Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Grain Brothers พี่น้องข้าว บทที่ 30 จะสุขจะทุกข์ END 24-05-2018  (อ่าน 21024 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook แก้ไขข้อความ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2017 07:39:15 โดย norita_boyV2 »
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2018 14:52:33 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: Grain Brothers พี่น้อง 2 ข้าว
«ตอบ #1 เมื่อ30-06-2017 11:54:57 »

GRAIN BROTHERS
พี่น้องข้าว
เปิดเรื่อง 30-06-17


บทนำ




“ได้หยุดแล้วโว้ย”เสียงตะโกนดังขึ้นตามด้วยเสียงโห่ร้องอย่างดีใจจากทุกๆ คน เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานในปีนี้ ทุกคนจะได้หยุดยาว 10 วัน เพื่อไปพักผ่อนในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ใครบ้านอยู่ต่างจังหวัดก็ถือโอกาสนี้กลับบ้านไปชาร์ทแบตให้ตัวเองกับครอบครัว หรือบางคนก็วางแผนกันไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

“ไปฉลองหยุดยาวหน่อยไหมไอ้ฟ่าง”เสียงจากไอ้ต้าร์เพื่อนสนิทของผม ผมกับไอ้นี่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ แถมพอเรียนจบก็ยังได้มาทำงานที่เดียวกันอีกเลยยิ่งค่อนข้างสนิทกัน สนิทจนบางทีมีคนแอบคิดว่าเราสองคนเป็นคู่เกย์กันหรือเปล่า แต่ไม่ใช่นะครับ ไอ้ต้าร์เองมันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเรียบร้อย แถมใกล้จะมีข่าวดีเร็วๆ นี้แล้วมั้งครับ

“กุ้งจะมาแหกอกผมไหมละครับคุณเพื่อน ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้ไปเชียงใหม่แต่เช้านี่ครับ”ผมย้ำให้พ่อเพื่อนสนิทได้ตระหนักว่าตัวมันเอง ต้องขับรถอีกหลายร้อยกิโลเมตรในวันพรุ่งนี้ เพื่อไปยังบ้านพ่อตาแม่ยายของมันครับ ไอ้ต้าร์กับแฟนมัน หรือกุ้งที่ผมพูดถึงนั่นแหละครับ กุ้งเป็นสาวเชียงใหม่ที่มาทำงานในกรุงเทพฯ จุดเริ่มต้นที่รู้จักกันคือไอ้ต้าร์ขับรถมัวแต่เล่นโทรศัพท์ แล้วไปชนท้ายรถของกุ้งเข้า พอชนเสร็จก็หน้าหม้อจีบคู่กรณีครับ ไอ้ต้าร์และกุ้งเลยปลูกต้นรักกันตั้งแต่นั้นมา ตอนนี้แม้ทั้งคู่จะยังไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ซื้อบ้านอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้และเข้าใจดี ทีนี้ช่วงเทศกาลหยุดยาวทั้งคู่ก็จะสลับกันว่าจะไปเยี่ยมครอบครัวฝั่งไหน

ที่จริงผมเองก็สนิทกับทั้งครอบครัวของไอ้ต้าร์และครอบครัวกุ้งนะครับ เพราะมีโอกาสได้เจอทั้งสองครอบครัวบ่อยๆ เลยถือโอกาสฝากตัวเป็นลูกทั้งสองบ้านเสียเลย ก็ผมมันคนไม่มีพ่อแม่นี่ครับ ผมเลยเหมือนเป็นลูกทั้งสองบ้านอีกคน ทั้งสองบ้านก็เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลานอีกคน ผมเองก็เลยนับถือทุกคนเหมือนญาติผู้ใหญ่

“อย่าพูดได้ไหมมึง พูดแล้วกูท้อแท้ อยากจะพาเมียไปรักษาโรคกลัวเครื่องบินให้หายขาดสักทีจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถไกลๆ แบบนี้”ผมตบบ่าให้กำลังใจเพื่อน แต่ก็อดขำไม่ได้ครับ ทำไงได้กุ้งดันเป็นโรคกลัวเครื่องบินขั้นสุด ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมขึ้นเครื่องเด็ดขาด ไม่ว่าจะไปไหน ใกล้ไกลเลยต้องเดินทางด้วยรถยนต์ตลอด

“แล้วน้องข้าวฟ่างของพี่ละคะ ปีใหม่ไปเที่ยวไหนเอ่ย เที่ยวคอนโดเจ้ไหม”ผมกับไอ้ต้าร์ถูกแทรกกลางด้วยสาวใหญ่วัยเกือบ 40 พี่โอ๋ เจ้ใหญ่ประจำแผนกของพวกผม พี่โอ๋เป็นคนสวยนะครับแถมไม่บอกอายุนี่นึกว่า 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ แต่เจ้เค้าไม่ใช่สเปคผม และผมก็คิดว่าเจ้ไม่ได้พิศวาสผมนักหรอก คงแค่ชอบแหย่ผมเล่น แทะโลมตามประสาสาวมั่นแค่นั้นแหละครับ

“พี่โอ๋ครับ บอกแล้วไงว่าให้เรียกฟ่างเฉยๆ เรียกข้าวฟ่างอีกทีเดี๋ยวไม่รักแล้วนะครับ”ผมก็แกล้งรับมุกแกตลอดแหละครับ แต่ไอ้ชื่อข้าวฟ่างนี่ถ้าไอ้ต้าร์ไม่เอามาป่าวประกาศ ผมคงไม่โดนล้อมาถึงทุกวันนี้ ฟ่างเฉยๆ ยังโอเคนะครับแต่เวลาเรียกข้าวฟ่างนี่ผมรู้สึกตัวเองเหมือนสาวน้อยน่าทนะถนอมขึ้นมาทันที คิดแล้วขนลุก รับชื่อตัวเองไม่ได้ครับ แต่จะให้เปลี่ยนก็คงไม่เพราะชื่อนี้แม่ผมเป็นคนตั้งให้ และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังให้ผมระลึกถึงแม่เสมอ ทว่าแม่คงเข้าใจผมที่ผมขอตัดชื่อเล่นนี้ให้เหลือพยางค์เดียว

“ได้เลยๆ น้องฟ่างสุดหล่อของเจ้ วันหยุดเนี่ยเราไปใช้เวลาร่วมกันที่คอนโดเจ้ดีไหมจ๊ะ”นี่ถ้าคนไม่รู้จักผมมาเจอ นอกจากผมจะถูกมองเป็นคู่เกย์กับไอ้ต้าร์แล้ว อีกอย่างที่จะถูกมองก็เป็นเด็กในสังกัดเจ้โอ๋นี่แหละครับ

“นี่เจ้จะกินเพื่อนผมให้ได้หรือไงเนี่ย ลวนลามมันตั้งแต่เข้ามาทำงานใหม่จนนี่ทำงานด้วยกันมาจะ 5 ปี ยังไม่ละความพยายามอีกเหรอ”ไอ้นี่ก็คู่กัดเจ้เค้าแหละครับ เห็นเล่นๆ กันแบบนี้จริงๆ พวกเราก็รักกันดีนะครับ ที่ทำงานนี่ก็เหมือนอีกครอบครัวนึงของผม เจ้โอ๋ขาหื่นนี่ก็เหมือนพี่สาวของผมคนนึงเช่นกัน

“เจ้ก็แค่เหงา วันหยุดใครๆ ก็ไปต่างจังหวัดกันหมด ตกลงน้องฟ่างไปไหนไหมช่วงวันหยุดนี้ ถ้าไม่ไปไหนมาเค้าท์ดาวน์เป็นเพื่อนเจ้หน่อยนะ”นี่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเจ้แกเหมือนกันนะครับ ทั้งสวยทั้งเก่ง ผู้ชายก็เข้ามาขายขนมจีบตลอด แต่เจ้ก็ยังเลือกที่จะโสดแบบนี้ แต่นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้ผมสนิทกับเจ้แก เพราะเราต่างโสดด้วยกัน เวลาเหงาๆ หรือเทศกาลของคนมีคู่ ผมก็ได้เจ้นี่แหละครับอยู่เป็นเพื่อน เพราะบางทีก็เบื่อการไปเป็นก้างของไอ้ต้าร์กับกุ้ง

“เชิญเจ้เหงาข้ามปีคนเดียวเถอะครับ เพราะไอ้ฟ่างมันต้องไปภูเก็ต”ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับเจ้เค้าครับ เพราะถ้าเจ้ไม่เหงาจริงๆ จะไม่ค่อยมาออกตัวแรงกับพวกผมขนาดนี้

“ภูเก็ตอีกแล้วเหรอ จำได้ว่าปีก่อนๆ ก็ไปภูเก็ตป่ะ แต่น้องฟ่างไม่ใช่คนภูเก็ตนิ ไปทำไมบ่อยๆ”ไปทำไมบ่อยๆ นะเหรอครับ พอมีคนถามความรู้สึกเก่าๆ มันก็แล่นเข้ามาในหัวของผมอีกแล้ว กี่ปีแล้วนะที่ผมยังคงไปที่นั่นซ้ำๆ เช่นนี้ ทุกๆ ปี ที่เป็นข้อตกลงระหว่างผมกับอีกคน

“พอดีนัดน้องชายไว้ครับเจ้ เจอกันแค่ปีละครั้ง”ผมตอบออกไปเสียงเบา เบาจนไอ้ต้าร์คงจับสังเกตุได้แล้ว น้องชายที่พูดถึงคือคนที่ผมมีข้อตกลงด้วยนั่นแหละครับ

“เท่าที่เจ้เคยดูประวัติน้องฟ่างมา ไม่มีพี่น้องนี่นา”เดี๋ยวนะครับนี่เจ้เค้าสืบประวัติผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย แต่เจ้ก็รีบแก้ตัวทันทีว่าจริงๆ ก็แค่เคยเห็นประวัติผมในใบสมัครงาน ตั้งแต่ก่อนผมจะเข้ามาทำงานแล้ว

“เจ้ไม่รู้อะไร ไอ้นี่มันเป็นพี่น้องตระกูลข้าว พี่ข้าวฟ่างกับน้องข้าวโพด ผมรู้ทีแรกนะ ฮาก๊ากเลย ฟังชื่อนี่ดูเป็นพี่น้องที่มุ้งมิ้งสุดๆ แต่ตัวจริงนะเจ้อย่าให้พูด”ผมเดินเลี่ยงจากทั้งสองคนออกมาปล่อยให้ไอ้ต้าร์สาธยายชีวประวัติของผมในส่วนที่เจ้โอ๋เค้ายังไม่รู้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความแจ้งเตือนที่ส่งมาจากคนที่ผมเรียกว่าน้องชาย

“อยากเจอพี่ฟ่างแล้ว ปีนี้โพดมีเรื่องสำคัญจะบอกด้วย”

ผมกดอ่านแล้วก็ปิดหน้าจอไว้เหมือนเดิมโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป รอบนี้ผมน่าจะต้องเว้นเวลาสัก 5 ชั่วโมงแล้วค่อยตอบ มันอาจฟังดูเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ของเราสองคนที่เหมือนหากคนนึงปล่อยให้อีกคนรอข้อความนานเท่าไหร่ อีกคนที่จะตอบกลับจะต้องทิ้งระยะเวลาให้มากกว่า อย่างครั้งก่อนกว่าเค้าจะตอบกลับผมก็ 4 ชั่วโมงกว่า ครั้งนี้ผมเลยต้องทิ้งไว้สัก 5 ชั่วโมง เรื่องนี้อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ข้อตกลงหรอกนะครับ และไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กัน แต่มันเกิดขึ้นเพราะความน้อยใจของผมนี่แหละ ที่โดนเค้าปล่อยให้รอข้อความนานๆ และพอเค้าเริ่มรู้สึกว่าผมประชด เค้าก็ดันทำกลับแบบเดียวกัน หลังๆ มันเลยเหมือนการอยากเอาชนะกันมากกว่าครับ

แม้จะไม่ได้จริงจัง แต่ต่างคนก็ต่างจะไม่ค่อยยอมแพ้กันในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เมื่อก่อนผมจะเป็นคนแพ้ ยอมตอบเค้าหรือทักเค้าก่อนเวลาตลอด แต่ช่วงหลังจะเป็นข้าวโพดที่เป็นฝ่ายแพ้ให้ผมเสียเป็นส่วนมาก เห็นชื่อเราดูเหมือนพี่น้องขนาดนี้ แต่จริงๆ ผมกับเค้าไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันหรอกนะครับ เรียกว่าคนละพ่อคนละแม่ ไม่ใช่ญาติกันเสียด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ทำธุรกิจด้วยกันมา พอข้าวโพดเกิดมา พ่อแม่เค้าอยากให้ชื่อคล้องจองกับผมเหมือนเป็นพี่น้องกัน ชื่อเราสองคนเลยออกมาเป็นแบบนี้

ข้าวโพดเด็กกว่าผม 2 ปี เราโตมาด้วยกัน เรียกว่าเป็นทั้งเพื่อน พี่ น้อง คู่กัด คือคนในครอบครัวพ่อแม่เค้าก็เหมือนพ่อแม่ผม พ่อแม่ผมก็เหมือนพ่อแม่เค้า ชีวิตวัยเด็กของผมและเค้าต่างก็มีความสุข จนกระทั่งผมอายุ ได้ 13 ปี ข้าวโพดก็อายุ 11 ปี ชีวิตของเราทั้งคู่ก็มาถึงจุดหักเห

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเศร้าวะ นี่ก็ 15 ปีได้แล้วไหมที่พ่อแม่มึงจากไป อีกอย่างกูว่าวันครบรอบที่พ่อแม่มึงเสียเนี่ย ไปทำบุญที่ไหนก็ได้ นี่มึงจะไปตอกย้ำตัวเองให้เศร้าในที่เดิมๆ ทุกปีทำไม”ไอ้ต้าร์เดินตามมาตบไหล่ผมอย่างเข้าใจว่าผมรู้สึกยังไงกับการสูญเสียในครั้งนั้น การสูญเสียที่แม้จะผ่านมานานแต่ผมก็ยังไม่ลืม

ผมรู้นะครับว่าชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า และผมเองก็ทำได้แหละ เพียงแต่ใน 1 ปีผมก็เลือกที่จะให้เวลาในการรำลึกถึงคนที่จากไป แม้จะมีคนมองว่าการกระทำของผมมันดูไม่มีความจำเป็น แต่ผมไม่สนหรอกนี่มันชีวิตผม ผมอยากจะทำอะไรผมก็จะทำ อีกอย่างที่ผมยังเลือกไปในที่เดิมๆ ซ้ำๆ ก็เพราะจะได้เจอกับเค้า น้องชายที่ผมยังรู้สึกว่าเค้าเป็นคนสุดท้ายในครอบครัวผม

น้องชายที่ผมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าจริงๆ แล้วในตอนนี้ความรู้สึกของผมต่อเค้ามันเป็นแบบไหนกันแน่ เราอาจได้เจอกันแค่ปีละครั้งแต่ในระหว่างปีก็มีส่งข่าวคราวกันตลอด แม้บางช่วงจะหายไปเป็นเดือน ยิ่งเมื่อก่อนการสื่อสารยังไม่สะดวกเท่าทุกวันนี้ บางครั้งผมก็แทบไม่ได้รับข่าวคราวของเค้าเลย ส่วนตอนนี้แม้เทคโนโลยีจะดีขึ้นเยอะมาก แต่เค้ากลับยิ่งไกลจากผมออกไปอีก ข้าวโพดในวัย 26 ปีตอนนี้กำลังเรียนระดับปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ผมก็ได้แต่หวังว่าข่าวดีที่เค้าจะบอกกับผม มันคือการที่เค้ากำลังจะเรียนจบและย้ายกลับมาอยู่ที่ไทย เราทั้งคู่จะได้เจอกันบ่อยขึ้น และผมอาจได้คำตอบในความรู้สึกของตัวเองที่ชัดขึ้น

“ไปดื่มกันสักนิดไหม ไม่เกิน 4-5 ทุ่มมึงค่อยกลับไปพักผ่อน”ผมหันไปถามเพื่อน โดยเปลี่ยนเรื่องไม่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการจะไปภูเก็ตของผมอีก เราสองคนตัดสินใจที่จะไปลานเบียร์ที่ห้างสรรพสินค้า ตามแนวรถไฟฟ้านี่แหละครับ เพราะจากที่ทำงานเราสามารถนั่งรถไฟฟ้าไปได้เลย ตอนกลับผมเองก็สะดวกตรงที่นั่งรถไฟฟ้ากลับได้เลย ส่วนไอ้ตาร์ก็นั่งรถไฟฟ้าสุดสายไปต่อแทกซี่อีกนิดหน่อย

บรรยากาศยามค่ำคืนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ ไฟหลากสีสันถูกประดับประดาไปแทบทุกที่ ผู้คนก็ดูออกมาสังสรรค์ หรือเลือกซื้อของขวัญปีใหม่ให้คนสำคัญกันอย่างคึกคัก ลานเบียร์ก็เริ่มผู้คนหนาตาแล้วเช่นกันแม้เพิ่งจะหัวค่ำก็ตามที

“ปีนี้ลืมของขวัญให้กุ้งอีกป่ะเนี่ยมึง”หลังจากเลือกที่นั่ง สั่งเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มบทสนทนาด้วยการเอ่ยแซวเพื่อน ก็เมื่อปีก่อนไอ้ต้าร์ดันลืมซื้อของขวัญให้แฟนครับ โดนงอนอยู่เกือบ 2 อาทิตย์

“เรียบร้อยละคร๊าบ ปีนี้ไม่มีพลาด ว่าแต่เป็นมึงก็ดีนะ แฟนก็ไม่มี ไม่ต้องยุ่งยากดูแลเอาใจใส่ใคร ไม่ต้องลำบากซื้อของขวัญให้ทุกเทศกาล อยากไปไหนก็ไป”

“แต่บางทีก็เหงานะมึง”ผมตอบออกไปอย่างไม่ได้จริงจังหนัก ความจริงบางทีมันก็เหงาแหละครับ แต่อยู่กับเพื่อนไป ทุ่มเวลาให้งานไป หรือออกไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง มันก็พอช่วยคลายเหงาได้แหละครับ

“มึงก็หาแฟนดิวะ หน้าตามึงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ หล่อน้อยกว่ากูแค่นิดเดียวเอง”เรื่องหลงตัวเองนี่ขอให้บอกครับเพื่อนผม ผมไม่ได้ตอบอะไรไอ้ต้าร์ไปเพราะเรื่องการมีแฟนมันก็ยุผมให้มีแฟนบ่อยๆ แหละครับ ซึ่งการเงียบดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องต่อปากต่อคำกับมันได้ดีที่สุดเดี๋ยวมันก็เลิกเซ้าซี้ไปเอง

“ว่าไปตั้งแต่รู้จักมึงมาก็ไม่เคยเห็นมึงมีแฟนเลยนี่หว่า อย่าบอกนะว่านี่มึงอยู่มาจนอายุ 28 แล้วแต่ยังเวอร์จิ้นอยู่”คำถามของไอ้เพื่อนตัวดีเกือบทำเอาผมสำลักเบียร์ ก็มันเล่นพูดเสียงดังจนโต๊ะข้างๆ หันมามองผมยิ้มๆ

“กูแค่ไม่มีแฟน ไม่ได้ถือพรมจรรย์สักหน่อยจะได้ยังซิงอยู่”ผมปรับอาการให้ดูไม่สะทกสะท้านกับคำถามของมัน แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจ แม้ที่จริงผมอาจจะไม่ได้ช่ำชองเรื่องอะไรพวกนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็คนธรรมดามันก็ต้องมีความต้องการเป็นเรื่องปกติ ผมเองก็ต้องมีทางให้ระบายออกบ้าง แต่ในรายละเอียดผมคงไม่พูดถึงแล้วกันนะครับ

“มึงนี่มันแรดกว่าที่กูคิดอีกนะไอ้ฟ่าง”ผมไม่เคยพูดตรงๆ กับมันหรอกนะครับว่าผมมีรสนิยมทางเพศแบบไหน แต่ผมว่ามันก็คงพอจะเดาได้แหละ เพราะผมเองกะไม่เคยสนใจผู้หญิงที่ไหนอยู่แล้ว จะว่าไปผู้ชายเองผมก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษอีกนั่นแหละครับ จะมีก็แต่

“ข้าวโพด”ผมพึมพำกับตัวเองหลังจากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ผมอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร เราแทบจะไม่โทรหากันเลยมีแต่ทิ้งข้อความไว้ให้ แล้วรออีกฝ่ายตอบกลับ

“มีอะไรด่วนหรือเปล่าโพด”ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ เจือด้วยความกังวลนิดหน่อย จริงๆ สมองก็เริ่มคิดไปแล้วว่าหรือเค้าจะมาไม่ได้แล้ว หรือจะยกเลิกการไปเจอผมในปีนี้

“ทำไมพี่ฟ่างไม่ตอบไลน์ผมสักที นี่ผมถามกลับไปอีกตั้งหลายคำถามละ ใจคอจะรอให้ครบ 5 ชั่วโมงจริงๆ เหรอ ครั้งก่อนผมก็ขอโทษไปแล้วนิที่ตอบช้า แล้วไอ้การแข่งกันตอบช้าเนี่ยผมว่าเราเลิกเหอะ ผมบอกแล้วไงว่าบางทีทำนู่นนี่นั่นอยู่ มันไม่ได้ดูมือถือ โอเคแต่ก่อนผมอาจจะอยากเอาชนะพี่บ้าง แต่ตอนนี้ผมว่ามันไม่สนุกแล้ว เราจะไม่ทำแบบนี้กันอีกโอเคไหมครับ”มาเป็นชุดเสียจนผมจับประเด็นแทบไม่ทัน นี่คงเป็นครั้งแรกที่เค้าพูดตรงๆ เรื่องการตอบข้อความนี่ แต่ก็ไม่เห็นต้องทำเหมือนไม่พอใจขนาดนี้นี่นา

“มีอะไรด่วนหรือเปล่า พอดีพี่คุยกับไอ้ต้าร์อยู่ เลยไม่ได้ดูมือถือ”ผมตอบออกไปตามตรง แต่กะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าถ้ามีอะไรสำคัญ เราก็ใช้วิธีโทรหากันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องว่าที่ผมไม่ตอบไลน์เลยนี่นา

“พรุ่งนี้พี่อย่าเพิ่งไปภูเก็ตเลย ค่อยบินไปพร้อมผมวันมะรืน ผมจองตั๋วใหม่ให้พี่แล้วด้วย”ผมรีบแย้ง ว่าทุกปีเราทั้งคู่ก็ต่างคนต่างไปนานแล้วนิ มีแค่ตอนยังเรียนอยู่ช่วงแรกๆ ที่ไปเท่านั้นเองที่เราต้องเดินทางพร้อมกัน อีกอย่างเสียดายค่าตั๋วเครื่องบินด้วยครับ ไม่อยากทิ้งตั๋ว จะว่างกก็ได้ครับ

“พี่อย่ามาบ่ายเบี่ยงเลย ตั๋วผมแพงกว่าของพี่อีก เป็นอันตกลงตามนี้นะครับ”แล้วผมก็ไม่สามารถปฏิเสธเค้าได้ ว่าแต่ที่ลงทุนโทรข้ามประเทศมานี่เพื่อบอกผมแค่นี้เองงั้นเหรอ พอถามกลับก็ได้คำตอบว่ากลัวผมไม่เปิดอ่านข้อความแล้วบินไปก่อน ปีนี้เค้าอยากจะไปพร้อมกันกับผม พอคุยเรื่องการเดินทางจบ ก็มาบ่นเรื่องการดื่มของผมอีกเช่นเคย เค้าไม่ค่อยชอบที่ผมดื่มสักเท่าไหร่ครับ ชอบดุผมว่าดื่มเยอะไปจนจะเสียสุขภาพ ไม่รู้ว่านี่ใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่นะครับเนี่ย

“โพดจะคุยด้วย”หลังบ่นผมจนพอใจนี่จะขอบ่นเพื่อนผมต่อด้วยครับ ไอ้ต้าร์รับมือถือผมไปอย่างเหนื่อยหน่าย

“มึงหยุดไอ้โพด พี่มึงแหละเป็นคนชวนกูดื่ม มึงบ่นพี่ข้าวฟ่างของมึงคนเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างมึงรู้หรือเปล่า พี่ฟ่างของมึงนอกจากจะขี้เหล้าแล้ว ยังแอบแรดด้วย”ผมรีบเอื้อมมือจะไปแย่งมือถือคืนจากไอ้ต้าร์ ก่อนที่มันจะพูดอะไรมากไปกว่านี้

“กูหลงเข้าใจว่ามันยังซิงอยู่ตั้งนาน ที่ไหนได้ไปแอบแรดไม่บอกใครเลย”รอบแรกผมแย่งพลาด แต่ครั้งนี้ผมไม่พลาดครับแย่งมือถือมาจากไอ้ต้าร์ได้สำเร็จ พร้อมชี้คาดโทษมันไว้ ผมรีบบอกกับข้าวโพดว่าตกลงที่จะนั่งเครื่องไปภูเก็ตพร้อมเค้า ก่อนจะกดวางสายไป ตามด้วยการถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วนี่ผมโล่งอกทำไมเนี่ย

“พี่ฟ่างมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่เห็นเคยบอกโพดเลยละครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บมือถือ ข้อความบนหน้าจอก็เด้งขึ้นมาให้เห็น






TBC

สวัสดีคร๊าบบ

แวะมาแปะเรื่องใหม่อีก 1 เรื่อง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแยก ออกมาจาก

High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0

จะว่าเรื่องนี้แยกออกมาก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะ จริงๆ เรื่องนี้แต่งก่อน

แต่คิดชื่อเรื่องไม่ออก เลยเอามาลงทีหลัง และสองเรื่อง แม้จะมีเนื้อหาแยกกันชัดเจน

ก็จะยังมีส่วนคาบเกี่ยวกันนิดหน่อย ยังไงถ้าใครเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ ก็ฝากอีกเรื่องไว้ด้วยนะครับ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2017 12:14:19 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: Grain Brothers พี่น้อง 2 ข้าว บทนำ 30-06-17
«ตอบ #2 เมื่อ30-06-2017 19:48:20 »

บทที่ 1
พี่ฟ่างของโพด



ลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าผม เบา เบา จนผมต้องกระชับเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น พร้อมทั้งขยับหมวกไหมพรมให้ปิดใบหูป้องกันความเย็นอีกด้วย วันนี้ผมอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะหมั่นไส้น้องชายตัวแสบที่มาอวดผมว่าวันเกิดเค้ามีคนมาอวยพรเยอะกว่า ก็นี่ครอบครัวเรามาพักผ่อนต่างจังหวัดพร้อมกันแล้วดันตรงกับวันเกิดครบ 3 ขวบของเค้า มันก็ต้องคนเยอะกว่าสิ ส่วนตอนวันเกิดผมพ่อก็ติดงาน ครอบครัวของโพดเองก็ติดธุระ ผมเลยได้เป่าเค้กกับคุณแม่แล้วก็พี่เลี้ยงอีกคนแค่นั้นเอง

“ฟ่างมานั่งนี่สิลูก จะไปนั่งคนเดียวทำไม”แม่ผมตะโกนเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะรวมกับคนอื่นๆ พ่อแม่ของทั้งผมและข้าวโพดกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับปิ้งย่างอาหารต่างๆ ไปด้วย แถมพ่อผมก็เริ่มพูดเสียงดังเพราะดื่มไอ้น้ำเหลืองๆ นั่นเข้าไปอีก ผมเคยลองชิมไม่เห็นมันจะอร่อยเลยขมก็ขม ไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน

“น้องโพดเอาเค้กไปแบ่งพี่ฟ่างเค้าหน่อยไป สงสัยจะงอนที่น้องโพดไม่แบ่งเค้กให้”แม่ผมหันไปเรียกน้องชายตัวแสบที่กำลังนั่งเล่นรถคันจิ๋ว จับไถไปไถมาบนโต๊ะ พอถูกเรียกก็หยุดหันไปหยิบจานเค้กที่แม่เค้าตัดแบ่งไว้ให้ เจ้าตัวแสบเดินถือจานเค้กตรงมาทางผมพร้อมยิ้มกว้าง ไอ้เปี๊ยกเอ้ยไม่ต้องมายิ้มเลย ยิ่งเห็นไอ้ตัวแสบยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด นี่ตั้งแต่มีเจ้าเด็กนี่ทุกคนก็ไม่ค่อยจะโอ๋ผมเหมือนแต่ก่อน มีอะไรก็โอ๋เด็กนี่ก่อนตลอด

“พี่ฟ่างจินเค้ก”ดูเอาเถอะ พูดยังไม่ชัดเลย อายุครบ 3 ขวบแล้วยังดูตัวนิดเดียวอยู่เลย เด็กน้อยเอ้ย

“ไม่กิน”ผมบอกพร้อมหันหลังให้ ทำเป็นมาอวดเค้กก้อนใหญ่กว่าละสิ

“จินเค้กสิ พี่ฟ่างจินเค้ก แม่บอกให้โพดมีน้ำใจ โพดแบ่งให้ มาจินเค้กกัน”บอกว่าไม่กินก็ยังจะมาเซ้าซี้อีกไอ้เด็กนี่ ผมเอื้อมมือออกไปผลักจานเค้กนั้นอย่างหงุดหงิด

“บอกว่า ไม่กินก็ไม่กินไง”ผมลุกขึ้นผลักข้าวโพดอีกครั้ง คราวนี้คงจะแรงไปหน่อยเพราะทั้งเจ้าตัวแสบและจานเค้กต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ผมตกใจนิดหน่อยที่ทำน้องล้ม และทำท่าจะร้อง แต่ช่วยไม่ได้อยากมาอวด อยากมากวนผมก่อนทำไม จากทีแรกจะช่วยดึงน้องลุกแต่ผมเปลี่ยนใจยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม ส่วนเจ้าตัวแสบพอเห็นว่าผมไม่ช่วยก็ลุกวิ่งไปหาแม่

“พี่ฟ่างไม่รักโพดแล้ว พี่ฟ่างผลักโพด ฮือๆ”ผมเดินตามเข้าไปเงียบๆ ไอ้รู้สึกผิดก็รู้สึกอยู่นะครับ แต่เรื่องอะไรผมต้องโอ๋เจ้าเด็กนี่อีกคนละ นี่ทั้งแม่ผมแม่เค้าก็ช่วยกันโอ๋เค้าจะแย่แล้วครับ

“ฟ่างแกล้งน้องทำไมลูก มาขอโทษน้องเดี๋ยวนี้เลย”แม่ผมเดินเข้ามาจับมือผมจะให้เดินไปหาเด็กแสบที่ยังร้องไห้อยู่เหมือนเจ็บนักหนา เท่าที่เห็นก็แค่ล้มลงนิดเดียว แผลก็ไม่ได้มีจะสำออยอะไรนักหนา

“ฟ่างไม่ได้แกล้ง โพดนั่นแหละมากวนฟ่างก่อน”ผมเริ่มเสียงแข็งเพราะรู้สึกน้อยใจนิดๆ แล้วที่ใครๆ ก็โอ๋น้องแต่ไม่สนใจผมเลย

“แต่ฟ่างเป็นพี่นะ แม่บอกแล้วไงว่าให้รักกัน มีกันอยู่ 2 คนพี่น้องจะมาทะเลาะกันทำไม ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”จากทีแรกแค่น้อยใจนิดหน่อยแต่ตอนนี้น้ำตาผมมันเริ่มปริ่มขึ้นมาแล้ว ทำไมแม่ต้องเข้าข้างน้องมากกว่าผมด้วย ความน้อยใจทำให้ผมไม่สนใจสิ่งที่แม่พูด ผมวิ่งจากสนามเข้าห้องนอนปิดประตูทันที

“ฟ่างทำไมนิสัยเสียแบบนี้ ออกมาเลยนะ ไม่งั้นแม่ตีจริงๆ ด้วย”แม่ตามมาเคาะประตูพร้อมดุผม นี่แม่จะตีผมเลยเหรอ ตั้งแต่จำความได้ ผมยังไม่เคยโดนแม่ตีเลยสักครั้งแต่นี่แม่ถึงกับจะตีผมเลยเหรอ

“แม่ใจร้าย แม่ไม่รักฟ่างแล้ว ฟ่างไม่อยากคุยกับแม่”ผมตะโกนออกไปพร้อมเสียงสะอื้น ผมดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเอามืออุดหู ไม่อยากฟังเสียงใครอีก ทำไมทุกคนต้องไปรุมรักน้องกันหมดด้วย ผมร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่น้ำตาผมมันแห้งหมดแล้ว และตอนนี้ผมก็เริ่มหิวแล้วเสียด้วยสิ ผมแอบเปิดม่านดูฟ้าก็มืดแล้ว นี่ตกลงจะไม่มีใครมาง้อผมจริงๆ เหรอเนี่ย ด้วยความหิวทำให้ผมต้องยอมลุกจากเตียง เอาวะ แค่เดินออกไปหาของกินแต่ผมจะไม่พูดกับใคร

“พี่ฟ่าง เย้พี่ฟ่างมาแล้ว”แต่ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา เจ้าเด็กแสบที่นั่งอยู่โซฟากับแม่ของเค้าก็วิ่งมาหาผมอย่างหน้าระรื่น แล้วที่มันร้องไห้ก่อนผมจะเข้าห้องตะกี้ มันหายแล้วรึไงเนี่ย

“มากินหมึกย่างกันเร็ว นี่น้องโพดเค้าไม่ยอมกินเลยนะ บอกของโปรดพี่ฟ่างจะรอกินพร้อมกัน”แม่ของข้าวโพดเรียกผมพร้อมชูจานหมึกย่างที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำวางมาจนพูนจาน กลิ่นน้ำจิ้มซีฟู้ดลอยมาเตะจมูกจนผมต้องก้าวขาไปตามคำเรียก ยังไงก็กินก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“พี่ฟ่างจินหมึกกัน จินหมึก จินหมึก”ไอ้ตัวแสบเดินมาดึงมือผมพร้อมผงกหัว ดุกดิกๆ นำทางไปนั่งที่ ไม่นานนักหมึกย่างบนจานก็พร่องไปเยอะเลย พร้อมกับที่แม่เปิ้ล หรือแม่ของข้าวโพดนั่นแหละครับ ต้องสูดปากเพราะความเผ็ด ทำไมนะเหรอครับ ก็ผมกับเจ้าเด็กแสบนี่สิครับ ให้แม่เปิ้ลเอาหมึกย่างจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดก่อน แล้วค่อยจุ๊บเอาความเผ็ดออกค่อยส่งต่อให้เราทั้งคู่

“ว่าไงพ่อตัวดี หายงอนแล้วใช่ไหม”แม่ผมเดินเข้ามาจากด้านนอก มานั่งลงข้างๆ ผม ผมแกล้งทำหน้างอเพราะอยากให้แม่ง้ออีกหน่อย

“พี่ฟ่างออกมาแล้ว พี่ฟ่างเป็นเด็กดี ไม่ใช่เด็กดื้อแล้วฮ่ะแม่ขวัญ โพดไม่โกรธพี่ฟ่างแล้ว”แหม๋ไอ้เด็กแสบ ทำยังกะตัวเองมีสิทธิ์อะไรจะมาโกรธผม

“แม่ขวัญว่าพี่ฟ่างต้องขอโทษ น้องโพดก่อนนะ ถึงจะเป็นเด็กดีแล้วก็ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำร้ายน้องอีก”ผมทำหน้างอกว่าเดิม นี่แม่จะให้ผมขอโทษเด็กนี่จริงๆ เหรอนี่ ถึงผมเริ่มจะรู้สึกตัวว่าทำผิดแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เด็กนี่ได้ใจนี่นา ผมยังนั่งนิ่งแต่สายตาดุๆ ของแม่ผมที่มองมาทำให้ผมต้องหันไปหาเด็กแสบ

“พี่ฟ่างขอโทษที่ผลักน้องโพดล้ม แล้วก็สัญญาว่าจะไม่ทำอีกนะครับ แต่น้องโพดก็ห้ามมาอวดว่าได้เค้กวันเกิดก้อนใหญ่กว่า มีคนอวยพรวันเกิดให้มากกว่าด้วย แม่ก็ห้ามรักโพดมากกว่าฟ่างด้วย”พอผมพูดจบบรรดาแม่ๆ ของเราทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาเสียดังเลย นี่มันน่าขำตรงไหนกัน ผมซีเรียสนะเนี่ย

“สรุปว่านี่โกรธที่น้องอวดวันเกิด โอ้ยฟ่างเอ้ย เอางี้ไหมไหนๆ ก็เกิดเดือนเดียวกันทั้งคู่ห่างกันไม่กี่วัน ปีต่อๆ ไปมาเป่าเค้กพร้อมกันไหม แล้วถ้าวันไหนแม่ขวัญรักโพดมากกว่าฟ่าง แม่เปิ้ลจะรักฟ่างมากกว่าโพดเอง จะได้รักเท่าๆ กันดีไหม”แม่เปิ้ลบอกพร้อมเอื้อมมือ มาหยิกแก้มผม แต่ได้ฟังแบบนี้ผมก็อุ่นใจแล้วครับ

“รักกัน หอมแจ้มกัน พี่ฟ่างหอมแจ้ม”และไม่ทันตั้งตัวไอ้ตัวแสบก็พุ่งมาจุ๊บแก้มผมซ้ายทีขวาที แล้วไอ้เปียกๆ ติดแก้มผมนี่มันน้ำลายหรือน้ำมูกละเนี่ย ผมรีบวิ่งหาทิชชู่แทบไม่ทันเลยครับ แต่เจ้าตัวแสบก็ยังวิ่งตามมาจะจุ๊บผมเพิ่มอีก พอผม น้อง และแม่ๆ เข้าใจกันแล้ว บรรยากาศอบอุ่นเหมือนเดิมก็กลับมาครับ

เวลาผ่านมาจนผมกับน้องเริ่มง่วง เราสองคนก็ถูกพามาส่งที่ห้องนอน ส่วนผู้ใหญ่ก็ยังอยู่ข้างนอกกันต่อ ผมต้องนอนห้องเดียวกับข้าวโพดเพราะบ้านพักที่เรามาพักวันนี้มี 3 ห้องนอน ก็เหมือนทุกๆ ครั้ง ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มพูดคุยรู้เรื่องเวลามาพักต่างจังหวัดแบบนี้เราทั้งคู่ก็จะถูกจัดให้นอนด้วยกันแบบนี้เสมอ

“พี่ฟ่างหลับยังฮ่ะ”น้องชายตัวแสบของผมขยับเข้ามาชิดผม อันที่จริงการมีข้าวโพดเพิ่มเข้ามาก็ทำให้ชีวิตผมมีอะไรให้สนุกเพิ่มขึ้นนะครับ ตอนเด็กๆ ที่ยังไม่มีข้าวโพดผมก็ไม่รู้จะเล่นกับใคร พอมีเจ้าตัวแสบนี่มาก็สนุกดีเหมือนกันครับ

“นอนกันเถอะพี่ฟ่างง่วงแล้วครับ”ผมบอกพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างน้องชายตัวน้อย

“พี่ฟ่างอย่าโกรธโพดอีกนะฮ่ะ ต่อไปโพดจะมีเค้กก้อนเล็กกว่า จะให้แม่รักพี่ฟ่างมากกว่าด้วย แล้วก็ตอนนี้โพดให้พี่ฟ่างตัวโตกว่า ตัวสูงกว่า แต่วันนึงถ้าโพดโตทันพี่ฟ่าง แล้วตัวสูงกว่า พี่ฟ่างต้องสัญญาว่าจะไม่โกรธโพดนะฮ่ะ สัญญาสิฮ่ะ สัญญา สัญญา”ไอ้แสบเอ้ยจะหลับอยู่แล้วยังจะมาขอให้สัญญาอะไรอีก และจากนั้นไม่นานเจ้าเด็กแสบของผมก็โตทันผมจนได้ แถมยิ่งโตยิ่งแซงผมไปไกล

ยิ่งตอนนี้ที่กำลังเดินออกมาจากประตูโบกมือให้ผมนั่น ผมคงเรียกเค้าว่าเด็กแสบไม่ได้อีกแล้ว นี่เค้าดูเปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเยอะเหมือนกันนะครับนี่ ปกติให้ส่งรูปให้ดูก็ไม่ค่อยย่อมส่ง แล้วดูสภาพที่เห็น มองผ่านๆ นี่ผมเกือบจำไม่ได้ ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราก็ไม่โกนนี่ไปเรียนปริญญาโท หรือไปอยู่ในป่าเขามากันแน่เนี่ย

“คิดถึงพี่ข้าวฟ่างของโพดที่สุดเลย”ทันทีที่เดินมาถึงผม เค้าก็วางกระเป๋า ตรงเข้ามากอดผมเสียแน่น ก็เข้าใจนะครับว่าเราก็ทักทายกันแบบนี้แต่ไหนแต่ไร ทว่าตอนนี้ก็โตกันขนาดนี้แล้วอีกอย่างหลังจากกอดแล้วจะให้หอมแก้มด้วยเหมือนแต่ก่อนก็ดูจะไม่เหมาะแล้วมั้งครับกับในที่สาธารณะแบบนี้ หลังจากกอดผมแน่นจนคงหนำใจแล้ว เค้าก็ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก ผมเงยหน้ามองเค้า นี่ไอ้เด็กแสบตัวเล็กๆ ของผมในวันนั้นมันโตจนผมต้องแหงนหน้าคุยแล้วเหรอนี่ ในขณะที่ผมกำลังมองหน้าเค้าอยู่ๆ เค้าก็ก้มลงมาประทับริมฝีปากที่หน้าผากของผม ผมรีบขืนตัวออก เพราะรู้สึกแปลกๆ แต่ด้วยความที่สู้แรงเค้าไม่ได้เลยกลายเป็นว่าต้องปล่อยให้เค้ามาจุ๊บเหม่งผมกลางสนามบินแบบนี้

“พอแล้ว ทำอะไรเนี่ยอายคนอื่นเค้าบ้าง คนมองกันเต็มแล้วเนี่ย”ผมตีแขนเค้าเบาๆ แล้วรีบถอยออกห่างทันทีที่เค้าปล่อยผม แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะอย่างไม่สนใจในคำพูดของผมเลย ก็ไอ้ที่เค้าชอบเล่นแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ผมต้องทำตัวลำบาก เราถูกเลี้ยงมาด้วยกันแบบพี่น้อง ผมไม่ควรรู้สึกอะไรกับเค้ามากไปกว่านี้

“ไหนใครกันนา บอกว่าจะไม่มารับโพดที่สนามบิน”เค้ายังลอยหน้าลอยตาพูดโดยไม่สนใจกับที่ผมว่าไป แถมยังมาทำท่ากวนประสาทใส่ผมนี่อีก

“ก็แค่ว่างไม่มีไรทำ ป่ะรีบไปดิจะได้นอนพักสักหน่อย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งกี่ชั่วโมงยังจะมามัวเล่นอยู่ได้”ผมพูดพร้อมช่วยลากกระเป๋าเค้า 1 ใบว่าแต่ทำไมรอบนี้เค้าเอากระเป๋ามาเยอะขนาดนี้ ขนอะไรมาบ้างเนี่ย แต่นี่คงไม่ใช่เวลาจะมัวมาถาม ผมเดินนำเค้าไปยังอาคารจอดรถ

“ผมขับไหมพี่”เค้ายื่นมือมาขอกุญแจจากผมหลังจากเก็บกระเป๋าใส่หลังรถเรียบร้อย แต่ใครจะไปยอมให้เค้าขับกันละครับ เดินทางมาเหนื่อยขนาดนี้ ผมต้องทำเสียงดุไปนิดหน่อยถึงยอมขึ้นนั่งในรถฝั่งผู้โดยสารแต่โดยดีครับ นี่ถ้ารู้ว่าจะลีลาขนาดนี้ให้นั่งแทกซี่ไปเองเสียยังจะดีกว่า ไอ้เราก็อุตส่าว่ามารับเนี่ยไม่อยากให้เหนื่อย เพราะถ้าให้ไปแทกซี่ก็ต้องรอคิวนานอีก อยากให้เค้าได้พักเยอะๆ แหละครับ

“เพลียก็หลับไปเลยนะ เดี๋ยวถึงพี่ปลุกเอง”ผมหันไปบอกคนที่เอนเบาะนอนแต่ยัง ยิ้มมองผมตาแป๋ว นี่บางทีผมก็ไม่เข้าใจเค้านะครับ บางครั้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยไปกว่าผมอีก แต่บางทีก็ทำตัวเหมือนเด็กๆ ขี้อ้อนบ้างล่ะ ขี้แกล้งก็ด้วยครับ

“ไม่หลับหรอก อยากมองพี่ฟ่างนานๆ ไม่เจอกันตั้งนานขอโพดมองหน้าพี่ฟ่างให้หายคิดถึงหน่อยนะครับ”แม้จะรู้สึกดีที่เค้าพูดแบบนั้นแต่ผมเองก็ส่ายหน้าพร้อมทำเป็นยิ้มหน่ายๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองไว้ครับ เราเป็นพี่น้องกันผมจะรู้สึกอะไรกับเค้ามากไปกว่านี้ไม่ได้ผมย้ำกับตัวเองอีกครั้ง

“ทำเป็นพูดดีไป ทีบอกให้วิดีโอคอล บอกให้เฟสไทม์ ไม่เห็นยอมทำสักที”ผมบ่นลอยๆ โดยไม่ได้หันไปมองเค้า สายตาผมมองตรงไปตามถนนที่อยู่ตรงหน้า นี่ผมจะห้ามความรู้สึกของตัวเองไว้ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ

“ก็นั่นมันไม่ใช่ของจริง ผมอยากมองพี่ฟ่างของผมตัวเป็นๆ แบบนี้มากกว่า”ผมอดที่จะยิ้มกับคำพูดของเค้าไม่ได้ คำพูดที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ข้าวโพดก็ยังเป็นข้าวโพด เค้าเหมือนจะยอมอ่อนข้อให้ผมในหลายๆ เรื่อง แต่บางทีก็ยังแอบเอาแต่ใจเสมอ คงเพราะเราต่างคนต่างเป็นลูกคนเดียว เลยเอาแต่ใจด้วยกันทั้งคู่ ตอนเด็กๆ แม้แม่จะสอนให้ผมเสียสละให้น้อง นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมยอมเสียทุกครั้งหรอกครับ ส่วนพ่อน้องชายนี่บางทีก็ทำเท่ห์ อยากเสียสละยอมแพ้ผม ซึ่งสุดท้ายก็มาอยากเอาชนะผมอยู่ดี เรียกว่าเด็กๆ เราต่างดื้อเงียบด้วยกันทั้งคู่

“แล้วที่บอกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่ นี่เรื่องอะไรเหรอ”เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ พอผมหันไปมองก็เห็นเค้าหลับไปแล้ว นี่คงเพลียมากสินะ ผมพยายามขับรถให้นิ่มที่สุดเพราะอยากให้เค้าได้หลับสบายที่สุด แม้ระยะทางจากสนามบินไปคอนโดผมจะไม่นานนักแต่ก็ช่วยเค้าได้พักบ้างก็ดีแล้วครับ ผมเรื่อยมาจนถึงที่หมาย พ่อน้องชายคนเก่งของผมยังนอนนิ่งหายใจอย่างสม่ำเสมอ เค้าหลับตาพริ้มยิ้มอย่างมีความสุข จนผมรู้สึกไม่อยากปลุกเค้า

“โพด ถึงแล้ว”ผมตบเบาๆ ที่แก้มของเค้า อยากให้เค้าได้ขึ้นไปนอนบนเตียง สบายๆ เสียมากกว่า เค้างัวเงียตื่นขึ้นมาสะบัดหัว ก่อนจะรีบลุกออกไปหยิบกระเป๋าอย่างรวดเร็วจนผมตกใจ นี่เค้าตื่นแล้วหรือแค่ละเมอละเนี่ย สงสัยยังตื่นไม่เต็มตานี่ถ้าถึงเตียงนอนคงหลับยาวสินะ ไม่เป็นไรให้เค้าได้พักยาวๆ แหละ กว่าจะถึงเวลาไปภูเก็ตก็ยังมีเเวลาเหลือเฟือ

“ทำไม ไม่ให้โพดนอนห้องเดียวกับพี่ฟ่างละครับปกติเราก็นอนด้วยกันนี่นา”นี่เค้าคิดว่าตัวเองทำท่าอ้อนๆ นี่แล้วน่ารักหรือไงเนี่ย ตัวโตยังกะตู้เย็นแถมหนวดเคราเฟิ้มผมเผ้ารุงรัง มันเข้ากันที่ไหนกับไอ้ท่าทางตะกี้

“โตป่านนี้แล้วจะมานอนเบียดพี่ทำไมกัน อย่ามาทำงอแงเป็นเด็กๆ นะโพดรีบนอนพักเลย”ผมเริ่มเสียงเข้มแต่มีเหรอครับว่าคนอย่างข้าวโพดจะยอมแพ้ผมง่ายๆ เค้าวางข้าวของทุกอย่างในห้องนอนแขก ก่อนจะทำทีเดินมาเข้าห้องน้ำ ก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูห้องนอนผม

“นี่ไง เตียงพี่ฟ่างก็ออกจะกว้าง ให้โพดนอนนี่นะ นะฮ่ะพี่ฟ่างคนดี”พอรู้ว่าพูดแบบนี้กับผมแล้วผมใจอ่อนนี่ชักจะนะฮ่ะกับผมบ่อยเกินไปแล้ว แต่คราวนี้ผมต้องใจแข็งสักหน่อยแล้ว ผมยืนยันว่ายังไงเค้าก็ต้องไปนอนที่อีกห้อง นี่ถ้ารู้ว่าการรอไปภูเก็ตพร้อมเค้าแล้วมันจะเรื่องเยอะขนาดนี้ ผมไปก่อนเหมือนทุกปีแล้วเจอกับเค้าที่โน่นน่าจะดีกว่าอีก

“ถ้าไม่ให้โพดนอนห้องนี้ วันนี้โพดก็จะไม่นอน จะนั่งให้ตัวเองเจ็ทแลคมันทั้งคืนอยู่ตรงนี้แหละ”สรุปว่าถ้าผมไม่ยอมแพ้วันนี้เค้าก็จะพยายามเอาชนะผมอีกให้จนได้สินะ นี่ถ้าไม่อยากให้เค้าพักผ่อนผมจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่นอน แต่นี่อยากให้ร่างกายเค้าได้ปรับสภาพกับการข้ามเขตเวลามาขนาดนี้ ผมจำต้องพยักหน้ายอมให้เค้าเดินเข้าห้องนอนของผมไป

“พี่ฟ่างก็มานอนด้วยกันสิครับ”เดี๋ยวนะครับ แล้วทำไมผมต้องนอนด้วย นี่ผมเพิ่งตื่นตอนจะไปรับเค้านี่เองตอนนี้ไม่ได้ง่วงสักนิด

“มาเร็วสิฮ่ะ พี่ฟ่างโพดง่วงแล้ว”จะเล่นแบบนี้จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย เอาแบบนี้ก็ได้แค่ผมยอมๆ ไปให้เค้าหลับก็จบใช่ไหม เห็นแก่ที่อยากให้เค้าพักผ่อนนะเนี่ย เค้าตบเตียงเบาๆ บริเวณข้างตัวเค้าส่งสัญญานให้ผมรีบนอนลงข้างเค้า ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับความเอาแต่ใจของเค้า

“มาเป็นหมอนข้างให้โพดหายคิดถึงเสียดีๆ”ทันทีที่ผมล้มตัวลงข้างๆ เค้า เค้าก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดเหมือนแต่ก่อนไม่เปลี่ยนเลยสินะ แล้วนี่แค่เดี๋ยวเดียว เค้าก็เริ่มหายใจเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ดูเอาเถอะครับ เพลียขนาดหลับไปง่ายๆ แบบนี้ยังจะอยากเอาชนะผมด้วยการมานอนห้องนี้อีก ว่าแต่แล้วนี่ผมจะลุกออกไปยังไงกันละเนี่ย ทั้งแขนทั้งขารัดผมไว้แน่นขนาดนี้ สงสัยผมต้องข่มตาหลับตามเค้าเสียละมั้งครับเนี่ย


TBC

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้องโพดของพี่ฟ่างน่ารักจัง  :impress2:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 2
ของขวัญวันเกิด




ผมนั่งทานเค้กก้อนเล็กคนเดียวเงียบๆ สายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่หลังตู้ วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุ 14 ปีของผม และดูเหมือนจะเป็นปีที่เศร้าที่สุดในชีวิตของผมแล้ว นี่คือปีแรกที่พ่อกับแม่ไม่สามารถอวยพรให้กับผมได้อีกแล้ว นี่ก็เกือบปีแล้วที่ท่านทั้งคู่ได้จากไป แม้นึกถึงทีไรผมจะอยากร้องไห้ ผมก็ต้องเข้มแข็ง ผมรู้ว่าพ่อกับแม่ที่เฝ้ามองดูผมจากบนสวรรค์ คงอยากเห็นผมเข้มแข็ง อีกอย่างผมไม่อยากเห็นยายเศร้าไปกับผมด้วย

ตั้งแต่พ่อกับแม่ผมเสียไป ผมก็ต้องมาอยู่กับยายเพียงลำพังสองคน ยายเป็นญาติตามสายเลือดเพียงคนเดียวที่ผมยังเหลืออยู่ การอยู่กับยายแค่สองคนแม้จะเหงาไปบ้าง แต่ผมก็ยังมีความสุขดี ยายรักผมและผมก็รักยายมากเช่นกัน ก็เราเหลือกันอยู่แค่สองคนนี่เนอะ

“ทานข้าวเลยไหมลูก ยายทำกับข้าวเสร็จแล้ว แล้วนี่เห็นไหม ยายบอกแล้วว่าให้ชวนเพื่อนที่โรงเรียนมาฉลองวันเกิดด้วยกันก็ไม่เชื่อ”ยายพูดไปพลางหยิบจานกับข้าวออกมาวางที่โต๊ะ ดูวันนี้จะมีกับข้าวเยอะเป็นพิเศษ ทั้งที่ผมก็บอกแล้วว่าไม่ได้ชวนใครมา ก็ยังจะทำของกินเยอะแบบนี้อีก

“ก็ฟ่าง ไม่ได้อยากฉลองกับเพื่อน ฟ่างมีแค่ยายก็พอแล้วไงครับ”ผมเดินไปกอดยายจากด้านหลัง วันนี้ผมไม่อยากให้ใครมาอวยพรมากมายเหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้ว จริงๆ มีแค่คนสำคัญๆ มันก็เพียงพอแล้ว และคนสำคัญอีกคนที่ผมเคยเป่าเค้กวันเกิดร่วมกันมาหลายปี ไม่รู้วันนี้เค้าจะลืมวันเกิดของผมหรือเปล่า ทุกปีผมแทบจะได้ยินเสียงของเค้าแต่เช้าของวันเสมอ เค้าจะต้องได้โทรมาอวยพรวันเกิดผมแต่เช้า และขอคำอวยพรคืนจากผม แล้วเราก็จะพูดคุยถึงการฉลองวันเกิดร่วมกันในช่วงเย็น แต่ปีนี้ ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของพวกเราเสียไป เราทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย มีได้คุยโทรศัพท์กันบ้างก็นับครั้งได้

ข้าวโพดย้ายไปอยู่กับย่าที่ต่างจังหวัด เพราะเค้าเองก็เหลือญาติเพียงคนเดียวเหมือนกันกับผม จากวันนั้นผมก็เลยแทบจะไม่รู้ข่าวคร่าวอะไรเกี่ยวกับเค้ามากนัก ไม่ได้เจอกันมาเกือบปีแบบนี้เค้าคงสูงเลยผมไปไกลแล้วสินะ ก็ในขณะที่เค้าสูงเอาสูงเอา แต่ผมดันสูงขึ้นทีละนิดละหน่อยเอง นี่ก็คิดถึงเค้าเหมือนกันนะครับ เคยฉลองวันเกิดด้วยกันมาทุกปีตั้งแต่ผม 6 ขวบ มาปีนี้ไม่มีเค้าแบบนี้มันก็ใจหายแปลกๆ อยู่เหมือนกันนะครับ

“ฟ่าง ไปดูหน้าบ้านสิลูกว่าใครมา”ยายร้องบอกผมจากในครัว ให้ออกไปดูคนที่มากดกริ่งหน้าบ้านเรา ว่าแต่ใครกันมาเอาเย็นป่านนี้ ปกติบ้านเราก็ไม่ค่อยมีแขกเท่าไหร่หรอกครับ เรียกว่าแทบไม่มีเลยจะใช่กว่า แล้วนี่ผมมองลอดรั้วออกไปเห็นรถแทกซี่จอดอยู่ยิ่งแปลกใจ เพราะหญิงชราที่กำลังจ่ายค่าแทกซี่นั่นผมจำได้แม่นเลยว่าคือใคร ผมรีบวิ่งไปเปิดประตู ก่อนจะพบกับอีกคนที่ประคองกันเข้ามา

“สวัสดีครับคุณย่า แล้วนี่มายังไงกันครับ”แม้ผมจะดีใจที่ได้เจออีกคนที่มากับคุณย่า แต่ผมก็อดที่จะตำหนิเค้าไม่ได้ นี่คงหาเรื่องให้คุณย่าพามาถึงนี่แน่นอน ทั้งที่ย่าเค้าก็อายุมากแล้ว นี่ถ้าให้ผมเดาคงพากันนั่งรถทัวร์เข้ามาเป็นแน่ ถึงแม้ทั้งบ้านผมหรือบ้านของข้าวโพดจะไม่ได้ลำบาก ขัดสนเรื่องเงิน แต่ย่ากับยายของเราทั้งคู่ก็อายุมากเกินกว่าจะขับรถพาเราไปไหนต่อไหนได้เหมือนตอนที่พ่อแม่ของเราเป็นคนพาไป ของผมยังดีที่อยู่ในกรุงเทพฯ ไปไหนมาไหนก็ยังสะดวกอยู่บ้าง แต่ของข้าวโพดกับย่านี่ อยู่ต่างจังหวัดก็คงไม่สะดวกสักเท่าไหร่

“ฟ่างก็อย่าดุน้องมันเลยลูก น้องมันบ่นคิดถึงเราตลอดแหละ อีกอย่างย่าเองก็ยังแข็งแรงดี”ผมรีบพาทั้งสองคนเข้าบ้าน ก่อนจะพบว่ายายผมรู้อยู่แล้วว่าข้าวโพดกับย่าจะมาเซอร์ไพร์สผม บรรยากาศการทานข้าวเย็นในวันเกิดของผมในปีนี้ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด แม้จะไม่มีพ่อกับแม่อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังมียายกับย่า แล้วก็น้องข้าวโพดของผมอยู่อีกทั้งคน

“โพดให้พี่ฟ่างครับ”กล่องของขวัญที่ถูกห่ออย่างยับๆ ถูกส่งให้ผม นี่คงห่อเองสินะมันถึงได้ยับขนาดนี้ ผมจ้องมองกล่องของขวัญในมือ ข้าวโพดมีของขวัญมาให้ผม แต่ผมไม่รู้มาก่อนนี่นาว่าเค้าจะมา ผมเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เค้าสักอย่างนี่สิ

“แต่พี่ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้โพดเลยนะ พี่ไม่รู้นี่นาว่าโพดจะมา”ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิด ก็ใครใช้ให้เค้ามาไม่บอกไม่กล่าว แต่ดูเค้าก็รู้ในจุดนั้นอยู่แล้วละมั้ง เพราะเค้าก็ยังยิ้มแย้มอยู่เหมือนเดิม ว่าแต่นี่อาจจะเป็นการฉลองวันเกิดด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ ปีหน้ายายผมกับย่าของเค้าก็คงยิ่งอายุมากขึ้นไปอีก สุขภาพร่างกายคงไม่เหมาะจะเดินทางไปไหนไกลๆ อีกแล้ว

“งั้นโพดขอเลือกอะไรก็ได้ 1 ชิ้นในห้องของพี่ฟ่างตกลงไหมครับ”

“เด็กๆ เสร็จแล้วก็พากันไปอาบน้ำเข้านอนนะ นี่ก็ดึกแล้ว”ยายผมเดินออกมาบอกหลังจากที่เก็บถ้วยจานไปล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งผมและข้าวโพดจึงพากันเตรียมอาบน้ำเข้านอน

“ทำไมเราไม่อาบพร้อมกันละพี่ฟ่าง”เค้าเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อผมให้เค้าอาบน้ำก่อนผมเลย จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนตอนเด็กๆ เราก็อาบน้ำด้วยกันประจำ แต่ตอนนั้นมันไม่รู้สึกอะไรนี่นาส่วนตอนนี้ผมเองก็โตพอจะเริ่มรู้อะไรมากขึ้น รวมไปถึงความอายที่จะต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นด้วย ใช่อยู่ว่าข้าวโพดไม่ใช่คนอื่น แต่ผมก็ไม่อยากแก้ผ้าต่อหน้าเค้าอีกแล้ว

“พี่ฟ่างอายเหรอ อายทำไม แต่ก่อนเราก็อาบด้วยกันออกบ่อย”เค้ายังหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม แต่ผมรีบส่งผ้าเช็ดตัวให้เค้าแล้วผลักให้เค้าเข้าห้องน้ำไป ผมหันมาสนใจกล่องของขวัญที่ได้มาจากเค้า ผมค่อยๆ แกะกระดาษห่อออกอย่างเบามือ พลางยิ้มไปแกะไป เพราะจินตนาการ ตอนเค้านั่งห่อไปด้วย ผมว่ามันคงทุลักทุเลไม่น้อยทีเดียว

10 กว่าปีแล้วสินะที่พวงกุญแจอันนี้ยังสร้างรอยยิ้มให้ผมเสมอ แถมตอนนี้เจ้าของมันก็ยังมานอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ผม พวงกุญแจที่ผมกำลังพูดถึงนี่คือสิ่งที่ข้าวโพดให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 14 ปีของผม มันเป็นพวงกุญแจตุ๊กตาข้าวโพดตัวเล็กประมาณเท่ากำปั้นครับ เจ้าตัวเค้าบอกว่าที่เลือกให้สิ่งนี้กับผมเผื่อเวลาที่คิดถึงเค้าจะได้ดูโพดน้อยอันนี้แทนตัวเค้า ดูเอาเถอะครับ มีการตั้งชื่อให้ด้วยว่า “โพดน้อย”

“ตัวจริงโพดก็อยู่ตรงนี้ พี่ฟ่างจะยิ้มให้ไอ้โพดน้อยนี้ทำไมอีก”โพดน้อยถูกฉวยจากมือผมไปอย่างรวดเร็ว ไอ้คนที่แย่งไปก็คนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละครับ แล้วดูทำท่าหมั่นเขี้ยวใส่โพดน้อยอีก ผมส่ายหน้าหน่ายๆ เตรียมขยับตัวจะลุกจากเตียง แต่โดนอีกคนคว้าเอวไว้ให้ล้มลง กลายเป็นเค้ากอดผมไว้จากด้านหลัง ตัวเค้านั่งซ้อนผมอยู่อีกที อ้อมกอดที่แน่นขึ้นทำให้ผมต้องพยายามข่มความรู้สึก ไหล่ของผมเริ่มสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของอีกคนที่เกยคางลงมาที่ไหล่ของผม

“ดีใจจังที่พี่ฟ่างยังเก็บโพดน้อยไว้ เวลาเจอกันไม่เห็นพี่ฟ่างพกไปด้วย ผมนึกว่าโพดน้อยถูกทิ้งไปแล้วเสียอีก”เค้าพูดพร้อมคลอเคลียอยู่ที่ไหล่ของผม นี่เค้ารู้หรือเปล่าการกระทำของเค้าแบบนี้ มันทำให้ผมหวั่นไหว ผมพยายามขืนตัวออก แต่วงแขนของเค้าก็ยังรัดผมเอาไว้เหมือนเดิม

“ก็เวลาไปเจอโพดตัวจริง โพดน้อยมันก็ไม่จำเป็นแล้วไง”ผมแกล้งพูดล้อตามที่เค้าเพิ่งพูดไป

“โห ทีโพดยังเอาของที่พี่ฟ่างให้ ติดตัวไปทุกที่เลย”โหไอ้ของแบบนั้น ผมไม่อยากจะรับว่าเป็นคนให้เลยครับ เพราะเค้าเป็นคนเลือกเอง แถมผมไม่ได้เต็มใจให้ด้วย

“ทิ้งไปหรือยังเนี่ย ไม่ใช่ใส่มาอีกแล้วนะ”ผมยังพูดไม่ทันขาดคำ เค้าก็ทำท่าภูมิอกภูมิใจเปิดชายเสื้อตัวเองขึ้น ถกขอบกางเกงลงเล็กน้อย แค่นั้นไอ้บอกเซอร์ยืดๆ ย้วยๆ ที่มันเคยเป็นของผม และอายุการใช้งานมายาวนานมากกว่า 10 ปีแล้ว ก็ออกมาอวดโฉมให้ผมเห็นอีกครั้ง

ก็ไอ้ตอนที่ให้เค้าเลือกของอย่างนึงในห้องผม ข้าวโพดดันเลือกที่จะหยิบบอกเซอร์ของผมไป แล้วเลือกตัวไหนรู้ไหมครับ เลือกตัวที่ผมเพิ่งถอดก่อนจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำในคืนนั้นแหละครับ ให้เปลี่ยนเอาอย่างอื่น ตัวอื่นก็ไม่เอา แรกๆ เค้าก็มาไม่ได้เอาไปใช้หรอกครับ เก็บไว้ดูต่างหน้า แต่มันเป็นของต่างหน้าที่ผมไม่อยากเป็นคนนั้นเลยครับ จนตอนหลังที่นัดมาเจอกันทุกๆ ปี เค้าจะเอามาใส่อวดผมทุกครั้ง ไม่ต้องสืบเลยครับว่าตอนนี้สภาพมันจะเยินขนาดไหน

“อุบาทว์ ไปถอดทิ้งไป เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่ ผมเผ้านี่อีกไปตัดไหม เห็นแล้วนึกว่าเพิ่งหลุดมาจากป่าเขา”ผมรีบบอกพร้อมเอื้อมมือไปจับเส้นผมของเค้าที่ดูรุงรังไม่เป็นทรงเอาเสียเลย

“งั้นเดี๋ยวผมขอเลือกบอกเซอร์ตัวใหม่ของพี่ก่อน แล้วค่อยไปตัดผมดีไหมครับ”เค้าบอกทั้งที่ยังคลอเคลียอยู่ที่ไหล่ของผม ผมเริ่มคิดว่าแม้ปีนึงเราจะได้เจอกันแค่ครั้งเดียว แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดแล้ว การที่ผมไม่เหลือทั้งพ่อและแม่ พอยังมีเค้าให้ผมได้คิดถึงและเป็นห่วงแบบนี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ

“จะมาเลือกบอกเซอร์ของพี่อะไรอีกละ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะมาเอาของใช้คนอื่นไปใช้ต่อพิเรนทร์ๆ แบบนี้ทำไมอีกละ”ผมบอกเสียงเนือย ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงห้ามไปเค้าก็คงไม่ฟัง

“ซื้อใหม่ทำไมเปลืองตังค์ เดี๋ยวขอพี่ฟ่างนี่แหละ”เห็นไหมครับเค้าฟังผมที่ไหนกัน ยิ่งพอโตมาตัวโตกว่า แทบจะทำเหมือนผมเป็นน้องเค้าเสียด้วยซ้ำ

“เอา จะเอาไรก็เอา ห้ามไม่ฟังอยู่แล้วนิ”ผมบอกอนุญาตแต่ก็แฝงน้ำเสียงประชดไว้ด้วยหน่อย แต่ถามว่าเค้าจะรู้สึกอะไรไหมนะเหรอครับ ก็จะรู้สึกอะไรละครับ ยิ้มหน้าระรื่นไปรื้อตู้เสื้อผ้าผมเรียบร้อย ไม่นานนักเค้าก็ชูบอกเซอร์ 2 ตัวให้ผมดู

“แล้วทำไมต้องเอาไปสองตัวด้วยละ”จริงๆ ก็ไม่ได้หวงของอะไรหรอกนะครับ มันก็ตัวไม่กี่บาท แต่แค่ไม่เข้าใจว่าจะมาอยากได้ของผมทำไม แถมใช้แล้วอีกต่างหาก หรือนี่ผมมีน้องชายโรคจิตไปแล้ว ก็ไม่น่าจะใช่อ่ะเนอะ

“ก็จะได้เปลี่ยนสลับกันใส่ รู้สึกอุ่นในมีพี่ฟ่างไปด้วยตลอดเวลา”นี่ผมควรดีใจไหมครับ กับคำตอบของเค้าเนี่ย

“ให้พี่ติดไข่ฟ่างไปทุกที่เนี่ยนะ น่าภูมิใจเหลือเกิน”ผมแกล้งพูดล้อเลียนใส่เค้า จนเจ้าตัวเค้าหันมาทำท่าเตรียมจับตัวผม สมัยเด็กๆ ถ้าเห็นท่าแบบนี้เราสองคนจะรู้กันว่ามันคือท่าเตรียมไล่ตะครุบอีกคน แต่พอโตมาเราก็ไม่เล่นอะไรแบบนี้กันอีกแล้ว

“นี่รังเกียจไข่น้องเหรอ งั้นมาดมไข่น้องหน่อยเป็นไง”สายตาที่จ้องมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้ผมต้องถอยตัวตั้งรับ แม้จะไม่คิดว่าเค้าจะเล่นจริงๆ อย่างที่พูดก็เถอะ แต่แล้วผมก็คิดเมื่อเค้าพุ่งเข้ามาหาผม จนผมเซล้มลง

“เล่นอะไรเนี่ยโพดไม่เอา ฮ่าๆ”พอจับผมได้ก็มาจี้เอวผม ไอ้ผมก็ไม่ถึงกับบ้าจี้หรอกนะครับ แต่มันก็จั๊กจี้นี่นา

“พอแล้วโพด ฮ่าๆ พอแล้ว”เค้าหยุดแกล้งผมปล่อยให้ผมนอนหงายกับพื้นหอบหายใจอยู่ ส่วนตัวเค้าก็นอนนิ่งเอาหัวหนุนที่พุงของผม เราต่างเงียบไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับผม ตอนนี้ผมกำลังต้องเริ่มข่มใจอีกแล้ว บางทีผมว่าเราก็ไม่ควรเล่นอะไรที่ถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้

“หนักนะเนี่ย ลุกไปอาบน้ำอาบท่าไป จะได้ออกไปตัดผม”ผมเป็นคนทำลายความเงียบเพราะเริ่มอึดอัดกับท่าทางที่เราอยู่ตอนนี้

“พี่ฟ่างมีแฟนแล้วเหรอครับ”ผมขยับตัว ยกหัวขึ้นดูว่าเค้าอยู่ในอารมณ์ไหน เพราะฟังดูน้ำเสียงค่อนข้างจะจริงจังทีเดียว แต่เค้าก็ยังนอนนิ่งทับผมอยู่ทำให้ผมลุกขึ้นไม่ได้

“อยู่ๆ ทำไมถึงถาม”ที่จริงครั้งก่อนเค้าก็ส่งข้อความถามผมมาแล้วแหละครับ เพียงแต่ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบ แม้ความจริงผมเองก็ไม่ได้มีใคร แต่ผมไม่เข้าใจในเจตนาของเค้าที่ถาม ว่าต้องการคำตอบยังไงจากผม จริงอยู่ที่เราสนิทสนมกัน แต่การที่เราไม่ได้เจอกันตลอดเราทั้งคู่ก็คงต่างมีเรื่องราวที่ไม่บอกหรือไม่อยากบอกอีกฝ่ายอยู่แล้ว

แม้ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นความลับ หรือว่าบอกกับเค้าไม่ได้ แต่ผมเองก็มีนิสัยดื้อเงียบ หรืออยากที่จะเอาชนะตามประสานิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละครับ

“ก็พี่ต้าร์บอกว่าพี่ฟ่างมีแฟน”ไอ้ต้าร์งั้นเหรอ ถ้าวันนั้นก็ได้ยินกันอยู่ ว่ามันแค่พูดแซวว่าผมแรด เป็นการแซวเล่นๆ แล้วเค้าก็เอาการแซวนี้มาตั้งคำถามเอากับผม นี่ละมั้งครับสาเหตุจริงๆ ที่ผมไม่อยากตอบเค้า ผมไม่ชอบที่เค้าตีความอะไรแบบนี้ ถ้าจะถามแทนที่จะมาถามว่าที่ไอ้ต้าร์พูดมันหมายความว่ายังไง ไม่ใช่ไปตีความหมายในคำพูดแล้วมาตั้งคำถามใหม่แบบนี้

“แล้วยังไงต่อ”ผมย้อนถามกลับเสียงเรียบ จากนั้นเราต่างคนก็ต่างเงียบ ที่จริงผมไม่ชอบหรอกนะครับที่ต่างคนต่างมีอะไรในใจแล้วไม่พูดออกมาแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ บางทีเราสองคนก็มีอะไรคล้ายกันเกินไป อย่างเรื่องอยากเอาชนะซึ่งกันและกันนี่แหละ

“ผมไปอาบน้ำล่ะ”เค้าลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ผมลุกขึ้นนั่งพ่นลมหายใจยาวๆ พยายามปรับอารมณ์ตัวเอง เพราะทั้งผมและเค้าต่างรู้ดีว่าหลังจากที่เค้าออกมาจากห้องน้ำ


TBC

เนื้อเรื่องจะเล่าอดีตสลับกับปัจจุบันไปนะครับ

แต่อดีตจะไม่เรียงลำดับ อยากดึงช่วงอายุไหนมาใส่ก็ดึงนะครับ :z3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :z3:

จะงงไหมเรา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โพด พูดกันไปเลย ว่ารู้สึกยังไงต่อฟ่าง
เพราะฟ่างคงไม่พูดก่อนแน่

ดูแล้วเหมือนฟ่างก็รู้สึกหวั่นไหวกับโพดนะ

โพด นี่เหมือนรู้สึกกับฟ่างเกินพี่น้องตั้งนานแล้ว
ดูอย่างเลือกของขวัญวันเกิดที่ฟ่างไม่ได้เตรียมให้
โพด เลือกบ๊อกเซ่อร์ของฟ่างที่ใส่แล้ว  :z3: :z3: :z3:
แล้วโพดชอบนัวเนียถึงเนื้อถึงตัวฟ่างอีก

ที่ชอบเอาชนะกัน เลิกก็ดีนะ
มันยิ่งทำให้ห่างกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 3
ก็เคยสัญญา




“โพดจะจินไอติม ไอติม”ผมพยายามกลั้นขำกับท่าทีของน้องชายตัวเล็ก เพราะไม่คิดว่าเค้าจะเล่นไม้นี้ ซึ่งทำเอาแม่ผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว วันนี้ข้าวโพดถูกมาฝากไว้กับบ้านผม แม่ผมเลยต้องดูแลทั้งผมและข้าวโพดด้วย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกับการที่ต้องดูแลพวกผมสองคน แบะตอนนี้แม่ผมก็พาเราทั้งคู่ออกมาหาอะไรทานที่ห้าง

“น้องโพดลูก แม่ขวัญบอกแล้วไงครับ ว่ากินข้าวก่อนเดี๋ยวค่อยมากินไอติมกัน”ใช่ครับก่อนมา ก็พูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่ามันจะเป็นแบบนั้น ทั้งที่ทุกคนก็ทราบว่า ไอ้เจ้าเด็กแสบนี่ชอบที่จะทานของหวานก่อนของคาว ซึ่งผมก็ว่ามันไม่เห็นจะเป็นไร อยากกินอะไรก็กิน แต่ทั้งแม่เค้าและแม่ผมกลับบอกว่า ถ้ากินของหวานก่อนเดี๋ยวก็พาลไม่อยากข้าว มันจะได้สารอาหารไม่ครบ ตัวผมก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ กินอะไรก่อนก็ได้

แต่เจ้าตัวแสบนี่แหละ คงยังมีความอยากแหกกฎของแม่ๆ อยู่ ก่อนจะออกมาจากบ้านเลยมีการมากระซิบ ผมให้ผมช่วยคุยกับแม่ว่าขอกินไอติมก่อน แล้วค่อยไปกินสเต็กตามที่วางแผนไว้ แต่ผมคิดว่ายังไงแม่ก็ไม่ฟังผมหรอก มีแต่จะดุผมเสียมากกว่า

“พี่ฟ่างคอยดู โพดจะต้องได้จินติมก่อน”ตัวแสบพูดพร้อมชูนิ้วป้อมๆ มาถูจมูกตัวเอง คงคิดว่าเท่ห์มากสินะ ไอ้แสบเอ้ย และนั่นคือคำที่เค้าบอกก่อนจะออกจากบ้านมา พอตอนนี้ก็มาใช้วิธีแหกปากร้องเนี่ยนะ มันเท่ห์ตรงไหนเนี่ย

“โพดไม่เคยดื้อ ไม่เคยขออะไรแม่ขวัญเลย ทำไมโพดขอแค่นี้ แม่ขวัญให้โพดไม่ได้ละฮ่ะ”นี่เด็กยังไม่ถึง 4 ขวบรู้จักบีบน้ำตาแล้วเหรอนี่ ผมได้แต่ยืนดูการแสดงของน้องชายอย่างเงียบๆ และเหมือนแม่ผมก็กำลังจะใจอ่อนเสียด้วยสิครับ เด็กนี่มันร้ายจริงๆ นะครับเนี่ย

“โอเคครับ แต่ทานไอติมแล้ว ต้องไปทานสเต็กต่อนะครับ สัญญากับแม่ขวัญก่อน”นั่นไงแม่ผมใจอ่อนแล้ว ส่วนไอ้เด็กแสบนั่นก็คงดีใจจนแทบเก็บไว้ไม่อยู่ รีบหันมายักคิ้วอย่างผู้ชนะให้กับผม แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ร้ายกว่าเค้ายังมี เค้าพลาดแล้วที่ดันให้ผมรู้เรื่องก่อนว่าเค้ามีแผนมาแบบนี้

“แต่พี่ฟ่างว่า ถ้าโพดอยากเป็นเด็กดี ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่นะ แล้วก็ต้องรู้จักอดทนรอด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ได้กินไอติมเสียหน่อย เราแค่จะได้กินทีหลัง สเต็กแค่นั้นเอง”ผมยักคิ้วส่งกลับให้เจ้าตัวแสบ ซึ่งเค้าก็ไปต่อไม่ได้ เพราะคงไม่คิดว่าผมจะเล่นแบบนี้ สุดท้ายเราทั้งสามก็มานั่งที่ร้านสเต็ก เจ้าตัวแสบก็นั่งหน้ามุ่ย ไม่พูดไม่จา เรียกว่าไม่มองหน้าผมเลยด้วย

“นี่สเต็กปลาของโปรดโพดไงครับ เค้าว่ากินปลาแล้วจะฉลาดนะ กินเยอะๆ จะได้โตทันพี่ฟ่าง เอาให้ฉลาดกว่าพี่ฟ่างเลย”แม่ผมคงรู้แล้วละครับว่าน้องคงงอนผมแน่ๆ เลยต้องหาทางโอ๋ เจ้าเด็กแสบนี่ เด็กนี่ก็บ้ายอครับ ยิ่งพอบอกว่าอะไรก็ตามที่จะเทียบเท่าผมได้นี่รีบทันทีเลย

“โพดจะโตกว่าพี่ฟ่าง”เด็กน้อยเอ้ย หลอกแค่นี้ก็เชื่อด้วย นั่นคือความคิดผมตอนเด็กๆ ที่คิดว่าเค้าไม่มีทางโตทันผม เพราะยังไงผมก็เกิดก่อนเค้าตั้ง 2 ปี เค้าจะมาตัวโตกว่าผม สูงกว่าผมไปได้ยังไง จนโตขึ้นผมถึงได้เข้าใจว่า ถึงจุดนึงพัฒนาการทางด้านร่างกายคนเรามันจะหยุด และอีกอย่างมันไม่ได้พัฒนาหรือหยุดเท่ากันนี่สิ

“เป็นไงหล่อใช่ไหมละ”น้องชายตัวโตของผมที่ตัดผมเสร็จแล้ว เดินเข้ามานั่งกับผม ระหว่างที่รอเค้าไปตัดผมเค้าให้ผมมานั่งรอในร้านกาแฟ เพื่อที่พอเค้าตัดผมเสร็จเรียบร้อย จะได้มากินเค้กในร้านกาแฟนี่ ก่อนที่เราจะไปทานข้าวกัน ใช่แล้วครับไอ้นิสัยทานของหวานก่อนของคาวของเค้า พอโตขึ้นก็ไม่มีใครห้ามได้แล้วละครับ

“ก็หล่อนะ แต่น้อยกว่าพี่นิดนึง”ผมบอกออกไปยิ้มๆ พร้อมมองสภาพเค้าที่ดูเป็นผู้เป็นคน ผมเผ้าไม่รุงรังแล้ว ก็ไม่เข้าใจว่าแต่ละปีเค้าต้องมาในสภาพที่ผมต้องไล่ไปตัดผมโกนหนวดทุกครั้ง

“คร๊าบบบ พี่ฟ่างหล่อที่สุดในโลกเลย”เค้าทำเสียงล้อเลียนผมก่อนจะลุกไปเลือกเค้ก มันช่างดูเป็นภาพที่ไม่เข้ากันเอาเสียเลย ปกติมีแต่สาวๆ ชอบทานขนมหวานอะไรแบบนี้ แต่นี่ผู้ชายตัวโตๆ ยืนเลือกเค้ก แล้วมานั่งตักกินอย่างเอร็ดอร่อย แถมทำหน้าฟินยังกับอะไร ภาพมันดูขัดแย้งกันอย่างมาก นี่ผมว่าถ้าผมเป็นคนชอบขนมหวานอะไรพวกนี้ยังจะดูเข้ากันมากกว่าอีก

“พี่ฟ่างตามใจโพดแล้ว ทีนี้อยากกินอะไรเลือกเลยครับ โพดเลี้ยงเอง”ผมนั่งนึกว่าอยากกินอะไร แต่มันเป็นปัญหาโลกแตกมากเลยนะครับ กับการต้องเป็นคนเลือกเนี่ย แต่จะให้พ่อน้องชายเลือกอีกก็ไม่ค่อยรู้จักร้านอะไรแถวนี้อีก เพราะเค้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยนี่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจเลือกอะไร โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นเสียก่อน

“พี่โอ๋สุดสวยว่าไงครับ”ผมกรอกเสียงไปตามสไตล์ปกติ แต่เหมือนคนตรงหน้าผมจะมองมาอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วอยู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมาละนั่น ผมฟังเสียงเจ้โอ๋ที่อารัมภบทมามากมาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการถามว่าผมยังอยู่ในกรุงเทพฯ ไหม จะชวนไปนั่งดื่มสักนิด ผมหยุดคิดว่าจะตอบเจ้โอ๋ยังไง แต่พอมองหน้าพ่อน้องชายตัวดี ผมว่าผมพอจะได้คำตอบแล้วละ

“พอดีพรุ่งนี้บินเช้าอ่ะพี่ น้องชายผมก็มาแล้วด้วยคงไม่ค่อยสะดวก เอาไว้ค่อยเจอกันหลังผมกลับมาแล้วกันนะครับ”ผมกดวางสายพร้อมมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ เพราะเค้าเหมือนรอผมพูดอะไรสักอย่าง ที่จริงถ้าเค้ายังดูอารมณ์ดีเหมือนทีแรกผมก็จะชวนเจ้โอ๋แกออกมานั่งทานอะไรด้วยกันนะครับ

“ป่ะ พี่นึกร้านออกแล้วว่าเราจะไปทานร้านไหนกันดี”เมื่อเค้าไม่พูดอะไร ผมก็ตัดบทด้วยการชวนเค้าออกจากนี่เลยนี่แหละ

“สองคนเหรอ”ผมหันกลับไปมองเค้าว่าคำถามของเค้าหมายความว่ายังไง หรือคิดว่าผมจะชวนเจ้โอ๋ไปด้วย แต่เค้าก็ได้ยินสิ่งที่ผมคุยแล้วนิ ตกลงนี่เค้าเป็นอะไร ตั้งแต่ก่อนออกจากคอนโดมาก็ทีนึงแล้วนะ

“ก็เรามากันสองคนไม่ใช่เหรอ”ผมพยายามตอบเค้าไปตามปกติ เพราะถ้าผมเองก็ไปอารมณ์เสียใส่เค้าด้วยมันน่าจะยิ่งไปกันใหญ่

“แล้วเมื่อกี้ ใครโทรมา”ปกติเค้าไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกอะไรแบบนี้นี่นา เรียกว่าเราไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้จักสังคมของเค้า และผมก็คงไม่ไปละลายละล้วง เว้นให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเค้า ส่วนของผมก็คงมีแค่ไอ้ต้าร์กับกุ้ง ที่เค้าได้เข้ามาสัมผัสหรือได้มารู้จัก แต่ตอนนี้ผมกำลังมองว่าเค้าล้ำเส้น ไม่ใช่ล้ำเส้นที่อยากรู้ว่าใครโทรหาผม

เพราะจริงๆ ถามว่าผมพาเค้าไปแนะนำกับทุกๆ คนที่ผมรู้จักได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่าเค้าล้ำเส้นมันคือกริยาอาการที่เค้าแสดงต่อผมตอนนี้ต่างหาก ถ้าเค้าคุยกับผมดีๆ ทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารักของผมอย่างที่เป็นมา ความรู้นี้ของผมมันจะไม่เกิดขึ้นเลย ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบอะไร และเดินนำเค้าออกจากร้านกาแฟ

“แฟนพี่เหรอที่โทรมา”นี่มันอะไรกันเนี่ย ตกลงเค้ากับผมจะเล่นสงครามประสาทกันให้ได้สินะ เอาเถอะ เพราะผมเองก็มีส่วนให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมเองก็เลือกที่จะไม่อธิบายอะไร

“นับสิบนะ ถ้าสิบยังไม่หายก็นับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงร้าน”ผมบอกในสิ่งที่เค้าเองก็ต้องเข้าใจว่าหมายความว่ายังไง มันคือวิธีการที่แม่ๆ ของเราสอนให้เอาไว้ใช้สงบสติอารมณ์ ไม่ว่าตอนนั้นเราจะคิดว่าตัวเองผิดหรือไม่ก็ตาม ให้นับเลขในใจไปเรื่อยๆ ถ้าอารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาคุยกัน แต่หลังๆ ผมกับเค้าก็เอามาใช้แบบผิดๆ เพราะแทนที่พอเย็นลง จะคุยกันด้วยเหตุผลให้เข้าใจ เราสองคนกลับแกล้งลืมมันไปเสียดื้อๆ

เค้าเงียบมาตลอดทางโดยไม่พูดอะไรอีก ผมไม่รู้ว่าเค้ากำลังสงบสติอารมณ์หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมก็คงปล่อยให้เค้าเงียบไปก่อน แต่ผมว่าผมคงต้องรีบเคลียร์เรื่องนี้กับเค้าแล้วละครับ ไม่งั้นอีกหลายวันนับจากนี้ที่เราต้องอยู่ด้วยกัน ทั้งที่นานๆ จะเจอกันทีแบบนี้ มันก็ควรเป็นช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมากกว่าจะมาอึดอัดใส่กันแบบนี้

“คือพี่/คือโพด”กลายเป็นว่าทั้งผมและเค้า หันหน้าหากันจะพูดอะไรสักอย่างทันทีที่ผมขับรถถึงจุดหมาย

“โพดขอโทษที่หงุดหงิดใส่พี่ฟ่างนะครับ ผมก็แค่รู้สึกว่าเราสองคนห่างกันไปทุกที รู้เรื่องราวของกันและกันน้อยลงเรื่อยๆ”เค้าก็รู้นิ ว่าระหว่างเราตอนนี้มันเป็นยังไง แต่ก็นั่นแหละครับ เราต่างมีชีวิตของตัวเอง ผมไม่ได้อยากไปเรียน หรือไปทำงานที่ต่างประเทศ ผิดกับเค้าที่อยากไปเรียน รวมทั้งทำงานในต่างแดน เราสองคนเลยมาบรรจบกันได้ยาก การจะให้รับรู้ทุกเรื่องของกันและกันอย่างตอน 3-4 ขวบ มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

“พี่ก็ขอโทษ ที่ทำให้โพดหงุดหงิด งั้นเรามาสัญญากันว่าช่วงเวลาที่จะอยู่ด้วยกันนี้ เราจะให้มันเป็นอีกปีดีๆ ระหว่างเรา”ผมยิ้มให้เค้าอย่างจริงใจ แม้ในใจผมจะสับสน แต่นี่มันก็ดีที่สุดแล้วละ การที่เรายังได้เจอกันแบบนี้ ก็คงดีกว่าการที่เราสองคนไม่เจอกันอีกเลย

“ครับ”ผมตอบรับเสียงแผ่วในทีแรกก่อนจะกลับมาเป็นยิ้มแย้มเช่นเดิม แม้ผมจะสงสัยในท่าทีนั้น แต่สิ่งที่เพิ่งบอกกับเค้าไปทำให้ผมเลือกที่จะยังไม่ถามอะไรออกไป

“อ้าว นี่มันร้านกาแฟนิ ไมพาผมมาร้านกาแฟอีกละ เราก็เพิ่งออกจากร้านกาแฟมาไม่ใช่เหรอครับ”ผมไม่ได้ตอบ แต่เดินนำเค้าเข้ามาในร้าน ร้านนี้ดูภายนอกก็คงมองว่าคือร้านกาแฟ ซึ่งมันก็คือร้านกาแฟนั่นแหละครับ เพียงแต่มีอาหารคาว หลากหลายเมนูอยู่ในร้านด้วย แถมเมนูเครื่องดื่มนอกจากบรรดา ชา กาแฟ ตามแบบร้านทั่วๆ ไปแล้ว ในร้านยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีร้านลักษณะนี้เยอะขึ้นนะครับ ส่วนหลักๆ ที่ผมเลือกร้านนี้ เพราะมีเครื่องดื่มที่ผมชอบนี่แหละครับ

“แล้วก็ Erdinger 1 ที่นะครับ”ผมปิดท้ายรายการสั่งด้วยเบียร์ตามที่ตั้งใจ ร้านนี้นอกจากอาหารใช้ได้แล้ว เบียร์จากหลากหลายประเทศ ก็มีมาให้ลิ้มลองหลากหลายรสชาติด้วยครับ

“เพลาๆ บ้างก็ดีนะพี่เรื่องเหล้าเรื่องเบียร์เนี่ย ปีที่แล้วค่าการทำงานของตับก็ไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ”ก็พอรู้ว่าเค้าเตือนเพราะเป็นห่วง แต่สุขภาพผมก็ยังไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น อีกอย่างผมก็ไม่ได้ดื่มบ่อยๆ เหมือนตอนเป็นวัยรุ่นแล้ว จริงๆ นี่ผมก็ยังวัยรุ่นนะครับ แค่อายุจะแตะเลข 3 ยังไม่ถือว่าแก่หรอก

“โพดลดของหวานให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยมาห่วงพี่ เพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอเค้กเนี่ย มาถึงก็ยังมาสั่งอีก”

“โอเคผมยอมแพ้ เรามาเป็นพี่น้อง 2 โรคไปด้วยกันเนอะ พี่ตับแข็งกับน้องเบาหวานเป็นไง”

“อีกแก้วครับน้อง”ผมชี้ที่เบียร์เยอรมันแก้วยาวที่ผมเพิ่งดื่มหมดไป ว่าขออีกแก้ว แม้จะมีสายตาพิฆาตจากน้องชายที่ส่งมาเตือน ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ

“ขากลับโพดก็ขับไง พี่ไม่แย่งขับหรอกไม่ต้องห่วง”ผมรีบผลักภาระเรื่องการขับรถ เผื่อเค้าจะเลิกตาขวางใส่ผมบ้าง ผมตีมึนแกล้งยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วพ่อน้องชายผมก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่พรุ่งนี้เราบินไฟลท์เช้านะครับ อย่าดื่มเยอะมากนะครับ”เค้าก็ยังบ่นเหมือนเดิมอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้ดูจริงจังมากนัก แต่จริงๆ น่าจะออกแนวเบื่อที่จะพูดแล้วเสียมากกว่า เค้าก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละครับ ชอบทำเหมือนผมเด็กกว่า ทั้งที่ความจริงผมเป็นพี่เค้า

“รู้แล้วครับพี่ข้าวโพด นี่ใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่นา”ผมยื่นหน้าพร้อมพูดประชด ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม ทำเหมือนไม่สนใจเค้า แต่สายตาผมก็แอบเหล่ๆ มองเค้าอยู่เช่นกัน ซึ่งก็เห็นว่าเค้าจ้องมองผมตาไม่กระพริบเลย

“ก็พี่ฟ่างชอบทำตัวให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ผมเป็นห่วงจริงๆ นะ พี่ฟ่างไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย”ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้าตรงๆ เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงที่เค้าพูดดูจริงจัง เราต่างคนต่างมองกันนิ่งๆ ผมมองลึกลงไปในแววตาของเค้า ลึกๆ แล้วก็อยากรู้นะครับว่าเค้าคิดยังไงกับผมกันแน่ ความสัมพันธ์ของเรามันควรหยุดอยู่ที่พี่น้องจริงๆ หรือเปล่า

“โพดก็กลับมาดูแลพี่สิ”ผมพูดออกไปหน้านิ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของเค้า ผมไม่เคยถามถึงการใช้ชีวิตหลังจากเค้าเรียนจบ ซึ่งก็ใกล้จบเต็มทีแล้ว ผมก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าที่เค้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับผม มันจะคือการที่เค้าจะกลับมาใช้ชีวิตที่ไทยถาวร ถึงความจริงผมจะรู้ว่าเค้าเคยแพลนอยากใช้ชีวิตที่โน่นก็เถอะ

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ดูแลพี่ฟ่างตามที่เคยสัญญาไว้”


TBC



ต่อคร๊าบบบ

คู่นี้ก็จะอึนๆ มึนๆ กันไป

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 4
ดูแลตัวเองได้





“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเนี่ย”ผมทักทายน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน ก็ตั้งแต่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตก็ดูวุ่นวายไปหมด ทำให้ทั้งผมและเค้าก็ขาดการติดต่อกันไปบ้าง ผมมองน้องชายในวัย 17 ปีที่ดูโตขึ้นมากกว่าครั้งล่าสุดที่เคยเจอเยอะเลยทีเดียว ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ที่สถานีขนส่งหมอชิต ผมมารับเค้าที่มาจากต่างจังหวัด เพื่อเตรียมตัวที่เดินทางไปในที่ที่เราทั้งคู่เคยสูญเสีย

การสูญเสียครั้งนั้นทำให้ชีวิตเราสองคนพลิกผันไปมากอยู่เหมือนกัน แถมตอนนี้ทั้งผมและเค้าก็เรียกได้ว่าต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียวอย่างแท้จริงแล้ว เพราะหลังจากพ่อและแม่ของพวกเราเสียไป ทีแรกเราทั้งคู่ก็ยังพอมีที่พึ่ง ผมเองก็ยังมียายที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งยายก็จากผมไปได้เกือบสองปีแล้ว ส่วนข้าวโพดนี่ก็เพิ่งสูญเสียคุณย่าไปใกล้จะครบปีแล้ว

“คิดถึงตอนเด็กๆ เนอะที่โพดเคยบอกอยากจะโตให้ทันพี่ฟ่าง ตอนนี้ผมโตทันแล้วนา”เค้ารีบเข้ามายืนเทียบกับผมให้เห็นว่าตอนนี้ตัวเค้าสูงเลยผมไปเรียบร้อยแล้ว ผมยิ้มก่อนจะเดินนำเค้าตรงไปยังจุดขึ้นแทกซี่

“หิวหรือเปล่า แวะกินข้าวก่อนไหม”ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าเค้านั่งรถมาหลายชั่วโมงจะได้ทานอะไรบ้างหรือยัง

“ไม่ค่อยหิวครับ อยากรีบไปพักมากกว่า”เค้าบอกกับผมยิ้มๆ เรารอรถแทกซี่ไม่นานก็ได้ขึ้นรถ ช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ปกติรถอาจจะเยอะแต่ช่วงนี้หลายๆ ที่ก็เริ่มหยุดยาวกับเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่แบบนี้ สองข้างถนนตอนนี้ก็เต็มไปด้วยแสงไฟที่ประดับประดา เพิ่มสีสันให้กับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง เราต่างคนต่างนั่งมองสองข้างทางอย่างเงียบๆ จนรถมาหยุดที่หน้าบ้านผม

“เดี๋ยวโพดไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนละกัน พี่จะเตรียมหาไรไว้ให้กิน แต่บอกก่อนว่าฝีมือพี่ค่อนข้างแย่ ยังไงก็ฝืนๆ กินหน่อยแล้วกันนะ”ตอนนี้เหมือนระหว่างผมกับเค้าจะเกร็งๆ กันหน่อย เพราะไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน พอเริ่มโตกันแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เรียกว่าแทบไม่เจอกันเลยมากกว่า พอมาเจอกันก็เหมือนต่างคนต่างยังไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงกัน

ข้าวโพดแยกไปอาบน้ำ เพื่อให้สบายตัวพักจากการเดินทางมาหลายชั่วโมง ส่วนผมก็เตรียมอะไรง่ายๆ ไว้รอเค้า การที่อยู่คนเดียวมาเกือบสองปีแล้ว ทำให้ผมก็พอจะทำอะไรง่ายๆ ไว้ทานเองได้บ้าง ผมยังคงอยู่บ้านหลังเดิมหลังจากยายเสียไปแล้ว ข้าวโพดก็เช่นกันที่ต้องใช้ชีวิตลำพัง แต่ก็ยังมีลุงทนายที่ยายกับย่าของผมและข้าวโพด จัดทำพินัยกรรมและให้เป็นคนดูแลเราทั้งคู่ ก่อนจะบรรลุนิติภาวะ คือทุกอย่างก็ถูกยกให้เป็นของพวกเรานั่นแหละครับ เพียงแต่ตอนยังอายุไม่ครบ 20 ปี ก็จะได้รับค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งก็เป็นจำนวนที่เราทั้งคู่สามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบาก

ส่วนนี่เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าอยากไปรำลึกถึงพ่อกับแม่ในที่ที่พวกท่านจากผมไป เลยลองชวนข้าวโพดดูว่าสนใจไปด้วยกันไหม และแน่นอนว่าเค้าตอบตกลง ถึงได้มาอยู่ที่บ้านกับผม ตอนนี้ เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้า จะไปขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้ โชคดีที่ผมคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เลยทำการจองตั๋วรถทัวร์รอไว้แล้ว ไม่งั้นช่วงจะหยุดยาวแบบนี้คงยากที่จะหาที่ว่างสำหรับการเดินทาง

เราทานข้าวกับอาหารที่ผมเป็นคนทำอย่างง่ายๆ หลังได้คุยกันสักพักเราสองคนก็จูนกันติด ความคุ้นเคยที่มีมาตั้งแต่เด็กทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ แต่เราทั้งคู่ก็รู้ดี ว่ายิ่งเข้าใกล้เรื่องอดีตมากเท่าไหร่ เราทั้งคู่ก็ต้องต่อสู้กับความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นมากเท่านั้น

“แล้วเรื่องเรียนต่อ โพดจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ไหม ถ้ามาก็มาอยู่ที่บ้านกับพี่ได้นะ”ผมเคยคุยกับเค้ามาบ้างนิดหน่อยสำหรับเรื่องนี้เพราะนี่ก็เทอมสุดท้ายสำหรับชีวิตมัธยม ของเค้าแล้ว เห็นว่ากำลังตัดสินใจอยู่ ใจนึงก็อยากให้เค้ามาอยู่ที่กรุงเมพฯ นี่นะครับ แต่ถ้ามาแล้วไม่ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ผมก็ว่าเค้าไม่ควรมา เท่าที่จำได้เหมือนเค้าเคยบอกกับผมว่าเล็งคณะที่มหาวิทยาลัยทางเหนือไว้

“ที่จริงก็ได้โค้วต้าที่เชียงใหม่แล้วแหละครับ แต่ก็ยังตัดสินใจอยู่ว่าจะสละสิทธิ์ไหม”เค้าบอกไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ถ้าได้ที่เราชอบแล้วก็ตัดสินใจไปเถอะ อะไรที่เราชอบเราก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไปนะ เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอด”ผมให้คำแนะนำในฐานะที่ผ่านจุดนั้นมาก่อน แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกว่าเลือกเรียนผิด แต่ลึกๆ ก็ยังหวั่นใจว่าผมจะต้องทำอาชีพที่กำลังเรียนไปตลอดชีวิตได้ไหม

“แต่ถ้าไปเรียนที่เชียงใหม่ ผมคงไม่ค่อยได้เจอพี่ฟ่างแน่ๆ เลย”เค้าบอกพร้อมสายตาอ้อนๆ นี่โตแล้วก็ยังจะมาทำตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกนะครับเนี่ย แต่เค้าจะปล่อยให้เค้ามาเลือกเรียนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอกนะครับ

“เลือกที่ชอบนั่นแหละดีแล้ว อยู่ห่างๆ กันจะได้มีเวลาคิดถึงกันไง”เค้าคิดตามสิ่งที่ผมพูดเหมือนลำบากใจที่จะเลือกว่าจะตัดสินใจยังไง

“งั้นเอางี้ไหม ถึงแม้เราจะอยู่ห่างกันยังไง แต่ทุกๆ ปี ช่วงเวลานี้เราจะไปเจอกันที่ภูเก็ตทุกปี”ผมเสนอให้ใช้จุดประสงค์ที่เรามาเจอกันวันนี้ให้ถือเป็นข้อตกลงระหว่างเรา ตัวเค้าเองก็เห็นด้วยกับผม เราจึงได้ทำข้อตกลงกันให้สัญญาว่าจะมาเจอกันทุกปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากทานข้าวเก็บถ้วยจานเรียบร้อย เราก็ต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน เค้าบอกว่าเหตุผลที่อยากไปเรียนที่เชียงใหม่เพราะเห็นว่าสาขาวิชาที่เค้าเลือกสามารถต่อยอดในการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งเหมือนจะเป็นความฝันของเค้า

“พี่ฟ่างหลับหรือยัง”หลังจัดการอะไรต่างๆ เรียบร้อย ทั้งผมและเค้าก็เข้านอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด

“ยัง เป็นไร แปลกที่แล้วนอนไม่หลับเหรอ”ผมตะแคงหันมาดูเค้าที่เหมือนจะนอนตะแคงมองผมอยู่ก่อนแล้ว

“เปล่าครับ แค่นึกถึงเมื่อก่อน เลยคิดเล่นๆ ว่าถ้าพ่อแม่ของพวกเรายังอยู่ ชีวิตของเราจะเป็นยังไง จะได้เรียนที่เดียวกันเหมือนเดิม ได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ หรือเปล่า”ผมพลิกตัวนอนหงายขึ้นเพราะรู้สึกถึงน้ำในตาที่มันเริ่มคลอๆ มาแล้ว มันไม่ใช่แค่เค้าหรอกครับที่หวนนึกถึงวันเก่าๆ ผมเองก็นึกถึง แม้ว่าพอนึกถึงคนที่จากไปความเศร้ามันจะเกาะกินหัวใจของผมทุกครั้งก็ตาม

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”ผมพลิกตัวอีกครั้ง พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น หันหลับให้เค้าเพราะไม่อยากให้เค้าคิดว่าพี่ชายคนนี้ของเค้ายังอ่อนแอ ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอแม้จะรู้ตัวว่าน้ำตาผมได้ไหลออกมาแล้ว

“พี่ฟ่างจำวันที่พี่ฟ่างร้องไห้ วันนั้นได้ไหมครับ”เสียงของเค้าประชิดเข้ามาที่ตัวผม พร้อมอ้อมแขนที่โอบกอดผมจากทางด้านหลัง ผมไม่ได้ขัดขืนการกระทำของเค้า แต่ยิ่งเค้ากอดแน่นเท่าไหร่ผมยิ่งรู้ว่าผมอ่อนแอ และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ยิ่งเหตุการณ์ที่เค้ากำลังพูดถึงมันคือวันที่ผมเสียใจมากที่สุดในชีวิต

“โพดไม่ได้ลืมนะครับ ว่าโพดสัญญาว่าจะเป็นคนดูแลพี่ฟ่าง เพียงแต่ตอนนี้โพดอาจจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลพี่ได้ พี่ฟ่างรอโพดนะครับ”ภาพในอดีตนั้นค่อยๆ จางหายไปแล้วเข้ามาแทนที่ด้วยใบหน้าในวัย 26 ปีของเจ้าของคำสัญญานั้น มองผมอยู่ด้วยแววตาที่เหมือนรู้สึกผิด

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ดูแลพี่ฟ่างตามที่เคยสัญญาไว้”เค้ายังคงมองผมนิ่ง ผมเองก็ยังทำหน้าเรียบเฉย ถามว่าผมยังรอให้เค้าทำตามสัญญาไหม มันก็คงไม่ขนาดว่าต้องมาใช้ชีวิตด้วยกันอะไรแบบนั้น เพราะเค้าก็คงต้องมีชีวิตของเค้า แต่ผมก็ยังอยากให้เค้ากลับมาอยู่ที่ไทยนั่นแหละครับ

“พี่ล้อเล่น เฉยๆ พี่อายุขนาดนี้แล้วไม่ต้องมีคนมาดูแลหรอก”ผมแสร้งทำยิ้มแย้มเพื่อไม่ให้เค้าคิดมาก เพราะผมเองก็คงไม่กล้าจะไปวุ่นวายกับชีวิตเค้าขนาดนั้น แต่เค้ายังคงสีหน้าไม่สู้จะดีสักเท่าไหร่ เห็นแบบนี้ เรื่องที่เค้าบอกจะคุยกับผมมันคงไม่ใช่การกลับมาอยู่ที่นี่เร็วๆ นี้แล้วละครับ

“เราก็มีทางเดินชีวิต ที่เราต่างเลือกแล้ว โพดไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงเราก็จะยังได้เจอกันทุกปีแบบนี้ไง”แค่นี้มันก็ดีมากแล้ว ยังได้มีเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันบ้างมันก็เพียงพอแล้ว

“งั้นพี่ฟ่างสัญญานะครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะยังมาเจอกันเหมือนเดิม”ผมไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของเค้าสักเท่าไหร่เพราะข้อตกลงนี้เราก็ทำแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมยังจะต้องมาให้ผมสัญญาอีก แล้วอีกอย่างผมเองเสียอีกที่ใช้ชีวิตอยู่ไทยตลอดเวลาอยู่แล้ว คนที่น่าจะติดขัดเรื่องการเดินทางมันน่าจะเป็นเค้าเสียมากกว่า

“ก็เคยตกลงกันแล้วยังต้องสัญญาอีกเหรอ”ผมถามกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก พร้อมกับแก้วเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าถูกยกขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานให้เอามาเสิร์ฟเพิ่มอีก

“น้องครับ ไม่ต้องแล้วครับ พอแล้ว”คำสั่งผมถูกขัดจังหวะโดยอีกคนที่มาด้วยกัน พนักงานถึงกับต้องย้อนมาถามยืนยันอีกครั้ง และเค้าก็เป็นคนบอกอย่างหนักแน่นว่าพอแล้ว ผมมองหน้าเค้าด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็พี่บอกว่าจะดื่มไม่เยอะไงครับ แค่นี้แหละพอแล้ว”แม้จะรู้สึกขัดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากเถียงกับเค้าครับ เพราะยังไงเค้าก็คงไม่ยอมอยู่ดี ทุกครั้งที่มาเจอกันเลยกลายเป็นช่วงพักตับไปโดยปริยาย เพราะเค้าก็จะคอยห้ามไม่ให้ผมดื่มมากนัก ก็ไม่ใช่ขนาดว่าห้ามเลยนะครับ แต่แค่ให้ลดจนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่จะมีหนึ่งวันที่เค้าปล่อยผม เพราะการไปภูเก็ตทุกครั้งมันก็จะมีวันนึงที่ทั้งผมและเค้าเข้าใจดีว่ามันคือวันที่แย่ที่สุดในชีวิต

“แล้วที่ผมถาม พี่สัญญาได้ใช่ไหมครับ”เค้าย้อนถามผมอีกครั้งเรื่องสัญญา จนผมเริ่มแปลกใจว่ามันมีอะไรสำคัญอย่างนั้นหรือ หรือว่ามันจะเกี่ยวของกับเรื่องที่เค้าบอกว่าจะคุยกับผม

“อือ สัญญาว่าจะยังเจอกันเหมือนเดิมทุกปี”ผมยังคงรับปากไปตามเดิม เพราะเอาจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็คงจะยังไปตามเดิมอยู่แล้ว แม้จะยังข้องใจในเหตุผลของเค้า แต่อีกไม่นานผมก็คงจะได้รู้

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ ผมสบตาเค้านิ่ง เริ่มรู้สึกได้ว่ามันคงต้องมีบางอย่างแน่นอน และมันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างเราสองคน เค้าถึงได้มาขอคำสัญญาจากผมแบบนี้ แล้วเหตุผลนั่นจะทำให้ผมไม่อยากมาเจอเค้าอย่างนั้นเหรอ อะไรกันที่จะมีผลให้ผมรู้สึกแบบนั้น แต่เราก็จบบทสนทนานั้นด้วยการที่ผมพยักหน้าตอบรับ เราไม่ได้พูดถึงอีกคนกลับถึงคอนโดผมและเข้านอน

“นอนไม่หลับเหรอครับ”เสียงจากเจ้าของอ้อมกอดที่กอดผมไว้หลวมๆ ถามขึ้น เค้าคงสัมผัสได้ว่าผมยังคงตื่นอยู่ อาจจะด้วยความที่นี่มันยังไม่ดึกมากและผมก็ไม่ใช่คนที่นอนเร็วแบบนี้ แถมด้วยการมีอีกคนมากอดไว้แบบนี้อีก

“อือ เหมือนยังไม่ค่อยง่วง แต่โพดหลับเลยนะ ไม่ต้องอะไรกับพี่หรอก พรุ่งนี้เราเดินทางเช้าอีกเดี๋ยวพี่ก็คงหลับแหละ”ผมพลิกตัวหันหลังให้เค้ากะว่าจะนอนนิ่งๆ จะได้ไม่รบกวนเค้าอีก พยายามไม่คิดอะไรและข่มตาหลับ

“ผมทำพี่อึดอัดหรือเปล่า”เค้าคลายอ้อมกอดออกเมื่อผมพยายามพลิกตัว

“เปล่าหรอกแค่ปกติไม่ค่อยนอนเร็วแบบนี้เลยหลับยากเท่านั้นเอง”พอผมบอกออกไปแบบนั้น เหมือนกับว่าเค้าก็ขยับตามเข้ามาชิดผมและดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม ลมหายใจอุ่นๆ ของเค้าพ่นออกมาตามจังหวะจนผมสัมผัสได้ นี่แหละครับที่มันทำให้ผมทั้งคิดมากและกังวล ความสัมพันธ์ของเรา มันดูจะเกินเลยความว่าพี่น้องไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่ได้ล้ำเส้นเกินไปมากนัก ผมว่าข้าวโพดเองก็รู้ในจุดนี้ แต่เราทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดอะไรออกมา มันเหมือนเราทั้งคู่ต่างมีกำแพงบางอย่างที่ยังไม่อยากจะยอมรับ

“พี่ฟ่างรักผมไหม”เสียงกระซิบถามแผ่วเบาพร้อมอ้อมกอดที่กระชับเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย

TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พูดกันไปเล้ย ว่ารักกัน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 5
คลื่นกระทบฝั่ง




เราทั้งคู่ใช้เวลาในการเดินทาง 10 กว่าชั่วโมงกว่าในที่สุดก็ถึงภูเก็ตเสียที ผมตบหน้าข้าวโพดเบาๆ เป็นการปลุก เพราะเค้ายังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เค้างัวเงียขยับตัว มองไปรอบๆ พร้อมสะบัดหัวไล่ความงัวเงีย เหนื่อยกันไม่ใช่เล่นละครับ นั่งรถมากว่า 800 กิโลเมตร ขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิวเลยแหละครับ

“เมื่อยชะมัดเลย”เค้าบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะลุกหยิบกระเป๋าเป้ของเราทั้งคู่ หลังลงจากรถมาไม่นานผมก็มองหารถของทางโรงแรมที่นัดไว้ โชคดีที่คุณป้าเจ้าของโรงแรมจำผมได้ ตอนติดต่อจองที่พัก คุณป้าเลยเลือกห้องที่ผมเคยพักในตอนนั้นให้ แถมใจดีลดราคาให้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังไม่คิดค่าบริการรถที่จะมารับพวกเราไปโรงแรมอีกด้วย นี่ผมก็กะว่าจะคุยกับคุณป้าเรื่องที่จะขอจอง ห้องพักในช่วงนี้ของทุกปีเอาไว้ ตามแพลนที่ผมได้คุยกับข้าวโพดไว้

มองหาสักพักผมก็ได้เจอกับคนที่มารับเราสองคน ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็ถึงที่พัก ดูเวลานี่ก็จะ สองทุ่มอยู่แล้วเรียกว่าเราเดินทางกันมาราธอนมากทีเดียว ตื่นออกจากบ้านกันตั้งแต่ตี 4 กว่าจะไปถึงขนส่งสายใต้ กว่าจะถึงภูเก็ต กว่าจะมาถึงโรงแรมนี่อีก ผมว่าปีหน้าผมคงกันเงินส่วนที่จะใช้จ่ายในการมาที่นี่ไว้มากขึ้นอีกสักหน่อย จะได้เปลี่ยนเป็นนั่งเครื่องมา คงช่วยประหยัดเวลาและลดความเมื่อยล้าได้ดีกว่านี้

รอบนี้ด้วยความที่มันเป็นครั้งแรก และค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็หมดกับค่าที่พักที่เราจะใช้ชีวิตที่นี่เกือบ 10 วัน ทีแรกผมก็ดูตั๋วเครื่องแล้วแหละครับแต่พอคำนวณค่าใช้จ่ายแล้วก็ดูจะเกินตัวพวกเราไปสักหน่อย แถมข้าวโพดเองก็อีกนานกว่าจะสามารถใช้เงินตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ยังไงเราทั้งคู่ก็ต้องวางแผนชีวิตและครับ เราไม่มีใครคอยดูแลแล้ว เงินที่มีอยู่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังที่สุด

“อ้าวมากันแล้วเหรอเด็กๆ ไม่เจอเสียนาน ไหนดูสิครั้งก่อนยังเป็นเด็กน้อยขี้แย ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันอยู่เลย มาวันนี้โตเป็นหนุ่มกันทั้งคู่ แถมหล่อมากด้วย”ป้ามั้นเจ้าของที่พัก เข้ามาทักทายเราสองคน เราทั้งคู่ยกมือไหว้ แม้จะไม่ได้เจอกันนานจนผมคิดว่าคุณป้าคงลืมพวกผมไปแล้ว แม้แต่ก่อน ครอบครัวของเราจะเคยมาพักที่นี่หลายครั้งก็เถอะ แต่ผมก็ลืมไปว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นป้ามั้นก็เป็นคนที่คอยช่วยเหลือพวกผมสองคนเป็นอย่างดี

“ยังไงมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำให้สบายตัวกันก่อนเนอะ ขาดเหลืออะไรก็บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะ คิดเสียว่าป้าก็เหมือนญาติผู้ใหญ่เราคนนึง”ป้ามั้นบอกอย่างเอ็นดู จริงๆ แกจะให้ผมพักฟรีเสียด้วยซ้ำ แต่ผมเองก็เกรงใจเพราะไม่ใช่แค่วันสองวัน

ทั้งผมและข้าวโพดขอแยกตัวเข้าห้องพัก ห้องพักที่ครั้งนึงมันเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ของพวกเราทั้งสองครอบครัว และวันนี้ผมอยากกลับมารำลึกถึงบุพการีของเราทั้งคู่ และอยากให้พวกท่านเห็นว่าเราเติบโตกันขึ้นขนาดไหนแล้ว

“พี่ฟ่างโอเคนะครับ”ข้าวโพดเดินเอามาตบไหล่ผมเบาๆ ทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง ห้องที่มองไปมุมไหน มันก็มีความทรงจำไปเสียหมด

“พี่ไม่เป็นไร”ผมยิ้มบอกกับน้องชาย เพราะถ้าเทียบกันแล้วที่นี่มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับบ้านที่ผมอยู่ แถมต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมยังทนอยู่กับความโดดเดี่ยวนั้นได้ แค่ที่นี่ซึ่งมีอีกคนมาด้วย มันสบายมากอยู่แล้ว

“งั้นผมเปิดน้ำอุ่นไว้ให้พี่ฟ่างแช่นะครับ จะได้สบายตัว”เค้าบอกกับผมแล้ววางกระเป๋าเดินเข้าห้องน้ำไป

“โพดแช่ก่อนก็ได้นะ”ผมตะโกนตามหลังไป ก่อนจะเดินมาทรุดลงที่เตียงนอน ผมก็ลืมไปว่าห้องนี้มันเป็นเตียงเดี่ยว แม้จะเป็น คิงไซส์แต่ก็คงต้องนอนด้วยกันกับอีกคนสินะ เมื่อก่อนเรายังตัวไม่โตกันมากก็นอนกอดกันปกติ แต่ตอนนี้ที่เราต่างคนต่างเริ่มเติบโตขึ้น การนอนกอดกัดแบบเมื่อคืนนั้นมันยังเป็นเรื่องปกติอยู่หรือเปล่า

“พี่ฟ่างโพดว่าเรามาแช่น้ำอุ่นๆ พร้อมกันเลยก็ได้นะ อ่างตั้งกว้าง”น้องชายตัวโตเดินมาบอกผมที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้ว

“ไม่เอาอะ ไม่อยากเห็นข้าวโพดจิ๋ว”ผมบอกขำๆ ก่อนจะยังนอนนิ่งอยู่เหมือนเดิม

“ข้าวโพดจิ๋วอะไร นี่ข้าวโพดพร้อมเก็บเกี่ยวแล้วเหอะ”เค้าบอกอย่างกระฟัดกระเฟียด แม้ตอนเด็กๆ เราจะแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันได้ แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่อีกต่อไปแล้วละครับ สุดท้ายเค้าก็ไม่ยอมไปอาบน้ำก่อน ทั้งยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาอ้าง จนผมขี้เกียจต่อปากต่อคำ เลยยอมเป็นฝ่ายอาบก่อน เพราะนี่เรายังไม่ได้ทานมื่อเย็นกันเลย

หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยระหว่างรอข้าวโพดอาบน้ำ ผมก็ออกมายืนรับลมที่ริมระเบียง ลมทะเลเอื่อยๆ พัดมาปะทะใบหน้าผมเป็นระยะ สลับกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง บรรยากาศรอบๆ ทำให้ผมรู้สึก “เหงา” ขึ้นมาอีกแล้ว ผมแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเพราะรู้สึกว่าน้ำตากำลังเอ่อขึ้นมาแล้ว ผมอมยิ้มทั้งที่น้ำตายังคลออยู่เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า

“ผมกำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว หวังให้คนบนฟ้าที่มองผมอยู่ได้รับรู้

“ไหนว่าไม่เป็นไรไงครับ”วงแขนที่สวมกอดผมมาจากด้านหลังพร้อมเสียงกระซิบที่ข้างหู ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง ทั้งที่ผมเป็นพี่ ผมควรเข้มแข็งให้มากกว่าเค้า แต่กลับแสดงแต่ความอ่อนแอให้เค้าเห็น

“พี่ฟ่างยังมีโพดนะครับ เราจะยังเป็นพี่น้องที่รักกันเหมือนเดิมและตลอดไปนะครับ”พี่น้องกันตลอดไปอย่างนั้นหรือ เหตุการณ์ในครั้งแรกที่เราเดินทางด้วยกัน ยังคงถูกบันทึกไว้อย่างแม่นยำในความทรงจำของผม ถึงวันนี้คนที่หลับอยู่ข้างๆ ผมนี่ก็คงยังเหมือนเดิมสินะ ตอนนี้เครื่องบินที่เรานั่งออกเดินทางการกรุงเทพฯ มาแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงถึงที่หมาย ส่วนน้องชายของผมก็หลับได้เช่นเคยแม้จะระยะทางสั้นๆ แค่นี้

ผมจ้องมองใบหน้าที่หลับพริ้มอยู่ข้างๆ ก่อนเจ้าของใบหน้านั้นจะค่อยๆ เลื่อนศีรษะมาพิงที่ไหล่ของผม ผมค่อยๆหุบยิ้มของตัวเองลงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนนอนที่เค้าถามผม

“พี่ฟ่างรักผมไหม”น้ำเสียงที่ถามมาเหมือนมีความไม่มั่นใจ ติดออกจะกังวลหน่อยๆ ผมเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าคำถามที่เพิ่งได้ยินเนี่ย เค้าหมายความยังไงกันแน่ ระหว่างรักในแบบพี่น้อง รักในแบบคนครอบครัวเดียวกัน หรือ “รัก” ในแบบอื่น

“รักสิ ก็เราเหลือกันแค่สองคนพี่น้องนิ”ผมเลือกที่จะบอกกลับไปแบบนั้น ทั้งที่ในใจผมเองก็รับรู้มานานแล้วว่ามันไม่น่าจะมีขอบเขตแค่นั้น แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อสถานะของเราทั้งคู่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น

“ผมก็รักพี่ฟ่างนะครับ”น้ำเสียงแผ่วเบาที่ตามมาด้วยอ้อมกอดของเค้ากระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วทั้งผมและเค้าก็เงียบกันไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่นานนักอ้อมแขนที่กอดผมไว้ก็เริ่มคลายออก ตามด้วยเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ลมหายใจที่เป่ารดต้นคอผม มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จนในที่สุดผมเองก็ผล็อยหลับตามเค้าไปอีกคน

“พี่ฟ่าง พี่ฟ่างครับ ถึงแล้ว”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นนี่ผมก็เผลอหลับตามเค้าเหรอเนี่ย ผมหันมองรอบๆ ตอนนี้เครื่องบินจอดนิ่งสนิทแล้ว ผู้โดยสารบางส่วนลุกขึ้นยืนหยิบสัมภาระ เตรียมรอที่จะลงแล้ว

“คิดถึงตอนที่เรามากันครั้งแรกเนอะ ตอนนั้นนั่งรถทัวร์จนรากจะงอกกว่าจะถึง”ทั้งผมและเค้าหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราก็พูดเรื่องนี้กันแทบทุกครั้งที่มา แต่พอวนมาอีกรอบก็ยังจะพูดถึงเหมือนเดิม

“นี่ป้ามั้นให้ใครมารับเราหรือเปล่าเนี่ย”ข้าวโพดกล่าวถึงหญิงสูงวัยที่ตอนนี้แทบจะเปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเราแล้ว การมาแต่ละครั้งของพวกเรา ด้วยความที่เราก็มากันทุกปี อยู่ทีก็ 10 วันเป็นอย่างต่ำก็เลยได้รับความเอ็นดูไปโดยปริยาย จริงๆ ป้ามั้นเองก็มีลูกชายคนนึงนะครับ ก็รุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่แหละ แต่ลูกชายแกทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ บางปีก็ไม่ได้กลับมาช่วงปีใหม่แบบนี้ แถมบางปีแกบอกจะตัดลูกชายออกจากกองมรดก เพราะไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้เอามากๆ นี่มารอบนี้ผมกับข้าวโพดก็คงจะได้รับการอัพเดทข่าวคราวของลูกชายป้าแกอีกแน่นอนครับ

“จริงๆ โพดว่าเราเช่ารถขับไปกันเองก็ได้นะจะได้ไม่ต้องลำบากที่โรงแรมด้วย”ผมก็เคยคิดแบบนั้นนะครับ และก็เคยทำเมื่อครั้งที่แล้ว แต่พอป้ามั้นรู้เท่านั้นแหละครับนอกจากจะให้เด็กที่โรงแรมเอารถไปคืนแบบทันทีทันใดแล้ว ยังงอนพวกผมอีกต่างหาก

“คิดว่าป้าแกจะยอมให้เราทำไหม ว่าแต่นี่เอาอะไรมาฝากป้ามั้นละ”เราคุยกันพร้อมเดินออกจากเครื่อง แต่ข้าวโพดกลับหยุดและทำหน้าตกใจแบบสุดขีด

“โพดลืมของฝาก”เค้าทำท่าตกใจ ซึ่งดูจะเวอร์ไปหน่อย แม้ปกติเราจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากครอบครัวนี้เสมอ แต่ถ้าครั้งนี้ไม่มีมันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร อีกอย่างผมเองก็มีของมาฝากเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว แลกกับการที่เราสองคนแทบจะเป็นแขกวีไอพีของที่นี่

“ล้อเล่น ใครจะลืมของฝากให้ป้ามั้นกับลุงถาของเราได้ละ”เค้าเดินมากอดคอผมให้รีบเดิน นี่ก็ขี้เล่นเสียจริง อายุก็เลยเบญจเพศมาแล้วยังจะเล่นเป็นเด็กๆ อีก พอออกมาไม่นานป้ามั้นก็ต่อสายมาเหมือนรู้แล้วว่าพวกผมลงเครื่อง ก็แน่ละผมบอกไว้แล้วนิว่าเครื่องลงกี่โมง ไม่นานนักพอได้เจอกับคนที่มารับเรา รถคันนั้นก็พาเราวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย

“ป้ามั้นครับ คิดถึงจังเลย”ข้าวโพดเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปกอดประจบหญิงสูงวัย ผมเลยแค่ยกมือไหว้ แต่มีหรือคุณป้าจะยอม กวักมือเรียกผมเข้าไปกอดด้วยอีกคน

“มากันแล้วเหรอ เห็นหน้ากันทุกปีเมื่อไหร่จะพาแฟนมาด้วยกันบ้าง นี่มาทีไรก็มาแค่สองพี่น้อง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ลุงกับป้าจะได้อุ้มหลานกันละเนี่ย”ลุงถาสามีของป้ามั้นออกมาทักทายด้วยอีกคน อย่างที่บอกว่าทั้งคู่เอ็นดูเราเหมือนลูกเหมือนหลานไปแล้วครับ นี่ก็ถามทุกปีว่าเมื่อไหร่พวกผมจะแต่งงานสักที ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ มีแต่ข้าวโพดแหละครับที่รับมุกคุยต่อเรื่องนี้

“ผมยังเด็กอยู่เลยครับ คุณลุงคุณป้าน่าจะไปเร่งพี่ชาร์ปมากกว่านะครับ ได้ข่าวรายนั้นน่าจะเนื้อหอม”ข้าวโพดกล่าวถึงหนุ่มแว่นลูกชายคนเดียวของลุงถากับป้ามั้น แว่นหรือชาร์ปอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่แหละครับ แต่ก็เคยเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง ส่วนใหญ่มีแต่ป้ามั้นบ่นให้ฟังแหละครับ

“รายนั้นป้ารอจนถอดใจไปแล้วละ”ป้ามั้นบอกขำๆ พวกเราพูดคุยกันอีกเล็กน้อย เอาของฝากให้ลุงถากับป้ามั้น เสร็จก็ขอตัวเข้าห้องพัก แม้นี่จะยังเพิ่งสายๆ แต่การตื่นมาแต่เช้า และแสงแดดที่ยังร้อนอยู่ทำให้เรายังไม่ได้คิดที่จะออกไปไหน อีกหนึ่งของการมาที่นี่ก็คือการได้พักผ่อนจริงๆ นี่แหละครับ ได้นอน ได้พักให้เต็มที่ ส่งท้ายปีด้วยการพักผ่อนจริงๆ ก่อนจะกลับไปเริ่มต้นปีใหม่

ข้าวโพดแยกตัวออกไปยืนสูบบุหรี่ที่ริมระเบียงทันทีที่เข้าห้องมา ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่พอสมควร คือผมแทบไม่เคยเห็นเค้าสูบบุหรี่เลย จนผมเข้าใจไปเองว่าเค้าไม่ได้สูบบุหรี่

“สูบบุหรี่ด้วยเหรอ”ผมเดินตามออกมาตรงริมระเบียง ถามคำถามที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ผมมองเลยไปที่ไฟแช็คและซองบุหรี่ ทั้งคู่บ่งบอกสภาพตัวเองว่าไม่ใช่ของที่เพิ่งซื้อมา นั่นหมายความว่าเค้าไม่ได้เพิ่งซื้อหรือสูบเป็นครั้งแรก เค้าตอบรับผมเพียงสั้นๆ ในสิ่งที่ผมถาม

“พี่ไม่เคยเห็นโพดสูบเลย”ผมยังคงสงสัย เพราะขนาดเรื่องดื่ม เค้ายังเป็นคนที่คอยปรามผม ไม่ให้ดื่มเยอะเพราะเค้าว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วบุหรี่นี่ละ มันดีต่อสุขภาพเค้าอย่างนั้นหรือ เค้าหันหน้าไปอีกทาง พ่นควันออกไปก่อนจะกดบุหรี่ลงตรงที่เขี่ย ที่เค้าหยิบติดออกมาจากในห้อง

“โพดรู้ไงว่าพี่ฟ่างไม่ชอบควันบุหรี่”เค้าหันมาตอบผม โดยที่ยังมีกลุ่มควันจางๆ ลอยฟุ้งอยู่ แล้วคำตอบของเค้านี่หมายความว่ายังไง รู้ว่าผมไม่ชอบ เลยไม่สูบให้เห็นอย่างนั้นเหรอ แสดงว่าเค้าสูบมานานแล้ว โดยที่ไม่ให้ผมรู้งั้นสิ ผมหัวเราะหึในลำคอ จริงสินะปีนึงมันก็มี ตั้ง 365 วัน แต่เราได้เจอกันแค่ 10 วัน มันก็ต้องมีเรื่องราวอีกมากมายในชีวิตของอีกคนที่เราไม่อาจรับรู้ได้

“แล้วทำไมวันนี้ถึงสูบให้เห็น”ผมก้าวถอยหลัง ยืนพิงผนังอีกฝั่งของระเบียง สายตาทอดมองออกไปยังน้ำทะเลเบื้องหน้า ที่จริงผมก็เริ่มสังเกตเห็นสีหน้ามีความกังวลบางอย่างของเค้า ตั้งแต่ที่แยกจากป้ามั้นกับลุงถาแล้วแหละครับ แต่ก็ไม่อยากถามเพราะคิดว่าถ้าเค้าพร้อมที่จะเล่า เค้าคงเล่าออกมาเอง

“กะว่าจะเลิกแล้วแหละครับ ปีใหม่นี้กะว่าจะไม่สูบอีกแล้ว”เค้าบอกเสียงราบเรียบ โดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของผม แล้วเราก็ต่างคนต่างเงียบกันไปพักนึง เหมือนต่างคนต่างปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดบางอย่าง มีเพียงเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งเท่านั้นที่ยังส่งเสียงเหมือนกำลังเชียร์เราสองคน ให้ใครคนใดคนหนึ่งเปิดปากพูดก่อน

“พี่ฟ่างเคยคิดอยากจะมีลูกไหมครับ”ผมหันไปมองอีกคนที่ถามออกมาแบบนั้น ทำไมเค้าถึงถามคำถามนี้กับผม แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดถึงการมีลูกมาก่อนอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้ชอบผู้หญิง และไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงานมีครอบครัว

“พี่ไม่คิดว่าตัวเองจะดูแลใครได้”ผมตอบออกไปตามตรง เพราะนึกภาพตัวเองไม่ออกจริงๆ ว่าจะเลี้ยงดู หรือดูแลใครสักคนตั้งแต่เป็นทารกจนกลายเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไง

“เมื่อก่อนผมก็ไม่คิด”เค้าหยุดเว้นวรรคหันมามองผม ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมเค้าถึงมาคุยเรื่องนี้กับผม หรือจากที่ป้ามั้นพูดก่อนที่เราจะแยกตัวมา หรือที่เค้าว่ามีเรื่องจะคุยกับผม มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมหันไปจ้องคลื่นที่ยังคงถาโถมเข้าหาฝั่ง แต่พอมาถึง ก็ล่าถอยสะท้อนกลับห่างออกไป มันคงเหมือนระห่างระหว่างผมกับเค้า ที่แม้เหมือนจะเข้าใกล้กันแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องห่างกันไปอยู่ดี

“ผมแค่ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าผมเป็นพ่อคน ผมจะสอนเค้ายังไง ทำยังไงให้เค้ามีความสุข เค้าหัวเราะผมคงจะหัวเราะตาม เค้าเจ็บ เค้าร้องไห้ ผมจะเป็นยังไง ผมจะรักใครคนนึงได้มากกว่าตัวผมเองหรือเปล่า”

TBC


 o13 :bye2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โพด ถามเรื่องลูก และพูดถึงการเลี้ยงลูกทำไม  :katai1:
แล้วที่บอกว่ารักฟ่าง ยังไงกัน   :katai1:
พูดให้ชัดเจนสิว่ารักแบบไหน เฮ้ย........ :m16: :m16: :m16:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 6
10 วันของเรา



“ไอ้ฟ่างเร็วๆ กูเสี้ยนเบียร์”เสียงตะโกนบอกพร้อมเคาะประตูห้องทำให้ผมต้องรีบเอามือปิดโทรศัพท์มือถือ หวังไม่ให้เสียงลอดเข้าไปให้ปลายสายได้ยิน แต่เสียงพูดปลายสายที่เงียบไปทำให้รู้ว่าเค้าคงได้ยินแล้ว และก็คงรู้อีกนั่นแหละว่าผมเพิ่งโกหกคำโตออกไป ที่จริงวันนี้ผมต้องอยู่ที่ภูเก็ตแล้วครับ ตามปกติเหมือนทุกปีที่นัดกับอีกคน แต่ปีนี้เนื่องจากวันลาเหลือ งานเสร็จเร็ว ไอ้ต้าร์กับกุ้งเลยชวนผมมาเที่ยวเชียงใหม่

แถมไอ้คนที่ชวนผมมานี่แหละที่พาผมเมาหัวทิ่มทุกคืน ขนาดโดนแฟนบ่นแล้วบ่นอีก มันก็ยังจะลากผมออกไปให้ได้ แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือมันทำผมตกเครื่องเมื่อเช้า ที่จะต้องบินจากเชียงใหม่ไปภูเก็ต ตกแบบตื่นมาเครื่องคงถึงภูเก็ตไป 3-4 รอบแล้ว เลยจำต้องเลื่อนไฟลท์เป็นพรุ่งนี้เช้า

“ไหนบอกไม่สบาย ไหนบอกไม่ได้ดื่มจนเมาแล้วตกเครื่อง”เสียงเย็นยะเยือกจากปลายสายทำเอาผมเสียวสันหลัง รู้สึกยังกะเป็นเด็กโดนผู้ใหญ่จับได้ว่าทำความผิด แต่ความจริงไอ้คนที่กำลังจะดุผมเนี่ยดันเป็นน้องชายที่อายุน้อยกว่าผมเสียอีก

“พี่ฟ่างโตแล้วนะครับ นัดก็ต้องเป็นนัดสิ”พูดไม่ออกเลยสิครับผมทีนี้ ก็รู้ว่าเค้าต้องโกรธและก็พยายามจะโกหกให้ตลอดรอดฝั่งแล้ว เค้าจะได้ไม่โกรธแบบนี้ แต่ไอ้คนคิดแผนให้ผมโกหกว่าป่วยนี่แหละที่มาทำพัง อยากจะออกไปด่าไอ้คนที่เคาะประตูนั่นนะครับ แต่ถ้าคิดดูดีๆ ผมเองก็ผิดที่ยอมไปกินเหล้ากับมันจนเมาตกเครื่องเอง แถมก็ยอมแถโกหกนี่ด้วย แทนที่จะยอมรับและบินไปตั้งแต่บ่าย

“ผมมาตั้งไกล จะขอแวะดูคอนโดก็ไม่ให้แวะ จะขอตามไปเชียงใหม่ด้วยก็ไม่ให้ตาม บอกจะมาเจอกันวันนี้ก็บอกไม่สบาย ผมก็อุตส่าห์เป็นห่วง”น้ำเสียงที่ออกจะผิดหวังนั่นทำเอาผมยิ่งรู้สึกผิด แต่ส่วนหนึ่งที่ผมเองมรอยู่ที่นี่หรือไปช้าแบบนี้ ก็เพราะรู้สึกอยากลดระยะเวลาที่อยู่กับเค้าลงบ้าง แม้จะคิดถึง แม้จะอยากเจอ แต่มันก็มีความอึดอัดในใจบางอย่างที่ผมต้องซ่อนไว้

“ขอโทษ”แม้รู้ว่าพูดแค่นี้ เค้าคงไม่หายโกรธหรอก แต่ก็คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ได้วางสายไป

“แล้วนี่กินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่”ผมพยายามหาเรื่องคุย เพื่อให้บรรยากาศตอนนี้มันผ่อนคลายขึ้น แถมตอนนี้ไอ้ต้าร์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย ผมต้องเอามือจุ๊ปากให้มันอยู่เงียบๆ ก่อนที่ผมจะโดนโกรธไปมากกว่านี้ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีนี่ก็ยังไม่ยอมอยู่เฉยๆ นะครับมันเล่นเอาหูมาแนบฟังข้างๆ ผมเพื่อฟังด้วย

“พี่ฟ่างสนใจโพดด้วยเหรอครับ”เริ่มประชดแล้วครับงานนี้ พักหลังนี่รู้สึกทั้งผมและเค้าประชดประชันกันบ่อยขึ้น จนบางทีผมก็คิดนะครับว่ามันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาทำอะไรกันแบบนี้

“นี่กำลังไปไหนเหรอ”ผมถามโดยไม่สนใจกับการที่เค้าพูดประชดผม เสียงรถยนต์ที่ลอดเข้ามาเบาๆ ตามสายทำให้พอจะรู้ว่าเค้ากำลังเดินทางออกไปไหนสักที่นั่นแหละครับ

“ว่าจะไปหาดื่มเหล้า ให้เมาหัวราน้ำสักหน่อยครับ ไม่อยากยอมแพ้ใครบางคน”ยังครับยังไม่หยุดอีก นี่ผมว่าถ้าเค้าอยู่ต่อหน้าผมคงโดนบ่นหูชายิ่งกว่าพ่อแม่บ่นเสียอีกนะครับ เนี่ย

“ไอ้โพด ไอ้ขี้บ่น ไอ้หวงพี่ เดี๋ยวกูจะลากพี่มึงไปเมาให้ตกเครื่องอีกรอบ”ไอ้เพื่อนเลว อยู่ๆ ก็แย่งโทรศัพท์ผมไปพูดแล้วกดวางสายไปอย่างถือวิสาสะ

“ไอ้เชี่ยทำไรเนี่ย”ผมรีบแย่งโทรศัพท์เพื่อจะได้โทรกลับไป แต่ไอ้ต้าร์ก็ยังไม่ยอมคืนให้ผม

“มึงจะอะไรนักหนาวะไอ้ฟ่าง เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงก็ไปเจอกันแล้วจะอะไรมากมาย นั่นน้องมึงนะไม่ใช่ผู้ปกครอง ต้องกลัวมันทำไม มึงเป็นพี่มันนะเผื่อมึงจำไม่ได้”ไอ้เพื่อนตัวดีบอกอย่างหมั่นไส้

“ก็กูเหลือกันอยู่สองคนพี่น้อง”ไม่ใช่ผมที่พูดนะครับ แต่ไอ้เพื่อนตัวดีของผมนั่นแหละที่ล้อเลียนผม

“เออๆ เอามือถือกูคืนมา แล้วจะลากกูไปไหนก็ไป”ผมบอกรับปากตัดรำคาญ

“ต้องงี้สิวะ นี่อะไรทำตัวหงอยังกะขอแฟนออกไปเที่ยว”แฟนงั้นเหรอ ที่ผมกับอีกคนนี่ทำตัวเหมือนแฟนกันงั้นเหรอ ไอ้ต้าร์ชอบแซวผมในลักษณะนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็เท่านั้นแหละครับ เราก็เป็นแค่พี่น้องที่เจอกันปีละ 10 วัน

“อย่าดึกละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฟ่างก็ตกเครื่องอีก”เสียงกุ้งที่ดังขึ้นมาทำเอาไอ้ต้าร์สะดุ้งไปเล็กน้อย แต่พ่อบ้านใจกล้าอย่างมันแม้จะเกรงใจกุ้ง แต่ก็ยังจะไปอยู่ดีนั่นแหละครับ มันเดินเข้าไปทำทีประจบประแจงแฟน ก่อนจะหันมายักคิ้วใส่ผม ประมาณว่าให้ดูมันเป็นตัวอย่าง แต่คือผมเนี่ยไม่ได้มีแฟนไหมละ

ไอ้ต้าร์เดินมากอดคอผม เดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์ ที่บังคับผมออกไปดื่มได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันจะได้สตาร์ทรถ เราทั้งคู่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นรถ ที่ไม่ค่อยคุ้นตามาจอดหน้าบ้าน

“ทันเวลาพอดี เสียใจด้วยนะคะสองหนุ่ม”ผมกับไอ้ต้าร์หันมองกุ้งที่มายืนพูดอยู่ด้านหลังอย่างไม่เข้าใจ แต่พอหันกลับมาทางหน้าบ้าน คนที่ก้าวลงจากรถก็ทำให้ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วละครับ

“มาได้ยังไง”ผมรีบเอ่ยทักคนหน้าตึง ที่กำลังเดินเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนคุยโทรศัพท์ผมยังเข้าใจว่าเค้าอยู่ภูเก็ตอยู่เลย แล้วนี่ผ่านไปไม่กี่นาที เค้าก็โผล่มาถึงเชียงใหม่นี่ได้ยังไงกัน

“สงสัยน้องโพดคงห่วงพี่ชายมาก เห็นว่าพี่ชายไม่สบายถึงกับไปขึ้นเครื่องไม่ได้”น้ำเสียงกุ้งดูจงใจให้คนหน้าบึ้งนี่ ฆ่าผมตรงนี้เลยหรือไงเนี่ย แต่ข้าวโพดก็ยังคงนิ่งเงียบ มีแค่แววตาที่มองมานั่นแหละ ที่ผมก็พอจะเดาได้ว่าเค้ากำลังไม่พอใจผมอย่างแรง

“เดี๋ยวๆ ไอ้น้องข้าวโพดครับ พี่ข้าวฟ่างของมึงตกลงกับกูแล้วว่าจะไปดื่ม นี่มึงมาไม่พูดไม่จาจะลากพี่ชายสุดที่รักไปไหน”ไอ้ต้าร์รีบยื้อผมไว้ ไอ้นี่ก็ไม่ดูสถานการณ์บ้างเลย ช่วยดูอารมณ์น้องกูสักนิดไหมว่าควรเล่นด้วยหรือเปล่า ข้าวโพดหันไปจ้องไอ้ต้าร์ตาขวาง แม้ทั้งข้าวโพด กุ้ง ไอ้ต้าร์จะเคยเจอกันมาบ้างแล้ว หรือเคยคุยโทรศัพท์กันบ้าง แต่ทั้งกุ้งและไอ้ต้าร์อาจยังไม่เคยเห็นมุมนี้ของข้าวโพดสินะ

“10 วันนี้เป็นวันของผม พี่ฟ่างต้องอยู่กับผม”เค้าหันไปบอกเสียงแข็ง จนผมต้องกระตุกแขนเค้าให้เย็นลง ไม่อยากให้อารมณ์ร้อนมากนัก ไอ้ต้าร์กำลังจะอ้าปากเถียง แต่ข้าวโพดก็ไม่แม้แต่จะคิดรอฟัง เค้ากึ่งเดินนำกึ่งลากแขนผมให้เดินตามด้วยความรวดเร็ว

“ห้องไหน”พอลากผมเข้ามาในบ้านได้ก็ต้องชะงัก เมื่อไม่รู้ว่าผมพักห้องไหน ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงหลุดขำกับอาการนี้ของเค้าไปแล้ว แต่นี่ผมทำได้เพียงชี้ให้เค้าดูว่าผมพักห้องไหน

“นี่พี่ชายหรือเมียมึงวะไอ้โพด แค่ปล่อยมันไปแค่นี้จะหวงอะไรนักหนา”เค้าหยุดชะงักทันทีที่สิ้นคำพูดของไอ้ต้าร์ ไอ้นี่ก็ขยันหางานให้ผมจัง ก็ทั้งที่เห็นอยู่ว่าไอ้น้องชายผมกำลังหงุดหงิด ก็ยังจะมาแหย่อีก

“พี่ฟ่างจะไปกับเพื่อนก็ได้นะครับ เพื่อนที่ปีหนึ่งก็เจอกันที่ทำงานทุกวัน วันหยุดก็ยังไปเที่ยวเฮฮาสังสรรค์ ปาร์ตี้ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว น้องชายคนนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้วนิครับ”พอพูดจบก็ปล่อยข้อมือผม ผมหันไปมองไอ้ต้าร์ขวางๆ ก่อนจะทำท่าให้มันรูดซิบปาก ผมเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆ ใหม่และเป็นคนเดินนำเค้าเข้าห้องที่ผมพัก

“มาได้ยังไง”หลังจากเข้ามาในห้อง ทั้งผมและเค้าก็นั่งเงียบๆ บนเตียงอยู่พักใหญ่ จนผมทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายถามก่อน เค้าหันมามองหน้าผมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“ทำไมต้องให้เป็นห่วงด้วย พี่รู้หรือเปล่า ตอนแรกผมนึกว่าพี่เป็นอะไรมากเสียอีก”น้ำเสียงเค้าอ่อนลง แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าไม่ค่อยพอใจผมอยู่ เค้าเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่หน้าของผม ก่อนจะลาก วนไปมา

“ผมคิดถึงพี่นะครับ พี่ละคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า ทำไมไม่รีบไปหาผมละครับ”เค้าดึงตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น อยากจะบอกเค้านะครับว่าผมเองก็คิดถึงเค้า คิดถึงอาจจะมากกว่าเค้าเสียด้วยซ้ำ แต่ความคิดถึงของพวกเราทั้งคู่มันเหมือนกันหรือเปล่า

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ขอโทษที่โกหก ขอโทษที่ปล่อยให้รอ ขอโทษที่ต้องลำบากตามมาถึงนี่”ผมบอกทั้งที่เรายังกอดกันอยู่

“ยังโกรธอยู่ไหม”แม้ทีแรกจะกังวลว่าเค้าจะไม่พอใจจนโวยวายใหญ่โต แต่นี่เค้าก็คงโตจึ้นเยอะแล้ว ปีนี้ก็ เบญจเพสแล้วนิ คงรู้จักควบคุมอารมณ์บ้างแล้วสินะ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยเห็นเค้าโกรธผมนานนี่เนอะ เค้าบอกผมเสียงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ ว่าหายโกรธแล้ว

“ถ้าหายโกรธแล้ว พี่ก็ไปหาไรดื่มกับไอ้ต้าร์ได้แล้วสิ”ผมแกล้งแหย่เค้า แต่ผลคือเค้าแทบจะกินหัวผมอีกรอบ ผมคลี่ยิ้มกับภาพเก่าๆ พวกนั้น ก่อนจะมองหาคนที่อยู่ในความทรงจำนั้นร่วมกับผม เค้าขอตัวแยกออกไปรับโทรศัพท์ แต่นี่ก็หายไปจะครึ่งชั่วโมงแล้ว มีธุระอะไรสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ไหนเคยบอกว่า 10 วันในทุกๆ ปีต้องเป็นวันของเราสองคนไง ตกลงกันไว้แล้วว่าจะใช้เวลาร่วมกัน แล้วนี่หายไปไหน

ผมลุกจากล็อบบี้ที่นั่งรอ แต่เดินออกมาไม่ไกลนักก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ แม้จะได้ยินไม่ถถนัดนักแต่น้ำเสียงที่แว่วมาก็ดูจะเครียดอยู่ไม่น้อยทีเดียว ผมไม่ได้ก้าวเข้าไปมากกว่านั้นเพราะ เข้าใจว่ามันคือเรื่องส่วนตัวของเค้า แต่น้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ผมเริ่มจับใจความได้

“ก็บอกแล้วไงว่าได้จริงๆ แต่ขอเวลาอีก 10 วัน”ผมกำลังจะก้าวถอยหลังเพราะไม่อยากที่จะฟังต่อ แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ในเมื่อเค้าไม่ได้อยากที่จะให้ผมรู้ถึงขนาดที่ขอออกมาคุยข้างนอกแบบนี้ ผมก็ไม่ควรจะบังเอิญมาได้ยินสินะครับ แต่ผมยังไม่ทันขยับ เค้าก็หันกลับมาเห็นผมเสียก่อน เค้าดูตกใจที่เห็นผม ผมเลยโบกมือส่งยิ้มให้ตามปกติ แม้ในใจจะรู้สึกสงสัยว่าเค้าปิดบังอะไรผมอย่างนั้นหรือถึงต้องตกใจที่เห็นผม และเหมือนจะรีบวางสายเดินมาหาผมทันที

“พอดีคุยกับเพื่อนนานไปหน่อย”เค้าเดินเข้ามาบอกกับผมด้วยอาการที่ไม่ปกติสักเท่าไหร่ นั่นยิ่งทำให้ผมเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เค้าคุยมันจะเกี่ยวกับผม เกี่ยวกับการมาที่นี่หรือเปล่า แต่ ผมก็ไม่ได้แสดงอาการสงสัยหรืออะไรออกไป ยังคงทำตัวตามปกติ

“จะว่าไป พี่ก็ไม่รู้จักเพื่อนโพดสักคนเลยเนอะ”ผมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในใจก็คิด ว่าจริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้อะไรรอบๆ ตัวเค้าเลย เค้ามีสังคม มีเพื่อนเป็นใครบ้าง ผมก็ไม่รู้ เอาจริงๆ ผมก็คงรู้แค่ในส่วนที่เค้าเล่าแค่นั้น

“แหม เพื่อนพี่ผมก็รู้จักแค่พี่ต้าร์กับพี่กุ้ง 2 คนเอง”เค้าเริ่มตอบกลับผมด้วยท่าทีปกติ จะว่าไปมันก็อาจจะปกติสำหรับเราสองคนแล้วก็ได้ที่ไม่ค่อยรู้จักคนรอบๆ ตัวของอีกฝ่าย เพราะโอกาสที่จะได้เจอกับสังคมของอีกคนมันแทบไม่มีเลย

“ป่ะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”เค้าเดินมาหลักผมให้นำหน้าไป แต่ผมเดินได้ไม่กี่ก้าง เสียงโทรศัพท์ของเค้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเค้าดูกังวลเมื่อหยิบขึ้นมาดู

“พี่เดินรอละกัน”ผมคิดเอาเองว่าเค้าอาจจะลำบากใจที่จะรับต่อหน้าผมเลยเลือกที่จะเอาตัวเอง ออกห่างจากเค้ ผมเดินนำไปได้สักพักถึงหันกลับมามอง แม้จะอยู่ในระยะที่ไม่มีเสียง แต่ผมก็ยังเห็นใบหน้าของเค้าอย่างชัดเจน ใบหน้าที่เคร่งเครียด จนผมเริ่มรู้สึกเป็นห่วงว่าเค้ากำลังมีปัญหาอะไรหรือเปล่า




TBC

คู่นี้ก็คลุมเครือกันต่อไป

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  o13

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฮึ่ยยยย......เข้าใจว่าฟ่าง มีคิดอะไรกับข้าวโพด
แล้วพยายามเก็บไว้ เพราะไม่รู้ว่าโพดรักฟ่างยังไงกันแน่

แต่ตอนนี้รู้สึกว่าข้าวโพด มีอะไรเก็บไว้ เป็นความลับเหมือนกัน
โพด มีใครทางโน้นหรอ ทั้งที่ปากบอกรักฟ่าง ติดฟ่าง
ชักสงสัยฟ่างและ ฟ่างแอบคบใครแน่เลย
ก็เข้าใจนะว่ามันเหงา แต่จบแน่ๆฟ่างจบกับโพดแน่ๆ ถ้าโพดมีจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 7
เซอร์ไพรส์


“เสร็จยัง”ผมถามอีกฝ่ายที่กำลังเขียนเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ภายในปีใหม่นี้ เนื่องจากว่าเราทั้งคู่มาเจอกันในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างนี้ทุกปี และแต่ละปีเราเองก็ต่างที่เรื่องที่อยากทำหรืออยากปรับปรุงแก้ไข เราเลยตกลงกันว่าจะเขียน “New Year’s Resolutions” กันคนละ 10 ข้อ หลังจากนั้นพอมาเจอกันอีกทีก็จะเอามาเทียบกันว่าใครทำได้มากกว่ากัน ซึ่งนี่ก็เป็นปีที่ 2 ของพวกเราแล้วที่ทำแบบนี้

ซึ่งเราจะไม่บอกซึ่งกันและกันในสิ่งที่เขียนล่าสุด แต่เราจะมาแลกกันดูในสิ่งที่เราเขียนไปเมื่อปีที่แล้ว และเราก็สัญญากันแล้วว่าจะไม่โกหก ว่าได้ทำจริงๆ แล้วหรือเปล่า ผมฉีกสมุดโน้ตของผม หน้าที่เขียน 10 ข้อนั้นไว้เมื่อปีที่แล้ว และกำลังรอกระดาษที่มี 10 ข้อของอีกคนอยู่ เค้าฉีกหนึ่งแผ่นมาให้ผมเช่นกัน หลังจากเขียนของปีนี้เสร็จเรียบร้อย

1.เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่
2.สอบใบขับขี่รถยนต์
3.เที่ยวปาย
4.หาเพื่อนสนิทเป็นคนเหนือ
5.เรียนทำอาหาร
6.ซื้อกล้อง
7.ออกกำลังสม่ำเสมอ
8.หัดทำเค้ก
9.คิดถึงพี่ฟ่างทุกวัน
10.เซอร์ไพรส์พี่ฟ่าง

ผมอ่านข้อความแล้วมาสะดุดกับข้อสุดท้ายเพราะเค้าขีดฆ่าออก บ่งบอกว่าทำแล้ว แต่ไม่เห็นผมจะได้รับเซอร์ไพรส์อะไรนี่นา ผมเงยหน้ามองอีกคนที่คงเพิ่งอ่าน 10 ข้อของผมจบ เค้าเงยหน้ามามองผมประมาณว่ามีอะไรอะไร ผมชูกระดาษในมือให้เค้าดู

“ไหนเซอร์ไพรส์ ไม่เห็นมีเลย”ผมถามอย่างสงสัย เค้าเดินยิ้มมาหยิบกระดาษไปจากมือผม แล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าผม ผมก็มองอย่างสงสัย แล้วอีกอย่างต่อให้เค้ามีเซอร์ไพรส์ให้ผมจริงๆ แล้วให้ผมดูกระดาษของเค้าก่อนแบบนี้ ผมจะไปเซอร์ไพรส์ได้ยังไงกัน หรือเค้าแอบทำอะไรให้ผมไปแล้ว ก็ไม่น่าจะใช่

“อยากเซอร์ไพรส์ป่ะละ”เค้ายังคงจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตา แต่สายตาเค้านี่มันดูเจ้าเล่ห์จนผมนึกหมั่นไส้

“ถ้าจะลีลาขนาดนี้ ไม่ต้องเซอร์ไพรส์แล้วก็ได้”ผมบอกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินไปทำอย่างอื่น

“เดี๋ยวสิครับ”แขนผมถูกเค้าคว้าให้หันกลับมาเผชิญหน้าเค้าเช่นเดิม แต่ที่ต่างไปเพราะสีหน้าแววตาของเค้าที่มันดูจริงจังและมุ่งมั่นกว่าเดิม

“ที่ผมขีดฆ่าแล้ว เพราะผมตั้งใจจะเซอร์ไพรส์พี่ฟ่างจริงๆ นะครับ แล้วก็มั่นใจมากด้วยว่าพี่ฟ่างต้องเซอร์ไพรส์”มีใครที่ไหนไหมครับที่จะทำเซอร์ไพรส์คนอื่น แต่มาบอกก่อนขนาดนี้ แถมยังมาพูดว่ามันใจอีกว่าเราจะยังเซอร์ไพรส์แบบนี้ นี่ผมเริ่มคิดละ ว่าเค้าคงแค่อำผมเล่น หรือว่าไอ้อำเล่นนี่แหละคือการเซอร์ไพรส์ผม

“ไหนล...”ผมพูดยังไม่ทันจบคำดี เสียงของผมก็ถูกกลืนหายกลับลงไปเช่นเดิม เพราะริมฝีปากผมถูกประกบด้วยปากของอีกคน หน้าผมถูกประคองกึ่งล็อคด้วยสองมือของเค้าไม่ให้ขยับ ผมตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะทำอะไรแบบนี้ แม้เราสองคนจะเคยแสดงความรักระหว่างพี่น้องมาหลายรูปแบบ ทั้งกอด หอมแก้ม จุ๊บแก้ม จุ๊บหน้าผาก แต่การจูบปากแบบนี้ ถึงจะเป็นแค่การเอาปากประกบกันเฉยๆ แบบนี้โดยที่ไม่ได้มีการใช้ลิ้น แต่นี่ผมก็ไม่คิดว่ามันคือการแสดงความรักระหว่างพี่น้อง

“เซอร์ไพรส์ไหมครับ”เค้าถอนริมฝีปากออก แต่สองมือยังคงประคองใบหน้าผมไว้ เค้าค่อยๆ ลดมือลง แต่เปลี่ยนเป็นเอาหน้าผากของเค้ามาแนบกับหน้าผากผม ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่พยายามเก็บอาการไม่ให้ออกมากนัก ซึ่งผมว่าผมคงปิดไม่มิดเท่าไหร่ คนตรงหน้าถึงยังยิ้มอยู่แบบนี้

“เล่นอะไรเนี่ย”ทันทีที่ผมตั้งสติได้ ผมรีบถอยออกจากเค้า และนั่นก็เป็นครั้งเดียวที่เราทำอะไรกันแบบนั้น หลังจากวันนั้น เรายังทำตัวปกติเหมือนเดิม เหมือนเรื่องนี้ก็เป็นแค่การล้อเล่นระหว่างเราสองคน แต่การถึงเนื้อถึงตัว การกอด การจุ๊บที่อื่นๆ ก็ยังมีและเหมือนจะยิ่งถี่กว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

“คิดไม่ออกเหรอครับ”เสียงของเค้าปลุกผมจากความคิดในอดีต ตอนนี้เราก็กำลังจะเขียนเหมือนเดิมทุกๆ ปี แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่เราทั้งคู่ก็ยังใช้การเขียนลงกระดาษเช่นเดิม อีกอย่างห้องพักห้องนี้เราก็จองไว้ในช่วงนี้ทุกปี เราเลยมีกล่องมาทิ้งไว้ที่นี่กล่องนึง วางไว้เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์อย่างนึง และมีกุญแจล็อค ปีหลังๆ มานี้พอเขียนเสร็จเราจะถ่ายรูปสิ่งที่เขียนไว้ ส่วนแผ่นกระดาษก็จะใส่ไว้ในกล่องนี้ รอมาเปิดอีกทีในปีถัดไป เพื่อเช็คว่าเราทำอะไรสำเร็จไปบ้าง

“เสร็จละ”ผมรีบพับกระดาษหลังจากเขียนข้อสุดท้าย ข้อสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยปล่อยมานานขนาดนี้ ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่กล้าพอ แต่ภายในปีหน้า สักวัน ผมจะต้องถามว่าระหว่างเราสองคนมันคืออะไรกันแน่ ถ้าเรายังจะเป็นแค่พี่น้องกัน มันก็คงมีอีกหลายอย่างที่เราต้องหยุดไว้

“ป่ะ ได้เวลาปล่อยโคมแล้ว”เค้าบอกถึงกิจกรรมอีกอย่างที่เราทำเป็นประจำเมื่อมาที่นี่ ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ชายหาดก็ไม่ค่อยมีคน เราสองคนเดินเลียบชายหาดไปจนเกือบสุด เป็นจุดประจำที่เราสองคนใช้ในการปล่อยโคม มันอาจจะฟังดูไร้สาระ แต่อีกคนเคยบอกกับผมว่ามันคือวิธีการบอกพ่อกับแม่ของเราทั้งคู่ ว่าพวกเรามาเจอท่านแล้ว

ทั้งผมและเค้าช่วยกันจุดโคม และถือรอระหว่างที่ความร้อนจากไฟจะดันอากาศให้เริ่มยกตัวขึ้น ทั้งผมและเค้าประคองโคมนั้นไว้หลวมๆ รอจนกระทั่งมันเริ่มตึงๆ อยากจะลอยออกไปเต็มที่ เราสองคนมองหน้ากันอย่างเข้าใจและหลับตาอธิษฐาน ไม่นานนักพอพวกผมทั้งคู่ปล่อยมือ โคมนั่นก็ลอยออกไปบนฟ้า ห่างออกไปในทะเลกว้าง ทะเลที่ตอนนี้มีแต่ความมืด ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของเราทั้งคู่

15 ปีแล้วสินะที่พ่อกับแม่ของพวกเราจากไป ณ ท้องทะเลแห่งนี้ ทุกปีผมมักจะร้องไห้ตรงนี้เสมอ แต่วันนี้ผมจะไม่ร้อง ผมอยากให้พ่อกับแม่เห็นว่าผมเข้มแข็งขึ้นแล้ว รวมทั้งคนที่เอื้อมแขนมาโอบไหล่ผมนี่ด้วย ทุกครั้งเค้าจะเป็นคนปลอบผม และเค้าก็หันมองหน้าผม แถมโน้มหน้าเอียงคอลงมามองเพื่อความมั่นใจว่าผมไม่ได้ร้องจริงๆ

“ปีนี้ไม่เศร้า แสดงว่าไม่ดื่มใช่ไหมครับ”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ทำเอาผมหมั่นไส้จนต้องใช้ศอกกระทุ้งเอวเค้าเบาๆ นี่เมื่อวานหลังจากเค้ารับโทรศัพท์หลายรอบนั่น เราก็แค่ไปกินข้าวธรรมดา เค้าไม่ให้ผมดื่มเลยด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ยังจะห้ามผมอีกคงได้คุยกันยาว ถึงผมจะไม่ได้เป็นขนาดว่าติดเหล้าอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ยังชอบดื่มนะครับ แม้พักหลังๆ นี่จะลดลงเพราะคนข้างๆ นี่แหละครับที่ให้ผมลด

“แค่วันเดียวน่า ที่เหลือจะนอนโง่ๆ พักสมองให้เต็มที่ ดื่มน้ำผักผลไม้ ด้วยเลยเอ้า”ผมแกล้งทำเป็นต่อรอง เพราะยังไงซะ คืนนี้ผมก็จะดื่ม ดื่มให้เมาสุดๆ เผื่อที่ผมจะได้กล้าพูดอะไรบางอย่าง

“งั้นซื้อไปดื่มที่ห้อง โอเคไหมครับ”ที่จริงผมชอบนั่งดื่มที่ร้านมากกว่านะครับ แต่วันนี้ข้อเสนอของเค้าก็น่าสนใจมากอยู่เหมือนกันแหละครับ เพราะผมแค่อยากจะเมา และคุยกับเค้าแค่นั้นเอง พอตกลงกันได้แบบนั้น เบียร์หลากหลายยี่ห้อก็ถูกหอบกลับมาที่ห้องพักของเราสองคน

เสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดจากโทรศัพท์มือถือของผม เล่นวนไปวนมา ระหว่างที่เราสองคนเริ่มดื่ม เรื่องราวสัพเพเหระถูกยกขึ้นมาในบทสนทนาของเราสองคน บางเรื่องเป็นเรื่องที่เราเคยคุยกันมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ แต่บางเรื่องก็น่าแปลกใจที่เราไม่เคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังมาก่อนเลย

“เมื่อไหร่พี่ฟ่างจะเมาสักที นี่โพดใกล้จะเมาแล้วนะ”เค้าเริ่มบ่นทั้งที่ตัวเค้าดื่มเข้าไปน้อยกว่าผมพอสมควร ซึ่งก็ไม่แปลกสักเท่าไหร่เพราะเค้าก็ไม่ได้ดื่มเป็นประจำอย่างผมกับไอ้ต้าร์ ที่ทำตัวแบบนี้กันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“อายุเริ่มเยอะแล้ว ลดลงอีกนิดก็ดีนะครับไอ้เหล้าเบียร์เนี่ย”เอาอีกแล้วครับ พอเริ่มมึนๆ ตึงๆ ก็ได้เวลาบ่นผมอีกแล้วสินะครับเนี่ย

“ไหนโพดว่ามาครั้งนี้มีอะไรสำคัญจะคุยกับพี่ไม่ใช่เหรอ”ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้เค้าบ่นผมอีก แต่เรื่องที่ผมเปลี่ยนมาถามเค้านี่ก็เป็นเรื่องที่ยังคาใจผมอยู่ ก็เค้าเล่นเกริ่นไว้ตั้งแต่ยังไม่มาเจอกัน จนตอนนี้อยู่ด้วยกันมา 2-3 คืนแล้ว เค้ายังไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

“ยังไม่ถึงเวลาครับ”เค้ามีอาการแปลกไปเล็กน้อย ตอนที่ผมถามถึงเรื่องนี้ แต่ก็เพียงนิดเดียวจริงๆ จนผมเกือบจะสังเกตไม่เห็น มันมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องมีลับลมคมในกับผมขนาดนี้ ผมเลือกที่จะไม่ถามต่อแล้วหันมาสนใจเบียร์ในมือแล้วยกขึ้นดื่ม วันนี้ผมอยากเมา เมาให้มากพอที่จะทำบางอย่าง

“พี่มีเรื่องจะถาม”หลังจากที่เราทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ และตอนนี้ผมกับเค้าก็เริ่มตึงๆ ด้วยกันทั้งคู่แล้ว เวลาเมาแบบนี้คนเรามักจะกล้าทำอะไรในเรื่องที่เวลาปกติไม่กล้าทำ แต่สำหรับผมตอนนี้ผมตั้งใจจะทำแบบนี้มาตั้งแต่ไม่เมาแล้ว เพียงแต่จะเอาความเมามาเป็นข้ออ้างเพิ่มเติม เผื่อว่าผมพลาดอะไรไปผมจะได้ยังอ้างได้ ว่าที่ทำลงไป มันเพราะความเมา

“มันเป็นเรื่อง 1 ใน 10 ข้อที่พี่จะต้องทำให้ได้ภายในปีหน้า”ผมเริ่มพูดโดยที่เค้ายังคงนิ่ง ฟังอยู่เงียบๆ

“และมันเกี่ยวกับโพด”แม้นี้จะยังไม่ใช่วันสิ้นปี และยังไม่ถึงปีใหม่ แต่ผมไม่อยากให้มันค้างคาอีกต่อไปแล้ว และวันที่ดื่มหนักๆ จนผมสามารถคุยเรื่องนี้ได้มันก็คงมีแต่วันนี้นี่แหละครับ

“มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีครับ”เค้าหันมามองผม สบตานิ่ง

“ไม่รู้สิ”ผมยิ้มจางๆ ให้เค้าอีกครั้งก่อนจะยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม เหมือนเป็นการย้อมใจ

“เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน มันคืออะไรกันแน่”ผมถามโดยที่ไม่ได้หันมองหน้าเค้า แม้จะรู้สึกลุ้นกับคำตอบของเค้า แต่อาจเพราะความเมาในตอนนี้ทำให้ผมพร้อมรับทุกคำตอบ เค้าไม่ได้ตอบคำถามผม แต่เอื้อมมือมาประคองใบหน้าผมให้หันมองเค้า เราสบตากันนิ่ง ขณะที่เค้าขยับ เข้ามาหาผม จนใบหน้าเราทั้งคู่อยู่ในระยะที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน

ริมฝีปากเค้าค่อยๆ จรดลงมาที่ริมฝีปากของผม และเพียงไม่นานลิ้นของเค้าก็สอดเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผม สำหรับผมมันเหมือนเพิ่งได้รับในสิ่งที่โหยหามานาน การกระทำของเค้ามันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้

“อือ”เสียงครางในลำคอผมดังขึ้น ขณะที่เค้าถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เรายังคงเอาหน้าผากยันกันไว้และผมก็เงียบรอฟัง สิ่งที่เค้ากำลังทำท่าจะพูดออกมา

“ทำไมเราต้องไปหาคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของเราละครับ”




TBC

ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนไปอีก  :katai4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โอยยย น้องโพดด พี่อยากได้คำตอบที่ชัดเจนค่ะลูกกกก  :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 8
เกินเลย




“ทำไมเราต้องไปหาคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของเราละครับ”เค้าจ้องมองหน้าผมนิ่ง ผมเองก็มองตอบเช่นเดียวกัน

“งั้นจูบพี่อีกทีสิ”ยอมรับเลยว่าเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ผมกล้าที่จะพูดออกไปแบบนั้น แต่อีกเหตุผลนึงคือผมยังรู้สึกว่าจูบแรกนั่นมันยังไม่เพียงพอกับความโหยหาของผม นอกจากนี้สิ่งที่เค้าได้เป็นคนเริ่มมันทำให้ผมเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง

เค้าสบตาผมครู่นึงก่อนจะโถมเข้ามาหาผม ซึ่งออกจะร้อนแรงกว่าเดิมเราต่างลิ้มรสของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักพอ มือหนาของเค้าสอดเข้ามาเลิกเสื้อของผมขึ้น เค้าถอนริมฝีปากออก ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นซอกคอของผม

“อ๊ะ...”ผมหลุดเสียงออกมาเบาๆ เมื่อเค้าฝังเขี้ยวกดลงไป แม้จะไม่ได้แรงมากแต่ก็สร้างความปั่นป่วนภายในให้ผมไม่น้อย มือเค้าก็ยังคงลากไปตามตัวของผม ลากจากสะดือขึ้นมาจนถึงยอดอก เขี่ยมันเล่นจนสร้างความปั่นป่วนให้ผมขึ้นไปอีก นี่ผมกับเค้ามันจะเลยเถิดกันเกินไปหรือเปล่านะ

“พอเถอะ”ผมรีบดึงมือของเค้าที่เลื่อนต่ำลง และกำลังจะล้วงเข้าไปในกางเกงของผม เค้าเงยหน้ามามองผมอย่างเว้าวอน ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าจะรู้สึกยังไง เพราะความปรารถนาในตัวของผมเองก็พุ่งขึ้นสูงแล้วเช่นกัน แต่ผมไม่รู้ว่าถ้ามันเลยเถิดไปมากกว่านี้ ระหว่างเราสองคนมันจะเปลี่ยนไปไหม เราจะยังคงทำตัวเหมือนเดิมได้หรือเปล่า แล้วอย่างที่เค้าบอกว่าระหว่างเราก็ไม่อยากให้ไปหาคำจำกัดความนั่น มันจะเป็นยังไงละถ้าเลยเถิดไปมากกว่านี้ ผมพยายามขืนตัวออก แต่เหมือนอีกคนจะไม่ยอม

“พี่เริ่มมาขนาดนี้แล้วคิดว่าโพดจะหยุดได้เหรอครับ”เค้าโน้มหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูผม ก่อนจะขบเบาๆ ที่ติ่งหู แล้วเลื่อนลงไปที่ซอกคอผมอีกรอบ ร่างผมถูกดันให้นอนราบลงกับพื้น สองแขนผมถูกรวบขึ้น ตามด้วยเสื้อของผมที่ถูกถอดออกไป

“แน่ใจแล้วเหรอ”ผมถามย้ำอีกครั้งกับคนที่พลิกตัวขึ้นมาคร่อมผม เค้าค่อยๆ ถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงาม แต่ผมจะเคยเห็นเค้าเปลือยท่อนบนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ สถานการณ์ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไป

“พี่ฟ่างคิดว่ายังไงละครับ”เค้าบอกด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ดึงมือผมให้ล้วงเข้าไปในกางเกงของเค้า ความร้อนและแข็งอย่างกับแท่งเหล็กนั่นทำให้ผมเกือบจะต้องชักมือกลับ แต่เค้ากลับกดมือผมไว้แน่น ก่อนจะดึงรูดกางเกงของตัวเองลง เผยให้ผมเห็นฝักข้าวโพดของเค้า ซึ่งขนาดมันเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนที่เราเคยอาบน้ำด้วยกันสมัยเด็กอย่างสิ้นเชิง

“อือ”เค้าทาบทับลงมาที่ตัวผมอีกครั้งตามด้วยริมฝีปากของเราที่บดขยี้กันอีกรอบ พอถอนปากออกเค้าก็ย้ายเป้าหมายไปเป็นยอด อกของผม เค้าใช้ลิ้นหยอกล้อไปรอบๆ จนพอใจก่อนจะลากลิ้นต่ำลง ไปเรื่อยๆ จนผมต้องผิดตัวเพราะอารมณ์ปรารถนาที่ลุกโชนขึ้นมากกว่าเดิม

“หึหึ”เค้าหัวเราะในลำคออย่างชอบใจเมื่อดึงกางเกงผมออกไปแล้วเห็นว่า ส่วนกลางลำตัวของผมเองก็พร้อมแล้วไม่ได้ต่างจากเค้า ตอนนี้ผมแทบลืมผลที่จะตามมาหลังจากนี้ไปเสียหมด ความต้องการตรงหน้ามันบดบังทุกอย่างไปหมดแล้วครับตอนนี้ เค้าดึงให้ผมขยับตัวลุกขึ้น แล้วจับที่ส่วนกลางลำตัวของเราทั้งคู่ให้แนบชิดกัน มือของเค้าค่อยๆ ขยับรูดขึ้นลงแค่เพียงเบาๆ แต่กลับสร้างความเสียวซ่านให้กับผมเป็นอย่างมาก

“อ๊า..”เหมือนอีกคนจะพอใจที่ผมส่งเสียงครางออกมา จังหวะมือของเค้าที่เร่งเร็วขึ้นทำให้เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่หอบถี่ขึ้นตามไปด้วย สัมผัสที่ร้อนระอุจากส่วนแกนกลางลำตัวของเราทั้งคู่ ยิ่งร้อนและแนบชิดกันขึ้นเรื่อยๆ จนผมใกล้จะขึ้นไปถึงขีดสุด แต่อีกคนกลับหยุดมือไปเสียดื้อๆ

“หยุดทำไม”ผมถามเสียงกระเซ่าเพราะเหมือนโดนถีบตกเหวทั้งที่กำลังจะขึ้นไปถึงสวรรค์อยู่แล้ว เค้าไม่ได้ตอบผมแต่ขยับลุกขึ้นช้อนตัวผม อุ้มมาวางลงที่เตียง เค้าส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเลื่อนต่ำลงไปที่หว่างขาของผม มือเค้าคว้าหมับที่พวงข้าวฟ่างของผม ก่อนที่ลิ้นของเค้าจะแลบออกมาลิ้มเลียชิมส่วนปลาย

“อือ”ผมต้องเกร็งตัวบิดไปมาเพราะความสุขที่เค้ามอบให้ ยิ่งพอเค้าครอบปากลงไปดูดกลืนลงไปจนเกือบสุด สองมือของผมต้องรีบเอื้อมมือไปจับที่ศีรษะของเค้า สอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมหนาดกดำของเค้า เพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยว เพราะเรี่ยวแรงผมตอนนี้เหมือนจะไม่เหลือแล้ว

“โพด...โพด หยุ..หยุด”ผมพยายามจะดันให้เค้าถอนปากออก เพราะผมกำลังจะถึงจุดที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมหยุดตามที่ผมพยายามบอก ถึงจะพยายามผลักแล้ว สุดท้ายผมก็ปลดปล่อยออกมา

“อ๊ะ...อ้า”ผมถึงขั้นต้องงอตัว กระตุ๊กกอดที่ศีรษะเค้าแน่น เพราะเค้าเล่นดูดแรงขึ้นตามจังหวะที่ผมปลดปล่อยออกมา นี่กะจะดูดให้ผมหมดตัวเลยหรือไงเนี่ย

“อืม...หวาน”เค้าเงยหน้าขึ้นมาเลียริมฝีปากมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ส่วนผมก็หอบจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรงที่มีใครทำให้ผมแบบนี้ แต่ต้องยอมรับว่านี่คือครั้งที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมากที่สุด และมันทำให้ผมรู้สึกยังไม่พอ ผมเป็นฝ่ายดึงเค้าเข้ามาจูบ เราแลกลิ้นกันพัลวันอีกครั้ง รสชาติสิ่งที่เค้าเพิ่งดูดกลืนไปจากตัวผม ยังปนมาให้ผมรับรู้ด้วยเช่นกัน

“ผมจะทนไม่ไหวแล้ว”ผมบอกเสียงแหบพร่า สองขาผมถูกแยกออก นิ้วเรียวของเค้าสอดเข้าไปที่ช่องทางคับแคบของผมพร้อมกัน 2 นิ้วอย่างรวดเร็วจนผมสะดุ้ง เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เค้าค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนจาก 2 นิ้วเป็น 3 นิ้ว แต่จากที่ผมสัมผัสฝักข้าวโพดของเค้า มันน่าจะมากกว่า 3 นิ้วหรือเปล่า

“พี่ไว้ใจผมหรือเปล่า”เค้าเลื่อนขึ้นมากระซิบข้างๆ หูผมอีกรอบ ผมไม่ได้ตอบแต่ดึงเค้าเข้ามาจูบเป็นการให้เค้ารับรู้

“อืม อ๊า”ผมส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ตอนนี้เหมือนเป็นผมเองเสียมากกว่าที่จะทนไม่ไหวอยากให้เค้าเข้ามาในตัวของผม

“งั้นผมขอไม่ใส่ถุงนะครับ”ผมพยักหน้ารับ ก็ถึงจะไม่อนุญาตแล้วยังไงละ เราก็ไม่ได้มีใครพกถุงยางมาด้วยสักคนนี่นา ผมส่งยิ้มยืนยันกับเค้าอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าผมเองก็ไว้ใจในตัวเค้า เค้าค่อยๆ ถอนนิ้วออกแล้วใส่ฝักข้าวโพดของเค้าเข้ามาแทน

“อ๊ะ..ช้าๆ นะ”มือผมค่อยๆ ยันตัวเค้าไว้ก่อนเพราะตอนนี้รู้สึกตึงแน่นไปหมด ทั้งที่เค้าเพิ่งใส่เข้ามาแค่ส่วนหัว เค้าแช่ไว้แล้วโน้มตัวลงมาจูบผมอีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ เค้าดันพรวดเข้ามาจนสุด ผมถึงกับต้องผวาเกาะเค้าแน่น

“ใจเย็นสิ”ผมตีหลังเค้า เบาๆด้วยความหมั่นไส้

“หึ หึ ก็พี่อยากทำให้ผมอดใจไม่ไหวทำไม”เค้าบอกอย่างไม่สนใจพร้อมคมเขี้ยวที่ฝังลงมาบนซอกคอของผม

“ช้าๆ ก่อนนะ”ผมบอกในขณะที่เค้ากำลังจะขยับตัว

“อ๊า...”เค้าส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจพร้อมค่อยๆ ขยับเข้าออกในตัวออกผม

“ซี๊ด...อ๊า”เสียงที่เปล่งออกมาอย่างสุขสม พร้อมกับแรงกระแทกที่เร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเองทั้งจิกมือลงบนที่นอน สลับกับการจิกไปที่แผ่นหลังของเค้า เราต่างคนต่างพยายามทำให้อีกฝ่ายพอใจในรสรักของกันและกัน แต่สำหรับผม จริงๆ แล้วแค่เป็นเค้ามันก็สุขที่สุดสำหรับผมแล้ว ถึงตอนนี้ผมยอมรับกับตัวเองได้เต็มปากแล้ว ว่าผมรักเค้า “รัก” ที่ไม่ใช่แบบพี่น้อง แต่มันคือรักในแบบของคนรัก ผมโหยหาที่จะสัมผัสร่างกายนี้มานานแสนนาน แต่ผมก็พยายามหักห้ามใจมาตลอด

“อ๊ะ”ผมต้องรีบดึงตัวเค้ามากอดแน่น ให้เค้าลดจังหวะลงเพราะเค้ากระทุ้งเข้ามาโดนจุดที่ผมแทบจะขาดใจลงเสียให้ได้

“ตรงนี้สินะครับ”แต่เหมือนอีกคนจะยิ่งชอบใจ กระแทกเข้ามาถี่ขึ้นจนผมต้องกอดเค้าแน่นขึ้นกว่าเดิม คราวนี้เป็นผมเองที่ฝังคมเขี้ยวลงบนไหล่ของเค้า ช่องทางผมเริ่มบีบรัดมากขึ้นเพราะผมกำลังใกล้จะปลดปล่อยออกมาอีกแล้ว

“รอผมก่อนสิครับ”เค้าเร่งจังหวะเร็วขึ้นจนผมแทบจะล่องลอยเพราะความสุขสม และเสียวซ่านที่ได้รับ

“พร้อมกันนะครับพี่ฟ่าง”สิ้นคำพูดของเค้าผมก็ปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นนั้นออกมาอีกรอบทั้งที่ไม่ได้แตะต้องแกนกลางตรงลำตัวนั่นเลย ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็รู้สึกอุ่นวาบที่ช่องทางด้านหลัง เค้าดึงผมไปกอดแน่น ก่อนเราจะหอบหายใจถี่ๆ ออกมาพร้อมกัน

“ผมทำให้พี่มีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ ที่พี่เคยผ่านมาหรือเปล่าครับ”เค้าถามทั้งที่ยังไม่ได้ถอนแก่นกายนั่นออกไปจากตัวผม ผมไม่ได้แปลกใจนักที่เค้าถามแบบนี้ แม้เราจะไม่เคยพูดเรื่องประสบการณ์เรื่องเซกส์ของกันและกัน แต่ทั้งผมและเค้าก็คงรู้ดีว่าต่างคนก็คงผ่านอะไรมาบ้างแล้วตามวัยของเราทั้งคู่ ผมเองแม้จะไม่เคยคบใครเป็นแฟนมาก่อน แต่เรื่องแบบนี้มันก็มีเข้ามาบ้างแหละครับ

“ก็...ไม่รู้สิ”ผมบอกยิ้มๆ โดยไม่ได้ยืนยันอะไรในสิ่งที่เค้าถาม แม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่ารสรักที่เพิ่งจบลงเมื่อสักครู่มันดีมากๆ แต่จะให้ยอมรับกับเค้าตรงๆ ก็ออกจะยังรู้สึกแปลกๆอยู่ดีนั่นละครับ

“ไม่ตอบเหรอ...ไม่ตอบงั้นต่ออีกรอบ”ไม่พูดเปล่าเพราะผมเริ่มสัมผัสได้แล้วว่าไอ้ที่ยังอยู่ในตัวผมมันเริ่มขยายขึ้นมาคับแน่นอีกรอบแล้ว

“เดี๋ยวๆ จะไม่พักหน่อยเหรอ”ผมร้องขอความเห็นใจเพราะตอนนี้เหนื่อยเหลือเกิน แม้จะยังอยากมีอะไรกับเค้าอีกแต่ก็ยังต้องการพักสักนิดก่อนเหมือนกันแหละครับ

“งั้นก็ตอบมาครับว่าผมดีกว่าคนอื่นๆ หรือเปล่า”เค้าเริ่มขยับตัวเข้าออก อีกแล้วจนผมต้องรีบยันตัวเค้าไว้ให้หยุด

“อือ”ผมตอบรับออกไปสั้นๆ

“อะไรนะ ขอชัดๆหน่อยสิครับ ไม่งั้นต่ออีกรอบนะ”เค้ารีบดันตัวสู้แรงต้านของผม ซึ่งแน่นอนว่าผมสู้แรงเค้าไม่ได้อยู่แล้ว

“โอเคๆ ครั้งนี้มันสุดยอดที่สุดเท่าที่พี่เคยมีเซกส์มา พอใจยัง”ผมบอกออกไปอย่างเสียไม่ได้ แต่พอผมเห็นรอยยิ้มร้ายของอีกคน และจังหวะเข้าออกของอีกคนทำให้รู้ว่า ผมพลาดเสียแล้ว เพราะต่อให้ผมยอมรับหรือไม่ยอมรับออกไป เค้าก็คงจะทำต่ออยู่ดีสินะ ผมกำลังจะอ้าปากต่อว่าเค้าแต่ทว่า

“อ๊ะ...อ้า”ผมต้องผวาเข้ากอดเค้าแน่น เพราะเค้าเล่นกระแทกเข้ามาตรงจุดนั้นพอดี เค้ายิ้มอย่างเป็นต่อว่าเค้ารู้จุดอ่อนของผมแล้ว นี่ผมคงต้องเล่นบทรักนี้กับเค้าอีกรอบสินะ แต่ยิ่งเราปรนเปรอซึ่งกันและกันมากเท่าไหร่ มันกลับยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ มันเหมือนเป็นการเสพติดที่ต้องได้รับอีกเรื่อยๆ จากรอบที่ 2 บนเตียง ไปต่อที่ห้องน้ำ โซฟา วนกลับมาที่เตียงอีกรอบ สุดท้ายเมื่อทั้งผมและเค้าหมดเรี่ยวหมดแรงด้วยกันทั้งคู่ ผมก็มานอนอยู่ในอ้อมกอดเค้าบนเตียง

แม้ผมจะเคยได้รับอ้อมกอดจากเค้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะครั้งนี้ผมไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห้ามใจตัวเองอีกแล้ว ว่าเราเป็นได้แค่พี่น้องกัน เพราะกิจกรรมที่เราเพิ่งผ่านด้วยกันมาหลายรอบ มันคงไม่มีพี่น้องที่ไหนทำร่วมกัน แม้สถานะระหว่างเราจะยังไม่มีคำจำกัดความ แต่แค่นี้ มันก็ดีแล้ว

“พี่ฟ่างเป็นผู้ชายคนแรกของโพดเลยนะครับ”อยู่ๆ เค้าก็กระซิบบอกผมเสียงแผ่วเบา ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่เค้าเพิ่งบอกมันตีความหมายได้ว่าเค้าไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจหรอกนะครับ เพียงแต่มันทำให้ผมฉุกคิด ว่าแล้วความสัมพันธ์ของเค้ากับผู้หญิงละ มันเป็นยังไงบ้าง




TBC


สถานะก็ไม่ชัดเจน

แต่ดันได้กันแล้ว  :z6:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ฮื่ออออออ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หูยยย น้องโพดแซ่บบ  :hao6:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แล้วทั้งคู่ก็ทำรักกัน  :ling1: :ling1: :ling1:
โดยไม่ระบุสถานะ มันเลื่อนลอยนะ
คนที่โทรหาโพด คือหญิงที่มาติดพันกันสินะ
แต่เป็นคนรักหรือเปล่านี่สิ น่าสงสัย

ตอนนี้รู้ว่าโพด เคยมีประสบการณ์กับหญิงมาก่อน
แต่กับชาย ฟ่างเป็นคนแรก
แต่ทางฟ่างนี่ไม่รู้เรื่องทางฟ่างเลย
ก็ติดตามกันต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 9
สูญเสีย




“ไหวไหมละเรา”แม่เปิ้ลเอ่ยถามข้าวโพดที่ยังนอนซม เพราะถ่ายไปจนหมดไส้หมดพุง แม้จะหยุดถ่ายแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังนอนหมดเรี่ยวหมดแรง นอนหยอดน้ำเกลือแร่ตั้งแต่สายๆ จนตอนนี้จะบ่ายแล้วละครับ

“โพดไม่เป็นไรแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงครับ”คนป่วยบอกอย่างอวดดีทั้งที่ปากยังซีด แรงก็ยังไม่ค่อยจะมี แม่เปิ้ลเข้าไปลูบหัวข้าวโพดอย่างเอ็นดู โดยมีผมนั่งมองอยู่ไม่ห่างจากเตียงนัก

เค้าเป็นอะไรนะเหรอครับ ก็เมื่อช่วงสายๆ ครอบครัวพวกเราทั้ง 2 ครอบครัวก็ไปนั่งทานอาหารที่ริมชายหาด ซึ่งมันก็ดูเป็นการทานอาหารปกตินั่นแหละครับ แต่วันนี้พ่อๆ แม่ๆ ของพวกผมทานหอยนางรมกัน หอยนางรมสดๆ ตัวใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ สำหรับผมนั้นผมไม่กินอยู่แล้ว เพราะเคยชิมแล้วรู้สึกมันหยืยๆ ในปากแปลกๆ

“โพดว่าเราลองกันคนละตัวไหมฮ่ะพี่ฟ่าง”น้องชายตัวแสบของผมดันอยากลอง แม้ผมจะปฏิเสธว่าไม่เอา เค้าก็ยังยืนยันให้สั่งมา จากนั้นก็ทำเลียนแบบวิธีการกินของพ่อๆ แม่ๆ พวกผมนั่นแหละครับ

“โพดจะต้องฟิตปั๋งอย่างที่พ่อพูดแน่ๆ”เค้ามากระซิบผมด้วยความภูมิใจ ไอ้เด็กแก่แดดเอ้ย รู้หรือเปล่าเหอะว่าที่ผู้ใหญ่เค้าพูดนั่นมันแปลว่ายังไง แล้วสุดท้ายเป็นยังไงเหรอครับ ฟิตสมใจเค้าละ ฟิตมาก ต้องมานอนยอดน้ำเกลือแร่แบบนี้ ทีแรกผมก็งงนะครับ พ่อกับแม่ของพวกผมก็กินเหมือนเค้าทุกคน ทำไมมีแต่เค้าที่กินแล้วท้องเสียอยู่คนเดียว

จนได้ฟังคำอธิบายจากคุณหมอที่คลินิคว่าบางทีอาจเกิดจากการแพ้ ไม่ก็การที่ยังไม่เคยกินมาก่อน ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะกับลำไส้ยังไม่คุ้นเคย เลยทำให้เกิดการต่อต้านและขับออกมาอย่างที่เห็น ผมจำคำศัพท์ที่คุณหมอบอกไม่ค่อยได้ แต่คุณหมอยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างถ้าเรากินส้มตำแล้วอาจไม่เป็นอะไรเพราะกระเพาะกับลำไส้เราคุ้นเคยแล้ว แต่ถ้าชาวต่างชาติมากินอาจท้องเสียได้ ทั้งที่อาหารก็สะอาดถูกสุขลักษณะทุกอย่าง

“แม่เปิ้ลไม่รีบไปเหรอครับ ใกล้เวลาเรือออกแล้ว”ผมเอ่ยถามเพราะที่จริงบ่ายนี้ ครอบครัวของพวกเราต้องไปนั่งเรื่องที่จองไว้กับทางโรงแรม แล้วนี่ก็จะถึงเวลาเรือออกแล้ว ส่วนผมกับข้าวโพดนั้นก็คงต้องอดไปตามระเบียบนั่นแหละครับ ข้าวโพดนั้นไปไม่ไหวอยู่แล้ว ส่วนผมก็อาสาเฝ้าน้องนั่นแหละครับ ถ้าผมไป แล้วน้องไม่ไปผมก็ไม่รู้จะเล่นกับใครมันก็คงไม่สนุก

“แม่ไม่ไปแล้ว ตัวแสบไม่สบายทั้งคนใครจะทิ้งลง”แม่เปิ้ลบอกเหตุผลที่ยังไม่ไปเตรียมขึ้นเรือ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วแม่เปิ้ลน่าจะเป็นคนที่อยากไปทริปนี้มากที่สุดนะครับเนี่ย นี่ถ้าตัวแสบของพวกเราไม่ป่วยเสียก่อน เราทุกคนคงได้ไปสนุกด้วยกันทุกคนแล้ว

“ผมไม่เป็นไรแล้วฮ่ะ”คนป่วยพยายามทำเสียงสดชื่นจนผมนึกหมั่นไส้ แต่จริงๆ เค้าก็ดีขึ้นมากกว่าตอนแรกๆ แล้วแหละครับ ตอนไปหาหมอ คุณหมอก็บอกแล้วว่าพอถ่ายหมด นอนพักก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

“เดี๋ยวฟ่างดูน้องเองครับแม่เปิ้ล”แม้จะหมั่นไส้น้องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากให้แม่เปิ้ลเป็นกังวลครับ เพราะรู้ว่าปีนี้บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของพวกผมทำงานกันมากนักมาก มาพักผ่อนทั้งทีก็อยากให้พวกท่านเต็มที อะไรที่เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ถ้าผมทำแทนได้ ผมก็อยากช่วยแหละครับ ตอนนี้ผมกับข้าวโพดเดงก็โตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วด้วย

“ไม่เป็นไร แม่อยู่ด้วยดีกว่าเนอะ”แม่เปิ้ลยังคง ไม่เห็นด้วยกับพวกผมสองคน

“ไม่เอา โพดจะอยู่กับพี่ฟ่างสองคน”นี่ก็เหตุผลอะไรของค้า แม่เปิ้ลได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู สุดท้ายแม่เปิ้ลก็ทนลูกตื้อของพวกผมสองคนไม่ได้ หรือทนรำคาญไม่ได้ก็ไม่รู้นะครับ

“เม่ฝากป้ามั้นไว้แล้ว ถ้ามีอะไรก็ลงไปหาป้ามั้นได้เลย หรือโทรหาพวกแม่ได้ตลอดเวลา เข้าใจไหม”แม่เปิ้ลกำชับพร้อมอธิบายกับเราสองคน

“เข้าใจครับ”เราประสานเสียงกันตอบ แม่เปิ้ลเดินมาลูบหัวเราสองคน ก่อนจะลงไปสมทบกับคนอื่นๆ

“พี่ฟ่างขึ้นมานอนเป็นเพื่อนโพดสิฮ่ะ โพดจะได้หายไวๆ”คนป่วยตีมือปุๆ ที่ว่างข้างๆ ตัวเองทันทีที่แม่เปิ้ลออกไป แม้ไอ้ที่เค้าบอกมันจะดูไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกันสักเท่าไหร่ แต่ผมก็เดินไปล้มตัวลงนอนข้างๆ เค้า

“มีพี่ฟ่างนอนเป็นกำลังใจให้แบบนี้...”

“พอๆ นอนพักได้แล้ว”ผมรีบปรามอีกคนเพราะอยากให้เค้าพักผ่อนมากกว่า เค้าพลิกตัวตะแคงหันมาทางผม ตามด้วยการเอื้อมมือดึงผมให้นอนตะแคงหันหน้าหาเค้าด้วย

“จุ๊บหน่อยสิครับ”เค้าบอกกับผมยิ้มๆ ถึงวิธีการที่เราทำกันมาตั้งแต่เล็กๆ คือการจุ๊บหน้าผากกันและกันก่อนนอน แต่พอโตมาผมกลับไม่ค่อยได้ทำ เพราะมันเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่พวกเราทำกันนี่แหละครับ ผมยังคงนอนนิ่งมองเค้าไม่ได้ทำตามอย่างเค้าขอ ทำให้เค้าเองต้องเป็นฝ่ายเริ่ม ขยับตัวมาจุ๊บที่หน้าผากของผม ผมพลิกตัวกลับหันหลังให้เค้า แทนที่จะทำแบบเดียวกับเค้า

“นอนเถอะ”ผมบอกเสียงเบา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงวงแขนที่ดึงกระชับผมเข้าหา เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก ก่อนที่ต่างคนจะหลับยาวไปตลอดช่วงบ่าย เราสองคนตื่นอีกทีก็เย็นจนเกือบจะค่ำแล้ว แต่พ่อแม่ของพวกเราก็น่าจะยังไม่กลับ ทั้งผมและข้าวโพดเลยกะว่าจะลงมารอที่ล็อบบี้

“ทำไมคนเยอะจังครับป้ามั้น”พอลงมาที่ล็อบบี้ตอนนี้เหมือนทุกคนกำลังวุ่นวายกับอะไรสักอย่าง แต่พอป้ามั้นหันมาเห็นผมสองคนก็โผเข้ามากอดเราสองคนไว้แน่น แต่สายตาผมก็ยังคงมองเลยออกไปด้านนอก

“พ่อ! แม่!”ผมตะโกนออกไปสุดเสียงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า พยายามจะวิ่งออกไปดูแต่ป้ามั้นก็ยื้อเอาไว้ ข้าวโพดเองก็คงเห็นอย่างที่ผมกำลังเห็นแล้ว ผู้ใหญ่อีกหลายคนมาช่วยกับจับพวกเราไว้ไม่ให้วิ่งออกไป แต่ภาพพวกนั้นก็ยังคิดตาผมไม่เคยหายไปไหน ร่างกายที่ขาวซีดของพวกกับแม่ที่กำลังถูกยกขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล

“ฮึก”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบลงมาที่แก้ม ค่อยๆ แกะแขนของอีกคนที่กอดผมไว้หลวมๆ ออก ผมหันไปมองคนที่ยังคงหลับตาพริ้ม คนที่วันนั้นเหมือนจะตั้งสติ และหยุดร้องไห้ได้ก่อนผม เค้าเป็นคนเดินเข้ามากอดผมที่ยังคงเอาแต่ร้องไห้ หลังจากรับรู้ว่าพ่อแม่ของพวกเราไม่อยู่แล้ว

“โพดจะดูแลพี่ฟ่างเองฮ่ะ โพดสัญญา”นั่นคือคำที่เค้าเคยบอกกับผม

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุดไม่อยากให้เค้ารู้สึกตัว ผมหยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเดินออกมายืนที่ริมระเบียง เหม่อมองออกไปในท้องทะเลกว้างอันมืดมิด นี่เป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่ผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์ที่พรากคนที่เรารักไปพร้อมกันถึง 4 คน

เรือที่พ่อแม่ของพวกเรานั่งออกไปเที่ยว เจอกับพายุที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน แต่นั่นอาจจะไม่เป็นอะไรมากถ้าเรือไม่ดันไปกระแทกกับโขดหินอย่างแรงจนเรือแตก และถ้านั่นมันยังเลวร้ายไม่พอ กระแสน้ำ ณ ที่ตรงนั้นดันกลายเป็นน้ำวนที่ดูดทุกคนลงไปยังท้องทะเลลึกนั่น กว่าทีมช่วยเหลือจะเข้าไปได้ ทุกคนก็หมดลมหายใจกันไปแล้ว ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง

“ออกมาทำอะไรครับ”อ้อมกอดที่สวมมาจากทางด้านหลัง พร้อมใบหน้าของอีกคนที่วางพาดลงมาที่ไหล่ของผม ผมไม่ได้ตอบเค้าหากแต่เอื้อมมือไปยีหัวยุ่งๆ ของเค้า หลายวันมานี้หลังจากที่เรามีอะไรกันในวันนั้น วันต่อๆ มาเราก็แทบจะไม่ได้มีกิจกรรมอย่างอื่นกันเลย เราสองคนคลุกกันอยู่แต่ในห้องนี้เหมือนความต้องการของเราทั้งคู่มันจะไม่เคยพอ

“พี่ทำให้ตื่นหรือเปล่า”ผมเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปที่เค้า ใช้ศีรษะของตัวเองถูกับใบหน้าเค้าเบาๆ เป็นการหยอกล้อ เราทั้งคู่หลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ดูจากความมืดภายนอก และแสงจันทร์ที่ยังสว่างจ้า คาดว่านี้คงยังไม่ใกล้เช้าสักเท่าไหร่

“นึกว่าพี่ฟ่างแอบหนีโพดไปแล้วเสียอีก”เค้ากดจมูกลงมาที่แก้มผมก่อนจะดึงตัวผมไปนั่งพิงริมระเบียง

“มีแต่โพดละม้างที่อีกไม่กี่วันก็จะทิ้งพี่ไป ห่างไปตั้งครึ่งค่อนโลก”นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่เราต่างรีบตักตวงความสุขจากอีกคน เพราะถึงแม้เราจะไม่ได้พูดออกมาเราก็รู้กันดีว่าหลังจาก 10 วันที่ภูเก็ตนี่ เราก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตของใครของมัน และมันเป็นชีวิตที่ไม่ได้เดินไปด้วยกัน อาจเพราะเหตุนี้ด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เค้าไม่อยากจะจำกัดความในความสัมพันธ์ระหว่างเรา

“โพดถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”วงแขนของเค้ากระชับตัวผมให้แน่นขึ้น แม้ลมทะเลจะพัดมาเรื่อยๆ และอากาศในช่วงดึกแบบนี้จะเย็นเท่าไหร่ แต่พออยู่ในอ้อมกอดของคนด้านหลังนี่ก็ยังทำให้ผมอบอุ่น จนเริ่มรู้สึกไม่อยากให้เค้าจากไป

“หลายอย่างก็ได้”ผมบอกขำๆ เพราะที่จริงผมก็พร้อมตอบเค้าทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่เหมือนพอมาเจอกันแต่ละปีเราก็ไม่ค่อยคุยอะไรกันนอกเหนือจากเรื่องราวที่เราเคยมีร่วมกันตั้งแต่สมัยเด็ก

“ถ้าวันนึงโพดทำผิด โพดทำพี่ฟ่างเสียใจ พี่ฟ่างจะโกรธจะเกลียดโพดไหมครับ”น้ำเสียงของเค้าดูจริงจัง จริงจังจนผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี เพราะประโยคที่ถามมา มันก็ชวนให้คิดได้หลายความหมายเหลือเกิน

“พูดแบบนี้นี่มีอะไร ที่พี่ต้องเตรียมใจหรือเปล่า”ผมบอกออกไปติดตลก แต่ในใจผมคิดไปแล้วจริงๆ ว่ามันคงมีเรื่องบางอย่างที่หากผมรู้ มันต้องมีผลกับความรู้สึกของผม เค้าถึงได้ถามออกมาแบบนี้

“พี่ฟ่างตอบมาก่อนสิฮ่ะ”เค้ากลับมาใช้น้ำเสียงอ้อนๆ ในแบบที่ผมมักจะแพ้ให้เค้าเสมอ ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ทำท่าคิดอยู่พักนึง เอาตามจริงผมก็ยังนึกไม่ออกมาเค้าจะทำอะไรที่รุนแรงถึงขั้นที่ผมจะเกลียดเค้า มันคงไม่มีหรอก โกรธอาจจะมีบ้าง แต่ถ้าเกลียดผมว่าเค้าคงเป็นคนสุดท้ายบนโลกนี้ที่ผมจะเกลียด

“งั้นพี่ถามกลับ ว่าวันนึงจะมีอะไรที่ทำให้โพดโกรธหรือเกลียดพี่ไหม”ผมคิดว่าคำตอบของผมกับของเค้ามันไม่น่าจะต่างกันจริงไหมครับ

“ไม่มีหรอกครับ”เค้าตอบแทบจะทันควัน จนผมหลุดขำออกมา

“แล้วคิดว่าพี่จะเกลียดโพดลงไหมละ”ผมเอี้ยวตัวหันไปมองเค้า

“งั้นสัญญาอีกทีสิครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะยังมาเจอกันที่นี่เหมือนเดิมทุกปี”มันจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไงทำไมเค้าอยากให้ผมสัญญาเหลือเกิน ว่าต้องมานี่ทุกปีทั้งที่เราก็ตกลงกันไว้แล้ว แถมเค้าเองก็เคยให้ผมสัญญาเพิ่มไปแล้วรอบนึงด้วย แต่เพราะไม่อยากจะยุ่งยากอะไร ผมเลยเลือกที่จะตอบตกลงไป

“งั้นเรากลับไปนอนกันดีกว่าครับ”เค้าดึงตัวผมให้ยืนขึ้นเต็มตัว ก่อนเราจะกลับมาล้มตัวลงนอนที่เตียง ไม่นานนักผมก็หลับไปในอ้อมกอดนั้น จนกระทั่งเช้า

ผมตื่นขึ้นมาในตอนเกือบๆ 8 โมงเช้า อีกคนไม่ได้อยู่ที่เตียงแล้ว มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เค้าจะตื่นก่อนผม แต่ทุกวันเค้าจะเป็นคนนอนรอผม และเป็นคนแรกให้ผมเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาเสมอ แม้จะรู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกใจ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันก็ไม่น่าจะมีอะไร ผมคงแค่คิดมากไปเอง เค้าอาจจะแค่เข้าห้องน้ำ

“โพด อยู่ไหนเนี่ย อยู่ในห้องหรือเปล่า”ผมเดินสำรวจห้องที่ดูเงียบเชียบจนผิดปกติ และไร้วี่แววของอีกคน หรือเค้าจะลงไปข้างล่าง แต่ยังเช้าขนาดนี้เค้าจะลงไปทำไมกัน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่แถวๆ หัวเตียงเพื่อจะโทรหาอีกคน แต่สิ่งที่วางอยู่ด้านล่างโทรศัพท์ ดึงดูดสายตาของผมเสียก่อน

“ขอโทษ”คำสั้นๆ ที่เขียนอยู่บนกระดาษที่พับครึ่ง ใจผมเริ่มรู้สึกว่ามันคงต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ สินะผมค่อยๆ หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาคลี่ดู อีกด้านที่พับเข้าหากัน มันไม่ได้มีแค่คำว่า “ขอโทษ”

“แปะ”หยดน้ำที่หล่นลงกระทบกับกระดาษในมือหลังจากที่ผมอ่านข้อความทั้งหมดจนจบ


TBC

ม่าหรือไม่ม่าดี

 :katai5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้องโพดมีความลับอัลไลลลล  :hao7:  :z3:  :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด