พิมพ์หน้านี้ - Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2017 11:45:54

หัวข้อ: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2017 11:45:54
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook แก้ไขข้อความ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2017 07:39:15 โดย norita_boyV2 »
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้อง 2 ข้าว
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2017 11:54:57
GRAIN BROTHERS
พี่น้องข้าว
เปิดเรื่อง 30-06-17


บทนำ




“ได้หยุดแล้วโว้ย”เสียงตะโกนดังขึ้นตามด้วยเสียงโห่ร้องอย่างดีใจจากทุกๆ คน เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานในปีนี้ ทุกคนจะได้หยุดยาว 10 วัน เพื่อไปพักผ่อนในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ใครบ้านอยู่ต่างจังหวัดก็ถือโอกาสนี้กลับบ้านไปชาร์ทแบตให้ตัวเองกับครอบครัว หรือบางคนก็วางแผนกันไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

“ไปฉลองหยุดยาวหน่อยไหมไอ้ฟ่าง”เสียงจากไอ้ต้าร์เพื่อนสนิทของผม ผมกับไอ้นี่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ แถมพอเรียนจบก็ยังได้มาทำงานที่เดียวกันอีกเลยยิ่งค่อนข้างสนิทกัน สนิทจนบางทีมีคนแอบคิดว่าเราสองคนเป็นคู่เกย์กันหรือเปล่า แต่ไม่ใช่นะครับ ไอ้ต้าร์เองมันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเรียบร้อย แถมใกล้จะมีข่าวดีเร็วๆ นี้แล้วมั้งครับ

“กุ้งจะมาแหกอกผมไหมละครับคุณเพื่อน ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้ไปเชียงใหม่แต่เช้านี่ครับ”ผมย้ำให้พ่อเพื่อนสนิทได้ตระหนักว่าตัวมันเอง ต้องขับรถอีกหลายร้อยกิโลเมตรในวันพรุ่งนี้ เพื่อไปยังบ้านพ่อตาแม่ยายของมันครับ ไอ้ต้าร์กับแฟนมัน หรือกุ้งที่ผมพูดถึงนั่นแหละครับ กุ้งเป็นสาวเชียงใหม่ที่มาทำงานในกรุงเทพฯ จุดเริ่มต้นที่รู้จักกันคือไอ้ต้าร์ขับรถมัวแต่เล่นโทรศัพท์ แล้วไปชนท้ายรถของกุ้งเข้า พอชนเสร็จก็หน้าหม้อจีบคู่กรณีครับ ไอ้ต้าร์และกุ้งเลยปลูกต้นรักกันตั้งแต่นั้นมา ตอนนี้แม้ทั้งคู่จะยังไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ซื้อบ้านอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้และเข้าใจดี ทีนี้ช่วงเทศกาลหยุดยาวทั้งคู่ก็จะสลับกันว่าจะไปเยี่ยมครอบครัวฝั่งไหน

ที่จริงผมเองก็สนิทกับทั้งครอบครัวของไอ้ต้าร์และครอบครัวกุ้งนะครับ เพราะมีโอกาสได้เจอทั้งสองครอบครัวบ่อยๆ เลยถือโอกาสฝากตัวเป็นลูกทั้งสองบ้านเสียเลย ก็ผมมันคนไม่มีพ่อแม่นี่ครับ ผมเลยเหมือนเป็นลูกทั้งสองบ้านอีกคน ทั้งสองบ้านก็เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลานอีกคน ผมเองก็เลยนับถือทุกคนเหมือนญาติผู้ใหญ่

“อย่าพูดได้ไหมมึง พูดแล้วกูท้อแท้ อยากจะพาเมียไปรักษาโรคกลัวเครื่องบินให้หายขาดสักทีจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถไกลๆ แบบนี้”ผมตบบ่าให้กำลังใจเพื่อน แต่ก็อดขำไม่ได้ครับ ทำไงได้กุ้งดันเป็นโรคกลัวเครื่องบินขั้นสุด ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมขึ้นเครื่องเด็ดขาด ไม่ว่าจะไปไหน ใกล้ไกลเลยต้องเดินทางด้วยรถยนต์ตลอด

“แล้วน้องข้าวฟ่างของพี่ละคะ ปีใหม่ไปเที่ยวไหนเอ่ย เที่ยวคอนโดเจ้ไหม”ผมกับไอ้ต้าร์ถูกแทรกกลางด้วยสาวใหญ่วัยเกือบ 40 พี่โอ๋ เจ้ใหญ่ประจำแผนกของพวกผม พี่โอ๋เป็นคนสวยนะครับแถมไม่บอกอายุนี่นึกว่า 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ แต่เจ้เค้าไม่ใช่สเปคผม และผมก็คิดว่าเจ้ไม่ได้พิศวาสผมนักหรอก คงแค่ชอบแหย่ผมเล่น แทะโลมตามประสาสาวมั่นแค่นั้นแหละครับ

“พี่โอ๋ครับ บอกแล้วไงว่าให้เรียกฟ่างเฉยๆ เรียกข้าวฟ่างอีกทีเดี๋ยวไม่รักแล้วนะครับ”ผมก็แกล้งรับมุกแกตลอดแหละครับ แต่ไอ้ชื่อข้าวฟ่างนี่ถ้าไอ้ต้าร์ไม่เอามาป่าวประกาศ ผมคงไม่โดนล้อมาถึงทุกวันนี้ ฟ่างเฉยๆ ยังโอเคนะครับแต่เวลาเรียกข้าวฟ่างนี่ผมรู้สึกตัวเองเหมือนสาวน้อยน่าทนะถนอมขึ้นมาทันที คิดแล้วขนลุก รับชื่อตัวเองไม่ได้ครับ แต่จะให้เปลี่ยนก็คงไม่เพราะชื่อนี้แม่ผมเป็นคนตั้งให้ และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังให้ผมระลึกถึงแม่เสมอ ทว่าแม่คงเข้าใจผมที่ผมขอตัดชื่อเล่นนี้ให้เหลือพยางค์เดียว

“ได้เลยๆ น้องฟ่างสุดหล่อของเจ้ วันหยุดเนี่ยเราไปใช้เวลาร่วมกันที่คอนโดเจ้ดีไหมจ๊ะ”นี่ถ้าคนไม่รู้จักผมมาเจอ นอกจากผมจะถูกมองเป็นคู่เกย์กับไอ้ต้าร์แล้ว อีกอย่างที่จะถูกมองก็เป็นเด็กในสังกัดเจ้โอ๋นี่แหละครับ

“นี่เจ้จะกินเพื่อนผมให้ได้หรือไงเนี่ย ลวนลามมันตั้งแต่เข้ามาทำงานใหม่จนนี่ทำงานด้วยกันมาจะ 5 ปี ยังไม่ละความพยายามอีกเหรอ”ไอ้นี่ก็คู่กัดเจ้เค้าแหละครับ เห็นเล่นๆ กันแบบนี้จริงๆ พวกเราก็รักกันดีนะครับ ที่ทำงานนี่ก็เหมือนอีกครอบครัวนึงของผม เจ้โอ๋ขาหื่นนี่ก็เหมือนพี่สาวของผมคนนึงเช่นกัน

“เจ้ก็แค่เหงา วันหยุดใครๆ ก็ไปต่างจังหวัดกันหมด ตกลงน้องฟ่างไปไหนไหมช่วงวันหยุดนี้ ถ้าไม่ไปไหนมาเค้าท์ดาวน์เป็นเพื่อนเจ้หน่อยนะ”นี่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเจ้แกเหมือนกันนะครับ ทั้งสวยทั้งเก่ง ผู้ชายก็เข้ามาขายขนมจีบตลอด แต่เจ้ก็ยังเลือกที่จะโสดแบบนี้ แต่นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้ผมสนิทกับเจ้แก เพราะเราต่างโสดด้วยกัน เวลาเหงาๆ หรือเทศกาลของคนมีคู่ ผมก็ได้เจ้นี่แหละครับอยู่เป็นเพื่อน เพราะบางทีก็เบื่อการไปเป็นก้างของไอ้ต้าร์กับกุ้ง

“เชิญเจ้เหงาข้ามปีคนเดียวเถอะครับ เพราะไอ้ฟ่างมันต้องไปภูเก็ต”ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับเจ้เค้าครับ เพราะถ้าเจ้ไม่เหงาจริงๆ จะไม่ค่อยมาออกตัวแรงกับพวกผมขนาดนี้

“ภูเก็ตอีกแล้วเหรอ จำได้ว่าปีก่อนๆ ก็ไปภูเก็ตป่ะ แต่น้องฟ่างไม่ใช่คนภูเก็ตนิ ไปทำไมบ่อยๆ”ไปทำไมบ่อยๆ นะเหรอครับ พอมีคนถามความรู้สึกเก่าๆ มันก็แล่นเข้ามาในหัวของผมอีกแล้ว กี่ปีแล้วนะที่ผมยังคงไปที่นั่นซ้ำๆ เช่นนี้ ทุกๆ ปี ที่เป็นข้อตกลงระหว่างผมกับอีกคน

“พอดีนัดน้องชายไว้ครับเจ้ เจอกันแค่ปีละครั้ง”ผมตอบออกไปเสียงเบา เบาจนไอ้ต้าร์คงจับสังเกตุได้แล้ว น้องชายที่พูดถึงคือคนที่ผมมีข้อตกลงด้วยนั่นแหละครับ

“เท่าที่เจ้เคยดูประวัติน้องฟ่างมา ไม่มีพี่น้องนี่นา”เดี๋ยวนะครับนี่เจ้เค้าสืบประวัติผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย แต่เจ้ก็รีบแก้ตัวทันทีว่าจริงๆ ก็แค่เคยเห็นประวัติผมในใบสมัครงาน ตั้งแต่ก่อนผมจะเข้ามาทำงานแล้ว

“เจ้ไม่รู้อะไร ไอ้นี่มันเป็นพี่น้องตระกูลข้าว พี่ข้าวฟ่างกับน้องข้าวโพด ผมรู้ทีแรกนะ ฮาก๊ากเลย ฟังชื่อนี่ดูเป็นพี่น้องที่มุ้งมิ้งสุดๆ แต่ตัวจริงนะเจ้อย่าให้พูด”ผมเดินเลี่ยงจากทั้งสองคนออกมาปล่อยให้ไอ้ต้าร์สาธยายชีวประวัติของผมในส่วนที่เจ้โอ๋เค้ายังไม่รู้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความแจ้งเตือนที่ส่งมาจากคนที่ผมเรียกว่าน้องชาย

“อยากเจอพี่ฟ่างแล้ว ปีนี้โพดมีเรื่องสำคัญจะบอกด้วย”

ผมกดอ่านแล้วก็ปิดหน้าจอไว้เหมือนเดิมโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป รอบนี้ผมน่าจะต้องเว้นเวลาสัก 5 ชั่วโมงแล้วค่อยตอบ มันอาจฟังดูเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเราสองคนที่เหมือนหากคนนึงปล่อยให้อีกคนรอข้อความนานเท่าไหร่ อีกคนที่จะตอบกลับจะต้องทิ้งระยะเวลาให้มากกว่า อย่างครั้งก่อนกว่าเค้าจะตอบกลับผมก็ 4 ชั่วโมงกว่า ครั้งนี้ผมเลยต้องทิ้งไว้สัก 5 ชั่วโมง เรื่องนี้อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ข้อตกลงหรอกนะครับ และไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กัน แต่มันเกิดขึ้นเพราะความน้อยใจของผมนี่แหละ ที่โดนเค้าปล่อยให้รอข้อความนานๆ และพอเค้าเริ่มรู้สึกว่าผมประชด เค้าก็ดันทำกลับแบบเดียวกัน หลังๆ มันเลยเหมือนการอยากเอาชนะกันมากกว่าครับ

แม้จะไม่ได้จริงจัง แต่ต่างคนก็ต่างจะไม่ค่อยยอมแพ้กันในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เมื่อก่อนผมจะเป็นคนแพ้ ยอมตอบเค้าหรือทักเค้าก่อนเวลาตลอด แต่ช่วงหลังจะเป็นข้าวโพดที่เป็นฝ่ายแพ้ให้ผมเสียเป็นส่วนมาก เห็นชื่อเราดูเหมือนพี่น้องขนาดนี้ แต่จริงๆ ผมกับเค้าไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันหรอกนะครับ เรียกว่าคนละพ่อคนละแม่ ไม่ใช่ญาติกันเสียด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ทำธุรกิจด้วยกันมา พอข้าวโพดเกิดมา พ่อแม่เค้าอยากให้ชื่อคล้องจองกับผมเหมือนเป็นพี่น้องกัน ชื่อเราสองคนเลยออกมาเป็นแบบนี้

ข้าวโพดเด็กกว่าผม 2 ปี เราโตมาด้วยกัน เรียกว่าเป็นทั้งเพื่อน พี่ น้อง คู่กัด คือคนในครอบครัวพ่อแม่เค้าก็เหมือนพ่อแม่ผม พ่อแม่ผมก็เหมือนพ่อแม่เค้า ชีวิตวัยเด็กของผมและเค้าต่างก็มีความสุข จนกระทั่งผมอายุ ได้ 13 ปี ข้าวโพดก็อายุ 11 ปี ชีวิตของเราทั้งคู่ก็มาถึงจุดหักเห

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเศร้าวะ นี่ก็ 15 ปีได้แล้วไหมที่พ่อแม่มึงจากไป อีกอย่างกูว่าวันครบรอบที่พ่อแม่มึงเสียเนี่ย ไปทำบุญที่ไหนก็ได้ นี่มึงจะไปตอกย้ำตัวเองให้เศร้าในที่เดิมๆ ทุกปีทำไม”ไอ้ต้าร์เดินตามมาตบไหล่ผมอย่างเข้าใจว่าผมรู้สึกยังไงกับการสูญเสียในครั้งนั้น การสูญเสียที่แม้จะผ่านมานานแต่ผมก็ยังไม่ลืม

ผมรู้นะครับว่าชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า และผมเองก็ทำได้แหละ เพียงแต่ใน 1 ปีผมก็เลือกที่จะให้เวลาในการรำลึกถึงคนที่จากไป แม้จะมีคนมองว่าการกระทำของผมมันดูไม่มีความจำเป็น แต่ผมไม่สนหรอกนี่มันชีวิตผม ผมอยากจะทำอะไรผมก็จะทำ อีกอย่างที่ผมยังเลือกไปในที่เดิมๆ ซ้ำๆ ก็เพราะจะได้เจอกับเค้า น้องชายที่ผมยังรู้สึกว่าเค้าเป็นคนสุดท้ายในครอบครัวผม

น้องชายที่ผมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าจริงๆ แล้วในตอนนี้ความรู้สึกของผมต่อเค้ามันเป็นแบบไหนกันแน่ เราอาจได้เจอกันแค่ปีละครั้งแต่ในระหว่างปีก็มีส่งข่าวคราวกันตลอด แม้บางช่วงจะหายไปเป็นเดือน ยิ่งเมื่อก่อนการสื่อสารยังไม่สะดวกเท่าทุกวันนี้ บางครั้งผมก็แทบไม่ได้รับข่าวคราวของเค้าเลย ส่วนตอนนี้แม้เทคโนโลยีจะดีขึ้นเยอะมาก แต่เค้ากลับยิ่งไกลจากผมออกไปอีก ข้าวโพดในวัย 26 ปีตอนนี้กำลังเรียนระดับปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ผมก็ได้แต่หวังว่าข่าวดีที่เค้าจะบอกกับผม มันคือการที่เค้ากำลังจะเรียนจบและย้ายกลับมาอยู่ที่ไทย เราทั้งคู่จะได้เจอกันบ่อยขึ้น และผมอาจได้คำตอบในความรู้สึกของตัวเองที่ชัดขึ้น

“ไปดื่มกันสักนิดไหม ไม่เกิน 4-5 ทุ่มมึงค่อยกลับไปพักผ่อน”ผมหันไปถามเพื่อน โดยเปลี่ยนเรื่องไม่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการจะไปภูเก็ตของผมอีก เราสองคนตัดสินใจที่จะไปลานเบียร์ที่ห้างสรรพสินค้า ตามแนวรถไฟฟ้านี่แหละครับ เพราะจากที่ทำงานเราสามารถนั่งรถไฟฟ้าไปได้เลย ตอนกลับผมเองก็สะดวกตรงที่นั่งรถไฟฟ้ากลับได้เลย ส่วนไอ้ตาร์ก็นั่งรถไฟฟ้าสุดสายไปต่อแทกซี่อีกนิดหน่อย

บรรยากาศยามค่ำคืนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ ไฟหลากสีสันถูกประดับประดาไปแทบทุกที่ ผู้คนก็ดูออกมาสังสรรค์ หรือเลือกซื้อของขวัญปีใหม่ให้คนสำคัญกันอย่างคึกคัก ลานเบียร์ก็เริ่มผู้คนหนาตาแล้วเช่นกันแม้เพิ่งจะหัวค่ำก็ตามที

“ปีนี้ลืมของขวัญให้กุ้งอีกป่ะเนี่ยมึง”หลังจากเลือกที่นั่ง สั่งเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มบทสนทนาด้วยการเอ่ยแซวเพื่อน ก็เมื่อปีก่อนไอ้ต้าร์ดันลืมซื้อของขวัญให้แฟนครับ โดนงอนอยู่เกือบ 2 อาทิตย์

“เรียบร้อยละคร๊าบ ปีนี้ไม่มีพลาด ว่าแต่เป็นมึงก็ดีนะ แฟนก็ไม่มี ไม่ต้องยุ่งยากดูแลเอาใจใส่ใคร ไม่ต้องลำบากซื้อของขวัญให้ทุกเทศกาล อยากไปไหนก็ไป”

“แต่บางทีก็เหงานะมึง”ผมตอบออกไปอย่างไม่ได้จริงจังหนัก ความจริงบางทีมันก็เหงาแหละครับ แต่อยู่กับเพื่อนไป ทุ่มเวลาให้งานไป หรือออกไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง มันก็พอช่วยคลายเหงาได้แหละครับ

“มึงก็หาแฟนดิวะ หน้าตามึงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ หล่อน้อยกว่ากูแค่นิดเดียวเอง”เรื่องหลงตัวเองนี่ขอให้บอกครับเพื่อนผม ผมไม่ได้ตอบอะไรไอ้ต้าร์ไปเพราะเรื่องการมีแฟนมันก็ยุผมให้มีแฟนบ่อยๆ แหละครับ ซึ่งการเงียบดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องต่อปากต่อคำกับมันได้ดีที่สุดเดี๋ยวมันก็เลิกเซ้าซี้ไปเอง

“ว่าไปตั้งแต่รู้จักมึงมาก็ไม่เคยเห็นมึงมีแฟนเลยนี่หว่า อย่าบอกนะว่านี่มึงอยู่มาจนอายุ 28 แล้วแต่ยังเวอร์จิ้นอยู่”คำถามของไอ้เพื่อนตัวดีเกือบทำเอาผมสำลักเบียร์ ก็มันเล่นพูดเสียงดังจนโต๊ะข้างๆ หันมามองผมยิ้มๆ

“กูแค่ไม่มีแฟน ไม่ได้ถือพรมจรรย์สักหน่อยจะได้ยังซิงอยู่”ผมปรับอาการให้ดูไม่สะทกสะท้านกับคำถามของมัน แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจ แม้ที่จริงผมอาจจะไม่ได้ช่ำชองเรื่องอะไรพวกนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็คนธรรมดามันก็ต้องมีความต้องการเป็นเรื่องปกติ ผมเองก็ต้องมีทางให้ระบายออกบ้าง แต่ในรายละเอียดผมคงไม่พูดถึงแล้วกันนะครับ

“มึงนี่มันแรดกว่าที่กูคิดอีกนะไอ้ฟ่าง”ผมไม่เคยพูดตรงๆ กับมันหรอกนะครับว่าผมมีรสนิยมทางเพศแบบไหน แต่ผมว่ามันก็คงพอจะเดาได้แหละ เพราะผมเองกะไม่เคยสนใจผู้หญิงที่ไหนอยู่แล้ว จะว่าไปผู้ชายเองผมก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษอีกนั่นแหละครับ จะมีก็แต่

“ข้าวโพด”ผมพึมพำกับตัวเองหลังจากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ผมอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร เราแทบจะไม่โทรหากันเลยมีแต่ทิ้งข้อความไว้ให้ แล้วรออีกฝ่ายตอบกลับ

“มีอะไรด่วนหรือเปล่าโพด”ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ เจือด้วยความกังวลนิดหน่อย จริงๆ สมองก็เริ่มคิดไปแล้วว่าหรือเค้าจะมาไม่ได้แล้ว หรือจะยกเลิกการไปเจอผมในปีนี้

“ทำไมพี่ฟ่างไม่ตอบไลน์ผมสักที นี่ผมถามกลับไปอีกตั้งหลายคำถามละ ใจคอจะรอให้ครบ 5 ชั่วโมงจริงๆ เหรอ ครั้งก่อนผมก็ขอโทษไปแล้วนิที่ตอบช้า แล้วไอ้การแข่งกันตอบช้าเนี่ยผมว่าเราเลิกเหอะ ผมบอกแล้วไงว่าบางทีทำนู่นนี่นั่นอยู่ มันไม่ได้ดูมือถือ โอเคแต่ก่อนผมอาจจะอยากเอาชนะพี่บ้าง แต่ตอนนี้ผมว่ามันไม่สนุกแล้ว เราจะไม่ทำแบบนี้กันอีกโอเคไหมครับ”มาเป็นชุดเสียจนผมจับประเด็นแทบไม่ทัน นี่คงเป็นครั้งแรกที่เค้าพูดตรงๆ เรื่องการตอบข้อความนี่ แต่ก็ไม่เห็นต้องทำเหมือนไม่พอใจขนาดนี้นี่นา

“มีอะไรด่วนหรือเปล่า พอดีพี่คุยกับไอ้ต้าร์อยู่ เลยไม่ได้ดูมือถือ”ผมตอบออกไปตามตรง แต่กะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าถ้ามีอะไรสำคัญ เราก็ใช้วิธีโทรหากันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องว่าที่ผมไม่ตอบไลน์เลยนี่นา

“พรุ่งนี้พี่อย่าเพิ่งไปภูเก็ตเลย ค่อยบินไปพร้อมผมวันมะรืน ผมจองตั๋วใหม่ให้พี่แล้วด้วย”ผมรีบแย้ง ว่าทุกปีเราทั้งคู่ก็ต่างคนต่างไปนานแล้วนิ มีแค่ตอนยังเรียนอยู่ช่วงแรกๆ ที่ไปเท่านั้นเองที่เราต้องเดินทางพร้อมกัน อีกอย่างเสียดายค่าตั๋วเครื่องบินด้วยครับ ไม่อยากทิ้งตั๋ว จะว่างกก็ได้ครับ

“พี่อย่ามาบ่ายเบี่ยงเลย ตั๋วผมแพงกว่าของพี่อีก เป็นอันตกลงตามนี้นะครับ”แล้วผมก็ไม่สามารถปฏิเสธเค้าได้ ว่าแต่ที่ลงทุนโทรข้ามประเทศมานี่เพื่อบอกผมแค่นี้เองงั้นเหรอ พอถามกลับก็ได้คำตอบว่ากลัวผมไม่เปิดอ่านข้อความแล้วบินไปก่อน ปีนี้เค้าอยากจะไปพร้อมกันกับผม พอคุยเรื่องการเดินทางจบ ก็มาบ่นเรื่องการดื่มของผมอีกเช่นเคย เค้าไม่ค่อยชอบที่ผมดื่มสักเท่าไหร่ครับ ชอบดุผมว่าดื่มเยอะไปจนจะเสียสุขภาพ ไม่รู้ว่านี่ใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่นะครับเนี่ย

“โพดจะคุยด้วย”หลังบ่นผมจนพอใจนี่จะขอบ่นเพื่อนผมต่อด้วยครับ ไอ้ต้าร์รับมือถือผมไปอย่างเหนื่อยหน่าย

“มึงหยุดไอ้โพด พี่มึงแหละเป็นคนชวนกูดื่ม มึงบ่นพี่ข้าวฟ่างของมึงคนเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างมึงรู้หรือเปล่า พี่ฟ่างของมึงนอกจากจะขี้เหล้าแล้ว ยังแอบแรดด้วย”ผมรีบเอื้อมมือจะไปแย่งมือถือคืนจากไอ้ต้าร์ ก่อนที่มันจะพูดอะไรมากไปกว่านี้

“กูหลงเข้าใจว่ามันยังซิงอยู่ตั้งนาน ที่ไหนได้ไปแอบแรดไม่บอกใครเลย”รอบแรกผมแย่งพลาด แต่ครั้งนี้ผมไม่พลาดครับแย่งมือถือมาจากไอ้ต้าร์ได้สำเร็จ พร้อมชี้คาดโทษมันไว้ ผมรีบบอกกับข้าวโพดว่าตกลงที่จะนั่งเครื่องไปภูเก็ตพร้อมเค้า ก่อนจะกดวางสายไป ตามด้วยการถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วนี่ผมโล่งอกทำไมเนี่ย

“พี่ฟ่างมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่เห็นเคยบอกโพดเลยละครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บมือถือ ข้อความบนหน้าจอก็เด้งขึ้นมาให้เห็น






TBC

สวัสดีคร๊าบบ

แวะมาแปะเรื่องใหม่อีก 1 เรื่อง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแยก ออกมาจาก

High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0

จะว่าเรื่องนี้แยกออกมาก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะ จริงๆ เรื่องนี้แต่งก่อน

แต่คิดชื่อเรื่องไม่ออก เลยเอามาลงทีหลัง และสองเรื่อง แม้จะมีเนื้อหาแยกกันชัดเจน

ก็จะยังมีส่วนคาบเกี่ยวกันนิดหน่อย ยังไงถ้าใครเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ ก็ฝากอีกเรื่องไว้ด้วยนะครับ







หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้อง 2 ข้าว บทนำ 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2017 19:48:20
บทที่ 1
พี่ฟ่างของโพด



ลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าผม เบา เบา จนผมต้องกระชับเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น พร้อมทั้งขยับหมวกไหมพรมให้ปิดใบหูป้องกันความเย็นอีกด้วย วันนี้ผมอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะหมั่นไส้น้องชายตัวแสบที่มาอวดผมว่าวันเกิดเค้ามีคนมาอวยพรเยอะกว่า ก็นี่ครอบครัวเรามาพักผ่อนต่างจังหวัดพร้อมกันแล้วดันตรงกับวันเกิดครบ 3 ขวบของเค้า มันก็ต้องคนเยอะกว่าสิ ส่วนตอนวันเกิดผมพ่อก็ติดงาน ครอบครัวของโพดเองก็ติดธุระ ผมเลยได้เป่าเค้กกับคุณแม่แล้วก็พี่เลี้ยงอีกคนแค่นั้นเอง

“ฟ่างมานั่งนี่สิลูก จะไปนั่งคนเดียวทำไม”แม่ผมตะโกนเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะรวมกับคนอื่นๆ พ่อแม่ของทั้งผมและข้าวโพดกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับปิ้งย่างอาหารต่างๆ ไปด้วย แถมพ่อผมก็เริ่มพูดเสียงดังเพราะดื่มไอ้น้ำเหลืองๆ นั่นเข้าไปอีก ผมเคยลองชิมไม่เห็นมันจะอร่อยเลยขมก็ขม ไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน

“น้องโพดเอาเค้กไปแบ่งพี่ฟ่างเค้าหน่อยไป สงสัยจะงอนที่น้องโพดไม่แบ่งเค้กให้”แม่ผมหันไปเรียกน้องชายตัวแสบที่กำลังนั่งเล่นรถคันจิ๋ว จับไถไปไถมาบนโต๊ะ พอถูกเรียกก็หยุดหันไปหยิบจานเค้กที่แม่เค้าตัดแบ่งไว้ให้ เจ้าตัวแสบเดินถือจานเค้กตรงมาทางผมพร้อมยิ้มกว้าง ไอ้เปี๊ยกเอ้ยไม่ต้องมายิ้มเลย ยิ่งเห็นไอ้ตัวแสบยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด นี่ตั้งแต่มีเจ้าเด็กนี่ทุกคนก็ไม่ค่อยจะโอ๋ผมเหมือนแต่ก่อน มีอะไรก็โอ๋เด็กนี่ก่อนตลอด

“พี่ฟ่างจินเค้ก”ดูเอาเถอะ พูดยังไม่ชัดเลย อายุครบ 3 ขวบแล้วยังดูตัวนิดเดียวอยู่เลย เด็กน้อยเอ้ย

“ไม่กิน”ผมบอกพร้อมหันหลังให้ ทำเป็นมาอวดเค้กก้อนใหญ่กว่าละสิ

“จินเค้กสิ พี่ฟ่างจินเค้ก แม่บอกให้โพดมีน้ำใจ โพดแบ่งให้ มาจินเค้กกัน”บอกว่าไม่กินก็ยังจะมาเซ้าซี้อีกไอ้เด็กนี่ ผมเอื้อมมือออกไปผลักจานเค้กนั้นอย่างหงุดหงิด

“บอกว่า ไม่กินก็ไม่กินไง”ผมลุกขึ้นผลักข้าวโพดอีกครั้ง คราวนี้คงจะแรงไปหน่อยเพราะทั้งเจ้าตัวแสบและจานเค้กต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ผมตกใจนิดหน่อยที่ทำน้องล้ม และทำท่าจะร้อง แต่ช่วยไม่ได้อยากมาอวด อยากมากวนผมก่อนทำไม จากทีแรกจะช่วยดึงน้องลุกแต่ผมเปลี่ยนใจยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม ส่วนเจ้าตัวแสบพอเห็นว่าผมไม่ช่วยก็ลุกวิ่งไปหาแม่

“พี่ฟ่างไม่รักโพดแล้ว พี่ฟ่างผลักโพด ฮือๆ”ผมเดินตามเข้าไปเงียบๆ ไอ้รู้สึกผิดก็รู้สึกอยู่นะครับ แต่เรื่องอะไรผมต้องโอ๋เจ้าเด็กนี่อีกคนละ นี่ทั้งแม่ผมแม่เค้าก็ช่วยกันโอ๋เค้าจะแย่แล้วครับ

“ฟ่างแกล้งน้องทำไมลูก มาขอโทษน้องเดี๋ยวนี้เลย”แม่ผมเดินเข้ามาจับมือผมจะให้เดินไปหาเด็กแสบที่ยังร้องไห้อยู่เหมือนเจ็บนักหนา เท่าที่เห็นก็แค่ล้มลงนิดเดียว แผลก็ไม่ได้มีจะสำออยอะไรนักหนา

“ฟ่างไม่ได้แกล้ง โพดนั่นแหละมากวนฟ่างก่อน”ผมเริ่มเสียงแข็งเพราะรู้สึกน้อยใจนิดๆ แล้วที่ใครๆ ก็โอ๋น้องแต่ไม่สนใจผมเลย

“แต่ฟ่างเป็นพี่นะ แม่บอกแล้วไงว่าให้รักกัน มีกันอยู่ 2 คนพี่น้องจะมาทะเลาะกันทำไม ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”จากทีแรกแค่น้อยใจนิดหน่อยแต่ตอนนี้น้ำตาผมมันเริ่มปริ่มขึ้นมาแล้ว ทำไมแม่ต้องเข้าข้างน้องมากกว่าผมด้วย ความน้อยใจทำให้ผมไม่สนใจสิ่งที่แม่พูด ผมวิ่งจากสนามเข้าห้องนอนปิดประตูทันที

“ฟ่างทำไมนิสัยเสียแบบนี้ ออกมาเลยนะ ไม่งั้นแม่ตีจริงๆ ด้วย”แม่ตามมาเคาะประตูพร้อมดุผม นี่แม่จะตีผมเลยเหรอ ตั้งแต่จำความได้ ผมยังไม่เคยโดนแม่ตีเลยสักครั้งแต่นี่แม่ถึงกับจะตีผมเลยเหรอ

“แม่ใจร้าย แม่ไม่รักฟ่างแล้ว ฟ่างไม่อยากคุยกับแม่”ผมตะโกนออกไปพร้อมเสียงสะอื้น ผมดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเอามืออุดหู ไม่อยากฟังเสียงใครอีก ทำไมทุกคนต้องไปรุมรักน้องกันหมดด้วย ผมร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่น้ำตาผมมันแห้งหมดแล้ว และตอนนี้ผมก็เริ่มหิวแล้วเสียด้วยสิ ผมแอบเปิดม่านดูฟ้าก็มืดแล้ว นี่ตกลงจะไม่มีใครมาง้อผมจริงๆ เหรอเนี่ย ด้วยความหิวทำให้ผมต้องยอมลุกจากเตียง เอาวะ แค่เดินออกไปหาของกินแต่ผมจะไม่พูดกับใคร

“พี่ฟ่าง เย้พี่ฟ่างมาแล้ว”แต่ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา เจ้าเด็กแสบที่นั่งอยู่โซฟากับแม่ของเค้าก็วิ่งมาหาผมอย่างหน้าระรื่น แล้วที่มันร้องไห้ก่อนผมจะเข้าห้องตะกี้ มันหายแล้วรึไงเนี่ย

“มากินหมึกย่างกันเร็ว นี่น้องโพดเค้าไม่ยอมกินเลยนะ บอกของโปรดพี่ฟ่างจะรอกินพร้อมกัน”แม่ของข้าวโพดเรียกผมพร้อมชูจานหมึกย่างที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำวางมาจนพูนจาน กลิ่นน้ำจิ้มซีฟู้ดลอยมาเตะจมูกจนผมต้องก้าวขาไปตามคำเรียก ยังไงก็กินก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“พี่ฟ่างจินหมึกกัน จินหมึก จินหมึก”ไอ้ตัวแสบเดินมาดึงมือผมพร้อมผงกหัว ดุกดิกๆ นำทางไปนั่งที่ ไม่นานนักหมึกย่างบนจานก็พร่องไปเยอะเลย พร้อมกับที่แม่เปิ้ล หรือแม่ของข้าวโพดนั่นแหละครับ ต้องสูดปากเพราะความเผ็ด ทำไมนะเหรอครับ ก็ผมกับเจ้าเด็กแสบนี่สิครับ ให้แม่เปิ้ลเอาหมึกย่างจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดก่อน แล้วค่อยจุ๊บเอาความเผ็ดออกค่อยส่งต่อให้เราทั้งคู่

“ว่าไงพ่อตัวดี หายงอนแล้วใช่ไหม”แม่ผมเดินเข้ามาจากด้านนอก มานั่งลงข้างๆ ผม ผมแกล้งทำหน้างอเพราะอยากให้แม่ง้ออีกหน่อย

“พี่ฟ่างออกมาแล้ว พี่ฟ่างเป็นเด็กดี ไม่ใช่เด็กดื้อแล้วฮ่ะแม่ขวัญ โพดไม่โกรธพี่ฟ่างแล้ว”แหม๋ไอ้เด็กแสบ ทำยังกะตัวเองมีสิทธิ์อะไรจะมาโกรธผม

“แม่ขวัญว่าพี่ฟ่างต้องขอโทษ น้องโพดก่อนนะ ถึงจะเป็นเด็กดีแล้วก็ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำร้ายน้องอีก”ผมทำหน้างอกว่าเดิม นี่แม่จะให้ผมขอโทษเด็กนี่จริงๆ เหรอนี่ ถึงผมเริ่มจะรู้สึกตัวว่าทำผิดแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เด็กนี่ได้ใจนี่นา ผมยังนั่งนิ่งแต่สายตาดุๆ ของแม่ผมที่มองมาทำให้ผมต้องหันไปหาเด็กแสบ

“พี่ฟ่างขอโทษที่ผลักน้องโพดล้ม แล้วก็สัญญาว่าจะไม่ทำอีกนะครับ แต่น้องโพดก็ห้ามมาอวดว่าได้เค้กวันเกิดก้อนใหญ่กว่า มีคนอวยพรวันเกิดให้มากกว่าด้วย แม่ก็ห้ามรักโพดมากกว่าฟ่างด้วย”พอผมพูดจบบรรดาแม่ๆ ของเราทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาเสียดังเลย นี่มันน่าขำตรงไหนกัน ผมซีเรียสนะเนี่ย

“สรุปว่านี่โกรธที่น้องอวดวันเกิด โอ้ยฟ่างเอ้ย เอางี้ไหมไหนๆ ก็เกิดเดือนเดียวกันทั้งคู่ห่างกันไม่กี่วัน ปีต่อๆ ไปมาเป่าเค้กพร้อมกันไหม แล้วถ้าวันไหนแม่ขวัญรักโพดมากกว่าฟ่าง แม่เปิ้ลจะรักฟ่างมากกว่าโพดเอง จะได้รักเท่าๆ กันดีไหม”แม่เปิ้ลบอกพร้อมเอื้อมมือ มาหยิกแก้มผม แต่ได้ฟังแบบนี้ผมก็อุ่นใจแล้วครับ

“รักกัน หอมแจ้มกัน พี่ฟ่างหอมแจ้ม”และไม่ทันตั้งตัวไอ้ตัวแสบก็พุ่งมาจุ๊บแก้มผมซ้ายทีขวาที แล้วไอ้เปียกๆ ติดแก้มผมนี่มันน้ำลายหรือน้ำมูกละเนี่ย ผมรีบวิ่งหาทิชชู่แทบไม่ทันเลยครับ แต่เจ้าตัวแสบก็ยังวิ่งตามมาจะจุ๊บผมเพิ่มอีก พอผม น้อง และแม่ๆ เข้าใจกันแล้ว บรรยากาศอบอุ่นเหมือนเดิมก็กลับมาครับ

เวลาผ่านมาจนผมกับน้องเริ่มง่วง เราสองคนก็ถูกพามาส่งที่ห้องนอน ส่วนผู้ใหญ่ก็ยังอยู่ข้างนอกกันต่อ ผมต้องนอนห้องเดียวกับข้าวโพดเพราะบ้านพักที่เรามาพักวันนี้มี 3 ห้องนอน ก็เหมือนทุกๆ ครั้ง ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มพูดคุยรู้เรื่องเวลามาพักต่างจังหวัดแบบนี้เราทั้งคู่ก็จะถูกจัดให้นอนด้วยกันแบบนี้เสมอ

“พี่ฟ่างหลับยังฮ่ะ”น้องชายตัวแสบของผมขยับเข้ามาชิดผม อันที่จริงการมีข้าวโพดเพิ่มเข้ามาก็ทำให้ชีวิตผมมีอะไรให้สนุกเพิ่มขึ้นนะครับ ตอนเด็กๆ ที่ยังไม่มีข้าวโพดผมก็ไม่รู้จะเล่นกับใคร พอมีเจ้าตัวแสบนี่มาก็สนุกดีเหมือนกันครับ

“นอนกันเถอะพี่ฟ่างง่วงแล้วครับ”ผมบอกพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างน้องชายตัวน้อย

“พี่ฟ่างอย่าโกรธโพดอีกนะฮ่ะ ต่อไปโพดจะมีเค้กก้อนเล็กกว่า จะให้แม่รักพี่ฟ่างมากกว่าด้วย แล้วก็ตอนนี้โพดให้พี่ฟ่างตัวโตกว่า ตัวสูงกว่า แต่วันนึงถ้าโพดโตทันพี่ฟ่าง แล้วตัวสูงกว่า พี่ฟ่างต้องสัญญาว่าจะไม่โกรธโพดนะฮ่ะ สัญญาสิฮ่ะ สัญญา สัญญา”ไอ้แสบเอ้ยจะหลับอยู่แล้วยังจะมาขอให้สัญญาอะไรอีก และจากนั้นไม่นานเจ้าเด็กแสบของผมก็โตทันผมจนได้ แถมยิ่งโตยิ่งแซงผมไปไกล

ยิ่งตอนนี้ที่กำลังเดินออกมาจากประตูโบกมือให้ผมนั่น ผมคงเรียกเค้าว่าเด็กแสบไม่ได้อีกแล้ว นี่เค้าดูเปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเยอะเหมือนกันนะครับนี่ ปกติให้ส่งรูปให้ดูก็ไม่ค่อยย่อมส่ง แล้วดูสภาพที่เห็น มองผ่านๆ นี่ผมเกือบจำไม่ได้ ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราก็ไม่โกนนี่ไปเรียนปริญญาโท หรือไปอยู่ในป่าเขามากันแน่เนี่ย

“คิดถึงพี่ข้าวฟ่างของโพดที่สุดเลย”ทันทีที่เดินมาถึงผม เค้าก็วางกระเป๋า ตรงเข้ามากอดผมเสียแน่น ก็เข้าใจนะครับว่าเราก็ทักทายกันแบบนี้แต่ไหนแต่ไร ทว่าตอนนี้ก็โตกันขนาดนี้แล้วอีกอย่างหลังจากกอดแล้วจะให้หอมแก้มด้วยเหมือนแต่ก่อนก็ดูจะไม่เหมาะแล้วมั้งครับกับในที่สาธารณะแบบนี้ หลังจากกอดผมแน่นจนคงหนำใจแล้ว เค้าก็ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก ผมเงยหน้ามองเค้า นี่ไอ้เด็กแสบตัวเล็กๆ ของผมในวันนั้นมันโตจนผมต้องแหงนหน้าคุยแล้วเหรอนี่ ในขณะที่ผมกำลังมองหน้าเค้าอยู่ๆ เค้าก็ก้มลงมาประทับริมฝีปากที่หน้าผากของผม ผมรีบขืนตัวออก เพราะรู้สึกแปลกๆ แต่ด้วยความที่สู้แรงเค้าไม่ได้เลยกลายเป็นว่าต้องปล่อยให้เค้ามาจุ๊บเหม่งผมกลางสนามบินแบบนี้

“พอแล้ว ทำอะไรเนี่ยอายคนอื่นเค้าบ้าง คนมองกันเต็มแล้วเนี่ย”ผมตีแขนเค้าเบาๆ แล้วรีบถอยออกห่างทันทีที่เค้าปล่อยผม แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะอย่างไม่สนใจในคำพูดของผมเลย ก็ไอ้ที่เค้าชอบเล่นแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ผมต้องทำตัวลำบาก เราถูกเลี้ยงมาด้วยกันแบบพี่น้อง ผมไม่ควรรู้สึกอะไรกับเค้ามากไปกว่านี้

“ไหนใครกันนา บอกว่าจะไม่มารับโพดที่สนามบิน”เค้ายังลอยหน้าลอยตาพูดโดยไม่สนใจกับที่ผมว่าไป แถมยังมาทำท่ากวนประสาทใส่ผมนี่อีก

“ก็แค่ว่างไม่มีไรทำ ป่ะรีบไปดิจะได้นอนพักสักหน่อย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งกี่ชั่วโมงยังจะมามัวเล่นอยู่ได้”ผมพูดพร้อมช่วยลากกระเป๋าเค้า 1 ใบว่าแต่ทำไมรอบนี้เค้าเอากระเป๋ามาเยอะขนาดนี้ ขนอะไรมาบ้างเนี่ย แต่นี่คงไม่ใช่เวลาจะมัวมาถาม ผมเดินนำเค้าไปยังอาคารจอดรถ

“ผมขับไหมพี่”เค้ายื่นมือมาขอกุญแจจากผมหลังจากเก็บกระเป๋าใส่หลังรถเรียบร้อย แต่ใครจะไปยอมให้เค้าขับกันละครับ เดินทางมาเหนื่อยขนาดนี้ ผมต้องทำเสียงดุไปนิดหน่อยถึงยอมขึ้นนั่งในรถฝั่งผู้โดยสารแต่โดยดีครับ นี่ถ้ารู้ว่าจะลีลาขนาดนี้ให้นั่งแทกซี่ไปเองเสียยังจะดีกว่า ไอ้เราก็อุตส่าว่ามารับเนี่ยไม่อยากให้เหนื่อย เพราะถ้าให้ไปแทกซี่ก็ต้องรอคิวนานอีก อยากให้เค้าได้พักเยอะๆ แหละครับ

“เพลียก็หลับไปเลยนะ เดี๋ยวถึงพี่ปลุกเอง”ผมหันไปบอกคนที่เอนเบาะนอนแต่ยัง ยิ้มมองผมตาแป๋ว นี่บางทีผมก็ไม่เข้าใจเค้านะครับ บางครั้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยไปกว่าผมอีก แต่บางทีก็ทำตัวเหมือนเด็กๆ ขี้อ้อนบ้างล่ะ ขี้แกล้งก็ด้วยครับ

“ไม่หลับหรอก อยากมองพี่ฟ่างนานๆ ไม่เจอกันตั้งนานขอโพดมองหน้าพี่ฟ่างให้หายคิดถึงหน่อยนะครับ”แม้จะรู้สึกดีที่เค้าพูดแบบนั้นแต่ผมเองก็ส่ายหน้าพร้อมทำเป็นยิ้มหน่ายๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองไว้ครับ เราเป็นพี่น้องกันผมจะรู้สึกอะไรกับเค้ามากไปกว่านี้ไม่ได้ผมย้ำกับตัวเองอีกครั้ง

“ทำเป็นพูดดีไป ทีบอกให้วิดีโอคอล บอกให้เฟสไทม์ ไม่เห็นยอมทำสักที”ผมบ่นลอยๆ โดยไม่ได้หันไปมองเค้า สายตาผมมองตรงไปตามถนนที่อยู่ตรงหน้า นี่ผมจะห้ามความรู้สึกของตัวเองไว้ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ

“ก็นั่นมันไม่ใช่ของจริง ผมอยากมองพี่ฟ่างของผมตัวเป็นๆ แบบนี้มากกว่า”ผมอดที่จะยิ้มกับคำพูดของเค้าไม่ได้ คำพูดที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ข้าวโพดก็ยังเป็นข้าวโพด เค้าเหมือนจะยอมอ่อนข้อให้ผมในหลายๆ เรื่อง แต่บางทีก็ยังแอบเอาแต่ใจเสมอ คงเพราะเราต่างคนต่างเป็นลูกคนเดียว เลยเอาแต่ใจด้วยกันทั้งคู่ ตอนเด็กๆ แม้แม่จะสอนให้ผมเสียสละให้น้อง นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมยอมเสียทุกครั้งหรอกครับ ส่วนพ่อน้องชายนี่บางทีก็ทำเท่ห์ อยากเสียสละยอมแพ้ผม ซึ่งสุดท้ายก็มาอยากเอาชนะผมอยู่ดี เรียกว่าเด็กๆ เราต่างดื้อเงียบด้วยกันทั้งคู่

“แล้วที่บอกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่ นี่เรื่องอะไรเหรอ”เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ พอผมหันไปมองก็เห็นเค้าหลับไปแล้ว นี่คงเพลียมากสินะ ผมพยายามขับรถให้นิ่มที่สุดเพราะอยากให้เค้าได้หลับสบายที่สุด แม้ระยะทางจากสนามบินไปคอนโดผมจะไม่นานนักแต่ก็ช่วยเค้าได้พักบ้างก็ดีแล้วครับ ผมเรื่อยมาจนถึงที่หมาย พ่อน้องชายคนเก่งของผมยังนอนนิ่งหายใจอย่างสม่ำเสมอ เค้าหลับตาพริ้มยิ้มอย่างมีความสุข จนผมรู้สึกไม่อยากปลุกเค้า

“โพด ถึงแล้ว”ผมตบเบาๆ ที่แก้มของเค้า อยากให้เค้าได้ขึ้นไปนอนบนเตียง สบายๆ เสียมากกว่า เค้างัวเงียตื่นขึ้นมาสะบัดหัว ก่อนจะรีบลุกออกไปหยิบกระเป๋าอย่างรวดเร็วจนผมตกใจ นี่เค้าตื่นแล้วหรือแค่ละเมอละเนี่ย สงสัยยังตื่นไม่เต็มตานี่ถ้าถึงเตียงนอนคงหลับยาวสินะ ไม่เป็นไรให้เค้าได้พักยาวๆ แหละ กว่าจะถึงเวลาไปภูเก็ตก็ยังมีเเวลาเหลือเฟือ

“ทำไม ไม่ให้โพดนอนห้องเดียวกับพี่ฟ่างละครับปกติเราก็นอนด้วยกันนี่นา”นี่เค้าคิดว่าตัวเองทำท่าอ้อนๆ นี่แล้วน่ารักหรือไงเนี่ย ตัวโตยังกะตู้เย็นแถมหนวดเคราเฟิ้มผมเผ้ารุงรัง มันเข้ากันที่ไหนกับไอ้ท่าทางตะกี้

“โตป่านนี้แล้วจะมานอนเบียดพี่ทำไมกัน อย่ามาทำงอแงเป็นเด็กๆ นะโพดรีบนอนพักเลย”ผมเริ่มเสียงเข้มแต่มีเหรอครับว่าคนอย่างข้าวโพดจะยอมแพ้ผมง่ายๆ เค้าวางข้าวของทุกอย่างในห้องนอนแขก ก่อนจะทำทีเดินมาเข้าห้องน้ำ ก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูห้องนอนผม

“นี่ไง เตียงพี่ฟ่างก็ออกจะกว้าง ให้โพดนอนนี่นะ นะฮ่ะพี่ฟ่างคนดี”พอรู้ว่าพูดแบบนี้กับผมแล้วผมใจอ่อนนี่ชักจะนะฮ่ะกับผมบ่อยเกินไปแล้ว แต่คราวนี้ผมต้องใจแข็งสักหน่อยแล้ว ผมยืนยันว่ายังไงเค้าก็ต้องไปนอนที่อีกห้อง นี่ถ้ารู้ว่าการรอไปภูเก็ตพร้อมเค้าแล้วมันจะเรื่องเยอะขนาดนี้ ผมไปก่อนเหมือนทุกปีแล้วเจอกับเค้าที่โน่นน่าจะดีกว่าอีก

“ถ้าไม่ให้โพดนอนห้องนี้ วันนี้โพดก็จะไม่นอน จะนั่งให้ตัวเองเจ็ทแลคมันทั้งคืนอยู่ตรงนี้แหละ”สรุปว่าถ้าผมไม่ยอมแพ้วันนี้เค้าก็จะพยายามเอาชนะผมอีกให้จนได้สินะ นี่ถ้าไม่อยากให้เค้าพักผ่อนผมจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่นอน แต่นี่อยากให้ร่างกายเค้าได้ปรับสภาพกับการข้ามเขตเวลามาขนาดนี้ ผมจำต้องพยักหน้ายอมให้เค้าเดินเข้าห้องนอนของผมไป

“พี่ฟ่างก็มานอนด้วยกันสิครับ”เดี๋ยวนะครับ แล้วทำไมผมต้องนอนด้วย นี่ผมเพิ่งตื่นตอนจะไปรับเค้านี่เองตอนนี้ไม่ได้ง่วงสักนิด

“มาเร็วสิฮ่ะ พี่ฟ่างโพดง่วงแล้ว”จะเล่นแบบนี้จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย เอาแบบนี้ก็ได้แค่ผมยอมๆ ไปให้เค้าหลับก็จบใช่ไหม เห็นแก่ที่อยากให้เค้าพักผ่อนนะเนี่ย เค้าตบเตียงเบาๆ บริเวณข้างตัวเค้าส่งสัญญานให้ผมรีบนอนลงข้างเค้า ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับความเอาแต่ใจของเค้า

“มาเป็นหมอนข้างให้โพดหายคิดถึงเสียดีๆ”ทันทีที่ผมล้มตัวลงข้างๆ เค้า เค้าก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดเหมือนแต่ก่อนไม่เปลี่ยนเลยสินะ แล้วนี่แค่เดี๋ยวเดียว เค้าก็เริ่มหายใจเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ดูเอาเถอะครับ เพลียขนาดหลับไปง่ายๆ แบบนี้ยังจะอยากเอาชนะผมด้วยการมานอนห้องนี้อีก ว่าแต่แล้วนี่ผมจะลุกออกไปยังไงกันละเนี่ย ทั้งแขนทั้งขารัดผมไว้แน่นขนาดนี้ สงสัยผมต้องข่มตาหลับตามเค้าเสียละมั้งครับเนี่ย


TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องสองข้าว บทที่ 1 พี่ฟ่างของโพด 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-06-2017 20:47:15
น้องโพดของพี่ฟ่างน่ารักจัง  :impress2:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องสองข้าว บทที่ 1 พี่ฟ่างของโพด 30-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-07-2017 09:06:49
บทที่ 2
ของขวัญวันเกิด




ผมนั่งทานเค้กก้อนเล็กคนเดียวเงียบๆ สายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่หลังตู้ วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุ 14 ปีของผม และดูเหมือนจะเป็นปีที่เศร้าที่สุดในชีวิตของผมแล้ว นี่คือปีแรกที่พ่อกับแม่ไม่สามารถอวยพรให้กับผมได้อีกแล้ว นี่ก็เกือบปีแล้วที่ท่านทั้งคู่ได้จากไป แม้นึกถึงทีไรผมจะอยากร้องไห้ ผมก็ต้องเข้มแข็ง ผมรู้ว่าพ่อกับแม่ที่เฝ้ามองดูผมจากบนสวรรค์ คงอยากเห็นผมเข้มแข็ง อีกอย่างผมไม่อยากเห็นยายเศร้าไปกับผมด้วย

ตั้งแต่พ่อกับแม่ผมเสียไป ผมก็ต้องมาอยู่กับยายเพียงลำพังสองคน ยายเป็นญาติตามสายเลือดเพียงคนเดียวที่ผมยังเหลืออยู่ การอยู่กับยายแค่สองคนแม้จะเหงาไปบ้าง แต่ผมก็ยังมีความสุขดี ยายรักผมและผมก็รักยายมากเช่นกัน ก็เราเหลือกันอยู่แค่สองคนนี่เนอะ

“ทานข้าวเลยไหมลูก ยายทำกับข้าวเสร็จแล้ว แล้วนี่เห็นไหม ยายบอกแล้วว่าให้ชวนเพื่อนที่โรงเรียนมาฉลองวันเกิดด้วยกันก็ไม่เชื่อ”ยายพูดไปพลางหยิบจานกับข้าวออกมาวางที่โต๊ะ ดูวันนี้จะมีกับข้าวเยอะเป็นพิเศษ ทั้งที่ผมก็บอกแล้วว่าไม่ได้ชวนใครมา ก็ยังจะทำของกินเยอะแบบนี้อีก

“ก็ฟ่าง ไม่ได้อยากฉลองกับเพื่อน ฟ่างมีแค่ยายก็พอแล้วไงครับ”ผมเดินไปกอดยายจากด้านหลัง วันนี้ผมไม่อยากให้ใครมาอวยพรมากมายเหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้ว จริงๆ มีแค่คนสำคัญๆ มันก็เพียงพอแล้ว และคนสำคัญอีกคนที่ผมเคยเป่าเค้กวันเกิดร่วมกันมาหลายปี ไม่รู้วันนี้เค้าจะลืมวันเกิดของผมหรือเปล่า ทุกปีผมแทบจะได้ยินเสียงของเค้าแต่เช้าของวันเสมอ เค้าจะต้องได้โทรมาอวยพรวันเกิดผมแต่เช้า และขอคำอวยพรคืนจากผม แล้วเราก็จะพูดคุยถึงการฉลองวันเกิดร่วมกันในช่วงเย็น แต่ปีนี้ ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของพวกเราเสียไป เราทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย มีได้คุยโทรศัพท์กันบ้างก็นับครั้งได้

ข้าวโพดย้ายไปอยู่กับย่าที่ต่างจังหวัด เพราะเค้าเองก็เหลือญาติเพียงคนเดียวเหมือนกันกับผม จากวันนั้นผมก็เลยแทบจะไม่รู้ข่าวคร่าวอะไรเกี่ยวกับเค้ามากนัก ไม่ได้เจอกันมาเกือบปีแบบนี้เค้าคงสูงเลยผมไปไกลแล้วสินะ ก็ในขณะที่เค้าสูงเอาสูงเอา แต่ผมดันสูงขึ้นทีละนิดละหน่อยเอง นี่ก็คิดถึงเค้าเหมือนกันนะครับ เคยฉลองวันเกิดด้วยกันมาทุกปีตั้งแต่ผม 6 ขวบ มาปีนี้ไม่มีเค้าแบบนี้มันก็ใจหายแปลกๆ อยู่เหมือนกันนะครับ

“ฟ่าง ไปดูหน้าบ้านสิลูกว่าใครมา”ยายร้องบอกผมจากในครัว ให้ออกไปดูคนที่มากดกริ่งหน้าบ้านเรา ว่าแต่ใครกันมาเอาเย็นป่านนี้ ปกติบ้านเราก็ไม่ค่อยมีแขกเท่าไหร่หรอกครับ เรียกว่าแทบไม่มีเลยจะใช่กว่า แล้วนี่ผมมองลอดรั้วออกไปเห็นรถแทกซี่จอดอยู่ยิ่งแปลกใจ เพราะหญิงชราที่กำลังจ่ายค่าแทกซี่นั่นผมจำได้แม่นเลยว่าคือใคร ผมรีบวิ่งไปเปิดประตู ก่อนจะพบกับอีกคนที่ประคองกันเข้ามา

“สวัสดีครับคุณย่า แล้วนี่มายังไงกันครับ”แม้ผมจะดีใจที่ได้เจออีกคนที่มากับคุณย่า แต่ผมก็อดที่จะตำหนิเค้าไม่ได้ นี่คงหาเรื่องให้คุณย่าพามาถึงนี่แน่นอน ทั้งที่ย่าเค้าก็อายุมากแล้ว นี่ถ้าให้ผมเดาคงพากันนั่งรถทัวร์เข้ามาเป็นแน่ ถึงแม้ทั้งบ้านผมหรือบ้านของข้าวโพดจะไม่ได้ลำบาก ขัดสนเรื่องเงิน แต่ย่ากับยายของเราทั้งคู่ก็อายุมากเกินกว่าจะขับรถพาเราไปไหนต่อไหนได้เหมือนตอนที่พ่อแม่ของเราเป็นคนพาไป ของผมยังดีที่อยู่ในกรุงเทพฯ ไปไหนมาไหนก็ยังสะดวกอยู่บ้าง แต่ของข้าวโพดกับย่านี่ อยู่ต่างจังหวัดก็คงไม่สะดวกสักเท่าไหร่

“ฟ่างก็อย่าดุน้องมันเลยลูก น้องมันบ่นคิดถึงเราตลอดแหละ อีกอย่างย่าเองก็ยังแข็งแรงดี”ผมรีบพาทั้งสองคนเข้าบ้าน ก่อนจะพบว่ายายผมรู้อยู่แล้วว่าข้าวโพดกับย่าจะมาเซอร์ไพร์สผม บรรยากาศการทานข้าวเย็นในวันเกิดของผมในปีนี้ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด แม้จะไม่มีพ่อกับแม่อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังมียายกับย่า แล้วก็น้องข้าวโพดของผมอยู่อีกทั้งคน

“โพดให้พี่ฟ่างครับ”กล่องของขวัญที่ถูกห่ออย่างยับๆ ถูกส่งให้ผม นี่คงห่อเองสินะมันถึงได้ยับขนาดนี้ ผมจ้องมองกล่องของขวัญในมือ ข้าวโพดมีของขวัญมาให้ผม แต่ผมไม่รู้มาก่อนนี่นาว่าเค้าจะมา ผมเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เค้าสักอย่างนี่สิ

“แต่พี่ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้โพดเลยนะ พี่ไม่รู้นี่นาว่าโพดจะมา”ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิด ก็ใครใช้ให้เค้ามาไม่บอกไม่กล่าว แต่ดูเค้าก็รู้ในจุดนั้นอยู่แล้วละมั้ง เพราะเค้าก็ยังยิ้มแย้มอยู่เหมือนเดิม ว่าแต่นี่อาจจะเป็นการฉลองวันเกิดด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ ปีหน้ายายผมกับย่าของเค้าก็คงยิ่งอายุมากขึ้นไปอีก สุขภาพร่างกายคงไม่เหมาะจะเดินทางไปไหนไกลๆ อีกแล้ว

“งั้นโพดขอเลือกอะไรก็ได้ 1 ชิ้นในห้องของพี่ฟ่างตกลงไหมครับ”

“เด็กๆ เสร็จแล้วก็พากันไปอาบน้ำเข้านอนนะ นี่ก็ดึกแล้ว”ยายผมเดินออกมาบอกหลังจากที่เก็บถ้วยจานไปล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งผมและข้าวโพดจึงพากันเตรียมอาบน้ำเข้านอน

“ทำไมเราไม่อาบพร้อมกันละพี่ฟ่าง”เค้าเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อผมให้เค้าอาบน้ำก่อนผมเลย จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนตอนเด็กๆ เราก็อาบน้ำด้วยกันประจำ แต่ตอนนั้นมันไม่รู้สึกอะไรนี่นาส่วนตอนนี้ผมเองก็โตพอจะเริ่มรู้อะไรมากขึ้น รวมไปถึงความอายที่จะต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นด้วย ใช่อยู่ว่าข้าวโพดไม่ใช่คนอื่น แต่ผมก็ไม่อยากแก้ผ้าต่อหน้าเค้าอีกแล้ว

“พี่ฟ่างอายเหรอ อายทำไม แต่ก่อนเราก็อาบด้วยกันออกบ่อย”เค้ายังหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม แต่ผมรีบส่งผ้าเช็ดตัวให้เค้าแล้วผลักให้เค้าเข้าห้องน้ำไป ผมหันมาสนใจกล่องของขวัญที่ได้มาจากเค้า ผมค่อยๆ แกะกระดาษห่อออกอย่างเบามือ พลางยิ้มไปแกะไป เพราะจินตนาการ ตอนเค้านั่งห่อไปด้วย ผมว่ามันคงทุลักทุเลไม่น้อยทีเดียว

10 กว่าปีแล้วสินะที่พวงกุญแจอันนี้ยังสร้างรอยยิ้มให้ผมเสมอ แถมตอนนี้เจ้าของมันก็ยังมานอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ผม พวงกุญแจที่ผมกำลังพูดถึงนี่คือสิ่งที่ข้าวโพดให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 14 ปีของผม มันเป็นพวงกุญแจตุ๊กตาข้าวโพดตัวเล็กประมาณเท่ากำปั้นครับ เจ้าตัวเค้าบอกว่าที่เลือกให้สิ่งนี้กับผมเผื่อเวลาที่คิดถึงเค้าจะได้ดูโพดน้อยอันนี้แทนตัวเค้า ดูเอาเถอะครับ มีการตั้งชื่อให้ด้วยว่า “โพดน้อย”

“ตัวจริงโพดก็อยู่ตรงนี้ พี่ฟ่างจะยิ้มให้ไอ้โพดน้อยนี้ทำไมอีก”โพดน้อยถูกฉวยจากมือผมไปอย่างรวดเร็ว ไอ้คนที่แย่งไปก็คนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละครับ แล้วดูทำท่าหมั่นเขี้ยวใส่โพดน้อยอีก ผมส่ายหน้าหน่ายๆ เตรียมขยับตัวจะลุกจากเตียง แต่โดนอีกคนคว้าเอวไว้ให้ล้มลง กลายเป็นเค้ากอดผมไว้จากด้านหลัง ตัวเค้านั่งซ้อนผมอยู่อีกที อ้อมกอดที่แน่นขึ้นทำให้ผมต้องพยายามข่มความรู้สึก ไหล่ของผมเริ่มสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของอีกคนที่เกยคางลงมาที่ไหล่ของผม

“ดีใจจังที่พี่ฟ่างยังเก็บโพดน้อยไว้ เวลาเจอกันไม่เห็นพี่ฟ่างพกไปด้วย ผมนึกว่าโพดน้อยถูกทิ้งไปแล้วเสียอีก”เค้าพูดพร้อมคลอเคลียอยู่ที่ไหล่ของผม นี่เค้ารู้หรือเปล่าการกระทำของเค้าแบบนี้ มันทำให้ผมหวั่นไหว ผมพยายามขืนตัวออก แต่วงแขนของเค้าก็ยังรัดผมเอาไว้เหมือนเดิม

“ก็เวลาไปเจอโพดตัวจริง โพดน้อยมันก็ไม่จำเป็นแล้วไง”ผมแกล้งพูดล้อตามที่เค้าเพิ่งพูดไป

“โห ทีโพดยังเอาของที่พี่ฟ่างให้ ติดตัวไปทุกที่เลย”โหไอ้ของแบบนั้น ผมไม่อยากจะรับว่าเป็นคนให้เลยครับ เพราะเค้าเป็นคนเลือกเอง แถมผมไม่ได้เต็มใจให้ด้วย

“ทิ้งไปหรือยังเนี่ย ไม่ใช่ใส่มาอีกแล้วนะ”ผมยังพูดไม่ทันขาดคำ เค้าก็ทำท่าภูมิอกภูมิใจเปิดชายเสื้อตัวเองขึ้น ถกขอบกางเกงลงเล็กน้อย แค่นั้นไอ้บอกเซอร์ยืดๆ ย้วยๆ ที่มันเคยเป็นของผม และอายุการใช้งานมายาวนานมากกว่า 10 ปีแล้ว ก็ออกมาอวดโฉมให้ผมเห็นอีกครั้ง

ก็ไอ้ตอนที่ให้เค้าเลือกของอย่างนึงในห้องผม ข้าวโพดดันเลือกที่จะหยิบบอกเซอร์ของผมไป แล้วเลือกตัวไหนรู้ไหมครับ เลือกตัวที่ผมเพิ่งถอดก่อนจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำในคืนนั้นแหละครับ ให้เปลี่ยนเอาอย่างอื่น ตัวอื่นก็ไม่เอา แรกๆ เค้าก็มาไม่ได้เอาไปใช้หรอกครับ เก็บไว้ดูต่างหน้า แต่มันเป็นของต่างหน้าที่ผมไม่อยากเป็นคนนั้นเลยครับ จนตอนหลังที่นัดมาเจอกันทุกๆ ปี เค้าจะเอามาใส่อวดผมทุกครั้ง ไม่ต้องสืบเลยครับว่าตอนนี้สภาพมันจะเยินขนาดไหน

“อุบาทว์ ไปถอดทิ้งไป เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่ ผมเผ้านี่อีกไปตัดไหม เห็นแล้วนึกว่าเพิ่งหลุดมาจากป่าเขา”ผมรีบบอกพร้อมเอื้อมมือไปจับเส้นผมของเค้าที่ดูรุงรังไม่เป็นทรงเอาเสียเลย

“งั้นเดี๋ยวผมขอเลือกบอกเซอร์ตัวใหม่ของพี่ก่อน แล้วค่อยไปตัดผมดีไหมครับ”เค้าบอกทั้งที่ยังคลอเคลียอยู่ที่ไหล่ของผม ผมเริ่มคิดว่าแม้ปีนึงเราจะได้เจอกันแค่ครั้งเดียว แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดแล้ว การที่ผมไม่เหลือทั้งพ่อและแม่ พอยังมีเค้าให้ผมได้คิดถึงและเป็นห่วงแบบนี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ

“จะมาเลือกบอกเซอร์ของพี่อะไรอีกละ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะมาเอาของใช้คนอื่นไปใช้ต่อพิเรนทร์ๆ แบบนี้ทำไมอีกละ”ผมบอกเสียงเนือย ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงห้ามไปเค้าก็คงไม่ฟัง

“ซื้อใหม่ทำไมเปลืองตังค์ เดี๋ยวขอพี่ฟ่างนี่แหละ”เห็นไหมครับเค้าฟังผมที่ไหนกัน ยิ่งพอโตมาตัวโตกว่า แทบจะทำเหมือนผมเป็นน้องเค้าเสียด้วยซ้ำ

“เอา จะเอาไรก็เอา ห้ามไม่ฟังอยู่แล้วนิ”ผมบอกอนุญาตแต่ก็แฝงน้ำเสียงประชดไว้ด้วยหน่อย แต่ถามว่าเค้าจะรู้สึกอะไรไหมนะเหรอครับ ก็จะรู้สึกอะไรละครับ ยิ้มหน้าระรื่นไปรื้อตู้เสื้อผ้าผมเรียบร้อย ไม่นานนักเค้าก็ชูบอกเซอร์ 2 ตัวให้ผมดู

“แล้วทำไมต้องเอาไปสองตัวด้วยละ”จริงๆ ก็ไม่ได้หวงของอะไรหรอกนะครับ มันก็ตัวไม่กี่บาท แต่แค่ไม่เข้าใจว่าจะมาอยากได้ของผมทำไม แถมใช้แล้วอีกต่างหาก หรือนี่ผมมีน้องชายโรคจิตไปแล้ว ก็ไม่น่าจะใช่อ่ะเนอะ

“ก็จะได้เปลี่ยนสลับกันใส่ รู้สึกอุ่นในมีพี่ฟ่างไปด้วยตลอดเวลา”นี่ผมควรดีใจไหมครับ กับคำตอบของเค้าเนี่ย

“ให้พี่ติดไข่ฟ่างไปทุกที่เนี่ยนะ น่าภูมิใจเหลือเกิน”ผมแกล้งพูดล้อเลียนใส่เค้า จนเจ้าตัวเค้าหันมาทำท่าเตรียมจับตัวผม สมัยเด็กๆ ถ้าเห็นท่าแบบนี้เราสองคนจะรู้กันว่ามันคือท่าเตรียมไล่ตะครุบอีกคน แต่พอโตมาเราก็ไม่เล่นอะไรแบบนี้กันอีกแล้ว

“นี่รังเกียจไข่น้องเหรอ งั้นมาดมไข่น้องหน่อยเป็นไง”สายตาที่จ้องมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้ผมต้องถอยตัวตั้งรับ แม้จะไม่คิดว่าเค้าจะเล่นจริงๆ อย่างที่พูดก็เถอะ แต่แล้วผมก็คิดเมื่อเค้าพุ่งเข้ามาหาผม จนผมเซล้มลง

“เล่นอะไรเนี่ยโพดไม่เอา ฮ่าๆ”พอจับผมได้ก็มาจี้เอวผม ไอ้ผมก็ไม่ถึงกับบ้าจี้หรอกนะครับ แต่มันก็จั๊กจี้นี่นา

“พอแล้วโพด ฮ่าๆ พอแล้ว”เค้าหยุดแกล้งผมปล่อยให้ผมนอนหงายกับพื้นหอบหายใจอยู่ ส่วนตัวเค้าก็นอนนิ่งเอาหัวหนุนที่พุงของผม เราต่างเงียบไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับผม ตอนนี้ผมกำลังต้องเริ่มข่มใจอีกแล้ว บางทีผมว่าเราก็ไม่ควรเล่นอะไรที่ถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้

“หนักนะเนี่ย ลุกไปอาบน้ำอาบท่าไป จะได้ออกไปตัดผม”ผมเป็นคนทำลายความเงียบเพราะเริ่มอึดอัดกับท่าทางที่เราอยู่ตอนนี้

“พี่ฟ่างมีแฟนแล้วเหรอครับ”ผมขยับตัว ยกหัวขึ้นดูว่าเค้าอยู่ในอารมณ์ไหน เพราะฟังดูน้ำเสียงค่อนข้างจะจริงจังทีเดียว แต่เค้าก็ยังนอนนิ่งทับผมอยู่ทำให้ผมลุกขึ้นไม่ได้

“อยู่ๆ ทำไมถึงถาม”ที่จริงครั้งก่อนเค้าก็ส่งข้อความถามผมมาแล้วแหละครับ เพียงแต่ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบ แม้ความจริงผมเองก็ไม่ได้มีใคร แต่ผมไม่เข้าใจในเจตนาของเค้าที่ถาม ว่าต้องการคำตอบยังไงจากผม จริงอยู่ที่เราสนิทสนมกัน แต่การที่เราไม่ได้เจอกันตลอดเราทั้งคู่ก็คงต่างมีเรื่องราวที่ไม่บอกหรือไม่อยากบอกอีกฝ่ายอยู่แล้ว

แม้ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นความลับ หรือว่าบอกกับเค้าไม่ได้ แต่ผมเองก็มีนิสัยดื้อเงียบ หรืออยากที่จะเอาชนะตามประสานิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละครับ

“ก็พี่ต้าร์บอกว่าพี่ฟ่างมีแฟน”ไอ้ต้าร์งั้นเหรอ ถ้าวันนั้นก็ได้ยินกันอยู่ ว่ามันแค่พูดแซวว่าผมแรด เป็นการแซวเล่นๆ แล้วเค้าก็เอาการแซวนี้มาตั้งคำถามเอากับผม นี่ละมั้งครับสาเหตุจริงๆ ที่ผมไม่อยากตอบเค้า ผมไม่ชอบที่เค้าตีความอะไรแบบนี้ ถ้าจะถามแทนที่จะมาถามว่าที่ไอ้ต้าร์พูดมันหมายความว่ายังไง ไม่ใช่ไปตีความหมายในคำพูดแล้วมาตั้งคำถามใหม่แบบนี้

“แล้วยังไงต่อ”ผมย้อนถามกลับเสียงเรียบ จากนั้นเราต่างคนก็ต่างเงียบ ที่จริงผมไม่ชอบหรอกนะครับที่ต่างคนต่างมีอะไรในใจแล้วไม่พูดออกมาแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ บางทีเราสองคนก็มีอะไรคล้ายกันเกินไป อย่างเรื่องอยากเอาชนะซึ่งกันและกันนี่แหละ

“ผมไปอาบน้ำล่ะ”เค้าลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ผมลุกขึ้นนั่งพ่นลมหายใจยาวๆ พยายามปรับอารมณ์ตัวเอง เพราะทั้งผมและเค้าต่างรู้ดีว่าหลังจากที่เค้าออกมาจากห้องน้ำ


TBC

เนื้อเรื่องจะเล่าอดีตสลับกับปัจจุบันไปนะครับ

แต่อดีตจะไม่เรียงลำดับ อยากดึงช่วงอายุไหนมาใส่ก็ดึงนะครับ :z3:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-07-2017 19:19:30
 :z3:

จะงงไหมเรา
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-07-2017 20:02:05
โพด พูดกันไปเลย ว่ารู้สึกยังไงต่อฟ่าง
เพราะฟ่างคงไม่พูดก่อนแน่

ดูแล้วเหมือนฟ่างก็รู้สึกหวั่นไหวกับโพดนะ

โพด นี่เหมือนรู้สึกกับฟ่างเกินพี่น้องตั้งนานแล้ว
ดูอย่างเลือกของขวัญวันเกิดที่ฟ่างไม่ได้เตรียมให้
โพด เลือกบ๊อกเซ่อร์ของฟ่างที่ใส่แล้ว  :z3: :z3: :z3:
แล้วโพดชอบนัวเนียถึงเนื้อถึงตัวฟ่างอีก

ที่ชอบเอาชนะกัน เลิกก็ดีนะ
มันยิ่งทำให้ห่างกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-07-2017 08:47:54
บทที่ 3
ก็เคยสัญญา




“โพดจะจินไอติม ไอติม”ผมพยายามกลั้นขำกับท่าทีของน้องชายตัวเล็ก เพราะไม่คิดว่าเค้าจะเล่นไม้นี้ ซึ่งทำเอาแม่ผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว วันนี้ข้าวโพดถูกมาฝากไว้กับบ้านผม แม่ผมเลยต้องดูแลทั้งผมและข้าวโพดด้วย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกับการที่ต้องดูแลพวกผมสองคน แบะตอนนี้แม่ผมก็พาเราทั้งคู่ออกมาหาอะไรทานที่ห้าง

“น้องโพดลูก แม่ขวัญบอกแล้วไงครับ ว่ากินข้าวก่อนเดี๋ยวค่อยมากินไอติมกัน”ใช่ครับก่อนมา ก็พูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่ามันจะเป็นแบบนั้น ทั้งที่ทุกคนก็ทราบว่า ไอ้เจ้าเด็กแสบนี่ชอบที่จะทานของหวานก่อนของคาว ซึ่งผมก็ว่ามันไม่เห็นจะเป็นไร อยากกินอะไรก็กิน แต่ทั้งแม่เค้าและแม่ผมกลับบอกว่า ถ้ากินของหวานก่อนเดี๋ยวก็พาลไม่อยากข้าว มันจะได้สารอาหารไม่ครบ ตัวผมก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ กินอะไรก่อนก็ได้

แต่เจ้าตัวแสบนี่แหละ คงยังมีความอยากแหกกฎของแม่ๆ อยู่ ก่อนจะออกมาจากบ้านเลยมีการมากระซิบ ผมให้ผมช่วยคุยกับแม่ว่าขอกินไอติมก่อน แล้วค่อยไปกินสเต็กตามที่วางแผนไว้ แต่ผมคิดว่ายังไงแม่ก็ไม่ฟังผมหรอก มีแต่จะดุผมเสียมากกว่า

“พี่ฟ่างคอยดู โพดจะต้องได้จินติมก่อน”ตัวแสบพูดพร้อมชูนิ้วป้อมๆ มาถูจมูกตัวเอง คงคิดว่าเท่ห์มากสินะ ไอ้แสบเอ้ย และนั่นคือคำที่เค้าบอกก่อนจะออกจากบ้านมา พอตอนนี้ก็มาใช้วิธีแหกปากร้องเนี่ยนะ มันเท่ห์ตรงไหนเนี่ย

“โพดไม่เคยดื้อ ไม่เคยขออะไรแม่ขวัญเลย ทำไมโพดขอแค่นี้ แม่ขวัญให้โพดไม่ได้ละฮ่ะ”นี่เด็กยังไม่ถึง 4 ขวบรู้จักบีบน้ำตาแล้วเหรอนี่ ผมได้แต่ยืนดูการแสดงของน้องชายอย่างเงียบๆ และเหมือนแม่ผมก็กำลังจะใจอ่อนเสียด้วยสิครับ เด็กนี่มันร้ายจริงๆ นะครับเนี่ย

“โอเคครับ แต่ทานไอติมแล้ว ต้องไปทานสเต็กต่อนะครับ สัญญากับแม่ขวัญก่อน”นั่นไงแม่ผมใจอ่อนแล้ว ส่วนไอ้เด็กแสบนั่นก็คงดีใจจนแทบเก็บไว้ไม่อยู่ รีบหันมายักคิ้วอย่างผู้ชนะให้กับผม แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ร้ายกว่าเค้ายังมี เค้าพลาดแล้วที่ดันให้ผมรู้เรื่องก่อนว่าเค้ามีแผนมาแบบนี้

“แต่พี่ฟ่างว่า ถ้าโพดอยากเป็นเด็กดี ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่นะ แล้วก็ต้องรู้จักอดทนรอด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ได้กินไอติมเสียหน่อย เราแค่จะได้กินทีหลัง สเต็กแค่นั้นเอง”ผมยักคิ้วส่งกลับให้เจ้าตัวแสบ ซึ่งเค้าก็ไปต่อไม่ได้ เพราะคงไม่คิดว่าผมจะเล่นแบบนี้ สุดท้ายเราทั้งสามก็มานั่งที่ร้านสเต็ก เจ้าตัวแสบก็นั่งหน้ามุ่ย ไม่พูดไม่จา เรียกว่าไม่มองหน้าผมเลยด้วย

“นี่สเต็กปลาของโปรดโพดไงครับ เค้าว่ากินปลาแล้วจะฉลาดนะ กินเยอะๆ จะได้โตทันพี่ฟ่าง เอาให้ฉลาดกว่าพี่ฟ่างเลย”แม่ผมคงรู้แล้วละครับว่าน้องคงงอนผมแน่ๆ เลยต้องหาทางโอ๋ เจ้าเด็กแสบนี่ เด็กนี่ก็บ้ายอครับ ยิ่งพอบอกว่าอะไรก็ตามที่จะเทียบเท่าผมได้นี่รีบทันทีเลย

“โพดจะโตกว่าพี่ฟ่าง”เด็กน้อยเอ้ย หลอกแค่นี้ก็เชื่อด้วย นั่นคือความคิดผมตอนเด็กๆ ที่คิดว่าเค้าไม่มีทางโตทันผม เพราะยังไงผมก็เกิดก่อนเค้าตั้ง 2 ปี เค้าจะมาตัวโตกว่าผม สูงกว่าผมไปได้ยังไง จนโตขึ้นผมถึงได้เข้าใจว่า ถึงจุดนึงพัฒนาการทางด้านร่างกายคนเรามันจะหยุด และอีกอย่างมันไม่ได้พัฒนาหรือหยุดเท่ากันนี่สิ

“เป็นไงหล่อใช่ไหมละ”น้องชายตัวโตของผมที่ตัดผมเสร็จแล้ว เดินเข้ามานั่งกับผม ระหว่างที่รอเค้าไปตัดผมเค้าให้ผมมานั่งรอในร้านกาแฟ เพื่อที่พอเค้าตัดผมเสร็จเรียบร้อย จะได้มากินเค้กในร้านกาแฟนี่ ก่อนที่เราจะไปทานข้าวกัน ใช่แล้วครับไอ้นิสัยทานของหวานก่อนของคาวของเค้า พอโตขึ้นก็ไม่มีใครห้ามได้แล้วละครับ

“ก็หล่อนะ แต่น้อยกว่าพี่นิดนึง”ผมบอกออกไปยิ้มๆ พร้อมมองสภาพเค้าที่ดูเป็นผู้เป็นคน ผมเผ้าไม่รุงรังแล้ว ก็ไม่เข้าใจว่าแต่ละปีเค้าต้องมาในสภาพที่ผมต้องไล่ไปตัดผมโกนหนวดทุกครั้ง

“คร๊าบบบ พี่ฟ่างหล่อที่สุดในโลกเลย”เค้าทำเสียงล้อเลียนผมก่อนจะลุกไปเลือกเค้ก มันช่างดูเป็นภาพที่ไม่เข้ากันเอาเสียเลย ปกติมีแต่สาวๆ ชอบทานขนมหวานอะไรแบบนี้ แต่นี่ผู้ชายตัวโตๆ ยืนเลือกเค้ก แล้วมานั่งตักกินอย่างเอร็ดอร่อย แถมทำหน้าฟินยังกับอะไร ภาพมันดูขัดแย้งกันอย่างมาก นี่ผมว่าถ้าผมเป็นคนชอบขนมหวานอะไรพวกนี้ยังจะดูเข้ากันมากกว่าอีก

“พี่ฟ่างตามใจโพดแล้ว ทีนี้อยากกินอะไรเลือกเลยครับ โพดเลี้ยงเอง”ผมนั่งนึกว่าอยากกินอะไร แต่มันเป็นปัญหาโลกแตกมากเลยนะครับ กับการต้องเป็นคนเลือกเนี่ย แต่จะให้พ่อน้องชายเลือกอีกก็ไม่ค่อยรู้จักร้านอะไรแถวนี้อีก เพราะเค้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยนี่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจเลือกอะไร โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นเสียก่อน

“พี่โอ๋สุดสวยว่าไงครับ”ผมกรอกเสียงไปตามสไตล์ปกติ แต่เหมือนคนตรงหน้าผมจะมองมาอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วอยู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมาละนั่น ผมฟังเสียงเจ้โอ๋ที่อารัมภบทมามากมาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการถามว่าผมยังอยู่ในกรุงเทพฯ ไหม จะชวนไปนั่งดื่มสักนิด ผมหยุดคิดว่าจะตอบเจ้โอ๋ยังไง แต่พอมองหน้าพ่อน้องชายตัวดี ผมว่าผมพอจะได้คำตอบแล้วละ

“พอดีพรุ่งนี้บินเช้าอ่ะพี่ น้องชายผมก็มาแล้วด้วยคงไม่ค่อยสะดวก เอาไว้ค่อยเจอกันหลังผมกลับมาแล้วกันนะครับ”ผมกดวางสายพร้อมมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ เพราะเค้าเหมือนรอผมพูดอะไรสักอย่าง ที่จริงถ้าเค้ายังดูอารมณ์ดีเหมือนทีแรกผมก็จะชวนเจ้โอ๋แกออกมานั่งทานอะไรด้วยกันนะครับ

“ป่ะ พี่นึกร้านออกแล้วว่าเราจะไปทานร้านไหนกันดี”เมื่อเค้าไม่พูดอะไร ผมก็ตัดบทด้วยการชวนเค้าออกจากนี่เลยนี่แหละ

“สองคนเหรอ”ผมหันกลับไปมองเค้าว่าคำถามของเค้าหมายความว่ายังไง หรือคิดว่าผมจะชวนเจ้โอ๋ไปด้วย แต่เค้าก็ได้ยินสิ่งที่ผมคุยแล้วนิ ตกลงนี่เค้าเป็นอะไร ตั้งแต่ก่อนออกจากคอนโดมาก็ทีนึงแล้วนะ

“ก็เรามากันสองคนไม่ใช่เหรอ”ผมพยายามตอบเค้าไปตามปกติ เพราะถ้าผมเองก็ไปอารมณ์เสียใส่เค้าด้วยมันน่าจะยิ่งไปกันใหญ่

“แล้วเมื่อกี้ ใครโทรมา”ปกติเค้าไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกอะไรแบบนี้นี่นา เรียกว่าเราไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้จักสังคมของเค้า และผมก็คงไม่ไปละลายละล้วง เว้นให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเค้า ส่วนของผมก็คงมีแค่ไอ้ต้าร์กับกุ้ง ที่เค้าได้เข้ามาสัมผัสหรือได้มารู้จัก แต่ตอนนี้ผมกำลังมองว่าเค้าล้ำเส้น ไม่ใช่ล้ำเส้นที่อยากรู้ว่าใครโทรหาผม

เพราะจริงๆ ถามว่าผมพาเค้าไปแนะนำกับทุกๆ คนที่ผมรู้จักได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่าเค้าล้ำเส้นมันคือกริยาอาการที่เค้าแสดงต่อผมตอนนี้ต่างหาก ถ้าเค้าคุยกับผมดีๆ ทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารักของผมอย่างที่เป็นมา ความรู้นี้ของผมมันจะไม่เกิดขึ้นเลย ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบอะไร และเดินนำเค้าออกจากร้านกาแฟ

“แฟนพี่เหรอที่โทรมา”นี่มันอะไรกันเนี่ย ตกลงเค้ากับผมจะเล่นสงครามประสาทกันให้ได้สินะ เอาเถอะ เพราะผมเองก็มีส่วนให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมเองก็เลือกที่จะไม่อธิบายอะไร

“นับสิบนะ ถ้าสิบยังไม่หายก็นับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงร้าน”ผมบอกในสิ่งที่เค้าเองก็ต้องเข้าใจว่าหมายความว่ายังไง มันคือวิธีการที่แม่ๆ ของเราสอนให้เอาไว้ใช้สงบสติอารมณ์ ไม่ว่าตอนนั้นเราจะคิดว่าตัวเองผิดหรือไม่ก็ตาม ให้นับเลขในใจไปเรื่อยๆ ถ้าอารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาคุยกัน แต่หลังๆ ผมกับเค้าก็เอามาใช้แบบผิดๆ เพราะแทนที่พอเย็นลง จะคุยกันด้วยเหตุผลให้เข้าใจ เราสองคนกลับแกล้งลืมมันไปเสียดื้อๆ

เค้าเงียบมาตลอดทางโดยไม่พูดอะไรอีก ผมไม่รู้ว่าเค้ากำลังสงบสติอารมณ์หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมก็คงปล่อยให้เค้าเงียบไปก่อน แต่ผมว่าผมคงต้องรีบเคลียร์เรื่องนี้กับเค้าแล้วละครับ ไม่งั้นอีกหลายวันนับจากนี้ที่เราต้องอยู่ด้วยกัน ทั้งที่นานๆ จะเจอกันทีแบบนี้ มันก็ควรเป็นช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมากกว่าจะมาอึดอัดใส่กันแบบนี้

“คือพี่/คือโพด”กลายเป็นว่าทั้งผมและเค้า หันหน้าหากันจะพูดอะไรสักอย่างทันทีที่ผมขับรถถึงจุดหมาย

“โพดขอโทษที่หงุดหงิดใส่พี่ฟ่างนะครับ ผมก็แค่รู้สึกว่าเราสองคนห่างกันไปทุกที รู้เรื่องราวของกันและกันน้อยลงเรื่อยๆ”เค้าก็รู้นิ ว่าระหว่างเราตอนนี้มันเป็นยังไง แต่ก็นั่นแหละครับ เราต่างมีชีวิตของตัวเอง ผมไม่ได้อยากไปเรียน หรือไปทำงานที่ต่างประเทศ ผิดกับเค้าที่อยากไปเรียน รวมทั้งทำงานในต่างแดน เราสองคนเลยมาบรรจบกันได้ยาก การจะให้รับรู้ทุกเรื่องของกันและกันอย่างตอน 3-4 ขวบ มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

“พี่ก็ขอโทษ ที่ทำให้โพดหงุดหงิด งั้นเรามาสัญญากันว่าช่วงเวลาที่จะอยู่ด้วยกันนี้ เราจะให้มันเป็นอีกปีดีๆ ระหว่างเรา”ผมยิ้มให้เค้าอย่างจริงใจ แม้ในใจผมจะสับสน แต่นี่มันก็ดีที่สุดแล้วละ การที่เรายังได้เจอกันแบบนี้ ก็คงดีกว่าการที่เราสองคนไม่เจอกันอีกเลย

“ครับ”ผมตอบรับเสียงแผ่วในทีแรกก่อนจะกลับมาเป็นยิ้มแย้มเช่นเดิม แม้ผมจะสงสัยในท่าทีนั้น แต่สิ่งที่เพิ่งบอกกับเค้าไปทำให้ผมเลือกที่จะยังไม่ถามอะไรออกไป

“อ้าว นี่มันร้านกาแฟนิ ไมพาผมมาร้านกาแฟอีกละ เราก็เพิ่งออกจากร้านกาแฟมาไม่ใช่เหรอครับ”ผมไม่ได้ตอบ แต่เดินนำเค้าเข้ามาในร้าน ร้านนี้ดูภายนอกก็คงมองว่าคือร้านกาแฟ ซึ่งมันก็คือร้านกาแฟนั่นแหละครับ เพียงแต่มีอาหารคาว หลากหลายเมนูอยู่ในร้านด้วย แถมเมนูเครื่องดื่มนอกจากบรรดา ชา กาแฟ ตามแบบร้านทั่วๆ ไปแล้ว ในร้านยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีร้านลักษณะนี้เยอะขึ้นนะครับ ส่วนหลักๆ ที่ผมเลือกร้านนี้ เพราะมีเครื่องดื่มที่ผมชอบนี่แหละครับ

“แล้วก็ Erdinger 1 ที่นะครับ”ผมปิดท้ายรายการสั่งด้วยเบียร์ตามที่ตั้งใจ ร้านนี้นอกจากอาหารใช้ได้แล้ว เบียร์จากหลากหลายประเทศ ก็มีมาให้ลิ้มลองหลากหลายรสชาติด้วยครับ

“เพลาๆ บ้างก็ดีนะพี่เรื่องเหล้าเรื่องเบียร์เนี่ย ปีที่แล้วค่าการทำงานของตับก็ไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ”ก็พอรู้ว่าเค้าเตือนเพราะเป็นห่วง แต่สุขภาพผมก็ยังไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น อีกอย่างผมก็ไม่ได้ดื่มบ่อยๆ เหมือนตอนเป็นวัยรุ่นแล้ว จริงๆ นี่ผมก็ยังวัยรุ่นนะครับ แค่อายุจะแตะเลข 3 ยังไม่ถือว่าแก่หรอก

“โพดลดของหวานให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยมาห่วงพี่ เพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอเค้กเนี่ย มาถึงก็ยังมาสั่งอีก”

“โอเคผมยอมแพ้ เรามาเป็นพี่น้อง 2 โรคไปด้วยกันเนอะ พี่ตับแข็งกับน้องเบาหวานเป็นไง”

“อีกแก้วครับน้อง”ผมชี้ที่เบียร์เยอรมันแก้วยาวที่ผมเพิ่งดื่มหมดไป ว่าขออีกแก้ว แม้จะมีสายตาพิฆาตจากน้องชายที่ส่งมาเตือน ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ

“ขากลับโพดก็ขับไง พี่ไม่แย่งขับหรอกไม่ต้องห่วง”ผมรีบผลักภาระเรื่องการขับรถ เผื่อเค้าจะเลิกตาขวางใส่ผมบ้าง ผมตีมึนแกล้งยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วพ่อน้องชายผมก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่พรุ่งนี้เราบินไฟลท์เช้านะครับ อย่าดื่มเยอะมากนะครับ”เค้าก็ยังบ่นเหมือนเดิมอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้ดูจริงจังมากนัก แต่จริงๆ น่าจะออกแนวเบื่อที่จะพูดแล้วเสียมากกว่า เค้าก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละครับ ชอบทำเหมือนผมเด็กกว่า ทั้งที่ความจริงผมเป็นพี่เค้า

“รู้แล้วครับพี่ข้าวโพด นี่ใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่นา”ผมยื่นหน้าพร้อมพูดประชด ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม ทำเหมือนไม่สนใจเค้า แต่สายตาผมก็แอบเหล่ๆ มองเค้าอยู่เช่นกัน ซึ่งก็เห็นว่าเค้าจ้องมองผมตาไม่กระพริบเลย

“ก็พี่ฟ่างชอบทำตัวให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ผมเป็นห่วงจริงๆ นะ พี่ฟ่างไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย”ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้าตรงๆ เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงที่เค้าพูดดูจริงจัง เราต่างคนต่างมองกันนิ่งๆ ผมมองลึกลงไปในแววตาของเค้า ลึกๆ แล้วก็อยากรู้นะครับว่าเค้าคิดยังไงกับผมกันแน่ ความสัมพันธ์ของเรามันควรหยุดอยู่ที่พี่น้องจริงๆ หรือเปล่า

“โพดก็กลับมาดูแลพี่สิ”ผมพูดออกไปหน้านิ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของเค้า ผมไม่เคยถามถึงการใช้ชีวิตหลังจากเค้าเรียนจบ ซึ่งก็ใกล้จบเต็มทีแล้ว ผมก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าที่เค้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับผม มันจะคือการที่เค้าจะกลับมาใช้ชีวิตที่ไทยถาวร ถึงความจริงผมจะรู้ว่าเค้าเคยแพลนอยากใช้ชีวิตที่โน่นก็เถอะ

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ดูแลพี่ฟ่างตามที่เคยสัญญาไว้”


TBC



ต่อคร๊าบบบ

คู่นี้ก็จะอึนๆ มึนๆ กันไป
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 3 ก็เคยสัญญา 02-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-07-2017 08:51:47
บทที่ 4
ดูแลตัวเองได้





“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเนี่ย”ผมทักทายน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน ก็ตั้งแต่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตก็ดูวุ่นวายไปหมด ทำให้ทั้งผมและเค้าก็ขาดการติดต่อกันไปบ้าง ผมมองน้องชายในวัย 17 ปีที่ดูโตขึ้นมากกว่าครั้งล่าสุดที่เคยเจอเยอะเลยทีเดียว ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ที่สถานีขนส่งหมอชิต ผมมารับเค้าที่มาจากต่างจังหวัด เพื่อเตรียมตัวที่เดินทางไปในที่ที่เราทั้งคู่เคยสูญเสีย

การสูญเสียครั้งนั้นทำให้ชีวิตเราสองคนพลิกผันไปมากอยู่เหมือนกัน แถมตอนนี้ทั้งผมและเค้าก็เรียกได้ว่าต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียวอย่างแท้จริงแล้ว เพราะหลังจากพ่อและแม่ของพวกเราเสียไป ทีแรกเราทั้งคู่ก็ยังพอมีที่พึ่ง ผมเองก็ยังมียายที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งยายก็จากผมไปได้เกือบสองปีแล้ว ส่วนข้าวโพดนี่ก็เพิ่งสูญเสียคุณย่าไปใกล้จะครบปีแล้ว

“คิดถึงตอนเด็กๆ เนอะที่โพดเคยบอกอยากจะโตให้ทันพี่ฟ่าง ตอนนี้ผมโตทันแล้วนา”เค้ารีบเข้ามายืนเทียบกับผมให้เห็นว่าตอนนี้ตัวเค้าสูงเลยผมไปเรียบร้อยแล้ว ผมยิ้มก่อนจะเดินนำเค้าตรงไปยังจุดขึ้นแทกซี่

“หิวหรือเปล่า แวะกินข้าวก่อนไหม”ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าเค้านั่งรถมาหลายชั่วโมงจะได้ทานอะไรบ้างหรือยัง

“ไม่ค่อยหิวครับ อยากรีบไปพักมากกว่า”เค้าบอกกับผมยิ้มๆ เรารอรถแทกซี่ไม่นานก็ได้ขึ้นรถ ช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ปกติรถอาจจะเยอะแต่ช่วงนี้หลายๆ ที่ก็เริ่มหยุดยาวกับเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่แบบนี้ สองข้างถนนตอนนี้ก็เต็มไปด้วยแสงไฟที่ประดับประดา เพิ่มสีสันให้กับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง เราต่างคนต่างนั่งมองสองข้างทางอย่างเงียบๆ จนรถมาหยุดที่หน้าบ้านผม

“เดี๋ยวโพดไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนละกัน พี่จะเตรียมหาไรไว้ให้กิน แต่บอกก่อนว่าฝีมือพี่ค่อนข้างแย่ ยังไงก็ฝืนๆ กินหน่อยแล้วกันนะ”ตอนนี้เหมือนระหว่างผมกับเค้าจะเกร็งๆ กันหน่อย เพราะไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน พอเริ่มโตกันแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เรียกว่าแทบไม่เจอกันเลยมากกว่า พอมาเจอกันก็เหมือนต่างคนต่างยังไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงกัน

ข้าวโพดแยกไปอาบน้ำ เพื่อให้สบายตัวพักจากการเดินทางมาหลายชั่วโมง ส่วนผมก็เตรียมอะไรง่ายๆ ไว้รอเค้า การที่อยู่คนเดียวมาเกือบสองปีแล้ว ทำให้ผมก็พอจะทำอะไรง่ายๆ ไว้ทานเองได้บ้าง ผมยังคงอยู่บ้านหลังเดิมหลังจากยายเสียไปแล้ว ข้าวโพดก็เช่นกันที่ต้องใช้ชีวิตลำพัง แต่ก็ยังมีลุงทนายที่ยายกับย่าของผมและข้าวโพด จัดทำพินัยกรรมและให้เป็นคนดูแลเราทั้งคู่ ก่อนจะบรรลุนิติภาวะ คือทุกอย่างก็ถูกยกให้เป็นของพวกเรานั่นแหละครับ เพียงแต่ตอนยังอายุไม่ครบ 20 ปี ก็จะได้รับค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งก็เป็นจำนวนที่เราทั้งคู่สามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบาก

ส่วนนี่เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าอยากไปรำลึกถึงพ่อกับแม่ในที่ที่พวกท่านจากผมไป เลยลองชวนข้าวโพดดูว่าสนใจไปด้วยกันไหม และแน่นอนว่าเค้าตอบตกลง ถึงได้มาอยู่ที่บ้านกับผม ตอนนี้ เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้า จะไปขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้ โชคดีที่ผมคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เลยทำการจองตั๋วรถทัวร์รอไว้แล้ว ไม่งั้นช่วงจะหยุดยาวแบบนี้คงยากที่จะหาที่ว่างสำหรับการเดินทาง

เราทานข้าวกับอาหารที่ผมเป็นคนทำอย่างง่ายๆ หลังได้คุยกันสักพักเราสองคนก็จูนกันติด ความคุ้นเคยที่มีมาตั้งแต่เด็กทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ แต่เราทั้งคู่ก็รู้ดี ว่ายิ่งเข้าใกล้เรื่องอดีตมากเท่าไหร่ เราทั้งคู่ก็ต้องต่อสู้กับความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นมากเท่านั้น

“แล้วเรื่องเรียนต่อ โพดจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ไหม ถ้ามาก็มาอยู่ที่บ้านกับพี่ได้นะ”ผมเคยคุยกับเค้ามาบ้างนิดหน่อยสำหรับเรื่องนี้เพราะนี่ก็เทอมสุดท้ายสำหรับชีวิตมัธยม ของเค้าแล้ว เห็นว่ากำลังตัดสินใจอยู่ ใจนึงก็อยากให้เค้ามาอยู่ที่กรุงเมพฯ นี่นะครับ แต่ถ้ามาแล้วไม่ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ผมก็ว่าเค้าไม่ควรมา เท่าที่จำได้เหมือนเค้าเคยบอกกับผมว่าเล็งคณะที่มหาวิทยาลัยทางเหนือไว้

“ที่จริงก็ได้โค้วต้าที่เชียงใหม่แล้วแหละครับ แต่ก็ยังตัดสินใจอยู่ว่าจะสละสิทธิ์ไหม”เค้าบอกไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ถ้าได้ที่เราชอบแล้วก็ตัดสินใจไปเถอะ อะไรที่เราชอบเราก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไปนะ เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอด”ผมให้คำแนะนำในฐานะที่ผ่านจุดนั้นมาก่อน แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกว่าเลือกเรียนผิด แต่ลึกๆ ก็ยังหวั่นใจว่าผมจะต้องทำอาชีพที่กำลังเรียนไปตลอดชีวิตได้ไหม

“แต่ถ้าไปเรียนที่เชียงใหม่ ผมคงไม่ค่อยได้เจอพี่ฟ่างแน่ๆ เลย”เค้าบอกพร้อมสายตาอ้อนๆ นี่โตแล้วก็ยังจะมาทำตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกนะครับเนี่ย แต่เค้าจะปล่อยให้เค้ามาเลือกเรียนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอกนะครับ

“เลือกที่ชอบนั่นแหละดีแล้ว อยู่ห่างๆ กันจะได้มีเวลาคิดถึงกันไง”เค้าคิดตามสิ่งที่ผมพูดเหมือนลำบากใจที่จะเลือกว่าจะตัดสินใจยังไง

“งั้นเอางี้ไหม ถึงแม้เราจะอยู่ห่างกันยังไง แต่ทุกๆ ปี ช่วงเวลานี้เราจะไปเจอกันที่ภูเก็ตทุกปี”ผมเสนอให้ใช้จุดประสงค์ที่เรามาเจอกันวันนี้ให้ถือเป็นข้อตกลงระหว่างเรา ตัวเค้าเองก็เห็นด้วยกับผม เราจึงได้ทำข้อตกลงกันให้สัญญาว่าจะมาเจอกันทุกปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากทานข้าวเก็บถ้วยจานเรียบร้อย เราก็ต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน เค้าบอกว่าเหตุผลที่อยากไปเรียนที่เชียงใหม่เพราะเห็นว่าสาขาวิชาที่เค้าเลือกสามารถต่อยอดในการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งเหมือนจะเป็นความฝันของเค้า

“พี่ฟ่างหลับหรือยัง”หลังจัดการอะไรต่างๆ เรียบร้อย ทั้งผมและเค้าก็เข้านอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด

“ยัง เป็นไร แปลกที่แล้วนอนไม่หลับเหรอ”ผมตะแคงหันมาดูเค้าที่เหมือนจะนอนตะแคงมองผมอยู่ก่อนแล้ว

“เปล่าครับ แค่นึกถึงเมื่อก่อน เลยคิดเล่นๆ ว่าถ้าพ่อแม่ของพวกเรายังอยู่ ชีวิตของเราจะเป็นยังไง จะได้เรียนที่เดียวกันเหมือนเดิม ได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ หรือเปล่า”ผมพลิกตัวนอนหงายขึ้นเพราะรู้สึกถึงน้ำในตาที่มันเริ่มคลอๆ มาแล้ว มันไม่ใช่แค่เค้าหรอกครับที่หวนนึกถึงวันเก่าๆ ผมเองก็นึกถึง แม้ว่าพอนึกถึงคนที่จากไปความเศร้ามันจะเกาะกินหัวใจของผมทุกครั้งก็ตาม

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”ผมพลิกตัวอีกครั้ง พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น หันหลับให้เค้าเพราะไม่อยากให้เค้าคิดว่าพี่ชายคนนี้ของเค้ายังอ่อนแอ ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอแม้จะรู้ตัวว่าน้ำตาผมได้ไหลออกมาแล้ว

“พี่ฟ่างจำวันที่พี่ฟ่างร้องไห้ วันนั้นได้ไหมครับ”เสียงของเค้าประชิดเข้ามาที่ตัวผม พร้อมอ้อมแขนที่โอบกอดผมจากทางด้านหลัง ผมไม่ได้ขัดขืนการกระทำของเค้า แต่ยิ่งเค้ากอดแน่นเท่าไหร่ผมยิ่งรู้ว่าผมอ่อนแอ และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ยิ่งเหตุการณ์ที่เค้ากำลังพูดถึงมันคือวันที่ผมเสียใจมากที่สุดในชีวิต

“โพดไม่ได้ลืมนะครับ ว่าโพดสัญญาว่าจะเป็นคนดูแลพี่ฟ่าง เพียงแต่ตอนนี้โพดอาจจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลพี่ได้ พี่ฟ่างรอโพดนะครับ”ภาพในอดีตนั้นค่อยๆ จางหายไปแล้วเข้ามาแทนที่ด้วยใบหน้าในวัย 26 ปีของเจ้าของคำสัญญานั้น มองผมอยู่ด้วยแววตาที่เหมือนรู้สึกผิด

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ดูแลพี่ฟ่างตามที่เคยสัญญาไว้”เค้ายังคงมองผมนิ่ง ผมเองก็ยังทำหน้าเรียบเฉย ถามว่าผมยังรอให้เค้าทำตามสัญญาไหม มันก็คงไม่ขนาดว่าต้องมาใช้ชีวิตด้วยกันอะไรแบบนั้น เพราะเค้าก็คงต้องมีชีวิตของเค้า แต่ผมก็ยังอยากให้เค้ากลับมาอยู่ที่ไทยนั่นแหละครับ

“พี่ล้อเล่น เฉยๆ พี่อายุขนาดนี้แล้วไม่ต้องมีคนมาดูแลหรอก”ผมแสร้งทำยิ้มแย้มเพื่อไม่ให้เค้าคิดมาก เพราะผมเองก็คงไม่กล้าจะไปวุ่นวายกับชีวิตเค้าขนาดนั้น แต่เค้ายังคงสีหน้าไม่สู้จะดีสักเท่าไหร่ เห็นแบบนี้ เรื่องที่เค้าบอกจะคุยกับผมมันคงไม่ใช่การกลับมาอยู่ที่นี่เร็วๆ นี้แล้วละครับ

“เราก็มีทางเดินชีวิต ที่เราต่างเลือกแล้ว โพดไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงเราก็จะยังได้เจอกันทุกปีแบบนี้ไง”แค่นี้มันก็ดีมากแล้ว ยังได้มีเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันบ้างมันก็เพียงพอแล้ว

“งั้นพี่ฟ่างสัญญานะครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะยังมาเจอกันเหมือนเดิม”ผมไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของเค้าสักเท่าไหร่เพราะข้อตกลงนี้เราก็ทำแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมยังจะต้องมาให้ผมสัญญาอีก แล้วอีกอย่างผมเองเสียอีกที่ใช้ชีวิตอยู่ไทยตลอดเวลาอยู่แล้ว คนที่น่าจะติดขัดเรื่องการเดินทางมันน่าจะเป็นเค้าเสียมากกว่า

“ก็เคยตกลงกันแล้วยังต้องสัญญาอีกเหรอ”ผมถามกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก พร้อมกับแก้วเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าถูกยกขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานให้เอามาเสิร์ฟเพิ่มอีก

“น้องครับ ไม่ต้องแล้วครับ พอแล้ว”คำสั่งผมถูกขัดจังหวะโดยอีกคนที่มาด้วยกัน พนักงานถึงกับต้องย้อนมาถามยืนยันอีกครั้ง และเค้าก็เป็นคนบอกอย่างหนักแน่นว่าพอแล้ว ผมมองหน้าเค้าด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็พี่บอกว่าจะดื่มไม่เยอะไงครับ แค่นี้แหละพอแล้ว”แม้จะรู้สึกขัดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากเถียงกับเค้าครับ เพราะยังไงเค้าก็คงไม่ยอมอยู่ดี ทุกครั้งที่มาเจอกันเลยกลายเป็นช่วงพักตับไปโดยปริยาย เพราะเค้าก็จะคอยห้ามไม่ให้ผมดื่มมากนัก ก็ไม่ใช่ขนาดว่าห้ามเลยนะครับ แต่แค่ให้ลดจนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่จะมีหนึ่งวันที่เค้าปล่อยผม เพราะการไปภูเก็ตทุกครั้งมันก็จะมีวันนึงที่ทั้งผมและเค้าเข้าใจดีว่ามันคือวันที่แย่ที่สุดในชีวิต

“แล้วที่ผมถาม พี่สัญญาได้ใช่ไหมครับ”เค้าย้อนถามผมอีกครั้งเรื่องสัญญา จนผมเริ่มแปลกใจว่ามันมีอะไรสำคัญอย่างนั้นหรือ หรือว่ามันจะเกี่ยวของกับเรื่องที่เค้าบอกว่าจะคุยกับผม

“อือ สัญญาว่าจะยังเจอกันเหมือนเดิมทุกปี”ผมยังคงรับปากไปตามเดิม เพราะเอาจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็คงจะยังไปตามเดิมอยู่แล้ว แม้จะยังข้องใจในเหตุผลของเค้า แต่อีกไม่นานผมก็คงจะได้รู้

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ ผมสบตาเค้านิ่ง เริ่มรู้สึกได้ว่ามันคงต้องมีบางอย่างแน่นอน และมันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างเราสองคน เค้าถึงได้มาขอคำสัญญาจากผมแบบนี้ แล้วเหตุผลนั่นจะทำให้ผมไม่อยากมาเจอเค้าอย่างนั้นเหรอ อะไรกันที่จะมีผลให้ผมรู้สึกแบบนั้น แต่เราก็จบบทสนทนานั้นด้วยการที่ผมพยักหน้าตอบรับ เราไม่ได้พูดถึงอีกคนกลับถึงคอนโดผมและเข้านอน

“นอนไม่หลับเหรอครับ”เสียงจากเจ้าของอ้อมกอดที่กอดผมไว้หลวมๆ ถามขึ้น เค้าคงสัมผัสได้ว่าผมยังคงตื่นอยู่ อาจจะด้วยความที่นี่มันยังไม่ดึกมากและผมก็ไม่ใช่คนที่นอนเร็วแบบนี้ แถมด้วยการมีอีกคนมากอดไว้แบบนี้อีก

“อือ เหมือนยังไม่ค่อยง่วง แต่โพดหลับเลยนะ ไม่ต้องอะไรกับพี่หรอก พรุ่งนี้เราเดินทางเช้าอีกเดี๋ยวพี่ก็คงหลับแหละ”ผมพลิกตัวหันหลังให้เค้ากะว่าจะนอนนิ่งๆ จะได้ไม่รบกวนเค้าอีก พยายามไม่คิดอะไรและข่มตาหลับ

“ผมทำพี่อึดอัดหรือเปล่า”เค้าคลายอ้อมกอดออกเมื่อผมพยายามพลิกตัว

“เปล่าหรอกแค่ปกติไม่ค่อยนอนเร็วแบบนี้เลยหลับยากเท่านั้นเอง”พอผมบอกออกไปแบบนั้น เหมือนกับว่าเค้าก็ขยับตามเข้ามาชิดผมและดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม ลมหายใจอุ่นๆ ของเค้าพ่นออกมาตามจังหวะจนผมสัมผัสได้ นี่แหละครับที่มันทำให้ผมทั้งคิดมากและกังวล ความสัมพันธ์ของเรา มันดูจะเกินเลยความว่าพี่น้องไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่ได้ล้ำเส้นเกินไปมากนัก ผมว่าข้าวโพดเองก็รู้ในจุดนี้ แต่เราทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดอะไรออกมา มันเหมือนเราทั้งคู่ต่างมีกำแพงบางอย่างที่ยังไม่อยากจะยอมรับ

“พี่ฟ่างรักผมไหม”เสียงกระซิบถามแผ่วเบาพร้อมอ้อมกอดที่กระชับเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย

TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 4 ดูแลตัวเองได้ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-07-2017 10:56:39
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 4 ดูแลตัวเองได้ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 03-07-2017 14:41:29
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 4 ดูแลตัวเองได้ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 03-07-2017 16:20:23
 :hao6:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 4 ดูแลตัวเองได้ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-07-2017 22:37:49
พูดกันไปเล้ย ว่ารักกัน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 4 ดูแลตัวเองได้ 03-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 04-07-2017 11:38:57
บทที่ 5
คลื่นกระทบฝั่ง




เราทั้งคู่ใช้เวลาในการเดินทาง 10 กว่าชั่วโมงกว่าในที่สุดก็ถึงภูเก็ตเสียที ผมตบหน้าข้าวโพดเบาๆ เป็นการปลุก เพราะเค้ายังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เค้างัวเงียขยับตัว มองไปรอบๆ พร้อมสะบัดหัวไล่ความงัวเงีย เหนื่อยกันไม่ใช่เล่นละครับ นั่งรถมากว่า 800 กิโลเมตร ขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิวเลยแหละครับ

“เมื่อยชะมัดเลย”เค้าบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะลุกหยิบกระเป๋าเป้ของเราทั้งคู่ หลังลงจากรถมาไม่นานผมก็มองหารถของทางโรงแรมที่นัดไว้ โชคดีที่คุณป้าเจ้าของโรงแรมจำผมได้ ตอนติดต่อจองที่พัก คุณป้าเลยเลือกห้องที่ผมเคยพักในตอนนั้นให้ แถมใจดีลดราคาให้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังไม่คิดค่าบริการรถที่จะมารับพวกเราไปโรงแรมอีกด้วย นี่ผมก็กะว่าจะคุยกับคุณป้าเรื่องที่จะขอจอง ห้องพักในช่วงนี้ของทุกปีเอาไว้ ตามแพลนที่ผมได้คุยกับข้าวโพดไว้

มองหาสักพักผมก็ได้เจอกับคนที่มารับเราสองคน ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็ถึงที่พัก ดูเวลานี่ก็จะ สองทุ่มอยู่แล้วเรียกว่าเราเดินทางกันมาราธอนมากทีเดียว ตื่นออกจากบ้านกันตั้งแต่ตี 4 กว่าจะไปถึงขนส่งสายใต้ กว่าจะถึงภูเก็ต กว่าจะมาถึงโรงแรมนี่อีก ผมว่าปีหน้าผมคงกันเงินส่วนที่จะใช้จ่ายในการมาที่นี่ไว้มากขึ้นอีกสักหน่อย จะได้เปลี่ยนเป็นนั่งเครื่องมา คงช่วยประหยัดเวลาและลดความเมื่อยล้าได้ดีกว่านี้

รอบนี้ด้วยความที่มันเป็นครั้งแรก และค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็หมดกับค่าที่พักที่เราจะใช้ชีวิตที่นี่เกือบ 10 วัน ทีแรกผมก็ดูตั๋วเครื่องแล้วแหละครับแต่พอคำนวณค่าใช้จ่ายแล้วก็ดูจะเกินตัวพวกเราไปสักหน่อย แถมข้าวโพดเองก็อีกนานกว่าจะสามารถใช้เงินตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ยังไงเราทั้งคู่ก็ต้องวางแผนชีวิตและครับ เราไม่มีใครคอยดูแลแล้ว เงินที่มีอยู่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังที่สุด

“อ้าวมากันแล้วเหรอเด็กๆ ไม่เจอเสียนาน ไหนดูสิครั้งก่อนยังเป็นเด็กน้อยขี้แย ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันอยู่เลย มาวันนี้โตเป็นหนุ่มกันทั้งคู่ แถมหล่อมากด้วย”ป้ามั้นเจ้าของที่พัก เข้ามาทักทายเราสองคน เราทั้งคู่ยกมือไหว้ แม้จะไม่ได้เจอกันนานจนผมคิดว่าคุณป้าคงลืมพวกผมไปแล้ว แม้แต่ก่อน ครอบครัวของเราจะเคยมาพักที่นี่หลายครั้งก็เถอะ แต่ผมก็ลืมไปว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นป้ามั้นก็เป็นคนที่คอยช่วยเหลือพวกผมสองคนเป็นอย่างดี

“ยังไงมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำให้สบายตัวกันก่อนเนอะ ขาดเหลืออะไรก็บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะ คิดเสียว่าป้าก็เหมือนญาติผู้ใหญ่เราคนนึง”ป้ามั้นบอกอย่างเอ็นดู จริงๆ แกจะให้ผมพักฟรีเสียด้วยซ้ำ แต่ผมเองก็เกรงใจเพราะไม่ใช่แค่วันสองวัน

ทั้งผมและข้าวโพดขอแยกตัวเข้าห้องพัก ห้องพักที่ครั้งนึงมันเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ของพวกเราทั้งสองครอบครัว และวันนี้ผมอยากกลับมารำลึกถึงบุพการีของเราทั้งคู่ และอยากให้พวกท่านเห็นว่าเราเติบโตกันขึ้นขนาดไหนแล้ว

“พี่ฟ่างโอเคนะครับ”ข้าวโพดเดินเอามาตบไหล่ผมเบาๆ ทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง ห้องที่มองไปมุมไหน มันก็มีความทรงจำไปเสียหมด

“พี่ไม่เป็นไร”ผมยิ้มบอกกับน้องชาย เพราะถ้าเทียบกันแล้วที่นี่มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับบ้านที่ผมอยู่ แถมต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมยังทนอยู่กับความโดดเดี่ยวนั้นได้ แค่ที่นี่ซึ่งมีอีกคนมาด้วย มันสบายมากอยู่แล้ว

“งั้นผมเปิดน้ำอุ่นไว้ให้พี่ฟ่างแช่นะครับ จะได้สบายตัว”เค้าบอกกับผมแล้ววางกระเป๋าเดินเข้าห้องน้ำไป

“โพดแช่ก่อนก็ได้นะ”ผมตะโกนตามหลังไป ก่อนจะเดินมาทรุดลงที่เตียงนอน ผมก็ลืมไปว่าห้องนี้มันเป็นเตียงเดี่ยว แม้จะเป็น คิงไซส์แต่ก็คงต้องนอนด้วยกันกับอีกคนสินะ เมื่อก่อนเรายังตัวไม่โตกันมากก็นอนกอดกันปกติ แต่ตอนนี้ที่เราต่างคนต่างเริ่มเติบโตขึ้น การนอนกอดกัดแบบเมื่อคืนนั้นมันยังเป็นเรื่องปกติอยู่หรือเปล่า

“พี่ฟ่างโพดว่าเรามาแช่น้ำอุ่นๆ พร้อมกันเลยก็ได้นะ อ่างตั้งกว้าง”น้องชายตัวโตเดินมาบอกผมที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้ว

“ไม่เอาอะ ไม่อยากเห็นข้าวโพดจิ๋ว”ผมบอกขำๆ ก่อนจะยังนอนนิ่งอยู่เหมือนเดิม

“ข้าวโพดจิ๋วอะไร นี่ข้าวโพดพร้อมเก็บเกี่ยวแล้วเหอะ”เค้าบอกอย่างกระฟัดกระเฟียด แม้ตอนเด็กๆ เราจะแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันได้ แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่อีกต่อไปแล้วละครับ สุดท้ายเค้าก็ไม่ยอมไปอาบน้ำก่อน ทั้งยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาอ้าง จนผมขี้เกียจต่อปากต่อคำ เลยยอมเป็นฝ่ายอาบก่อน เพราะนี่เรายังไม่ได้ทานมื่อเย็นกันเลย

หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยระหว่างรอข้าวโพดอาบน้ำ ผมก็ออกมายืนรับลมที่ริมระเบียง ลมทะเลเอื่อยๆ พัดมาปะทะใบหน้าผมเป็นระยะ สลับกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง บรรยากาศรอบๆ ทำให้ผมรู้สึก “เหงา” ขึ้นมาอีกแล้ว ผมแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเพราะรู้สึกว่าน้ำตากำลังเอ่อขึ้นมาแล้ว ผมอมยิ้มทั้งที่น้ำตายังคลออยู่เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า

“ผมกำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว หวังให้คนบนฟ้าที่มองผมอยู่ได้รับรู้

“ไหนว่าไม่เป็นไรไงครับ”วงแขนที่สวมกอดผมมาจากด้านหลังพร้อมเสียงกระซิบที่ข้างหู ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง ทั้งที่ผมเป็นพี่ ผมควรเข้มแข็งให้มากกว่าเค้า แต่กลับแสดงแต่ความอ่อนแอให้เค้าเห็น

“พี่ฟ่างยังมีโพดนะครับ เราจะยังเป็นพี่น้องที่รักกันเหมือนเดิมและตลอดไปนะครับ”พี่น้องกันตลอดไปอย่างนั้นหรือ เหตุการณ์ในครั้งแรกที่เราเดินทางด้วยกัน ยังคงถูกบันทึกไว้อย่างแม่นยำในความทรงจำของผม ถึงวันนี้คนที่หลับอยู่ข้างๆ ผมนี่ก็คงยังเหมือนเดิมสินะ ตอนนี้เครื่องบินที่เรานั่งออกเดินทางการกรุงเทพฯ มาแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงถึงที่หมาย ส่วนน้องชายของผมก็หลับได้เช่นเคยแม้จะระยะทางสั้นๆ แค่นี้

ผมจ้องมองใบหน้าที่หลับพริ้มอยู่ข้างๆ ก่อนเจ้าของใบหน้านั้นจะค่อยๆ เลื่อนศีรษะมาพิงที่ไหล่ของผม ผมค่อยๆหุบยิ้มของตัวเองลงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนนอนที่เค้าถามผม

“พี่ฟ่างรักผมไหม”น้ำเสียงที่ถามมาเหมือนมีความไม่มั่นใจ ติดออกจะกังวลหน่อยๆ ผมเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าคำถามที่เพิ่งได้ยินเนี่ย เค้าหมายความยังไงกันแน่ ระหว่างรักในแบบพี่น้อง รักในแบบคนครอบครัวเดียวกัน หรือ “รัก” ในแบบอื่น

“รักสิ ก็เราเหลือกันแค่สองคนพี่น้องนิ”ผมเลือกที่จะบอกกลับไปแบบนั้น ทั้งที่ในใจผมเองก็รับรู้มานานแล้วว่ามันไม่น่าจะมีขอบเขตแค่นั้น แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อสถานะของเราทั้งคู่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น

“ผมก็รักพี่ฟ่างนะครับ”น้ำเสียงแผ่วเบาที่ตามมาด้วยอ้อมกอดของเค้ากระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วทั้งผมและเค้าก็เงียบกันไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่นานนักอ้อมแขนที่กอดผมไว้ก็เริ่มคลายออก ตามด้วยเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ลมหายใจที่เป่ารดต้นคอผม มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จนในที่สุดผมเองก็ผล็อยหลับตามเค้าไปอีกคน

“พี่ฟ่าง พี่ฟ่างครับ ถึงแล้ว”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นนี่ผมก็เผลอหลับตามเค้าเหรอเนี่ย ผมหันมองรอบๆ ตอนนี้เครื่องบินจอดนิ่งสนิทแล้ว ผู้โดยสารบางส่วนลุกขึ้นยืนหยิบสัมภาระ เตรียมรอที่จะลงแล้ว

“คิดถึงตอนที่เรามากันครั้งแรกเนอะ ตอนนั้นนั่งรถทัวร์จนรากจะงอกกว่าจะถึง”ทั้งผมและเค้าหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราก็พูดเรื่องนี้กันแทบทุกครั้งที่มา แต่พอวนมาอีกรอบก็ยังจะพูดถึงเหมือนเดิม

“นี่ป้ามั้นให้ใครมารับเราหรือเปล่าเนี่ย”ข้าวโพดกล่าวถึงหญิงสูงวัยที่ตอนนี้แทบจะเปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเราแล้ว การมาแต่ละครั้งของพวกเรา ด้วยความที่เราก็มากันทุกปี อยู่ทีก็ 10 วันเป็นอย่างต่ำก็เลยได้รับความเอ็นดูไปโดยปริยาย จริงๆ ป้ามั้นเองก็มีลูกชายคนนึงนะครับ ก็รุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่แหละ แต่ลูกชายแกทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ บางปีก็ไม่ได้กลับมาช่วงปีใหม่แบบนี้ แถมบางปีแกบอกจะตัดลูกชายออกจากกองมรดก เพราะไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้เอามากๆ นี่มารอบนี้ผมกับข้าวโพดก็คงจะได้รับการอัพเดทข่าวคราวของลูกชายป้าแกอีกแน่นอนครับ

“จริงๆ โพดว่าเราเช่ารถขับไปกันเองก็ได้นะจะได้ไม่ต้องลำบากที่โรงแรมด้วย”ผมก็เคยคิดแบบนั้นนะครับ และก็เคยทำเมื่อครั้งที่แล้ว แต่พอป้ามั้นรู้เท่านั้นแหละครับนอกจากจะให้เด็กที่โรงแรมเอารถไปคืนแบบทันทีทันใดแล้ว ยังงอนพวกผมอีกต่างหาก

“คิดว่าป้าแกจะยอมให้เราทำไหม ว่าแต่นี่เอาอะไรมาฝากป้ามั้นละ”เราคุยกันพร้อมเดินออกจากเครื่อง แต่ข้าวโพดกลับหยุดและทำหน้าตกใจแบบสุดขีด

“โพดลืมของฝาก”เค้าทำท่าตกใจ ซึ่งดูจะเวอร์ไปหน่อย แม้ปกติเราจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากครอบครัวนี้เสมอ แต่ถ้าครั้งนี้ไม่มีมันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร อีกอย่างผมเองก็มีของมาฝากเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว แลกกับการที่เราสองคนแทบจะเป็นแขกวีไอพีของที่นี่

“ล้อเล่น ใครจะลืมของฝากให้ป้ามั้นกับลุงถาของเราได้ละ”เค้าเดินมากอดคอผมให้รีบเดิน นี่ก็ขี้เล่นเสียจริง อายุก็เลยเบญจเพศมาแล้วยังจะเล่นเป็นเด็กๆ อีก พอออกมาไม่นานป้ามั้นก็ต่อสายมาเหมือนรู้แล้วว่าพวกผมลงเครื่อง ก็แน่ละผมบอกไว้แล้วนิว่าเครื่องลงกี่โมง ไม่นานนักพอได้เจอกับคนที่มารับเรา รถคันนั้นก็พาเราวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย

“ป้ามั้นครับ คิดถึงจังเลย”ข้าวโพดเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปกอดประจบหญิงสูงวัย ผมเลยแค่ยกมือไหว้ แต่มีหรือคุณป้าจะยอม กวักมือเรียกผมเข้าไปกอดด้วยอีกคน

“มากันแล้วเหรอ เห็นหน้ากันทุกปีเมื่อไหร่จะพาแฟนมาด้วยกันบ้าง นี่มาทีไรก็มาแค่สองพี่น้อง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ลุงกับป้าจะได้อุ้มหลานกันละเนี่ย”ลุงถาสามีของป้ามั้นออกมาทักทายด้วยอีกคน อย่างที่บอกว่าทั้งคู่เอ็นดูเราเหมือนลูกเหมือนหลานไปแล้วครับ นี่ก็ถามทุกปีว่าเมื่อไหร่พวกผมจะแต่งงานสักที ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ มีแต่ข้าวโพดแหละครับที่รับมุกคุยต่อเรื่องนี้

“ผมยังเด็กอยู่เลยครับ คุณลุงคุณป้าน่าจะไปเร่งพี่ชาร์ปมากกว่านะครับ ได้ข่าวรายนั้นน่าจะเนื้อหอม”ข้าวโพดกล่าวถึงหนุ่มแว่นลูกชายคนเดียวของลุงถากับป้ามั้น แว่นหรือชาร์ปอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่แหละครับ แต่ก็เคยเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง ส่วนใหญ่มีแต่ป้ามั้นบ่นให้ฟังแหละครับ

“รายนั้นป้ารอจนถอดใจไปแล้วละ”ป้ามั้นบอกขำๆ พวกเราพูดคุยกันอีกเล็กน้อย เอาของฝากให้ลุงถากับป้ามั้น เสร็จก็ขอตัวเข้าห้องพัก แม้นี่จะยังเพิ่งสายๆ แต่การตื่นมาแต่เช้า และแสงแดดที่ยังร้อนอยู่ทำให้เรายังไม่ได้คิดที่จะออกไปไหน อีกหนึ่งของการมาที่นี่ก็คือการได้พักผ่อนจริงๆ นี่แหละครับ ได้นอน ได้พักให้เต็มที่ ส่งท้ายปีด้วยการพักผ่อนจริงๆ ก่อนจะกลับไปเริ่มต้นปีใหม่

ข้าวโพดแยกตัวออกไปยืนสูบบุหรี่ที่ริมระเบียงทันทีที่เข้าห้องมา ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่พอสมควร คือผมแทบไม่เคยเห็นเค้าสูบบุหรี่เลย จนผมเข้าใจไปเองว่าเค้าไม่ได้สูบบุหรี่

“สูบบุหรี่ด้วยเหรอ”ผมเดินตามออกมาตรงริมระเบียง ถามคำถามที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ผมมองเลยไปที่ไฟแช็คและซองบุหรี่ ทั้งคู่บ่งบอกสภาพตัวเองว่าไม่ใช่ของที่เพิ่งซื้อมา นั่นหมายความว่าเค้าไม่ได้เพิ่งซื้อหรือสูบเป็นครั้งแรก เค้าตอบรับผมเพียงสั้นๆ ในสิ่งที่ผมถาม

“พี่ไม่เคยเห็นโพดสูบเลย”ผมยังคงสงสัย เพราะขนาดเรื่องดื่ม เค้ายังเป็นคนที่คอยปรามผม ไม่ให้ดื่มเยอะเพราะเค้าว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วบุหรี่นี่ละ มันดีต่อสุขภาพเค้าอย่างนั้นหรือ เค้าหันหน้าไปอีกทาง พ่นควันออกไปก่อนจะกดบุหรี่ลงตรงที่เขี่ย ที่เค้าหยิบติดออกมาจากในห้อง

“โพดรู้ไงว่าพี่ฟ่างไม่ชอบควันบุหรี่”เค้าหันมาตอบผม โดยที่ยังมีกลุ่มควันจางๆ ลอยฟุ้งอยู่ แล้วคำตอบของเค้านี่หมายความว่ายังไง รู้ว่าผมไม่ชอบ เลยไม่สูบให้เห็นอย่างนั้นเหรอ แสดงว่าเค้าสูบมานานแล้ว โดยที่ไม่ให้ผมรู้งั้นสิ ผมหัวเราะหึในลำคอ จริงสินะปีนึงมันก็มี ตั้ง 365 วัน แต่เราได้เจอกันแค่ 10 วัน มันก็ต้องมีเรื่องราวอีกมากมายในชีวิตของอีกคนที่เราไม่อาจรับรู้ได้

“แล้วทำไมวันนี้ถึงสูบให้เห็น”ผมก้าวถอยหลัง ยืนพิงผนังอีกฝั่งของระเบียง สายตาทอดมองออกไปยังน้ำทะเลเบื้องหน้า ที่จริงผมก็เริ่มสังเกตเห็นสีหน้ามีความกังวลบางอย่างของเค้า ตั้งแต่ที่แยกจากป้ามั้นกับลุงถาแล้วแหละครับ แต่ก็ไม่อยากถามเพราะคิดว่าถ้าเค้าพร้อมที่จะเล่า เค้าคงเล่าออกมาเอง

“กะว่าจะเลิกแล้วแหละครับ ปีใหม่นี้กะว่าจะไม่สูบอีกแล้ว”เค้าบอกเสียงราบเรียบ โดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของผม แล้วเราก็ต่างคนต่างเงียบกันไปพักนึง เหมือนต่างคนต่างปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดบางอย่าง มีเพียงเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งเท่านั้นที่ยังส่งเสียงเหมือนกำลังเชียร์เราสองคน ให้ใครคนใดคนหนึ่งเปิดปากพูดก่อน

“พี่ฟ่างเคยคิดอยากจะมีลูกไหมครับ”ผมหันไปมองอีกคนที่ถามออกมาแบบนั้น ทำไมเค้าถึงถามคำถามนี้กับผม แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดถึงการมีลูกมาก่อนอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้ชอบผู้หญิง และไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงานมีครอบครัว

“พี่ไม่คิดว่าตัวเองจะดูแลใครได้”ผมตอบออกไปตามตรง เพราะนึกภาพตัวเองไม่ออกจริงๆ ว่าจะเลี้ยงดู หรือดูแลใครสักคนตั้งแต่เป็นทารกจนกลายเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไง

“เมื่อก่อนผมก็ไม่คิด”เค้าหยุดเว้นวรรคหันมามองผม ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมเค้าถึงมาคุยเรื่องนี้กับผม หรือจากที่ป้ามั้นพูดก่อนที่เราจะแยกตัวมา หรือที่เค้าว่ามีเรื่องจะคุยกับผม มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมหันไปจ้องคลื่นที่ยังคงถาโถมเข้าหาฝั่ง แต่พอมาถึง ก็ล่าถอยสะท้อนกลับห่างออกไป มันคงเหมือนระห่างระหว่างผมกับเค้า ที่แม้เหมือนจะเข้าใกล้กันแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องห่างกันไปอยู่ดี

“ผมแค่ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าผมเป็นพ่อคน ผมจะสอนเค้ายังไง ทำยังไงให้เค้ามีความสุข เค้าหัวเราะผมคงจะหัวเราะตาม เค้าเจ็บ เค้าร้องไห้ ผมจะเป็นยังไง ผมจะรักใครคนนึงได้มากกว่าตัวผมเองหรือเปล่า”

TBC


 o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 5 คลื่นกระทบฝั่ง 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-07-2017 13:17:42
โพด ถามเรื่องลูก และพูดถึงการเลี้ยงลูกทำไม  :katai1:
แล้วที่บอกว่ารักฟ่าง ยังไงกัน   :katai1:
พูดให้ชัดเจนสิว่ารักแบบไหน เฮ้ย........ :m16: :m16: :m16:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 5 คลื่นกระทบฝั่ง 04-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-07-2017 13:32:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 6 สิบวันของเรา 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-07-2017 11:51:01
บทที่ 6
10 วันของเรา



“ไอ้ฟ่างเร็วๆ กูเสี้ยนเบียร์”เสียงตะโกนบอกพร้อมเคาะประตูห้องทำให้ผมต้องรีบเอามือปิดโทรศัพท์มือถือ หวังไม่ให้เสียงลอดเข้าไปให้ปลายสายได้ยิน แต่เสียงพูดปลายสายที่เงียบไปทำให้รู้ว่าเค้าคงได้ยินแล้ว และก็คงรู้อีกนั่นแหละว่าผมเพิ่งโกหกคำโตออกไป ที่จริงวันนี้ผมต้องอยู่ที่ภูเก็ตแล้วครับ ตามปกติเหมือนทุกปีที่นัดกับอีกคน แต่ปีนี้เนื่องจากวันลาเหลือ งานเสร็จเร็ว ไอ้ต้าร์กับกุ้งเลยชวนผมมาเที่ยวเชียงใหม่

แถมไอ้คนที่ชวนผมมานี่แหละที่พาผมเมาหัวทิ่มทุกคืน ขนาดโดนแฟนบ่นแล้วบ่นอีก มันก็ยังจะลากผมออกไปให้ได้ แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือมันทำผมตกเครื่องเมื่อเช้า ที่จะต้องบินจากเชียงใหม่ไปภูเก็ต ตกแบบตื่นมาเครื่องคงถึงภูเก็ตไป 3-4 รอบแล้ว เลยจำต้องเลื่อนไฟลท์เป็นพรุ่งนี้เช้า

“ไหนบอกไม่สบาย ไหนบอกไม่ได้ดื่มจนเมาแล้วตกเครื่อง”เสียงเย็นยะเยือกจากปลายสายทำเอาผมเสียวสันหลัง รู้สึกยังกะเป็นเด็กโดนผู้ใหญ่จับได้ว่าทำความผิด แต่ความจริงไอ้คนที่กำลังจะดุผมเนี่ยดันเป็นน้องชายที่อายุน้อยกว่าผมเสียอีก

“พี่ฟ่างโตแล้วนะครับ นัดก็ต้องเป็นนัดสิ”พูดไม่ออกเลยสิครับผมทีนี้ ก็รู้ว่าเค้าต้องโกรธและก็พยายามจะโกหกให้ตลอดรอดฝั่งแล้ว เค้าจะได้ไม่โกรธแบบนี้ แต่ไอ้คนคิดแผนให้ผมโกหกว่าป่วยนี่แหละที่มาทำพัง อยากจะออกไปด่าไอ้คนที่เคาะประตูนั่นนะครับ แต่ถ้าคิดดูดีๆ ผมเองก็ผิดที่ยอมไปกินเหล้ากับมันจนเมาตกเครื่องเอง แถมก็ยอมแถโกหกนี่ด้วย แทนที่จะยอมรับและบินไปตั้งแต่บ่าย

“ผมมาตั้งไกล จะขอแวะดูคอนโดก็ไม่ให้แวะ จะขอตามไปเชียงใหม่ด้วยก็ไม่ให้ตาม บอกจะมาเจอกันวันนี้ก็บอกไม่สบาย ผมก็อุตส่าห์เป็นห่วง”น้ำเสียงที่ออกจะผิดหวังนั่นทำเอาผมยิ่งรู้สึกผิด แต่ส่วนหนึ่งที่ผมเองมรอยู่ที่นี่หรือไปช้าแบบนี้ ก็เพราะรู้สึกอยากลดระยะเวลาที่อยู่กับเค้าลงบ้าง แม้จะคิดถึง แม้จะอยากเจอ แต่มันก็มีความอึดอัดในใจบางอย่างที่ผมต้องซ่อนไว้

“ขอโทษ”แม้รู้ว่าพูดแค่นี้ เค้าคงไม่หายโกรธหรอก แต่ก็คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ได้วางสายไป

“แล้วนี่กินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่”ผมพยายามหาเรื่องคุย เพื่อให้บรรยากาศตอนนี้มันผ่อนคลายขึ้น แถมตอนนี้ไอ้ต้าร์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย ผมต้องเอามือจุ๊ปากให้มันอยู่เงียบๆ ก่อนที่ผมจะโดนโกรธไปมากกว่านี้ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีนี่ก็ยังไม่ยอมอยู่เฉยๆ นะครับมันเล่นเอาหูมาแนบฟังข้างๆ ผมเพื่อฟังด้วย

“พี่ฟ่างสนใจโพดด้วยเหรอครับ”เริ่มประชดแล้วครับงานนี้ พักหลังนี่รู้สึกทั้งผมและเค้าประชดประชันกันบ่อยขึ้น จนบางทีผมก็คิดนะครับว่ามันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาทำอะไรกันแบบนี้

“นี่กำลังไปไหนเหรอ”ผมถามโดยไม่สนใจกับการที่เค้าพูดประชดผม เสียงรถยนต์ที่ลอดเข้ามาเบาๆ ตามสายทำให้พอจะรู้ว่าเค้ากำลังเดินทางออกไปไหนสักที่นั่นแหละครับ

“ว่าจะไปหาดื่มเหล้า ให้เมาหัวราน้ำสักหน่อยครับ ไม่อยากยอมแพ้ใครบางคน”ยังครับยังไม่หยุดอีก นี่ผมว่าถ้าเค้าอยู่ต่อหน้าผมคงโดนบ่นหูชายิ่งกว่าพ่อแม่บ่นเสียอีกนะครับ เนี่ย

“ไอ้โพด ไอ้ขี้บ่น ไอ้หวงพี่ เดี๋ยวกูจะลากพี่มึงไปเมาให้ตกเครื่องอีกรอบ”ไอ้เพื่อนเลว อยู่ๆ ก็แย่งโทรศัพท์ผมไปพูดแล้วกดวางสายไปอย่างถือวิสาสะ

“ไอ้เชี่ยทำไรเนี่ย”ผมรีบแย่งโทรศัพท์เพื่อจะได้โทรกลับไป แต่ไอ้ต้าร์ก็ยังไม่ยอมคืนให้ผม

“มึงจะอะไรนักหนาวะไอ้ฟ่าง เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงก็ไปเจอกันแล้วจะอะไรมากมาย นั่นน้องมึงนะไม่ใช่ผู้ปกครอง ต้องกลัวมันทำไม มึงเป็นพี่มันนะเผื่อมึงจำไม่ได้”ไอ้เพื่อนตัวดีบอกอย่างหมั่นไส้

“ก็กูเหลือกันอยู่สองคนพี่น้อง”ไม่ใช่ผมที่พูดนะครับ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีของผมนั่นแหละที่ล้อเลียนผม

“เออๆ เอามือถือกูคืนมา แล้วจะลากกูไปไหนก็ไป”ผมบอกรับปากตัดรำคาญ

“ต้องงี้สิวะ นี่อะไรทำตัวหงอยังกะขอแฟนออกไปเที่ยว”แฟนงั้นเหรอ ที่ผมกับอีกคนนี่ทำตัวเหมือนแฟนกันงั้นเหรอ ไอ้ต้าร์ชอบแซวผมในลักษณะนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็เท่านั้นแหละครับ เราก็เป็นแค่พี่น้องที่เจอกันปีละ 10 วัน

“อย่าดึกละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฟ่างก็ตกเครื่องอีก”เสียงกุ้งที่ดังขึ้นมาทำเอาไอ้ต้าร์สะดุ้งไปเล็กน้อย แต่พ่อบ้านใจกล้าอย่างมันแม้จะเกรงใจกุ้ง แต่ก็ยังจะไปอยู่ดีนั่นแหละครับ มันเดินเข้าไปทำทีประจบประแจงแฟน ก่อนจะหันมายักคิ้วใส่ผม ประมาณว่าให้ดูมันเป็นตัวอย่าง แต่คือผมเนี่ยไม่ได้มีแฟนไหมละ

ไอ้ต้าร์เดินมากอดคอผม เดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์ ที่บังคับผมออกไปดื่มได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันจะได้สตาร์ทรถ เราทั้งคู่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นรถ ที่ไม่ค่อยคุ้นตามาจอดหน้าบ้าน

“ทันเวลาพอดี เสียใจด้วยนะคะสองหนุ่ม”ผมกับไอ้ต้าร์หันมองกุ้งที่มายืนพูดอยู่ด้านหลังอย่างไม่เข้าใจ แต่พอหันกลับมาทางหน้าบ้าน คนที่ก้าวลงจากรถก็ทำให้ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วละครับ

“มาได้ยังไง”ผมรีบเอ่ยทักคนหน้าตึง ที่กำลังเดินเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนคุยโทรศัพท์ผมยังเข้าใจว่าเค้าอยู่ภูเก็ตอยู่เลย แล้วนี่ผ่านไปไม่กี่นาที เค้าก็โผล่มาถึงเชียงใหม่นี่ได้ยังไงกัน

“สงสัยน้องโพดคงห่วงพี่ชายมาก เห็นว่าพี่ชายไม่สบายถึงกับไปขึ้นเครื่องไม่ได้”น้ำเสียงกุ้งดูจงใจให้คนหน้าบึ้งนี่ ฆ่าผมตรงนี้เลยหรือไงเนี่ย แต่ข้าวโพดก็ยังคงนิ่งเงียบ มีแค่แววตาที่มองมานั่นแหละ ที่ผมก็พอจะเดาได้ว่าเค้ากำลังไม่พอใจผมอย่างแรง

“เดี๋ยวๆ ไอ้น้องข้าวโพดครับ พี่ข้าวฟ่างของมึงตกลงกับกูแล้วว่าจะไปดื่ม นี่มึงมาไม่พูดไม่จาจะลากพี่ชายสุดที่รักไปไหน”ไอ้ต้าร์รีบยื้อผมไว้ ไอ้นี่ก็ไม่ดูสถานการณ์บ้างเลย ช่วยดูอารมณ์น้องกูสักนิดไหมว่าควรเล่นด้วยหรือเปล่า ข้าวโพดหันไปจ้องไอ้ต้าร์ตาขวาง แม้ทั้งข้าวโพด กุ้ง ไอ้ต้าร์จะเคยเจอกันมาบ้างแล้ว หรือเคยคุยโทรศัพท์กันบ้าง แต่ทั้งกุ้งและไอ้ต้าร์อาจยังไม่เคยเห็นมุมนี้ของข้าวโพดสินะ

“10 วันนี้เป็นวันของผม พี่ฟ่างต้องอยู่กับผม”เค้าหันไปบอกเสียงแข็ง จนผมต้องกระตุกแขนเค้าให้เย็นลง ไม่อยากให้อารมณ์ร้อนมากนัก ไอ้ต้าร์กำลังจะอ้าปากเถียง แต่ข้าวโพดก็ไม่แม้แต่จะคิดรอฟัง เค้ากึ่งเดินนำกึ่งลากแขนผมให้เดินตามด้วยความรวดเร็ว

“ห้องไหน”พอลากผมเข้ามาในบ้านได้ก็ต้องชะงัก เมื่อไม่รู้ว่าผมพักห้องไหน ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงหลุดขำกับอาการนี้ของเค้าไปแล้ว แต่นี่ผมทำได้เพียงชี้ให้เค้าดูว่าผมพักห้องไหน

“นี่พี่ชายหรือเมียมึงวะไอ้โพด แค่ปล่อยมันไปแค่นี้จะหวงอะไรนักหนา”เค้าหยุดชะงักทันทีที่สิ้นคำพูดของไอ้ต้าร์ ไอ้นี่ก็ขยันหางานให้ผมจัง ก็ทั้งที่เห็นอยู่ว่าไอ้น้องชายผมกำลังหงุดหงิด ก็ยังจะมาแหย่อีก

“พี่ฟ่างจะไปกับเพื่อนก็ได้นะครับ เพื่อนที่ปีหนึ่งก็เจอกันที่ทำงานทุกวัน วันหยุดก็ยังไปเที่ยวเฮฮาสังสรรค์ ปาร์ตี้ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว น้องชายคนนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้วนิครับ”พอพูดจบก็ปล่อยข้อมือผม ผมหันไปมองไอ้ต้าร์ขวางๆ ก่อนจะทำท่าให้มันรูดซิบปาก ผมเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆ ใหม่และเป็นคนเดินนำเค้าเข้าห้องที่ผมพัก

“มาได้ยังไง”หลังจากเข้ามาในห้อง ทั้งผมและเค้าก็นั่งเงียบๆ บนเตียงอยู่พักใหญ่ จนผมทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายถามก่อน เค้าหันมามองหน้าผมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“ทำไมต้องให้เป็นห่วงด้วย พี่รู้หรือเปล่า ตอนแรกผมนึกว่าพี่เป็นอะไรมากเสียอีก”น้ำเสียงเค้าอ่อนลง แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าไม่ค่อยพอใจผมอยู่ เค้าเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่หน้าของผม ก่อนจะลาก วนไปมา

“ผมคิดถึงพี่นะครับ พี่ละคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า ทำไมไม่รีบไปหาผมละครับ”เค้าดึงตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น อยากจะบอกเค้านะครับว่าผมเองก็คิดถึงเค้า คิดถึงอาจจะมากกว่าเค้าเสียด้วยซ้ำ แต่ความคิดถึงของพวกเราทั้งคู่มันเหมือนกันหรือเปล่า

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ขอโทษที่โกหก ขอโทษที่ปล่อยให้รอ ขอโทษที่ต้องลำบากตามมาถึงนี่”ผมบอกทั้งที่เรายังกอดกันอยู่

“ยังโกรธอยู่ไหม”แม้ทีแรกจะกังวลว่าเค้าจะไม่พอใจจนโวยวายใหญ่โต แต่นี่เค้าก็คงโตจึ้นเยอะแล้ว ปีนี้ก็ เบญจเพสแล้วนิ คงรู้จักควบคุมอารมณ์บ้างแล้วสินะ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยเห็นเค้าโกรธผมนานนี่เนอะ เค้าบอกผมเสียงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ ว่าหายโกรธแล้ว

“ถ้าหายโกรธแล้ว พี่ก็ไปหาไรดื่มกับไอ้ต้าร์ได้แล้วสิ”ผมแกล้งแหย่เค้า แต่ผลคือเค้าแทบจะกินหัวผมอีกรอบ ผมคลี่ยิ้มกับภาพเก่าๆ พวกนั้น ก่อนจะมองหาคนที่อยู่ในความทรงจำนั้นร่วมกับผม เค้าขอตัวแยกออกไปรับโทรศัพท์ แต่นี่ก็หายไปจะครึ่งชั่วโมงแล้ว มีธุระอะไรสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ไหนเคยบอกว่า 10 วันในทุกๆ ปีต้องเป็นวันของเราสองคนไง ตกลงกันไว้แล้วว่าจะใช้เวลาร่วมกัน แล้วนี่หายไปไหน

ผมลุกจากล็อบบี้ที่นั่งรอ แต่เดินออกมาไม่ไกลนักก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ แม้จะได้ยินไม่ถถนัดนักแต่น้ำเสียงที่แว่วมาก็ดูจะเครียดอยู่ไม่น้อยทีเดียว ผมไม่ได้ก้าวเข้าไปมากกว่านั้นเพราะ เข้าใจว่ามันคือเรื่องส่วนตัวของเค้า แต่น้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ผมเริ่มจับใจความได้

“ก็บอกแล้วไงว่าได้จริงๆ แต่ขอเวลาอีก 10 วัน”ผมกำลังจะก้าวถอยหลังเพราะไม่อยากที่จะฟังต่อ แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ในเมื่อเค้าไม่ได้อยากที่จะให้ผมรู้ถึงขนาดที่ขอออกมาคุยข้างนอกแบบนี้ ผมก็ไม่ควรจะบังเอิญมาได้ยินสินะครับ แต่ผมยังไม่ทันขยับ เค้าก็หันกลับมาเห็นผมเสียก่อน เค้าดูตกใจที่เห็นผม ผมเลยโบกมือส่งยิ้มให้ตามปกติ แม้ในใจจะรู้สึกสงสัยว่าเค้าปิดบังอะไรผมอย่างนั้นหรือถึงต้องตกใจที่เห็นผม และเหมือนจะรีบวางสายเดินมาหาผมทันที

“พอดีคุยกับเพื่อนนานไปหน่อย”เค้าเดินเข้ามาบอกกับผมด้วยอาการที่ไม่ปกติสักเท่าไหร่ นั่นยิ่งทำให้ผมเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เค้าคุยมันจะเกี่ยวกับผม เกี่ยวกับการมาที่นี่หรือเปล่า แต่ ผมก็ไม่ได้แสดงอาการสงสัยหรืออะไรออกไป ยังคงทำตัวตามปกติ

“จะว่าไป พี่ก็ไม่รู้จักเพื่อนโพดสักคนเลยเนอะ”ผมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในใจก็คิด ว่าจริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้อะไรรอบๆ ตัวเค้าเลย เค้ามีสังคม มีเพื่อนเป็นใครบ้าง ผมก็ไม่รู้ เอาจริงๆ ผมก็คงรู้แค่ในส่วนที่เค้าเล่าแค่นั้น

“แหม เพื่อนพี่ผมก็รู้จักแค่พี่ต้าร์กับพี่กุ้ง 2 คนเอง”เค้าเริ่มตอบกลับผมด้วยท่าทีปกติ จะว่าไปมันก็อาจจะปกติสำหรับเราสองคนแล้วก็ได้ที่ไม่ค่อยรู้จักคนรอบๆ ตัวของอีกฝ่าย เพราะโอกาสที่จะได้เจอกับสังคมของอีกคนมันแทบไม่มีเลย

“ป่ะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”เค้าเดินมาหลักผมให้นำหน้าไป แต่ผมเดินได้ไม่กี่ก้าง เสียงโทรศัพท์ของเค้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเค้าดูกังวลเมื่อหยิบขึ้นมาดู

“พี่เดินรอละกัน”ผมคิดเอาเองว่าเค้าอาจจะลำบากใจที่จะรับต่อหน้าผมเลยเลือกที่จะเอาตัวเอง ออกห่างจากเค้ ผมเดินนำไปได้สักพักถึงหันกลับมามอง แม้จะอยู่ในระยะที่ไม่มีเสียง แต่ผมก็ยังเห็นใบหน้าของเค้าอย่างชัดเจน ใบหน้าที่เคร่งเครียด จนผมเริ่มรู้สึกเป็นห่วงว่าเค้ากำลังมีปัญหาอะไรหรือเปล่า




TBC

คู่นี้ก็คลุมเครือกันต่อไป

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 6 สิบวันของเรา 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-07-2017 13:13:04
ตามค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 6 สิบวันของเรา 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2017 13:25:25
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 6 สิบวันของเรา 05-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-07-2017 17:52:58
ฮึ่ยยยย......เข้าใจว่าฟ่าง มีคิดอะไรกับข้าวโพด
แล้วพยายามเก็บไว้ เพราะไม่รู้ว่าโพดรักฟ่างยังไงกันแน่

แต่ตอนนี้รู้สึกว่าข้าวโพด มีอะไรเก็บไว้ เป็นความลับเหมือนกัน
โพด มีใครทางโน้นหรอ ทั้งที่ปากบอกรักฟ่าง ติดฟ่าง
ชักสงสัยฟ่างและ ฟ่างแอบคบใครแน่เลย
ก็เข้าใจนะว่ามันเหงา แต่จบแน่ๆฟ่างจบกับโพดแน่ๆ ถ้าโพดมีจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 7 เซอร์ไพรส์ 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-07-2017 07:37:02
บทที่ 7
เซอร์ไพรส์


“เสร็จยัง”ผมถามอีกฝ่ายที่กำลังเขียนเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ภายในปีใหม่นี้ เนื่องจากว่าเราทั้งคู่มาเจอกันในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างนี้ทุกปี และแต่ละปีเราเองก็ต่างที่เรื่องที่อยากทำหรืออยากปรับปรุงแก้ไข เราเลยตกลงกันว่าจะเขียน “New Year’s Resolutions” กันคนละ 10 ข้อ หลังจากนั้นพอมาเจอกันอีกทีก็จะเอามาเทียบกันว่าใครทำได้มากกว่ากัน ซึ่งนี่ก็เป็นปีที่ 2 ของพวกเราแล้วที่ทำแบบนี้

ซึ่งเราจะไม่บอกซึ่งกันและกันในสิ่งที่เขียนล่าสุด แต่เราจะมาแลกกันดูในสิ่งที่เราเขียนไปเมื่อปีที่แล้ว และเราก็สัญญากันแล้วว่าจะไม่โกหก ว่าได้ทำจริงๆ แล้วหรือเปล่า ผมฉีกสมุดโน้ตของผม หน้าที่เขียน 10 ข้อนั้นไว้เมื่อปีที่แล้ว และกำลังรอกระดาษที่มี 10 ข้อของอีกคนอยู่ เค้าฉีกหนึ่งแผ่นมาให้ผมเช่นกัน หลังจากเขียนของปีนี้เสร็จเรียบร้อย

1.เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่
2.สอบใบขับขี่รถยนต์
3.เที่ยวปาย
4.หาเพื่อนสนิทเป็นคนเหนือ
5.เรียนทำอาหาร
6.ซื้อกล้อง
7.ออกกำลังสม่ำเสมอ
8.หัดทำเค้ก
9.คิดถึงพี่ฟ่างทุกวัน
10.เซอร์ไพรส์พี่ฟ่าง

ผมอ่านข้อความแล้วมาสะดุดกับข้อสุดท้ายเพราะเค้าขีดฆ่าออก บ่งบอกว่าทำแล้ว แต่ไม่เห็นผมจะได้รับเซอร์ไพรส์อะไรนี่นา ผมเงยหน้ามองอีกคนที่คงเพิ่งอ่าน 10 ข้อของผมจบ เค้าเงยหน้ามามองผมประมาณว่ามีอะไรอะไร ผมชูกระดาษในมือให้เค้าดู

“ไหนเซอร์ไพรส์ ไม่เห็นมีเลย”ผมถามอย่างสงสัย เค้าเดินยิ้มมาหยิบกระดาษไปจากมือผม แล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าผม ผมก็มองอย่างสงสัย แล้วอีกอย่างต่อให้เค้ามีเซอร์ไพรส์ให้ผมจริงๆ แล้วให้ผมดูกระดาษของเค้าก่อนแบบนี้ ผมจะไปเซอร์ไพรส์ได้ยังไงกัน หรือเค้าแอบทำอะไรให้ผมไปแล้ว ก็ไม่น่าจะใช่

“อยากเซอร์ไพรส์ป่ะละ”เค้ายังคงจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตา แต่สายตาเค้านี่มันดูเจ้าเล่ห์จนผมนึกหมั่นไส้

“ถ้าจะลีลาขนาดนี้ ไม่ต้องเซอร์ไพรส์แล้วก็ได้”ผมบอกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินไปทำอย่างอื่น

“เดี๋ยวสิครับ”แขนผมถูกเค้าคว้าให้หันกลับมาเผชิญหน้าเค้าเช่นเดิม แต่ที่ต่างไปเพราะสีหน้าแววตาของเค้าที่มันดูจริงจังและมุ่งมั่นกว่าเดิม

“ที่ผมขีดฆ่าแล้ว เพราะผมตั้งใจจะเซอร์ไพรส์พี่ฟ่างจริงๆ นะครับ แล้วก็มั่นใจมากด้วยว่าพี่ฟ่างต้องเซอร์ไพรส์”มีใครที่ไหนไหมครับที่จะทำเซอร์ไพรส์คนอื่น แต่มาบอกก่อนขนาดนี้ แถมยังมาพูดว่ามันใจอีกว่าเราจะยังเซอร์ไพรส์แบบนี้ นี่ผมเริ่มคิดละ ว่าเค้าคงแค่อำผมเล่น หรือว่าไอ้อำเล่นนี่แหละคือการเซอร์ไพรส์ผม

“ไหนล...”ผมพูดยังไม่ทันจบคำดี เสียงของผมก็ถูกกลืนหายกลับลงไปเช่นเดิม เพราะริมฝีปากผมถูกประกบด้วยปากของอีกคน หน้าผมถูกประคองกึ่งล็อคด้วยสองมือของเค้าไม่ให้ขยับ ผมตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะทำอะไรแบบนี้ แม้เราสองคนจะเคยแสดงความรักระหว่างพี่น้องมาหลายรูปแบบ ทั้งกอด หอมแก้ม จุ๊บแก้ม จุ๊บหน้าผาก แต่การจูบปากแบบนี้ ถึงจะเป็นแค่การเอาปากประกบกันเฉยๆ แบบนี้โดยที่ไม่ได้มีการใช้ลิ้น แต่นี่ผมก็ไม่คิดว่ามันคือการแสดงความรักระหว่างพี่น้อง

“เซอร์ไพรส์ไหมครับ”เค้าถอนริมฝีปากออก แต่สองมือยังคงประคองใบหน้าผมไว้ เค้าค่อยๆ ลดมือลง แต่เปลี่ยนเป็นเอาหน้าผากของเค้ามาแนบกับหน้าผากผม ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่พยายามเก็บอาการไม่ให้ออกมากนัก ซึ่งผมว่าผมคงปิดไม่มิดเท่าไหร่ คนตรงหน้าถึงยังยิ้มอยู่แบบนี้

“เล่นอะไรเนี่ย”ทันทีที่ผมตั้งสติได้ ผมรีบถอยออกจากเค้า และนั่นก็เป็นครั้งเดียวที่เราทำอะไรกันแบบนั้น หลังจากวันนั้น เรายังทำตัวปกติเหมือนเดิม เหมือนเรื่องนี้ก็เป็นแค่การล้อเล่นระหว่างเราสองคน แต่การถึงเนื้อถึงตัว การกอด การจุ๊บที่อื่นๆ ก็ยังมีและเหมือนจะยิ่งถี่กว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

“คิดไม่ออกเหรอครับ”เสียงของเค้าปลุกผมจากความคิดในอดีต ตอนนี้เราก็กำลังจะเขียนเหมือนเดิมทุกๆ ปี แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่เราทั้งคู่ก็ยังใช้การเขียนลงกระดาษเช่นเดิม อีกอย่างห้องพักห้องนี้เราก็จองไว้ในช่วงนี้ทุกปี เราเลยมีกล่องมาทิ้งไว้ที่นี่กล่องนึง วางไว้เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์อย่างนึง และมีกุญแจล็อค ปีหลังๆ มานี้พอเขียนเสร็จเราจะถ่ายรูปสิ่งที่เขียนไว้ ส่วนแผ่นกระดาษก็จะใส่ไว้ในกล่องนี้ รอมาเปิดอีกทีในปีถัดไป เพื่อเช็คว่าเราทำอะไรสำเร็จไปบ้าง

“เสร็จละ”ผมรีบพับกระดาษหลังจากเขียนข้อสุดท้าย ข้อสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยปล่อยมานานขนาดนี้ ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่กล้าพอ แต่ภายในปีหน้า สักวัน ผมจะต้องถามว่าระหว่างเราสองคนมันคืออะไรกันแน่ ถ้าเรายังจะเป็นแค่พี่น้องกัน มันก็คงมีอีกหลายอย่างที่เราต้องหยุดไว้

“ป่ะ ได้เวลาปล่อยโคมแล้ว”เค้าบอกถึงกิจกรรมอีกอย่างที่เราทำเป็นประจำเมื่อมาที่นี่ ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ชายหาดก็ไม่ค่อยมีคน เราสองคนเดินเลียบชายหาดไปจนเกือบสุด เป็นจุดประจำที่เราสองคนใช้ในการปล่อยโคม มันอาจจะฟังดูไร้สาระ แต่อีกคนเคยบอกกับผมว่ามันคือวิธีการบอกพ่อกับแม่ของเราทั้งคู่ ว่าพวกเรามาเจอท่านแล้ว

ทั้งผมและเค้าช่วยกันจุดโคม และถือรอระหว่างที่ความร้อนจากไฟจะดันอากาศให้เริ่มยกตัวขึ้น ทั้งผมและเค้าประคองโคมนั้นไว้หลวมๆ รอจนกระทั่งมันเริ่มตึงๆ อยากจะลอยออกไปเต็มที่ เราสองคนมองหน้ากันอย่างเข้าใจและหลับตาอธิษฐาน ไม่นานนักพอพวกผมทั้งคู่ปล่อยมือ โคมนั่นก็ลอยออกไปบนฟ้า ห่างออกไปในทะเลกว้าง ทะเลที่ตอนนี้มีแต่ความมืด ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของเราทั้งคู่

15 ปีแล้วสินะที่พ่อกับแม่ของพวกเราจากไป ณ ท้องทะเลแห่งนี้ ทุกปีผมมักจะร้องไห้ตรงนี้เสมอ แต่วันนี้ผมจะไม่ร้อง ผมอยากให้พ่อกับแม่เห็นว่าผมเข้มแข็งขึ้นแล้ว รวมทั้งคนที่เอื้อมแขนมาโอบไหล่ผมนี่ด้วย ทุกครั้งเค้าจะเป็นคนปลอบผม และเค้าก็หันมองหน้าผม แถมโน้มหน้าเอียงคอลงมามองเพื่อความมั่นใจว่าผมไม่ได้ร้องจริงๆ

“ปีนี้ไม่เศร้า แสดงว่าไม่ดื่มใช่ไหมครับ”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ทำเอาผมหมั่นไส้จนต้องใช้ศอกกระทุ้งเอวเค้าเบาๆ นี่เมื่อวานหลังจากเค้ารับโทรศัพท์หลายรอบนั่น เราก็แค่ไปกินข้าวธรรมดา เค้าไม่ให้ผมดื่มเลยด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ยังจะห้ามผมอีกคงได้คุยกันยาว ถึงผมจะไม่ได้เป็นขนาดว่าติดเหล้าอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ยังชอบดื่มนะครับ แม้พักหลังๆ นี่จะลดลงเพราะคนข้างๆ นี่แหละครับที่ให้ผมลด

“แค่วันเดียวน่า ที่เหลือจะนอนโง่ๆ พักสมองให้เต็มที่ ดื่มน้ำผักผลไม้ ด้วยเลยเอ้า”ผมแกล้งทำเป็นต่อรอง เพราะยังไงซะ คืนนี้ผมก็จะดื่ม ดื่มให้เมาสุดๆ เผื่อที่ผมจะได้กล้าพูดอะไรบางอย่าง

“งั้นซื้อไปดื่มที่ห้อง โอเคไหมครับ”ที่จริงผมชอบนั่งดื่มที่ร้านมากกว่านะครับ แต่วันนี้ข้อเสนอของเค้าก็น่าสนใจมากอยู่เหมือนกันแหละครับ เพราะผมแค่อยากจะเมา และคุยกับเค้าแค่นั้นเอง พอตกลงกันได้แบบนั้น เบียร์หลากหลายยี่ห้อก็ถูกหอบกลับมาที่ห้องพักของเราสองคน

เสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดจากโทรศัพท์มือถือของผม เล่นวนไปวนมา ระหว่างที่เราสองคนเริ่มดื่ม เรื่องราวสัพเพเหระถูกยกขึ้นมาในบทสนทนาของเราสองคน บางเรื่องเป็นเรื่องที่เราเคยคุยกันมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ แต่บางเรื่องก็น่าแปลกใจที่เราไม่เคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังมาก่อนเลย

“เมื่อไหร่พี่ฟ่างจะเมาสักที นี่โพดใกล้จะเมาแล้วนะ”เค้าเริ่มบ่นทั้งที่ตัวเค้าดื่มเข้าไปน้อยกว่าผมพอสมควร ซึ่งก็ไม่แปลกสักเท่าไหร่เพราะเค้าก็ไม่ได้ดื่มเป็นประจำอย่างผมกับไอ้ต้าร์ ที่ทำตัวแบบนี้กันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“อายุเริ่มเยอะแล้ว ลดลงอีกนิดก็ดีนะครับไอ้เหล้าเบียร์เนี่ย”เอาอีกแล้วครับ พอเริ่มมึนๆ ตึงๆ ก็ได้เวลาบ่นผมอีกแล้วสินะครับเนี่ย

“ไหนโพดว่ามาครั้งนี้มีอะไรสำคัญจะคุยกับพี่ไม่ใช่เหรอ”ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้เค้าบ่นผมอีก แต่เรื่องที่ผมเปลี่ยนมาถามเค้านี่ก็เป็นเรื่องที่ยังคาใจผมอยู่ ก็เค้าเล่นเกริ่นไว้ตั้งแต่ยังไม่มาเจอกัน จนตอนนี้อยู่ด้วยกันมา 2-3 คืนแล้ว เค้ายังไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

“ยังไม่ถึงเวลาครับ”เค้ามีอาการแปลกไปเล็กน้อย ตอนที่ผมถามถึงเรื่องนี้ แต่ก็เพียงนิดเดียวจริงๆ จนผมเกือบจะสังเกตไม่เห็น มันมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องมีลับลมคมในกับผมขนาดนี้ ผมเลือกที่จะไม่ถามต่อแล้วหันมาสนใจเบียร์ในมือแล้วยกขึ้นดื่ม วันนี้ผมอยากเมา เมาให้มากพอที่จะทำบางอย่าง

“พี่มีเรื่องจะถาม”หลังจากที่เราทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ และตอนนี้ผมกับเค้าก็เริ่มตึงๆ ด้วยกันทั้งคู่แล้ว เวลาเมาแบบนี้คนเรามักจะกล้าทำอะไรในเรื่องที่เวลาปกติไม่กล้าทำ แต่สำหรับผมตอนนี้ผมตั้งใจจะทำแบบนี้มาตั้งแต่ไม่เมาแล้ว เพียงแต่จะเอาความเมามาเป็นข้ออ้างเพิ่มเติม เผื่อว่าผมพลาดอะไรไปผมจะได้ยังอ้างได้ ว่าที่ทำลงไป มันเพราะความเมา

“มันเป็นเรื่อง 1 ใน 10 ข้อที่พี่จะต้องทำให้ได้ภายในปีหน้า”ผมเริ่มพูดโดยที่เค้ายังคงนิ่ง ฟังอยู่เงียบๆ

“และมันเกี่ยวกับโพด”แม้นี้จะยังไม่ใช่วันสิ้นปี และยังไม่ถึงปีใหม่ แต่ผมไม่อยากให้มันค้างคาอีกต่อไปแล้ว และวันที่ดื่มหนักๆ จนผมสามารถคุยเรื่องนี้ได้มันก็คงมีแต่วันนี้นี่แหละครับ

“มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีครับ”เค้าหันมามองผม สบตานิ่ง

“ไม่รู้สิ”ผมยิ้มจางๆ ให้เค้าอีกครั้งก่อนจะยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม เหมือนเป็นการย้อมใจ

“เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน มันคืออะไรกันแน่”ผมถามโดยที่ไม่ได้หันมองหน้าเค้า แม้จะรู้สึกลุ้นกับคำตอบของเค้า แต่อาจเพราะความเมาในตอนนี้ทำให้ผมพร้อมรับทุกคำตอบ เค้าไม่ได้ตอบคำถามผม แต่เอื้อมมือมาประคองใบหน้าผมให้หันมองเค้า เราสบตากันนิ่ง ขณะที่เค้าขยับ เข้ามาหาผม จนใบหน้าเราทั้งคู่อยู่ในระยะที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน

ริมฝีปากเค้าค่อยๆ จรดลงมาที่ริมฝีปากของผม และเพียงไม่นานลิ้นของเค้าก็สอดเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผม สำหรับผมมันเหมือนเพิ่งได้รับในสิ่งที่โหยหามานาน การกระทำของเค้ามันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้

“อือ”เสียงครางในลำคอผมดังขึ้น ขณะที่เค้าถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เรายังคงเอาหน้าผากยันกันไว้และผมก็เงียบรอฟัง สิ่งที่เค้ากำลังทำท่าจะพูดออกมา

“ทำไมเราต้องไปหาคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของเราละครับ”




TBC

ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนไปอีก  :katai4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 7 เซอร์ไพรส์ 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-07-2017 09:30:30
โอยยย น้องโพดด พี่อยากได้คำตอบที่ชัดเจนค่ะลูกกกก  :katai1:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 7 เซอร์ไพรส์ 06-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-07-2017 10:53:46
 :katai1: :katai1:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 8 เกินเลย 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 07-07-2017 08:53:55
บทที่ 8
เกินเลย




“ทำไมเราต้องไปหาคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของเราละครับ”เค้าจ้องมองหน้าผมนิ่ง ผมเองก็มองตอบเช่นเดียวกัน

“งั้นจูบพี่อีกทีสิ”ยอมรับเลยว่าเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ผมกล้าที่จะพูดออกไปแบบนั้น แต่อีกเหตุผลนึงคือผมยังรู้สึกว่าจูบแรกนั่นมันยังไม่เพียงพอกับความโหยหาของผม นอกจากนี้สิ่งที่เค้าได้เป็นคนเริ่มมันทำให้ผมเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง

เค้าสบตาผมครู่นึงก่อนจะโถมเข้ามาหาผม ซึ่งออกจะร้อนแรงกว่าเดิมเราต่างลิ้มรสของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักพอ มือหนาของเค้าสอดเข้ามาเลิกเสื้อของผมขึ้น เค้าถอนริมฝีปากออก ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นซอกคอของผม

“อ๊ะ...”ผมหลุดเสียงออกมาเบาๆ เมื่อเค้าฝังเขี้ยวกดลงไป แม้จะไม่ได้แรงมากแต่ก็สร้างความปั่นป่วนภายในให้ผมไม่น้อย มือเค้าก็ยังคงลากไปตามตัวของผม ลากจากสะดือขึ้นมาจนถึงยอดอก เขี่ยมันเล่นจนสร้างความปั่นป่วนให้ผมขึ้นไปอีก นี่ผมกับเค้ามันจะเลยเถิดกันเกินไปหรือเปล่านะ

“พอเถอะ”ผมรีบดึงมือของเค้าที่เลื่อนต่ำลง และกำลังจะล้วงเข้าไปในกางเกงของผม เค้าเงยหน้ามามองผมอย่างเว้าวอน ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าจะรู้สึกยังไง เพราะความปรารถนาในตัวของผมเองก็พุ่งขึ้นสูงแล้วเช่นกัน แต่ผมไม่รู้ว่าถ้ามันเลยเถิดไปมากกว่านี้ ระหว่างเราสองคนมันจะเปลี่ยนไปไหม เราจะยังคงทำตัวเหมือนเดิมได้หรือเปล่า แล้วอย่างที่เค้าบอกว่าระหว่างเราก็ไม่อยากให้ไปหาคำจำกัดความนั่น มันจะเป็นยังไงละถ้าเลยเถิดไปมากกว่านี้ ผมพยายามขืนตัวออก แต่เหมือนอีกคนจะไม่ยอม

“พี่เริ่มมาขนาดนี้แล้วคิดว่าโพดจะหยุดได้เหรอครับ”เค้าโน้มหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูผม ก่อนจะขบเบาๆ ที่ติ่งหู แล้วเลื่อนลงไปที่ซอกคอผมอีกรอบ ร่างผมถูกดันให้นอนราบลงกับพื้น สองแขนผมถูกรวบขึ้น ตามด้วยเสื้อของผมที่ถูกถอดออกไป

“แน่ใจแล้วเหรอ”ผมถามย้ำอีกครั้งกับคนที่พลิกตัวขึ้นมาคร่อมผม เค้าค่อยๆ ถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงาม แต่ผมจะเคยเห็นเค้าเปลือยท่อนบนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ สถานการณ์ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไป

“พี่ฟ่างคิดว่ายังไงละครับ”เค้าบอกด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ดึงมือผมให้ล้วงเข้าไปในกางเกงของเค้า ความร้อนและแข็งอย่างกับแท่งเหล็กนั่นทำให้ผมเกือบจะต้องชักมือกลับ แต่เค้ากลับกดมือผมไว้แน่น ก่อนจะดึงรูดกางเกงของตัวเองลง เผยให้ผมเห็นฝักข้าวโพดของเค้า ซึ่งขนาดมันเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนที่เราเคยอาบน้ำด้วยกันสมัยเด็กอย่างสิ้นเชิง

“อือ”เค้าทาบทับลงมาที่ตัวผมอีกครั้งตามด้วยริมฝีปากของเราที่บดขยี้กันอีกรอบ พอถอนปากออกเค้าก็ย้ายเป้าหมายไปเป็นยอด อกของผม เค้าใช้ลิ้นหยอกล้อไปรอบๆ จนพอใจก่อนจะลากลิ้นต่ำลง ไปเรื่อยๆ จนผมต้องผิดตัวเพราะอารมณ์ปรารถนาที่ลุกโชนขึ้นมากกว่าเดิม

“หึหึ”เค้าหัวเราะในลำคออย่างชอบใจเมื่อดึงกางเกงผมออกไปแล้วเห็นว่า ส่วนกลางลำตัวของผมเองก็พร้อมแล้วไม่ได้ต่างจากเค้า ตอนนี้ผมแทบลืมผลที่จะตามมาหลังจากนี้ไปเสียหมด ความต้องการตรงหน้ามันบดบังทุกอย่างไปหมดแล้วครับตอนนี้ เค้าดึงให้ผมขยับตัวลุกขึ้น แล้วจับที่ส่วนกลางลำตัวของเราทั้งคู่ให้แนบชิดกัน มือของเค้าค่อยๆ ขยับรูดขึ้นลงแค่เพียงเบาๆ แต่กลับสร้างความเสียวซ่านให้กับผมเป็นอย่างมาก

“อ๊า..”เหมือนอีกคนจะพอใจที่ผมส่งเสียงครางออกมา จังหวะมือของเค้าที่เร่งเร็วขึ้นทำให้เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่หอบถี่ขึ้นตามไปด้วย สัมผัสที่ร้อนระอุจากส่วนแกนกลางลำตัวของเราทั้งคู่ ยิ่งร้อนและแนบชิดกันขึ้นเรื่อยๆ จนผมใกล้จะขึ้นไปถึงขีดสุด แต่อีกคนกลับหยุดมือไปเสียดื้อๆ

“หยุดทำไม”ผมถามเสียงกระเซ่าเพราะเหมือนโดนถีบตกเหวทั้งที่กำลังจะขึ้นไปถึงสวรรค์อยู่แล้ว เค้าไม่ได้ตอบผมแต่ขยับลุกขึ้นช้อนตัวผม อุ้มมาวางลงที่เตียง เค้าส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเลื่อนต่ำลงไปที่หว่างขาของผม มือเค้าคว้าหมับที่พวงข้าวฟ่างของผม ก่อนที่ลิ้นของเค้าจะแลบออกมาลิ้มเลียชิมส่วนปลาย

“อือ”ผมต้องเกร็งตัวบิดไปมาเพราะความสุขที่เค้ามอบให้ ยิ่งพอเค้าครอบปากลงไปดูดกลืนลงไปจนเกือบสุด สองมือของผมต้องรีบเอื้อมมือไปจับที่ศีรษะของเค้า สอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมหนาดกดำของเค้า เพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยว เพราะเรี่ยวแรงผมตอนนี้เหมือนจะไม่เหลือแล้ว

“โพด...โพด หยุ..หยุด”ผมพยายามจะดันให้เค้าถอนปากออก เพราะผมกำลังจะถึงจุดที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมหยุดตามที่ผมพยายามบอก ถึงจะพยายามผลักแล้ว สุดท้ายผมก็ปลดปล่อยออกมา

“อ๊ะ...อ้า”ผมถึงขั้นต้องงอตัว กระตุ๊กกอดที่ศีรษะเค้าแน่น เพราะเค้าเล่นดูดแรงขึ้นตามจังหวะที่ผมปลดปล่อยออกมา นี่กะจะดูดให้ผมหมดตัวเลยหรือไงเนี่ย

“อืม...หวาน”เค้าเงยหน้าขึ้นมาเลียริมฝีปากมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ส่วนผมก็หอบจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรงที่มีใครทำให้ผมแบบนี้ แต่ต้องยอมรับว่านี่คือครั้งที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมากที่สุด และมันทำให้ผมรู้สึกยังไม่พอ ผมเป็นฝ่ายดึงเค้าเข้ามาจูบ เราแลกลิ้นกันพัลวันอีกครั้ง รสชาติสิ่งที่เค้าเพิ่งดูดกลืนไปจากตัวผม ยังปนมาให้ผมรับรู้ด้วยเช่นกัน

“ผมจะทนไม่ไหวแล้ว”ผมบอกเสียงแหบพร่า สองขาผมถูกแยกออก นิ้วเรียวของเค้าสอดเข้าไปที่ช่องทางคับแคบของผมพร้อมกัน 2 นิ้วอย่างรวดเร็วจนผมสะดุ้ง เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เค้าค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนจาก 2 นิ้วเป็น 3 นิ้ว แต่จากที่ผมสัมผัสฝักข้าวโพดของเค้า มันน่าจะมากกว่า 3 นิ้วหรือเปล่า

“พี่ไว้ใจผมหรือเปล่า”เค้าเลื่อนขึ้นมากระซิบข้างๆ หูผมอีกรอบ ผมไม่ได้ตอบแต่ดึงเค้าเข้ามาจูบเป็นการให้เค้ารับรู้

“อืม อ๊า”ผมส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ตอนนี้เหมือนเป็นผมเองเสียมากกว่าที่จะทนไม่ไหวอยากให้เค้าเข้ามาในตัวของผม

“งั้นผมขอไม่ใส่ถุงนะครับ”ผมพยักหน้ารับ ก็ถึงจะไม่อนุญาตแล้วยังไงละ เราก็ไม่ได้มีใครพกถุงยางมาด้วยสักคนนี่นา ผมส่งยิ้มยืนยันกับเค้าอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าผมเองก็ไว้ใจในตัวเค้า เค้าค่อยๆ ถอนนิ้วออกแล้วใส่ฝักข้าวโพดของเค้าเข้ามาแทน

“อ๊ะ..ช้าๆ นะ”มือผมค่อยๆ ยันตัวเค้าไว้ก่อนเพราะตอนนี้รู้สึกตึงแน่นไปหมด ทั้งที่เค้าเพิ่งใส่เข้ามาแค่ส่วนหัว เค้าแช่ไว้แล้วโน้มตัวลงมาจูบผมอีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ เค้าดันพรวดเข้ามาจนสุด ผมถึงกับต้องผวาเกาะเค้าแน่น

“ใจเย็นสิ”ผมตีหลังเค้า เบาๆด้วยความหมั่นไส้

“หึ หึ ก็พี่อยากทำให้ผมอดใจไม่ไหวทำไม”เค้าบอกอย่างไม่สนใจพร้อมคมเขี้ยวที่ฝังลงมาบนซอกคอของผม

“ช้าๆ ก่อนนะ”ผมบอกในขณะที่เค้ากำลังจะขยับตัว

“อ๊า...”เค้าส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจพร้อมค่อยๆ ขยับเข้าออกในตัวออกผม

“ซี๊ด...อ๊า”เสียงที่เปล่งออกมาอย่างสุขสม พร้อมกับแรงกระแทกที่เร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเองทั้งจิกมือลงบนที่นอน สลับกับการจิกไปที่แผ่นหลังของเค้า เราต่างคนต่างพยายามทำให้อีกฝ่ายพอใจในรสรักของกันและกัน แต่สำหรับผม จริงๆ แล้วแค่เป็นเค้ามันก็สุขที่สุดสำหรับผมแล้ว ถึงตอนนี้ผมยอมรับกับตัวเองได้เต็มปากแล้ว ว่าผมรักเค้า “รัก” ที่ไม่ใช่แบบพี่น้อง แต่มันคือรักในแบบของคนรัก ผมโหยหาที่จะสัมผัสร่างกายนี้มานานแสนนาน แต่ผมก็พยายามหักห้ามใจมาตลอด

“อ๊ะ”ผมต้องรีบดึงตัวเค้ามากอดแน่น ให้เค้าลดจังหวะลงเพราะเค้ากระทุ้งเข้ามาโดนจุดที่ผมแทบจะขาดใจลงเสียให้ได้

“ตรงนี้สินะครับ”แต่เหมือนอีกคนจะยิ่งชอบใจ กระแทกเข้ามาถี่ขึ้นจนผมต้องกอดเค้าแน่นขึ้นกว่าเดิม คราวนี้เป็นผมเองที่ฝังคมเขี้ยวลงบนไหล่ของเค้า ช่องทางผมเริ่มบีบรัดมากขึ้นเพราะผมกำลังใกล้จะปลดปล่อยออกมาอีกแล้ว

“รอผมก่อนสิครับ”เค้าเร่งจังหวะเร็วขึ้นจนผมแทบจะล่องลอยเพราะความสุขสม และเสียวซ่านที่ได้รับ

“พร้อมกันนะครับพี่ฟ่าง”สิ้นคำพูดของเค้าผมก็ปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นนั้นออกมาอีกรอบทั้งที่ไม่ได้แตะต้องแกนกลางตรงลำตัวนั่นเลย ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็รู้สึกอุ่นวาบที่ช่องทางด้านหลัง เค้าดึงผมไปกอดแน่น ก่อนเราจะหอบหายใจถี่ๆ ออกมาพร้อมกัน

“ผมทำให้พี่มีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ ที่พี่เคยผ่านมาหรือเปล่าครับ”เค้าถามทั้งที่ยังไม่ได้ถอนแก่นกายนั่นออกไปจากตัวผม ผมไม่ได้แปลกใจนักที่เค้าถามแบบนี้ แม้เราจะไม่เคยพูดเรื่องประสบการณ์เรื่องเซกส์ของกันและกัน แต่ทั้งผมและเค้าก็คงรู้ดีว่าต่างคนก็คงผ่านอะไรมาบ้างแล้วตามวัยของเราทั้งคู่ ผมเองแม้จะไม่เคยคบใครเป็นแฟนมาก่อน แต่เรื่องแบบนี้มันก็มีเข้ามาบ้างแหละครับ

“ก็...ไม่รู้สิ”ผมบอกยิ้มๆ โดยไม่ได้ยืนยันอะไรในสิ่งที่เค้าถาม แม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่ารสรักที่เพิ่งจบลงเมื่อสักครู่มันดีมากๆ แต่จะให้ยอมรับกับเค้าตรงๆ ก็ออกจะยังรู้สึกแปลกๆอยู่ดีนั่นละครับ

“ไม่ตอบเหรอ...ไม่ตอบงั้นต่ออีกรอบ”ไม่พูดเปล่าเพราะผมเริ่มสัมผัสได้แล้วว่าไอ้ที่ยังอยู่ในตัวผมมันเริ่มขยายขึ้นมาคับแน่นอีกรอบแล้ว

“เดี๋ยวๆ จะไม่พักหน่อยเหรอ”ผมร้องขอความเห็นใจเพราะตอนนี้เหนื่อยเหลือเกิน แม้จะยังอยากมีอะไรกับเค้าอีกแต่ก็ยังต้องการพักสักนิดก่อนเหมือนกันแหละครับ

“งั้นก็ตอบมาครับว่าผมดีกว่าคนอื่นๆ หรือเปล่า”เค้าเริ่มขยับตัวเข้าออก อีกแล้วจนผมต้องรีบยันตัวเค้าไว้ให้หยุด

“อือ”ผมตอบรับออกไปสั้นๆ

“อะไรนะ ขอชัดๆหน่อยสิครับ ไม่งั้นต่ออีกรอบนะ”เค้ารีบดันตัวสู้แรงต้านของผม ซึ่งแน่นอนว่าผมสู้แรงเค้าไม่ได้อยู่แล้ว

“โอเคๆ ครั้งนี้มันสุดยอดที่สุดเท่าที่พี่เคยมีเซกส์มา พอใจยัง”ผมบอกออกไปอย่างเสียไม่ได้ แต่พอผมเห็นรอยยิ้มร้ายของอีกคน และจังหวะเข้าออกของอีกคนทำให้รู้ว่า ผมพลาดเสียแล้ว เพราะต่อให้ผมยอมรับหรือไม่ยอมรับออกไป เค้าก็คงจะทำต่ออยู่ดีสินะ ผมกำลังจะอ้าปากต่อว่าเค้าแต่ทว่า

“อ๊ะ...อ้า”ผมต้องผวาเข้ากอดเค้าแน่น เพราะเค้าเล่นกระแทกเข้ามาตรงจุดนั้นพอดี เค้ายิ้มอย่างเป็นต่อว่าเค้ารู้จุดอ่อนของผมแล้ว นี่ผมคงต้องเล่นบทรักนี้กับเค้าอีกรอบสินะ แต่ยิ่งเราปรนเปรอซึ่งกันและกันมากเท่าไหร่ มันกลับยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ มันเหมือนเป็นการเสพติดที่ต้องได้รับอีกเรื่อยๆ จากรอบที่ 2 บนเตียง ไปต่อที่ห้องน้ำ โซฟา วนกลับมาที่เตียงอีกรอบ สุดท้ายเมื่อทั้งผมและเค้าหมดเรี่ยวหมดแรงด้วยกันทั้งคู่ ผมก็มานอนอยู่ในอ้อมกอดเค้าบนเตียง

แม้ผมจะเคยได้รับอ้อมกอดจากเค้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะครั้งนี้ผมไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห้ามใจตัวเองอีกแล้ว ว่าเราเป็นได้แค่พี่น้องกัน เพราะกิจกรรมที่เราเพิ่งผ่านด้วยกันมาหลายรอบ มันคงไม่มีพี่น้องที่ไหนทำร่วมกัน แม้สถานะระหว่างเราจะยังไม่มีคำจำกัดความ แต่แค่นี้ มันก็ดีแล้ว

“พี่ฟ่างเป็นผู้ชายคนแรกของโพดเลยนะครับ”อยู่ๆ เค้าก็กระซิบบอกผมเสียงแผ่วเบา ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่เค้าเพิ่งบอกมันตีความหมายได้ว่าเค้าไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจหรอกนะครับ เพียงแต่มันทำให้ผมฉุกคิด ว่าแล้วความสัมพันธ์ของเค้ากับผู้หญิงละ มันเป็นยังไงบ้าง




TBC


สถานะก็ไม่ชัดเจน

แต่ดันได้กันแล้ว  :z6:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 8 เกินเลย 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-07-2017 10:07:06
ฮื่ออออออ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 8 เกินเลย 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-07-2017 14:12:45
หูยยย น้องโพดแซ่บบ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 8 เกินเลย 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-07-2017 15:26:39
แล้วทั้งคู่ก็ทำรักกัน  :ling1: :ling1: :ling1:
โดยไม่ระบุสถานะ มันเลื่อนลอยนะ
คนที่โทรหาโพด คือหญิงที่มาติดพันกันสินะ
แต่เป็นคนรักหรือเปล่านี่สิ น่าสงสัย

ตอนนี้รู้ว่าโพด เคยมีประสบการณ์กับหญิงมาก่อน
แต่กับชาย ฟ่างเป็นคนแรก
แต่ทางฟ่างนี่ไม่รู้เรื่องทางฟ่างเลย
ก็ติดตามกันต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 9 สูญเสีย 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-07-2017 10:04:00
บทที่ 9
สูญเสีย




“ไหวไหมละเรา”แม่เปิ้ลเอ่ยถามข้าวโพดที่ยังนอนซม เพราะถ่ายไปจนหมดไส้หมดพุง แม้จะหยุดถ่ายแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังนอนหมดเรี่ยวหมดแรง นอนหยอดน้ำเกลือแร่ตั้งแต่สายๆ จนตอนนี้จะบ่ายแล้วละครับ

“โพดไม่เป็นไรแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงครับ”คนป่วยบอกอย่างอวดดีทั้งที่ปากยังซีด แรงก็ยังไม่ค่อยจะมี แม่เปิ้ลเข้าไปลูบหัวข้าวโพดอย่างเอ็นดู โดยมีผมนั่งมองอยู่ไม่ห่างจากเตียงนัก

เค้าเป็นอะไรนะเหรอครับ ก็เมื่อช่วงสายๆ ครอบครัวพวกเราทั้ง 2 ครอบครัวก็ไปนั่งทานอาหารที่ริมชายหาด ซึ่งมันก็ดูเป็นการทานอาหารปกตินั่นแหละครับ แต่วันนี้พ่อๆ แม่ๆ ของพวกผมทานหอยนางรมกัน หอยนางรมสดๆ ตัวใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ สำหรับผมนั้นผมไม่กินอยู่แล้ว เพราะเคยชิมแล้วรู้สึกมันหยืยๆ ในปากแปลกๆ

“โพดว่าเราลองกันคนละตัวไหมฮ่ะพี่ฟ่าง”น้องชายตัวแสบของผมดันอยากลอง แม้ผมจะปฏิเสธว่าไม่เอา เค้าก็ยังยืนยันให้สั่งมา จากนั้นก็ทำเลียนแบบวิธีการกินของพ่อๆ แม่ๆ พวกผมนั่นแหละครับ

“โพดจะต้องฟิตปั๋งอย่างที่พ่อพูดแน่ๆ”เค้ามากระซิบผมด้วยความภูมิใจ ไอ้เด็กแก่แดดเอ้ย รู้หรือเปล่าเหอะว่าที่ผู้ใหญ่เค้าพูดนั่นมันแปลว่ายังไง แล้วสุดท้ายเป็นยังไงเหรอครับ ฟิตสมใจเค้าละ ฟิตมาก ต้องมานอนยอดน้ำเกลือแร่แบบนี้ ทีแรกผมก็งงนะครับ พ่อกับแม่ของพวกผมก็กินเหมือนเค้าทุกคน ทำไมมีแต่เค้าที่กินแล้วท้องเสียอยู่คนเดียว

จนได้ฟังคำอธิบายจากคุณหมอที่คลินิคว่าบางทีอาจเกิดจากการแพ้ ไม่ก็การที่ยังไม่เคยกินมาก่อน ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะกับลำไส้ยังไม่คุ้นเคย เลยทำให้เกิดการต่อต้านและขับออกมาอย่างที่เห็น ผมจำคำศัพท์ที่คุณหมอบอกไม่ค่อยได้ แต่คุณหมอยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างถ้าเรากินส้มตำแล้วอาจไม่เป็นอะไรเพราะกระเพาะกับลำไส้เราคุ้นเคยแล้ว แต่ถ้าชาวต่างชาติมากินอาจท้องเสียได้ ทั้งที่อาหารก็สะอาดถูกสุขลักษณะทุกอย่าง

“แม่เปิ้ลไม่รีบไปเหรอครับ ใกล้เวลาเรือออกแล้ว”ผมเอ่ยถามเพราะที่จริงบ่ายนี้ ครอบครัวของพวกเราต้องไปนั่งเรื่องที่จองไว้กับทางโรงแรม แล้วนี่ก็จะถึงเวลาเรือออกแล้ว ส่วนผมกับข้าวโพดนั้นก็คงต้องอดไปตามระเบียบนั่นแหละครับ ข้าวโพดนั้นไปไม่ไหวอยู่แล้ว ส่วนผมก็อาสาเฝ้าน้องนั่นแหละครับ ถ้าผมไป แล้วน้องไม่ไปผมก็ไม่รู้จะเล่นกับใครมันก็คงไม่สนุก

“แม่ไม่ไปแล้ว ตัวแสบไม่สบายทั้งคนใครจะทิ้งลง”แม่เปิ้ลบอกเหตุผลที่ยังไม่ไปเตรียมขึ้นเรือ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วแม่เปิ้ลน่าจะเป็นคนที่อยากไปทริปนี้มากที่สุดนะครับเนี่ย นี่ถ้าตัวแสบของพวกเราไม่ป่วยเสียก่อน เราทุกคนคงได้ไปสนุกด้วยกันทุกคนแล้ว

“ผมไม่เป็นไรแล้วฮ่ะ”คนป่วยพยายามทำเสียงสดชื่นจนผมนึกหมั่นไส้ แต่จริงๆ เค้าก็ดีขึ้นมากกว่าตอนแรกๆ แล้วแหละครับ ตอนไปหาหมอ คุณหมอก็บอกแล้วว่าพอถ่ายหมด นอนพักก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

“เดี๋ยวฟ่างดูน้องเองครับแม่เปิ้ล”แม้จะหมั่นไส้น้องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากให้แม่เปิ้ลเป็นกังวลครับ เพราะรู้ว่าปีนี้บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของพวกผมทำงานกันมากนักมาก มาพักผ่อนทั้งทีก็อยากให้พวกท่านเต็มที อะไรที่เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ถ้าผมทำแทนได้ ผมก็อยากช่วยแหละครับ ตอนนี้ผมกับข้าวโพดเดงก็โตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วด้วย

“ไม่เป็นไร แม่อยู่ด้วยดีกว่าเนอะ”แม่เปิ้ลยังคง ไม่เห็นด้วยกับพวกผมสองคน

“ไม่เอา โพดจะอยู่กับพี่ฟ่างสองคน”นี่ก็เหตุผลอะไรของค้า แม่เปิ้ลได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู สุดท้ายแม่เปิ้ลก็ทนลูกตื้อของพวกผมสองคนไม่ได้ หรือทนรำคาญไม่ได้ก็ไม่รู้นะครับ

“เม่ฝากป้ามั้นไว้แล้ว ถ้ามีอะไรก็ลงไปหาป้ามั้นได้เลย หรือโทรหาพวกแม่ได้ตลอดเวลา เข้าใจไหม”แม่เปิ้ลกำชับพร้อมอธิบายกับเราสองคน

“เข้าใจครับ”เราประสานเสียงกันตอบ แม่เปิ้ลเดินมาลูบหัวเราสองคน ก่อนจะลงไปสมทบกับคนอื่นๆ

“พี่ฟ่างขึ้นมานอนเป็นเพื่อนโพดสิฮ่ะ โพดจะได้หายไวๆ”คนป่วยตีมือปุๆ ที่ว่างข้างๆ ตัวเองทันทีที่แม่เปิ้ลออกไป แม้ไอ้ที่เค้าบอกมันจะดูไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกันสักเท่าไหร่ แต่ผมก็เดินไปล้มตัวลงนอนข้างๆ เค้า

“มีพี่ฟ่างนอนเป็นกำลังใจให้แบบนี้...”

“พอๆ นอนพักได้แล้ว”ผมรีบปรามอีกคนเพราะอยากให้เค้าพักผ่อนมากกว่า เค้าพลิกตัวตะแคงหันมาทางผม ตามด้วยการเอื้อมมือดึงผมให้นอนตะแคงหันหน้าหาเค้าด้วย

“จุ๊บหน่อยสิครับ”เค้าบอกกับผมยิ้มๆ ถึงวิธีการที่เราทำกันมาตั้งแต่เล็กๆ คือการจุ๊บหน้าผากกันและกันก่อนนอน แต่พอโตมาผมกลับไม่ค่อยได้ทำ เพราะมันเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่พวกเราทำกันนี่แหละครับ ผมยังคงนอนนิ่งมองเค้าไม่ได้ทำตามอย่างเค้าขอ ทำให้เค้าเองต้องเป็นฝ่ายเริ่ม ขยับตัวมาจุ๊บที่หน้าผากของผม ผมพลิกตัวกลับหันหลังให้เค้า แทนที่จะทำแบบเดียวกับเค้า

“นอนเถอะ”ผมบอกเสียงเบา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงวงแขนที่ดึงกระชับผมเข้าหา เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก ก่อนที่ต่างคนจะหลับยาวไปตลอดช่วงบ่าย เราสองคนตื่นอีกทีก็เย็นจนเกือบจะค่ำแล้ว แต่พ่อแม่ของพวกเราก็น่าจะยังไม่กลับ ทั้งผมและข้าวโพดเลยกะว่าจะลงมารอที่ล็อบบี้

“ทำไมคนเยอะจังครับป้ามั้น”พอลงมาที่ล็อบบี้ตอนนี้เหมือนทุกคนกำลังวุ่นวายกับอะไรสักอย่าง แต่พอป้ามั้นหันมาเห็นผมสองคนก็โผเข้ามากอดเราสองคนไว้แน่น แต่สายตาผมก็ยังคงมองเลยออกไปด้านนอก

“พ่อ! แม่!”ผมตะโกนออกไปสุดเสียงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า พยายามจะวิ่งออกไปดูแต่ป้ามั้นก็ยื้อเอาไว้ ข้าวโพดเองก็คงเห็นอย่างที่ผมกำลังเห็นแล้ว ผู้ใหญ่อีกหลายคนมาช่วยกับจับพวกเราไว้ไม่ให้วิ่งออกไป แต่ภาพพวกนั้นก็ยังคิดตาผมไม่เคยหายไปไหน ร่างกายที่ขาวซีดของพวกกับแม่ที่กำลังถูกยกขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล

“ฮึก”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบลงมาที่แก้ม ค่อยๆ แกะแขนของอีกคนที่กอดผมไว้หลวมๆ ออก ผมหันไปมองคนที่ยังคงหลับตาพริ้ม คนที่วันนั้นเหมือนจะตั้งสติ และหยุดร้องไห้ได้ก่อนผม เค้าเป็นคนเดินเข้ามากอดผมที่ยังคงเอาแต่ร้องไห้ หลังจากรับรู้ว่าพ่อแม่ของพวกเราไม่อยู่แล้ว

“โพดจะดูแลพี่ฟ่างเองฮ่ะ โพดสัญญา”นั่นคือคำที่เค้าเคยบอกกับผม

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุดไม่อยากให้เค้ารู้สึกตัว ผมหยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเดินออกมายืนที่ริมระเบียง เหม่อมองออกไปในท้องทะเลกว้างอันมืดมิด นี่เป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่ผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์ที่พรากคนที่เรารักไปพร้อมกันถึง 4 คน

เรือที่พ่อแม่ของพวกเรานั่งออกไปเที่ยว เจอกับพายุที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน แต่นั่นอาจจะไม่เป็นอะไรมากถ้าเรือไม่ดันไปกระแทกกับโขดหินอย่างแรงจนเรือแตก และถ้านั่นมันยังเลวร้ายไม่พอ กระแสน้ำ ณ ที่ตรงนั้นดันกลายเป็นน้ำวนที่ดูดทุกคนลงไปยังท้องทะเลลึกนั่น กว่าทีมช่วยเหลือจะเข้าไปได้ ทุกคนก็หมดลมหายใจกันไปแล้ว ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง

“ออกมาทำอะไรครับ”อ้อมกอดที่สวมมาจากทางด้านหลัง พร้อมใบหน้าของอีกคนที่วางพาดลงมาที่ไหล่ของผม ผมไม่ได้ตอบเค้าหากแต่เอื้อมมือไปยีหัวยุ่งๆ ของเค้า หลายวันมานี้หลังจากที่เรามีอะไรกันในวันนั้น วันต่อๆ มาเราก็แทบจะไม่ได้มีกิจกรรมอย่างอื่นกันเลย เราสองคนคลุกกันอยู่แต่ในห้องนี้เหมือนความต้องการของเราทั้งคู่มันจะไม่เคยพอ

“พี่ทำให้ตื่นหรือเปล่า”ผมเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปที่เค้า ใช้ศีรษะของตัวเองถูกับใบหน้าเค้าเบาๆ เป็นการหยอกล้อ เราทั้งคู่หลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ดูจากความมืดภายนอก และแสงจันทร์ที่ยังสว่างจ้า คาดว่านี้คงยังไม่ใกล้เช้าสักเท่าไหร่

“นึกว่าพี่ฟ่างแอบหนีโพดไปแล้วเสียอีก”เค้ากดจมูกลงมาที่แก้มผมก่อนจะดึงตัวผมไปนั่งพิงริมระเบียง

“มีแต่โพดละม้างที่อีกไม่กี่วันก็จะทิ้งพี่ไป ห่างไปตั้งครึ่งค่อนโลก”นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่เราต่างรีบตักตวงความสุขจากอีกคน เพราะถึงแม้เราจะไม่ได้พูดออกมาเราก็รู้กันดีว่าหลังจาก 10 วันที่ภูเก็ตนี่ เราก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตของใครของมัน และมันเป็นชีวิตที่ไม่ได้เดินไปด้วยกัน อาจเพราะเหตุนี้ด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เค้าไม่อยากจะจำกัดความในความสัมพันธ์ระหว่างเรา

“โพดถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”วงแขนของเค้ากระชับตัวผมให้แน่นขึ้น แม้ลมทะเลจะพัดมาเรื่อยๆ และอากาศในช่วงดึกแบบนี้จะเย็นเท่าไหร่ แต่พออยู่ในอ้อมกอดของคนด้านหลังนี่ก็ยังทำให้ผมอบอุ่น จนเริ่มรู้สึกไม่อยากให้เค้าจากไป

“หลายอย่างก็ได้”ผมบอกขำๆ เพราะที่จริงผมก็พร้อมตอบเค้าทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่เหมือนพอมาเจอกันแต่ละปีเราก็ไม่ค่อยคุยอะไรกันนอกเหนือจากเรื่องราวที่เราเคยมีร่วมกันตั้งแต่สมัยเด็ก

“ถ้าวันนึงโพดทำผิด โพดทำพี่ฟ่างเสียใจ พี่ฟ่างจะโกรธจะเกลียดโพดไหมครับ”น้ำเสียงของเค้าดูจริงจัง จริงจังจนผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี เพราะประโยคที่ถามมา มันก็ชวนให้คิดได้หลายความหมายเหลือเกิน

“พูดแบบนี้นี่มีอะไร ที่พี่ต้องเตรียมใจหรือเปล่า”ผมบอกออกไปติดตลก แต่ในใจผมคิดไปแล้วจริงๆ ว่ามันคงมีเรื่องบางอย่างที่หากผมรู้ มันต้องมีผลกับความรู้สึกของผม เค้าถึงได้ถามออกมาแบบนี้

“พี่ฟ่างตอบมาก่อนสิฮ่ะ”เค้ากลับมาใช้น้ำเสียงอ้อนๆ ในแบบที่ผมมักจะแพ้ให้เค้าเสมอ ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ทำท่าคิดอยู่พักนึง เอาตามจริงผมก็ยังนึกไม่ออกมาเค้าจะทำอะไรที่รุนแรงถึงขั้นที่ผมจะเกลียดเค้า มันคงไม่มีหรอก โกรธอาจจะมีบ้าง แต่ถ้าเกลียดผมว่าเค้าคงเป็นคนสุดท้ายบนโลกนี้ที่ผมจะเกลียด

“งั้นพี่ถามกลับ ว่าวันนึงจะมีอะไรที่ทำให้โพดโกรธหรือเกลียดพี่ไหม”ผมคิดว่าคำตอบของผมกับของเค้ามันไม่น่าจะต่างกันจริงไหมครับ

“ไม่มีหรอกครับ”เค้าตอบแทบจะทันควัน จนผมหลุดขำออกมา

“แล้วคิดว่าพี่จะเกลียดโพดลงไหมละ”ผมเอี้ยวตัวหันไปมองเค้า

“งั้นสัญญาอีกทีสิครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะยังมาเจอกันที่นี่เหมือนเดิมทุกปี”มันจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไงทำไมเค้าอยากให้ผมสัญญาเหลือเกิน ว่าต้องมานี่ทุกปีทั้งที่เราก็ตกลงกันไว้แล้ว แถมเค้าเองก็เคยให้ผมสัญญาเพิ่มไปแล้วรอบนึงด้วย แต่เพราะไม่อยากจะยุ่งยากอะไร ผมเลยเลือกที่จะตอบตกลงไป

“งั้นเรากลับไปนอนกันดีกว่าครับ”เค้าดึงตัวผมให้ยืนขึ้นเต็มตัว ก่อนเราจะกลับมาล้มตัวลงนอนที่เตียง ไม่นานนักผมก็หลับไปในอ้อมกอดนั้น จนกระทั่งเช้า

ผมตื่นขึ้นมาในตอนเกือบๆ 8 โมงเช้า อีกคนไม่ได้อยู่ที่เตียงแล้ว มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เค้าจะตื่นก่อนผม แต่ทุกวันเค้าจะเป็นคนนอนรอผม และเป็นคนแรกให้ผมเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาเสมอ แม้จะรู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกใจ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันก็ไม่น่าจะมีอะไร ผมคงแค่คิดมากไปเอง เค้าอาจจะแค่เข้าห้องน้ำ

“โพด อยู่ไหนเนี่ย อยู่ในห้องหรือเปล่า”ผมเดินสำรวจห้องที่ดูเงียบเชียบจนผิดปกติ และไร้วี่แววของอีกคน หรือเค้าจะลงไปข้างล่าง แต่ยังเช้าขนาดนี้เค้าจะลงไปทำไมกัน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่แถวๆ หัวเตียงเพื่อจะโทรหาอีกคน แต่สิ่งที่วางอยู่ด้านล่างโทรศัพท์ ดึงดูดสายตาของผมเสียก่อน

“ขอโทษ”คำสั้นๆ ที่เขียนอยู่บนกระดาษที่พับครึ่ง ใจผมเริ่มรู้สึกว่ามันคงต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ สินะผมค่อยๆ หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาคลี่ดู อีกด้านที่พับเข้าหากัน มันไม่ได้มีแค่คำว่า “ขอโทษ”

“แปะ”หยดน้ำที่หล่นลงกระทบกับกระดาษในมือหลังจากที่ผมอ่านข้อความทั้งหมดจนจบ


TBC

ม่าหรือไม่ม่าดี

 :katai5:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 9 สูญเสีย 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-07-2017 13:24:00
 :L2: :pig4:

 :m15:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 9 สูญเสีย 08-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-07-2017 14:37:13
น้องโพดมีความลับอัลไลลลล  :hao7:  :z3:  :o12:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 10 ความเจ็บปวด 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-07-2017 18:22:11
บทที่ 10
ความเจ็บปวด





“น้องฟ่าง มายังไงเนี่ย”เจ้โอ๋ที่เปิดประตูมาเจอผมถามอย่างแปลกใจที่อยู่ๆ ผมก็โผล่มาโดยไม่ได้บอกได้กล่าวแบบนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะไปหาใครแล้วจริงๆ เพื่อนสนิทอย่างไอ้ต้าร์ก็ยังไม่กลับมาจากเชียงใหม่ ผมโผเข้ากอดเจ้โอ๋ พร้อมกับน้ำตาที่มันเริ่มจะไหลออกมาอีกแล้ว แม้ผมจะพยายามแล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก แต่มันก็ทำไม่ได้จริงๆ

“เค้าทำกับผมแบบนี้ทำไม”ผมแค่ต้องการใครสักคนมารับฟังผมในตอนนี้ ทีแรกผมก็อยากจะโทรหาไอ้ต้าร์กับกุ้งนะครับ แต่สองคนนั้นที่ไม่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ ผมก็ไม่อยากให้เค้าลำบากกลับมาหาผม แล้วก็ถ้าจะให้ผมไปหาพวกเค้าผมก็ไม่อยากจะรบกวน คิดแล้วก็คงมีแต่เจ้โอ๋นี่แหละครับ ที่พอจะเป็นที่พึ่งให้ผมได้ในตอนนี้

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรน้องเจ้นิ”เจ้โอ๋ลูบหลังผมเป็นการปลอบ แต่มันกลับยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม ผมกำลังอ่อนแอ อ่อนแอมากๆ เลยแหละครับในตอนนี้ ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด คำถามที่ผมไม่คิดว่าจะมีคำตอบไหนมาทำให้ผมหายข้องใจได้

คนเดียวที่เหมือนเป็นสิ่งเหนี่ยวของผม คนสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะเกลียด แต่ดูสิ่งที่เค้ากำลังทำกับผม เค้าทำให้ผมมีความสุขจนถึงขีดสุด ก่อนจะผลักผมให้ตกลงไปในเหวลึก เค้าทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไงกัน

“เค้าจะแต่งงาน เค้าจะแต่งงานแล้วมาทำกับผมแบบนี้ทำไม”ผมกำมือแน่นยังจำได้ทุกตัวอักษรที่เค้าทิ้งไว้ให้ผม แม้จะไม่อยากจำแน่มันกลับยิ่งฝังแน่นลงไปในความทรงจำของผม สมองผมมันว่างเปล่า มันไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ผมรู้แล้วว่าไอ้เรื่องที่เค้าบอกจะคุยกับผมที่ว่าเป็นเรื่องสำคัญ มันคือเรื่องที่ เค้าจะแต่งงาน ถ้าผมแค่รับรู้แค่นั้นแล้วระหว่างเราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันไป ผมก็อาจจะเสียใจแต่มันคงไม่เหมือนจะตายทั้งเป็นแบบนี้

ผมรู้ว่าเจ้โอ๋คงงงที่ผมมาถึงก็เอาแต่ฟูมฟายเรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติพอที่จะอธิบายอะไรขนาดนั้น เจ้โอ๋ก็พยายามปลอบผม แต่ผมก็ยังไม่ดีขึ้น จนเจ้โอ๋ต้องพยายามดึงผมเข้าในคอนโดของแก พาผมมานั่งที่โซฟา ทิชชู่ถูกส่งให้ผมแผ่นแล้วแผ่นเล่า เงียบๆ โดยไม่ถามอะไรอีก

“ร้องไปเถอะ ถ้ามันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น”เจ้โอ๋บอกผม พร้อมยิ้มให้กำลังใจ

“ถ้าสบายใจแล้วอยากเล่า พี่ยินดีจะรับฟังอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรพี่เข้าใจว่าแผลมันยังสด”ผมยังคงสะอื้นเบาๆ แต่น้ำตามันเริ่มจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว ผมรู้ว่าน้ำตามันไม่ช่วยอะไร แล้วก็รู้ว่ามัวฟูมฟายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ขอเวลาอีกสักนิดแล้วผมจะต้องดีขึ้น

“ฟังเรื่องของพี่ไหม เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น”ที่จริงเจ้โอ๋ก็เหมือนพี่สาวคนนึงแหละครับ แม้ปกติเจ้แกจะชอบทำเหมือนแทะโลมน้องๆ แต่จริงๆ เจ้แกก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอกครับ ออกจะเป็นพี่สาวคอยช่วยเหลือน้องๆ เสียด้วยซ้ำ ผมหันมองแกงงๆ ไม่คิดว่าฟังเรื่องแกแล้วมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้หรอกนะครับ

“พี่เคยมีแฟน คบกันมานานจนเกือบถึงขั้นจะแต่งงานอยู่แล้ว”ผมหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาน้ำมูกอีกครั้ง และตั้งใจฟังเรื่องราวของเจ้โอ๋ ก็ไม่รู้ว่าฟังจบผมจะยิ่งเศร้ากว่าเดิมหรือดีขึ้นกันแน่

“แต่สุดท้าย เมียเค้าก็มาตบพี่ถึงบ้าน”เจ้โอ๋ยกยิ้มเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ที่เอามาเล่าให้ผมฟัง แต่ผมรู้ดีว่าตอนที่เผชิญกับเรื่องแบบนั้นมันคงไม่ตลกเลยสักนิด

“พี่กลายเป็นเมียน้อยโดยไม่รู้ตัว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแฟนที่เราคบมาหลายปี ที่ถึงขั้นจะคุยเรื่องการแต่งงานกันแล้ว เค้าแต่งงานมีครอบครัวอยู่แล้ว”แววตาของเจ้โอ๋ แข็งกร้าวขึ้นมาในตอนที่กำลังพูด ส่วนผมก็กำลังคิดตามว่าเรื่องที่กำลังฟังกับเรื่องของตัวผมเองในตอนนี้ เรื่องไหนมันแย่กว่ากัน

“แต่ถ้านั่นพี่ยังดูโง่ไม่พอนะ มันยังมีที่โง่กว่านั้น เพราะพี่ดันเชื่อผู้ชายคนนั้น ที่บอกกับพี่ว่าเค้าแยกกันอยู่กับเมียนานแล้ว เหลือแค่จดทะเบียนหย่าเท่านั้นเอง”เอาจริงๆ เรื่องของเจ้โอ๋มันก็คงซับซ้อนกว่าผมมาก แต่การที่ได้ฟังว่ามีใครที่เจอเรื่องแย่ๆ กว่าเรามันก็คงไม่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นหรอกนะครับ ผมเอื้อมมือไปกุมมือเจ้โอ๋ คิดว่าเราก็คงคล้ายๆ กันที่ต้องมาเสียใจกับเรื่องนี้

“สำหรับพี่มันผ่านมานานแล้วแหละ พี่หลุดจากวังวนนั้นแล้ว แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็หนักเหมือนกัน”สองมือของเจ้โอ๋ยื่นมากุมมือผมไว้ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่การให้กำลังใจผม หรือแกก็กำลังให้กำลังใจตัวเองด้วย

“ที่พี่เล่าให้ฟังเพราะอะไรรู้ไหม”

“เพราะอยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นที่ยังมีคนเจอเรื่องแย่กว่า หรือมีคนที่เจอเรื่องแย่ๆ มาเหมือนกัน”ผมคาดเดา หากแต่เจ้โอ๋กลับส่ายหน้ายิ้มๆ

“มันก็ใช่นะ แต่ไม่ทั้งหมด ที่เล่าให้ฟังนี่เพราะอยากให้ฟ่างเห็นว่าพี่ยังอยู่ได้ พี่รู้ว่าตอนนี้ฟ่างอาจจะกำลังรู้สึกเหมือนไม่เหลือใคร เหมือนโลกทั้งโลกมันกำลังจะถล่มลง พี่ก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ซึ่งพี่ผ่านมันมาได้ ทำไมฟ่างจะผ่านมันไปไม่ได้”มันก็จริงนะครับเจ้โอ๋เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังผ่านเรื่องร้ายๆ แบบนี้มาได้ แล้วผู้ชายอย่างผมละ

“แต่มันยากเหลือเกินครับ”

“พี่รู้ๆ มันต้องใช้เวลาถ้าอยากเสียใจ ก็รีบเสียใจกับมันให้พอ แล้วรีบลุกขึ้น ยิ่งเราลุกได้ไวขนาดไหนมันก็ดีกับเราเองมากเท่านั้น”สองแขนของเจ้โอ๋ ดึงผมเข้าไปกอดเหมือนให้กำลังใจ

“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันนะครับ”เพิ่งจะนึกขึ้นได้ครับว่ายังควรเกรงใจเจ้าของคอนโดที่อยู่ๆ ก็มาร้องไห้ฟูมฟายให้เค้าฟังแบบนี้

“เราก็เหมือนพี่เหมือนน้องกัน มีอะไรทุกข์ใจมันก็ต้องช่วยเหลือกัน”ผมนิ่งไปพักนึงพร้อมตัดสินใจว่าจะเล่ารายละเอียดให้เจ้โอ๋ฟังไหม มันอาจจะต้องเท้าความไกลสักหน่อยสำหรับเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพด

“ผมกับเค้าถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนที่พ่อกับแม่ของพวกเราเสีย”ผมตัดสินใจเริ่มเล่าออกไป เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ การได้ระบายให้ใครสักคนฟังมันอาจจะช่วยลดความรู้สึกอัดอั้นของผมลงไปได้บ้าง

“น้องชายที่บอกว่านัดกันทุกปีอะเหรอ”มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักหากจะคาดเดาเพราะก่อนที่ผมจะหยุดและไปภูเก็ต ทั้งเจ้โอ๋ ไอ้ต้าร์ก็มีการพูดคุยเรื่องนี้ไปบ้าง เพียงแต่เจ้โอ๋อาจจะเข้าใจแค่ว่าคนที่ผมไปด้วย เป็นแค่น้องชายกันเท่านั้นจริงๆ

“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเค้ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่การเจอกันในครั้งนี้ เค้าทำให้ผมเข้าใจไปว่าผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว”ผมหวนนึกถึงหลายๆ ค่ำคืนที่เราต่างมอบความสุขให้กัน ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจออกมาช้าๆ

“แต่ผมอาจจะคิดไปคนเดียวนั่นแหละครับ เพราะสุดท้ายเค้าก็บอกกับผมว่ากำลังจะแต่งงาน มันตลกตรงที่ผมรู้จักเค้ามาทั้งชีวิตของเค้า เห็นเค้าตั้งแต่ยังแบเบาะ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย”ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลออกมาอีกแล้ว

“ผมแค่ไม่เข้าใจ ว่าถ้าเค้าจะแต่งงานอยู่แล้ว ยังจะมาทำแบบนั้นกับผมทำไม”แม้ผมจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เจ้โอ๋ก็คงเข้าใจได้ถึงสิ่งที่เกินเลยกันไประหว่างผมกับข้าวโพด

“ความเห็นแก่ตัวยังไงละ”ผมชะงักไปกับคำพูดของเจ้โอ๋ ในใจยังไม่อยากยอมรับว่าอีกคนจะกล้าทำร้ายผมได้ขนาดนี้ อย่างที่ผมบอกว่าถ้าอยู่ๆ เค้ามาบอกผมว่ามีแฟน ว่าจะแต่งงานผมอาจจะไม่เจ็บขนาดนี้ หรือไอ้ที่เค้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผมก่อนที่จะไปภูเก็ต ถ้าเพียงแค่เค้าบอกผมก่อน ผมอาจจะไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเดินมาถึงจุดนี้

แต่สิ่งที่ผมพยายามแก้ตัวให้อีกคนในใจ ก็ยังบอกผมว่าที่จริงผมก็มีส่วนเป็นคนเริ่มให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น เพราะคำถามของผมที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เค้าจูบผม และเป็นผมเองด้วยซ้ำที่ให้เค้าจูบผมซ้ำอีกรอบ ยิ่งพอคิดว่าสมมติเค้าบอกผมก่อนในเรื่องแต่งงาน มันก็ไม่แน่ที่ผมจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป หรือว่าที่จริงผมก็แค่หาข้อแก้ตัวให้กับเค้า เพราะว่า...

“มันแย่ตรงที่ผมเกลียดเค้าไม่ลงนี่สิครับ”ผมค่อยๆ เช็ดน้ำตาตัวเอง รู้สึกอยากให้เรื่องนี้มันผ่านไปเร็วๆ อย่างกลับมาเข้มแข็งให้ได้โดยไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้อีก

เสียงโทรศัพท์ของเจ้โอ๋ดังขึ้นเรียกสติให้กับทั้งผมและเจ้โอ๋ ผมมองหญิงสาวรุ่นพี่ที่ลุกเดินไปตามเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เจ้โอ๋ทำให้ผมรู้ว่าคนเราก็คงต้องเคยผ่านเรื่องแย่ๆ หรือเรื่องร้ายๆ มาด้วยกันทั้งนั้น หรือแม้แต่ผมเอง ยังเคยสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมก็ยังผ่านมันไปได้ แล้วนี่เค้ายังไม่ได้ตายจากผมไป แต่ผมต่างหากที่กำลังจะตายทั้งเป็น ผมจะผ่านมันไปได้ไหม

“ไอ้ต้าร์ จะคุยด้วย”เจ้โอ๋เดินกลับมายื่นโทรศัพท์ให้กับผม

“โอเคไหมมึง”แค่คำถามธรรมดาๆ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากเพื่อนสนิทคนนี้ แม้มันจะบ้าๆ บอๆ กวนตีนไปบ้างแต่ผมก็รู้ดีว่ามันคืออีกคนนึงที่หวังดีกับผมมากๆ

“ไม่เลยสักนิด”ผมพยายามคุมเสียงให้ปกติ ไม่ให้สั่นทั้งที่น้ำตาปริ่มมาอีกรอบแล้ว

“ไอ้โพดโทรหากูว่าติดต่อมึงไม่ได้เลย แล้วนี่จริงหรือเปล่าที่โพดมันจะ...”

“แต่งงาน”ผมต่อประโยคนั้นให้จบ พร้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู ทั้งที่ก็รู้นั่นแหละครับว่าแบตมันหมดไปแล้ว ด้วยความตั้งใจของผมเองที่ไม่ยอมชาร์ท เพราะผมยังไม่พร้อม ไม่พร้อมจะรับรู้อะไรอีก ในข้อความที่เค้าเขียนทิ้งไว้บอกว่าเค้าจะโทรหาผมนั่นคือสาเหตุที่ผมปล่อยไว้จนมันดับไปเอง

“มันเกิดอะไรขึ้นวะ ถามไอ้โพดก็ไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้น”ไอ้ต้าร์ถามอย่างสงสัย น้ำเสียงที่ได้ยินก็ยังเจือด้วยความเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่มันถามผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“กูก็ไม่รู้ กูไม่รู้อะไรเลย”ผมตอบออกไปเสียงสั่น แถมเกือบจะเป็นเสียงตะคอกด้วยซ้ำ เรียกว่าเกือบจะคุมตัวเองให้มีสติไม่ไหวแล้ว ทุกอย่างมันเหมือนเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน

“ใจเย็นๆ มึงแค่รู้ว่ามึงอยู่กับเจ้โอ๋อย่างปลอดภัยกูก็ค่อยหายห่วงหน่อย”คำพูดที่บ่งบอกว่ามันยังเป็นห่วงผมและก็กังวลว่าผมจะคิดมากสินะ นี่ขนาดผมว่ามันคงยังคิดไม่ถึงหรอกว่าระหว่างผมกับข้าวโพดไปถึงไหนกันแล้ว นี่ถ้ามันรู้มันคงต้องห่วงผมมากกว่าเดิมเป็นแน่

“กูไม่คิดสั้นทำอะไรโง่ๆ หรอกน่า”ผมบอกออกไปติดตลก ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเป็นกังวลกับผมด้วย

“ฟ่าง น้องมันอยากคุยกับมึง”น้ำเสียงราบเรียบที่บอกตามมาทำเอาผมนิ่งไปเหมือนกัน ทั้งที่ก็คิดไว้นะครับว่าเค้าต้องติดต่อไอ้ต้าร์ไม่ก็กุ้ง เพราะเป็นเพียง 2 คนที่เค้ารู้จักที่จะสามารถติดต่อผมมาได้

“ตอนนี้กูพักสายมันไว้ มึงจะคุยกับมันไหมกูจะได้ประชุมสายให้”ผมเงียบเพราะยังคิดอยู่ว่าตัวผมพร้อมจะคุยกับอีกคนขนาดไหน

“แต่ถ้ามึงไม่อยากคุยกูจะได้บอกกับมันไป”

“คุย กูจะคุย”ถ้ามันจะเจ็บผมก็ควรรีบเจ็บให้มันสุดๆ ไปเลยดีกว่าแผลแม้มันจะยิ่งลึกลงไปอีกแต่มันก็จะได้รักษาไปเลยทีเดียวให้หายขาดจะได้ไม่ต้องมาเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก

“งั้นแป๊บนึง เดี๋ยวกูประชุมสายให้แล้วกูจะไม่แอบฟังมึงสองคนคุยกัน โอเคไหม”เสียงไอ้ต้าร์บอกเหมือนให้กำลังใจให้ผมอยู่ในทีก่อนมันจะเงียบไป

“พี่ฟ่าง”เสียงไอ้ต้าร์เงียบไปสักพัก ก็มีเสียงของอีกคนขึ้นมาแทน

“อือ”ผมตอบรับเบาๆ พอให้เค้ารับรู้ว่าผมอยู่ในสายแล้ว

“พี่ฟ่างเป็นไงบ้างครับ”น้ำเสียงที่ยังดูเป็นห่วงเป็นใยที่ได้ยินมันยิ่งทำให้ผมปวดใจมากกว่าเดิม ผมต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาอีก

“โพดมีอะไรก็รีบพูดมา เถอะ”ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพยายามบอกกับเค้าไม่ให้เสียงของตัวเองสั่น

“โพดอยากขอโทษ ขอโทษที่ไม่กล้าพอจะบอกกับพี่ต่อหน้า ขอโทษที่ทำให้พี่ฟ่าง...เสียใจ”ผมยังคงฟังเค้าเงียบๆ แม้ตอนนี้น้ำตาผมมันจะไหลออกมาอีกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ผมยังกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ได้

“ขอโทษที่ดูแลอย่างที่เคยพูดไม่ได้”จบแล้วจริงๆ สินะครับ ระหว่างผมกับเค้ามันคงจะจบแล้วจริงๆ

“พี่ฟ่างเกลียดโพดไหม”แม้ผมเองจะคุมอาการตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว แต่ก็ยังพอจับใจความได้ว่าเสียงของอีกคนก็ฟังดูสั่นๆ เช่นกัน

“พี่จะเกลียดน้องชายคนเดียวของพี่ได้ยังไงกัน”ตอนนี้ผมเริ่มเกลียดตัวเองเสียมากกว่า เกลียดที่ทำไมผมถึงเกลียดเค้าไม่ลงทั้งๆ ที่เค้าทำร้ายจิตใจผมขนาดนี้

“โพดจะขอมากไปไหม หากว่าจะขอให้พี่ฟ่างมางานแต่งโพด”




TBC

ขอมีดราม่านิดนึงเนอะ  :a5:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 10 ความเจ็บปวด 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2017 19:30:14
 :z6: :z6:
โพด ทำไมต้องใจร้ายวะ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 10 ความเจ็บปวด 09-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-07-2017 19:52:02
เอ็นดูน้องโพดมาตลอด พอถึงตอนนี้...อยากตบน้องโพดจัง  :katai4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 11 หนามยอก/หนามบ่ง 10-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-07-2017 08:31:25
บทที่ 11
หนามยอก/หนามบ่ง




“อย่าทำหน้าอมทุกข์อย่างนี้ดิวะ”ไอ้ต้าร์เดินมาตบไหล่ผมที่สีหน้าคงเหมือนคนไร้วิญญาณเข้าไปทุกที ผมหันมองมันก่อนจะยกยิ้มอย่างฝืนๆ นี่ก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าแล้วนับจากวันที่ผมได้รับรู้ รับรู้ว่าตัวผมกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้สำหรับคนที่ผมรักสุดหัวใจ ไม่ว่าจะมองในฐานะไหน เค้าก็ได้ทำร้ายผมอย่างแสนสาหัส สาหัสจนผมชักไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ผมจะดีขึ้นได้อย่างเดิม

“ไปดื่มกันไหมมึง”ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ช่วงเพิ่งเลิกงานแบบนี้ ผมยังอยู่ได้ปกติดีแหละครับ ช่วงเวลาที่มันยากเย็นสำหรับผม มันคือช่วงค่ำคืนอันแสนยาวนานต่างหากละครับ

“เฮ้ย นี่ตั้งแต่วันนั้นมีสักวันที่มึงพักตับบ้างหรือยังเนี่ย”นั่นคือสิ่งที่พอจะช่วยเยียวยาผมได้ แอลกอฮอล์ทำให้ผมหลับได้ในยามค่ำคืน โดยไม่ต้องคิดอะไรอีก แม้ในตอนเช้าผมยังจะต้องพบกับคราบน้ำตาของตัวเองก็ตามที

“นั่นดิน้องฟ่าง”เจ้โอ๋เป็นอีกคนที่แสดงความเป็นห่วงผมอย่างชัดเจน จะว่าไปทุกคนรอบๆ ตัวผมเห็นผมแล้วก็คงห่วงผมกันทั้งนั้นแหละครับ ผมก็ได้แต่บอกกับทุกคนว่าขอเวลาผมอีกหน่อย ผมสัญญาว่าจะดีขึ้น แต่ความจริงผมก็เพียงบอกให้ทุกคนสบายใจไปอย่างนั้นเองแหละครับ เพราะความเป็นจริงใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ยังไม่รู้ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาผมได้หรือเปล่า

“ถ้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อน จะหนีไปคนเดียวนะ”ผมแกล้งพูดลอยๆ ให้ทั้งสองคนได้ยิน ซึ่งทั้งสองก็ถอนหายใจยาว เหมือนอ่อนใจกับคนอย่างผมแล้ว

“เอา ไปก็ไปแล้วเจ้ละว่าไง”ต้าร์ตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ก่อนจะกันไปถามความเห็นกับทางเจ้โอ๋ ที่จริงถึงผมจะแกล้งพูดออกไปอย่างนั้น แต่ถ้าทั้งสองคนไม่ไปผมก็อาจจะไม่กล้าไปนั่งที่ไหนคนเดียวหรอกนะครับ อย่างมากก็คงซื้อกลับไปนั่งดื่มคนเดียวที่บ้าน

“คืนวันศุกร์ ขนาดนี้ทั้งทีชะนีโสดอย่างเจ้ ก็ไม่อยากเหี่ยวเฉาเฝ้าคอนโดหรอกนะ คืนนี้ถึงไหนถึงกันจัดไปเลยหนุ่มๆ”เป็นอันตกลงว่าคืนนี้ผมก็คงจะผ่านไปได้อีกวัน ไม่เคยคิดเลยนะครับว่าตัวเองจะต้องกลายมาเป็นคนที่เสียหลักกับอะไรแบบนี้ ถึงจนาดนี้ ผมเคยคิดมาตลอดว่าอกหักเสียใจ มันจะขนาดไหนกันเชียว เวลาดูหนังดูซีรี่ส์ เห็นตัวละครจะเป็นจะตาย ฟูมฟายขาดกันไม่ได้ ผมยังเคยแอบด่าในใจว่าจะทนโง่ไปทำไม คนเค้าทิ้งไปเราจะต้องสนใจอีกทำไม แต่วันนี้ผมรู้แล้วละครับว่ามันเป็นยังไง

หลังจากที่ไอ้ต้าร์เคลียร์กับกุ้งเรียบร้อย เราทั้งสามคนก็พากันมานั่งที่ร้ายสบายๆ เสียงเพลงไม่ดังมากนักเพื่อให้ยังสามารถดื่มไป คุยกันไปให้รู้เรื่องบ้าง แต่ด้วยความที่มันคือคืนวันศุกร์นี่แหละครับ คนมันเลยออกจะเนืองแน่นไปสักหน่อย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาของเราทั้งสามสักเท่าไหร่ เพราะพอเหล้า โซดา น้ำ มาวางครบ ก็แทบไม่รอเด็กเสิร์ฟกันเลย

“เอ้า ดื่มให้กับความโสด อิต้าร์มึงหยุด มึงมีเมียห้ามชนกับพวกกู”พอเหล้าเริ่มเข้ากระแสเลือดความสุภาพก็มักจะลดลงครับ ทั้งเจ้โอ๋แล้วก็ไอ้ต้าร์ แถมตอนนี้เจ้โอ๋ก็เอาแต่ชนกับผมสองคนนี่แหละครับ จนเริ่มจะตึงๆ กันหมดแล้ว

“อ้าวอิเจ้ แค่เพื่อนโสดนี่ผมต้องเลิกเมียมาโสดตามเพื่อนหรือไงครับเจ้ครับ”ไอ้ต้าร์ที่ยังพยายามจะชนแก้วกับเจ้โอ๋ให้ได้ รีบยื่นแก้วเข้าหา แต่เจ้โอ๋ก็ยกแก้วถอยหนี ทั้งสองคนก็เหมือนจะยังพอทำให้ผมยิ้มได้บ้าง ผมก็รู้สึกขอบคุณทั้งคู่จริงๆ นะครับถ้าไม่มีสองคนนี้นี่ผมคงมีสภาพที่แย่กว่าตอนนี้อีกมาก

“ก็ยังยิ้มได้นิน้องฟ่างของเจ้ น้องฟ่างก็หน้าดีขนาดนี้ นิสัยก็ดี เงินในบัญชีอีกหลายหลักจะมาเศร้าทำไม หาใหม่ดีกว่า เอาให้ดีกว่าคนเก่าสัก 100 เท่าไปเลย”เจ้โอ๋ขยับเข้ามากระทุ้งที่สีข้างผม บอกอย่างให้กำลังใจ และแถมด้วยความสมเพชแหละมั้งครับ

“เฮ้อ...แต่เอาจริงๆ กูก็ไม่คิดว่าไอ้โพดมันจะใจร้ายกับมึงได้ขนาดนี้นะเว้ย”ไอ้ต้าร์พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันก็คงไม่ใช่คนเดียวหรอกครับที่คิดแบบนั้น

“คนที่ใจร้ายกับน้องฟ่างของเราได้ขนาดนี้ แกยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอไอ้ต้าร์”เจ้โอ๋ที่ไม่เคยรู้จักโพดมาก่อนก็คงคิดแบบนี้แหละครับ แต่ตอนนี้ผมเองก็ชักไม่มั่นใจแล้วแหละครับ ว่าผมรู้จักเค้าจริงๆ หรือเปล่า

“โถเจ้ ถ้าเจ้รู้จักมันสองคนอย่างผมนะ เวลาพวกมันไปภูเก็ต มองจากบ้านเมียผมที่เชียงใหม่ยังดูออกเลยว่ามันสองคนรักกัน”รักกันงั้นเหรอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองในใจเพราะคำๆ นี้ มันคงไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วไม่ว่าจะรักในแบบพี่น้อง หรือในแบบที่มากกว่านั้น มันคงไม่มีอีกแล้ว

“เวอร์ไปเปล่า”เจ้โอ๋เบ้ปากอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ไอ้ต้าร์กำลังพูด

“ไม่เวอร์เลยเจ้ แล้วยิ่งไอ้โพดนะ ทั้งหวง ทั้งห่วงไอ้ฟ่างออกนอกหน้าขนาดนั้น เจอกันทีแทบจะแหกตูดไอ้ฟ่างดมแล้วมั้ง”ยิ่งไอ้ต้าร์พูดถึงเค้ามากเท่าไหร่อัตราเร่งในการยกแก้วขึ้นดื่มของผมก็แทบจะเร็วขึ้นๆ ตามคำพูดของไอ้ต้าร์มันแหละครับ

“ถ้ามันรักน้องฟ่างจริงอย่างที่แกพูด มันจะทำแบบนี้กับน้องฟ่างทำไมกันละ”ผมเกือบจะคล้อยตามกับสิ่งที่ไอ้ต้าร์พูดแล้วนะครับ แต่สิ่งที่เจ้โอ๋ว่ามามันทำให้ผมสะอึกเลยทีเดียว มันเหมือนจบทุกอย่างได้ในประโยคเดียว ไม่ต้องอธิบายอะไรต่ออีกแล้ว

“นั่นสิวะมึง มันมีอะไรผิดพลาด เข้าใจผิดอะไรไหมวะ มึงได้ถามได้เคลียร์กันไหม ว่าทำไมมันถึงทำแบบนี้”ถามเหรอ มันยังมีอะไรที่ต้องถามอีกอย่างงั้นเหรอ ในเมื่อเค้าบอกทุกอย่างชัดเจนแล้ว

“เค้าจะแต่งงานไง”ผมพูดออกไปเสียงแผ่ว แก้วน้ำสีอำพันในมือถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด พนักงานเสิร์ฟที่ดูแลโต๊ะเรารีบเข้ามาเติมให้แทบจะทันที และผมก็หยิบแก้วที่เพิ่งเติมใหม่ดื่มแทบจะทันทีเช่นกัน

“แล้วอยู่ดีๆ จะมาปุบปับแต่งงานสายฟ้าแลบอะไรแบบนี้ได้ยังไงกันวะ”เหมือนไอ้ต้าร์จะลืมไปว่ายิ่งมันจุดประเด็นเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ผมเองก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น แต่ผมจะไม่ห้ามมันหรอกนะครับ บางทีหนามยอกมันก็ต้องเอาหนามบ่ง ให้มันเจ็บจนชินชาไปเลย เผื่อมันจะได้ไม่เจ็บอีก

“แล้วมึงคิดว่าทำไมคนเรามีเหตุผลอะไรบ้างละ ถึงต้องรีบแต่งงาน”ผมถามกลับให้ไอ้ต้าร์ออกความเห็น เพราะที่จริงผมเองก็คาดเดาเอาเองเช่นกัน

“ท้องเหรอวะ”คำตอบที่เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงคิดเช่นเดียวกับทั้งผมและไอ้ต้าร์ ถ้านึกย้อนดูดีๆ ผมว่าข้าวโพดเองก็บอกผมมาเป็นนัยๆ อยู่แล้วนะครับกับเรื่องนี้

“พี่ฟ่างเคยคิดอยากมีลูกไหมครับ”ประโยคที่เค้าเคยถาม มันดังก้องเข้ามาในหัวของผมแทบจะทันที ที่จริงเค้าก็มีหลายๆ อย่างทิ้งให้ผมฉุกคิดนะครับ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจ จนถึงตอนนี้แม้เค้าจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แต่ทุกอย่างมันก็พอจะเดาได้แหละครับว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป

“แล้วมันไปทำใครท้อง ท้องกะใครที่ไหน มันมีแฟนเหรอวะ”คำถามของไอ้ต้าร์ ดังขึ้นพร้อมความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมตอบมันไม่ได้หรอกครับ เพราะผมก็เพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าถ้าเค้าไม่เล่าไม่บอก ผมก็ไม่มีทางจะรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าอยู่แล้ว อย่างเรื่องเค้าสูบบุหรี่ ผมเองยังเข้าใจมาตลอดว่าเค้าเป็นคนไม่สูบบุหรี่

 นั่นเพราะอะไรนะเหรอครับ เพราะเค้าก็จะแสดงแค่ด้านที่อยากให้ผมรับรู้ออกมาให้เห็นแค่นั้นเอง ซึ่งมันก็จะไม่แปลกเลย ถ้าเค้ามีใครสักคนที่คบหาอยู่ แล้วจะไม่อยากเปิดออกมาให้ผมรับรู้ เค้าก็แค่แสดงให้ผมเห็นว่าเค้าไม่ได้มีใครอื่นอีกเลย แค่นั้นเอง

“มึงคิดว่ากูรู้จักใครสักคนรอบๆ ตัวเค้าไหม”คำตอบของผมทำให้ไอ้ต้าร์เงียบไป อาจจะเพราะทั้งมันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพูดเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว และอีกอย่างก็เจ้โอ๋เองที่ช่วยสกัดไม่ให้ไอ้ต้าร์พูดเรื่องนี้ต่อ ทำให้เราทั้งสามเงียบลงอย่างใช้ความคิด สายตาผมกวาดมองออกไปทั่วร้าน ผู้คนหลากหลายที่อยู่ที่ร้านนี้ บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างมาเป็นคู่ แต่ส่วนใหญ่คงมาสังสรรค์ มาผ่อนคลาย ก่อนจะได้พักผ่อนในวันสุดสัปดาห์แบบนี้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่มาเพราะใจบอบช้ำอย่างผม

“น้องหนิงมานี่ลูก ห้ามซนนะคะอีกเดี๋ยวแม่ก็พากลับแล้ว”ภาพเด็กชายตัวน้อยที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่โต๊ะถัดไป เรียกรอยยิ้มบางๆ ให้กับผม ด้วยความที่ร้านจัดเป็นแบบนั่งสบายๆ มาดื่มหรือมาทานมื้อเย็นก็ได้เลย ทำให้มีบ้างที่บางคนจะหนีบเอาเด็กมาด้วยแบบนี้ แต่ก็ไม่เยอะนักหรอกครับ

“ชู่วๆ เราต้องเงียบๆ ฮ่ะ แม่บอกว่าห้ามดื้อห้ามวิ่งเล่น แล้วโพดจะได้กินเค้ก”รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงเมื่อภาพอีกคนฉายชัดขึ้นมาแทนในความทรงจำ ทั้งผมและข้าวโพดเองก็เคยติดสอยห้อยตามมาร้านแบบนี้กับแม่เหมือนกัน

“และเพลงนี้ก็เป็นบทเพลงพิเศษสำหรับคนพิเศษนะครับ คนขอเค้าบอกว่าไม่ต้องบอกว่าให้ใครเพราะถ้าเพลงขึ้นเมื่อไหร่ เค้าจะรู้ตัวทันที”ผมหันไปฟังเสียงพูดบนเวทีอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็นั่นแหละเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างผมกับโพดคงจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

“ฮิ้ว แอร๊ย กรี๊ดดด”แค่เพียงนักร้องบนเวทีเริ่มร้องก็มีพี่ๆทโต๊ะนึงส่งเสียงจนผมว่าทุกคนในร้านต่างหันไปมอง

“เค้าทำไรกันฮ่ะพี่ฟ่าง”น้องชายตัวแสบของผมก็มองอย่างสนใจเช่นเดียวกัน ผมมองสลับไปมาระหว่างเวทีกับกลุ่มพวกพี่ๆ ที่ส่งเสียงนั่น แล้วสักพักนักร้องบนเวทีก็ถือดอกไม้ ร้องเพลงเดินตรงลงมาที่กลุ่มพี่ๆ ที่ส่งเสียงโห่ร้องนั่น ตอนนี้เหมือนคนในร้านกำลังสนใจเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง

“เซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกลางร้านแบบนี้เลยเหรอ น่ารักจังเลยเนอะ”เสียงพูดของแม่เปิ้ล เรียกความสนใจจากทั้งผมและข้าวโพด แล้วน้องชายตัวน้อยของผมก็หันมาสะกิดผม

“เดี๋ยวโตขึ้น โพดจะขอพี่ฟ่างแต่งงานแบบนี้นะฮ่ะ”ผมยื่นมือไปหยิกแก้มน้องชายอย่างหมั่นเขี้ยว ตัวแค่นี้ยังไม่รู้เลยว่าการแต่งงานคืออะไร แถมแต่งงานเค้ามีแต่ผู้หญิงกับผู้ชายไหมที่แต่งกัน นี่เราก็ผู้ชายทั้งคู่แถมยังเป็นพี่น้องกันอีก แต่ดูน้องชายตัวแสบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ

ผมเบนสายตากลับไปมองเหตุการณ์ขอแต่งงานนั้นต่อ นักร้องทำเป็นเดินวนยังไม่ส่งช่อดอกไม่ให้ใครสักที จนในที่สุดก็มีพี่ผู้ชายในโต๊ะนั้นลุกขึ้นฉวยช่อดอกไม้นั่นมา เสียงโห่ร้องดังขึ้น และยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อพี่เค้าคุกเข่าลงตรงหน้าพี่ผู้หญิงอีกคนในโต๊ะ เสียงดนตรีเงียบลง แต่ด้วยความที่โต๊ะนั้นอยู่ไกล ทำให้ผมได้ยินในสิ่งที่พวกพี่เค้าพูดไม่ชัดนัก เห็นเพียงแต่ว่าพี่ผู้หญิงคนนั้นรับช่อดอกไม้ไปแล้วทั้งคู่ก็โผเข้ากอดกัน เสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนที่นักร้องจะเล่นเพลงต่อ

“I don’t care who you are, where you’re from
Don’t care what you did
As long as you love me”

ภาพตรงหน้าผมค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่เพลงๆ เดิมยังคงเล่นอยู่ ต่างไปตรงที่วันนี้ที่นี่ไม่มีใครเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกัน แต่คนที่เคยมีความทรงจำในเพลงนี้กับผมกำลังจะแต่งงานแล้ว ซึ่งคนที่เค้าจะแต่งด้วยมันไม่ใช่ผม อย่างที่เค้าเคยบอกเอาไว้ตอนวัยเด็ก

“แล้วนี่มึงแน่ใจเหรอว่า ยังจะไปงานแต่งน้องมัน”ผมหันไปสบตากับไอ้ต้าร์สลับกับเจ้โอ๋ ที่มองผมอย่างอคำตอบ

“อือ”ผมตอบรับออกไป เพราะยังไงผมก็รับปากเจ้าบ่าวของงานไปแล้ว

“มึงโอเคแน่เหรอวะ”ไอ้ต้าร์หันมาถามอย่างเป็นห่วง เจ้โอ๋เองก็มองผมด้วยสายตาห่วงใยไม่แพ้กับไอ้ต้าร์เลย ผมยิ้มให้ทั้งคู่เพื่อให้มั่นใจว่าผมไปร่วมงานได้จริงๆ

“เค้าคือน้องชายกู คือคนเดียวในครอบครัวกูที่เหลืออยู่ มันมีเหตุผลอะไรละที่กูจะไม่ไป"


TBC

ไว้เดี๋ยวรอฟังความข้างน้องโพดบ้างละกันเนอะ

อาจจะมีเล่าผ่านฝั่งข้าวโพดมาแทรกบ้างเป็นระยะนะฮ่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 12 คนในครอบครัว 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-07-2017 09:33:20
บทที่ 12
คนในครอบครัว
พาร์ทของโพด




“เธอ ชื่อไรอ่ะ”ผมหันไปตามเสียงทักทายที่มาสะกิดไหล่ผม จากที่ดูคาดว่าคงเป็นนักศึกษาปี 1 เช่นเดียวกับผม วันนี้เป็นวันแรกของการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผม และก็นี่อาจจะได้เป็นเพื่อนคนแรกของผมที่นี่

“โพดครับ แล้วเธอละชื่อไร”ผมตอบกลับด้วยอาการเกร็งๆ หน่อยเพราะยังรู้สึกประหม่ากับการได้รู้เพื่อนใหม่เช่นนี้

“ผึ้งจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าแต่โพดนี่มาจากข้าวโพดกรือเปล่า”เป็นคำถามที่แทบทุกคนจะต้องถามเวลาที่ผมแนะนำตัว จนหลังๆ ผมก็มักจะบอกเต็มๆ ไปเลย จะมีบ้างที่ลืมตัวบอกแค่พยางค์หลังแบบนี้ เพราะติดการแทนตัวเองว่า “โพด” เวลาคุยกับพี่ข้าวฟ่างของผมนั่นแหละครับ

“ข้าวโพด ดูหน่อมแน้มไม่เข้ากับหน้าเลยเนอะ”ผึ้งเพื่อนใหม่ของผมบอกอย่างร่าเริง เมื่อรู้ชื่อเต็มๆ ของผม เธอดูเป็นคนร่าเริง อัธยาศัยดี แค่ได้คุยเพียงไม่นาน ผมก็แทบไม่รู้สึกเกร็งอะไรอีกแล้ว ผึ้งบอกว่าผมหน้าตาไม่เหมาะกับชื่อ แต่ผมว่าผึ้งเองก็บุคลิคไม่เหมาะกับใบหน้าสวยหวานนี่เหมือนกัน เพราะบุคลิคของเธอออกจะไปทางห้าวๆ กระโดกกระเดกเสียมากกว่า

“ตั้งตามพี่ชายนะ พี่ชายเราชื่อข้าวฟ่าง”ผมยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อคนที่ช่วงนึงเราห่างหายไม่ได้ติดต่อกันอยู่ช่วงนึง จนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ที่ผมได้กลับมาเจอ และได้ติดต่อกันมากขึ้นกว่าเดิม แถมเราก็มีสัญญาว่าจะไปเจอกันทุกปีอีกด้วย

“น่ารักดีเนอะ พี่ข้าวฟ่างกับน้องข้าวโพด”ผมยิ้มรับโดยไม่ปฏิเสธ จริงๆ เมื่อก่อนตอนยังเด็กเราสองคนจะได้รับคำชมแบบนี้เสมอ ซึ่งทั้งผมและพี่ฟ่างก็จะยิ้มแก้มปริด้วยกันทั้งคู่ จนพอพ่อแม่ของเราเสีย เราก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอีกแล้ว

ผมหันมาพูดคุยกับผึ้ง ถามนู่นนี่นั่นเป็นการทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ผึ้งเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิดซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ผมได้รู้จักเธอ เพราะคนการมีเพื่อนเป็นคนพื้นที่แบบนี้ มีอะไรคงปรึกษาได้เต็มที่ และดูเราจะคุยถูกคอเข้ากันได้ดีทีเดียว ด้วยความที่เราเรียนคณะเดียวกัน มีความสนใจคล้ายๆ กัน แถมมีความฝันที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เหมือนกันด้วย ผึ้งเล่าว่าจริงๆ จะไปเรียน ป.ตรี ที่ต่างประเทศแล้ว แต่ที่บ้านเป็นห่วง เลยต้องเรียนให้จบตรีก่อน ที่บ้านถึงจะยอมให้ไป

“ทำไมไม่กินข้าวก่อน ค่อยกินของหวาน”เค้าทักผมที่กำลังจะตักเค้กเข้าปาก หลังจากที่เหนื่อยกันทั้งวัน กับชีวิตมหาวิทยาลัยในวันแรก ผึ้งก็ชวนผมมาทานอาหารในร้านที่รับประกันว่าอร่อยมาก แถมมีเค้กรสเด็ด ผมนี่หูผึ่งเพราะไอ้คำหลังนั่นแหละครับ

“ก็ชอบ”ผมงับเค้กเข้าปากอย่างไม่สนใจการห้ามของอีกคน

“ไม่เอา กินข้าวก่อนดิ”ผึ้งดึงเค้กออกจากผมไป แม้จะอยากกินต่อ แต่ผมก็ยิ้มออกมาเพราะการกระทำของเธอทำให้ผมนึกถึงใครบางคน

“ยิ้มอะไรแปลกๆ”เธอถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผึ้งทำเหมือนแม่เราเลย”ผมบอกออกไปขำๆ แต่อีกคนหน้าหงิกอย่างไม่พอใจ

“นี่หาว่าเราแก่เท่าแม่เลยเหรอ รู้จักกันวันแรกก็ลามปามเลยนะ”เธอเอื้อมแขนมาตีผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนเราจะหัวเราะออกมากันทั้งคู่ เพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงดัง จนคนในร้านเริ่มหันมามอง เราทั้งคู่กลั้นขำกันเงียบๆ นี่ผมรู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงตรงหน้านี่อย่างบอกไม่ถูก

รออาหารกันอยู่สักพัก โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมหยิบมามองดูชื่อคนที่โทรเข้ามาก่อนจะเผลอยิ้มกว้าง ผมรีบกดรับสายทักทายอีกคนอย่างรวดเร็ว

“แค่โทรมาถาม ว่าเรียนวันแรกเป็นไงบ้าง”ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมว่าพี่ฟ่างต้องโทรมาเพราะคิดถึงผมนั่นแหละครับ พี่ชายผมคนนี้ปากไม่ค่อยตรงกับใจ เรื่องปากแข็งนี่เป็นที่หนึ่งเชียวแหละครับผมว่า

“โห นึกว่าโทรมาเพราะคิดถึงโพดเสียอีก”ผมแกล้งตอบกลับไปอย่างรู้ทัน

“อืม แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ผมฟังไปก็นึกถึงหน้าอีกคนไป ว่าตอนนี้พี่ฟ่างของผมจะกำลังทำหน้ายังไง ผมกำลังจะตอบออกไปว่ารอกินข้าวอยู่แต่เสียงที่ลอดเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้ผมต้องชะงัก

“ที่รัก คุยกับใครอะ เค้ารอนานแล้วนะ”เสียงใครกัน เสียงผู้ชายแถมเรียกพี่ฟ่างว่าทีรัก

“ขอคุยกับน้องแป๊บนึงได้ไหมต้าร์ อย่าเพิ่งกวน”ต้าร์งั้นเหรอ แล้วต้าร์คือใครกัน

“โพดยังอยู่เปล่า”ผมที่นิ่งฟังเริ่มรู้สึกใจห่อเหี่ยว อยากจะถามออกไปว่าคนที่คุยกับเค้าอยู่ นั่นใคร พี่ฟ่างมีแฟนแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมพี่เค้าไม่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างเลย

“ครับ”ผมตอบรับเสียงเบา เพราะเริ่มรู้สึกไม่ชอบเลยที่มีเสียงอีกคนแทรกเข้ามา

“ตัวเองเร็วๆ ดิเค้าหิวข้าว”ยอมรับว่าตกใจมากนะครับ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้ว

“โพดเดี๋ยวพี่ต้องวางแล้ว ไว้คุยกันใหม่นะ”สายตัดไปทั้งที่ผมยังรู้สึกช็อคอยู่หน่อยๆ ช็อคที่ได้รับรู้ว่ามีคนที่พี่ฟ่างให้ความสำคัญมากกว่าผม ถึงขนาดวางสายผมง่ายๆ เพื่อไปกับอีกคน แม้จะรู้ว่านี่มันไม่เหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้วที่พี่ฟ่างเคยให้ผมเป็นคนสำคัญ แต่ตอนนี้เราได้กลับมาเจอกัน ได้ติดต่อกันอีก ผมก็นึกว่าผมจะยังได้รับความสำคัญนั้นอยู่

“แฟนโทรมาบอกเลิกเหรอ”เสียงของอีกคนเรียกสติผมที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน

“อะไรนะ”ผมถามย้ำเพราะนึกว่าตัวเองหูฝาด

“คุยกับแฟนหรือเปล่า”ผมตาโตกับคำถามของเธอ เพราะถึงผมจะรู้สึกแปลกๆ กับพี่ชายคนนี้ไปแล้ว แต่สถานะระหว่างเรายังไงมันก็คือพี่น้อง

“บ้า พี่ชายเราเอง”ผมยิ้มแห้งๆ ตอบไป

“จริงดิ นี่ถ้าไม่บอกนะ ตะกี้เรานั่งดูสีหน้าโพด ทีแรกดูดีใจ คุยไปสักพักก็หน้าเหี่ยวลงๆ ยังกะเพิ่งรู้ว่าจะถูกทิ้ง”นี่เธอสังเกตผมขนาดนี้เลยหรือไงเนี่ย แล้วสีหน้าผมมันแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ

“แต่โพดคุยกับพี่น่ารักดีนะ น่ารักจนนึกว่าคุยกับแฟนเสียอีก”คำพูดของผึ้งทำให้ผมนึกบางอย่างขึ้นมาได้ บางอย่างที่ผมฝังมันลึกลงไปนานแล้ว นั่นคือคำพูดของคุณย่าผมเอง

“โพดลูก มานี่หน่อยสิ”ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ ย่าหลังจากที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน มือที่ผิวหนังเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบเบาๆที่ศีษะของผม ผมค่อยๆ เอนตัวนอนลงไปที่ตักของย่า นานแล้วที่ผมไม่ได้นอนให้ย่าลูบหัวแบบนี้

“โพดคิดยังไงกับพี่ฟ่างลูก”ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมย่าต้องถามแบบนี้ ในเมื่อก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าผมรักพี่ฟ่างของผมขนาดไหน แม้ตอนนี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ตามที

“โพดรักพี่ฟ่างครับ”ผมตอบออกไปตามที่รู้สึก

“รักยังไงลูก รักเหมือนกับที่รักย่าไหม”ทำไมวันนี้คุณย่าต้องถามอะไรแปลกๆ แบบนี้กับผมด้วย

“คุณย่าจะโกรธโพดไหมถ้าโพดจะบอกว่าโพดรักพี่โพดมากกว่าคุณย่า”ผมบอกไปอย่างรู้สึกผิด แต่ผมก็ไม่อยากที่จะโกหกคุณย่า คุณย่าดูไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดผม แถมยังยิ้มมองผมอย่างเอ็นดูเหมือนเดิม

“ย่าไม่ได้ถามว่ารักใครมากกว่ากัน ย่าถามว่ารักแบบเดียวกันไหม เหมือนกันหรือเปล่า”ผมค่อยๆ คิดตามในสิ่งที่คุณย่ากำลังถามผม ผมอาจจะยังโตไม่พอที่จะเข้าใจหรือแยกแยะประเภทของความรักได้อย่างชัดเจน แต่พอลองคิดดีๆ ผมก็ได้คำตอบ

“ไม่เหมือนครับ ไม่เหมือนกัน”ผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ฟ่าง มันไม่เหมือนที่ผมมีให้กับย่า หรือที่เคยมีให้กับพ่อและแม่ คุณย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“โพดรู้ใช่ไหมว่า ย่าคงอยู่กับโพดได้อีกไม่นาน”แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ผมก็รู้แหละครับว่าย่าคงอยู่กับผมไปตลอดไม่ได้

“ย่าคงอยู่ให้คำแนะนำอะไรกับโพดไม่ได้ แต่ย่าอยากให้โพดจำไว้ว่าข้าวฟ่างคือพี่ชายของโพด พี่ชายก็คือพี่ชาย คือคนในครอบครัว ย่าไม่อยากให้โพดคิดว่าพี่เค้าเป็นอย่างอื่น วันนี้โพดอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่จำคำย่าไว้ พ่อแม่เราเลี้ยงเราสองคนมาให้เป็นพี่น้องกัน เพื่อจะได้ช่วยเหลือกัน อย่างคนในครอบครัว จำไว้นะ”

จนถึงตอนนี้มันไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจคำพูดของย่าในวันนั้น เพียงแต่ผมไม่อยากยอมรับมันก็เท่านั้นเอง ทว่าการที่ได้มารับรู้ว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้วแบบนี้ ผมอาจจะต้องเก็บเอาคำพูดของคุณย่าในวันนั้นมาคิดทบทวนใหม่อีกสักรอบ

“นี่โพด โพด”

“หา ว่าไงนะ”ผมต้องถามย้ำกับเพื่อนใหม่คนนี้อีกแล้ว เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่ทำให้ไม่ได้ฟังในสิ่งที่เค้าพูด

“โพดนี่ตลกดีเนอะ คุยกันอยู่ดีๆ ก็เหมือนสับสวิซต์หายไปดื้อๆ ได้เฉยเลย ใจลอยไปถึงไหนเนี่ย กับข้าวมาแล้ว กินๆ ร้านนี้รสเด็ดมากเลยรู้ไหม”ผมมองคนตรงหน้าพูดไม่หยุด ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก นี่ขนาดเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว ยังทำตัวเหมือนสนิทสนมกันมานาน นี่สงสัยกว่าจะเรียนจบ 4 ปีเราสองคนคงเบื่อกันไปข้าง

“โพด โพด เอาอีกแล้วนะ นี่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ นะเนี่ย ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเป็นยังไง ผ่านมาตั้งกี่ปีก็ยังเป็นอย่างนั้น คิดอะไรอยู่เนี่ย”หญิงสาวคนเดิม ทักผมในเรื่องเดิมหากแต่ ตอนนี้เราทั้งคู่ไม่ใช่นักศึกษาระดับปริญญาตรีอีกแล้ว ผึ้งจบปริญญาโท เป็นที่เรียบร้อย เพราะหลังจบตรี ก็ไปเรียนต่อโท ที่ต่างประเทศเลย แต่ผมพักไป 2 ปีกว่า ก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อ ตอนนี้เลยยังไม่จบ แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว

“ชุดนี้เป็นไง สวยไหม”ผึ้ง หมุนตัวในชุดสีขาวให้ผมดู ใช่แล้วครับเรากำลังจะแต่งงานกัน เธอคือว่าที่เจ้าสาวของผม ทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด จนผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรกับใครได้โดยเฉพาะกับ “พี่ฟ่าง”

“สวยแล้ว ที่จริงผึ้งใส่ชุดไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ เจ้าสาวของเราสวยที่สุดในโลกอยู่แล้ว”ผมเดินเข้าไปพูดกับเธอใกล้ๆ ผึ้งเดินเข้ามาหาผม สวมกอดผมแน่น

“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ทั้งที่โพดไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยก็ได้”ผมยกแขนขึ้นเก้ๆ กังๆ ก่อนจะกอดตอบ ตบมือลงเบาๆ ที่ไหล่ของเธอ

“บอกแล้วไงว่าเรายินดีทำให้”



TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 12 คนในครอบครัว 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-07-2017 11:12:42
โพดมีความจำเป็นต้องแต่งสินะ  :z3:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 12 คนในครอบครัว 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 11-07-2017 11:36:48
มีความจำเป็นต้องแต่ง แต่ไม่ใช่จะไปทำเหี้ยกับคนอื่น แบบนี้มันเห็นแก่ตัว ปล.อินจัด ชีวิตจริงตูชัดๆๆ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 12 คนในครอบครัว 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-07-2017 14:27:15
ไม่ใช่ว่าที่โพดต้องแต่งงาน เพราะผึ้ง
ช่วยผึ้ง หรือทำผึ้งท้อง  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 12 คนในครอบครัว 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 11-07-2017 23:51:59
สงสารพี่ฟางมากกว่าโพดทำได้ไงปากบอกรักแต่กำลังจะไปแต่งงาน ทุเรศ คนเห็นแก่ตัว
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 13 เข้าใจผิด 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-07-2017 09:24:08
บทที่ 13
เข้าใจผิด
พาร์ทของโพด



“พี่ชายอีกแล้วเหรอโพด โพดรู้ตัวไหมว่าตอนนี้ผึ้งชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่เราเป็นแฟนกันหรือเปล่า มันดูชีวิตโพดมีแต่พี่ชาย จนผึ้งก็ไม่รู้ว่าผึ้งอยู่ตรงไหน”ผมนิ่งเงียบไม่ได้ตอบโต้ใดๆ กับผึ้งหรือแฟนสาวของผม เราคบกันเป็นแฟนมาได้ เกือบปีแล้ว หลังจากที่เป็นเพื่อนกันมาราวๆ ครึ่งปี ทีแรกผมเข้าใจว่าเราสองคนเข้ากันได้ดีนะครับ

ผมก็รู้สึกว่าผมชอบผึ้ง เธอเองก็ไม่เคยงี่เง่า ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องพี่ฟ่าง พี่ชายของผมนี่แหละครับ แรกๆ อาจไม่เท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ผมเข้าใจว่าพี่ฟ่าง เป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์ ผมก็พยายามจะไม่คิดอะไรกับพี่ฟ่างให้มันเกินเลยไปกว่าคำว่าพี่น้อง อย่างที่ย่าผมได้เคยบอกไว้ นั่นทำให้ผมได้ใช้เวลากับผึ้งมากขึ้น เรียกว่าเกือบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ จนถึงครั้งล่าสุดที่ผมต้องไปภูเก็ตกับพี่ฟ่าง

“เออลืมบอกไปว่าพี่มีเพื่อนมาค้างด้วย พอดีช่วงที่เราไปภูเก็ตมันจะมาเฝ้าบ้านให้”ผมชะงักฝีเท้าทันทีที่กำลังจะก้าวเข้าบ้าน คงจะเป็นคนชื่อต้าร์อะไรนั่นสินะ ตกลงนี่เค้าเข้านอกออกใน ถึงขั้นมาอยู่ด้วยกันแล้วเหรอครับเนี่ย แม้พี่ฟ่างจะไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้ให้ผมฟังเลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจไปแล้วว่าเค้าสองคนคงใช้ชีวิตด้วยกัน แม้จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในใจแต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ ผมมันก็แค่น้องชายนี่นา ที่จริงมาเจอกันครั้งนี้ผมก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะบอกกับพี่ฟ่างว่าผมมีแฟนแล้ว

“มากันแล้วเหรอ”ชายหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับพี่ฟ่าง เดินออกมพอดี แต่นั่นไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจผมคือมือของคนชื่อต้าร์นั่นมากกว่า เค้าเดินเข้ามากอดคอพี่ฟ่างอย่างสนิทสนม หน้าตายิ้มแย้มอย่างน่าหมั่นไส้ นี่ผมว่าผมไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้เอาเสียเลย

“โพดนี่ไอ้ต้าร์ เพื่อนที่มหา’ลัยพี่เอง ส่วนนี่ข้าวโพดน้องชายกูเอง”เพื่อนงั้นเหรอ ท่าทางสนิทสนมกันขนาดนี้ใครจะไปเชื่อกันละว่าเป็นแค่เพื่อนกัน สงสัยผมคงคิดนานไปพี่ฟ่างเลยต้องสะกิดผมให้ไหว้ทักทายอีกคน เพราะความอาวุโสที่มากกว่า ผมเลยจำต้องยกมือไหว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ก็ได้ ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”ไอ้พี่ต้าร์ เอื้อมมือมาตบเบาๆ ที่ไหล่ของผม 2 ทีก่อนจะชวนเข้าบ้านอย่างกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง ยอมรับนะครับผมมีอคติกับคนๆ นี้ไปแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ฟ่างต้องเลือกคนๆ นี้เป็นแฟนด้วย

“มาโพดเอากระเป๋ามา เดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเก็บให้”ผมกำลังจะปฏิเสธว่าเอาไปเก็บเอง แต่โดนพี่ฟ่างบังคับให้นั่งลงกินข้าว ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้พี่ต้าร์ สองคนผมกำลังจะกินข้าวตามที่พี่ฟ่างสั่ง แต่อีกคนเหมือนจะกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เค้านั่งอยู่ตรงข้ามผม ข้างๆ ตัวมีแก้วเบียร์ 1 ใบ และกำลังรินเพิ่มอีกแก้ว

“อ่ะ มาเหนื่อยๆ สักหน่อยจะได้สดชื่น”ผมมองอย่างไม่เข้าใจว่านี่ข้าวผมก็ยังไม่ทันกินจะมาให้ผมดื่มเบียร์ก่อนเลยหรือไง

“ยังก่อนดีกว่าครับ”ผมปฏิเสธไปอย่างมีมารยาท เพราะถึงในใจจะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาด้วย แต่ผมก็คงไม่ควรแสดงกริยาอะไรที่ไม่ดีกับเค้าออกไป อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลอะไรขนาดนั้น

“เฮ้ย ป๊อดเหรอ อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย พี่อุตส่าห์รินให้ ดื่มๆ ไปเถอะน่า มาชนแก้ว”ผมชั่งใจอยู่นิดนึง รู้สึกไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่แต่ดูท่าแล้วคนตรงหน้าผมคงไม่ยอมรามือง่ายๆ ถ้าผมไม่ยอมดื่ม เลยต้องจำใจยกแก้วขึ้นชนกับพี่แกครับ

“มันต้องอย่างนี้สิวะ ค่อยดูเป็นน้องชายฟ่างหน่อย”ดูท่าทางพี่แกจะพอใจมากที่บังคับผมดื่มได้ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ดื่มหรอกนะครับ แต่ตั้งแต่คบกับผึ้ง ผึ้งก็ไม่ค่อยชอบให้ผมดื่มสักเท่าไหร่ เลยนานๆ สังสรรค์ทีนั่นแหละครับถึงดื่ม

“พี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง คบกันมานานหรือยังครับ”ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอถามให้ชัดๆ ไปเลยแล้วกันครับ คือถ้าพี่ฟ่างจะมีแฟน แม้จะเป็นแฟนที่ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาสักเท่าไหร่ ผมก็ยังอยากจะรับรู้เอาไว้ครับ ถึงไม่ได้คิดจะกีดกันก็เถอะ
“คบกัน?”พี่แกมีท่าทีแปลกใจนิดหน่อย นี่คงไม่คิดว่าผมจะถามตรงๆ สินะ

“ครับคบกันมานานหรือยัง”ผมถามย้ำให้รู้ว่า ทั้งสองปิดเรื่องนี้กับผมไม่ได้หรอก

“อ๋อ ก็ตั้งแต่เรียนปี 1 แล้วนะ”คำตอบของไอ้พี่ต้าร์ทำเอาผมอึ้งไปไม่น้อย เพราะนั่นมันคง 2 ปีกว่าแล้ว นี่พี่ฟ่างของผมถึงไหนกับไอ้พี่ต้าร์หน้ากวนนี่กันนะ

“อ้าวที่รักมาเร็ว แค่ไปเก็บกระเป๋าทำไมไปนานจัง มาๆ นั่งนี่เดี๋ยวเค้ารินเบียร์ให้”ยังไม่ทันที่ผมกับไอ้พี่ต้าร์จะได้คุยอะไรกันอีก เพราะพอพี่ฟ่างลงมาจากชั้นสองแกก็รีบเดินไปรับจูงมือมานั่งข้างๆ ทันที

“บอกแล้วไงว่าไม่ดื่ม พรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า”สิ่งที่พี่ฟ่างปฏิเสธไม่ใช่เรื่องที่ไอ้พี่ต้าร์เรียกว่าที่รัก แต่เป็นการปฏิเสธเบียร์ที่ส่งให้ นี่แสดงว่าพี่ฟ่างก็ยอมรับสินะว่าเป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์นี่ ตอนนี้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ช้อนส้อมที่จับเตรียมจะกินข้าวในทีแรกถูกวางรวบลง เพราะรู้สึกว่าไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว

“ตัวเองจะไม่อยู่ตั้งหลายวันเค้าต้องคิดถึงตัวเองมากๆ แน่เลย ดื่มกับเค้าหน่อยนะๆ”ไอ้พี่ต้าร์คะยั้นคะยอ อย่างน่าหมั่นไส้

“ที่มหา’ลัยก็เจอกันทุกวัน แล้วนี่ตามมาอยู่ด้วยถึงบ้านขนาดนี้ยังไม่เบื่อหน้ากันอีกหรือไง”ได้ยินแบบนี้ผมยิ่งคิดมากครับว่าทั้งสองคนคงถึงไหนต่อไหนแล้ว แถมไอ้พี่ต้าร์ยังดึงเอาพี่ฟ่างมาโอบไว้อีก

“ไม่เบื่อหรอก”ผมคงหน้าเหวอไปแล้วเพราะไอ้พี่ต้าร์เล่นหอมแก้มพี่ฟ่างต่อหน้าต่อตาผมแบบนี้ นี่มันจะเกินไปแล้ว แม้จะพยายามทำใจยอมรับว่าเค้าเป็นแฟนกัน แต่นี่มันก็ทำร้ายจิตใจผมเกินไป บอกตรงๆ ว่าผมยังทำใจไม่ได้หรอกครับที่พี่ฟ่างของผมจะต้องมีคนอื่นมาครอบครองด้วยแบบนี้ แต่ว่าผมเองก็มีผึ้งแล้ว ผมก็คงไม่มีสิทธิ์คิดแบบนี้แล้วสินะ

“เล่นบ้าอะไรเนี่ย เดี๋ยวน้องก็เข้าใจผิดกันพอดี”พี่ฟ่างบอกพร้อมพยายามขืนตัวออก หันมามองผมอย่างเกร็ง คงเข้าใจว่าผมยังไม่รู้สินะว่าผมรู้เรื่องของทั้งคู่แล้ว

“ไม่เข้าใจผิดหรอก เมื่อกี้เล่าให้น้องฟังแล้ว”ไอ้พี่ต้าร์ บอกอย่างยิ้มแย้มทั้งยังโอบพี่ฟ่างไว้ไม่ยอมปล่อย

“เล่าว่าอะไร”น้ำเสียงพี่ฟ่างดูแข็งๆ จนผมเริ่มแปลกใจ หรือพี่ฟ่างจะไม่พอใจที่ไอ้พี่ต้าร์เอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาบอกให้ผมฟัง

“ก็เล่าว่า...นั่นแหละ ช่างมันเถอะ”ไอ้พี่ต้าร์ ตอบเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก ท่าทางหงอๆ นี่ไอ้พี่ต้าร์หน้ากวนนี่เป็นคนกลัวแฟนเหรอครับเนี่ย

“โพด”เมื่อไอ้พี่ต้าร์ไม่ยอมตอบ ผมเลยกลายเป็นเป้าหมายให้พี่ฟ่างมาคาดคั้นต่อ

“ครับ”ผมรับคำอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะไม่มั่นใจว่าต้องบอกตรงๆ ว่ารู้แล้ว หรือแกล้งทำเหมือนว่ายังไม่รู้อะไรเลย

“ไอ้นี่พูดอะไรให้ฟังบ้าง”เห็นท่าทางของพี่ฟ่างแล้ว ผมว่าผมบอกไปตามตรงน่าจะปลอดภัยกับชีวิตผมมากกว่า ส่วนไอ้พี่ต้าร์นี่ปล่อยแกไปตามชะตากรรมเถอะครับ คนเป็นแฟนกันก็คงไม่มีอะไรมากหรอกมั้ง

“ทำไมตัวเองเรียกเค้าไม่เพราะเลยอะ”โหไอ้พี่นี่ก็ยังมีอารมณ์ทำอ้อนไม่ดูหน้าพี่ฟ่างของผมเลยครับ อีกอย่างหน้าพี่แกนี่ผมว่าอ้อนตีนมากกว่าอีกครับ

“มึงเลิกเล่นได้แล้วไอ้ต้าร์ นี่อำน้องว่าเราเป็นแฟนกันอีกแล้วใช่ไหม”อำงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง สรุปพี่ฟ่างนี่ไม่ได้เป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์นี่เหรอ

“ตัวเองทำไมตัดเยื่อใยกับเค้าแบบนี้”ผมเริ่มลังเลไม่รู้ว่าตอนนี้จะเชื่อใครดี

“พอเลย แค่ที่มหา’ลัยเค้าก็เข้าใจผิดกันหมดแล้ว”ทั้งสองคนทำเอาผมสับสนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ผมมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา คือดูๆ แล้วทั้งสองต่างคนก็ต่างพูดความจริง ไม่ได้ดูว่าใครโกหกเลย แต่ดูจากที่ทั้งคู่สนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวกันได้ขนาดนี้ แม้พี่ฟ่างจะปฏิเสธแต่ผมว่าผมเอนเอียงมาทางไอ้พี่ต้าร์มากว่าแล้วครับ

“ตกลงพี่สองคนเป็นแฟนกันหรือเปล่าครับ”คำถามที่ผมแทรกขึ้นทำเอาทั้งสองคนหันมามองผมตอบพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกัน

“เป็น/ไม่เป็น”

“ยังไงนะครับ”ผมถามย้ำ เพื่อให้ทั้งคู่ได้ตอบใหม่ พี่ฟ่างผลักไอ้พี่ต้าร์ออกอย่างเคืองๆ แถมมองด้วยสายตาพิฆาตเหมือนเป็นการบังคับไอ้พี่ต้าร์ให้เป็นคนอธิบาย ไอ้พี่ต้าร์ก็หันมาจ้องผมหน้าขรึม ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาแล้วระเบิดหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆ น้องมึงนี่จี้ดีวะ ดูเชื่อสนิทใจเลย ว่ามึงกะกูเป็นแฟนกัน”เอ๋อเลยสิครับผม ตกลงมันยังไงแน่ อันไหนจริงอันไหนไม่จริง แล้วที่ผมตัดสินใจคบกับผึ้งไปเพราะคิดว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้วนี่ ผมควรจะยังไงต่อดีละครับทีนี้

“เออ กูอำเล่นไม่ต้องมองกูเหมือนแย่งแฟนมึงขนาดนั้น นี่ถ้าไม่บอกว่าพี่น้องกันนี่กูนึกว่ามึงหวงแฟนแล้วนะไอ้โพด”ไอ้พี่ต้าร์ย้ำกับปมอีกรอบ ตอนนี้ในหัวผมมันกลายเป็นตื้อๆ ไปแล้วครับ ใจนึงก็ดีใจที่พี่ฟ่างไม่ได้คบกับไอ้พี่ต้าร์นี่ แต่อีกใจนึง ผมก็รู้สึกกังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแล้ว

“สรุปนี่พี่ไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ใช่ไหมครับ”ผมถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะจริงๆ ก็ยังคาใจกับความสนิทสนมของคนทั้งคู่อยู่บ้าง

“เออ มึงไม่ต้องหวงพี่ชายขนาดนั้นไอ้น้อง พี่มึงมันไม่สนกูหรอก แต่ถ้าวันนึงมันสน ก็ไม่แน่นะ”แล้วพี่ทั้งสองคนก็เถียงกันต่อ แม้จะเชื่อว่าทั้งคู่ไม่ใช่แฟนกัน แต่ดูจากความสนิทสนมนี่ผมก็ชักไม่มั่นใจว่าอาจจะมีใครเกิดการหวั่นไหวหรือเปล่า เราพูดคุยกันอีกสักพัก ด้วยความที่ผมกับพี่ฟ่างต้องเดินทางเช้า เลยต้องแยกย้ายกันอาบน้ำพักผ่อน ก็ถือว่ายังดีครับที่ได้รู้ว่าถึงจะสนิทกัน แต่การที่ไอ้พี่ต้าร์มาค้างที่นี่ก็ยังแยกห้องกันนอนกับพี่ฟ่างคนละห้อง ทำให้วันนี้ผมยังได้นอนเตียงเดียวกับพี่ฟ่าง

“พี่ฟ่างหลับยัง”ผมเอ่ยเสียงเบาพูดกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาอีกคนที่เหมือนพยายามนอนเว้นระยะให้ห่างจากผม

“อือ ว่าไง”เสียงงัวเงียตอบ แต่ก็แสดงว่ายังไม่หลับ

“ตกลงพี่ฟ่างคิดยังไงกับพี่ต้าร์ครับ”ถึงทั้งคู่จะยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดีนั่นแหละครับว่าทั้งคู่ดูถึงเนื้อถึงตัวกันเกินความเป็นเพื่อนไปหน่อย

“ถามทำไมเนี่ย หรือยังไม่เชื่อว่าพี่กับไอ้ต้าร์ไม่ใช่แฟนกัน”พี่ฟ่างหันหน้าตะแคงมาทางผม ถามด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดๆ ผมหันหน้าเผื่อเผชิญหน้ากับอีกคน แม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะความมืดแต่ก็ยังมองเห็นว่าเค้าอยู่ใกล้ๆ ผมแค่ไม่ถึงคืบ

“ก็เชื่อ แต่แค่อยากรู้ว่าพี่ฟ่างคิดกับพี่ต้าร์ยังไง”ผมบอกเสียงเบา และแอบยิ้มในความมืดกระเถิบตัวให้ใกล้เข้าไปอีก

“ก็สนิทกัน แบบเพื่อนนี่แหละ พี่ก็เห็นมันเป็นเพื่อน มันก็เห็นพี่เป็นเพื่อน แต่มันขี้อำ อำจนทุกคนเชื่อไปแล้วแหละว่าพี่สองคนเป็นแฟนกัน”ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน คือถึงขนาดที่คนอื่นๆ ก็ยังเข้าใจผิดไม่ใช่แค่ผมที่เข้าใจแบบนี้ แต่ทั้งคู่ก็ยังทำตัวสนิทสนมกันแบบนี้เหมือนเดิม

“แล้วพวกพี่ก็ไม่อธิบายกับคนอื่นเหรอครับ”ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นมาเกลี่ยที่ใบหน้าของพี่ฟ่าง

“ก็ขำๆ กันไปไม่มีอะไรมากหรอก”พี่ฟ่างบอกเหมือนไม่ได้คิดอะไร แล้วก็พลิกตัวหันหน้าหนีผม แต่พอพี่ฟ่างหันหลังให้ผมก็ยิ่งขยับเข้าไปจนชิดแผ่นหลังนั่น วาดวงแขนไปโอบพี่ฟ่างไว้หลวมๆ

“แล้วพี่ฟ่างมีแฟนหรือยังครับ”ผมกดจมูกลงที่หัวทุยๆ ของพี่ฟ่างกลิ่นแชมพูอ่อนๆ และผมนุ่มๆ ทำให้ผมเผลอกอดกระชับแน่นเข้าไปอีก

“ถามทำไมเนี่ย หวงพี่เหรอ หือพี่ยังโสด ไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนตอนนี้”พี่ฟ่างยังคงตอบสบายๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจนักและก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรกับการโอบกอดจากผม

“เหรอครับ”ผมบอกเสียงแผ่ว เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกผิด มันเหมือนคนแอบนอกใจไปคบกับคนอื่นทั้งๆ ที่สถานะของเราทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน แต่ความรู้สึกผิดก็แล่นเข้ามาถึงขั้วหัวใจผมก็ว่าได้

“ว่าแต่เราเถอะ รูปหล่อขนาดนี้ มีสาวๆ มาติดเยอะเลยสิเนี่ย มีแฟนยังละเรา”ผมนิ่งไปพักนึงกับคำถามนี้ น่าแปลกที่ผมถามหรือคาดคั้นเอากับพี่ฟ่างได้อย่างคล่องปาก แค่พอเป็นฝ่ายต้องตอบเสียเอง คำพูดมันกลับติดอยู่ในลำคอ แค่พูดความจริงออกไปผมยังลังเล

“ยัง...ไม่มีครับ”และผมก็เลือกที่จะโกหกออกไป ผมไม่อยากให้พี่ฟ่างรู้ผมมีแฟน เพราะถ้าพี่ฟ่างรู้ว่าผมมีแฟน พี่ฟ่างเองอาจจะตัดสินใจคบใครอย่างที่ผมได้ทำลงไปแล้ว ก็ได้ ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวที่ทำแบบนี้ แต่คนเรามันก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ

“ว่าไงละโพด โพดให้ความสำคัญกับผึ้งบ้างหรือเปล่า”เสียงของอีกคนคาดคั้นเอากับผมด้วยเช่นกัน เธอไม่ผิดหรอกครับ ไม่ผิดอะไรเลย และอย่างที่บอกว่าที่จริงเราก็เข้ากันได้ดีในแทบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว ซึ่งมันก็ทำให้ผมเองต้องรู้สึกผิดกับเธอไปด้วยเช่นกัน

“สำคัญสิครับ แต่โพดเคยบอกผึ้งไปแล้วไง ว่าพี่ฟ่างคือคนเดียวในครอบครัวโพดที่ยังเหลืออยู่ ผึ้งเข้าใจโพดหน่อยนะ”ผมยกข้ออ้างที่มักจะใช้ได้ผลเสมอขึ้นมาอีกครั้ง แต่เหมือนครั้งนี้อีกคนจะไม่อยากรับฟังสักเท่าไหร่ เพราะสีหน้าเธอยังคงบึ้งตึงชัดเจนว่ายังไม่พอใจผมอยู่มากทีเดียว

“งั้นถ้าโพดยังเห็นผึ้งสำคัญ ปีนี้ก็อยู่เค้าท์ดาวน์ด้วยกันที่นี่ไม่ไปภูเก็ตกับพี่ชายสักปีก็คงไม่เป็นไรใช่ไห”"ผมชักสีหน้าไม่พอใจ เพราะผมกับเธอแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว กับเวลาแค่ 10 วันที่ผมจะไปเจอพี่ฟ่างของผมทำไมเธอต้องมาไม่พอใจผมด้วย

“แต่ถ้าโพดไป เราก็เลิกกัน”



TBC

ที่จริงถ้าทั้งฟ่างและโพดเปิดใจกันแต่แรกๆ

พูดกันตรงๆ ทุกอย่างอาจไม่ออกมาแบบนี้  :z3:



หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 13 เข้าใจผิด 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 12-07-2017 11:40:13
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าโพดโคตรเห็นแก่ตัว สงสารพี่ฟ่าง หาใหม่ที่ดีกว่าโพดเถอะ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 13 เข้าใจผิด 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-07-2017 12:33:37
คนอย่างตาร์ น่ารำคาญมาก
ทำตัวสนิทสนม ถึงเนื้อถึงตัว กับฟ่างเกินเลย อย่างสนุกสนาน
เรียกที่รัก เหมือนเป็นแฟน เป็นผัวเมียกับฟ่างไม่เลิก
ใครจะข้าใจผิดยังไงไม่สน ตัดโอกาสคนที่เข้าหาฟ่าง
ตัวเองลอยตัว แบบอยากเชื่อไปเองนี่

กรณีโพด นี่ก็เชื่อโดยไม่หาความจริงให้ชัดเจน
ก็ถือว่าทำตัวเอง รีบเป็นแฟนกับผึ้งทันที
แล้วเห็นแก่ตัว มามีอะไรกับฟ่างอีก
แล้วเขียนแค่คำขอโทษกับจะแต่งงานทิ้งไว้
ก็จะแต่งงาน เสือกมามีอะไรกับฟ่างหา......อะไร
แล้วมีหน้ามาขอให้ฟ่างไปร่วมงานแต่งงานของตัวเองอีก โคตรบัดซบจริงๆ  :fire: :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 13 เข้าใจผิด 12-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-07-2017 15:17:54
พี่ฟ่างตัดใจเถอะ โพดมีความเห็นแก่ตัวสูงมาก
- คิดว่าฟ่างเป็นแฟนต้า เลยหันไปคบกับผึ้ง จุดนี้ไม่สงสารผึ้งหรอ
- ตัวเองมีแฟนแล้ว ยังกล้ามาเอากับฟ่าง
- ไม่พอ เอาเขาไปแล้ว ยังมาชวนไปงานแต่งอีก

อยากจะเห็นใจ อยากจะเข้าข้างโพดนะ แต่..เห็นใจไม่ลงอ่า  :sad4:

สงสารฟ่างที่สุด
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 14 ความลับระหว่างเพื่อน 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 13-07-2017 08:52:23
บทที่ 14
ความลับระหว่างเพื่อน





เสียงพูดคุยของผู้คนที่ต้องใช้ระดับความดังเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดสร้างความสนุกสนานให้กับนักท่องราตรีทั้งหลาย ยิ่งเป็นคืนวันศุกร์ แถมเป็นวันสอบวันสุดท้ายของนักศึกษาอย่างพวกผมด้วย วันนี้ดูร้านเหล้า ต่างก็คึกคักไปด้วยบรรดานักศึกษา ที่ต่างมาฉลองสอบเสร็จ เป็นการผ่อนคลายไม่ต้องเคร่งเครียดอีกแล้ว จะเครียดอีกทีก็ตอนผลสอบออกนั่นแหละครับ

“ไอ้โพดๆ ทางนี้”เสียงเพื่อนที่นัดผมไว้ตะโกนเรียก เพราะคงสังเกตเห็นผมหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่แล้วกับการมองหาเพื่อนๆ แต่เจ้าของเสียงที่เรียกไม่ได้ดึงความสนใจของผมเท่าอีกคนที่นั่งในกลุ่มนั้นด้วยหรอกนะครับ

“ผึ้ง”หญิงสาวที่เคยได้ชื่อว่าเคยเป็นแฟนผม ใช่แล้วครับผมเลิกกับเธอด้วยเหตุผลที่แสนจะไม่น่าเป็นเหตุผลเอามาใช้เลิกกันเลย

“ก็ถ้ารักพี่ชายมากนักก็จำเป็นต้องมีเราก็ได้มั้ง”นั่นแหละครับ เราทะเลาะกันบ่อยขึ้นเพียงเพราะเรื่องของ “พี่ฟ่าง” แล้วมันก็คงถึงขีดสุดที่ต่างคนต่างทนไม่ไหว ผมเองก็คิดว่าสิ่งที่เธอทำมันงี่เง่า ส่วนเธอก็หาว่าผมไม่ปกติ แล้วยิ่งพอรู้ว่าผมกับพี่ฟ่างไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ผึ้งมากเข้าไปอีก

“นี่บางทีเราก็คิดนะ ว่าจริงๆ โพดรักพี่ชายของโพดมากกว่าคำว่าพี่ชายหรือเปล่า”ประโยคสุดท้ายที่เราได้คุยกัน จากนั้นแม้เราจะไม่ได้เกลียดกัน หรือว่าเธอเกลียดผมก็ไม่รู้นะครับ เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ผมก็กลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เธอก็กลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง เพื่อนๆ ก็เหมือนจะพยายามเลี่ยงไม่ชวนเราสองคนมาเผชิญหน้ากัน ทั้งที่จริงๆ สำหรับผมแม้จะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้

“หวัดดีโพด”เป็นผึ้งที่ยิ้มให้และเอ่ยทักทายผมก่อน ทันทีที่ผมเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนๆ เพื่อนๆ ที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะรวมกลุ่มกันมาเป็นกลุ่มใหญ่มากๆ

“หวัดดีผึ้ง”ผมทักทายตอบ

“นั่งนี่ดิ”อาจจะดูบังเอิญแต่ผมว่าที่ว่างข้างๆ ผึ้งน่าจะเว้นไว้สำหรับผมนี่แหละครับ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่ผมกับเธอจะได้พูดคุยและกลับมาดีกันอีกครั้ง ในฐานะเพื่อน

“มาช้าตลอดเลยมึงไอ้โพด เอ้านี่รีบดื่มเลย พวกกูจะเมากันหมดละเนี่ย”เพื่อนผู้รับผิดชอบการเติม หรือเรียกว่าตัวพยายามมอมชาวบ้านนั่นแหละครับ ส่งแก้วมาให้ผม แถมด้วยคำกดดันที่คงไม่กะเหลือใครไว้เก็บศพเพื่อนที่จะคอพับในคืนนี้เลย ผมรับแก้วมาจิบพอเป็นพิธีก่อนจะหันมองผึ้งที่ก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว

“ทำไมต้องจ้องกันขนาดนี้ด้วย”ผมถามพร้อมยิ้มกว้าง เหมือนเราสองคนกำลังจะทะลายกำแพงบางอย่างที่เคยมีระหว่างเราสองคนลง อีกฝ่ายก็ฉีกยิ้มตอบรับผมมากเพิ่มขึ้นไปอีก

“สบายดีเปล่า”ผึ้งถามออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ให้กับความถามของตัวเอง

“สบายดี ผึ้งละเป็นไงบ้าง”

“ก็ดี ว่าแต่เราคุยเหมือนไม่ได้เจอกันมานานเนอะ ทั้งที่ก็เรียนด้วยกันแท้ๆ”เราหัวเราะกันออกมาทั้งคู่เพราะต่างคนต่างรู้ตัวนั่นแหละว่าการเริ่มต้นบทสนทนาครั้งนี้ ที่ติดๆ ขัดๆ มันกำลังจะราบรื่นแล้ววันนี้อะไรที่มันยังรู้สึกติดค้างในใจของเรา ก็คงต้องจบมันเสียในวันนี้แหละครับ ผมเงียบไปพักนึง ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้กับเค้า

“ขอโทษนะ”สิ่งที่ผมยังไม่เคยพูด เพราะในวันที่เราสองคนตัดสินใจจบความสัมพันธ์ ตัวผมเองก็ยังมึนๆ งงๆ อยู่ แต่พอได้มีเวลาทบทวนดูแล้ว ตัวผมเองก็คงมีส่วนอยู่มากที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันไปต่อไม่ได้ ซึ่งพอคิดได้มันก็เป็นช่วงเวลาที่เราแทบไม่คุยกันแล้ว จนทุกอย่างมันเลยตามเลย ปล่อยผ่านมันไป

“เรื่อง?”ผึ้งเลิกคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ

“ทุกเรื่อง โดยเฉพาะ...”ผมหยุดเว้นวรรคนิดหน่อย เพื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแม้มันจะจบไปแล้ว แต่ระหว่างเรามันก็เคยได้มีช่วงเวลาที่ดีๆ ร่วมกันเกิดขึ้น

“เป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง”ผมต่อประโยคตัวเอง ก็ต้องยอมรับว่าแม้เราจะเป็นที่ดีต่อกันมากๆ มาก่อน เข้าอกเข้าใจกันแค่พอวันนึงที่ขยับสถานะมาใช้คำว่าแฟนผมกลับทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดีนัก คือผมทำตัวแทบไม่ต่างจากตอนที่เป็นเพื่อนกันเลย ทั้งที่การเป็นแฟนมันก็ต้องพิเศษกว่าความเป็นเพื่อนบ้าง หมายถึงเรื่องการปฏิบัติตัวต่อกันการดูแลอะไรพวกนั้นนอกเหนือจากเรื่องความสัมพันธ์ทางกายนะครับ

“บ้า มาขอโทษทำไม เราเองต่างหากที่ก็ทำตัวงี่เง่าไปไม่น้อย แถมยังไม่ยอมคุยกับโพดเลย”ดูเหมือนผึ้งเองจะไม่ถือโทษโกรธผมแล้วสินะ เช่นเดียวกับผมที่ก็ไม่เคยโทษเธอเลยที่ความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของเราต้องจบลง

“อ้าวๆ สองคนนั้น ยังไงๆ รีเทิร์นเหรอจ๊ะ”เสียงของใครคนนึงเอ่ยขึ้น คงเพราะสังเกตเห็นว่าเราสองคนกลับมาพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงตั้งแต่เลิกกันเราไม่เคยพูดคุยอะไรกันอีกเลย

“ฮิ้ว”เสียงแซวจากคนอื่นๆ ในโต๊ะดังตามมาอีกสักพักก่อนจะเงียบไป ทั้งผมและผึ้งต่างก็แค่ทำเพียงยิ้มจางๆ ให้เพื่อนๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ

“เราสองคนอาจจะเหมาะเป็นเพื่อนกันมากกว่า เพราะงั้นเป็นเพื่อนกันนะ” สายตาที่หันมามองผมมันคือสายตาของมิตรภาพที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกรอบ

“เอ้า ชนแก้ว แด่มิตรภาพความเป็นเพื่อน”แก้วในมือเราต่างถูกยกขึ้นมากระทบกันก่อนจะยกขึ้นดื่ม เหมือนเรื่องที่ค้างคาระหว่างเรามันกำลังจะสูญสลายไป เราต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวในช่วงที่ไม่ได้คุยกัน ทำให้ผมรับรู้ว่าตอนนี้ผึ้งเองก็กำลังมีคนที่คุยๆ ด้วย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นใช้คำว่าแฟน

“แล้วนี่โพดกับพี่ชายไปถึงไหนกันแล้ว”ผมวางแก้วในมือลง ก่อนจะมองเค้าอย่างสงสัยว่าคำถามของเค้าจริงจังหรือแค่ถามผ่านๆ เฉยๆ เพราะถึงแม้ผึ้งจะเลิกกับผมด้วยสาเหตุที่คิดว่าผมคิดกับพี่ฟ่างมากกว่าพี่ชาย แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะปักใจมาจนตอนนี้

“ถึงไหนอะไรละ ไม่มีอะไร”ผมเลี่ยงโดยการยกแก้วในมือขึ้นดื่มอีกครั้งเป็นสัญญาณให้อีกคนรู้ว่าผมไม่อยากตอบคำถามเรื่องนี้

“เฮ้ย เอาจริงๆ ดิ”ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ ผมถอนหายใจยาวๆ เพื่อให้ผึ้งรับรู้ว่าผมเริ่มรำคาญกับคำถามของเธอ ก่อนจะหันมองหน้าเธอนิ่ง

“เอาจริงๆ ก็คือพี่ชายเราไง”คำพูดช้าๆ ชัดๆ ตั้งใจเน้นคำให้หนักแน่นเพื่อเป็นการย้ำให้เธอมั่นใจและเลิกเซ้าซี้ผมในเรื่องนี้อีก ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกัน เพราะงั้นผมก็แสดงออกได้ชัดเจนว่าไม่ชอบ โดยไม่ต้องกังวลว่าเธอจะงอนหรืออะไร

“ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรมากกว่านั้น?”ไปๆ มาๆ มันเหมือนผมเองหรือเปล่าที่เริ่มจะทนไม่ไหว เหมือนกำลังจะเป็นฝ่ายยอมเล่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ฟ่าง ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่ากว่าการกอด จุ๊บ ถึงเนื้อถึงตัวกันด้วยความเคยชิน แต่หากถามถึงความรู้สึกจริงๆ ภายใน

“มันก็...”ผมตอบไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ

“กลัวอะไรละ รู้สึกยังไงก็แค่พูดออกมา ขนาดเราเป็นคนอื่นยังสัมผัสได้เลยว่าโพดรู้สึกยังไง ผึ้งไม่เชื่อหรอกนะว่าโพดจะไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง”มันชัดขนาดนั้นเลยหรือไงกัน โอเคผมไม่อยากให้เค้าเป็นของคนอื่น แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะห้ามพี่เค้าได้หรือเปล่า

“แต่เรากับเค้าเป็นพี่น้องกัน มันก็ไม่ควรรู้สึกแบบนั้นไหม”ผมแค่ยังไม่อยากยอมรับ คำพูดของย่ามันยังวนเวียนในหัวผมอยู่บ้าง แม้จะไม่มากนักแต่ก็ยงพอที่จะสร้างความสับสนให้กับผมได้ ความคิดอีกด้านที่บอกกับผมคือเราเป็นพี่น้องกัน พี่น้องที่ควรรักกันเหมือนคนในครอบครัว

“ก็ไม่ได้เป็นพี่น้องจริงๆ เสียหน่อย”มันก็ไม่ผิดตามที่ผึ้งบอกแต่มันก็อาจจะไม่เหมาะ หากวันนี้พ่อแม่ของพวกผมยังอยู่ผมก็ไม่คิดว่าลูกชาย 2 คนที่พวกท่านเลี้ยงดูมา จะควรมารักกันในแบบอื่นที่นอกเหนือจากความเป็นพี่น้องหรอกนะครับ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ผมพยายามจะไม่ให้ทุกอย่างมันไปไกลมากกว่านี้

“ที่เป็นอยู่นี่มันอาจจะดีแล้วก็ได้”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว แค่การได้รับรู้ว่ายังมีอีกคนให้ได้คิดถึง ได้รัก และเค้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเรา มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว อาจไม่ต้องให้มันพัฒนาไปจนยุ่งยากมากกว่านี้

“โพด...เราก็แค่เพื่อนคนนึงที่อยากจะเห็นเพื่อนมีความสุข ทำไมไม่ลองสารภาพออกไปละ บางทีพี่ชายคนนั้นของโพดเองก็อาจจะกำลังรอให้โพดเป็นฝ่ายพูดก่อนก็ได้นะ”คำพูดของผึ้งเหมือนสายลมที่พัดผ่านไป ไม่ได้ถูกนำเข้ามาในหัวของผม และผมก็ยังคิดแบบนั้นมาตลอดว่าผมจะไม่ถลำไปไกลมากกว่าที่เคย

ผมจะไม่ให้ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างผมมันมากไปกว่าคำว่าพี่ชาย เพราะด้วยเหตุผลอีกหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่ความคิดเฉกเช่นเดียวกับวัยเด็กเท่านั้น แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าผมหยุดตัวเองไว้อย่างที่คิดไม่ได้ และเรื่องราวมันก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีกเมื่อมันจะไม่เป็นอย่างที่เคยวางไว้

“อยู่นี่เอง”ผมหันไปตามเสียงของว่าที่เจ้าสาวของผมที่เดินมาพร้อมกับน้องชาย ที่เพิ่งกลับมาเพื่อร่วมงานแต่งของเราทั้งคู่ แต่ดูสีหน้าน้องชายของผึ้งจะไม่สู้ดีนัก

“พี่โพดสวัสดีครับ”เขายกมือไหว้ทักทายผมตามมารยาท

“หวัดดีภู่”หลังจากทักทายกันเสร็จ น้องชายของผึ้งแยกตัวเข้าบ้านไปปล่อยให้ผมกับผึ้งอยู่กันตามลำพัง ผึ้งเดินมายืนข้างๆ ผมมองด้วยแววตาเป็นห่วง และถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ถ้าจะทำหน้าหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้ ทำไมไม่โทรหาพี่เค้าละหือ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างเพื่อนที่เข้าใจเอ่ยกับผมทันทีที่เห็นว่าไม่มีใครในบ้านอยู่แถวนี้อีกแล้ว

“โทรแล้ว ไม่รับ”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะหลังจากที่ครั้งก่อนได้พี่ต้าร์ช่วยให้ผมได้คุยกับพี่ฟ่าง ผมก็ยังไม่สามารถติดต่อกับพี่ฟ่างได้อีกเลย ไม่ใช่ว่าโทรไม่ติดนะครับ แต่พี่ฟ่างไม่ยอมรับสายจากผมเลยต่างหาก

“เพื่อนพี่เค้าที่เคยโทรหาละ”ผึ้งรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ฟ่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เรียกว่าเป็นคนเดียวที่ผมสามารถเล่าทุกอย่างให้ฟังได้มากที่สุดในตอนนี้

“รับแล้วก็ด่าเรา แถมบอกไม่ต้องโทรไปอีก”ไอ้พี่ต้าร์ คนเดียวที่พอจะช่วยผมได้ตอนนี้ก็ไม่ยอมช่วยอะไรผมอีกแล้ว

“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า”ผึ้งหัวเราะอย่างสะใจเมื่อได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น

“นี่ให้กำลังใจกันถูกไหม”ผมรู้นะครับว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันผิด เพียงแต่ว่ามันผิดจากทุกอย่างที่เคยวางเอาไว้ มันเลยออกมาแบบนี้และผมไม่รู้จะเริ่มจัดการกับมันยังไง

“เอาตรงๆ นะถ้าเราเป็นพี่ฟ่างเราไม่มาหรอก”แม้จะเห็นด้วยกับผึ้งอยู่บ้างแต่ก็ไม่น่าตัดกำลังใจกันขนาดนี้ก็ได้มั้ง

“ทำไมละ”

“นี่คิดแล้วใช่ไหมถึงถามเนี่ย ลองคิดดูดีๆ ทำกับเค้าแบบนั้น เค้ายอมคุยด้วยนี่ถือว่าเซอร์ไพรส์มากแล้วนะ เป็นเรานี่คงเกลียดแบบไม่เผาผีไปแล้ว”คำพูดของผึ้งทำเอาใจผมแป้วเลยครับ แต่บอกตรงๆ ว่าทีแรกผมก็ไม่อยากให้เรื่องมันออกมาแบบนี้หรอกครับ

“แต่พี่ฟ่างสัญญาแล้วว่าจะไม่เกลียดเรา คนสุดท้ายบนโลกนี้ที่พี่ฟ่างจะเกลียดคือเรา”ผมยกคำสัญญาที่ผมเคยขอไว้เพราะทุกอย่างมันดันเกิดขึ้นแบบที่ผมควบคุมไม่ได้ ถ้าผมห้ามใจตัวเองได้ทันมันก็คงไม่ออกมาแย่ขนาดนี้ จริงอยู่ที่พี่ฟ่างอาจไม่เข้าใจที่ผมแต่งงานกะทันหันแบบนี้ แต่ถ้าเรายังไม่มีอะไรกัน มันก็คงจะไม่ถึงขนาดอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“อยากจะเข้าข้างเพื่อน อยากจะปลอบนะ แต่บอกเลยในมุมเราถ้าเราเป็นพี่ฟ่าง เราคงมองโพดว่าโคตรจะเห็นแก่ตัวเลย”พี่ฟ่างตัวจริงอาจจะกำลังคิดแบบเดียวกับผึ้งก็เป็นได้

“เราก็มีเหตุผลของเราไง”ผมทอดสายตาไกลออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย

“ก็เข้าใจ แต่ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก ทำไมโพดไม่บอกพี่เค้าไปว่าที่เรากำลังทำอยู่นี่มันคืออะไร”ที่ผมไม่บอกเพราะไม่รู้ว่าการที่บอกออกไปตอนนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง อย่างที่บอกว่าผมตั้งใจจะบอกแต่นั่นมันคือผมในฐานนะน้องชายที่พยายามจะไม่เกินเลยกับพี่ชาย

“แล้วทำไมทีผึ้งยังไม่ยอมบอกเรื่องราวของผึ้งเองตรงๆ กับที่บ้านบ้างละ อันนี้เรียกว่าทำให้ยุ่งยากด้วยหรือเปล่า”ผมย้อนตั้งคำถามกับอีกคน

“นั่นสินะ เราสองคนนี่มันเหมือนพวกขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญความจริงสินะ”เราสบตากันด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันนัก ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความ ถึงพี่ฟ่างจะไม่รับสาย แต่ยังไงเสียถ้าผมส่งข้อความไป พี่ฟ่างก็ต้องได้อ่าน

“มาให้ได้นะฮ่ะ โพดจะรอ”










TBC

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ

ที่จริงเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะให้ดราม่ามากๆ

แต่กลัวดึงอีกเรื่องที่แต่งพร้อมๆ กันม่าไปด้วย เลยกะว่าอีกสักพักจะดึงเรื่องขึ้นจากม่าแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 14 ความลับระหว่างเพื่อน 13-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-07-2017 13:19:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-07-2017 08:38:29
บทที่ 15
งานแต่ง




เสียงเพลงบรรเลงที่คงเป็นการบันทึกเสียงด้วยพวกเครื่องสายต่างๆ บ่งบอกว่าเป็นแนวเพลงท้องถิ่นทางภาคเหนือของไทย เสียงเพลงที่แสดงถึงความชื่นมื่นในงานมงคล สภาพทุกอย่างภายในที่แห่งนี้ถูกจัดให้ดูมีความเป็นไทยทางภาคเหนือ หรือที่เรียกว่าเป็นสไตล์ล้านนาหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ ทั้งร่มแบบที่บ่งบอกว่าเป็นวัฒนธรรมทางเหนือ รวมทั้งพวกอุปกรณ์ตกแต่งที่แขวนอยู่รอบๆ ก็ล้วนแต่เป็นไปในโทนเดียวกัน

“เจ้ว่าเหมือนพวกเราจะแต่งตัวกันมาผิดคอนเซปนะเนี่ย”เจ้โอ๋ก้มมองชุดตัวเองที่จัดเต็มมาแต่คนในงานส่วนใหญ่กับแต่งตัวด้วยชุดแนวๆ ล้านนา

“จริงๆ ผมว่าเราไม่น่ามามากกว่ามั้งเจ้”ไอ้ต้าร์บอกเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่เพราะมันไม่อยากให้ผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พูดจบมันก็มองมาที่ผมอย่างผิดหวังที่ผมยังมางานนี้

“ไอ้ต้าร์ถ้าเราไม่มาใครจะมาเป็นเพื่อนน้องฟ่างละ คิดสิคิด”เจ้โอ๋ดูจะเข้าใจในสิ่งที่ไอ้ต้าร์อยากจะสื่อผิดไปนิดหน่อย

“ผมหมายรวมถึงไอ้ฟ่างนี่แหละเจ้ ไม่รู้มันจะมาทำไม”ศอกของคนพูดกระทุ้งมาที่ลำตัวผมด้วยความหมั่นไส้ แต่ผมก็รู้แหละครับว่าที่มันทำแบบนี้ก็เพราะมันห่วงความรู้สึกของผม ไอ้ต้าร์มันไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท แต่เราอยู่กันมาจนผมรู้สึกว่ามันก็คือครอบครัวของผมคนนึง รองจากข้าวโพด

“พอแล้ว พูดอะไรเยอะแยะเนี่ย”กุ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ไอ้ต้าร์บอกก่อนจะบิดแขนเพื่อนผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ผม

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บอกว่าไม่เป็นไรไง”ผมยืนยันหนักแน่นให้ทุกคนเห็นอีกครั้งว่าที่มานี่ผมไม่เป็นไรจริงๆ แน่นอนว่าในใจผมมันยังบอบช้ำ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันออกมาแบบนี้ ผมก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ และวันนี้ผมจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะ เจ้าบ่าวของงาน

“สวัสดีครับ พวกพี่เป็นญาติฝั่งพี่โพดใช่ไหมครับ”ระหว่างที่พวกผมกำลังคุยกันอยู่ ก็มีเด็กหนุ่มคนนึงเดินมาต้อนรับ ผมรู้สึกคุ้นหน้าคนๆ นี้อย่างบอกไม่ถูก

“ใช่น้องที่เคยไปหาแปงหรือเปล่า”ผมนึกย้อนถึงตอนที่ปาแปงรุ่นน้องของพวกผมยังทำงานด้วยกัน แต่ตอนนั้นหนุ่มตรงหน้านี่ยังไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ตอนนั้นเค้ายังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย ยืนชะเง้อทำท่ากระวนกระวาย จนผมต้องเข้าไปทักด้วยความสงสัย

“น้องมาหาใครหรือเปล่าครับ”ผมยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร

“คือผมมาหาลุง...เอ่อมาหาพี่ปาแปงนะครับ”จากที่ประเมินแล้วผมว่าคนตรงหน้านี้ไม่น่าจะใช่ญาติ อีกอย่างแปงเองก็มีแค่พี่สาว หรือว่านี่คือคนที่แปงเคยมาปรึกษาผมเรื่องการจูบนั่นหรือเปล่า ผมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูมื่อคิดว่าน้องชายผู้อินโนเซนส์อย่างแปงมาหวั่นไหวกับเด็กมัธยมตรงหน้านี่ ก็ดูเข้ากันดีนะครับ แปงก็ยังดูใสๆ ดี

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เค้าคงแปลกใจกับรอยยิ้มประหลาดๆ ของผม

“เปล่าๆ พี่ทำงานแผนกเดียวกับแปงแหละ เดี๋ยวแปงให้ลงมาหา”

“อ๋อพี่คือคนที่ตามพี่แปงให้ผมวันนั้นใช่ไหมครับ”คำทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมว่าผมแอบเห็นแววตาหม่นๆ ของเค้านิดนึงตอนที่ผมพูดถึงแปง

“รู้จักกันด้วยเหรอวะ”ไอ้ต้าร์กระซิบถามอย่างสงสัย

“น้องเค้าเคยไปหาแปงที่ออฟฟิศเราไง”ผมอธิบาย แต่วันนั้นน่าจะไม่มีใครได้เจอน้องเค้านอกจากผมสินะ

“รู้จักน้องแปงด้วยเหรอ งั้นเจ้ฝากบอกน้องแปงด้วยนะว่าแวะมาเยี่ยมเจ้บ้าง นี่ตั้งแต่ออกไป ก็ไม่ได้เจอน้องแปงอีกเลย”เจ้โอ๋ ถามไถ่ถึงรุ่นน้องอีกคนที่พวกเราต่างเอ็นดู ซึ่งพอครบสัญญาตามที่ตกลงทำงาน แม้ทางบริษัทจะอยากรั้งแปงไว้ต่อแต่เห็นว่าทางบ้านอนุญาตให้ออกมาใช้ชีวิตเอง จำกัดช่วงเวลาไว้แค่นั้นแล้วก็ต้องกลับไปทำงานกับที่บ้าน พวกผมเองก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรน้องอีก

“ผมก็ไม่ค่อยได้เจอแกเหมือนกันแหละครับ”ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองที่น้ำเสียงน้องเค้าดูหม่นลงทุกครั้งที่พูดถึงปาแปง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดผมว่าความสัมพันธ์ของปาแปงกับน้องคนนี้คงไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องหรือคนรู้จักธรรมดา แต่นั่นแหละครับตอนนี้เค้าอาจจะไม่เหมือนเดิมกันแล้ว ผมก็ไม่ควรจะคิดอะไรหรือสงสัยต่อในความสัมพันธ์ของพวกเค้า แค่ตัวผมเองก็แย่พออยู่แล้ว

“แล้วนี่น้อง...เอ่อ”ผมเว้นวรรคไว้เพราะยังไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มตรงหน้านี่เกี่ยวข้องอะไรกับงานในวันนี้

“อ๋อผมภู่ครับ น้องชายพี่ผึ้งเจ้าสาววันนี้”คำตอบของเค้าทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อย แปลกใจไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้

“พี่ฟ่างนะครับ เป็นพี่ชายโพด”หลังจากทักทายแนะนำตัวกันทุกคนแล้ว น้องภู่ก็เป็นคนพาเรามาส่งจัดแจงที่นั่ง แต่พอรู้ว่าน้องเค้าเป็นใครทีมงานผมก็ออกจะพากันชักสีหน้าตึงๆ ใส่น้องเค้าไปเสียทุกคน

“เป็นอะไรกันเนี่ย น้องเค้าอุตส่าห์มาต้อนรับ จะมาแสดงอาการแบบนี้ทำไม”ผมต่อว่าทุกคนหลังจากน้องภู่คล้อยหลังไปแล้ว

“ก็นั่นมันน้องชายศัตรูหัวใจมึงนะเว้ย เราจะไปญาติดีด้วยทำไม”ตรรกะอะไรของมันอีกละครับเนี่ย ไอ้ต้าร์หันมองตามเข้าไปในงานอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจ ซึ่งผมว่าเพื่อนผมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“มึงจะบ้าหรือไง เค้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย อีกอย่างแม้แต่เจ้าสาวเองพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ จะโกรธหรือเกลียดเค้า เพราะเค้าคงไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับโพดหรอก”สิ่งที่เจ้าสาวรับรู้มันก็อาจจะไม่ต่างจากฝั่งของผมหรอก เค้าอาจไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของผมด้วยซ้ำ หรือถ้ารู้ผมมันก็แค่พี่ชายคนนึงของแฟนเค้า

“งั้นมึงก็บอกสิ พังงานแต่งแม่มเลย”ไอ้ต้าร์ยังคงพูดอย่างไม่มีเหตุผล

“เลิกบ้าได้แล้วมึง นี่เรามางานมงคลนะ”ผมเริ่มปรามก่อนที่มันจะพูดอะไรบ้าๆ มากไปกว่านี้ อีกอย่างตอนนี้แขกในงานก็ทยอยกันมาพอสมควรแล้ว ไม่อยากให้คนอื่นมาได้ยินในสิ่งที่พวกเราคุยกัน

“มึงนี่มันไม่ได้ดั่งใจกูเลย เป็นนางเอกผู้เสียสละหรือไง”ผมมองเพื่อนอย่างเคืองๆ อีกรอบเพราะมันก็ยังบ่นเบาๆ ให้ได้ยินอยู่

“หยุด”ผมสั่งเสียงแข็ง และได้กุ้งคอยช่วยปรามมันอีกคน

“เอ่อ พี่ๆ ใช่ญาติทางเจ้าบ่าวไหมคะ”หญิงสาวที่อยู่ในชุดทางเหนือหน้าตาสะสวยคาดว่าคงเป็นเพื่อนของทางเจ้าสาวเข้ามาสอบถามพวกผมพอดี ซึ่งก็ดีที่ไอ้ต้าร์สงบปากสงบคำไปแล้ว

“ครับ”

“งั้นรบกวนนิดนึงนะคะ พอดีจะตั้งขบวนขันหมากแล้ว อยากให้ทางญาติๆ เป็นคนนำก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเพื่อนๆ จะเสริมขบวนไปด้วย”ใกล้ได้ฤกษ์ตั้งขบวนขันมาก ก็ไม่แปลกนักที่ญาติฝั่งเจ้าบ่าวจะมีแค่พวกผม เพราะทั้งผมและข้าวโพดก็เหมือนกันตรงที่เราไม่มีญาติที่ไหนแล้ว หญิงสาวที่มาเชิญเราไปตั้งขบวนยังทำให้ผมได้รู้อีกว่าข้าวโพดกับเจ้าสาวเรียนที่เดียวกันตั้งแต่ ระดับปริญญาตรี เพื่อนๆ ที่มางานเลยเป็นทั้งเพื่อนกับทั้งสองฝั่ง

เรื่องที่เค้าเรียนด้วยกันนั้นผมว่าผมไม่ติดใจอะไร แต่การที่ทั้งสองคนเคยเป็นแฟนคบหากันตั้งแต่ตอนนั้นมากกว่า ผมยิ้มเยาะให้กับตัวเอง เพราะหลงสำคัญตัวเองมาได้ตั้งนาน แต่ความจริงแล้วมันเปล่าเลย ขนาดเค้ามีแฟนเค้ายังไม่เคยบอกผมด้วยซ้ำ

“กูบอกแล้ว ว่ามันไม่ได้เลิกกัน ตามกันไปเรียนถึงเมืองนอกขนาดนั้น ทีนี้เชื่อกูหรือยัง”เสียงหนึ่งในคนที่จะมาตั้งขบวนขันหมากพูดขึ้น จากที่ฟังทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าสาเหตุอะไรที่ข้าวโพดถึงไม่คิดจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ

“คนอื่นกูเกลียดไม่ได้ แต่ไอ้เจ้าบ่าวที่กำลังยิ้มแป้นมานั่นกูเกลียดได้ใช่ไหม”เสียงของไอ้ต้าร์เรียกสติผม สายตาผมหันไปมองตามที่ไอ้ต้าร์มองอยู่ ชายหนุ่มที่เคยเป็นน้องชายตัวน้อยของผม เคยวิ่งตาม เคยพยายามอยากจะโตให้ทันผม และเคยสัญญาว่าจะดูแลผม แต่วันนี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสินะ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ฝืนยิ้มให้ปกติมากที่สุด

“นึกแล้วว่าพี่ฟ่างต้องมา”เค้าเดินเข้ามากอดผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ผมตบเบาๆ ที่ไหล่ของเค้าพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาที่เหมือนกำลังจะไหลออกมา ให้มันย้อนกลับไปทางเดิม เค้ากอดผมแน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะผละออกแล้วหันไปทักทายเพื่อนๆ ผม

“ขอบคุณทุกคนที่มานะครับ”เค้าบอกทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก”ไอ้ต้าร์แทบจะไม่เก็บอาการใดๆ เลย มันแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับสิ่งที่กำลังเกิดตรงหน้า

“ไอ้ต้าร์”ผมรีบเรียกมันเสียงต่ำ ซึ่งมันก็เพียงจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหันหน้ามองไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรครับ แค่มาผมก็ดีใจแล้ว ยังไงอย่าเพิ่งรีบกลับนะครับ”ข้าวโพดยังคงบอกพวกผมอย่างยิ้มแย้ม

“เสร็จงานแล้วอยู่คุยกับผมก่อนนะครับพี่ฟ่าง”เสียงกระซิบข้างๆ หูผมตามด้วยรอยยิ้มที่ส่งมาให้ผม ก่อนที่เค้าจะหันไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่เหมือนต่างคนต่างยังยินดีกับงานครั้งนี้อย่างมาก ว่าแต่เค้ายังจะมีอะไรคุยกับผมอีกอย่างนั้นหรือ

“พี่ชายโพดใช่ไหมคะ ยังไงรบกวนสักสองคนเป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวด้วยนะคะ”ซองสีชมพูจำนวนนึงถูกยัดใส่มือผมและลากผมกับเจ้โอ๋มาอยู่ที่หน้าขบวนขันหมาก มีคนจัดแจงขบวนการถือของไหว้ต่างๆ ตามลำดับ ทั้งผมและเจ้โอ๋ต้องตามน้ำไปอย่างงงๆ  ขบวนขันหมากเริ่มขึ้น ผมแสร้งทำหน้ายิ้มแย้มไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

ผมกับเจ้โอ๋กลายเป็นคนที่ต้องมาจ่ายค่าผ่านประตูเงิน ประตูทอง ดูบรรยากาศมีแต่ความชื่นมื่นซึ่งผมเองก็พยายามฝืนยิ้มให้แนบเนียนมากที่สุด แต่ในใจอยากให้ช่วงเวลานี้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด

“ไหวนะ”เจ้โอ๋ถามผมอย่างห่วงใย ผมก็ได้แต่พยักหน้าให้พร้อมยิ้มแห้งๆ พิธีการต่างๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ ทั้งบายศรี ผูกข้อไม้ข้อมือให้กับบ่าวสาว แน่นอนว่าผมเองก็ต้องผูกให้บ่าวสาวด้วยเช่นกัน

“โพดพูดถึงพี่ฟ่างให้ฟังอยู่บ่อยๆ วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที ขอบคุณที่มานะคะ”หญิงสาวพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่ผมกำลังผูกข้อมือให้กับทั้งคู่

“มีความสุขมากๆ นะครับ”ผมอวยพรให้กับทั้งคู่

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย เสร็จงานแล้วอย่าเพิ่งกลับนะครับ”ผมไม่ได้ตอบรับใดๆ ก่อนจะแยกตัวออกมา

“แค่นี้ก็ดีมากแล้วไหมมึง กลับเหอะ”หลังจากพิธีการต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ตอนนี้บ่าวสาวก็ เดินขอบคุณ ถ่ายรูปร่วมกับแขกในงาน แม้ผมจะไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ต่อแต่คำพูดจากอีกคนที่บอกให้ผมรอ ก็ค่อนข้างจะมีอิทธิพลกับผมอยู่มากทีเดียว ใช่แล้วครับ ผมหวัง หวังว่ามันจะมีคำอธิบายอะไรจากเค้าให้ผมมากกว่านี้ หรือมีอะไรที่จะตอกย้ำให้ผมตัดใจจากเค้าได้อย่างเด็ดขาด ทว่าดูเหมือนเพื่อนผมจะไม่อยากให้ผมอยู่ต่อสักเท่าไหร่ ผมมองหน้าทุกคนที่ดูเหมือนว่าจะเห็นตรงกันหมด จนผมคงไม่สามารถปฏิเสธได้

“อือ ไปดิ”ผมตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เราทั้ง 4 เดินออกจากงานโดยไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องร่ำลาเจ้าภาพ อันนี้เป็นความเห็นชอบของเสียงส่วนใหญ่นะครับ แน่นอนว่าผมนี่แหละครับเสียงส่วนน้อยคนเดียว อีก 3 คนนั่นดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง

“พี่ฟ่าง พี่ฟ่างเดี๋ยวครับ”ยังไม่ทันที่ผมทั้ง 4 คนจะเดินถึงที่จอดรถดีนัก เสียงตะโกนเรียกก็ดังขึ้น ทำให้เราทุกคนต้องหันไปมอง ข้าวโพดวิ่งตามพวกผมมา จนมาหยุดตรงหน้าผม เค้ายืนหอบอย่างแรงจากการที่วิ่งตามมา ส่วนทุกคนที่มากับผมต่างมองเค้าด้วยสายตาไม่ได้เป็นมิตรนัก

“ขอผมคุยด้วยสักเดี๋ยวนะครับ”ผมหันหน้ามองคนที่เหลือ แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผมว่าทุกคนคงอยากให้ผมปฏิเสธ

“นะครับพี่ฟ่าง เพราะถ้าพี่ฟ่างกลับไปโดยไม่ยอมคุยกับโพด พี่ฟ่างก็อาจจะไม่ยอมคุยกับโพดอีกเลย”ผมมองสายตาเว้าวอนของเค้าสลับกับอีก 3 คนที่มากับผมอย่างตัดสินใจ

“พี่คงมีเวลาไม่มากนักนะ”เค้ายิ้มกว้างคว้าข้อมือผมโดยไม่ได้ถามความเห็นผม ดึงผมแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดบางอย่าง

“คือผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง เอาเป็นว่าเริ่มที่ผมกับผึ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน...เอ่อที่จริงก็เคยเป็น แต่เลิกกันไปนานแล้ว และเราแต่งงานกันเพราะเหตุผลบางอย่าง”



TBC

ตอนหน้ามาฟังคำแก้ตัว เอ้ย คำอธิบายของข้าวโพดกัน
 o13
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2017 08:58:10
ไอ้เรื่องฟังน่ะฟังได้ แต่ขอเหตุผลแบบเคลียร์ ๆ ไปเลยนะ ไอ้พวกที่บอกว่า เหตุผลจำเป็นบางอย่าง ที่บอกออกไปอย่างชัดเจนไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าสาวงี้อะ รับไม่ได้ พี่ฟ่างต้องเจ็บปวดแค่ไหนกับการที่โพดต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง จะมาบอกว่าไม่เกี่ยวกับฟ่างไม่ได้นะ ฮึ่ม
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 14-07-2017 10:40:48
เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาอธิบายหลังแต่ง


ลำดับความสำคัญ ความจำเป็น ห่าเหวอะไรดลบันดาล??
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2017 11:21:54
ในความคิดของเรา คนที่เลือกจะช่วยคือคนที่สำคัญกว่า คนที่ปล่อยให้เจ็บ
มองอย่างนี้ ฟ่างคือคนที่ไม่มีความสำคัญป๊ะ เจ็บไงก็ได้

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-07-2017 13:34:08
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-07-2017 14:51:00
น้องภู่กับลุงแปงยังไงเนี่ย ทำไมไม่ค่อยได้เจอกันนน
ตามอ่านอยู่ทั้ง 2 เรื่องเลยนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-07-2017 16:36:18
ในความคิดของเรา คนที่เลือกจะช่วยคือคนที่สำคัญกว่า คนที่ปล่อยให้เจ็บ
มองอย่างนี้ ฟ่างคือคนที่ไม่มีความสำคัญป๊ะ เจ็บไงก็ได้

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

คิดเหมือน
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 15-07-2017 13:25:30
บทที่ 16
คำอธิบาย





“คือผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง เอาเป็นว่าเริ่มที่ผมกับผึ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน...เอ่อที่จริงก็เคยเป็น แต่เลิกกันไปนานแล้ว และเราแต่งงานกันเพราะเหตุผลบางอย่าง”หลังจากที่วิ่งตามพี่ฟ่างออกมาเกือบจะไม่ทันผมก็ต้องรีบพูดในประเด็นที่สำคัญที่สุดให้พี่ฟ่างรับรู้ก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมฟังในสิ่งที่เหลือ สิ่งที่มันมีหลายอย่างที่พี่ฟ่างอาจจะไม่เข้าใจผม ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าทุกอย่างให้พี่ฟ่างฟัง ส่วนพอได้ฟังแล้วจะเป็นยังไงต่อผมก็คงต้องยอมรับ

“ยังไงก็ฝากโพดดูแลผึ้งด้วยแล้วกัน นี่พอโพดตามไปเรียนด้วยกันแบบนี้ พ่อก็ค่อยหายห่วงหน่อย”ผมรับคำพร้อมส่งยิ้มให้กับว่าที่พ่อตาหลอกๆ ของผม ตั้งแต่ที่ผมกับผึ้งกลับมาญาติดีกันฉันท์เพื่อน เรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วผึ้งเองก็มีแฟนใหม่ แต่ดันไม่ยอมบอกคนในครอบครัวว่า ตัวเธอกับผมเรามีสถานะเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น

“เอาน่าเดี๋ยวพอเราไปเรียนต่อ ตอนนั้นค่อยบอกว่าเลิกกันดีไหม”นั่นคือเหตุผลที่ผึ้งอ้างตอนเราเรียนปริญญาตรีด้วยกัน เพราะเธอบอกว่าแฟนที่เธอคบอยู่ ยังไงก็ไม่ถูกใจพ่อแม่ถ้าบอกไปหรือพาไปเจอก็จะวุ่นวายเปล่าๆ เพราะไม่มีใครถูกใจพ่อแม่เธอเท่าผมอีกแล้ว

“ไหนบอกว่าพอไปเรียนต่อ เราจะได้เลิกกันไง”พอถึงวันที่ผึ้งไปเรียนต่อจริงๆ กลายเป็นว่าคนที่เลิกกับผึ้งคือแฟนตัวจริงครับ ส่วนแฟนตัวปลอมอย่างผมก็ยังรับหน้าที่ต่อไป แถมมันยิ่งดูยุ่งยากขึ้นไปอีก เพราะทุกคนคิดว่าเรารักกันมานานแน่นแฟ้นจนถูกมองไปถึงเรื่องแต่งงาน

“โพดคิดว่าถ้าพ่อเรารู้ว่าเฮเดนเป็นแฟนเรามันจะเกิดอะไรขึ้น”มันดูจะหนักขึ้นไปอีกเมื่อผึ้งดันไปคบฝรั่งตาน้ำข้าว ซึ่งพ่อของผึ้งไม่ชอบเอามากๆ จนวันนึงปัญหาใหญ่ระหว่างเราสองคนก็เกิดขึ้น

“โพดไอ้เฮเดนมันทิ้งเรา มันทิ้งเราไปแล้ว”ผึ้งมาร้องไห้กับผมแบบนี้ทุกครั้งที่ทะเลาะกับแฟน จนตอนนี้ผมชินและไม่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้แล้วครับ เพราะพอผ่านไป 2-3 วัน เดี๋ยวก็ดีกัน ผมเดินเข้าครัวชงกาแฟอย่างไม่ใส่ใจชงเผื่อผึ้งด้วยครับ ผมถือถ้วยกาแฟมาวางให้ตรงหน้าเธอ

“เดี๋ยวมันก็มาง้อ”ผมบอกผ่านๆ อย่างตัดรำคาญเพราะเห็นฉากนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ที่จริงผมก็ไม่ได้ชอบไอ้เฮเดนนี่สักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ในเมื่อเพื่อนเราชอบ เราก็คงพูดอะไรมากไม่ได้

“ไม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง”ผึ้งหยุดร้องพูดด้วยเสียงราบเรียบจนผมแปลกใจ แปลกใจว่าอะไรทำให้ผึ้งคิดว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนทุกครั้ง

“มันมีคนอื่นหรือไง”ผมยังคงแหย่ทีเล่นทีจริง เพราะทุกครั้งที่ทะเลาะกันมันก็มักมาจากเรื่องนี้ ซึ่งเฮเดนมันก็หาเศษหาเลยไปทั่วจริงๆ นั่นแหละครับ แต่ทุกครั้งพอมันมาตีหน้าเศร้าว่าจะเลิกนิสัยแบบนั้น จะมีผึ้งคนเดียวผมก็เห็นผึ้งใจอ่อนทุกที แล้วครั้งนี้มันจะต่างกันเหรอ ผมว่าคงไม่

“มันไม่อยากมีลูก”สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมหันมองหน้าผึ้งอีกครั้ง คงไม่ได้หมายความว่า...

“เราท้อง”คำที่ผึ้งบอกออกมาทำเอาผมเองก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่าทั้งเฮเดนและผึ้งดูยังไม่ได้พร้อมจะสร้างครอบครัว หรือพร้อมที่จะรับผิดชอบอีกชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาเลย หรือแม้กระทั่งผมเอง ผมก็ไม่ได้มีความพร้อมตรงนั้นเลย

“นี่คงไม่ได้คิดจะเอาเด็กออกใช่ไหม”ผมเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันนะครับว่าอยากจะให้ผึ้งทำยังไง คือมันเป็นการรับรู้ที่ค่อนข้างกะทันหัน แล้วมันก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่มากแถมมีผลกระทบกับอีกหลายคนเหลือเกิน

“เฮเดนมันไม่รับผิดชอบอยู่แล้ว หรือต่อให้มันคิดรับผิดชอบ พ่อเราก็คงได้ฆ่าเราแน่ๆ ที่หลอกเค้ามาตลอดว่าคบกับโพดแล้วท้องกับไอ้ฝรั่งไม่มีความรับผิดชอบนั่น หรือจะให้เราบากหน้าบอกกับทุกคนว่าท้องไม่มีพ่อ โพดว่าเรามีทางเลือกไหม”ผมอยากจะตำหนินะครับ ว่าในเมื่อก็รู้ว่าตัวเองไม่พร้อมทำไมไม่ป้องกันให้ดี แต่ดูจากสภาพของเพื่อนตอนนี้ที่ก็แย่พออยู่แล้ว ว่าอะไรไปมันก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“แล้วผึ้งจะฆ่าคนๆ นึงที่กำลังจะเกิดมาได้ลงคอเหรอ”อยากบอกว่าผมเองตอนนี้ก็สับสนไปหมดทุกอย่างเหมือนกันแหละครับ แม้มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาของผมโดยตรง แต่ผึ้งก็คือเพื่อนสนิทคนนึงที่เราต่างคอยช่วยเหลือกันมา

“เราไม่รู้ ไม่รู้แล้วจริงๆ”ผึ้งปล่อยโฮขึ้นมาอีกรอบ เหมือนคนไม่มีสติแล้ว

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวเราค่อยๆ คิดช่วยกัน มันต้องมีทางที่ดีกว่านั้น”ผมเข้าไปสวมกอดผึ้งเพื่อเป็นการปลอบ

“เอาเด็กออก เราจะเอาเด็กออก นะโพดให้เราเอาเด็กออกเถอะ”

“พูดอะไรกัน”เสียงที่ทักท้วงขึ้นทำให้ทั้งผมและผึ้งหันไปมองผู้มาใหม่อย่างตกใจ

“พี่บึ้ง”ผึ้งมองหน้าพี่ชายด้วยอาการตื่นตระหนก พี่บึ้งคือพี่ชายคนโตของผึ้งครับ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกัน

“แกท้องเหรอผึ้ง”น้ำเสียงที่ถามออกมาราบเรียบจนเราทั้งคู่คาดเดาไม่ได้ว่าคนพูดกำลังรู้สึกยังไง แถมในสถานการณ์แบบนี้ผมกับผึ้งก็คงจะไม่สามารถปรึกษากันได้ว่าจะตอบออกไปว่ายังไง

“ผมจะรับผิดชอบเองครับ”และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ พี่บึ้งที่โผล่มากะเซอร์ไพรส์พวกเราเหมือนจะกลายเป็นคนทำให้เราทั้งคู่ไม่ต้องตัดสินใจเลือกทางไหนให้ลำบากอีกต่อไป หลังจากที่พี่บึ้งไปแล้วทั้งผมและผึ้งก็ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“เราไม่คิดว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ เพราะถ้าเค้าเกิดมาทุกวินาทีที่เห็นหน้าเค้า มันคงยิ่งย้ำให้เราคิดถึงไอ้เฮเดนที่ตอนนี้เราเกลียดมันจนไม่อยากจะอยู่ร่วมโลก”ผมถอนหายใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะสิ่งที่ผึ้งพูดออกมานั่น มันทำให้ผมคิดได้ว่าพอเด็กเกิดมา สิ่งนึงที่จะทำให้เราทั้งคู่โดนจับได้ก็คือความเป็นลูกครึ่งของเด็กคนนี้นี่แหละครับ

“เราเลี้ยงเอง”ผมบอกอย่างหนักแน่น

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโพด ให้เราเอาเด็กออกเถอะ แล้วบอกที่บ้านเราว่าเราแท้งก็ได้”นี่ผึ้งยังไม่ล้มเลิกความคิดนี้อีกเหรอเนี่ย

“โอเค เราจะแต่งงานกันแล้วรอจนผึ้งคลอด ผึ้งก็บอกทุกคนไปว่าผึ้งแท้งและเราสองคนเลิกกัน จากนั้นเด็กที่คลอดมาเราจะรับผิดชอบเอง”ผมรู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจโง่ๆ ของเราทั้งคู่แทนที่เราจะเลือกบอกความจริง แต่ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้แล้วก็คงต้องยอมรับผลที่จะตามมา

“แล้วพี่ฟ่างของโพดละ โพดจะบอกพี่เค้าว่ายังไง”ผมเล่าถึงแค่ตรงนี้ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือคนที่ผึ้งกล่าวถึง คนที่ผมยอมรับว่าไม่ได้คิดกับเค้าแค่พี่ชาย แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะยอมรับ จนทุกอย่างมันผิดที่ผิดทางไปเสียหมด

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องในวันนั้นเกิดขึ้นระหว่างเรา”

“มันก็แค่เรื่องไม่ตั้งใจสินะ”พี่ฟ่างดูยังอึ้งๆ กับสิ่งที่ผมเล่า แต่เหมือนจะกำลังเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อผิดไป

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ที่จริงแล้วผมอยากทำแบบนั้นกับพี่ อยากทำมาตลอด เพียงแต่ผมยังไม่พร้อมที่จะดูแลพี่ แล้วยิ่งมีเรื่องผมกับผึ้งเข้ามา มันยิ่งไม่ควรที่ผมจะทำแบบนั้น”ตอนนี้ผมเหมือนคนทำความผิดที่พยายามแก้ตัว และดูเหมือนจะเป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น พี่ฟ่างยังคงมองผมด้วยแววตาว่างเปล่า

“มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวจนผมคงพูดไม่ได้ว่าที่มันเกิดขึ้นเพราะผมรักพี่”รอยยิ้มที่ดูจะไม่ได้มาจากความรู้สึกยินดีปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของพี่ฟ่าง

“ผมคงไม่กล้าที่จะขอว่าให้พี่ไปใช้ชีวิตกับผมที่ต่างประเทศ แต่ถ้ามันยังพอจะเป็นโอกาสเดียวที่เราจะอยู่ด้วยกันได้ผมก็อยากให้พี่ฟ่างลองเอาไปคิดทบทวนดูนะครับ”ผมรู้ครับว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยในสิ่งที่ผมขอ แต่แค่มันจะพอมีโอกาสให้ผมแม้น้อยนิดขนาดไหน ผมก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นทิ้งไป

“เอาจริงๆ นะโพดตอนนี้เราสองคนเหมือนคนไม่รู้จักกันเลย โพดเองก็มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยได้เปิดให้พี่เข้าไปสัมผัส หรือพี่เองก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่เคยบอกให้โพดได้รับรู้ เพราะงั้นพี่ว่าคงไม่ต้องทบทวนอะไรแล้วแหละ”ความเย็นชาฉายชัดขึ้นมาทั้งในสีหน้า แววตา และคำพูดที่ส่งออกมา

“โพดรู้จักพี่ฟ่างมาทั้งชีวิต”ผมจ้องมองอีกคนด้วยสายตาเว้าวอนตอนนี้เหมือนทุกอย่างมันยากไปหมดทุกอย่าง ถ้าเพียงแต่ผมแสดงหรือบอกความรู้สึกจริงๆ ให้พี่ฟ่างรู้ตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันคงไม่ยากแบบนี้ มุมปากของพี่ฟ่างยกขึ้นยิ้ม แต่มันคือยิ้มเยาะอย่างที่ผมต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ

“แน่ใจเหรอ พี่นอนกับใครมากี่คน ใช้ชีวิต one night stand มากี่ปี โพดรู้เรื่องนี้หรือยังละ”ประชด พี่ฟ่างต้องกำลังประชดผมอยู่แน่ๆ

“พี่ฟ่างของโพดไม่ใช่คนแบบนั้น”แม้จะพอรู้จากการที่เรามีอะไรกันว่าผมคงไม่ใช่คนแรกของพี่ฟ่าง แต่ผมก็มั่นใจว่าพี่ฟ่างของผมคงไม่ไปมั่วกับใครหลายคนอย่างที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้

“เสียใจที่ต้องทำให้ผิดหวังนะ แต่รู้ไว้เลยว่าพี่เคยทำตัวแบบนั้น”พี่ฟ่างยังคงพูดให้ดูว่าตัวเองดูแย่ในสายตาผม แต่บอกเลยว่าผมไม่เชื่อ ผมจ้องมองเข้าไปในแววตาพยายามมองให้ลึกลงไป ค้นหาความจริงในแววตานั้น แต่แล้วพี่ฟ่างก็เป็นฝ่ายหลบสายตาผมก่อน

“เฮ้อ...โอเคจากที่ฟังมา โพดก็ยังมีอีกหลายอย่างต้องรับผิดชอบจริงไหม ไหนจะลูกไหนจะภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเพราะงั้นทางเดินของเราสองคน มันก็คงจะยังเป็นเส้นขนานเหมือนเดิม”นี่คือสิ่งที่พี่เค้าตัดสินใจสินะ ผมว่าพี่ฟ่างคงไม่เชื่อผมด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่แก

“พี่มีชีวิตของพี่ โพดก็มีชีวิตของโพด เราก็แค่ใช้ชีวิตของใครของมันต่อไป”มันต้องเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย คำพูดที่ผมเองเคยเป็นคนบอกว่าจะดูแลพี่ชายคนนี้ มันกลับย้อนมาตอกย้ำตัวผมเองว่าผมมันก็แค่คนไม่เอาไหนที่ทำอย่างที่เคยพูดไว้ไม่ได้

“ขอโทษนะครับพี่ฟ่าง”ผมดึงตัวอีกคนมากอด คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม แต่ก็เพราะตัวผมเองที่เป็นต้นเหตุในการผลักเค้าออกไปจากชีวิต จนพอมาตอนนี้ทั้งผมและพี่ฟ่างก็คงต้องเจ็บ ไม่ต่างกัน

“ไม่ต้องขอโทษหรอก แต่เราสองคนอย่าติดต่อกันอีกเลยนะ”เค้าไม่ได้กอดตอบผมด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงเย็นชาที่บอกออกมา กลับทำให้น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลออกมา คำว่าอย่าติดต่อกันอีกเลยมันช่างบีบหัวใจของผมเหลือเกิน

“ไม่เอาสิครับ พี่ฟ่างอย่าทำแบบนี้”ผมกอดเค้าแน่นขึ้นกว่าเดิม อยากให้เค้ารับรู้ว่าที่จริงแล้ว เค้าสำคัญกับผมมากแค่ไหน แต่จะว่าไปสิ่งที่ผมทำลงไปมันคงทำให้เค้าเชื่อได้ยากว่าเค้าเป็นคนสำคัญ

“ปล่อยเถอะ พี่จะกลับแล้วเพื่อนพี่รออยู่”เค้าออกแรงดันตัวผมออก ก่อนจะหันหลังให้ผม เดินไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของเค้า

“แต่เรายังจะไปเจอกันที่ภูเก็ตทุกปีเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”ผมส่งเสียงถามไล่หลังอย่างมีความหวัง ถ้าพี่ฟ่างจะไม่ติดต่อผม แต่อย่างน้อยให้เรายังได้เจอกันเหมือนเดิมมันก็ยังพอจะช่วยทดแทนได้บ้าง

“อย่าดีกว่า”น้ำเสียงหนักแน่นถูกเปล่งออกมาโดยไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ

“พี่ฟ่างสัญญาแล้วนิ พี่ฟ่างต้องรักษาสัญญาสิครับ”เมื่อไม่มีทางเลือก ผมเลยต้องงัดสิ่งสุดท้ายมากดดันอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนจะหยุดแผ่นหลังนั้นได้ พี่ฟ่างค่อยๆ หันกลับมามองผม แต่แล้วพอเห็นรอยยิ้มเยาะที่ฉายชัดบนใบหน้านั่น ผมก็คงถูกปิดโอกาสทุกทางลงแล้ว

“อีกอย่างที่โพดคงยังไม่รู้เกี่ยวกับพี่ พี่ไม่ได้เป็นคนรักษาคำพูด หรือรักษาสัญญาอะไรขนาดนั้น”






TBC

ยังไงต่อละทีนี้  :a5:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-07-2017 13:47:57
เอาแล้วไงข้าวโพด พอเกิดคำถามในใจว่าเรารู้จักเขาจริงหรือเปล่า เรื่องมันจะจบไม่ง่ายนะโพดนะ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-07-2017 14:19:55
โพดทำตัวเองทั้งนั้น  อะไรคือการเอาตัวเองรับผิดชอบในเรื่องของคนอื่นเนี่ย ลงทุนแต่งงาน ลูกก็ไม่ใช่ลูกตัวเอง ชีวิตตัวเองทั้งชีวิตเลยนะ ห่วงแต่ผึ้งหรอ ไม่ห่วงความรู้สึกพี่ฟ่างบ้างหรอ
ข้าวฟ่างเข้มแข็งไว้นะ ใจแข็งไว้
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 15-07-2017 14:40:24
เข้ามาสมน้ำหน้าโพด เห็นแก่ตัวอย่างโหดร้าย นี่หรือรัก อยากให้จบแบบต่างคนต่างไปอะ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 15-07-2017 16:51:00
ดีสมน้ำหน้าโพด สงสารข้าวฟ่างมาก
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 15-07-2017 16:57:18
รักแต่ไม่ให้ความสำคัญ   นี่มันรักแบบไหน

โพดเอ็งควรไปลงโปรแกรมใหม่นะ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-07-2017 17:09:16
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ก็เหมาะดี เลือกเอง คิดเอง ทำเองมาตลอด
ตอนที่ควรจะพูดก็ไม่พูด ตอนนี้พูดไปก็ไม่เกิดไรขึ้นมาแล้ว

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 16 คำอธิบาย 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-07-2017 18:06:21
โพดทำตัวเองทั้งนั้น  อะไรคือการเอาตัวเองรับผิดชอบในเรื่องของคนอื่นเนี่ย ลงทุนแต่งงาน ลูกก็ไม่ใช่ลูกตัวเอง ชีวิตตัวเองทั้งชีวิตเลยนะ ห่วงแต่ผึ้งหรอ ไม่ห่วงความรู้สึกพี่ฟ่างบ้างหรอ
ข้าวฟ่างเข้มแข็งไว้นะ ใจแข็งไว้
:เฮ้อ: :เฮ้อ:

ก็เหมาะดี เลือกเอง คิดเอง ทำเองมาตลอด
ตอนที่ควรจะพูดก็ไม่พูด ตอนนี้พูดไปก็ไม่เกิดไรขึ้นมาแล้ว

 :L2: :pig4:

ใช่เลย
โพดมีระบบความคิดที่แปลก กลับตาลปัตร
แทนที่จะคิดถึงคนสำคัญที่สุด คนที่รับปากจะปกป้องดูแล
กลับไปให้ความสำคัญกับคนที่ไม่ใช่

เรื่องของผึ้ง จะรับผิดชอบไปถีงไหน เมีย ลูก ก็ไม่ใช่
ครั้งที่หนึ่งผ่านไป ครั้งที่สองตามมายังเสนอหน้าไปรับ

นี่มันเรื่องสำคัญ เลั้ยงเด็กอ่อนโดยลำพัง ใช่มีมนุษยธรรม
แต่สมควรทำด้วยตัวโพดคนเดียวเท่านั้นหรือถึงจะถูกต้อง
ควรให้ผู้ปกครองพ่อแม่ผึ้งรับรู้ได้แล้ว อย่างนี่ผี้งลอยตัวคนเดียว

แล้วฟ่างล่ะ สมควรแล้วล่ะ ที่ฟ่างตัดขาดโพด เลิกลาไม่ต้องพบกันอีก
เรื่องควรปรึกษาไม่ปรึกษา บ้าๆบอๆ
คิดเองเออเอง เรื่องผึ้ง ลูกผึ้งละเก่ง เออ..... เอ็งเก่ง เก่งให้ตลอดนะ มึ-
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 17 เซ็กซ์กับความ...ร 19-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-07-2017 22:09:09
บทที่ 17
เซ็กซ์กับความ...ร




“งานก็ราบรื่น ลูกค้าชมจนนายตัวลอย แถมวันศุกร์แบบนี้มันต้องปาร์ตี้กันแล้วละครับทุกๆ คน”ผมมองไอ้เพื่อนสนิทที่กำลังโหวกเหวกเสียงดังกลางออฟฟิศ ทำเป็นมาบอกว่างานออกมาดีแล้วจะไปดื่ม ผมเห็นก็หาเรื่องดื่มได้ตลอดนั่นแหละงานไม่เสร็จ งานโดนแก้ก็ดื่มแก้เครียด งานดีก็ฉลอง

“เจ้ไป”นี่ก็มาเป็นลูกคู่กันตลอดนี่ถ้าไอ้ต้าร์ไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วนี่ ผมว่ามันคงได้กับเจ้โอ๋ไปแล้วละครับ

“กูขอบายนะ มีนัดแล้ว”ผมบอกออกไปตามตรง ที่จริงช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ไปสังสรรค์กับไอ้ต้าร์แล้วก็เจ้โอ๋บ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วแหละครับ ถึงแม้การไปกับเพื่อนมันจะช่วยคลายเหงา และช่วยลดการคิดฟุ้งซ่านของผมลงไปได้บ้าง แต่พอกลับห้องไปอยู่คนเดียวผมก็อดที่จะจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะไปกับคนที่อยู่กับผมได้ตลอดคืนมากกว่าการไปกับเพื่อน

“เจ้..มานี่”ไอ้ต้าร์เดินมาข้างๆ ผมก่อนจะเรียกเจ้โอ๋ให้มายืนประกบอีกข้าง ก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน ผมมองทั้งคู่อย่างระแวงว่าจะทำอะไรผมหรือเปล่า

“ฟ่าง มึงกับกูก็คบกันมานาน ที่จริงก็รู้นะว่ามึงก็ไม่ชอบให้กูไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมึง แต่เรื่องนี้กูว่ามันไม่โอเควะ แค่คนๆ นึงที่ทำร้ายมึง มันจำเป็นเหรอวะที่ต้องมาประชดชีวิตตัวเองเพราะคนแบบนั้น”จนได้สินะ เห็นมันตั้งท่าจะคุยเรื่องนี้กับผมมาหลายทีแล้วละครับ แต่ในเมื่อมันไม่พูดออกมาตรงๆ ผมเองก็เลยเฉย และใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป

“กูไม่ได้ประชดใครเว้ย กูก็แค่เปิดโอกาสตัวเองให้ได้เรียนรู้ใครสักคน ใครสักคนที่พร้อมเคียงข้างกูไง”แม้จะบอกออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆ แล้วผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่า คำพูดในวันนั้นที่ผมบอกอีกคนไว้ก็ส่งผลกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่ด้วย ที่จริงแต่ไหนแต่ไร ผมเองก็เคยมาบ้างแหละครับที่มีความสัมพันธ์ข้ามคืนกับ ใครสักคนโดยไม่สนใจอะไรเนี่ย แต่นั่นมันก็แค่นานๆ ครั้ง

“แล้วมึงเปิดมากี่คนแล้วละ”ดูไอ้ต้าร์จะไม่ชอบใจเรื่องนี้เอามากๆ เลยมั้งครับเนี่ย

“แล้วยังไง กูก็คบทีละคนไหม”ผมหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไปกับใครมั่วซั่ว หรือจบแค่ความสัมพันธ์คืนเดียวแล้วแยกทาง ตอนนี้ผมก็เปิดใจคุยกับใครเป็นคนๆ ไป แม้มันจะเริ่มต้นจากเซ็กซ์ก็เถอะ

“คนละกี่เดือน ไม่สิคนละกี่วัน มึงคิดดูดีๆ นะว่านี่มึงกำลังทำอะไรอยู่”ผมนิ่งไปเพราะก็เถียงไม่ออกว่าการที่พอเริ่มต้นความสัมพันธ์จากเซ็กซ์ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจะมาพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาว มันก็ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่ละคนที่เข้ามาแม้ทีแรกจะบอกว่าไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ แล้วพอสุดท้ายแทบทุกคนก็แค่ต้องการความตื่นเต้น แปลกใหม่ และต้องการแบบนั้นไปเรื่อยๆ ส่วนผมเหรอครับ ผมก็แค่ยังหวัง หวังว่าสักวันจะเจอคนที่ทำให้ผมลืมคนที่ขยี้หัวใจผมได้

“ปกติเจ้ก็ไม่ค่อยอยากเผือก หรอกนะแต่เรื่องนี้เจ้เห็นด้วยกับต้าร์มันนะ”นี่เรียกกันมารุมผมเลยสินะครับเนี่ย ก็พอรู้ครับว่าที่ทำอยู่มันก็ไม่ค่อยดี แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้กว่าผมจะผ่านแต่ละคืนไปได้ มันก็ยากเหลือเกิน ผมเองก็ไม่คิดหรอกนะครับว่าอีกคนจะมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้

เอาจริงๆ ผมไม่โกรธเค้านะครับ ที่เค้าคิดจะช่วยเพื่อน หรือแฟนเก่าเค้า แม้ผมจะรู้สึกว่าวิธีการของทั้งคู่นั้นไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่ก็นั่นแหละครับ เราทุกคนก็คงมีเรื่องที่ตัดสินใจพลาดหรือเลือกอะไรที่คนอื่นมองว่าตัดสินใจโง่ๆ เพราะงั้นผมจะไม่ตัดสินอะไรกับเรื่องของพวกเค้า แต่สิ่งที่มันทำให้ผมรู้สึกแย่คือการที่ได้รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุดสำหรับเค้าอีกต่อไปแล้ว พอรู้แบบนั้นไม่ว่าเค้าจะพูดยังไง แม้แต่คำที่ว่าเค้ารักผม มันแทบไม่มีน้ำหนักเลยที่จะทำให้ผมรู้สึก

“ถ้ามึงจะเปลี่ยนคู่นอนบ่อยขนาดนี้ มึงไปซื้อกินแบบอิเจ้ดีกว่าไหม”เสียงไอ้ต้าร์เรียกสติผมอีกครั้ง และมันก็ฟังเป็นคำที่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ อย่างมาก แม้จะลากเอาชื่อเจ้โอ๋มาพ่วงให้ดูเป็นการแซวให้ขำด้วยก็เถอะ

“อ้าวอิต้าร์ กูไปบาร์โฮสนี่ไม่ได้หมายความว่ากูจะหิ้วเด็กไปซั่มทุกครั้งนะ อย่ามาพาดพิง”ผมหยุดคิดอีกครั้ง แม้สายตาจะมองที่เจ้โอ๋กับไอ้ต้าร์ ที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กัน แต่ในใจก็มีแต่คำถามว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ทั้งที่นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว ผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที

“กูก็ไม่ได้อยากให้ใครมามีอิทธิพลกับชีวิตกูขนาดนี้นะเว้ย แต่ยิ่งกูพยายามลืม ภาพในอดีตระหว่างกูกับเค้ามันกลับยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”ตั้งแต่เล็กจนโต ระหว่างเรามันมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน แล้วไหนจะคอนโดที่เค้าก็ยังได้เข้าไปให้ผมต้องนึกถึงทุกครั้งที่กลับห้อง ว่าครั้งนึงเค้าก็เคยนอนที่นั่น หรือแม้แต่โทรศัพท์ ที่แม้ผมจะปิดกั้นการติดต่อจากเค้าไปหมดแล้ว แต่ก็เป็นผมเองนี่แหละ ที่ยังย้อนไปอ่านข้อความเก่าๆ ที่เราเคยคุยกัน

“ฟ่าง ฟังพี่นะ ถ้ามันลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม ความทรงจำดีๆ เราก็เก็บมันไว้นั่นแหละเอาไว้บอกตัวเองว่าเราเคยมีความสุข แต่เราก็ต้องใส่ความทรงจำลงไปเพิ่มด้วย ว่าเราจะมีความสุขกับคนเดิมไม่ได้แล้ว”เจ้โอ๋ลูบแขนผมเบาๆ ผมรู้ว่าทุกคนก็อยากให้ผมดีขึ้น แต่เอาจริงๆ ผมว่าเจ้โอ๋เองก็ยังไม่ได้หลุดพ้นจากรักครั้งนั้นของแกหรอกครับ ถ้าเจ้มำได้จริงๆ เจ้คงมีรักครั้งใหม่ไปแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่ เมื่อไหร่กันครับเจ้ที่เราจะเริ่มใหม่กับใครสักคนได้จริงๆ”เป็นคำถามที่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ หรอกนะครับ หรือผมควรเปลี่ยนจากการเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยเซ็กซ์ มาเป็นเริ่มเรียนรู้ใครสักคนอย่างจริงจัง แต่ชีวิตผมมันก็ไม่ได้มีโอกาสพบเจอคนที่จะเข้ามาให้เรียนรู้ได้เลย นอกจากที่ทำงานชีวิตผมก็มีแค่ร้านดื่มแค่นั้นแหละมั้ง

“ถ้ามันเริ่มไม่ได้ ก็มาอยู่โสดๆ เป็นเพื่อนเจ้นี่แหละ”

“ใช่ไม่มีผัวมึงก็ยังมีพวกกูนะ เลิกทำตัวอย่างที่ทำนี่ได้แล้ว แล้วไอ้คนที่คุยๆ อยู่ตอนนี้ชื่ออะไรนะ แต่ชื่ออะไรก็ช่างเถอะเดี๋ยวมึงก็เลิกหรือเลิกวันนี้เลยก็ได้นะจะได้ไปฉลองด้วยกัน”ผมคงต้องลองสู้กับความรู้สึกตัวเองอีกสักตั้งสินะ

“พี่ฟ่างคะ เมื่อเช้าสงสัยหนูดูไม่ดีเลยเอามาให้ไม่ครบ”บทสนทนาของพวกผมถูกขัดจังหวะด้วยน้องธุรการที่เอาเอกสารไปรษณีย์มาให้ผม

“ขอบคุณครับ”ผมรับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็อดแปลกใจเล็กไม่ได้ เพราะปกติผมไม่ได้ให้ส่งอะไรส่วนตัวมาที่บริษัทเลย ถ้าจะมีมาก็ต้องเป็นเอกสารเกี่ยวกับงานแต่นี่ดูๆ แล้วมันน่าจะเป็นอะไรส่วนตัวเสียมากกว่า แถมไม่ระบุชื่อผู้ส่งอีกด้วย

“อะไรวะ”ไอ้ต้าร์ถามอย่างไม่จริงจังนัก ผมเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะค่อยๆ เปิดซองออกดู

“ตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตเหรอ”เจ้โอ๋เป็นคนอ่านทวน สิ่งที่อยู่ในมือผม

“นี่มึงอย่าบอกนะว่า มึงยังจะไปเจอไอ้โพดอีกเนี่ย มึงบ้าปะเนี่ย”ไอ้ต้าร์แย่งสิ่งที่ผมถือไปจากมือ

“กูไม่ได้เป็นคนจอง”แม้ในนั้นจะระบุเป็นชื่อผม แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ไอ้ต้าร์กำลังเข้าใจ ซึ่งพอผมบอกไปทั้งสองคนก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ตั๋วเครื่องบินนี้มันมา ไอ้ต้าร์ค้นหาอะไรในซองนั้นเพิ่มเติมก็พบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นนึง

“ไปให้ได้นะครับ”ไอ้ต้าร์อ่านข้อความด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ส่วนผมนะเหรอ แค่รับรู้ว่าไอ้ที่ส่งมานี่มาจากไหนมันก็จุกขึ้นมาในอกแล้วแหละครับ ก็รู้ว่ามันใกล้จะถึงวันที่เราเคยตกลงกันว่าจะไปเจอกันทุกปีแล้ว และเค้าก็คงยังอยากให้ผมไปเจอกันเหมือนเดิม แต่ผมก็บอกไปแล้วนิว่าผมจะไม่ไป ที่เค้าทำแบบนี้เค้าไม่คิดถึงจิตใจผมบ้างเลยหรือไง

“มันเอาอะไรคิดวะที่ทำแบบนี้”ไอ้ต้าร์ขยำกระดาษโน้ตแผ่นนั้นก่อนจะทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ พร้อมกับซองเอกสารทั้งหมด

“ก็แปลกดีเนอะ กูพยายามแทบตายที่จะไม่เอาเรื่องของเค้ามามีอิทธิพลกับชีวิต แต่แค่เค้าส่งตั๋วเครื่องบินมาแค่นี้ ทุกอย่างที่กูพยายามมามันก็แทบจะพังลงเสียหมด จนเหมือนจะต้องเริ่มต้นใหม่”รอยยิ้มเยาะค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าผมเองเป็นการสมเพชตัวเอง เพราะมันเหมือนผมยิ่งพยายามหนีผมกลับยิ่ง ไม่สามารถหลุดพ้นได้

“แต่มึงไม่ได้จะไปเจอมันใช่ไหม”ไอ้ต้าร์ถามย้ำ ทั้งที่ก็เห็นอยู่แท้ๆ ว่าปฏิกิริยาผมเป็นยังไง หรือถ้าผมยังบ้าขนาดดันทุรังจะไปอีกมันจะไปมีประโยชน์อะไร มันจะได้อะไรขึ้นมากับการที่ผมทำแบบนั้น

“เอาเป็นว่าเลิกดราม่าแล้วไปปาร์ตี้กันดีกว่าทุกคน”

“ผมบอกแล้วไงเจ้ว่ามีนัด”เจ้โอ๋เบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะอุตส่าห์พยายามช่วยดึงอารมณ์ให้มันดูน่าสนุกสนานขึ้น แต่ผมก็ยังปฏิเสธแถมยังอยู่ในอารมณ์เบื่อโลกเช่นเดิม

“กูมีทางเลือกให้มึง 2 ทาง ทางแรกชวนคนที่มึงนัดไว้มาจอยกับพวกกู หรือไม่ก็ให้กูกับอิเจ้เนี่ยไปกับมึงด้วย จะได้ช่วยดูว่าไอ้คนที่มึงนัดเนี่ย ควรเลิกๆ ไป หรือยังไงต่อ”ผมว่าไอ้ทางเลือกทั้งสองนี่ก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่หรอกครับ ผมถอนหายใจเบาๆ เพื่อตัดสินใจและกำลังนึกถึงคนที่ผมนัดไว้

“จะไปไหนกันละเดี๋ยวกูถามเค้าดูว่าสะดวกมาด้วยไหม แต่ถ้าไม่มากูก็ไปกับมึงกับเจ้นี่แหละ แต่ถ้าเค้ามามึงอย่า...เออถ้ามาก็ค่อยว่ากัน”ผมตัดสินใจ ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ผมนัดเนี่ยไอ้ต้าร์มันก็รู้จักนี่สิครับ แถมประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่เค้าเป็นคนที่เคยมีเรื่องมีราวกับไอ้ต้าร์มาก่อนนี่สิ

ผมส่งข้อความบอกอีกคนที่นัดไว้ พร้อมแจ้งพิกัดสถานที่ ก่อนออกจากออฟฟิศ ไม่นานนักทั้งผม เจ้โอ๋ ไอ้ต้าร์ ก็มาถึงร้าน ร้านซึ่งเรียกว่าจะเป็นร้านประจำของพวกเราไปแล้วครับ ถ้ามาด้วยกัน อาจจะด้วยความคุ้นชินกับบรรยากาศ สไตล์แนวเพลงหรืออะไรต่างๆ พอเจออะไรที่ใช่ คนเราก็คงไม่อยากเปลี่ยน นั่นสินะจิตใจคนเราบางทีพอฝังใจกับอะไรไปแล้ว มันก็คงยากที่จะเปลี่ยน

“ตกลงนี่กิ๊กมึงมาป่ะเนี่ย”ไอ้ต้าร์ที่เดินกลับเข้ามานั่งเอ่ยถาม มันเพิ่งจะโทรรายงานตัวกับกุ้งเสร็จเรียบร้อย ผมล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความ แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีสายโทรเข้ามาพอดี

“น่าจะถึงแล้วมั้ง โทรมาพอดีเนี่ย”ผมบอกพร้อมกดรับสาย และทักทายคนที่โทรเข้ามา เค้ามาถึงแล้วและกำลังจะเดินเข้ามาในร้าน

“งั้นเข้ามาเลยโต๊ะ 149 นะ”ผมบอกพร้อมหันไปมองทางเดินที่เข้ามาจากหน้าร้าน เมื่อเห็นคนที่นัดไว้ก็วางสายและโบกมือให้เค้าเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงไหน

“นั่นไอ้เชี่ยปู่นิ อย่าบอกนะว่ามึง”ทันทีที่ไอ้ต้าร์เห็นคนที่ผมนัดไว้เดินเข้ามาก็กันมาถามผมเสียงแข็ง

“เออวันนี้กูนัดกับปู่ไว้”ยิ่งได้ยินผมย้ำว่าสิ่งที่มันคิดนั้นถูกแล้ว ไอ้ต้าร์ยิ่งแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนครับ ก็พอรู้อยู่แล้วละครับว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ชีวิตคงไม่เจออะไรขนาดเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดอีกแล้ว

“มึงนี่มัน”

“หยุด มึงเป็นคนให้กูเลือกเองว่าวันนี้กูต้องมากับมึง”ผมรีบชี้ไอ้ต้าร์ก่อนที่มันจะว่าอะไรผมมากไปกว่านี้ ผมหันไปส่งยิ้มตอบคนที่เพิ่งมาถึงใหม่ ส่วนไอ้ต้าร์ก็มองเค้าเสียจนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“เดี๋ยวเจ้ไปนั่งข้างไอ้ต้าร์เอง น้องมานั่งนี่ก็ได้ค่ะ”เจ้โอ๋ที่นั่งข้างผมรีบเสนอตัวเปลี่ยนที่นั่ง

“เอ่อ...ปู่นี่เจ้โอ๋รุ่นพี่ที่ทำงาน แล้วเจ้โอ๋นี่ปู่ เพื่อนสมัยมหา’ลัยพวกผม”ผมแนะนำให้คนที่นั่งลงข้างๆ ผมรู้จักกับเจ้โอ๋ ส่วนไอ้ต้าร์ก็อย่างที่บอกครับ มันกับเค้ารู้จักกันอยู่แล้ว

“ใครเพื่อนมัน มึงไปเป็นเพื่อนกับมันตอนไหน”แต่ก็นี่แหละครับ รู้จักกันก็ใช่ว่าจะญาติดีต่อกัน ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แม้จะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็นึกว่าไอ้ต้าร์มันจะมีเหตุผลมากกว่านี้

“นี่มึงยังโกรธกูอยู่เหรอวะไอ้ต้าร์”ปู่หันไปถามไอ้ต้าร์ ด้วยน้ำเสียงปกติ

“หยุด มึงอย่าเพิ่งพูด กูขอเวลาเคลียร์กับเพื่อนกูสัก 10 นาที มึงจะไปห้องน้ำ ไปสูบบุหรี่ นั่งรอหน้าร้าน หรือรอไม่ไหวกลับไปเลยก็ได้ ลุกสิ”ผมมองหน้าไอ้ต้าร์อย่างไม่เข้าใจว่ามันจะทำอะไร

“เอางี้จริงดิ”ปู่ถามไอ้ต้าร์ย้ำ แล้วมันมามองหน้าผมอย่างขอความเห็น แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ห้ามหรือปรามไอ้ต้าร์ มันก็พูดย้ำเสียดังขึ้นมาอีก

“ลุกสิวะ”

“โอเคๆ”ปู่ยอมลุก ส่งยิ้มจางๆ ให้ผมว่าไม่เป็นไร ผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เค้าแหละครับ เกรงใจเค้าเหมือนกันแหละครับที่ชวนมาแล้วต้องเจออะไรแบบนี้

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”น้ำเสียงคาดคั้นเรียกให้ผมต้องหันกลับมาสนใจกับไอ้เพื่อนสนิทที่ตอนนี้เหมือนกำลังจะเป็นหมาบ้า

“มึงเป็นอะไรวะต้าร์ เรื่องมันตั้งนานมาแล้ว อีกอย่างตอนนั้นจะว่าปู่แย่งแฟนมึงก็ไม่ถูกนะ มึงเองก็ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับน้องเค้า เค้าจะเลือกปู่ก็ไม่เห็นแปลก”ผมยกเรื่องราวที่เคยบาดหมางกันของคนทั้งคู่ขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนจะยังไม่ค่อยได้ผลเพราะไอ้ต้าร์ก็เตรียมง้างปากจะเถียงผมอีกรอบ หากแต่ว่าโดนเสียงของเจ้โอ๋ขัดขึ้นเสียก่อน

“หยุดก่อนค่ะทั้งคู่ ช่วยอธิบายให้เจ้ได้เข้าใจและมีส่วนร่วมด้วยนิดนึงนะคะ”

ผมกับไอ้ต้าร์มองหน้ากัน ต่างคนต่างเงียบจนเป็นผมเองที่ต้องรีบเล่าแบบสรุปให้เจ้โอ๋ฟัง เพราะไม่งั้นคนที่ลุกจากโต๊ะไปนั่นก็คงต้องรออีกนาน จริงๆ แล้ว “ปู่” ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกนะครับ เป็นเพื่อนร่วมคณะของผมกับไอ้ต้าร์นี่แหละครับ แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็เหมือนเพื่อนร่วมคณะคนนึงที่รู้จักและได้สังสรรค์กันบ้าง

จนวันนึงไอ้ต้าร์ดันไปปิ้งรุ่นน้องคนนึง ก็แอบจีบแบบเงียบๆ แต่ไปๆ มาๆ จีบไม่ทันติดน้องก็ดันเปิดตัวคบกับปู่เสียอย่างนั้น จากนั้นมาไอ้ต้าร์กับปู่เลยเกือบๆ จะเป็นคู่อริกันไป ส่วนผมกับปู่นั้นก็

“กูไม่ได้โกรธที่มันเคยได้หญิงปาดหน้ากู แต่กูแค่ไม่เข้าใจว่ามึงจะไปยุ่งกับมันทำไม สมัยเรียนมึงไม่เห็นเหรอวะว่าไอ้เชี่ยนี่ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ดี เจ้าชู้ยิ่งกว่าอะไร แล้วมึงยังจะมาคบกับมันเนี่ยนะ เอาตรงๆ ถ้าเทียบข้อดีระหว่างไอ้เชี่ยปู่เนี่ยกับไอ้โพด กูว่าไอ้โพดแมร่งยังมีข้อดีมากกว่าอีก”โหนี่ก็มาเสียชุดใหญ่ไม่เว้นช่องไฟให้ผมได้พูดบ้างเลย

“ถ้ามึงจะหวงขนาดนี้ ไม่เป็นแฟนฟ่างเสียเองเลยละ”ไม่ใช่ผม ไม่ใช่เจ้โอ๋ แต่เป็นอีกคนที่นั่งลงข้างผมเป็นคนพูดขึ้น ไอ้ต้าร์หันมองเค้าอย่างไม่ปิดบังว่ามีความไม่พอใจมากขนาดไหน

“มึงไม่ต้องมาปากดี กูแค่เป็นห่วงเพื่อนกู ถึงแม้กูกับไอ้ฟ่างจะดูเหมาะกันมากกว่ามึง แต่ยังไงมิตรภาพความเป็นเพื่อนของพวกกูก็ยั่งยืนกว่า ไอ้คนทั่วถึงอย่างมึง”ผมว่าผมคงต้องรีบปรามๆ ไอ้ต้าร์แล้วแหละครับไม่งั้นการสังสรรค์วันนี้คงจะหมดสนุกเสียก่อน

“โอเคมึง เอาเป็นว่ามึงไม่พอใจอะไรกู หรือไม่พอใจอะไรปู่ ทดเอาไว้ในใจก่อน ไว้ค่อยไปด่า ไปบ่น ไประบายวันอื่น วันนี้กูมีเรื่องในหัวมามากพอแล้วขอดื่มอย่างสนุกสนานเถอะนะ”ผมชี้หน้าให้ไอ้ต้าร์หุบปาก เพราะที่จริงผมกับปู่ เราก็มีข้อตกลงของเรา เค้าอาจจะยังไม่ใช่คนที่จะมาลบอีกคนในใจผมได้ และผมก็อาจไม่ใช่คนสุดท้ายที่เค้าจะหยุด แต่ ณ ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างพอใจในสถานะ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว

“แล้วตกลงน้องฟ่างกับน้องปู่นี่สปาร์คกันตั้งแต่ตอนไหน อะไรยังไงคะเจ้อยากรู้”พอผมบังคับไอ้ต้าร์ให้ทดทุกอย่างไว้ในใจได้ และแอลกอฮอล์เริ่มเข้าสู่กระแสเลือด บรรยากาศในการดื่มก็ผ่อนคลายขึ้น ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น

“หรืออะไรกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”เมื่อทั้งผมและปู่ไม่ได้ตอบ เจ้โอ๋ก็ยื่นมือมาชี้ผมทั้งคู่อย่างคาดคั้นอีกรอบ

“เจ้ตอนเรียนมีแต่คนเข้าใจว่าผมกับไอ้ฟ่างเป็นแฟนกัน มันจะไปอะไรกันได้ยังไง”คำพูดของไอ้ต้าร์ทำเอาผมกับปู่ยิ้มและหันมองหน้ากันและกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไอ้พวกเชี่ยมองกันแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงได้กันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”ก็ฉลาดใช้ได้นิครับเพื่อนผม เห็นอาการของผมสองคนก็พอจะเดาออกสินะ

“ออกค่ายอาสาตอนปี 3”ปู่เป็นคนตอบซึ่งทำเอาไอ้ต้าร์ซักไซ้ผมเสียยกใหญ่เพราะว่ามันเองก็คิดว่ารู้ทุกเรื่องของผม แต่มีเรื่องนี้แหละครับที่ผมไม่เคยบอกมัน ที่ไม่บอกก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ในเมื่อมันเองก็เขม่นปู่อยู่ แถมปู่เองที่เข้าหาผมในค่ายอาสาครั้งนั้นก็เพราะหมั่นไส้ไอ้ต้าร์แถมเข้าใจว่าผมกับไอ้ต้าร์เป็นแฟนกัน เลยอยากจะเข้าหาผมเพื่อแกล้งไอ้ต้าร์ที่ค่ายครั้งนั้นไม่ได้ไปด้วย

“พวกมึงแมร่ง ไอ้เชี่ยปู่เนี่ยกูเข้าใจเพราะแมร่งคงเลวยันดีเอ็นเอ”

“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องชมกูขนาดนี้ก็ได้”ปู่ตอบรับไอ้ต้าร์ที่กำลังอึ้งที่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับปู่

“แต่มึงไอ้ฟ่าง กูไม่คิดว่ามึงจะแรดได้ขนาดนี้ นี่กูนึกมาตลอดเลยนะว่ามึงจะรักษาพรมจรรย์ไว้รอน้องชายสุดที่รักของมึง”ผมสะดุดกับคำพูดนั้นซึ่งพอเห็นอาการผม ทุกคนก็คงรู้สึกได้ โดยเฉพาะไอ้ต้าร์ที่คงพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มไม่อยากให้ทุกคนเสียบรรยากาศเพราะการพูดถึงคนๆ เดียว

“แต่กูว่ากูทำถูกแล้วนะที่แยกระหว่างเซ็กซ์กับ...ความรู้สึกออกจากกัน”ผมจงใจที่จะเลี่ยงคำๆ นั้นคำที่ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้อีกแล้ว แก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันในมือผมถูกยื่นออกไปกระทบกับแก้วของทุกๆ คน ก่อนที่เราจะดื่มรวดเดียวพร้อมๆ กัน


TBC


แวะมาต่อคร๊าบ

ตอนนี้จะเป็นเรื่องราวหลังจากงานแต่ง เกือบๆ จะครบปีแล้ว

ช่วงนี้ก็จะเล่าในส่วนชีวิตของฟ่างขยายเพิ่มไปบ้างว่าจริงๆ แล้วตัวของฟ่างเองใช้ชีวิตยังไง

หรือจะตัดสินใจไปในทิศทางใดต่อ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 17 เซ็กซ์กับความ...ร 19-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-07-2017 22:51:14
ฟ่าง ไม่ลืมโพดได้ง่ายๆ  แม้พยายามลืม

การที่ฟ่างเข้าหาใคร หรือใครเข้าหาฟ่าง ก็ไม่แปลก
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

ปู่ ที่เป็นอริกับตาร์ แม้ผ่านไปนาน ตาร์ก็ยังไม่ลืม
อาจเป็นตาร์คนเดียวที่ไม่ลืม
ปู่ ฟ่างเคยคบกันช่วงเรียนแต่สั้นๆสินะ
ปู่ ฟ่าง มาคุยกันใหม่ เหมือนตาร์ไม่โอด้วย
ตาร์ หวังดี แต่ต้องปล่ยให้ฟ่างคิดเอง ตัดสินใจเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 17 เซ็กซ์กับความ...ร 19-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-07-2017 23:54:40
 :เฮ้อ: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 18 หลอกตัวเอง 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 26-07-2017 12:55:42
บทที่ 18
หลอกตัวเอง


“ดูอะไรอยู่”เสียงคนที่นอนอยู่ข้างๆ งัวเงียถามผม เค้าขยับตัวเลื่อนไปพิงหัวเตียง เอื้อมมือมาดึงให้ผมขยับเข้าไปหา แต่ผมขืนตัวไว้เพราะตามข้อตกลงแม้เราจะมีสัมพันธ์ทางกายกันแต่ผมก็ไม่ได้ต้องการที่จะอิงแอบแนบชิดอะไรกับเค้ามากนัก ระหว่างเรามันก็แค่ความต้องการทางกายไม่ควรจะให้ความรู้สึกอื่นมันเกิดขึ้น

“เปล่า”ผมปฏิเสธทั้งที่ตายังจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่

“รูปเราสองคนนิ ไหนดูซิ”เค้าไม่ได้สนใจการปฏิเสธของผม แถมฉวยโทรศัพท์จากมือของผมไปด้วย ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรจะปิดบังเค้าหรอกนะครับ เพราะเมื่อคืนตอนถ่ายเค้าก็เห็นและรับรู้อยู่แล้วว่าไอ้ต้าร์จะทำอะไร

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ปู่มึงทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยดิ”ไอ้ต้าร์ที่เริ่มจะเมาพอสมควรแล้วแย่งมือถือผมไปแล้วสั่งผมกับปู่ให้หันหน้ามองกันเหมือนไม่รู้ว่ากำลังจะโดนถ่ายรูป ซึ่งปู่ก็ดูรับมุกดีทีเดียว ใบหน้าเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ผมจนจมูกเราจะแตะกันอยู่แล้ว

“พอๆ เอาแต่พอควรหน่อยไอ้ปู่”เป็นไอ้ต้าร์อีกเช่นเดิมที่ยื่นโทรศัพท์มาแทรกกลางตรงหน้าเรา

“ไม่เอาตอนจูบด้วยเหรอมึง”ปู่ยังคงดูสนุกสนานกับเรื่องที่ทำ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ไอ้ต้าร์กำลังจะให้ผมทำ มันเหมือนจะยิ่งตอกย้ำไหมว่าผมยังอยากให้อีกคนสนใจ ไอ้ต้าร์จะทำอะไรนะเหรอครับ มันก็แค่จะบังคับให้ผมเอารูปคู่ระหว่างผมกับปู่ลงโซเชี่ยล ให้ข้าวโพดเห็น

“ลงสิวะไอ้ฟ่าง อย่าลีลา”แม้ผมจะแทบไม่เหลือช่องทางที่ยังติดต่อกับอีกคนได้ แต่คนเมาอย่างไอ้ต้าร์มีหรือจะยอมครับ มันให้ผมอันบล็อคไอจีของข้าวโพด ซึ่งผมเคยบล็อกไว้ตั้งแต่กลับจากงานแต่งพร้อมๆ กับโซเชี่ยลอื่นๆ ไปแล้ว

“ถ้ามึงอยากหลุดพ้นมึงก็ต้องทำให้มันเห็นว่ามึงมีความสุขดี”ความสุขงั้นเหรอ ความสุขที่แกล้งว่ามีมันจะไปสุขได้ยังไงกันละครับ ผมเลือกที่จะไม่ทำตามที่ไอ้ต้าร์บอก แต่แล้วเช้านี้ผมก็เพิ่งได้รู้ว่ามันคงแอบเอามือถือผมไปโพสต์สักตอนที่ผมเผลอแน่ๆ

“A new beginning”เสียงคนที่อยู่บนเตียงกับผม อ่านข้อความอย่างอารมณ์ดี

“เรตติ้งดีเสียด้วยคนกดไลค์เพียบ ว่าแต่ไหนว่าจะไม่โพสต์ไง”เค้าหันมาถามผมอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็ไม่ได้โพสต์ คงไอ้ต้าร์แหละที่โพสต์ เอามาเราจะลบละ”ผมพยายามจะแย่งมือถือคืนเพราะไม่ได้อยากจะลงรูปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทีจริงไม่น่าไปรับฟังคำพูดของไอ้ต้าร์ตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ ผมควรจะหนักแน่นกับการตัดสินที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก

“เฮ้ยไม่ต้องลบหรอก รูปสวยดีเราชอบ”นี่ก็ดูจะเห็นทุกอย่างสนุกไปเสียหมด บางทีผมก็คิดนะครับว่าอยากทำได้อย่างเค้าบ้าง ไม่ต้องสนใจไม่ต้องแคร์อะไร อยากคบใคร อยากไปกับใครก็ไม่ต้องคิดเยอะ

“ไม่กลัวแฟนคลับหายหรือไง”เมื่อเค้าไม่ยอมคืนมือถือให้ผมก็ต้องยกอะไรที่พอจะโน้มน้าวเค้าได้บ้างขึ้นมาช่วย แต่ก็คงจะไม่ได้ผล เพราะเค้าก็ยังคงหัวเราะชอบใจสนุกกับการแสดงความเห็นจากเพื่อนๆ ที่รู้จักเราทั้งคู่

“ไม่เห็นต้องกลัวเลย สนุกจะตายไป ดูนี่ดิเพื่อนเรามีแต่คนเซอร์ไพรส์ ว่าเราสองคนไปคบกันตอนไหน”

“ไม่เอา ลบเหอะ”ผมยังยืนกรานอยากที่จะลบรูปนั้นเสีย

“กลัวคนๆ นั้นเห็นเหรอ”เค้าหันมามองผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เค้าเห็นแล้ว”ชื่อของเค้าที่อยู่ในรายชื่อคนที่กดไลค์แทบจะเป็นชื่อแรกที่ผมมองเห็นเสียด้วยซ้ำตอนเปิดเข้าไปดู

“จริงดิไหนๆ คนไหนเค้ามาไลค์แล้วเหรอ”ปู่ทำเหมือนเป็นเรื่องตื่นเต้น เค้ารู้เรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดไม่มากนักหรอกครับ แค่รับรู้อย่างผิวเผิน แต่ก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องอธิบายรายละเอียดให้เค้าฟัง

“ช่างเหอะ ปู่จะอยากรู้ไปทำไมกัน”แม้ผมจะพยายามตัดบทไม่อยากพูดถึง แต่ปู่ก็ยังไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้ผม

“ก็แค่อยากรู้ว่าคนแบบไหนที่ทำฟ่างเป็นได้ขนาดนี้”นี่อาการผมมันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย ทำไมดูทุกคนจะอะไรมากมายกับเรื่องนี้ของผม ทั้งไอ้ต้าร์ เจ้โอ๋ นี่มาปู่อีก

“รู้ไหมสำหรับเรา เราว่าเราคงไม่รักใครมากกว่าตัวเราเองหรอก”ผมคิดตามสิ่งที่เค้าบอก ซึ่งมันก็ดูเหมาะกับตัวเค้าดีนะครับ แต่ถ้าถามความเห็นผม ผมก็คงไม่เห็นด้วยกับเค้าสักเท่าไหร่

“ก็เพราะคิดแบบนี้ไง ปู่เลยไม่เจอคนที่ใช่สักที”ผมบอกไปอย่างสบายๆ คือไม่ได้ตั้งใจจะไปตัดสินเค้านะครับ ที่ยังไม่คิดจริงจังกับใคร แต่ผมว่าถ้าการที่เราอยากได้ใจจากใคร เราเองก็ควรให้ไปก่อนเช่นกัน

“แล้วไงอ่ะ ต้องทุ่มทั้งใจให้อีกคนเหมือนฟ่างเหรอ สุดท้ายผลลัพท์ของเราสองคนมันก็ไม่ต่างกันนิ”จริงสินะ บางทีทุกอย่างมันก็ไม่ได้อยู่ที่เราฝ่ายเดียว

“ไม่สิ มันต่างกันต่างตรงที่เรามีความสุขดี แต่ฟ่างทุกข์”แม้จะเป็นคำพูดล้อเล่นขำๆ ก็ทำเอาผมสะอึกเหมือนกันนะครับเนี่ย แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าปู่เองจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ไปได้ตลอด วันนึงเค้าเองก็คงต้องมีใครสักคนที่จะเดินไปพร้อมเค้า

“แรงนะเนี่ย น้ำตาจะไหลเลย ใจร้ายวะ”ผมแกล้งทำเป็นเสียอกเสียใจ เพราะไม่อยากดึงบรรยากาศให้เครียดไปมากกว่านี้

“ก็แค่อยากให้คิด ว่าก่อนที่ฟ่างจะรักใครก็ควรรักตัวเองก่อนไง”ผมเงียบไม่พูดอะไรอีก ขืนพูดอะไรไปความเห็นเราสองคนก็คงไม่ตรงกันอยู่ดี สู้เงียบไม่แสดงความเห็นเพิ่มจะดีกว่า

“คนนี้ใช่ไหม”เค้าหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมดู นี่ระหว่างคุยกับผมเค้ายังสามารถเปิดจนเจอว่าอันไหนคือไอจีของข้าวโพดอีกเหรอครับเนี่ย

“ลูกเค้าน่ารักดีเนอะ”เค้าเลื่อนหน้าจอดูรูปในนั้นอย่างสนใจ

“เหรอ”ผมเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากรับรู้สักเท่าไหร่ นี่ก็กะว่าถ้าได้โทรศัพท์คืนผมคงบล็อกทุกอย่างกลับตามเดิม

“แต่ไม่เห็นมีรูปแฟนเค้าเลย แฟนเค้าเป็นฝรั่งเหรอ”คำถามที่ปู่เองก็คงลืมตัวถามออกมา ซึ่งแน่นอนว่าปู่เองไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพดมากนัก และผมเองก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เค้าฟัง

“โทษที ที่จริงเราไม่ควรจะ...”

“ช่างเหอะเราโอเค”ผมโกหกครับแม้ผมจะดีขึ้น แต่ผมก็รู้ดีว่ามันยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ที่ผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

“จริงอ่ะ งั้นถามอะไรหน่อยดิ”ละนี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่โกหกออกไปแบบนั้น นี่ถ้าผมบอกความจริงว่ายังไม่โอเคกับเรื่องนี้เค้าจะหยุดถามผมหรือเปล่านะ

“สมมติถ้าเราไปแต่งงานมีลูกบ้าง ฟ่างจะไปงานแต่งเราไหม”ถ้าเป็นปู่งั้นเหรอ ผมว่าผมแทบจะไปได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำมั้งครับเนี่ย จิตใจคนเรานี่ก็แปลกดีนะครับ แต่มันก็ยังแย่ตรงที่เราบังคับจิตใจตัวเองไม่ได้นี่แหละ

“ก็คงไปแหละ แต่จะไปบอกเจ้าสาวว่าเค้าแย่งแฟนเรา ฮ่าๆ”

“ร้ายนะเนี่ย”เค้าเอื้อมมือมายีหัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว

“แล้วถ้าเราทำแบบนั้นจริงๆ ปู่จะโกรธเราไหม”

“เราว่าฟ่างไม่ทำหรอก เพราะถ้าทำคงทำตั้งแต่งานของคนนี้แล้ว จริงไหม”มันไม่เหมือนกันนี่สิครับงานของข้าวโพดถ้าตามที่เจ้าตัวบอก เจ้าสาวเองอาจจะรู้เรื่องผมอยู่แล้วด้วยซ้ำ

“แต่ถ้างานเรา เราว่าเจ้าสาวเค้าคงเข้าใจแหละ ว่าเราเลือกเค้าแล้ว เรื่องในอดีตเค้าไม่น่าจะแคร์”

“ผู้หญิงเค้าจะรับได้จริงๆ เหรอที่สามีตัวเองเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน”ผมถามอย่างสงสัย เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงทุกคนจะรับเรื่องแบบนี้ได้

“ไม่เห็นจะแปลกเลยโลกทุกวันนี้มันมีทุกรูปแบบแหละ แต่ไม่ต้องรีบคิด เพราะเรายังไม่มีความคิดอยากแต่งงานอยู่ในหัวเลย”นี่สินะครับหนุ่มเจ้าสำราญอย่างแท้จริง แต่หลังๆ ที่ผมกับเค้ามีความสัมพันธ์ทางกายกันแบบนี้ ก็ไม่ค่อยเห็นเค้าไปกับใครเท่าไหร่นะครับ เว้นก็แต่

“แล้วนี่ที่เห็นคุยไลน์ด้วยบ่อยๆ นั่นคนพิเศษเหรอ”จะมีหนึ่งคนที่เห็นเค้าคุยด้วยบ่อยๆ ถึงผมจะไม่ได้สนใจนักยังดูออก แต่ก็คงตอบแทนเค้าไม่ได้ว่าแท้จริงๆ เค้ารู้สึกยังไงกันแน่

“นี่เหรอ”เค้าหันหน้าจองของเค้าเองมาให้ผมดู

“ก็ไม่รู้สิ แค่เป็นคนแรกมั้งที่คุยกันมาเป็นเดือนแล้วแต่ไม่เคยมีอะไรกันเลย”ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง มันเป็นเรื่องแปลกมากเลยสำหรับคนอย่างปู่ที่จะมามีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ อีกอย่างเวลาเค้าคุยกับคนๆ นี้ผมว่าปู่เองก็มีความสุขนะ เพียงแต่ตอนนี้เค้าอาจจะยังไม่รู้ตัว หรือรู้แล้วแต่ยังไม่อยากยอมรับกับตัวเอง

“เซอร์ไพรส์นะเนี่ย งั้นระหว่างเราสองคนควรเลิกทำแบบนี้สินะ”

“ทำไมละ ไม่เห็นเกี่ยวเลย”ผมยกยิ้มมองคนปากแข็ง พอรู้แบบนี้ผมว่าระหว่างผมกับเค้าก็ควรเลิกทำแบบนี้กันเสียทีครับ เผื่อตัวเค้าเองจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง อาจจะรวมถึงตัวผมเองด้วยที่อาจจะต้องยอมรับเสียทีว่าที่ทำอยู่นี่ก็แค่ทำประชดชีวิต

“ปู่คิดดูดีๆ ว่าทำไมปู่ถึงทนคุยกับเค้าอยู่ได้ ทั้งที่ไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยว ทั้งที่ปู่ไม่ใช่คนจะอดทนกับอะไรได้นานขนาดนั้น”เค้านิ่งไปนิดนึงนั่นทำให้ผมแน่ใจแหละครับว่าเค้าก็คงพอจะรู้ตัวบ้างแล้ว

“บ้าไม่มีอะไร ก็แค่คุยเล่นๆ เค้าก็คุยสนุกดีแค่นั้นเอง พอๆ กลับมาคุยเรื่องฟ่างต่อดีกว่า”นั่นไงสุดท้ายก็วกกลับมาที่ผมอีกจนได้

“เฮ้ย”เค้าทำหน้าตกใจเมื่อเปิดหน้าจอโทรศัพท์ผมขึ้นมาอีกครั้ง จนผมต้องรีบแย่งมาดูบ้าง

“อะไร”

“เราไปกดไลค์รูปเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่”ภาพเด็กทารกนอนยิ้มด้วยความไร้เดียงสา เหมือนกำลังทักทายผมที่มองเค้าอยู่ ผมชะงักไปเล็กน้อยกับภาพนั้น แต่มันก็ยังไม่น่าตกใจเท่าชื่อผมไปปรากฏเป็นหนึ่งในคนที่กดถูกใจรูปนั้น และถ้านั่นยังสร้างความตกใจให้ผมไม่พอ ข้อความที่เด้งมาจากอีกคนยิ่งเพิ่มความตกใจให้กับผมมากขึ้นไปอีก

“พี่ฟ่างหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”

“งั้นปีนี้เราก็จะเจอกันที่ภูเก็ตเหมือนทุกปีใช่ไหมครับ”

“นี่อะไร Brokeback Mountain เหรอนัดเจอกันปีละครั้งงี้ ความรักที่ต้องหลบซ่อนงี้”ปู่ที่เห็นข้อความเช่นเดียวกับผม พูดเหมือนเป็นการประชดอยู่ในที

“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วเราก็ไม่ได้จะไปเจอเค้าด้วย”ผมปฏิเสธพร้อมกับกดบล็อคอีกคนอย่างที่ตั้งใจไว้

“ทำไมละ”ปู่ยังคงถามด้วยความสงสัย

“ก็แล้วจะไปให้มันได้อะไร”ถ้าไปไอ้สิ่งที่ผมพยายามมาตลอดมันจะมีค่าอะไร แค่เค้าส่งตั๋วเครื่องบินมา ส่งข้อความมายังมีผลกับความรู้สึกผมขนาดนี้ แล้วการไปเจอมันจะยิ่งไม่มากกว่าเหรอ

“ไปให้เค้าเห็นไงว่าเรามีความสุข”แบบนั้นมันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการหลอกตัวเองสินะ ผมไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่สีหน้าผมก็คงชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เค้ากำลังเสนอ

“ไปให้เห็นว่าเค้าไม่ได้มีอิทธิพลกับเราขนาดนั้น”แม้เค้าจะโน้มน้าวมาขนาดนี้ในใจผมมันก็ยังค้านอยู่ดีว่าผมไม่ควรไป

“เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน”ดูเหมือนปู่จะยังไม่ละความพยายามที่จะให้ผมไป

“คิดดูก่อนแล้วกันนะ”ผมบอกออกไปเพื่อตัดจบบทสนทนา





TBC


ช่วงนี้ก็จะมาห่างๆ หน่อย

ส่วนปู่กะฟ่าง ก็คงไม่พัฒนาไปมากกว่านี้

จริงๆ ตั้งใจใส่ตัวละครปู่มาเพื่อให้ฟ่างได้คิดและเรียนรู้บางอย่าง

ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปในทิศทางดีขึ้นหรือเปล่า

ยังไงก็ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 18 หลอกตัวเอง 26-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-07-2017 13:26:55
ยังไม่เห็นด้วยกับความคิด การกระทำของโพด  :fire: :fire: :fire:

ปู่ ดูจะวุ่นวายกับฟ่าง มากไป
ทั้งที่มีคนถูกใจ คุยประจำอยู่แล้ว
รอตอนต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 19 เปลี่ยนไปแล้ว 03-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-08-2017 17:07:43
บทที่ 19
เปลี่ยนไปแล้ว



5 ปีแล้วสินะที่ผมไม่ได้มาที่นี่เลย 5 ปีแล้วที่ผมตัดขาดกับอีกคนและนั่นทำให้ผมรู้ว่าผมก็อยู่ได้นิ ผมก็อยู่แบบโสดๆ ของผมมา ผมไม่ได้ทำตัวทั่วถึงไปกับใครอีก อาจจะต้องขอบคุณปู่ที่ตอนเราจะหยุดความสัมพันธ์ทางกายกันทั้งเค้าและผมต่างคนก็ต่างช่วยกันให้อีกฝ่ายคิดได้ ว่าเราไม่ควรใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกต่อไป

ส่วนเรื่องข้าวโพดผมอาจจะยังยึดติดว่ายังมีเค้าอยู่ แต่ก็นั่นแหละครับเวลาผ่านไปอะไรๆ มันก็เริ่มจางไปรวมถึงความรู้สึกต่างๆ ที่เคยมี ตอนนี้เค้าก็คงเป็นแค่คนในความทรงจำของผมเท่านั้นเอง

“โอเคแน่นะมึง”ไอ้ต้าร์ถามผมรอบที่ร้อยได้แล้วมั้งครับตั้งแต่มาถึงภูเก็ตนี่ ใช่แล้วครับตอนนี้ผมไอ้ต้าร์ กุ้ง เจ้โอ๋ เราอยู่กันที่ภูเก็ตซึ่งเป็นการมาภูเก็ตในรอบหลายปีของผมเลยทีเดียว

“นี่ไม่ใช่ว่าจงใจอยากมาเจอเค้าใช่ไหม”เจ้โอ๋ก็เป็นไปด้วยอีกคน ดูเหมือนทุกคนจะไม่ค่อยเชื่อว่าผมไม่ได้อะไรกับข้าวโพดแล้ว ต่อให้ต้องเจอกันจริงๆ ผมว่ามันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้วละครับ

“นี่เรามาเที่ยวกันนะครับ มาสนุกกันแค่พวกเราสิ จะสนใจพูดถึงคนอื่นทำไมกันเนี่ย”ผมบอกปัดอย่างไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับทุกคน พร้อมเดินออกมารับลมที่ริมระเบียง

“ถ้าไม่ได้อยากเจอไอ้โพดทำไมมึงถึงชวนพวกกูมาช่วงนี้”ไอ้ฟ่างเดินตามผมออกมาที่ริมระเบียง ทำไมวันนี้ทุกคนดูกังวลกับผมจัง ทั้งที่เรื่องราวทุกอย่างมันก็จบไปตั้งนาน ตลอดช่วงหลายปีมานี่เราก็แทบไม่ได้พูดถึงกันเลย อยู่ๆ พอมาที่นี่ทำไมถึงพากันขุดเรื่องนี้ออกมากันอีกละเนี่ย

“แล้วช่วงอื่นเราว่างกันหลายวันแบบนี้ไหม”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะที่จริงตอนตัดสินใจมาผมก็ไม่นึกถึงเรื่องข้าวโพดสักเท่าไหร่ เค้าอาจจะไม่มาที่นี่อีกเลยก็ได้

“งั้นเรื่องโรงแรม ทำไมต้องพักที่นี่”

“มึงก็รู้นิว่ากูมีความหลังอะไรกับที่นี่”ผมเลือกที่นี่เพราะอยากมารำลึกถึงพ่อกับแม่ นี่ก็หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้มา ที่จริงนอกจากไอ้ต้าร์ที่ถามแบบนี้แล้ว ป้ามั้นกับลุงถาเองถ้าอยู่ก็คงถามผมเช่นกัน โชคดีที่การมาครั้งนี้ของผมไม่ต้องเจอกับทั้งสองท่าน เห็นว่าพากันไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ แล้วตอนนี้คนที่ดูแลทีนี่ก็ลูกชายคนเดียวของป้ามั้นแกแหละครับ ลูกชายที่เมื่อก่อนเห็นแกบ่นนักหนา พอมารอบนี้แกคงหายบ่นแล้วมั้งครับ

“นั่นไง กูถึงบอกว่ามึงยังลืมไอ้โพดมันไม่ได้”ไอ้นี่ก็ตีความไปอะไรของมันก็ไม่รู้ ตกลงคือจะยัดเยียดให้ผมยังรู้สึกกับอีกคนให้ได้สินะ

“โอเคกูไม่ได้ลืมโพด พอใจยัง”ผมหันไปตอบจนไอ้ต้าร์หน้าเปลี่ยนสี ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะอธิบายต่อ

“กูยังรู้สึกว่ามีเค้าอยู่ในชีวิต ซึ่งกูก็รู้เว้ยว่าที่จริงเค้ายังอยู่ แต่มันก็แค่ในความทรงจำ มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตกูในตอนนี้แล้ว”ช่วงแรกๆ ผมเคยคิดนะครับว่าเวลามันจะช่วยอะไรได้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันช่วยได้เยอะทีเดียว

“แล้วทำไมมึงไม่คบใครสักคน”เสียงไอ้ต้าร์อ่อนลง ผมหันไปยิ้มจางๆ ไม่อยากให้การมาเที่ยวครั้งนี้ดึงไปดราม่าอึมครึมอะไรแบบนั้นเลยพูดให้มันเป็นเรื่องตลกแทน

“ใครสักคนแบบปู่อ่ะเหรอ”ผมหัวเราะในลำคอ

“กูพูดดีๆ ไม่ต้องมาประชด”ที่จริงผมก็ไม่ได้ประชดนะครับ ออกจะพูดขำๆ เสียด้วยซ้ำ อีกอย่างถึงปู่จะเคยทำตัวทั่วถึงไม่ต่างจากผม แต่ตอนนี้ดูเหมือนปู่เองจะไปได้ดีกับใครคนนึงแล้ว นี่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยหรือเจอกับเค้าหรอกนะครับ เพราะก็กังวลว่าคนนั้นของเค้าจะคิดมาก ถึงเรื่องในอดีตของผมกับปู่

“ไม่ได้ประชด กูก็แค่อยากอยู่โสดๆ เป็นเพื่อนเจ้โอ๋”ผมย้ำกับไอ้ต้าร์อีกรอบอย่างยิ้มแย้ม ให้มันมั่นใจว่าผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ

“งั้นเรามากินกันเองเลยไหมน้องฟ่าง จะได้จบๆ ไปไม่มีใครยุ่งเรื่องเราโสดกันอีก”เจ้โอ๋เดินตามออกมาสมทบพร้อมจีบปากจีบคอพูด พูดจบก็เข้ามาคล้องแขนเอียงหัวซบไหล่ผมอย่างเนียนๆ ผมเองก็รับมุกเจ้แกด้วยการยกมือขึ้นลูบหัวเจ้แกเบาๆ ครับ

“เจ้แน่ใจเหรอว่าไอ้นี่มันทำเป็น ปกติมันเป็นผู้ถูกกระทำนะเจ้”อ้าวไอ้นี่เจ้แกก็กำลังเคลิ้มมาเบรคอารมณ์พวกผมเสียหัวทิ่ม

“ไอ้เชี่ยต้าร์”ผมกำลังจะง้างเท้าถีบมัน แต่เสียงที่ดังมาจากด้านในทำเอาเราทั้งสามต้องหยุดก่อน

“โฮก..อั้วะ อ้วก”เสียงคนอ้วกแว่วมาจากในห้องน้ำ ซึ่งไม่น่าจะใช่ใคร ในเมื่อเรามากัน 4 คน อยู่ตรงนี้ 3 ก็เหลือแค่กุ้งแล้วแหละครับ ว่าแต่นี่มาเที่ยวแล้วกุ้งจะป่วยหรือไงเนี่ย

แต่แล้วจากความกังวลก็น่าจะต้องเปลี่ยนเป็นความยินดี เพราะกุ้งออกมาจากห้องน้ำพร้อมที่ตรวจครรภ์ คนที่ดีใจที่สุดน่าจะเป็นไอ้ต้าร์ ทั้งสองคนพยายามกันมานานแล้วเหมือนกันแหละครับ แต่กุ้งก็ไม่ท้องสักที เห็นแล้วก็มีความสุขไปกับทั้งคู่นะครับ

“งั้นกูยังไม่ลงไปริมทะเลนะ ขออยู่เป็นเพื่อนเมียก่อน มึงกับเจ้ลงไปกันสองคนละกัน”ไอ้ต้าร์ปฏิเสธการลงไปนั่งริมทะเลตามที่เราได้ตกลงกันไว้ในทีแรก ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะเหมือนกุ้งจะเริ่มมีอาการแพ้ท้องพอสมควร จริงๆ ก็เห็นเริ่มเป็นตั้งแต่ตอนมาแล้วละครับ พวกผมก็เข้าใจไปกันเองว่าเมาเครื่องเมารถอะไรเสียอีก

“เจ้ขอตัวด้วยอีกคนได้ม่ะ เห็นแดดแล้วเจ้ท้อขอนอนตากแอร์เย็นๆ ก่อนดีกว่า”อ้าวเป็นงั้นไป นี่มาทะเลเพื่อนอนอยู่ห้องนี่จะมาทำไมละครับเนี่ยเจ้ ใช่ว่าเจ้จะแพ้ งท้องกับเค้าเสียเมื่อไหร่ ก็ได้แค่บ่นในใจแหละครับจะให้ว่าเจ้ผมก็เกรงใจ สุดท้ายผมเลยต้องแยกตัวออกมาคนเดียว

“ไอ้ตัวแสบหยุดเดี๋ยวนี้”เสียงผู้ชายน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมกำลังวิ่งไล่เด็กชายตัวป้อม ตรงมาหาผมที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ เด็กน้อยที่เหมือนจะวิ่งไม่สนใจคนตาม พุ่งเข้ามาหาผมแล้วเกาะขาผมมุดลอดใต้หว่างขาผมไปด้านหลัง คือนี่มันอะไรกัน แล้วเด็กนี่ไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยหรือไง

“เอ่อขอโทษนะครับคุณ”คนที่วิ่งตามมาหยุดหอบเล็กน้อย บอกผมอย่างเกรงใจแล้วไอ้เด็กอ้วนนี่จะมาพันแข้งพันขาผมทำไมละเนี่ย

“แอชตั้น”น้ำเสียงกดต่ำ พูดกับเด็กอ้วนที่น่าจะเป็นลูกครึ่งเพราะใบหน้าที่มีความเป็นชาวตะวันตกแต่ก็ยังมีส่วนที่ดูออกว่าคล้ายชาวเอเชียอยู่บ้าง อีกอย่างถ้าคนที่วิ่งตามมานี่คือคุณพ่อของเด็กนี่คุณแม่ก็คงเป็นฝรั่งสินะครับเนี่ย

“อังเคิ่ลตี้จายร้าย”ภาษาไทยแปร่งๆ ออกจากปากเด็กอ้วนที่ยังยึดผมเป็นกำบัง แถมคำแทนตัวของผู้ชายตรงหน้าทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่พ่อลูกกัน

“แอชตั้นมาหาอังเคิ่ลตี้ก่อนนะครับ”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษผม แต่ผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอกนะครับ แม้จะไม่ถึงกับว่าเป็นคนเอ็นดูเด็กแต่ก็ไม่ขนาดว่าเกลียดเด็กอะไรแบบนั้น ผมค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งให้อยู่ระดับเดียวกับเจ้าเด็กอ้วน หน้ากลมๆ เริ่มงอเหมือนโดนขัดใจบางอย่าง

“เป็นอะไรครับคนเก่ง”ผมพูดช้าๆ เป็นภาษาไทยนี่แหละครับเพราะคิดว่าเด็กอ้วนนี่น่าจะเข้าใจภาษาไทย

“แอชจะหาน้อง อังเคิ่ลตี้ไม่ให้แอชไปหาน้อง”ผมหันหน้าไปหาอังเคิ่ลของแอชตั้นอย่างขอคำอธิบาย

“คือแกเข้าใจผิดนะครับว่าลูกๆ ผมคลอดแล้ว”ผมขมวดคิ้วไม่ค่อยเข้าใจลุงกับหลานนี่สักเท่าไหร่

“แอชครับ เดี๋ยวรอแดดดี้กลับมาก่อนไหมค่อยถามแดดดี้ว่าจะเจอน้องได้เมื่อไหร่”เจ้าเด็กอ้วนทำปากยื่นครุ่นคิด แล้วนี่เค้ามาเกาะผมไว้แบบนี้คิดว่าผมจะช่วยอะไรเค้าได้ละครับเนี่ย

“อ้าวตี้ ไอ้ตัวแสบก่อเรื่องอะไรอีกละนั่น”เสียงที่เรียกมาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชาร์ปหรือนายแว่นลูกชายของป้ามั้นกับลุงถา เจ้าของโรงแรมนี่แหละครับ ผมกับชาร์ปอายุเท่ากันกับผม เราเคยเจอกันไม่กี่ครั้งหรอกครับ แต่พอเค้ามาเจ้าเด็กอ้วนก็ผละจากผมไปหาเค้าทันที

“หวัดดีชาร์ป”ผมลุกขึ้นทักทาย แต่เหมือนเค้าจะงงๆ หรือเค้าจำผมไม่ได้แล้วหว่า

“ฟ่างเหรอ เป็นไงบ้างหายไปหลายปีเลย ไม่เจอนานเกือบจำไม่ได้เลย”

“สบายดี เสียดายมารอบนี้ไม่เจอคุณลุงคุณป้า”เราทักทายกันสองคนจนอังเคิ่ลตี้ของแอชตั้นมองมาที่เราอย่างสงสัย ผมเลยหันไปมองเค้าเป็นเชิงให้ชาร์ปได้แนะนำผมกับอีกคน

“อ๋อ นี่ปาร์ตี้นะแฟนเราเอง ตี้นี่ก็ข้าวฟ่าง แขกวีไอพีของพ่อกับแม่เค้าละ”เดี๋ยวนะครับผมไปเป็นแขกวีไอพีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วนี่เค้าสองคนเป็นแฟนกัน งงนะครับว่าผมตกข่าวอะไรไปคือเท่าที่เคยจำได้ ชาร์ปเองก็มีแฟนผู้หญิงนี่นา แล้วตอนแรกอังเคิ่ลปาร์ตี้นี่ก็พูดเรื่องลูก ซึ่งฟังดูหมายถึงลูกเค้านี่นา นี่ผมจะอยากรู้เรื่องพวกเค้ามากไปไหมครับเนี่ย

“แล้วตัวอ้วนนี่ลูกใครละเนี่ย”ทั้งสองคนหันสบตากัน จนผมแปลกใจว่าทำไมเค้าทำท่าเหมือนจะลำบากใจในการตอบผมกันละเนี่ย หรือผมคิดมากไป

“ลูกน้องชายเราเองแหละ”

“ชาร์ปเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ”ผมถามด้วยความสงสัยแถมอีกอย่างเด็กนี่ก็ลูกครึ่งเสียด้วยดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเค้าสักเท่าไหร่ นี่ถ้าบอกว่าเป็นหลานคุณปาร์ตี้ผมอาจจะไม่สงสัยอะไรนะครับ ว่าแต่ผมก็เริ่มงงๆ กับตัวเองว่าทำไมต้องมาอยากรู้เรื่องพวกเค้าด้วย

“น้องชายที่เป็นญาติห่างๆ นะ”ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะบอกลาทั้งสามคน ขอตัวไปรับลมทะเลริมหาด นึกขำกับตัวเองเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็ไปสงสัยอยากรู้เรื่องอะไรของพวกเค้า แต่เห็นชาร์ปกับปาร์ตี้แล้วก็อิจฉานิดๆ นะครับ ดูเค้ารักกันดี เห็นแววตาที่เค้ามองกันมันเหมือนคนที่แคร์กันและกันมาก ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าเค้าคบกันมานานหรือยัง แต่ก็คงไม่น้อยแหละนี่ผมเองก็ไม่ได้มาที่นี่ตั้ง 5 ปีแล้วนี่เนอะ

“พี่ฟ่าง”ผมเดินออกมายังไม่ทันจะพ้นทางออกจากโรงแรมเสียด้วยซ้ำ ก็ต้องชะงักเท้าหยุดเจ้าของเสียงยืนห่างจากผมไปไม่ไกลนัก เค้ายืนยิ้มเหมือนทุกครั้งที่เคยเจอ เค้าดูไม่เปลี่ยนไปเลย แล้วผมละทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่พอมาเจอเค้าจังๆ ตรงหน้าแบบนี้ หัวใจผมมันยังเต้นแรงอยู่เลย

“แดดดี้”ยังไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปทักหรือหันหลังกลับ เด็กน้อยตัวอ้วนที่ผมเพิ่งเจอเมื่อครู่ก็วิ่งแซงผมไปหาเค้าด้วยความเร็ว















TBC
------------------------------------------------
ก็มันเรื่องราวของ 2 คนนี้ เรื่องมันก็ต้องวนให้มาเจอกันเนอะ แฮะๆ

ตอนนี้ก็กระโดดมา 5 ปีให้หลังเลย พี่ฟ่างจะไม่รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ
ข้าวโพดเป็นยังไงมาบ้าง แอชตั้นลูกใคร ก็จะค่อยๆ เล่าออกมาแล้วกันนะครับ

ส่วน ชาร์ปxปาร์ตี้ คู่นี้แต่งจบไปนานแล้ว ใครสนใจก็ลองอ่านดูนะครับ เรื่อง ผิดที่ใคร right or wrong เรื่องนี้ครึ่งหลังจะค่อนข้างหน่วงหน่อย (แอบขายของ ^_^)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0



ส่วน "ปู่" ตัวประกอบนั้นจริงๆ มีแพลนจะแต่งเรื่องยาวให้ ปู่อยู่เหมือนกัน ยังไงรอคู่นี้จบก่อนคงได้เห็น

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามช่วงนี้อาจจะอัพไม่ค่อยถี่ก็อยู่รอเป็นกำลังใจกันด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 19 เปลี่ยนไปแล้ว 03-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-08-2017 17:43:02
เจอกันและ
ข้าวโพด ข้าวฟ่าง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

แม้ห่างกันห้าปี ฟ่างยังใจเต้นกับโพด
เข้าใจกันได้แล้ว

ชาร์ป ตี้ โผล่มาเข้าฉากด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 19 เปลี่ยนไปแล้ว 03-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-08-2017 21:44:59
 :L2: :L1: :pig4:

ขอบคุณที่มาต่อนะ
รอ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 19 เปลี่ยนไปแล้ว 03-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-10-2017 15:47:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 20 คิดถึง 26-11-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 26-11-2017 22:41:20
บทที่ 20
คิดถึง




ผมมองภาพของคนที่ผมเคยรัก น้องชายที่ระหว่างผมกับเค้ามีเรื่องราวมากมายเหลือเกินเกิดขึ้นมา ในวันนี้ผมเคยคิดว่าผมสามารถเจอเค้าได้อย่างสนิทใจและไม่รู้สึกอะไรแล้ว ใช่ครับผมรู้ว่าถ้ามาที่นี่ผมอาจจะเจอเค้า ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เป็นไรเมื่อต้องเผชิญหน้าเค้า

แต่พอเจอจริงๆ ผมอาจจะยังไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้ 100% แต่มันก็เกือบแหละครับ แม้จะยังมีใจสั่นๆ อยู่บ้าง แต่เวลาที่ผ่านมามันก็เยียวยาผม จนไม่ใช่คนอ่อนแอคนเดิมอีกแล้ว ชีวิตเราทั้งคู่ต่างต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าจะให้รู้สึกกับเค้าในตอนนี้ผมก็คงมีให้แค่คำว่าพี่น้องเท่านั้นแหละครับ

“ไปอยู่กับอังเคิ่ลตี้ก่อนนะครับ ขอแดดดี้คุยกับ อังเคิ่ลฟ่างก่อนแล้วจะตามไปนะครับ”เจ้าเด็กตัวอ้วนหันมามองผม ที่เหมือนจะมาแย่งเวลาของแดดดี้เขาไป

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ แอชอยู่ด้วยได้ไหมฮ่ะ”แม้ผมจะเป็นคนที่ไม่ถูกกับเด็กสักเท่าไหร่ แต่เจ้าเด็กอ้วนนี่ก็ดูน่าเอ็นดูเสียจนผมเกลียดไม่ลง มือป้อมๆ ของเค้าดึงกางเกงผมพร้อมมองด้วยสายตาอ้อนวอน

“โพดดูแลลูกก่อนก็ได้ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเนอะ”ผมหันไปบอกกับเค้า พร้อมลูบหัวเจ้าเด็กอ้วนที่ยังเกาะกางเกงผมไม่ปล่อยอย่างนึกเอ็นดู ว่าแต่เค้าออกมาหน้าตามีความเป็นตะวันตกผสมอยู่ชัดขนาดนี้ เด็กนี่จะไม่สงสัยเลยเหรอว่าทำไมพ่อกับแม่ของตัวเองเป็นคนเอเชียทั้งคู่แบบนี้

“แอชมาหาแดดดี้มา”เค้าเรียกลูกชายตัวป้อมที่ก็ยิ้มจนตาหยีเมื่อคนเป็นพ่อเรียก ผมหันไปยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะหันหลังเดินแยกออกมา

“พี่ฟ่างครับ”เสียงตะโกนเรียกทำให้ผมต้องหยุดเดินและหันกลับไปมอง เค้ามองมาที่ผมอย่างเว้าวอน จนผมต้องหลบสายตานั้น

“อย่าเพิ่งไปไหนไกลนะครับ รอผมก่อน”เค้าตะโกนมาอีกครั้ง พร้อมกับที่เด็กชายตัวอ้วนที่โบกมือป้อมๆ นั่นมาที่ผม ก่อนที่มือป้อมๆ นั่นจะเอาไปแตะปากตัวเองแล้วทำเป็นการส่งจูบให้ผม ผมยิ้มขำกับท่าทางนั้น นี่ใครสอนให้เจ้าเด็กอ้วนนี่ทำแบบนี้กัน

“อือ”แม้ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงตกปากรับคำไปแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วผมก็เดินเล่นริมชายหาดใกล้ๆ กับโรงแรมนี่ไม่ได้ออกไปไหนไกล จนมาหยุดอยู่ที่มุมนึง มุมที่ผมคุ้นเคย มันคือจุดที่ผมกับเค้ามักจะมาปล่อยโคมกันตรงนี้ ผมเลือกที่จะนั่งลง ทอดสายตาออกไปยังท้องทะเลกว้าง คิดทบทวนหลายๆ เรื่องที่เคยผ่านเข้ามา

วันนี้ที่ตัวผมเองคิดว่าเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่ความจริงผมก็อาจจะแค่ยังเป็นคนเดิม ที่หลอกตัวเองว่าเข้มแข็งแล้ว ทว่าอย่างน้อยๆ ผมก็รักตัวเองมากขึ้นไม่ทำอะไรที่มันลดค่าของตัวเอง ดวงตะวันเริ่มบ่ายคล้อย แสงแดดเริ่มอ่อนลง และผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เงาของใครบางคนทอดมาทาบทับตรงที่ผมนั่งอยู่ ก่อนที่เจ้าของเงานั้นจะค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“สบายดีไหมครับ”น้ำเสียงที่ผมเคยคุ้นเคยเอ่ยขึ้น ผมไม่ได้หันไปมองเค้า แต่ยังคงทอดสายตาออกไปในท้องทะเลเช่นเดิม

“ก็ดี เรื่อยๆ วนไปมากับการทำงาน พักผ่อน สังสรรค์บ้าง”ผมตอบให้ดูปกติที่สุด แม้ในใจลึกๆ จะยังรู้สึกหวิวๆ ที่ต้องมานั่งคุยกับเค้าอีกครั้งแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าการมาที่นี่อาจจะเจอเค้า หรือเอาให้ชัดอาจเป็นผมเองก็ได้ที่อยากเจอเค้า

“ขอโทษนะครับ สำหรับ...ทุกอย่าง”แม้ไม่ได้หันไปมอง แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าเค้ากำลังจ้องมาที่ผม

“มันผ่านไปแล้ว เรื่องเก่าอย่าพูดถึงมันอีกเลย”ถึงจะบอกออกไปแบบนั้น แต่ความจริงเรื่องทั้งหมดมันอาจจะยังคาใจผมอยู่ก็เป็นได้ 

“แสดงว่าพี่ฟ่างหายโกรธแล้วก็ยกโทษให้โพดแล้ว”ผมค่อยๆ หันหน้ามามองเค้า เค้าที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว หลายปีที่ไม่ได้เจอกันเค้าดูไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ อาจจะเปลี่ยนไปตามวัยบ้างเล็กน้อย

“พี่บอกแล้วไง ว่าไม่เคยโกรธหรือเกลียดน้องชายคนนี้ของพี่”ผมส่งยิ้มจางๆ ให้กับเค้า มันเป็นยิ้มที่พี่ชายคนนึงจะมีให้กับน้องชายคนนึง ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่านั้น

“นี่ขนาดไม่โกรธ ไม่เกลียดยังไม่ยอมมาเจอกันตั้งหลายปี ถ้าผมโดนเกลียดนี่ชาตินี้คงไม่เจอพี่ฟ่างอีกแน่เลย”เค้าพูดติดตลก

“ไม่โกรธแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไรนิ ถึงจะไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่พี่ก็มีแผล แล้วแผลนั้นมันก็ต้องใช้เวลาในการรักษา”ผมบอกออกไปตามตรง สีหน้าเค้าดูสลดลงหลังจากได้ฟังในสิ่งที่ผมพูด สัมผัสที่มือของผมทำให้ต้องเบนสายตามอง ตอนนี้มือของเค้าวางทับลงมาที่มือของผม

“ผมนี่มันแย่มากเลยใช่ไหมครับ ที่ทำอะไรโง่ๆ ลงไปแบบนั้น”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับค่อยๆ ดึงมือออกแต่โดนเค้าดึงไว้ไม่ยอมปล่อย

“เรากลับมาเริ่มต้นใหม่ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ”ผมค่อยๆ พยายามแกะมือเค้าออกจนสำเร็จ โดยที่ใบหน้ายังคงยิ้มให้เค้าแต่มันก็แค่ยิ้มที่พี่ชายคนนึง พึงจะมีให้กับน้องชาย ระหว่างเราสองคนมันคงเลยจุดที่จะเป็นอย่างอื่นไปเรียบร้อยแล้ว

“เหมือนเดิมนี่คือจุดไหนละโพด”ผมเหม่อมองออกไปในทะเล ทอดสายตาไปอย่างไม่มีจุดหมายสมองคิดในสิ่งที่กำลังจะพูดกับเค้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผมที่กว่าจะตัดสินใจมาที่นี่อีกครั้ง และมันก็คงไม่ง่ายที่จะให้เป็นเหมือนเดิม

“เหมือนเดิมของพี่ กับเหมือนเดิมของโพดมันคือจุดเดียวกันหรือเปล่า”

“…”

“ตอนนี้พี่ว่าคนที่โพดต้องทุ่มเทให้ น่าจะเป็นเจ้าตัวเล็กนั่นนะ”ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเค้ากับผึ้งมันจบยังไง แต่ถ้าให้เดา การที่เค้ามาพูดกับผมทำนองนี้ ระหว่างเค้าสองคนมันก็คงจบลงแล้ว

แล้วถ้ามันจบลง มันจะมีผลอะไรกับผมเหรอครับ ผมว่ามันก็คงไม่มี สิ่งที่มีได้ในตอนนี้ระหว่างเราสองคนก็คงเป็นแค่พี่น้อง พี่น้องที่มันควรเป็นแค่นั้นมาตั้งนาน

“จริงๆ แม้ผมจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเค้า ผมก็เลี้ยงเค้ามาด้วยความรัก และนั่นมันก็คือความรักในแบบพ่อลูก แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกกับพี่คือความรักในแบบคนรัก”นี่ทำไมดูคิดอะไรไปไกลขนาดนั้น แค่ผมกับเค้ามาเจอกัน มันไม่ได้หมายความว่าเราสองคนจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรอีกเสียหน่อย

“เราสองคนเป็นพี่น้องกัน”ผมตอบโดยใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

“พี่น้องที่เราสองคนต่างก็รู้นิครับ ว่าระหว่างเรามันเกินเลยไปไกลกว่านั้นแล้ว”

“งั้นเราก็ควรทำให้มันถูกต้อง”ผมหันออกไปมองท้องทะเล นึกเล่นๆ ว่าถ้าวันนี้พ่อแม่เรายังอยู่ เราทั้งคู่จะเป็นยังไง เราจะมาถึงจุดๆ นี้หรือเปล่า หรือถ้าพ่อแม่เรารับรู้ว่าระหว่างผมกับเค้าเคยเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่พวกเราจะมีความเห็นกับเรื่องนี้ยังไง

“แล้วความรักที่เรามีให้กันมันผิดเหรอครับ”

“หึ”ผมส่งเสียงในลำคอ เค้ากล้าถามคำถามนี้กับผมได้ยังไงกัน เรื่องระหว่างผมกับเค้าที่เป็นอยู่นี่มันดูเป็นเรื่องราวดีๆ อย่างนั้นหรือ

“ผิดไหมงั้นเหรอ…”

“…”

“รู้ไหม พี่ว่ามันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาคุยกันเรื่องนี้”

“แล้วที่พี่ฟ่างยอมกลับมาเจอผมนี่ละครับ”น้ำเสียงเค้าดูอ่อนลง แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมองว่าตอนนี้เค้ามีสีหน้าท่าทางเช่นไร

“อย่าเข้าใจผิดไป พี่ไม่ได้มาเจอโพด”ผมไม่ได้โกหก เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองเสมอ ว่าผมไม่ได้ยากมาเจอเค้า

“แล้วพี่ฟ่างมาทำไมละครับ”

“พี่ก็แค่คิดถึง…”

“…”

“คิดถึง…พ่อกับแม่”คิดถึงทุกๆ คน คิดถึงที่นี่คิดถึงความทรงจำทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ใช่แล้วสินะ ผมก็แค่หลอกตัวเองว่าผมไม่ได้คิดถึงเค้า ผมลืมทุกอย่างได้ เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่ความเป็นจริงทุกอย่างมันยังชัดในความทรงจำของผม แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อระหว่างผมกับเค้า มันคงไปไกลมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“แต่ผมคิดถึงพี่ฟ่างนะครับ”

“…”ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เราต่างนั่งเงียบกันอยู่สักพักเหมือนต่างฝ่ายต่างปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความคิด เสียงคลื่นดังเป็นระลอกแทนการพูดคุยของเรา

“พี่ไปก่อนนะ ป่านนี้เพื่อนคงรอแล้ว”เป็นผมที่ยอมแพ้ และจะเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อน

“เดี๋ยวครับพี่ฟ่าง”

“…”

“เราจะเจอกันอีกใช่ไหมครับ”

“พี่ก็ยังอยู่ที่เดิม”มันอาจเป็นคำตอบปลายเปิด แต่ก็นั่นแหละครับ ผมรู้ว่าจะเจอเค้าได้ที่ไหน และตัวเค้าเองก็รู้อยู่แล้วว่าจริงๆ จะหาผมได้ที่ไหน

ผมเดินหันหลังให้กับเค้า ก่อนจะค่อยๆ เดินห่างออกมา ดีแล้วแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว จากนี้ไปเราก็จะเป็นแค่พี่น้องที่ต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิต นานๆ ถึงอาจจะได้มาเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว นั่นแหละคือสิ่งที่มันควรจะเป็นมาตั้งนานแล้ว

“ไปเจอไอ้โพดมาใช่ไหม”ทันทีที่ผมกลับเข้ามาถึงห้องพัก ไอ้ต้าร์ที่เหมือนจะดักรอผมอยู่แล้วก็เข้ามาถามผม

“อือ”

“อยากคุยไหม”

“ก็ดี”ผมไม่ปฏิเสธ เพราะเหมือนกำลังไม่แน่ใจในตัวเอง ว่าจะเข้มแข็งเหมือนที่พยายามเป็นอยู่นี่ ให้เป็นต่อไปได้หรือเปล่า

ไอ้หยิบซองบุหรี่ส่งสัญญาน ให้ผมเดินตามออกไปที่ระเบียง เรายังไม่ได้เริ่มบทสนทนากันในทันที ไอ้ต้าร์เหมือนรอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มเล่า แต่ผมก็เพียงหยิบบุหรี่จากมือมันมาจุดขึ้นแล้วสูบเข้าเต็มปอด

“จะมีลูกแล้ว คิดจะเลิกบุหรี่บ้างไหม”ผมเริ่มบทสนทนาที่เรียกว่าเหมือนพยายามเลี่ยงเรื่องที่จะคุยเอาไว้ก่อน

“คงต้องเลิกให้ได้ก่อนที่เค้าจะเกิดมาแหละ นี่คงเป็นอย่างแรกที่กูจะได้ทำเพื่อเค้า”

“รู้สึกยังไงบ้างวะที่กำลังจะมีลูก”

“ก็ไม่ค่อยชินหรอก แต่ว่าเค้าก็ทำให้กูได้รู้จักกับคำว่ารักตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า”

“มันขนาดนั้นเลย”ผมถามกลับไปอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่

“จำไม่ได้เหรอว่ามึงเองก็เคยมีความรู้สึกนั้นมาก่อน”

“กูไปเคยมีลูกมาตอนไหนกันเล่า มึงก็พูดเล่นไป”ผมส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไอ้ต้าร์กลับมีสีหน้าที่จริงจังจนผมเริ่มจะแปลกใจ

“กูไม่ได้หมายถึงลูก กูหมายถึงไอ้โพด”ผมนิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน ที่จริงทุกคนเลี่ยงการพูดถึงข้าวโพดมานานมากแล้ว แต่มาวันนี้อยู่ๆ กลับมาสะกิดความทรงจำต่างๆ ของผมอีกครั้ง ผมพ่นควันบุหรี่ออกไปเพื่อระบายความรู้สึกตึงเครียดที่กำลังเกิดขึ้น




“ไม่จริงพี่ฟ่างรักโพด”ภาพในวัยเด็กที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วผุดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพผมในวัยยังไม่ถึง 6 ขวบด้วยซ้ำ กับอีกคนที่เพิ่งจะ 3-4 ขวบ

“เด็กดื้ออย่างโพดพี่ไม่รักแล้ว”คำพูดที่ผมมักจะขู่อีกฝ่ายเวลาทะเลาะกัน หรือเริ่มมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่คำขู่ของผมมักจะใช้ไม่ได้ผล เพราะอีกคนไม่เชื่อคำพูดของผมเลย นั่นเพราะเค้ามีความเชื่อที่เหมือนถูกฝังชิปเอาไว้แล้ว

“พี่ฟ่างรักโพด แม่บอกว่าพี่ฟ่างรักโพดตั้งแต่โพดอยู่ในท้องแม่แล้ว พี่ฟ่างรักโพด พี่ฟ่างรักโพด”นั่นแหละครับ สิ่งที่ทำให้เค้าเชื่อมั่นแบบนั้นมาตลอด ทั้งที่ความจริงมันเป็นสิ่งที่ผมเองยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

แต่ว่าแม่เปิ้ล หรือแม่ของข้าวโพดเล่าให้พวกเราฟังเสมอว่าตอนแม่เปิ้ลท้อง ใกล้คลอดข้าวโพด ตอนนั้นผมเองเพิ่งประมาณเกือบจะ 2 ขวบ มักจะมาขอแม่เปิ้ลฟังเสียงน้อง คุยกับน้องทั้งที่ตัวเองยังพูดไม่เป็นประโยคด้วยซ้ำ

“ยัก…น้อง”





คำพูดหยอกของแม่เปิ้ลที่มักเอามาไว้ล้อผมเมื่อตอนเด็กๆ เวลาโกรธกับข้าวโพด และมันก็เป็นประโยคที่ผมยอมใจอ่อน หายโกรธน้องเสียทุกครั้งไป แต่ในตอนนี้ คำนั้นมันยังจะใช้กับความรู้สึกของผมได้อีกหรือเปล่า ผมแหงนหน้าขึ้นเพื่อพยายามไม่ให้น้ำตาที่กำลังปริ่มๆ อยู่ไหลออกมา

“ท้ายที่สุดมึงก็เลิกรักไอ้โพดมันไม่ได้ เหมือนที่โพดมันเคยเล่าสินะ”เสียงของไอ้ต้าร์เปล่งออกมาพร้อมๆ กับฝ่ามือที่ตบลงบนบ่าของผมอย่างให้กำลังใจ

“มันก็แค่ความรักที่พี่ชาย ควรจะมีให้น้องชายแค่นั้นแหละ”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว

“มึงลองทบทวนดูดีๆ ว่ามึงทำอย่างที่เพิ่งพูดออกมาได้หรือเปล่า หรือที่ผ่านมาหลายปีเนี่ยมึงมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า หรือวันนี้ ที่นี่มึงมาเพราะอะไรกันแน่ มึงตอบตัวเองให้ได้”

“กูก็แค่…”

“…”

“แค่คิดถึง…กูคิดถึงเค้า”ท้ายที่สุดผมก็ยอมรับออกมา พร้อมกับน้ำใสๆ ที่ไหลออกมาเมื่อผมไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก




TBC



หายไปนานเหลือเกิน

ไม่รู้ยังมีใครรออ่านอยู่บ้างหรือเปล่า

ถ้าใครยังอยู่ก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคร๊าบบบ

จากนี้คงได้มาอัพบ่อยๆ แล้ว เพราะช่วงนี้จะทุ่มให้เรื่องนี้เป็นหลักแล้ว

 o13
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 20 คิดถึง 26-11-17
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-11-2017 11:24:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 20 คิดถึง 26-11-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 16-12-2017 11:27:22
บทที่ 21
สายเกินไป




“กูคงอ่อนแอเกินไป”ผมบอกกับเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนี้เราก็ยังยืนอยู่ที่ระเบียงเช่นเดิม บุหรี่ที่หยิบออกมาด้วยในตอนแรก ถูกสูบไปจนหมดเรียบร้อย

“กูอยากจะแนะนำมึงนะ แต่กูรู้ว่าแนะนำไปมันก็คงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด กูเลยคิดว่าให้มึงตัดสินใจเองจะดีกว่า มึงเอาให้แน่ว่ามึงต้องการแค่นี้จริงๆ หรือเปล่า แค่พอคิดถึงก็มาเจอ เจอแล้วก็แยกย้ายกันไปต่างคนต่างใช้ชีวิต แบบนี้มึงโอเคจริงๆ หรือเปล่า ส่วนทางที่มึงพยายามตัดไอ้โพดมันออกจากชีวิต มึงก็เห็นแล้วว่ามันเป็นยังไง”

“นี่ขนาดจะไม่แนะนำ มึงยังร่ายยาวมาขนาดนี้”ผมแหย่กลับไป อย่างไม่จริงจังนัก

“กำลังจะซึ้งมึงก็รีบขัดกูจัง”

“เป็นเพื่อนกันมานานไม่ยักรู้ว่ามึงซึ้งก็เป็น”

“แหม กูก็พอจะมีส่วนดีบ้างแหละ ไม่งั้นมึงไม่เป็นเพื่อนกูมานานขนาดนี้หรอก”

“…”

“อีกอย่างนะที่กูอยากบอก คือไม่ว่ามึงจะเลือกเดินไปทางไหน หรือทำยังไงกับชีวิตต่อจากนี้ ขออย่างเดียว”

“…”

“ขอแค่มึงอย่าเลือกที่จะทำร้ายตัวเอง”

ที่ผ่านมานี่สิ่งที่ผมทำ มันคือการทำร้ายตัวเองหรือเปล่า ถามว่าทุกคนก็คงอยากจะมีความสุขกันทั้งนั้นแหละครับ แต่ทุกอย่างมันก็คงไม่เป็นอย่างใจเราทุกอย่างหรอกจริงไหมครับ

“เจ้ร่วมวงด้วยได้หรือยังเนี่ย”เจ้โอ๋ตามออกมาสมทบกับผมและไอ้ต้าร์ที่ริมระเบียง ที่จริงแกก็คงหาจังหวะแทรกมานานแล้วละครับ แต่คงเว้นช่วงให้ผมคุยกับไอ้ต้าร์จบเสียก่อน

“ใครจะห้ามเจ้ได้ละครับ”เป็นไอ้ต้าร์ที่ตอบเจ้โอ๋

“ยังโหมดเศร้าอยู่ไหม เจ้จะได้ทำตัวถูก”สุดท้ายผมก็ยังทำตัวให้ทุกคนต้องเป็นห่วงเหมือนเดิมสินะ

“มาเที่ยวก็ต้องสนุกสิครับเจ้ เศร้าทำไมเยอะแยะ”ผมรีบบอกเจ้โอ๋ที่เหมือนเตรียมจะมาปลอบผมอีกคน ผมไม่อยากให้งานมันกร่อยไปมากกว่านี้เพราะนี่มันทริปส่งท้ายปีเก่าของเราทั้งที แถมกุ้งกับไอ้ต้าร์ก็จะมีตัวเล็กแล้ว ทุกอย่างมันควรเป็นความสุขความยินดี

“งั้นวันนี้ขี้เกียจออกไปข้างนอกแล้ว กุ้งเองก็อาการยังไม่ค่อยดี เราสั่งรูมเซอร์วิซมาปาร์ตี้ที่นี่กันเลยดีไหม”เหมือนจะขอความเห็นจากผมและไอ้ต้าร์ แต่ความจริงเจ้โอ๋เหมือนเป็นการแจ้งให้พวกผมทราบเสียมากกว่า ผมกับไอ้ต้าร์ก็ได้แต่เออออไปกับเจ้แกแหละครับ ส่วนเรื่องของผมก็คงต้องพักมันเอาไว้ก่อน

อาหาร เครื่องดื่ม ถูกทยอยมาส่งตามที่เจ้โอ๋ออร์เดอร์ไป บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้น เพราะเสียงเพลงที่ไอ้ต้าร์เปิดขึ้นเพื่อเพิ่มบรรยากาศ แต่ก็ไม่ได้เปิดเสียงดังจนรบกวนคนอื่นหรอกนะครับ พวกผมเองก็มีกันอยู่แค่ 4 คนแค่นี้จะให้ครึกครื้นมากก็คงไม่ได้

“อยากได้ลูกสาวหรือลูกชายกันละ”เมื่ออาหารพร่องไปเกือบหมด และแอลกอฮอล์เริ่มส่งผลให้มีอาการมึนๆ ก็จะเข้าสู่ช่วงพูดคุยและบทสนทนาที่น่าสนใจที่สุดของพวกเราคืนนี้ก็น่าจะหนีไม่พ้นเรื่องของว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ โชคดีที่มีประเด็นนี้เข้ามา เพราะไม่งั้นผมว่าประเด็นของผมน่าจะถูกขุดมาเป็นหัวข้อสนทนาแน่นอน

“จริงๆ ก็ได้หมดนะเจ้ แต่คนแรกผมว่าลูกสาวก็ดี กุ้งน่าจะชอบเด็กผู้หญิง”

“ดีๆ ถ้าเป็นลูกสาวนะเจ้จองเลย จะเทรนให้เปรี้ยว เข็ดฟันเลย”

“โหเจ้ นี่ลูกผมยังไม่เกิดเจ้จะวางแผนให้ลูกผมแรดแล้วเหรอ”

“อ้าวอิต้าร์ ผู้หญิงทุกวันนี้จะมัวมาสนิมสร้อย มันไม่ใช่แล้วย่ะ”

“แล้วถ้าเกิดผมได้ลูกชาย”

“ก็คงต้องสอนให้เป็นสุภาพบุรุษมากกว่าพ่อมันหน่อย”

“กริ๊งๆๆ”เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นขัดจังหวะ บทสนทนาที่กำลังออกรสของเจ้โอ๋กับไอ้ต้าร์ ผมเองที่เป็นผู้ฟังเลยต้องกลายเป็นคนเดินไปรับสายนั้น ส่วนกุ้งตอนนี้ขอแยกไปพักผ่อนเรียบร้อย ก็เหลือพวกผม 3 คนนี่แหละครับ ที่คาดว่าคืนนี้คงจะอีกยาว

“สวัสดีครับคุณลูกค้า พอดีจะแจ้งให้ทราบว่าอีก 30 นาทีครัวเราจะปิดแล้ว ทางลูกค้าจะสั่งอาหารอะไรเพิ่มเติมไหมครับ”นี่เห็นพวกผมสั่งกันไม่จบไม่สิ้นหรือไง ถึงต้องโทรมาแจ้งขนาดนี้ ผมหันไปถามความเห็นจากอีกสองคนที่เหลือ แต่คำตอบที่ได้นี่มันช่าง…

“อาหารไม่ต้อง เพิ่มแค่ไวน์อีกสอง”นั่นแหละครับ

ผมออเดอร์ไปตามที่อีกสองคนบอก ทั้งที่ความจริง เราทั้งสามคนก็เริ่มตึงๆ กันมากแล้วแหละครับ แค่ก็ช่างเถอะยังไงเมาก็แค่นอน เมาก็คงแค่ฟุบกันคาห้องเนี่ยแหละครับ ไม่นานนักเสียงกริ่งหน้าห้องของพวกผมก็ดังขึ้น

“ขอ…ขอบคุณ”น้ำเสียงผมชะงักไปเมื่อเปิดประตูแล้วพบว่าใครเป็นคนที่นำไวน์มาส่ง

“ดื่มกันไปเยอะแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมยังสั่งเพิ่มอีก”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงเหมือนจะตำหนิอยู่ในที ว่าแต่นี่เค้าสนิทสนมกับชาร์ปที่ดูแลที่นี่ขนาดนี้เลยเหรอ ถึงได้เข้ามาแทรกแซงในการสั่งอาหารเครื่องดื่มของพวกผมได้ขนาดนี้

“เรื่องของพวกพี่น่า แล้วนี่เป็นพนักงานที่นี่หรือไงถึงเอามาเสิร์ฟเนี่ย”ผมเอื้อมมือไปรับขวดไวน์ อย่างพยายามคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการแปลกๆ ออกไปมากนัก เพราะตอนนี้ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็เมาอยู่ไม่น้อย แล้วคนเมามักจะทำอะไรที่ตอนเวลาปกติไม่กล้าทำ หรือบางครั้งก็ควบคุมความต้องการส่วนลึกของตัวเองไว้ไม่ได้

“ผมเข้าไปได้ไหม”เหมือนเป็นการขออนุญาต และมือของเค้าก็ยังยื้อขวดไวน์เอาไว้ไม่ปล่อยมาให้ผม

“น้องฟ่าง ตกลงใช่พนักงานมาเสิร์ฟไวน์หรือเปล่า ทำไมนานจัง เร็วๆ หน่อยเจ้ไม่อยากขาดตอน”เสียงที่เรียกไล่หลังมา ทำให้ผมต้องรีบตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับคำขอของคนตรงหน้า แต่เหมือนผมจะคิดนานเกินไป เลยกลายเป็นว่าอีกคนถือวิสาสะดันผมเข้ามาในห้อง เดินถือไวน์นำหน้าผมเข้าไปถึงไอ้ต้าร์กับเจ้โอ๋ก่อนผมเสียอีก

“โอ้วมายก๊อด”

“นี่มันบ้าอะไรกัน”

ทั้งเจ้โอ๋ ทั้งไอ้ต้าร์ หลุดกันออกมาคนละประโยค พร้อมจ้องมองที่ผมกับข้าวโพดสลับกันไปมา ผมเองก็กำลังมึนๆ งงๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า

“ไอ้โพด ไอ้คนเลว เอาไวน์กูมาเลย”ไอ้ต้าร์ตรงเข้าไปแย่งไวน์จากมือข้าวโพด

“บ้า น้องเค้าไม่ได้เลวหรอก น้องเค้าแค่ใจร้าย ใจร้ายมากๆ ด้วย”ทั้งเจ้โอ๋ ทั้งไอ้ต้าร์ต่างมองข้าวโพดด้วยสายตาที่ไม่พอใจ

“ผมคงไม่มีคำแก้ตัว แต่ตอนนี้ขอยืมตัวพี่ชายของผมหน่อยนะครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำความเข้าใจกับคำพูดของเค้า ข้อมือผมก็ถูกคว้าแล้วลากออกจากห้อง

“จะทำอะไรเนี่ย”ผมพยายามขืนตัวเองไว้ แต่ก็สู้แรงเค้าไม่ได้มากนัก

“เดี๋ยวไอ้โพด”ไอ้ต้าร์ที่ตามออกมา ส่งเสียงเรียกจนทั้งผมและอีกคนต้องหยุดหันไปมอง

“ผมแค่จะพาพี่ฟ่างไปเดินเล่นครับ”

“ตอนนี้เนี่ยนะ”

“ครับ”

“มีเหตุผลดีๆ ที่กูไม่ควรห้ามมึงไหม”

“ต้าร์ กูโอเค”เป็นผมเองที่ตัดสินใจ เพราะก็อยากรู้เหมือนกันว่าเค้าจะทำอะไร หรือต้องการอะไรถึงจะมาลากผมออกจากห้องกลางดึกขนาดนี้ ผมบอกกับไอ้ต้าร์และเจ้โอ๋ว่า จะกลับมาก่อนไวน์หมดแน่นอน ก่อนจะเดินตามอีกคน เงียบๆ เค้าเดินนำผมจนถึงริมชายหาด ลมทะเลพัดมาปะทะจนผมต้องยกแขนขึ้นกอดอก ด้วยรู้สึกว่าอากาศมันเริ่มเย็นเพราะดึกแล้ว

“พี่ฟ่างยังดื่มหนักเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“…”

“ลดลงบ้างก็ดีนะครับ ผมเป็นห่วง”

“สรุปที่ลากพี่ออกมานี่คือเพราะไม่อยากให้ดื่มต่อเหรอ”

“ก็ส่วนนึงครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”เขาเดินไปหยุดตรงเนินทรายก่อนจะค่อยๆ นั่งลงและตบมือเบาๆ เป็นเชิงเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ ไม่รู้เพราะผมเองเมาแล้วหรือเปล่า แต่ผมกลับเลือกที่จะเดินไปตามที่เค้าเชิญชวน ตอนนี้ค่อนข้างดึกมากแล้วทำให้ตรงจุดนี้คงมีแค่เราสองคน

“ขยับมาอีกหน่อยสิครับ”ครั้งนี้ผมไม่ได้ทำตามที่เค้าบอก ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เบนสายตาออกไปทะเลที่มืดสนิท ทำอย่างกับว่าเสียงคลื่นที่ดังเป็นระลอกนั้นน่าสนใจเสียเต็มประตา

“ไม่ขยับใช่ไหมครับ”ผมกำลังจะหันกลับไปถามว่าเค้าจะทำไมถ้าผมไม่ขยับ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเค้าลุกขึ้น และย้ายมานั่งซ้อนที่ด้านหลังของผม

“ทำอะไรเนี่ย”ผมเริ่มดิ้นแต่กลับถูกเค้ากอดไว้แน่น กลายเป็นว่าตอนนี้ตัวผมถูกเค้าล็อคเอาไว้เรียบร้อย

“อยู่นิ่งๆ สิครับ”เมื่อเห็นแล้วว่าดิ้นต่อไปก็คงไม่เป็นผล ผมเลยเลิกที่จะอยู่เฉยแทน พอผมนิ่งก็ได้รู้ว่าตอนนี้หัวใจของเราทั้งคู่กำลังแข่งกันเต้นอย่างแรง นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้รับสัมผัสแบบนี้

“ผมไม่น่าปล่อยให้พี่เหงาอยู่คนเดียวมานานขนาดนี้เลย”

“…”

“ผมรู้ว่าพี่คิดถึงผม”

“…”

“แต่เชื่อเถอะ ว่าผมก็คิดถึงพี่ฟ่างมากเหมือนกัน”

“…”ผมไม่รู้ว่าจะตอบเค้ายังไง ตอนนี้ในใจมันสับสนไปหมด ใจนีงก็ยังเจ็บกับสิ่งที่เค้าเคยทำไว้กับผม แต่อีกใจนึงมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับคำพูดของเค้า หรือเพราะว่าผมกำลังเมา ใช่สิวันนี้ผมเองก็ดื่มไปตั้งเยอะ อาจจะทำอะไรที่ดูไม่มีสติไปบ้าง มันก็คงจะไม่แปลก

“ผมคงเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก ที่ปล่อยเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ แทนที่จะมาหาพี่ฟ่างตั้งนานแล้ว”ไม่เลย เค้าไม่ได้โง่ แต่เพราะเค้าเองก็รู้จักผมดีพอ ว่าถ้าเค้ามาในเวลาที่ผมยังไม่พร้อม ยังไงผมก็คงหาทางออกห่างจากเค้าอยู่ดี แล้วถามว่าตอนนี้ผมพร้อมแล้วอย่างนั้นหรือ ก็คงพร้อมแค่การเผชิญหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ

“พี่ฟ่างยังจำ ครั้งแรกที่ผมบอกว่าจะดูแลพี่ฟ่างได้ไหมครับ”

ผมยังคงฟังเค้านิ่งๆ การที่ผมยอมออกมากับเค้า ยอมมานั่งในอ้อมกอดของเค้าแบบนี้ มันก็เลยเส้นที่ผมเคยขีดให้ตัวเองมามากเกินไปแล้ว วงแขนของเค้ากระชับแน่นขึ้น พร้อมสัมผัสที่วางเกยมาที่ไหล่ของผม นี่ผมกำลังทำอะไร หรือผมต้องการอะไรกันแน่ ที่ผ่านมาผมยังเจ็บปวดไม่พอหรือไงกันนะ

“ถ้าผมจะบอกว่า ตอนนี้ผมพร้อมที่จะดูแลพี่ฟ่างแล้ว พี่ฟ่างจะให้ผมดูแลได้หรือเปล่า”ผมไม่ได้ขัดขืนเมื่อจมูกคมสันนั้นกดลงมาที่แก้มของตัวเอง ทั้งที่ก็รู้ว่าผมไม่ควรให้มันเกิดขึ้น แต่เบื่องลึกในใจก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าผมเองก็ต้องการมัน

“แล่อยก่อนได้ไหม”ผมบอกเสียงเบา แต่อีกคนก็ยอมคลายอ้อมกอดออก ผมยันตัวเองลุกขึ้น และหันไปดึงให้เค้าลุกตามขึ้นมายืนเปชิญหน้ากัน ผมจ้องลึกเข้าไปในแววตานั้น แม้เราจะอยู่ในความมืด แต่ด้วยระยะที่ประชิดกันขนาดนี้ มันทำให้ผมสัมผัสได้ว่าเค้ากำลังอ้อนวอนผม

ผมขยับชิดเข้าหาเค้าเพิ่มขึ้น เรายืนชิดกันจนจมูกแทบชนกันอยู่แล้ว ผมทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองไม่ควรทำ นั่นคือประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเค้า และแน่นอนเค้าก็ตอบรับสัมผัสนั้นของผม เนิ่นนานทีเราต่างตักตวงจากอีกฝ่าย ใช่ผมโหยหาสัมผัสจากเค้าแต่มันจะดีจริงๆ อย่างนั้นหรือ เราค่อยๆ ผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

“นี่แสดงว่า พี่ฟ่างตกลงใช่ไหมครับ”เค้ายิ้มอย่างมีความหวัง ผมยิ้มตอบกลับไป แต่ก้าวถอยหลังห่างออกจากเค้า

“มันสายเกินไปแล้ว สายเกินไปมากแล้วละโพด”







TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 21 สายเกินไป 16-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 16-12-2017 15:45:10
หน่วงจริงๆคู่นี้ แต่เราก็ยังเคืองโพดอยู่นะ 555
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 21 สายเกินไป 16-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-12-2017 14:50:45
บทที่ 22
หนีไม่พ้น




หลังกลับจากภูเก็ต ชีวิตผมก็กลับสู่สภาพปกติ ชีวิตที่มีแค่ทำงาน กลับบ้านไปแฮงค์เอ้าท์กับไอ้ต้าร์และเจ้โอ๋บ้าง ชีวิตมันก็วนๆ อยู่แบบนั้น วันนี้ก็เช่นกันแม้จะเป็นวันศุกร์ แต่เพราะกุ้งยังมีอาการแพ้ท้องอยู่มาก ไอ้ต้าร์เลยต้องคอยดูแล ผมกับเจ้โอ๋เลยเลือกพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

ผมหอบหิ้วอาหารแช่แข็งที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อด้านล่างคอนโด เพราะขี้เกียจแวะไปซื้อกับข้าวที่ไหน ไอ้ครั้นจะทำเองก็ขี้เกียจครับ ชีวิตคนโสดมันก็คงแบบนี้แหละครับ

“อ้าวเมอซิเอร์เดช็อง สวัสดีครับ นึกว่าคุณย้ายออกไปแล้ว”ผมเอ่ยทักทายชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่ถึงแม้จะไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย แต่ก็พอรู้จักในระดับนึงในฐานะเพื่อนบ้านร่วมคอนโดนี่แหละครับ ห้องเราอยู่ตรงข้ามกันพอดี เลยได้มีโอกาสทักทายกันบ้าน แต่จากที่เคยคุยล่าสุดเค้าเคยบอกว่าจะขายต่อคอนโดนี้ให้กับเพื่อน ซึ่งผมไม่เองไม่เจอเค้าพักใหญ่แล้วก็นึกว่าย้ายออกไปแล้วเสียอีก

“วันนี้เพื่อนผมย้ายเข้ามาพอดี เลยแวะมาช่วยนิดหน่อย”เค้าตอบกลับผมด้วยถาษาอังกฤษ เวลาคุยกับเค้านี่ก็แปลกดีนะครับ คือเค้าก็อยู่ที่ไทยนานพอจะฟังเข้าใจนะครับ ถ้าพูดช้าๆ ชัดๆ หน่อย แต่เค้าไม่ค่อยจะยอมพูดไทยสักเท่าไหร่

“อ่าหะ”ผมแค่พยักหน้ารับและไม่ได้คุยอะไรอีกเพราะนี่เค้าเหมือนจะรีบไปไหนต่อ แต่มาเจอผมที่หน้าลิฟต์นี่เสียก่อน ผมเลยรีบเป็นฝ่ายชิงขอตัวก่อน แต่ไม่วายอีกคนยังฝากฝังเพื่อนบ้านใหม่ไว้กับผม

“เพื่อนผมเพิ่งมาใหม่ถ้าเค้าไปขอความช่วยเหลืออะไร ถ้าพอจะช่วยได้ก็ช่วยเค้าหน่อยนะครับ”

“…”ผมไม่ได้ตอบทำเพียงยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนจะแยกย้ายกัน ผมกดลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่ตัวเองอยู่ กำลังมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามกับผมชั่งใจอยู่ว่าจะกดกริ่ง ทักทายทำความรู้จักจะดีไหม แต่คิดไปคิดมาผมว่าเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

ผมเลือกที่จะเข้าห้องของตัวเองจัดการทำธุระส่วนตัว เวฟอาหารแช่แข็งที่ซื้อมา เสร็จแล้วก็คงหาหนังดูสักเรื่องสองเรื่อง เพราะนี่มันคืนวันศุกร์ พรุ่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบตื่น จำได้ว่าในตู้เย็นก็ยังพอมีเบียร์เหลืออยู่หลายกระป๋อง คงพอช่วยให้ผมใช้ชีวิตในคืนสุดสัปดาห์ได้แหละ

เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังจะจัดแจงหยิบกระเบียร์ออกจากตู้เย็น ทำให้ผมต้องละมือ และอดแปลกใจอยู่หน่อยๆ ว่าใครมาหาผม หรือเจ้โอ๋จะมาหา แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะถ้าเป็นเจ้โอ๋คงโทรมาบอกล่วงหน้าแล้ว

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ ผมมาขอความช่วยเหลือฮ่ะ”คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือเด็กชายลูกครึ่งตัวป้อมพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ ที่สร้างความตกใจให้ผมพอสมควร สายตาผมมองเลยไปยังห้องฝั่งตรงข้ามที่ประตูเปิดอยู่ นี่คงไม่ได้หมายความว่า…

“อังเคิ่ลเดช็องจะคุยด้วยฮ่ะ”

เด็กชายตัวป้อมไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธอะไร มือเล็กๆ นั้นยื่นโทรศัพท์มาให้ผม นี่อดีตเพื่อนบ้านของผมไปรู้จักกับอีกคนได้ยังไงกันนะ ถ้าแอชตั้นอยู่นี่ แถมรู้จักกับเดช็องด้วยแสดงว่าเพื่อนที่รู้จักกันตอนเรียนปริญญาโทที่อเมริกาของเดช็องก็คือ “ข้าวโพด” สินะ

“คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเค้ากับผมรู้จักกัน”ผมไม่คิดหรอกนะครับว่าการที่ข้าวโพดจะมาซื้อคอนโดของเดช็องมันจะเป็นเรื่องบังเอิญ

“เค้าขอให้ผมไม่บอกกับคุณ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนได้ไหม คือตอนนี้แดดดี้ของแอชตั้นดันเป็นหวัด ตอนแวะไปก็เห็นว่าท่าทางไม่ค่อยดี นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหนักมากหรือเปล่า”

“แล้วคือจะให้ผมพาเค้าไปหาหมอ?”

“ไม่ๆ คิดว่าคงไม่หนักขนาดนั้น เพียงแค่อยากจะรบกวนฝากแอชตั้นให้อยู่กับคุณสัก 2-3 ชม. แล้วผมจะไปรับแอชตั้นมาค้างด้วยคือไม่อยากให้แกติดหวัดจากแดดดี้ของแก ทีแรกว่าจะให้แยกกันนอนห้องก็ยังจัดไม่เสร็จ คุณพอจะช่วยดูแอชตั้นให้หน่อยได้หรือเปล่า เสร็จธุระแล้วจะรีบไป”

“ผมปฏิเสธไม่ได้สินะ”แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่น้ำเสียงผมก็ติดจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ที่โดนมัดมือชกแบบนี้ แถมเรื่องที่เพิ่งรู้ว่าอีกคนมาซื้อคอนโดตรงข้ามห้องกับผมแบบนี้

“รบกวนด้วยนะฮ่ะ”เด็กน้อยที่วิ่งไปปิดประตูห้องฝั่งตรงข้ามแล้วรีบตามผมเข้ามาในห้อง

“อังเคิ่ลฟ่างโกรธเหรอฮ่ะ”ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจะหงุดหงิด แต่มันก็ไม่ควรที่ผมจะใส่อารมณ์กับเด็กชายตรงหน้านี้

“แดดดี้บอกว่าอังเคิ่ลฟ่างโกรธแดดดี้”

“หืม”นี่เค้าเอาเรื่องระหว่างผมกับเค้าไปเล่าให้เด็กตัวแค่นี้ฟังหรือไงเนี่ย

“ตอนนี้แดดดี้ป่วย อังเคิ่ลฟ่างหายโกรธก่อนได้ไหมฮ่ะ”แม้จะยังอารมณ์ไม่ค่อยดีนักแต่สายตาอ้อนๆ ของเด็กตรงหน้านี่ก็น่าเอ็นดูเหลือเกิน

“อังเคิ่ลฟ่างไม่ได้โกรธครับ”ไม่ได้โกรธ ก็แค่เจ็บ

“งั้นอังเคิ่ลฟ่างไปเช็ดตัวให้แดดดี้หน่อยนะฮ่ะ แดดดี้เคยบอกตอนแอชป่วยว่าต้องเช็ดตัวจะได้หายป่วยเร็วๆ เวลาแอชป่วยแดดดี้เช็ดตัวให้ทุกทีเลย แต่พอแดดดี้ป่วย แอชยังตัวเล็กเช็ดตัวให้แดดดี้ไม่ได้ อังเคิ่ลฟ่างไปเช็ดตัวให้แดดดี้หน่อยนะฮ่ะ”นี่ใครสอนให้เด็กนี่พูดมากขนาดนี้กันนะเนี่ยทำไมดูคำพูดคำจา มันเกินตัวเหลือเกิน

“อังเคิ่ลเดช็องแค่ฝากให้ดูแลแอชตั้นนะครับ นอกเหนือจากนี้ไม่ถือว่าอยู่ในข้อตกลง”

“แต่แดดดี้ยังไม่มีคนเช็ดตัวให้ นะฮ่ะ นะฮ่ะ”นี่เราสนิทกันถึงขนาดจะมาอ้อนผมได้ขนาดนี้แล้วหรือไงเนี่ย แต่ผมจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด เรื่องอะไรผมจะต้องไปเจอกับอีกคน อีกคนที่ตั้งแต่เหตุการณ์คืนนั้นที่ภูเก็ต






“มันสายเกินไปแล้ว สายเกินไปมากแล้วละโพด”

“มันไม่มีอะไรสายไปหรอกครับ ในเมื่อเรายังรักกัน”เค้าวิ่งมาสวมกอดผมจากด้านหลัง

“…”

“ทำแบบนี้แล้วพี่มีความสุขเหรอครับ การที่เราไม่มีกันมันมีความสุขจริงๆ เหรอครับ”

“อย่าพูดเหมือนรู้จักพี่ดีเลย แล้วก็ปล่อยเถอะ”ผมพยายามแกะมือเค้าออก รีบเดินให้พ้นจากเค้าโดยเร็วที่สุด

“พี่ฟ่างกำลังกลัวอะไร หรือหนีอะไรครับ”เสียงตะโกนไล่หลังทำให้ผมชะงักฝีเท้าเล็กน้อย

“…”

“หนีผม หรือหนีความจริง”

“…”

“แต่ไม่ว่าพี่จะหนีอะไร พี่หนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะพี่รักผม”

“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมหันกลับไปมองนิดนึงก่อนจะหันหลังกลับเดินต่อ

“คอยดูแล้วกันว่าผมจะทำให้พี่ยอมรับให้ได้ว่าพี่รักผม”







“หึ”ผมครางในลำคอเมื่อนึกถึงเหตการณ์ในวันนั้น หรือการที่เค้ามาซื้อคอนโดห้องตรงข้ามผมนี่คือหนึ่งในวิธีที่เค้าจะมาทำให้ผมยอมรับในสิ่งที่เค้าพูด

“ตกลงนะฮ่ะ อังเคิ่ลฟ่าง นะฮ่ะ นะฮ่ะ”มือเล็กๆ นั่นมาเขย่าแขนผมอย่างอ้อนวอน

“แล้วถ้าอังเคิ่ลไปเช็ดตัวให้แดดดี้ของแอชตั้น แล้วแอชตั้นจะอยู่กับใครละครับ”เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิดแต่ก็เหมือนจะมีความไม่พอใจหน่อยๆ ที่โดนขัดใจ

“แอชรออยู่นี่คนเดียวได้ฮ่ะ จะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่รื้อข้าวของ จะอยู่นิ่งๆ ที่โซฟานี่ฮ่ะ”เด็กน้อยบอกเสียงใส พร้อมด้วยสายตาวิงวอน แถมยื่นคีย์การ์ดห้องของเค้าให้ผมอีกต่างหาก

ผมแค่สงสารเด็กแค่นั้นแหละครับ ผมไม่ได้ห่วงคนที่นอนซมอยู่นี่เลย นี่ทำไมเค้าปล่อยให้ตัวเองป่วยได้ขนาดนี้ แล้วนี่จะดูแลคนอื่น ดูแลลูกได้ยังไงกัน ผมค่อยๆ วางกะลังน้ำที่เตรียมมาจากห้องของตัวเอง เพราะคิดว่าในห้องนี้คงยังไม่มีอะไรมากนัก

“พี่…ฟ่า..ฟ่าง”เค้าคงรู้สึกตัวว่ามีการมาของผมแต่เสียงที่พยายามเปล่งออกมานั่นก็แหบเหลือเกิน

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก แค่มาตามคำขอของแอชตั้นแค่นั้นแหละ”ผมค่อยๆ บิดผ้าชุบน้ำหมาดๆ เริ่มเช็ดตั้งแต่ใบหน้าของเค้า จากที่ลอกแตะๆ ดูหน้าผากของเค้าในทีแรกที่เข้ามาก็ตัวร้อนประมาณนึงเลยและครับ

“รู้ว่าตัวเองป่วยก็แทนที่จะไปหาหมอ”ผมบ่นไป พร้อมกับค่อยๆ เช็ดตัวเค้าไป พยายามเบนสายตาไม่มองร่างกายเค้าตรงๆ เพราะถึงเค้าจะยังใส่เสื้อผ้าอยู่ แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ผมรีบเช็ดให้เสร็จๆ ไป เพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองอย่างไม่กระพริบ

“แล้วนี่ทานยาไปหรือยัง”เค้าไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด นี่คงเจ็บคอจนแทบไม่มีเสียงเลยสินะ ใบหน้าที่ดูอ่อนเพลียนั้นพยักบอกผมแทนคำตอบ

“งั้นพี่ไปแล้วนะ นอนพักเยอะๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้น”ผมบอกโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเค้าและเตรียมยกกะละมังน้ำ กลับห้องตัวเอง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวลุก ก็โดนมืออีกอีกฝ่าย รั้งผมเอาไว้

“…”เค้าไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองมาที่ผมอย่างเว้าวอน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดก็คงอยากจะให้ผมอยู่ต่อสินะ

“แอชตั้นอยู่ที่ห้องพี่คนเดียว พี่ควรห่วงใครมากกว่ากัน”ผมบอกออกไปเสียงเรียบ เค้าค่อยๆ ปล่อยมือที่จับแขนของผมออก ผมหยุดคิดนิดนึง ก่อนที่จะเลือกเดินออกจากห้องนั้นมา

กลับเข้ามาที่ห้องก็พบว่าเด็กน้อยลูกครึ่งนั่น เหมือนจะหลับไปบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว นี่คงง่วงจนเผลอหลับไปสินะผมเดินเอากะลังไปเก็บก่อนจะหยิบผ้าห่มออกมาคลุมให้กับเด็กน้อยที่หลับอยู่

“แดดดี้”น้ำเสียงพึมพำออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ ว่าผู้ให้กำเนิดที่แท้ของเค้าเป็นใคร นี่ข้าวโพดเองก็คงยังไม่ได้บอกสินะว่าตัวเค้าเองไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเด็กคนนี้ ตอนนี้โลกทั้งใบของเค้าก็คงมีแต่แดดดี้ของเค้า ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าข้าวโพดจะเลือกบอกความจริงไหม ซึ่งถึงแม้มันจะไม่เกี่ยวอะไรกับผม แต่ลึกๆ แล้วผมก็หวังว่าเค้าจะเข้าใจในสิ่งที่แดดดี้ของเค้าทำ อย่าได้ต้องมารู้สึกเหมือนผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ตอนนี้ผมว่า ผมพอจะเริ่มเข้าใจการตัดสินใจของข้าวโพดขึ้นมาบ้าง ว่าถ้าตอนนั้นไม่ทำแบบนี้เด็กน้อยตรงหน้าผมตอนนี้คงไม่ได้เกิดมาสินะ แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับการได้มีชีวิตของเค้าก็คือการอยู่อย่างคนเหมือนไม่มีชีวิตของผมสินะ

“เฮ้อ”ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเบาๆ ของเค้า การจะให้ผมนึกโกรธเกลียดเค้าที่เกิดมาผมก็คงทำไม่ได้กรอกครับ เพราะเค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย หรือแม้กระทั่งผู้ให้กำเนิดเค้าจริงๆ ผมก็คงไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวโทษพวกเค้า ถ้าจะโทษใครก็คงเป็นตัวผมเองที่เข้มแข็งไม่พอในตอนนั้น

เสียงกดกริ่งที่หน้าห้อง ทำให้ผมต้องละสายตาจากเด็กชายตัวน้อย นี่เดช็องคงมาแล้วสินะ ผมเปิดแระตูให้ผู้มาใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาคนเดียว มีอีกคนที่เหมือนทั้งคู่จะแย่งกันแนะนำสถานะให้ผมทราบ ซี่งทำให้ผมได้รู้ว่าผู้มาใหม่อีกคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเดช็อง คือคุณปอนด์ ที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม

“น่าจะหลับไปพักใหญ่แล้วแหละครับ”ผมบอกเมื่อเดินนำคนทั้งคู่มาเจอเด็กน้อยที่นอนอยู่บนโซฟา

“รบกวนคุณแย่เลยนะครับ”เดช็องพูดพร้อมกับค่อยๆ อุ้มแอชตั้นขึ้นพาดบ่า เด็กน้อยงัวเงียนิดหน่อย ไม่ได้งอแงเพียงแค่ปรือตาดูว่าใครเป็นคนอุ้มเค้า ผมเดินมาส่งทั้ง 3 ที่หน้าประตู ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบคีย์การ์ดของห้องฝั่งตรงข้ามที่แอชตั้นให้ไว้มาคืน

“เอาไว้นี้ก็ได้ครับ เผื่อมีอะไรคุณอยู่ใกล้ๆ จะได้ช่วยเหลือกันทัน”

“…”ผมอ้ำอึ้ง เพราะถึงอีกคนที่นอนในห้องตรงข้ามนั่นจะนอนซมมันก็ไม่ได้ถึงกับขนาดว่าคอขาดบาดตาย

“อังเคิ่ลฟ่างอย่าทิ้งแดดดี้นะฮ่ะ”เด็กน้อยที่ตาจะปิดนั่น ยังพยายามจะพูดกับผม ผมเลยทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และถือคีย์การ์ดนั้นไว้ตามเดิม

ทั้งสามคนลงลิฟต์ไปแล้วแต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม อยู่ๆ เรื่องราวในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาให้หัวผมอีกครั้ง เหตุการณ์เมื่อครั้งที่ครอบครัวของเราไปเที่ยวทางภาคเหนือ แล้วก่อนวันกลับผมดันเป็นหวัดเพราะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไม่ได้






“น้องโพดต้องแยกไปนอนอีกห้องนะลูก เดี๋ยวจะติดหวัดจากพี่ฟ่างเอา”แม่ของผมบอกกับน้องชายตัวป่วน ที่ทำหน้างอไม่พอใจ เพราะยังอยากจะนอนห้องเดียวกับผม

“โพดกลัวพี่ฟ่างเหงานี่ฮ่ะ”

“ไว้พี่ฟ่างหายแล้วค่อยมานอนด้วยกันนะ เชื่อแม่สิครับคนเก่ง”

“งั้นถ้าโพดเก่งก็แสดงว่าโพดจะไม่ป่วย โพดจะไม่ติดหวัด โพดก็นอนกับพี่ฟ่างได้ใช่ไหมครับ”เจ้าตัวแสบเถียงข้างๆ คูๆ อย่างเอาแต่ใจ จนผู้ใหญ่อย่างแม่ผมกับแม่เค้าถอนหายใจอย่างอ่อนใจ

“อย่าดื้อสิโพด”น้ำเสียงดุๆ จากแม่ของเค้าเหมือนจะได้ผล เพราะเจ้าตัวแสบเหมือนจะเริ่มอ่อนลง เค้าเดินมาหาผมแต่ก็ยังเว้นระยะห่างไว้ ตามคำสั่งทางสายตาของแม่เค้า

“โพดขอโทษนะฮ่ะที่ปล่อยพี่ฟ่างให้นอนคนเดียว”เด็กบ้าเอ้ย ทำยังกับว่าผมเป็นอะไรหนักงั้นแหละ ที่ผู้ใหญ่เค้าจับแยกก็เพราะกลัวเราจะป่วยกันไปทั้งคู่ต่างหากละ

แล้วทั้งหมดก็ออกจากห้องไปให้ผมได้นอนพักผ่อน ผมหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ยุกยิกๆ อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผม

“ทำอะไรเนี่ยโพด”ผมถามออกไปเสียงดุ เมื่อรู้ว่าอะไรที่มุดเข้ามาในผ้าห่มของผม

“โพดกลัวพี่ฟ่างหนาว เลยมากอดให้อุ่นไงฮ่ะ”

“กลับห้องไปเลยเดี๋ยวก็ติดหวัดกันพอดีหรอก”

“รีบนอนเถอะฮ่ะ ดึกแล้ว”เหมือนเด็กดื้ออย่างเค้าจะไม่สนใจในคำพูดของผมเลย แถมอาการป่วยทำให้ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเค้ามากนัก เลยปล่อยเลยตามเลยละกัน





ผมเงยหน้าจากการมองคีย์การ์ดในมือ มองไปยังห้องตรงข้าม ก่อนจะค่อยๆ เดินไปเปิดประตูห้องนั้น



TBC


ไม่รู้พี่ฟ่างจะใจอ่อนเร็วไปไหมน้า

ก็ต้องรอดูกันต่อปาย  o13

ส่วนเดช็องที่โผล่มานั้น ถ้าใครอยากรู้ว่าเรื่องราวของเดช็อง ปอนด์ เป็นยังไง ก็ลองไปอ่านดูได้ที่เรื่องนี้เลย

คำตอบที่ว่างเปล่า

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0

ตอนท้ายๆ เรื่องจะมีข้าวโพดกับแอชตั้นโผล่ไปนิดนึง นิดแบบนิดกว่าที่เดช็องโผล่มาในเรื่องนี้เสียอีก

5555

หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 22 หนีไม่พ้น 19-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-12-2017 15:12:43
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 23 คำแนะนำจากเพื่อน 21-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-12-2017 20:41:24
บทที่ 23
คำแนะนำจากเพื่อน



“สรุปมันไม่กลับไปอยู่เมืองนอกแล้วเหรอวะ”เป็นคำถามจากไอ้ต้าร์หลังผมเล่าเรื่องที่ข้าวโพดกลายมาเป็นเพื่อนบ้านของผมอย่างกะทันหัน

“ไม่รู้ไม่ได้ถาม”ผมตอบกลับไปผ่านๆ จริงๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากคุย ปรึกษาหรือได้คำแนะนำอะไรจากไอ้ต้าร์หรอกนะครับ แค่เล่าให้มันได้รับรู้ไว้เฉยๆ ส่วนผมจะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อไป ผมยังไม่อยากจะคิดถึงสักเท่าไหร่

“แล้วทำไมไม่ถาม”

“ก็ไม่ได้อยากรู้ไหม”

“แหมๆ ไม่ได้อยากรู้… เอาจริงๆ ตกลงนี่ดีใจใช่ไหมที่ไอ้โพดมันย้ายมาอยู่ห้องตรงข้ามเนี่ย”น้ำเสียงในเชิงหยอกล้อตามประสาของไอ้ต้าร์ถูกเปล่งออก ไม่รู้ทำไมพอได้ยินแบบนี้ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“อย่ามาพูดแบบนี้ กูไม่ชอบ”ผมบอกกับเพื่อนออกไปตามตรง แต่ก็ไม่ถึงกับจะเป็นเชิงตำหนิหรือไม่พอใจมันมากนัก แต่ไอ้ต้าร์กลับปรับสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฟ่าง เมื่อก่อนหรือแรกๆ กูโคตรอยากให้มึงมีคนอื่น รักกับใครไปจริงๆ จังๆ สักคนลืมไอ้น้องชายกำมะลอของมึงนี่ไปซะ แต่ที่ผ่านมา กูว่ากูเห็นแล้ว ผลสุดท้ายมึงไม่ได้มีความสุขเลย ถึงมึงพยามแสดงออกว่ามึงมีความสุขดี กูก็ดูออกนะว่ามึงแค่พยายามเพื่อให้คนอื่นสบายใจ เพราะงั้นลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าเดินไปทางไหนที่มึงจะมีความสุข”

“มึงกำลังจะบอกอะไรกู”เรื่องที่มันพูดออกมาก็คิดตามไม่อยากนักหรอกครับ เพียงแค่ผมเองยังไม่อยากรับฟังเลยเลือกที่จะทำเหมือนไม่เข้าใจ

“มึงยอมไปดูแลไอ้โพดมันขนาดนั้น ถ้าให้กูพูดตรงๆ นะแค่เห็นหน้ามันมึงก็ยอมตั้งแต่หน้าประตูแล้ว”ยอมงั้นเหรอ ผมก็แค่เป็นห่วง ที่เค้าไม่สบาย ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้จะยอมอะไรเสียหน่อย อีกอย่างถ้าตามที่ไอ้ต้าร์ชี้นำผม คือให้เลือกที่จะเปิดใจรับข้าวโพดอีกครั้ง แล้วผมจะมีความสุข แต่ทำไมตอนนี้ผมไม่เห็นจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะมีความสุขเลยสักนิดกันละ




คืนนั้นหลังจากที่เดวีพาแอชตั้นออกไป และผมเปิดประตูเข้าไป พยายามเบาเสียงทุกอย่างเพื่อไม่อยากให้อีกคนรู้ตัว ผมหาเหตุผลให้กับตัวเองมากมายว่าทำไมผมถึงเลือกเปิดประตูบานนี้เข้ามา ความทรงจำต่างๆ ระหว่างผมกับคนที่นอนนิ่งๆ บนเตียงในความมืดนั้น พรั่งพรูออกมา ตีกันไปหมด

ภาพน้องชายตัวแสบที่ทำตัวติดผมแจตั้งแต่จำความได้ น้องชายที่เฝ้าบอกว่าจะรีบโตให้ทันผม คนที่ดื้อเอาแต่ใจ แต่สุดท้ายกลับยอมให้ผมแทบทุกครั้ง ทั้งที่ผมเป็นพี่แล้วควรยอมให้น้อง จนวันนึงที่ความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนใจ ความรู้สึกที่ผมเองก็พยายามกดมันเอาไว้ แล้ววันนึงเราทั้งคู่ก็ทำอะไรที่มันเกินเลยคำว่าพี่น้อง ถ้าเรื่องในคืนนั้นไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ไหม

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ความรู้สึกเจ็บ เจ็บจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งที่มันก็ผ่านมานานหลายปี และผมก็คิดว่าเวลาช่วยเยียวยาผมแล้ว แต่เปล่าเลย นั่นผมแค่หลอกตัวเอง ความจริงความเจ็บนั้นมันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มันไม่ได้เจ็บเพราะรู้สึกว่าเค้าไม่รักผม แต่ผมเจ็บเพราะคิดมาตลอดว่าผมเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเค้า ซึ่งวันนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าผมไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ที่เค้าจะสามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อผมได้


แต่อย่างน้อยๆ เรื่องนี้ก็สอนให้ผมได้รู้ว่า เราไม่ควรสำคัญตัวเองขนาดนั้น ทุกอย่างมันไม่ได้หมุนรอบตัวเราเสมอไป มันไม่มีใครจะสมหวังไปเสียทุกเรื่อง ผมค่อยๆ นั่งลงที่พื้นที่ว่างบนเตียงนอนของเค้า พยายามเบาที่สุดแล้ว แต่อีกคนก็ยังขยับตัวและเหมือนจะลืมตาขึ้นมามองผม

“พี่..ฟ่าง”น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเหมือนไม่ค่อยสายตา

“ขอโทษที่ทำให้ตื่น นอนพักต่อเถอะ”ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเค้า เพื่อประเมินอาการ เหมือนไข้เค้าจะลดลงไปแล้ว เพราะสัมผัสได้ว่าตัวเค้าไม่ได้ร้อนเหมือนรอบแรกที่มาเช็ดตัว ผมดึงมือกลับเตรียมจะลุกขึ้น ทำให้อีกคนรีบยันตัวขึ้นมาคว้าข้อมือผมไว้

“แค่มาดูตามคำขอของแอชตั้น”ผมบอกและพยายามแกะมือเค้าออก

“ค้างที่นี่เป็นเพื่อนผมไม่ได้เหรอครับ”แม้น้ำเสียงจะแหบแห้ง แต่เค้าก็ยังพยายามเค้นมันออกมาก สายตาที่เริ่มคุ้นชินกับแสงไฟสลัวๆ ที่ลอดประตูเข้ามาจากทางด้านนอกทำให้ผมเห็นสายตาอ้อนวอนนั้นชัดขึ้น

“พี่ยังไม่อยากติดหวัด ไม่พร้อมจะป่วยเอาตอนนี้”เพราะถ้าป่วยไปมันจะไม่มีใครดูแล ผมต่อประโยคนั้นภายในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้เค้ารับรู้

“พี่ฟ่างป่วยก็ดีสิครับ”

“ป่วยเนี่ยนะดี”

“ก็ถ้าพี่ฟ่างป่วยผมจะได้ดูแลพี่ฟ่างไงครับ”

“ดูแลตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

“…”สีหน้าเหมือนลูกหมากำลังจะถูกเจ้าของทิ้งนั่นทำเอาผมรู้สึกใจโหวงขึ้นมาว่าหรือผมจะพูดกับเค้าแรงเกินไป ผมถอนหายใจยาวๆ อย่างอ่อนใจ ก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เดี๋ยวอยู่ตรงโซฟาข้างนอกนี่แหละ มีอะไรก็เรียกแล้วกัน”ถ้าให้คิดตามหลักเหตุผล ผมก็คิดว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องมาอยู่ตรงนี้ แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับ บังคับให้ผมตอบออกไปแบบนั้น

“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะยังได้เจอพี่ฟ่างใช่ไหมครับ”

“นอนพักเถอะ”ผมไม่ได้รับปากหรือตอบในสิ่งที่เค้าถาม และอาจด้วยความที่ยังป่วยอยู่เลยไม่สามารถที่จะเซ้าซี้อะไรผมอีก ผมเดินออกจากห้องนอนมาเอนตัวลงที่โซฟาด้านนอก ผมก็แค่มีน้ำใจมาดูเค้าแค่ในฐานะพี่ชายคนนึง นั่นคือคำตอบที่ผมให้กับตัวเองก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

ผมรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนเกือบจะตี 5 แล้ว บนตัวของผมมีผ้าห่มผืนบางๆ คลุมอยู่ ทั้งที่ก่อนหลับไปมันยังไม่มี คงไม่ต้องเดาสินะว่ามันมาได้ยังไง ผมรวบผ้านั้นวางไว้บนโซฟา แล้วลุกเดินเบาๆ ไปดูอีกคนในห้อง ห้องที่ประตูไม่ยอมปิด เหมือนเค้าจะยังหลับอยู่ ผมเลยกลับออกมา

ผมกลับเข้าห้องตัวเองจัดการล้างหน้าแปรงฟัน จำได้ว่าร้านโจ๊กที่ตลาดใกล้ๆ นี่คงเปิดแล้ว หลังจากทำธุระส่วนตัวเพียงไม่นานผมก็ออกจากห้อง แล้วกลับมาพร้อมโจ๊กทรงเครื่องถุงใหญ่ นี่ผมก็แค่ทำไปเพราะเห็นว่าเค้าป่วยและเค้าคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาหาอะไรทานเองได้

“พี่ฟ่าง”ยังไม่ทันที่ผมจะเปิดประตูเข้าห้องของเค้า เจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมาอย่างเร็วจนเกือบจะชนผม

“จะไปไหน”ผมเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายที่ยักอึกอัก

“นึกว่าพี่ฟ่างจะไม่กลับมาอีก…เลย”

“ดูเกือบปกติแล้วนิ งั้นก็กินโจ๊ก กินยาก็น่าจะดูแลตัวเองได้แล้วนี่เนอะ”ผมไม่เปิดโอกาสให้เค้าพูดต่อแต่ยัดโจ้กใส่มือเค้า พร้อมคีย์การ์ด แล้วหันตัวกลับจะเข้าห้องตัวเอง

“ทำไมต้องเย็นชาใส่กันด้วยละครับ ทั้งที่จริงๆ พี่ฟ่างก็ห่วงโพด”น้ำเสียงเชิงตัดพ้อนั้นดังอยู่ด้านหลัง แต่ผมก็เลือกจะเปิดประตูเข้าห้องโดยไม่หันไปมองหรือตอบอะไรกลับไป เพราะผมว่าผมทำเต็มที่แล้ว มันไม่มีเหตุผลอื่นให้ผมจะทำอะไรให้เค้าอีก ในเมื่อเค้าก็ดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเยอะแล้ว





“ว่าไงละมึง เหม่อไรเนี่ย”เสียงของไอ้ต้าร์ เรียกสติให้ผมหลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่านนั้น

“เปล่า”ผมรีบปฏิเสธแทบจะทันที

“เปล่าเชี่ยไรนิ่งไปตั้งนาน ฟ่างไอ้โพดกลับมาครั้งนี้ ทั้งกูกับมึงก็รู้กันดีว่ามันคงกลับมาขอโอกาสกับมึง”

“มึงย้ำเหมือนชี้นำ อยากให้กูลองเริ่มต้นกับข้าวโพดจังวะ”ผมยั้งมันไว้ เพราะยิ่งพูดไอ้นี่ยิ่งเหมือนมาช่วยพูดเกลี้ยกล่อมผมยังไงไม่รู้

“ที่ภูเก็ตมึงยอมรับกับกูเองนะว่ามึงยังคิดถึงไอ้โพดมัน นั่นแปลว่ามึงยังรักมัน แล้วที่ไอ้โพดมันถึงกับซื้อคอนโดห้องตรงข้ามมึงเนี่ย มึงคิดว่าเพราะอะไร”

“…”

“กูก็แค่หวังอยากเห็นมึงมีความสุข แค่นั้นแหละ”

“แล้วถ้าความสุขนั้นมันไม่อยู่กับกูไปตลอดละ”

“มึงกลัวอะไรฟ่าง”

“กูกลัวเจ็บ”ในที่สุดผมก็ได้คำตอบให้ทั้งกับตัวเองและกับเพื่อนอย่างไอ้ต้าร์ เพราะถึงในตอนนี้ข้าวโพดจะมาบอกว่าพร้อมจะดูแลผม ยังรักผม แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจในอะไรสักอย่าง อย่างที่ไอ้ต้าร์ถาม ว่าเค้ายังจะกลับไปอยู่อเมริกาหรือเปล่า หรือเรื่องแอชตั้นที่เค้าจะต้องดูแลอีก

“…”

“กูเคยเจ็บมาแล้ว มันหนักหนามากนะ มึงก็เห็นว่ากูเคยผ่านอะไรมา”

“ก็ใช่ไงกูเคยเห็นมึงผ่านมันมาแล้ว และมึงก็ยังอยู่ตรงนี้ มึงเห็นไหมว่ามึงผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้”ผ่านมาได้เหรอ ก็ได้แค่ทุลักทุเลไหมละ

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องเอาตัวเองลงไปเสี่ยงกับจุดนั้นอีก”

“โอเคมึงอาจจะคิดไม่เหมือนกูก็ได้ แต่ถ้าเป็นกู ระหว่างยอมหลอกตัวเองว่าไม่ต้องมีความสุขก็ได้ แต่ไม่ทุกข์หนักกว่าเดิมก็พอ หรือเลือกรับความสุขมาก่อน จากนั้นค่อยมาเสี่ยงว่าจะได้สุขไปตลอด หรืออาจจะกลับไปทุกข์ สำหรับกู กูขอลองเสี่ยงเลือกที่จะมีความสุข”

“…”

“รสชาติชีวิตไงมึง สุขบ้างทุกข์บ้างปนๆ กันไป ยิ่งของมึงกูเชื่อว่ามึงมีภูมิคุ้มกันจากแผลเดิมมาแล้ว มึงต้องแกร่งขึ้น และเหมาะที่จะเสี่ยงดูอีกครั้ง”พูดจบมันก็ไม่รอให้ผมได้เถียง รีบชิ่งออกไปบอกว่าต้องรีบไปรับกุ้ง

ใครบอกมันกันว่าคนที่เคยเจ็บจนมีแผลแล้วจะแกร่งขึ้น ถ้าคนส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น ผมเองก็คงจะเป็นส่วนน้อย ที่ถ้าเจ็บอีกครั้งอาจจะหนักกว่าเดิม ผมสลัดความคิดทุกอย่างไป เก็บข้าวของกลับบ้านเพราะนี่ก็เลิกงานแล้ว วันนี้ผมก็คงทานข้าวคนเดียวอีกตามเคยสินะ ไอ้ต้าร์ต้องดูแลกุ้งที่กำลังท้อง เจ้โอ๋ช่วงนี้ก็มีนัดบ่อยๆ ถึงจะสงสัยว่านัดกับใคร แต่ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่เล่า เราก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเค้าไป

“พี่ฟ่างคะ”เสียงนึงเรียกผมไว้ ตอนที่ผมลงลิฟต์ออกมาและกำลัง จะออกจากตึก หญิงสาวร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของเสียงเรียกนั่นทำเอาผมใจเต้นไม่น้อย

“ครับ”ผมไม่มีคำไหนที่จะนึกทันนอกจากคำนี้ เพราะไม่คิดและไม่ตั้งตัวว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับคนตรงหน้านี้อีก

“ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะคะ”ผมยิ้มแห้งๆ อย่างทำตัวไม่ถูกนั่นแหละครับ

“ครับ ไม่เจอกันนานเลย ตั้งแต่…”

“งานแต่ง”หญิงสาวต่อประโยคให้ผมจนจบพร้อมด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ใช่แล้วครับหญิงสาวที่ผมคุยด้วยตอนนี้คือผึ้ง คนที่แต่งงานกับข้าวโพดและเป็นแม่แท้ๆ ของแอชตั้น

“…”เราต่างเงียบกันไปนิดนึง เพราะถึงแม้ต่างฝ่ายจะรู้ว่าอีกคนคือใคร แต่เราก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นจะมาพูดคุยกันได้อย่างปกติสักเท่าไหร่

“พอจะมีเวลาคุยกันสักนิดไหมคะ”แม้จะรู้สึกว่าผมไม่มีเรื่องอะไรจะต้องคุยกับอีกคน แต่ผมก็ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เป็นการเช็คเวลา

“ก็น่าจะยังได้แหละครับ พอดีไม่ได้มีธุระอะไรอยู่แล้ว”






TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 23 คำแนะนำจากเพื่อน 21-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-12-2017 21:42:24
ข้าวฟ่าง ดูมึนๆ เบลอๆ
ไม่ว่ายังไงข้าวฟ่าง ก็ยังห่วงใยข้าวโพดไม่เสื่อมคลาย

ข้าวฟ่าง คิดอย่างที่เพื่อนบอกให้ได้ไวๆนะ
อะไร ใคร ที่ทำให้ข้าวฟ่างมีความสุขที่สุด  :hao3:

ข้าวโพด ข้าวฟ่าง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 23 คำแนะนำจากเพื่อน 21-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-12-2017 23:19:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 23 คำแนะนำจากเพื่อน 21-12-17
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 22-12-2017 00:35:59
หน่วงแทนฟ่าง
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 24 กองหนุน 02-01-18
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-01-2018 21:27:36
บทที่ 24
กองหนุน





ผมกับผึ้งนั่งกันอยู่ในร้านกาแฟ ใกล้ๆ กับออฟฟิศของผม เหมือนเราทั้งคู่ต่างก็เกร็งๆ ซึ่งกันและกันอยู่ อย่างว่าแหละครับ การรู้จักกันของเราสองคนมันออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย

“ขอโทษที่มารบกวนเวลานะคะ”อีกฝ่ายเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ไม่เป็นไรครับ บอกแล้วว่าพี่ก็ไม่ได้มีธุระอะไร ตกลงน้องผึ้งมีเรื่องอะไรพูดมาเลยก็ได้นะครับ”แม้จะไม่ได้รีบอะไรแต่ผมเองก็ไม่อยากจะอ้อมค้อมสักเท่าไหร่

“ผึ้งอยากจะมาขอโทษพี่ฟ่าง”

“ครับ?”ผมงงนิดหน่อยกับสิ่งที่หญิงสาวกำลังเริ่มบอก

“ตั้งแต่เรื่องราวมันเริ่มขึ้น จริงๆ ผึ้งควรเป็นคนมาคุยกับพี่ฟ่างตั้งแต่ตอนนั้น ควรมาขอโทษที่เป็นต้นเหตุ ให้พี่ฟ่างกับข้าวโพดต้องเป็นแบบนี้”เจตนาของคนตรงหน้าอาจจะมาดีนะครับ แต่ผมกลับต้องสูดลมหายใจลึกๆ เพราะเหมือนกับกำลังถูกเปิดปากแผลที่พยายามปิดไว้มานานแสนนาน

“เรื่องระหว่างพี่กับโพด ที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้มันก็เป็นเพราะพี่กับเค้าแค่นั้นแหละ มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอก”คิดว่าการที่คนตรงหน้าเปิดมาขนาดนี้ ผมว่าเค้าคงรับรู้เรื่องราวระหว่างผมกับข้าวโพดมาหมดแล้ว

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าวันนั้นผึ้งจะไม่ขี้ขลาด ยอมบอกความจริงกับที่บ้าน เรื่องทุกอย่างมันคงไม่ออกมาแย่เหมือนทุกวันนี้ แต่ตอนนั้นผึ้งเองก็ไม่ทันคิดว่ามันจะกระทบกับใครบ้าง ส่วนของพี่ฟ่างเองผึ้งก็คิดว่าโพดเค้าจะจัดการได้ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องมาไม่มีความสุขเพราะผึ้งเป็นต้นเหตุ”

“อย่าคิดแบบนั้นเลยครับ”อยากจะหาคำปลอบที่ดีกว่านี้เพราะ อีกฝ่ายเหมือนน้ำตาจะเอ่อขึ้นมาแล้ว แต่ฝั่งผมเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

“พี่ฟ่างด่าหรือต่อว่าผึ้งสักนิดก็ได้ค่ะ ผึ้งยังจะรู้สึกดีกว่านี้ แถมแทนที่ผึ้งจะมาขอโทษพี่ฟ่างให้เร็วกว่านี้ ผึ้งก็ไม่ทำ”ผมว่ายิ่งพูดไป อีกฝ่ายก็คงจะมัวแต่โทษตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องราวที่มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เนี่ย

“จะว่าพี่ไม่รู้สึกเสียใจหรืออะไรเลยมันก็คงไม่ใช่หรอก เพียงแต่พี่ผ่านจุดนั้นมานานมากแล้ว คิดเสียว่าเราทุกคนก็เสียสละกันทุกคนเพื่อให้แอชตั้นได้เกิดมา แอชตั้นดูเป็นเด็กฉลาดแล้วก็น่ารัก ดีแล้วละครับที่ทั้งน้องผึ้งและโพดเลือกจะให้เค้าได้ออกมามีชีวิต”ผมพูดไปโดยไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่พอมองอีกที ผึ้งก็น้ำตานองหน้าไปแล้ว ดีที่ในร้านไม่ค่อยมีคนแล้ว ไม่งั้นผมคงดูเหมือนผู้ชายที่รังแกผู้หญิง

“ไหวไหมครับ”ผมเลือกที่จะไม่ปลอบ เพราะรู้สึกว่าเธอเองก็คงจัดการตัวเองได้เพียงแต่อยากระบายความอัดอั้นออกมาเท่านั้น

“แอชอั้นเป็นเด็กฉลาด น่ารัก โพดเลี้ยงเค้ามาดีมาก ดีจนเค้าไม่น่ามีแม่แย่ๆ อย่างผึ้งเลย”จากที่เห็นอาการของคนตรงหน้าทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าแอชตั้นคงยังไม่รู้แน่ๆ ว่าคนตรงหน้าผมนี้คือแม่แท้ๆ ของตัวเอง

“อะไรที่เราเคยทำผิดพลาดไปแล้วมันคงย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราก็แก้ไขจากปัจจุบันได้จริงไหมครับ”ถึงผมจะเป็นคนพูดประโยคนี้เอง แต่ผมก็รู้ครับว่ามันไม่ง่ายเลย

“มันก็เป็นผลจากที่ผึ้งสร้างขึ้นมาแหละค่ะ เรื่องของผึ้งเองมันอาจจะยากที่จะแก้ไข หรืออาจไม่มีโอกาสได้แก้ แต่เรื่องของพี่ฟ่างกับโพดมันยังแก้ไขได้นะคะ ผึ้งเองยังอยากเห็นทั้งสองคนที่ผึ้งเป็นคนพรากความสุขจากพวกเค้าไป ให้กลับมามีความสุขอีกครั้งนะคะ”

“…”

“ตั้งแต่ผึ้งรู้จักโพดมา ไม่เคยมีวันไหนเลยที่โพดจะไม่พูดถึงพี่ฟ่าง เค้ารักพี่ฟ่างมากนะคะ เพียงแต่อาจจะเคยตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปหน่อย”

“…”

“เชื่อเถอะค่ะว่าเค้ารักพี่มาก ขนาดตอนผึ้งเป็นแฟนเค้า เค้ายังเอาแต่อะไรๆ ก็พี่ฟ่างๆ จนตอนนั้นผึ้งเองยังเผลอไม่ชอบพี่ฟ่างไปเลย ต้องขอโทษอีกทีนะคะทั้งที่ตอนนั้นผึ้งยังไม่รู้จักพี่ฟ่างดีพอด้วยซ้ำ”

“พี่ก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นนะ แต่ขนาดเค้าเป็นแฟนกับผึ้งตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แรกๆ เค้ายังไม่เคยบอกพี่เลย จริงๆ พี่อาจจะไม่ได้สำคัญกับเค้าอย่างที่ผึ้งคิดก็ได้”ผมแย้งออกไปเมื่อยังคงจำได้ว่าเคยได้รับรู้ตอนไปงานแต่งว่าทั้งคนตรงหน้ากับข้าวโพดแม้จะบอกว่าแต่งงานกันเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่จริงๆ ครั้งนึงทั้งคู่ก็เคยเป็นแฟนกัน

“นั่นแหละข้อเสียของน้องชายพี่ฟ่างเลย มีอะไรไม่ยอมพูดตรงๆ ความจริงที่เค้าตัดสินใจคบกับผึ้งในตอนนั้นเพราะเค้าเข้าใจว่าพี่ฟ่างเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทของพี่ที่ชื่อพี่ต้าร์แหละค่ะ”ผมขมวดคิ้ว เรื่องผมกับไอ้ต้าร์นี่มันแค่ระยะสั้นๆ เองนะครับที่เค้าเข้าใจผิด

“แต่ท้ายที่สุดพอรู้ความจริง โพดก็ยังเลือกที่จะปิดบัง”

“โพดเค้าก็แค่กลัวค่ะ กลัวว่าพี่ฟ่างจะไม่รักเค้า”

“หึ”ผมเผลอหลุดน้ำเสียงที่ออกจะเป็นการเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที ความจริงถ้าในตอนนั้นผมรับรู้ว่าข้าวโพดกับผึ้งเป็นแฟนกัน เรื่องราวมันก็อาจจะไม่กลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ หัวใจของผมมันอาจจะไม่ถลำลึกมามากขนาดนี้

“อย่าหาว่าผึ้งยุ่งเลยนะคะ แต่ทั้งพี่ฟ่างกับโพดเมื่อก่อนรู้สึกยังไงก็ไม่ยอมรับกันออกมาตรงๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูด แถมพอจะได้เปิดใจกัน ผึ้งก็ดันหาเรื่องมาแทรกกลางอีก เอาเป็นว่าวันนี้ผึ้งมาขอโทษ สำหรับทุกอย่างที่เคยเป็นต้นเหตุให้พี่ฟ่างเสียใจ พี่ฟ่างจะไม่ยกโทษให้ผึ้งก็ได้นะคะ แต่ขอโอกาสให้โพดเค้าอีกสักครั้งเถอะค่ะ”

“นี่โพดให้น้องผึ้งมาช่วยพูดเหรอครับ”ทำไมช่วงนี้มีแต่คนมาเกลี้ยกล่อมผมในเชิงนี้กันนะ ทั้งเพื่อนสนิทของผมอย่างไอ้ต้าร์ ก็อยากให้ผมลองเสี่ยงกับข้าวโพดอีกสักครั้ง แล้วนี่ยังจะผู้หญิงตรงหน้านี่อีก

“เค้าไม่ได้บอกหรอกค่ะ แต่ที่เจอกันล่าสุดเห็นสภาพเค้าแล้ว ผึ้งว่ามันคงถึงเวลาที่ผึ้งต้องมาจัดการปัญหาที่ผึ้งเป็นคนเริ่มมันขึ้นมา”ผมถอนหายใจมองหน้าอีกคน ที่เหมือนรอคำตอบจากผม แต่บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรตัดสินใจยังไง

“เอาเป็นว่าพี่ไม่โกรธหรือติดใจถือโทษอะไร น้องผึ้งก็ไม่ต้องคิดมากหรือโทษตัวเองอะไรอีก ส่วนเรื่องอื่นๆ ในตอนนี้พี่คงยังไม่มีคำตอบอะไรให้”เพราะขนาดตอบตัวเองผมยังทำไม่ได้ ประสาอะไรจะไปตอบคนอื่น

“อย่างน้อยแค่พี่ฟ่างไม่ปฏิเสธ ก็แสดงว่าโอกาสของข้าวโพดได้รับการพิจารณาแล้วละค่ะ”

“คือพี่ไม่ได้…”คำพูดของผมถูกคนตรงหน้ายกมือขึ้นห้าม เธอส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันเป็นยิ้มที่ผมเองก็รู้สึกได้แหละครับว่าเธอหวังดีกับผม แต่ผมจะกล้ารับความหวังดีนั้นไว้หรือเปล่า เราบอกลากันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันออกมา  ผมกลับคอนโดด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันอยู่ในหัว ทั้งคำพูดของไอ้ต้าร์และผึ้ง ต่างก็มีผลกับการตัดสินใจของผมทั้งสิ้น

ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองหนักแน่นพอแล้ว กับการที่จะไม่กลับไปรู้สึกอย่างเดิมอีก ซึ่งผมก็ได้รับรู้ว่าตัวเองอ่อนไหวเหลือเกิน มัวแต่คิดอะไรในหัว รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในห้องตัวเองแล้ว นี่ผมมัวแต่คิดเรื่องนี้จนเพิ่งรู้สึกตัวว่า ไม่ได้แวะซื้อของกินอะไรติดมาด้วยเลย นี่ในห้องผมเหลืออะไรให้ประทังชีวิตไปได้บ้างไหมเนี่ย ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะเดินไปเปิดตู้เย็น เสียงกดกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น

“หวัดดีฮ่ะอังเคิ่ลฟ่าง”เด็กน้อยลูกครึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยทักทายขึ้น สายตาผมมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่มีใครอื่นอีก เพราะใจนึงก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนที่มากดกริ่งจะเป็นเจ้าของห้องฝั่งตรงข้าม แต่ไม่คิดว่าจะเป็นตัวเล็กนี่ที่มากด

“หวัดดีครับ”ผมเอ่ยทักทายกลับ พร้อมลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู เห็นเจ้าตัวเล็กนี่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงอนาคตของเค้า วันนึงถ้าเค้ารู้ความจริงว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงเค้าจะเป็นยังไงกันนะ แต่เหมือนเจ้าตัวเล็กจะไม่ปล่อยให้ผมคิดอะไรนานนักเพราะรีบบอกเจตนาของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“แอชจะมาขออนุญาตฮ่ะ”

“…”ผมเลิกคิ้วรอฟังคำขออนุญาตนั้นอย่างตั้งใจ ท่าทางใสซื่อนั่นทำเอาผมอดที่จะเอ็นดูไม่ได้

“แอชจะมาขอทำอาหารขอบคุณอังเคิ่ลฟ่างที่ช่วยดูแลแดดี้ฮ่ะ”ผมย่อตัวลงเพื่อคุยกับเจ้าตัวเล็ก แทบจะลืมความกังวลที่ติดอยู่ในใจเพราะนึกขำกับคำพูดของคนตัวเล็กนี่

“ตัวแค่นี้ทำอาหารเป็นแล้วเหรอเรา”

“ให้แดดดี้ทำฮ่ะ”ผมรีบเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้เสียงประตูเปิดออกมา

“…”คนที่แอชตั้นพูดถึงยืนส่งยิ้มมาพร้อมกับในมือที่หิ้วของสดหลายอย่างพะรุงพะรังอยู่เต็มมือ

“อังเคิ่ลฟ่าง อนุญาตใช่ไหมฮ่ะ”

“…”ผมนิ่งเงียบมองสองพ่อลูกสลับกันไปมา เพราะเหมือนกำลังโดนบังคับอย่างปฏิเสธไม่ได้

“นะฮ่ะ นะฮ่ะ”มือเล็กๆ นั่นเอื่อมมาเขย่าแขนผมไม่หยุด จนในที่สุดผมต้องพยักหน้าตอบตกลง

“เย้”แอชตั้นหันกลับไปตีมือกับอีกคนที่ขนาดมือไม่ว่างก็ยังพยายามตีมือทั้งถุงพะรุงพะรังนั่นอีก

“รบกวนด้วยนะคร๊าบบบ”สองเสียงพร้อมใจกันประสานส่งมาที่ผม

ผมปล่อยให้สองพ่อลูกหอบข้าวของเข้าครัวไปอย่างเหมือนจะจำใจ แต่ลึกๆ กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่มีคนอื่นเข้ามาในห้องด้วย มันก็ดีกว่าการที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวเฉกเช่นทุกวัน

“พี่ฟ่างรอข้างนอกเลยครับ เดี๋ยวผมโชว์ฝีมือเอง”ทันทีที่เห็นผมมายืนมองอยู่หน้าห้องครัว คนที่กำลังวุ่นอยู่กับการหยิบจับโน่นนี่ก็หันมาบอกกับผม ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปช่วยทำอะไรอยู่แล้วเพราะถ้าเข้าไปก็คงเกะกะเปล่าๆ

“แอชก็จะโชว์ฝีมือด้วยฮ่ะ”

“แต่แดดดี้ว่าแอชไปรอข้างนอกกะอังเคิ่ลฟ่างดีกว่านะครับ”ผมยังคงยืนมองสองพ่อลูกคุยกันแทนที่จะเดินออกไปรอด้านนอกอย่างที่อีกคนบอกในตอนแรก

“ก็ได้ฮ่ะ แต่แอชขอกินไอติมระหว่างรอนะฮ่ะ”ถอดแบบกันมาเลยสินะ ถึงแอชตั้นจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้าวโพด แต่ด้วยความที่เค้าเป็นคนเลี้ยงดูมา ก็คงได้นิสัยหลายๆ อย่างมาจากข้าวโพดด้วยสินะ แม้ผมจะเจอแอชตั้นไม่กี่ครั้ง แต่ก็พอสังเกตได้ทั้งไอ้การชอบทานของหวานก่อนจะทานข้าวแบบนี้ หรือการพูดจาอ้อนๆ จนคนฟังอดจะคล้อยตามไม่ได้

ผมมองตามเด็กน้อยที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าแดดดี้ของเค้าอนุญาตให้กลับไปเอาไอติมที่ตู้เย็นจากในห้องได้

“ขอบคุณนะครับ”ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปจากประตูห้องครัว หันกลับไปมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่อง?”

“ที่ไม่ไล่ผมกลับ แล้วยอมให้ผมเข้ามานี่ไงครับ”

“ก็เอาแอชตั้นมาอ้อนขนาดนั้น”เค้าอมยิ้มกับคำตอบของผม ก่อนบทสนทนาของเราทั้งคู่จะถูกขัดโดยเจ้าตัวเล็กที่ถือไอติมกล่องใหญ่กลับเข้ามาชวนผมไปทานด้วยกัน

“แดดดี้บอกว่าอังเคิ่ลฟ่างเป็นพี่ชายแดดดี้”บทสนทนาระหว่างเด็กกินไอติมกับผมเริ่มขึ้น นี่อย่าบอกนะครับว่าขนาดเจ้าตัวเล็กนี่ก็จะมาเป็นกองหนุนให้ผมเปิดโอกาสให้ข้าวโพดอย่างที่ไอ้ต้าร์กับผึ้งอีกคน

“เป็นพี่ชายแต่ไม่ใช่พี่น้องที่มีพ่อแม่คนเดียวกันครับ”ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบายกับแอชตั้นว่ายังไง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแดดดี้ของเค้า

“แอชรู้ฮ่ะ แดดดี้บอกว่าพ่อแม่ของแดดดี้กับของอังเคิ่ลฟ่างอยู่บนสวรรค์ เหมือนหม่ามี้ของแอชก็อยู่บนสวรรค์”เด็กน้อยพูดไปเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมกลับรู้สึกใจหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะแม่จริงๆ ของแอชตั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่

“แต่แอชยังมีอ้านตี้ผึ้งอาสาเป็นแม่ให้แอชด้วยนะฮ่ะ”เค้ายังคงตักไอติมเข้าปากและพูดไปอย่างใสซื่อ

“แล้วแอชตั้นอยากให้แดดดี้กับอ้านตี้ผึ้งเป็นคนรักกันไหมครับ แอชจะได้มีทั้งแดดดี้และหม่ามี้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว”ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมถามออกไปแบบนั้น

“แดดดี้กับอ้านตี้ผึ้งเป็นเพื่อนกันฮ่ะ แต่แดดดี้บอกว่าคนรักของแดดี้คืออังเคิ่ลฟ่าง”

“…”ในขณะที่ผมกำลังเหวอกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เด็กน้อยกลับพูดไปตักไอติมไปเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเลย






TBC




แวะมาต่อและสวัสดีปีใหม่รีดเดอร์ทุกคนคร๊าบบบ


หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 24 กองหนุน 02-01-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2018 00:26:50
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 24 กองหนุน 02-01-2018
เริ่มหัวข้อโดย: kingzanowa ที่ 03-01-2018 01:37:50
 :-[ สวัสดีปีใหม่ครับ 

ติดตามอ่านมาทุกเรื่อง สนุกและซึ้งมากทุกเรื่องเลย

เป็นกำลังใจผู้แต่งครับ  o13
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 24 กองหนุน 02-01-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 27-01-2018 20:56:57
บทที่ 25
เริ่มใหม่ได้ไหม



ผมมองเด็กน้อยตักไอติมกินอย่างพูดไม่ออก แต่คิดว่าผมคงมีเรื่องต้องคุยกับแดดดี้ของแอชตั้นอีกเยอะเลย นี่เค้าพูดอะไรฝังหัวให้แอชตั้นไปบ้างเนี่ย

“อังเคิ่ลฟ่างรู้ไหมฮ่ะ แอชกำลังจะมีน้องแล้ว”ผมหันควับของเจ้าตัวเล็กอีกรอบ ซึ่งยังคงพูดไปด้วยอาการสบายๆ เช่นเดิม แต่ผมนี่สิกำลังงงว่ามันเรื่องอะไรอีก มันหมายความว่ายังไงที่แอชตั้นจะมีน้องเพิ่มมาอีก

“น้องมาจากไหนครับ”เจ้าตัวเล็กหยุดกินไอติมทำหน้ายิ้มกริ่มหันมามองผม ขนาดตัวแค่นี้ยังรู้จักทำสายตาแบบนี้ นี่ถ้าโตมาจะขนาดไหน

“อังเคิ่ลชาร์ปกะอังเคิ่ลตี้จะมีน้องให้แอชฮ่ะ”อ๋อจริงสินะ ครั้งแรกที่ผมเจอกับแอชตั้น ที่ภูเก็ตเจ้าตัวเล็กนี่ก็กำลังวิ่งหนีอังเคิ่ลปาร์ตี้ของเค้า เพราะเรื่องไม่ให้เจอน้องอะไรนี่แหละผมชักคุ้นๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่แอชจะได้เจอน้องครับ”

“แดดดี้บอกว่าอีกสองเดือนฮ่ะ แดดดี้เลยให้แอชอยู่เมืองไทยได้อีกสองเดือนเพื่อรอเจอน้อง แล้วแอชกับแดดดี้ค่อยกลับเมกาฮ่ะ”

“…”นี่สินะเหตุผลที่เค้ามาซื้อคอนโดอยู่ที่นี่ ก็แค่หาที่อยู่สำหรับสองเดือนตามใจลูกชายเค้าก็แค่นั้น การที่ข้าวโพดมาซื้อคอนโดต่อจากเดวี่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยก็เป็นได้

แอชตั้นชวนผมคุยโน่นนี่นั่นไม่หยุด ทำให้ผมได้รู้ว่าตอนนี้แอชตั้นเอง รู้จักทั้งพ่อแม่ พี่ชาย น้องชาย ของผึ้ง หรือแม้กระทั่ง น้องแปงที่เคยมาทำงานร่วมกับผมอยู่ช่วงนึง ที่ตอนนี้เป็นแฟนกับน้องภู่ น้องชายของผึ้งไปเรียบร้อยแล้ว นี่เด็กคนนี้รู้จักคนฝั่งครอบครัวผึ้งดีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นจะรับรู้หรือยังว่าแอชตั้นคือลูกชายของผึ้ง แต่ตัวแอชชั้นเองนั้นคงยังไม่รู้แน่นอนว่าบุคคลเหล่านั้นคือญาติโดยตรงทางสายเลือดของตัวเอง

บทสนทนาระหว่างผมกับเด็กน้อยจบลง เมื่อแดดดี้ของเค้ายกกับข้าวออกมาวาง สองพ่อลูกรีบจัดแจงทุกอย่างโดยห้ามผมขยับเพราะตั้งใจมาทำให้ผมทาน ผมไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่มีหน้าที่กินอย่างเดียว

“อร่อยไหมฮ่ะ”เด็กน้อยจ้องมองผมอย่างรอคำตอบ เมื่อผมตักอาหารเข้าปากคำแรก

“อร่อยมากครับ”แม้รสชาติมันจะไม่ได้ดีสุดยอดอะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดีกว่าที่ผมทำเอง หรือดีกว่าบรรดากับข้าวถุงที่ผมชอบซื้อมาทาน

“เย้”เด็กน้อยหันไปแปะมือกับแดดดี้ของตัวเอง เห็นภาพแล้วความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจของผม นี่ทั้งข้าวโพดทั้งแอชตั้นเองก็คงมีความสุขดีสินะ ข้าวโพดเองก็มีความสุขดี โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยากมาดึงผมเข้าไปในชีวิตอีกเสียด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับแอชตั้นก็คงไม่ได้ต้องการจะมีแม่ อย่างที่ผึ้งบอกนั่นแหละ

“พี่ฟ่าง เป็นไรหรือเปล่าครับ ทำไมนิ่งๆ ไป”คงเพราะคิดอะไรเพลินไปหน่อยจนอีกฝ่ายจับสังเกตได้

“เปล่า ทานต่อเถอะ”

“ลองนี่หน่อยนะครับ”เค้าตักกับข้าวมาวางใส่ที่จานของผม พร้อมรอยยิ้มที่ส่งมา เค้าจะมาทำดีกับผมทำไมกันนะ มาพูดว่าอยากเริ่มต้นกับผมอีกครั้ง อยากดูแล พูดทำไมในเมื่อสุดท้ายเค้าก็ต้องทิ้งผมไว้ แล้วกลับไปอเมริกาอยู่ดี

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ ถ้าแอชจะขอมากินข้าวที่นี่ทุกวันได้ไหมฮ่ะ”ผมเงยหน้ามองข้าวโพด ว่านี่สั่งให้แอชตั้นพูดแบบนี้หรือเปล่า แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“อังเคิ่ลฟ่างทำกับข้าวไม่อร่อยนะครับ”

“ไม่เป็นไรฮ่ะ ให้แดดดี้ทำ”นี่มันคงไม่ใช่ความคิดของเด็กแล้วละครับ

“ก็ถ้าแดดี้ทำ ทำไมไม่ทำที่ห้องแอช ทานที่ห้องแอชละครับ”

“ก็ถ้าไม่มานี่แดดดี้ก็ไม่มีโอกาสง้ออังเคิ่ลฟ่างสิฮ่ะ”

“แค่กๆ”เล่นเอาสำลักข้าวเลยทีเดียวครับ สายตาผมรีบพุ่งไปยังผู้ใหญ่ที่กำลังยิ้มชอบอกชอบใจอยู่นั่นทันที สายตาผมบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายก็ทำหน้าหงอๆ เป็นเชิงอ้อนกลับมา นี่คิดว่ามันจะได้ผลกับผมหรือไง ถ้าไม่ติดว่า มีแอชตั้นอยู่ ผมคงต่อว่าเค้าไปแล้วที่สอนลูกให้มาพูดอะไรแบบนี้

“แอชครับ อังเคิ่ลกับแดดดี้ของแอช เป็นพี่น้องกัน แล้วก็ไม่ได้โกรธ อะไรกัน ไม่ต้องมีใครต้องง้อใคร”

“แต่แดดดี้บอกว่า…”

“เอ่อ แดดดี้ว่าเรารีบทานข้าวดีกว่านะครับ”เป็นข้าวโพดเองที่เบรคแอชตั้น เพราะคงเริ่มรู้แล้วว่า การใช้แอชตั้นมาพูดหว่านล้อมผม น่าจะได้ผลทางลบเสียมากกว่า เราทั้งสามกลับมาทานข้าวกันเงียบๆ อีกครั้ง แต่ก็มีเสียงแอชตั้นถามอะไรทั่วๆ ไปอีกเล็กน้อยตามประสาเด็กช่างพูด

“เดี๋ยวพี่เก็บเองก็ได้ ทำก็มาทำให้กินแล้ว นี่ห้องพี่พี่เก็บเองได้ โพดพาแอชตั้นกลับห้องไปเถอะ”ผมบอกอีกฝ่ายที่หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ยังจะเก็บกวาด เอาถ้วยจานชามไปล้างให้ผมอีก

“ให้ผมทำเถอะนะครับ”เหมือนคำพูดของผมจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ แถมยังมีเด็กน้อยมายืนจ้องเราสองคนอีกต่างหาก นี่เค้าจะคิดว่าระหว่างผมกับข้าวโพดคือความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ ยิ่งข้าวโพดไปบอกว่าเป็นคนรักกับผม เด็กอายุแค่นี้จะเข้าใจเหรอ ว่ามันคือความสัมพันธ์แบบไหน

“แอชดูการ์ตูนไหมครับ”ในเมื่อให้เค้ากลับไปไม่ได้ ผมว่าก็ควรแยกลูกชายเค้าออกจากเราก่อนเพื่อจะได้พูดทุกอย่างกับเค้าให้เข้าใจและตรงไปตรงมาได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าการ์ตูนและเด็กเป็นของคู่กัน แอชตั้นรีบตามผมมาอยู่หน้าทีวี

“30 นาทีนะครับแอชตั้น”เสียงอีกคนที่อยู่ในครัวตะโกนออกมา นี่คงเป็นข้อตกลงระหว่างพ่อลูกเค้าสินะ หลังจากแอชตั้นจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีแล้ว ผมก็เดินย้อนกลับมาที่ห้องครัว เพื่อคุยกับอีกคนให้เข้าใจ

“อย่าทำแบบนี้เลยนะ”

“ทำอะไรเหรอครับ”

“ที่ทำอยู่นี่ไง ย้ายมาอยู่ที่นี่ เอาเรื่องป่วยมาอ้าง เอาเรื่องทำกับข้าวตอบแทนนี่มาอ้าง หรือแม้แต่เอาแอชตั้นมาช่วยพูด”ผมบอกตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะคิดว่าไม่อยากเสียเวลาให้มันคาราคาซังไปมากกว่านี้

“ผมบอกแล้วไงครับว่าอยากดูแลพี่ฟ่าง ตามที่เคยสัญญาไว้ ผมก็แค่จะทำตามสัญญา”

“เหอะ”ผมหัวเราะในลำคออย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง

“…”

“สัญญาของเด็ก 10 กว่าขวบจะเก็บมาใส่ใจทำไมอีก ตอนนี้โพดก็มีความสุขดี พี่ก็มีความสุขดี เราก็แค่ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันต่อไป เหมือนหลายปีที่ผ่านมาไง โพดจะอยากมายุ่งกับพี่อีกทำไม ถ้าเพราะแค่คำสัญญานั่น เอาเป็นว่าพี่ถอนคำสัญญาให้”

“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำไปเพราะแค่คำสัญญา”เค้าละมือจากถ้วยจานที่กำลังล้าง เดินตรงเข้ามาจนผมต้องถอยหลัง

“ไม่ พี่ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละโพด รู้แค่ว่าพี่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว เพราะงั้นขอร้อง ถ้าจะกลับเข้ามาเพื่อทิ้งกันไปอีก ก็อย่าเลย”

“พี่ฟ่างฟังผมนะครับ”

“…”เค้าก้าวเข้ามายืนประชิดผม มือที่เปียกน้ำนั้นจับที่ปลายคางของผม ให้มองสบตากับเค้า

“โพดรักพี่ฟ่างนะครับ รักมาตลอด เคยรักยังไงก็ยังรักอย่างนั้น”

“รัก…เหรอ รักแล้วยังไง ปากบอกว่ารัก แค่คำว่ารักเฉยๆ มันทำให้มีความสุขได้เหรอ วันนี้บอกรักแต่พรุ่งนี้โพดก็หายไปอยู่ครึ่งค่อนโลก แล้วยังไงต่อ พี่ก็ต้องอยู่กับคำว่ารักที่ไกลแสนไกลนั่นเหรอ มันเหนื่อยนะ เหนื่อยมานานแล้วด้วย ที่ได้แต่ไขว่คว้ากับคำว่ารักในอากาศแบบนี้”ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าจะมาพูดอะไรแบบนี้ ทั้งที่ตั้งใจแค่ว่า ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ก็แค่อยากให้เราต่างคนต่างแยกกันไป

แต่เหมือนทุกอย่างที่มันอัดอั้นอยู่ในใจของผมมันทะลักออกมา ผมเริ่มรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อน แต่ผมจะไม่ปล่อยให้มันไหลออกมา ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย และพยายามเบือนหน้าหนีคนตรงหน้า

“แล้วการที่พี่จะผลักไสผม แบบนี้ พี่มีความสุขไหมละครับ ลองคิดดูดีๆ ว่าแต่ก่อนที่เราอยู่กันคนละครึ่งค่อนโลกและเจอกันแค่ปีละครั้ง กับช่วงเวลาที่เราไม่ติดต่อไม่เจอกันเลย แบบไหนที่พี่มีความสุขมากกว่ากัน”

“…”ผมเงียบเพราะไม่อยากจะพูดแล้ว ถ้าเค้าพูดมาขนาดนี้ แค่จะให้ผมกลับไปอยู่ในจุดเดิม จุดที่ได้แต่เฝ้ารอการติดต่อจากเค้า รอการพบเจอกันแค่ 10 วันต่อปี เค้าคิดว่าแค่นั้นมันเพียงพอจริงๆ เหรอ ใช่ผมรู้ว่ามันคงมีคู่รักอีกหลายคู่ที่ต้องแยกกันอยู่ห่างไกล ด้วยหลายสาเหตุ แต่วันนึงเค้าก็คงมีจุดหมายว่าจะได้อยู่ด้วยกันในสักวัน แล้วระหว่างผมกับเค้าละ มันมีจุดนั้นอยู่หรือเปล่า

“พี่ฟ่างเคยคิดอยากจะไปใช้ชีวิตที่อเมริกาบ้างไหมละครับ”มันก็แค่คำถามเดิม เมื่อนานมาแล้ว และเค้าก็รู้คำตอบอยู่แล้วนิ ว่าผมไม่คิดจะไปใช้ชีวิตในต่างแดน โอเคผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่อยากให้เค้าเป็นฝ่ายกลับมาหาผม แต่ช่างเถอะ

“ก็รู้คำตอบอยู่แล้วนิ”ผมตอบออกไปเสียงเรียบ

“งั้นก็ดีครับ”

“…”

“เพราะผมกำลังคิดที่อยากจะกลับมาอยู่ไทย ถ้าพี่คิดจะไปอเมริกาผมคงเสียใจแย่”รอยยิ้มของอีกฝ่าย ผุดขึ้นมาหลังพูดประโยคนั้นจบ แต่ผมได้แต่งงๆ กับคำพูดนั้น ไม่เข้าใจว่าเค้าหมายความยังไงกันแน่

“ถ้าจะทิ้งทุกอย่าง ที่มีหรือทิ้งอนาคตที่ดีกว่าของแอชตั้น ก็อย่าเลย”

“ไม่หรอกครับ ผมจะไม่ทิ้งพี่ไปไหนอีกแล้ว ต่อให้พี่ผลักไสผมแค่ไหนก็ตามที”เค้าก้มหัวลงมาเอาหน้าผากชนกับหน้าผากผม จนตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน

“…”สมองผมเริ่มประมวลผล ว่าควรจะเอายังไงต่อ

“เรามาเริ่มกันใหม่นะครับ”ผมยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ริมฝีปากผมก็ถูกอีกคนประกบลงมาอย่างถือวิสาสะ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้อีกคนสอดลิ้นเข้ามาอย่างง่ายดาย แล้วผมเองก็ดันตอบรับสัมผัสของอีกคนอย่างยั้งตัวเองไม่ได้อีก แถมอีกฝ่ายเหมือนยิ่งจะได้ใจที่เห็นการตอบสนองของผม

“แดดดี้ฮ่ะ”เสียงเรียกของแอชตั้นทำให้เราต้องผละออกจากกัน แล้วไม่นานเด็กชายตัวน้อยก็เดินมาถึงในครัว

“แอชดูตูนครบ 30 นาทีแล้ว แดดดี้จะกลับยังฮ่ะ”เด็กน้อยที่ดูจะไม่รู้เรื่องอะไรเดินเข้ามาถาม ตามใสแป๋ว จนผู้ใหญ่อย่างเราสองคนทำตัวไม่ถูก

“กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพี่ทำเอง”ผมรีบดึงสติและบอกกับอีกคน ให้พาแอชตั้นกลับห้องไปก่อน เพราะผมเองก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ผมควรจะตัดสินใจไปทางไหนต่อ สิ่งที่ข้าวโพดพูดมามันหมายความอย่างนั้นจริงๆ ไหม ถ้าผมจะลองเสี่ยงอีกสักครั้ง มันจะลงเอยด้วยดีหรือเปล่า

แม้ว่าอีกคนจะดูยังไม่ค่อยอยากกลับสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไปแต่โดยดี พออยู่คนเดียวผมก็ได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรมากขึ้น บอกตามตรงว่าผมยังรักเค้าอยู่ เพียงแต่ผมยังไม่กล้า ไม่กล้าที่จะเสี่ยงทุ่มใจลงไปอีกครั้ง เพราะถ้าสุดท้ายผมต้องเจ็บ ครั้งนี้มันคงเจ็บยิ่งกว่าเดิม






 






TBC



หายไปนานเลย ขอโต๊ดด

พอดีติดฉลองปีใหม่ยังไม่จบ

หลังจากนี้จะพยายามมาต่อให้บ่อยขึ้นเนอะ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 25 เริ่มใหม่ได้ไหม 27-01-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-02-2018 21:33:35
บทที่ 26
อนาคต




“อิเจ้ ทำไมช่วงนี้ดูระริกระรี้แปลกๆ มียาดีอะไรไหนเล่ามาดิ”ผมมองตามเสียงพูดคุยของไอ้ต้าร์กับเจ้โอ๋ที่อยู่ห่างไปไม่เท่าไหร่ ช่วงนี้พวกเราแทบไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์ด้วยกันเท่าไหร่ ไอ้ต้าร์เองก็ดูแลกุ้ง ส่วนเจ้โอ๋ ผมก็เริ่มสงสัยเช่นกันว่าทำไมพักหลังมาเนี่ย เจ้ดูไม่ค่อยเหงา หรือมาลากพวกผมไปปาร์ตี้ด้วยเลย

“ไว้ว่างๆ จะพามาเปิดตัว”โทรศัพท์มือถือของเจ้โอ๋ ถูกส่งให้กับไอ้ต้าร์

“เชร็ดอิเจ้ ซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย”

“ปากเหรออิต้าร์ คนนี้เจ้ผูกมัดด้วยใจล้วนๆ”เสียงพูดคุยเดินใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนไอ้ต้าร์จะยื่นมือถือมาให้ผมดู

“อิเจ้กินเด็กวะมึง”ภาพชายหนุ่มที่น่าจะเด็กกว่าผมหลายปีปรากฏอยู่บนหน้าจอ พร้อมด้วยเจ้โอ๋ที่มองมาทางผมด้วยควมเหนียมอาย ซึ่งดูไม่ใช่เจ้แกเลย

“นี่จริงจังหรือเปล่าเจ้”ผมถามกลับไปอย่างเป็นห่วง คือไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อในรักต่างวัยนะครับ เพียงแต่ผู้หญิงอายุมากกว่าผู้ชายเยอะๆ บางทีมันก็น่าห่วง

“พี่อายุปูนนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวใครจะมาหลอกหรอก ประสบการณ์มันทำให้พี่แกร่งขึ้นเยอะแล้วแหละ น้องฟ่างไม่ต้องห่วง”

“มึงห่วงเจ้มันจะไปหลอกเด็กเหอะไอ้ฟ่าง”แล้วทั้งสองคนก็ลับฝีปากกันต่อเช่นเคยครับ ก็ต่อปากต่อคำกันไป เก็บของกันไปเพราะนี่ก็เลิกงานแล้ว ดูๆ ไปเจ้โอ๋คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่หรอกครับ ตอนนี้ผมว่าผมควรห่วงตัวเองจะดีกว่า

“อิต้าร์พักเรื่องชั้นไว้ก่อนดีมะ เจ้ว่ามาคุยเรื่องน้องฟ่างจะดีกว่า ยังไงคะยังไง ได้ข่าวว่าเมื่อเช้ามีคนขับรถมาส่ง”นั่นไงสุดท้ายก็วก มาที่ผมจนได้สินะ

“ก็ไม่มีอะไร แค่เห็นว่าแอชตั้นจะไปว่ายน้ำ ก็ไม่อยากให้ลำบากต่อแทกซี่ ขึ้นรถไฟฟ้าอะไรกันให้วุ่นวาย อีกอย่างผมก็ไม่ได้ใช้รถทำอะไรอยู่แล้ว แถมตอนเย็นพ่อลูกนั่นก็ยังต้องแวะซื้อของสดไปทำกับข้าวอี…อีก”พอเห็นสายตาวิบวับจากทั้งคู่นั่นทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปมากเกินความจำเป็นเสียแล้ว

ที่จริงหลังจากวันนั้น ผมเองถึงจะไม่ได้ยอมรับตรงๆ ว่าเปิดโอกาสให้กับข้าวโพด แต่ด้วยความที่ทั้งไอ้ต้าร์และโอ๋ก็ต่างแยกตัว ไม่ค่อยมีเวลาไปสังสรรค์กับผม ทำให้ผมปล่อยให้ข้าวโพดกับแอชตั้นก้าวเข้ามาในชีวิตผมมากขึ้น เรียกว่ามื้อเย็นผมจะได้ทานข้าวพร้อมสองพ่อลูกนั่นทุกวัน หรือวันหยุดของผมก็จะมีกิจกรรมร่วมกับสองพ่อลูกนั่นเป็นครั้งคราว

แต่ระหว่างผมกับข้าวโพด ผมก็ยังเว้นระยะห่าง และพยายามยั้งไม่ให้มีอะไรมันเกินเลยกันมากกว่าที่เป็น เพราะผมเองก็ยังกลัว และไม่มั่นใจ

“น้องฟ่าง ฟังพี่นะ ครั้งนึงพี่ก็เคยพูดว่าไม่มีใครเราก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้พี่รู้สึกว่าการที่มีใครอีกคนเข้ามาในชีวิต มันก็ไม่ได้แย่ ถึงพี่จะคบเด็กถึงจะมีใครบอกว่าคงไปไม่รอด แต่แล้วไงละ มันความสุขพี่ ถ้าวันนึงพี่จะเสียใจมันก็คือสิ่งที่พี่เลือกแล้ว เพราะงั้นถ้าอะไรที่ฟ่างคิดว่า ทำแล้วมีความสุข ก็ทำไปเถอะ”

“อิเจ้ นานๆ ทีจะมีสาระนะเนี่ย”

ผมเพียงยิ้มบางๆ ให้กับทั้งคู่โดยไม่ได้ตอบอะไรอีก เราทั้งสามเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็พากันลงลิฟต์ กันมา ก่อนจะพบว่า ตัวผมเองลืมเสียสนิท ว่าสองคนพ่อลูกที่ยืนอยู่นั่นจะมารับผม

“ไปนะเจ้ ไปนะไอ้ต้าร์”ผมรีบตีเนียนกะชิ่ง เพราะยังไม่อยากอธิบายอะไรกับทั้งสองคนเท่าไหร่

“สรุปนี่มึงคือยังไง รีเทิร์น เริ่มใหม่กันแล้ว”ไอ้ต้าร์ดึงผมไว้ไม่ปล่อยให้หนีไปได้

“รีเทิร์นเริ่มใหม่อะไรละ กูกับโพดก็พี่น้องกันไหม”

“มึงสับสันอะไรไหมฟ่าง ได้กันแล้วอย่างพวกมึงเค้าไม่เรียกพี่น้องแล้ว”

“อิต้าร์”เจ้โอ๋ รีบตีแขนไอ้ต้าร์ เมื่อเห็นสีหน้าผมที่คงชะงักไปกับคำพูดนั้น ผมรีบบอกว่าไม่เป็นไร และรีบขอตัวแยกไปหาข้าวโพดกับแอชตั้น ส่วนไอ้ต้าร์กับเจ้โอ๋ก็แค่โบกมือทักทายข้าวโพดกับแอชตั้นก่อนจะแยกเดินไปอีกทาง

“อังเคิ่ลฟ่างฮ่ะ วันนี้แอชว่ายน้ำเก่งแล้ว ไว้ไปว่ายแข่งกันนะฮ่ะ”เด็กน้อยรีบอวดผม ที่เจ้าตัวเล็กนี่อยากว่ายน้ำเป็นก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะน้องน้อยที่เค้าตั้งตารอ ลูกของชาร์ปกับคุณปาร์ตี้ อยู่ที่ภูเก็ต กะว่าตัวเองจะเป็นพี่ใหญ่ ไปทะเลต้องว่ายน้ำเป็น ดูแลน้องได้ เป็นแค่เด็กตัวแค่นี้อยากจะไปดูแลคนอื่นแล้ว

“เหนื่อยไหมครับ”เสียงอีกคนถามผมขึ้น ผมเพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะเดินตามเด็กน้องที่จูงมือผมเดินนำ ไปขึ้นรถกลับบ้าน เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วตลอดทางตามประสาเด็กช่างพูด พอถึงข้าวโพดก็เป็นคนรับหน้าที่เข้าครัว ส่วนผมก็รับฟังเด็กช่างพูดนี่ ที่มีอะไรมาเล่าให้ผมฟังแทบทุกวัน จนยิ่งนับวันผมก็ยิ่งกลัว กลัวว่าจะเคยชินกับการมีเค้าทั้งสองคน แล้วถ้าวันนึงที่ทั้งคู่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะเป็นยังไง

“กับข้าวเสร็จแล้วครับคุณลุงคุณหลาน หิวกันหรือยัง”เสียงข้าวโพดดังมาพร้อมกับอาหารที่ส่งกลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก เค้ากำลังทำให้ผมเคยชิน ทำให้ผมกลับเข้าไปในวังวนของเค้า และแน่นอน มันคงเป็นผมเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปโดยที่ไม่ได้คิดจะทัดทานอะไร

มื้ออาหารดำเนินไปเหมือนทุกๆ วัน บทสนทนาที่ส่วนใหญ่จะเป็นสองพ่อลูกที่เป็นคนโต้ตอบและผลัดกันหันมาดึงผมให้ร่วมวงสนทนาด้วย หลังมื้ออาหารก็เช่นเดิมทุกวัน แอชตั้นจะได้รับอนุญาตให้ดูทีวีรอได้ 30 นาทีโดยที่มีผมนั่งเป็นเพื่อน เพราะหลังจากวันนั้นที่ผมเข้าไปคุยกับข้าวโพดตอนล้างจาน แล้วเค้าจูบผม ผมก็เลือกที่จะรออยู่ด้านนอกกับแอชตั้นมากกว่าที่จะพาตัวเองเข้าไปตรงนั้น แต่วันนี้…

“โพด…”วันนี้ผมกลับเลือกที่จะเดินเข้ามาหาเค้า ข้าวโพดหันมามองผมด้วยสายตาที่แปลกใจพอสมควร

“…”

“ถามเรื่องแอชตั้นหน่อยได้ไหม”

“ครับ”

“โพดเคยคิดจะบอกความจริงกับแอชตั้นไหม”

“ถามทำไมเหรอครับ”

“ก็แค่ถามดู แต่ถ้าพี่ละลาบละล้วงมากไป หรือไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นไร”

“ถามได้ครับถามได้ แต่เรื่องนี้ผมคงแล้วแต่ผึ้งเค้าแหละครับ ว่าจะพร้อมเมื่อไหร่”

“อ๋อ งั้นเหรอ”ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันหลังกลับเตรียมเดินออกไปด้านนอก เพราะที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้หรอกครับ คือผมพอจะเดาออกอยู่แล้วว่าคำตอบต้องประมาณนี้ เพียงแต่นี่เป็นคำถามที่ผมเพิ่งจะนึกได้ เมื่อรู้สึกตัวว่าพาตัวเองมายืนมองอีกคนถึงนี่

“เดี๋ยวสิครับพี่ฟ่าง อย่าบอกนะว่าแค่จะมาถามผมแค่นี้”ไม่มันที่ผมจะก้าวออกไปไหนได้ไกล ก็โดนอีกคนพุ่งพรวดมาดักหน้าขวางไว้เสียก่อน

“ก็…จะถามแค่นี้จริงๆ”ผมพยายามตอบกลับให้ดูปกติ ทั้งที่ตอนนี้ก็รู้สึกลนๆ แปลกๆ อยู่เหมือนกัน ผมกำลังสับสนว่าจะพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ทำไม

“ไม่จริง ผมรู้นะครับว่าพี่ฟ่างมีเรื่องที่สงสัยมากกว่านี้”เค้ายิ้มเหมือนกำลังรู้อะไรบางอย่าง

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ หลีกไป”

“อาทิตย์หน้า ลูกๆ ของพี่ชาร์ปกับพี่ตี้ก็จะคลอดแล้ว ผมคงต้องพาแอชตั้นไปเจอน้องตามที่สัญญาไว้”อาทิตย์หน้าแล้วจริงๆ สินะ แม้ผมจะไม่ได้รู้วันที่แน่นอนแต่ก็กะเอาไว้อยู่แล้ว ว่ามันใกล้จะถึงวันที่เค้าต้องไปแล้ว ถ้าตามที่แอชตั้นเคยบอกกับผม หลังจากไปภูเก็ตแล้ว เค้าก็ต้องกลับอเมริกาสินะ

“…”ผมนิ่งเงียบไม่ได้ถามอะไรเค้าต่อเพราะผมว่าผมรู้คำตอบที่ตัวเองสงสัยแล้ว

“แล้วผมก็คงต้องกลับอเมริกา”ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วแต่ทำไมพอได้ยินจากปากเค้าจริงๆ ใจผมมันดันกระตุกวูบแบบนี้

“อือ…ก็รู้อยู่แล้ว”

“อย่าเพิ่งทำหน้าเศร้าสิครับ”เค้ายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ผิดกับผมที่แม้ไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง แต่มันคงไม่ใช่ความรู้สึกที่จะยิ้มออกมาได้เหมือนเค้าแน่นอน

“ไปล้างจานต่อเถอะ เดี๋ยวแอชตั้นจะรอนาน”ผมรีบตัดบทสนทนา รู้สึกว่าไม่อยากรับรู้อะไรเพิ่มแล้ว

“ผมกลับไปก็ใช่ว่าจะไม่กลับมานี่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมวางแผนที่จะกลับมาอยู่ไทย”

“…”

“แล้วก็ในแผนของผมก็มีพี่ฟ่างอยู่ด้วยนะครับ”มันก็อาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูดีนะครับ และมันก็อาจจะรู้สึกดีที่มีใครใส่เราไว้ในอนาคตของเค้า แต่ผมจะมั่นใจในคำพูดนั้นได้แค่ไหนกันเชียว

“โพดจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับพี่หรอก”

“เวลาพูดทำไมต้องหลบตาผมด้วยละครับ”ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อเผชิญกับเค้าโดยไม่บ่ายเบี่ยงอีก

“แค่คำพูด มันไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนหรอกนะโพด”

“อยากได้การกระทำเหรอครับ”ตัวผมถูกดันให้ถอยหลังจนชิดผนัง แล้วเค้าก็กระเถิบตัวเค้ามาประชิดพร้อมด้วยรอยยิ้ม อย่างมีเลศนัย

“โพด”สองมือผมดันเค้าไว้ เรียกชื่อเค้ากดเสียงต่ำให้รู้ว่าไม่ค่อยพอใจการกระทำของเค้าสักเท่าไหร่

“โอเคครับโอเค ผมไม่แกล้งแล้วก็ได้”มันจะน่าเชื่อกว่านี้ถ้าคำพูดนี้ไม่ได้มาจากการก้มลงมากระซิบข้างหูผม

“เลิกเล่นได้แล้ว”ผมผลักเค้าออกอีกครั้งเต็มแรง แต่เค้าก็ยังคงยิ้มหน้าระรื่น

“พี่ฟ่างคอยดูแล้วกันนะครับ เพราะผมถือว่าผมบอกแล้ว”

“บอกอะไร”

“ก็อนาคตของผมไงครับ…อนาคตที่จะต้องมีพี่ฟ่างอยู่ด้วย”




TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 26 อนาคต 12-02-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-02-2018 11:26:24
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 26 อนาคต 12-02-2018
เริ่มหัวข้อโดย: EunSung87 ที่ 01-03-2018 00:15:53
รีบไปรีบกลับมาสานสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวนะ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 27 น้องของแอช/แฟนของพ่อ 28-03-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-03-2018 11:55:19
บทที่ 27
น้องของแอช/แฟนของพ่อ



 พาร์ทของโพด





“น้องตัวเล็กจังเลยฮ่ะ”ลูกชายผมพูดอย่างตื่นเต้น พร้อมจ้องมองเด็กน้อยฝาแฝด 2 คนที่คงกำลังหลับฝันหวาน ตอนนี้ผมกับแอชตั้นอยู่ที่ภูเก็ต เพราะต้องพาแอชตั้นมาเจอน้องๆ

น้องๆ ที่เจ้าตัวยุ่งของผมนับวันรอ ผมอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเค้ามากนัก เพราะตอนผมเกิดมา ผมก็มีพี่ชายอย่างพี่ข้าวฟ่างมาตลอด แต่แอชตั้นที่ตั้งแต่เกิดมาโลกทั้งใบของเค้าคงมีแค่ผมคนเดียว แต่จากนี้ดูๆ แล้วหายใจเข้าออกคงมีแต่น้องแล้วละมั้ง แล้วตอนผมเกิดมา พี่ฟ่างจะรู้สึกยังไงบ้างนะ รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงช้าๆ

“รัก” ผมก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพี่ฟ่างรักผม แต่สิ่งที่ผมทำกับพี่ฟ่างสิ ทั้งที่คิดว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ผมเหมือนคนโง่ที่ทำอะไรโง่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนี้ไปผมคงต้องรีบแก้ไขทุกอย่างให้มันถูกต้องเสียที ผมหันไปมองลูกชายตัวน้อยอีกที เค้ายังคงตื่นเต้นกับการได้เจอน้องใหม่ สายตาเป็นประกายราวกับได้เจอของมีค่าในชีวิต

“น้องไม่มีแม่เหมือนแอชใช่ไหมฮ่ะ”คำพูดไร้เดียงสาของเจ้าตัวเล็กคงพูดออกมาโดยที่ไม่คิดอะไร แต่ผู้ใหญ่อย่างผม พี่ชาร์ปและพี่ตี้ พ่อ-พ่อ ของเด็กแฝดก็ดูหน้าเสียไปเหมือนกัน ยิ่งพี่ตี้ที่ผมก็เคยได้รับรู้มาเช่นกันว่าค่อนข้างกังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ว่าลูกๆ เกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อ 2 คนแบบนี้จะส่งผลอะไรกับเด็กๆ หรือเปล่า

“แดดดี้บอกแล้วไงครับ ว่าแอชมีแม่ น้องๆ ก็มีแม่ เพียงแต่แม่ไม่อยู่แล้ว”แอชตั้นหันมามองพร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็นั่นแหละครับเค้ายังเด็กอธิบายอะไรไปตอนนี้คงยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็อาจต้องค่อยๆ บอกไปทีละนิด รวมถึงความจริงเกี่ยวกับผึ้งด้วย

“แต่น้องมีพ่อสองคน แอชมีแดดดี้คนเดียวเอง”เจ้าตัวยุ่งของผมทำท่าคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินมาหาผม

“เมื่อไหร่แดดดี้จะจีบอังเคิ่ลฟ่างติดฮ่ะ แอชจะได้มีพ่อสองคนเหมือนน้องมั่ง”

“โว๊ะ นี่ลูกชายดูจะมีแววมากกว่าพ่อเสียละมั้งเนี่ย”พี่ชาร์ปหันมาหัวเราะชอบอกชอบใจพร้อมโยกหัวลูกชายผมอย่างเอ็นดู ส่วนเจ้าตัวเล็กก็มายืนแบมือขอโทรศัพท์มือถือผมเรียบร้อยครับตอนนี้ ซึ่งช่วงนี้เป็นอันว่ารู้กันว่าถ้าตัวเล็กนี่ทำแบบนี้ ก็คือจะขอคุยกับอังเคิ่ลฟ่างของเค้านี่แหละครับ

“หวัดดีฮ่ะอังเคิ่ลฟ่าง คิดถึงแอชไหมฮ่ะ”ทันทีที่หน้าจอปรากฏใบหน้าของอีกคน เจ้าลูกชายผมก็ฉีกยิ้มกว้างทันที จะว่าไปแล้วผมก็โชคดีนะครับที่มีแอชตั้นเป็นใบเบิกทาง เพราะไม่งั้นผมคงเข้าถึงพี่ฟ่างยากกว่านี้แน่ๆ

ถึงแม้ผมจะรู้สึกได้ว่าพี่ฟ่างเองก็เปิดใจให้ผมบ้างแล้ว แต่มันก็ยังเหมือนมีกำแพงบางอย่างที่ผมยังทำลายลงไม่ได้ มันก็แน่ละผมทำเรื่องแย่ๆ ไว้เสียขนาดนั้น นั่นเป็นเหตุผลนึงที่ผมเองไม่ไปเจอพี่ฟ่างเลยตลอดหลายปี และสิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็คือการมาที่ภูเก็ตเหมือนเดิม ในทุกๆ ปี ด้วยความหวังว่าพี่ฟ่างจะยังมาเหมือนเดิม

“แอชจะให้ดูน้องฮ่ะ น้องน่ารักมาก”ลูกชายตัวน้อยผมยังคงจ้อไม่หยุดพร้อมพยายามหันกล้องให้อังเคิลฟ่างของเค้าได้เห็นหน้าน้อง โชคดีที่ผมเองเล่าเรื่องระหว่างผมกับพี่ฟ่างให้แอชตั้นฟังมาตลอด ทำให้เจ้าตัวเล็กนี้ก็อยากเจอและหลงรักพี่ฟ่างมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักกันเสียอีก แต่จะว่าไปก็ตลกดีเหมือนกันที่แอชตั้นผู้อยากเจออังเคิ่ลฟ่างนักหนา พอเจอกันครั้งแรกจริงๆ เจ้าลูกชายผมกลับจำพี่ฟ่างไม่ได้เสียงั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ให้เหตุผลว่าเห็นในรูปกับตัวจริงมันไม่เหมือนกัน

“แอชครับ ขออังเคิ่ลคุยกับแดดดี้แอชหน่อยสิครับ”หลังจากสองคนคุยกันไปพักใหญ่ ทั้งผมและแอชตั้นก็ต้องแปลกใจ เพราะปกติเวลาพี่ฟ่างคุยกับแอชตั้นแบบนี้ ขนาดผมพยายามตื้อขอคุยด้วย ยังไม่ยอมคุยกับผมเลย แต่วันนี้กลับมาขอคุยกับผมเอง

“คิดถึงผมเหรอครับ”ผมฉีกยิ้มกว้างเลียนแบบแอชตั้น หวังว่าจะได้รับความเอ็นดูบ้าง

“ฝากยินดีตี้กับชาร์ปด้วยนะ ไว้ถ้าได้ไปภูเก็ตเมื่อไหร่จะหาอะไรไปรับขวัญหลาน”เหมือนคำทักทายของผมจะถูกมองข้ามไปแบบไม่มีเยื่อใยสักนิด

“ก็ผมชวนให้มาพร้อมกันก็ไม่มา”

“บอกแล้วไงว่าติดงาน”น้ำเสียงที่ออกจะดูรำคาญผมหน่อยๆ สวนมาแทบจะทันที แต่ผมไม่สนหรอก แค่พี่ฟ่างยอมคุยกับผม แค่นี้มันก็ดีแล้ว

“…”ผมฉีกยิ้มกว้างกลับไปโดยไม่พูดอะไร ส่วนอีกคนนะเหรอครับ ส่งหน้าเหวี่ยงๆ คืนมาให้ผมเป็นที่เรียบร้อย

“พี่มีเรื่องอยากจะถาม”สีหน้าที่จริงจังนั่นทำเอาผมหุบยิ้มลง เพราะดูท่าแล้วคงมีเรื่องที่ซีเรียสพอสมควรในการคุยกับผม

“โพดจะกลับอเมริกาเมื่อไหร่”

“ครับ”ผมรับคำอย่างงงๆ คือผมก็ตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับพี่ฟ่างจริงๆ จังๆ นะครับแต่ทุกครั้งพี่ฟ่างก็บ่ายเบี่ยง เลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ตลอด ซึ่งผมกะว่ากลับจากภูเก็ตก็จะขอคุยอีกที เพราะจากนี้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันต้องพัฒนาให้มากขึ้น

“พี่ถามว่าจะพาแอชตั้นกลับเมกาเมื่อไหร่”

“วันอังคารหน้าครับ”ผมบอกไปตามตรงเพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ของพี่ฟ่าง

“งั้นก่อนกลับพาแอชตั้นมากินข้าวกับพี่หน่อยนะ”แล้วอีกฝ่ายก็เงียบไป

“แค่นี้เหรอครับ”ผมว่าผมรู้นะครับว่าความจริงพี่ฟ่างคงมีอะไรอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่ด้วยนิสัยปากหนักของพี่แกละมั้ง

“จริงๆ ก็มีเรื่องจะคุยอีกนะ แต่ไว้คุยที่กรุงเทพฯ ก็ได้”ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มส่งไปเพราะรู้สึกว่าตอนนี้โอกาสของผมมันกำลังเพิ่มมากขึ้นแล้ว และผมคงไม่ปล่อยให้มันหลุดไปอีกแน่นอน

“ผมก็มีเรื่องจะคุยกับพี่ฟ่างเหมือนกันครับ”เราจ้องมองกันผ่านหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอยู่พักนึงแต่เชื่อเถอะครับว่าตอนนี้เรากำลังรับรู้ความคิดของอีกฝ่าย ผมรู้ว่าพี่ฟ่างก็คงอยากคุยเรื่องระหว่างเราสองคน และพี่ฟ่างเองก็เดาได้ไม่ยากเลย ว่าเรื่องที่ผมอยากคุยกับเค้าคือเรื่องอะไร

“งั้นไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ นะ”

“เดี๋ยวครับพี่ฟ่าง”ผมรีบรั้งอีกคนไว้ก่อนที่เค้าจะจบบทสนทนา

“…”

“คิดถึงนะครับ”ผมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งเพราะอาการเหวออย่างตั้งตัวไม่ทันของอีกฝ่าย พี่ฟ่างทำหน้าไม่ถูกไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนี้ละมั้ง แล้วพี่ฟ่างก็ปล่อยให้ผมยิ้มกว้างกับหน้าจอที่ดับไป

“เอ้ายิ้มขนาดนี้นี่ เหมือนจะได้ยินข่าวดีแล้วใช่ไหม”พี่ชาร์ปเดินมาตบไหล่ผม พร้อมเอ่ยปากแซว ที่จริงเรื่องราวระหว่างผมกับพี่ฟ่าง คนที่นี่ก็รับรู้หมดแหละครับ และผมก็โดนทุกคนด่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่าให้ฟังเลยนั่นแหละครับ

ซึ่งผมก็สมควรโดนแล้วแหละครับ ตอนนั้นผมอาจจะคิดและตัดสินใจผิดพลาดไป ปากผมก็บอกว่าแคร์พี่ฟ่าง รักพี่ฟ่าง แต่ทุกอย่างที่ผมทำลงไปนั่น มันคือการทำร้ายคนที่ผมบอกว่ารักอย่างไม่น่าให้อภัย

“พี่เข้าใจนะเว้ย เพราะพี่เองก็เคยทำไม่ดีกับปาร์ตี้เค้ามาก่อน”พี่ชาร์ปยังคงพูดต่อ พร้อมกับมองไปที่พี่ตี้และลูกชายของผมที่พากันจ้องมองเด็กชายฝาแฝดนั่นอยู่ไม่ไกลนัก

“แต่ตอนนี้พี่กับพี่ตี้ก็มีความสุขกันแล้วนิ”ผมแกล้งพูดไปอย่างน่าหมั่นไส้ ถึงจะเคยฟังเส้นทางความรักของทั้งคู่มาแล้วก็เถอะ ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าเทียบกันแล้ว เรื่องของพี่ชาร์ปทำกับพี่ตี้ และเรื่องผมทำกับพี่ฟ่าง ก็ไม่รู้อันไหนมันเลวร้ายกว่ากัน

“เรื่องแบบนี้ มันต้องเปิดใจคุยกันตรงๆ อย่างพี่กับตี้เนี่ย ต่างคนต่างคิดเอาเอง และจุดเริ่มต้นของพวกพี่มันก็เริ่มแบบไม่ปกติด้วย มันเลยเจ็บกันทุกฝ่าย”นั่นสินะ ผมเองก็ไม่ต่างนักหรอก เราทั้งคู่ต่างก็ไม่ยอมพูดกันตรงๆ แล้วพอคิดได้ทุกอย่างมันก็เลยมาไกลมากแล้ว

“…”

“เอ้า จะมาทำหงอยทำไมวะ ตอนนี้ฟ่างเองก็ไม่ได้มีใคร แถมมองยังไงฟ่างเองก็คงรอที่จะเริ่มใหม่อยู่แล้ว เพียงแต่มึงเนี่ยแหละโพด ไปทำให้เค้ามั่นใจสักที”

“ก็กำลังพยายามอยู่แหละพี่ แต่อาจจะยังไม่มากพอ หรือผมจะใช้วิธีจับปล้ำเลยแบบที่พี่ใช้กับพี่ตี้ดีไหม”ผมปรับอารมณ์ให้มันดูบรรยากาศดีขึ้น แถมด้วยการยกเรื่องราวของพี่ชายทั้งสองมาแซว พี่ชาร์ปเองเคยเล่าว่าตอนที่จะได้ปรับความเข้าใจ เปิดใจกัน พี่ชาร์ปดันรวบหัวรวบหางพี่ตี้ แต่ตื่นเช้ามาพี่ตี้ก็หนีไปซะงั้น

“ทำแบบนั้น ถ้าโชคดีก็ตามเจอโชคร้ายเค้าอาจจะหายไปเลย”นั่นสินะดูพี่ฟ่างเองก็คงใจแข็งกว่าพี่ตี้ของพี่ชาร์ปเยอะเสียด้วย

“งั้นวิธีของพี่ผมขอข้ามไปก่อนละกันเนอะ”เราสองคนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับพี่ตี้และแอชตั้น

ผมกับแอชตั้นอยู่ที่ภูเก็ตแค่สองคืน แม้แอชตั้นจะงอแงบ้างว่าอยากอยู่กับน้องต่อ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับแต่โดยดี ที่ต้องรีบพากลับนี่ก็เพราะผมเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ โดยเฉพาะเรื่องของพี่ฟ่าง

“คนไหนน้องชาร์ล คนไหนปอร์โต้เนี่ย”ทันทีที่กลับมาถึงกรุงเทพฯ แอชตั้นก็รีบเอารูปน้องชายฝาแฝดที่ถ่ายมาแทบจะเต็มโทรศัพท์มาอวดอังเคิ่ลฟ่างของเค้าทันที

“คนหน้ากวนๆ นั่นปอร์โต้ฮ่ะ ส่วนน้องชาร์ลคนน่ารัก ตัวเล็กๆ นี่ฮ่ะ”ผมมองดูคุณลุงกับคุณหลานที่คุยกันอย่างถูกคอจนเหมือนลืมไปแล้วว่ายังมีผมอยู่ด้วยอีกคน แต่แล้วสายตาผมก็ประสานกับอีกคนที่หันมามองผมพอดี

“เอ่อ แอชครับ เดี๋ยวขออังเคิ่ลฟ่างคุยกับแดดดี้ของแอชหน่อยนะครับ”เจ้าลูกชายผมหันมองหน้าผู้ใหญ่อย่างพวกผมสลับกันไปมา ก่อนจะหันไปทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่อังเคิ่ลฟ่างของเค้า

“จะปรับความเข้าใจกันเหรอฮ่ะ”พี่ฟ่างทำตาโตก่อนจะหันมามองผมตาขวาง แต่ผมก็ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะถูกใจในสิ่งที่ลูกชายพูดก็เถอะ แต่สาบานว่าผมไม่ได้สอนนะครับ

“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมรู้จักพูดอะไรแบบนี้หือ”

“แอชเป็นเด็กฉลาดไงฮ่ะ”เอาเข้าไปครับลูกชายผม ฉลาดเหลือเกิน ฉลาดจนจะเป็นแก่แดดแล้วครับ แอชตั้นหันมายักคิ้วให้ผม ก่อนจะวิ่งมากระซิบบางอย่างกับผม ซึ่งทำเอาผมอดขำกับเจ้าลูกชายตัวน้อยไม่ได้

“กระซิบอะไรกัน”พี่ฟ่างถามขึ้นทันทีหลังจากแอชตั้นวิ่งปรูดออกไป ปล่อยให้เราทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง

“ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่พี่ฟ่างมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

“ก็…ไม่รู้สิ ไม่รู้จะเริ่มยังไง”สีหน้าที่ดูกังวลนั่นทำเอาใจผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาแล้วสิ

“เรื่องระหว่างเราใช่ไหมครับ”

“…”มันไม่ใช่เรื่องที่จะคาดเดายากหรอกครับ และพี่ฟ่างเองก็พยักหน้ายอมรับตามที่ผมคาดเดา

“ผมไปภูเก็ตมา รู้ไหมครับว่าผมรู้สึกยังไง”

“คิดว่าพี่คงรักโพด เหมือนที่แอชรักน้องๆ”พี่ฟ่างทำเอาผมแปลกใจนะครับเนี่ย เพราะถึงแม้ผมจะคิดแบบนั้นจริงๆ และคิดว่าพี่ฟ่างรู้ แต่ผมไม่คิดว่าพี่ฟ่างจะยอมพูดออกมา

“พูดแบบนี้ เหมือนเปิดทางเลยว่าพี่ฟ่างจะยอมเป็นแฟนผมแล้ว”

“อะไรทำให้มั่นใจแบบนั้น”แม้พี่ฟ่างจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ผมเองก็ยังคงยิ้มกว้าง

“ก็ที่แอชตั้นมากระซิบผมไงครับ”

“กระซิบว่าอะไรละ”พี่ฟ่างเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ขยับเข้าไปยืนประชิดตัวอีกฝ่าย

“อยากรู้เหรอครับ”ผมก้มลงกระซิบที่ข้างหูของพี่ฟ่าง

“…”สองมือกำลังจะผลักผมออก แต่ช้าไปแล้วครับ ผมอาศัยแรงที่เยอะกว่าล็อคตัวเอาไว้แล้ว ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ที่ข้างหูของอีกคนก่อนจะกระซิบบอกออกไป

“แอชบอกว่าแอชมีน้องแล้ว พ่ออย่างผมก็ต้องรีบมีแฟนนะสิครับ”





TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 27 น้องของแอช/แฟนของพ่อ 28-03-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-03-2018 18:18:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 27 น้องของแอช/แฟนของพ่อ 28-03-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-05-2018 12:44:56
บทที่ 28
เข้าที่เข้าทาง





พาร์ทของโพด

 สายตาผมมองลูกชายสุดที่รักกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ลูกชายที่ถึงแม้เค้าจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของผม แต่ผมก็พูดได้เต็มปากเลยว่า เค้าคืออีกคนที่สำคัญในชีวิตของผม แต่ตอนนี้มันอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่ผมจะต้องปล่อยให้เค้าได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง

“คิดอะไรอยู่”ผึ้งเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ผม ตอนนี้เราอยู่ที่สวนหลังบ้าน บ้านที่เชียงใหม่ของครอบครัวผึ้ง

“ก็คิดอะไรไปเรื่อย”ผมตอบโดยที่สายตายังคงมองภาพเบื้องหน้า ภาพลูกชายของผมที่กำลังเล่นอยู่กับภู่น้องชายของผึ้ง ผู้ที่ความจริงก็คือน้าชายแท้ๆ ของแอชตั้นนั่นแหละครับ

“ขอโทษ”

“…”สายตาผมเลื่อนกลับมามองมือของคนข้างๆ ที่กุมมือผมไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ

“ขอโทษ…สำหรับทุกอย่าง”ผมเอื้อมมืออีกข้างที่ว่างอยู่ปาดน้ำตาของอีกคน และยิ้มให้อย่างจริงใจ ผมไม่เคยถือโทษโกรธเธอเลย ถึงแม้เราทั้งคู่จะเคยตัดสินใจผิดพลาดมาด้วยกัน แม้ทุกอย่างมันอาจจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่ตัดสินใจอย่างในวันนั้น แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ จากนี้เราก็คงต้องช่วยกันแก้ไขให้ทุกอย่างมันถูกต้อง

“ไม่เอาน่า เราคุยเรื่องนี้กันมากี่รอบแล้ว เราบอกแล้วไง ว่าเราไม่เป็นไร”

“ผึ้งนี่แย่เนอะ ไหนจะทำให้โพดกับพี่ฟ่างต้องผิดใจกันมาตั้งกี่ปี ทิ้งลูกในไส้ตัวเองให้คนอื่นเลี้ยง พอวันนึงนึกอยากจะได้คืนก็ ขอเอาหน้าด้านๆ”

“เฮ้ๆ ไปกันใหญ่แล้วผึ้ง ใจเย็นสิโพดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว วันนี้เป็นอะไรเนี่ย”ผมดึงอีกคนเข้ามาปลอบ เพราะไอ้เรื่องการโทษตัวเองแบบนี้ผึ้งพูดกับผมมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เราทั้งคู่คุยเรื่องนี้กันมานานแล้ว ว่าวันนึงแอชตั้นก็ต้องได้รับรู้ความจริง และถึงแม้ผมเองจะเป็นคนเลี้ยงดูแอชตั้นมาและรักเค้าเหมือนลูก แต่ท้ายที่สุดผมเองก็ต้องให้เค้าได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง อีกอย่างจะบอกว่าผมเลี้ยงเค้ามาเพียงลำพังก็คงไม่ถูกเพราะฝั่งครอบครัวของผึ้งเอง ก็ช่วยเหลือผมมาโดยตลอด

และแน่นอนว่าทุกคนรู้ความจริงว่าแอชตั้นเป็นใคร นั่นทำให้แอชตั้นเองก็เป็นที่รักของทุกคน ตอนนี้ก็รอแค่เวลาให้แอชตั้นโตกว่านี้อีกสักหน่อย และให้ผึ้งกล้าพอที่จะบอกความจริง

“ผึ้งกลัวอะโพด กลัวไปหมด กลัวว่าผึ้งจะดูแลแอชได้ดีเท่าโพดไหม แอชตั้นจะมีความสุขเท่าตอนอยู่กับโพดหรือเปล่า แล้วก็กลัวว่าวันนึงถ้าเค้ารู้ความจริง เค้าจะเกลียดผึ้งไหม”

“อย่าเพิ่งกังวลในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นสิผึ้ง เราสองคนเคยเป็นคนที่กังวลกับอนาคตกันมาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผึ้งรู้ว่ามีแอชตั้น หรือตั้งแต่เราเลิกกันด้วยซ้ำ เรากลัวว่าคุณพ่อคุณแม่จะรับไม่ได้ แต่ความเป็นจริงผึ้งก็เห็นว่าพอพวกท่านรู้ความจริง พวกท่านก็ไม่ได้ฆ่าแกงเราเสียหน่อย”

“…”ผึ้งเริ่มสงบลง แต่ยังคงสะอิ้นอยู่นิดหน่อย

“เราจะไม่ปลอบนะ ว่าพอรู้ความจริงแล้วแอชตั้นจะไม่โกรธผึ้ง เพราะลองนึกดูว่าถ้าเป็นผึ้งเอง ผึ้งจะโกรธหรือเปล่า แต่เราเชื่อ เชื่อว่าแอชตั้นจะมีเหตุผลพอที่จะให้อภัยแม่แท้ๆ ของเค้า”ผมบอกออกไปทั้งที่ก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้าวันนั้นมาถึง มันจะเป็นยังไง มันอาจจะไม่ใช่แค่ผึ้ง ที่แอชตั้นจะโกรธ เพราะมันอาจรวมถึงผมด้วยเช่นกัน

“อ้านตี้ผึ้งร้องไห้ ไมฮ่ะ ร้องไห้ที่แดดดี้จะไม่อยู่กับเราแล้วหรือเปล่าฮ่ะ”ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คิดว่าคงคาดเดาเรื่องราวไปตามประสาเด็กนั่นแหละครับ เพราะเรื่องที่จากนี้เค้าต้องอยู่กับผึ้งนั้น เค้ารับรู้มาพักใหญ่แล้ว

“ไม่มีอะไรครับ นี่เล่นจนมอมแมมหมดแล้ว ให้อังเคิ่ลภู่พาไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ จะได้เตรียมตัวทานมื้อเย็นกัน”ผึ้งเอื่อมมือไปลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู

“อ้านตี้ผึ้งอย่าร้องเลยนะฮ่ะ แอชจะเป็นคนดูแลอ้านตี้เอง”มันอาจเป็นคำปลอบโยนของเด็กน้อยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่นั่นกลับทำให้ผึ้งยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม แถมแอชตั้นผู้ไร้เดียงสายังเดินเข้ามากางแขนน้อยๆ นั้นโอบกอดคนที่กำลังร้องไห้อยู่นั่นอีก

“แอชไปอสบน้ำกับอังเคิ่ลภู่ก่อนนะครับ ขอแดดดี้คุยกับอ้านตี้ผึ้งก่อน”แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แอชตั้นเองก็ไม่ใช่เด็กที่จะงอแง เลยยอมออกไปกับภู่แต่โดยดี

ผมไม่ได้คุยอะไรกับผึ้งอย่างที่บอกกับแอชตั้น เราสองคนเพียงนั่งกันอยู่เงียบๆ ตามที่เราได้ตกลงร่วมกันทั้งตัวผมเอง ผึ้งและก็ครอบครัวของผึ้ง เราจะให้ผึ้งเป็นคนดูแลแอชตั้น โดยที่ผมเองก็ยังคงช่วยอยู่ห่างๆ เพื่อให้แอชตั้นได้ใช้เวลากับผึ้งมากขึ้น เรานั่งกันอยู่พักใหญ่จนผึ้งเองตั้งสติได้แล้ว ก็พอดีกับช่วงเวลามื้อเย็นพอดี

บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น ครอบครัวของผึ้งดูเป็นครอบครัวใหญ่ และดูแล้วจะใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็ยังอยู่ พี่บึ้งก็ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ถาวร ส่วนภู่เองแม้จะไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่ แต่ก็กลับมาบ่อยๆ แถมด้วยการพาแฟนมาด้วยเสมอ แล้วยิ่งครอบครัวนี้กับแฟนของภู่ทำธุรกิจด้วยกันอีก ก็ยิ่งทำให้สองครอบครัวสนิทกัน ขยายเป็นครอบครัวใหญ่ไปอีก นี่ถ้าวันไหนรวมญาติคงสนุกดี

หลังมื้อเย็นทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย แน่นอนว่าในบ้านหลังใหญ่นี้ มีห้องสำหรับผมกับแอชตั้น เพราะผมเองก็เหมือนลูกชายบ้านนี้กลายๆ แล้ว

“แอชมานี่มา”ผมเรียกลูกชายตัวน้อยหลังจากที่เจ้าตัววิดิโอคอลกับน้องชายสุดที่รัก นี่ก็แทบเป็นกิจวัตรประจำตัวของเจ้าตัวเล็กไปแล้วขนาดน้องยังแบเบาะอยู่เสียด้วยซ้ำ

“แดดดี้รักแอชนะครับ”ผมอุ้มลูกชายขึ้นมานั่งตัก นี่เค้าโตขึ้นเยอะแล้วสินะ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเค้าเพิ่งเกิดเสียอีก ผมรู้ว่าชีวิตนี้ผมคงไม่มีลูกแท้ๆ ของตัวเองแล้ว เพราะงั้นเค้าก็จะเป็นลูกชายของผมตลอดไป

“แอชก็รักแดดดี้ฮ่ะ”เจ้าตัวเล็กเอนตัวเข้าหาผม

“โกรธไหมครับที่แดดดี้จะไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว”บอกตามตรงผมเองก็ใจหายไม่น้อยที่ต้องแยกกับแอชตั้น แต่ก็อย่างที่บอกว่าวันนึงเค้าก็ต้องอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง

“ไม่โกรธฮ่ะ แต่ก็มีน้อยใจนิดหน่อย”เสียงใสๆ บอกออกมาทำเอาผมเองก็จุกไปเหมือนกัน

“แดดดี้ขอโทษนะครับ แต่พอโตกว่านี้แอชจะเข้าใจ”ผมสวมกอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้หลวมๆ

“แอชไม่ได้โกรธหรอกฮ่ะ แอชเข้าใจว่าแดดดี้ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับอังเคิ่ลฟ่าง แดดดี้เคยทำอังเคิ่ลฟ่างเสียใจ และอังเคิ่ลฟ่างอยู่คนเดียว ไม่มีใคร”เค้าจำได้ทุกคำพูดของผมเลยสินะ อย่าว่าแต่ผึ้งเลยครับที่จะกลัวในการตัดสินใจของเราครั้งนี้ ผมเองก็กลัว

“แดดดี้สัญญาว่าจะบินไปหาทุกเดือน และเราจะวิดิโอคอลหากันทุกวันนะครับ”

“แอชก็สัญญาฮ่ะ แต่ว่าบางเดือนแดดี้ไม่ต้องบินไปหาแอชที่เมกาก็ได้ฮ่ะ”

“ทำไมละครับ กลัวแดดดี้ตังค์หมดเหรอครับ”ผมถามกลับไปอย่างเอ็นดู

“เปล่าฮ่ะ แต่แอชจะขอมาไทยบ้าง แอชอยากไปหาน้อง”เดี๋ยวนะครับ นี่ผมว่าผมมีแววจะตกกระป๋องหรือเปล่าครับเนี่ย

“รักน้องขนาดนั้นเลย นี่จะไม่รักแดดดี้แล้วหรือเปล่าน้า”ผมแกล้งแหย่ ก่อนที่สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กต้องแก้ตัวยกใหญ่ พอคุยกันอีกสักพัก ก็ผล็อยหลับไปเสียดื้อๆ นี่คงเพลียมากแล้วสินะ ผมจัดแจงให้นอนบนเตียงดีๆ ก่อนจะเดินออกมาที่ริมระเบียง และกดโทรศัพท์ถึงใครอีกคน

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ หรือว่ารอโทรศัพท์ผมอยู่”ผมกรอกเสียงไปตามสายพร้อมยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใบหน้าของอีกคน ตอนนี้เค้าอาจจะกำลังเขินกับพูดของผมอยู่แน่ๆ

“จะนอนแล้ว โทรมามีอะไรหรือเปล่า”แหมมาเสียเสียงเย็นชาขนาดนี้ ไม่ขยี้ไม่ได้แล้วครับ

“เขินแล้วเย็นชากลบเกลื่อนใช่ไหมครับ”ผมยังคงยิ้มกว้างอยู่คนเดียว ยิ่งคิดว่าตอนนี้อีกคนคงกำลังหงุดหงิดกับคำพูดของผมแล้ว ผมกลับยิ่งรู้สึกสนุก มันนานแค่ไหนแล้วที่ระหว่างผมกับเค้าไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้

“…”

“ช่วงที่ผมไม่อยู่ พี่ฟ่างดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ผมเป็นห่วง”เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ ผมเลยหยุดความคิดที่จะแกล้งต่อ ผมได้เรียนรู้แล้วว่าระหว่างผมกับพี่ฟ่าง ทางที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนคือพูดในสิ่งที่อยู่ในใจ และอย่าปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเองเออเองเด็ดขาด เพราะนั่นจะพาเราทั้งคู่ไปสู่ความยุ่งอยากอย่างไม่คาดคิดเลยทีเดียว

“ครั้งนี้มันดีแล้วจริงๆ ใช่ไหมโพด”น้ำเสียงที่ยังคงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะพี่ฟ่างเองก็ห่วงความรู้สึกของแอชตั้นเช่นเดียวกัน ทั้งที่ผมก็อธิบายไปแล้วว่าเรื่องของแอชตั้นนั้นผมกับผึ้งวางแผนกันมานานแล้ว

ผมนึกย้อนไปถึงวันที่พี่ฟ่างยอมเปิดใจกับผม ก่อนที่จะมาที่เชียงใหม่นี่ วันนี้ผมเองก็ยังกังวลในความรู้สึกและก็เป็นวันที่ผมได้รู้ว่าควรเปิดใจเล่าทุกอย่างให้พี่ฟ่างฟังทั้งสิ่งที่ผมตัดสินใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางชีวิตต่อจากนี้ หรือเรื่องแอชตั้นก็ด้วย





ผมค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าออกจากข้างหูของอีกฝ่าย และเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากบางนั่นแทน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อต้านอะไร ทำให้ผมได้ใจรีบถือโอกาสลิ้มรสริมฝีปากนั้นอย่างโหยหา และการตอบสนองของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้ผมมั่นใจ ว่าใจเรายังตรงกันอยู่ ลิ้นของเราทั้งคู่ต่างสับเปลี่ยนดันเข้าออกในโพรงปากของอีกฝ่าย

“เรามาใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันนะครับ”ผมบอกหลังจากถอนริมฝีปากออก สายตายังคงมองอีกคนนิ่ง พยายามส่งผ่านความรู้สึกให้เค้ารู้ว่าผมจริงใจแค่ไหน

“จริงๆ ก็ตั้งใจจะคุยเรื่องนี้นั่นแหละ”ยอมรับนะครับว่าครั้งแรกที่ได้ยินก็แปลกใจไม่น้อย คือโดยปกติพี่ฟ่างเองก็ไม่ค่อยยอมพูดอะไรออกมาตามที่รู้สึกสักเท่าไหร่

“หมายความว่าพี่ฟ่างจะยอมคบกับผมในฐานะคนรักแล้วใช่ไหมครับ”ไม่ว่าพี่ฟ่างจะหมายความยังไง ผมต้องรีบดึงให้เข้าทางตัวเองให้มากที่สุดละครับตอนนี้

“จำได้ไหมว่าโพดเคยบอกกับพี่ว่าระหว่างเรา มันไม่จำเป็นต้องหาคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของเรา”

“พี่ฟ่างจะพูดอะไรครับ”ผมเริ่มรู้สึกใจเสียขึ้นมาบ้างแล้วนะครับเนี่ย

“เราไม่ต้องเป็นคนรัก ไม่ต้องเป็นพี่น้อง ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องเจอกันทุกวัน แค่…”

“ไม่เอาแบบนี้สิครับพี่ฟ่าง”ผมรีบดึงอีกคนเข้ามากอด เพราะไม่อยากได้ยินว่าสุดท้าย เราอาจจะต้องอยู่ในสถานะแค่คนรู้จักกัน

“ฟังให้จบก่อนสิโพด”

“ไม่ครับ ผมไม่ฟัง ผมจะไม่ยอมให้เราต้องแยกกันอีกแล้ว”ตอนนี้ผมอาจจะกลายเป็นน้องชายที่งอแงไปแล้ว แต่ใครจะสนกันละ ผมอุตส่าห์เข้ามาใกล้ จนจะเปิดใจพี่ฟ่างให้ยอมรับผมได้ขนาดนี้แล้ว อยู่ๆ จะมาผลักไสผมออก ผมไม่ยอมเด็ดขาด

“โพดฟังพี่ให้จบนะ ตอนนี้พี่ไม่ได้ต้องการคนรัก ไม่ได้ต้องการน้องชาย ไม่ได้ต้องการคนดูแล พี่ต้องการแค่ใครสักคนไว้รับฟังวันดีๆ หรือวันแย่ๆ มาแชร์ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเจอกันทุกวัน มีโอกาสกินข้าวด้วยกันบ้าง แค่ให้รู้ว่ายังมีอีกคนที่ห่วงใยแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

“…”ผมขยับตัวออก เพื่อมองหน้าพี่ฟ่างอย่างหาคำตอบ ว่าตอนนี้พี่ฟ่างต้องการให้ระหว่างเรามันเป็นแบบไหนกันแน่

“โพดเป็นคนนั้นให้พี่ได้หรือเปล่าละ คนที่อาจจะไม่ต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ก็ขอเจอกันมากกว่าปีละ 10 วันนะ นั่นมันน้อยไป”ใบหน้าที่ยิ้มอยู่ แต่กลับมีหยดน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา

“…”ผมกำลังจะพูดบางอย่างแต่กลับเป็นพี่ฟ่างที่ดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบ

“พี่ขอแค่นี้โพดให้พี่ได้หรือเปล่า ไม่ต้องสัญญา ไม่ต้องเป็นคนรัก ไม่ต้องมาคอยดูแล แค่ให้พี่ยังเป็นส่วนนึงของชีวิตโพด”แรงสั่นเบาๆ นั่นทำให้ผมต้องโอบกระชับอ้อมกอดตอบอีกคน

“ผมให้ได้มากกว่านั้นอีกครับ ผมบอกแล้วไงว่าจากนี้ไปผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับพี่ฟ่าง”






TBC
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 28 เข้าที่เข้าทาง 17-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-05-2018 14:44:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 28 เข้าที่เข้าทาง 17-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-05-2018 19:11:30
ฟ่าง ก็ยังตั้งข้อแม้กับตัวเองกับโพด
ทั้งที่โพดเต็มใจอยู่กับฟ่างแบบคนรัก
ฟ่าง เหมือนคนเคยถูกงูกัด พอเจอเชือกกลัวว่าจะเป็นงูมากัดอีก
มันก็อยู่ที่ทั้งโพด ทั้งฟ่างแล้ว
ฟ่างต้องดูการกระทำของโพด
โพดก็ต้องทำให้ฟ่างเชื่อใจ ไว้วางใจให้ได้

ได้รู้เรื่องของชาร์ป กับตี้ มีลูกแฝด และเรื่องภู่กับแฟนด้วย  :mew1:
โพด ฟ่าง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 28 เข้าที่เข้าทาง 17-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-05-2018 14:14:53
บทที่ 29
Perfect





พาร์ทของฟ่าง
“กุ้งมานั่งได้แล้ว จะลุกไปทำไมเนี่ย บอกแล้วว่าให้อยู่เฉยๆ”เสียงไอ้ต้าร์ดุคนรักที่ตอนนี้ท้องเริ่มโตมากแล้ว และด้วยความที่กุ้งท้องโตแล้วนี่แหละครับ วันนี้เราเลยนัดกันมาสังสรรค์กันเบาๆ ที่คอนโดของผม แทนที่จะออกไปข้างนอกเหมือนแต่ก่อน

“อยู่เฉยๆ ทำไมไม่ได้เป็นง่อยนะแค่ท้อง ยังเดินได้หยิบของได้”ดูเหมือนคนท้องจะเริ่มมีน้ำโห อย่างว่าแหละครับอารมณ์คนท้องมันก็ต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา

“จริงด้วยอิต้าร์ แฟนมึงแค่ท้องไม่ได้เป็นง่อย อย่าเวอร์ให้มันมากนัก”นี่ครับแผนกซ้ำ เจ้โอ๋เจ้าประจำ พูดจบก็หันไปเออออกับกุ้งอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไอ้ต้าร์ก็ทำได้แค่หน้าจ๋อย หันมาหาผม และก็อย่างเคยครับ ผมต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพ สงบศึก

“แล้วนี่แฟนเด็กเจ้ไม่มาด้วยเหรอ”ผมเอ่ยถามถึงอีกคนที่ช่วงนี้ดูจะตัวติดกับเจ้โอ๋ แต่วันนี้ไม่ยักกะติดสอยห้อยตามมาด้วย

“วันนี้แฟนเจ้ปล่อยให้อยู่กับน้องๆ วันนึงน้องตะวันบอกว่ามานี่ไม่มีใครให้ต้องหึง เลยปล่อยเจ้มาได้”อื้อหือการมีแฟนเด็กทำให้เจ้โอ๋ของพวกเรา ลดอายุลงแถมพูดถึงแฟนด้วยเสียงสองและท่าทางเขินอายเกินเบอร์ไปมากเลยทีเดียวครับ

“อิเจ้ มึงสวยมาก ยังกะสาวน้อยตัวเล็กๆ น่าทะนุถนอม สวยหาที่ติมิได้แถมแฟนหวงอีกต่างหาก”แม้นั่นจะเป็นคำประชดที่ใครฟังก็คงจะรู้ แต่ตอนนี้โลกของเจ้โอ๋ กำลังสีชมพู ซึ่งพร้อมจะคิดบวกว่าถ้อยคำเหล่านั้นเป็นความจริง

“นี่จริงจังแบบ ไม่เผื่อใจแล้วใช่ไหมเจ้”ผมถามอย่างเป็นห่วง แม้จะเห็นว่าเจ้โอ๋กับน้องตะวันอะไรนั่นจะรักกันดีก็เถอะ

“อะไรเนี่ย วันนี้มาสนุกกัน ไม่ต้องมาทำเหมือนเป็นผู้ปกครองเจ้นะคะน้องฟ่าง เจ้นี่ถ้าจะตายเพราะความรักเจ้ตายไปนานแล้วค่ะ ต่อไปมันจะรอดหรือไม่รอดเจ้ไม่แคร์หรอก แค่ตอนนี้เจ้มีความสุขก็พอแล้ว”

“มึงอย่าห่วงอิเจ้มันเลย ห่วงตัวเองดีกว่าไหมไอ้ฟ่าง ยังไงเนี่ย เรื่องมึงอ่ะยังไง”อ้าว ไปๆ มาๆ ทุกคนดันเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นผมเสียได้

“เรื่องกู เรื่องอะไร”ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ฟ่าง อย่าให้คนท้องต้องเกรี้ยวกราด ตั้งแต่เข้าห้องมาเนี่ยมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว จะเล่าดีๆ หรือต้องให้กลายร่าง”

“คือ..”

“แกร๊ก”ยังไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายอะไร ประตูห้องผมก็ถูกเปิดออกและสายตาทุกคู่ก็จ้องไปที่ผู้มาใหม่

“นี่ผมมาผิดจังหวะหรือเปล่าครับ”เมื่อเห็นว่าทุกคนเอาแต่เงียบมองเค้า เจ้าตัวเลยเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน อีกอย่างที่เค้าดูไม่ได้ตกใจเพราะผมบอกไว้แล้วว่าวันนี้เพื่อนๆ จะมาที่ห้อง พอข้าวโพดเดินเข้ามา ทุกสายตาก็เป็นเป็นมาจ้องผมแทน

“ก็มันไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหน”ผมบอกกับทุกคนตามตรง เพราะก็ไม่มีใครถามอะไรผม แล้วอยู่ๆ จะให้ผมเล่าเอง มันก็จะแปลกๆ แล้วที่วันนี้ชวนทุกคนมาที่ห้องก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้ด้วยแหละครับ

“งั้นผมบอกแทนแล้วกันนะครับ สรุปว่าตอนนี้พี่ฟ่างโดนน้องชายจับทำเมียเรียบร้อยแล้วครับ”

“แอร้ยยย เจ้รับไม่ได้บัดสีบัดเถลิง”เจ้โอ๋คือคนแรกที่เล่นใหญ่ ทั้งที่สีหน้าดูจะตรงข้ามกับสิ่งที่พูดเหลือเกิน

“เดี๋ยวผมมานะครับ ทุกคน เปิดโอกาสให้ได้นินทาเต็มที่”ข้าวโพดบอกกับทุกคนแล้วมากระซิบที่ข้างหูผมว่าขอวิดิโอคอลหาแอชตั้นก่อน แล้วจะออกมาร่วมวงด้วย

“อ้าว เงียบกันหมดเลย อย่าบอกว่าโกรธที่ไม่บอกนะ”ผมมองหน้า 3 คนที่เหลือสลับกันไปมาเพราะตอนนี้ทั้งสามเอาแต่ทำหน้านิ่งไม่พูดอะไร

“เจ้พูดก่อนละกันว่า เจ้ไม่โกรธก็ได้ เพราะตอนคบน้องตะวันเจ้ก็แอบคบตั้งนานกว่าจะพามารู้จักพวกเรา อีกอย่างถ้าน้องฟ่างมีความสุข เจ้ก็หนับหนุนเต็มที่”เจ้โอ๋พูดจบ ก็ยกแก้วขึ้นดื่มทันที

“เราท้องอยู่ เราจะไม่โกรธอะไร มันไม่ดีกับลูกในท้อง อีกอย่างเราเคารพการตัดสินใจของฟ่าง”กุ้งพูดจบก็หันมองหน้าไอ้ต้าร์

“เหลือกูสินะ เฮ้อ…”เสียงถอนหายใจ ของไอ้ต้าร์ทำเอาผมลุ้น อยู่เหมือนกัน เพราะถึงแม้บางทีมันจะเป็นเพื่อนที่บ้าๆ บอๆ แต่เราก็คบกันมานาน นานจนเหมือนคนในครอบครัว มันเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ทั้งน้องให้ผมมาเสมอ

“กูจะโกรธตรงที่มึงคิดมากนี่แหละไอ้เชี่ย”ฝ่ามือของไอ้ต้าร์ฟาดลงมาที่หัวผมเบาๆ

“…”ผมมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

“กูเคยคุยกับมึงแล้วไง ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าโพดมันย้ายมาอยู่ห้องตรงข้ามมึง ว่ากูอยากเห็นมึงมีความสุข ว่าแต่ทีตอนมันมาอยู่ห้องตรงข้ามละเล่าให้ฟังได้ พอมาอยู่ห้องเดียวกันทำเป็นไม่กล้าเล่า”

“ก็ที่ชวนมาวันนี้เพราะเรื่องนี้ด้วยไง”

“เอาๆ งั้นก็ฉลอง หมดแก้วๆ หมดทุกข์หมดโศกเสียทีจากนี้ก็ขอให้เพื่อน แฮป-ปี้แล้วกันเนอะ”นั่นไงไอ้นี่ก็ยังไม่วายจะกวนตีนผมอีก

“ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ จากนี้ไปกลุ่มเราก็ไม่ต้องมาปรับทุกข์กันแล้วสินะ”เจ้โอ๋ฉีกยิ้มกว้าง ลุกขึ้นมาแทรกข้างๆ ผมกับไอ้ต้าร์พร้อมกางแขนออกโอบไหล่ของเราทั้งคู่

ผมเล่าให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ข้าวโพดย้ายมาเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ได้เดือนกว่าแล้ว รวมถึงความสัมพันธ์ของเรา ที่อาจจะไม่ต้องจำกัดความ แค่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขมันก็พอแล้ว รวมถึงเรื่องของแอชตั้น ที่ตอนแรกผมออกจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะการเป็นเด็กที่ต้องเติบโตมาโดยไม่มีพ่อแม่ มันเป็นเช่นไร ผมเข้าใจมันดี

แต่ก็นั่นแหละครับ ข้าวโพดกับผึ้งก็ให้เหตุผลว่า แอชตั้นยังมีแม่แท้ๆ อยู่ แม้เจ้าตัวจะยังไม่รู้ความจริงก็เถอะ

“อังเคิ่ลฟ่าง ส่งเด็กดื้อไปโรงเรียนหน่อยครับ”เสียงของข้าวโพด แทรกเข้ามาทำให้บทสนทนาของพวกเราหยุดลง และผมก็รับโทรศัพท์มาให้ผม ผมรับมือถือก่อนจะแยกตัวออกมาปล่อยให้ข้าวโพดเข้าไปรวมกลุ่มกับทุกคนแทน

“ไหนใครดื้อจะไม่ยอมไปโรงเรียนเอ่ย”

“แอชไม่ได้ดื้อฮ่ะ แอชแค่จะขอวิดิโอคอลหาน้อง ขอกำลังใจจากน้องก่อนไปเรียน แต่แดดดี้ว่าน้องคงนอนแล้วไม่อยากให้แอชกวนน้อง”นี่ดูท่าแอชตั้นจะติดน้องมากเกินไปแล้วมั้งครับเนี่ย จากตอนแรกผมคิดว่าเด็กน้อยจะงอแงที่ ไม่ได้อยู่กับข้าวโพด แต่เปล่าเลย ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นต้องปวดหัวเพราะเด็กน้อยเอาแต่งอแง อยากมาไทยเพื่อไปหาน้องน้อยของเค้าที่ภูเก็ต

“แดดดี้พูดถูกแล้วครับ ตอนนี้ที่ไทยจะสองทุ่มแล้ว น้องยังเล็กต้องนอนแต่หัวค่ำ อังเคิ่ลฟ่างว่าเอางี้ไหม แอชรีบไปโรงเรียน ตั้งใจเรียน ถ้าเป็นเด็กดีเรียนเก่งๆ แดดดี้ต้องไปพาแอชมาหาน้องแน่เลยนะครับ”

“จริงเหรอฮ่ะ”นี่ผมคงไม่ได้หลอกเด็กหรอกนะครับ เพราะจริงๆ เราก็มีแพลนกันอยู่แล้ว ทั้งการไปหาแอชตั้นที่เมกา หรือการที่น้องผึ้งจะพาแอชตั้นมาเยี่ยมคุณตาคุณยายที่เมืองไทย หลังจากคุยกันอีกนิดหน่อย เด็กน้อยก็ยอมไปเรียนแต่โดยดี

“เป็นไอ้ฟ่างนี่ก็ดีเนอะ มีแฟนทีก็มีลูกโตแถมมาด้วย”ทันทีที่ผมกลับเข้ามาร่วมวงไอ้ต้าร์ก็แซวผม ทันที แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรแถมข้าวโพดเองก็เหมือนจะพูดคุยกับทุกคนได้อย่างสนิทสนมอย่างรวดเร็ว

เราพูดคุยกันไป ดื่มกันไปจนเริ่มดึก ก็ต่างก็แยกย้ายกันกลับ เพราะกุ้งเองก็กำลังท้องจะนอนดึกมากก็ไม่ดี ส่วนเจ้โอ๋ แฟนเด็กแกก็มารับแล้ว

“ไอ้โพด”

“…”ผมกับข้าวโพดหันไปมองไอ้ต้าร์ที่หันกลับมาเรียกชื่อข้าวโพดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างซีเรียส

“ถ้ามึงทำให้ไอ้ฟ่างมันเจ็บอีก พวกกูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”ผมอมยิ้มกับคำพูดนั้นของไอ้ต้าร์ เพราะตอนนี้มันก็เมาไม่น้อยแล้ว ดีที่วันนี้กุ้งบังคับมันมาแทกซี่เลยไม่ต้องข้บรถเอง ผมรีบโบกมือไล่ให้มันเข้าลิฟต์ไป

“ยิ้มอะไร”ผมถามด้วยความสงสัย เมื่ออยู่กันลำพังแล้วอีกเค้าก็เอาแต่มองผมยิ้มๆ

“ยิ้มเพราะมีความสุขไงครับ”

“พูดบ้าอะไรเนี่ย ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว”บอกตรงๆ ว่าผมเองก็ยังไม่ชินหรอกนะครับ แม้จะตัดสินใจไปแล้วว่าจะลองเสี่ยงกับผู้ชายตรงหน้าคนนี้ แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราได้นอนร่วมห้องด้วยกันเกิน 10 วัน มันก็เหมือนเป็นการที่จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ที่จะเดินไปพร้อมกัน ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะไปจบลงที่ตรงไหน แต่ผมก็พร้อมจะเดินไปพร้อมกับเค้า

“ฟังเพลงไหมครับ”เค้ายังคงยิ้มและจ้องมองมาที่ผม เช่นเดิม

“อารมณ์ไหนเนี่ย”ผมถามกลับอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเค้ากำลังจะเล่นอะไร

“ผมเคยได้ยินมา เค้าบอกว่าถ้าอยากรู้ว่าใครกำลังรู้สึกยังไงอยู่ ให้ลองฟังเพลงที่เค้าชอบตอนนั้นดู”

“แล้วไงต่อ”แม้พอจะเดาออกแล้วว่าเค้าคงมีเพลงที่อยากให้ผมฟัง แต่ก็เล่นไปตามเกมกับเค้าเสียหน่อยครับ

“ตอนนี้ผมชอบเพลงนี้อยู่ครับ”เค้ากดเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือ ที่คาดว่าคงเชื่อมต่อบลูทูธเข้ากับลำโพงไว้แล้ว เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้น

…I found a love for me
Darling, just dive right in and follow my lead
Well, I found a girl, beautiful and sweet
Oh, I never knew you were the someone waiting for me
‘Cause we were just kids when we fell in love
Not knowing what it was
I will not give you up this time
But darling, just kiss me slow, your heart is all I own
And in your eyes, you’re holding mine…

เสียงเพลงยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ สายตาเราต่างประสานกันนิ่ง ทั้งที่ผมก็คิดว่ามันก็แค่เพลงๆ นึง จะไปมีความหมายอะไรหนักหนาเชียว แต่ยิ่งเสียงเพลงดังคลอต่อไป น้ำในตาผมก็ค่อยๆ เอ่อขึ้นมา มันก็แค่เพลงน้ำเน่าเพลงนึง ผมพยายามบอกกับตัวเอง ว่าจะไปอินอะไรมากมาย

… Baby, i’m dancing in the dark with you between my arms…

“ทำอะไร”ผมถามเมื่อเค้าลุกขึ้นยืนและยื่นมือมาที่ผม

“ลุกมาเถอะครับ”แขนผมถูกฉุดให้ลุกขึ้น นี่เค้าคงไม่ได้คิดจะชวนผมเต้นรำจริงๆ หรอกนะครับ ผมลุกตามแรงดึงของเค้า เราต่างยืนประจันหน้ากัน รอยยิ้มฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของเค้า ก่อนที่นิ้วเรียวนั้นจะยื่นมาปาดน้ำตาบนแก้มผม ที่ไหลออกมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว

… Darling, just hold my hand
Be my girl, i’ll be your man
I see my future in your eyes…

สองมือของเค้าเปลี่ยนมาประคองใบหน้าของผม ก่อนที่ริมฝีปากของเค้าจะค่อยบรรจงแนบลงมาที่ริมฝีปากของผม ผมปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความรู้สึก และคล้อยตามไปกับสัมผัสของเค้า

… I don’t deserve this
You look perfect tonight…

เสียงเพลงจบลงพร้อมๆ กับที่เราสองคนถอนริมฝีปากออกจากกัน

“พี่ฟ่างเข้าใจความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหมครับ”เค้าดึงผมเข้าไปอยู่ภายใต้อ้อมกอดและถามเสียงแผ่ว

“ใครจะไปเข้าใจ นี่สื่อถึงสาวที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไหนจะ beautiful and sweet ไหนจะ Be my girl อะไรอีก พี่ไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย”ผมแกล้งตีมึน ทั้งที่ก็รู้แหละครับ ว่าความหมายโดยรวมที่อีกคนต้องการจะสื่อคืออะไร

“เอาจริงๆ สิครับ”น้ำเสียงกดต่ำ พร้อมกับจมูกที่ฝังลงบนซอกคอผม ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นกับผม

“พี่ไม่ใช่คน perfect อย่างที่โพดคิดหรอก พี่เคยทำตัวแย่ๆ นิสัยแย่ๆ มามากมาย”สิ่งต่างๆ ที่ผมเคยทำในอดีตเหมือนย้อนกลับมาฉายชัดขึ้นมาย้ำกับตัวเองว่าเคยทำตัวแย่ๆ ยังไงไว้บ้าง ทั้งไม่ดูแลตัวเอง หรือการที่ one night stand กับใครก็ไม่รู้ที่ผ่านเข้ามา หรือแม้แต่การคบกับเพื่อนอย่างปู่

“ผมเองก็เคยทำเรื่องแย่ๆ เคยไม่นึกถึงความรู้สึกของคนที่บอกว่ารักหนักหนาอย่างพี่ฟ่าง จนทุกอย่างมันเคยพังไม่เป็นท่า แต่ว่าตอนนี้ นาทีนี้ พี่ฟ่างคือคนที่ perfect ที่สุดสำหรับผมแล้วครับ”

เค้าค่อยๆ ผละออกจากผม มือซ้ายของผมถูกเอื้อมมายกขึ้นช้าๆ แล้วเค้าก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ทำอะไร”ผมกำลังจะดึงมือกลับ เมื่อเห็นว่าเค้ากำลังทำอะไร เพราะกำลังสับสน มันรู้สึกยังไงผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน สิ่งที่ผมเคยบอกไป ว่าความสัมพันธ์ของเรา ผมอยากให้มันดำเนินไปโดยไม่ต้องมาจำกัดความ จริงอยู่เมื่อก่อนผมอาจจะต้องการความชัดเจน แต่ตอนนี้แม้หลายอย่างมันเริ่มจะชัดเจน ผมกลับกำลังกลัว กลัวว่าถ้าวันนึงผมต้องเสียทุกอย่างไป ผมจะยังอยู่ได้ไหม

“อย่าคิดว่ามันคือแหวน หมั้น แหวนแต่งงาน หรือเป็นการตีตราจองอะไร ผมแค่อยากให้พี่ใส่ไว้ คนอื่นจะได้ไม่มีใครอยากมาให้แหวนกับพี่อีก นะครับ”ผมถอนหายใจ ส่ายหน้าเอือมๆ ให้กับเค้า นี่กำลังล้อเลียนคำที่ผมเคยพูดอยู่หรือเปล่านะ

“เอางี้จริงดิ”ผมเผลอยิ้มออกมาจนได้กับท่าทางของเค้า ไหนๆ ผมเองก็จะเสี่ยงกับเค้าแล้วนี่เนอะ จะมัวมากังวลอะไรอีก

“จริงครับ และพี่ฟ่างก็ต้องไปหาแหวนมาให้ผมใส่ด้วย เดี๋ยวคนจะไม่รู้ว่าผม มีคนที่อยู่ด้วยแล้วในสถานะความสัมพันธ์แบบไม่จำกัดความ”

“พอเลยนี่ล้อเลียนพี่ใช่ไหม”

“ใครจะกล้าล้อเลียนพี่ฟ่างที่เคารพละครับ ตอนนี้ผมว่าเราอาบน้ำเข้านอนกันดีกว่า เราจะได้พิจารณาความสัมพันธ์กันแบบเมื่อคืนอีก”

“ไม่ต้องมาทะลึ่งเลยนะ”

“ว่าผมทะลึ่งได้ไง เมื่อคืนผมก็ไม่ได้ทำคนเดียวเสียหน่อย”

นั่นแหละครับ เถียงไปก็เท่านั้น แถมคืนนี้ผมคงไม่ได้นอนง่ายๆ อีกเป็นแน่ แกล้งหลับไปเลยตอนนี้ทันไหมครับเนี่ย









TBC


ถึงตอนนี้ทุกอย่างก็คงลงตัวดีแล้ว แม้จะพาคู่นี้ออกทะเลกันไปไกล

แต่สุดท้าย ก็คงให้มาลงเอย กันอย่างที่เห็น ก็เป็นอันว่าเหลืออีก 1 ตอน ตอนหน้าก็จบแล้ว นะคร๊าบบบบ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาเน้อ
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 29 Perfect 19-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-05-2018 22:16:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 25-05-2018 14:55:51
บทที่ 30
จะสุขจะทุกข์
(ตอนจบ)








“เร็วๆ สิครับแด๊ด”เสียงเด็กชายวัย 7 ขวบที่เอ่ยปากเร่งผู้เป็นพ่อ ด้วยภาษาไทยที่ยังไม่ค่อยชัดนัก แต่ตอนนี้กำลังอยากพูดให้ชัดเป็นตัวอย่างให้กับน้องชายสุดที่รัก น้องชายที่เหมือนจะทำให้แอชตั้นแทบจะไม่สนใจคนอื่นอีกเลย

“ไปลาคุณตาคุณยายหรือยัง”ข้าวโพดบอกเสียงดุ แต่นาทีนี้แอชตั้นยอมหมดแหละครับ ยอมมาอยู่กับตายายที่เชียงใหม่ แถมเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกอย่าง เพื่อแลกกับการที่แดดดี้ของเค้าจะพาไปส่งที่ภูเก็ต ให้อยู่กับน้องชายตลอดช่วงปิดเทอมนี้ เพราะทุกทีอย่างมากพวกเราก็พาไปอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน

“เรื่องนั้น คิดว่าถึงเวลาหรือยังผึ้ง”ข้าวโพดเอ่ยถามผึ้ง ถึงแม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เราก็ต่างรู้ดีกันทุกคนว่ามันหมายถึงเรื่องผู้ให้กำเนิดของแอชตั้น

“ขอเวลาผึ้งอีกหน่อยนะโพด”ผมไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ออกไปเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ทั้งข้าวโพดและผึ้งต้องร่วมกันตัดสินใจ แน่นอนว่าตอนนี้ข้าวโพดคงอยากให้ผึ้งบอกความจริงแล้ว แต่ผึ้งเองคงยังไม่พร้อม

“แต่เราว่า…”

“ค่อยคุยกันนะโพด แอชมาโน่นแล้ว”ทั้งคู่หยุดบทสนทนาเมื่อเห็นว่ามีอีกคนที่กำลังพูดถึงเดินออกมาแล้ว

“ไหนคนเก่งของอ้านตี้ผึ้ง มาให้อ้านตี้กอดลาหน่อยสิครับ”แอชตั้นเดินเข้าไปสวมกอดอย่างว่าง่าย

“ทำไมอ้านตี้ไม่ไปด้วยกันละครับ”จากการที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี แม้แอชตั้นจะยังไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริง ว่าทำไมต้องอยู่กับอ้านตี้ผึ้ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นไปได้ด้วยดี ดีเสียจนผึ้งเองไม่กล้าเสี่ยงบอกความจริงเพราะกลัวจะสูญเสียตรงนี้ไป

“ทำเป็นมาพูดเหมือนอยากให้ไปด้วย เดี๋ยวพอไปถึงเจอน้องชาร์ลสุดที่รักก็ไม่สนใจใครแล้ว เราอ่ะ”ผมและข้าวโพดมองภาพตรงหน้าอย่างเหมือนจะมีความสุขแต่มันก็ไม่สุด เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ ว่าวันนี้ถ้าแอชตั้นรู้ความจริงขึ้นมา มันจะเป็นยังไง

“อ้านตี้ผึ้งรู้ทันแอชตลอดเลย แต่เดี๋ยวจะโทรหาทุกวันเลยนะครับ”

“โอเคครับ แล้วอย่าไปดื้อ ไปซนนักละ เข้าใจไหมครับ”ผมกับข้าวโพดได้แต่มองหน้ากันอย่างพูดไม่ถูก ผึ้งเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

“ไปไอ้ตัวแสบ เดี๋ยวก็ตกเครื่องกันพอดี”ข้าวโพดพยักหน้าให้กับแอชตั้น ก่อนเราทั้ง 3 คนจะขึ้นรถมุ่งตรงไปยังสนามบิน

“อยู่กันสองคนกับอ้านตี้ผึ้งเป็นไงบ้างละเรา”ผมเอ่ยถามด้วยความเอ็นดูพร้อมลูบหัวคนที่เอนมาพิงไหล่ผมเบาๆ นี่ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งขี้อ้อนครับ ทั้งที่ดูๆ ไปตัวโตๆ แบบนี้ไม่น่าจะมาขี้อ้อนเลย

“แอชก็แฮปปี้ดีครับ แต่แอชว่าอ้านตี้ผึ้งดูเศร้าๆ แอชบอกให้หาแฟนก็ไม่ยอมมี นี่แอชว่าอ้านตี้ผึ้งต้องยังรักแดดดี้อยู่แน่ๆ เลยครับ”น้ำเสียงทะเล้นพูดออกมาอย่างตั้งใจ เหมือนอยากจะแกล้งผมกับข้าวโพด แต่ทั้งผมเองและข้าวโพดต่างรู้ดีว่าที่ผึ้งยังมีมุมเศร้าๆ อยู่นั่นมันเพราะอะไร แอชตั้นเงียบลง และมองผมกับข้าวโพดอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมพวกผมทั้งสองถึงนิ่งไป

“แอชครับ แอชคิดว่าทำไมแดดดี้ถึงให้แอชใช้ชีวิตอยู่กับอ้านตี้ผึ้ง”

“โพด”ผมกดเสียงต่ำพร้อมส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงห้าม เพราะกังวลว่าข้าวโพดจะพูดอะไร ที่ผึ้งเองยังไม่พร้อมให้แอชตั้นได้รับรู้ แต่เค้าก็เพียงส่งสายตามาหาผมเหมือนจะบอกว่า มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด

“ตอนแรกแอชคิดว่า แดดดี้จะให้แอชอยู่กับอ้านตี้ผึ้งแค่ช่วงที่แดดดี้มาง้ออังเคิ่ลฟ่างนะครับ”เค้าพูดพร้อมขยับเข้ามากอดผม จริงๆ พอโตมานี่เค้าก็ไม่ค่อยจะติดข้าวโพดเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว พักหลังนี่กลายเป็นว่าติดผึ้งกับผมเสียมากกว่า

“แต่พอแดดดี้แฮปปี้แล้วก็เห็นว่าเรายังไม่อยู่ด้วยกัน แอชเลยคิดว่าแดดดี้คงอยากให้แอชได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นที่มีแม่บ้าง แล้วอ้านตี้ผึ้งก็ดูแลแอชเหมือนลูก จนบางครั้งแอชก็คิดว่าหรืออ้านตี้ผึ้งเคยเสียลูกไปหรือเปล่า”เราทั้งคู่ฟังแอชตั้นพูดเงียบๆ โดยไม่ขัดผมว่าบางทีถ้าเค้ารู้ความจริง เรื่องทุกอย่างมันอาจไม่ได้แย่อย่างที่พวกเรากังวลกันก็ได้

“แรกๆ แอชเคยคิดนะครับว่า ถ้าแดดดี้กับอังเคิ่ลฟ่างดีกันแล้ว แอชจะขอมาอยู่ด้วย แต่ตอนนี้แอชอยากอยู่กับอ้านตี้ผึ้งมากกว่า”

“อ้าว นี่ไม่รักแดดดี้แล้วเหรอ”ข้าวโพดเอ่ยแซวออกไป

“รักสิครับแต่แอชก็รักอ้านตี้ผึ้งด้วย อีกอย่างอ้านตี้ผึ้งก็ไม่มีใคร แอชกลัวอ้านตี้เหงา”

“…”ผมกับข้าวโพดหันสบตากันอีกครั้ง

“แต่แอชขออะไรอีกอย่างได้ไหมครับ”

“…”ผู้ใหญ่อย่างเราสองคนต่างลุ้นกับคำขอว่าอีกคนจะขออะไร

“แอชอยากขอพาน้องไปอยู่ด้วย”ทั้งผมและข้าวโพดหลุดขำออกมา เพราะแอชตั้นน่าจะเป็นเอามากับน้องชายสุดที่รักของเค้าเนี่ยแหละครับ

“พ่อเค้าคงยอมหรอก ไอ้แสบเอ้ย”ข้าวโพดหันมาบอกอย่างหมั่นเขี้ยว พร้อมผลักหัวลูกชายเบาๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนถึงสนามบิน ก็เช็คอินเตรียมเดินทาง เราถึงภูเก็ตตามกำหนดที่วางไว้ รถจากทางโรงแรมของชาร์ปมารับพวกเราตามที่ตกลงไว้ พอถึงโรงแรม คนที่รีบลงจากรถที่สุดก็เห็นจะเป็นแอชตั้นนี่แหละครับ

“น้องชาร์ล”

“พี่แอช”

สรุปว่าพอกันทั้งที่ทั้งน้องครับเพราะเจ้าเด็กตัวน้อยอีกคนก็รีบวิ่งออกมา จนปาร์ตี้ผู้เป็นพ่อ รีบตามออกมาแทบไม่ทัน ก็ไม่คิดว่าเด็กสองคนนี้จะคิดถึงกันขนาดนี้ ทุกคนต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดู เด็กชายลูกครึ่งอายุ 7 ขวบ พยายามอุ้มน้องชายต่างสายเลือดวัย 3 ขวบอย่าง ทุลักทุเล

“คิส คิส”เสียงของชาร์ลหรือชาลีน้อยของทุกคนบอกให้แอชตั้น พี่ชายสุดที่รักหอมแก้มตัวเองสลับข้างไปมา

“พี่แอช ไฮไฟว์”เด็กชายตัวน้อยอีกคนที่เป็นฝาแฝดกับชาร์ลเดินออกมาทักทายกับแอชตั้น อย่างขอไปที เช่นเดียวกับแอชตั้นที่แปะมือกับปอร์โต้ผ่านๆ แล้วสนใจน้องชายคนโปรดต่อ ซึ่งก็เป็นภาพที่ชินตาของพวกเราทุกคน เพราะถ้าเรื่องการโอ๋น้องเนี่ย แอชตั้นก็โอ๋แค่ชาร์ลคนเดียว ส่วนกับปอร์โต้เนี่ยจะสามัคคีกันเวลาเล่นอะไรแผลงๆ ห่ามๆ เสียมากกว่า

“รบกวนด้วยนะครับพี่ตี้ ถ้าดื้อถ้าซน ก็ดุได้ ตีได้ จัดการให้เต็มที่”ข้าวโพดบอกกับปาร์ตี้ที่ก็เหมือนเจ้าของที่นี่อีกคน เพราะพอลุงถากับป้ามั้น วางมือให้ชาร์ปดูแลกิจการทุกอย่าง ปาร์ตี้ที่เป็นแฟนกับชาร์ปก็เข้ามาช่วยดูแลด้วย และด้วยความทั้งผมและข้าวโพดสนิทสนมกับครอบครัวนี้ ซึ่งทุกคนก็เอ็นดูแอชตั้นเหมือนลูกเหมือนหลานอีกคนนึง ตลอดปิดเทอมนี้ เราเลยจะฝากแอชตั้นไว้ที่นี่ตามความต้องการของเจ้าตัว ส่วนเราสองคนก็แค่มาส่ง รวมถึงอยู่พักผ่อนด้วยแค่ สองคืน

“รบกวนอะไรกัน พูดยังกับคนอื่นคนไกล คุณพ่อคุณแม่มีแต่จะดีใจ นี่ก็บ่นคิดถึงหลานชายคนโตจะแย่ ไปๆ เพิ่งมาถึง ขึ้นไปพักผ่อนกันก่อน”พอปาร์ตี้พูดจบ พนักงานโรงแรมก็ช่วยยกกระเป๋าของทั้งผมและข้าวโพดขึ้นไปเก็บให้ ส่วนของแอชตั้นนะเหรอครับ โน่น 3 ศรีพี่น้องลากกันไปแล้ว ตั้งแต่ที่ปอร์โต้และชาร์ลแยกไม่ได้นอนกับพ่อๆ แล้ว เวลามาที่นี่แอชตั้นเองก็เลยกลายเป็นพี่ใหญ่อยู่กับน้องๆ ไปแทน

ก่อนแยกตัวไปผักผ่อน ผมกับข้าวโพดก็ไม่ลืมที่จะแวะทักทายไหว้ผู้ใหญ่อย่างลุงถากับป้ามั้นกันก่อน ตอนนี้เรียกว่าทั้งสองคนก็เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของเราไปแล้ว

“มาทิ้งลูกชายไว้นี่แล้วจะไปสวีทกันที่ไหนละสองหนุ่ม”พอเจอหน้าผู้สูงวัยก็เอ่ยออกมาทันที แต่มันก็เป็นแค่คำทักทายด้วยความเอ็นดู ทั้งผมและข้าวโพดพูดคุยกับผู้สูงวัยทั้งคู่อีกเล็กน้อย ก็ขอตัวขึ้นมาพักผ่อนที่ห้อง

“จริงๆ โพดอยู่กับแอชต่อก็ได้นะ ไหนๆ ก็ลางานไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”เมื่ออยู่กันลำพัง ผมลองเสนอเรื่องนี้กับเค้าอีกรอบ เพราะตั้งแต่เค้าย้ายมาอยู่ที่ไทย และปล่อยแอชตั้นไว้กับผึ้ง เวลาที่ตัวเค้าเองจะได้อยู่กับแอชตั้นมันก็น้อยลงตามไปด้วย แถมหลังๆ เวลาแอชตั้นมาที่ไทย ไหนจะต้องไปบ้านตายายที่เชียงใหม่ ไหนจะมาอยู่ที่ภูเก็ตนี่อีก

“ผมกลับไปอยู่กับพี่ฟ่างแหละดีแล้วครับ เดี๋ยวนี้แอชสนใจผมที่ไหน หายใจเข้าออกมีแต่น้องตลอดเลย”

“นี่งอนลูกปะเนี่ย”

“ไม่หรอกครับ แค่อยากอยู่กับแฟนมากกว่า กลัวแฟนเหงา”

“เราเป็นแฟนกันแล้วเหรอ”ผมแกล้งย้อนด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก แม้ความจริงการใช้ชีวิตของเราช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้มัน มากกว่าคำว่าแฟนไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังไม่เคยพูดออกมาตรงๆ สักทีว่าระหว่างเรา ถ้าให้จำกัดความแล้วมันคืออะไร แต่ก็นั่นแหละครับ ถึงไม่พูดใครๆ ก็รู้ว่าเราก็คือคนรักกันนั่นแหละ

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยครับ”

“…”ผมเงยหน้ามองคนที่เดินมาหยุดตรงหน้าผม ที่กำลังจะเอาข้าวของที่เอาออกจากกระเป๋ามาวางบนเตียงเพื่อจะแยกจัดเก็บ อะไรใช้ก่อนหลัง

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”เค้าย้ำประโยคเดิม ด้วยรอยยิ้มที่ผมว่ามันเริ่มแปลกๆ

“เดี๋ยวๆ ทำอะไรเนี่ย”ผมบอกเสียงหลง เพราะดันโดนผลักให้ล้มหงายหลังลงบนเตียง ตามด้วยคนผลักที่ขึ้นมาคร่อมร่างผมไว้

“เราก็แค่ อยู่ด้วยกัน เจอกันทุกวัน ทานข้าวด้วยกันตลอด ดูแล เป็นห่วงกันตลอด แล้วก็…”

“หยุดพอเลย”ผมรีบห้ามเมื่อเริ่มรู้ว่าตัวเองอาจจะไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ในท่าที่ล่อแหลมอย่างนี้ต่อ แต่เหมือนไอ้คนเจ้าเล่ห์ด้านบนนี่จะรู้ทัน เลยรับกดแขนขาผมไว้ไม่ให้ขยับหนีได้

“ฟังผมให้จบก่อนสิครับ”น้ำเสียงที่ส่งออกมาอย่างเป็นต่อ ก้มลงมากระซิบที่ข้างๆ หูผม

“จะจัดของ ไม่เล่นแล้ว”ผมรีบบอกเสียงเรียบเพราะดูถ้าปล่อยต่อไปมันคงไม่ดีแน่ นี่มันแค่เพิ่งกี่โมงกัน เดี๋ยวก็ไม่ได้ออกจากห้องกันพอดี

“ขอโทษนะครับ”เค้าพลิกตัวลงนอนข้างๆ ผม แล้วก็สัมผัสได้ว่ามือผมกำลังถูกอีกคนประสานเข้ามา ผมค่อยๆ หันหน้าไปมองเค้าเพราะกำลังไม่เข้าใจว่าเค้ากำลังจะทำอะไรอีก แถมน้ำเสียงหม่นๆ นั่นอีก

“ขอโทษเรื่องอะไร”เราสองคนต่างหันหน้ามองอีกฝ่ายทั้งที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง

“ขอโทษที่เคยทิ้งพี่ฟ่างไว้ที่นี่คนเดียว”

“ไม่ยกโทษให้หรอก”ผมบอกพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก เพราะไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนั้นอีกแล้ว ทุกอย่างมันก็ผ่านมาตั้งกี่ปี เราทั้งคู่ก็แค่เคยตัดสินใจผิดพลาด เคยปากหนักไม่พูดกันตรงๆ เคยปล่อยเวลาให้ทรมานตัวเองมาเสียนาน

“ไม่ยกโทษให้ก็ไม่เป็นไรครับ แค่คาดโทษผมไว้ตลอดชีวิตแล้วไม่ไปไหนก็พอ”เค้าค่อยๆ พลิกตัวตะแคง และดึงตัวผมให้นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาเค้าเช่นกัน

“ต้องซึ้งไหมเนี่ย”ผมแกล้งบอกยิ้มๆ และขยับใบหน้าเข้าหาเค้าเช่นกัน ใบหน้าของเราเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

“ผมรักพี่ฟ่างนะครับ”

“…”ผมกำลังว่าจะถอยหนีเพราะไม่คิดว่าเค้าจะมาโหมดนี้ แม้ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าความรู้สึกของเราทั้งคู่เป็นยังไง เพียงแต่ไม่ค่อยชินกับการที่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้สักเท่าไหร่

“พี่ฟ่างไม่ต้องบอกรักผมตอบก็ได้นะครับ ผมรู้ว่าพี่ฟ่างเขิน”รอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายฉายฉัดขึ้น และสองแขนแกร่งนั่นก็ดึงตัวผมเข้าไปหา

“พี่มีอะไรจะให้”ผมไม่ได้ขัดขืนหรืออะไรกับการกระทำของเค้าอีก

“นี่เราจะ…”น้ำเสียงเจ้าเล่ห์นั้นแกล้งไม่พูดต่อ แต่เลื่อนมือต่ำลงไปบีบที่สะโพกผม

“จะให้ซึ้งไหม หรืออยากแต่หื่นอย่างเดียวเนี่ย”ผมรีบดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมา และบอกด้วยน้ำเสียงเอือมๆ หน่อยๆ เพราะเอะอะอะไรก็จะลากลงเรื่องนั้นตลอดสิน่า

“จริงๆ ถ้าไม่ต้องเลือกก็ขอทั้งซึ้งทั้งเซกส์และครับ แต่ถ้าต้องเลือกก็…”ผมส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไรกับคนตรงหน้า ทีแรกจริงๆ ผมก็มีเรื่องจะเซอร์ไพรส์เค้าอยู่นะครับ กะว่ารอบรรยากาศอะไรให้มันโรแมนติกกว่านี้หน่อย แต่ตอนนี้ด้วยความหมั่นไส้ ขอเปลี่ยนใจแล้วดีกว่า

“จะคบกันแค่เพราะเรื่องอย่างว่าใช่ไหม”ผมแกล้งทำเป็นไม่พอใจ ดันอีกคนออกแล้วลุกขึ้นนั่ง จนข้าวโพดเองเริ่มหน้าเสีย

“นี่โกรธจริงเหรอครับ ผมแค่ล้อเล่นเอง เราก็อยู่กันมาตั้งนาน พี่ฟ่างก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง”ข้าวโพดรีบเด้งตัวตามมาโอบเอวผมที่กำลังลุกขึ้นหันหลังให้ ผมอมยิ้มด้วยความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งอีกคน ก่อนจะพยายามแกะมือเค้าออก และวางสิ่งที่ล้วงจากกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนแล้ววางลงบนมือของเค้า

“อะไรครับ”เค้าคลายอ้อมกอดออกอย่างงงๆ และคงกำลังจ้องมองของบนฝ่ามือตัวเองอยู่แน่ๆ แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมอง อาศัยจังหวะที่เค้าคงกำลังงงๆ อยู่นั้นรีบเดินเปิดประตูออกมายืนรับลมที่ริมระเบียง

“เย้ เยส”เสียงตะโกนที่เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าควรดีใจ ดังออกมาจากใน เสียงประตูเปิดออกมา พร้อมอ้อมกอดที่สวมมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมรู้ว่าเค้าคงเข้าใจความหมายของสิ่งที่ผมให้เค้าแล้ว

“ขอบคุณนะครับ”เค้าบอกพร้อมเอามือมาวางซ้อนทับกับมือของผม มือที่วันนี้มันต่างออกไป เมื่อก่อนนิ้วนางข้างซ้ายจะมีแหวนแค่ที่นิ้วของผม แต่วันนี้ที่นิ้วของอีกคนก็มีแหวนแบบเดียวกันแล้ว นั่นหมายความว่า ผมพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับเค้าอย่างไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกแล้ว

“อยู่ดูแลกันไปแบบนี้นะ”ผมเอนตัวพิงกันแผ่นอกกว้าง ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องยอมรับ ว่าชีวิตมันก็มีทั้งสุขและทุกข์นั่นแหละ จะให้มันมีแต่ความสุขก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่จุดสำคัญคือใครจะมาเป็นคนแชร์ทั้งสุขและทุกข์กับเรา

เราต่างเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ สายตาผมมองทอดยาวออกไปกับภาพเบื้องหน้า ทะเลที่ทอดยาวออกไป ทะเลที่มีเรื่องราวมากมายระหว่างเรา และมันคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะได้พบเจอ ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคนที่เป่ารดลงมาที่ผมก่อนปลายจมูกนั้นจะกดลงมาที่ศีรษะของผม

“พี่ก็รักโพดนะ”







END







จบแล้ว อาจจะห้วนๆ ไปบ้าง ติดๆ ขัดๆ สักหน่อย

หรือหายไปนานบ้าง

แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคร๊าบ

ยังไงฝากติดตามเรื่องต่อๆ ไปของผู้เขียนด้วยเน้อ

เรื่องต่อไปที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมา 555

สุดท้ายจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจกันมาตลอด

ขอบคุณมากๆ จร้า
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-05-2018 06:33:16
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 02-06-2018 03:55:44
ทำไมเราอยากให้จบ bad end  :hao7:

ตอนเศร้านี่กดดันสุด จนเราอยากให้ตัดจบเยย จบแบบเจ็บ ๆ  ...  :z6:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-09-2018 12:43:08
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-02-2020 18:56:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 02-03-2020 09:43:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: allmysecret ที่ 10-03-2020 23:14:01
ชอบนะ ชอบการบรรยายเรื่อง
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 09:46:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 15 งานแต่ง 14-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 16-11-2020 23:25:01
เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาอธิบายหลังแต่ง


ลำดับความสำคัญ ความจำเป็น ห่าเหวอะไรดลบันดาล??
ชั่ย
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 24 กองหนุน 02-01-18
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 17-11-2020 00:33:14

“นั่นแหละข้อเสียของน้องชายพี่ฟ่างเลย มีอะไรไม่ยอมพูดตรงๆ ความจริงที่เค้าตัดสินใจคบกับผึ้งในตอนนั้นเพราะเค้าเข้าใจว่าพี่ฟ่างเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทของพี่ที่ชื่อพี่ต้าร์แหละค่ะ”ผมขมวดคิ้ว เรื่องผมกับไอ้ต้าร์นี่มันแค่ระยะสั้นๆ เองนะครับที่เค้าเข้าใจผิด
ถ้าให้จัดอันดับความเลวนะ
ต้าร์ ได้5คะแนน เพราะไม่รู้กาละเทศะเอาแต่คึกคะนองจนเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ดีแต่ชวนเพื่อนไปเมา ไม่เคยเห็นทำอะไรดีๆเลย
ข้าวโพด ได้8คะแนน เอาแต่คิดถึงคนอื่น ไม่คิดถึงใจของฟ่วงและตัวเอง คนที่ทำร้ายตัวเองได้มันก็ทำร้ายคนอื่นได้
คนสุดท้าย นังผึ้ง อีนี่เห็นแก่ตัวสุดๆ ไม่นึกถึงใครเลย เอาตัวเองรอดไว้ก่อน คนอื่นจะชิบหายยังไงกูไม่สน เลวถึงขนาดทิ้งลูกไว้ให้โพดเลี้ยง
หัวข้อ: Re: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 20-11-2020 20:07:19
โหยแอบลุ้นแถบแย่ว่าจะลงเอยยังไง กว่าจะเข้าใจกัน เสียน้ำตากันไป Happy  :katai2-1: