Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018  (อ่าน 21420 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 10
ความเจ็บปวด





“น้องฟ่าง มายังไงเนี่ย”เจ้โอ๋ที่เปิดประตูมาเจอผมถามอย่างแปลกใจที่อยู่ๆ ผมก็โผล่มาโดยไม่ได้บอกได้กล่าวแบบนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะไปหาใครแล้วจริงๆ เพื่อนสนิทอย่างไอ้ต้าร์ก็ยังไม่กลับมาจากเชียงใหม่ ผมโผเข้ากอดเจ้โอ๋ พร้อมกับน้ำตาที่มันเริ่มจะไหลออกมาอีกแล้ว แม้ผมจะพยายามแล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก แต่มันก็ทำไม่ได้จริงๆ

“เค้าทำกับผมแบบนี้ทำไม”ผมแค่ต้องการใครสักคนมารับฟังผมในตอนนี้ ทีแรกผมก็อยากจะโทรหาไอ้ต้าร์กับกุ้งนะครับ แต่สองคนนั้นที่ไม่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ ผมก็ไม่อยากให้เค้าลำบากกลับมาหาผม แล้วก็ถ้าจะให้ผมไปหาพวกเค้าผมก็ไม่อยากจะรบกวน คิดแล้วก็คงมีแต่เจ้โอ๋นี่แหละครับ ที่พอจะเป็นที่พึ่งให้ผมได้ในตอนนี้

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรน้องเจ้นิ”เจ้โอ๋ลูบหลังผมเป็นการปลอบ แต่มันกลับยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม ผมกำลังอ่อนแอ อ่อนแอมากๆ เลยแหละครับในตอนนี้ ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด คำถามที่ผมไม่คิดว่าจะมีคำตอบไหนมาทำให้ผมหายข้องใจได้

คนเดียวที่เหมือนเป็นสิ่งเหนี่ยวของผม คนสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะเกลียด แต่ดูสิ่งที่เค้ากำลังทำกับผม เค้าทำให้ผมมีความสุขจนถึงขีดสุด ก่อนจะผลักผมให้ตกลงไปในเหวลึก เค้าทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไงกัน

“เค้าจะแต่งงาน เค้าจะแต่งงานแล้วมาทำกับผมแบบนี้ทำไม”ผมกำมือแน่นยังจำได้ทุกตัวอักษรที่เค้าทิ้งไว้ให้ผม แม้จะไม่อยากจำแน่มันกลับยิ่งฝังแน่นลงไปในความทรงจำของผม สมองผมมันว่างเปล่า มันไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ผมรู้แล้วว่าไอ้เรื่องที่เค้าบอกจะคุยกับผมที่ว่าเป็นเรื่องสำคัญ มันคือเรื่องที่ เค้าจะแต่งงาน ถ้าผมแค่รับรู้แค่นั้นแล้วระหว่างเราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันไป ผมก็อาจจะเสียใจแต่มันคงไม่เหมือนจะตายทั้งเป็นแบบนี้

ผมรู้ว่าเจ้โอ๋คงงงที่ผมมาถึงก็เอาแต่ฟูมฟายเรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติพอที่จะอธิบายอะไรขนาดนั้น เจ้โอ๋ก็พยายามปลอบผม แต่ผมก็ยังไม่ดีขึ้น จนเจ้โอ๋ต้องพยายามดึงผมเข้าในคอนโดของแก พาผมมานั่งที่โซฟา ทิชชู่ถูกส่งให้ผมแผ่นแล้วแผ่นเล่า เงียบๆ โดยไม่ถามอะไรอีก

“ร้องไปเถอะ ถ้ามันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น”เจ้โอ๋บอกผม พร้อมยิ้มให้กำลังใจ

“ถ้าสบายใจแล้วอยากเล่า พี่ยินดีจะรับฟังอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรพี่เข้าใจว่าแผลมันยังสด”ผมยังคงสะอื้นเบาๆ แต่น้ำตามันเริ่มจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว ผมรู้ว่าน้ำตามันไม่ช่วยอะไร แล้วก็รู้ว่ามัวฟูมฟายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ขอเวลาอีกสักนิดแล้วผมจะต้องดีขึ้น

“ฟังเรื่องของพี่ไหม เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น”ที่จริงเจ้โอ๋ก็เหมือนพี่สาวคนนึงแหละครับ แม้ปกติเจ้แกจะชอบทำเหมือนแทะโลมน้องๆ แต่จริงๆ เจ้แกก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอกครับ ออกจะเป็นพี่สาวคอยช่วยเหลือน้องๆ เสียด้วยซ้ำ ผมหันมองแกงงๆ ไม่คิดว่าฟังเรื่องแกแล้วมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้หรอกนะครับ

“พี่เคยมีแฟน คบกันมานานจนเกือบถึงขั้นจะแต่งงานอยู่แล้ว”ผมหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาน้ำมูกอีกครั้ง และตั้งใจฟังเรื่องราวของเจ้โอ๋ ก็ไม่รู้ว่าฟังจบผมจะยิ่งเศร้ากว่าเดิมหรือดีขึ้นกันแน่

“แต่สุดท้าย เมียเค้าก็มาตบพี่ถึงบ้าน”เจ้โอ๋ยกยิ้มเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ที่เอามาเล่าให้ผมฟัง แต่ผมรู้ดีว่าตอนที่เผชิญกับเรื่องแบบนั้นมันคงไม่ตลกเลยสักนิด

“พี่กลายเป็นเมียน้อยโดยไม่รู้ตัว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแฟนที่เราคบมาหลายปี ที่ถึงขั้นจะคุยเรื่องการแต่งงานกันแล้ว เค้าแต่งงานมีครอบครัวอยู่แล้ว”แววตาของเจ้โอ๋ แข็งกร้าวขึ้นมาในตอนที่กำลังพูด ส่วนผมก็กำลังคิดตามว่าเรื่องที่กำลังฟังกับเรื่องของตัวผมเองในตอนนี้ เรื่องไหนมันแย่กว่ากัน

“แต่ถ้านั่นพี่ยังดูโง่ไม่พอนะ มันยังมีที่โง่กว่านั้น เพราะพี่ดันเชื่อผู้ชายคนนั้น ที่บอกกับพี่ว่าเค้าแยกกันอยู่กับเมียนานแล้ว เหลือแค่จดทะเบียนหย่าเท่านั้นเอง”เอาจริงๆ เรื่องของเจ้โอ๋มันก็คงซับซ้อนกว่าผมมาก แต่การที่ได้ฟังว่ามีใครที่เจอเรื่องแย่ๆ กว่าเรามันก็คงไม่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นหรอกนะครับ ผมเอื้อมมือไปกุมมือเจ้โอ๋ คิดว่าเราก็คงคล้ายๆ กันที่ต้องมาเสียใจกับเรื่องนี้

“สำหรับพี่มันผ่านมานานแล้วแหละ พี่หลุดจากวังวนนั้นแล้ว แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็หนักเหมือนกัน”สองมือของเจ้โอ๋ยื่นมากุมมือผมไว้ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่การให้กำลังใจผม หรือแกก็กำลังให้กำลังใจตัวเองด้วย

“ที่พี่เล่าให้ฟังเพราะอะไรรู้ไหม”

“เพราะอยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นที่ยังมีคนเจอเรื่องแย่กว่า หรือมีคนที่เจอเรื่องแย่ๆ มาเหมือนกัน”ผมคาดเดา หากแต่เจ้โอ๋กลับส่ายหน้ายิ้มๆ

“มันก็ใช่นะ แต่ไม่ทั้งหมด ที่เล่าให้ฟังนี่เพราะอยากให้ฟ่างเห็นว่าพี่ยังอยู่ได้ พี่รู้ว่าตอนนี้ฟ่างอาจจะกำลังรู้สึกเหมือนไม่เหลือใคร เหมือนโลกทั้งโลกมันกำลังจะถล่มลง พี่ก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ซึ่งพี่ผ่านมันมาได้ ทำไมฟ่างจะผ่านมันไปไม่ได้”มันก็จริงนะครับเจ้โอ๋เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังผ่านเรื่องร้ายๆ แบบนี้มาได้ แล้วผู้ชายอย่างผมละ

“แต่มันยากเหลือเกินครับ”

“พี่รู้ๆ มันต้องใช้เวลาถ้าอยากเสียใจ ก็รีบเสียใจกับมันให้พอ แล้วรีบลุกขึ้น ยิ่งเราลุกได้ไวขนาดไหนมันก็ดีกับเราเองมากเท่านั้น”สองแขนของเจ้โอ๋ ดึงผมเข้าไปกอดเหมือนให้กำลังใจ

“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันนะครับ”เพิ่งจะนึกขึ้นได้ครับว่ายังควรเกรงใจเจ้าของคอนโดที่อยู่ๆ ก็มาร้องไห้ฟูมฟายให้เค้าฟังแบบนี้

“เราก็เหมือนพี่เหมือนน้องกัน มีอะไรทุกข์ใจมันก็ต้องช่วยเหลือกัน”ผมนิ่งไปพักนึงพร้อมตัดสินใจว่าจะเล่ารายละเอียดให้เจ้โอ๋ฟังไหม มันอาจจะต้องเท้าความไกลสักหน่อยสำหรับเรื่องระหว่างผมกับข้าวโพด

“ผมกับเค้าถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนที่พ่อกับแม่ของพวกเราเสีย”ผมตัดสินใจเริ่มเล่าออกไป เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ การได้ระบายให้ใครสักคนฟังมันอาจจะช่วยลดความรู้สึกอัดอั้นของผมลงไปได้บ้าง

“น้องชายที่บอกว่านัดกันทุกปีอะเหรอ”มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักหากจะคาดเดาเพราะก่อนที่ผมจะหยุดและไปภูเก็ต ทั้งเจ้โอ๋ ไอ้ต้าร์ก็มีการพูดคุยเรื่องนี้ไปบ้าง เพียงแต่เจ้โอ๋อาจจะเข้าใจแค่ว่าคนที่ผมไปด้วย เป็นแค่น้องชายกันเท่านั้นจริงๆ

“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเค้ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่การเจอกันในครั้งนี้ เค้าทำให้ผมเข้าใจไปว่าผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว”ผมหวนนึกถึงหลายๆ ค่ำคืนที่เราต่างมอบความสุขให้กัน ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจออกมาช้าๆ

“แต่ผมอาจจะคิดไปคนเดียวนั่นแหละครับ เพราะสุดท้ายเค้าก็บอกกับผมว่ากำลังจะแต่งงาน มันตลกตรงที่ผมรู้จักเค้ามาทั้งชีวิตของเค้า เห็นเค้าตั้งแต่ยังแบเบาะ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย”ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลออกมาอีกแล้ว

“ผมแค่ไม่เข้าใจ ว่าถ้าเค้าจะแต่งงานอยู่แล้ว ยังจะมาทำแบบนั้นกับผมทำไม”แม้ผมจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เจ้โอ๋ก็คงเข้าใจได้ถึงสิ่งที่เกินเลยกันไประหว่างผมกับข้าวโพด

“ความเห็นแก่ตัวยังไงละ”ผมชะงักไปกับคำพูดของเจ้โอ๋ ในใจยังไม่อยากยอมรับว่าอีกคนจะกล้าทำร้ายผมได้ขนาดนี้ อย่างที่ผมบอกว่าถ้าอยู่ๆ เค้ามาบอกผมว่ามีแฟน ว่าจะแต่งงานผมอาจจะไม่เจ็บขนาดนี้ หรือไอ้ที่เค้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผมก่อนที่จะไปภูเก็ต ถ้าเพียงแค่เค้าบอกผมก่อน ผมอาจจะไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเดินมาถึงจุดนี้

แต่สิ่งที่ผมพยายามแก้ตัวให้อีกคนในใจ ก็ยังบอกผมว่าที่จริงผมก็มีส่วนเป็นคนเริ่มให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น เพราะคำถามของผมที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เค้าจูบผม และเป็นผมเองด้วยซ้ำที่ให้เค้าจูบผมซ้ำอีกรอบ ยิ่งพอคิดว่าสมมติเค้าบอกผมก่อนในเรื่องแต่งงาน มันก็ไม่แน่ที่ผมจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป หรือว่าที่จริงผมก็แค่หาข้อแก้ตัวให้กับเค้า เพราะว่า...

“มันแย่ตรงที่ผมเกลียดเค้าไม่ลงนี่สิครับ”ผมค่อยๆ เช็ดน้ำตาตัวเอง รู้สึกอยากให้เรื่องนี้มันผ่านไปเร็วๆ อย่างกลับมาเข้มแข็งให้ได้โดยไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้อีก

เสียงโทรศัพท์ของเจ้โอ๋ดังขึ้นเรียกสติให้กับทั้งผมและเจ้โอ๋ ผมมองหญิงสาวรุ่นพี่ที่ลุกเดินไปตามเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เจ้โอ๋ทำให้ผมรู้ว่าคนเราก็คงต้องเคยผ่านเรื่องแย่ๆ หรือเรื่องร้ายๆ มาด้วยกันทั้งนั้น หรือแม้แต่ผมเอง ยังเคยสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมก็ยังผ่านมันไปได้ แล้วนี่เค้ายังไม่ได้ตายจากผมไป แต่ผมต่างหากที่กำลังจะตายทั้งเป็น ผมจะผ่านมันไปได้ไหม

“ไอ้ต้าร์ จะคุยด้วย”เจ้โอ๋เดินกลับมายื่นโทรศัพท์ให้กับผม

“โอเคไหมมึง”แค่คำถามธรรมดาๆ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากเพื่อนสนิทคนนี้ แม้มันจะบ้าๆ บอๆ กวนตีนไปบ้างแต่ผมก็รู้ดีว่ามันคืออีกคนนึงที่หวังดีกับผมมากๆ

“ไม่เลยสักนิด”ผมพยายามคุมเสียงให้ปกติ ไม่ให้สั่นทั้งที่น้ำตาปริ่มมาอีกรอบแล้ว

“ไอ้โพดโทรหากูว่าติดต่อมึงไม่ได้เลย แล้วนี่จริงหรือเปล่าที่โพดมันจะ...”

“แต่งงาน”ผมต่อประโยคนั้นให้จบ พร้อมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู ทั้งที่ก็รู้นั่นแหละครับว่าแบตมันหมดไปแล้ว ด้วยความตั้งใจของผมเองที่ไม่ยอมชาร์ท เพราะผมยังไม่พร้อม ไม่พร้อมจะรับรู้อะไรอีก ในข้อความที่เค้าเขียนทิ้งไว้บอกว่าเค้าจะโทรหาผมนั่นคือสาเหตุที่ผมปล่อยไว้จนมันดับไปเอง

“มันเกิดอะไรขึ้นวะ ถามไอ้โพดก็ไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้น”ไอ้ต้าร์ถามอย่างสงสัย น้ำเสียงที่ได้ยินก็ยังเจือด้วยความเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่มันถามผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“กูก็ไม่รู้ กูไม่รู้อะไรเลย”ผมตอบออกไปเสียงสั่น แถมเกือบจะเป็นเสียงตะคอกด้วยซ้ำ เรียกว่าเกือบจะคุมตัวเองให้มีสติไม่ไหวแล้ว ทุกอย่างมันเหมือนเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน

“ใจเย็นๆ มึงแค่รู้ว่ามึงอยู่กับเจ้โอ๋อย่างปลอดภัยกูก็ค่อยหายห่วงหน่อย”คำพูดที่บ่งบอกว่ามันยังเป็นห่วงผมและก็กังวลว่าผมจะคิดมากสินะ นี่ขนาดผมว่ามันคงยังคิดไม่ถึงหรอกว่าระหว่างผมกับข้าวโพดไปถึงไหนกันแล้ว นี่ถ้ามันรู้มันคงต้องห่วงผมมากกว่าเดิมเป็นแน่

“กูไม่คิดสั้นทำอะไรโง่ๆ หรอกน่า”ผมบอกออกไปติดตลก ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเป็นกังวลกับผมด้วย

“ฟ่าง น้องมันอยากคุยกับมึง”น้ำเสียงราบเรียบที่บอกตามมาทำเอาผมนิ่งไปเหมือนกัน ทั้งที่ก็คิดไว้นะครับว่าเค้าต้องติดต่อไอ้ต้าร์ไม่ก็กุ้ง เพราะเป็นเพียง 2 คนที่เค้ารู้จักที่จะสามารถติดต่อผมมาได้

“ตอนนี้กูพักสายมันไว้ มึงจะคุยกับมันไหมกูจะได้ประชุมสายให้”ผมเงียบเพราะยังคิดอยู่ว่าตัวผมพร้อมจะคุยกับอีกคนขนาดไหน

“แต่ถ้ามึงไม่อยากคุยกูจะได้บอกกับมันไป”

“คุย กูจะคุย”ถ้ามันจะเจ็บผมก็ควรรีบเจ็บให้มันสุดๆ ไปเลยดีกว่าแผลแม้มันจะยิ่งลึกลงไปอีกแต่มันก็จะได้รักษาไปเลยทีเดียวให้หายขาดจะได้ไม่ต้องมาเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก

“งั้นแป๊บนึง เดี๋ยวกูประชุมสายให้แล้วกูจะไม่แอบฟังมึงสองคนคุยกัน โอเคไหม”เสียงไอ้ต้าร์บอกเหมือนให้กำลังใจให้ผมอยู่ในทีก่อนมันจะเงียบไป

“พี่ฟ่าง”เสียงไอ้ต้าร์เงียบไปสักพัก ก็มีเสียงของอีกคนขึ้นมาแทน

“อือ”ผมตอบรับเบาๆ พอให้เค้ารับรู้ว่าผมอยู่ในสายแล้ว

“พี่ฟ่างเป็นไงบ้างครับ”น้ำเสียงที่ยังดูเป็นห่วงเป็นใยที่ได้ยินมันยิ่งทำให้ผมปวดใจมากกว่าเดิม ผมต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาอีก

“โพดมีอะไรก็รีบพูดมา เถอะ”ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพยายามบอกกับเค้าไม่ให้เสียงของตัวเองสั่น

“โพดอยากขอโทษ ขอโทษที่ไม่กล้าพอจะบอกกับพี่ต่อหน้า ขอโทษที่ทำให้พี่ฟ่าง...เสียใจ”ผมยังคงฟังเค้าเงียบๆ แม้ตอนนี้น้ำตาผมมันจะไหลออกมาอีกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ผมยังกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ได้

“ขอโทษที่ดูแลอย่างที่เคยพูดไม่ได้”จบแล้วจริงๆ สินะครับ ระหว่างผมกับเค้ามันคงจะจบแล้วจริงๆ

“พี่ฟ่างเกลียดโพดไหม”แม้ผมเองจะคุมอาการตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว แต่ก็ยังพอจับใจความได้ว่าเสียงของอีกคนก็ฟังดูสั่นๆ เช่นกัน

“พี่จะเกลียดน้องชายคนเดียวของพี่ได้ยังไงกัน”ตอนนี้ผมเริ่มเกลียดตัวเองเสียมากกว่า เกลียดที่ทำไมผมถึงเกลียดเค้าไม่ลงทั้งๆ ที่เค้าทำร้ายจิตใจผมขนาดนี้

“โพดจะขอมากไปไหม หากว่าจะขอให้พี่ฟ่างมางานแต่งโพด”




TBC

ขอมีดราม่านิดนึงเนอะ  :a5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :z6: :z6:
โพด ทำไมต้องใจร้ายวะ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เอ็นดูน้องโพดมาตลอด พอถึงตอนนี้...อยากตบน้องโพดจัง  :katai4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 11
หนามยอก/หนามบ่ง




“อย่าทำหน้าอมทุกข์อย่างนี้ดิวะ”ไอ้ต้าร์เดินมาตบไหล่ผมที่สีหน้าคงเหมือนคนไร้วิญญาณเข้าไปทุกที ผมหันมองมันก่อนจะยกยิ้มอย่างฝืนๆ นี่ก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าแล้วนับจากวันที่ผมได้รับรู้ รับรู้ว่าตัวผมกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้สำหรับคนที่ผมรักสุดหัวใจ ไม่ว่าจะมองในฐานะไหน เค้าก็ได้ทำร้ายผมอย่างแสนสาหัส สาหัสจนผมชักไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ผมจะดีขึ้นได้อย่างเดิม

“ไปดื่มกันไหมมึง”ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ช่วงเพิ่งเลิกงานแบบนี้ ผมยังอยู่ได้ปกติดีแหละครับ ช่วงเวลาที่มันยากเย็นสำหรับผม มันคือช่วงค่ำคืนอันแสนยาวนานต่างหากละครับ

“เฮ้ย นี่ตั้งแต่วันนั้นมีสักวันที่มึงพักตับบ้างหรือยังเนี่ย”นั่นคือสิ่งที่พอจะช่วยเยียวยาผมได้ แอลกอฮอล์ทำให้ผมหลับได้ในยามค่ำคืน โดยไม่ต้องคิดอะไรอีก แม้ในตอนเช้าผมยังจะต้องพบกับคราบน้ำตาของตัวเองก็ตามที

“นั่นดิน้องฟ่าง”เจ้โอ๋เป็นอีกคนที่แสดงความเป็นห่วงผมอย่างชัดเจน จะว่าไปทุกคนรอบๆ ตัวผมเห็นผมแล้วก็คงห่วงผมกันทั้งนั้นแหละครับ ผมก็ได้แต่บอกกับทุกคนว่าขอเวลาผมอีกหน่อย ผมสัญญาว่าจะดีขึ้น แต่ความจริงผมก็เพียงบอกให้ทุกคนสบายใจไปอย่างนั้นเองแหละครับ เพราะความเป็นจริงใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ยังไม่รู้ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาผมได้หรือเปล่า

“ถ้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อน จะหนีไปคนเดียวนะ”ผมแกล้งพูดลอยๆ ให้ทั้งสองคนได้ยิน ซึ่งทั้งสองก็ถอนหายใจยาว เหมือนอ่อนใจกับคนอย่างผมแล้ว

“เอา ไปก็ไปแล้วเจ้ละว่าไง”ต้าร์ตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ก่อนจะกันไปถามความเห็นกับทางเจ้โอ๋ ที่จริงถึงผมจะแกล้งพูดออกไปอย่างนั้น แต่ถ้าทั้งสองคนไม่ไปผมก็อาจจะไม่กล้าไปนั่งที่ไหนคนเดียวหรอกนะครับ อย่างมากก็คงซื้อกลับไปนั่งดื่มคนเดียวที่บ้าน

“คืนวันศุกร์ ขนาดนี้ทั้งทีชะนีโสดอย่างเจ้ ก็ไม่อยากเหี่ยวเฉาเฝ้าคอนโดหรอกนะ คืนนี้ถึงไหนถึงกันจัดไปเลยหนุ่มๆ”เป็นอันตกลงว่าคืนนี้ผมก็คงจะผ่านไปได้อีกวัน ไม่เคยคิดเลยนะครับว่าตัวเองจะต้องกลายมาเป็นคนที่เสียหลักกับอะไรแบบนี้ ถึงจนาดนี้ ผมเคยคิดมาตลอดว่าอกหักเสียใจ มันจะขนาดไหนกันเชียว เวลาดูหนังดูซีรี่ส์ เห็นตัวละครจะเป็นจะตาย ฟูมฟายขาดกันไม่ได้ ผมยังเคยแอบด่าในใจว่าจะทนโง่ไปทำไม คนเค้าทิ้งไปเราจะต้องสนใจอีกทำไม แต่วันนี้ผมรู้แล้วละครับว่ามันเป็นยังไง

หลังจากที่ไอ้ต้าร์เคลียร์กับกุ้งเรียบร้อย เราทั้งสามคนก็พากันมานั่งที่ร้ายสบายๆ เสียงเพลงไม่ดังมากนักเพื่อให้ยังสามารถดื่มไป คุยกันไปให้รู้เรื่องบ้าง แต่ด้วยความที่มันคือคืนวันศุกร์นี่แหละครับ คนมันเลยออกจะเนืองแน่นไปสักหน่อย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาของเราทั้งสามสักเท่าไหร่ เพราะพอเหล้า โซดา น้ำ มาวางครบ ก็แทบไม่รอเด็กเสิร์ฟกันเลย

“เอ้า ดื่มให้กับความโสด อิต้าร์มึงหยุด มึงมีเมียห้ามชนกับพวกกู”พอเหล้าเริ่มเข้ากระแสเลือดความสุภาพก็มักจะลดลงครับ ทั้งเจ้โอ๋แล้วก็ไอ้ต้าร์ แถมตอนนี้เจ้โอ๋ก็เอาแต่ชนกับผมสองคนนี่แหละครับ จนเริ่มจะตึงๆ กันหมดแล้ว

“อ้าวอิเจ้ แค่เพื่อนโสดนี่ผมต้องเลิกเมียมาโสดตามเพื่อนหรือไงครับเจ้ครับ”ไอ้ต้าร์ที่ยังพยายามจะชนแก้วกับเจ้โอ๋ให้ได้ รีบยื่นแก้วเข้าหา แต่เจ้โอ๋ก็ยกแก้วถอยหนี ทั้งสองคนก็เหมือนจะยังพอทำให้ผมยิ้มได้บ้าง ผมก็รู้สึกขอบคุณทั้งคู่จริงๆ นะครับถ้าไม่มีสองคนนี้นี่ผมคงมีสภาพที่แย่กว่าตอนนี้อีกมาก

“ก็ยังยิ้มได้นิน้องฟ่างของเจ้ น้องฟ่างก็หน้าดีขนาดนี้ นิสัยก็ดี เงินในบัญชีอีกหลายหลักจะมาเศร้าทำไม หาใหม่ดีกว่า เอาให้ดีกว่าคนเก่าสัก 100 เท่าไปเลย”เจ้โอ๋ขยับเข้ามากระทุ้งที่สีข้างผม บอกอย่างให้กำลังใจ และแถมด้วยความสมเพชแหละมั้งครับ

“เฮ้อ...แต่เอาจริงๆ กูก็ไม่คิดว่าไอ้โพดมันจะใจร้ายกับมึงได้ขนาดนี้นะเว้ย”ไอ้ต้าร์พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันก็คงไม่ใช่คนเดียวหรอกครับที่คิดแบบนั้น

“คนที่ใจร้ายกับน้องฟ่างของเราได้ขนาดนี้ แกยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอไอ้ต้าร์”เจ้โอ๋ที่ไม่เคยรู้จักโพดมาก่อนก็คงคิดแบบนี้แหละครับ แต่ตอนนี้ผมเองก็ชักไม่มั่นใจแล้วแหละครับ ว่าผมรู้จักเค้าจริงๆ หรือเปล่า

“โถเจ้ ถ้าเจ้รู้จักมันสองคนอย่างผมนะ เวลาพวกมันไปภูเก็ต มองจากบ้านเมียผมที่เชียงใหม่ยังดูออกเลยว่ามันสองคนรักกัน”รักกันงั้นเหรอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองในใจเพราะคำๆ นี้ มันคงไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วไม่ว่าจะรักในแบบพี่น้อง หรือในแบบที่มากกว่านั้น มันคงไม่มีอีกแล้ว

“เวอร์ไปเปล่า”เจ้โอ๋เบ้ปากอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ไอ้ต้าร์กำลังพูด

“ไม่เวอร์เลยเจ้ แล้วยิ่งไอ้โพดนะ ทั้งหวง ทั้งห่วงไอ้ฟ่างออกนอกหน้าขนาดนั้น เจอกันทีแทบจะแหกตูดไอ้ฟ่างดมแล้วมั้ง”ยิ่งไอ้ต้าร์พูดถึงเค้ามากเท่าไหร่อัตราเร่งในการยกแก้วขึ้นดื่มของผมก็แทบจะเร็วขึ้นๆ ตามคำพูดของไอ้ต้าร์มันแหละครับ

“ถ้ามันรักน้องฟ่างจริงอย่างที่แกพูด มันจะทำแบบนี้กับน้องฟ่างทำไมกันละ”ผมเกือบจะคล้อยตามกับสิ่งที่ไอ้ต้าร์พูดแล้วนะครับ แต่สิ่งที่เจ้โอ๋ว่ามามันทำให้ผมสะอึกเลยทีเดียว มันเหมือนจบทุกอย่างได้ในประโยคเดียว ไม่ต้องอธิบายอะไรต่ออีกแล้ว

“นั่นสิวะมึง มันมีอะไรผิดพลาด เข้าใจผิดอะไรไหมวะ มึงได้ถามได้เคลียร์กันไหม ว่าทำไมมันถึงทำแบบนี้”ถามเหรอ มันยังมีอะไรที่ต้องถามอีกอย่างงั้นเหรอ ในเมื่อเค้าบอกทุกอย่างชัดเจนแล้ว

“เค้าจะแต่งงานไง”ผมพูดออกไปเสียงแผ่ว แก้วน้ำสีอำพันในมือถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด พนักงานเสิร์ฟที่ดูแลโต๊ะเรารีบเข้ามาเติมให้แทบจะทันที และผมก็หยิบแก้วที่เพิ่งเติมใหม่ดื่มแทบจะทันทีเช่นกัน

“แล้วอยู่ดีๆ จะมาปุบปับแต่งงานสายฟ้าแลบอะไรแบบนี้ได้ยังไงกันวะ”เหมือนไอ้ต้าร์จะลืมไปว่ายิ่งมันจุดประเด็นเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ผมเองก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น แต่ผมจะไม่ห้ามมันหรอกนะครับ บางทีหนามยอกมันก็ต้องเอาหนามบ่ง ให้มันเจ็บจนชินชาไปเลย เผื่อมันจะได้ไม่เจ็บอีก

“แล้วมึงคิดว่าทำไมคนเรามีเหตุผลอะไรบ้างละ ถึงต้องรีบแต่งงาน”ผมถามกลับให้ไอ้ต้าร์ออกความเห็น เพราะที่จริงผมเองก็คาดเดาเอาเองเช่นกัน

“ท้องเหรอวะ”คำตอบที่เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงคิดเช่นเดียวกับทั้งผมและไอ้ต้าร์ ถ้านึกย้อนดูดีๆ ผมว่าข้าวโพดเองก็บอกผมมาเป็นนัยๆ อยู่แล้วนะครับกับเรื่องนี้

“พี่ฟ่างเคยคิดอยากมีลูกไหมครับ”ประโยคที่เค้าเคยถาม มันดังก้องเข้ามาในหัวของผมแทบจะทันที ที่จริงเค้าก็มีหลายๆ อย่างทิ้งให้ผมฉุกคิดนะครับ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจ จนถึงตอนนี้แม้เค้าจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แต่ทุกอย่างมันก็พอจะเดาได้แหละครับว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป

“แล้วมันไปทำใครท้อง ท้องกะใครที่ไหน มันมีแฟนเหรอวะ”คำถามของไอ้ต้าร์ ดังขึ้นพร้อมความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมตอบมันไม่ได้หรอกครับ เพราะผมก็เพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าถ้าเค้าไม่เล่าไม่บอก ผมก็ไม่มีทางจะรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าอยู่แล้ว อย่างเรื่องเค้าสูบบุหรี่ ผมเองยังเข้าใจมาตลอดว่าเค้าเป็นคนไม่สูบบุหรี่

 นั่นเพราะอะไรนะเหรอครับ เพราะเค้าก็จะแสดงแค่ด้านที่อยากให้ผมรับรู้ออกมาให้เห็นแค่นั้นเอง ซึ่งมันก็จะไม่แปลกเลย ถ้าเค้ามีใครสักคนที่คบหาอยู่ แล้วจะไม่อยากเปิดออกมาให้ผมรับรู้ เค้าก็แค่แสดงให้ผมเห็นว่าเค้าไม่ได้มีใครอื่นอีกเลย แค่นั้นเอง

“มึงคิดว่ากูรู้จักใครสักคนรอบๆ ตัวเค้าไหม”คำตอบของผมทำให้ไอ้ต้าร์เงียบไป อาจจะเพราะทั้งมันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพูดเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว และอีกอย่างก็เจ้โอ๋เองที่ช่วยสกัดไม่ให้ไอ้ต้าร์พูดเรื่องนี้ต่อ ทำให้เราทั้งสามเงียบลงอย่างใช้ความคิด สายตาผมกวาดมองออกไปทั่วร้าน ผู้คนหลากหลายที่อยู่ที่ร้านนี้ บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างมาเป็นคู่ แต่ส่วนใหญ่คงมาสังสรรค์ มาผ่อนคลาย ก่อนจะได้พักผ่อนในวันสุดสัปดาห์แบบนี้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่มาเพราะใจบอบช้ำอย่างผม

“น้องหนิงมานี่ลูก ห้ามซนนะคะอีกเดี๋ยวแม่ก็พากลับแล้ว”ภาพเด็กชายตัวน้อยที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่โต๊ะถัดไป เรียกรอยยิ้มบางๆ ให้กับผม ด้วยความที่ร้านจัดเป็นแบบนั่งสบายๆ มาดื่มหรือมาทานมื้อเย็นก็ได้เลย ทำให้มีบ้างที่บางคนจะหนีบเอาเด็กมาด้วยแบบนี้ แต่ก็ไม่เยอะนักหรอกครับ

“ชู่วๆ เราต้องเงียบๆ ฮ่ะ แม่บอกว่าห้ามดื้อห้ามวิ่งเล่น แล้วโพดจะได้กินเค้ก”รอยยิ้มผมค่อยๆ หุบลงเมื่อภาพอีกคนฉายชัดขึ้นมาแทนในความทรงจำ ทั้งผมและข้าวโพดเองก็เคยติดสอยห้อยตามมาร้านแบบนี้กับแม่เหมือนกัน

“และเพลงนี้ก็เป็นบทเพลงพิเศษสำหรับคนพิเศษนะครับ คนขอเค้าบอกว่าไม่ต้องบอกว่าให้ใครเพราะถ้าเพลงขึ้นเมื่อไหร่ เค้าจะรู้ตัวทันที”ผมหันไปฟังเสียงพูดบนเวทีอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็นั่นแหละเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างผมกับโพดคงจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

“ฮิ้ว แอร๊ย กรี๊ดดด”แค่เพียงนักร้องบนเวทีเริ่มร้องก็มีพี่ๆทโต๊ะนึงส่งเสียงจนผมว่าทุกคนในร้านต่างหันไปมอง

“เค้าทำไรกันฮ่ะพี่ฟ่าง”น้องชายตัวแสบของผมก็มองอย่างสนใจเช่นเดียวกัน ผมมองสลับไปมาระหว่างเวทีกับกลุ่มพวกพี่ๆ ที่ส่งเสียงนั่น แล้วสักพักนักร้องบนเวทีก็ถือดอกไม้ ร้องเพลงเดินตรงลงมาที่กลุ่มพี่ๆ ที่ส่งเสียงโห่ร้องนั่น ตอนนี้เหมือนคนในร้านกำลังสนใจเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง

“เซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกลางร้านแบบนี้เลยเหรอ น่ารักจังเลยเนอะ”เสียงพูดของแม่เปิ้ล เรียกความสนใจจากทั้งผมและข้าวโพด แล้วน้องชายตัวน้อยของผมก็หันมาสะกิดผม

“เดี๋ยวโตขึ้น โพดจะขอพี่ฟ่างแต่งงานแบบนี้นะฮ่ะ”ผมยื่นมือไปหยิกแก้มน้องชายอย่างหมั่นเขี้ยว ตัวแค่นี้ยังไม่รู้เลยว่าการแต่งงานคืออะไร แถมแต่งงานเค้ามีแต่ผู้หญิงกับผู้ชายไหมที่แต่งกัน นี่เราก็ผู้ชายทั้งคู่แถมยังเป็นพี่น้องกันอีก แต่ดูน้องชายตัวแสบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ

ผมเบนสายตากลับไปมองเหตุการณ์ขอแต่งงานนั้นต่อ นักร้องทำเป็นเดินวนยังไม่ส่งช่อดอกไม่ให้ใครสักที จนในที่สุดก็มีพี่ผู้ชายในโต๊ะนั้นลุกขึ้นฉวยช่อดอกไม้นั่นมา เสียงโห่ร้องดังขึ้น และยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อพี่เค้าคุกเข่าลงตรงหน้าพี่ผู้หญิงอีกคนในโต๊ะ เสียงดนตรีเงียบลง แต่ด้วยความที่โต๊ะนั้นอยู่ไกล ทำให้ผมได้ยินในสิ่งที่พวกพี่เค้าพูดไม่ชัดนัก เห็นเพียงแต่ว่าพี่ผู้หญิงคนนั้นรับช่อดอกไม้ไปแล้วทั้งคู่ก็โผเข้ากอดกัน เสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนที่นักร้องจะเล่นเพลงต่อ

“I don’t care who you are, where you’re from
Don’t care what you did
As long as you love me”

ภาพตรงหน้าผมค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่เพลงๆ เดิมยังคงเล่นอยู่ ต่างไปตรงที่วันนี้ที่นี่ไม่มีใครเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกัน แต่คนที่เคยมีความทรงจำในเพลงนี้กับผมกำลังจะแต่งงานแล้ว ซึ่งคนที่เค้าจะแต่งด้วยมันไม่ใช่ผม อย่างที่เค้าเคยบอกเอาไว้ตอนวัยเด็ก

“แล้วนี่มึงแน่ใจเหรอว่า ยังจะไปงานแต่งน้องมัน”ผมหันไปสบตากับไอ้ต้าร์สลับกับเจ้โอ๋ ที่มองผมอย่างอคำตอบ

“อือ”ผมตอบรับออกไป เพราะยังไงผมก็รับปากเจ้าบ่าวของงานไปแล้ว

“มึงโอเคแน่เหรอวะ”ไอ้ต้าร์หันมาถามอย่างเป็นห่วง เจ้โอ๋เองก็มองผมด้วยสายตาห่วงใยไม่แพ้กับไอ้ต้าร์เลย ผมยิ้มให้ทั้งคู่เพื่อให้มั่นใจว่าผมไปร่วมงานได้จริงๆ

“เค้าคือน้องชายกู คือคนเดียวในครอบครัวกูที่เหลืออยู่ มันมีเหตุผลอะไรละที่กูจะไม่ไป"


TBC

ไว้เดี๋ยวรอฟังความข้างน้องโพดบ้างละกันเนอะ

อาจจะมีเล่าผ่านฝั่งข้าวโพดมาแทรกบ้างเป็นระยะนะฮ่ะ  o13


ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 12
คนในครอบครัว
พาร์ทของโพด




“เธอ ชื่อไรอ่ะ”ผมหันไปตามเสียงทักทายที่มาสะกิดไหล่ผม จากที่ดูคาดว่าคงเป็นนักศึกษาปี 1 เช่นเดียวกับผม วันนี้เป็นวันแรกของการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผม และก็นี่อาจจะได้เป็นเพื่อนคนแรกของผมที่นี่

“โพดครับ แล้วเธอละชื่อไร”ผมตอบกลับด้วยอาการเกร็งๆ หน่อยเพราะยังรู้สึกประหม่ากับการได้รู้เพื่อนใหม่เช่นนี้

“ผึ้งจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าแต่โพดนี่มาจากข้าวโพดกรือเปล่า”เป็นคำถามที่แทบทุกคนจะต้องถามเวลาที่ผมแนะนำตัว จนหลังๆ ผมก็มักจะบอกเต็มๆ ไปเลย จะมีบ้างที่ลืมตัวบอกแค่พยางค์หลังแบบนี้ เพราะติดการแทนตัวเองว่า “โพด” เวลาคุยกับพี่ข้าวฟ่างของผมนั่นแหละครับ

“ข้าวโพด ดูหน่อมแน้มไม่เข้ากับหน้าเลยเนอะ”ผึ้งเพื่อนใหม่ของผมบอกอย่างร่าเริง เมื่อรู้ชื่อเต็มๆ ของผม เธอดูเป็นคนร่าเริง อัธยาศัยดี แค่ได้คุยเพียงไม่นาน ผมก็แทบไม่รู้สึกเกร็งอะไรอีกแล้ว ผึ้งบอกว่าผมหน้าตาไม่เหมาะกับชื่อ แต่ผมว่าผึ้งเองก็บุคลิคไม่เหมาะกับใบหน้าสวยหวานนี่เหมือนกัน เพราะบุคลิคของเธอออกจะไปทางห้าวๆ กระโดกกระเดกเสียมากกว่า

“ตั้งตามพี่ชายนะ พี่ชายเราชื่อข้าวฟ่าง”ผมยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อคนที่ช่วงนึงเราห่างหายไม่ได้ติดต่อกันอยู่ช่วงนึง จนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ที่ผมได้กลับมาเจอ และได้ติดต่อกันมากขึ้นกว่าเดิม แถมเราก็มีสัญญาว่าจะไปเจอกันทุกปีอีกด้วย

“น่ารักดีเนอะ พี่ข้าวฟ่างกับน้องข้าวโพด”ผมยิ้มรับโดยไม่ปฏิเสธ จริงๆ เมื่อก่อนตอนยังเด็กเราสองคนจะได้รับคำชมแบบนี้เสมอ ซึ่งทั้งผมและพี่ฟ่างก็จะยิ้มแก้มปริด้วยกันทั้งคู่ จนพอพ่อแม่ของเราเสีย เราก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอีกแล้ว

ผมหันมาพูดคุยกับผึ้ง ถามนู่นนี่นั่นเป็นการทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ผึ้งเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิดซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ผมได้รู้จักเธอ เพราะคนการมีเพื่อนเป็นคนพื้นที่แบบนี้ มีอะไรคงปรึกษาได้เต็มที่ และดูเราจะคุยถูกคอเข้ากันได้ดีทีเดียว ด้วยความที่เราเรียนคณะเดียวกัน มีความสนใจคล้ายๆ กัน แถมมีความฝันที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เหมือนกันด้วย ผึ้งเล่าว่าจริงๆ จะไปเรียน ป.ตรี ที่ต่างประเทศแล้ว แต่ที่บ้านเป็นห่วง เลยต้องเรียนให้จบตรีก่อน ที่บ้านถึงจะยอมให้ไป

“ทำไมไม่กินข้าวก่อน ค่อยกินของหวาน”เค้าทักผมที่กำลังจะตักเค้กเข้าปาก หลังจากที่เหนื่อยกันทั้งวัน กับชีวิตมหาวิทยาลัยในวันแรก ผึ้งก็ชวนผมมาทานอาหารในร้านที่รับประกันว่าอร่อยมาก แถมมีเค้กรสเด็ด ผมนี่หูผึ่งเพราะไอ้คำหลังนั่นแหละครับ

“ก็ชอบ”ผมงับเค้กเข้าปากอย่างไม่สนใจการห้ามของอีกคน

“ไม่เอา กินข้าวก่อนดิ”ผึ้งดึงเค้กออกจากผมไป แม้จะอยากกินต่อ แต่ผมก็ยิ้มออกมาเพราะการกระทำของเธอทำให้ผมนึกถึงใครบางคน

“ยิ้มอะไรแปลกๆ”เธอถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผึ้งทำเหมือนแม่เราเลย”ผมบอกออกไปขำๆ แต่อีกคนหน้าหงิกอย่างไม่พอใจ

“นี่หาว่าเราแก่เท่าแม่เลยเหรอ รู้จักกันวันแรกก็ลามปามเลยนะ”เธอเอื้อมแขนมาตีผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนเราจะหัวเราะออกมากันทั้งคู่ เพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงดัง จนคนในร้านเริ่มหันมามอง เราทั้งคู่กลั้นขำกันเงียบๆ นี่ผมรู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงตรงหน้านี่อย่างบอกไม่ถูก

รออาหารกันอยู่สักพัก โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมหยิบมามองดูชื่อคนที่โทรเข้ามาก่อนจะเผลอยิ้มกว้าง ผมรีบกดรับสายทักทายอีกคนอย่างรวดเร็ว

“แค่โทรมาถาม ว่าเรียนวันแรกเป็นไงบ้าง”ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมว่าพี่ฟ่างต้องโทรมาเพราะคิดถึงผมนั่นแหละครับ พี่ชายผมคนนี้ปากไม่ค่อยตรงกับใจ เรื่องปากแข็งนี่เป็นที่หนึ่งเชียวแหละครับผมว่า

“โห นึกว่าโทรมาเพราะคิดถึงโพดเสียอีก”ผมแกล้งตอบกลับไปอย่างรู้ทัน

“อืม แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ผมฟังไปก็นึกถึงหน้าอีกคนไป ว่าตอนนี้พี่ฟ่างของผมจะกำลังทำหน้ายังไง ผมกำลังจะตอบออกไปว่ารอกินข้าวอยู่แต่เสียงที่ลอดเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้ผมต้องชะงัก

“ที่รัก คุยกับใครอะ เค้ารอนานแล้วนะ”เสียงใครกัน เสียงผู้ชายแถมเรียกพี่ฟ่างว่าทีรัก

“ขอคุยกับน้องแป๊บนึงได้ไหมต้าร์ อย่าเพิ่งกวน”ต้าร์งั้นเหรอ แล้วต้าร์คือใครกัน

“โพดยังอยู่เปล่า”ผมที่นิ่งฟังเริ่มรู้สึกใจห่อเหี่ยว อยากจะถามออกไปว่าคนที่คุยกับเค้าอยู่ นั่นใคร พี่ฟ่างมีแฟนแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมพี่เค้าไม่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างเลย

“ครับ”ผมตอบรับเสียงเบา เพราะเริ่มรู้สึกไม่ชอบเลยที่มีเสียงอีกคนแทรกเข้ามา

“ตัวเองเร็วๆ ดิเค้าหิวข้าว”ยอมรับว่าตกใจมากนะครับ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้ว

“โพดเดี๋ยวพี่ต้องวางแล้ว ไว้คุยกันใหม่นะ”สายตัดไปทั้งที่ผมยังรู้สึกช็อคอยู่หน่อยๆ ช็อคที่ได้รับรู้ว่ามีคนที่พี่ฟ่างให้ความสำคัญมากกว่าผม ถึงขนาดวางสายผมง่ายๆ เพื่อไปกับอีกคน แม้จะรู้ว่านี่มันไม่เหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้วที่พี่ฟ่างเคยให้ผมเป็นคนสำคัญ แต่ตอนนี้เราได้กลับมาเจอกัน ได้ติดต่อกันอีก ผมก็นึกว่าผมจะยังได้รับความสำคัญนั้นอยู่

“แฟนโทรมาบอกเลิกเหรอ”เสียงของอีกคนเรียกสติผมที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน

“อะไรนะ”ผมถามย้ำเพราะนึกว่าตัวเองหูฝาด

“คุยกับแฟนหรือเปล่า”ผมตาโตกับคำถามของเธอ เพราะถึงผมจะรู้สึกแปลกๆ กับพี่ชายคนนี้ไปแล้ว แต่สถานะระหว่างเรายังไงมันก็คือพี่น้อง

“บ้า พี่ชายเราเอง”ผมยิ้มแห้งๆ ตอบไป

“จริงดิ นี่ถ้าไม่บอกนะ ตะกี้เรานั่งดูสีหน้าโพด ทีแรกดูดีใจ คุยไปสักพักก็หน้าเหี่ยวลงๆ ยังกะเพิ่งรู้ว่าจะถูกทิ้ง”นี่เธอสังเกตผมขนาดนี้เลยหรือไงเนี่ย แล้วสีหน้าผมมันแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ

“แต่โพดคุยกับพี่น่ารักดีนะ น่ารักจนนึกว่าคุยกับแฟนเสียอีก”คำพูดของผึ้งทำให้ผมนึกบางอย่างขึ้นมาได้ บางอย่างที่ผมฝังมันลึกลงไปนานแล้ว นั่นคือคำพูดของคุณย่าผมเอง

“โพดลูก มานี่หน่อยสิ”ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ ย่าหลังจากที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน มือที่ผิวหนังเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบเบาๆที่ศีษะของผม ผมค่อยๆ เอนตัวนอนลงไปที่ตักของย่า นานแล้วที่ผมไม่ได้นอนให้ย่าลูบหัวแบบนี้

“โพดคิดยังไงกับพี่ฟ่างลูก”ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมย่าต้องถามแบบนี้ ในเมื่อก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าผมรักพี่ฟ่างของผมขนาดไหน แม้ตอนนี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ตามที

“โพดรักพี่ฟ่างครับ”ผมตอบออกไปตามที่รู้สึก

“รักยังไงลูก รักเหมือนกับที่รักย่าไหม”ทำไมวันนี้คุณย่าต้องถามอะไรแปลกๆ แบบนี้กับผมด้วย

“คุณย่าจะโกรธโพดไหมถ้าโพดจะบอกว่าโพดรักพี่โพดมากกว่าคุณย่า”ผมบอกไปอย่างรู้สึกผิด แต่ผมก็ไม่อยากที่จะโกหกคุณย่า คุณย่าดูไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดผม แถมยังยิ้มมองผมอย่างเอ็นดูเหมือนเดิม

“ย่าไม่ได้ถามว่ารักใครมากกว่ากัน ย่าถามว่ารักแบบเดียวกันไหม เหมือนกันหรือเปล่า”ผมค่อยๆ คิดตามในสิ่งที่คุณย่ากำลังถามผม ผมอาจจะยังโตไม่พอที่จะเข้าใจหรือแยกแยะประเภทของความรักได้อย่างชัดเจน แต่พอลองคิดดีๆ ผมก็ได้คำตอบ

“ไม่เหมือนครับ ไม่เหมือนกัน”ผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ฟ่าง มันไม่เหมือนที่ผมมีให้กับย่า หรือที่เคยมีให้กับพ่อและแม่ คุณย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“โพดรู้ใช่ไหมว่า ย่าคงอยู่กับโพดได้อีกไม่นาน”แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ผมก็รู้แหละครับว่าย่าคงอยู่กับผมไปตลอดไม่ได้

“ย่าคงอยู่ให้คำแนะนำอะไรกับโพดไม่ได้ แต่ย่าอยากให้โพดจำไว้ว่าข้าวฟ่างคือพี่ชายของโพด พี่ชายก็คือพี่ชาย คือคนในครอบครัว ย่าไม่อยากให้โพดคิดว่าพี่เค้าเป็นอย่างอื่น วันนี้โพดอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่จำคำย่าไว้ พ่อแม่เราเลี้ยงเราสองคนมาให้เป็นพี่น้องกัน เพื่อจะได้ช่วยเหลือกัน อย่างคนในครอบครัว จำไว้นะ”

จนถึงตอนนี้มันไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจคำพูดของย่าในวันนั้น เพียงแต่ผมไม่อยากยอมรับมันก็เท่านั้นเอง ทว่าการที่ได้มารับรู้ว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้วแบบนี้ ผมอาจจะต้องเก็บเอาคำพูดของคุณย่าในวันนั้นมาคิดทบทวนใหม่อีกสักรอบ

“นี่โพด โพด”

“หา ว่าไงนะ”ผมต้องถามย้ำกับเพื่อนใหม่คนนี้อีกแล้ว เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่ทำให้ไม่ได้ฟังในสิ่งที่เค้าพูด

“โพดนี่ตลกดีเนอะ คุยกันอยู่ดีๆ ก็เหมือนสับสวิซต์หายไปดื้อๆ ได้เฉยเลย ใจลอยไปถึงไหนเนี่ย กับข้าวมาแล้ว กินๆ ร้านนี้รสเด็ดมากเลยรู้ไหม”ผมมองคนตรงหน้าพูดไม่หยุด ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก นี่ขนาดเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว ยังทำตัวเหมือนสนิทสนมกันมานาน นี่สงสัยกว่าจะเรียนจบ 4 ปีเราสองคนคงเบื่อกันไปข้าง

“โพด โพด เอาอีกแล้วนะ นี่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ นะเนี่ย ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเป็นยังไง ผ่านมาตั้งกี่ปีก็ยังเป็นอย่างนั้น คิดอะไรอยู่เนี่ย”หญิงสาวคนเดิม ทักผมในเรื่องเดิมหากแต่ ตอนนี้เราทั้งคู่ไม่ใช่นักศึกษาระดับปริญญาตรีอีกแล้ว ผึ้งจบปริญญาโท เป็นที่เรียบร้อย เพราะหลังจบตรี ก็ไปเรียนต่อโท ที่ต่างประเทศเลย แต่ผมพักไป 2 ปีกว่า ก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อ ตอนนี้เลยยังไม่จบ แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว

“ชุดนี้เป็นไง สวยไหม”ผึ้ง หมุนตัวในชุดสีขาวให้ผมดู ใช่แล้วครับเรากำลังจะแต่งงานกัน เธอคือว่าที่เจ้าสาวของผม ทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด จนผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรกับใครได้โดยเฉพาะกับ “พี่ฟ่าง”

“สวยแล้ว ที่จริงผึ้งใส่ชุดไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ เจ้าสาวของเราสวยที่สุดในโลกอยู่แล้ว”ผมเดินเข้าไปพูดกับเธอใกล้ๆ ผึ้งเดินเข้ามาหาผม สวมกอดผมแน่น

“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ทั้งที่โพดไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยก็ได้”ผมยกแขนขึ้นเก้ๆ กังๆ ก่อนจะกอดตอบ ตบมือลงเบาๆ ที่ไหล่ของเธอ

“บอกแล้วไงว่าเรายินดีทำให้”



TBC

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โพดมีความจำเป็นต้องแต่งสินะ  :z3:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มีความจำเป็นต้องแต่ง แต่ไม่ใช่จะไปทำเหี้ยกับคนอื่น แบบนี้มันเห็นแก่ตัว ปล.อินจัด ชีวิตจริงตูชัดๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไม่ใช่ว่าที่โพดต้องแต่งงาน เพราะผึ้ง
ช่วยผึ้ง หรือทำผึ้งท้อง  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ryu7801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
สงสารพี่ฟางมากกว่าโพดทำได้ไงปากบอกรักแต่กำลังจะไปแต่งงาน ทุเรศ คนเห็นแก่ตัว

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 13
เข้าใจผิด
พาร์ทของโพด



“พี่ชายอีกแล้วเหรอโพด โพดรู้ตัวไหมว่าตอนนี้ผึ้งชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่เราเป็นแฟนกันหรือเปล่า มันดูชีวิตโพดมีแต่พี่ชาย จนผึ้งก็ไม่รู้ว่าผึ้งอยู่ตรงไหน”ผมนิ่งเงียบไม่ได้ตอบโต้ใดๆ กับผึ้งหรือแฟนสาวของผม เราคบกันเป็นแฟนมาได้ เกือบปีแล้ว หลังจากที่เป็นเพื่อนกันมาราวๆ ครึ่งปี ทีแรกผมเข้าใจว่าเราสองคนเข้ากันได้ดีนะครับ

ผมก็รู้สึกว่าผมชอบผึ้ง เธอเองก็ไม่เคยงี่เง่า ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องพี่ฟ่าง พี่ชายของผมนี่แหละครับ แรกๆ อาจไม่เท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ผมเข้าใจว่าพี่ฟ่าง เป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์ ผมก็พยายามจะไม่คิดอะไรกับพี่ฟ่างให้มันเกินเลยไปกว่าคำว่าพี่น้อง อย่างที่ย่าผมได้เคยบอกไว้ นั่นทำให้ผมได้ใช้เวลากับผึ้งมากขึ้น เรียกว่าเกือบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ จนถึงครั้งล่าสุดที่ผมต้องไปภูเก็ตกับพี่ฟ่าง

“เออลืมบอกไปว่าพี่มีเพื่อนมาค้างด้วย พอดีช่วงที่เราไปภูเก็ตมันจะมาเฝ้าบ้านให้”ผมชะงักฝีเท้าทันทีที่กำลังจะก้าวเข้าบ้าน คงจะเป็นคนชื่อต้าร์อะไรนั่นสินะ ตกลงนี่เค้าเข้านอกออกใน ถึงขั้นมาอยู่ด้วยกันแล้วเหรอครับเนี่ย แม้พี่ฟ่างจะไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้ให้ผมฟังเลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจไปแล้วว่าเค้าสองคนคงใช้ชีวิตด้วยกัน แม้จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในใจแต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ ผมมันก็แค่น้องชายนี่นา ที่จริงมาเจอกันครั้งนี้ผมก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะบอกกับพี่ฟ่างว่าผมมีแฟนแล้ว

“มากันแล้วเหรอ”ชายหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับพี่ฟ่าง เดินออกมพอดี แต่นั่นไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจผมคือมือของคนชื่อต้าร์นั่นมากกว่า เค้าเดินเข้ามากอดคอพี่ฟ่างอย่างสนิทสนม หน้าตายิ้มแย้มอย่างน่าหมั่นไส้ นี่ผมว่าผมไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้เอาเสียเลย

“โพดนี่ไอ้ต้าร์ เพื่อนที่มหา’ลัยพี่เอง ส่วนนี่ข้าวโพดน้องชายกูเอง”เพื่อนงั้นเหรอ ท่าทางสนิทสนมกันขนาดนี้ใครจะไปเชื่อกันละว่าเป็นแค่เพื่อนกัน สงสัยผมคงคิดนานไปพี่ฟ่างเลยต้องสะกิดผมให้ไหว้ทักทายอีกคน เพราะความอาวุโสที่มากกว่า ผมเลยจำต้องยกมือไหว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ก็ได้ ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”ไอ้พี่ต้าร์ เอื้อมมือมาตบเบาๆ ที่ไหล่ของผม 2 ทีก่อนจะชวนเข้าบ้านอย่างกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง ยอมรับนะครับผมมีอคติกับคนๆ นี้ไปแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ฟ่างต้องเลือกคนๆ นี้เป็นแฟนด้วย

“มาโพดเอากระเป๋ามา เดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเก็บให้”ผมกำลังจะปฏิเสธว่าเอาไปเก็บเอง แต่โดนพี่ฟ่างบังคับให้นั่งลงกินข้าว ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้พี่ต้าร์ สองคนผมกำลังจะกินข้าวตามที่พี่ฟ่างสั่ง แต่อีกคนเหมือนจะกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เค้านั่งอยู่ตรงข้ามผม ข้างๆ ตัวมีแก้วเบียร์ 1 ใบ และกำลังรินเพิ่มอีกแก้ว

“อ่ะ มาเหนื่อยๆ สักหน่อยจะได้สดชื่น”ผมมองอย่างไม่เข้าใจว่านี่ข้าวผมก็ยังไม่ทันกินจะมาให้ผมดื่มเบียร์ก่อนเลยหรือไง

“ยังก่อนดีกว่าครับ”ผมปฏิเสธไปอย่างมีมารยาท เพราะถึงในใจจะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาด้วย แต่ผมก็คงไม่ควรแสดงกริยาอะไรที่ไม่ดีกับเค้าออกไป อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลอะไรขนาดนั้น

“เฮ้ย ป๊อดเหรอ อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย พี่อุตส่าห์รินให้ ดื่มๆ ไปเถอะน่า มาชนแก้ว”ผมชั่งใจอยู่นิดนึง รู้สึกไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่แต่ดูท่าแล้วคนตรงหน้าผมคงไม่ยอมรามือง่ายๆ ถ้าผมไม่ยอมดื่ม เลยต้องจำใจยกแก้วขึ้นชนกับพี่แกครับ

“มันต้องอย่างนี้สิวะ ค่อยดูเป็นน้องชายฟ่างหน่อย”ดูท่าทางพี่แกจะพอใจมากที่บังคับผมดื่มได้ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ดื่มหรอกนะครับ แต่ตั้งแต่คบกับผึ้ง ผึ้งก็ไม่ค่อยชอบให้ผมดื่มสักเท่าไหร่ เลยนานๆ สังสรรค์ทีนั่นแหละครับถึงดื่ม

“พี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง คบกันมานานหรือยังครับ”ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอถามให้ชัดๆ ไปเลยแล้วกันครับ คือถ้าพี่ฟ่างจะมีแฟน แม้จะเป็นแฟนที่ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาสักเท่าไหร่ ผมก็ยังอยากจะรับรู้เอาไว้ครับ ถึงไม่ได้คิดจะกีดกันก็เถอะ
“คบกัน?”พี่แกมีท่าทีแปลกใจนิดหน่อย นี่คงไม่คิดว่าผมจะถามตรงๆ สินะ

“ครับคบกันมานานหรือยัง”ผมถามย้ำให้รู้ว่า ทั้งสองปิดเรื่องนี้กับผมไม่ได้หรอก

“อ๋อ ก็ตั้งแต่เรียนปี 1 แล้วนะ”คำตอบของไอ้พี่ต้าร์ทำเอาผมอึ้งไปไม่น้อย เพราะนั่นมันคง 2 ปีกว่าแล้ว นี่พี่ฟ่างของผมถึงไหนกับไอ้พี่ต้าร์หน้ากวนนี่กันนะ

“อ้าวที่รักมาเร็ว แค่ไปเก็บกระเป๋าทำไมไปนานจัง มาๆ นั่งนี่เดี๋ยวเค้ารินเบียร์ให้”ยังไม่ทันที่ผมกับไอ้พี่ต้าร์จะได้คุยอะไรกันอีก เพราะพอพี่ฟ่างลงมาจากชั้นสองแกก็รีบเดินไปรับจูงมือมานั่งข้างๆ ทันที

“บอกแล้วไงว่าไม่ดื่ม พรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า”สิ่งที่พี่ฟ่างปฏิเสธไม่ใช่เรื่องที่ไอ้พี่ต้าร์เรียกว่าที่รัก แต่เป็นการปฏิเสธเบียร์ที่ส่งให้ นี่แสดงว่าพี่ฟ่างก็ยอมรับสินะว่าเป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์นี่ ตอนนี้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ช้อนส้อมที่จับเตรียมจะกินข้าวในทีแรกถูกวางรวบลง เพราะรู้สึกว่าไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว

“ตัวเองจะไม่อยู่ตั้งหลายวันเค้าต้องคิดถึงตัวเองมากๆ แน่เลย ดื่มกับเค้าหน่อยนะๆ”ไอ้พี่ต้าร์คะยั้นคะยอ อย่างน่าหมั่นไส้

“ที่มหา’ลัยก็เจอกันทุกวัน แล้วนี่ตามมาอยู่ด้วยถึงบ้านขนาดนี้ยังไม่เบื่อหน้ากันอีกหรือไง”ได้ยินแบบนี้ผมยิ่งคิดมากครับว่าทั้งสองคนคงถึงไหนต่อไหนแล้ว แถมไอ้พี่ต้าร์ยังดึงเอาพี่ฟ่างมาโอบไว้อีก

“ไม่เบื่อหรอก”ผมคงหน้าเหวอไปแล้วเพราะไอ้พี่ต้าร์เล่นหอมแก้มพี่ฟ่างต่อหน้าต่อตาผมแบบนี้ นี่มันจะเกินไปแล้ว แม้จะพยายามทำใจยอมรับว่าเค้าเป็นแฟนกัน แต่นี่มันก็ทำร้ายจิตใจผมเกินไป บอกตรงๆ ว่าผมยังทำใจไม่ได้หรอกครับที่พี่ฟ่างของผมจะต้องมีคนอื่นมาครอบครองด้วยแบบนี้ แต่ว่าผมเองก็มีผึ้งแล้ว ผมก็คงไม่มีสิทธิ์คิดแบบนี้แล้วสินะ

“เล่นบ้าอะไรเนี่ย เดี๋ยวน้องก็เข้าใจผิดกันพอดี”พี่ฟ่างบอกพร้อมพยายามขืนตัวออก หันมามองผมอย่างเกร็ง คงเข้าใจว่าผมยังไม่รู้สินะว่าผมรู้เรื่องของทั้งคู่แล้ว

“ไม่เข้าใจผิดหรอก เมื่อกี้เล่าให้น้องฟังแล้ว”ไอ้พี่ต้าร์ บอกอย่างยิ้มแย้มทั้งยังโอบพี่ฟ่างไว้ไม่ยอมปล่อย

“เล่าว่าอะไร”น้ำเสียงพี่ฟ่างดูแข็งๆ จนผมเริ่มแปลกใจ หรือพี่ฟ่างจะไม่พอใจที่ไอ้พี่ต้าร์เอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาบอกให้ผมฟัง

“ก็เล่าว่า...นั่นแหละ ช่างมันเถอะ”ไอ้พี่ต้าร์ ตอบเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก ท่าทางหงอๆ นี่ไอ้พี่ต้าร์หน้ากวนนี่เป็นคนกลัวแฟนเหรอครับเนี่ย

“โพด”เมื่อไอ้พี่ต้าร์ไม่ยอมตอบ ผมเลยกลายเป็นเป้าหมายให้พี่ฟ่างมาคาดคั้นต่อ

“ครับ”ผมรับคำอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะไม่มั่นใจว่าต้องบอกตรงๆ ว่ารู้แล้ว หรือแกล้งทำเหมือนว่ายังไม่รู้อะไรเลย

“ไอ้นี่พูดอะไรให้ฟังบ้าง”เห็นท่าทางของพี่ฟ่างแล้ว ผมว่าผมบอกไปตามตรงน่าจะปลอดภัยกับชีวิตผมมากกว่า ส่วนไอ้พี่ต้าร์นี่ปล่อยแกไปตามชะตากรรมเถอะครับ คนเป็นแฟนกันก็คงไม่มีอะไรมากหรอกมั้ง

“ทำไมตัวเองเรียกเค้าไม่เพราะเลยอะ”โหไอ้พี่นี่ก็ยังมีอารมณ์ทำอ้อนไม่ดูหน้าพี่ฟ่างของผมเลยครับ อีกอย่างหน้าพี่แกนี่ผมว่าอ้อนตีนมากกว่าอีกครับ

“มึงเลิกเล่นได้แล้วไอ้ต้าร์ นี่อำน้องว่าเราเป็นแฟนกันอีกแล้วใช่ไหม”อำงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง สรุปพี่ฟ่างนี่ไม่ได้เป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์นี่เหรอ

“ตัวเองทำไมตัดเยื่อใยกับเค้าแบบนี้”ผมเริ่มลังเลไม่รู้ว่าตอนนี้จะเชื่อใครดี

“พอเลย แค่ที่มหา’ลัยเค้าก็เข้าใจผิดกันหมดแล้ว”ทั้งสองคนทำเอาผมสับสนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ผมมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา คือดูๆ แล้วทั้งสองต่างคนก็ต่างพูดความจริง ไม่ได้ดูว่าใครโกหกเลย แต่ดูจากที่ทั้งคู่สนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวกันได้ขนาดนี้ แม้พี่ฟ่างจะปฏิเสธแต่ผมว่าผมเอนเอียงมาทางไอ้พี่ต้าร์มากว่าแล้วครับ

“ตกลงพี่สองคนเป็นแฟนกันหรือเปล่าครับ”คำถามที่ผมแทรกขึ้นทำเอาทั้งสองคนหันมามองผมตอบพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกัน

“เป็น/ไม่เป็น”

“ยังไงนะครับ”ผมถามย้ำ เพื่อให้ทั้งคู่ได้ตอบใหม่ พี่ฟ่างผลักไอ้พี่ต้าร์ออกอย่างเคืองๆ แถมมองด้วยสายตาพิฆาตเหมือนเป็นการบังคับไอ้พี่ต้าร์ให้เป็นคนอธิบาย ไอ้พี่ต้าร์ก็หันมาจ้องผมหน้าขรึม ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาแล้วระเบิดหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆ น้องมึงนี่จี้ดีวะ ดูเชื่อสนิทใจเลย ว่ามึงกะกูเป็นแฟนกัน”เอ๋อเลยสิครับผม ตกลงมันยังไงแน่ อันไหนจริงอันไหนไม่จริง แล้วที่ผมตัดสินใจคบกับผึ้งไปเพราะคิดว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้วนี่ ผมควรจะยังไงต่อดีละครับทีนี้

“เออ กูอำเล่นไม่ต้องมองกูเหมือนแย่งแฟนมึงขนาดนั้น นี่ถ้าไม่บอกว่าพี่น้องกันนี่กูนึกว่ามึงหวงแฟนแล้วนะไอ้โพด”ไอ้พี่ต้าร์ย้ำกับปมอีกรอบ ตอนนี้ในหัวผมมันกลายเป็นตื้อๆ ไปแล้วครับ ใจนึงก็ดีใจที่พี่ฟ่างไม่ได้คบกับไอ้พี่ต้าร์นี่ แต่อีกใจนึง ผมก็รู้สึกกังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแล้ว

“สรุปนี่พี่ไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ใช่ไหมครับ”ผมถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะจริงๆ ก็ยังคาใจกับความสนิทสนมของคนทั้งคู่อยู่บ้าง

“เออ มึงไม่ต้องหวงพี่ชายขนาดนั้นไอ้น้อง พี่มึงมันไม่สนกูหรอก แต่ถ้าวันนึงมันสน ก็ไม่แน่นะ”แล้วพี่ทั้งสองคนก็เถียงกันต่อ แม้จะเชื่อว่าทั้งคู่ไม่ใช่แฟนกัน แต่ดูจากความสนิทสนมนี่ผมก็ชักไม่มั่นใจว่าอาจจะมีใครเกิดการหวั่นไหวหรือเปล่า เราพูดคุยกันอีกสักพัก ด้วยความที่ผมกับพี่ฟ่างต้องเดินทางเช้า เลยต้องแยกย้ายกันอาบน้ำพักผ่อน ก็ถือว่ายังดีครับที่ได้รู้ว่าถึงจะสนิทกัน แต่การที่ไอ้พี่ต้าร์มาค้างที่นี่ก็ยังแยกห้องกันนอนกับพี่ฟ่างคนละห้อง ทำให้วันนี้ผมยังได้นอนเตียงเดียวกับพี่ฟ่าง

“พี่ฟ่างหลับยัง”ผมเอ่ยเสียงเบาพูดกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาอีกคนที่เหมือนพยายามนอนเว้นระยะให้ห่างจากผม

“อือ ว่าไง”เสียงงัวเงียตอบ แต่ก็แสดงว่ายังไม่หลับ

“ตกลงพี่ฟ่างคิดยังไงกับพี่ต้าร์ครับ”ถึงทั้งคู่จะยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดีนั่นแหละครับว่าทั้งคู่ดูถึงเนื้อถึงตัวกันเกินความเป็นเพื่อนไปหน่อย

“ถามทำไมเนี่ย หรือยังไม่เชื่อว่าพี่กับไอ้ต้าร์ไม่ใช่แฟนกัน”พี่ฟ่างหันหน้าตะแคงมาทางผม ถามด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดๆ ผมหันหน้าเผื่อเผชิญหน้ากับอีกคน แม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะความมืดแต่ก็ยังมองเห็นว่าเค้าอยู่ใกล้ๆ ผมแค่ไม่ถึงคืบ

“ก็เชื่อ แต่แค่อยากรู้ว่าพี่ฟ่างคิดกับพี่ต้าร์ยังไง”ผมบอกเสียงเบา และแอบยิ้มในความมืดกระเถิบตัวให้ใกล้เข้าไปอีก

“ก็สนิทกัน แบบเพื่อนนี่แหละ พี่ก็เห็นมันเป็นเพื่อน มันก็เห็นพี่เป็นเพื่อน แต่มันขี้อำ อำจนทุกคนเชื่อไปแล้วแหละว่าพี่สองคนเป็นแฟนกัน”ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน คือถึงขนาดที่คนอื่นๆ ก็ยังเข้าใจผิดไม่ใช่แค่ผมที่เข้าใจแบบนี้ แต่ทั้งคู่ก็ยังทำตัวสนิทสนมกันแบบนี้เหมือนเดิม

“แล้วพวกพี่ก็ไม่อธิบายกับคนอื่นเหรอครับ”ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นมาเกลี่ยที่ใบหน้าของพี่ฟ่าง

“ก็ขำๆ กันไปไม่มีอะไรมากหรอก”พี่ฟ่างบอกเหมือนไม่ได้คิดอะไร แล้วก็พลิกตัวหันหน้าหนีผม แต่พอพี่ฟ่างหันหลังให้ผมก็ยิ่งขยับเข้าไปจนชิดแผ่นหลังนั่น วาดวงแขนไปโอบพี่ฟ่างไว้หลวมๆ

“แล้วพี่ฟ่างมีแฟนหรือยังครับ”ผมกดจมูกลงที่หัวทุยๆ ของพี่ฟ่างกลิ่นแชมพูอ่อนๆ และผมนุ่มๆ ทำให้ผมเผลอกอดกระชับแน่นเข้าไปอีก

“ถามทำไมเนี่ย หวงพี่เหรอ หือพี่ยังโสด ไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนตอนนี้”พี่ฟ่างยังคงตอบสบายๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจนักและก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรกับการโอบกอดจากผม

“เหรอครับ”ผมบอกเสียงแผ่ว เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกผิด มันเหมือนคนแอบนอกใจไปคบกับคนอื่นทั้งๆ ที่สถานะของเราทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน แต่ความรู้สึกผิดก็แล่นเข้ามาถึงขั้วหัวใจผมก็ว่าได้

“ว่าแต่เราเถอะ รูปหล่อขนาดนี้ มีสาวๆ มาติดเยอะเลยสิเนี่ย มีแฟนยังละเรา”ผมนิ่งไปพักนึงกับคำถามนี้ น่าแปลกที่ผมถามหรือคาดคั้นเอากับพี่ฟ่างได้อย่างคล่องปาก แค่พอเป็นฝ่ายต้องตอบเสียเอง คำพูดมันกลับติดอยู่ในลำคอ แค่พูดความจริงออกไปผมยังลังเล

“ยัง...ไม่มีครับ”และผมก็เลือกที่จะโกหกออกไป ผมไม่อยากให้พี่ฟ่างรู้ผมมีแฟน เพราะถ้าพี่ฟ่างรู้ว่าผมมีแฟน พี่ฟ่างเองอาจจะตัดสินใจคบใครอย่างที่ผมได้ทำลงไปแล้ว ก็ได้ ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวที่ทำแบบนี้ แต่คนเรามันก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ

“ว่าไงละโพด โพดให้ความสำคัญกับผึ้งบ้างหรือเปล่า”เสียงของอีกคนคาดคั้นเอากับผมด้วยเช่นกัน เธอไม่ผิดหรอกครับ ไม่ผิดอะไรเลย และอย่างที่บอกว่าที่จริงเราก็เข้ากันได้ดีในแทบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว ซึ่งมันก็ทำให้ผมเองต้องรู้สึกผิดกับเธอไปด้วยเช่นกัน

“สำคัญสิครับ แต่โพดเคยบอกผึ้งไปแล้วไง ว่าพี่ฟ่างคือคนเดียวในครอบครัวโพดที่ยังเหลืออยู่ ผึ้งเข้าใจโพดหน่อยนะ”ผมยกข้ออ้างที่มักจะใช้ได้ผลเสมอขึ้นมาอีกครั้ง แต่เหมือนครั้งนี้อีกคนจะไม่อยากรับฟังสักเท่าไหร่ เพราะสีหน้าเธอยังคงบึ้งตึงชัดเจนว่ายังไม่พอใจผมอยู่มากทีเดียว

“งั้นถ้าโพดยังเห็นผึ้งสำคัญ ปีนี้ก็อยู่เค้าท์ดาวน์ด้วยกันที่นี่ไม่ไปภูเก็ตกับพี่ชายสักปีก็คงไม่เป็นไรใช่ไห”"ผมชักสีหน้าไม่พอใจ เพราะผมกับเธอแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว กับเวลาแค่ 10 วันที่ผมจะไปเจอพี่ฟ่างของผมทำไมเธอต้องมาไม่พอใจผมด้วย

“แต่ถ้าโพดไป เราก็เลิกกัน”



TBC

ที่จริงถ้าทั้งฟ่างและโพดเปิดใจกันแต่แรกๆ

พูดกันตรงๆ ทุกอย่างอาจไม่ออกมาแบบนี้  :z3:





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ryu7801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าโพดโคตรเห็นแก่ตัว สงสารพี่ฟ่าง หาใหม่ที่ดีกว่าโพดเถอะ :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนอย่างตาร์ น่ารำคาญมาก
ทำตัวสนิทสนม ถึงเนื้อถึงตัว กับฟ่างเกินเลย อย่างสนุกสนาน
เรียกที่รัก เหมือนเป็นแฟน เป็นผัวเมียกับฟ่างไม่เลิก
ใครจะข้าใจผิดยังไงไม่สน ตัดโอกาสคนที่เข้าหาฟ่าง
ตัวเองลอยตัว แบบอยากเชื่อไปเองนี่

กรณีโพด นี่ก็เชื่อโดยไม่หาความจริงให้ชัดเจน
ก็ถือว่าทำตัวเอง รีบเป็นแฟนกับผึ้งทันที
แล้วเห็นแก่ตัว มามีอะไรกับฟ่างอีก
แล้วเขียนแค่คำขอโทษกับจะแต่งงานทิ้งไว้
ก็จะแต่งงาน เสือกมามีอะไรกับฟ่างหา......อะไร
แล้วมีหน้ามาขอให้ฟ่างไปร่วมงานแต่งงานของตัวเองอีก โคตรบัดซบจริงๆ  :fire: :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่ฟ่างตัดใจเถอะ โพดมีความเห็นแก่ตัวสูงมาก
- คิดว่าฟ่างเป็นแฟนต้า เลยหันไปคบกับผึ้ง จุดนี้ไม่สงสารผึ้งหรอ
- ตัวเองมีแฟนแล้ว ยังกล้ามาเอากับฟ่าง
- ไม่พอ เอาเขาไปแล้ว ยังมาชวนไปงานแต่งอีก

อยากจะเห็นใจ อยากจะเข้าข้างโพดนะ แต่..เห็นใจไม่ลงอ่า  :sad4:

สงสารฟ่างที่สุด

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 14
ความลับระหว่างเพื่อน





เสียงพูดคุยของผู้คนที่ต้องใช้ระดับความดังเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดสร้างความสนุกสนานให้กับนักท่องราตรีทั้งหลาย ยิ่งเป็นคืนวันศุกร์ แถมเป็นวันสอบวันสุดท้ายของนักศึกษาอย่างพวกผมด้วย วันนี้ดูร้านเหล้า ต่างก็คึกคักไปด้วยบรรดานักศึกษา ที่ต่างมาฉลองสอบเสร็จ เป็นการผ่อนคลายไม่ต้องเคร่งเครียดอีกแล้ว จะเครียดอีกทีก็ตอนผลสอบออกนั่นแหละครับ

“ไอ้โพดๆ ทางนี้”เสียงเพื่อนที่นัดผมไว้ตะโกนเรียก เพราะคงสังเกตเห็นผมหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่แล้วกับการมองหาเพื่อนๆ แต่เจ้าของเสียงที่เรียกไม่ได้ดึงความสนใจของผมเท่าอีกคนที่นั่งในกลุ่มนั้นด้วยหรอกนะครับ

“ผึ้ง”หญิงสาวที่เคยได้ชื่อว่าเคยเป็นแฟนผม ใช่แล้วครับผมเลิกกับเธอด้วยเหตุผลที่แสนจะไม่น่าเป็นเหตุผลเอามาใช้เลิกกันเลย

“ก็ถ้ารักพี่ชายมากนักก็จำเป็นต้องมีเราก็ได้มั้ง”นั่นแหละครับ เราทะเลาะกันบ่อยขึ้นเพียงเพราะเรื่องของ “พี่ฟ่าง” แล้วมันก็คงถึงขีดสุดที่ต่างคนต่างทนไม่ไหว ผมเองก็คิดว่าสิ่งที่เธอทำมันงี่เง่า ส่วนเธอก็หาว่าผมไม่ปกติ แล้วยิ่งพอรู้ว่าผมกับพี่ฟ่างไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ผึ้งมากเข้าไปอีก

“นี่บางทีเราก็คิดนะ ว่าจริงๆ โพดรักพี่ชายของโพดมากกว่าคำว่าพี่ชายหรือเปล่า”ประโยคสุดท้ายที่เราได้คุยกัน จากนั้นแม้เราจะไม่ได้เกลียดกัน หรือว่าเธอเกลียดผมก็ไม่รู้นะครับ เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ผมก็กลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เธอก็กลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง เพื่อนๆ ก็เหมือนจะพยายามเลี่ยงไม่ชวนเราสองคนมาเผชิญหน้ากัน ทั้งที่จริงๆ สำหรับผมแม้จะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้

“หวัดดีโพด”เป็นผึ้งที่ยิ้มให้และเอ่ยทักทายผมก่อน ทันทีที่ผมเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนๆ เพื่อนๆ ที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะรวมกลุ่มกันมาเป็นกลุ่มใหญ่มากๆ

“หวัดดีผึ้ง”ผมทักทายตอบ

“นั่งนี่ดิ”อาจจะดูบังเอิญแต่ผมว่าที่ว่างข้างๆ ผึ้งน่าจะเว้นไว้สำหรับผมนี่แหละครับ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่ผมกับเธอจะได้พูดคุยและกลับมาดีกันอีกครั้ง ในฐานะเพื่อน

“มาช้าตลอดเลยมึงไอ้โพด เอ้านี่รีบดื่มเลย พวกกูจะเมากันหมดละเนี่ย”เพื่อนผู้รับผิดชอบการเติม หรือเรียกว่าตัวพยายามมอมชาวบ้านนั่นแหละครับ ส่งแก้วมาให้ผม แถมด้วยคำกดดันที่คงไม่กะเหลือใครไว้เก็บศพเพื่อนที่จะคอพับในคืนนี้เลย ผมรับแก้วมาจิบพอเป็นพิธีก่อนจะหันมองผึ้งที่ก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว

“ทำไมต้องจ้องกันขนาดนี้ด้วย”ผมถามพร้อมยิ้มกว้าง เหมือนเราสองคนกำลังจะทะลายกำแพงบางอย่างที่เคยมีระหว่างเราสองคนลง อีกฝ่ายก็ฉีกยิ้มตอบรับผมมากเพิ่มขึ้นไปอีก

“สบายดีเปล่า”ผึ้งถามออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ให้กับความถามของตัวเอง

“สบายดี ผึ้งละเป็นไงบ้าง”

“ก็ดี ว่าแต่เราคุยเหมือนไม่ได้เจอกันมานานเนอะ ทั้งที่ก็เรียนด้วยกันแท้ๆ”เราหัวเราะกันออกมาทั้งคู่เพราะต่างคนต่างรู้ตัวนั่นแหละว่าการเริ่มต้นบทสนทนาครั้งนี้ ที่ติดๆ ขัดๆ มันกำลังจะราบรื่นแล้ววันนี้อะไรที่มันยังรู้สึกติดค้างในใจของเรา ก็คงต้องจบมันเสียในวันนี้แหละครับ ผมเงียบไปพักนึง ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้กับเค้า

“ขอโทษนะ”สิ่งที่ผมยังไม่เคยพูด เพราะในวันที่เราสองคนตัดสินใจจบความสัมพันธ์ ตัวผมเองก็ยังมึนๆ งงๆ อยู่ แต่พอได้มีเวลาทบทวนดูแล้ว ตัวผมเองก็คงมีส่วนอยู่มากที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันไปต่อไม่ได้ ซึ่งพอคิดได้มันก็เป็นช่วงเวลาที่เราแทบไม่คุยกันแล้ว จนทุกอย่างมันเลยตามเลย ปล่อยผ่านมันไป

“เรื่อง?”ผึ้งเลิกคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ

“ทุกเรื่อง โดยเฉพาะ...”ผมหยุดเว้นวรรคนิดหน่อย เพื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแม้มันจะจบไปแล้ว แต่ระหว่างเรามันก็เคยได้มีช่วงเวลาที่ดีๆ ร่วมกันเกิดขึ้น

“เป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง”ผมต่อประโยคตัวเอง ก็ต้องยอมรับว่าแม้เราจะเป็นที่ดีต่อกันมากๆ มาก่อน เข้าอกเข้าใจกันแค่พอวันนึงที่ขยับสถานะมาใช้คำว่าแฟนผมกลับทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดีนัก คือผมทำตัวแทบไม่ต่างจากตอนที่เป็นเพื่อนกันเลย ทั้งที่การเป็นแฟนมันก็ต้องพิเศษกว่าความเป็นเพื่อนบ้าง หมายถึงเรื่องการปฏิบัติตัวต่อกันการดูแลอะไรพวกนั้นนอกเหนือจากเรื่องความสัมพันธ์ทางกายนะครับ

“บ้า มาขอโทษทำไม เราเองต่างหากที่ก็ทำตัวงี่เง่าไปไม่น้อย แถมยังไม่ยอมคุยกับโพดเลย”ดูเหมือนผึ้งเองจะไม่ถือโทษโกรธผมแล้วสินะ เช่นเดียวกับผมที่ก็ไม่เคยโทษเธอเลยที่ความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของเราต้องจบลง

“อ้าวๆ สองคนนั้น ยังไงๆ รีเทิร์นเหรอจ๊ะ”เสียงของใครคนนึงเอ่ยขึ้น คงเพราะสังเกตเห็นว่าเราสองคนกลับมาพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงตั้งแต่เลิกกันเราไม่เคยพูดคุยอะไรกันอีกเลย

“ฮิ้ว”เสียงแซวจากคนอื่นๆ ในโต๊ะดังตามมาอีกสักพักก่อนจะเงียบไป ทั้งผมและผึ้งต่างก็แค่ทำเพียงยิ้มจางๆ ให้เพื่อนๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ

“เราสองคนอาจจะเหมาะเป็นเพื่อนกันมากกว่า เพราะงั้นเป็นเพื่อนกันนะ” สายตาที่หันมามองผมมันคือสายตาของมิตรภาพที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกรอบ

“เอ้า ชนแก้ว แด่มิตรภาพความเป็นเพื่อน”แก้วในมือเราต่างถูกยกขึ้นมากระทบกันก่อนจะยกขึ้นดื่ม เหมือนเรื่องที่ค้างคาระหว่างเรามันกำลังจะสูญสลายไป เราต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวในช่วงที่ไม่ได้คุยกัน ทำให้ผมรับรู้ว่าตอนนี้ผึ้งเองก็กำลังมีคนที่คุยๆ ด้วย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นใช้คำว่าแฟน

“แล้วนี่โพดกับพี่ชายไปถึงไหนกันแล้ว”ผมวางแก้วในมือลง ก่อนจะมองเค้าอย่างสงสัยว่าคำถามของเค้าจริงจังหรือแค่ถามผ่านๆ เฉยๆ เพราะถึงแม้ผึ้งจะเลิกกับผมด้วยสาเหตุที่คิดว่าผมคิดกับพี่ฟ่างมากกว่าพี่ชาย แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะปักใจมาจนตอนนี้

“ถึงไหนอะไรละ ไม่มีอะไร”ผมเลี่ยงโดยการยกแก้วในมือขึ้นดื่มอีกครั้งเป็นสัญญาณให้อีกคนรู้ว่าผมไม่อยากตอบคำถามเรื่องนี้

“เฮ้ย เอาจริงๆ ดิ”ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ ผมถอนหายใจยาวๆ เพื่อให้ผึ้งรับรู้ว่าผมเริ่มรำคาญกับคำถามของเธอ ก่อนจะหันมองหน้าเธอนิ่ง

“เอาจริงๆ ก็คือพี่ชายเราไง”คำพูดช้าๆ ชัดๆ ตั้งใจเน้นคำให้หนักแน่นเพื่อเป็นการย้ำให้เธอมั่นใจและเลิกเซ้าซี้ผมในเรื่องนี้อีก ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกัน เพราะงั้นผมก็แสดงออกได้ชัดเจนว่าไม่ชอบ โดยไม่ต้องกังวลว่าเธอจะงอนหรืออะไร

“ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรมากกว่านั้น?”ไปๆ มาๆ มันเหมือนผมเองหรือเปล่าที่เริ่มจะทนไม่ไหว เหมือนกำลังจะเป็นฝ่ายยอมเล่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ฟ่าง ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่ากว่าการกอด จุ๊บ ถึงเนื้อถึงตัวกันด้วยความเคยชิน แต่หากถามถึงความรู้สึกจริงๆ ภายใน

“มันก็...”ผมตอบไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ

“กลัวอะไรละ รู้สึกยังไงก็แค่พูดออกมา ขนาดเราเป็นคนอื่นยังสัมผัสได้เลยว่าโพดรู้สึกยังไง ผึ้งไม่เชื่อหรอกนะว่าโพดจะไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง”มันชัดขนาดนั้นเลยหรือไงกัน โอเคผมไม่อยากให้เค้าเป็นของคนอื่น แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะห้ามพี่เค้าได้หรือเปล่า

“แต่เรากับเค้าเป็นพี่น้องกัน มันก็ไม่ควรรู้สึกแบบนั้นไหม”ผมแค่ยังไม่อยากยอมรับ คำพูดของย่ามันยังวนเวียนในหัวผมอยู่บ้าง แม้จะไม่มากนักแต่ก็ยงพอที่จะสร้างความสับสนให้กับผมได้ ความคิดอีกด้านที่บอกกับผมคือเราเป็นพี่น้องกัน พี่น้องที่ควรรักกันเหมือนคนในครอบครัว

“ก็ไม่ได้เป็นพี่น้องจริงๆ เสียหน่อย”มันก็ไม่ผิดตามที่ผึ้งบอกแต่มันก็อาจจะไม่เหมาะ หากวันนี้พ่อแม่ของพวกผมยังอยู่ผมก็ไม่คิดว่าลูกชาย 2 คนที่พวกท่านเลี้ยงดูมา จะควรมารักกันในแบบอื่นที่นอกเหนือจากความเป็นพี่น้องหรอกนะครับ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ผมพยายามจะไม่ให้ทุกอย่างมันไปไกลมากกว่านี้

“ที่เป็นอยู่นี่มันอาจจะดีแล้วก็ได้”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว แค่การได้รับรู้ว่ายังมีอีกคนให้ได้คิดถึง ได้รัก และเค้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเรา มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว อาจไม่ต้องให้มันพัฒนาไปจนยุ่งยากมากกว่านี้

“โพด...เราก็แค่เพื่อนคนนึงที่อยากจะเห็นเพื่อนมีความสุข ทำไมไม่ลองสารภาพออกไปละ บางทีพี่ชายคนนั้นของโพดเองก็อาจจะกำลังรอให้โพดเป็นฝ่ายพูดก่อนก็ได้นะ”คำพูดของผึ้งเหมือนสายลมที่พัดผ่านไป ไม่ได้ถูกนำเข้ามาในหัวของผม และผมก็ยังคิดแบบนั้นมาตลอดว่าผมจะไม่ถลำไปไกลมากกว่าที่เคย

ผมจะไม่ให้ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างผมมันมากไปกว่าคำว่าพี่ชาย เพราะด้วยเหตุผลอีกหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่ความคิดเฉกเช่นเดียวกับวัยเด็กเท่านั้น แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าผมหยุดตัวเองไว้อย่างที่คิดไม่ได้ และเรื่องราวมันก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีกเมื่อมันจะไม่เป็นอย่างที่เคยวางไว้

“อยู่นี่เอง”ผมหันไปตามเสียงของว่าที่เจ้าสาวของผมที่เดินมาพร้อมกับน้องชาย ที่เพิ่งกลับมาเพื่อร่วมงานแต่งของเราทั้งคู่ แต่ดูสีหน้าน้องชายของผึ้งจะไม่สู้ดีนัก

“พี่โพดสวัสดีครับ”เขายกมือไหว้ทักทายผมตามมารยาท

“หวัดดีภู่”หลังจากทักทายกันเสร็จ น้องชายของผึ้งแยกตัวเข้าบ้านไปปล่อยให้ผมกับผึ้งอยู่กันตามลำพัง ผึ้งเดินมายืนข้างๆ ผมมองด้วยแววตาเป็นห่วง และถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ถ้าจะทำหน้าหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้ ทำไมไม่โทรหาพี่เค้าละหือ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างเพื่อนที่เข้าใจเอ่ยกับผมทันทีที่เห็นว่าไม่มีใครในบ้านอยู่แถวนี้อีกแล้ว

“โทรแล้ว ไม่รับ”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะหลังจากที่ครั้งก่อนได้พี่ต้าร์ช่วยให้ผมได้คุยกับพี่ฟ่าง ผมก็ยังไม่สามารถติดต่อกับพี่ฟ่างได้อีกเลย ไม่ใช่ว่าโทรไม่ติดนะครับ แต่พี่ฟ่างไม่ยอมรับสายจากผมเลยต่างหาก

“เพื่อนพี่เค้าที่เคยโทรหาละ”ผึ้งรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ฟ่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เรียกว่าเป็นคนเดียวที่ผมสามารถเล่าทุกอย่างให้ฟังได้มากที่สุดในตอนนี้

“รับแล้วก็ด่าเรา แถมบอกไม่ต้องโทรไปอีก”ไอ้พี่ต้าร์ คนเดียวที่พอจะช่วยผมได้ตอนนี้ก็ไม่ยอมช่วยอะไรผมอีกแล้ว

“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า”ผึ้งหัวเราะอย่างสะใจเมื่อได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น

“นี่ให้กำลังใจกันถูกไหม”ผมรู้นะครับว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันผิด เพียงแต่ว่ามันผิดจากทุกอย่างที่เคยวางเอาไว้ มันเลยออกมาแบบนี้และผมไม่รู้จะเริ่มจัดการกับมันยังไง

“เอาตรงๆ นะถ้าเราเป็นพี่ฟ่างเราไม่มาหรอก”แม้จะเห็นด้วยกับผึ้งอยู่บ้างแต่ก็ไม่น่าตัดกำลังใจกันขนาดนี้ก็ได้มั้ง

“ทำไมละ”

“นี่คิดแล้วใช่ไหมถึงถามเนี่ย ลองคิดดูดีๆ ทำกับเค้าแบบนั้น เค้ายอมคุยด้วยนี่ถือว่าเซอร์ไพรส์มากแล้วนะ เป็นเรานี่คงเกลียดแบบไม่เผาผีไปแล้ว”คำพูดของผึ้งทำเอาใจผมแป้วเลยครับ แต่บอกตรงๆ ว่าทีแรกผมก็ไม่อยากให้เรื่องมันออกมาแบบนี้หรอกครับ

“แต่พี่ฟ่างสัญญาแล้วว่าจะไม่เกลียดเรา คนสุดท้ายบนโลกนี้ที่พี่ฟ่างจะเกลียดคือเรา”ผมยกคำสัญญาที่ผมเคยขอไว้เพราะทุกอย่างมันดันเกิดขึ้นแบบที่ผมควบคุมไม่ได้ ถ้าผมห้ามใจตัวเองได้ทันมันก็คงไม่ออกมาแย่ขนาดนี้ จริงอยู่ที่พี่ฟ่างอาจไม่เข้าใจที่ผมแต่งงานกะทันหันแบบนี้ แต่ถ้าเรายังไม่มีอะไรกัน มันก็คงจะไม่ถึงขนาดอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“อยากจะเข้าข้างเพื่อน อยากจะปลอบนะ แต่บอกเลยในมุมเราถ้าเราเป็นพี่ฟ่าง เราคงมองโพดว่าโคตรจะเห็นแก่ตัวเลย”พี่ฟ่างตัวจริงอาจจะกำลังคิดแบบเดียวกับผึ้งก็เป็นได้

“เราก็มีเหตุผลของเราไง”ผมทอดสายตาไกลออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย

“ก็เข้าใจ แต่ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก ทำไมโพดไม่บอกพี่เค้าไปว่าที่เรากำลังทำอยู่นี่มันคืออะไร”ที่ผมไม่บอกเพราะไม่รู้ว่าการที่บอกออกไปตอนนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง อย่างที่บอกว่าผมตั้งใจจะบอกแต่นั่นมันคือผมในฐานนะน้องชายที่พยายามจะไม่เกินเลยกับพี่ชาย

“แล้วทำไมทีผึ้งยังไม่ยอมบอกเรื่องราวของผึ้งเองตรงๆ กับที่บ้านบ้างละ อันนี้เรียกว่าทำให้ยุ่งยากด้วยหรือเปล่า”ผมย้อนตั้งคำถามกับอีกคน

“นั่นสินะ เราสองคนนี่มันเหมือนพวกขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญความจริงสินะ”เราสบตากันด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันนัก ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความ ถึงพี่ฟ่างจะไม่รับสาย แต่ยังไงเสียถ้าผมส่งข้อความไป พี่ฟ่างก็ต้องได้อ่าน

“มาให้ได้นะฮ่ะ โพดจะรอ”










TBC

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ

ที่จริงเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะให้ดราม่ามากๆ

แต่กลัวดึงอีกเรื่องที่แต่งพร้อมๆ กันม่าไปด้วย เลยกะว่าอีกสักพักจะดึงเรื่องขึ้นจากม่าแล้ว  o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 15
งานแต่ง




เสียงเพลงบรรเลงที่คงเป็นการบันทึกเสียงด้วยพวกเครื่องสายต่างๆ บ่งบอกว่าเป็นแนวเพลงท้องถิ่นทางภาคเหนือของไทย เสียงเพลงที่แสดงถึงความชื่นมื่นในงานมงคล สภาพทุกอย่างภายในที่แห่งนี้ถูกจัดให้ดูมีความเป็นไทยทางภาคเหนือ หรือที่เรียกว่าเป็นสไตล์ล้านนาหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ ทั้งร่มแบบที่บ่งบอกว่าเป็นวัฒนธรรมทางเหนือ รวมทั้งพวกอุปกรณ์ตกแต่งที่แขวนอยู่รอบๆ ก็ล้วนแต่เป็นไปในโทนเดียวกัน

“เจ้ว่าเหมือนพวกเราจะแต่งตัวกันมาผิดคอนเซปนะเนี่ย”เจ้โอ๋ก้มมองชุดตัวเองที่จัดเต็มมาแต่คนในงานส่วนใหญ่กับแต่งตัวด้วยชุดแนวๆ ล้านนา

“จริงๆ ผมว่าเราไม่น่ามามากกว่ามั้งเจ้”ไอ้ต้าร์บอกเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่เพราะมันไม่อยากให้ผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พูดจบมันก็มองมาที่ผมอย่างผิดหวังที่ผมยังมางานนี้

“ไอ้ต้าร์ถ้าเราไม่มาใครจะมาเป็นเพื่อนน้องฟ่างละ คิดสิคิด”เจ้โอ๋ดูจะเข้าใจในสิ่งที่ไอ้ต้าร์อยากจะสื่อผิดไปนิดหน่อย

“ผมหมายรวมถึงไอ้ฟ่างนี่แหละเจ้ ไม่รู้มันจะมาทำไม”ศอกของคนพูดกระทุ้งมาที่ลำตัวผมด้วยความหมั่นไส้ แต่ผมก็รู้แหละครับว่าที่มันทำแบบนี้ก็เพราะมันห่วงความรู้สึกของผม ไอ้ต้าร์มันไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท แต่เราอยู่กันมาจนผมรู้สึกว่ามันก็คือครอบครัวของผมคนนึง รองจากข้าวโพด

“พอแล้ว พูดอะไรเยอะแยะเนี่ย”กุ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ไอ้ต้าร์บอกก่อนจะบิดแขนเพื่อนผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ผม

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บอกว่าไม่เป็นไรไง”ผมยืนยันหนักแน่นให้ทุกคนเห็นอีกครั้งว่าที่มานี่ผมไม่เป็นไรจริงๆ แน่นอนว่าในใจผมมันยังบอบช้ำ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันออกมาแบบนี้ ผมก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ และวันนี้ผมจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะ เจ้าบ่าวของงาน

“สวัสดีครับ พวกพี่เป็นญาติฝั่งพี่โพดใช่ไหมครับ”ระหว่างที่พวกผมกำลังคุยกันอยู่ ก็มีเด็กหนุ่มคนนึงเดินมาต้อนรับ ผมรู้สึกคุ้นหน้าคนๆ นี้อย่างบอกไม่ถูก

“ใช่น้องที่เคยไปหาแปงหรือเปล่า”ผมนึกย้อนถึงตอนที่ปาแปงรุ่นน้องของพวกผมยังทำงานด้วยกัน แต่ตอนนั้นหนุ่มตรงหน้านี่ยังไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ตอนนั้นเค้ายังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย ยืนชะเง้อทำท่ากระวนกระวาย จนผมต้องเข้าไปทักด้วยความสงสัย

“น้องมาหาใครหรือเปล่าครับ”ผมยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร

“คือผมมาหาลุง...เอ่อมาหาพี่ปาแปงนะครับ”จากที่ประเมินแล้วผมว่าคนตรงหน้านี้ไม่น่าจะใช่ญาติ อีกอย่างแปงเองก็มีแค่พี่สาว หรือว่านี่คือคนที่แปงเคยมาปรึกษาผมเรื่องการจูบนั่นหรือเปล่า ผมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูมื่อคิดว่าน้องชายผู้อินโนเซนส์อย่างแปงมาหวั่นไหวกับเด็กมัธยมตรงหน้านี่ ก็ดูเข้ากันดีนะครับ แปงก็ยังดูใสๆ ดี

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เค้าคงแปลกใจกับรอยยิ้มประหลาดๆ ของผม

“เปล่าๆ พี่ทำงานแผนกเดียวกับแปงแหละ เดี๋ยวแปงให้ลงมาหา”

“อ๋อพี่คือคนที่ตามพี่แปงให้ผมวันนั้นใช่ไหมครับ”คำทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมว่าผมแอบเห็นแววตาหม่นๆ ของเค้านิดนึงตอนที่ผมพูดถึงแปง

“รู้จักกันด้วยเหรอวะ”ไอ้ต้าร์กระซิบถามอย่างสงสัย

“น้องเค้าเคยไปหาแปงที่ออฟฟิศเราไง”ผมอธิบาย แต่วันนั้นน่าจะไม่มีใครได้เจอน้องเค้านอกจากผมสินะ

“รู้จักน้องแปงด้วยเหรอ งั้นเจ้ฝากบอกน้องแปงด้วยนะว่าแวะมาเยี่ยมเจ้บ้าง นี่ตั้งแต่ออกไป ก็ไม่ได้เจอน้องแปงอีกเลย”เจ้โอ๋ ถามไถ่ถึงรุ่นน้องอีกคนที่พวกเราต่างเอ็นดู ซึ่งพอครบสัญญาตามที่ตกลงทำงาน แม้ทางบริษัทจะอยากรั้งแปงไว้ต่อแต่เห็นว่าทางบ้านอนุญาตให้ออกมาใช้ชีวิตเอง จำกัดช่วงเวลาไว้แค่นั้นแล้วก็ต้องกลับไปทำงานกับที่บ้าน พวกผมเองก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรน้องอีก

“ผมก็ไม่ค่อยได้เจอแกเหมือนกันแหละครับ”ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองที่น้ำเสียงน้องเค้าดูหม่นลงทุกครั้งที่พูดถึงปาแปง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดผมว่าความสัมพันธ์ของปาแปงกับน้องคนนี้คงไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องหรือคนรู้จักธรรมดา แต่นั่นแหละครับตอนนี้เค้าอาจจะไม่เหมือนเดิมกันแล้ว ผมก็ไม่ควรจะคิดอะไรหรือสงสัยต่อในความสัมพันธ์ของพวกเค้า แค่ตัวผมเองก็แย่พออยู่แล้ว

“แล้วนี่น้อง...เอ่อ”ผมเว้นวรรคไว้เพราะยังไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มตรงหน้านี่เกี่ยวข้องอะไรกับงานในวันนี้

“อ๋อผมภู่ครับ น้องชายพี่ผึ้งเจ้าสาววันนี้”คำตอบของเค้าทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อย แปลกใจไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้

“พี่ฟ่างนะครับ เป็นพี่ชายโพด”หลังจากทักทายแนะนำตัวกันทุกคนแล้ว น้องภู่ก็เป็นคนพาเรามาส่งจัดแจงที่นั่ง แต่พอรู้ว่าน้องเค้าเป็นใครทีมงานผมก็ออกจะพากันชักสีหน้าตึงๆ ใส่น้องเค้าไปเสียทุกคน

“เป็นอะไรกันเนี่ย น้องเค้าอุตส่าห์มาต้อนรับ จะมาแสดงอาการแบบนี้ทำไม”ผมต่อว่าทุกคนหลังจากน้องภู่คล้อยหลังไปแล้ว

“ก็นั่นมันน้องชายศัตรูหัวใจมึงนะเว้ย เราจะไปญาติดีด้วยทำไม”ตรรกะอะไรของมันอีกละครับเนี่ย ไอ้ต้าร์หันมองตามเข้าไปในงานอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจ ซึ่งผมว่าเพื่อนผมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“มึงจะบ้าหรือไง เค้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย อีกอย่างแม้แต่เจ้าสาวเองพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ จะโกรธหรือเกลียดเค้า เพราะเค้าคงไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับโพดหรอก”สิ่งที่เจ้าสาวรับรู้มันก็อาจจะไม่ต่างจากฝั่งของผมหรอก เค้าอาจไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของผมด้วยซ้ำ หรือถ้ารู้ผมมันก็แค่พี่ชายคนนึงของแฟนเค้า

“งั้นมึงก็บอกสิ พังงานแต่งแม่มเลย”ไอ้ต้าร์ยังคงพูดอย่างไม่มีเหตุผล

“เลิกบ้าได้แล้วมึง นี่เรามางานมงคลนะ”ผมเริ่มปรามก่อนที่มันจะพูดอะไรบ้าๆ มากไปกว่านี้ อีกอย่างตอนนี้แขกในงานก็ทยอยกันมาพอสมควรแล้ว ไม่อยากให้คนอื่นมาได้ยินในสิ่งที่พวกเราคุยกัน

“มึงนี่มันไม่ได้ดั่งใจกูเลย เป็นนางเอกผู้เสียสละหรือไง”ผมมองเพื่อนอย่างเคืองๆ อีกรอบเพราะมันก็ยังบ่นเบาๆ ให้ได้ยินอยู่

“หยุด”ผมสั่งเสียงแข็ง และได้กุ้งคอยช่วยปรามมันอีกคน

“เอ่อ พี่ๆ ใช่ญาติทางเจ้าบ่าวไหมคะ”หญิงสาวที่อยู่ในชุดทางเหนือหน้าตาสะสวยคาดว่าคงเป็นเพื่อนของทางเจ้าสาวเข้ามาสอบถามพวกผมพอดี ซึ่งก็ดีที่ไอ้ต้าร์สงบปากสงบคำไปแล้ว

“ครับ”

“งั้นรบกวนนิดนึงนะคะ พอดีจะตั้งขบวนขันหมากแล้ว อยากให้ทางญาติๆ เป็นคนนำก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเพื่อนๆ จะเสริมขบวนไปด้วย”ใกล้ได้ฤกษ์ตั้งขบวนขันมาก ก็ไม่แปลกนักที่ญาติฝั่งเจ้าบ่าวจะมีแค่พวกผม เพราะทั้งผมและข้าวโพดก็เหมือนกันตรงที่เราไม่มีญาติที่ไหนแล้ว หญิงสาวที่มาเชิญเราไปตั้งขบวนยังทำให้ผมได้รู้อีกว่าข้าวโพดกับเจ้าสาวเรียนที่เดียวกันตั้งแต่ ระดับปริญญาตรี เพื่อนๆ ที่มางานเลยเป็นทั้งเพื่อนกับทั้งสองฝั่ง

เรื่องที่เค้าเรียนด้วยกันนั้นผมว่าผมไม่ติดใจอะไร แต่การที่ทั้งสองคนเคยเป็นแฟนคบหากันตั้งแต่ตอนนั้นมากกว่า ผมยิ้มเยาะให้กับตัวเอง เพราะหลงสำคัญตัวเองมาได้ตั้งนาน แต่ความจริงแล้วมันเปล่าเลย ขนาดเค้ามีแฟนเค้ายังไม่เคยบอกผมด้วยซ้ำ

“กูบอกแล้ว ว่ามันไม่ได้เลิกกัน ตามกันไปเรียนถึงเมืองนอกขนาดนั้น ทีนี้เชื่อกูหรือยัง”เสียงหนึ่งในคนที่จะมาตั้งขบวนขันหมากพูดขึ้น จากที่ฟังทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าสาเหตุอะไรที่ข้าวโพดถึงไม่คิดจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ

“คนอื่นกูเกลียดไม่ได้ แต่ไอ้เจ้าบ่าวที่กำลังยิ้มแป้นมานั่นกูเกลียดได้ใช่ไหม”เสียงของไอ้ต้าร์เรียกสติผม สายตาผมหันไปมองตามที่ไอ้ต้าร์มองอยู่ ชายหนุ่มที่เคยเป็นน้องชายตัวน้อยของผม เคยวิ่งตาม เคยพยายามอยากจะโตให้ทันผม และเคยสัญญาว่าจะดูแลผม แต่วันนี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสินะ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ฝืนยิ้มให้ปกติมากที่สุด

“นึกแล้วว่าพี่ฟ่างต้องมา”เค้าเดินเข้ามากอดผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ผมตบเบาๆ ที่ไหล่ของเค้าพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาที่เหมือนกำลังจะไหลออกมา ให้มันย้อนกลับไปทางเดิม เค้ากอดผมแน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะผละออกแล้วหันไปทักทายเพื่อนๆ ผม

“ขอบคุณทุกคนที่มานะครับ”เค้าบอกทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก”ไอ้ต้าร์แทบจะไม่เก็บอาการใดๆ เลย มันแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับสิ่งที่กำลังเกิดตรงหน้า

“ไอ้ต้าร์”ผมรีบเรียกมันเสียงต่ำ ซึ่งมันก็เพียงจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหันหน้ามองไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรครับ แค่มาผมก็ดีใจแล้ว ยังไงอย่าเพิ่งรีบกลับนะครับ”ข้าวโพดยังคงบอกพวกผมอย่างยิ้มแย้ม

“เสร็จงานแล้วอยู่คุยกับผมก่อนนะครับพี่ฟ่าง”เสียงกระซิบข้างๆ หูผมตามด้วยรอยยิ้มที่ส่งมาให้ผม ก่อนที่เค้าจะหันไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่เหมือนต่างคนต่างยังยินดีกับงานครั้งนี้อย่างมาก ว่าแต่เค้ายังจะมีอะไรคุยกับผมอีกอย่างนั้นหรือ

“พี่ชายโพดใช่ไหมคะ ยังไงรบกวนสักสองคนเป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวด้วยนะคะ”ซองสีชมพูจำนวนนึงถูกยัดใส่มือผมและลากผมกับเจ้โอ๋มาอยู่ที่หน้าขบวนขันหมาก มีคนจัดแจงขบวนการถือของไหว้ต่างๆ ตามลำดับ ทั้งผมและเจ้โอ๋ต้องตามน้ำไปอย่างงงๆ  ขบวนขันหมากเริ่มขึ้น ผมแสร้งทำหน้ายิ้มแย้มไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

ผมกับเจ้โอ๋กลายเป็นคนที่ต้องมาจ่ายค่าผ่านประตูเงิน ประตูทอง ดูบรรยากาศมีแต่ความชื่นมื่นซึ่งผมเองก็พยายามฝืนยิ้มให้แนบเนียนมากที่สุด แต่ในใจอยากให้ช่วงเวลานี้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด

“ไหวนะ”เจ้โอ๋ถามผมอย่างห่วงใย ผมก็ได้แต่พยักหน้าให้พร้อมยิ้มแห้งๆ พิธีการต่างๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ ทั้งบายศรี ผูกข้อไม้ข้อมือให้กับบ่าวสาว แน่นอนว่าผมเองก็ต้องผูกให้บ่าวสาวด้วยเช่นกัน

“โพดพูดถึงพี่ฟ่างให้ฟังอยู่บ่อยๆ วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที ขอบคุณที่มานะคะ”หญิงสาวพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่ผมกำลังผูกข้อมือให้กับทั้งคู่

“มีความสุขมากๆ นะครับ”ผมอวยพรให้กับทั้งคู่

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย เสร็จงานแล้วอย่าเพิ่งกลับนะครับ”ผมไม่ได้ตอบรับใดๆ ก่อนจะแยกตัวออกมา

“แค่นี้ก็ดีมากแล้วไหมมึง กลับเหอะ”หลังจากพิธีการต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ตอนนี้บ่าวสาวก็ เดินขอบคุณ ถ่ายรูปร่วมกับแขกในงาน แม้ผมจะไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ต่อแต่คำพูดจากอีกคนที่บอกให้ผมรอ ก็ค่อนข้างจะมีอิทธิพลกับผมอยู่มากทีเดียว ใช่แล้วครับ ผมหวัง หวังว่ามันจะมีคำอธิบายอะไรจากเค้าให้ผมมากกว่านี้ หรือมีอะไรที่จะตอกย้ำให้ผมตัดใจจากเค้าได้อย่างเด็ดขาด ทว่าดูเหมือนเพื่อนผมจะไม่อยากให้ผมอยู่ต่อสักเท่าไหร่ ผมมองหน้าทุกคนที่ดูเหมือนว่าจะเห็นตรงกันหมด จนผมคงไม่สามารถปฏิเสธได้

“อือ ไปดิ”ผมตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เราทั้ง 4 เดินออกจากงานโดยไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องร่ำลาเจ้าภาพ อันนี้เป็นความเห็นชอบของเสียงส่วนใหญ่นะครับ แน่นอนว่าผมนี่แหละครับเสียงส่วนน้อยคนเดียว อีก 3 คนนั่นดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง

“พี่ฟ่าง พี่ฟ่างเดี๋ยวครับ”ยังไม่ทันที่ผมทั้ง 4 คนจะเดินถึงที่จอดรถดีนัก เสียงตะโกนเรียกก็ดังขึ้น ทำให้เราทุกคนต้องหันไปมอง ข้าวโพดวิ่งตามพวกผมมา จนมาหยุดตรงหน้าผม เค้ายืนหอบอย่างแรงจากการที่วิ่งตามมา ส่วนทุกคนที่มากับผมต่างมองเค้าด้วยสายตาไม่ได้เป็นมิตรนัก

“ขอผมคุยด้วยสักเดี๋ยวนะครับ”ผมหันหน้ามองคนที่เหลือ แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผมว่าทุกคนคงอยากให้ผมปฏิเสธ

“นะครับพี่ฟ่าง เพราะถ้าพี่ฟ่างกลับไปโดยไม่ยอมคุยกับโพด พี่ฟ่างก็อาจจะไม่ยอมคุยกับโพดอีกเลย”ผมมองสายตาเว้าวอนของเค้าสลับกับอีก 3 คนที่มากับผมอย่างตัดสินใจ

“พี่คงมีเวลาไม่มากนักนะ”เค้ายิ้มกว้างคว้าข้อมือผมโดยไม่ได้ถามความเห็นผม ดึงผมแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดบางอย่าง

“คือผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง เอาเป็นว่าเริ่มที่ผมกับผึ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน...เอ่อที่จริงก็เคยเป็น แต่เลิกกันไปนานแล้ว และเราแต่งงานกันเพราะเหตุผลบางอย่าง”



TBC

ตอนหน้ามาฟังคำแก้ตัว เอ้ย คำอธิบายของข้าวโพดกัน
 o13

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไอ้เรื่องฟังน่ะฟังได้ แต่ขอเหตุผลแบบเคลียร์ ๆ ไปเลยนะ ไอ้พวกที่บอกว่า เหตุผลจำเป็นบางอย่าง ที่บอกออกไปอย่างชัดเจนไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าสาวงี้อะ รับไม่ได้ พี่ฟ่างต้องเจ็บปวดแค่ไหนกับการที่โพดต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง จะมาบอกว่าไม่เกี่ยวกับฟ่างไม่ได้นะ ฮึ่ม

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาอธิบายหลังแต่ง


ลำดับความสำคัญ ความจำเป็น ห่าเหวอะไรดลบันดาล??

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ในความคิดของเรา คนที่เลือกจะช่วยคือคนที่สำคัญกว่า คนที่ปล่อยให้เจ็บ
มองอย่างนี้ ฟ่างคือคนที่ไม่มีความสำคัญป๊ะ เจ็บไงก็ได้

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้องภู่กับลุงแปงยังไงเนี่ย ทำไมไม่ค่อยได้เจอกันนน
ตามอ่านอยู่ทั้ง 2 เรื่องเลยนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ในความคิดของเรา คนที่เลือกจะช่วยคือคนที่สำคัญกว่า คนที่ปล่อยให้เจ็บ
มองอย่างนี้ ฟ่างคือคนที่ไม่มีความสำคัญป๊ะ เจ็บไงก็ได้

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

คิดเหมือน

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 16
คำอธิบาย





“คือผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง เอาเป็นว่าเริ่มที่ผมกับผึ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน...เอ่อที่จริงก็เคยเป็น แต่เลิกกันไปนานแล้ว และเราแต่งงานกันเพราะเหตุผลบางอย่าง”หลังจากที่วิ่งตามพี่ฟ่างออกมาเกือบจะไม่ทันผมก็ต้องรีบพูดในประเด็นที่สำคัญที่สุดให้พี่ฟ่างรับรู้ก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมฟังในสิ่งที่เหลือ สิ่งที่มันมีหลายอย่างที่พี่ฟ่างอาจจะไม่เข้าใจผม ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าทุกอย่างให้พี่ฟ่างฟัง ส่วนพอได้ฟังแล้วจะเป็นยังไงต่อผมก็คงต้องยอมรับ

“ยังไงก็ฝากโพดดูแลผึ้งด้วยแล้วกัน นี่พอโพดตามไปเรียนด้วยกันแบบนี้ พ่อก็ค่อยหายห่วงหน่อย”ผมรับคำพร้อมส่งยิ้มให้กับว่าที่พ่อตาหลอกๆ ของผม ตั้งแต่ที่ผมกับผึ้งกลับมาญาติดีกันฉันท์เพื่อน เรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วผึ้งเองก็มีแฟนใหม่ แต่ดันไม่ยอมบอกคนในครอบครัวว่า ตัวเธอกับผมเรามีสถานะเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น

“เอาน่าเดี๋ยวพอเราไปเรียนต่อ ตอนนั้นค่อยบอกว่าเลิกกันดีไหม”นั่นคือเหตุผลที่ผึ้งอ้างตอนเราเรียนปริญญาตรีด้วยกัน เพราะเธอบอกว่าแฟนที่เธอคบอยู่ ยังไงก็ไม่ถูกใจพ่อแม่ถ้าบอกไปหรือพาไปเจอก็จะวุ่นวายเปล่าๆ เพราะไม่มีใครถูกใจพ่อแม่เธอเท่าผมอีกแล้ว

“ไหนบอกว่าพอไปเรียนต่อ เราจะได้เลิกกันไง”พอถึงวันที่ผึ้งไปเรียนต่อจริงๆ กลายเป็นว่าคนที่เลิกกับผึ้งคือแฟนตัวจริงครับ ส่วนแฟนตัวปลอมอย่างผมก็ยังรับหน้าที่ต่อไป แถมมันยิ่งดูยุ่งยากขึ้นไปอีก เพราะทุกคนคิดว่าเรารักกันมานานแน่นแฟ้นจนถูกมองไปถึงเรื่องแต่งงาน

“โพดคิดว่าถ้าพ่อเรารู้ว่าเฮเดนเป็นแฟนเรามันจะเกิดอะไรขึ้น”มันดูจะหนักขึ้นไปอีกเมื่อผึ้งดันไปคบฝรั่งตาน้ำข้าว ซึ่งพ่อของผึ้งไม่ชอบเอามากๆ จนวันนึงปัญหาใหญ่ระหว่างเราสองคนก็เกิดขึ้น

“โพดไอ้เฮเดนมันทิ้งเรา มันทิ้งเราไปแล้ว”ผึ้งมาร้องไห้กับผมแบบนี้ทุกครั้งที่ทะเลาะกับแฟน จนตอนนี้ผมชินและไม่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้แล้วครับ เพราะพอผ่านไป 2-3 วัน เดี๋ยวก็ดีกัน ผมเดินเข้าครัวชงกาแฟอย่างไม่ใส่ใจชงเผื่อผึ้งด้วยครับ ผมถือถ้วยกาแฟมาวางให้ตรงหน้าเธอ

“เดี๋ยวมันก็มาง้อ”ผมบอกผ่านๆ อย่างตัดรำคาญเพราะเห็นฉากนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ที่จริงผมก็ไม่ได้ชอบไอ้เฮเดนนี่สักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ในเมื่อเพื่อนเราชอบ เราก็คงพูดอะไรมากไม่ได้

“ไม่ ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง”ผึ้งหยุดร้องพูดด้วยเสียงราบเรียบจนผมแปลกใจ แปลกใจว่าอะไรทำให้ผึ้งคิดว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนทุกครั้ง

“มันมีคนอื่นหรือไง”ผมยังคงแหย่ทีเล่นทีจริง เพราะทุกครั้งที่ทะเลาะกันมันก็มักมาจากเรื่องนี้ ซึ่งเฮเดนมันก็หาเศษหาเลยไปทั่วจริงๆ นั่นแหละครับ แต่ทุกครั้งพอมันมาตีหน้าเศร้าว่าจะเลิกนิสัยแบบนั้น จะมีผึ้งคนเดียวผมก็เห็นผึ้งใจอ่อนทุกที แล้วครั้งนี้มันจะต่างกันเหรอ ผมว่าคงไม่

“มันไม่อยากมีลูก”สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมหันมองหน้าผึ้งอีกครั้ง คงไม่ได้หมายความว่า...

“เราท้อง”คำที่ผึ้งบอกออกมาทำเอาผมเองก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่าทั้งเฮเดนและผึ้งดูยังไม่ได้พร้อมจะสร้างครอบครัว หรือพร้อมที่จะรับผิดชอบอีกชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาเลย หรือแม้กระทั่งผมเอง ผมก็ไม่ได้มีความพร้อมตรงนั้นเลย

“นี่คงไม่ได้คิดจะเอาเด็กออกใช่ไหม”ผมเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันนะครับว่าอยากจะให้ผึ้งทำยังไง คือมันเป็นการรับรู้ที่ค่อนข้างกะทันหัน แล้วมันก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่มากแถมมีผลกระทบกับอีกหลายคนเหลือเกิน

“เฮเดนมันไม่รับผิดชอบอยู่แล้ว หรือต่อให้มันคิดรับผิดชอบ พ่อเราก็คงได้ฆ่าเราแน่ๆ ที่หลอกเค้ามาตลอดว่าคบกับโพดแล้วท้องกับไอ้ฝรั่งไม่มีความรับผิดชอบนั่น หรือจะให้เราบากหน้าบอกกับทุกคนว่าท้องไม่มีพ่อ โพดว่าเรามีทางเลือกไหม”ผมอยากจะตำหนินะครับ ว่าในเมื่อก็รู้ว่าตัวเองไม่พร้อมทำไมไม่ป้องกันให้ดี แต่ดูจากสภาพของเพื่อนตอนนี้ที่ก็แย่พออยู่แล้ว ว่าอะไรไปมันก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“แล้วผึ้งจะฆ่าคนๆ นึงที่กำลังจะเกิดมาได้ลงคอเหรอ”อยากบอกว่าผมเองตอนนี้ก็สับสนไปหมดทุกอย่างเหมือนกันแหละครับ แม้มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาของผมโดยตรง แต่ผึ้งก็คือเพื่อนสนิทคนนึงที่เราต่างคอยช่วยเหลือกันมา

“เราไม่รู้ ไม่รู้แล้วจริงๆ”ผึ้งปล่อยโฮขึ้นมาอีกรอบ เหมือนคนไม่มีสติแล้ว

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวเราค่อยๆ คิดช่วยกัน มันต้องมีทางที่ดีกว่านั้น”ผมเข้าไปสวมกอดผึ้งเพื่อเป็นการปลอบ

“เอาเด็กออก เราจะเอาเด็กออก นะโพดให้เราเอาเด็กออกเถอะ”

“พูดอะไรกัน”เสียงที่ทักท้วงขึ้นทำให้ทั้งผมและผึ้งหันไปมองผู้มาใหม่อย่างตกใจ

“พี่บึ้ง”ผึ้งมองหน้าพี่ชายด้วยอาการตื่นตระหนก พี่บึ้งคือพี่ชายคนโตของผึ้งครับ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกัน

“แกท้องเหรอผึ้ง”น้ำเสียงที่ถามออกมาราบเรียบจนเราทั้งคู่คาดเดาไม่ได้ว่าคนพูดกำลังรู้สึกยังไง แถมในสถานการณ์แบบนี้ผมกับผึ้งก็คงจะไม่สามารถปรึกษากันได้ว่าจะตอบออกไปว่ายังไง

“ผมจะรับผิดชอบเองครับ”และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ พี่บึ้งที่โผล่มากะเซอร์ไพรส์พวกเราเหมือนจะกลายเป็นคนทำให้เราทั้งคู่ไม่ต้องตัดสินใจเลือกทางไหนให้ลำบากอีกต่อไป หลังจากที่พี่บึ้งไปแล้วทั้งผมและผึ้งก็ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“เราไม่คิดว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ เพราะถ้าเค้าเกิดมาทุกวินาทีที่เห็นหน้าเค้า มันคงยิ่งย้ำให้เราคิดถึงไอ้เฮเดนที่ตอนนี้เราเกลียดมันจนไม่อยากจะอยู่ร่วมโลก”ผมถอนหายใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะสิ่งที่ผึ้งพูดออกมานั่น มันทำให้ผมคิดได้ว่าพอเด็กเกิดมา สิ่งนึงที่จะทำให้เราทั้งคู่โดนจับได้ก็คือความเป็นลูกครึ่งของเด็กคนนี้นี่แหละครับ

“เราเลี้ยงเอง”ผมบอกอย่างหนักแน่น

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโพด ให้เราเอาเด็กออกเถอะ แล้วบอกที่บ้านเราว่าเราแท้งก็ได้”นี่ผึ้งยังไม่ล้มเลิกความคิดนี้อีกเหรอเนี่ย

“โอเค เราจะแต่งงานกันแล้วรอจนผึ้งคลอด ผึ้งก็บอกทุกคนไปว่าผึ้งแท้งและเราสองคนเลิกกัน จากนั้นเด็กที่คลอดมาเราจะรับผิดชอบเอง”ผมรู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจโง่ๆ ของเราทั้งคู่แทนที่เราจะเลือกบอกความจริง แต่ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้แล้วก็คงต้องยอมรับผลที่จะตามมา

“แล้วพี่ฟ่างของโพดละ โพดจะบอกพี่เค้าว่ายังไง”ผมเล่าถึงแค่ตรงนี้ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือคนที่ผึ้งกล่าวถึง คนที่ผมยอมรับว่าไม่ได้คิดกับเค้าแค่พี่ชาย แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะยอมรับ จนทุกอย่างมันผิดที่ผิดทางไปเสียหมด

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องในวันนั้นเกิดขึ้นระหว่างเรา”

“มันก็แค่เรื่องไม่ตั้งใจสินะ”พี่ฟ่างดูยังอึ้งๆ กับสิ่งที่ผมเล่า แต่เหมือนจะกำลังเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อผิดไป

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ที่จริงแล้วผมอยากทำแบบนั้นกับพี่ อยากทำมาตลอด เพียงแต่ผมยังไม่พร้อมที่จะดูแลพี่ แล้วยิ่งมีเรื่องผมกับผึ้งเข้ามา มันยิ่งไม่ควรที่ผมจะทำแบบนั้น”ตอนนี้ผมเหมือนคนทำความผิดที่พยายามแก้ตัว และดูเหมือนจะเป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น พี่ฟ่างยังคงมองผมด้วยแววตาว่างเปล่า

“มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวจนผมคงพูดไม่ได้ว่าที่มันเกิดขึ้นเพราะผมรักพี่”รอยยิ้มที่ดูจะไม่ได้มาจากความรู้สึกยินดีปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของพี่ฟ่าง

“ผมคงไม่กล้าที่จะขอว่าให้พี่ไปใช้ชีวิตกับผมที่ต่างประเทศ แต่ถ้ามันยังพอจะเป็นโอกาสเดียวที่เราจะอยู่ด้วยกันได้ผมก็อยากให้พี่ฟ่างลองเอาไปคิดทบทวนดูนะครับ”ผมรู้ครับว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยในสิ่งที่ผมขอ แต่แค่มันจะพอมีโอกาสให้ผมแม้น้อยนิดขนาดไหน ผมก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นทิ้งไป

“เอาจริงๆ นะโพดตอนนี้เราสองคนเหมือนคนไม่รู้จักกันเลย โพดเองก็มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยได้เปิดให้พี่เข้าไปสัมผัส หรือพี่เองก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่เคยบอกให้โพดได้รับรู้ เพราะงั้นพี่ว่าคงไม่ต้องทบทวนอะไรแล้วแหละ”ความเย็นชาฉายชัดขึ้นมาทั้งในสีหน้า แววตา และคำพูดที่ส่งออกมา

“โพดรู้จักพี่ฟ่างมาทั้งชีวิต”ผมจ้องมองอีกคนด้วยสายตาเว้าวอนตอนนี้เหมือนทุกอย่างมันยากไปหมดทุกอย่าง ถ้าเพียงแต่ผมแสดงหรือบอกความรู้สึกจริงๆ ให้พี่ฟ่างรู้ตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันคงไม่ยากแบบนี้ มุมปากของพี่ฟ่างยกขึ้นยิ้ม แต่มันคือยิ้มเยาะอย่างที่ผมต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ

“แน่ใจเหรอ พี่นอนกับใครมากี่คน ใช้ชีวิต one night stand มากี่ปี โพดรู้เรื่องนี้หรือยังละ”ประชด พี่ฟ่างต้องกำลังประชดผมอยู่แน่ๆ

“พี่ฟ่างของโพดไม่ใช่คนแบบนั้น”แม้จะพอรู้จากการที่เรามีอะไรกันว่าผมคงไม่ใช่คนแรกของพี่ฟ่าง แต่ผมก็มั่นใจว่าพี่ฟ่างของผมคงไม่ไปมั่วกับใครหลายคนอย่างที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้

“เสียใจที่ต้องทำให้ผิดหวังนะ แต่รู้ไว้เลยว่าพี่เคยทำตัวแบบนั้น”พี่ฟ่างยังคงพูดให้ดูว่าตัวเองดูแย่ในสายตาผม แต่บอกเลยว่าผมไม่เชื่อ ผมจ้องมองเข้าไปในแววตาพยายามมองให้ลึกลงไป ค้นหาความจริงในแววตานั้น แต่แล้วพี่ฟ่างก็เป็นฝ่ายหลบสายตาผมก่อน

“เฮ้อ...โอเคจากที่ฟังมา โพดก็ยังมีอีกหลายอย่างต้องรับผิดชอบจริงไหม ไหนจะลูกไหนจะภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเพราะงั้นทางเดินของเราสองคน มันก็คงจะยังเป็นเส้นขนานเหมือนเดิม”นี่คือสิ่งที่พี่เค้าตัดสินใจสินะ ผมว่าพี่ฟ่างคงไม่เชื่อผมด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่แก

“พี่มีชีวิตของพี่ โพดก็มีชีวิตของโพด เราก็แค่ใช้ชีวิตของใครของมันต่อไป”มันต้องเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย คำพูดที่ผมเองเคยเป็นคนบอกว่าจะดูแลพี่ชายคนนี้ มันกลับย้อนมาตอกย้ำตัวผมเองว่าผมมันก็แค่คนไม่เอาไหนที่ทำอย่างที่เคยพูดไว้ไม่ได้

“ขอโทษนะครับพี่ฟ่าง”ผมดึงตัวอีกคนมากอด คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม แต่ก็เพราะตัวผมเองที่เป็นต้นเหตุในการผลักเค้าออกไปจากชีวิต จนพอมาตอนนี้ทั้งผมและพี่ฟ่างก็คงต้องเจ็บ ไม่ต่างกัน

“ไม่ต้องขอโทษหรอก แต่เราสองคนอย่าติดต่อกันอีกเลยนะ”เค้าไม่ได้กอดตอบผมด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงเย็นชาที่บอกออกมา กลับทำให้น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลออกมา คำว่าอย่าติดต่อกันอีกเลยมันช่างบีบหัวใจของผมเหลือเกิน

“ไม่เอาสิครับ พี่ฟ่างอย่าทำแบบนี้”ผมกอดเค้าแน่นขึ้นกว่าเดิม อยากให้เค้ารับรู้ว่าที่จริงแล้ว เค้าสำคัญกับผมมากแค่ไหน แต่จะว่าไปสิ่งที่ผมทำลงไปมันคงทำให้เค้าเชื่อได้ยากว่าเค้าเป็นคนสำคัญ

“ปล่อยเถอะ พี่จะกลับแล้วเพื่อนพี่รออยู่”เค้าออกแรงดันตัวผมออก ก่อนจะหันหลังให้ผม เดินไปหากลุ่มเพื่อนๆ ของเค้า

“แต่เรายังจะไปเจอกันที่ภูเก็ตทุกปีเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”ผมส่งเสียงถามไล่หลังอย่างมีความหวัง ถ้าพี่ฟ่างจะไม่ติดต่อผม แต่อย่างน้อยให้เรายังได้เจอกันเหมือนเดิมมันก็ยังพอจะช่วยทดแทนได้บ้าง

“อย่าดีกว่า”น้ำเสียงหนักแน่นถูกเปล่งออกมาโดยไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ

“พี่ฟ่างสัญญาแล้วนิ พี่ฟ่างต้องรักษาสัญญาสิครับ”เมื่อไม่มีทางเลือก ผมเลยต้องงัดสิ่งสุดท้ายมากดดันอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนจะหยุดแผ่นหลังนั้นได้ พี่ฟ่างค่อยๆ หันกลับมามองผม แต่แล้วพอเห็นรอยยิ้มเยาะที่ฉายชัดบนใบหน้านั่น ผมก็คงถูกปิดโอกาสทุกทางลงแล้ว

“อีกอย่างที่โพดคงยังไม่รู้เกี่ยวกับพี่ พี่ไม่ได้เป็นคนรักษาคำพูด หรือรักษาสัญญาอะไรขนาดนั้น”






TBC

ยังไงต่อละทีนี้  :a5:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอาแล้วไงข้าวโพด พอเกิดคำถามในใจว่าเรารู้จักเขาจริงหรือเปล่า เรื่องมันจะจบไม่ง่ายนะโพดนะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โพดทำตัวเองทั้งนั้น  อะไรคือการเอาตัวเองรับผิดชอบในเรื่องของคนอื่นเนี่ย ลงทุนแต่งงาน ลูกก็ไม่ใช่ลูกตัวเอง ชีวิตตัวเองทั้งชีวิตเลยนะ ห่วงแต่ผึ้งหรอ ไม่ห่วงความรู้สึกพี่ฟ่างบ้างหรอ
ข้าวฟ่างเข้มแข็งไว้นะ ใจแข็งไว้

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เข้ามาสมน้ำหน้าโพด เห็นแก่ตัวอย่างโหดร้าย นี่หรือรัก อยากให้จบแบบต่างคนต่างไปอะ

ออฟไลน์ Ryu7801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ดีสมน้ำหน้าโพด สงสารข้าวฟ่างมาก

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
รักแต่ไม่ให้ความสำคัญ   นี่มันรักแบบไหน

โพดเอ็งควรไปลงโปรแกรมใหม่นะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ก็เหมาะดี เลือกเอง คิดเอง ทำเองมาตลอด
ตอนที่ควรจะพูดก็ไม่พูด ตอนนี้พูดไปก็ไม่เกิดไรขึ้นมาแล้ว

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โพดทำตัวเองทั้งนั้น  อะไรคือการเอาตัวเองรับผิดชอบในเรื่องของคนอื่นเนี่ย ลงทุนแต่งงาน ลูกก็ไม่ใช่ลูกตัวเอง ชีวิตตัวเองทั้งชีวิตเลยนะ ห่วงแต่ผึ้งหรอ ไม่ห่วงความรู้สึกพี่ฟ่างบ้างหรอ
ข้าวฟ่างเข้มแข็งไว้นะ ใจแข็งไว้
:เฮ้อ: :เฮ้อ:

ก็เหมาะดี เลือกเอง คิดเอง ทำเองมาตลอด
ตอนที่ควรจะพูดก็ไม่พูด ตอนนี้พูดไปก็ไม่เกิดไรขึ้นมาแล้ว

 :L2: :pig4:

ใช่เลย
โพดมีระบบความคิดที่แปลก กลับตาลปัตร
แทนที่จะคิดถึงคนสำคัญที่สุด คนที่รับปากจะปกป้องดูแล
กลับไปให้ความสำคัญกับคนที่ไม่ใช่

เรื่องของผึ้ง จะรับผิดชอบไปถีงไหน เมีย ลูก ก็ไม่ใช่
ครั้งที่หนึ่งผ่านไป ครั้งที่สองตามมายังเสนอหน้าไปรับ

นี่มันเรื่องสำคัญ เลั้ยงเด็กอ่อนโดยลำพัง ใช่มีมนุษยธรรม
แต่สมควรทำด้วยตัวโพดคนเดียวเท่านั้นหรือถึงจะถูกต้อง
ควรให้ผู้ปกครองพ่อแม่ผึ้งรับรู้ได้แล้ว อย่างนี่ผี้งลอยตัวคนเดียว

แล้วฟ่างล่ะ สมควรแล้วล่ะ ที่ฟ่างตัดขาดโพด เลิกลาไม่ต้องพบกันอีก
เรื่องควรปรึกษาไม่ปรึกษา บ้าๆบอๆ
คิดเองเออเอง เรื่องผึ้ง ลูกผึ้งละเก่ง เออ..... เอ็งเก่ง เก่งให้ตลอดนะ มึ-
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด