แอชตั้นหันกลับไปตีมือกับอีกคนที่ขนาดมือไม่ว่างก็ยังพยายามตีมือทั้งถุงพะรุงพะรังนั่นอีก

“รบกวนด้วยนะคร๊าบบบ”สองเสียงพร้อมใจกันประสานส่งมาที่ผม

ผมปล่อยให้สองพ่อลูกหอบข้าวของเข้าครัวไปอย่างเหมือนจะจำใจ แต่ลึกๆ กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่มีคนอื่นเข้ามาในห้องด้วย มันก็ดีกว่าการที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวเฉกเช่นทุกวัน

“พี่ฟ่างรอข้างนอกเลยครับ เดี๋ยวผมโชว์ฝีมือเอง”ทันทีที่เห็นผมมายืนมองอยู่หน้าห้องครัว คนที่กำลังวุ่นอยู่กับการหยิบจับโน่นนี่ก็หันมาบอกกับผม ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วยทำอะไรอยู่แล้วเพราะถ้าเข้าไปก็คงเกะกะเปล่าๆ

“แอชก็จะโชว์ฝีมือด้วยฮ่ะ”

“แต่แดดดี้ว่าแอชไปรอข้างนอกกะอังเคิ่ลฟ่างดีกว่านะครับ”ผมยังคงยืนมองสองพ่อลูกคุยกันแทนที่จะเดินออกไปรอด้านนอกอย่างที่อีกคนบอกในตอนแรก

“ก็ได้ฮ่ะ แต่แอชขอกินไอติมระหว่างรอนะฮ่ะ”ถอดแบบกันมาเลยสินะ ถึงแอชตั้นจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้าวโพด แต่ด้วยความที่เค้าเป็นคนเลี้ยงดูมา ก็คงได้นิสัยหลายๆ อย่างมาจากข้าวโพดด้วยสินะ แม้ผมจะเจอแอชตั้นไม่กี่ครั้ง แต่ก็พอสังเกตได้ทั้งไอ้การชอบทานของหวานก่อนจะทานข้าวแบบนี้ หรือการพูดจาอ้อนๆ จนคนฟังอดจะคล้อยตามไม่ได้

ผมมองตามเด็กน้อยที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าแดดดี้ของเค้าอนุญาตให้กลับไปเอาไอติมที่ตู้เย็นจากในห้องได้

“ขอบคุณนะครับ”ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปจากประตูห้องครัว หันกลับไปมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่อง?”

“ที่ไม่ไล่ผมกลับ แล้วยอมให้ผมเข้ามานี่ไงครับ”

“ก็เอาแอชตั้นมาอ้อนขนาดนั้น”เค้าอมยิ้มกับคำตอบของผม ก่อนบทสนทนาของเราทั้งคู่จะถูกขัดโดยเจ้าตัวเล็กที่ถือไอติมกล่องใหญ่กลับเข้ามาชวนผมไปทานด้วยกัน

“แดดดี้บอกว่าอังเคิ่ลฟ่างเป็นพี่ชายแดดดี้”บทสนทนาระหว่างเด็กกินไอติมกับผมเริ่มขึ้น นี่อย่าบอกนะครับว่าขนาดเจ้าตัวเล็กนี่ก็จะมาเป็นกองหนุนให้ผมเปิดโอกาสให้ข้าวโพดอย่างที่ไอ้ต้าร์กับผึ้งอีกคน

“เป็นพี่ชายแต่ไม่ใช่พี่น้องที่มีพ่อแม่คนเดียวกันครับ”ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบายกับแอชตั้นว่ายังไง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแดดดี้ของเค้า

“แอชรู้ฮ่ะ แดดดี้บอกว่าพ่อแม่ของแดดดี้กับของอังเคิ่ลฟ่างอยู่บนสวรรค์ เหมือนหม่ามี้ของแอชก็อยู่บนสวรรค์”เด็กน้อยพูดไปเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมกลับรู้สึกใจหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะแม่จริงๆ ของแอชตั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่

“แต่แอชยังมีอ้านตี้ผึ้งอาสาเป็นแม่ให้แอชด้วยนะฮ่ะ”เค้ายังคงตักไอติมเข้าปากและพูดไปอย่างใสซื่อ

“แล้วแอชตั้นอยากให้แดดดี้กับอ้านตี้ผึ้งเป็นคนรักกันไหมครับ แอชจะได้มีทั้งแดดดี้และหม่ามี้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว”ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมถามออกไปแบบนั้น

“แดดดี้กับอ้านตี้ผึ้งเป็นเพื่อนกันฮ่ะ แต่แดดดี้บอกว่าคนรักของแดดี้คืออังเคิ่ลฟ่าง”

“…”ในขณะที่ผมกำลังเหวอกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เด็กน้อยกลับพูดไปตักไอติมไปเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเลย






TBC




แวะมาต่อและสวัสดีปีใหม่รีดเดอร์ทุกคนคร๊าบบบ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ kingzanowa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :-[ สวัสดีปีใหม่ครับ 

ติดตามอ่านมาทุกเรื่อง สนุกและซึ้งมากทุกเรื่องเลย

เป็นกำลังใจผู้แต่งครับ  o13

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 25
เริ่มใหม่ได้ไหม



ผมมองเด็กน้อยตักไอติมกินอย่างพูดไม่ออก แต่คิดว่าผมคงมีเรื่องต้องคุยกับแดดดี้ของแอชตั้นอีกเยอะเลย นี่เค้าพูดอะไรฝังหัวให้แอชตั้นไปบ้างเนี่ย

“อังเคิ่ลฟ่างรู้ไหมฮ่ะ แอชกำลังจะมีน้องแล้ว”ผมหันควับของเจ้าตัวเล็กอีกรอบ ซึ่งยังคงพูดไปด้วยอาการสบายๆ เช่นเดิม แต่ผมนี่สิกำลังงงว่ามันเรื่องอะไรอีก มันหมายความว่ายังไงที่แอชตั้นจะมีน้องเพิ่มมาอีก

“น้องมาจากไหนครับ”เจ้าตัวเล็กหยุดกินไอติมทำหน้ายิ้มกริ่มหันมามองผม ขนาดตัวแค่นี้ยังรู้จักทำสายตาแบบนี้ นี่ถ้าโตมาจะขนาดไหน

“อังเคิ่ลชาร์ปกะอังเคิ่ลตี้จะมีน้องให้แอชฮ่ะ”อ๋อจริงสินะ ครั้งแรกที่ผมเจอกับแอชตั้น ที่ภูเก็ตเจ้าตัวเล็กนี่ก็กำลังวิ่งหนีอังเคิ่ลปาร์ตี้ของเค้า เพราะเรื่องไม่ให้เจอน้องอะไรนี่แหละผมชักคุ้นๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่แอชจะได้เจอน้องครับ”

“แดดดี้บอกว่าอีกสองเดือนฮ่ะ แดดดี้เลยให้แอชอยู่เมืองไทยได้อีกสองเดือนเพื่อรอเจอน้อง แล้วแอชกับแดดดี้ค่อยกลับเมกาฮ่ะ”

“…”นี่สินะเหตุผลที่เค้ามาซื้อคอนโดอยู่ที่นี่ ก็แค่หาที่อยู่สำหรับสองเดือนตามใจลูกชายเค้าก็แค่นั้น การที่ข้าวโพดมาซื้อคอนโดต่อจากเดวี่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยก็เป็นได้

แอชตั้นชวนผมคุยโน่นนี่นั่นไม่หยุด ทำให้ผมได้รู้ว่าตอนนี้แอชตั้นเอง รู้จักทั้งพ่อแม่ พี่ชาย น้องชาย ของผึ้ง หรือแม้กระทั่ง น้องแปงที่เคยมาทำงานร่วมกับผมอยู่ช่วงนึง ที่ตอนนี้เป็นแฟนกับน้องภู่ น้องชายของผึ้งไปเรียบร้อยแล้ว นี่เด็กคนนี้รู้จักคนฝั่งครอบครัวผึ้งดีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นจะรับรู้หรือยังว่าแอชตั้นคือลูกชายของผึ้ง แต่ตัวแอชชั้นเองนั้นคงยังไม่รู้แน่นอนว่าบุคคลเหล่านั้นคือญาติโดยตรงทางสายเลือดของตัวเอง

บทสนทนาระหว่างผมกับเด็กน้อยจบลง เมื่อแดดดี้ของเค้ายกกับข้าวออกมาวาง สองพ่อลูกรีบจัดแจงทุกอย่างโดยห้ามผมขยับเพราะตั้งใจมาทำให้ผมทาน ผมไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่มีหน้าที่กินอย่างเดียว

“อร่อยไหมฮ่ะ”เด็กน้อยจ้องมองผมอย่างรอคำตอบ เมื่อผมตักอาหารเข้าปากคำแรก

“อร่อยมากครับ”แม้รสชาติมันจะไม่ได้ดีสุดยอดอะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดีกว่าที่ผมทำเอง หรือดีกว่าบรรดากับข้าวถุงที่ผมชอบซื้อมาทาน

“เย้”เด็กน้อยหันไปแปะมือกับแดดดี้ของตัวเอง เห็นภาพแล้วความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจของผม นี่ทั้งข้าวโพดทั้งแอชตั้นเองก็คงมีความสุขดีสินะ ข้าวโพดเองก็มีความสุขดี โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยากมาดึงผมเข้าไปในชีวิตอีกเสียด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับแอชตั้นก็คงไม่ได้ต้องการจะมีแม่ อย่างที่ผึ้งบอกนั่นแหละ

“พี่ฟ่าง เป็นไรหรือเปล่าครับ ทำไมนิ่งๆ ไป”คงเพราะคิดอะไรเพลินไปหน่อยจนอีกฝ่ายจับสังเกตได้

“เปล่า ทานต่อเถอะ”

“ลองนี่หน่อยนะครับ”เค้าตักกับข้าวมาวางใส่ที่จานของผม พร้อมรอยยิ้มที่ส่งมา เค้าจะมาทำดีกับผมทำไมกันนะ มาพูดว่าอยากเริ่มต้นกับผมอีกครั้ง อยากดูแล พูดทำไมในเมื่อสุดท้ายเค้าก็ต้องทิ้งผมไว้ แล้วกลับไปอเมริกาอยู่ดี

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ ถ้าแอชจะขอมากินข้าวที่นี่ทุกวันได้ไหมฮ่ะ”ผมเงยหน้ามองข้าวโพด ว่านี่สั่งให้แอชตั้นพูดแบบนี้หรือเปล่า แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“อังเคิ่ลฟ่างทำกับข้าวไม่อร่อยนะครับ”

“ไม่เป็นไรฮ่ะ ให้แดดดี้ทำ”นี่มันคงไม่ใช่ความคิดของเด็กแล้วละครับ

“ก็ถ้าแดดี้ทำ ทำไมไม่ทำที่ห้องแอช ทานที่ห้องแอชละครับ”

“ก็ถ้าไม่มานี่แดดดี้ก็ไม่มีโอกาสง้ออังเคิ่ลฟ่างสิฮ่ะ”

“แค่กๆ”เล่นเอาสำลักข้าวเลยทีเดียวครับ สายตาผมรีบพุ่งไปยังผู้ใหญ่ที่กำลังยิ้มชอบอกชอบใจอยู่นั่นทันที สายตาผมบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายก็ทำหน้าหงอๆ เป็นเชิงอ้อนกลับมา นี่คิดว่ามันจะได้ผลกับผมหรือไง ถ้าไม่ติดว่า มีแอชตั้นอยู่ ผมคงต่อว่าเค้าไปแล้วที่สอนลูกให้มาพูดอะไรแบบนี้

“แอชครับ อังเคิ่ลกับแดดดี้ของแอช เป็นพี่น้องกัน แล้วก็ไม่ได้โกรธ อะไรกัน ไม่ต้องมีใครต้องง้อใคร”

“แต่แดดดี้บอกว่า…”

“เอ่อ แดดดี้ว่าเรารีบทานข้าวดีกว่านะครับ”เป็นข้าวโพดเองที่เบรคแอชตั้น เพราะคงเริ่มรู้แล้วว่า การใช้แอชตั้นมาพูดหว่านล้อมผม น่าจะได้ผลทางลบเสียมากกว่า เราทั้งสามกลับมาทานข้าวกันเงียบๆ อีกครั้ง แต่ก็มีเสียงแอชตั้นถามอะไรทั่วๆ ไปอีกเล็กน้อยตามประสาเด็กช่างพูด

“เดี๋ยวพี่เก็บเองก็ได้ ทำก็มาทำให้กินแล้ว นี่ห้องพี่พี่เก็บเองได้ โพดพาแอชตั้นกลับห้องไปเถอะ”ผมบอกอีกฝ่ายที่หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ยังจะเก็บกวาด เอาถ้วยจานชามไปล้างให้ผมอีก

“ให้ผมทำเถอะนะครับ”เหมือนคำพูดของผมจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ แถมยังมีเด็กน้อยมายืนจ้องเราสองคนอีกต่างหาก นี่เค้าจะคิดว่าระหว่างผมกับข้าวโพดคือความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ ยิ่งข้าวโพดไปบอกว่าเป็นคนรักกับผม เด็กอายุแค่นี้จะเข้าใจเหรอ ว่ามันคือความสัมพันธ์แบบไหน

“แอชดูการ์ตูนไหมครับ”ในเมื่อให้เค้ากลับไปไม่ได้ ผมว่าก็ควรแยกลูกชายเค้าออกจากเราก่อนเพื่อจะได้พูดทุกอย่างกับเค้าให้เข้าใจและตรงไปตรงมาได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าการ์ตูนและเด็กเป็นของคู่กัน แอชตั้นรีบตามผมมาอยู่หน้าทีวี

“30 นาทีนะครับแอชตั้น”เสียงอีกคนที่อยู่ในครัวตะโกนออกมา นี่คงเป็นข้อตกลงระหว่างพ่อลูกเค้าสินะ หลังจากแอชตั้นจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีแล้ว ผมก็เดินย้อนกลับมาที่ห้องครัว เพื่อคุยกับอีกคนให้เข้าใจ

“อย่าทำแบบนี้เลยนะ”

“ทำอะไรเหรอครับ”

“ที่ทำอยู่นี่ไง ย้ายมาอยู่ที่นี่ เอาเรื่องป่วยมาอ้าง เอาเรื่องทำกับข้าวตอบแทนนี่มาอ้าง หรือแม้แต่เอาแอชตั้นมาช่วยพูด”ผมบอกตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะคิดว่าไม่อยากเสียเวลาให้มันคาราคาซังไปมากกว่านี้

“ผมบอกแล้วไงครับว่าอยากดูแลพี่ฟ่าง ตามที่เคยสัญญาไว้ ผมก็แค่จะทำตามสัญญา”

“เหอะ”ผมหัวเราะในลำคออย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง

“…”

“สัญญาของเด็ก 10 กว่าขวบจะเก็บมาใส่ใจทำไมอีก ตอนนี้โพดก็มีความสุขดี พี่ก็มีความสุขดี เราก็แค่ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันต่อไป เหมือนหลายปีที่ผ่านมาไง โพดจะอยากมายุ่งกับพี่อีกทำไม ถ้าเพราะแค่คำสัญญานั่น เอาเป็นว่าพี่ถอนคำสัญญาให้”

“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำไปเพราะแค่คำสัญญา”เค้าละมือจากถ้วยจานที่กำลังล้าง เดินตรงเข้ามาจนผมต้องถอยหลัง

“ไม่ พี่ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละโพด รู้แค่ว่าพี่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว เพราะงั้นขอร้อง ถ้าจะกลับเข้ามาเพื่อทิ้งกันไปอีก ก็อย่าเลย”

“พี่ฟ่างฟังผมนะครับ”

“…”เค้าก้าวเข้ามายืนประชิดผม มือที่เปียกน้ำนั้นจับที่ปลายคางของผม ให้มองสบตากับเค้า

“โพดรักพี่ฟ่างนะครับ รักมาตลอด เคยรักยังไงก็ยังรักอย่างนั้น”

“รัก…เหรอ รักแล้วยังไง ปากบอกว่ารัก แค่คำว่ารักเฉยๆ มันทำให้มีความสุขได้เหรอ วันนี้บอกรักแต่พรุ่งนี้โพดก็หายไปอยู่ครึ่งค่อนโลก แล้วยังไงต่อ พี่ก็ต้องอยู่กับคำว่ารักที่ไกลแสนไกลนั่นเหรอ มันเหนื่อยนะ เหนื่อยมานานแล้วด้วย ที่ได้แต่ไขว่คว้ากับคำว่ารักในอากาศแบบนี้”ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าจะมาพูดอะไรแบบนี้ ทั้งที่ตั้งใจแค่ว่า ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ก็แค่อยากให้เราต่างคนต่างแยกกันไป

แต่เหมือนทุกอย่างที่มันอัดอั้นอยู่ในใจของผมมันทะลักออกมา ผมเริ่มรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อน แต่ผมจะไม่ปล่อยให้มันไหลออกมา ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย และพยายามเบือนหน้าหนีคนตรงหน้า

“แล้วการที่พี่จะผลักไสผม แบบนี้ พี่มีความสุขไหมละครับ ลองคิดดูดีๆ ว่าแต่ก่อนที่เราอยู่กันคนละครึ่งค่อนโลกและเจอกันแค่ปีละครั้ง กับช่วงเวลาที่เราไม่ติดต่อไม่เจอกันเลย แบบไหนที่พี่มีความสุขมากกว่ากัน”

“…”ผมเงียบเพราะไม่อยากจะพูดแล้ว ถ้าเค้าพูดมาขนาดนี้ แค่จะให้ผมกลับไปอยู่ในจุดเดิม จุดที่ได้แต่เฝ้ารอการติดต่อจากเค้า รอการพบเจอกันแค่ 10 วันต่อปี เค้าคิดว่าแค่นั้นมันเพียงพอจริงๆ เหรอ ใช่ผมรู้ว่ามันคงมีคู่รักอีกหลายคู่ที่ต้องแยกกันอยู่ห่างไกล ด้วยหลายสาเหตุ แต่วันนึงเค้าก็คงมีจุดหมายว่าจะได้อยู่ด้วยกันในสักวัน แล้วระหว่างผมกับเค้าละ มันมีจุดนั้นอยู่หรือเปล่า

“พี่ฟ่างเคยคิดอยากจะไปใช้ชีวิตที่อเมริกาบ้างไหมละครับ”มันก็แค่คำถามเดิม เมื่อนานมาแล้ว และเค้าก็รู้คำตอบอยู่แล้วนิ ว่าผมไม่คิดจะไปใช้ชีวิตในต่างแดน โอเคผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่อยากให้เค้าเป็นฝ่ายกลับมาหาผม แต่ช่างเถอะ

“ก็รู้คำตอบอยู่แล้วนิ”ผมตอบออกไปเสียงเรียบ

“งั้นก็ดีครับ”

“…”

“เพราะผมกำลังคิดที่อยากจะกลับมาอยู่ไทย ถ้าพี่คิดจะไปอเมริกาผมคงเสียใจแย่”รอยยิ้มของอีกฝ่าย ผุดขึ้นมาหลังพูดประโยคนั้นจบ แต่ผมได้แต่งงๆ กับคำพูดนั้น ไม่เข้าใจว่าเค้าหมายความยังไงกันแน่

“ถ้าจะทิ้งทุกอย่าง ที่มีหรือทิ้งอนาคตที่ดีกว่าของแอชตั้น ก็อย่าเลย”

“ไม่หรอกครับ ผมจะไม่ทิ้งพี่ไปไหนอีกแล้ว ต่อให้พี่ผลักไสผมแค่ไหนก็ตามที”เค้าก้มหัวลงมาเอาหน้าผากชนกับหน้าผากผม จนตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน

“…”สมองผมเริ่มประมวลผล ว่าควรจะเอายังไงต่อ

“เรามาเริ่มกันใหม่นะครับ”ผมยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ริมฝีปากผมก็ถูกอีกคนประกบลงมาอย่างถือวิสาสะ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้อีกคนสอดลิ้นเข้ามาอย่างง่ายดาย แล้วผมเองก็ดันตอบรับสัมผัสของอีกคนอย่างยั้งตัวเองไม่ได้อีก แถมอีกฝ่ายเหมือนยิ่งจะได้ใจที่เห็นการตอบสนองของผม

“แดดดี้ฮ่ะ”เสียงเรียกของแอชตั้นทำให้เราต้องผละออกจากกัน แล้วไม่นานเด็กชายตัวน้อยก็เดินมาถึงในครัว

“แอชดูตูนครบ 30 นาทีแล้ว แดดดี้จะกลับยังฮ่ะ”เด็กน้อยที่ดูจะไม่รู้เรื่องอะไรเดินเข้ามาถาม ตามใสแป๋ว จนผู้ใหญ่อย่างเราสองคนทำตัวไม่ถูก

“กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพี่ทำเอง”ผมรีบดึงสติและบอกกับอีกคน ให้พาแอชตั้นกลับห้องไปก่อน เพราะผมเองก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ผมควรจะตัดสินใจไปทางไหนต่อ สิ่งที่ข้าวโพดพูดมามันหมายความอย่างนั้นจริงๆ ไหม ถ้าผมจะลองเสี่ยงอีกสักครั้ง มันจะลงเอยด้วยดีหรือเปล่า

แม้ว่าอีกคนจะดูยังไม่ค่อยอยากกลับสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไปแต่โดยดี พออยู่คนเดียวผมก็ได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรมากขึ้น บอกตามตรงว่าผมยังรักเค้าอยู่ เพียงแต่ผมยังไม่กล้า ไม่กล้าที่จะเสี่ยงทุ่มใจลงไปอีกครั้ง เพราะถ้าสุดท้ายผมต้องเจ็บ ครั้งนี้มันคงเจ็บยิ่งกว่าเดิม






 






TBC



หายไปนานเลย ขอโต๊ดด

พอดีติดฉลองปีใหม่ยังไม่จบ

หลังจากนี้จะพยายามมาต่อให้บ่อยขึ้นเนอะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 26
อนาคต




“อิเจ้ ทำไมช่วงนี้ดูระริกระรี้แปลกๆ มียาดีอะไรไหนเล่ามาดิ”ผมมองตามเสียงพูดคุยของไอ้ต้าร์กับเจ้โอ๋ที่อยู่ห่างไปไม่เท่าไหร่ ช่วงนี้พวกเราแทบไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์ด้วยกันเท่าไหร่ ไอ้ต้าร์เองก็ดูแลกุ้ง ส่วนเจ้โอ๋ ผมก็เริ่มสงสัยเช่นกันว่าทำไมพักหลังมาเนี่ย เจ้ดูไม่ค่อยเหงา หรือมาลากพวกผมไปปาร์ตี้ด้วยเลย

“ไว้ว่างๆ จะพามาเปิดตัว”โทรศัพท์มือถือของเจ้โอ๋ ถูกส่งให้กับไอ้ต้าร์

“เชร็ดอิเจ้ ซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย”

“ปากเหรออิต้าร์ คนนี้เจ้ผูกมัดด้วยใจล้วนๆ”เสียงพูดคุยเดินใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนไอ้ต้าร์จะยื่นมือถือมาให้ผมดู

“อิเจ้กินเด็กวะมึง”ภาพชายหนุ่มที่น่าจะเด็กกว่าผมหลายปีปรากฏอยู่บนหน้าจอ พร้อมด้วยเจ้โอ๋ที่มองมาทางผมด้วยควมเหนียมอาย ซึ่งดูไม่ใช่เจ้แกเลย

“นี่จริงจังหรือเปล่าเจ้”ผมถามกลับไปอย่างเป็นห่วง คือไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อในรักต่างวัยนะครับ เพียงแต่ผู้หญิงอายุมากกว่าผู้ชายเยอะๆ บางทีมันก็น่าห่วง

“พี่อายุปูนนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวใครจะมาหลอกหรอก ประสบการณ์มันทำให้พี่แกร่งขึ้นเยอะแล้วแหละ น้องฟ่างไม่ต้องห่วง”

“มึงห่วงเจ้มันจะไปหลอกเด็กเหอะไอ้ฟ่าง”แล้วทั้งสองคนก็ลับฝีปากกันต่อเช่นเคยครับ ก็ต่อปากต่อคำกันไป เก็บของกันไปเพราะนี่ก็เลิกงานแล้ว ดูๆ ไปเจ้โอ๋คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่หรอกครับ ตอนนี้ผมว่าผมควรห่วงตัวเองจะดีกว่า

“อิต้าร์พักเรื่องชั้นไว้ก่อนดีมะ เจ้ว่ามาคุยเรื่องน้องฟ่างจะดีกว่า ยังไงคะยังไง ได้ข่าวว่าเมื่อเช้ามีคนขับรถมาส่ง”นั่นไงสุดท้ายก็วก มาที่ผมจนได้สินะ

“ก็ไม่มีอะไร แค่เห็นว่าแอชตั้นจะไปว่ายน้ำ ก็ไม่อยากให้ลำบากต่อแทกซี่ ขึ้นรถไฟฟ้าอะไรกันให้วุ่นวาย อีกอย่างผมก็ไม่ได้ใช้รถทำอะไรอยู่แล้ว แถมตอนเย็นพ่อลูกนั่นก็ยังต้องแวะซื้อของสดไปทำกับข้าวอี…อีก”พอเห็นสายตาวิบวับจากทั้งคู่นั่นทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปมากเกินความจำเป็นเสียแล้ว

ที่จริงหลังจากวันนั้น ผมเองถึงจะไม่ได้ยอมรับตรงๆ ว่าเปิดโอกาสให้กับข้าวโพด แต่ด้วยความที่ทั้งไอ้ต้าร์และโอ๋ก็ต่างแยกตัว ไม่ค่อยมีเวลาไปสังสรรค์กับผม ทำให้ผมปล่อยให้ข้าวโพดกับแอชตั้นก้าวเข้ามาในชีวิตผมมากขึ้น เรียกว่ามื้อเย็นผมจะได้ทานข้าวพร้อมสองพ่อลูกนั่นทุกวัน หรือวันหยุดของผมก็จะมีกิจกรรมร่วมกับสองพ่อลูกนั่นเป็นครั้งคราว

แต่ระหว่างผมกับข้าวโพด ผมก็ยังเว้นระยะห่าง และพยายามยั้งไม่ให้มีอะไรมันเกินเลยกันมากกว่าที่เป็น เพราะผมเองก็ยังกลัว และไม่มั่นใจ

“น้องฟ่าง ฟังพี่นะ ครั้งนึงพี่ก็เคยพูดว่าไม่มีใครเราก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้พี่รู้สึกว่าการที่มีใครอีกคนเข้ามาในชีวิต มันก็ไม่ได้แย่ ถึงพี่จะคบเด็กถึงจะมีใครบอกว่าคงไปไม่รอด แต่แล้วไงละ มันความสุขพี่ ถ้าวันนึงพี่จะเสียใจมันก็คือสิ่งที่พี่เลือกแล้ว เพราะงั้นถ้าอะไรที่ฟ่างคิดว่า ทำแล้วมีความสุข ก็ทำไปเถอะ”

“อิเจ้ นานๆ ทีจะมีสาระนะเนี่ย”

ผมเพียงยิ้มบางๆ ให้กับทั้งคู่โดยไม่ได้ตอบอะไรอีก เราทั้งสามเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็พากันลงลิฟต์ กันมา ก่อนจะพบว่า ตัวผมเองลืมเสียสนิท ว่าสองคนพ่อลูกที่ยืนอยู่นั่นจะมารับผม

“ไปนะเจ้ ไปนะไอ้ต้าร์”ผมรีบตีเนียนกะชิ่ง เพราะยังไม่อยากอธิบายอะไรกับทั้งสองคนเท่าไหร่

“สรุปนี่มึงคือยังไง รีเทิร์น เริ่มใหม่กันแล้ว”ไอ้ต้าร์ดึงผมไว้ไม่ปล่อยให้หนีไปได้

“รีเทิร์นเริ่มใหม่อะไรละ กูกับโพดก็พี่น้องกันไหม”

“มึงสับสันอะไรไหมฟ่าง ได้กันแล้วอย่างพวกมึงเค้าไม่เรียกพี่น้องแล้ว”

“อิต้าร์”เจ้โอ๋ รีบตีแขนไอ้ต้าร์ เมื่อเห็นสีหน้าผมที่คงชะงักไปกับคำพูดนั้น ผมรีบบอกว่าไม่เป็นไร และรีบขอตัวแยกไปหาข้าวโพดกับแอชตั้น ส่วนไอ้ต้าร์กับเจ้โอ๋ก็แค่โบกมือทักทายข้าวโพดกับแอชตั้นก่อนจะแยกเดินไปอีกทาง

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ วันนี้แอชว่ายน้ำเก่งแล้ว ไว้ไปว่ายแข่งกันนะฮ่ะ”เด็กน้อยรีบอวดผม ที่เจ้าตัวเล็กนี่อยากว่ายน้ำเป็นก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะน้องน้อยที่เค้าตั้งตารอ ลูกของชาร์ปกับคุณปาร์ตี้ อยู่ที่ภูเก็ต กะว่าตัวเองจะเป็นพี่ใหญ่ ไปทะเลต้องว่ายน้ำเป็น ดูแลน้องได้ เป็นแค่เด็กตัวแค่นี้อยากจะไปดูแลคนอื่นแล้ว

“เหนื่อยไหมครับ”เสียงอีกคนถามผมขึ้น ผมเพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะเดินตามเด็กน้องที่จูงมือผมเดินนำ ไปขึ้นรถกลับบ้าน เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วตลอดทางตามประสาเด็กช่างพูด พอถึงข้าวโพดก็เป็นคนรับหน้าที่เข้าครัว ส่วนผมก็รับฟังเด็กช่างพูดนี่ ที่มีอะไรมาเล่าให้ผมฟังแทบทุกวัน จนยิ่งนับวันผมก็ยิ่งกลัว กลัวว่าจะเคยชินกับการมีเค้าทั้งสองคน แล้วถ้าวันนึงที่ทั้งคู่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะเป็นยังไง

“กับข้าวเสร็จแล้วครับคุณลุงคุณหลาน หิวกันหรือยัง”เสียงข้าวโพดดังมาพร้อมกับอาหารที่ส่งกลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก เค้ากำลังทำให้ผมเคยชิน ทำให้ผมกลับเข้าไปในวังวนของเค้า และแน่นอน มันคงเป็นผมเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปโดยที่ไม่ได้คิดจะทัดทานอะไร

มื้ออาหารดำเนินไปเหมือนทุกๆ วัน บทสนทนาที่ส่วนใหญ่จะเป็นสองพ่อลูกที่เป็นคนโต้ตอบและผลัดกันหันมาดึงผมให้ร่วมวงสนทนาด้วย หลังมื้ออาหารก็เช่นเดิมทุกวัน แอชตั้นจะได้รับอนุญาตให้ดูทีวีรอได้ 30 นาทีโดยที่มีผมนั่งเป็นเพื่อน เพราะหลังจากวันนั้นที่ผมเข้าไปคุยกับข้าวโพดตอนล้างจาน แล้วเค้าจูบผม ผมก็เลือกที่จะรออยู่ด้านนอกกับแอชตั้นมากกว่าที่จะพาตัวเองเข้าไปตรงนั้น แต่วันนี้…

“โพด…”วันนี้ผมกลับเลือกที่จะเดินเข้ามาหาเค้า ข้าวโพดหันมามองผมด้วยสายตาที่แปลกใจพอสมควร

“…”

“ถามเรื่องแอชตั้นหน่อยได้ไหม”

“ครับ”

“โพดเคยคิดจะบอกความจริงกับแอชตั้นไหม”

“ถามทำไมเหรอครับ”

“ก็แค่ถามดู แต่ถ้าพี่ละลาบละล้วงมากไป หรือไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นไร”

“ถามได้ครับถามได้ แต่เรื่องนี้ผมคงแล้วแต่ผึ้งเค้าแหละครับ ว่าจะพร้อมเมื่อไหร่”

“อ๋อ งั้นเหรอ”ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันหลังกลับเตรียมเดินออกไปด้านนอก เพราะที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้หรอกครับ คือผมพอจะเดาออกอยู่แล้วว่าคำตอบต้องประมาณนี้ เพียงแต่นี่เป็นคำถามที่ผมเพิ่งจะนึกได้ เมื่อรู้สึกตัวว่าพาตัวเองมายืนมองอีกคนถึงนี่

“เดี๋ยวสิครับพี่ฟ่าง อย่าบอกนะว่าแค่จะมาถามผมแค่นี้”ไม่มันที่ผมจะก้าวออกไปไหนได้ไกล ก็โดนอีกคนพุ่งพรวดมาดักหน้าขวางไว้เสียก่อน

“ก็…จะถามแค่นี้จริงๆ”ผมพยายามตอบกลับให้ดูปกติ ทั้งที่ตอนนี้ก็รู้สึกลนๆ แปลกๆ อยู่เหมือนกัน ผมกำลังสับสนว่าจะพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ทำไม

“ไม่จริง ผมรู้นะครับว่าพี่ฟ่างมีเรื่องที่สงสัยมากกว่านี้”เค้ายิ้มเหมือนกำลังรู้อะไรบางอย่าง

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ หลีกไป”

“อาทิตย์หน้า ลูกๆ ของพี่ชาร์ปกับพี่ตี้ก็จะคลอดแล้ว ผมคงต้องพาแอชตั้นไปเจอน้องตามที่สัญญาไว้”อาทิตย์หน้าแล้วจริงๆ สินะ แม้ผมจะไม่ได้รู้วันที่แน่นอนแต่ก็กะเอาไว้อยู่แล้ว ว่ามันใกล้จะถึงวันที่เค้าต้องไปแล้ว ถ้าตามที่แอชตั้นเคยบอกกับผม หลังจากไปภูเก็ตแล้ว เค้าก็ต้องกลับอเมริกาสินะ

“…”ผมนิ่งเงียบไม่ได้ถามอะไรเค้าต่อเพราะผมว่าผมรู้คำตอบที่ตัวเองสงสัยแล้ว

“แล้วผมก็คงต้องกลับอเมริกา”ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วแต่ทำไมพอได้ยินจากปากเค้าจริงๆ ใจผมมันดันกระตุกวูบแบบนี้

“อือ…ก็รู้อยู่แล้ว”

“อย่าเพิ่งทำหน้าเศร้าสิครับ”เค้ายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ผิดกับผมที่แม้ไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง แต่มันคงไม่ใช่ความรู้สึกที่จะยิ้มออกมาได้เหมือนเค้าแน่นอน

“ไปล้างจานต่อเถอะ เดี๋ยวแอชตั้นจะรอนาน”ผมรีบตัดบทสนทนา รู้สึกว่าไม่อยากรับรู้อะไรเพิ่มแล้ว

“ผมกลับไปก็ใช่ว่าจะไม่กลับมานี่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมวางแผนที่จะกลับมาอยู่ไทย”

“…”

“แล้วก็ในแผนของผมก็มีพี่ฟ่างอยู่ด้วยนะครับ”มันก็อาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูดีนะครับ และมันก็อาจจะรู้สึกดีที่มีใครใส่เราไว้ในอนาคตของเค้า แต่ผมจะมั่นใจในคำพูดนั้นได้แค่ไหนกันเชียว

“โพดจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับพี่หรอก”

“เวลาพูดทำไมต้องหลบตาผมด้วยละครับ”ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อเผชิญกับเค้าโดยไม่บ่ายเบี่ยงอีก

“แค่คำพูด มันไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนหรอกนะโพด”

“อยากได้การกระทำเหรอครับ”ตัวผมถูกดันให้ถอยหลังจนชิดผนัง แล้วเค้าก็กระเถิบตัวเค้ามาประชิดพร้อมด้วยรอยยิ้ม อย่างมีเลศนัย

“โพด”สองมือผมดันเค้าไว้ เรียกชื่อเค้ากดเสียงต่ำให้รู้ว่าไม่ค่อยพอใจการกระทำของเค้าสักเท่าไหร่

“โอเคครับโอเค ผมไม่แกล้งแล้วก็ได้”มันจะน่าเชื่อกว่านี้ถ้าคำพูดนี้ไม่ได้มาจากการก้มลงมากระซิบข้างหูผม

“เลิกเล่นได้แล้ว”ผมผลักเค้าออกอีกครั้งเต็มแรง แต่เค้าก็ยังคงยิ้มหน้าระรื่น

“พี่ฟ่างคอยดูแล้วกันนะครับ เพราะผมถือว่าผมบอกแล้ว”

“บอกอะไร”

“ก็อนาคตของผมไงครับ…อนาคตที่จะต้องมีพี่ฟ่างอยู่ด้วย”




TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ EunSung87

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-2
รีบไปรีบกลับมาสานสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวนะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 27
น้องของแอช/แฟนของพ่อ



 พาร์ทของโพด





“น้องตัวเล็กจังเลยฮ่ะ”ลูกชายผมพูดอย่างตื่นเต้น พร้อมจ้องมองเด็กน้อยฝาแฝด 2 คนที่คงกำลังหลับฝันหวาน ตอนนี้ผมกับแอชตั้นอยู่ที่ภูเก็ต เพราะต้องพาแอชตั้นมาเจอน้องๆ

น้องๆ ที่เจ้าตัวยุ่งของผมนับวันรอ ผมอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเค้ามากนัก เพราะตอนผมเกิดมา ผมก็มีพี่ชายอย่างพี่ข้าวฟ่างมาตลอด แต่แอชตั้นที่ตั้งแต่เกิดมาโลกทั้งใบของเค้าคงมีแค่ผมคนเดียว แต่จากนี้ดูๆ แล้วหายใจเข้าออกคงมีแต่น้องแล้วละมั้ง แล้วตอนผมเกิดมา พี่ฟ่างจะรู้สึกยังไงบ้างนะ รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงช้าๆ

“รัก” ผมก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพี่ฟ่างรักผม แต่สิ่งที่ผมทำกับพี่ฟ่างสิ ทั้งที่คิดว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ผมเหมือนคนโง่ที่ทำอะไรโง่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนี้ไปผมคงต้องรีบแก้ไขทุกอย่างให้มันถูกต้องเสียที ผมหันไปมองลูกชายตัวน้อยอีกที เค้ายังคงตื่นเต้นกับการได้เจอน้องใหม่ สายตาเป็นประกายราวกับได้เจอของมีค่าในชีวิต

“น้องไม่มีแม่เหมือนแอชใช่ไหมฮ่ะ”คำพูดไร้เดียงสาของเจ้าตัวเล็กคงพูดออกมาโดยที่ไม่คิดอะไร แต่ผู้ใหญ่อย่างผม พี่ชาร์ปและพี่ตี้ พ่อ-พ่อ ของเด็กแฝดก็ดูหน้าเสียไปเหมือนกัน ยิ่งพี่ตี้ที่ผมก็เคยได้รับรู้มาเช่นกันว่าค่อนข้างกังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ว่าลูกๆ เกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อ 2 คนแบบนี้จะส่งผลอะไรกับเด็กๆ หรือเปล่า

“แดดดี้บอกแล้วไงครับ ว่าแอชมีแม่ น้องๆ ก็มีแม่ เพียงแต่แม่ไม่อยู่แล้ว”แอชตั้นหันมามองพร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็นั่นแหละครับเค้ายังเด็กอธิบายอะไรไปตอนนี้คงยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็อาจต้องค่อยๆ บอกไปทีละนิด รวมถึงความจริงเกี่ยวกับผึ้งด้วย

“แต่น้องมีพ่อสองคน แอชมีแดดดี้คนเดียวเอง”เจ้าตัวยุ่งของผมทำท่าคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินมาหาผม

“เมื่อไหร่แดดดี้จะจีบอังเคิ่ลฟ่างติดฮ่ะ แอชจะได้มีพ่อสองคนเหมือนน้องมั่ง”

“โว๊ะ นี่ลูกชายดูจะมีแววมากกว่าพ่อเสียละมั้งเนี่ย”พี่ชาร์ปหันมาหัวเราะชอบอกชอบใจพร้อมโยกหัวลูกชายผมอย่างเอ็นดู ส่วนเจ้าตัวเล็กก็มายืนแบมือขอโทรศัพท์มือถือผมเรียบร้อยครับตอนนี้ ซึ่งช่วงนี้เป็นอันว่ารู้กันว่าถ้าตัวเล็กนี่ทำแบบนี้ ก็คือจะขอคุยกับอังเคิ่ลฟ่างของเค้านี่แหละครับ

“หวัดดีฮ่ะอังเคิ่ลฟ่าง คิดถึงแอชไหมฮ่ะ”ทันทีที่หน้าจอปรากฏใบหน้าของอีกคน เจ้าลูกชายผมก็ฉีกยิ้มกว้างทันที จะว่าไปแล้วผมก็โชคดีนะครับที่มีแอชตั้นเป็นใบเบิกทาง เพราะไม่งั้นผมคงเข้าถึงพี่ฟ่างยากกว่านี้แน่ๆ

ถึงแม้ผมจะรู้สึกได้ว่าพี่ฟ่างเองก็เปิดใจให้ผมบ้างแล้ว แต่มันก็ยังเหมือนมีกำแพงบางอย่างที่ผมยังทำลายลงไม่ได้ มันก็แน่ละผมทำเรื่องแย่ๆ ไว้เสียขนาดนั้น นั่นเป็นเหตุผลนึงที่ผมเองไม่ไปเจอพี่ฟ่างเลยตลอดหลายปี และสิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็คือการมาที่ภูเก็ตเหมือนเดิม ในทุกๆ ปี ด้วยความหวังว่าพี่ฟ่างจะยังมาเหมือนเดิม

“แอชจะให้ดูน้องฮ่ะ น้องน่ารักมาก”ลูกชายตัวน้อยผมยังคงจ้อไม่หยุดพร้อมพยายามหันกล้องให้อังเคิลฟ่างของเค้าได้เห็นหน้าน้อง โชคดีที่ผมเองเล่าเรื่องระหว่างผมกับพี่ฟ่างให้แอชตั้นฟังมาตลอด ทำให้เจ้าตัวเล็กนี้ก็อยากเจอและหลงรักพี่ฟ่างมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักกันเสียอีก แต่จะว่าไปก็ตลกดีเหมือนกันที่แอชตั้นผู้อยากเจออังเคิ่ลฟ่างนักหนา พอเจอกันครั้งแรกจริงๆ เจ้าลูกชายผมกลับจำพี่ฟ่างไม่ได้เสียงั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ให้เหตุผลว่าเห็นในรูปกับตัวจริงมันไม่เหมือนกัน

“แอชครับ ขออังเคิ่ลคุยกับแดดดี้แอชหน่อยสิครับ”หลังจากสองคนคุยกันไปพักใหญ่ ทั้งผมและแอชตั้นก็ต้องแปลกใจ เพราะปกติเวลาพี่ฟ่างคุยกับแอชตั้นแบบนี้ ขนาดผมพยายามตื้อขอคุยด้วย ยังไม่ยอมคุยกับผมเลย แต่วันนี้กลับมาขอคุยกับผมเอง

“คิดถึงผมเหรอครับ”ผมฉีกยิ้มกว้างเลียนแบบแอชตั้น หวังว่าจะได้รับความเอ็นดูบ้าง

“ฝากยินดีตี้กับชาร์ปด้วยนะ ไว้ถ้าได้ไปภูเก็ตเมื่อไหร่จะหาอะไรไปรับขวัญหลาน”เหมือนคำทักทายของผมจะถูกมองข้ามไปแบบไม่มีเยื่อใยสักนิด

“ก็ผมชวนให้มาพร้อมกันก็ไม่มา”

“บอกแล้วไงว่าติดงาน”น้ำเสียงที่ออกจะดูรำคาญผมหน่อยๆ สวนมาแทบจะทันที แต่ผมไม่สนหรอก แค่พี่ฟ่างยอมคุยกับผม แค่นี้มันก็ดีแล้ว

“…”ผมฉีกยิ้มกว้างกลับไปโดยไม่พูดอะไร ส่วนอีกคนนะเหรอครับ ส่งหน้าเหวี่ยงๆ คืนมาให้ผมเป็นที่เรียบร้อย

“พี่มีเรื่องอยากจะถาม”สีหน้าที่จริงจังนั่นทำเอาผมหุบยิ้มลง เพราะดูท่าแล้วคงมีเรื่องที่ซีเรียสพอสมควรในการคุยกับผม

“โพดจะกลับอเมริกาเมื่อไหร่”

“ครับ”ผมรับคำอย่างงงๆ คือผมก็ตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับพี่ฟ่างจริงๆ จังๆ นะครับแต่ทุกครั้งพี่ฟ่างก็บ่ายเบี่ยง เลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ตลอด ซึ่งผมกะว่ากลับจากภูเก็ตก็จะขอคุยอีกที เพราะจากนี้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันต้องพัฒนาให้มากขึ้น

“พี่ถามว่าจะพาแอชตั้นกลับเมกาเมื่อไหร่”

“วันอังคารหน้าครับ”ผมบอกไปตามตรงเพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ของพี่ฟ่าง

“งั้นก่อนกลับพาแอชตั้นมากินข้าวกับพี่หน่อยนะ”แล้วอีกฝ่ายก็เงียบไป

“แค่นี้เหรอครับ”ผมว่าผมรู้นะครับว่าความจริงพี่ฟ่างคงมีอะไรอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่ด้วยนิสัยปากหนักของพี่แกละมั้ง

“จริงๆ ก็มีเรื่องจะคุยอีกนะ แต่ไว้คุยที่กรุงเทพฯ ก็ได้”ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มส่งไปเพราะรู้สึกว่าตอนนี้โอกาสของผมมันกำลังเพิ่มมากขึ้นแล้ว และผมคงไม่ปล่อยให้มันหลุดไปอีกแน่นอน

“ผมก็มีเรื่องจะคุยกับพี่ฟ่างเหมือนกันครับ”เราจ้องมองกันผ่านหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอยู่พักนึงแต่เชื่อเถอะครับว่าตอนนี้เรากำลังรับรู้ความคิดของอีกฝ่าย ผมรู้ว่าพี่ฟ่างก็คงอยากคุยเรื่องระหว่างเราสองคน และพี่ฟ่างเองก็เดาได้ไม่ยากเลย ว่าเรื่องที่ผมอยากคุยกับเค้าคือเรื่องอะไร

“งั้นไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ นะ”

“เดี๋ยวครับพี่ฟ่าง”ผมรีบรั้งอีกคนไว้ก่อนที่เค้าจะจบบทสนทนา

“…”

“คิดถึงนะครับ”ผมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งเพราะอาการเหวออย่างตั้งตัวไม่ทันของอีกฝ่าย พี่ฟ่างทำหน้าไม่ถูกไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนี้ละมั้ง แล้วพี่ฟ่างก็ปล่อยให้ผมยิ้มกว้างกับหน้าจอที่ดับไป

“เอ้ายิ้มขนาดนี้นี่ เหมือนจะได้ยินข่าวดีแล้วใช่ไหม”พี่ชาร์ปเดินมาตบไหล่ผม พร้อมเอ่ยปากแซว ที่จริงเรื่องราวระหว่างผมกับพี่ฟ่าง คนที่นี่ก็รับรู้หมดแหละครับ และผมก็โดนทุกคนด่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่าให้ฟังเลยนั่นแหละครับ

ซึ่งผมก็สมควรโดนแล้วแหละครับ ตอนนั้นผมอาจจะคิดและตัดสินใจผิดพลาดไป ปากผมก็บอกว่าแคร์พี่ฟ่าง รักพี่ฟ่าง แต่ทุกอย่างที่ผมทำลงไปนั่น มันคือการทำร้ายคนที่ผมบอกว่ารักอย่างไม่น่าให้อภัย

“พี่เข้าใจนะเว้ย เพราะพี่เองก็เคยทำไม่ดีกับปาร์ตี้เค้ามาก่อน”พี่ชาร์ปยังคงพูดต่อ พร้อมกับมองไปที่พี่ตี้และลูกชายของผมที่พากันจ้องมองเด็กชายฝาแฝดนั่นอยู่ไม่ไกลนัก

“แต่ตอนนี้พี่กับพี่ตี้ก็มีความสุขกันแล้วนิ”ผมแกล้งพูดไปอย่างน่าหมั่นไส้ ถึงจะเคยฟังเส้นทางความรักของทั้งคู่มาแล้วก็เถอะ ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าเทียบกันแล้ว เรื่องของพี่ชาร์ปทำกับพี่ตี้ และเรื่องผมทำกับพี่ฟ่าง ก็ไม่รู้อันไหนมันเลวร้ายกว่ากัน

“เรื่องแบบนี้ มันต้องเปิดใจคุยกันตรงๆ อย่างพี่กับตี้เนี่ย ต่างคนต่างคิดเอาเอง และจุดเริ่มต้นของพวกพี่มันก็เริ่มแบบไม่ปกติด้วย มันเลยเจ็บกันทุกฝ่าย”นั่นสินะ ผมเองก็ไม่ต่างนักหรอก เราทั้งคู่ต่างก็ไม่ยอมพูดกันตรงๆ แล้วพอคิดได้ทุกอย่างมันก็เลยมาไกลมากแล้ว

“…”

“เอ้า จะมาทำหงอยทำไมวะ ตอนนี้ฟ่างเองก็ไม่ได้มีใคร แถมมองยังไงฟ่างเองก็คงรอที่จะเริ่มใหม่อยู่แล้ว เพียงแต่มึงเนี่ยแหละโพด ไปทำให้เค้ามั่นใจสักที”

“ก็กำลังพยายามอยู่แหละพี่ แต่อาจจะยังไม่มากพอ หรือผมจะใช้วิธีจับปล้ำเลยแบบที่พี่ใช้กับพี่ตี้ดีไหม”ผมปรับอารมณ์ให้มันดูบรรยากาศดีขึ้น แถมด้วยการยกเรื่องราวของพี่ชายทั้งสองมาแซว พี่ชาร์ปเองเคยเล่าว่าตอนที่จะได้ปรับความเข้าใจ เปิดใจกัน พี่ชาร์ปดันรวบหัวรวบหางพี่ตี้ แต่ตื่นเช้ามาพี่ตี้ก็หนีไปซะงั้น

“ทำแบบนั้น ถ้าโชคดีก็ตามเจอโชคร้ายเค้าอาจจะหายไปเลย”นั่นสินะดูพี่ฟ่างเองก็คงใจแข็งกว่าพี่ตี้ของพี่ชาร์ปเยอะเสียด้วย

“งั้นวิธีของพี่ผมขอข้ามไปก่อนละกันเนอะ”เราสองคนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับพี่ตี้และแอชตั้น

ผมกับแอชตั้นอยู่ที่ภูเก็ตแค่สองคืน แม้แอชตั้นจะงอแงบ้างว่าอยากอยู่กับน้องต่อ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับแต่โดยดี ที่ต้องรีบพากลับนี่ก็เพราะผมเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ โดยเฉพาะเรื่องของพี่ฟ่าง

“คนไหนน้องชาร์ล คนไหนปอร์โต้เนี่ย”ทันทีที่กลับมาถึงกรุงเทพฯ แอชตั้นก็รีบเอารูปน้องชายฝาแฝดที่ถ่ายมาแทบจะเต็มโทรศัพท์มาอวดอังเคิ่ลฟ่างของเค้าทันที

“คนหน้ากวนๆ นั่นปอร์โต้ฮ่ะ ส่วนน้องชาร์ลคนน่ารัก ตัวเล็กๆ นี่ฮ่ะ”ผมมองดูคุณลุงกับคุณหลานที่คุยกันอย่างถูกคอจนเหมือนลืมไปแล้วว่ายังมีผมอยู่ด้วยอีกคน แต่แล้วสายตาผมก็ประสานกับอีกคนที่หันมามองผมพอดี

“เอ่อ แอชครับ เดี๋ยวขออังเคิ่ลฟ่างคุยกับแดดดี้ของแอชหน่อยนะครับ”เจ้าลูกชายผมหันมองหน้าผู้ใหญ่อย่างพวกผมสลับกันไปมา ก่อนจะหันไปทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่อังเคิ่ลฟ่างของเค้า

“จะปรับความเข้าใจกันเหรอฮ่ะ”พี่ฟ่างทำตาโตก่อนจะหันมามองผมตาขวาง แต่ผมก็ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะถูกใจในสิ่งที่ลูกชายพูดก็เถอะ แต่สาบานว่าผมไม่ได้สอนนะครับ

“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมรู้จักพูดอะไรแบบนี้หือ”

“แอชเป็นเด็กฉลาดไงฮ่ะ”เอาเข้าไปครับลูกชายผม ฉลาดเหลือเกิน ฉลาดจนจะเป็นแก่แดดแล้วครับ แอชตั้นหันมายักคิ้วให้ผม ก่อนจะวิ่งมากระซิบบางอย่างกับผม ซึ่งทำเอาผมอดขำกับเจ้าลูกชายตัวน้อยไม่ได้

“กระซิบอะไรกัน”พี่ฟ่างถามขึ้นทันทีหลังจากแอชตั้นวิ่งปรูดออกไป ปล่อยให้เราทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง

“ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่พี่ฟ่างมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

“ก็…ไม่รู้สิ ไม่รู้จะเริ่มยังไง”สีหน้าที่ดูกังวลนั่นทำเอาใจผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาแล้วสิ

“เรื่องระหว่างเราใช่ไหมครับ”

“…”มันไม่ใช่เรื่องที่จะคาดเดายากหรอกครับ และพี่ฟ่างเองก็พยักหน้ายอมรับตามที่ผมคาดเดา

“ผมไปภูเก็ตมา รู้ไหมครับว่าผมรู้สึกยังไง”

“คิดว่าพี่คงรักโพด เหมือนที่แอชรักน้องๆ”พี่ฟ่างทำเอาผมแปลกใจนะครับเนี่ย เพราะถึงแม้ผมจะคิดแบบนั้นจริงๆ และคิดว่าพี่ฟ่างรู้ แต่ผมไม่คิดว่าพี่ฟ่างจะยอมพูดออกมา

“พูดแบบนี้ เหมือนเปิดทางเลยว่าพี่ฟ่างจะยอมเป็นแฟนผมแล้ว”

“อะไรทำให้มั่นใจแบบนั้น”แม้พี่ฟ่างจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ผมเองก็ยังคงยิ้มกว้าง

“ก็ที่แอชตั้นมากระซิบผมไงครับ”

“กระซิบว่าอะไรละ”พี่ฟ่างเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ขยับเข้าไปยืนประชิดตัวอีกฝ่าย

“อยากรู้เหรอครับ”ผมก้มลงกระซิบที่ข้างหูของพี่ฟ่าง

“…”สองมือกำลังจะผลักผมออก แต่ช้าไปแล้วครับ ผมอาศัยแรงที่เยอะกว่าล็อคตัวเอาไว้แล้ว ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ที่ข้างหูของอีกคนก่อนจะกระซิบบอกออกไป

“แอชบอกว่าแอชมีน้องแล้ว พ่ออย่างผมก็ต้องรีบมีแฟนนะสิครับ”





TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 28
เข้าที่เข้าทาง





พาร์ทของโพด

 สายตาผมมองลูกชายสุดที่รักกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ลูกชายที่ถึงแม้เค้าจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของผม แต่ผมก็พูดได้เต็มปากเลยว่า เค้าคืออีกคนที่สำคัญในชีวิตของผม แต่ตอนนี้มันอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่ผมจะต้องปล่อยให้เค้าได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง

“คิดอะไรอยู่”ผึ้งเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ผม ตอนนี้เราอยู่ที่สวนหลังบ้าน บ้านที่เชียงใหม่ของครอบครัวผึ้ง

“ก็คิดอะไรไปเรื่อย”ผมตอบโดยที่สายตายังคงมองภาพเบื้องหน้า ภาพลูกชายของผมที่กำลังเล่นอยู่กับภู่น้องชายของผึ้ง ผู้ที่ความจริงก็คือน้าชายแท้ๆ ของแอชตั้นนั่นแหละครับ

“ขอโทษ”

“…”สายตาผมเลื่อนกลับมามองมือของคนข้างๆ ที่กุมมือผมไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ

“ขอโทษ…สำหรับทุกอย่าง”ผมเอื้อมมืออีกข้างที่ว่างอยู่ปาดน้ำตาของอีกคน และยิ้มให้อย่างจริงใจ ผมไม่เคยถือโทษโกรธเธอเลย ถึงแม้เราทั้งคู่จะเคยตัดสินใจผิดพลาดมาด้วยกัน แม้ทุกอย่างมันอาจจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่ตัดสินใจอย่างในวันนั้น แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ จากนี้เราก็คงต้องช่วยกันแก้ไขให้ทุกอย่างมันถูกต้อง

“ไม่เอาน่า เราคุยเรื่องนี้กันมากี่รอบแล้ว เราบอกแล้วไง ว่าเราไม่เป็นไร”

“ผึ้งนี่แย่เนอะ ไหนจะทำให้โพดกับพี่ฟ่างต้องผิดใจกันมาตั้งกี่ปี ทิ้งลูกในไส้ตัวเองให้คนอื่นเลี้ยง พอวันนึงนึกอยากจะได้คืนก็ ขอเอาหน้าด้านๆ”

“เฮ้ๆ ไปกันใหญ่แล้วผึ้ง ใจเย็นสิโพดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว วันนี้เป็นอะไรเนี่ย”ผมดึงอีกคนเข้ามาปลอบ เพราะไอ้เรื่องการโทษตัวเองแบบนี้ผึ้งพูดกับผมมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เราทั้งคู่คุยเรื่องนี้กันมานานแล้ว ว่าวันนึงแอชตั้นก็ต้องได้รับรู้ความจริง และถึงแม้ผมเองจะเป็นคนเลี้ยงดูแอชตั้นมาและรักเค้าเหมือนลูก แต่ท้ายที่สุดผมเองก็ต้องให้เค้าได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง อีกอย่างจะบอกว่าผมเลี้ยงเค้ามาเพียงลำพังก็คงไม่ถูกเพราะฝั่งครอบครัวของผึ้งเอง ก็ช่วยเหลือผมมาโดยตลอด

และแน่นอนว่าทุกคนรู้ความจริงว่าแอชตั้นเป็นใคร นั่นทำให้แอชตั้นเองก็เป็นที่รักของทุกคน ตอนนี้ก็รอแค่เวลาให้แอชตั้นโตกว่านี้อีกสักหน่อย และให้ผึ้งกล้าพอที่จะบอกความจริง

“ผึ้งกลัวอะโพด กลัวไปหมด กลัวว่าผึ้งจะดูแลแอชได้ดีเท่าโพดไหม แอชตั้นจะมีความสุขเท่าตอนอยู่กับโพดหรือเปล่า แล้วก็กลัวว่าวันนึงถ้าเค้ารู้ความจริง เค้าจะเกลียดผึ้งไหม”

“อย่าเพิ่งกังวลในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นสิผึ้ง เราสองคนเคยเป็นคนที่กังวลกับอนาคตกันมาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผึ้งรู้ว่ามีแอชตั้น หรือตั้งแต่เราเลิกกันด้วยซ้ำ เรากลัวว่าคุณพ่อคุณแม่จะรับไม่ได้ แต่ความเป็นจริงผึ้งก็เห็นว่าพอพวกท่านรู้ความจริง พวกท่านก็ไม่ได้ฆ่าแกงเราเสียหน่อย”

“…”ผึ้งเริ่มสงบลง แต่ยังคงสะอิ้นอยู่นิดหน่อย

“เราจะไม่ปลอบนะ ว่าพอรู้ความจริงแล้วแอชตั้นจะไม่โกรธผึ้ง เพราะลองนึกดูว่าถ้าเป็นผึ้งเอง ผึ้งจะโกรธหรือเปล่า แต่เราเชื่อ เชื่อว่าแอชตั้นจะมีเหตุผลพอที่จะให้อภัยแม่แท้ๆ ของเค้า”ผมบอกออกไปทั้งที่ก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้าวันนั้นมาถึง มันจะเป็นยังไง มันอาจจะไม่ใช่แค่ผึ้ง ที่แอชตั้นจะโกรธ เพราะมันอาจรวมถึงผมด้วยเช่นกัน

“อ้านตี้ผึ้งร้องไห้ ไมฮ่ะ ร้องไห้ที่แดดดี้จะไม่อยู่กับเราแล้วหรือเปล่าฮ่ะ”ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คิดว่าคงคาดเดาเรื่องราวไปตามประสาเด็กนั่นแหละครับ เพราะเรื่องที่จากนี้เค้าต้องอยู่กับผึ้งนั้น เค้ารับรู้มาพักใหญ่แล้ว

“ไม่มีอะไรครับ นี่เล่นจนมอมแมมหมดแล้ว ให้อังเคิ่ลภู่พาไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ จะได้เตรียมตัวทานมื้อเย็นกัน”ผึ้งเอื่อมมือไปลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู

“อ้านตี้ผึ้งอย่าร้องเลยนะฮ่ะ แอชจะเป็นคนดูแลอ้านตี้เอง”มันอาจเป็นคำปลอบโยนของเด็กน้อยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่นั่นกลับทำให้ผึ้งยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม แถมแอชตั้นผู้ไร้เดียงสายังเดินเข้ามากางแขนน้อยๆ นั้นโอบกอดคนที่กำลังร้องไห้อยู่นั่นอีก

“แอชไปอสบน้ำกับอังเคิ่ลภู่ก่อนนะครับ ขอแดดดี้คุยกับอ้านตี้ผึ้งก่อน”แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แอชตั้นเองก็ไม่ใช่เด็กที่จะงอแง เลยยอมออกไปกับภู่แต่โดยดี

ผมไม่ได้คุยอะไรกับผึ้งอย่างที่บอกกับแอชตั้น เราสองคนเพียงนั่งกันอยู่เงียบๆ ตามที่เราได้ตกลงร่วมกันทั้งตัวผมเอง ผึ้งและก็ครอบครัวของผึ้ง เราจะให้ผึ้งเป็นคนดูแลแอชตั้น โดยที่ผมเองก็ยังคงช่วยอยู่ห่างๆ เพื่อให้แอชตั้นได้ใช้เวลากับผึ้งมากขึ้น เรานั่งกันอยู่พักใหญ่จนผึ้งเองตั้งสติได้แล้ว ก็พอดีกับช่วงเวลามื้อเย็นพอดี

บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น ครอบครัวของผึ้งดูเป็นครอบครัวใหญ่ และดูแล้วจะใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็ยังอยู่ พี่บึ้งก็ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ถาวร ส่วนภู่เองแม้จะไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่ แต่ก็กลับมาบ่อยๆ แถมด้วยการพาแฟนมาด้วยเสมอ แล้วยิ่งครอบครัวนี้กับแฟนของภู่ทำธุรกิจด้วยกันอีก ก็ยิ่งทำให้สองครอบครัวสนิทกัน ขยายเป็นครอบครัวใหญ่ไปอีก นี่ถ้าวันไหนรวมญาติคงสนุกดี

หลังมื้อเย็นทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย แน่นอนว่าในบ้านหลังใหญ่นี้ มีห้องสำหรับผมกับแอชตั้น เพราะผมเองก็เหมือนลูกชายบ้านนี้กลายๆ แล้ว

“แอชมานี่มา”ผมเรียกลูกชายตัวน้อยหลังจากที่เจ้าตัววิดิโอคอลกับน้องชายสุดที่รัก นี่ก็แทบเป็นกิจวัตรประจำตัวของเจ้าตัวเล็กไปแล้วขนาดน้องยังแบเบาะอยู่เสียด้วยซ้ำ

“แดดดี้รักแอชนะครับ”ผมอุ้มลูกชายขึ้นมานั่งตัก นี่เค้าโตขึ้นเยอะแล้วสินะ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเค้าเพิ่งเกิดเสียอีก ผมรู้ว่าชีวิตนี้ผมคงไม่มีลูกแท้ๆ ของตัวเองแล้ว เพราะงั้นเค้าก็จะเป็นลูกชายของผมตลอดไป

“แอชก็รักแดดดี้ฮ่ะ”เจ้าตัวเล็กเอนตัวเข้าหาผม

“โกรธไหมครับที่แดดดี้จะไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว”บอกตามตรงผมเองก็ใจหายไม่น้อยที่ต้องแยกกับแอชตั้น แต่ก็อย่างที่บอกว่าวันนึงเค้าก็ต้องอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง

“ไม่โกรธฮ่ะ แต่ก็มีน้อยใจนิดหน่อย”เสียงใสๆ บอกออกมาทำเอาผมเองก็จุกไปเหมือนกัน

“แดดดี้ขอโทษนะครับ แต่พอโตกว่านี้แอชจะเข้าใจ”ผมสวมกอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้หลวมๆ

“แอชไม่ได้โกรธหรอกฮ่ะ แอชเข้าใจว่าแดดดี้ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับอังเคิ่ลฟ่าง แดดดี้เคยทำอังเคิ่ลฟ่างเสียใจ และอังเคิ่ลฟ่างอยู่คนเดียว ไม่มีใคร”เค้าจำได้ทุกคำพูดของผมเลยสินะ อย่าว่าแต่ผึ้งเลยครับที่จะกลัวในการตัดสินใจของเราครั้งนี้ ผมเองก็กลัว

“แดดดี้สัญญาว่าจะบินไปหาทุกเดือน และเราจะวิดิโอคอลหากันทุกวันนะครับ”

“แอชก็สัญญาฮ่ะ แต่ว่าบางเดือนแดดี้ไม่ต้องบินไปหาแอชที่เมกาก็ได้ฮ่ะ”

“ทำไมละครับ กลัวแดดดี้ตังค์หมดเหรอครับ”ผมถามกลับไปอย่างเอ็นดู

“เปล่าฮ่ะ แต่แอชจะขอมาไทยบ้าง แอชอยากไปหาน้อง”เดี๋ยวนะครับ นี่ผมว่าผมมีแววจะตกกระป๋องหรือเปล่าครับเนี่ย

“รักน้องขนาดนั้นเลย นี่จะไม่รักแดดดี้แล้วหรือเปล่าน้า”ผมแกล้งแหย่ ก่อนที่สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กต้องแก้ตัวยกใหญ่ พอคุยกันอีกสักพัก ก็ผล็อยหลับไปเสียดื้อๆ นี่คงเพลียมากแล้วสินะ ผมจัดแจงให้นอนบนเตียงดีๆ ก่อนจะเดินออกมาที่ริมระเบียง และกดโทรศัพท์ถึงใครอีกคน

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ หรือว่ารอโทรศัพท์ผมอยู่”ผมกรอกเสียงไปตามสายพร้อมยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใบหน้าของอีกคน ตอนนี้เค้าอาจจะกำลังเขินกับพูดของผมอยู่แน่ๆ

“จะนอนแล้ว โทรมามีอะไรหรือเปล่า”แหมมาเสียเสียงเย็นชาขนาดนี้ ไม่ขยี้ไม่ได้แล้วครับ

“เขินแล้วเย็นชากลบเกลื่อนใช่ไหมครับ”ผมยังคงยิ้มกว้างอยู่คนเดียว ยิ่งคิดว่าตอนนี้อีกคนคงกำลังหงุดหงิดกับคำพูดของผมแล้ว ผมกลับยิ่งรู้สึกสนุก มันนานแค่ไหนแล้วที่ระหว่างผมกับเค้าไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้

“…”

“ช่วงที่ผมไม่อยู่ พี่ฟ่างดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ผมเป็นห่วง”เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ ผมเลยหยุดความคิดที่จะแกล้งต่อ ผมได้เรียนรู้แล้วว่าระหว่างผมกับพี่ฟ่าง ทางที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนคือพูดในสิ่งที่อยู่ในใจ และอย่าปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเองเออเองเด็ดขาด เพราะนั่นจะพาเราทั้งคู่ไปสู่ความยุ่งอยากอย่างไม่คาดคิดเลยทีเดียว

“ครั้งนี้มันดีแล้วจริงๆ ใช่ไหมโพด”น้ำเสียงที่ยังคงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะพี่ฟ่างเองก็ห่วงความรู้สึกของแอชตั้นเช่นเดียวกัน ทั้งที่ผมก็อธิบายไปแล้วว่าเรื่องของแอชตั้นนั้นผมกับผึ้งวางแผนกันมานานแล้ว

ผมนึกย้อนไปถึงวันที่พี่ฟ่างยอมเปิดใจกับผม ก่อนที่จะมาที่เชียงใหม่นี่ วันนี้ผมเองก็ยังกังวลในความรู้สึกและก็เป็นวันที่ผมได้รู้ว่าควรเปิดใจเล่าทุกอย่างให้พี่ฟ่างฟังทั้งสิ่งที่ผมตัดสินใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางชีวิตต่อจากนี้ หรือเรื่องแอชตั้นก็ด้วย





ผมค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าออกจากข้างหูของอีกฝ่าย และเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากบางนั่นแทน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อต้านอะไร ทำให้ผมได้ใจรีบถือโอกาสลิ้มรสริมฝีปากนั้นอย่างโหยหา และการตอบสนองของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้ผมมั่นใจ ว่าใจเรายังตรงกันอยู่ ลิ้นของเราทั้งคู่ต่างสับเปลี่ยนดันเข้าออกในโพรงปากของอีกฝ่าย

“เรามาใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันนะครับ”ผมบอกหลังจากถอนริมฝีปากออก สายตายังคงมองอีกคนนิ่ง พยายามส่งผ่านความรู้สึกให้เค้ารู้ว่าผมจริงใจแค่ไหน

“จริงๆ ก็ตั้งใจจะคุยเรื่องนี้นั่นแหละ”ยอมรับนะครับว่าครั้งแรกที่ได้ยินก็แปลกใจไม่น้อย คือโดยปกติพี่ฟ่างเองก็ไม่ค่อยยอมพูดอะไรออกมาตามที่รู้สึกสักเท่าไหร่

“หมายความว่าพี่ฟ่างจะยอมคบกับผมในฐานะคนรักแล้วใช่ไหมครับ”ไม่ว่าพี่ฟ่างจะหมายความยังไง ผมต้องรีบดึงให้เข้าทางตัวเองให้มากที่สุดละครับตอนนี้

“จำได้ไหมว่าโพดเคยบอกกับพี่ว่าระหว่างเรา มันไม่จำเป็นต้องหาคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของเรา”

“พี่ฟ่างจะพูดอะไรครับ”ผมเริ่มรู้สึกใจเสียขึ้นมาบ้างแล้วนะครับเนี่ย

“เราไม่ต้องเป็นคนรัก ไม่ต้องเป็นพี่น้อง ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องเจอกันทุกวัน แค่…”

“ไม่เอาแบบนี้สิครับพี่ฟ่าง”ผมรีบดึงอีกคนเข้ามากอด เพราะไม่อยากได้ยินว่าสุดท้าย เราอาจจะต้องอยู่ในสถานะแค่คนรู้จักกัน

“ฟังให้จบก่อนสิโพด”

“ไม่ครับ ผมไม่ฟัง ผมจะไม่ยอมให้เราต้องแยกกันอีกแล้ว”ตอนนี้ผมอาจจะกลายเป็นน้องชายที่งอแงไปแล้ว แต่ใครจะสนกันละ ผมอุตส่าห์เข้ามาใกล้ จนจะเปิดใจพี่ฟ่างให้ยอมรับผมได้ขนาดนี้แล้ว อยู่ๆ จะมาผลักไสผมออก ผมไม่ยอมเด็ดขาด

“โพดฟังพี่ให้จบนะ ตอนนี้พี่ไม่ได้ต้องการคนรัก ไม่ได้ต้องการน้องชาย ไม่ได้ต้องการคนดูแล พี่ต้องการแค่ใครสักคนไว้รับฟังวันดีๆ หรือวันแย่ๆ มาแชร์ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเจอกันทุกวัน มีโอกาสกินข้าวด้วยกันบ้าง แค่ให้รู้ว่ายังมีอีกคนที่ห่วงใยแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

“…”ผมขยับตัวออก เพื่อมองหน้าพี่ฟ่างอย่างหาคำตอบ ว่าตอนนี้พี่ฟ่างต้องการให้ระหว่างเรามันเป็นแบบไหนกันแน่

“โพดเป็นคนนั้นให้พี่ได้หรือเปล่าละ คนที่อาจจะไม่ต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ก็ขอเจอกันมากกว่าปีละ 10 วันนะ นั่นมันน้อยไป”ใบหน้าที่ยิ้มอยู่ แต่กลับมีหยดน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา

“…”ผมกำลังจะพูดบางอย่างแต่กลับเป็นพี่ฟ่างที่ดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบ

“พี่ขอแค่นี้โพดให้พี่ได้หรือเปล่า ไม่ต้องสัญญา ไม่ต้องเป็นคนรัก ไม่ต้องมาคอยดูแล แค่ให้พี่ยังเป็นส่วนนึงของชีวิตโพด”แรงสั่นเบาๆ นั่นทำให้ผมต้องโอบกระชับอ้อมกอดตอบอีกคน

“ผมให้ได้มากกว่านั้นอีกครับ ผมบอกแล้วไงว่าจากนี้ไปผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับพี่ฟ่าง”






TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด